Professional Documents
Culture Documents
เครื่องย่อยใบไม้
เครื่องย่อยใบไม้
โชคอนันต์ พันหลวง
สมมิตร นวลมา
อนุรักษ์ เทศสวัสดิ์
ปริญญานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต
กลุ่มวิชาเทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรม
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ปีการศึกษา 2554
LEAF AND BRANCH SHREDDING MACHINE
CHOKANAN PUNLUANG
SOMMIT NUALNMA
ANURAK TEDSAWAT
....................................................ประธานกรรมการสอบปริญญานิพนธ์
(อาจารย์ พรชัย ปิ่นสุวรรณ )
....................................................กรรมการสอบปริญญานิพนธ์
(อาจารย์ สุภาพ ธาราศักดิ์ )
...................................................กรรมการสอบและอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญานิพนธ์
(อาจารย์ ธนบดี ที่สดุ )
...................................................ประธานกลุ่มวิชาเทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรม
(อาจารย์ ยศพนธ์ อินทรจันทร์ )
...................................................ผู้อานวยการ วิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย
(อาจารย์ กมล ชุ่มเจริญ )
...................................................ประธานสาขาหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต
(ดร.ภาณุวัฒน์ ด่านกลาง )
ii
บทคัดย่อ
Abstract
กิตติกรรมประกาศ
ในการดาเนินงานโครงการเครื่องย่อยใบไม้กิ่งไม้นั้นได้ประสบปัญหาต่างๆมากมายแต่ก็สามารถผ่าน
พ้นปัญหานั้นไปได้ และสามารถดาเนินงานจนสาเร็จและลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ เนื่องจากคณะอาจารย์ภาควิชา
เทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรมได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ให้คาปรึกษาและแนะนาในการแก้ปัญหาใน
การดาเนินงานตามขั้นตอนต่างๆ ตลอดจนช่วยเอื้อเฟื้อสถานที่เครื่องมือและอุปกรณ์ในการดาเนินการสร้าง
เครื่องย่อยใบไม้ คณะผู้จัดทาโครงการเครื่องย่ อยใบไม้ กิ่งไม้ ขอขอบคุณอาจารย์ธนบดี ที่สุด อาจารย์พรชัย
ปิ่นสุวรรณ และ อาจารย์ยศพนธ์ อินทรจันทร์ ที่คอยช่วยให้คาแนะนาในการออกแบบ ตลอดจนช่วยแก้ไข
ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการดาเนินงาน
โชคอนันต์ พันหลวง
สมมิตร นวลมา
อนุรกั ษ์ เทศสวัสดิ์
v
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อ…………………………………………………………………………………………………………….ii
Abstract……………………………………………………………………………………………………………..iii
กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………………………..iv
สารบัญ……………………………………………………………………………………………………………….v
สารบัญรูป………………………………………………………………………………………………………….viii
สารบัญตาราง……………………………………………………………………………………………………….ix
บทที่ 1 บทนา………………………………………………………………………………………………………..1
1.1 ที่มาของปัญหา……………………………………………………………………………………….. 1
1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา………………………………………………………………..................1
1.3 ขอบเขตการศึกษา……………………………………………………………………………………..2
1.4 แผนการดาเนินการวิจัย……………………………………………………………………………….2
1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั …………………………………………………………………………….2
บทที่ 2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง………………….……………………………………………………………………….3
2.1 นิยามคาศัพท์ที่สาคัญ………………………………..………………………………………………..3
2.2 ทฤษฎีการออกแบบเพลา………………………………...……………………………………………4
2.3 ทฤษฎีความเค้น……………………………………………….……………………………………….8
2.4 ทฤษฎีการออกแบบสายพาน………………………………………………………………………….9
2.5 ทฤษฎีดีเฟล็คชั่นของคาน……………………………………………………………………………13
2.6 ทฤษฎีโรลเลอร์แบริ่ง…………………………………………………………………………………14
2.7 ทฤษฎีการออกแบบลิ่ม……………………………………………….………………………………17
2.8 ทฤษฎีเกี่ยวกับงานเชื่อม…………………………………………………………………................20
2.9 อุปกรณ์ล็อค…………………………………………………….…………………………………….25
2.10 สลักเกลียว……………………………………………….………………………………………….26
2.11 เครื่องยนต์…………………………………………………………………………………………..26
vi
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
2.12 จาระบี…………………………………………………….…………………………………………..27
2.13 หลักการลดขนาดของวัสดุและแรงที่ทาให้วัสดุแตกหรือขาดออกจากกัน………………………….27
2.14 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………………..28
บทที่ 3 วิธีการดาเนินการวิจัย……………………………………………………………………………………..30
3.1 วัสดุอุปกรณ์ในการสร้างเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้…………………………………….……..………..30
3.2 การหาประสิทธิภาพและความพึงพอใจของเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้…………….………...………..30
3.2.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………..………..31
3.2.2 การออกแบบและสร้างเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้……………….……………………………….31
3.2.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………...………..32
3.2.4 การทดลองใช้และรวบรวมข้อมูล……………………………………………………………...32
3.2.5 การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล………………………………………………………………..36
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ผลการดาเนินงาน…………………………………….……………………..................38
4.1 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลทั่วไปของผู้เชี่ยวชาญ………………………………………………………..38
4.2 ผลการวิเคราะห์ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยแยกออกเป็นด้านต่างๆ.…………………………...40
4.3 ผลการวิเคราะห์ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยรวมต่อเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ ……………………42
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………..…47
ภาคผนวก ก ภาพประกอบการสร้างเครื่องย่อยใบไม้กงิ่ ไม้.....................................................…………...47
ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ………………………………………………………………………...55
ภาคผนวก ค แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชีย่ วชาญทีใ่ ช้ในการประเมินประสิทธิภาพ…………………60
ภาคผนวก ง แบบเครื่องย่อยกิ่งไม้ใบไม้......................................................……………………….65
ภาคผนวก จ คู่มือการใช้งานเครื่องย่อยใบไม้กิ่งไม้......................................................…...............71
บรรณานุกรม.………………………………………………………………………………………………………85
ประวัติผู้เขียน………………………………………………………………………………………………………86
viii
สารบัญรูป
รูปที่ หน้า
2.1 แสดงสายพานตัววี ……………………………………………………………..………………..............9
2.2 แสดงล้อสายพานลิ่ม ……………………………………………………………………………………...9
2.3 หน้าตัดสายพานลิ่มและล้อสายพาน …………………………………………………………..............10
2.4 แสดงคานภายใต้ uniform load …………………………………………..…………………………….13
2.5 แสดงคานภายใต้ center load ………………………………………………………………..............14
2.6 แสดงลิ่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าและลิม่ สี่เหลี่ยมจัตุรัส ………………………………………………………….17
2.7 แสดงแรงบนรอยต่อด้วยลิ่ม …………………………………………………………..………………...18
2.8 แสดงการไหลซึมของโลหะ………………………………………………………………………...........24
2.9 แสดงจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของแนวเชื่อมจะเป็นหลุม………………………………………...........24
2.10 แสดงอุปกรณ์ล็อคโดยอาศัยแรงเสียดทาน……………………………………………………………...25
2.11 แสดงอุปกรณ์ล็อคการเคลื่อนที่โดยตรง…………………………………………………………………25
4.1 ระดับการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญ…………………………………………………………………………38
4.2 ประสบการณ์ทางานของผู้เชี่ยวชาญ……………………………………………………………………39
4.3 ระดับอายุของผู้เชี่ยวชาญ……………………………………………………………………………….40
4.4 แสดงค่า IOC ระดับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในด้านวัตถุประสงค์สร้างเครื่องย่อยฯ…….………….41
4.5 แสดงค่า IOC ระดับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในด้านวัตถุประสงค์นาไปย่อยใบไม้ กิ่งไม้….............42
ix
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1.1 แสดงแผนการดาเนินงานวิจัย……………………………………………………………………………2
2.1 แสดงถึงชนิดของเหล็กที่สามารถเชื่อมได้และงานที่ใช้………………………………………..............20
2.2 แสดงสัญลักษณ์ของต่องานเชื่อมและการกาหนดขนาดในแบบงาน…………………………………..21
2.3 ชนิดของการต่อ……………………………………………………………………………………….....23
3.1 ผลการทดสอบย่อยใบไม้สดขนาด 50-100 มิลลิเมตร………………………………………………….33
3.2 ผลการทดสอบย่อยใบไม้แห้งขนาด 50-100 มิลลิเมตร………………………………………………...33
3.3 ผลการทดสอบสามารถย่อยใบไม้สดขนาด 100-200 มิลลิเมตร......................................................34
3.4 ผลการทดสอบสามารถย่อยใบไม้แห้งขนาด 100-200 มิลลิเมตร....................................................34
3.5 ผลการทดสอบย่อยกิ่งไม้สด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 40 มิลลิเมตร…………………………...35
3.6 ผลการทดสอบย่อยกิ่งไม้แห้ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 40 มิลลิเมตร………………………….35
3.7 แสดง ค่าใช้จ่ายนามัน……………………………………………………………………………………36
4.1 ผลการประเมินเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ โดยผู้เชี่ยวชาญจานวน 15 ท่าน ทัง12 จุดประเมิน………….43
4.2 ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญโดยรวมต่อเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้……...………………………….....44
บทที่1
บทนำ
1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
จากการส่ารวจพบว่าพื้นที่ไม่ต่ากว่า 60% ของพื้นที่ทั่วประเทศ มีปริมาณอินทรียวัตถุต่ากว่า 1% ซึ่ง
เป็นอุปสรรคส่าคัญประการหนึ่งในการพัฒนาการเกษตรของไทยเนื่องจากสภาพดังกล่าวท่าให้พืชได้รับอาหาร
ไม่เพียงพอ แม้ว่าจะมีการใส่ปุ๋ยเคมี แต่การใช้ปุ๋ยเคมีจะได้ผลเต็มที่ก็ต่อเมื่อใช้ในพื้นที่ที่มีปริมาณอินทรียวัตถุ
พอเพียง ดังนั้นการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่ น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งเป็นสิ่งจ่าเป็นในการพัฒนาการ
เกษตรของไทย เพราะปุ๋ยอินทรีย์ นอกจากจะช่วยเพิ่มอินทรีย์และเพิ่มธาตุอาหารในดินแล้ว ยังมีราคาถูกและ
สามารถจัดหาหรือจัดท่าได้ง่ายในทุกพื้นที่ ซึ่งใบไม้สดหรือใบไม้แห้งเป็นอินทรีย์วัตถุชนิดหนึ่งที่หาได้ง่ ายและ
มี เ ป็ น จ่ า นวนมาก แต่มั กเผาทิ้ งไปโดยเปล่ า ประโยชน์ ดั งนั้ น การน่ า ใบไม้ ม าเป็ น วั ตถุส่ า คั ญในการเพิ่ ม
อินทรียวัตถุในดิน โดยการท่าปุ๋ยหมักจึงเป็นแนวทางที่ควรส่งเสริมแนวทางหนึ่ง
ดังนั้น ขนาดของวัตถุที่น่ามาเป็นปุ๋ยหมัก เป็นปัจจัยส่าคัญประการหนึ่ง ที่ช่วยให้ได้ปุ๋ยที่เร็วหรือช้า
ถ้าวัตถุมีขนาดเล็กและสภาวะอื่นๆ เหมาะสม การสลายตัวของวัตถุจะเป็นไปอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งสัปดาห์
แต่ถ้าวัตถุมีขนาดใหญ่ เช่น หญ้าทั้งต้นใบไม้ทั้งใบ ก็อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี จึงจะใช้เป็นปุ๋ยได้
แต่การย่อย สับ เพื่อลดขนาดวัตถุเป็นงานที่สิ้นเปลืองเวลามาก โครงการนีจ้ ึงมุ่งศึกษาและพัฒนาเครื่องทุ่น
แรงเพื่อใช้ในการย่อยลดขนาดวัสดุการเกษตรโดยเฉพาะใบไม้สดและใบไม้แห้ง
จากเหตุที่กล่าวข้างต้นแล้วนัน้ คณะผู้ศึกษาค้นคว้าซึ่งเป็นนิสิตในหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จึงเกิดแนวคิดที่จะผลิต
เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ เพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและภาคเกษตรกรรมในประเทศต่อไปโดยเครื่องย่อยใบไม้
กิ่งไม้สามารถย่อยใบไม้ กิ่งไม้ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40.0 มิลลิเมตร ตัวเครื่องมีขนาดความกว้าง 65
เซนติเมตร ความยาว 125 เซนติเมตร ความสูง 127.5 เซนติเมตร ขนาดเครื่องยนต์ 9 แรงม้าและ
สามารถย่อยใบไม้ กิ่งไม้ได้ 60 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือส่งเสริมภาคครัวเรือนและภาค
เกษตรกรรมของไทยในการท่าปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ย
ชีวภาพ
1.2 วัตถุประสงค์ของกำรจัดทำโครงงำน
1.2.1 เพื่อสร้างเครื่องย่อยใบไม้และกิ่งไม้แบบเคลื่อนที่
2
1.3 ขอบเขตกำรศึกษำ
1.3.1 เพื่อออกแบบและสร้างเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ ที่มีขนาดความกว้าง 65 เซนติเมตร
ความยาว 125 เซนติ เ มตร ความสู ง 127.5 เซนติเ มตร สามารถย่ อยใบไม้ กิ่งไม้ ที่มี ข นาดเส้ น ผ่า น
ศูนย์กลางไม่เกิน 40.0 มิลลิเมตร ความยาวไม่เกิน 2 เมตร
1.3.2 ต้นก่าลังใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 จังหวะ ขนาด 9 แรงม้า
1.4 แผนกำรดำเนินงำนวิจัย
ตารางที่ 1.1 แสดงแผนการด่าเนินงานวิจัย
พ.ศ.2554 พ.ศ.2555
รายละเอียด
ก.ค ส.ค ก.ย ต.ค พ.ย ธ.ค ม.ค ก.พ มี.ค เม.ย
1. เลือกหัวข้อปัญหา
2. น่าเสนอหัวข้อปัญหา
3. ส่ารวจงานวิจัยและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
4. สร้างเครื่องต้นแบบ
5. ศึกษารวบรวมข้อมูล
6. วิเคราะห์ปัญหา
7. สรุปและจัดท่ารายงาน
8. น่าเสนอ Project
9. ส่งเล่มปริญญานิพนธ์
1.5 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ
1.5.1 ได้เครื่องย่อยใบไม้และกิ่งไม้แบบเคลื่อนที่ ที่มีขนาดความกว้าง 65 เซนติเมตร
ความยาว 125 เซนติเมตร ความสูง 127.5 เซนติเมตร
บทที่ 2
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
2.1 นิยามคาศัพท์ที่สาคัญ
2.1.1 เครื่องย่อยใบไม้ คือ เครื่องจักรกลที่ใช้ลดขนาดเศษใบไม้ กิ่งไม้
2.1.2 ปุ๋ยหมักคือปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยธรรมชาติ ชนิดหนึ่งที่ได้มาจากการนาเอาเศษใบไม้ และเศษวัสดุ
ธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ มาหมักร่วมกับมูลสัตว์ ปุ๋ยเคมีหรือสารเร่งจุลินทรีย์เมื่อหมักโดยใช้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว
เศษพืชจะเปลี่ยนสภาพจากของเดิมเป็นผงเปื่อยยุ่ยสีน้าตาลปนดานาไปใส่ในไร่นาหรือพืชสวน เช่น ไม้ผล
พืชผัก หรือไม้ดอกไม้ประดับได้
2.1.3 การย่อยใบไม้ เปลือกไม้ กิ่งไม้ขนาดเล็ก หรือวัชพืชต่าง ๆ หมายถึงการลดขนาดของใบไม้ กิ่งไม้
ขนาดเล็ก และวัชพืชต่างๆ โดยกลวิธีในการย่อยจะทาให้ใบไม้มีขนาดเล็กลงตามความต้องการ
2.1.4 การออกแบบทางวิศวกรรมเครื่องกล หมายถึงการออกแบบสิ่งต่างๆ ระบบต่างๆ ของเครื่องจักรกล
ผลิตภัณฑ์ โครงสร้าง อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ สาหรับชิ้นส่วนเครื่องกลส่วนใหญ่แล้วจะใช้หลักการทาง
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์วัสดุ (Materials Sciences) และวิทยาศาสตร์ทางวิศวกรรมเครื่องกล
(Engineeringmechanics sciences)
2.1.5 คุณสมบัติทางกล (Mechanical properties of materials) หมายถึง คุณสมบัติของวัสดุที่ตอบสนอง
แรงทางกล (Mechanical force) ที่มากระทาไม่ว่าจะในลักษณะใดก็ตาม
4
2.2 ทฤษฎีการออกแบบเพลา
เพลาเป็นชิน้ ส่วนเครื่องมือกลที่มีความสาคัญของระบบส่งผ่านกาลังได้รับแรงดึงและแรงกด แรงบิด หรือ
แรงดัน แรงกระทาต่อเพลานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทาให้เพลาเสียหายเพราะความล้าได้
วัสดุที่ใช้ทาเพลาส่วนใหญ่จะเป็นเหล็กเหนียว เช่น St42 St50 St60 ในกรณีที่ต้องการความแข็งแรงสูง
และทนต่อการใช้แรงมาก อาจใช้พวกเหล็กผสม (Alloy steel)
2.2.1 กาลังงาน (power) และภาระ (load) ที่ให้เพลาส่งกาลัง
2.2.2 ความเค้นที่เกิดขึ้นกับเพลา รวมทั้งรูปร่าง วัสดุ และผิวงานสาเร็จ ซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิดความ
เค้นขึ้น ณ ตาแหน่งต่างๆของเพลา
2.2.3 ความแกร่ง (rigidity) หมายถึง ความคงทนต่อความแอ่นตัวหรือการบิดไปของเพลาเมื่อใช้รับภาระ
2.2.4 การสั่นตัวของเพลาอันมีผลต่อเนื่องมาจากการแอ่นตัว การคานวณ กาลังงานและภาระของเพลา
สามารถคานวณได้จาก
2Tn
Wp = (2.1)
60 1000
5
เมื่อ
Wp = กาลังงานที่เพลารับหรือส่ง
T = โมเมนต์แรงบิดของเพลา
n = ความเร็วรอบของเพลา
Mb = (M x ) 2 (M y ) 2 (2.2)
เมื่อ
Mb = โมเมนต์ดัดรวม
Mx = โมเมนต์ดัดในแนวแกน x
My = โมเมนต์ดัดในแนวแกน y
MC
b = (2.3)
I
เมื่อ
b = ความเค้นดัด
Mb = โมเมนต์ดัด
C = ระยะจาก Neutral Axis ถึงผิว
I = โมเมนต์ความเฉื่อย (Moment inertia of area)
Tr 16T
t = = (2.4)
J d 3
เมื่อ
t = ความเค้นแรงบิด
T = โมเมนต์แรงบิด
r = รัศมีเพลา
6
4F
a = (2.5)
(d 2 d i2 )
ความเค้นดัด
C m MC 32C m M d
a = = (2.6)
I (d 4 D 4 )
ความเค้นเฉือน
16Ct Td
xy = (2.7)
(d 4 d i4 )
เมื่อ
F = แรงดึงหรือกด
d = เส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของเพลา
di = เส้นผ่านศูนย์กลางภายในของเพลา
M = โมเมนต์ดัดของเพลา
T = แรงบิดหรือทอร์ค
r = รัศมีของเพลา, องศา
J = โมเมนต์ความเฉื่อยเชิงขั้วของพื้นที่
I = โมเมนต์ความเฉื่อยรอบแกน x-x หรือ y-y
= ผลจากการโก่งงอ
Cm = ตัวประกอบความล้าเนื่องจากการดัด
Ct = ตัวประกอบความล้าเนื่องจากการบิด
= ความเค้นเฉือนสูงสุด
7
ทฤษฎีความเค้นเฉือนสูงสุด
1
2 2
= xy (2.9)
2
16
d3 = (2.10)
T 1 k C1T Fd 1 k / 8 C m M
2 2 2
1
2
เมื่อ
di
K =
d
di
ในกรณีที่ไม่มีแรง F กระทาอยู่ด้วย และเพลาที่ใช้เป็นเพลาตัน K = = 0 สมการ 2.9 จะเหลือเพียง
d
16
d3 = (2.11)
T C1T 2 C m M 2 1
2
d = 55 N/mm 2 สาหรับเพลาที่ไม่มีร่องลิ่ม
d = 41 N/mm 2 สาหรับเพลาที่มีร่องลิ่ม
แต่ถ้ากาหนดวัสดุของเพลาทีบ่ อกถึงหมายเลขของโลหะหรือส่วนผสมของโลหะให้ใช้ค่าความเค้นเฉือน
ใช้งานจากสมการ 2.11 โดยเลือกใช้ค่าน้อยมาคานวณ คือ
TL
= (2.13)
GJ
เมื่อ
L = ความยาวของเพลา
G = modulus of rigidity
= มุมบิดของเพลา
สาหรับเพลากลมตัน
J = d4 (2.14)
32
=
584TL (2.15)
Gd 4
2.3 ทฤษฎีความเค้น
ความเค้น (stress) แรงที่มากระทาผ่านพื้นที่หน้าตัดของวัสดุนั้นหรือแรงกระทาต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ เมื่อ
วัตถุถูกแรงภายนอกกระทาในสภาวะสมดุลแล้ว แรงภายนอกที่มากระทาบนวัตถุใดๆ จะมีแรงภายในต้านโดยมี
ขนาดรวมแล้วเท่ากับแรงภายนอกของท่อนวัตถุนั้น
เมื่อ
u max = ความเค้นแรงดึงสูงสุด
Tu = ความเค้นเฉือน
จะได้ความสัมพันธ์
Fs
Tu max = (2.17)
A
2.4 ทฤษฎีการออกแบบสายพาน
สายพานดังรูปที่ 2.1 และล้อสายพานดังรูปที่ 2.2 ทา หน้าที่ส่งถ่ายกาลังจากเครื่องยนต์ต้นกาลังไปยัง
เครื่องย่อยใบไม้เปลือกไม้ กิ่งไม้ขนาดเล็ก หรือวัชพืชต่าง ๆ ที่มีเครื่องยนต์เป็นต้นกาลังจะติดตั้ง ล้อสายพาน
ขนาดเล็ก ส่วนที่เพลาของเครื่องจะใช้ล้อสายพานขนาดใหญ่เพื่อเป็นการทดรอบให้ต่า ลงและยังเป็นการเพิ่ม
แรงบิดอีกด้วย
สายพานที่ส่งกาลังจากเครื่องยนต์ไปยัง เพลาหมุนของชุดคมตัดใช้สายพานลิ่มซึ่งส่งกาลังได้มากโดย
ต้องการแรงดึงชั้นต้นน้อย เนือ่ งจากการเกาะยึดตัวกันระหว่างด้านข้างของสายพานที่เรียวกับร่องลิ่มของล้อ
10
2.4.1 การคานวณหาขนาดของสายพาน
การหาขนาดหน้าตัดโดยประมาณอาจหาจากการใช้รปู ส่วนการหาขนาดส่วนอื่นๆ ของสายพาน
ลิ่ม คือ ความยาวพิตซ์ของสายพานลิ่ม จานวนสายพานลิ่ม และระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลางของเพลา
สามารถคานวณได้จากสูตรต่อไปนี้
ความยาวพิตซ์โดยประมาณของสายพานลิ่ม
D dp
2
Lp = 2C+1.57( D p + d p )+ p
(2.18)
4C
เมื่อ
Lp = ความยาวโดยประมาณของสายพานลิ่ม
C = ระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลาง
Dp = เส้นผ่านศูนย์กลาง Pulleys ตัวใหญ่
dp = เส้นผ่านศูนย์กลาง Pulleys ตัวเล็ก
ระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลางของเพลา
C = P+ P2 q (2.19)
เมื่อ
C = ระยะห่างระหว่างจุดศูนย์กลางของเพลา
p = 0.25Lp – 0.393 (Dp+dp)
q = 0.125 (Dp+dp)2
11
จานวนเส้นของสายพานลิ่มที่ต้องใช้หาได้จากสมการ
(W p N s )
Z = (2.20)
( PR N a N1 )
เมื่อ
Z = จานวนสายพาน
Wp = กาลังที่ต้องการส่ง
Ns = ตัวประกอบชิ้นงาน
Na = ตัวประกอบแก้ไขส่วนโค้ง
N1 = ตัวประกอบแก้ไขความยาวสายพาน
PR = กาลังที่ส่งสายพานต่อเส้น
2.4.2 การทาให้เกิดแรงดึงชั้นต้นในสายพานลิ่ม
การทาให้เกิดแรงดึงชั้นต้นจะทาให้การขับด้วยสายพานมีประสิทธิภาพดีและยืดอายุการใช้งาน
ของสายพาน ถ้าออกแรงดึงชั้นต้นไม่เพียงพอจะทาให้กาลังลดน้อยลง ประสิทธิภาพต่าลงเนื่องจากการลื่น
(slip) แต่ถ้าออกแบบขั้นต้นมากจะทาให้ขอบสายพานยืดตัวมากเกิดความเค้นในสายพานมากแบบริ่ งที่รองรับ
ล้อ สายพานจะรับแรงมากเกินไป ด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องออกแรงชั้นต้นให้เหมาะสมกับแรงภายนอกที่
กระทากับสายพาน
แรงดึงในสายพานขณะส่งกาลังคือ
Wp
F = (2.21)
V
เมื่อ
V = ความเร็วสายพาน เมตร/วินาที
Wp = กาลังที่ต้องการส่ง
F = แรงดึงสายพานขณะส่งกาลัง
แรงดึงในแนวแกน
Fw = F1 + F 2
e f 1
1
= Fw = F 1 +F 2 = F (2.22)
f1
e 1
เมื่อ
12
Fw = แรงดึงในแนวนอน
F1 = แรงดึงสายพานด้านตึง
F2 = แรงดึงสายพานด้านหย่อน
แรงหนีศูนย์กลางเนื่องจากน้าหนักสายพาน
WAV 2
Fc = (2.23)
g
เมื่อ
Fc = แรงหนีศูนย์กลางเนื่องจากน้าหนักสายพาน
W = ความเร็วเชิงมุมของล้อสายพาน
V = ความเร็วสายพาน
g = ความเร่งเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก
แรงผลลัพธ์เนื่องจากแรงหนีศูนย์กลาง
F R
= 2.Z.F c sin (2.24)
2
เมื่อ
F R
= แรงผลลัพธ์เนื่องจากแรงหนีศูนย์กลาง
Z = จานวนสายพาน
= มุมสัมผัส
ดั งนั้ น แรงดึ งชั้ น ต้น ในสายพาน จึ ง หาได้ จ ากการรวมแรงดึ ง ในแนวแกนขณะส่ งก าลั งกั บ แรงลั พ ธ์
เนื่องจากแรงหนีศูนย์กลาง นั้นคือ
Fi = FW + F R (2.25)
เมื่อ
Fi = แรงดึงขั้นต้นในสายพาน
ในทางปฏิบัติมักจะใช้วิธีหาค่าประมาณของแรงดึงในแนวแกนจากสมการ
Fw = k 1 Fsin (2.26)
2
ในกรณีที่ขับโดยระยะห่างระหว่างศูนย์กลางคงที่หรือไม่มีอุปกรณ์ที่ทาให้เกิดแรงดึงในสายพาน
ตลอดเวลา ก็จาเป็นจะต้องนาเอาแรงหนีศูนย์กลางมาคิดด้วย จากสมการ
WAV 2
FR = 2ZF c sin = 2Z sin
2 g 2
ซึ่งเขียนได้ใหม่เป็น
FR = Zk 2 V 2 sin (2.27)
2
แรงดึงชั้นต้นในสายพานจึงเท่ากับ
Fi = klF Zk V sin 2
2
2
(2.28)
2.5 ทฤษฎีดีเฟล็คชั่นของคาน
ในการปฏิบัติงานทางด้านวิศวกรรมจะมีสิ่งจากัดทางด้านสมรรถนะและคุณลักษณะของชิ้นงานและมักมี
การคาดคิ ด ไว้ ล่ ว งหน้ า ในการใช้ งานจะอยู่ ใ ต้ขี ด จ ากั ด อย่ า งใดอย่ า งหนึ่ งเช่ น ความเค้ น หรื อดี เ ฟล็ ค ชั่ น
(deflection) ในการคานวณการออกแบบหรือใช้งานจึงต้องจาเป็นต้องระมัดระวังอย่างมากเพราะฉะนั้นจึงต้อง
หาวิธีการประมาณค่าดีเฟล็คชั่นอย่างแม่นยา
2.5.1 วิธีหาค่าดีเฟล็กชั่นของคาน
กรณีที่คานรับโหลดสม่าเสมอ ดังรูปที่ 2.4
y =
wx
24 EI
2lx 2 x 3 l 3 (2.29)
เมื่อ
E = โมดูลัสความยืดหยุ่น
14
I = โมเมนต์ความเฉื่อย
W = น้าหนักที่กดบนคาน
X = ระยะของแรงกด
กรณีที่คานรับโหลดบางส่วน ดังรูปที่ 2.5
y AB =
FX
48EI
4 x 2 3l 2 (2.30)
เมื่อ
E = โมดูลัสความยืดหยุ่น
I = โมเมนต์ความเฉื่อย
W = น้าหนักที่กดบนคาน
X = ระยะของแรงกด
2.6 ทฤษฎีโรลเลอร์แบริ่ง
โรลเลอร์แบริ่ง หมายถึง แบริ่งชนิดที่รับแรงโดยอาศัยชิ้นส่วนของแบริ่งที่มีลักษณะเป็นผิวสัมผัสแบบกลิ้ง
(Rolling bearing) แบริ่งชนิดนี้มีแรงเสียดทานน้อยมาก ตัวอย่างเช่น บอลแบริ่ง (ball bearing) หรือตลับลูกปืน
บอลแบริ่งชนิ ดมีลูกกลิ้งหรื อแถวร่ องลึก (single-rowdeep-groove) เป็นแบริ่งที่มี การใช้ งานมากที่สุ ด
ประกอบด้วยร่องลึก เป็นทางกลิ้งสาหรับลูกปืนทรงกลม รับแรงได้ทั้งในแนวรัศมีและในแนวแกน
2Tn
Wp =
60
fFr dn fFa dn
หรือ Wp = = (2.31)
60 60
15
เมื่อ
Wp = กาลังงานเป็นวัตต์
T = โมเมนต์บิดเนื่องจากความเสียดทาน
n = ความเร็วรอบของเพลา
d = ขนาดรูสวมของแบริ่ง
Fr = แรงที่กระทากับแบริ่งในแนวรัศมี
Fa = แรงที่กระทากับแบริ่งในแนวนอน
f = ค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทาน
2.6.2 อายุการใช้งานของแบริ่ง
อายุการใช้งานของแบริ่งมีระยะเวลาจากันขึ้นอยู่กับค่าของความเค้นที่กระทาซ้ากัน ซึ่งอายุการใช้
งานจะแปรผันเป็นสัดส่วนกลับกันแรงในแนวรัศมี
1
L k (2.32)
p
โดยค่าคงที่
k = 3 สาหรับบอลแบริ่ง
10
k = ประมาณ 3.33 สาหรับโรลเลอร์แบริ่ง
3
เมื่ออายุการใช้งาน L จะนับเป็นจานวนชั่วโมงที่เร็วรอบของเพลาอันหนึ่งหรือนับเป็นจานวนล้านรอบ
จากสมการจะได้ว่า
L1 P2
= (2.33)
L2 P1
2.6.3 การประเมินค่าอายุใช้งานและแรงของโรลเลอร์แบริ่ง
ทางสมาคมผู้ผลิตโรลเลอร์ (AFMBA) กากนดอายุใช้งานเป็นจานวนรอบหรือจานวนชั่วโมงที่
ความเร็วคงที่ ซึ่งแบริ่งหมุนได้ก่อนที่จะเกิดความล้าขึ้นในวงแหวนหรือลูกกลิ้ง
อายุประเมินของโรลเลอร์แบริง่ จานวนหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ หมายถึง จานวน
รอบหรือจานวนชั่วโมงที่ความเร็วคงที่ ซึ่งแบริ่ง 90% จากจานวนนีส้ ามารถหมุนได้โดยไม่เกิดความเสียหาย
เนื่องจากความล้า ให้แทนด้วยอายุการใช้งาน L 10
อายุใช้งานเฉลี่ยเป็นจานวนรอบที่ 50% ของแบริ่งที่เหมือนกันจานวนหนึ่ง สามารถหมุนได้โดยไม่
เกิดความล้าขึ้น ใช้แทนด้วยอายุใช้งานซึ่งมีความสัมพันธ์กับ L 10 โดยประมาณ คือ L 50 = 5L 10
แรงสถิตประเมิน (basic static load rating) เป็นแรงในแนวรัศมีที่ทาให้เกิดระยะยุบตัวของลูกปืน
และวงแหวนรวมเท่ากับ 0.0001 เท่ากับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลูกปืนและใช้แทนด้วย C o ค่า C o นี้ขึ้นอยู่
กับวัสดุที่ใช้ทาแบริ่งจานวนแถวของลูกปืนในแบริ่งจานวนลูกกลิ้งต่อแถวมุมสัมผัสตลอดจนขนาดของลูกปืนและ
16
เมื่อ
L 10 = อายุใช้งานจริงมีหน่วยล้านรอบ
P = โหลดในแนวรัศมีที่แบริ่งต้องรับ
จากสมการ 2.22
k
C
L 10 = (2.34)
P
10 C
k
L 10 = (2.35)
60 n P
เมื่อ
n = ความเร็วรอบของแบริ่ง
P = XVF r + YF a
หรือ P = VF r (2.36)
เมื่อ
P = แรงสมมูล
Fr = แรงในแนวรัศมี
17
Fa = แรงในแนวแกนหรือแรงรุน
V = ตัวประกอบการหมุน (rotation factor) มีค่าเท่ากับ 1 เมื่อวงแหวนในหมุน
และ 1.2 เมื่อวงแหวนนอกหมุน ถ้าเป็นบอลแบริ่ง ชนิด Salf aligning ใช้ค่า
เท่ากับ 1 เสมอ
X = ตัวประกอบแรงในแนวรัศมี
Y = ตัวประกอบแรงรุน
2.7 ทฤษฎีการออกแบบลิ่ม
ชิ้นส่วนเครื่องจักรกล อาทิ ล้อสายพาน เฟือง และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ส่งกาลังจากเพลาโดยที่ต้อง
ยึดแน่นกับเพลาเพื่อให้หมุนไปพร้อมกับเพลา ชิ้นส่วนประเภทนี้อาจส่งแรงบิดและมีการถอดประกอบบ่อยครั้ง
ดังนั้นจึงมักจะยึดติดกับเพลาโดยใช้ลิ่ม ลิ่มเป็นแท่งโลหะใส่ไว้ในร่องของชิ้นส่วนทั้งสองที่ยึดอยู่ด้วยกัน ซึ่ง
เรียกว่า ร่องลิ่ม ลิ่มทา หน้าที่ป้องกันการเกิดการหมุนสัมพัทธ์ขึ้นระหว่างชื้นส่วนทั้งสอง
2.7.1 ชนิดของลิ่ม
ลิ่มสี่เหลี่ยมจัตุรสั และสี่เหลี่ยมผืนผ้าลิ่มชนิดนีจ้ ะฝังอยู่ในเพลาครึ่งหนึ่ง และจะฝัง อยู่ในดุมล้อ
สายพานอีกประมาณครึ่งหนึ่งของความหนาของลิ่ม ลิ่มชนิดนี้มักใช้กับเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมทั่วไป ดังรูปที่
2.6
2.7.2 ความเค้นที่รอยต่อด้วยลิ่ม
เมื่อใช้ลิ่มต่อ เพลากับดุมล้อเพื่อ ส่งโมเมนต์บดิ ความเค้นที่เกิดในลิ่มจะเป็นแบบ 3 มิติ
ความเค้นที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากแรง 2 ชนิด แรงจากการสวมอัดลงในร่องลิ่ม และแรงเนือ่ งจากการส่งโมเมนต์
บิด
18
ในการหาความเค้นที่เกิดในลิ่มนั้น เพื่อความสะดวกในการคานวณจึงมักจะใช้ข้อสมมติฐานดังนี้
แรงที่กระทากระจายตลอดความยาวของลิ่มมีค่าสม่าเสมอและไม่คิดแรงที่เกิดจากการสวมอัดลิ่ม
จากสมมติฐานดังที่กล่าวมา ทาให้คานวณหาขนาดของลิ่มได้ง่ายขึ้นในทางปฏิบัติการคานวณหา
ขนาดของลิ่มมักจะเป็นการคานวณหาขนาดความยาวของลิม่ ทั้งนี้เพราะลิ่มมีขนาดพื้นทีห่ น้าตัดเป็นมาตรฐาน
อยู่แล้ว ดังรูปที่ 2.7
T = F b h = F d
2 4 2
เมื่อคิดว่าลิ่มขาดเนื่องจากแรงเฉือน
T = F d bl d (2.37)
2 2
เมื่อ
T = โมเมนต์บิดบนเพลา, N mm
F = แรงที่กระทากับลิ่ม, N
a = ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเพลา, N
b = ความกว้างของลิ่ม, mm
l = ความยาวของลิ่ม, mm
= ความเค้นเฉือนของลิ่ม, N/mm 2
เมื่อคิดว่าลิ่มโดนอัดแตก
Fd d
T hl c (2.38)
2 4
19
เมื่อ
H = ความสูงของลิ่ม, mm
c = ความเค้นอัดบนลิ่มหรือเพลา, N/mm 2
เนื่องจากโมเมนต์บิดบนเพลามีค่าเท่ากัน
d
bl = hl c d (2.39)
2 4
จากทฤษฎีความเค้นเฉือนสูงสุด ค่าความเค้นเฉือนที่วัสดุจะรับได้มีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของความเค้น
อัดที่วัสดุรับได้ คือ
= 0.5 c
เมื่อแทนค่าลงในสมการ 2.37
b=h
ถ้าลิ่มและเพลาทาจากวัสดุชนิดเดียวกัน ถือว่าลิ่มและเพลาจะรับโมเมนต์บิดเท่ากัน
bl d d 3
T = =
2 16
d 2
l = (2.40)
8b
ความยาวประสิทธิผล (effective length)
4T
Le (2.41)
d h cd
เมื่อ
le = ความยาวประสิทธิผลของลิ่ม
cd = ค่าความเค้นอัดใช้งานของวัสดุ, N/mm 2
2.8 ทฤษฎีเกี่ยวกับงานเชื่อม
งานเชื่อม คือ การนาชิ้นงานสองชิ้นหรือมากกว่ามาประสานกัน โดยมีหลักอยู่ว่า ชิ้นงานจะต้องต่อกัน
โดยการหลอมละลายโลหะทั้งสอง ณ อุณหภูมิที่เหมาะสมโดยจะมีการเติมตัวประสานโลหะ (Filler metal)
หรือไม่เติมก็ได้
2.8.1 ประเภทของงานเชื่อมอาจแบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ
1) Fusion welding ชิ้นส่วนของงานเชื่อมนี้จะเชื่อมติดกันโดยที่โลหะบริเวณแนวเชื่อมจหลอม
ละลาย (Melted condition) เข้าติดกันโดยมีการเติมโลหะ (Filler metal) หรือไม่เติมก็ได้
2) Pressure welding ชิ้นส่วนของงานเชื่อมชนิดนี้จะเชื่อมติดกันโดยที่โลหะบริเวณแนวเชื่อมจะ
อยู่ในสภาวะที่เริ่มจะเป็นของเหลว (Plastic condition) แล้วใช้แรงกดบริเวณแนวเชื่อมให้อัดติดกัน การเชื่อม
แบบนีจ้ ะไม่มีการเติมลวดเชื่อม (Filler metal)
2.8.2 วัสดุที่สามารถเชื่อมต่อกันได้นั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1) Low carbon steel เหล็กที่มีคาร์บอนผสมต่า คือ จะมีเปอร์เซ็นต์คาร์บอนอยู่ไม่เกิน 0.3% แต่
ถ้าเกินไป ได้แก่ เหล็กชนิด High carbon steels จะเชื่อมได้ก็จะต้องใช้ลวดเชื่อม Electrode ชนิดพิเศษ
และจะต้องให้ช่างเชื่อมที่มีความชานาญพอสมควร
2) โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก Non-Ferrous metals ได้แก่ โลหะพวกทองแดง ทองเหลือง บรอนซ์
สังกะสี และอะลูมิเนียม
3) พวกพลาสติกประเภท Thermoplastic materials สามารถเชื่อมต่อกันได้โดยใช้ลมร้อน และ
ลวดเชื่อมพลาสติก
2.8.3 ข้อมูลต่างๆในการเชื่อมเชื่อม
ในงานเชื่อมเราต้องคานึงถึงถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่จะทาให้คุณภาพของงานเชื่อมดี สาหรับข้อมูล
ต่าง ๆ มีดังนี้
1) ชนิดของโลหะที่จะนามาเชื่อม หมายถึง วัสดุชิ้นงานนัน้ เองจะต้องสามารถนามาเชื่อมได้หรือ
รู้ว่าโลหะที่เชื่อมแบบไหนจึงจะเหมาะสม
2) การเตรียมชิ้นงาน หมายถึง การเตรียมชิ้นงานก่อนเชื่อม เช่น การบากชิ้นงาน เป็นต้น สิ่ง
เหล่านี้ช่างเชี่ยวชาญควรควบคุมให้ถูกต้องด้วย
3) วิธีการเชื่อม หมายถึง ลักษณะและท่าทางในการเชื่อมต้องกระทาอย่างถูกต้อง
4) โลหะของลวดเชื่อม หมายถึง ชนิดของโลหะของ Electrode หรือ Filler-Material สามารถ
เข้าถึงชิ้นงานที่ทาการเชื่อมได้
5) ความสามรถในการเชื่อม หมายถึง ความชานาญ ความสามารถของช่างเชื่อม หรือฝีมือในการ
เชื่อม
6) การทดสอบ หมายถึง การหาข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของงานเชื่อม ซึ่งการทดสอบจะเป้น
ปัจจัยที่บอกคุณภาพว่าดีหรือไม่ดี ส่วนสาเหตุจะเกิดจากข้อมูล ข้อที่ 1-5 ก็ได้ ตัวอย่าง เช่น เครื่องมือ ได้แก่
เครื่อง ตรวจสอบ X-RAY เป็นต้น
2.8.4 คุณภาพในการเชื่อม
สาหรับคุณภาพในการเชื่อมนี้แบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ
1) คุณภาพขั้นที่ 1 สาหรับงานเชื่อมชั้นนี้จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 6
2) คุณภาพขั้นที่ 2 สาหรับงานเชื่อมชั้นนี้จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 5
3) คุณภาพขั้นที่ 3 สาหรับงานเชื่อมชั้นนี้ไม่จาเป็นจะต้องมีข้อมูลใดเลย หรือมีบ้างก็ได้
2.8.5 การออกแบบงานเชื่อม
ในการออกแบบ (Design) งานเชื่อม เราพยายามนึกถึงหลักในการออกแบบอยู่ 2 ประการ คือ
1) ราคาในการสร้างควรจะถูกที่สุด
2) ความแข็งแรง เมื่อราคาถูกแล้วชิ้นงานนั้นควรจะต้องแข็งแรงด้วย
เมื่อผู้ออกแบบงานเชื่อมออกมาแล้วเขาจะต้องตรวจสอบดูความแข็งแรงของงานอีกทีหนึ่ง แต่ใน
การออกแบบยังมีข้อควรพิจารณาดังนี้คือ
1) ชนิดของการต่อ
2) ข้อบกพร่องในการเชื่อม
3) การหักเหของแรงบริเวณตะเข็บเชื่อม
4) แรงดึงต่อตะเข็บขณะรับโมเมนต์ตัด
5) การสะสมความร้อนในแนวเชื่อม
23
ในการนาชิ้นงานมาเชื่อมต่อกัน ต้องพิจารณาถึงลักษณะการต่อซึ่งมีดังนี้
การเชื่อมที่ไม่ดีจะทาให้เกิดการไหลซึมของโลหะไม่ดี และจากสาเหตุอันนี้จะทาให้เกิดการสะสมของ
ความเค้น (Stress loading) ที่บริเวณแนวเชื่อม และเมื่อชิ้นงานรับภาระแบบสั่นสะเทือน (Vibration loading)
แล้วชิ้นงานจะพังได้ง่าย
2.9 อุปกรณ์ล็อค
ในการยึดชิ้นงานให้ติดด้วยเกลียวทั่วไปจะต้องคิดถึง แรง 2 ชนิดที่รอยต่อ ซึ่งมีผลตรงข้ามกันคือ
2.9.1 แรงที่ทาให้รอยต่อกลวมซึ่งเกิดจากแรงในแนวแกน พยายามทาให้เกลียวคลายตัว
2.9.2 แรงที่เกิดจากความเสียดทาน
การออกแบบรอยต่อด้วยเกลียว จะออกแบบให้มแี รงเสียดทานเพื่อป้องกันเกลียวคลายตัวปกติรอยต่อ
จะต้องแน่นเมื่ออยู่ภายใต้แรงนิ่งแต่อย่างไรก็ตามรอยต่อ ส่วนมากจะอยู่ภายใต้แรงเปลี่ยนแปลงหรือมีการ
สั่นสะเทือน ทาให้รอยต่อหลวมได้ ดังนั้นจึงต้องมีอุปกรณ์ล็อคซึ่งอาจแบ่งออกได้ 2 ชนิด
1) อุปกรณ์ล็อคโดยอาศัยความเสียดทาน
2) อุปกรณ์ล็อคการเคลื่อนที่โดยตรง
ชนิดแรกป้องกันการคลายตัวของแป้นเกลียวจากสลักเกลียวหรือสตัดโดยเพิ่มความเสียดทานที่
เกลียวให้มากขึ้นดังรูปที่ 2.10
2.10 สลักเกลียว
ชิ้นส่วนเครื่องจักรกลบางชิ้นต้องการความสะดวกในการถอดประกอบโดยที่ชี้นส่วนต้องไม่เกิดการ
เสียหาย ได้แก่งานประเภทจับยึด ปรับแต่ง ตรวจสอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนชิ้นส่วน เป็นต้น
คุณสมบัติทางกลของสลักเกลียว กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้
กาหนดมาตรฐานใน มอก. 171 – 2519 ตามมาตรฐานระหว่างประเทศโดยที่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระบุของ
เกลียวต้องไม่โตกว่า 39 mm
หาความเค้นของสลักเกลียว
F
d = (2.42)
As
เมื่อ
d = ค่าความเค้นใช้งาน
As = พื้นที่รับความเค้นเฉือน
เมื่อรู้ค่า แล้วก็สามารถหาขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระบุของเกลียวที่ควรจะเลือกใช้ได้การบอกขนาด
เกลียวตามมาตรฐานระหว่างประเทศ บอกโดยใช้อักษรย่อแทนชนิดของเกลียว ตามด้วยขนาด ระบุเป็น mm
ตามด้วยระยะพิตช์ เป็น mm โดยมีเครื่องหมาย x คั่นอยู่ในกรณีที่เป็นเกลียวธรรมดา ไม่ต้องแสดงระยะพิตช์
เช่นเกลียวเมตริกแบบมาตรฐานระหว่างประเทศ แบบเกลียวละเอียดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระบุ 16 mm
(ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่) เรียกว่า M16
เกลียวเมตริกแบบมาตรฐานระหว่างประเทศ แบบเกลียวละเอียดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระบุ 20 mm
ระยะพิตช์ 2 mm เรียกว่า 20 x 2
27
2.11 เครื่องยนต์
ชนิดเครื่องยนต์ เบนซิน 4 จังหวะ สูบเดียว วางเอียง 25 องศา วาล์ว
เหนือลูกสูบ
ความจุกระบอกสูบ 270 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 77 58 มม.
กาลังเครื่องยนต์แบบสุทธิ 9 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที
ความจุถังน้ามันเชื้อเพลิง 6 ลิตร
ความจุน้ามันเครื่อง 1.1 ลิตร
อัตราส่วนกาลังอัด 8.2 : 1
แรงบิดสูงสุด 19.1 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที
มาตราฐานสมาคมวิศวกรยานยนต์ 1.96 กิโลกรัม-เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที
กาลังแรงม้าสูงสุด 9 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที
มาตราฐานสมาคมวิศวกรยานยนต์ 6.6 กิโลวัตต์ ที่ 3,600 รอบต่อนาที
กาลังแรงม้าต่อเนื่อง 8.2 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที
มาตราฐานสมาคมวิศวกรยานยนต์ 6 กิโลวัตต์ ที่ 3,600 รอบต่อนาที
ระบบกรองอากาศ ระบบฟองน้า และอ่างน้ามันเครือ่ งดักฝุ่น
ระบบสตาร์ท ชุดเชือกดึงสตาร์ทแบบสปริงรั้งกลับ
ระบบจุดระเบิด ทรานซิสเตอร์
ระบบระบายความร้อน พัดลมดูดอากาศ
ระบบควบคุมอัตราเร่ง แบบคันโยก และกลไกแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง
ระบบหล่อลื่น แบบวิดสาด
การดับเครื่องยนต์ แบบตัดวงจรไฟฟ้าลงดิน
น้ามันเชื้อเพลิง น้ามันเบนซินไร้สารตะกั่ว (สามารถใช้ได้
กับน้ามันแก๊สโซฮอลล์ที่ผสมแอลกอฮอล์ไม่เกิน
10%หรือ E10)
สัดส่วน ( ก x ย x ส ) 380*430*410 มม.
น้าหนัก 25 กิโลกรัม
2.12 จาระบี
จาระบีเป็นผลิตภัณฑ์ทหี่ ล่อลื่น มีลักษณะกึ่งแข็ง กึ่งเหลว เหมาะสาหรับให้การหล่อลื่นในที่ ซึ่งน้ามันไม่
สามารถจะให้การหล่อลื่นได้อย่างสมบูรณ์เช่นแบริ่ง หรือลูกปืนบางชนิด แหนบ ลูกหมาก ฯลฯ จุดใช้งานเหล่านี้
ถ้าใช้น้ามันเป็นผลิตภัณฑ์หล่อลื่น ย่อมมีปัญหา เรื่องการรั่วไหลหลุดกระเด็น ฝุ่น หรือสิ่งสกปรกแทรกตัวเข้าไป
เจือปน ทาให้การหล่อลื่นไม่ได้ผล จะเกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนของเครื่องจักรการใช้จาระบีจะมีคุณสมบัตใิ น
การจับเกาะชิ้นส่วนที่ต้องการหล่อลื่นได้ดี กว่าน้ามันหล่อลืน่ นอกจากนั้นยัง ทาหน้าที่เป็นตัวจับ หรือป้องกัน
28
2.13 หลักการลดขนาดของวัสดุ
หลักการที่ใช้ในการลดขนาดวัตถุมี 3 หลักการใหญ่ ๆ คือ การตัด การกดอัด และการเฉือน ซึ่ง
อาจจะประกอบด้วยแบบใดแบบหนึ่งหรือหลายแบบรวมกันก็ได้
2.1 การตัด (Cutting) เป็นการลดขนาดโดยการกดด้วยใบมีดที่มีความคมและบางผ่านไปยังวัสดุที่
ต้องการลดขนาด
2.2 การกดอัด (Pressing) เป็นการลดขนาดโดยการประยุกต์แรงให้เกิดแรงดับกับวัสดุที่ต้องการลด
ขนาดของวัสดุ โดยแรงอาจมาจากหลายทิศทาง จึงทาให้ได้วัสดุที่ไม่สม่าเสมอหลังการลดขนาด
2.3 การเฉือน (Shearing) อาศัยแรง 2 ทิศทางวิ่งออกจากวัตถุดิบ เป็นการผสมกันระหว่างการตัด
และการกดอัดหากเฉือนบางและมีความคมเรียกว่า การตัดแต่ถ้าหากหนาและทู่ เรียกว่าการอัด
แรงที่ทาให้วัสดุแตกหรือขาดออกจากกัน
วิธีย่อยวัสดุที่ทาให้วัสดุแตกหรือขาดออกจากกันอาจแบ่งได้ 5 แบบ ดังนี้ (สุเนตร , 2536)
3.1 การทุบหรือการตี (Beating) เป็นการใช้พื้นที่ของอุปกรณ์หรือเครื่องมือทุบก้อนของแข็ง
3.2 การบีบ (Pressing) เป็นการกดบีบก้อนของแข็งด้วยพื้นที่สองด้านของเครื่องมือในทิศทางตรงกัน
ข้ามหรือมากกว่านั้น
3.3 การเฉือน (Shearing) อาศัยการเสียดสีระหว่างพื้นที่สองด้านของเครื่องมือ
3.4 การกระแทก (Impact) เป็นการใช้พื้นที่ใช้งานของเครื่องมือกระทบกับก้อนของแข็ง
3.5 การตัด (Cutting) เป็นการใช้ความคมของเครื่องมือเคลื่อนผ่านวัสดุ
2.14 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
จักรวาล ลพบุรี ออกแบบและสร้างเครื่องย่อยกิ่งไม้/ย่อยไม้ MODEL JKW-YK06 ความสามารถในการ
ย่อย 200-500 กก./ชม. สามารถย่อย ย่อยกิ่งไม้เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2" (5 ซม.) ย่อยฟาง ย่อยกาบมะพร้าว
ย่อยพืชฉ่าน้า เช่น ผักตบชวา เครื่องย่อย+มอเตอร์ 3 HP
ปฎิพงษ์ จักรกลเกษตร ได้ออกแบบและสร้างเครือ่ งบดย่อยซากพืช รุ่น P5222H โดยใช้เครื่องยนต์
เบนซินฮอนด้า G X 270 T 3 แรงม้า หมุน 2,500 รอบต่อนาที บดได้ทั้งใบไม้สดและแห้ง ปริมาณการย่อย 30-
500 กิโลกรัมต่อชั่วโมง
สมปอง วิประทุมและวีระ โง่นแก้ว นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ออกแบบและสร้างเครื่องย่อยกิ่งไม้ใบ ด้วยมีด มอเตอร์ 2 แรงม้าผลการทดลอง
เบื้องต้น พบว่าไม้ที่ผ่านการย่อยแล้วจะมีความละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ ปริมาณการตัดของท่อไม้ กิ่งไม้สด ที่
ความเร็วรอบตัด 1,900 รอบต่อนาที เครื่องสามารถย่อยกิ่งไม้ขนาด 5 มิลลิเมตร ส่วนใบไม้นั้นย่อยได้ 30 กก.
ต่อชม.
29
3.2.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยได้ทา การเลือกแบบเจาะจง ผู้เชี่ยวชาญที่มี
ประสบการณ์อย่างน้อย 5 ปี ผู้จัดการแผนกออกแบบ 1ท่าน ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกออกแบบ 3 ท่าน ผู้ช่วย
ผู้จัดการฝ่ายผลิต 2 ท่าน ผูช้ ่วยผู้จัดการแผนกซ่อมบารุง 1ท่าน วิศวกรแผนกออกแบบ 3 ท่าน วิศวกรฝ่าย
ผลิต 2 ท่าน วิศวกรระบบคุณภาพ 1 ท่าน วิศวกรฝ่ายวางแผนผลิต 2 ท่าน รวม 15 ท่านแสดงความคิดเห็น ต่อ
เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ ที่สร้างขึ้นตอบแบบประเมินเพื่อ ประเมินคุณภาพของเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ และ
เสนอแนะความคิดเห็น
3.2.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ผูว้ ิจัยได้ดาเนินการสร้างเครื่องมือในการวิจัย เป็นแบบสอบถามความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งมีขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามดังต่อไปนี้
3.2.31 วิเคราะห์ลักษณะของข้อ มูลที่ต้องการ
เป็นขั้นแรกของการสร้างแบบสอบถาม ก็คือทาการวิเคราะห์ลักษณะของข้อมูลที่ต้องการในการวิจัย
โดยวิเคราะห์จากจุดประสงค์การวิจัย กาหนดโครงสร้างของเนื้อหาแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 3 ตอนคือ
ตอนที่ 1 เป็นข้อมูลเกีย่ วกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญ
ซึ่งเป็นแบบเลือกตอบ
ตอนที่ 2 เป็นข้อมูลแบบสอบถามคิดเห็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า โดยแบ่งออกเป็น 3
ระดับ
+1 หมายถึง แน่ใจว่าจุดประเมินวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าจุดประเมินวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
-1 หมายถึง แน่ใจว่าจุดประเมินไม่ได้วัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
ตอนที่ 3 เป็นคาถามแบบปลายเปิดสาหรับผู้ตอบแบบสอบถาม แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
และให้ข้อเสนอแนะต่างๆ
3.2.3.2 กาหนดรูปแบบของคาถาม
ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามจากตารางหรืองานวิจัยอื่น ที่มีเรื่องในการวิจัยคล้ายกัน แล้วกาหนด
รูปแบบของแบบสอบถาม
3.2.3.3 เขียนแบบสอบถามฉบับร่าง
ลงมือเขียนแบบสอบถามฉบับร่าง ตามโครงสร้างของเนื้อหาของแบบสอบถาม และตามหลักในการ
สร้าง และรูปแบบที่กาหนดไว้
3.2.3.4 ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา
นาแบบสอบถามไปให้ผู้เชี่ยวชาญในด้านที่จะศึกษา และด้านวัดผลพิจารณา ความถูกต้องของข้อ
คาถามแต่ละข้อ แล้วนาเอาข้อวิจารณ์เหล่านั้นมาพิจารณาแก้ไขให้เหมาะสม
3.2.3.5 ทดลองใช้ และปรับปรุง
นาแบบสอบถามไปทดลองใช้กับผู้ที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มตัวอย่าง หรือกลุ่มประชากร จานวน 15 คน
เพื่อ พิจารณาความชัดเจนของข้อคาถามต่างๆ ปัญหาที่อาจจะพบในขณะตอบ แล้วนาข้อวิจารณ์เหล่า นั้นมา
พิจารณาแก้ไขปรับปรุงแบบสอบถามให้เหมาะสม
3.2.3.6 พิมพ์แบบสอบถามฉบับจริง
3.2.4 การทดลองใช้และรวบรวมข้อมูล
การดาเนินการทดลองใช้อุปกรณ์ต้นแบบ และเก็บรวบรวมข้อมูล ผูว้ ิจัยได้เก็บข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญที่
ได้จากแบบสอบถามประเมินความคิดเห็น ของผูเ้ ชี่ยวชาญ จานวน 15 ชุด ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นหลังจากผู้เชี่ยวชาญ
ได้ประเมินความคิดเห็นต่ออุปกรณ์ต้นแบบ เพื่อใช้ในการย่อยใบไม้ กิ่งไม้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจะตรวจสอบอุปกรณ์
ต้น แบบเพื่อ ดูลักษณะทางกายภาพ แล้วสาธิต การย่อยใบ้ไม้ กิ่งไม้ เพื่อ ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินผลโดยใช้
แบบสอบถาม
33
ตารางแสดงผลการทดสอบการใช้เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
ตารางที่ 3.1 ผลการทดสอบย่อยใบไม้สด.
3.2.5 การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล
การวิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลการวิจัยได้ดาเนินการตามขันตอน ดังนี้
3.2.5.1 ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างผลที่ได้จากการทดลองกับค่าทางทฤษฎีจากผู้เชี่ยวชาญ และ
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยคิดเป็นค่าเฉลี่ย (IOC)
สถิติที่ใช้ในการคานวณ และวิเคราะห์ข้อมูล มีดังนี้
สูตร IOC =
เมื่อ IOC = คือ ค่าดัชนีความสอดคล้องตามสมมติฐานของการวิจัย
∑ R = คือ ค่าผลรวมของคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญ
N = คือ จานวนผู้เชี่ยวชาญ
3.2.5.2 การวิเคราะห์ดาเนินการเป็นขัน้ ตอน ดังนี้
3.2.5.2.1 นาแบบสอบถาม และเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนพิจารณา
ลงความคิดเห็นว่าจุดประเมินแต่ละข้อวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้หรือไม่ โดยกาหนดคะแนนความคิดเห็นไว้ ดังนี้
+1 หมายถึง แน่ใจว่าจุดประเมินวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าจุดประเมินวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
-1 หมายถึง แน่ใจว่าจุดประเมินไม่ได้วัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
3.2.5.2.2 บันทึก ผลการพิจารณาลงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาวิชาแต่ละคน ในแต่
ละข้อแล้วหาคะแนนผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเป็นรายข้อแทนค่าสูตรในสมการที่ 1
3.2.5.2.3 กาหนดคะแนนจุดตัด เพื่อที่จะหาค่าคะแนนที่ตาที่สุดทีย่ อมรับว่าแบบสอบถาม
37
สามารถวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้ และเนื่องจากเกณฑ์การยอมรับนี้ต้องไม่เปลี่ยนแปลงไปตามจุดประเมินแต่ละข้อ
ดังนั้นจึงกาหนดคะแนนจุดตัดเท่ากันหมดทุกข้อคือเท่ากับ 0.5
3.2.5.2.3 แปลความหมายดัชนีความสอดคล้องระหว่าง เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ กับจุด
ประเมิน ถ้าค่าดัชนีที่คานวณได้มากกว่า หรือเท่ากับ 0.5 แสดงว่า แน่ใจว่าจุดประเมินวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้
จริง ถ้าค่าดัชนีทคี่ านวณได้น้อยกว่า 0.5 แสดงว่า แน่ใจว่าจุดประเมินไม่สามารถวัดได้ตามที่ระบุไว้จริง
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ผลการดาเนินงาน
จากการดาเนินการตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ผู้จัดทาได้เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้
จากการทดลอง และแบบสอบถามความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อ เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ จานวน 15 ชุด
แล้วนามาวิเคราะห์ข้อ มูลว่าผูเ้ ชี่ยวชาญมีความสอดคล้องกันในระดับใด โดยแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้
จากแบบสอบถามความคิดเห็นในรูปของกราฟ และตารางประกอบคาบรรยายโดยแบ่งผลการศึกษาออกเป็น 3
ตอน ดังนี้
1. ผลการวิเคราะห์ข้อ มูลทั่วไปของผู้เชี่ยวชาญ
2. ผลการวิเคราะห์ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยแยกออกเป็นด้านต่าง ๆ
3. ผลการวิเคราะห์ความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญโดยรวมต่อเครื่องเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้เชี่ยวชาญ
ผลการวิเคราะห์ข้อ มูลทั่วไปของผู้เชี่ยวชาญ ผูศ้ ึกษาได้แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ส่วนดังนื้
4.1.1 ระดับการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญ
20%
ปริญญาโท
ปริญญาตรี
80%
4.1.2 ประสบการณ์ทางานของผู้เชี่ยวชาญ
20%
47% ประสบการณ์ 5-6 ปี
20%
ประสบการณ์ 7-8 ปี
ประสบการณ์ 9-10 ปี
13%
ประสบการณ์ 10 ปีขึ้นไป
4.1.3 ระดับอายุของผู้เชี่ยวชาญ
0%
0%
อายุ 20-30 ปี
33%
อายุ 31-40 ปี
อายุ 41-50 ปี
67%
อายุ 50 ปีขึ้นไป
4.2 ผลการวิเคราะห์ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยแยกออกเป็นด้านต่าง ๆ
ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
ชุดข้อมูล1
ชุดข้อมูล1
จุด
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 Sum IOC
ประเมิน
1.1 +1 +1 0 +1 0 +1 0 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 12 0.8
1.2 +1 +1 +1 +1 +1 0 +1 0 +1 +1 +1 +1 0 0 +1 11 0.73
1.3 +1 +1 0 +1 +1 +1 +1 0 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 13 0.86
43
1.4 0 0 0 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 12 0.8
1.5 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 0 +1 +1 +1 +1 +1 14 0.93
1.6 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 0 +1 +1 0 0 +1 12 0.8
1.7 0 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 0 +1 +1 +1 +1 13 0.86
1.8 0 0 0 +1 +1 +1 +1 +1 0 +1 +1 +1 +1 +1 +1 11 0.73
2.1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 0 +1 0 +1 +1 +1 13 0.86
2.2 +1 +1 +1 +1 +1 +1 0 +1 0 +1 +1 +1 +1 0 +1 12 0.8
2.3 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 0 0 0 +1 +1 +1 +1 12 0.8
2.4 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 +1 0 +1 +1 14 0.93
จุดประเมิน IOC
1 0.8
2 0.73
3 0.86
4 0.8
5 0.93
6 0.8
7 0.86
8 0.73
44
9 0.86
10 0.8
11 0.8
12 0.93
IOC = = 0.82
R
N
5.1 สรุปผลการวิจัย
5.2 อภิปรายผล
5.3 ข้อเสนอแนะ
5.3.1 การใช้เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
คนที่จะใช้เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ ต้องมีความระมัดระวังขณะที่ใช้มือป้อนใบไม้ กิ่งไม้เข้าเครื่อง
5.3.2 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย
การสร้างเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้นี้ ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่า
5.3.2.1 ควรปรับปรุงให้เครื่องมีความสูงน้อยลงกว่าเดิม เพื่อให้สะดวกยิ่งขึ้นในการใส่ใบไม้
เปลือกไม้ กิ่งไม้ขนาดเล็ก และวัชพืชต่างๆ และควรเพิ่มอุปกรณ์ลดฝุ่นละออง
5.3.2.2 ควรเพิ่มตะแกรงให้เปลี่ยนได้หลายขนาด โดยมีเบอร์ใหญ่จนถึงเล็กเพื่อเพิ่มตัวเลือก
ความละเอียดในการกระบวนการย่อยและทาถาดลองชิ้นงานที่มีขนาดที่เหมาะสมสะดวกยิ่งขึ้น
5.3.3 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
วัสดุที่เลือกใช้ทาคมตัด ควรเป็นวัสดุที่มีคุณภาพมีคุณสมบัติที่เหมาะกับการทาคมตัดที่ดี เช่น แข็งแรง
ทนทาน ทนความร้อน ทนแรงเสียดสี และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เพราะการที่จะถอดใบมีดตัด ออกมาลับ
คมตัดนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร
ภาคผนวก ก
ภาพประกอบการสร้างเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
49
รูปที่ ก 2 แสดงรูปต้นกำลังเครื่องยนต์
50
รูปที่ ก 3 แสดงรูปล้อในกำรเคลื่อนที่
รูปที่ ก 4 แสดงรูปช่องป้อนกิ่งไม้
51
รูปที่ ก 5 แสดงรูปช่องป้อนเศษใบไม้
รูปที่ ก 7 แสดงรูปอุปกรณ์ป้องกันอันตรำยจำกชุดสำยพำน
รูปที่ ก 8 แสดงรูปมือจับในกำรเคลื่อนที่
53
รูปที่ ก 9 แสดงรูปชุดล็อคล้อขณะเครื่องทำงำน
รูปที่ ก 10 แสดงรูปชุดผ่อนแรงขณะสตำร์ท
54
รูปที่ ก 11 แสดงรูปมู่เล่ตำม
รูปที่ ก 12 แสดงรูปมู่เล่ขับ
55
รูปที่ ก 13 แสดงรูปชุดใบมีด
รูปที่ ก 14 แสดงรูปชุดแบริ่ง
56
57
58
ภาคผนวก ข
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ
57
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ
แบบสอบถาม
เรื่อง การสร้างและหาประสิทธิภาพเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
ตอนที่ 1 ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ
คาชีแ้ จง โปรดทาเครื่องหมาย ลงใน □ ที่ตรงกับความจริงมากที่สุด
1.อายุ
20 – 30 ปี □ 31 – 40 ปี
□ 41 – 50 ปี □ 50 ปีขนึ้ ไป
2. ระดับการศึกษา
□ ต่ากว่าปริญญาตรี □ ปริญญาตรี
□ สูงกว่าปริญญาตรี □ อื่นๆ ---------------
3. ประสบการณ์ทางด้านการปฏิบัติงาน
□ 5 – 6 ปี □ 7 – 8 ปี
□ 9 – 10 ปี □ 10 ปีขนึ้ ไป
63
แบบประเมินความสอดคล้องของการใช้เครื่องย่อยใบไม้กิ่งไม้
คะแนนการพิจารณา
ช่อง +1 หมายถึง แน่ใจว่าจุดประเมินวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
ช่อง 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าจุดประเมินวัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
ช่อง -1 หมายถึง แน่ใจว่าจุดประเมินไม่ได้วัดได้ตรงตามที่ระบุไว้จริง
แบบประเมินความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ
คะแนนการพิจารณา
วัตถุประสงค์ จุดประเมิน
+1 0 -1
1.1 ความเหมาะสมในการเลือกใช้วัสดุทาเครื่อง
ย่อย
1. เพื่อสร้างเครื่องย่อย
1.2 เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้ มีขนาด และน้าหนัก
ใบไม้ กิ่งไม้
เหมาะสม
1.3 ความแข็งแรงของวัสดุในการออกแบบเครื่อง
ย่อยใบไม้ กิ่งไม้
64
คะแนนการพิจารณา
วัตถุประสงค์ จุดประเมิน
+1 0 -1
1.4 ความปลอดภัยในการใช้งาน
1.5 ความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
1.6 ความเหมาะสมในการออกแบบ
เครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
1.7 มีความทันสมัยสอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลงชื่อ ------------------------------------
( ---------------------------------------- )
ตาแหน่ง ------------------------------------
ภาคผนวก ง
แบบเครื่อง
400
67
200
400
68
1275
200
500
320
580
155
69
200
250
400
70
650
200
1195
995
600
100
580
480
71
600
1275
1195
72
ภาคผนวก จ
คู่มือการใช้งานเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
73
คู่มือการใช้งานเครื่องย่อยกิ่งไม้ใบไม้แบบเคลื่อนที่
1. รายละเอียดทั่วไป
เครื่องย่อยใบไม้และกิ่งไม้ประกอบด้วยกลไกที่สำคัญ 3 ส่วน คือ ชุดป้อนวัตถุดิบเข้ำ ,ชุดใบตัด
หั่น ใบย่อย,และชุดส่งกำลัง โดยใช้เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 9แรงม้ำ เพื่อใช้ในกำรตัดย่อยใบไม้กิ่งไม้ซึ่ง
ส่วนประกอบและลักษณะกำรทำงำนที่สำคัญคือภำยในห้องย่อยประกอบด้วย ใบมีดตัดและหั่น 2 ใบ
ติดตั้งในแนวรัศมีซึ่งทำจำกเหล็กกล้ำอย่ำงดีจำนวน 2 ใบอยู่ด้ำนข้ำงของผนังห้องย่อย ขนำดกว้ำง 50
มิลลิเมตร ยำว 90 มิลลิเมตร หนำ 16 มิลลิเมตร มุมคมตัด 30 องศำ หมุนด้วยควำมเร็วรอบ 3600 รอบ
ต่อนำที ส่วนใบมีดย่อย ชุดที่ 2 ประกอบด้วยใบมีดเชื่อมติดตำยตัวแบบสลับฟันปลำ จำนวน 3 ชุดๆ ละ
12 ใบ ขนำด 38 x 175 x 10 มิลลิเมตร ลักษณะช่องห่ำงกันเป็นระยะช่องละ 30 มิลลิเมตร แต่ละชุดทำมุม
120 องศำ มุมคมตัด 70 องศำ หมุนด้วยควำมเร็วรอบ 3600 รอบต่อนำที ด้ำนบนของเครื่องเป็นช่องป้อน
ใบไม้ ส่วนด้ำนข้ำงจะเป็นช่องป้อนกิ่งไม้
74
6
2
5
4
รูปที่ จ 1 แสดงส่วนประกอบของเครื่องย่อยใบไม้กิ่งไม้
75
รายละเอียดชิ้นส่วนเครื่องย่อยใบไม้ กิ่งไม้
1. ช่องใส่ใบไม้สดและใบไม้แห้ง
2. ช่องใส่กิ่งไม้ทั้งสดและแห้ง ที่มีขนำดควำมกว้ำง 65 เซนติเมตร ควำมยำว 125
เซนติเมตร ควำมสูง 127.5 เซนติเมตร สำมำรถย่อยใบไม้กิ่งไม้ที่มี ขนำดเส้นผ่ำน
ศูนย์กลำงไม่เกิน 40.0 มิลลิเมตร ควำมยำวไม่เกิน 2 เมตร
3. ช่องทำงออกของกิ่งไม้ใบไม้ที่ย่อยเสร็จแล้ว
4. ล้อหน้ำ
5. บำนพับที่สำมำรถถอดออกเวลำบำรุงรักษำใบมีด
6. ที่ครอบสำยพำนเพื่อป้องกันอันตรำยจำกสำยพำนเวลำเดินเครื่อง
10
รูปที่ จ 2 แสดงส่วนประกอบของเครื่องย่อยใบไม้กิ่งไม้
7. ที่จับของเครื่องย่อยกิ่งไม้ใบไม้แบบเคลื่อนที่
8. ที่ล็อคล้อเวลำเดินเครื่อง
9. ที่ดันสำยพำนขึน้ ขณะเดินเครือ่ ง
10. สำยพำน
76
16
11
14
15
13
17 12
รูปที่ จ 3 แสดงส่วนประกอบของเครื่องย่อยใบไม้กิ่งไม้
การตรวจสอบก่อนใช้งานเครื่องยนต์
เพื่อควำมปลอดภัย และยืดอำยุกำรใช้งำนของอุปกรณ์สูงสุด เป็นเรื่องสำคัญมำกที่จะเสียเวลำเพียง
เล็กน้อยก่อนกำรเดินเครื่อง เพื่อตรวจสอบสภำพเครื่องเสียก่อน ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ำได้ให้ควำมแน่ใจว่ำ
ได้ให้ควำมสนใจกับทุกๆปัญหำที่ตรวจพบเพื่อแก้ไขปัญหำนัน้ ๆแล้ว ก่อนกำรใช้งำนเครื่องยนต์
คาเตือน
กำรบำรุงรักษำเครื่องยนต์ที่ไม่เหมำะสม หรือกำรแก้ไขปัญหำก่อนกำรเดินเครื่องที่
ล้มเหลว เป็นสำเหตุให้เกิดกำรทำงำนที่ผิดพลำดและส่งผลให้ผู้ใช้บำดเจ็บอย่ำง
รุนแรง หรือเสียชีวิตได้
ให้ดำเนินกำรตรวจสอบก่อนกำรเดินเครื่องทุกครั้ง และแก้ไขปัญหำทุกๆปัญหำที่พบ
ตรวจสอบสภาพทั่วๆไปของเครื่องยนต์
1. ตรวจสอบโดยทั่วไป และตีเครือ่ งยนต์ เพื่อตรวจสอบกำรรั่วไหลของน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบนซิน
2. ขจัดสิ่งสกปรกออก โดยเฉพำะบริเวณรอบๆท่อไอเสียและชุดรีคอยล์สตำร์ท
3. หำร่องรอยควำมเสียหำยต่ำงๆ
4. ตรวจสอบฝำครอบ และแผ่นป้องกันทั้งหมดอยู่ในตำแหน่ง น๊อต โบ๊ลท์ และสกรูทุกตัวอยู่ในสภำพ
ขันแน่น
ตรวจสอบเครื่องยนต์
1. ตรวจสอบระดับน้ำมันเชื้อเพลิงกำรติดเครื่องโดยมีน้ำเครื่องเต็มถัง ช่วยกำจัดหรือลดกำรขัดจังหวะ
กำรเดินเครื่องเพื่อเติมน้ำมัน
2. ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง กำรเดินเครื่องยนต์ โดยมีระดับน้ำมันเครื่องต่ำ อำจเป็นสำเหตุให้
เครื่องยนต์เสียหำยได้
3. ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องใน เสื้อเกียร์ทด ของประเภทเสริมน้ำมันเครื่องจำเป็นต่อกำรทำงำน
และอำยุกำรใช้งำนที่ยำวนำนของเสื้อเกียร์ทด
4. ตรวจสอบไส้กรองอำกำศ ไส้กรองอำกำศที่สกปรกจะทำให้อำกำศเข้ำสู่คำร์บูเรเตอร์ได้น้อยลง ทำให้
ประสิทธิภำพของเครื่องยนต์ตกลง
78
5. ตรวจสอบอุปกรณ์ที่ได้รับจำกกำรส่งถ่ำยกำลังจำกเครื่องยนต์นี้ศึกษำคำแนะนำที่มำพร้อมกับ
อุปกรณ์ที่ได้รับกำรส่งถ่ำยกำลังจำกเครื่องยนต์นี้ สำหรับข้อควรระวัง และขั้นตอนที่ควรทำก่อนกำร
ติดเครื่องยนต์
วิธีการใช้งาน
การบารุงรักษาเครื่องยนต์
ความสาคัญของการบารุงรักษาเครื่องยนต์
กำรบำรุงรักษำที่ดีเป็นสิ่งที่จำเป็น ต่อควำมปลอดภัย และไร้ปัญหำ และรวมถึงกำรลดมลภำวะด้วย เพื่อ
ช่วยดูแลเครื่องยนต์ของคุณ เป็นไปอย่ำงเหมำะสม หน้ำต่อไปนี้จะแสดงตำรำงกำรบำรุงรักษำ ขั้นตอนกำร
ตรวจสอบแบบประจำ และขั้นตอนกำรบำรุงรักษำแบบง่ำยๆที่ใช้เครื่องช่ำงพื้นฐำน สำหรับงำนให้บริกำรอื่นๆที่
ยุ่งยำก และต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ควรดำเนินกำรโดยมืออำชีพตำรำงกำรบำรุงรักษำใช้สำหรับสภำพกำร
เดินเครื่องปกติ ในกรณีที่เดินเครื่องภำยใต้สภำพรุนแรง เช่นกำรเดินเครื่องรับภำระสูง หรืออุณหภูมิสูง หรือใช้
ในสภำพที่เปียกชื้นหรือมีฝุ่นผงมำกผิดปกติ
ความปลอดภัยในการบารุงรักษา
ข้อควรระวังด้ำนควำมปลอดภัยที่สำคัญที่สุดแสดงดังต่อไปนี้ อย่ำงไรก็ตำมเรำไม่สำมำรถเตือนถึง
อันตรำยทุกๆอย่ำงที่อำจเกิดขึ้นได้ในขณะบำรุงรักษำ มีเพียงคุณเท่ำนั้นที่จะตัดสินใจได้ว่ำจะดำเนินงำนนั้น
หรือไม่
79
ตารางการบารุงรักษา
คาเตือน
กำรไม่ทำตำมคำแนะนำในกำรบำรุงรักษำที่เหมำะสม และข้อควรระวังเป็นสำเหตุให้ผู้ใช้บำดเจ็บ
รุนแรง หรือเสียชีวิตได้ ให้ดำเนินงำนตำมขั้นตอน และข้อควรระวังตำมที่คู่มือนี้แนะนำและระบุ
ไว้ทุกครั้ง
ข้อควรระวังด้านความปลอดภัย
1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่ำเครื่องยนต์ดับอยู่ ก่อนเริ่มงำนบำรุงรักษำหรือซ่อมแซมใดๆเพื่อขจัดอันตรำยที่
อำจเกิดขึ้น
2. พิษของคำร์บอนมอนนอกไซด์จำกไอเสียตรวจสอบให้แน่ใจว่ำมีกำรระบำยอำกำศที่เพียงพอ ในขณะ
เดินเครื่อง
3. ไฟไหม้จำกชิ้นส่วนที่มีควำมร้อน
4. ปล่อยให้เครื่องยนต์ และระบบไอเสียเย็นลงก่อนสัมผัส
5. บำดเจ็บจำกชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ห้ำมเดินเครื่องนอกจำกคำแนะนำที่ระบุไว้
6. อ่ำนคำแนะนำก่อนเริ่มงำน และต้องมั่นใจว่ำคุณมีเครื่องมือ และทักษะเพียงพอ
7. น้ำมันเบนซิน ใช้สำรทำระลำยที่ไม่ติดไฟเท่ำนั้น ห้ำมใช้น้ำมันเบนซินในกำรทำควำมสะอำดชิ้นส่วน
ห้ำมนำบุหรี่ ประกำยไฟ และเปลวไฟเข้ำใกล้ชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง
8. ระลึกไว้เสมอว่าตัวแทนให้บริการ เป็นผู้ที่รู้จักเครื่องยนต์ของคุณเป็นอย่างดี และพร้อมจะบารุงรักษา
9. และซ่อมแซม และเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพ และความน่าเชื่อถือได้ดีที่สุด ใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ของแท้ หรือ
10. เทียบเท่าสาหรับการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแปลง
การเติมน้ามันเชื้อเพลิง
น้ามันเชื้อเพลิงที่แนะนา
เครื่องยนต์นี้ได้รับการรับรองว่าใช้ได้กับน้ามันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 91 หรือสูงกว่า
คำแนะนำในกำรเติมน้ำมันเชือ้ เพลิง
น้ามันเครื่อง
น้ำมันเครื่องเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อประสิทธิภำพ และอำยุกำรใช้งำนของเครื่องยนต์ 4 จังหวะที่มีสำร
ชะล้ำงสิ่งสกปรก
น้ามันเครื่องที่แนะนา
ใช้น้ำมันเครื่อง 4 หวะที่มีคุณสมบัติขั้นต่ำคือมำตรฐำน API เกรดSE หรือใหม่กว่ำ (หรือเทียบเท่ำ) ให้
ทำกำรตรวจสอบสลำก API บนภำชนะบรรจุน้ำมันเครื่องทุกครั้งว่ำมีอักษร SE หรือใหม่กว่ำ (หรือ
เทียบเท่ำ)
30
5w-30.10w-30
1. ถอดฝำปิด/ก้ำนวัดระดับน้ำมัน และเช็ดให้สะอำด
2. สวมฝำปิด/ก้ำนวัดระดับน้ำมันโดยไม่ต้องขันเกลียวเข้ำกับปำกที่เติมน้ำมันตรวจระดับน้ำมันที่แท่งวัด
ระดับน้ำมัน
3. ถ้ำระดับน้ำมันเครื่องอยู่ใกล้ หรือต่ำกว่ำระดับจำกัดล่ำงของแท่งวัดระดับน้ำมัน ให้เติมน้ำมันเครื่อง
โดยเติมถึงขีดจำกัดบน
4. ประกอบฝำปิด/ก้ำนระดับน้ำมันกลับ
การเปลี่ยนถ่ายน้ามันเครื่อง
ถ่ำยน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วในขณะที่เครื่องยนต์ยังอุ่นอยู่ น้ำมันเครื่องที่อุ่นสำมำรถถ่ำยได้เร็ว และหมดจด
1. วำงภำชนะที่บรรจุให้เหมำะสมใต้เครื่องยนต์ เพื่อรองรับน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วหลังจำกนั้นให้ถอดฝำปิด/
ก้ำนวัดระดับน้ำมันเครื่อง โบ๊ลท์ถ่ำยน้ำมันเครื่องและแหวนรองออก
2. ปล่อยน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วไหลออกให้หมด หลังจำกนั้นประกอบโบ๊ลท์ถ่ำยน้ำมันเครื่อง และแหวนรอ
งวงใหม่กลับ และขันโบ๊ลท์ถ่ำยน้ำเครื่องให้แน่น
กรุณำกำจัดน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วโดยวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เรำขอแนะนำให้คุณนำน้ำมันเครื่องที่
ใช้แล้วบรรจุในภำชนะที่ซีลกันรั่ว และส่งไปยังศูนย์รีไซเคิลท้องถิ่น หรือสถำนีให้บริกำรสำหรับกำรนำ
กลับมำใช้ใหม่ห้ำมทิ้งในถังขยะ เททิ้งบนพื้น หรือเทลงท่อระบำย
3. ณ ตำแหน่งเครื่องยนต์ในแนวรำบ ให้ทำกำรเติมน้ำมันเครื่องที่แนะนำถึงขีดจำกัดบน(ขอบล่ำงของรู
เติมน้ำมันเครื่อง)ควำมจุน้ำมันเครื่องยนต์: 1.1 ลิตร
4. ประกอบฝำปิด/ก้ำนวัดระดับน้ำมันเครื่องและขันให้แน่น
หม้อกรองอากาศ
หม้อกรองอำกำศที่สกปรก จะจำกัดปริมำณกำรไหลของอำกำศเข้ำสู่คำร์บูเรเตอร์ทำให้ประสิทธิภำพของ
เครื่องยนต์ลดลง ถ้ำเดินเครื่องในที่มีฝุ่นละอองมำกให้ทำควำมสะอำดไส้กรองให้ถี่กว่ำที่ระบุในตำรำงกำร
บำรุงรักษำ
การตรวจสอบ
ถอดฝำครอบหม้อกรองอำกำศ และตรวจสภำพไส้กรอง ทำควำมสะอำดหรือเปลี่ยนไส้กรองอำกำศที่
สกปรก ให้เปลี่ยนไส้กรองอำกำศที่ชำรุดทุกครั้ง ถ้ำเป็นหม้อกรองอำกำศชนิดอ่ำงน้ำมัน(แบบเปียก)ให้
ตรวจสอบระดับน้ำมันด้วย
83
ชนิดอ่างน้ามัน(แบบเปียก)และชนิดน้ามันไส้กรองเดี่ยว(แบบแห้ง)
1. ถอดน็อตหำงปลำและเปิดฝำปิดหม้อกรองอำกำศ และถอดฝำครอบออก
2. ถอดไส้กรองอำกำศจำกฝำครอบ ล้ำงฝำครอบ และไส้กรองด้วยน้ำสบู่อุ่นๆ เขย่ำ และปล่อยให้แห้ง
หรือทำควำมสะอำดด้วยตัวทำละลำยที่ไม่ติดไฟ และปล่อยให้แห้ง
3. จุ่มไส้กรองอำกำศในน้ำมันเครื่องสะอำด และบีบน้ำมันส่วนเกินออก ถ้ำมีน้ำมันอยู่ในไส้กรองฟอง
น้ำมันมำกเกินไป จะทำให้เครือ่ งยนต์มีควันมำก
4. ชนิดอ่ำงน้ำมัน(แบบเปียก)เท่ำนั้น:เติมน้ำมันเครื่องในตัวหม้อกรองอำกำศ ทำควำมสะอำดด้วยตัวทำ
ละลำยที่ไม่ติดไฟ และทำให้แห้ง
5. ชนิดอ่ำงน้ำมัน(แบบเปียก)เท่ำนั้น เติมน้ำมันเครื่องในตัวหม้อกรองอำกำศจนถึงเครื่องหมำย ระดับ
น้ำมัน โดยใช้น้ำมันชนิดเดียวกับที่แนะนำให้ใช้นำมั
้ นเครื่อง
6. ประกอบหม้อกรองอำกำศกลับ และขันน็อตหำงปลำให้แน่น
ถ้วยกรองน้ามันเชื้อเพลิง
การทาความสะอาด
1. เลื่อนคันก๊อกน้ำมันเชื้อเพลิงไปในตำแหน่ง OFF หลังจำกนั้นถอดถ้วยกรองน้ำมันเชื้อเพลิง และแหวน
ยำงออก
2. ล้ำงถ้วยตกตะกอนด้วยสำรทำละลำยที่ไม่ติดไฟ และทำให้แห้งสนิท
3. ใส่แหวนยำงที่คันก๊อกน้ำมันเชื้อเพลิง และประกอบถ้วยกรองน้ำมันเชื้อเพลิงและขันให้แน่น
4. เลื่อนคันก๊อกน้ำมันเชื้อเพลิงไปในตำแหน่ง ON และตรวจสอบกำรรั่วซึมเปลี่ยนแหวนยำงถ้ำพบกำร
รั่วซึม
หัวเทียน
หัวเทียนที่แนะนา : BPR6ES (NGK) W20EPR-U (DENSO)
กำรใช้หัวเทียนที่ไม่ถูกต้องสำมำรถทำให้เครื่องยนต์เสียหำยได้ถ้ำเพิ่งดับเครื่องยนต์ ปล่อยให้เย็นลงก่อน
ดำเนินกำรกับหัวเทียนสำหรับประสิทธิภำพที่ดี หัวเทียนต้องมีระยะเขี้ยวที่เหมำะสม และปรำศจำกเขม่ำ
1. ถอดปลั๊กหัวเทียนออก และทำควำมสะอำดสิ่งสกปรกรอบๆหัวเทียน
2. ถอดหัวเทียนด้วยประแจถอดหัวเทียนขนำด 21mm.
3. ตรวจสอบหัวเทียนด้วยสำยตำ เปลี่ยนใหม่ถ้ำพบควำมเสียหำย หรือมีกำรอุดตันอย่ำงมำก
หรือถ้ำแหวนซีลมีสภำพไม่ดีหรือถ้ำเขี้ยวหัวเทียนสึกหรอ
4. วัดระยะห่ำงเขี้ยวหัวเทียน โดยใช้ฟิลเลอร์เกจ ปรับตั้งระยะห่ำงโดยกำรค่อยๆดัดเขี้ยวหัว
เทียนระยะห่ำงควรอยู่ที่ 0.7-0.8 mm.
5. ค่อยๆประกอบหัวเทียนด้วยแรงมือเพื่อป้องกันกำรปีนเกลียว
6. เมื่อขันจนแน่นบ่ำแล้ว ให้ไปใช้ประขันหัวเทียนขนำด 21 mm. ขันอัดแหวนซีลเมื่อประกอบ
หัวเทียนอันใหม่ให้ขันอีกครึ่งรอบหลังจำกขันหัวเทียนด้วยมือจนนั่งบ่ำแล้ว เพื่ออัดแหวนซีล
เมื่อประกอบหัวเทียนอันเดิมให้ขันอีก 1/8-1/4 รอบหลังจำกขันหัวเทียนด้วยมือจนนั่งบ่ำแล้ว
เพื่ออัดแหวนซีล
7. ประกอบปลั๊กหัวเทียนเข้ำกับหัวเทียน
84
การทาความสะอาดและตรวจสอบตัวป้องกันประกายไฟ
ใช้แปรงขัดครำบเขม่ำคำร์บอนออกจำกตระแกลงตัวป้องกันประกำยไฟระวังอย่ำให้ตระแกลงชำรุด
เปลี่ยนตัวป้องกันประกำยไฟถ้ำมีกำรแตกหักหรือทะลุ
รอบเดินเบาการปรับแต่ง
ติดเครื่องในพื้นที่โล่งและอุ่นเครื่องยนต์ให้ถึงอุณหภูมิใช้งำน เลื่อนคันเร่งไปในตำแหน่งน้อยสุด หมุนสกรูหยุด
คันเร่งไปที่ค่ำควำมเร็วรอบเดินเบำมำตรฐำน ควำมเร็วรอบเดินเบำมำตรฐำน : 1,400+/-150 รอบต่อนำที
การดูรักษาปัญหาที่ไม่ได้คาดการณ์
ติดเครื่องยนต์ไม่ได้ สาเหตุที่เป็นไปได้ การแก้ไข
ตรวจสอบตาแหน่งควบคุม ก๊อกน้ำมันเชื้อเพลิง “OFF” เลื่อนคันก็อกไปที่ตำแหน่ง”on”
โช๊คเปิด “OPEN” เลื่อนคันโช๊คไปที่ตำแหน่งปิด
“CLOSED” เว้นแต่เครื่องยนต์
อุ่นอยู่
สวิทช์เครื่องยนต์ปิด “OFF” หมุนสวิทช์เครื่องยนต์ไปใน
ตำแหน่งเปิด “ON”
ตรวจสอบระดับน้ามันเครื่อง ระดับน้ำมันเครื่องต่ำ เติมน้ำมันเครื่องที่แนะนำ ให้ได้
ระดับกำรใช้งำน
ตรวจสอบน้ามันเชื้อเพลิง น้ำมันหมด เติมน้ำมัน
น้ำมันเชื้อเพลิงไม่ดี จัดเก็บ ถ่ำยน้ำมันในถังน้ำมัน และใน
เครื่องยนต์โดยไม่ถ่ำยน้ำมัน คำร์บูเรเตอร์ออก
เบนซินที่ไม่ดีลงไป เติมน้ำมันเบนซินใหม่ลงไป
ถอดและตรวจสอบหัวเทียน หัวเทียนเสีย อุดตันหรือมีระยะ จัดระยะเขี้ยวหัวเทียน หรือ
เขี้ยวหัวเทียนไม่เหมำะสม เปลี่ยนหัวเทียนใหม่
น้ำมันเชื้อเพลิงที่เปียกหัวเทียน ทำให้แห้ง และประกอบหัวเทียน
(น้ำท่วมเครื่องยนต์) เข้ำไปใหม่ ติดเครื่องยนต์โดยให้
คันเร่งอยู่ในตำแหน่งเปิดมำก
ที่สุด “MAX”
นาเครื่องยนต์ไปให้ตัวแทน ตะแกรงกรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุด เปลี่ยนหรือซ่อมแซมชิ้นส่วนที่
ตัน คำร์บูเรเตอร์ทำงำน เสียหำยตำมควำมจำเป็น
ผิดพลำดระบบจุดระเบิดทำงำน
ผิดพลำด วำล์วค้ำง อื่นๆ
85
เอกสารอ้างอิง
ประวัติผู้เขียน
ประวัติผู้เขียน
ประวัติผู้เขียน