You are on page 1of 10

ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระรัตนตรัย กราบถวายความเคารพ

พระเถระ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุทุกรูป เจริญสุขสาธุชน ทุกท่าน


วันนี้เป็ นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง กล่าวคือเป็ นวัน
อาสาฬหปูรณมี ซึ่งมีความสำคัญดังต่อไปนี้ ๑. เป็ นวันที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ๒. เป็ นวันที่
พระพุทธเจ้าประดิษฐานพระพุทธศาสนา เป็ นที่แรก คือ ป่ าอิสิปตน
มฤคทายวัน ณ เมืองพาราณสี ๓. เป็ นวันที่มีภิกษุรูปแรก คือ อัญญา
สิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ
วะตะ โภ โกณฺฑัญฺโญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ได้รู้
แล้วหนอ ๔. เป็ นวันที่พระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ พุทธภาษิตกล่าวว่า
อะนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิต๎วา ตะถาคะโต ปะฐะมัง ยัง
อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรันติ. ซึ่งบัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่
วิสัชนา ในธัมมจักกัปปวัตนสุตกถา เพื่อเป็ นเครื่องประดับสติปั ญญา
เพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศี แก่ญาติโยมพุทธบริษัททั้ง
หลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ณ
วิหารพระพุทธรัตนมิ่งมงคล วัดจอมทองแห่งนี้
ญาติโยมอุปฐากตุ๊เจ้าด้วยข้าวปลาอาหาร ตุ๊เจ้าก่อตอบแทนศรัทธา
ญาติโยมด้วยน้ำธรรมกำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้า
ญาติโยมทั้งหลาย วันอาสาฬหบูชานั้น จัดเป็ นวันสำคัญยิ่งอีกวันหนึ่ง
ในบวรพุทธศาสนา เนื่องจากว่าเป็ นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัม
พุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ การเทศน์ครั้งแรกหลังจากตรัสรู้
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของ
เรานั้น พระองค์ท่านทรงบำเพ็ญบารมีอยู่ถึง ๖ ปี เต็ม ๆ จึงได้ตรัสรู้
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่บริเวณตำบลอุรุ
เวลาเสนานิคม ริมฝั่ งแม่น้ำเนรัญชรา แขวงเมืองพาราณสี ในวันขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือที่เรียกว่าวันวิสาขปูรณมี องค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าได้เสวยวิมุตติสุขอยู่ ๔๙ วัน หลังจากนั้นพระองค์ท่านก็
ทรงพิจารณาว่า เมื่อตรัสรู้ธรรมแล้ว จักสั่งสอนผู้ใดให้รู้ต่อ เมื่อองค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้ว ก็ทรงเกิดความขวนขวาย
น้อย ไม่คิดที่จะแสดงธรรมโปรดแก่ผู้ใด เนื่องจากว่าองค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ธรรมะนั้นเป็ นของละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ยากที่ผู้อื่นจะรู้ตามได้
ครานั้นท้าวสหัมบดีพรหม อธิบดีแห่งพรหมทั้งหลาย ได้ทราบความ
คิดความอ่านคำนึงของพระองค์ท่าน ก็ได้เสด็จมาปรากฏอยู่เบื้องพระ
พักตร์ ทำการถวายบังคม แล้วกราบทูลอาราธนาพระองค์ท่านให้ทรง
แสดงธรรม โดยกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายที่ธุลีในดวงตามีน้อยนั้นมีอยู่
จักสามารถรู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์ท่านได้ องค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า จึงได้ตั้งใจที่จะแสดงธรรมโปรดแก่พุทธบริษัท องค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงพิจารณาดูว่า จักแสดงธรรมแก่ผู้ใด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ระลึกถึง

ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร และท่านอุทกดาบสรามบุตร สอง


อาจารย์ที่ได้เคยสั่งสอนพระองค์ท่านมา เป็ นผู้มีอินทรีย์อันแก่กล้า
สามารถที่จะตรัสรู้ธรรมได้ ถ้าหากว่าพระองค์ท่านแสดงให้ฟั ง แต่
เป็ นที่น่าเสียดายว่า ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตรนั้น ได้เสียชีวิตลง
ไป ๗ วันที่แล้ว ส่วนท่านอุทกดาบสรามบุตรนั้นยิ่งหนักไปกว่า เพราะ
ว่าเพิ่งเสียชีวิตลงในวันนี้เอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้
พิจารณาต่อไปว่า แล้วเราจะโปรดผู้ใดดี ? จึงได้ระลึกว่าปั ญจวัคคีย์
พราหมณ์ทั้ง ๕
ที่เคยอยู่ปรนนิบัติพระองค์ท่านมา ๖ ปี นั้น เป็ นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า
สามารถรู้ทั่วถึงธรรมได้ แต่ขณะนี้ปั ญจวัคคีย์พราหมณ์นั้น ได้หนีไป
ยังป่ าอิสิปตนมฤคทายวัน แม้ว่าจะยังอยู่ในเขตของพาราณสีประเทศ
แต่ก็เป็ นสถานที่ซึ่งห่างไกลอย่างยิ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงตั้งใจเสด็จไปโปรด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้นิราศ
ออกจากอุรุเวลาเสนานิคม ตรงไปยังป่ าอิสิปตนมฤคทายวัน ไปถึงที่
นั่นในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ พอดี
ญาติโยมทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น
พระองค์ท่านมีปกติเดินทางได้วันละ ๑๒๐ โยชน์ ถ้าเทียบเป็ นมาตรา
ปั จจุบันก็คือ วันละ ๑,๙๒๐ กิโลเมตร ซึ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลาย
สงสัยว่าเป็ นไปได้กา อาตมาขอยืนยันว่าเป็ นไปได้ เพราะกำลังของ
แต่ละคนไม่เท่ากัน กล่าวคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
เสวยวิมุตติสุขอยู่ ๔๙ วัน ตั้งแต่วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แล้วเสด็จไป
ถึงป่ าอิสิปตนมฤคทายวัน ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ก็แปลว่าห่าง
จากวันตรัสรู้ ๖๐ วัน
การที่พระองค์ท่านเสด็จเสวยวิมุตติสุขไป ๔๙ วัน แปลว่าพระองค์
ท่านต้องเดินทางอยู่ถึง ๑๑ วัน แล้วป่ าอิสิปตนมฤคทายวันห่างจาก
อุรุเวลาเสนานิคมเท่าไร ? ถ้าวัดระยะทางในปั จจุบัน ก็ห่างกัน ๒๓๐
กิโลเมตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินวันเดียวก็ถึงแล้ว แต่
ทำไมพระองค์ทรงใช้เวลาถึง ๑๑ วันแม้ว่าในขณะนั้นพระองค์ท่านจะ
บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ตาม แต่เป็ นการบรรลุโดยไม่มี
ใครรู้ว่าพระองค์ท่านเสด็จหนีไปไหน โดยเฉพาะทางฝ่ ายบ้านเมือง
เนื่องจากว่าที่พระองค์ท่านประสูติขึ้นมา
เป็ นสิทธัตถราชกุมาร บรรดาพราหมณ์ทั้งหลายก็ทำนายลักษณะว่า
ถ้าบุคคลนี้อยู่ครองราชย์ จะเป็ นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก
ถ้าเสด็จออกบวชก็จะได้เป็ นศาสดาเอกของโลก เราลองมานึกดูว่า
บุคคลหนึ่งถ้าเกิดมาจะเป็ นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็คือยิ่งใหญ่กว่า
กษัตริย์หรือพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ จะสามารถมีอำนาจเหนือ
กว่าเขาทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเป็ นท่านทั้งหลายมีอำนาจครองบัลลังก์อยู่
จะยินดีให้บุคคลนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ ? ในขณะที่มีชีวิตอยู่ในวัง
อาจจะได้รับการแวดล้อมรักษาอย่างเต็มที่

ในฐานะราชกุมาร แต่พอเสด็จออกบวชเหลือพระองค์ท่านองค์เดียว
ก็ต้องคอยหลบซ่อนอยู่ในป่ า เพราะเกรงว่าถ้ามีผู้มาพบเข้า ก็อาจจะ
ถูกปองร้ายได้ พระองค์ท่านไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวบุคคลอื่นจะสร้าง
กรรมอันหนัก แล้วเป็ นโทษมหาศาลแก่บุคคลนั้น ในความคาดคิด
ของอาตมา ระยะเวลา ๑๑ วัน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จออกจากอุรุเวลาเสนานิคมไปยังอิสิปตนมฤคทายวันนั้นคาดว่า
พระองค์ท่านจะออกเสด็จในเวลาค่ำคืนที่ดึกมาก เพื่อที่จะให้ปลอด
จากผู้คนอย่างแท้จริง และ
ต้องรีบหลบเข้าป่ าไปก่อนที่จะสว่าง เพราะเกรงว่าผู้อื่นจะพบเห็น ถ้า
หากว่ามีคนเห็นเมื่อไร เหล่าจาเรบุรุษส่งข่าวไป เชื่อว่าพระเจ้าปเส
นทิโกศล ซึ่งมีอำนาจเหนือแคว้นพาราณสีหรือเมืองกาสีในเวลานั้น ก็
คงจะใช้ราชบุรุษหรือกองทหารเข้ามาจับ หรือว่าทำร้ายพระองค์ท่าน
ซึ่งจะเป็ นกรรมอันหนักมากพระองค์ท่านจึงต้องใช้เวลาถึง ๑๑ วัน
กว่าจะเสด็จไปถึงป่ าอิสิปตนมฤคทายวันถ้าถามว่าพระองค์ ประกอบ
ไปด้วยฤทธิ์ สามารถเหาะไปถึงได้ในระยะเวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียว แล้ว
ทำไม
ถึงไม่ทำ ? ตรงนี้เราต้องมาพิจารณาว่า พระองค์ทรงสั่งห้ามบรรดา
พระภิกษุสงฆ์ในบวรพุทธศาสนาแสดงฤทธิ์ เพราะว่าการแสดงฤทธิ์
นั้นทำให้บุคคลไปยึดติด การยึดติดในตัวบุคคล ยึดติดในฤทธิ์อำนาจ
ทำให้ไม่สามารถจะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ เพราะว่าเป็ นการยึดตัว
บุคคล ไม่ใช่ยึดในคุณพระรัตนตรัยซึ่งเป็ นสิ่งที่เป็ นนามธรรม ดังนั้น
พระองค์จึงไม่ต้องการให้ปั ญจวัคคีย์ได้ยึดติดพระองค์ท่าน ในฐานะผู้
ที่มีฤทธิ์มีเดชเหนือกว่าผู้อื่น เพราะว่าจะเป็ นการขวางมรรคผลพระ
นิพพานของพวกเขาทั้งหลายพระองค์จึง
ต้องเสด็จไปโดยพระบาท ก็คือเดินไปและจะต้องหลบซ่อนไปในเวลา
ค่ำคืน กว่าจะไปถึงจึงต้องใช้เวลาถึง ๑๑วัน เมื่อพระองค์เสด็จไปถึง
ปั ญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ซึ่งมั่นใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จ
มานั้น คงจะมาเพราะทนลำบากไม่ไหว พระองค์ก็เลยเลิกการทรมาน
กาย แล้วก็มาให้ปั ญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เป็ นผู้ปรนนิบัติรับใช้ตามเดิม เมื่อ
เห็นพระองค์ท่านเสด็จมาแต่ไกล ปั ญจวัคคีย์จึงได้นัดแนะกันว่า เรา
จงอย่าลุกขึ้นต้อนรับ จงอย่าปูอาสนะถวาย จงอย่าถวายน้ำใช้น้ำฉัน
ทั้งปวง แต่เมื่อพระองค์ท่านเสด็จไปถึง
ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ปั ญจวัคคีย์แม้จะนัดแนะกันดีแล้ว ต่าง
คนต่างก็กุลีกุจอทำหน้าที่ของตนเอง ท่านที่เคยล้างเท้าก็ล้างเท้าให้
ท่านที่เคยปูอาสนะก็ปูอาสนะถวาย ท่านที่เคยถวายน้ำใช้น้ำฉันก็
ถวายน้ำใช้น้ำฉันแก่พระองค์ท่าน แต่ก็ยังใช้คำพูดในลักษณะของ
ผู้ใหญ่พูดกับเด็ก พระองค์จึงได้ตรัสห้ามและกล่าวว่าบัดนี้เราบรรลุ
มรรคผลแล้ว ปั ญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ยังไม่เชื่อ พระองค์จึงตรัสย้ำว่า
ระหว่างที่อยู่ด้วยกันมา ๖ ปี เราเคยกล่าวคำไม่จริงหรือไม่ ?
ปั ญจวัคคีย์พิจารณาตามไปแล้ว ก็เห็นว่าตลอดทั้ง ๖ ปี

ที่ผ่านมา พระองค์ล้วนแล้วตรัสแต่ความสัตย์ความจริงทั้งสิ้น ดังนั้น


เชื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คงจะบรรลุมรรคผลแล้วดังที่
ได้ตรัสมา จึงตั้งใจฟั งธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแส
ดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็ นพระสูตรแรกและเป็ นพระธรรม
เทศนากัณฑ์แรกในพระพุทธศาสนา เนื้อหาใจความมีว่า การทรมาน
ตนเองก็ดี การทำตนเองให้ได้รับความสุขสบายมากจนเกินไปก็ดี เป็ น
ส่วนที่บรรพชิตทั้งหลายไม่ควรไปเกี่ยวข้อง การที่จะบรรลุมรรคผลได้
นั้น ต้องปฏิบัติในมัชฌิมาปฏิปทา
ก็คือหนทางสายกลาง ซึ่งประกอบไปด้วยสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
ไปลงที่สัมมาสมาธิ เป็ นต้น เมื่อย่อลงแล้วจัดอยู่ใน ศีล สมาธิและ
ปั ญญา เพราะว่าสัมมาวาจาการพูดดีพูดถูก สัมมาอาชีวะ การเลี้ยง
ชีพในทางที่ชอบ สัมมากัมมันตะ การกระทำที่ถูกต้องนั้น จัดว่าเป็ น
ศีลส่วนสัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง สัมมาสติการตั้งสติไว้ถูก
ต้อง และสัมมาสมาธิ การทำสมาธิที่ถูกต้องนั้น เป็ นส่วนของ
สมาธิ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ และสัมมาสังกัปปะ การดำริชอบ
จัดเป็ นปั ญญา ดังนั้น มรรค ๘ ของ
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อย่อลงมาแล้ว จึงเป็ น ปั ญญา ศีล
และสมาธิ แต่พวกเราเคยชินกับคำว่า ศีล สมาธิ และปั ญญา มากกว่า
เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะซึ่งเป็ นหนึ่งในปั ญจวัคคีย์ ได้ฟั งองค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว พิจารณา
ตามไปก็เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ
ถ้าเหตุดับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ดับไปด้วย บรรดาพรหมเทวดาทั้ง
หลาย เมื่อเห็นว่ามีพระภิกษุสงฆ์ คือผู้ที่ตรัสรู้ธรรมตามองค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็เกิดปี ติอย่างยิ่ง
ทำการอนุโมทนาสาธุการขึ้นมาจนแผ่นดินไหวหวั่นสะท้านสะเทือน
ไปทั่วทุกทิศจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรม
โปรดให้แก่ปั ญจวัคคีย์ที่เหลือ คือ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหา
นามะ และท่านอัสสชิ โดยแสดงธรรมโปรดอยู่ทุกวันเป็ นเวลา ๗ วัน
เต็ม ๆ จากธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่เป็ นพระสูตรแรกในพระพุทธ
ศาสนา ก็เป็ นอนัตตลักขณสูตร ก็คือสูตรที่กล่าวถึงการไม่มีตัวตนให้
ยึดถือมั่นหมายได้ ปั ญจวัคคีย์จึงได้รู้ทั่วถึงธรรมกลายเป็ นพระอรหันต์
ในพระพุทธศาสนาจนกระทั่งมีพระภิกษุ
เพิ่มขึ้นสังคมหมู่มาก อยู่บ้านมีกฎบ้าน อยู่เมืองมีกฎเมือง ครั้งเมื่อ
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ วสันตฤดูพอถึงฤดู
ฝนพระภิกษุส่วนใหญ่ก็อยู่ประจำที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกพุทธ
ศาสนา มักถือเป็ นประเพณีปฏิบัติอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล
จนกระทั่งมีพระสงฆ์กลุ่มฉัพพัคคีย์ พาบริวารจำนวน ๑,๕๐๐ รูป
จาริกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากตอนต้นพุทธกาลยังไม่มี
พุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษา ผู้ที่ไปยังที่ต่าง ๆ ได้เหยียบย่ำพืช
ผลที่ ชาวบ้านปลูกไว้ในฤดูฝน
สัตว์น้อยใหญ่ที่ออกหากินบนผิวดินถูกเหยียบย่ำ ชาวบ้านได้รับ
ความเสียหาย ทำให้ชาวบ้านพากันติเตียนถึงการจาริกของพระภิกษุ
เพราะไปเหยียบข้าวกล้าในนาเสียหายเมื่อเรื่องนี้ทราบถึง
พระพุทธเจ้า จึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามจนได้ความจริง
แล้วทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา เป็ นเวลา ๓ เดือนในฤดู
ฝน แต่ในกรณีที่มีกิจจำเป็ น พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอนุญาตให้พระ
ภิกษุไปค้างคืนที่อื่นได้คราวละไม่เกิน ๗ วัน โดยไม่ถือว่าอาบัติ เรียก
ว่าเป็ นเหตุพิเศษหรือ “สัตตาหกรณียกิจ” ซึ่งมีอยู่ ๔
ประการคือ๑.เพื่อนสหธรรมิก (ผู้มีธรรมร่วมกัน) ทั้ง ๕ คือ ภิกษุ
ภิกษุณี สิกขามานา (นางผู้กำลังศึกษา /สามเณรีผู้มีอายุ ๑๘ ปี และ
อีก ๒ ปี จะครบบวชเป็ นภิกษุณี) สามเณร สามเณรี หรือบิดามารดา
ป่ วยไปเพื่อพยาบาลได้ ๒.ไปเพื่อยับยั้งเพื่อนสหธรรมิกที่อยากสึก มิ
ให้สึกได้ ๓.ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น หาอุปกรณ์ซ่อมกุฏิ วิหารที่ชำรุด
ทรุดโทรมได้ ๔.ไปเพื่อฉลองศรัทธาทายกที่เขาส่งตัวแทนมานิมนต์ไป
ร่วมบำเพ็ญบุญได้ นอกจากนั้น วันเข้าพรรษา ยังยกเว้นสำหรับพระ
ภิกษุที่ประสบเหตุดังต่อไปนี้
แม้จะเป็ นระหว่างพรรษาก็สามารถหลีกไปที่อื่นได้โดยไม่อาบัติ แต่
ขาดพรรษา คือ ถูกสัตว์ร้ายรบกวนหรือเบียดเบียน ถูกงูรบกวนหรือ
ขบกัด ถูกโจรเบียดเบียนหรือปล้น ทุบตี ถูกปี ศาจรบกวน เข้าสิงหรือ
ฆ่า ชาวบ้านที่ให้ความอุปถัมภ์ไม่สามารถอุปถัมภ์ได้ต่อไปเพราะย้าย
ถิ่น ฐานไปที่อื่น หรือเสนาสนะของภิกษุถูกไฟไหม้น้ำท่วม หรือมีผู้จะ
พยายามทำร้าย พระภิกษุสามารถหลีกไปอยู่ที่อื่นระหว่างพรรษาได้
ทำให้พระพุทธศาสนาก็เจริญวัฒนาถาวร สืบเนื่องยาวนานมาจนถึง
ทุกวันนี้
ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขออนุโมทนากับญาติโยมที่
ได้มาทำบุญในวันอาสาฬหบูชา ณ วัดจอมทองแห่งนี้ ท่านทั้งหลาย
นับว่าได้ปฏิบัติตามธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เมื่อ
มาก็ตั้งใจที่จะมาให้ทาน ทำบุญใส่บาตร ฟั งธรรมเทศนา หลายท่านก็
ตั้งใจว่าเย็นนี้จะมาเวียนเทียนเป็ นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา
ด้วย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แสดงว่า ท่านทั้งหลายกำลังขัดเกลาตัวเอง
ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา ด้วยการให้ทาน เป็ นการสละออกซึ่ง
ความโลภในใจของตน ด้วยการรักษาศีล
เพื่อเป็ นการขจัดความโกรธ มีโทสะประทุษร้ายผู้อื่น ด้วยการตั้งใจฟั ง
ธรรม สร้างเสริมปั ญญาให้เกิดขึ้น แสดงว่าท่านทั้งหลายนั้น ได้ปฏิบัติ
ตนอยู่ใน ศีล สมาธิ ปั ญญา คือทางสายกลางตามที่องค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ถ้าท่านทั้งหลายสามารถประพฤติ
ปฏิบัติได้ต่อเนื่องยาวนาน และถูกต้องตามหนทางแล้ว ก็เชื่อว่าท่าน
ทั้งหลายสามารถที่จะเข้าถึงมรรคผลพระนิพพานได้ เช่นเดียวกับ
ปั ญจ -วัคคีย์
อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธ
รัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็ นประธาน ขอได้โปรด
ดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลาย ประสบความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล
สมบูรณ์พูนผลไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้งสี่ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ
พละ ตลอดถึงปฏิภาณและธรรมสารสมบัติอันเป็ นที่พึ่งทางใจทั้งปวง
รับหน้าที่วิสัชนามาในธัมมจักกัปปวัตนสุตกถาก็พอสมควรแก่เวลา จึง
ขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วย
ประการฉะนี้

You might also like