You are on page 1of 170

คู่มือครู

Teacher Script

ชีววิทยา ม. 4
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
ตามผลการเรียนรู เล่ม 2
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

ผูเรียบเรียงหนังสือเรียน ผูตรวจหนังสือเรียน บรรณาธิการหนังสือเรียน


ดร. เธียร ธีระวรวงศ ดร. นําชัย ชีววิวรรธน ผศ.ดร. นํ้าคาง ศรีวัฒนาโรทัย
ดร. ชลินันท เพ็งสุข ดร. ปวย อุนใจ นางสาววราภรณ ทวมดี
นายเอกรัฐ วงศสวัสดิ์ ผศ.ดร. ศศิวิมล แสวงผล

ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางจิตรา สังขเกื้อ นางสาววราภรณ ทวมดี
นางสาวฐนิสา หวั่งประดิษฐ นายชัยทัศน บุญจันทร

พิมพครั้งที่ 4
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 3448022
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชีววิทยา
ม.4 เลม 2 จัดทําขึ้นสําหรับใหครูผูสอนใชเปนแนวทางวางแผน
การจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
การประกันคุณภาพผูเรียนตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

เพ เพทโดยเลือก Trim
ิ่ม คําแนะนําการใช ชวยสรางความเขาใจ เพื่อใชคูมือครูได
อยางถูกตองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน โซน 1
ิ่ม คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา
เพ ขัน้ นํา

การถายทอด
กระตุน ความสนใจ
ซึ่งครอบคลุมผลการเรียนรูตามที่หลักสูตรกําหนด 1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู

4
หน่วยการเรียนรู้ที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครูใชคําถาม Big Question เพื่อกระตุนความ
สนใจของนักเรียนวา เพราะเหตุใด บุคคลใน
ทางพันธุกรรม
ิ่ม Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ
เพ
ครอบครัวจึงมีลักษณะตาง ๆ คลายคลึงกัน ผลการเรียนรู้ หากสังเกตบุคคลในครอบครัว จะเห็นว่าเรามีบางลักษณะ
4. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา หากสังเกตบุคคลใน 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปการ ที่คล้ายคลึงกับพ่อแม่ พี่น้อง หรือบุคคลต่าง ๆ ในเครือญาติ
ทดลองของเมนเดลได้ แต่หากสังเกตผู้คนรอบ ๆ ตัว จะเห็นถึงความแตกต่างและ
ครอบครัวจะเห็นวามีบางลักษณะที่คลายคลึง
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี กับพอแม พีน่ อ ง หรือบุคคลในเครือญาติ แตหาก
2. อธิ บ ายและสรุ ป กฎแห่ ง การแยก
และกฎแห่งการรวมกลุม่ อย่างอิสระ
และน�ากฎของเมนเดลนี้ไปอธิบาย
ความหลากหลายต่าง ๆ ทั้งลักษณะสีตา สีผิว สีผม ซึ่งลักษณะ
เหล่านี้ล้วนเกิดจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจาก
สังเกตผูคนรอบ ๆ ตัว จะเห็นความแตกตาง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ประสิทธิภาพ ของลักษณะตาง ๆ ทัง้ ลักษณะสีตา สีผวิ สีผม
และใช้ในการค�านวณโอกาสในการ
เกิ ด ฟี โ นไทป์ แ ละจี โ นไทป์ แ บบ
รุน่ หนึง่ ไปสูอ่ กี รุน่ หนึง่ ท�าให้เกิดการแสดงออกของลักษณะต่าง ๆ
ที่เหมือนและแตกต่างกันออกไป
ซึง่ ลักษณะตาง ๆ เหลานีเ้ กิดจากการถายทอด ต่าง ๆ ของรุ่น F1 และ F2 ได้
3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย

ิ่ม Teacher Guide Overview ชวยใหเห็นภาพรวมของการ


ทางพันธุกรรมจากรุน หนึง่ ไปสูอ กี รุน หนึง่ ทําให และสรุ ป เกี่ ย วกั บ การถ่ า ยทอด

เพ
ทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ
มีการแสดงออกของลักษณะตาง ๆ ที่เหมือน พันธุศาสตร์เมนเดลได้
และแตกตางกันออกไป 4. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบ
เทียบลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี าร
จั ด การเรี ย นการสอนทั้ ง หมดของรายวิ ช าก อ นที่ จ ะลงมื อ แปรผันไม่ต่อเนื่องและลักษณะทาง
พันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเนือ่ งได้
5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม

สอนจริง
และยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุ-
กรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซม
และยีนบนโครโมโซมเพศได้

ิ่ม Chapter Overview ชวยสรางความเขาใจและเห็นภาพรวม


เพ แนวตอบ Big Question
มนุษยจะถายทอดลักษณะตาง ๆ เชน สีตา
ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวย สี ผ ม ความสู ง สี ผิ ว ห อ ลิ้ น ได ห อ ลิ้ น ไม ไ ด
ผมหยิก ผมเหยียดตรง มีตงิ่ หู ไมมตี งิ่ หู จากบรรพบุรษุ à¾ÃÒÐà˵Øã´ ºØ¤¤Å
㹤Ãͺ¤ÃÑǨ֧ÁÕÅѡɳÐ
สูล กู หลาน โดยลูกจะไดรบั การถายทอดลักษณะจาก µ‹Ò§ æ ¤ÅŒÒ¤ÅÖ§¡Ñ¹
พอและแม ซึ่งพอก็จะไดรับการถายทอดลักษณะ
ิ่ม Chapter Concept Overview ช ว ยให เ ห็ น ภาพรวม มาจากปูและยาอีกที เชนเดียวกับแมก็จะไดรับการ
เพ ถายทอดลักษณะจากตาและยายเชนกัน จากการ
ถายทอดลักษณะตาง ๆ ของแตละรุน จึงทําให
Concept และเนื้อหาสําคัญของหนวยการเรียนรู บุคคลในครอบครัวมีลกั ษณะตาง ๆ ทีค่ ลายคลึงกัน

ิ่ม ขอสอบเนนการคิด/ขอสอบแนว O-NET เพื่อเตรียม เกร็ดแนะครู


เพ การเรียนการสอน เรือ่ ง การถายทอดทางพันธุกรรม ครูควรเนนการใชภาพ
ความพรอมของผูเรียนสูการสอบในระดับตาง ๆ สื่อดิจิทัล หรือแบบจําลองตาง ๆ เพื่อชวยใหนักเรียนเกิดความเขาใจไดงายขึ้น
รวมถึงควรเนนใหนักเรียนไดฝกทําโจทยเพื่อทํานายการถายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมตาง ๆ ของสิ่งมีชีวิต เชน ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถายทอดทาง
ิ่ม กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่จะชวยพัฒนา โครโมโซมรางกายและโครโมโซมเพศ ความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรมที่
เพ ควบคุมดวยโครโมโซมรางกายและโครโมโซมเพศ เปนตน

ผูเรียนใหมีทักษะที่จําเปนสําหรับการเรียนรูและการดํารงชีวิต โซน 3
ในโลกแหงศตวรรษที่ 21
ิ่ม โซน 2
เพ STEM Project แนวทางการจัดการเรียนการสอนใหผูเรียน T6
เกิดการเรียนรูแ ละสามารถบูรณาการความรูท างวิทยาศาสตร
เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตรไปใช
เชื่อมโยงและแกปญหาในชีวิตจริง

โซน 1 ช่วยครูจัด โซน 2 ช่วยครูเตรียมสอน


การเรียนการสอน
แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใหครูผูสอน ประกอบดวยองคประกอบตาง ๆ ที่เปนประโยชนสําหรับครู
โดยแนะนําขั้นตอนการสอน และการจัดกิจกรรมอยางละเอียด เพื่อนําไปประยุกตใชจัดกิจกรรมการเรียนรูในชั้นเรียน
เพื่อใหนักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามผลการเรียนรู เกร็ดแนะครู
ความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอสังเกต แนวทางการจัด
นํา สอน สรุป ประเมิน
กิจกรรมและอื่น ๆ เพื่อประโยชนในการจัดการเรียนการสอน
นักเรียนควรรู
ความรู  เ พิ่ ม เติ ม จากเนื้ อ หา สํ า หรั บ อธิ บ ายเสริ ม เพิ่ ม เติ ม ให
กับนักเรียน
โดยใชหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.4 เลม 2 และแบบฝกหัดรายวิชาเพิ่มเติม
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Materials)
ประกอบการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู เพื่อใหสอดคลองกับผลการเรียนรู กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและ
เทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งคูมือครูเลมนี้
มีองคประกอบที่งายตอการใชงาน ดังนี้

โซน 1
โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
Prior Knowledge
สํารวจคนหา ประกอบด ว ยแนวทางสํ า หรั บ การจั ด กิ จ กรรมและ
บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร 1. การศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
คือใคร มนุษย์สามารถสังเกตลักษณะต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดจาก
พ่อแม่ไปสูล่ กู หลานได้มาเป็นเวลายาวนาน เพียงแต่ยงั ไม่มคี วามรู้
ความรูเดิมของนักเรียน
2. ครูเลาประวัติของเกรเกอร โยฮันน เมนเดล
เสนอแนะแนวขอสอบ เพือ่ อํานวยความสะดวกใหแกครูผสู อน
พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุน จนกระทั้งการทดลองของเกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล ใหนักเรียนทราบ
(Gregor Johann Mendel) น�าไปสู่การค้นพบทฤษฎีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 3. ครู นํ า ภาพถั่ ว ลั น เตาและคํ า อธิ บ ายลั ก ษณะ
เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล เป็นชาวออสเตรีย เกิดในปี
พ.ศ. 2365 บิดามารดาเป็นชาวสวน ในวัยเด็กเมนเดลมีความ
ของถั่วลันเตามาใหนักเรียนศึกษา แลวถาม
นักเรียนวา กิจกรรม 21st Century Skills
ï• เพราะเหตุ ใ ดเมนเดลจึ ง เลื อ กถั่ ว ลั น เตา
สนใจในการเรียนหนังสือมากจึงได้ไปเรียนที่โบสถ์แห่งหนึ่ง
ในกรุงบรึนน์ (Brunn) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองเบอร์โน (Brno) ใน
สาธารณรัฐเช็ก ในเวลาต่อมาเมนเดลได้ไปศึกษาต่อที่มหา-
เปนพืชตัวอยางในการทดลองการถายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม
กิ จ กรรมที่ ใ ห นั ก เรี ย นได ป ระยุ ก ต ใ ช ความรู  ส ร า งชิ้ น งาน
วิทยาลัยเวียนนา ประเทศออสเตรีย ทางด้านฟิสกิ ส์ คณิตศาสตร์
เคมี และพฤกษศาสตร์ หลังจากส�าเร็จการศึกษาจึงกลับมาเป็น
(แนวตอบ ถั่วลันเตาเปนพืชปลูกงาย เจริญ
เติ บ โตเร็ ว และให เ มล็ ด จํ า นวนมาก หรื อ ทํ า กิ จ กรรมรวบยอดเพื่ อ ให เ กิ ด ทั ก ษะที่ จํ า เป น ใน
เปนพืชที่มีหลายพันธุ และมีลักษณะทาง
ครูสอนวิทยาศาสตร์ และได้ดัดแปลงที่ดินด้านหลังโบสถ์ให้เป็น
แปลงทดลองด้านพฤกษศาสตร์ควบคู่กับงานสอนด้านศาสนา ภาพที่ 4.1 เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล
(พ.ศ.2365-2427)
พันธุกรรมที่แตกตางกันอยางชัดเจน อีกทั้ง
ยั ง มี ด อกประเภทดอกสมบู ร ณ เ พศ ซึ่ ง
ศตวรรษที่ 21
เมนเดลได้เริ่มศึกษาด้านพันธุศาสตร์ โดยท�าการทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตาและสังเกต
ลักษณะต่าง ๆ ของถั่วลันเตาที่ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยพบว่าบางลักษณะใน สามารถเกิ ด การผสมพั น ธุ  ภ ายในดอก
เดียวกัน หรือเกิดการผสมขามตนได)
รุ่นพ่อแม่จะปรากฎออกมาในรุ่นลูกเสมอ และจากการทดลองในหลาย ๆ รุ่นท�าให้เมนเดลค้นพบ
กฏเกณฑ์ส�าคัญทางพันธุศาสตร์ และสามารถอธิบายหลักการพื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะ
ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ จึงท�าให้เมนเดลได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์
ขอสอบเนนการคิด
ในการศึกษาพันธุศาสตร์ เมนเดลเลือกทดลองกับถั่วลันเตา (Pisum sativum L.) เนื่องจาก
มีลักษณะที่เหมาะสมหลายประการ ดังนี้
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอม
- ถั่วลันเตาเป็นพืชปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และให้เมล็ด
จ�านวนมาก เฉลยอยางละเอียด
- ถั่วลันเตาเป็นพืชที่มีหลายพันธุ์ และมีลักษณะทาง 1
พันธุกรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET
- ถั่วลันเตามีดอกประเภทสมบูรณ์เพศ ซึ่งสามารถเกิด
การผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน 2(self-pollination) หรือเกิด
การผสมข้ามต้น (3cross-pollination) ได้
ภาพที่ 4.2 ลักษณะฝักและดอกของถั่วลันเตาที่แมนเดลเลือกมาศึกษา

การถ่ายทอด 3
แนวตอบ Prior Knowledge
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิดวิเคราะห และสอดคลองกับ
ทางพันธุกรรม
เกรเกอร โยฮันน เมนเดล
แนวขอสอบ O-NET มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอมเฉลยอยาง
ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู ละเอียด
ข อ ใดต อ ไปนี้ ไ ม ใ ช คุ ณ สมบั ติ ข องถั่ ว ลั น เตาที่ เ หมาะสมใน 1 ลักษณะทางพันธุกรรม เปนลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ทีถ่ า ยทอดจากรุน หนึง่ ไป
การใชเปนพืชทดลอง ยังอีกรุนหนึ่งได โดยผานทางยีนซึ่งเปนหนวยพันธุกรรมที่ควบคุมการถายทอด
1. เปนพืชที่มีหลากหลายพันธุ
2. ปลูกงายและเจริญเติบโตเร็ว
ลักษณะตาง ๆ ของสิง่ มีชวี ติ ซึง่ ยีนจะอยูบ นโครโมโซมทีอ่ ยูใ นนิวเคลียสของเซลล กิจกรรมทาทาย
2 การผสมพันธุภ ายในดอกเดียวกัน เปนการผสมพันธุร ะหวางเกสรเพศผูแ ละ
3. เปนพืชที่ใหเมล็ดจํานวนมาก
4. เปนพืชมีดอกเปนดอกแยกเพศ
เกสรเพศเมียภายในดอกเดียวกัน หรือคนละดอกแตอยูบนตนเดียวกัน
3 การผสมพันธุข า มตน เปนการผสมพันธุร ะหวางเกสรเพศผูข องพืชตนหนึง่
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพือ่ ตอยอดสําหรับนักเรียน
5. มีลักษณะที่แตกตางกันหลายลักษณะ
โซน 3
(วิเคราะหคาํ ตอบ ถัว่ ลันเตาทีเ่ มนเดลเลือกมาศึกษาเปนพืชปลูกงาย
และเกสรเพศเมียของพืชอีกตนหนึ่ง
ทีเ่ รียนรูไ ดอยางรวดเร็ว และตองการทาทายความสามารถใน
เจริญเติบโตเร็ว ใหเมล็ดจํานวนมาก มีลกั ษณะทีแ่ ตกตางกันหลาย
ลักษณะ มีดอกประเภทสมบูรณเพศ จึงงายตอการผสมภายใน
ตนเดียว หรือผสมขามตน ดังนั้น ตอบขอ 4.)
ระดับที่สูงขึ้น
โซน 2
T7 กิจกรรมสรางเสริม
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่
ควรไดรับการพัฒนาการเรียนรู

หองปฏิบัติการ (วิทยาศาสตร) แนวทางการวัดและประเมินผล


คําอธิบายหรือขอเสนอแนะสิ่งที่ควรระมัดระวัง หรือขอควรปฏิบัติ เสนอแนะแนวทางการบรรลุ ผ ลสั มฤทธิ์ ทางการเรี ย นของ
ตามเนื้อหาในบทเรียน นักเรียนตามมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั ทีห่ ลักสูตรกําหนด
สื่อ Digital
แนะนําแหลงเรียนรูและแหลงคนควาจากสื่อ Digital ตาง ๆ
ค� ำ อธิ บ ายรายวิ ช า
ชีววิทยา เล่ม 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลาเรียน 60 ชั่วโมง / ปี

ศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล กฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวม


กลุ่มอย่างอิสระ ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล ศึกษาเกี่ยวกับยีนและโครโมโซม การค้นพบ
สารพันธุกรรม โครโมโซม ดีเอ็นเอ สมบัตขิ องสารพันธุกรรม การกลาย ศึกษาเกีย่ วกับพันธุศาสตร์และเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
พันธุวิศวกรรม การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ความปลอดภัยของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ และมุมมองทางสังคมและ
จริยธรรม ศึกษาเกีย่ วกับวิวฒ ั นาการ หลักฐานทีบ่ ง่ บอกถึงวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชวี ติ แนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชวี ติ
พันธุศาสตร์ประชากร ก�ำเนิดของสปีชีส์
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต การวิเคราะห์
การทดลอง อภิปราย การอธิบาย และการสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และน�ำความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม

ผลการเรียนรู้
1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปผลการทดลองของเมนเดลได้
2. อธิบาย และสรุปกฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ และน�ำกฎของเมนเดลนี้ไปอธิบายการถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรม และใช้ในการค�ำนวณโอกาสในการเกิดฟีโนไทป์และจีโนไทป์แบบต่าง ๆ ของรุ่น F1 และ F2 ได้
3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดลได้
4. สบื ค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบเทียบลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันไม่ตอ่ เนือ่ งและลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเนือ่ งได้
5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม และยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซมและยีนบนโครโมโซมเพศได้
6. สืบค้นข้อมูล อธิบายสมบัติและหน้าที่ของสารพันธุกรรม โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของ DNA และสรุปการจ�ำลอง DNA ได้
7. อธิบาย และระบุขนั้ ตอนในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนและหน้าทีข่ อง DNA และ RNA แต่ละชนิดในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนได้
8. สรุปความสัมพันธ์ระหว่างสารพันธุกรรม แอลลีล โปรตีน ลักษณะทางพันธุกรรม และเชื่อมโยงกับความรู้เรื่องพันธุศาสตร์เมนเดลได้
9. สืบค้นข้อมูล และอธิบายการเกิดมิวเทชันระดับยีนและระดับโครโมโซม สาเหตุการเกิดมิวเทชัน รวมทั้งยกตัวอย่างโรคและกลุ่มอาการ
ที่เป็นผลของการเกิดมิวเทชันได้
10. อธิบายหลักการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ได้
11. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และอภิปรายการน�ำเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอไปประยุกต์ใช้ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ การแพทย์
การเกษตร และอุตสาหกรรม และข้อควรค�ำนึงถึงด้านชีวจริยธรรมได้
12. สืบค้นข้อมูล และอธิบายเกี่ยวกับหลักฐานที่สนับสนุนและข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้
13. อธิบาย และเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของฌอง ลามาร์ก และทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของ
ชาลส์ ดาร์วินได้
14. ระบุสาระส�ำคัญ และอธิบายเงือ่ นไขของภาวะสมดุลของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ปัจจัยทีท่ ำ� ให้เกิดการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลในประชากร
พร้อมทั้งค�ำนวณหาความถี่ของแอลลีลและจีโนไทป์ของประชากรโดยใช้หลักของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กได้
15. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธิบายกระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของสิ่งมีชีวิตได้
รวม 15 ผลการเรียนรู้
Pedagogy
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชีววิทยา ม.4 เล่ม 2 รวมถึงสือ่ การเรียนรูร ายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ชีววิทยา ชั้น ม.4 ผูจัดทําไดออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเปนวิธีการจัดการเรียนรูและ
เทคนิคการสอนที่เปยมดวยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายใหกับผูเรียน เพื่อใหผูเรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตาม
ผลการเรียนรู รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงคของผูเ รียนทีห่ ลักสูตรกําหนดไว โดยครูสามารถนําไปใชจดั การ
เรียนรูในชั้นเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ไดนํารูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional
Model) มาใชในการออกแบบการสอน ดังนี้

รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)

ดวยจุดประสงคของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร เพื่อชวย
ุนความสนใจ
ใหผูเรียนไดพัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค กระต
คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการคนควาหาความรู และมี Eennggagement
1

สาํ xploration
eEvvaluatio ล
ความสามารถในการแกปญหาอยางเปนระบบ ผูจัดทําจึงไดเลือกใช

รวจ

eE
ตรวจสอบ
n

และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรูที่มุงหมายใหผูเรียนไดมีโอกาสสราง
องคความรูด ว ยตนเองผานกระบวนการคิดและการลงมือทํา โดยใช
5Es
กระบวนการทางวิทยาศาสตรเปนเครือ่ งมือสําคัญเพือ่ พัฒนาทักษะ
bo 4 3

n
El a

tio
กระบวนการทางวิทยาศาสตร และทักษะการเรียนรูแ หงศตวรรษที่ 21 a
rat lan
ขย

รู
คว ion Exp

าม
คว
าย

ามเ าย
ขาใจ อ ธิบ

วิธีสอน (Teaching Method)

ผูจ ดั ทําเลือกใชวธิ สี อนทีห่ ลากหลาย เชน การทดลอง การสาธิต การอภิปรายกลุม ยอย เปนตน เพือ่ สงเสริมการเรียนรู
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) ใหเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเนนใชวิธีสอน
โดยใชการทดลองมากเปนพิเศษ เนื่องจากเปนวิธีสอนที่มุงพัฒนาใหผูเรียนเกิดองคความรูจากประสบการณตรงโดย
การคิดและการลงมือทําดวยตนเอง อันจะชวยใหผูเรียนมีความรูและเกิดทักษะทางวิทยาศาสตรที่คงทน

เทคนิคการสอน (Teaching Technique)

ผูจ ดั ทําเลือกใชเทคนิคการสอนทีห่ ลากหลายและเหมาะสมกับเรือ่ งทีเ่ รียน เพือ่ สงเสริมวิธสี อนใหมปี ระสิทธิภาพมากขึน้


เชน การใชคําถาม การเลนเกม เพื่อนชวยเพื่อน เปนตน ซึ่งเทคนิคการสอนตาง ๆ จะชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรูอยางมี
ความสุขในขณะที่เรียนและสามารถปฏิบัติกิจกรรมไดอยางมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไดพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 อีกดวย
Teacher Guide Overview
ชี ว วิ ท ยา ม.4 เล่ ม 2
หน่วย
ผลการเรียนรู้ ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้

4 1. สืบค้นข้อมูล อธิบายและสรุปผลการ ทดลองของ


เมนเดลได้
- ท ักษะการ
สังเกต
- ต รวจแบบทดสอบ
ก่อนเรียน
- ห นังสือเรียน
ชีววิทยา ม.4
การถ่ายทอด 2. อธิบายและสรุปกฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวม - ทักษะการ - ตรวจแบบทดสอบ เล่ม 2
ทางพันธุกรรม กลุม่ อย่างอิสระ และน�ำกฎของเมนเดลนีไ้ ปอธิบายการ สำ�รวจค้นหา หลังเรียน - แบบฝึกหัด
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและใช้ในการค�ำนวณ - ทักษะการ - ตรวจแบบฝึกหัด ชีววิทยา ม.4
โอกาสในการเกิดฟีโนไทป์และจีโนไทป์แบบต่าง ๆ ของ เปรียบเทียบ - ตรวจผังสรุป เล่ม 2
รุ่น F1 และ F2 ได้ - ทักษะการ - ตรวจผังมโนทัศน์ - PowerPoint
3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับการ รวบรวมข้อมูล - ตรวจใบงาน ประกอบการสอน
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ - ทักษะการ - สังเกตพฤติกรรม - ภาพยนตร์สารคดี
พันธุศาสตร์เมนเดลได้ เชื่อมโยง 16 การทำ�งานรายบุคคล สั้น Twig
4. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบเทียบลักษณะทาง - ทักษะการ ชั่วโมง - สังเกตพฤติกรรม
พันธุกรรมที่มีการแปรผันไม่ต่อเนื่องและลักษณะทาง วิเคราะห์ การทำ�งานกลุ่ม
พันธุกรรมที่มีการแปรผันต่อเนื่องได้ - ทักษะการคิด - สังเกตความมีวินัย
5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม และยกตัวอย่าง อย่างมีเหตุผล ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ลักษณะทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซม - ทักษะการนำ� ในการทำ�งาน
และยีนบนโครโมโซมเพศได้ ความรู้ไปใช้
- ทักษะการสรุป
ความเห็นจาก
ข้อมูล

5 6. ส ื บ ค้ น ข้ อ มู ล อธิ บ ายสมบั ติ แ ละหน้ า ที่ ข องสาร


พันธุกรรม โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของ
- ท ักษะการ
สังเกต
- ต รวจแบบทดสอบ
ก่อนเรียน
- ห นังสือเรียน
ชีววิทยา ม.4
ยีนและ DNA และสรุปการจ�ำลอง DNA ได้ - ทักษะการระบุ - ตรวจแบบทดสอบ เล่ม 2
โครโมโซม 7. อ ธิบายและระบุขั้นตอนในกระบวนการสั งเคราะห์ - ทักษะการ หลังเรียน - แบบฝึกหัด
โปรตีนและหน้าทีข่ อง DNA และ RNA แต่ละชนิดใน เปรียบเทียบ - ตรวจแบบฝึกหัด ชีววิทยา ม.4
กระบวนการสังเคราะห์โปรตีนได้ - ทักษะการ - ตรวจรายงาน เล่ม 2
8. สรุปความสัมพันธ์ระหว่างสารพันธุกรรม แอลลีล ส�ำรวจค้นหา - ตรวจแบบจ�ำลอง - PowerPoint
โปรตีน ลักษณะทางพันธุกรรม และเชือ่ มโยงกับความรู้ - ทักษะการ - ตรวจแผ่นพับน�ำเสนอ ประกอบการสอน
เรื่องพันธุศาสตร์เมนเดลได้ จ�ำแนกประเภท - ตรวจผังสรุป - ภาพยนตร์สารคดี
9. สืบค้นข้อมูล และอธิบายการเกิดมิวเทชันระดับยีน - ทักษะการ - ตรวจผังมโนทัศน์ สั้น Twig
และระดับโครโมโซม สาเหตุการเกิดมิวเทชัน รวมทั้ง รวบรวมข้อมูล - ตรวจใบงาน
ยกตัวอย่างโรคและกลุ่มอาการที่เป็นผลของการเกิด - ทักษะการ - ประเมินการน�ำเสนอ
มิวเทชันได้ วิเคราะห์ ผลงาน
- ทักษะการสรุป - สังเกตพฤติกรรม
ลงความเห็น 20 การท�ำงานรายบุคคล
- ทักษะการคิด ชั่วโมง - สังเกตพฤติกรรม
อย่างมีเหตุผล การท�ำงานกลุ่ม
- ทักษะการ - สังเกตความมีวินัย
แปลความ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน
- ทักษะการจัด การท�ำงาน
กลุ่ม
- ทักษะการ
สรุปอ้างอิง
- ทักษะการ
ให้เหตุผล
- ทักษะการ
หาแบบแผน
- ทักษะการ
ประยุกต์ใช้
ความรู้
หน่วย
ผลการเรียนรู้ ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้
การเรียนรู้

6 10. อธิบายหลักการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดย - ทักษะการ


ใช้ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ได้ ส�ำรวจค้นหา
- ต รวจแบบทดสอบ
ก่อนเรียน
- ห นังสือเรียน
ชีววิทยา ม.4
พันธุศาสตร์ 11. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล ยกตั ว อย่ า ง และอภิ ป รายการน� ำ - ทกั ษะการ - ตรวจแบบทดสอบ เล่ม 2
และเทคโนโลยี เทคโนโลยี ท างดี เ อ็ น เอไปประยุ ก ต์ ทั้ ง ในด้ า น วิเคราะห์ หลังเรียน - แบบฝึกหัด
ทางดีเอ็นเอ สิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตร - ทักษะการ - ตรวจแบบฝึกหัด ชีววิทยา ม.4
และอุตสาหกรรม และข้อควรค�ำนึงถึงด้านชีวจริยธรรมได้ เปรียบเทียบ - ตรวจรายงาน เล่ม 2
- ทักษะการ - ตรวจผังสรุป - PowerPoint
เชื่อมโยง - ตรวจผังมโนทัศน์ ประกอบการสอน
- ทักษะการ - ตรวจป้ายนิเทศ - ภาพยนตร์สารคดี
ให้เหตุผล 10 - ตรวจใบงาน สั้น Twig
- ทักษะการคิด ชั่วโมง - ประเมินการน�ำเสนอ
อย่างมีเหตุผล ผลงาน
- ทักษะการ - สังเกตพฤติกรรม
น�ำความรู้ไปใช้ การท�ำงานรายบุคคล
- ทักษะการ - สังเกตพฤติกรรม
ประยุกต์ใช้ การท�ำงานกลุ่ม
ความรู้ - สังเกตความมีวินัย
- ทักษะการคิด ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
อย่างมีเหตุผล ในการท�ำงาน

7 12. สืบค้นข้อมูลและอธิบายเกี่ยวกับหลักฐานที่สนับสนุน
และข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมี
- ท ักษะการ
สังเกต
- ต รวจแบบทดสอบ
ก่อนเรียน
- ห นังสือเรียน
ชีววิทยา ม.4
วิวัฒนาการ ชีวิตได้ - ทักษะการ - ตรวจแบบทดสอบ เล่ม 2
13. อธิบายและเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ส�ำรวจค้นหา หลังเรียน - แบบฝึกหัด
ของสิ่งมีชีวิตของฌอง ลามาร์ก และทฤษฎีเกี่ยวกับ - ทักษะการ - ตรวจแบบฝึกหัด ชีววิทยา ม.4
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของชาลส์ ดาร์วินได้ เปรียบเทียบ - ตรวจรายงาน เล่ม 2
14. ระบุสาระส�ำคัญ และอธิบายเงื่อนไขของภาวะสมดุล - ทักษะการ - ตรวจผังสรุป - PowerPoint
ของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ปัจจัยทีท่ ำ� ให้เกิดการเปลีย่ นแปลง จ�ำแนกประเภท - ตรวจผังมโนทัศน์ ประกอบการสอน
ความถี่ของแอลลีลในประชากร พร้อมทั้งค�ำนวณ - ทักษะการ - ตรวจป้ายนิเทศ - ภาพยนตร์สารคดี
หาความถีข่ องแอลลีลและจีโนไทป์ของประชากรโดยใช้ ให้เหตุผล - ตรวจใบงาน สั้น Twig
หลักของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ได้ - ทักษะการ - ประเมินการน�ำเสนอ
15. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธิบายกระบวนการเกิด วิเคราะห์ ผลงาน
สปีชสี ใ์ หม่ของสิง่ มีชวี ติ ได้ - ทกั ษะการ - สังเกตพฤติกรรม
เชือ่ มโยง การท�ำงานรายบุคคล
- ทักษะการ 14 - สังเกตพฤติกรรม
รวบรวมข้อมูล ชั่วโมง การท�ำงานกลุ่ม
- ทักษะการ - สังเกตความมีวินัย
สรุปอ้างอิง ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
- ทักษะการคิด ในการท�ำงาน
อย่างมีเหตุผล
- ทักษะการ
น�ำความรู้ไปใช้
สารบั ญ

Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม T2 - T3 T4 - T5 T6

• การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล T7 - T11
• กฎการแยกและกฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ T12 - T17
• ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ T18 - T33
พันธุศาสตร์เมนเดล
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 T34 - T37

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ยีนและโครโมโซม T38 - T39 T40 - T43 T44

• การค้นพบสารพันธุกรรม T45 - T47


• โครโมโซม T48 - T52
• ดีเอ็นเอ T53 - T57
• สมบัติของสารพันธุกรรม T58 - T71
• การกลาย T72 - T80
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 5 T81 - T85

หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 พันธุศาสตร์และเทคโนโลยี T86 T87 T88


ทางดีเอ็นเอ

• เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ T89 - T97


• การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ T98 - T106
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 T107 - T109
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 วิวัฒนำกำร T110 - T111 T112 - T115 T116

• หลักฐานที่บ่งบอกถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต T117 - T127


• แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต T128 - T134
• พันธุศาสตร์ประชากร T135 - T145
• กําเนิดของสปีชีส์ T146 - T151
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 T152 - T157

STEM Project T158 - T159

บรรณำนุกรม T160
Chapter Overview

แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบาย และสรุปการ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การศึกษา ม.4 เล่ม 2 ทดลองการถ่ายทอด ความรู้ (5Es ก่อนเรียน - ท กั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
พันธุศาสตร์ - แบบฝึกหัดชีววิทยา ลักษณะของถัว่ ลันเตา Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด ค้นหา - มุ่งมั่นใน
ของเมนเดล ม.4 เล่ม 2 ได้ (K) Model) - ตรวจผังสรุป เรื่อง - ทกั ษะการวิเคราะห์ การท�ำงาน
- PowerPoint 2. อธิบายความหมาย การศึกษาพันธุศาสตร์ - ทกั ษะการให้
3 ประกอบการสอน และยกตัวอย่างของ ของเมนเดล เหตุผล
ชั่วโมง
ลักษณะเด่น ลักษณะ - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทกั ษะการคิดอย่าง
ด้อย ยีนเด่น ยีนด้อย การถ่ายทอดลักษณะ มีเหตุผล
แอลลีล โลคัส ถั่วลันเตาของเมนเดล
ฮอมอโลกัสโครโมโซม - สังเกตพฤติกรรม
ฟีโนไทป์ จีโนไทป์ การทำ�งานรายบุคคล
ฮอมอไซกัสจีโนไทป์ - สังเกตความมีวินัย
เฮเทอโรไซกัสจีโนไทป์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ความเด่นแท้ ในการทำ�งาน
ความด้อยแท้ (K)
3. เขียนการถ่ายทอด
ลักษณะพันธุกรรม
ของถั่วลันเตาตาม
การทดลองของ
เมนเดลได้ (P)
4. สนใจใฝ่รใู้ นการศึกษา (A)
แผนฯ ที่ 2 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายกฎการแยกและ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการส�ำรวจ - มีวินัย
กฎของเมนเดล ม.4 เล่ม 2 กฎการรวมกลุ่มอย่าง ความรู้ (5Es - ต รวจกิจกรรม การแก้ ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา อิสระของเมนเดลได้ (K) Instructional โจทย์ปัญหาเรื่อง - ทกั ษะการเชือ่ มโยง - มุ่งมั่นใน
5 ม.4 เล่ม 2
- PowerPoint
2. ค�ำนวณโอกาสในการ
เกิดฟีโนไทป์และ
Model) พันธุศาสตร์เมนเดล
- ตรวจกิจกรรม การผสม
- ทกั ษะการวิเคราะห์ การท�ำงาน
- ทกั ษะการรวบรวม
ชั่วโมง
ประกอบการสอน จีโนไทป์แบบต่าง ๆ ของ พิจารณาหลายลักษณะ ข้อมูล
รุ่น F1 และ F2 ได้ (K) - ตรวจผังสรุป เรื่อง - ทกั ษะการคิดอย่าง
3. ใช้กฎการแยกหาโอกาส วิเคราะห์ความสัมพันธ์ มีเหตุผล
ของการเกิดฟีโนไทป์ ของกฎการแยกและ
และจีโนไทป์แบบต่าง ๆ กฎการร่วมกลุ่มอย่าง
ของรุน่ F1 และ F2 ของ อิสระของเมนเดลกับ
การผสมพิจาณาลักษณะ การแบ่งเซลล์ของ
เดียวได้ (K) สิ่งมีชีวิต
4. ใช้กฎการรวมกลุ่ม - ตรวจใบงาน เรื่อง กฎ
อย่างอิสระหาโอกาส การแยกของเมนเดล
ของการเกิดฟีโนไทป์ - ตรวจใบงาน เรื่อง กฎ
และจีโนไทป์แบบต่าง ๆ การรวมกลุ่มอย่าง
ของรุ่น F1 และ F2 อิสระของเมนเดล
ของการผสมพิจารณา - สังเกตพฤติกรรม
สองลักษณะได้ (K) การทำ�งานรายบุคคล
5. เขียนการถ่ายทอด - สังเกตความมีวินัย
ลักษณะพันธุกรรมตาม ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
กฎการแยกและกฎการ ในการทำ�งาน
รวมกลุ่มอย่างอิสระ
ของเมนเดลได้ (P)
6. สนใจใฝ่รใู้ นการศึกษา (A)

T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการถ่ายทอด แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ท กั ษะการส�ำรวจ - มีวินัย
ลักษณะ ม.4 เล่ม 2 ลักษณะพันธุกรรมที่เป็น หาความรู้ (5Es หลังเรียน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
พันธุกรรมที่เป็น - แบบฝึกหัดชีววิทยา ส่วนขยายของพันธุศาสตร์ Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการให้ - มุ่งมั่นใน
ส่วนขยายของ ม.4 เล่ม 2 เมนเดลได้ (K) Model) - ตรวจกิจกรรม ลักษณะ เหตุผล การท�ำงาน
พันธุศาสตร์ - PowerPoint ประกอบ 2. ยกตัวอย่างลักษณะ พันธุกรรมที่เป็นส่วน - ทกั ษะการเปรียบ
เมนเดล การสอน พันธุกรรมที่เป็นส่วนขยาย ขยายของพันธุศาสตร์ เทียบ
ของพันธุศาสตร์เมนเดลได้ เมนเดล - ทกั ษะการคิด
8 (K) - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง อย่างมีเหตุผล
ชั่วโมง 3. เปรียบเทียบลักษณะทาง ลักษณะพันธุกรรมที่ - ทกั ษะการน�ำ
พันธุกรรมที่มีการแปรผัน เป็นส่วนขยายของ ความรูไ้ ปใช้
ไม่ต่อเนื่องและลักษณะทาง พันธุศาสตร์เมนเดล - ทกั ษะการสรุป
พันธุกรรมที่มีการแปรผัน - ตรวจใบงาน เรื่อง ความเห็นจาก
ต่อเนื่อง (K) การถ่ายทอดลักษณะ ข้อมูล
4. ประยุกต์ใช้ความรู้จาก ของเส้นผม
การการถ่ายทอดลักษณะ - ตรวจใบงาน เรื่อง
พันธุกรรมที่เป็นส่วนขยาย การถ่ายทอดลักษณะ
ของพันธุศาสตร์เมนเดล ทางพันธุกรรมแบบ
มาหาโอกาสการเกิดลักษณะ มัลติเพิลแอลลีล
ทางพันธุกรรมต่าง ๆ ได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง การ
5. เขียนการถ่ายทอดลักษณะ ถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมลักษณะต่าง ๆ พันธุกรรมที่ควบคุมโดย
เป็นส่วนขยายของ ยีนบนโครโมโซมเพศ
พันธุศาสตร์เมนเดลได้ (P) - ตรวจ Unit Question
6. เขียนพันธุประวัติแสดงการ ท้ายหน่วยการเรียนรู้
ถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม ที่ 4 ในหนังสือเรียน
ภายในครอบครัวได้ (P) ชีววิทยา ม.4 เล่ม 2
7. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) - ตรวจแบบทดสอบท้าย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
ในแบบฝึกหัดชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน

T3
Chapter Concept Overview
การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล
• เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล ท�าการทดลองการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของถั่วลันเตา
โดยผสมถั่วลันเตาที่มีลักษณะแตกต่างกัน พบว่า ถั่วลันเตารุ่นลูกจะมีลักษณะเหมือนต้นพ่อ
หรือต้นแม่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น และเมื่อน�ารุ่นลูกมาผสมกันเองจะได้ถั่วลันเตารุ่นหลาน
ที่มีบางต้นลักษณะเหมือนต้นพ่อ และบางต้นลักษณะเหมือนต้นแม่
• การถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตามียีน (gene) ควบคุม ซึ่งประกอบด้วยแอลลีล (allele)
2 แอลลีล ซึง่ รุน่ ลูกจะได้รบั แอลลีลจากพ่อและแม่อย่างละหนึง่ แอลลีล แต่ลกั ษณะทีป่ รากฏ
ออกมาจะมีเพียงลักษณะเดียวเท่านั้น เนื่องจากแอลลีลควบคุมลักษณะเด่นจะข่มแอลลีล
ควบคุมลักษณะด้อยอยู่ โดยเรียกแอลลีลที่ควบคุมลักษณะเด่นว่า แอลลีลเด่น (dominant
allele) และเรียกแอลลีลทีค่ วบคุมลักษณะด้อยว่า แอลลีลด้อย (recessive gene) และเมือ่ ให้
รุน่ ลูกผสมกันเองจะได้รนุ่ หลานทีแ่ สดงทัง้ ลักษณะเด่นและลักษณะด้อยออกมา ซึง่ มีอตั ราส่วน
ระหว่างลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยเท่ากับ 3 : 1
• คู่ของแอลลีลหรือรูปแบบของยีนที่ปรากฏเป็นคู่กัน เรียกว่า จีโนไทป์ (genotype) ส่วนลักษณะ
ที่แสดงออกมา เรียกว่า ฟีโนไทป์ (phenotype)

กฎการแยกและกฎการรวมกลุ่มอย่าอิสระของเมนเดล
การศึกษาการถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตา เมนเดลสามารถสรุปกฎการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้ 2 ข้อ ดังนี้
กฎกำรแยก กฎกำรรวมกลุ่มอย่ำงอิสระ
(lawofsegregation) (lawofindependentassortment)
มีใจความส�าคัญว่า ลักษณะของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมโดยยีน และ มีใจความส�าคัญว่า แอลลีลของยีนทีเ่ ป็นคูก่ นั เมือ่ แยกออกจากกัน
ยีนจะปรากฏเป็นคู่ ๆ เสมอ ซึ่งยีนจะแยกจากกันเมื่อมีการสร้าง จะจัดกลุ่มกันอย่างอิสระกับแอลลีลของยีนอื่น ๆ ซึ่งแยกออกจาก
เซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์จะได้รับเพียงแอลลีล คู่เช่นกันเพื่อเข้าไปยังเซลล์สืบพันธุ์
ใดแอลลีลหนึ่ง

รุน P กลมเหลือง RRYY ขรุขระเขียว rryy


รุ่น P
×
ดอกสีมวง ดอกสีขาว เซลล์สืบพันธุ์ RY ry
PP PP
กลมเหลือง ผสมภายใน
P p รุ่น F1 RrYy รุ่นเดียวกัน
เซลล์สืบพันธุ์ RY RY
รุน F1 เซลล์ไข่ rY RRYY rY สเปร์ม
Ry RrYY RrYY Ry
ดอกสีมวง
1/2 P 1/2 p ry ry
RRYy rrYY RRYy
รุน F2 สเปรม รุ่น F2
P p RrYy RrYy RrYy RrYy
rrYy RRyy rrYy
P กลม เหลือง
ไข PP PP Rryy Rryy
ขรุขระ เหลือง
p rryy
PP PP กลม เขียว
3 1 เขียว ขรุขระ
ดอกสีมวง : ดอกสีขาว

T4
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล
การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของเมนเดล เป็นการถ่ายทอดลักษณะทีค่ วบคุมด้วยยีนเพียงยีนเดียวหรือสองแอลลีลเท่านัน้ ซึง่ แอลลีลเด่น
จะข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์ แต่การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะไม่ได้ถูกควบคุมการแสดงออกตากฎของเมนเดล ดังนี้
• การข่มไม่สมบูรณ์ (incomplete dominant) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วย
ยีนเดียว แต่แอลลีลไม่ได้มลี กั ษณะเด่นหรือด้อยอย่างสมบูรณ์ เช่น สีดอกของต้นลิน้ มังกร
ถูกควบคุมด้วยแอลลีล 2 แอลลีล คือ แอลลีล R ควบคุมดอกลิน้ มังกรสีแดง และแอลลีล
Rʹ ควบคุมดอกลิน้ มังกรสีขาว ดังนัน้ จีโนไทป์แบบ RR แสดงดอกลิน้ มังกรสีแดง จีโนไทป์
RR RRʹ R ʹR ʹ
แบบ RRʹ แสดงดอกลิ้นมังกรสีชมพู และจีโนไทป์แบบ RʹRʹ แสดงดอกลิ้นมังกรสีขาว
• ความเด่นร่วม (codominant) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนเดียว
แต่แอลลีลสองแอลลีลไม่ข่มซึ่งกันแหละกัน แต่แสดงลักษณะเด่นออกมาเท่ากัน เช่น
หมู่เลือด AB ในระบบ ABO
• มัลติเพิลแอลลีล (multiple allele) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยแอลลีลมากกว่า 2 แอลลีล เช่น หมู่เลือดระบบ ABO
ประกอบด้วยแอลลีล IA IB เป็นแอลลีลเด่น และ i เป็นแอลลีลด้อย ดังนัน้ จีโนไทป์แบบ IAIA IAi จะแสดงหมูเ่ ลือด A จีโนไทป์แบบ IBIB IBi
จะแสดงหมู่เลือด B จีโนไทป์แบบ IAIB จะแสดงหมู่เลือด AB และโนไทป์แบบ ii
จะแสดงหมู่เลือด O
• พอลิยีน (polygene) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนหลายยีน และมี
สิง่ แวดล้อมมาเกีย่ วข้อง เช่น สีตา ซึง่ เมือ่ ได้รบั แอลลีลเด่นทีส่ ร้างเมลานินมาก จะท�ำให้ตา
มีสนี ำ�้ ตาลเข้มจนถึงน�ำ้ ตาลอ่อน แต่ถา้ ได้รบั แอลลีลด้อยทีไ่ ม่มกี ารสร้างเมลานิน จะท�ำให้
ตามีสีนำ�้ ตาลอ่อนจนถึงฟ้า
• ยนี บนโครโมโซมเพศ เป็นลักษณะทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซมเพศ จึงแสดงออกในเพศชายและเพศหญิงได้แตกต่างกัน
เพราะมีโครโมโซมเพศต่างกัน เช่น ลักษณะตาบอดสีเขียวแดงถูกควบคุมด้วยแอลลีลด้อยที่อยู่บนโครโมโซม X ซึ่งหากเพศชายได้
รับแอลลีลด้อยมาจะแสดงอาการตาบอดสีทันที เพราะมีโครโมโซม X เพียงแท่งเดียว แต่ส�ำหรับเพศหญิง ต้องได้รับแอลลีลด้อยทั้ง
2 แอลลีล ถึงจะแสดงอาการตาบอดสี และหากได้รับเพียงแอลลีลเดียวจะเป็นแค่พาหะของลักษณะตาบอดสี
• ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน เป็นลักษณะ • ลกั ษณะภายใต้อทิ ธิพลเพศ เป็นลักษณะ • ลักษณะที่จ�ำกัดในเพศ เป็นลักษณะ
ทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนบน พันธุกรรมที่อยู่บนโครโมโซมร่างกาย พันธุกรรมที่อยู่บนโครโมโซมร่างกาย
โครโมโซมเดียวกัน และยีนสามารถจะ แต่มกี ารแสดงออกแตกต่างกันในแต่ละ แต่แสดงออกในเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น
ถูกถ่ายทอดไปพร้อมกันได้ เรียนยีนที่ เพศ เช่น ลักษณะศีรษะล้าน จะเป็น เช่น ลักษณะขนหางของไก่เพศผู้จะมี
ถ่ายทอดไปด้วยกันเหล่านี้ว่า ลิงค์เกจ แอลลีลเด่นในเพศชาย เมือ่ ได้รบั แอลลีล ทั้งแบบขนสั้นและขนยาว ขึ้นอยู่กับ
(linkage) เช่น ยีนควบคุมลักษณะสีตัว ควบคุมศีรษะล้านมาเพียงแอลลีลเดียว แอลลีลที่ได้รับ แต่ส�ำหรับขนหางของ
และลักษณะปีกของแมลงหวี่สามารถ จะแสดงอาการศีรษะล้านทันที แต่จะ ไก่เพศเมียจะมีขนหางสัน้ เท่านัน้ ไม่วา่
ถ่ายทอดไปพร้อมกัน เป็นแอลลีลด้อยในเพศหญิง ซึง่ ต้องได้รบั จะรับแอลลีลแบบใดก็ตาม
แอลลีลควบคุมศีรษะล้านทั้ง 2 แอลลีล
จึงจะแสดงลักษณะศีรษะล้าน

T5
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา

การถายทอด
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู

4
หน่วยการเรียนรู้ที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครูใชคําถาม Big Question เพื่อกระตุนความ
สนใจของนักเรียนวา เพราะเหตุใด บุคคลใน
ทางพันธุกรรม
ครอบครัวจึงมีลักษณะตางๆ คลายคลึงกัน ผลการเรียนรู้ หากสังเกตบุคคลในครอบครัว จะเห็นว่าเรามีบางลักษณะ
4. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา หากสังเกตบุคคลใน 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปการ ที่คล้ายคลึงกับพ่อแม่ พี่น้อง หรือบุคคลต่าง ๆ ในเครือญาติ
ทดลองของเมนเดลได้ แต่หากสังเกตผู้คนรอบ ๆ ตัว จะเห็นถึงความแตกต่างและ
ครอบครัวจะเห็นวามีบางลักษณะที่คลายคลึง 2. อธิ บ ายและสรุ ป กฎแห่ ง การแยก
และกฎแห่งการรวมกลุม่ อย่างอิสระ ความหลากหลายต่าง ๆ ทั้งลักษณะสีตา สีผิว สีผม ซึ่งลักษณะ
กับพอแม พีน่ อ ง หรือบุคคลในเครือญาติ แตหาก และน�ากฎของเมนเดลนี้ไปอธิบาย เหล่านี้ล้วนเกิดจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจาก
สังเกตผูคนรอบๆ ตัว จะเห็นความแตกตาง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
รุน่ หนึง่ ไปสูอ่ กี รุน่ หนึง่ ท�าให้เกิดการแสดงออกของลักษณะต่าง ๆ
และใช้ในการค�านวณโอกาสในการ
ของลักษณะตางๆ ทัง้ ลักษณะสีตา สีผวิ สีผม เกิ ด ฟี โ นไทป์ แ ละจี โ นไทป์ แ บบ ที่เหมือนและแตกต่างกันออกไป
ซึง่ ลักษณะตางๆ เหลานีเ้ กิดจากการถายทอด ต่าง ๆ ของรุ่น F1 และ F2 ได้
3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย
ทางพันธุกรรมจากรุน หนึง่ ไปสูอ กี รุน หนึง่ ทําให และสรุ ป เกี่ ย วกั บ การถ่ า ยทอด
ทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ
มีการแสดงออกของลักษณะตางๆ ที่เหมือน พันธุศาสตร์เมนเดลได้
และแตกตางกันออกไป 4. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบ
เทียบลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี าร
แปรผันไม่ต่อเนื่องและลักษณะทาง
พันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเนือ่ งได้
5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม
และยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุ-
กรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซม
และยีนบนโครโมโซมเพศได้

แนวตอบ Big Question


มนุษยจะถายทอดลักษณะตางๆ เชน สีตา
สี ผ ม ความสู ง สี ผิ ว ห อ ลิ้ น ได ห อ ลิ้ น ไม ไ ด
ผมหยิ ก ผมเหยี ย ดตรง มี ติ่ ง หู ไม มี ติ่ ง หู จาก à¾ÃÒÐà˵Øã´ ºØ¤¤Å
บรรพบุรุษสูลูกหลาน โดยลูกจะไดรับการถายทอด 㹤Ãͺ¤ÃÑǨ֧ÁÕÅѡɳÐ
µ‹Ò§ æ ¤ÅŒÒ¤ÅÖ§¡Ñ¹
ลั ก ษณะจากพ อ และแม ซึ่ ง พ อ ก็ จ ะได รั บ การ
ถายทอดลักษณะมาจากปูและยาอีกที เชนเดียวกับ
แมก็จะไดรับการถายทอดลักษณะจากตาและยาย
เชนกัน จากการถายทอดลักษณะตางๆ ของแตละ
รุน จึงทําใหบุคคลในครอบครัวมีลักษณะตางๆ ที่
คลายคลึงกัน

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรือ่ ง การถายทอดทางพันธุกรรม ครูควรเนนการใชภาพ
สื่อดิจิทัล หรือแบบจําลองตางๆ เพื่อชวยใหนักเรียนเกิดความเขาใจไดงายขึ้น
รวมถึงควรเนนใหนักเรียนไดฝกทําโจทยเพื่อทํานายการถายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมตางๆ ของสิ่งมีชีวิต เชน ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถายทอดทาง
โครโมโซมรางกายและโครโมโซมเพศ ความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรมที่
ควบคุมดวยโครโมโซมรางกายและโครโมโซมเพศ เปนตน

T6
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร 1. การศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
คือใคร ความรูเดิมของนักเรียน
มนุษย์สามารถสังเกตลักษณะต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดจาก
พ่อแม่ไปสูล่ กู หลานได้มาเป็นเวลายาวนาน เพียงแต่ยงั ไม่มคี วามรู้ 2. ครูเลาประวัติของเกรเกอร โยฮันน เมนเดล
พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุน จนกระทั้งการทดลองของเกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล ใหนักเรียนทราบ
(Gregor Johann Mendel) น�าไปสู่การค้นพบทฤษฎีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 3. ครู นํ า ภาพถั่ ว ลั น เตาและคํ า อธิ บ ายลั ก ษณะ
ของถั่วลันเตามาใหนักเรียนศึกษา แลวถาม
เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล เป็นชาวออสเตรีย เกิดในปี
นักเรียนวา
พ.ศ. 2365 บิดามารดาเป็นชาวสวน ในวัยเด็กเมนเดลมีความ
สนใจในการเรียนหนังสือมากจึงได้ไปเรียนที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ï• เพราะเหตุ ใ ดเมนเดลจึ ง เลื อ กถั่ ว ลั น เตา
ในกรุงบรึนน์ (Brunn) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองเบอร์โน (Brno) ใน เปนพืชตัวอยางในการทดลองการถายทอด
สาธารณรัฐเช็ก ในเวลาต่อมาเมนเดลได้ไปศึกษาต่อที่มหา- ลักษณะทางพันธุกรรม
วิทยาลัยเวียนนา ประเทศออสเตรีย ทางด้านฟิสกิ ส์ คณิตศาสตร์ (แนวตอบ ถั่วลันเตาเปนพืชปลูกงาย เจริญ
เคมี และพฤกษศาสตร์ หลังจากส�าเร็จการศึกษาจึงกลับมาเป็น เติ บ โตเร็ ว และให เ มล็ ด จํ า นวนมาก
ครูสอนวิทยาศาสตร์ และได้ดัดแปลงที่ดินด้านหลังโบสถ์ให้เป็น เปนพืชที่มีหลายพันธุ และมีลักษณะทาง
แปลงทดลองด้านพฤกษศาสตร์ควบคู่กับงานสอนด้านศาสนา ภาพที่ 4.1 เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล พันธุกรรมที่แตกตางกันอยางชัดเจน อีกทั้ง
(พ.ศ.2365-2427)
เมนเดลได้เริ่มศึกษาด้านพันธุศาสตร์ โดยท�าการทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตาและสังเกต ยั ง มี ด อกประเภทดอกสมบู ร ณ เ พศ ซึ่ ง
ลักษณะต่าง ๆ ของถั่วลันเตาที่ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยพบว่าบางลักษณะใน สามารถเกิ ด การผสมพั น ธุ  ภ ายในดอก
รุ่นพ่อแม่จะปรากฎออกมาในรุ่นลูกเสมอ และจากการทดลองในหลาย ๆ รุ่นท�าให้เมนเดลค้นพบ เดียวกัน หรือเกิดการผสมขามตนได)
กฏเกณฑ์ส�าคัญทางพันธุศาสตร์ และสามารถอธิบายหลักการพื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะ
ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ จึงท�าให้เมนเดลได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์
ในการศึกษาพันธุศาสตร์ เมนเดลเลือกทดลองกับถั่วลันเตา (Pisum sativum L.) เนื่องจาก
มีลักษณะที่เหมาะสมหลายประการ ดังนี้
- ถั่วลันเตาเป็นพืชปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และให้เมล็ด
จ�านวนมาก
- ถั่วลันเตาเป็นพืชที่มีหลายพันธุ์ และมีลักษณะทาง 1
พันธุกรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
- ถั่วลันเตามีดอกประเภทสมบูรณ์เพศ ซึ่งสามารถเกิด
การผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน 2(self-pollination) หรือเกิด
การผสมข้ามต้น (3cross-pollination) ได้
ภาพที่ 4.2 ลักษณะฝักและดอกของถั่วลันเตาที่แมนเดลเลือกมาศึกษา

การถ่ายทอด 3
ทางพันธุกรรม แนวตอบ Prior Knowledge
เกรเกอร โยฮันน เมนเดล

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ข อ ใดต อ ไปนี้ ไ ม ใ ช คุ ณ สมบั ติ ข องถั่ ว ลั น เตาที่ เ หมาะสมใน 1 ลักษณะทางพันธุกรรม เปนลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ทีถ่ า ยทอดจากรุน หนึง่ ไป
การใชเปนพืชทดลอง ยังอีกรุนหนึ่งได โดยผานทางยีนซึ่งเปนหนวยพันธุกรรมที่ควบคุมการถายทอด
1. เปนพืชที่มีหลากหลายพันธุ ลักษณะตาง ๆ ของสิง่ มีชวี ติ ซึง่ ยีนจะอยูบ นโครโมโซมทีอ่ ยูใ นนิวเคลียสของเซลล
2. ปลูกงายและเจริญเติบโตเร็ว 2 การผสมพันธุภ ายในดอกเดียวกัน เปนการผสมพันธุร ะหวางเกสรเพศผูแ ละ
3. เปนพืชที่ใหเมล็ดจํานวนมาก เกสรเพศเมียภายในดอกเดียวกัน หรือคนละดอกแตอยูบนตนเดียวกัน
4. เปนพืชมีดอกเปนดอกแยกเพศ 3 การผสมพันธุข า มตน เปนการผสมพันธุร ะหวางเกสรเพศผูข องพืชตนหนึง่
5. มีลักษณะที่แตกตางกันหลายลักษณะ และเกสรเพศเมียของพืชอีกตนหนึ่ง
(วิเคราะหคาํ ตอบ ถัว่ ลันเตาทีเ่ มนเดลเลือกมาศึกษาเปนพืชปลูกงาย
เจริญเติบโตเร็ว ใหเมล็ดจํานวนมาก มีลกั ษณะทีแ่ ตกตางกันหลาย
ลักษณะ มีดอกประเภทสมบูรณเพศ จึงงายตอการผสมภายใน
ตนเดียว หรือผสมขามตน ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T7
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ลั ก ษณะของ เมนเดลได้คัดเลือกลักษณะของถั่วลันเตา 7 ลักษณะที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ถั่วลันเตาที่เหมาะสมตอการเปนพืชตัวอยาง ในการทดลองการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ดังนี้
เพราะถัว่ ลันเตาเปนพืชปลูกงาย เจริญเติบโตเร็ว
ตารางที่ 4.1 : เปรียบเทียบถั่วลันเตา 7 ลักษณะที่เมนเดลเลือกมาศึกษา
ใหเมล็ดจํานวนมาก เปนพืชที่มีหลายพันธุ
สีดอก ต�าแหน่ง สีเมล็ด ลักษณะของ ลักษณะ สีของฝก ความสูง
และมี ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมที่ แ ตกต า งกั น ของดอก เมล็ด ของฝก ของต้น
อยางชัดเจน มีดอกประเภทดอกสมบูรณเพศ สีม่วง กิ่ง สีเหลือง กลม อวบ สีเขียว ต้นสูง
จึงสามารถเกิดการผสมพันธุภ ายในดอกเดียวกัน
หรื อ เกิ ด การผสมข า มต น ได พร อ มระบุ
ลักษณะที่เมนเดลเลือกมาศึกษาทั้ง 7 ลักษณะ สีขาว ยอด สีเขียว ขรุขระ แฟบ สีเหลือง ต้นเตี้ย
ได แ ก สี ด อก ตํ า แหน ง ของดอก สี เ มล็ ด
ลักษณะของเมล็ด ลักษณะของฝก สีของฝก
และความสูงของลําตน
เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
อธิบายความรู
เมนเดลผสมพันธุถ์ วั่ ลันเตา
ภายในดอกเดียวกันหลาย ๆ รุ่น
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ จนแน่ใจว่าทุกลักษณะทีเ่ ลือกมา
ลักษณะของถั่วลันเตาที่เหมาะสมในการใชเปน รุ่นพ่อแม่ (P) ศึกษาเป็นพันธุแ์ ท้ และคัดเลือก
พืชตัวอยางการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ต้ น พ่ อ และต้ น แม่ ที่ มี ลั ก ษณะ
ของเมนเดล แตกต่ า งกั น มาผสมกั น โดย
พิจารณาการผสมทีละลักษณะ
รุ่นลูก (F1) ภาพที่ 4.3 การผสมพันธุ์ถั่วลันเตา เช่น ลักษณะดอกสีม่วงกับดอก
ดอกสีม่วงกับดอกสีขาว สีขาว เป็นต้น ซึ่งต้นถั่วลันเตา
ที่น�ามาผสมกันนี้เรียกว่า รุ่นพ่อแม่ (parental generation) หรือ รุ่น P และต้นถั่วลันเตาต้นใหม่ที่
ได้จากการผสมพันธุ์เรียกว่า รุ่นลูก (first filial generation) หรือ รุ่น F1
จากการทดลองข้างต้น เมนเดลเกิดข้อสงสัยว่า “เพราะเหตุใดดอกถั่วลันเตาในรุ่น F1 จึงมี
สีมว่ งทัง้ หมด และไม่ปรากฏถัว่ ลันเตาดอกสีขาวออกมา” ซึง่ ในเวลาต่อมาเมนเดลท�าการทดลองต่อ
โดยผสมถั่วลันเตาดอกสีม่วงรุ่น F1 ด้วยกันเอง ได้ถั่วลันเตารุ่นหลาน (second filial generation)
หรือ รุ่น F2 แล้วบันทึกผลลักษณะต่าง ๆ ของรุ่น F2 และหาอัตราส่วนของลักษณะในแต่ละคู่ เช่น
ลักษณะสีดอกของถั่วลันเตาในรุ่น F2 ที่ได้ทั้งหมด 929 ต้น ประกอบด้วยต้นที่มีดอกสีม่วงจ�านวน
705 ต้น และดอกสีขาวจ�านวน 224 ต้น ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนระหว่างต้นที่มีดอกสีม่วงต่อดอก
สีขาวเป็น 3.15 : 1 เป็นต้น รวมถึงบันทึกผลการทดลองทีไ่ ด้จากลักษณะอืน่ ๆ อีก 6 ลักษณะเช่นกัน
4

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ครูอาจนําภาพลักษณะตางๆ ของถั่วลันเตาที่แตกตางกันมาใหนักเรียนดู ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน รวมกันวิเคราะหวา หาก
เพือ่ ใหนกั เรียนสามารถเห็นความแตกตางของลักษณะเดนและลักษณะดอยของ นักเรียนตองหาพืชชนิดอื่นมาเปนตัวแทนถั่วลันเตาในการศึกษา
ถั่วลันเตาไดอยางชัดเจน เชน สีดอกของถั่วลันเตา การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม นักเรียนจะเลือกใชพชื ชนิดใด
เพราะเหตุใด แลวใหนกั เรียนทําสรุปลงในกระดาษ A4 สงครูผสู อน

T8
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา

ตารางที่ 4.2 : ผลการผสมพันธุถั่วลันเตาพันธุแท้ที่รุ่นพ่อแม่มีลักษณะที่แตกต่างกัน


1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า การผสมพั น ธุ 
ถั่ ว ลั น เตาระหว า งต น พ อ และต น แม ที่ เ ป น
ลักษณะ ลักษณะรุ่นหลาน (F2) อัตราส่วนของ
ลักษณะ รุ่นพ่อแม่ (P)
รุ่นลูก (F1) และจ�านวนต้น ลักษณะในรุ่น F2 พันธุแท เชน ลักษณะดอกสีมวงกับดอกสีขาว
จะไดรนุ ลูกทีม่ ดี อกสีมว งทัง้ หมด เมือ่ นํารุน ลูก
ความสูง สูงทั้งหมด สูง เตี้ย 2.84 : 1 มาผสมกั น เองจะได ถั่ ว ลั น เตารุ  น หลานที่ มี
ของล�าต้น 787 277
อัตราสวนดอกสีมวงตอดอกสีขาวเทากับ 3 : 1
สูง เตี้ย 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ï• ทําไมจึงไมพบลักษณะดอกสีขาวในรุนลูก
รูปร่างของฝัก อวบทั้งหมด อวบ แฟบ 2.95 : 1 แตมาพบลักษณะดอกสีขาวในรุนหลาน
882 299
(แนวตอบ ลักษณะดอกสีขาวเปนลักษณะดอย
อวบ แฟบ จึงถูกลักษณะดอกสีมวงที่เปนลักษณะเดน
ขมไมใหมีการแสดงออก แตเมื่อใหรุนลูก
รูปร่าง กลมทั้งหมด กลม ขรุขระ 2.96 : 1
ของเมล็ด 5,474 1,850
ผสมกั น เองจะมี ก ารรวมกั น ของแอลลี ล
ที่ควบคุมลักษณะดอกสีขาว จึงมีการแสดง
กลม ขรุขระ
ลักษณะดอกสีขาวออกมา)
3. ครูใหนักเรียนศึกษาการผสมพันธุถั่วลันเตา
สีของเมล็ด เหลืองทั้งหมด เหลือง เขียว 3.01 : 1
6,022 2,001 ลักษณะอื่นๆ จากตารางที่ 4.2
เหลือง เขียว
4. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ï• อัตราสวนของรุน F1 และ F2 ของถั่วลั่นเตา
ต�าแหน่ง ดอกที่กิ่งทั้งหมด ดอกที่กิ่ง ดอกที่ยอด 3.14 : 1
เปนอยางไร
ของดอก 651 207 (แนวตอบ ในรุน F1 จะปรากฏเพียงลักษณะใด
ลักษณะหนึ่งเทานั้น แตในรุน F2 จะปรากฏ
ดอกที่กิ่ง ดอกที่ยอด อัตราสวนของลักษณะหนึ่งตอลักษณะหนึ่ง
สีของดอก ม่วงทั้งหมด ม่วง ขาว 3.15 : 1 ที่อัตราสวน 3 :1)
705 224 5. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า การถ า ยทอด
ลักษณะตางๆ ของถั่วลันเตามียีนควบคุม ซึ่ง
ม่วง ขาว
ยีนประกอบดวยแอลลีล 2 แอลลีล โดยรุนลูก
สีของฝัก เขียวทั้งหมด เขียว เหลือง 2.82 : 1 จะไดรับแอลลีลจากพอและแมอยางละหนึ่ง
428 152 แอลลีล แตลักษณะที่ปรากฏออกมาจะมีเพียง
ลักษณะเดียวเทานัน้ เรียกวา ลักษณะเดน สวน
เขียว เหลือง ลักษณะที่ยังไมปรากฎ เรียกวา ลักษณะดอย
การถ่ายทอด 5
เนื่องจากแอลลีลควบคุมลักษณะเดนจะขม
ทางพันธุกรรม
แอลลีลควบคุมลักษณะดอยอยู แตเมื่อใหรุน
ลูกผสมกันจะไดรนุ หลาน แสดงลักษณะเดนตอ
ลักษณะดอยเทากับ 3 : 1
ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เมนเดลและ
1. ลักษณะเดนจะขมลักษณะดอยอยางสมบูรณ การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม https://www.twig-aksorn.com/fifil m/
2. รุน F1 จะมีลักษณะเดนตอลักษณะดอยเทากับ 1 : 1 mendel-and-inheritance-7940/
3. รุน F2 จะมีลักษณะเดนตอลักษณะดอยเทากับ 3 : 1
4. ลักษณะถัว่ เลาเตาทีเ่ มนเดลเลือกศึกษามีทงั้ หมด 7 ลักษณะ
5. เมนเดลเลือกใชถวั่ ลันเตาเพราะเปนพืชปลูกงาย เจริญเติบโต
เร็ว และมีดอกสมบูรณเพศ
(วิเคราะหคาํ ตอบ เมนเดลเลือกใชถวั่ ลันเตาเพราะเปนพืชปลูกงาย
เจริญเติบโตเร็ว และมีดอกสมบูรณเพศ ซึง่ ลักษณะทีเ่ ลือกมาศึกษา
ทั้งหมดมี 7 ลักษณะ โดยรุน F1 ที่ไดจะแสดงลักษณะเดนออกมา
ทัง้ หมด เนือ่ งจากลักษณะเดนจะขมลักษณะดอยอยางสมบูรณ แต
รุน F2 จะมีลักษณะเดนตอดอยเทากับ 3 : 1 ดังนั้น จึงตอบ 2.)

T9
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
6. ครูใหนักเรียนกลับไปศึกษาตารางที่ 4.2 เพื่อ จากตาราง พบว่า อัตราส่วนรุ่น F2 ของทุกลักษณะจะใกล้เคียงกันที่ 3 : 1 เมนเดลจึงสรุปว่า
ศึกษาวาลักษณะใดของถั่วลันเตาเปนลักษณะ การถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตาต้องมีหน่วยควบคุมหรือแฟกเตอร์ (factor) โดยแฟกเตอร์จะ
เดน และลักษณะใดเปนลักษณะดอย ปรากฏเป็นคู่ ๆ ในรุ่นพ่อแม่และถ่ายทอดไปยังรุ่นลูก ซึ่งจะปรากฏเป็นคู่ ๆ เช่นกัน เช่น รุ่นพ่อแม่
7. ครูถามคําถามนักเรียนวา มีแฟกเตอร์ดอกสีม่วง 1 คู่ และดอกสีขาว 1 คู่ เมื่อผสมพันธุ์ได้รุ่นลูก F1 จะปรากฏแฟกเตอร์
ï• ลักษณะใดของถั่วลันเตาเปนลักษณะเดน 1 คู่ ประกอบด้วย แฟกเตอร์ดอกสีม่วง 1 แฟกเตอร์ และดอกสีขาว 1 แฟกเตอร์ แต่ลักษณะ
และลักษณะใดเปนลักษณะดอย
ที่แสดงออกมาเป็นแฟกเตอร์ดอกสีม่วงเท่านั้น เนื่องจากจะมีลักษณะเพียงลักษณะเดียวของ
(แนวตอบ ลักษณะทีเ่ ปนลักษณะเดน คือ ตนสูง
แฟกเตอร์ใดแฟกเตอร์หนึ่งเท่านั้นที่ปรากฏออกมา โดยลักษณะที่แสดงออกมาในรุ่น F1 จะเป็น
ฝกอวบ เมล็ดกลม เมล็ดสีเขียว ดอกออกทีก่ งิ่
ลักษณะเด่น (dominant trait) และลักษณะที่ไม่แสดงออกในรุ่น F1 แต่จะแสดงออกในรุ่น F2
ดอกสีมว ง และฝกสีเขียว สวนลักษณะทีเ่ ปน
ลักษณะดอย คือ ตนเตีย้ ฝกแฟบ เมล็ดขรุขระ จะเป็นลักษณะด้อย (recessive trait) ดังนั้น การปรากฏลักษณะดอกสีขาวในรุ่น F2 จึงเป็น
เมล็ดสีเขียว ดอกออกที่ยอด ดอกสีขาว หลักฐานว่าแฟกเตอร์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมของดอกสีขาวไม่ได้หายหรือถูกท�าลายลงในรุ่น F1
และฝกสีเหลือง) แต่ถกู ซ่อนไม่ให้แสดงออกเมือ่ ปรากฏพร้อมกับแฟกเตอร์ทถี่ า่ ยทอดทางพันธุกรรมของดอกสีมว่ ง
8. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา แอลลีลควบคุม รวมทั้งผลการทดลองของลักษณะอื่นก็ให้ผลการทดลองเช่นเดียวกัน
ลักษณะเดน เรียกวา แอลลีลเดน ซึง่ สามารถแสดง ภายหลังการทดลองของเมนเดล มีนักวิทยาศาสตร์อีกหลายท่านศึกษาเพิ่มเติม และใน
ลักษณะออกมาแมจะมีเพียงแคแอลลีลเดียว ปี พ.ศ. 2452 วิลเฮล์ม โจแฮนเซน (Wilhelm Johansen) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กได้เปลี่ยน
1
ส ว นแอลลี ล ที่ ค วบคุ ม ลั ก ษณะด อ ยเรี ย กว า ค�าว่าแฟกเตอร์มาใช้ค�าว่า ยีน (gene) ซึ่งเป็นต�าแหน่งของหน่วยพันธุกรรม และมีรูปแบบของยีน
แอลลีลดอย ซึ่งจะแสดงลักษณะออกมาก็ตอ ที่ก�าหนดลักษณะ เรียกว่า แอลลีล (allele) โดยเรียกแอลลีลที่ควบคุมลักษณะเด่นว่า แอลลีลเด่น
เมื่อแอลลีลทั้งคูเปนแอลลีลดอย (dominant allele) และแอลลีลทีค่ วบคุมลักษณะด้อยว่า แอลลีลด้อย (recessive allele) โดยลักษณะ
9. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) ที่ถูกควบคุมด้วยแอลลีลด้อยจะไม่แสดงออกเมื่อคู่กับแอลลีลเด่น เช่น ลักษณะดอกถั่วลันเตาใน
กับนักเรียน รุ่น F1 จะแสดงออกเพียงลักษณะดอกสีม่วงเท่านั้น จะไม่แสดงลักษณะดอกสีขาวออกมา แม้จะมี
แอลลีลควบคุมลักษณะดอกสีขาวก็ตาม เนือ่ งจากแอลลีลควบคุมลักษณะดอกสีมว่ งเป็นแอลลีลเด่น
อธิบายความรู จึงข่มแอลลีลควบคุมลักษณะดอกสีขาวที่เป็นแอลลีลด้อย เป็นต้น
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ สิ่งมีชีวิตมียีนควบคุมลักษณะต่าง ๆ เป็นจ�านวนมาก
H. O. T. S.
ลักษณะของถั่วลันเตาที่เหมาะสมในการใชเปน เช่น มนุษย์มีโครโมโซม 46 แท่ง แต่มียีนมากถึง 25,000 ยีน คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
พืชตัวอยางการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม แสดงว่าโครโมโซม 1 แท่งจะมียีนปรากฏอยู่เป็นจ�านวนมาก เพราะเหตุ ใ ด
ของเมนเดล ซึง่ การควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึง่ มักมียนี ควบคุมเป็นคู่ โดย เซลล์
ยีนจ�เายือ่ นวนมาก
บุขา้ งแก้ม
ยีนที่เข้าคู่กันจะปรากฏบนโครโมโซมที่เป็นคู่กันและมีลักษณะ จึงบรรจุอยู่บน
เหมือนกัน เรียกโครโมโซมที่เป็นคู่กันว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม โครโมโซมเดี ย วกั น
แนวตอบ H.O.T.S.
(homologous chromosome) และจะมีตา� แหน่งของยีนทีม่ แี อลลีล
โครโมโซมของสิ่ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด หนึ่ ง ๆ จะมี อยู่ในสภาพเป็นคู่กันบนโครโมโซม และต�าแหน่งของยีนจะ
จํานวนจํากัด แตสิ่งมีชีวิตจะมีลักษณะตางๆ เปน เรียกว่า โลคัส (locus พหูพจน์ loci)
จํานวนรอยหรือพันลักษณะ ซึ่งลักษณะเหลานี้ถูก 6
กําหนดขึน้ ดวยยีน ทําใหยนี ทีค่ วบคุมลักษณะตางๆ
จํานวนมากถูกบรรจุอยูบนโครโมโซมเดียวกัน

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 ยีน คือ ลําดับเบสของนิวคลีโอไทดชว งหนึง่ บนสายดีเอ็นเอ ทําหนาทีก่ าํ หนด ขอใดตอไปนี้ไมใชขอสรุปของเมนเดล
ลักษณะทางพันธุกรรมตางๆ ของสิ่งมีชวี ิต นิวคลีโอไทดที่เรียงตอกัน 3 ชนิด จะ 1. ลักษณะทีไ่ มปรากฏในรุน F1 เนือ่ งจากยีนทีค่ วบคุมลักษณะ
ทําหนาที่เปนรหัสพันธุกรรม โดยกําหนดชนิดของกรดอะมิโนซึ่งเปนหนวยยอย นั้นสูญหายไป
ของโปรตี น ที่ เ รี ย งต อ กั น เป น สายยาว โปรตี น หรื อ เอนไซม แ ต ล ะชนิ ด จะมี 2. การถายทอดลักษณะหนึ่งๆ ของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมโดย
การจัดเรียงลําดับกรดอะมิโนที่แตกตางกัน สงผลใหเกิดลักษณะทางพันธุกรรม เฟกเตอรที่เปนคู
ที่แตกตางกัน ซึ่งแบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ 3. ยีนที่ควบคุมลักษณะตางๆ จะอยูกันเปนคู และสามารถ
1) ยีนเดน คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะที่ควบคุมอยูออกมา แมคูของ ถายทอดไปยังรุนตอไปได
4. ลักษณะแตละลักษณะมียีนควบคุม 1 คู โดยมีแอลลีลหนึ่ง
โครโมโซมจะปรากฏแอลลีลเดนเพียงแอลลีลเดียว
มาจากพอ และอีกแอลลีลมาจากแม
2) ยีนดอย คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะที่ควบคุมอยูออกมา ก็ตอเมื่อคู
5. เมื่อมีการสรางเซลลสืบพันธุ ยีนที่อยูเปนคูๆ จะแยกออก
ของโครโมโซมปรากฏแอลลีลดอยทั้งคู จากกันไปอยูในเซลลสืบพันธุของแตละเซลล
(วิเคราะหคําตอบ ลักษณะที่ไมปรากฏในรุน F1 ไมไดสูญหาย แต
ไมสามารถแสดงออกมาได เนื่องจากถูกอีกลักษณะขมอยู ดังนั้น
ตอบขอ 1.)
T10
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
โลคัส
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการถายทอดลักษณะสีดอกของ
ถัว่ ลันเตา โดยแอลลีล P ควบคุมลักษณะดอกสีมว ง
ฮอมอโลกัส
โครโมโซม
แอลลีล และแอลลีล p ควบคุมลักษณะดอกสีขาว
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา คูของแอลลีลหรือ
รูปแบบของยีนทีป่ รากฏเปนคู ๆ บนฮอมอโลกัส
ภาพที่ 4.4 โลคัสของยีนที่เป็นแอลลีลกันบนฮอมอโลกัสโครโมโซม โครโมโซม เรียกวา จีโนไทป ซึ่งสามารถพบทั้ง
การศึกษาลักษณะสีดอกของถั่วลันเตา หากก�าหนดให้ P เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะ แบบฮอมอไซกัสจีโนไทปที่มีแอลลีล 2 แอลลีล
ดอกสีมว่ งและ p เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะดอกสีขาว ซึง่ ในรุน่ F1 จะได้ลกู ทีม่ ลี กั ษณะดอกสีมว่ ง เหมือนกัน และแบบเฮอเทอโรไซกัสจีโนไทป
ทั้งหมดหรือมีจีโนไทป์ (คู่แอลลีลของยีน) เป็น Pp แสดงว่ายีน P เป็นแอลลีลกับยีน p และเมื่อมี ที่มีแอลลีล 2 แอลลีลตางกัน สวนลักษณะ
การผสมรุ่น F1 ด้วยกันเอง จะได้รุ่น F2 ซึ่งมีโอกาสปรากฏรูปแบบของจีโนไทป์ได้ 3 รูปแบบ คือ ที่ปรากฏออกมา เรียกวา ฟโนไทป
PP Pp และ pp โดย PP และ Pp จะแสดงลักษณะดอกสีม่วง แต่ pp จะแสดงลักษณะดอกสีขาว
อธิบายความรู
ออกมา
คูข่ องแอลลีลหรือรูปแบบของยีนทีป่ รากฏเป็นคูก่ นั เรียกว่า จีโนไทป์ (genotype) โดยจีโนไทป์ 1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
ที่มีแอลลีล 2 แอลลีลเหมือนกันเรียกว่า ฮอมอไซกัสจีโนไทป์ (homozygous genotype) หรือ จีโนไทป และฟโนไทปของถั่วลันเตา
เรียกว่าเป็นพันธุแ์ ท้ ซึง่ สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 แบบ คือ ความเด่นแท้ (homozygous dominant) 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
เป็นจีโนไทป์ที่มีแอลลีลเด่นทั้งหมด เช่น PP เป็นต้น และความด้อยแท้ (homozygous recessive) ลักษณะถั่วลันเตาของเมนเดล
เป็นจีโนไทป์ทมี่ แอลลีลด้อยทัง้ หมด เช่น pp เป็นต้น ส่วนจีโนไทป์ทมี่ แี อลลีล 2 แอลลีลต่างกัน เรียกว่า 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
เฮเทอโรไซกัสจีโนไทป์ (heterozygous genotype) หรือเรียกว่าเป็นพันธุ์ทาง เช่น Pp ส่วนลักษณะ ชีววิทยา ม.4 เลม 2
ที่ปรากฏออกมาให้เห็น เช่น ดอกสีขาว ดอกสีม่วง จะเรียกว่า ฟีโนไทป์ (phenotype)
B iology ขัน้ สรุป
Focus กฎความน่าจะเป็น ขยายความเขาใจ
จากการน�ากฎความน่าจะเป็น (probability) มาใช้วเิ คราะห์ขอ้ มูลการท�านายโอกาสของการโยน ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า ผั ง สรุ ป เรื่ อ ง การศึ ก ษา
เหรียญ 2 เหรียญพร้อมกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้มี 3 แบบ คือ แบบที่ 1 ออกหัว 2 เหรียญ แบบที่ 2
ออกหัว 1 เหรียญและออกก้อย 1 เหรียญ และแบบที่ 3 ออกก้อย 2 เหรียญ โดยอัตราส่วนของโอกาส พันธุศาสตรของเมนเดล
แบบที่ 1 : แบบที่ 2 : แบบที่ 3 เท่ากับ 1 : 2 : 1
เมนเดลจึงใช้กฎความน่าจะเป็นมาอธิบายอัตราส่วนระหว่างลักษณะเด่นและลักษณะด้อยในรุ่น ขัน้ ประเมิน
F2 ที่เกิดขึ้น การผสมพันธุ์ถั่วลันเตารุ่น F1 ที่มีฟีโนไทป์เป็นฝักสีเขียว และจีโนไทป์เป็น Gg เปรียบได้ ตรวจสอบผล
กับการโยนเหรียญ 2 เหรียญพร้อมกัน โดยแทนด้านหนึ่งเป็น G และอีกด้านเป็น g ท�าให้จีโนไทป์ 1. ครูตรวจแบบทดสอบกอนเรียน
ของยีนในรุ่น F2 เข้าคู่กันได้ 3 แบบ คือ GG Gg และ gg โดยมีอัตราส่วนเท่ากับ 1 : 2 : 1 แต่
ลักษณะฟีโนไทป์ทแี่ สดงออกมาจะมีเพียง 2 แบบเท่านัน้ คือ ฝักสีเขียวและฝักสีเหลือง เนือ่ งจากจีโนไทป์ 2. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรื่อง การศึกษา
แบบ Gg จะแสดงลักษณะฝักสีเขียวออกมา ดังนัน้ อัตราส่วนของฝักสีเขียวต่อฝักสีเหลือง เท่ากับ 3 : 1 พันธุศาสตรของเมนเดล
3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
การถ่ายทอด
ทางพันธุกรรม
7 ลักษณะถั่วลันเตาของเมนเดล
4. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน
แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


เมื่อทําการผสมพันธุลักษณะเดนพันธุทางในรุนพอแม ขอใด ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง การศึกษาพันธุศาสตรของ
ไมเปนไปตามอัตราสวนของเมนเดล เมนเดล ไดจากผังสรุป เรือ่ ง การศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล ทีน่ กั เรียนทําใน
ขัน้ ขยายความเขาใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผล
จํานวนรุน F1 ที่ปรากฏ งานที่อยูในแผนการจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 4
ขอ
ลักษณะเดน ลักษณะดอย
1. 345 113 แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 1-3
แบบประเมินผังมโนทัศน์/ผังสรุป
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ

2. 482 160
ระดับคะแนน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์

3. 524 260
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม

4. 623 206 ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ

5. 782 261 ประเด็นที่ประเมิน


1. ความ
สอดคล้องกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์ทุกประเด็น
3
ระดับคะแนน

ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์เป็น
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้องกับ
จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์ ส่วนใหญ่
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน

(วิเคราะหคําตอบ อัตราสวนของการผสมพันธุระหวางพันธุทาง
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิด น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ แปลกใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่

กับพันธุทางจะไดลูกมีอัตราสวนของลักษณะเดน : ลักษณะดอย เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
กาหนด 2 วัน

ระดับคุณภาพ
กาหนด 3 วันขึ้นไป

เทากับ 3 : 1 ซึง่ อัตราสวนของ ขอ 3. เปน 2 : 1 ดังนัน้ ตอบขอ 3.)


14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T11
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge 2. กฎการแยกและกฎการรวมกลุม
เมนเดลอธิบายการ
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ï• อัตราสวน 3 : 1 ในรุน F2 เกิดขึ้นไดอยางไร
ถายทอดลักษณะของ อยางอิสระ
ถั่วลันเตาวาอยางไร
(แนวตอบ รุน F1 มีจโี นไทปแบบเฮเทอโรไซกัส เมนเดลท�าการศึกษา ค้นคว้า และทดลองเพื่อหารูปแบบ
สวนรุน F2 มีจโี นไทป 3 แบบ คือ ฮอมอไซกัส พื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โดยอาศัยถั่วลันเตาเป็นตัวอย่างของการทดลอง
โดมิแนนต เฮอเทอโรไซกัส และฮอมอไซกัส และสามารถสรุปเป็นหลักการส�าคัญได้ 2 หลักการ คือ กฎการแยก และกฎการรวมกลุ่มอย่าง
รีเซสซีฟ ในอัตราสวน 1 : 2 : 1 แตฮอมอ- อิสระ
ไซกัสโดมิแนนตและเฮเทอโรไซกัสจะแสดง 2.1 กฎการแยก
ลักษณะออกมาเหมือนกันทํ า ให รุ  น F 2 มี
การผสมพันธุ์ถั่วลันเตาในรุ่น F1 ด้วยกันเองจะได้อัตราส่วนจีโนไทป์รุ่น F2 เท่ากับ 1 : 2 : 1
ลักษณะทีแ่ สดงออกมาในอัตราสวน 3 : 1
1 โนไทป์เท่ากับ 3 : 1 ซึ่งอัตราส่วนนี้เกิดจากการแยกกันของแอลลีล P และ p ไปสู่
และอัตราส่วนฟี
เซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์ ท�าให้เมนเดลตั้งกฎข้อแรกขึ้น คือ กฎการแยก (law of segregation)
ขัน้ สอน มีใจความส�าคัญว่า “ลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ถูกควบคุมโดยยีน และยีนจะปรากฏเป็นคู่ ๆ เสมอ ซึง่ ยีน
สํารวจคนหา
จะแยกจากกันเมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์จะได้รับเพียงแอลลีลใด
1. ครูใหนักเรียนศึกษาการผสมพันธุถั่วลันเตา แอลลีลหนึ่ง”
ดอกสีมวงกับดอกสีขาว แลวถามนักเรียนวา รุ่น P จากกฎข้อที่ 1 ของเมนเดลสามารถ
• เพราะเหตุใดฟโนไทปของรุน F2 จึงมีลกั ษณะ ท�านายลักษณะของรุน่ F1 ได้หากทราบจีโนไทป์
เดนตอลักษณะดอยเทากับ 3 : 1 ขอรุ่นพ่อแม่ เช่น หากพ่อมีจีโนไทป์เป็น PP
ดอกสีม่วง ดอกสีขาว
(แนวตอบ ถั่วลันเตาดอกสีมวงในรุน F 1 มี PP pp
แสดงลักษณะดอกสีม่วง ผสมพันธุ์กับแม่มี
จีโนไทป Pp โดยแอลลีล P และ p จะแยกไป P p
สูเซลลไขหรือสเปรม เมื่อปฏิสนธิ โอกาสมีที่ จีโนไทป์เป็น pp แสดงลักษณะดอกสีขาว จะได้
รุ่น F1 รุ่น F1 มีจีโนไทป์เป็น Pp แสดงลักษณะดอก
เปนไปได 3 แบบ คือ PP Pp pp ในอัตราสวน
1 : 2 : 1 แตมีฟโนไทป 2 แบบ คือ ดอกสีมวง สีมว่ งทัง้ หมด เนือ่ งจากการแยกกันของแอลลีล
ดอกสีม่วง P ของพ่อทีเ่ ป็นคูก่ นั และแอลลีล p ของแม่ทเี่ ป็น
ตอดอกสีขาว ในอัตราสวน 3 : 1) 1/2 P 1/2 p
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม 6 กลุม ใชกฎการแยก รุ่น F2 สเปิร์ม คู ก่ นั แล้วมารวมกันได้เป็น Pp ในรุน่ F1 และเมือ่
P p
พิจารณาการผสมลักษณะตางๆ อีก 6 ลักษณะ ผสมรุ่น F1 ด้วยกันเอง จะได้รุ่น F2 มีฟีโนไทป์
P 2 แบบ คือ ดอกสีมว่ งและดอกสีขาวในอัตราส่วน
อธิบายความรู ไข่ PP Pp
3 : 1 แสดงว่าดอกสีขาวเป็นลักษณะด้อย ซึ่ง
1. ครูใหนักเรียนนําเสนอการผสมพันธุถั่วลันเตา p ควบคุมด้วยแอลลีลด้อยที่แฝงอยู่ในรุ่น F1 แต่
Pp pp
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับกฎ จะไม่ปรากฏออกมา เนื่องจากถูกแอลลีลเด่น
การแยกของเมนเดล 3 1 ของดอกสีมว่ งข่มอยู่ และจะแสดงออกในรุน่ F2
ดอกสีม่วง : ดอกสีขาว
แนวตอบ Prior Knowledge เมื่อมีการเข้าคู่ของแอลลีลด้อยด้วยกันเอง
ภาพที่ 4.5 การผสมพันธุ์ถั่วลันเตาดอกสีม่วงกับสีขาว
รุน F1 แสดงฟโนไทปที่เปนลักษณะเดนแตมี ตามกฎการแยกของเมนเดล
8
จีโนไทปแบบเฮเทอโรไซกัส สวนรุน F2 มีจโี นไทป 3
แบบ ทีอ่ ตั ราสวน 1 : 2 : 1 แตฟโ นไทปมเี พียง 2 แบบ
คือ ลักษณะเดนตอลักษณะดอย ทีอ่ ตั ราสวน 3 : 1)

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 เซลลสบื พันธุ คือ เซลลทมี่ จี าํ นวนโครโมโซม 1 ชุด (n) ซึง่ ทําหนาทีส่ บื พันธุ กระบวนการใดไมสามารถทําใหแอลลีลแยกออกจากกันได
ของสิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ โดยเซลลสืบพันธุเพศผู คือ สเปรม 1. การปฏิสนธิ
(sperm) และเซลลสืบพันธุเพศเมีย คือ เซลลไข (egg cell) 2. การสรางสเปรม
3. การสรางเซลลไข
4. การสรางเซลลสืบพันธุ
เกร็ดแนะครู 5. การแบงเซลลแบบไมโอซิส
ในการทํากิจกรรมกลุม พิจารณาการผสมพันธุถ วั่ ลันเตาลักษณะตางๆ อีก (วิเคราะหคําตอบ กระบวนการที่มีการแยกกันของแอลลีล คือ
6 ลักษณะ โดยใชกฎการแยกของเมนเดล ครูอาจใหทําเรียนเขียนเปนแผนผัง การแบงเซลลแบบไมโอซิส ซึง่ จะพบในการสรางเซลลสบื พันธุข อง
เพือ่ ใชประกอบการนําเสนอหนาชัน้ เรียน ซึง่ จะทําใหนกั เรียนกลุม อืน่ ๆ เห็นภาพ สิง่ มีชวี ติ ทัง้ เซลลไขและสเปรม แตการปฏิสนธิเปนการรวมกันของ
และเขาใจกฎการแยกไดงา ยยิง่ ขึน้ เซลลสบื พันธุท าํ ใหแอลลีลทีแ่ ยกออกจากกันกลับมาเขาคูก นั อีกครัง้
ดังนัน้ ตอบขอ 1.)

T12
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นเมนเดลยังไม่ทราบกลไกที่ท�าให้แอลลีลของยีนที่เป็นคู่กัน 1. ครูถามคําถามนักเรียนวา
แยกออกจากกันในระหว่างที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งภายหลั • ถั่วลันเตาดอกสีมวงที่นักเรียนเห็นสามารถ
1 งจึงทราบกันว่าแอลลีลของยีนที่
เป็นคูก่ นั จะแยกออกจากกันเมือ่ มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส และแอลลีลของยีนจะกลับมาเข้าคูก่ นั มีจีโนไทปไดกี่แบบ
อีกครั้งเมื่อมีการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์ ( แนวตอบ ถั่ ว ลั น เตาดอกสี ม  ว งสามารถมี
จากกฎการแยกของเมนเดล สามารถน�ามาใช้ตรวจสอบลักษณะจีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิต จีโนไทปได 2 แบบ คือ ฮอมอไซกัส (PP) และ
ที่แสดงลักษณะเด่นออกมา เนื่องจากลักษณะเด่นสามารถมีจีโนไทป์ทั้งแบบฮอมอไซกัสหรือ เฮเทอโรไซกัส (Pp) เนือ่ งจากลักษณะสีมว ง
เฮเทอโรไซกัส จึงต้องมีการตรวจสอบลักษณะจีโนไทป์ทแี่ สดงลักษณะเด่นออกมา โดยน�าสิ่งมีชีวิต เปนลักษณะเดนจึงขมลักษณะสีขาวที่เปน
ที่สงสัยมาผสมกับสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะด้อยหรือฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ แล้วสังเกตลักษณะที่เกิด ลักษณะดอย)
ขึ้นในรุ่น F1 เรียกวิธีการนี้ว่า การผสมทดสอบหรือเทสต์ครอสส์ (testcross) ตัวอย่างเช่น 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
การตรวจสอบจีโนไทป์ของถั่วลันเตาดอกสีม่วงที่สงสัย โดยน�ามาผสมกับถั่วลันเตาดอกสีขาวที่ • นั ก เรี ย นจะรู  ไ ด อ ย า งไรว า ถั่ ว ลั น เตาดอก
เป็นฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ (pp) หากพบว่า รุ่น F1 มีลักษณะดอกสีม่วงทั้งหมด แสดงว่าถั่วลันเตา สีมวงที่เห็นมีจีโนไทปแบบฮอมอไซกัส (PP)
ดอกสีม่วงในรุ่นพ่อแม่มีจีโนไทป์แบบฮอมอไซกัส (PP) แต่หากรุ่น F1 มีลักษณะดอกสีม่วงและ และแบบเฮเทอโรไซกัส (Pp)
ดอกสีขาวในอัตราส่วน 1 : 1 แสดงว่า ถัว่ ลันเตาดอกสีมว่ งในรุน่ พ่อแม่มจี โี นไทป์แบบเฮเทอโรไซกัส
(แนวตอบ ใชการตรวจสอบ ทีเ่ รียกวา การผสม
(Pp) ดังนี้
เพื่อทดสอบ หรือเทสตครอส)
3. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา การผสมเพือ่ ทดสอบ
เป น วิ ธีก ารตรวจสอบรู ป แบบจี โ นไทป ข อง
ดอกถั่วลันเตาสีม่วง ดอกถั่วลันเตาสีขาว
ไม่ทราบจีโนไทป์ (PP หรือ Pp) มีจีโนไทป์แบบฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ (pp) สิ่งมีชีวิตที่แสดงลักษณะเดนออกมาสามารถ
สเปิร์ม สเปิร์ม ตรวจสอบจีโนไทปที่สงสัยโดยนําไปผสมกับ
p p p p สิ่งมีชีวิตที่เปนฮอมอไซกัสรีเซสซีฟหรือแสดง
ลักษณะดอยออกมา
P P
Pp Pp Pp Pp
4. ครูใหนักเรียนศึกษา การตรวจสอบจีโนไทป
ไข่ ไข่
ของถั่ ว ลั น เตาดอกสี ม  ว ง และถามคํ า ถาม
P p นักเรียนวา
Pp Pp หรือ pp pp
ถ้าจีโนไทป์เป็น PP ถ้าจีโนไทป์เป็น Pp
• ถาจีโนไทปของถั่วลันเตาที่สงสัยเปนแบบ
ภาพที่ 4.6 การผสมเพื่อทดสอบลักษณะจีโนไทป์ของดอกถั่วลันเตา ฮอมอไซกัส (PP) จะใหรุน F1 เปนอยางไร
2 หรือถาเปนแบบเฮเทอโรไซกัส (Pp) จะให
นอกจากนั้น ยังมี การผสมกลับหรือแบกครอสส์ (back cross) ซึ่งเป็นการผสมพันธุ์โดยน�า รุน F1 เปนอยางไร
ลูกผสมรุน่ F1 ไปผสมพันธุก์ บั พ่อพันธุห์ รือแม่พนั ธุ์ การผสมกลับถูกน�ามาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุง (แนวตอบ ถาจีโนไทปของถั่วลันเตาที่สงสัย
พันธุ์ให้ได้ลูกผสมตามต้องการ เปนแบบฮอมอไซกัส (PP) รุน F1 จะมีดอกสีมว ง
9
ทัง้ หมด แตถา เปนแบบเฮอเทอโรไซกัส (Pp)
กฎแห่งการแยกของเมนเดล
รุ  น F 1 จะไปดอกสี ม  ว งและดอกสี ข าว
ในอัตราสวน 1:1)

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ถานําถั่วลันเตาตนสูงมาผสมกับตนเตี้ยไดรุนลูก F1 ที่มีตนสูง 1 การแบงเซลลแบบไมโอซิส เปนการแบงเซลลสืบพันธุของสิ่งมีชีวิต ซึ่ง
เพียง 50% แสดงวาตนพอและตนแมมีจีโนไทปเปนอยางไร นิวเคลียสจะมีการลดจํานวนโครโมโซมลงครึ่งหนึ่งจากเซลลดิพลอยด (2n)
1. ตนพอและตนแมเปนเฮเทอโรไซกัสทั้งคู เป น แฮพลอยด (n) การแบ ง เซลล แ บบไมโอซิ ส แบ ง ออกเป น 2 ขั้ น ตอน
2. ตนพอและตนแมเปนฮอมอไซกัสรีเซสซีฟทั้งคู คือ ไมโอซิส I และไมโอซิส II
3. ตนพอและตนแมเปนฮอมอไซกัสโดมิแนนตทั้งคู 2 การผสมกลั บ หรื อ แบคครอสส เป น การทดสอบจี โ นไทป ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต
4. ตนหนึง่ เปนเฮเทอโรไซกัส สวนอีกตนเปนฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ รุน F1 ที่สงสัยวามีลักษณะเดนเปนพันธุแทหรือพันธุทาง โดยนําสิ่งมีชีวิตรุน
5. ตนหนึ่งเปนเฮเทอโรไซกัส สวนอีกตนเปนฮอมอไซกัสโด- F1 ที่สงสัยไปผสมกับรุนพอหรือรุนแมที่มีลักษณะดอยแท ถาผลออกมาเปน
มิแนนต ลักษณะเดนทั้งหมด แสดงวาสิ่งมีชีวิตรุน F1 ที่สงสัยเปนลักษณะเดนพันธุแท
(วิเคราะหคําตอบ รุนลูก F1 ที่มีตนสูงเพียง 50% แสดงวาตนหนึ่ง แตถาผลออกมาเปนลักษณะเดนตอลักษณะดอยที่สัดสวน 1 : 1 แสดงวาเปน
เปนเฮเทอโรไซกัส สวนอีกตนเปนฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ ดังนั้น ลักษณะเดนแบบพันธุทาง
ตอบขอ 4.)

T13
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ • การสังเกต
ผสมทดสอบ การแก้โจทย์ปัญหาเรื่องพันธุศาสตร์ของเมนเดล • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
จิตวิทยาศาสตร์
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ • ความมีเหตุผล

เชื่อมโยงความรูเรื่องการผสมทดสอบกับกฎ จงตอบค�าถามต่อไปนี้ • ความรอบคอบ

การแยกของเมนเดล 1. จงเติมจีโนไทป์ รูปแบบของจีโนไทป์ รูปแบบของแอลลีลในเซลล์สืบพันธุ์ และโอกาสของการเกิดเซลล์


3. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม การแกโจทยปญหา สืบพันธุ์แต่ละแบบลงในตารางต่อไปนี้ให้สมบูรณ์
เรือ่ งพันธุศาสตรเมนเดล โดยบันทึกลงในสมุด รูปแบบของแอลลีลในเซลล์สืบพันธุ์
จีโนไทป์ รูปแบบของจีโนไทป์
บันทึกของนักเรียน และโอกาสของการเกิดเซลล์สืบพันธุ์
pp
เฮเทอโรไซกัส p(1/2) และ p(1/2)
Yy
yy y(1)
2. ก�าหนดให้ถวั่ ลันเตาดอกสีมว่ งเป็นลักษณะเด่น และดอกสีขาวเป็นลักษณะด้อย ถ้าผสมถัว่ ลันเตาดอกสีมว่ ง
ที่เป็นเฮเทอโรไซกัสกับดอกสีขาวที่เป็นฮอมอไซกัส จงหาว่ารุ่น F1 ที่เกิดขึ้นจะมีจีโนไทป์ได้กี่แบบ
3. ถ้าให้ L เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะปีกยาว และ l เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะปีกสัน้ เมือ่ ผสมพันธุแ์ มลงหวี่
ได้ลูกที่มีปีกยาวและลูกที่มีปีกสั้น ในอัตราส่วน 3 : 1 จงหาจีโนไทป์ของพ่อ แม่ และลูก
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 4. ก�าหนดให้สุนัขมีขนสีด�าเป็นลักษณะเด่น (B) และขนสีขาวเป็นลักษณะด้อย (b) ลูกที่เกิดขึ้นจากการ
1. ฮอมอไซกัส / P(1) ผสมพันธุ์ระหว่างสุนัขขนสีด�ากับสุนัขขนสีขาว พบว่ามีเฉพาะสุนัขขนสีด�า จงตอบค�าถามต่อไปนี้
Pp 4.1 จงหาจีโนไทป์ของพ่อ แม่ และลูกสุนัขที่ได้จากการผสมพันธุ์
4.2 ถ้าผสมพันธุ์รุ่น F1 เข้าด้วยกัน จงหาจีโนไทป์รุ่น F2 และอัตราส่วนของลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อย
เฮเทอโรไซกัส / Y(1/2) และ y(1/2) 4.3 ถ้าน�ารุน่ F1 ผสมพันธุก์ บั รุน่ พ่อแม่ทมี่ ขี นสีขาว โอกาสของลูกทีไ่ ด้จะมีขนสีอะไร และอัตราส่วนเท่าใด
ฮอมอไซกัส 5. ถ้าให้ T แทนแอลลีลทีค่ วบคุมลักษณะต้นสูงของกุหลาบ และ t แทนแอลลีลทีค่ วบคุมลักษณะต้นเตีย้ ของกุหลาบ
2. 2 แบบ คือ Pp และ pp การผสมพันธุ์ต้นกุหลาบต้นสูงคู่หนึ่ง พบว่าได้กุหลาบทั้งหมด 418 ต้น มีต้นสูง 314 ต้น และต้นเตี้ย 104
3. พอและแมมจี โี นไทปแบบ Ll สวนลูกมีจโี นไทป ต้น จงตอบค�าถามต่อไปนี้
5.1 จงเขียนจีโนไทป์ของต้นกุหลาบในรุ่นพ่อแม่
3 แบบ คือ LL Ll ll 5.2 ถ้าน�าต้นกุหลาบต้นเตีย้ ในรุน่ ลูกผสมกับต้นกุหลาบต้นสูงในรุน่ พ่อแม่ จะได้ลกู มีลกั ษณะต้นอย่างไรบ้าง
4. 4.1 จีโนไทปของพอ แม และลูก คือ BB bb และมีอัตราส่วนเท่าไร
และ Bb ตามลําดับ
4.2 อัตราสวนลักษณะเดนตอลักษณะดอย อภิปรายผลกิจกรรม
เทากับ 3 : 1 จากกิจกรรมนี้ จะสามารถท�านายรูปแบบจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลักษณะต่าง ๆ ในแต่ละรุน่ ของสิง่ มีชวี ติ ได้
4.3 โอกาสของลูกที่ไดจะมีขนสีดําและขน โดยใช้กฎการแยกของเมนเดล ซึ่งยีนที่ปรากฏเป็นคู่ ๆ กันจะแยกจากกันเมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ และ
สีขาวในอัตราสวนเทากับ 1 : 1 เซลล์สบื พันธุแ์ ต่ละเซลล์จะได้รบั เพียงแอลลีลใดแอลลีลหนึง่ เท่านัน้ และแอลลีลทีแ่ ยกจากกันจะกลับมาเข้าคูก่ นั
อีกครั้งเมื่อมีการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์
5. 5.1 พอและแมมีจีโนไทปแบบ Tt 10
5.2 ฟโนไทปของรุน F1 คือ ตนสูงและตนเตี้ย
ในอัตราสวนเทากับ 1 : 1

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูอาจแนะนําเกีย่ วกับการเขียนสัญลักษณทางพันธุศาสตรใหนกั เรียนเขาใจ กําหนดให R แทนแอลลีลควบคุมดอกกุหลาบสีแดง และ r แทน
กอนทํากิจกรรม เนื่องจากสัญลักษณทางพันธุศาสตรไมไดมีการกําหนดแบบ แอลลีลควบคุมดอกกุหลาบสีขาว การผสมพันธุระหวางกุหลาบ
ตายตัว ทําใหสัญลักษณที่ใชเขียนมีหลายรูปแบบ ดังนี้ สีแดงทีเ่ ปนเฮเทอโรไซกัสคูห นึง่ ไดรนุ ลูกทัง้ หมด 420 ตน นักเรียน
- การเขียนดวยอักษรภาษาอังกฤษตัวเอน โดยกําหนดใหลักษณะเดนเปน คิดวา รุน ลูกควรประกอบดวยกุหลาบสีแดงและสีขาวประมาณเทาใด
ตัวภาษาอังกฤษพิมพใหญ และลักษณะดอยเปนภาษาอังกฤษพิมพเล็ก 1. กุหลาบสีแดงทั้งหมด
เชน T แทนแอลลีลเดน และ t แทนแอลลีลดอย 2. กุหลาบสีขาวทั้งหมด
- การใชเครื่องหมาย + หรือ - เชน B+ แทนแอลลีลควบคุมศีรษะลาน และ 3. กุหลาบสีแดง 210 ตน กุหลาบสีขาว 210 ตน
B แทนแอลลีลควบคุมศีรษะไมลาน 4. กุหลาบสีแดง 315 ตน กุหลาบสีขาว 105 ตน
- การใชเลขหอย เชน C1 แทนแอลลีลควบคุมผมหยิก และ C2 แทน 5. กุหลาบสีแดง 105 ตน กุหลาบสีขาว 315 ตน
แอลลีลควบคุมผมตรง (วิเคราะหคาํ ตอบ การผสมพันธุก หุ ลาบสีแดงทีเ่ ปนเฮเทอโรไซกัส
แตสําหรับลักษณะที่ถูกควบคุมดวยยีนบนโครโมโซมเพศจะใหตัวยกบน (Rr) จะใหรนุ ลูกทีม่ จี โี นไทป 3 แบบ คือ RR Rr และ rr ในอัตราสวน
ดานขวาของโครโมโซมเพศ เชน XC แทนแอลลีลควบคุมตาปกติ และ Xc แทน 1 : 2 : 1 แตมฟี โ นไทป 2 แบบ คือ กุหลาบสีแดงตอกุหลาบสีขาว
แอลลีลควบคุมตาบอดสี ในอัตราสวน 3 : 1 ดังนัน้ จึงตอบ 4.)

T14
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2.2 กฎการรวมกลุมอยางอิสระ 1. ครูใหนักเรียนศึกษา การผสมพันธุถั่วลันเตา
โดยพิจารณาสองลักษณะ และถามนักเรียนวา
การทดลองผสมพันธุถ์ วั่ ลันเตาของเมนเดลทีผ่ า่ นมาเป็นการพิจารณาเพียงลักษณะใดลักษณะ
• จากภาพการผสมพันธุถ วั่ ลันเตา รุน F1 ทีไ่ ด
หนึ่งเท่านั้น แต่ลักษณะของถั่วลันเตาที่เมนเดลเลือกมาศึกษามีถึง 7 ลักษณะ ซึ่งการผสมพันธุ์ใน
จากการผสมพันธุม โี อกาสสรางเซลลสบื พันธุ
แต่ละครัง้ จะมีการถ่ายทอดลักษณะอืน่ ๆ ไปพร้อมกันด้วย แต่เมนเดลก็เลือกพิจารณาเฉพาะลักษณะใด
1 ไดกี่แบบ อะไรบาง
ลักษณะหนึง่ เท่านัน้ ซึง่ การผสมพันธุโ์ ดยพิจารณาเพียงลักษณะเดียวเรียกว่า การผสมลักษณะเดียว
(แนวตอบ รุน F1 สรางเซลลสบื พันธุไ ด 4 แบบ
(monohybrid cross) เช่น การผสมระหว่างถั่วลันเตาฝักสีเขียวกับสีเหลือง เป็นการพิจารณา
คือ RY Ry rY ry โดยยีนแตละคูของ RrYy
เฉพาะลักษณะสีฝัก เป็นต้น ในเวลาต่อมาเมนเดลได้ศึกษาการผสมพันธุ์สองลักษณะพร้อมกัน
2 จะแยกออกจากกันตามกฎการแยก)
เรียกว่า การผสมสองลักษณะ (dihybrid cross) เช่น ลักษณะรูปร่างของเมล็ดและลักษณะสีของเมล็ด
• รุน F2 มีโอกาสทีจ่ ะเกิดจีโนไทปและฟโนไทป
เป็นต้น
กี่แบบ อะไรบาง
ตัวอย่างเช่น การผสมถั่วลันเตาเมล็ดกลมสีเหลืองพันธุ์แท้ มีจีโนไทป์เป็น YYRR กับ (แนวตอบ รุน F2 มีโอกาสเกิดจีโนไทป 9 แบบ
ถัว่ ลันเตาเมล็ดขรุขระสีเขียวพันธุแ์ ท้ มีจโี นไทป์เป็น yyrr จะได้ถวั่ ลันเตารุน่ F1 มีลกั ษณะเมล็ดกลม ไดแก RRYY RRyy RRyy RrYy RrYy Rryy rrYY
สีเหลือง มีจีโนไทป์เป็น YyRr ทั้งหมด และเมื่อน�ารุ่น F1 มาผสมกันเอง จะได้รุ่น F2 ที่มีลักษณะ rrYy rryy และมีโอกาสเกิดฟโนไทปได 4 แบบ
แตกต่างกัน 4 แบบ คือ เมล็ดกลมสีเหลือง : เมล็ดกลมสีเขียว : เมล็ดขรุขระสีเหลือง : เมล็ด ไดแก เมล็ดกลมสีเหลือง เมล็ดกลมสีเขียว
ขรุขระสีเขียว ในอัตราส่วนเท่ากับ 9 : 3 : 3 : 1 เมล็ดขรุขระสีเหลือง และเมล็ดขรุขระสีเขียว
กลมเหลือง RRYY ขรุขระเขียว rryy
รุ่นพ่อแม่
ในอัตราสวน 9 : 3 : 3 : 1)
(P) × • เพราะเหตุใดฟโนไทปในรุน F2 จึงมีอตั ราสวน
RY ry
เซลล์สืบพันธุ์ เทากับ 9 : 3 : 3 : 1
รุ่น F1 กลมเหลือง
RrYy ผสมภายในรุ่นเดียวกัน (แนวตอบ เมื่อพิจารณาเพียงลักษณะเดียว
เซลล์สืบพันธุ์ RY RY จะไดอตั ราสวนลักษณะเดนตอลักษณะดอย
เซลล์ไข่ rY RRYY rY สเปิร์ม เทากับ 3 : 1 ซึง่ เมือ่ นําอัตราสวนของทัง้ สอง
ลักษณะมาคูณกันจะไดรุน F2 มีฟโนไทป 4
Ry Ry
RrYY RrYY แบบ ที่อัตราสวน 9 : 3 : 3 : 1)
ry RRYy rrYY RRYy ry 2. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากผลการผสมพันธุ
รุ่น F2 โดยพิจารณาสองลักษณะ เมนเดลจึงตั้งเปน
RrYy RrYy RrYy RrYy กลม เหลือง กฎการรวมกลุมอยางอิสระ
rrYy RRyy rrYy ขรุขระ เหลือง
อธิบายความรู้
Rryy Rryy กลม เขียว
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับกฎการ
rryy ขรุขระ เขียว รวมกลุมอยางอิสระ
ภาพที่ 4.7 การผสมพิจารณาสองลักษณะของถั่วลันเตาเมล็ดกลมสีเหลืองกับเมล็ดขรุขระสีเขียว 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
การถ่ายทอด 11 ลักษณะของถัว่ ลันเตาโดยพิจารณาสองลักษณะ
ทางพันธุกรรม
3. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม การผสมพิจารณา
หลายลักษณะ

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ขอใดกลาวถึงการผสมสองลักษณะตามหลักของเมนเดลไมถกู ตอง 1 การผสมลักษณะเดียว หมายถึง การผสมระหวางพอพันธุและแมพันธุเพื่อ
1. รุน F1 สรางเซลลสืบพันธุเพียงชนิดเดียวเทานั้น ศึกษาการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โดยพิจารณาลักษณะที่ตองการผสม
2. รุน F1 มีจีโนไทปและฟโนไทปเพียงลักษณะเดียว เพียงลักษณะเดียว
3. รุน F2 มีฟโนไทป 4 แบบที่อัตราสวน 9 : 3 : 3 : 1 2 การผสมสองลักษณะ หมายถึง การผสมระหวางพอพันธุและแมพันธุเพื่อ
4. หากแยกศึกษาทีละลักษณะจะไดอัตราสวนฟโนไทปเทากับ ศึกษาการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โดยพิจารณาลักษณะที่ตองการผสม
3:1 สองลักษณะพรอมกัน
5. แอลลีลทีเ่ ปนคูก นั เมือ่ แยกออกจากกันจะจับกลุม อยางอิสระ
จากแอลลีลอื่น
(วิเคราะหคําตอบ การผสมพิจารณาสองลักษณะตามหลักของ
เมนเดล รุน F1 สามารถสรางเซลลสืบพันธุได 4 ชนิด (22 = 4)
เนื่องจากรุน F1 มีจีโนไทปแบบเฮเทอโรไซกัส ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T15
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครูสุมเลือกนักเรียนออกมาเฉลยคําถามดวย จากฟีโนไทป์ของรุ่น F2 ดังกล่าวท�าให้เมนเดลน�าลักษณะแต่ละลักษณะมาแยกศึกษา ดังนี้
การแสดงวิธีทําหนาชั้นเรียนคนละ 1 ขอ จาก
กิ จ กรรมการแก โ จทย ป  ญ หาเรื่ อ งพั น ธุ ศ าสตร รุ่น P ลักษณะรูปร่างของเมล็ด ลักษณะสีของเมล็ด
เมนเดล และกิจกรรมการผสมพิจารณาหลาย
ลักษณะ
รุ่น F1 เมล็ดกลมทั้งหมด เมล็ดสีเหลืองทั้งหมด
อธิบายความรู้
(ผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน) (ผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน)
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลจาก
กิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรม เกี่ยวกับกฎการแยก รุ่น F2 เมล็ดกลม : เมล็ดขรุขระ เมล็ดสีเหลือง : เมล็ดสีเขียว
และกฎการรวมกลุมอยางอิสระของเมนเดล 3:1 3:1
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 เมื่อพิจารณาการผสมเฉพาะลักษณะรูปร่างของเมล็ดมีอัตราส่วนฟีโนไทป์ในรุ่น F2 ของ
ลักษณะเมล็ดกลม : เมล็ดขรุขระ เท่ากับ 3 : 1 และลักษณะสีของเมล็ดมีอตั ราส่วนฟีโนไทป์ในรุน่ F2
ของลักษณะเมล็ดสีเหลือง : เมล็ดสีเขียว เท่ากับ 3 : 1 เช่นกัน เมื่อน�าทั้งสองลักษณะมาพิจารณา
ขัน้ สรุป ร่วมกันจะได้ลักษณะเมล็ดกลมสีเหลือง : เมล็ดกลมสีเขียว : เมล็ดขรุขระสีเหลือง : เมล็ดขรุขระ
ขยายความเข้าใจ สีเขียว ในอัตราส่วน 9 : 3 : 3 : 1 ซึ่งเป็นไปตามกฎการคูณของกฎความน่าจะเป็นที่เหตุการณ์
หนึ่ง ๆ ที่เป็นอิสระต่อกันจะมีโอกาสเกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนั้น ยีนควบคุมลักษณะรูปร่างเมล็ดและ
ครูใหนกั เรียนทําผังสรุป วิเคราะหความสัมพันธ ยีนควบคุมลักษณะสีเมล็ดสามารถแยกออกจากกันเพือ่ เข้าสูเ่ ซลล์สบื พันธุแ์ ละรวมกันได้อย่างอิสระ
ของกฎการแยกและกฎการรวมกลุมอยางอิสระ จึงเป็นที่มาของกฎข้อที่ 2 คือ กฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ (law of independent assortment)
ของเมนเดลกับการแบงเซลลของสิ่งมีชีวิต โดยมีใจความส�าคัญว่า “แอลลีลของยีนที่เป็นคู่กัน เมื่อแยกออกจากกันจะจัดกลุ่มกันอย่างอิสระ
กับแอลลีลของยีนอื่น ๆ ซึ่งแยกออกจากคู่เช่นกันเพื่อเข้าไปยังเซลล์สืบพันธุ์” ดังนั้น การผสม
1
ถั่วลันเตาในรุ่น F1 ที่มีจีโนไทป์ RrYy ด้วยกันเอง จะมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ 4 ชนิด คือ RY Ry
rY และ ry ในอัตราส่วน 1 : 1 : 1 : 1 และเมื่อเซลล์สืบพันธุ์ทั้ง 4 ชนิดของรุ่น F1 รวมกันจะให้
รุ่น F2 มีอัตราส่วนฟีโนไทป์เท่ากับ 9 : 3 : 3 : 1
จากกฎของเมนเดล แสดงให้เห็นว่า เมนเดลทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตาด้วยความละเอียด
เริม่ จากการเลือกถัว่ ลันเตาเป็นพืชทดลองซึง่ มีลกั ษณะทีเ่ หมาะสมหลายประการ ทัง้ การมีดอกประเภท
สมบูรณ์เพศ มีลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งเมนเดลยังสังเกตผลการทดลองและเก็บ
ข้อมูลลูกผสมถึงรุน่ ที่ 2 ท�าให้สามารถตัง้ สมมติฐานเกีย่ วกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้
และเป็นพื้นฐานของการศึกษาการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน

12 กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระของเมนเดล

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 การสรางเซลลสบื พันธุ ของสิง่ มีชวี ติ สามารถคํานวณไดจากสูตร 2n เมือ่ n ตามกฎการรวมกลุ  ม อย า งอิ ส ระของเมนเดล สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
คือ จํานวนจีโนไทปที่เปนเฮเทอโรไซกัส เชน หากสิ่งมีชีวิตมีจีโนไทปแบบ จีโนไทป AaBBCcDd จะมีเซลลสืบพันธุไดกี่แบบ
AaBbCCDD ซึ่งประกอบดวยเฮเทอโรไซกัสจีโนไทป 2 คู จะสามารถสรางเซลล 1. 4 แบบ 2. 8 แบบ
สืบพันธุไ ด 22 = 4 หรือหากสิง่ มีชวี ติ มีจโี นไทปแบบ AaBbCcDd ซึง่ ประกอบดวย 3. 12 แบบ 4. 16 แบบ
เฮเทอโรไซกัสจีโนไทป 4 คู จะสามารถสรางเซลลสืบพันธุได 24 = 16 5. 20 แบบ
(วิเคราะหคาํ ตอบ จํานวนแบบของเซลลสบื พันธุ = 2n = 23 = 8 แบบ
เมือ่ n คือ จํานวนจีโนไทปทเี่ ปนเฮเทอโรไซกัส ดังนัน้ ตอบขอ 2.)

T16
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
1. ครู ต รวจสอบผลจากกิ จ กรรมการแก โ จทย
การผสมพิจารณาหลายลักษณะ • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป ปญหาเรื่องพันธุศาสตรเมนเดล และกิจกรรม
จิตวิทยาศาสตร์
• ความมีเหตุผล
การผสมพิจารณาหลายลักษณะ
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ • ความรอบคอบ 2. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรื่อง วิเคราะห
1. จากกฎการรวมกลุม่ อย่างอิสระของเมนเดล สิง่ มีชวี ติ ทีม่ จี โี นไทป์ AaBBCcDd จะมีเซลล์สบื พันธุไ์ ด้กแี่ บบ ความสัมพันธของกฎการแยกและกฎการรวม
2. การผสมพันธุร์ ะหว่างสัตว์ทมี่ จี โี นไทป์ AABBcc X aabbcc ถ้าการจัดกลุม่ ของยีนแต่ละคูเ่ ป็นไปอย่างอิสระ กลุมอยางอิสระของเมนเดลกับการแบงเซลล
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ ของสิ่งมีชีวิต
2.1 รุ่น F1 มีจีโนไทป์อย่างไร 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
2.2 โอกาสที่จะได้รุ่น F2 มีจีโนไทป์ aabbcc เป็นเท่าใด ลักษณะของถัว่ ลันเตาโดยพิจารณาสองลักษณะ
2.3 โอกาสที่รุ่น F2 จะมีจีโนไทป์เหมือนพ่อและแม่เป็นเท่าใด 4. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน
3. การทดลองตามหลักพันธุศาสตร์ของเมนเดลปรากฏว่าได้ลูกรุ่น F2 ออกมามีอัตราส่วนฟีโนไทป์เป็น แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
9 : 3 : 3 : 1 จงอธิบายว่าอัตราส่วนนี้มีที่มาจากอะไร
4. ก�าหนดให้พืชชนิดหนึ่งมีผลสีแดงเป็นลักษณะเด่น (R) ผลสีเหลืองเป็นลักษณะด้อย (r) และผิวของ แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
ผลเรียบเป็นลักษณะเด่น (S) ผิวของผลขรุขระเป็นลักษณะด้อย (s) ถ้าน�าพืชที่มีจีโนไทป์ RrSS ผสมกับ 1. 8 แบบ
พืชที่มีจีโนไทป์ rrSs จงหาอัตราส่วนของจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลูกที่เกิดขึ้น 2. 2.1 รุน F1 จะมีจีโนไทปแบบ AaBbcc
5. ก�าหนดให้กระต่ายขนสีขาวเป็นลักษณะเด่น (W) ขนสีน�้าตาลเป็นลักษณะด้อย (w) และขนสั้นเป็นลักษณะ 2.2 รุน F2 มีจีโนไทป aabbcc เปน 1/16
เด่น (S) ขนยาวเป็นลักษณะด้อย (s) การผสมพันธุร์ ะหว่างกระต่ายขนยาวสีขาวทีเ่ ป็นฮอมอไซกัสกับกระต่าย 2.3 จีโนไทปเหมือนรุนพอแมเปน 1/16
ขนสั้นสีน�้าตาลที่เป็นฮอมอไซกัส จงตอบค�าถามต่อไปนี้
3. เมื่อแยกพิจารณาการผสมเพียงลักษณะเดียว
5.1 จงหาอัตราส่วนจีโนไทป์และฟีโนไทป์ต่าง ๆ ในรุ่น F1
5.2 ลูกทีเ่ กิดจากการผสมพันธุร์ ะหว่างรุน่ F1 กับกระต่ายขนยาวสีนา�้ ตาลมีฟโี นไทป์อะไรบ้าง และอัตราส่วน รุน F2 จะมีอัตราสวนเทากันที่ 3 : 1 และเมื่อ
เป็นเท่าใด นําทั้งสองลักษณะมาพิจารณาพรอมกัน จะ
6. ถ้าน�าสิ่งมีชีวิตที่มีจีโนไทป์ AaBb มาผสมกันเอง จงหาว่าในรุ่นลูกจะมีจีโนไทป์และฟีโนไทป์ได้กี่แบบ เปนไปตามกฎการคูณของกฎความนาจะเปน
ทําใหรน ุ F2 มีอตั ราสวนฟโนไทปเปน 9 : 3 : 3 : 1
4. รุน F1 มีจโี นไทป 4 แบบ คือ RrSS RrSs rrSS rrSs
มีฟโนไทป 2 แบบ คือ ผลสีแดงผิวเรียบกับ
ผลสีเหลืองผิวเรียบ ในอัตราสวนเทากับ 1 : 1
อภิปรายผลกิจกรรม
5. 5.1 รุน F1 มีจโี นไทปเพียงแบบเดียว คือ WwSs
จากกิจกรรมนี้ จะสามารถท�านายลักษณะจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิตที่มีการผสมพันธุ์มากกว่า 1 มีฟโ นไทปเพียงแบบเดียว คือ ขนสัน้ สีขาว
ลักษณะพร้อม ๆ กันได้ โดยใช้กฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระของเมนเดล ซึ่งแอลลีลของยีนที่เป็นคู่กัน เมื่อแยก
ออกจากกันจะมีการจัดกลุ่มกันอย่างอิสระกับแอลลีลของยีนอื่น ๆ ที่แยกออกจากคู่เช่นกัน เพื่อเข้าไปสู่เซลล์ 5.2 รุน F2 มีจโี นไทป 4 แบบ คือ WwSs Wwss
สืบพันธุ์ จึงสามารถท�านายอัตราส่วนของเซลล์สืบพันธุ์ที่มีกลุ่มของยีนต่าง ๆ ได้ wwSs wwss มีฟโ นไทป 4 แบบ คือ ขนสัน้
สีขาว ขนยาวสีขาว ขนสั้นสีนํ้าตาล และ
การถ่ายทอด 13
ทางพันธุกรรม ขนยาวสีนํ้าตาล ในอัตราสวน 1 : 1:1 : 1
6. รุน F1 มีจโี นไทป 9 แบบ และมีฟโ นไทป 4 แบบ

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


หากทําการทดลองผสมโดยพิจารณาสองลักษณะเชนเดียวกับการ ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง กฎของเมนเดล ไดจากผัง
ทดลองของเมนเดลทุกประการ สัดสวนของฟโนไทปในรุน F2 จะเทากับ สรุป เรื่อง วิเคราะหความพันธของกฎการแยกและกฎการรวมกลุมอยางอิสระ
เทาใด ของเมนเดลกับการแบงเซลลของสิ่งมีชีวิต ที่นักเรียนทําในขั้นขยายความเขาใจ
1. 1 : 1 2. 3 : 1 โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานทีอ่ ยูใ นแผนการ
3. 9 : 7 4. 1 : 2 : 1 จัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 4
5. 9 : 3 : 3 : 1 แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 1-3
แบบประเมินผังมโนทัศน์/ผังสรุป
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ

(วิเคราะหคําตอบ อัตราสวนฟโนไทปในรุน F2 จะไดพันธุแท ลาดับที่


ระดับคะแนน

รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1

(เดนเดน) : พันธุทาง (เดนดอย) : พันธุทาง (ดอยเดน) : พันธุแท


1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา

(ดอยดอย) เทากับ 9 : 3 : 3 : 1 ดังนั้น ตอบขอ 5.)


รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็น จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์ ส่วนใหญ่
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิด น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ แปลกใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี

T17
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูใชคําถาม Prior Knowledge เพื่อทบทวน การถายทอดลักษณะทาง 3. ลักษณะทางพันธุกรรมทีเ่ ปนสวน
ความรูของนักเรียน พันธุกรรมของเมนเดล ขยายของพันธุศาสตรเมนเดล
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา มีลักษณะอยางไร
ï• การผสมพั น ธุ  ด อกบานเย็ น สี แ ดงกั บ ดอก การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของเมนเดลแต่ละ
ลักษณะถูกควบคุมด้วยยีนหนึ่งยีนหรือสองแอลลีลเท่านั้น แต่
บานเย็ น สี ข าวตามหลั ก พั น ธุ ศ าสตร ข อง
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะไม่ได้ถกู ควบคุม
เมนเดล จะไดดอกบานเย็นรุน F1 ที่ไดจะมี
การแสดงออกตามกฎของเมนเดล เรียกการถ่ายทอดลักษณะทาง
ลักษณะอยางไร พันธุกรรมแบบนี้ว่า ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ
(แนวตอบ หากการผสมพันธุด อกบานเย็นเปน พันธุศาสตร์เมนเดล
ไปตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล รุน F1 คาร์ล คอร์เรนส์ (Karl Correns) นักพฤกษศาสตร์ชาว
ควรมี ลั ก ษณะดอกสี แ ดงหรื อ ดอกสี ข าว เยอรมัน ได้ผสมพันธุ์ต้นบานเย็นดอกสีแดงกับต้นบานเย็น
ทัง้ หมด) ดอกสีขาว พบว่า รุ่น F1 ที่ได้เป็นดอกบานเย็นสีชมพูทั้งหมด
3. ครู อ ธิ บ ายการทดลองผสมต น บานเย็ น ดอก ซึ่งหากพิจารณาตามกฎของเมนเดลแล้ว รุ่นลูก F1 ควรเป็น
สีแดงกับดอกสีขาวของคารก คอเรนส ให ดอกบานเย็นสีแดงหรือดอกบานเย็นสีขาวเพียงแบบเดียวเท่านัน้
นักเรียนทราบ และอธิบายวา การถายทอด ท�าให้เกิดข้อสงสัยว่า “เพราะเหตุใดการผสมพันธุ์ดอกบานเย็น
ลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะไมไดเปน สีแดงกับดอกบานเย็นสีขาวจึงให้ดอกบานเย็นสีชมพูทงั้ หมด” ซึง่
ภาพที่ 4.8 ดอกลิ้นมังกรสีชมพู
ตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล จากการผสมพันธุร์ ะหว่างดอกลิน้ - ผลการทดลองดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักการถ่ายทอดลักษณะ
มังกรสีแดงกับดอกสีขาว ทางพันธุกรรมของเมนเดล
3.1 การขมไมสมบูรณ
แนวตอบ Prior Knowledge
การข่มไม่สมบูรณ์ (incomplete dominance) เป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูก
ตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล การผสมพันธุ ควบคุมด้วยยีนเดียว โดยแอลลีลไม่ได้มีลักษณะเด่นหรือด้อยอย่างสมบูรณ์ แต่จะแสดงลักษณะ
เพียงลักษณะเดียว ระหวางลักษณะเดนกับลักษณะดอย ออกมากึ่งกลางระหว่างสองลักษณะ เช่น การผสมต้นลิ้นมังกรดอกสีแดงกับดอกสีขาว ซึ่งเป็น
ที่เปนพันธุแททั้งคู รุน F1 จะแสดงฟโนไทปที่เปน พันธุ์แท้ทั้งคู่ จะได้รุ่น F1 มีดอกสีชมพูทั้งหมด และเมื่อให้รุ่น F1 ผสมด้วยกันเอง จะได้รุ่น F2
ลักษณะเดนออกมา แตจีโนไทปเปนแบบพันธุทาง มีดอกสีแดง ดอกสีชมพู และดอกสีขาว โดยมีอัตราส่วนเท่ากับ 1 : 2 : 1 จากการศึกษาพบว่า
และเมื่อใหรุน F1 ผสมกันเอง จะไดรุน F2 ที่แสดง สีของดอกลิ้นมังกรถูกควบคุมด้วยแอลลีล 2 แอลลีล ดังนี้
ฟ โ นไทป ที่ เ ป น ลั ก ษณะเด น ต อ ลั ก ษณะด อ ยที่ ก�าหนดให้ แอลลีล R ควบคุมดอกลิ้นมังกรสีแดง
อัตราสวน 3 : 1 แตมจี โี นไทปเปนอัตราสวน 1 : 2 : 1 แอลลีล R ′ ควบคุมดอกลิ้นมังกรสีขาว
สําหรับการผสมสองลักษณะระหวางลักษณะเดน ดังนั้น จีโนไทป์ RR จะแสดงลักษณะดอกลิ้นมังกรสีแดง
กับลักษณะดอยที่เปนพันธุแททั้งคู รุน F1 จะแสดง จีโนไทป์ RR′ จะแสดงลักษณะดอกลิ้นมังกรสีชมพู
ฟโนไทปที่เปนลักษณะเดนออกมา แตจีโนไทปเปน จีโนไทป์ R′R′ จะแสดงลักษณะดอกลิ้นมังกรสีขาว
แบบพันธุท าง และเมือ่ ใหรนุ F1 ผสมกันเองจะไดรนุ 14
F2 แสดงฟโนไทป 4 แบบ แตจโี นไทปจะมีอตั ราสวน
ที่ 9 : 3 : 3 : 1

ขอสอบเนน การคิด
เมื่อผสมพืชดอกสีสมกับดอกสีสม ไดตนลูกมีดอกสีแดง(RR) : สีสม(Rr) : สีเหลือง(rr) เทากับ 1 : 2 : 1 ถานําตนลูกที่มี
ดอกสีแดงไปผสมกับตนลูกที่มีดอกสีสม ตนที่ไดจะมีลักษณะเปนอยางไร
1. ดอกสีสม ทัง้ หมด 2. ดอกสีสม : ดอกสีแดง อัตราสวน 1 : 1 3. ดอกสีสม : ดอกสีแดง อัตราสวน 3 : 1
4. ดอกสีสม : ดอกสีเหลือง อัตราสวน 3 : 1 5. ดอกสีแดง : ดอกสีสม : ดอกสีเหลือง อัตราสวน 1 : 2 : 1
(วิเคราะหคําตอบ P ดอกสีสม × ดอกสีสม
จีโนไทป Rr × Rr
เซลลสืบพันธุ 1/2½R , ½1/2r × 1/2½R , ½1/2r
จีโนไทป F1 ¼1/4RR : 1/2½½Rr : 1/4rr =1:2:1
ฟโนไทป F1 ดอกสีแดง : ดอกสีสม : ดอกสีเหลือง =1:2:1
F1 × F1 ดอกสีแดง × ดอกสีสม
จีโนไทป F1 RR × Rr
เซลลสืบพันธุ R × ½1/2R , ½1/2r
จีโนไทป F1 ½1/2RR × ½1/2Rr =1:1
ฟโนไทป F2 ดอกสีแดง : ดอกสีสม =1:1
ดังนั้น F2 มีฟโนไทป ดอกสีแดง : ดอกสีสม = 1 : 1 ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T18
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ดอกสีแดง ดอกสีขาว
รุ่น P 1. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพการผสมพันธุ
ดอกลิ้นมังกรสีแดงกับสีขาว
RR R′R′
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
• ถาการผสมพันธุด อกลิน้ มังกรสีแดงกับสีขาว
R R′
เซลล์สืบพันธุ์ เปนไปตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล จะ
ไดรุน F1 และ F2 อยางไร
รุ่น F1 (แนวตอบ การผสมพันธุด อกลิน้ มังกรทีเ่ ปนไป
RR' ดอกสีชมพู ตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล จะไดรนุ F1
ผสมภายในดอกเดียวกัน
มีลักษณะดอกสีแดงหรือดอกสีขาวทั้งหมด
เซลล์สืบพันธุ์ R R′ สวนรุน F2 จะมีสีดอกที่เปนลักษณะเดน
ตอลักษณะดอยที่อัตราสวนเทากับ 3 : 1)
รุ่น F2
R RR R 3. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา ดอกลิน้ มังกรมีการ
เซลล์ไข่ สเปิร์ม
R′ R′
ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ลักษณะเดน
RR′ RR′ ไมไดขม ลักษณะดอยอยางสมบูรณ แตจะแสดง
R′R′
ลักษณะทีอ่ ยูก งึ่ กลางออกมา เรียกการถายทอด
ลักษณะนี้วา การขมไมสมบูรณ
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลักษณะเสนผมก็
มีการถายทอดลักษณะแบบการขมไมสมบูรณ
ภาพที่ 4.9 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบข่มไม่สมบูรณ์ของดอกลิ้นมังกร เชนกัน
นอกจากนั้นยังมีผู้ศึกษาลักษณะเส้นผม แม่
ของคน ซึง่ มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม อธิบายความรู
c1c2
แบบการข่มไม่สมบูรณ์เช่นกัน ถ้าหากก�าหนด c1 c2
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ให้แอลลีล C1 ควบคุมลักษณะผมหยิก และ C2 ถ า ยทอดลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมแบบข ม ไม
ควบคุมลักษณะผมเหยียดตรง c1 สมบูรณ
ดังนั้น จีโนไทป์ C1 C1 แสดงลักษณะผมหยิก พ่อ c1c1 c1c2 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
จีโนไทป์ C1 C2 แสดงลักษณะผมหยักศก c1c2 c2 ลักษณะของเสนผม
จีโนไทป์ C2 C2 แสดงลักษณะผมตรง c1c2 c2 c2
พ่อและแม่ที่มีผมหยักศกจึงมีโอกาสมี ภาพที่ 4.10 การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของพ่อ
ลูกที่มีลักษณะเส้นผมแตกต่างกันได้ และแม่ที่มีผมหยักศกทั้งคู่

การถ่ายทอด 15
ทางพันธุกรรม

ขอสอบเนน การคิด
กําหนดให C1 เปนแอลลีลควบคุมลักษณะผมหยิก และ C2 เปนแอลลีลควบคุมลักษณะผมเหยียดตรง
หากพอมีลักษณะผมหยิกแตงงานกับแมที่มีลักษณะผมหยักศก ลูกที่เกิดมาจะมีลักษณะเสนผมอยางไรไดบาง
1. ผมหยิกทัง้ หมด 2. ผมหยักศกทัง้ หมด 3. ผมเหยียดตรงทัง้ หมด
4. ผมหยิกและผมหยักศก 5. ผมหยิก ผมหยักศก และผมเหยียดตรง
(วิเคราะหคําตอบ ลักษณะของเสนผมเปนการขมไมสมบูรณ ซึ่งแอลลีลไมไดเดนหรือดอยอยางสมบูรณ ดังนี้
P พอลักษณะผมหยิก × แมลักษณะผมหยักศก
จีโนไทป C1C1 × C1C2
เซลลสืบพันธุ ½1/2C1 , 1/2C1 × 1/2C1 , 1/2C2
จีโนไทป F1 1/2C1C1 ½1/2C1C2
ฟโนไทป F1 ผมหยิก ผมหยักศก
ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T19
นํา สอน ประเมิน ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การขมกันอีกรูป 3.2 ความเดนรวม
แบบหนึ่ง ซึ่งแอลลีล 2 แอลลีลจะไมขมซึ่งกัน ความเด่นร่วม (codominance) เป็นการที่คู่ของแอลลีลแสดงลักษณะเด่นเท่ากัน จึงปรากฏ
และกัน แตจะแสดงลักษณะเดนออกมาเทากัน ลักษณะออกมาร่วมกัน เช่น หมู่เ1ลือดระบบ ABO ในคน โดยจะถูกจ�าแนกตามชนิดของแอนติเจน
เรียกวา ความเดนรวม ซึง่ เป็นสารประกอบไกลโคโปรตีน (glycoprotein) ทีอ่ ยูบ่ นเยือ่ หุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดง ประกอบ
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาโอกาสการมีลกู ของพอและ 2
ด้วย 2 ชนิด คือ แอนติเจน A และแอนติเจน B จากการศึกษาพบว่า แอลลีล IA ควบคุมการสร้าง
แมที่มีเลือดหมู A และ B แบบเฮเทอโรไซกัส แอนติเจน A แอลลีล IB ควบคุมการสร้างแอนติเจน B และทั้งสองแอลลีลจะแสดงลักษณะเด่น
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ผูที่มีเลือดหมู AB ถ้าแอลลีลทั้งสองเข้าคู่กันเป็น IAIB จะมีหมู่เลือด AB
เกิดจากแอลลีล 2 ชนิด คือ IA กับ IB ซึ่งจะ
หมู่เลือด A หมู่เลือด B
แสดงลักษณะเดนออกมาเทากัน
4. ครูถามคําถามนักเรียนวา
• ยีนทีค่ วบคุมลักษณะพันธุกรรมประกอบดวย
แอลลีลกี่แอลลีล
(แนวตอบ ยีนที่ควบคุมลักษณะพันธุกรรมที่
IAi I Bi
ผานมาประกอบดวยแอลลีล 2 แอลลีล)
5. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา จากแผนภาพจะ
เห็นวามีแอลลีลอีกชนิดหนึ่งที่กําหนดลักษณะ
ของเลือดหมู O ก็คอื แอลลีล i ดังนัน้ หมูเ ลือด
ระบบ ABO จึงมีแอลลีลควบคุม 3 แอลลีล คือ แอลลีล IA
แอลลีล IB
แอลลีล IA แอลลีล IB และแอลลีล i ซึง่ เรียกการ แอลลีล i
ควบคุมลักษณะพันธุกรรมดวยแอลลีลมากกวา IAi IAIB IBi ii
2 แอลลีลนี้วา มัลติเพิลแอลลีล
หมู่เลือด A หมู่เลือด AB หมู่เลือด B หมู่เลือด O
6. ครูใหนักเรียนศึกษา การเขาคูกันของแอลลีล
ในหมูเลือดระบบ ABO จากตารางที่ 4.3 ภาพที่ 4.11 ความเด่นร่วมของแอลลีล IA และ IB ในคนที่มีหมู่เลือด AB
7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
• ในหมูเ ลือดระบบ ABO แอลลีลใดเปนแอลลีล
3.3 มัลติเพิลแอลลีล
เดน และแอลลีลใดเปนแอลลีลดอย ปกติบนโลคัสของฮอมอโลกัสโครโมโซมจะพบแอลลีล 2 แอลลีลทีค่ วบคุมการแสดงออกของ
(แนวตอบ แอลลีล IA และ IB เปนแอลลีลเดน ลักษณะต่าง ๆ แต่พบว่าบางยีนที่ถูกควบคุมด้วยแอลลีลมากกว่า 2 แอลลีลเช่นกัน เรียกลักษณะ
และแอลลีล i เปนแอลลีลดอย) แบบนี้ว่า มัลติเพิลแอลลีล (multiple alleles) เช่น หมู่เลือดระบบ ABO ถูกควบคุมด้วยแอลลีล
3 แอลลีล ซึ่งมีผลต่อการสร้างแอนติเจนของเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยแอลลีล IA ควบคุมการสร้าง
อธิบายความรู้ แอนติเจน A แอลลีล IB ควบคุมการสร้างแอนติเจน B และแอลลีล i ไม่ควบคุมการสร้างทั้ง
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ แอนติเจน A และแอนติเจน B
เดนรวม และมัลติเพิลแอลลีล 16
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรมแบบมัลติเพิลแอลลีล

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 ไกลโคโปรตีน (glycoprotein) เปนสารประกอบเชิงซอนทีเ่ กิดจากการสราง พอและแมคูใดมีโอกาสมีลูกที่มีหมูเลือดในระบบ ABO ไดครบ
พันธะโคเวเลนตของคารโบไฮเดรตกับโปรตีน สารประกอบไกลโคโปรตีนทีพ่ บใน ทุกหมู
รางกาย เชน เอนไซม ฮอรโมนบางชนิด โมเลกุลโครงสรางของรางกาย เปนตน 1. พอมีเลือดหมู A แมมีเลือดหมู O
2 แอนติเจน เปนสารที่กระตุนใหเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุมกันของ 2. พอมีเลือดหมู B แมมีเลือดหมู O
รางกาย ซึง่ แอนติเจนมักเปนสารทีแ่ ปลกปลอมหรือเปนพิษตอรางกาย เชน ไวรัส 3. พอมีเลือดหมู A แมมีเลือดหมู B
แบคทีเรีย รา ฝุน ละออง อาหารบางชนิด และเมือ่ เขามาในรางกายแลวจะถูกจับ 4. พอมีเลือดหมู AB แมมีเลือดหมู O
โดยแอนติบอดีที่มีความจําเพาะที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองกับแอนติเจน 5. พอมีเลือดหมู AB แมมีเลือดหมู AB
(วิเคราะหคาํ ตอบ พอและแมจะตองมีเลือดหมู A และ B ซึง่ ทัง้ คูต อ ง
มีจโี นไทปแบบเฮเทอโรไซกัส (IAi และ IBi) จึงจะไดลกู ทีม่ หี มูเ ลือดครบ
ทุกหมูใ นระบบ ABO ดังนัน้ ตอบขอ 3.)

T20
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
การเข้าคู่กันของแอลลีลต่าง ๆ จะแสดงลักษณะฟีโนไทป์ของหมู่เลือดที่ต่างกัน ดังนี้ 1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า การถ า ยทอด
ลักษณะทางพันธุกรรมที่ผานมามียีนควบคุม
ตารางที่ 4.3 : การเข้าคู่กันของแอลลีลในหมู่เลือดระบบ ABO เพียง 1 คูเ ทานัน้ ซึง่ ลักษณะจะแตกตางกันอยาง
จีโนไทป์ ฟีโนไทป์ ชัดเจน เรียกวา ลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ คี วาม
IAIA IAi หมู่เลือด A แปรผั น แบบไม ต  อ เนื่ อ ง หรื อ ลั ก ษณะเชิ ง
IBIB IBi หมู่เลือด B คุณภาพ
IAIB หมู่เลือด AB 2. ครู นํ า ภาพบุ ค คลเชื้ อ ชาติ ต  า งๆ ที่ มี สี ผิ ว
แตกตางกันมาใหนักเรียนดู แลวถามคําถาม
ii หมู่เลือด O
นักเรียนวา
จากตารางจะเห็นว่าแอลลีล i จะไม่แสดงออกเมื่อมีการเข้าคู่กับแอลลีล IA และ IB แต่ • นักเรียนแยกสีผิวของบุคคลตางๆ ในภาพ
จะแสดงออกเมือ่ เข้าคูก่ บั แอลลีล i เท่านัน้ แสดงว่าแอลลีล i เป็นแอลลีลด้อย จึงไม่มกี ารแสดงออก ไดกแี่ บบ และแตละแบบแตกตางกันหรือไม
เมือ่ เข้าคูก่ บั แอลลีล IA และ IB ซึง่ เป็นแอลลีลเด่น แต่จะแสดงออกเมือ่ เข้าคูก่ บั แอลลีลด้อยด้วยกันเอง อยางไร
(แนวตอบ คําตอบอยูใ นดุลยพินจิ ของครูผสู อน
3.4 พอลิยีน
เนือ่ งจากขึน้ อยูก บั ภาพทีค่ รูนาํ มาใหนกั เรียนดู)
การศึกษาลักษณะพันธุกรรมของเมนเดล1 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลักษณะสีผิวของ
เป็นลักษณะที่มีกการแปรผั
ารแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง
มนุ ษ ย มี ลั ก ษณะที่ แ ตกต า งกั น หลายแบบ
(discontinuous variation trait) หรือลักษณะ
เนือ่ งจากสีผวิ ถูกควบคุมดวยยีนหลายคู เรียกวา
เชิงคุณภาพ (qualitative trait) ซึ่งเป็นการ
ศึกษาลักษณะทีค่ วบคุมด้วยยีนเพียง 1 คูเ่ ท่านัน้ พอลิยีน ซึ่งยีนทั้งหมดจะทําหนาที่รวมกันเพื่อ
จึงท�าให้ทงั้ สองลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ควบคุมลักษณะเดียวกัน
เช่น ลักษณะของหนังตา (ชัน้ เดียวหรือสองชัน้ ) หอลิ้นได
ลักษณะการห่อลิ้น (ได้หรือไม่ได้) ลักษณะ
ของติ่งหู (มีหรือไม่มี) เป็นต้น แต่ลักษณะ
บางลักษณะจะถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่ หรือ
พอลิยนี (multiple gene หรือ polygenes) ซึง่ ยีน
ทัง้ หมดจะท�าหน้าทีร่ ว่ มกันเพือ่ ควบคุมฟีโนไทป์
ที่แสดงลักษณะเชิงปริมาณ เรียกลักษณะที่
ถูกควบคุมด้วยยีนหลายยีนว่า พอลิจีนิกเทรต หอลิ้นไมได
(polygenic trait) ภาพที่ 4.12 การห่อลิ้นเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่มี
การแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง

การถ่ายทอด 17
ทางพันธุกรรม

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ขอใดไมใชลกั ษณะทางพันธุกรรมทีม่ คี วามแปรผันแบบตอเนือ่ ง 1 การแปรผันแบบไมตอ เนือ่ ง จะแตกตางกับการแปรผันแบบตอเนือ่ ง ดังนี้
1. สีตา 2. สีผิว
3. ติ่งหู 4. นํ้าหนัก ขอเปรียบเทียบ การแปรผันแบบไมตอเนื่อง การแปรผันแบบตอเนื่อง
5. ความสูง จํานวนยีนที่ควบคุม ควบคุมดวยยีนเดียว ควบคุมดวยยีนหลายคู
(สองแอลลีล)
(วิเคราะหคําตอบ ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันแบบ
ตอเนือ่ ง เปนลักษณะพันธุกรรมทีถ่ กุ ควบคุมดวยยีนมากกวา 1 ยีน ตําแหนงยีนบน ควบคุมดวยยีนในตําแหนงเดียว ควบคุมดวยยีนหลายตําแหนง
ฮอมอโลกัสโครโมโซม กันบนฮอมอโลกัสโครโมโซม บนฮอมอโลกัสโครโมโซม
ซึง่ แตละลักษณะจะแตกตางกันเพียงเล็กนอยเทานัน้ เชน สีตา สีผวิ
นํ้าหนัก ความสูง เปนตน ดังนัน้ ตอบขอ 3.) ลักษณะที่แสดงออก ลักษณะที่แสดงออกมาจะ ลักษณะที่แสดงออกมาจะ
แตกตางกันอยางชัดเจน แตกตางกันเล็กนอย และลด
หลั่นกันไป
อิทธิพลจาก สิ่งแวดลอมไมมีผลตอการ สิ่งแวดลอมมีผลตอการแสดง
สิ่งแวดลอม แสดงลักษณะ ลักษณะ

T21
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาแผนภาพการถ า ยทอด การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบพอลิ ยีน เช่น ลักษณะสีผิวของคนถูกควบคุมด้วย
ลักษณะทางพันธุกรรมของสีผวิ ซึง่ มียนี ควบคุม 1
ยีนหลายยีนทีท่ า� หน้าทีค่ วบคุมการสร้างเมลานิน (melanin) หากก�าหนดให้ลกั ษณะสีผวิ ถูกควบคุม
3 คู ทีม่ แี อลลีล A B C ควบคุมการสรางเมลานิน ด้วยยีน 3 คู่ ทีม่ แี อลลีล A B และ C ควบคุมการสร้างเมลานินท�าให้ผวิ สีเข้ม และแอลลีล a b และ c
ทําใหผิวสีเขม และแอลลีล a b c ไมมีการ ไม่มีการสร้างเมลานินท�าให้ผิวสีขาว โดยการแสดงออกของยีนแต่ละต�าแหน่งจะเป็นการท�างาน
สรางเมลานิน ทําใหมีสีผิวขาว ร่วมกัน ซึ่งคนที่มีจีโนไทป์แบบ AABBCC จะมีผิวสีเข้ม แต่คนที่มีจีโนไทป์แบบ aabbcc จะมี
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา ผิวสีขาว และคนที่มีจีโนไทป์แบบ AaBbCc จะมีสีผิวอยู่กึ่งกลางระหว่างผิวสีเข้มและผิวสีขาว
• จากแผนภาพการถ า ยทอดลั ก ษณะทาง นอกจากนัน้ บางจีโนไทป์จะมีความเข้มของสีผวิ ทีเ่ หมือนกัน เช่น AaBbCc และ AABbcc เนือ่ งจาก
พันธุกรรมของสีผิวของครอบครัวนี้ รุน F1 มีแอลลีล 3 แอลลีลที่ควบคุมผิวสีเหมือนกัน
และ F2 มีสีผิวแตกตางกันกี่แบบ จากการศึกษาพบว่า หากให้คนทีม่ ผี วิ สีเข้ม (AABBCC) แต่งงานกับคนทีม่ ผี วิ สีขาว (aabbcc)
(แนวตอบ รุน F1 มีสีผิวเพียงแบบเดียว แตรุน จะได้ลกู รุน่ F1 มีลกั ษณะสีผวิ อยูก่ งึ่ กลางระหว่างผิวสีเข้มกับผิวสีขาว (AaBbCc) ทัง้ หมด และหาก
F2 มีสผี วิ ทีแ่ ตกตางกันถึง 7 แบบ ตามจํานวน ให้ลกู รุน่ F1 แต่งงานกับคนทีม่ ยี นี สีผวิ อยูก่ งึ่ กลาง (AaBbCc) เช่นเดียวกัน จะได้รนุ่ F2 ทีม่ ลี กั ษณะ
แอลลีลทีค่ วบคุมการสรางเมลานินทีไ่ ดรบั ) ฟีโนไทป์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
6. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลักษณะสีผิวของ รุ่น P
ครอบครัวนี้ในรุน F2 ตางกันถึง 7 แบบ ซึ่งสีผิว aabbcc
ขาวมาก
AABBCC
เข้มมาก
จะแตกตางกันเล็กนอย และลดหลัน่ กันไปตาม
รุ่น F1
การไดรบั แอลลีลทีค่ วบคุมการสรางเมลานิน ถา
AaBbCc AaBbCc
ไดรับแอลลีลที่ควบคุมการสรางเมลานินมาก
ก็จะมีผวิ สีเขม แตหากไดรบั นอยก็จะมีผวิ สีขาว 1 1 1 1
สเปิร์ม
1 1 1 1
8 8 8 8 8 8 8 8
ซึ่งเรียกลักษณะทางพันธุกรรมแบบนี้วา การ
รุ่น F2 1
แปรผันแบบตอเนื่อง หรือลักษณะเชิงปริมาณ 8
7. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) 1
8
กับนักเรียน 1
8
1
อธิบายความรู้ 8
เซลล์ ไข่ 1
8
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการถายทอด
1
ลักษณะสีผิวของมนุษย 8
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ 1
8
ถายทอดลักษณะพันธุกรรมแบบพอลิยีน 1
8

ภาพที่ 4.13 การถ่ายทอดลักษณะสีผิวที่มียีนควบคุมทั้งหมด 3 คู่ แบบพอลิยีน


18

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 เมลานิน เปนเม็ดสีที่สรางมาจากกลุมเซลลเมลาโนไซตที่อยูในชั้นหนัง ขอใดกลาวเกีย่ วกับลักษณะพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมแบบพอลิยนี
กําพรา โดยการสรางเมลานินจะอาศัยการเกิดปฏิกิริยาของเอนไซมไทโรซิเนส ไมถูกตอง
เพื่ อ เปลี่ ย นไทโรซี น ซึ่ ง เป น กรดอะมิ โ นในผิ ว หนั ง ให ก ลายเป น เมลานิ น 1. เปนลักษณะเชิงคุณภาพ
นอกจากนั้ น รั ง สี อั ล ตราไวโอเลตก็ ส ามารถกระตุ  น ให มี ก ารสร า งเมลานิ น 2. มียีนควบคุมลักษณะเดียวกันมากกวา 1 คู
เพิ่มขึ้นได เพราะเปนตัวกระตุนเอนไซมไทโรซิเนสใหทํางานเพิ่มมากขึ้น จึง 3. ลักษณะฟโนไทปจะแตกตางกันเพียงเล็กนอย
ทําใหเกิดเมลานินมาก 4. เปนลักษณะทางพันธุกรรมที่เปนสวนขยายของเมนเดล
5. การถายทอดลักษณะจะขึน้ อยูก บั พันธุกรรมและสิง่ แวดลอม
(วิเคราะหคําตอบ พอลิยีนเปนลักษณะทางพันธุกรรมที่เปนสวน
ขยายของเมนเดล มียนี ควบคุมลักษณะเดียวกันมากกวา 1 คู ทําให
ลักษณะฟโนไทปจะแตกตางกันเพียงเล็กนอย และลดหลัน่ กันไป โดย
มีพนั ธุกรรมและสิง่ แวดลอมเปนปจจัยสําคัญ ลักษณะแบบพอลิยนี
เปนลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันตอเนือ่ ง หรือลักษณะเชิง
ปริมาณ ดังนัน้ ตอบขอ 1.)

T22
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
เมือ่ น�าลักษณะฟีโนไทป์ทไี่ ด้มาจัดกลุม่ จะ 1. ครูสรุปหลักการถายทอดลักษณะพันธุกรรม
พบว่า มีความแตกต่างกันถึง 7 แบบ ซึ่งแต่ละ AaBbCc AaBbCc แบบการขมไมสมบูรณ ความเดนรวมกัน มัลติ-
แบบจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยและลดหลั่น 1/64 6/64 15/64 20/64 15/64 6/64 1/64 เพิลแอลลีล และพอลิยีน ใหนักเรียนทราบ
กันไป และสามารถน�าเสนอในรูปแบบกราฟ 20/64
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรม เรื่ อ ง ลั ก ษณะ
โดยมีการกระจายอย่างต่อเนื่องหรือกระจาย พันธุกรรมที่เปนสวนขยายของพันธุศาสตร
แบบโค้งปกติ เรียกลักษณะเช่นนีว้ า่ ลักษณะทาง 15/64
เมนเดล โดยบั น ทึ ก ลงในสมุ ด บั น ทึ ก ของ
พันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเนือ่ ง (continuous นักเรียน
variation trait) หรือ ลักษณะเชิงปริมาณ
(quantitative trait) โดยสิ่งแวดล้อมจะมีผลต่อ 6/64

ยีนที่ควบคุมลักษณะเชิงปริมาณเหล่านี้ด้วย
1/64
นอกจากลั ก ษณะของสี ผิ ว ที่ มี พ อลิ ยี น
ควบคุมการแสดงออกแล้ว ยังมีลักษณะอื่น ๆ ภาพที่ 4.14 กราฟการกระจายของลั ก ษณะทาง
พันธุกรรมที่มีการแปรผันต่อเนื่องของสีผิวของคน
เช่ น ลั ก ษณะสี ต า ซึ่ ง มี ยี น ควบคุ ม หลายคู ่
โดยแอลลีลเด่นจะควบคุมให้มกี ารสร้างสารสีเมลานิน ถ้าจีโนไทป์มี 1 H. O. T. S.
แอลลีลเด่นหลายแอลลีล ปริมาณของเมลานินก็จะมากท�าให้มา่ นตา คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
มีสตี า่ ง ๆ ตัง้ แต่สนี า�้ ตาลเข้มจนถึงสีนา�้ ตาลอ่อน แต่ถา้ จีโนไทป์ สิ่ ง แวดล้ อ มมี
มีเฉพาะแอลลีลด้อยก็จะไม่มีการสร้างเมลานินท�าให้มีตาสีฟา เซลล์
ผลต่เยืออ่ ลับุขกา้ ษณะ
งแก้ม
นอกจากนั้นลักณะความสูง การให้นมของวัว และขนาดของ ทางพันธุกรรม
ผลไม้ ก็เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการแปรผันต่อเนื่อง ที่มีการแปรผันต่อเนื่องหรือ
เช่นกัน ลักษณะเชิงปริมาณ อย่างไร

แนวตอบ H.O.T.S.
สิง่ แวดลอมจะมีผลตอลักษณะทางพันธุกรรมที่
มีการแปรผันแบบตอเนื่อง เนื่องจากลักษณะทาง
กายภาพบางอยาง เชน แสงแดดที่มีผลตอการ
สรางเมลานินของสีผวิ ทําใหสผี วิ เขมขึน้ ได อาหาร
ภาพที่ 4.15 ลักษณะสีตาถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่แบบพอลิยีน ที่รับประทานที่มีผลตอนํ้าหนักและความสูง หาก
การถ่ายทอด 19
ทางพันธุกรรม
ไดรบั สารอาหารทีแ่ ตกตางกัน หรือปริมาณนํา้ และ
แรธาตุทพี่ ชื ไดรบั ทีม่ ผี ลตอขนาดของผลไม เปนตน

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ขอใดตอไปนีเ้ ปนลักษณะเชิงปริมาณ 1 ม า นตา (Iris) เป น เนื้ อ เยื่ อ บางๆ ของลู ก ตาที่ อ ยู  ด  า นหลั ง ต อ จาก
1. นํ้าหนัก 2. สติปญญา กระจกตา ซึ่งตรงกลางมีรูมานตาทําหนาที่เปนทางผานของแสง โดยมานตา
3. การมีติ่งหู 4. การมีลักยิ้ม สามารถปรับหด และขยายเพื่อใหรูมานตาปรับเล็กลง หรือขยายใหญขึ้นเพื่อ
5. การเวียนของขวัญ รับแสงใหพอเหมาะในการเห็นภาพ ซึ่งเมื่อมีแสงสวางมาก รูมานตาจะเล็ก
(วิเคราะหคาํ ตอบ ลักษณะเชิงปริมาณจะสอดคลองกับการแปรผัน ลง แตในที่มืดหรือมีแสงนอย รูมานตาจะขยายใหญขึ้น นอกจากนั้น มานตา
แบบตอเนือ่ ง ถูกควบคุมโดยยีนมากกวา 1 คู เชน นํา้ หนัก สวนสูง สีผวิ จะมีสีตางๆ ตามปริมาณสารสีเมลานิน เชน ดํา นํ้าตาล เทา ฟา เปนตน
สีตา เปนตน ซึง่ ลักษณะแตละลักษณะจะมีความแตกตางกันเพียง ซึ่งเปนการควบคุมแบบพอลิยีน
เล็กนอยและลดหลัน่ กันไป ขึน้ อยูก บั ปริมาณแอลลีลทีไ่ ดรบั ดังนัน้
ตอบขอ 1.)

T23
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ครู สุ  ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยคํ า ถามใน • การสังเกต
ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ
กิจกรรม ลักษณะพันธุกรรมที่เปนสวนขยาย พันธุศาสตร์เมนเดล
• การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
จิตวิทยาศาสตร์
ของพันธุศาสตรเมนเดล • ความมีเหตุผล

2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลจาก จงตอบค�าถามต่อไปนี้ • ความรอบคอบ

กิจกรรม ลักษณะพันธุกรรมที่เปนสวนขยาย 1. ในการผสมพันธุ์พืชชนิดหนึ่งดอกสีแดงกับดอกสีขาว ได้รุ่น F1 ดอกสีชมพูทั้งหมด หากผสมรุ่น F1 ด้วย


ของพันธุศาสตรเมนเดล กันเอง ฟีโนไทป์ของรุ่น F2 จะมีลักษณะอย่างไร อัตราส่วนเท่าใด
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด 2. จากโจทย์ข้อ 1 จงหาโอกาสของรุ่น F2 ที่มีสีดอกเหมือนกับสีดอกในรุ่นพ่อแม่ (รุ่น P)
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 3. ครอบครัวหนึง่ มีลกู 4 คน ประกอบด้วยหมูเ่ ลือด A จ�านวน 1 คน หมูเ่ ลือด B จ�านวน 2 คน และหมูเ่ ลือด O
จ�านวน 1 คน จงหาว่าพ่อและแม่มีหมู่เลือดชนิดใดได้บ้าง และมีจีโนไทป์เป็นแบบใด
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 4. ครอบครัวหนึ่งพ่อมีหมู่เลือด AB แม่มีหมู่เลือด O จงหาว่าลูกที่เกิดมาสามารถมีหมู่เลือดชนิดใดได้บ้าง
และมีจีโนไทป์เป็นแบบใด
1. ฟโนไทปของรุน F2 มีลกั ษณะสีแดง สีชมพู สีขาว
5. ต้นไม้ชนิดหนึ่งมียีน 3 คู่ ควบคุมความสูง โดยต้นพ่อพันธุ์มีจีโนไทป์แบบ XXYYZZ มีความสูง 250
ในอัตราสวน 1 : 2 : 1
เซนติเมตร ต้นแม่พันธุ์มีจีโนไทป์แบบ xxyyzz มีความสูง 100 เซนติเมตร เมื่อไม่ค�านึงถึงปัจจัยจาก
2. โอกาสของรุน F2 ที่มีสีดอกเหมือนกับรุนพอ สิ่งแวดล้อม จงตอบค�าถามต่อไปนี้
เทากับรอยละ 25 และเหมือนแมรอยละ 25 5.1 จงหาว่า แอลลีลเด่น 1 แอลลีล ท�าให้ต้นไม้สูงขึ้นกี่เซนติเมตร
3. พอและแมมีหมูเลือด A ที่มีจีโนไทป IAi และ 5.2 ต้นไม้ 4 ต้น คือ ก ข ค และ ง มีจีโนไทป์ดังต่อไปนี้ XXYyzz XxYyZZ XXYyzz xxYyzz ตาม
หมูเลือด B ที่มีจีโนไทป IBi ล�าดับ จงเรียงล�าดับความสูงของต้นไม้จากมากไปน้อย
4. ลูกที่เกิดมามีโอกาสมีหมูเลือด A ที่มีจีโนไทป 6. จงอธิบายความหมายของค�าต่อไปนี้
แบบ IAi และหมูเลือด B ที่มีจีโนไทปแบบ IBi 6.1 การข่มไม่สมบูรณ์
5. 5.1 แอลลีล 1 แอลลีล ควบคุมความสูง 25 ซม. 6.2 ความเด่นร่วม
5.2 ตนไมที่สูงที่สุด คือ ตน ข รองลงมา คือ 6.3 มัลติเพิลแอลลีล
ตน ก และตน ค สวนตน ง มีความสูง 6.4 พอลิยีน
นอยที่สุด
6. 6.1 การควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมดวย อภิปรายผลกิจกรรม
ยีนเดียว แตแอลลีลเดนไมไดขมแอลลีล
ดอยอยางสมบูรณ ทําใหแสดงลักษณะ จากกิจกรรมนี้ จะทราบหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมอืน่ ๆ ทีเ่ ป็นส่วนขยายจากหลักพันธุศาสตร์
ของเมนเดล ทัง้ การข่มไม่สมบูรณ์ ซึง่ แอลลีลไม่ได้แสดงลักษณะเด่นหรือลักษณะด้อยอย่างสมบูรณ์ แต่จะแสดง
ออกมากึ่งกลางของสองลักษณะ
ลักษณะออกมากึง่ กลางระหว่างสองลักษณะ ความเด่นร่วม ซึง่ แอลลีลจะไม่ขม่ กันแต่จะแสดงความเด่นเท่ากัน
6.2 การควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมดวย มัลติเพิลแอลลีล ซึ่งลักษณะถูกควบคุมด้วยแอลลีลมากกว่า 2 แอลลีล และพอลิยีน ซึ่งลักษณะถูกควบคุมด้วย
ยีนเดียว ซึง่ แอลลีล 2 แอลลีลจะไมขม ซึง่ กัน ยีนหลายยีน นอกจากนั้น ยังสามารถท�านายโอกาสของการเกิดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในรุ่นต่อ ๆ
และกัน แตจะแสดงความเดนออกมาเทากัน ไปได้ เช่น การท�านายโอกาสของหมู่เลือดในรุ่นลูก เป็นต้น
6.3 การควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูก
ควบคุมดวยแอลลีลมากกวา 2 แอลลีล 20
6.4 การควบคุ ม ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมที่
ควบคุมดวยยีนหลายคู

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครอบครัวหนึ่งมีลูก 3 คน แตละคนมีเลือดหมู A B และ O ขอใดคือหมูเลือดของพอและแมของเด็กทั้ง 3 คนนี้
1. พอมีหมูเ ลือด A แมมหี มูเ ลือด A 2. พอมีหมูเ ลือด O แมมหี มูเ ลือด B
3. พอมีหมูเ ลือด B แมมหี มูเ ลือด A 4. พอมีหมูเ ลือด AB แมมหี มูเ ลือด O
5. พอมีหมูเ ลือด AB แมมหี มูเ ลือด A
(วิเคราะหคําตอบ พอมีหมูเลือด B แมมีหมูเลือด A (heterozygous ทั้งคู) ลูกมีหมูเลือดเปนไปไดทั้ง A B และ O
พอหมูเลือด B × แมหมูเลือด A
B
จีโนไทป Ii × IAi
เซลลสืบพันธุ 1/2½IB , ½1/2i × 1/2½IA , ½1/2i
จีโนไทปของลูก ¼1/4IAIB 1/4IBi 1/4IAi 1/4ii
หมูเลือด AB หมูเลือด B หมูเลือด A หมูเลือด O
ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T24
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3.5 ยีนบนโครโมโซมเพศ 1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ลั ก ษณะทาง
โครโมโซมของมนุษยมีจํานวน 23 คู หรือ 46 แทง ซึ่งในเพศชายและเพศหญิงมีโครโมโซม พันธุกรรมทีผ่ า นมาจะถายทอดผานโครโมโซม
เหมือนกัน 22 คู คือ โครโมโซมรางกาย (autosome) และอีก 1 คูแตกตางกัน คือ โครโมโซมเพศ รางกาย ซึง่ พบทัง้ แอลลีลเดนและแอลลีลดอย แต
(sex chromosome) ซึง่ ในเพศหญิงมีโครโมโซมเพศเปน XX สวนเพศชายมีโครโมโซมเพศเปน XY บางลักษณะมีการถายทอดผานโครโมโซมเพศ
จากการศึกษาทีผ่ า นมาพบวาลักษณะทางพันธุกรรมถูกควบคุมดวยยีนบนโครโมโซมรางกาย ซึ่งถูกคนพบครั้งแรกโดยโทมัส ฮันต มอรแกน
และมีการถายทอดลักษณะตามกฎของเมนเดล ทั้งความผิดปกติของแอลลีลเดน ซึ่ง1หากมีแอลลีล 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาแผนภาพการถ า ยทอด
เดนเพียงแอลลีลเดียวก็จะแสดงลักษณะความผิดปกติออกมาทันที เชน โรคนิ้วเกิน เปนตน และ ลักษณะสีตาของแมลงหวี่
ความผิดปกติของแอลลีลดอย ซึ่งจะแสดงลักษณะความผิดปกติออกมาก็ตอเมื่อคูของยีนนั้น
เปนแอลลีลดอยทั้งคู แตหากมีแอลลีลดอยเพียงแอลลี
2 ลเดียวก็จะไม 3 แสดงความผิดปกติออกมา
เนื่องจากถูกแอลลีลเดนขมอยู เชน โรคผิวเผือก โรคธาลัสซีเมีย เปนตน รวมถึงการถายทอด
ลักษณะพันธุกรรมดวยยีนบนโครโมโซมรางกายที่เปนสวนขยายของพันธุศาสตรเมนเดล เชน
หมูเลือดระบบ ABO สีผิว สีตา เปนตน
ในป พ.ศ. 2453 โทมัส ฮันต มอรแกน เพศเมีย เพศผู
( Thomas Hunt Morgan ) นั ก วิ จั ย ด า น
เอ็มบริโอของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศ
สหรัฐอเมริกา พบลักษณะพันธุกรรมที่ควบคุม
ด ว ยยี น บนโครโมโซมเพศเป น ครั้ ง แรกจาก
การทดลองเลี้ยงและผสมพันธุแมลงหวี่ ซึ่งมี
โครโมโซม 4 คู ประกอบดวยโครโมโซมรางกาย
3 คู และโครโมโซมเพศ 1 คู ซึ่งแมลงหวี่เพศ โครโมโซม X
เมียมีโครโมโซมเพศเปน XX และแมลงหวี่ โครโมโซม Y
เพศผูมีโครโมโซมเพศเปน XY เชนเดียวกับ
โครโมโซมเพศของคน ภาพที่ 4.16 โครโมโซมเพศของแมลงหวี่

มอรแกนทดลองผสมพันธุแมลงหวี่เปน
จํานวนหลายรุน ทําใหไดลูกหลานเปนจํานวน
มาก จากการสังเกตพบวาแมลงหวีเ่ พศผูบ างตัว
มีตาสีขาว ซึ่งแตกตางจากแมลงหวี่สวนใหญที่
มีตาสีแดง มอรแกนจึงเรียกแมลงหวี่ตาสีขาว
เหลานี้วาสายพันธุกลายหรือฟโนไทปที่กลาย
พันธุ (mutant phenotype) เนื่องจากเกิดการ
กลายพันธุจากแอลลีลของสายพันธุปกติที่มี
ตาสีแดง ภาพที่ 4.17 สีตาที่แตกตางกันของแมลงหวี่
การถ่ายทอด 21
ทางพันธุกรรม

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


ขอใดกลาวไมถกู ตองเกีย่ วกับการถายทอดยีนบนโครโมโซมเพศ 1 โรคนิว้ เกิน เปนความผิดปกติของแอลลีลเดน ซึง่ จะมีจาํ นวนนิว้ เกินกวาปกติ
1. ยีนอยูบนโครโมโซมเพศ X และ Y 2 โรคผิวเผือก เปนความผิดปกติบนแอลลีลดอย เกิดจากยีนที่ควบคุมการ
2. โครโมโซม X จะพบยีนจํานวนมากกวาโครโมโซม Y สร า งเม็ ด สี เ มลานิ น ในร า งกายผิ ด ปกติ จึ ง ไม ส ามารถผลิ ต เม็ ด สี เ มลานิ น
3. พบทั้งความผิดปกติของแอลลีลเดนและแอลลีลดอย ออกมาได ทําใหรางกายมีผิวขาวทั้งตัว สามารถพบไดทั้งในสัตวและมนุษย
4. ความผิดปกติบนโครโมโซม Y จะพบในเพศชายเทานั้น 3 โรคธาลัสซีเมีย เปนความผิดปกติของแอลลีลดอย เกิดจากยีนควบคุมการ
5. เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเกิดความผิดปกติไดเทากัน สรางโปรตีนเฮโมโกลบินในเซลลเม็ดเลือดแดงผิดปกติ สงผลตอการลําเลียง
(วิเคราะหคาํ ตอบ เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเกิดความผิดปกติ แกสออกซิเจนของเซลลเม็ดเลือดแดง ทําใหเกิดภาวะโลหิตจาง ในประเทศไทย
ไดแตกตางกัน เนื่องจากเพศหญิงมีโครโมโซม X 2 แทง แตเพศ มีประชากรทีเ่ ปนพาหะของโรคทาลัสซีเมียถึงรอยละ 20-30 แตประชากรทีเ่ ปน
ชายมีโครโมโซม X เพียงแทงเดียว อีกทั้งเพศหญิงไมมีโครโมโซม โรคนีม้ เี พียงรอยละ 2
Y ทําใหโอกาสในการเกิดความผิดปกติขึ้นอยูกับการรับแอลลีล
ผิดปกติทเี่ ปนแอลลีลเดนหรือแอลลีลดอย หรือเปนแอลลีลทีอ่ ยูบ น
โครโมโซมเพศ X หรือ Y ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T25
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา จากนั้นมอร์แกนจึงผสมพันธุ์แมลงหวี่เพศเมียตาสีแดงกับแมลงหวี่เพศผู้ตาสีขาว ได้รุ่น F1
• ยี น ควบคุ ม สี ต าของแมลงหวี่ ถู ก ควบคุ ม มีตาสีแดงทั้งหมด แล้วจึงน�ารุ่น F1 มาผสมพันธุ์กันเอง ได้รุ่น F2 ซึ่งเพศเมียทุกตัวมีตาสีแดง แต่
อยางไร และมีการถายทอดลักษณะสีตา เพศผู้มีตาสีแดงต่อตาสีขาว ในอัตราส่วน 1 : 1 และจะพบแมลงหวี่ตาสีขาวเฉพาะในเพศผู้เท่านั้น
อยางไร มอร์แกนจึงสรุปว่า สีตาของแมลงหวี่มีความเชื่อมโยงกับเพศ
(แนวตอบ สีตาของแมลงหวี่ถูกควบคุมดวย จากผลการทดลองดังกล่าว มอร์แกนให้เหตุผลว่า ยีนที่ควบคุมลักษณะสีตาของแมลงหวี่อยู่
ยี น บนโครโมโซม X ซึ่ ง แมลงหวี่ เ พศผู  มี บนโครโมโซม X โดยแอลลีลควบคุมตาสีแดงจะแสดงลักษณะข่มแอลลีลควบคุมตาสีขาว ขณะ
โครโซมเพศเปน XY เมือ่ ไดรบั แอลลีลควบคุม ที่โครโมโซม Y ไม่มียีนควบคุมสีตา โดยแมลงหวี่รุ่นลูกเพศผู้จะได้รับโครโมโซม X จากแม่และ
ตาสีขาวมาจะแสดงลักษณะตาสีขาวทันที โครโมโซม Y จากพ่อ ส่วนแมลงหวีเ่ พศเมียจะได้รบั โครโมโซม X จากพ่อและแม่ ซึง่ แมลงหวีร่ นุ่ ลูก
สวนเพศเมียตองไดรับแอลลีลควบคุมตา เพศผู้ที่มียีนควบคุมตาสีขาวเพียงแอลลีลเดียวก็จะแสดงลักษณะตาสีขาวออกมา ขณะที่แมลงหวี่
สีขาวทั้ง 2 แอลลีล จึงจะแสดงลักษณะตา เพศเมียจะต้องมีแอลลีลควบคุมตาสีขาวทั้งคู่ ถึงจะแสดงลักษณะตาสีขาวออกมา
สีขาวออกมา ทําใหพบแมลงหวี่เพศผูมีตา
สีขาวมากกวาแมลงหวี่เพศเมีย)
รุ่น P ×
4. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ยี น ที่ ค วบคุ ม
ลักษณะสีตาของแมลงหวีอ่ ยูบ นโครโมโซมเพศ
เซลล์สืบพันธุ์ โครโมโซม X ที่มีแอลลีลตาสีแดง
X โดยแอลลีลควบคุมตาสีแดงจะขมแอลลีล
ควบคุมตาสีขาว ซึ่งเพศผูมีโครโมโซมเพศเปน โครโมโซม X ที่มีแอลลีลตาสีขาว
โครโมโซม Y
XY ถาไดรับแอลลีลตาสีขาวมาจะแสดงออก
ทันที แตเพศเมียมีโครโมโซมเพศเปน XX จะ
ตองไดรับแอลลีลตาสีขาวทั้ง 2 แอลลีล จึงจะ รุ่น F1 ×
แสดงลักษณะตาสีขาวออกมา โดยเรียกยีนที่
ถายทอดลักษณะผานโครโมโซมเพศ X นี้วา
ยีนที่เกี่ยวเนื่องกับ X เซลล์สืบพันธุ์

รุ่น F2

ภาพที่ 4.18 การผสมพันธุ์แมลงหวี่ตามแนวคิดของมอร์แกน


22

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูอาจอธิบายถึงสาเหตุของการเลือกใชแมลงหวีเ่ ปนตัวแทนสิง่ มีชวี ติ ในการ ขอใดกลาวถูกตองเกีย่ วกับการถายทอดลักษณะสีตาของแมลงหวี่
ศึกษาทางดานพันธุศาสตร ดังนี้ 1. ลักษณะตาสีขาวจะพบเฉพาะในแมลงหวี่เพศผูเทานั้น
- แมลงหวี่เปนแมลงที่มีขนาดเล็ก 2. แอลลีลควบคุมตาสีขาวของแมลงหวี่พบอยูบนโครโมโซม Y
- มีวงจรชีวติ สัน้ ประกอบดวยระยะไข (ใชระยะเวลาประมาณ 3 วัน) ระยะ 3. แอลลีลควบคุมตาสีขาวของแมลงหวี่พบอยูบนโครโมโซม X
ตัวหนอน (ใชระยะเวลาประมาณ 5-10 วัน) ระยะดักแด (ใชระยะเวลา 4. ลักษณะตาสีขาวของแมลงหวีจ่ ะพบในเพศผูน อ ยกวาเพศเมีย
ประมาณ 6 วัน) และระยะตัวเต็มวัย (ใชระยะเวลาประมาณ 6 วัน) 5. แอลลีลควบคุมตาสีขาวของแมลงหวี่เปนแอลลีลเดนบน
- ใหลูกจํานวนมาก ซึ่งเพศเมียสามารถวางไขไดครั้งละ 30-40 ฟอง โครโมโซม X
- จํานวนโครโมโซมนอย ประกอบดวยโครโมโซมรางกาย 3 คู และ (วิเคราะหคําตอบ แอลลีลควบคุมตาสีขาวของแมลงหวี่พบเปน
โครโมโซมเพศ 1 คู แอลลีลดอยบนโครโมโซม X ทําใหมีการแสดงออกในเพศผูได
- เลี้ยงงาย และสามารถเลี้ยงในพื้นที่จํากัดไดดี มากกวาเพศเมีย เนื่องจากเพศผูมีโครโมโซม X เพียงแทงเดียว
เมื่อไดรับแอลลีลควบคุมตาสีขาวมาก็จะแสดงลักษณะตาสีขาว
ทันที ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T26
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
มอร์แกนเรียกยีนที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซมเพศของแมลงหวี่นี้ว่า ยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ 5. ครูยกตัวอยางยีนที่เกี่ยวเนื่องกับ X เชน ยีน
(sex-linked gene) ซึ่งเป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศ ควบคุมโรคตาบอดสี และใหนกั เรียนศึกษาแผนผัง
เท่านั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เพดดรี ก รี ข องครอบครั ว หนึ่ ง ที่ พ  อ ตาบอดสี
1) ยีนบน X (X-linked gene) เป็นยีนทีม่ ตี า� แหน่งอยูบ่ นโครโมโซม X ซึง่ พบทัง้ แอลลีลเด่น และแมสายตาปกติ จึงมีโอกาสที่จะมีลูกสาว
และแอลลีลด้อย แต่สว่ นมากมักพบเป็นแอลลีลด้อยมากกว่า และจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และลูกชายเปนตาบอดสีที่แตกตางกัน
เนื่องจากเพศชายมีโครโมโซม X เพียงแท่งเดียว และบางยีนก็ก่อให้เกิดโรคหรือลักษณะผิดปกติ 6. ครูถามคําถามนักเรียนวา
เช่น • การแสดงออกของโรคตาบอดสีของมนุษยใน
ลักษณะตาบอดสีเขียวแดง (green and red color blindness) เป็นลักษณะที่ควบคุมโดย เพศชายและเพศหญิงแตกตางกันอยางไร
ยีนบนโครโมโซม X ซึง่ เป็นแอลลีลด้อย การศึกษาลักษณะตาบอดสีของครอบครัวสามารถน�ามาเขียน (แนวตอบ โรคตาบอดสีของมนุษยเปนแอลลีล
พันธุประวัติ (pedigree) ซึ่งเป็นแผนผังแสดงความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของบุคคลต่าง ๆ ใน ดอยที่อยูบนโครโมโซม X ดังนั้น เพศชาย
ครอบครัว ซึง่ สามารถใช้ศกึ ษารูปแบบการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของลักษณะทีส่ นใจ เช่น โรคทาง เมื่อไดรับแอลลีลดอยของโรคตาบอดสีจะ
พันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซมร่างกายและโครโมโซมเพศ เป็นต้น โดยใช้สญั ลักษณ์ แสดงอาการของโรคตาบอดสีทนั ที เนือ่ งจาก
แสดงแทนตัวบุคคล เพศ ลักษณะพันธุกรรมทีป่ กติหรือผิดปกติ และความสัมพันธ์ตา่ ง ๆ ในครอบครัว มีโครโมโซม X เพียงโครโมโซมเดียว แต
จากการศึกษาพันธุประวัติของครอบครัวหนึ่งที่แม่สายตาปกติ แต่พ่อเป็นตาบอดสี ดังนี้ สําหรับเพศหญิงตองไดรับแอลลีลดอยทั้ง 2
แอลลีล จึงจะแสดงอาการของโรคออกมา)
ความหมายสัญลักษณ์
7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
I ชายและหญิงปกติ
• ยีนที่พบบนโครโมโซม Y จะสามารถพบใน
ชายและหญิงที่มีลักษณะผิด
ปกติหรือเป็นโรค เพศหญิงไดหรือไม
II ชายและหญิงแต่งงานกัน ( แนวตอบ ยี น ที่ อ ยู  บ นโครโมโซม Y จะมี
III
ชายและหญิ ง แต่ ง งานกั น มี
บุตร 3 คน โดยคนที่ 1 และ
การแสดงออกเฉพาะในเพศชายเท า นั้ น
คนที่ 3 เป็นชาย ส่วนคนที่ 2 เนื่องจากเพศหญิงไมมีโครโมโซม Y)
เป็นหญิง
ภาพที่ 4.19
ไม่ระบุเพศ
8. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ยี น ที่ พ บบน
I II III IV รุ่นที่ โครโมโซม Y จะพบเฉพาะในเพศชาย เนือ่ งจาก
เพศหญิงไมมีโครโมโซม Y ดังนั้น ยีนที่อยูบน
โครโมโซม Y จึงเปนการถายทอดลักษณะจาก
หากก�าหนดให้ C แทนแอลลีลควบคุมลักษณะตาปกติ และ c แทนแอลลีลควบคุมลักษณะ
พอสูล กู ชาย และจากลูกชายสูห ลานชายเทานัน้
ตาบอดสีจากพันธุประวัตขิ องครอบครัวนี้ แสดงให้เห็นว่า ในรุน่ ที่ III ลูกชายคนแรกของครอบครัว
ที่ 1 และ 2 มีจีโนไทป์แบบ XcY ซึ่งมีลักษณะตาบอดสี ดังนั้น ลูกชายคนแรกจาก 2 ครอบครัวนี้ อธิบายความรู้
ต้องไปรับแอลลีลตาบอดสีมาจากแม่ เนือ่ งจากลูกชายจะรับโครโมโซม X จากแม่ จึงท�าให้ทราบว่า
หญิงคนที่ 1 และ 2 ในรุ่นที่ II มีจีโนไทป์แบบ XCXc ซึ่งเป็นพาหะ เพราะรับแอลลีลตาบอดสี Xc 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
มาจากพ่อในรุ่นที่ 1 ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดย
ยีนบนโครโมโซมเพศ
การถ่ายทอด 23 2. ครูใหนกั เรียนทําใบงาน เรือ่ ง ถายทอดลักษณะ
ทางพันธุกรรม
ทางพันธุกรรมทีค่ วบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศ

กิจกรรม 21st Centurey Skills เกร็ดแนะครู


ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 4 คน สรางแบบจําลองพันธุ- ครูอาจยกตัวอยางพันธุประวัตขิ องครอบครัวทีม่ คี วามผิดปกติทางพันธุกรรม
ประวัติ (pedigree) โดยใหนกั เรียนเลือกลักษณะการถายทอดทาง มาอธิบายรวมกับการสรางพันธุประวัติของนักเรียน เชน พันธุประวัติของ
พันธุกรรม 1 ลักษณะ จากสมาชิกในกลุม และสืบประวัตลิ กั ษณะ ครอบครัวหนึ่งที่แสดงอาการของโรคฮีโมฟเลีย
ทางพันธุกรรมทัง้ หมด 3 รุน ไดแก รุน ปูย า -ตายาย รุน พอแม และ
รุน ลูก (รุน ของนักเรียน) I
II
III

T27
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครู ส รุ ป หลั ก การการถ า ยทอดลั ก ษณะทาง โรคฮีโมฟเลีย (hemophilia) เป็นความผิดปกติจากแอลลีล Biology
พันธุกรรมผานยีนบนโครโมโซมพศ และการ in real life
ด้อยบนโครโมโซม X ซึ่งเกิดจากการขาดโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับ
คูส่ มรสทีเ่ ป็นโรคหรือเป็นพาหะ
เขียนพันธุประวัติใหนักเรียนทราบ การแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดบาดแผลจึงมีเลือดออกนานกว่า ของโรคทางพั น ธุ ก รรมจะมี
2. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม การแกโจทยปญหา ปกติเพราะร่างกายสร้างลิ่มเลือดได้ช้า ปัจจุบันคนที่เป็นโรค ความเสี่ยงที่จะให้ก�าเนิดบุตรที่
เรือ่ งลักษณะทางพันธุกรรมทีค่ วบคุมโดยยีนบน ฮีโมฟิเลียสามารถรักษาได้โดยการฉีดโปรตีนทีท่ า� ให้เลือดแข็งตัว มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
โครโมโซมเพศ โดยบันทึกลงสมุดบันทึกของ โรคภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD (glucose-6-phosphate เช่น โรคตาบอดสี โรคฮีโมฟีเลีย
โรคกลุม่ อาการดาวน์ เป็นต้น จึง
นักเรียน dehydrogenase deficiency) เป็นความผิดปกติจากแอลลีลด้อย ควรตรวจหาความผิดปกติทาง
บนโครโมโซม X ซึ่งเกิดจากร่างกายขาดเอนไซม์กลูโคส-6- พันธุกรรมของทารกในครรภ์ ซึง่
ฟอสเฟตดีไฮโดรจีเนส (glucose-6-phosphate dehydrogenase) สามารถตรวจได้เมื่ออายุครรภ์
ทีช่ ว่ ยปองกันการแตกตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงจากการท�าลาย หลังประมาณ 12-18 สัปดาห์
1 โดยตรวจจากชิ้ น เนื้ อ ของรก
ของสารอนุมูลอิสระ ผู้ที่ขาดเอนไซม์นี้จะมีอาการแพ้ยารักษา การเจาะน�้าคร�่า หรือการตรวจ
โรคมาลาเรีย ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดลดไข้ และอาหารบางชนิด เลือดจากสายสะดือทารก
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่จ�าเพาะนอกเหนือจากการหลีกเลี่ยง
ตัวกระตุ้นต่าง ๆ
โรคทางพันธุกรรมทีเ่ กิดจากแอลลีลเด่นบนโครโมโซม X พบได้นอ้ ย เช่น โรคมนุษย์หมาปา
(congenital generalized hypertrichosis) ซึง่ จะมีขนยาวบริเวณใบหน้า ล�าตัว แขนและขา เป็นต้น
2) ยีนบน Y (Y-linked gene) เป็นยีนที่มีต�าแหน่งอยู่บนโครโมโซม Y ท�าหน้าที่ควบคุม
ลักษณะของเพศชาย ซึง่ การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม Y จะถ่ายทอดจากพ่อไปยังลูกชาย และจาก
ลูกชายไปยังหลายชายเป็นทอด ๆ ต่อกันไป นอกจากนีบ้ นโครโมโซม Y ยังมียนี ควบคุมลักษณะอืน่
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับลักษณะทางเพศอยู่ด้วย แต่เนื่องจากโครโมโซม Y มีขนาดเล็กมาก จึงมียีนอยู่
เพียงจ�านวนน้อย ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซม Y เช่น ยีน SRY ที่ควบคุม
การสร้างอัณฑะ นิ้วเท้ามีพังผืด ผิวหนังมีสะเก็ดด�าทั้งตัว เป็นต้น
B iology
Focus การแข็งตัวของเลือด
การแข็งตัวของเลือด เป็นกระบวนการที่ท�าให้เลือดกลายเป็นลิ่มเลือดซึ่งเป็นกลไกส�าคัญของ
การห้ามเลือด เมือ่ เกิดบาดแผลเกล็ดเลือดจะเคลือ่ นทีม่ ายังบริเวณบาดแผลและปล่อยเอนไซม์ทรอมโบ-
พลาสทิน เพื่อกระตุ้นให้โพรทรอมบินเปลี่ยนเป็นทรอมบิน จากนั้นทรอมบินจะกระตุ้นให้ไฟบริโนเจน
เปลี่ยนเป็นไฟบริน และเข้าจับกับเกล็ดเลือดกลายเป็นลิ่มเลือดเพื่ออุดรอยรั่วของหลอดเลือดให้เลือด
ไม่ไหลออกจากหลอดเลือด

24

นักเรียนควรรู กิจกรรม สรางเสริม


1 อนุมลู อิสระ คือ อะตอมหรือโมเลกุลทีม่ อี เิ ล็กตรอนไมเปนคูอ ยางนอย 1 ตัว ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะทางพันธุกรรม
ที่โคจรรอบวงนอกสุด อนุมูลอิสระเกิดขึ้นไดเมื่อพันธะระหวางอะตอมแตก โรคทางพันธุกรรมที่ถายทอดผานโครโมโซม Y คนละ 1 ลักษณะ
ออก ทําใหไมเสถียรและไวตอการเกิดปฏิกิริยา จึงทําปฏิกิริยากับโมเลกุลที่อยู โดยทําเปนใบงานสงครูผูสอน
รอบๆ โดยใหอิเล็กตรอนโมเลกุลขางเคียงเพื่อใหตัวมันเสถียร โมเลกุลขางเคียง
ที่สูญเสียหรือรับอิเล็กตรอนจะกลายเปนอนุมูลอิสระตัวใหมที่ไมเสถียร และ
เขาทําปฏิกิริยากับโมเลกุลอื่นตอไปเปนปฏิกิริยาลูกโซ

T28
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
1. ครู สุ  ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยคํ า ถามใน
ลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีน
บนโครโมโซมเพศ
• การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป กิ จ กรรม โดยการแสดงวิ ธีทํ า หน า ชั้ น เรี ย น
จิตวิทยาศาสตร์
• ความมีเหตุผล
คนละ 1 ขอ
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ • ความรอบคอบ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายกิจกรรม การ
1. ชายคนหนึง่ ตาบอดสี มีพอ่ ตาปกติ จงหาจีโนไทป์ของแม่ หากก�าหนดให้ C แทนแอลลีลเด่นส�าหรับตาปกติ แกโจทยปญหาเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมที่
และ c แทนแอลลีลด้อยส�าหรับตาบอดสีบนโครโมโซม X ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศ
2. ถ้าชายตาบอดสีแต่งงานกับหญิงตาปกติแต่เป็นพาหะของโรคตาบอดสี จะมีโอกาสที่ลูกชายและลูกสาว 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ตาบอดสีได้ร้อยละเท่าใด ชีววิทยา ม.4 เลม 2
3. ถ้าชายตาบอดสีแต่งงานกับหญิงตาปกติและไม่เป็นพาหะของโรคตาบอดสี จะเป็นไปได้หรือไม่ทจี่ ะมีลกู ชาย
หรือลูกสาวตาบอดสี เพราะเหตุใด
4. จากพันธุประวัติของครอบครัวหนึ่งที่มีประวัติเกี่ยวกับโรคฮีโมฟิเลีย ดังนี้

รุ่นพ่อ - แม่ แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม


ครอบครัวที่ 1 ครอบครัวที่ 2
1. แมอาจเปนโรคตาบอดสี (XcXc) หรือพาหะของ
รุ่นที่ 1
โรคตาบอดสี (XCXc)
รุ่นที่ 2 2. ลู ก สาวและลู ก ชายมี โ อกาสเป น ตาบอดสี
รอยละ 50 ทั้งคู
ผู้หญิงปกติ ผู้ชายปกติ
3. ลู ก สาวและลู ก ชายมี โ อกาสเป น ตาบอดสี
ผู้หญิงเป็นโรคฮีโมฟีเลีย ผู้ชายเป็นโรคฮีโมฟีเลีย
รอยละ 0 ทั้งคู
ภาพที่ 4.20
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ 4. 4.1 ลูกชายทั้ง 2 ในรุนที่ 1 มีโอกาสไดรับ
4.1 เพราะเหตุใดลูกชายในรุ่นที่ 1 ถึงเป็นโรคฮีโมฟิเลียทั้งหมด แอลลีลดอยจากแมที่เปนพาหะ ซึ่งทําให
4.2 เพราะเหตุใดลูกชายในครอบครัวที่ 2 ถึงเป็นโรคฮีโมฟิเลียร้อยละ 50 เปนโรคฮีโมฟเลีย
5. เพราะเหตุใด โอกาสในการพบโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดด้วยยีนบนโครโมโซม Y จึงน้อยกว่าโรคทาง 4.2 ลูกชายในครอบครัวที่ 2 เปนโรคฮีโมฟเลีย
พันธุกรรมที่ถ่ายทอดด้วยยีนบนโครโมโซม X
รอยละ 50 เนื่องจากแมในรุนที่ 1 เปน
พาหะของโรคฮีโมฟเลีย และถายทอด
อภิปรายผลกิจกรรม
แอลลีลพาหะใหลกู ชายในรุน ที่ 2 จํานวน
จากกิจกรรมนี้ จะสามารถท�านายโอกาสของการเกิดโรคทางพันธุกรรมที่มียีนควบคุมอยู่บนโครโมโซม 1 คน สวนลูกชายอีกคนไดรับแอลลีล
เพศ ซึง่ หากยีนนัน้ มีตา� แหน่งอยูบ่ นโครโมโซม X ลูกชายทีไ่ ด้รบั โครโมโซมดังกล่าวจะแสดงอาการของโรคทันที
เนื่องจากมีโครโมโซม X เพียงแท่งเดียว แต่สูกสาวจะเป็นพาหะของโรค และจะแสดงอาการของโรคเมื่อได้รับ ปกติจากแม
โครโมโซม X ทีม่ แี อลลีลผิดปกติทงั้ สองแท่ง และหากยีนนัน้ มีตา� แหน่งอยูบ่ นโครโมโซม Y จะเป็นการถ่ายทอด 5. เนื่องจากโครโมโซม Y มีขนาดเล็ก จึงมียีน
จากพ่อไปยังลูกชาย และจากลูกชายไปยังหลายชายเท่านั้น เนื่องจากเพศหญิงไม่มีโครโมโซม Y อยูจํานวนนอย ทําใหพบโรคทางพันธุกรรมที่
การถ่ายทอด 25
ถายทอดดวยยีนบนโครโมโซม Y นอยกวาโรค
ทางพันธุกรรม
ทางพันธุกรรมทีถ่ า ยทอดดวยยีนบนโครโมโซม
X และจะพบเฉพาะในเพศชายเทานัน้

ารคิดแนว O-NET
ขอสอบเนนกการคิ
ชายเปนโรคตาบอดสีแตงงานกับหญิงตาปกติแตมีพอตาบอดสี โอกาสที่จะมีลูกสาวเปนโรคตาบอดสีเปนเทาใด
1. รอยละ 0 2. รอยละ 12.5
3. รอยละ 25 4. รอยละ 50
5. รอยละ 75
(วิเคราะหคําตอบ ชายเปนโรคตาบอดสี × หญิงตาปกติแตมีพอตาบอดสี
c
จีโนไทปของพอแม XY × XCXc
เซลลสืบพันธุ 1/2Xc , ½1/2Y × 1/2XC , ½1/2Xc
จีโนไทปของลูก ¼1/4XCXc 1/4XcXc 1/4XCY 1/4XcY
ฟโนไทปของลูก ลูกสาวตาปกติ ลูกสาวตาบอดสี ลูกชายตาปกติ ลูกชายตาบอดสี
(พาหะ)
โอกาสที่จะมีลูกสาวเปนโรคตาบอดสี เทากับรอยละ 25
ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T29
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูยกตัวอยางการผสมพันธุระหวางแมลงหวี่ 3.6 ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน
ตัวสีนาํ้ ตาลปกตรงทีเ่ ปนเฮเทอโรไซกัส (BbCc) โครโมโซมหนึ่งโครโมโซมประกอบด้วยยีนจ�ำนวนมำกซึ่ง
กับแมลงหวี่ตัวสีดําปกโคงที่เปนฮอมอไซกัส ยีนบำงยีนอำจมีต�ำแหน่งบนโครโมโซมใกล้กันและมีแนวโน้ม
(bbcc) แลวถามคําถามนักเรียนวา จะถูกถ่ำยทอดไปด้วยกันได้
• การสรางเซลลสืบพันธุ และโอกาสของลูก ในปี พ.ศ. 2446 วอลเตอร์ ชัตตัน (Walter Shutton) กล่ำวว่ำ
รุน F1 วาเปนอยางไร ที่อัตราสวนเทาใด ถา “โครโมโซมเป็นแหล่งรวมของยีน ซึ่งโครโมโซมหนึ่งโครโมโซม
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนีเ้ ปนไป ประกอบด้วยยีนเป็นจ�ำนวนมำก โดยยีน 2 โลคัสหรือมำกกว่ำ ยีน A
ตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล 2 โลคัส ที่อยู่บนโครโมโซมเดียวกันสำมำรถถ่ ยีน B
1 ำยทอดไปด้วยกัน
(แนวตอบ ตัวสีนํ้าตาลปกตรงที่เปนเฮเทอโร- เรียกยีนที่ถูกถ่ำยทอดไปด้วยกันว่ำ ลิงค์เกจ (linkage)” ซึ่งส่วน ภำพที่ 4.21 ยีนที่อยู่ใกล้กันบน
ไซกัสจะสรางเซลลสืบพันธุได 4 ชนิด คือ มำกยีนที่อยู่ใกล้กันจะมีโอกำสถ่ำยทอดไปด้วยกันมำกกว่ 2 ำยีนที่ โครโมโซมเดียวกันมีโอกำสเป็น
BC Bc bC bc และแมลงหวี่ตัวสีดําปกโคง จเกิดครอสซิงโอเวอร์
อยู่ไกลกัน เพรำะยีนที่อยู่ไกลอำจเกิ ลิงค์เกจกัน
ที่เปนฮอมอไซกัสจะสรางเซลลสืบพันธุได ในเวลำต่อมำนักวิทยำศำสตร์ได้ศึกษำ
เพียงชนิดเดียว คือ bc ทําใหรุน F1 จะมี ลักษณะต่ำง ๆ ของแมลงหวี่ เช่น ชนิดของปีก
ลักษณะที่แสดงออกมา 4 ลักษณะ คือ ตัว สีตำ ควำมยำวของขำ และชนิดของหนวด
สีนาํ้ ตาลปกตรง (BbCc) ตัวสีนาํ้ ตาลปกโคง เป็นต้น จึงพบยีนที่ควบคุมลักษณะต่ำง ๆ ของ
(Bbcc) ตัวสีดาํ ปกตรง (bbCc) และตัวสีดาํ แมลงหวี่ เช่น ยีนที่ควบคุมลักษณะสีตัวและยีน
ปกโคง (bbcc) ในอัตราสวน 1 : 1 : 1 : 1) ที่ควบคุมลักษณะปีก เป็นต้น
ภำพที่ 4.22 ลักษณะของปีกและสีตำที่แตกต่ำงกันของ
แมลงหวี่
ก�ำหนดให้ ยีนทีค่ วบคุมลักษณะสีตวั โดยแอลลีลควบคุมตัวสีนำ�้ ตำลเป็นแอลลีลเด่น (B) และ
แอลลีลควบคุมตัวสีดำ� เป็นแอลลีลด้อย (b) และยีนทีค่ วบคุมลักษณะปีก โดยแอลลีลควบคุมปีกตรง
เป็นแอลลีลเด่น (C) และแอลลีลควบคุมปีกโค้งเป็นแอลลีลด้อย (c)
ในกำรผสมพันธุแ์ มลงหวีต่ วั สีนำ�้ ตำลปีกตรงทีเ่ ป็นเฮเทอโรไซกัส (BbCc) กับแมลงหวีต่ วั สีดำ�
ปีกโค้ง (bbcc) พบว่ำ หำกเป็นไปตำมกฎแห่งกำรรวมกลุ่มอย่ำงอิสระของเมนเดล แมลงหวี่
ตัวสีน�้ำตำลปีกตรงที่เป็นเฮเทอโรไซกัสจะสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ได้ 4 รูปแบบ คือ BC Bc bC และ bc
ส่วนแมลงหวี่ตัวสีด�ำปีกโค้งจะสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์เพียงรูปแบบเดียว คือ bc ซึ่งฟีโนไทป์ของ
รุน่ F1 น่ำจะมีลกั ษณะทีแ่ สดงออกมำ 4 ลักษณะ คือ ตัวสีนำ�้ ตำลปีกตรง (BbCc) ตัวสีนำ�้ ตำลปีกโค้ง
(Bbcc) ตัวสีด�ำปีกตรง (bbCc) และตัวสีด�ำปีกโค้ง (bbcc) ในอัตรำส่วน 1 : 1 : 1 : 1 ตำมล�ำดับ
แต่จำกกำรทดลอง พบว่ำ รุ่น F1 ที่ได้มีฟีโนไทป์เพียง 2 ลักษณะเท่ำนั้น คือ ตัวสีน�้ำตำลปีกตรง
(BbCc) และตัวสีด�ำปีกโค้ง (bbcc) ในอัตรำส่วน 1 : 1 ซึ่งไม่เป็นไปตำมกฎกำรรวมกลุ่มอย่ำง
อิสระของเมนเดล
26

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 ลิงคเกจ กลุม ของยีนทีอ่ ยูบ นโครโมโซมเดียวกันและมีแนวโนมจะถูกถายทอด จากภาพ ยีนในขอใดมีโอกาสเกิดลิงคเกจกันมากทีส่ ดุ
ไปพรอมๆ กัน มากกวาที่จะถายทอดอยางอิสระตอกัน ซึ่งถายีน 2 โลคัส A
อยูไกลกันมากก็จะไมเปนลิงคเกจ แมจะอยูบนโครโมโซมเดียวกันก็ตาม
2 ครอสซิงโอเวอร เปนปรากฏการณที่โครมาทิดของโครโมโซมเสนหนึ่งแลก
เปลี่ยนกับโครมาทิดของโครโมโซมอีกเสนหนึ่งที่เปนฮอมอโลกัสโครโมโซม C B
D
กัน ซึ่งจะเกิดขึ้นในชวงของการแบงเซลลในระยะโพรเฟส I มีผลทําใหเซลล
สืบพันธุของสิ่งมีชีวิตบางสวนแตกตางไปจากเดิม ซึ่งมีผลทําใหเกิดความ 1. ยีน A และ ยีน C 2. ยีน B และ ยีน C
แปรผันทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต นอกจากนั้น การเกิดครอสซิงโอเวอร 3. ยีน A และ ยีน D 4. ยีน B และ ยีน D
สามารถนํามาประยุกตใชในการทําแผนที่โครโมโซม เชน การทําแผนที่ยีน 5. ยีน C และ ยีน D
บนโครโมโซม การหาระยะระหวางยีนบนโครโมโซม เปนตน (วิเคราะหคาํ ตอบ ยีนทีเ่ ปนลิงคเกจกัน คือ ยีนทีอ่ ยูใ กลกนั และมี
โอกาสถายทอดไปดวยกัน จากภาพ ยีน B และ D อยูใ กลกนั ทีส่ ดุ
จึงมีโอกาสเปนลิงคเกจกันมากทีส่ ดุ ดังนัน้ ตอบขอ 4.)

T30
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
จากผลการทดลองแสดงว่า แมลงหวี่ตัวสีน�้าตาลปีกตรงในรุ่นพ่อแม่ที่มีจีโนไทป์เป็นเฮเทอ- 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การผสมพันธุของ
โรไซกัสสามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ได้เพียง 2 แบบเท่านั้น คือ BC และ bc ส่วนแมลงหวี่ตัว แมลงหวี่ไมเปนไปตามหลักพันธุศาสตรของ
สีดา� ปีกโค้งสร้างเซลล์สบื พันธุเ์ พียงแบบเดียว คือ bc เนือ่ งจากแอลลีล B และ C อยูบ่ นโครโมโซมเดียวกัน เมนเดล เนือ่ งจากรุน ลูก F1 ทีเ่ กิดขึน้ มีฟโ นไทป
เช่นเดียวกับแอลลีล b และ c ก็อยู่บนโครโมโซมเดียวกันซึ่งเป็นฮอมอโลกัสโครโมโซมกัน และจะ เพียง 2 ลักษณะเทานัน้ คือ ตัวสีนาํ้ ตาลปกตรง
ถูกถ่ายทอดไปด้วยกันเมือ่ มีการสร้างเซลล์สบื พันธุ์ เรียกแอลลีลของยีนทีถ่ กู ถ่ายทอดไปด้วยกันนีว้ า่ (BbCc) และตัวสีดําปกโคง (bbcc) ในอัตรา
ลิงค์ยีน (linked genes) แสดงว่ายีนที่ควบคุมลักษณะสีตัวและลักษณะของปีกอยู่บนโครโมโซม สวน 1 : 1 เนื่องจากตัวสีนํ้าตาลปกตรงที่เปน
เดียวกันและเป็นลิงค์ยีนกัน เฮเทอโรไซกั ส สามารถสร า งเซลล สื บ พั น ธุ 
ตัวสีน�้าตาลปีกตรง × ตัวสีด�าปีกโค้ง เพียง 2 แบบเทานั้น คือ BC และ bc จึงทําให
รุ่น P
รุ  น ลู ก ที่ เ กิ ด มามี ลั ก ษณะฟ โ นไทป เ พี ย ง
2 ลักษณะเทานั้น โดยแอลลีล B กับ C และ
แอลลีล b กับ c ที่อยูบนโครโมโซมเดียวกัน
จะถูกถายทอดไปดวยกันเมื่อมีการสรางเซลล
รุ่น F1 สืบพันธุ เรียกยีนเหลานี้วาเปน ลิงคยีน แต
ยี น ที่ เ ป น ลิ ง ค ยี น กั น อาจไม ถู ก ถ า ยทอดไป
ตัวสีน�้าตาลปีกตรง ตัวสีด�าปีกโค้ง
ภาพที่ 4.23 การถ่ายทอดยีนที่อยู่บนโครโมโซมเดียวกันในแมลงหวี่
ดวยกัน หากระหวางการแบงเซลลสืบพันธุ
เกิดครอสซิงโอเวอร (crossing over) ซึ่งทําให
อย่างไรก็ตาม แอลลีลของยีนที่เป็นฮอมอโลกัสโครโมโซมกันสามารถแลกเปลี่ยนชิ้นส่วน ยีนที่เคยถูกถายทอดไปดวยกันอาจแยกออก
1
โครมาทิดของฮอโมโลกัสโครโมโซมในระหว่างการเข้าคู่กันในระยะโพรเฟส I เรียกปรากฏการณ์นี้ จากกันไปยังเซลลสืบพันธุที่ตางกัน
ว่าการไขว้เปลี่ยนหรือครอสซิงโอเวอร์ (crossing over) ท�าให้ยีนที่เคยถ่ายทอดไปด้วยกันบางส่วน
สามารถแยกออกจากกันไปยังเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์ และจะท�าให้มีเซลล์สืบพันธุ์จ�านวนหนึ่ง
แตกต่างไปจากเดิม

ภาพที่ 4.24 การเกิดครอสซิงโอเวอร์ของฮอมอโลกัสโครโมโซม

การถ่ายทอด 27
ทางพันธุกรรม

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


ยีนที่อยูบนโครโมโซมเดียวกันสามารถแยกออกจากกันไดโดย 1 โพรเฟส I เปนระยะหนึ่งของการแบงเซลลแบบไมโอซิส หรือการแบง
ปรากฏการณใด เซลลสืบพันธุ ซึ่งเปนระยะที่โครมาทินจะขดสั้นและหนาขึ้น เซนโทรเมียรจะ
1. การแบงเซลล เคลื่อนหางจากกันไปอยูดานตรงขามกัน เยื่อหุมนิวเคลียสและนิวคลีโอลัส
2. การกลายพันธุ สลายตัว โครโมโซมที่เปนฮอมอโลกัสกันจะเรียงตัวเปนคูกัน แตละคูของ
3. ครอสซิงโอเวอร ฮอมอโลกั ส โครโมโซมมี 4 โครมาทิ ด และเป น ระยะที่ เ กิ ด ปรากฏการณ
4. การแยกกันของเซลลสืบพันธุ ครอสซิงโอเวอร
5. การรวมกลุมอยางอิสระของยีน ไคแอสมา
( วิ เ คราะห คํ า ตอบ การแลกเปลี่ ย นชิ้ น ส ว นของฮอมอโลกั ส
โครโมโซมอาจทําใหยนี ทีอ่ ยูบ นโครโมโซมเดียวกันแยกออกจากกันได
เรียกปรากฏการณนี้วา ครอสซิงโอเวอร ดังนั้น ตอบขอ 3.)

ฮอมอโลกัสโครโมโซม
T31
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพการผสมพันธุ โดยปกติการผสมพันธุ์แมลงหวี่ตัวสีน�้าตาลปีกตรงที่เป็นเฮเทอโรไซกัส (BbCc) กับแมลงหวี่
ระหว า งแมลงหวี่ ตั ว สี นํ้ า ตาลป ก ตรงที่ เ ป น ตัวสีด�าปีกโค้ง (bbcc) ควรจะได้รุ่น F1 มีฟีโนไทป์เพียง 2 ลักษณะเท่านั้น คือ ตัวสีน�้าตาลปีกตรง
เฮเทอโรไซกัส (BbCc) กับแมลงหวี่ตัวสีดํา (BbCc) และตัวสีดา� ปีกโค้ง (bbcc) แต่หากเกิดปรากฏการณ์ครอสซิงโอเวอร์ขนึ้ ในระหว่างการสร้าง
ปกโคงที่เปนฮอมอไซกัส (bbcc) ซึ่งจะได เซลล์สืบพันธุ์ จะท�าให้เซลล์สืบพันธุ์จ�านวนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น จากเซลล์สืบพันธุ์
รุน F1 มีฟโ นไทป 4 ลักษณะ แลวถามคําถาม ชนิดปกติ BC และ bc เปลีย่ นเป็นเซลล์สบื พันธุช์ นิด Bc และ bC ท�าให้รนุ่ F1 ทีไ่ ด้แตกต่างจากเดิม
นักเรียนวา โดยมีฟโี นไทป์ 4 ลักษณะ คือ ตัวสีนา�้ ตาลปีกตรง (BbCc) ตัวสีนา�้ ตาลปีกโค้ง (Bbcc) ตัวสีดา� ปีกตรง
• ทําไมรุนลูก F1 จึงมีลักษณะฟโนไทปถึง 4 (bbCc) และตัวสีด�าปีกโค้ง (bbcc) เป็นต้น แต่ปริมาณลูก F1 ที่เกิดจากการคลอสซิงโอเวอร์นั้น
ลักษณะ ทั้งๆ ที่แอลลีล B กับ C และ จะเกิดในปริมาณน้อยกว่าเมื่อเทียบกับลูกที่เกิดจากลิงค์ยีนตามปกติ
แอลลีล b กับ c เปนลิงคเกจกัน ตัวสีน�้าตาลปีกตรง × ตัวสีด�าปีกโค้ง
(แนวตอบ ในระหวางการสรางเซลลสืบพันธุ
รุ่น P
จะเกิดปรากฏการณครอสซิงโอเวอร ทําให
ยี น ที่ ถู ก ถ า ยทอดไปด ว ยกั น แยกออกจาก
กัน เชน แอลลีล B กับ C และ b กับ c ที่
รุ่น F1
จะถายทอดไปดวยกัน ถูกแยกออกจากกัน
ทําใหเซลลสบื พันธุเ ปลีย่ นแปลงไปจากปกติ)
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ในระหวางการ
ตัวสีน�้าตาลปีกตรง ตัวสีด�าปีกตรง ตัวสีน�้าตาลปีกโค้ง ตัวสีด�าปีกโค้ง
สร า งเซลล สื บ พั น ธุ  อ าจเกิ ด ปรากฏการณ
ครอสซิงโอเวอร ทําใหเซลลสืบพันธุบางเซลล ภาพที่ 4.25 การเกิดคลอสซิงโอเวอร์ในการผสมพันธุ์แมลงหวี่ตัวสีน�้าตาลปีกตรงกับตัวสีด�าปีกโค้ง
เปลีย่ นแปลงไป เชน จากเซลลสบื พันธุป กติ BC 1
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการเกิดครอสซิงโอเวอร์ของกลุ่มยีน B และ b กับกลุ่มยีน C และ c
และ bc เปลี่ยนเปน Bc และ bC จึงทําใหรุน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างยีนทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งหากยีน 2 กลุ่มอยู่ใกล้กันมากโอกาส
F1 มีฟโนไทปแตกตางจากปกติ เกิดครอสซิงโอเวอร์จะมีนอ้ ย แต่หากยีนอยูไ่ กลกันโอกาสเกิดครอสซิงโอเวอร์จะมากขึน้ ตามล�าดับ
อธิบายความรู้ 3.7 ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศ
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ ลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะถูกควบคุมด้วยยีนบน
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมผานยีนบน โครโมโซมร่างกายและมีฮอร์โมนเพศควบคุม ซึง่ มีการแสดงออก
โครโมโซมเดียวกัน ในแต่ละเพศไม่เท่ากัน เรียกลักษณะเหล่านี้ว่า ลักษณะภายใต้
อิทธิพลเพศ (sex-influenced trait) เช่น ลักษณะศีรษะล้าน
ในคน เป็นต้น ภาพที่ 4.26 ลักษณะศีรษะล้าน
ของคนอยู่ภายใต้อิทธิพลเพศ

28

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 การเกิดครอสซิงโอเวอร มีปจจัย ดังนี้ ขอใดตอไปนีก้ ลาวถึงการเกิดศีรษะลานไดถกู ตอง
ï- ระยะหางของยีน ซึ่งยีนที่อยูใกลกันจะมีโอกาสเกิดครอสซิงโอเวอร 1. พบเฉพาะในเพศชายเทานั้น
มากกวายีนที่อยูไกลกัน 2. มีการแสดงออกในเพศหญิงมากกวาเพศชาย
ï- ตําแหนงของเซนโทรเมียร หากยีนอยูใกลตําแหนงของเซนโทรเมียรมาก 3. ลักษณะศีรษะลานถูกควบคุมดวยยีนบนโครโมโซมเพศ X
การเกิดครอสซิงโอเวอรก็จะเกิดไดนอย 4. ลักษณะศีรษะลานถูกควบคุมดวยแอลลีลดอยบนโครโมโซม
ï- อายุของแม โดยพบวาเมือ่ แมแมลงหวีม่ อี ายุมากขึน้ โอกาสเกิดครอสซิง- รางกาย
โอเวอรจะลดลง 5. ลักษณะศีรษะลานเปนแอลลีลเดนในเพศชาย แตเปนแอลลีล
ï- อาหาร โดยพบวาแมลงหวีท่ ไี่ ดรบั อาหารทีป่ ระกอบดวยแคลเซียมสูง โอกาส ดอยในเพศหญิง
เกิดครอสซิงโอเวอรจะลดลง (วิเคราะหคาํ ตอบ ศีรษะลานเปนลักษณะพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมดวย
ยีนบนโครโมโซมรางกาย และมีฮอรโมนเพศมาควบคุม ซึง่ เพศชายจะ
มีการแสดงออกของลักษณะศีรษะลานมากกวาเพศหญิง เนือ่ งจาก
เปนแอลลีลเดนในเพศชาย แตเปนแอลลีลดอยในเพศหญิง ดังนัน้
ตอบขอ 5.)

T32
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ก�าหนดให้ B เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะศีรษะล้าน และ B+ เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะศีรษะ 1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา บางลักษณะมียีน
ควบคุมอยูบ นโครโมโซมรางกาย แตมฮี อรโมน
ไม่ลา้ น ซึง่ ในเพศชายและเพศหญิงมีจโี นไทป์และฟีโนไทป์แสดงลักษณะศีรษะล้านแตกต่างกัน ดังนี้
เพศมาควบคุม จึงแสดงออกในแตละเพศแตก
ตารางที่ 4.4 : จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลักษณะศีรษะล้านในเพศชายและเพศหญิง ตางกัน เรียกวา ลักษณะภายใตอทิ ธิพลเพศ
จีโนไทป์
ฟีโนไทป์ 2. ครูใหนกั เรียนศึกษา การแสดงออกของลักษณะ
เพศชาย เพศหญิง ศีรษะลาน และถามคําถามนักเรียนวา
BB ศีรษะล้าน ศีรษะล้าน • เพศชายและเพศหญิงมีการแสดงออกของ
BB+ ศีรษะล้าน ศีรษะไม่ล้าน ลักษณะศีรษะลานตางกันอยางไร
B+B+ ศีรษะไม่ล้าน ศีรษะไม่ล้าน (แนวตอบ ศีรษะลานจะแสดงออกในเพศชายได
แมไดรับแอลลีลควบคุมเพียงแอลลีลเดียว
การแสดงออกของลักษณะศีรษะล้านแสดงให้เห็นว่า ยีนควบคุมลักษณะศีรษะล้านเป็นแอลลีล แตในเพศหญิงตองไดรับแอลลีลควบคุม 2
เด่นในเพศชาย แต่เป็นแอลลีลด้อยในเพศหญิง ท�าให้เพศชายมีโอกาสเกิดศีรษะล้านมากกว่าเพศหญิง แอลลีล จึงจะแสดงลักษณะศีรษะลาน)
3.8 ลักษณะที่จ�ากัดในเพศ 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา แอลลีลควบคุม
ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม ลักษณะศีรษะลานเปนแอลลีลเดนในเพศชาย
แตเปนแอลลีลดอยในเพศหญิง
ร่างกาย บางลักษณะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้
1 อมภายในร่างกาย 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา บางลักษณะมียีน
ของแต่ละเพศ เช่น ระดับฮอร์โมน ท�าให้มีการแสดงออก ควบคุมอยูบนโครโมโซมรางกาย แตจะแสดง
เพียงเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น เรียกว่า ลักษณะที่จ�ากัดในเพศ ลักษณะเพียงเพศใดเพศหนึง่ เรียกวา ลักษณะ
(sex limited traits) เช่น ขนหางของไก่ ซึ่งปกติไก่เพศผู้จะมี จํากัดในเพศ
ขน 2 แบบ คือหางยาวโค้ง เรียกว่า ขนแบบค็อก (cock feather) ภาพที่ 4.27 ลักษณะขนแบบค็อกใน 5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการแสดงออกของขน
ไก่เพศผู้ และแบบเฮนในไก่เพศเมีย
และขนหางสัน้ ตรง เรียกว่า ขนแบบเฮน (hen feather) แต่เพศเมีย หางไกเพศผูและเพศเมีย และถามนักเรียนวา
มีขนหางสั้นเพียงแบบเดียวเท่านั้น • ไกเพศผูแ ละไกเพศเมียมีการแสดงออกของ
ก�าหนดให้ H เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะขนแบบเฮน และ h เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะ ขนหางตางกันอยางไร
ขนแบบค็อก ซึ่งไก่เพศผู้และเพศเมียมีจีโนไทป์และฟีโนไทป์ที่แสดงขนหางแตกต่างกัน ดังนี้ (แนวตอบ ขนหางแบบค็อกจะแสดงออกใน
เพศผู  ที่ ไ ด รั บ แอลลี ล ควบคุ ม 2 แอลลี ล
ตารางที่ 4.5 : จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลักษณะขนหางไก่ในเพศผู้และเพศเมีย
แตจะไมแสดงออกในเพศเมีย แมจะไดรับ
ฟีโนไทป์ แอลลีลควบคุม 2 แอลลีลเชนกัน)
จีโนไทป์
เพศผู้ เพศเมีย
6. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา แมไกเพศเมียจะ
HH ขนแบบเฮน ขนแบบเฮน มีแอลลีลควบคุมขนหางแบบค็อกอยูก็จะไม
Hh ขนแบบเฮน ขนแบบเฮน แสดงลักษณะออกมา เพราะจะมีการแสดง
hh ขนแบบค็อก ขนแบบเฮน เฉพาะในเพศผูเทานั้น
ลักษณะที่ปรากฏจ�าเพาะเพศอื่น ๆ เช่น แอลลีลควบคุมการผลิตน�้านมสามารถพบ
ได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง แต่จะมีการแสดงออกเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น หรือแอลลีล อธิบายความรู
ควบคุมการมีหนวดเครา เสียงห้าว จะแสดงออกเฉพาะในเพศชายเท่านั้น การถ่ายทอด 29
ครูและนักเรียนอภิปรายรวมกันเกีย่ วกับลักษณะ
ทางพันธุกรรม
ภายใตอทิ ธิพลเพศ และลักษณะจํากัดในเพศ

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ขอใดกลาวถึงลักษณะพันธุกรรมทีอ่ ยูภ ายใตอทิ ธิพลเพศไดถกู ตอง 1 ฮอร โ มน เป น สารเคมี ช นิ ด หนึ่ ง ที่ ร  า งกายสร า งขึ้ น มาเพื่ อ สื่ อ สารและ
1. มีการแสดงออกในเพศใดเพศหนึ่ง ทําหนาที่รวมกันกับอวัยวะตางๆ ในรางกาย โดยฮอรโมนจะหลั่งออกมาจาก
2. ถูกควบคุมดวยยีนบนโครโมโซมเพศ ตอมไรทอ และซึมเขาสูกระแสเลือดเพื่อสงตอไปยังเซลลหรืออวัยวะตางๆ
3. มีการแสดงออกในแตละเพศแตกตางกัน ของรางกาย ฮอรโมนในรางกายมนุษยมีหลายชนิด แตละชนิดจะมีแหลงผลิต
4. เปนผลจากสภาพแวดลอมของรางกายในแตละเพศ และบทบาทที่แตกตางกัน เชน
5. เปนลักษณะพันธุกรรมที่เปนไปตามหลักพันธุศาสตรของ - ฟอลลิเคิลสติมิวเลติงฮอรโมน (FSH) ถูกผลิตจากตอมใตสมองสวนหนา
เมนเดล ชวยควบคุมการตกไขของรังไขในผูห ญิง และการผลิตอสุจขิ องอัณฑะใน
(วิเคราะหคําตอบ ลักษณะพันธุกรรมที่อยูภายใตอิทธิพลเพศถูก เพศชาย
ควบคุมดวยยีนบนโครโมโซมรางกาย ซึ่งมีฮอรโมนเพศมาควบคุม - ลูทิไนซิงฮอรโมน (LH) ถูกผลิตจากตอมใตสมองสวนหนา ชวยควบคุม
จึงแสดงออกในแตละเพศแตกตางกัน เชน ลักษณะศีรษะลาน รอบประจําเดือนของผูหญิงใหเปนปกติ และทํางานรวมกับ FSH ในการ
จะเปนลักษณะเดนในเพศชาย แตเปนลักษณะดอยในเพศหญิง ผลิตอสุจิของเพศชาย
ดังนั้น ตอบขอ 3.) - อินซูลนิ (insulin) ถูกผลิตจากตับออน ทําหนาทีล่ ดระดับนํา้ ตาลในกระแส
เลือด โดยการเปลี่ยนเปนไกลโคเจนและเก็บไวที่ตับและกลามเนื้อ

T33
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
1. ครูใหนกั เรียนทําแผนผังมโนทัศน เรือ่ ง ลักษณะ
Summary
พั น ธุ ก รรมที่ เ ป น ส ว นขยายของพั น ธุ ศ าสตร
การถายทอด
เมนเดล ซึ่ ง มี เ นื้ อ หาประกอบด ว ยหลั ก การ
ทางพันธุกรรม
ถายทอดลักษณะพันธุกรรม พรอมยกตัวอยาง การศึกษาพันธุศาตร์ของเมนเดล
ลักษณะพันธุกรรมทีม่ กี ารถายทอดรูปแบบตางๆ - เมนเดลเลือกใช้ถวั่ ลัน่ เตาเป็นตัวแทนสิง่ มีชวี ติ เพือ่ ศึกษาการถ่ายทอด
2. ครูใหนักเรียนทํา Self Check เพื่อตรวจสอบ ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรม เนื่ อ งจากถั่ ว ลั่ น เตามี อ ายุ สั้ น ปลู ก ง่ า ย
ให้เมล็ดจ�านวนมาก มีดอกสมบูรณ์เพศ และมีลักษณะที่แตกต่างกัน
ความเขาใจของตนเอง อย่างชัดเจน
3. ครูใหนกั เรียนทํา Unit Question ทายหนวยการ - การถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตาถูกควบคุมด้วยยีน (gene) ที่มี
เรียนรูที่ 4 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2 2 แอลลีล คือ แอลลีลเด่นควบคุมลักษณะเด่น และแอลลีลด้อยควบคุม
ลักษณะด้อย ซึ่งแอลลีลเด่นจะข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์
4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวยการ - จีโนไทป์เป็นรูปแบบของยีนทีม่ แี อลลีลปรากฏเป็นคู่ เช่น PP Pp pp
เรียนรูที่ 4 ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 ส่วนฟีโนไทป์เป็นลักษณะที่ปรากฏออกมา เช่น ดอกสีม่วง ดอกสีขาว ภาพที่ 4.28
5. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน กฎการแยกและกฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ
• กฎการแยก : ยีนที่เป็นคู่กันจะแยกออกจากกัน • กฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ: แอลลีลของยีนที่เป็น
เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์ คูก่ นั เมือ่ แยกออกจากกันจะจัดกลุม่ กันอย่างอิสระ
แต่ละเซลล์จะได้รับเพียงแอลลีลใดแอลลีลหนึ่ง กับแอลลีลของยีนอื่น ๆ ซึ่งแยกออกจากคู่เช่นกัน
เพื่อเข้าไปยังเซลล์สืบพันธุ์
รุ่น P กลมเหลือง RRYY ขรุขระเขียว rryy
รุ่น P
ดอกสีม่วง ดอกสีขาว ×
เซลล์สืบพันธุ์ RY ry
PP pp
รุ่น F1 กลมเหลือง ผสมภายใน
P p RrYy รุ่นเดียวกัน
เซลล์สืบพันธุ์ RY RY
รุ่น F1 เซลล์ไข่ rY rY สเปิร์ม
RRYY
Ry RrYY RrYY Ry
ดอกสีม่วง
1/2 P 1/2 p ry RRYy rrYY RRYy ry
รุ่น F2
รุ่น F2 สเปิร์ม RrYy RrYy RrYy RrYy
P p
rrYy RRyy rrYy
P
ไข่ PP Pp กลม เหลือง Rryy Rryy

p ขรุขระ เหลือง rryy


Pp pp
กลม เขียว
3 1
เขียว ขรุขระ
ดอกสีม่วง : ดอกสีขาว
ภาพที่ 4.29 ภาพที่ 4.30
30

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


หากแมเปนพาหะของโรค G-6PD สวนพอเปนโรค G-6PD โอกาสที่ลูกสาวและลูกชายจะเปนโรคนี้มีเทาใด
1. ลูกสาวรอยละ 25 และลูกชายรอยละ 25 2. ลูกสาวรอยละ 25 และลูกชายรอยละ 50
3. ลูกสาวรอยละ 50 และลูกชายรอยละ 50 4. ลูกสาวรอยละ 50 และลูกชายรอยละ 75
5. ลูกสาวรอยละ 75 และลูกชายรอยละ 75
(วิเคราะหคําตอบ โรค G-6PD เปนแอลลีลดอยที่อยูบนโครโมโซม X
กําหนดให XG เปนยีนปกติ และ Xg เปนยีนของโรค G-6PD
พอเปนโรค G-6PD × แมเปนพาหะของโรค G-6PD
g
จีโนไทปของพอแม X Y × XGXg
เซลลสืบพันธุ 1/2Xg , ½1/2Y × 1/2XG , ½1/2Xg
จีโนไทปของลูก ¼1/4XGXg 1/4XgXg 1/4¼XGY 1/4XgY
จีโนไทปของลูก ลูกสาวปกติ ลูกสาวเปนโรค ลูกชายปกติ ลูกชายเปนโรค
แตเปนพาหะ
ลูกสาวและลูกชายมีโอกาสเปนโรครอยละ 50 ทั้งคู ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T34
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล 1. ครูตรวจสอบผลจากผังมโนทัศน เรือ่ ง ลักษณะ
• การข่มไม่สมบูรณ์: รูปแบบของฟีโนไทป์ในรุ่น F1 ที่แสดงออกไม่ได้มีลักษณะเด่นหรือด้อยแบบสมบูรณ์ พันธุกรรมที่เปนสวนขยายของพันธุศาสตร
แต่มีลักษณะอยู่กึ่งกลาง เช่น ดอกของต้นลิ้นมังกร ลักษณะของเส้นผม เมนเดล
• ความเด่นร่วม: รูปแบบทีแ่ อลลีล 2 แอลลีลมีผลต่อฟีโนไทป์เท่า ๆ กัน เช่น หมูเ่ ลือด AB ทีเ่ กิดจากความเด่นร่วม
ของแอลลีล IA และ IB 2. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
• มัลติเพิลแอลลีล: รูปแบบของยีนทีม่ แี อลลีลมากกว่า 2 แอลลีล ในการควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึง่ เช่น ลักษณะของเสนผม
หมู่เลือด ABO ที่มีแอลลีลควบคุม 3 แอลลีล ได้แก่ IA IB และ i 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
• พอลิยีน: รูปแบบการถ่ายทอดลักษณะที่ถูกควบคุมด้วยยีนหลายยีน มักเป็นลักษณะเชิงปริมาณ และมี ลักษณะทางพันธุกรรมแบบมัลติเพิลแอลลีล
สิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้อง เช่น สีผิว สีตา
4. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
• ยีนบนโครโมโซมเพศ : ยีนที่อยู่บนโครโมโซม X หรือ Y ความผิดปกติของยีนบนโครโมโซมเพศที่ถูก
ถ่ายทอด เช่น โรคฮีโมฟิเลีย โรคตาบอดสี ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมที่ ค วบคุ ม โดยยี น บน
• ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน : ยีนทีม่ ตี า� แหน่งอยูบ่ นโครโมโซมเดียวกัน ซึง่ มีแนวโน้มทีจ่ ะถ่ายทอดไปด้วยกัน โครโมโซมเพศ
เรียกยีนที่ถ่ายทอดไปด้วยกันว่า ลิงค์ยีน เช่น ยีนควบคุมลักษณะสีตัวและลักษณะปีกของแมลงหวี่ 5. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถาม Unit
• ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศ : รูปแบบของลักษณะที่ถูกควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมร่างกาย แต่มีการ Question ทายหนวยการเรียนรูท ี่ 4 ในหนังสือ
แสดงออกแตกต่างกันในแต่ละเพศ เช่น ลักษณะศีรษะล้าน
เรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2
• ลักษณะทีจ่ า� กัดในเพศ : รูปแบบของลักษณะทีถ่ กู ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมร่างกาย แต่แสดงออกในเพศใด
เพศหนึ่งเท่านั้น เช่น การสร้างน�้านมในเพศหญิง การเกิดหนวดและเคราในเพศชาย 6. ครูตรวจสอบผลจากการทําแบบทดสอบทาย
หนวยการเรียนรูที่ 4 ในแบบฝกหัดชีววิทยา
Self Check ม.4 เลม 2
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด 7. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ 8. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน
1. เมนเดลเลือกใช้ถวั่ ลันเตาเป็นพืชทดลอง เนือ่ งจากปลูกง่าย เจริญเติบโต 1.
เร็ว มียนี คูเ่ ดียวควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม และมีดอกแยกเพศอย่าง
ชัดเจน จึงง่ายต่อการผสมพันธุ์เพื่อทดสอบลักษณะต่าง ๆ
2. จากกฎการถ่ายทอดพันธุกรรมของเมนเดล ยีนที่เป็นคู่กันจะแยกออก 2.
จากกัน และจัดกลุ่มอย่างอิสระกับยีนอื่นที่แยกออกจากคู่เช่นกัน
ุด
สม
ใน

3. ลักษณะหมู่เลือดระบบ ABO ของมนุษย์ มีการถ่ายทอดตามกฎ 3.3


ลง

ของเมนเดล โดยแอลลีลเด่น IA IB จะข่มแอลลีลด้อย i อย่างสมบูรณ์


ทึ ก
บั น

4. ลักษณะที่มีการแปรผันแบบต่อเนื่องมีปัจจัยควบคุม 2 ปัจจัย คือ 3.4


พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
5. ความผิดปกติของยีนบนโครโมโซมเพศ X จะแสดงออกในเพศชาย 3.5
มากกว่าเพศหญิง เนือ่ งจากเพศชายมีโครโมโซมเพศ X เพียงแท่งเดียว
เมื่อได้รับยีนที่มีแอลลีลผิดปกติก็จะแสดงออกทันที แนวตอบ Self Check
การถ่ายทอด 31
ทางพันธุกรรม
1. ผิด 2. ถูก 3. ผิด
4. ถูก 5. ถูก

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล


ขอใดตอไปนีเ้ ปนโรคทางพันธุกรรมทีพ่ บบนโครโมโซมเพศ และ ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ลักษณะพันธุกรรมที่เปน
เปนแอลลีลดอย สวนขยายของพันธุศาสตรเมนเดล ไดจากผังมโนทัศน เรื่อง ลักษณะพันธุกรรม
1. โรคผิวเผือก โรคตาบอดสี ที่เปนสวนขยายของพันธุศาสตรเมนเดล ที่นักเรียนทําในขั้นขยายความเขาใจ
2. โรคฮีโมฟเลีย โรคตาบอดสี โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานที่แนบมาทาย
3. โรคธาลัสซีเมีย โรคตาบอดสี แผนการจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 4
4. โรคตาบอดสี โรคมนุษยหมาปา แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 1-3
แบบประเมินผังมโนทัศน์/ผังสรุป

5. โรคธาลัสซีเมีย โรคภาวะพรองเอนไซม G-6-PD คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ

ลาดับที่
ระดับคะแนน

รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1

(วิเคราะหคาํ ตอบ โรคตาบอดสี โรคฮีโมฟเลีย และโรคภาวะพรอง


1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม

เอนไซม G-6-PD เปนโรคทางพันธุกรรมทีค่ วบคุมดวยแอลลีลดอย ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ

บนโครโมโซมเพศ โรคมนุษยหมาปาเปนโรคทางพันธุกรรมที่ ประเด็นที่ประเมิน


1. ความ
สอดคล้องกับ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์ทุกประเด็น
3
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์เป็น
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้องกับ
จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์

ควบคุมดวยแอลลีลเดนบนโครโมโซมเพศ Y สวนโรคผิวเผือก และ


จุดประสงค์ ส่วนใหญ่
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ

โรคธาลัสซีเมีย เปนโรคทางพันธุกรรมทีค่ วบคุมดวยแอลลีลดอยบน


สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิด น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ แปลกใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป

โครโมโซมรางกาย ดังนั้น ตอบขอ 2.)


เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี

T35
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน

เฉลย Unit Question


1. ถั่วลันเตาเปนพืชที่ปลูกงาย เจริญเติบโตเร็ว
ใหเมล็ดจํานวนมาก เปนพืชทีม่ หี ลากหลายพันธุ
U nit
คําชี้แจง :
Question 4
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
ซึ่งมีลักษณะตางๆ ที่แตกตางกันอยางชัดเจน
อี ก ทั้ ง ดอกของถั่ ว ลั น เตาเป น ดอกประเภท 1. เพราะเหตุใด เมนเดลจึงเลือกใช้ถั่วลันเตาเป็นต้นแบบในการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทาง
ดอกสมบูรณเพศ จึงสามารถทําการผสมพันธุ พันธุกรรม
ภายในดอกเดียวกัน หรือควบคุมใหเกิดการผสม 2. กฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุม่ อย่างอิสระของเมนเดล มีความสัมพันธ์กบั การแบ่งเซลล์
ขามตนไดงาย แบบไมโอซิสของสิ่งมีชีวิตอย่างไร
2. ระหวางการแบงเซลลแบบไมโอซิส ฮอมอโลกัส 3. ตามหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของเมนเดล
โครโมโซมในเซลลรางกายจะแยกจากกันไปสู
ก�าหนดให้ กระต่ายขนสีขาว เป็นลักษณะเด่น แทนด้วย A
เซลลสบื พันธุแ ตละเซลลในระยะแอนาเฟส I ซึง่ กระต่ายขนสีน�้าตาล เป็นลักษณะด้อย แทนด้วย a
สอดคลองกับกฎการแยกของเมนเดล โดยแอลลีล กระต่ายขนสั้น เป็นลักษณะเด่น แทนด้วย B
แตละคูจะแยกออกจากกันเมื่อสิ้นสุดการแบง กระต่ายขนยาว เป็นลักษณะด้อย แทนด้วย b
เซลล และหลังจากนัน้ โครโมโซมจะมารวมกลุม กระต่ายหูตั้ง เป็นลักษณะเด่น แทนด้วย C
กันในเซลลสบื พันธุอ ยางอิสระ ซึง่ สอดคลองกับ กระต่ายหูพับ เป็นลักษณะด้อย แทนด้วย c
กฎการรวมกลุมอยางอิสระของเมนเดล โดย จงตอบค�าถามต่อไปนี้
แอลลีลของยีนที่แยกคูจะรวมกลุมกับแอลลีล 3.1 การผสมพันธุ์ระหว่างกระต่ายที่มีจีโนไทป์ AABbcc กับ aaBBCc รุ่น F1 ที่ได้จะมีจีโนไทป์
ของยีนอื่นอยางอิสระในเซลลสืบพันธุ กี่แบบ อะไรบ้าง
4. มะเขือเทศตนสูงสีแดง สามารถมีจีโนไทปได 2 3.2 การผสมพันธุ์ระหว่างกระต่ายที่มีจีโนไทป์ AABbcc กับ aaBBCc รุ่น F1 ที่ได้จะมีฟีโนไทป์
แบบใด และอัตราส่วนของฟีโนไทป์เท่าใด
แบบ คือ RRTT หรือ RrTt ซึ่งหากตองการทราบ
จีโนไทปที่แทจริงของมะเขือเทศตนสูงสีแดง 4. ตามหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของเมนเดล
ที่ไดจากการผสมพันธุ ควรใชวิธีการผสมเพื่อ ก�าหนดให้ มะเขือเทศสีแดง เป็นลักษณะเด่น แทนด้วย R
ทดสอบหรือเทสตครอส โดยการนํามะเขือเทศ มะเขือเทศสีเหลือง เป็นลักษณะด้อย แทนด้วย r
ตนสูงสีแดงทีต่ อ งการทราบจีโนไทปมาผสมพันธุ มะเขือเทศต้นสูง เป็นลักษณะเด่น แทนด้วย T
กับมะเขือเทศตนเตีย้ สีเหลือง (rrtt) ซึง่ เปนฮอมอ- มะเขือเทศต้นเตี้ย เป็นลักษณะด้อย แทนด้วย t
ไซกัสรีเซสซีฟ จากผลการทดลอง หากมะเขือเทศ จากการผสมพันธุ์มะเขือเทศพบว่าได้มะเขือเทศสีแดงต้นสูงทั้งหมด ถ้าต้องการทราบจีโนไทป์
ที่ไดจากการผสมมีลักษณะตนสูงสีแดงทั้งหมด ของมะเขือเทศดังกล่าวควรท�าอย่างไร เพราะเหตุใด
แสดงว า มะเขื อ เทศต น สู ง สี แ ดงที่ ต  อ งการ
5. จากการศึกษาหมู่เลือดของครอบครัวหนึ่ง พบว่าพ่อมีเลือดหมู่ A แม่มีเลือดหมู่ B และลูก 3
ทราบมีจีโนไทปแบบ RRTT แตหากมีลักษณะ คนมีเลือดหมู่ A AB และ A ตามล�าดับ จงหาจีโนไทป์หมู่เลือดของพ่อและแม่
ตนสูงสีแดงและตนเตี้ยสีเหลือง ในอัตราสวน
1:1 แสดงวา มะเขือเทศตนสูงสีแดงที่ตองการ 32
ทราบมีจีโนไทปแบบ RrTt

6. นาย ข มีตาสีเขมที่สุด รองลงมา คือ นาย ก นาย ง และนาย ค ตามลําดับ เนื่องจากลักษณะสีตาถูกควบคุมแบบพอลิยีน ซึ่งเปนการควบคุมดวยยีน
หลายคู ดังนั้น หากมีจํานวนแอลลีลที่ควบคุมตาสีดํามากก็จะแสดงสีตาสีเขม และหากมีจํานวนแอลลีลที่ควบคุมตาสีดํานอย ก็จะแสดงตาสีนํ้าตาลออน
โดยนาย ข มีแอลลีลควบคุมลักษณะตาสีดํามากที่สุด คือ จํานวน 6 แอลลีล รองลงมา คือ นาย ก จํานวน 5 แอลลีล นาย ง จํานวน 4 แอลลีล และนาย ค
จํานวน 3 แอลลีล ตามลําดับ
3. การผสมพันธุร ะหวางกระตายทีม่ จี โี นไทป AABbcc กับ aaBBCc ไดลกู รุน F1 ดังนี้ 5. จากขอมูลหมูเลือดของครอบครัวนี้ แสดงวาพอตองมีเลือดหมู A แบบ
จีโนไทปรุนพอแม AABbcc x aaBBCc ฮอมอไซกัส (IAIA) และแมมีเลือดหมู B แบบเฮเทอโรไซกัส (IBi) ลูกจึง
เซลลสืบพันธุ ABc Abc x aBC aBc จะมีหมูเลือดทั้ง A และ AB ดังนี้
AA B
จีโนไทปรุนลูก F1 AaBBCc AaBBcc AaBbCc AaBbcc รุนพอแม I I x Ii
A
3.1 ลูกรุน F1 ที่ไดมีจีโนไทป 4 แบบ ดังนี้ AaBBCc AaBBcc AaBbCc และ เซลลสืบพันธุ I x 1/2IB½ 1/2i
AaBbcc รุนลูก 1/2IAIB 1/2IAi
3.2 ลูกรุน F1 ทีไ่ ดมฟี โ นไทป 2 แบบ คือ กระตายขนสัน้ สีขาวหูตงั้ (AaBBCc
AaBbCc) และกระตายขนสั้นสีขาวหูพับ (AaBbcc AaBbcc) ใน
อัตราสวน 1 : 1

T36
นํา สอน สรุป ประเมิน

8. โรคตาบอดสี เปนเปนการถายทอดลักษณะที่
ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซม X โดยลักษณะ
6. ถ้าสีตาของคนถูกควบคุมด้วยยีน 4 คู่ ตาบอดสีเปนแอลลีลดอย ดังนัน้ ถาชายตาบอดสี
ก�าหนดให้ A B C D เป็นแอลลีลที่ควบคุมให้สีตาสีด�า แตงงานกับหญิงทีเ่ ปนพาหะของโรคตาบอดสี
abcd เป็นแอลลีลที่ควบคุมให้สีตาสีน�้าตาลอ่อน จีโนไทปรุนพอแม X’Y x X X’
ถ้ า นาย ก ข ค และ ง มี จี ไ นไทป์ AABbccDD AaBBCCDd AAbbCcdd และ เซลลสืบพันธุ 1/2X’ 1/2Y x 1/2X 1/2X’
aaBBCcDd ตามล�าดับ จงเรียงล�าดับความเข้มของสีตาจากมากไปน้อย พร้อมอธิบายเหตุผล จีโนไทปรนุ ลูก 1/4XX’ 1/4X’X’ 1/4XY 1/4¼X’Y
ประกอบ ฟโนไทปรน ุ ลูก ปกติ ตาบอดสี ปกติ ตาบอดสี
7. จากพันธุประวัติของครอบครัวหนึ่ง ดังนี้ (พาหะ)
รุ่นที่ 1 9. ครอสซิงโอเวอร เปนกระบวนการแลกเปลี่ยน
(1) (2) ชิ้ น ส ว นโครมาทิ ด ของฮอมอโลกั ส โครโมโซม
รุ่นที่ 2 ในระหวางการเขาคูกันในการแบงเซลลแบบ
(3) (4) (5) (6) ไมโอซิสในระยะโพรเฟส I ซึ่งการเกิดครอสซิง
โอเวอรอาจทําใหยนี ทีเ่ ปนลิงคเกจกันและถายทอด
รุ่นที่ 3
(7) (8) (9) (10) (11) ไปดวยกันบางสวนสามารถแยกออกจากกันไปยัง
เซลลสบื พันธุแ ตละเซลล ทําใหไดเซลลสบื พันธุ
ผู้หญิงปกติ ผู้ชายปกติ
จํานวนหนึ่งแตกตางไปจากเดิม
ผู้หญิงเป็นโรคฮีโมฟิเลีย ผู้ชายเป็นโรคฮีโมฟิเลีย
ภาพที่ 4.31
10. ลักษณะภายใตอิทธิพลของเพศเปนลักษณะที่มี
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ ฮอรโมนเพศเปนตัวควบคุม จึงมีการแสดงออก
7.1 การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของโรคฮีโมฟิเลียมีลักษณะอย่างไร ในแตละเพศไมเทากัน แตลักษณะที่จํากัดใน
7.2 เพราะเหตุใด ผู้ชายในรุ่นที่ 2 จึงพบทั้งปกติและเป็นโรคฮีโมฟิเลีย เพศจะขึ้นอยูกับสภาพแวดลอมภายในรางกาย
7.3 ถ้าหากผู้หญิง (หมายเลขที่ 6) แต่งงานกับชายที่เป็นโรคฮีโมฟิเลีย จงท�านายโอกาสของ ของแตละเพศ ทําใหมีการแสดงออกเพียงเพศ
ลูกสาวและลูกชายที่จะแสดงอาการของโรคฮีโมฟิเลีย ใดเพศหนึ่งเทานั้น
8. ถ้าชายตาบอดสีแต่งงานกับหญิงที่เป็นพาหะของโรคตาบอดสี จงท�านายโอกาสของลูกชายหรือ 7. 7.1 การถายทอดลักษณะของโรคฮีโมฟเลีย
ลูกสาวที่เป็นโรคตาบอดสี พร้อมทั้งเขียนพันธุประวัติของครอบครัวนี้ เปนการถายทอดลักษณะความผิดปกติ
ของยีนบนโครโมโซมเพศ โดยเปนความ
9. การเกิดครอสซิงโอเวอร์ในระหว่างการแบ่งเซลล์มีผลต่อการถ่ายทอดของลิงค์ยีนอย่างไร ผิดปกติจากแอลลีลดอยบนโครโมโซม X
10. ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศแตกต่างจากลักษณะที่จ�ากัดในเพศอย่างไร

การถ่ายทอด 33
ทางพันธุกรรม

7.2 เนือ่ งจากลูกชายจะไดรบั โครโมโซม X จากแม และโครโมโซม Y จากพอ ซึง่ การไดรบั แอลลีลดอยของโรคฮีโมฟเลียเพียงแอลลีลเดียวก็สามารถแสดง
อาการของโรคไดทันที ดังนั้น ในรุนที่ 1 แสดงวาแมจะตองเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลีย จึงทําใหลูกชายในรุนที่ 2 มีทงั้ ลูกชายทีป่ กติ และทีเ่ ปนโรค
ฮีโมฟเลีย
หากกําหนดให X แทนแอลลีลปกติ X’ แทนแอลลีลดอยของโรคฮีโมฟเลีย
จีโนไทปรนุ พอแม (รุน ที่ 1) XY x XX’
เซลลสบื พันธุ 1/2½X 1/2Y x 1½ /2X 1/2X’
จีโนไทปรนุ รุน ลูก (รุน ที่ 2) 1/4XX 1/4X X’ 1¼ /4XY 1/4X’Y
ฟโนไทปรนุ รุน ลูก (รุน ที่ 2) ปกติ ปกติ (พาหะของโรค) ปกติ เปนโรคฮีโมฟเลีย
ดังนัน้ จึงมีโอกาสพบลูกชายทีป่ กติ และเปนโรคฮีโมฟเลีย หากแมเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลีย
7.3 เนื่องจากบุตรสาวจะไดรับโครโมโซม X จากทั้งพอและแม ดังนั้น บุตรสาวคนนี้จึงมีโอกาสเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลียหรือไมเปนโรค ดังนี้
หากผูหญิง (หมายเลขที่ 6) เปนพาหะของโรคฮีโมฟเลีย และ หากผูห ญิง (หมายเลขที่ 6) ไมเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลีย และแตงงานกับชายที่
แตงงานกับชายที่เปนโรคฮีโมฟเลีย พบวา โอกาสของลูกชายที่ เปนโรคฮีโมฟเลีย พบวา ลูกชายและลูกสาวจะไมมโี อกาสเปนโรคฮีโมฟเลียเลย แต
จะเปนโรคฮีโมฟเลียจึงมีรอ ยละ 50 และลูกสาวมีโอกาสเปนโรค ลูกสาวจะเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลียทุกคน
ฮีโมฟเลียรอยละ 50 เชนกัน จีโนไทปรนุ พอแม X’Y x XX
จีโนไทปรุนพอแม X’Y x X X’ เซลลสบื พันธุ 1/2X’ 1/2Y x 1/2X
เซลลสืบพันธุ 1/2½½X’ 1/2½Y x 1/2½X 1/2½X’ จีโนไทปรนุ ลูก 1/4XX’ 1¼ /4XX’ 1/4XY 1/4XY
จีโนไทปรุนลูก 1/4XX’ 1/4X’X’ 1/4XY 1/4X’Y ฟโนไทปรนุ ลูก ปกติ ปกติ ปกติ ปกติ
ฟโนไทปรุนลูก ปกติ เปนโรค ปกติ เปนโรค (พาหะ) (พาหะ)
(พาหะ)
T37
Chapter Overview

แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายและสรุปผล แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ท กั ษะการส�ำรวจ - มีวินัย
การค้นพบสาร ม.4 เล่ม 2 การทดลองของ หาความรู้ (5Es ก่อนเรียน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
พันธุกรรม - แบบฝึกหัดชีววิทยา นักวิทยาศาสตร์ที่ Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด - ท กั ษะการสรุป - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 2 เกี่ยวกับการค้นพบ Model) - ตรวจผังสรุป เรื่อง การ อ้างอิง การท�ำงาน
2 - PowerPoint สารพันธุกรรมได้ (K) ค้นพบสารพันธุกรรม - ทกั ษะการให้
ประกอบการสอน 2. ตรวจสอบสมมติฐาน - ตรวจใบงาน เรื่อง การ เหตุผล
ชั่วโมง
และผลการทดลองของ ค้นพบสารพันธุกรรม
นักวิทยาศาสตร์ที่ - สังเกตพฤติกรรม
เกี่ยวกับการค้นพบ การทำ�งานรายบุคคล
สารพันธุกรรมได้ (P) - สังเกตความมีวินัย
3. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
(A) ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 2 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายรูปร่าง ลักษณะ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
โครโมโซม ม.4 เล่ม 2 และส่วนประกอบของ ความรู้ (5Es - ต รวจผังสรุป เรื่อง - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา โครโมโซมได้ (K) Instructional โครโมโซมของสิ่งมีชีวิต ค้นหา - มุ่งมั่นใน
2 ม.4 เล่ม 2
- PowerPoint
2. เขียน/วาดภาพรูปร่าง
ลักษณะ และส่วน
Model) - สงั เกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- ทกั ษะการเปรียบ
เทียบ
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ประกอบการสอน ประกอบของโครโมโซม - สังเกตความมีวินัย - ทกั ษะการจ�ำแนก
ได้ (P) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ประเภท
3. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา ในการทำ�งาน
(A)
แผนฯ ที่ 3 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายองค์ประกอบ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
โครโมโซม ม.4 เล่ม 2 ทางเคมี และโครงสร้าง ความรู้ (5Es - ต รวจแบบจำ�ลอง - ทกั ษะการรวบรวม - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา ของดีเอ็นเอได้ (K) Instructional โมเลกุลของ DNA ข้อมูล - มุ่งมั่นใน
3 ม.4 เล่ม 2
- PowerPoint
2. อธิบายแบบจ�ำลอง
โครงสร้างโมเลกุลของ
Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง
โครงสร้างและ
- ทกั ษะการหา
แบบแผน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ประกอบการสอน ดีเอ็นเอได้ (K) องค์ประกอบทางเคมี - ทกั ษะการประยุกต์
3. สร้างแบบจ�ำลอง ของดีเอ็นเอ ใช้ความรู้
โมเลกุลของดีเอ็นเอได้ - ประเมินการนำ�เสนอ
(P) ผลงาน
4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา - สังเกตพฤติกรรม
(A) การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน

T38
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายสมบัติของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ท กั ษะการสังเกต - มีวินัย
สมบัติของสาร ม.4 เล่ม 2 สารพันธุกรรม (K) หาความรู้ (5Es - ต รวจผังสรุป เรื่อง การ - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
พันธุกรรม - แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. อธิบายเกีย่ วกับ Instructional สังเคราะห์โปรตีนจาก ค้นหา - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 2 การสังเคราะห์ดีเอ็นเอ Model) ดีเอ็นเอ - ทกั ษะการระบุ การท�ำงาน
8 - PowerPoint
ประกอบการสอน
(K)
3. อธิบายการสังเคราะห์
- ตรวจกิจกรรม DNA
กับการสังเคราะห์
- ทกั ษะการเปรียบ
เทียบ
ชั่วโมง mRNA จาก DNA โปรตีน - ทกั ษะการแปล
แม่แบบได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง การ ความ
4. อธิบายกระบวนการ สังเคราะห์ DNA - ทกั ษะการให้
สังเคราะห์สาย - ตรวจใบงาน เรื่อง การ เหตุผล
พอลิเพปไทด์ได้ (K) สังเคราะห์ mRNA จาก - ทกั ษะการวิเคราะห์
5. สาธิตการถอดรหัส DNA - ทกั ษะการสรุปลง
และแปลรหัสได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง การ ความเห็น
6. เขียนล�ำดับกรดอะมิโน สังเคราะห์พอลิเพปไทด์ - ทกั ษะการคิดอย่าง
ที่เป็นส่วนประกอบของ - ประเมินการนำ�เสนอ มีเหตุผล
พอลิเพปไทด์ที่ได้จาก ผลงาน
การแปลรหัสได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
7. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา การทำ�งานรายบุคคล
(A) - สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 5 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการกลายของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการระบุ - มีวินัย
การกลาย ม.4 เล่ม 2 สิ่งมีชีวิตได้ (K) หาความรู้ (5Es หลังเรียน - ทกั ษะการแปล - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. ยกตัวอย่างการกลาย Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด ความ - มุ่งมั่นใน
5 ม.4 เล่ม 2 ที่พบในมนุษย์ได้ (K)
- PowerPoint ประกอบ 3. อธิบายสาเหตุและผล
Model) - ตรวจแผ่นพับนำ�เสนอ
เรื่อง โรคพันธุกรรม
- ทักษะการจัดกลุม่
- ทกั ษะการคิดอย่าง
การท�ำงาน
ชั่วโมง การสอน ของการกลายประเภท - ตรวจใบงาน เรื่อง การ มีเหตุผล
ต่าง ๆ ได้ (K) กลายระดับยีนจาก
4. เขียนล�ำดับกรดอะมิโน การแทนที่คู่เบส
ใหม่ในสายพอลิเพปไทด์ - ตรวจใบงาน เรื่อง การ
ที่เกิดการกลายของ กลายระดับยีน
รหัสพันธุกรรมได้ (P) จากการเพิม่ ขึน้ หรือขาด
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา หายของนิวคลีโอไทด์
(A) - ตรวจคำ�ถาม Unit
Question ท้ายหน่วย
การเรียนรู้ที่ 5 ใน
หนังสือเรียนชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- ตรวจแบบทดสอบท้าย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
ในแบบฝึกหัดชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน

T39
Chapter Concept Overview
สารสกัดจากสายพันธุ S สกัดเอาลิพิดและ
ที่ทําใหตายดวยความรอน คารโบไฮเดรตออก
การคนพบสารพันธุกรรม
RNA
นักวิทยาศาสตรหลายทานทําการคนควาเกี่ยวกับสารพันธุกรรม โปรตีน
DNA
ของสิ่งมีชีวิต ดังนี้
เติม RNase
• โยฮันน ฟรีดริช มิเชอร คนพบวา กรดนิวคลีอิกจากสารเคมี เติมโปรตีเอส เติม DNase
เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย
ที่สกัดจากนิวเคลียสของเซลลเม็ดเลือดขาว ซึ่งไมสามารถถูก สายพันธุ R สายพันธุ R สายพันธุ R สายพันธุ R
ยอยดวยเอนไซมเพปซิน
• เฟรเดอริก กริฟฟท คนพบสารบางอยางจากแบคทีเรียสาย ก. ข. ค. ง.
พันธุ S ที่ทําใหตายดวยความรอนสามารถเขาไปยังแบคทีเรีย
สายพันธุ R ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียสายพันธุ
R เปนแบคทีเรียสายพันธุ S ซึ่งสามารถถายทอดไปยังรุนลูก
หลานของแบคทีเรีย
• ออสวอลด ที แอเวอรี แมคลิน แมคคารที และคอลิน แมคลอยด
คนพบวา สารทีเ่ ปลีย่ นแปลงพันธุกรรมของแบคทีเรีย สายพันธุ R พบแบคทีเรีย พบแบคทีเรีย ไมพบแบคทีเรีย พบแบคทีเรีย
สายพันธุ S สายพันธุ S สายพันธุ S สายพันธุ S
เปนสายพันธุ S คือ DNA

โครโมโซม
โครมาทิด
โครโมโซม (chromosome) มีลักษณะเปนเสนยาวขดพันกันเปน (chromatids)

เกลียวอยูในนิวเคลียส เรียกวา โครมาทิน (chromatin) ซึ่งในชวง เปนโครโมโซมที่ไดจําลองตัวเองจนมีลักษณะเปนเสนคู


ของการแบงเซลล โครโมโซมจะหดตัวสั้นและหนาที่ประกอบดวย โครโมโซมส่วนที่มีแขนสั้น
(p-arm)
โครมาทิด 2 อัน ยึดกันตรงตําแหนงเซนโทรเมียร (centromere) เปนบริเวณสวนบนของโครโมโซมที่มีแขนสั้น
หากแบงตามตําแหนงเซนโทรเมียรจะแบงออกเปน 4 ชนิด ไดแก
• เมทาเซนทริก (metacentric) เปนโครโมโซมที่มีตําแหนง เซนโทรเมียร์
(centromere)
เซนโทรเมียรอยูตรงกลาง เปนตําแหนงบนโครโมโซมซึ่งมีลักษณะเปนรอยคอด
• ซับเมทาเซนทริก (submetacentric) เปนโครโมโซมทีม่ ตี าํ แหนง บนโครโมโซม จากตําแหนงของเซนโทรเมียรทําใหเห็น
คลายโครโมโซมถูกแบงเปน 2 สวน
เซนโทรเมียรอยูหางจากจุดกึ่งกลางเล็กนอย
โครโมโซมส่วนที่มีแขนยาว
• อะโครเซนทริก (acrocentric) เปนโครโมโซมที่มีตําแหนง (q-arm)
เซนโทรเมียรอยูใกลกับปลายโครมาทิด เปนบริเวณสวนลางของโครโมโซมที่มีแขนยาว
• ที โ ลเซนทริ ก (telocentric) เป น โครโมโซมที่ มี ตํ า แหน ง
เซนโทรเมียรอยูที่ปลายโครมาทิด
โครโมโซมจะบรรจุโมเลกุลเกลี่ยวคูของ DNA รวมอยูกับโปรตีนฮิสโตน ซึ่งมีการสรางสมดุลของสาย DNA พันรอบกลุมโปรตีนฮิสโตน
เปนโครงสรางของนิวคลีโอโซม (nucleosome)

เกลียวคู DNA
โครโมโซม นิวคลีโอโซม

โครมาทิน โปรตีนฮิสโตน

T40
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
ดีเอ็นเอ
ดีเอ็นเอ เปนสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เกิดจากพอลิเมอรของ
เบสพิวรีน
นิ ว คลี โ อไทด (nucleotide) ที่ ป ระกอบด ว ยนํ้ า ตาลดี อ อกซี ไ รโบส H
H H
N N N
ไนโตรจีนัสเบส (อะดีนีน กวานีน ไซโทซีน และไทมีน) และหมูฟอสเฟต H H N N
H H
NH2 N N
N H N
N N O
N H H
อะดีนีน H H กวานีน
N N เบสไพริมิดีน O
O N H
H N H2C N
-
O P O O
O- H H H O H O
N N
H H
OH H ไซโทซีน H H ไทมีน

หนวยยอยของนิวคลีโอไทดแตละหนวยจะสรางพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร (phosphodiester bond) โดยหมูฟ อสเฟตทีอ่ ยูใ นคารบอนตําแหนง


ที่ 5 จะสรางพันธะกับนํ้าตาลดีออกซีไรโบสของอีกนิวคลีโอไทดที่คารบอนตําแหนงที่ 3 จนเปนสายยาวที่เรียกวา พอลินิวคลีโอไทด
(polynucleotide) ที่ปลายดานหนึ่งจะเปนตําแหนง 5ʹ ของคารบอนอะตอมในนํ้าตาลดีออกซีไรโบส และปลายอีกดานเปนตําแหนง 3ʹ
ของคารบอนอะตอมในนํ้าตาลดีออกซีไรโบส
โครงสรางโมเลกุลดีเอ็นเอ มีลักษณะ ดังนี้
• โมเลกุลของ DNA ประกอบดวย พอลินิวคลีโอไทด 2 สายเรียงสลับทิศกัน (antiparallel) และพันกันบิดเปนเกลียวคู (double helix)
เวียนขวาตามเข็มนาฬกา
• นิวคลีโอไทดแตละสายประกอบดวย แกนนํา้ ตาล-ฟอสเฟต (sugar-phosphate backbone) ซึง่ ประจุลบจะอยูส ว นดานนอกของโมเลกุล
และไนโตรจีนัสเบสซึ่งเปนสวนที่ไมชอบนํ้าอยูสวนดานในโมเลกุล
• การจับคูกันของเบสคูสมโดยเบส A จับคูกับเบส T ดวยการสรางพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และเบส G จับคูกับเบส C ดวยการสราง
พันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ
• โครงสรางเกลียวคู มีระยะหาง 20 อังสตรอม แตละเกลียวหางกัน 34 อังสตรอม แตละคูเบสมีระยะหางกัน 3.4 อังสตรอม
20 A พันธะฟอสโฟโดเอสเตอร
G C เบส A จับกับเบส T ดวย
A T
พันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ
T A O OH
-O P
O OH
H2C
G C T A
O O CH2
C G -O P O O- เบส G จับกับเบส C
A T O
H2C O PO ดวยพันธะไฮโดรเจน
C G G C 3 พันธะ
O O CH2
-O P O -
34 A O O
T A H2C O PO
C G
T A O O CH2
-O P O O-
O
A T H2C O P
A T O
A T
CH2
OH O O-
G C HO PO
3.4 A
A T

T41
3′
5′
สมบัติของสารพันธุกรรม 5′
สายนํา

การสังเคราะห DNA เปนการจําลองตัวเองของ DNA ที่เริ่มจาก 3′

การทําลายพันธะไฮโดรเจน ทําใหเกิดการคลายเกลียวและแยกออก ชิ้นสวนโอคาซากิ


สายตาม
จากกัน ซึ่งแตละสายจะทําหนาที่เปนสายแมแบบ (DNA template) 3′
5′
โดยแบงเปน DNA พอลิเมอเรส
• สายนํา (leading strand) ที่มีการสังเคราะหจากปลาย 5′ ไป
ยังปลาย 3’
• สายตาม (lagging strand) ที่มีการสังเคราะห DNA สายสั้น ๆ 3′
จากปลาย 3′ ไปยังปลาย 5′ ที่เรียกวา ชิ้นสวนโอคาซากิ 5′ DNA แมแบบ
5′
(Okazaki fragment) แลวจึงตอเชื่อมกันดวยเอนไซมดีเอ็น 3′ สายนํา
เอไลเกส ชิ้นสวนโอคาซากิ
3′ สายตาม
5′
DNA แมแบบ DNA ไลเกส

การสังเคราะหโปรตีนจากดีเอ็นเอ จะมี RNA ชนิดตาง ๆ เขามาเกีย่ วของ ประกอบดวยอารเอ็นเอนํารหัส (messenger RNA ; mRNA) ทําหนาที่
เปนตัวกลางนํารหัสพันธุกรรมจาก DNA มาสังเคราะหโปรตีน อารเอ็นเอถายโอน (transfer RNA ; tRNA) ทําหนาที่นําแอนติโคดอนของ
นิวคลีโอไทดสามตัวทีม่ กี รดอะมิโนจําเพาะมาเชือ่ มตอกับโคดอนของ mRNA และอารเอ็นเอไรโบโซม (ribosomal RNA ; rRNA) ทําหนาที่
ชวยการจับของแอนติโคดอนของ tRNA กับโคดอนของ mRNA ซึ่งการสังเคราะหโปรตีนจากดีเอ็นเอประกอบดวย 2 กระบวนการ ไดแก
1. การถอดรหัส (transcription) เปนการสังเคราะห mRNA จาก
DNA แมแบบ แบงออกเปน 3 ขั้นตอน ประกอบดวย
• ขั้นเริ่มตน เริ่มจากการจับกันของ RNA พอลิเมอเรสกับ
สาย DNA ทําใหมีการคลายเกลียวของ DNA การถอดรหัส
• ขัน้ การตอสายยาว เกิดการเขาคูส มกับนิวคลีโอไทด (เบส C
เขาคูกับเบส G เบส G เขาคูกับเบส C เบส A เขาคูกับ
เบส T และเบส U เขาคูกับเบส A) ซึ่งมีการสรางสลับทิศ นิวเคลียส
กับสาย DNA แมแบบ
• ขั้นสิ้นสุด โดย RNA พอลิเมอเรสจะหลุดออกจาก DNA
และปลอย mRNA ออกมา จากนั้น DNA 2 สายจะจับคู
และบิดเปนเกลียวเหมือนเดิม
2. การแปลรหัส (translation) เปนการสังเคราะหสายพอลิเพปไทด
จาก mRNA แบงออกเปน 3 ขั้นตอน ประกอบดวย กรดอะมิโน
• กระบวนการเริ่มตน เริ่มจากการนําแอนติโคดอนของกรด
อะมิโนเมไทโอนีนซึ่งเปนกรดอะมิโนตัวแรกมาเริ่มตนการ การแปลรหัส
สังเคราะหโปรตีนโดยนํามาเชือ่ มตอกับโคดอนของ mRNA
ไรโบโซม
• กระบวนการตอสายยาว ที่มีการนําแอนติโคดอนของกรด
อะมิโนลําดับถัดไปมาตอเชือ่ มกับกรดอะมิโนเมไทโอนีน และ โปรตีน
ตอกันเปนสายยาว ซึ่งจะมีการสรางพันธะเพปไทดระหวาง ไซโทพลาซึม
กรดอะมิโนที่อยูติดกัน
• กระบวนการสิน้ สุด ซึง่ จะสิน้ สุดการแปลรหัสเนือ่ งจากมีการ
ตอสายยาวของกรดอะมิโนจนถึงโคดอนที่เปนรหัสหยุด

T42
การกลาย
การปลี่ยนแปลงสภาพของสิ่งมีชีวิตที่ทําใหเกิดความแตกตางจากสิ่งมีชีวิตรุนพอแม แบงออกเปน 2 ระดับ
1. การกลายระดับยีน (gene mutation) เปนการเปลี่ยนแปลงในระดับนิวคลีโอไทด แบงออกเปน
• การแทนที่คูเบส (base-pair substitution) เปนการแทนที่คูของนิวคลีโอไทด
การแทนที่เบส C ดวยเบส T
DNA 3′ 5′ DNA 3′ 5′
mRNA 5′ 3′
mRNA 5′ 3′
โปรตีน รหัสหยุด โปรตีน รหัสหยุด
DNA ปกติ การกลายแบบเปลี่ยนรหัส
การเปลีย่ นแปลงของลําดับนิวคลีโอไทด ทําใหถอดรหัส
และแปรรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดอื่น
การแทนที่เบส G ดวยเบส A การแทนที่เบส T ดวยเบส A
DNA 3′ 5′ DNA 3′ 5′
mRNA 5′ 3′ mRNA 5′ 3′
โปรตีน รหัสหยุด โปรตีน รหัสหยุด

การกลายแบบเงียบ การกลายเป็นรหัสหยุด
การเปลีย่ นแปลงของลําดับนิวคลีโอไทดแตถอดรหัสและ การเปลีย่ นแปลงของลําดับนิวคลีโอไทด ทําใหถอดรหัส
แปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดเดิม และแปลรหัสเปนรหัสหยุด สายพอลิเพปไทดจึงสั้นกวา
ปกติ
• การเพิ่มขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด (insertion and deletion of nucleotide) ทําใหมีการจัดกลุมโคดอนไมเหมือนเดิมจึงสงผล
ตอการแปลรหัสและถอดรหัส การกลายแบบนี้เรียกวา การกลายแบบเลื่อนกรอบ (frameshift mutation)
การเพิม่ ขึน้ ของนิวคลีโอไทด A
DNA 3′ 5′
การเพิม่ ขึน้ ของนิวคลีโอไทด U
mRNA 5′ 3′
DNA 3′ 5′ โปรตีน รหัสหยุด
mRNA 5′ 3′ นิวคลีโอไทด์เพิ่มขึ้น
โปรตีน รหัสหยุด
การขาดหายของนิวคลีโอไทด A
DNA ปกติ mRNA 3′
การขาดหายของนิวคลีโอไทด U
DNA 5′ 5′
โปรตีน 3′

นิวคลีโอไทด์ขาดหาย

2. การกลายระดับโครโมโซม (chromosome mutation) เปนการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมซึ่งจะมีผลตอยีนจํานวนมาก แบงออกเปน


• การเปลีย่ นแปลงรูปรางของโครโมโซม เชน การขาดหาย (deletion) เปนการขาดหายของสวนใดสวนหนึง่ ของแทงโครโมโซม การเพิม่ ซํา้
(duplication) เปนการเพิ่มสวนของโครโมโซมทําใหเกิดความซํ้าซอนของยีน อินเวอรชัน (inversion) เปนการสลับชิ้นสวนบนแทง
โครโมโซม และการเคลื่อนยาย (translocation) เปนการยายหรือแลกสลับชิ้นสวนระหวางแทงโครโมโซม
• การเปลี่ยนแปลงจํานวนของโครโมโซม เปนการเปลี่ยนแปลงจากการเพิ่มหรือลดลงของจํานวนโครโมโซมจากจํานวนปกติ ที่เกิดจาก
การไมแยกจากกัน (nondisjunction) ของโครโมโซมระหวางการแบงเซลล

โครโมโซมคูท ี่ 5 มีแขนขางสัน้ ขาดหายไป โครโมโซมคูท ี่ 21 มีจาํ นวนเกินมา 1 แทง


T43
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา

ยีนและ
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู

5
หน่วยการเรียนรู้ที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครูถามคําถาม Big Question เพือ่ กระตุน ความ
สนใจของนักเรียนวา เพราะเหตุใด DNA จึง
โครโมโซม
มีบทบาทสําคัญตอการถายทอดลักษณะทาง ผลการเรียนรู สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีโครโมโซมที่บรรจุสารพันธุกรรมอยู่ภายใน
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 6. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อธิ บ ายสมบั ติ แ ละ นิวเคลียสของเซลล์ ซึ่งสารพันธุกรรมจะท�าหน้าที่ควบคุมการ
หน้าทีข่ องสารพันธุกรรม โครงสร้าง ท�างานของเซลล์ และการถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต
และองค์ประกอบทางเคมีของ DNA
และสรุปการจ�าลอง DNA ได้ จากรุ่นพ่อแม่สู่ลูกหลาน ท�าให้สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีลักษณะที่
7. อ ธิ บ า ย แ ล ะ ร ะ บุ ขั้ น ต อ น ใ น คล้ายคลึงกับพ่อแม่ แต่หากเกิดความผิดปกติของสารพันธุกรรม
กระบวนการสังเคราะห์โปรตีนและ เหล่านี้ จะท�าให้สงิ่ มีชวี ติ มีลกั ษณะทีแ่ ตกต่างไปจากพ่อแม่เช่นกัน
หน้าที่ของ DNA และ RNA แต่ละ
ชนิ ด ในกระบวนการสั ง เคราะห์
โปรตีนได้
8. สรุ ป ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งสาร
พันธุกรรม แอลลีล โปรตีน ลักษณะ
ทางพันธุกรรม และเชือ่ มโยงความรู้
เรื่องพันธุศาสตร์เมนเดลได้
9. สืบค้นข้อมูล และอธิบายการเกิด
มิ ว เ ท ชั น ร ะ ดั บ ยี น แ ล ะ ร ะ ดั บ
โครโมโซม สาเหตุการเกิดมิวเทชัน
รวมทั้ ง ยกตั ว อย่ า งโรคและกลุ ่ ม
อาการที่เป็นผลของการเกิด
มิวเทชันได้

à¾ÃÒÐà˵Øã´
DNA ¨Ö§ÁÕº·ºÒ·ÊÓ¤ÑÞ
µ‹Í¡Òö‹Ò·ʹÅѡɳÐ
·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
แนวตอบ Big Question
DNA เปนสารพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ทําหนาที่
กําหนดลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ และยัง
สามารถถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากรุนพอ
แมสูรุนลูกได

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรื่อง ยีนและโครโมโซม เปนเรื่องที่เขาใจยาก เนื่องจาก
นักเรียนอาจมองไมเห็นภาพเกี่ยวกับกระบวนการตางๆ ดังนั้น ครูจึงควรเนน
การใชภาพ วีดทิ ศั น หรือแบบจําลองตางๆ เพือ่ ชวยใหงา ยตอการทําความเขาใจ
ของนักเรียน และการจัดการสอนควรเนนกระบวนการกลุม เพือ่ ใหนกั เรียนไดรว ม
อภิปราย และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

T44
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
สารพันธุกรรมของมนุษย 1. การคนพบสารพันธุกรรม 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
คืออะไร ความรูเดิม
สารพันธุกรรมเป็นแหล่งข้อมูลทั้งหมดส�าหรับโครงสร้าง
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา สารพันธุกรรมเปน
และการท�างานของกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายสิง่ มีชวี ติ ให้เป็น
ไปอย่างถูกต้อง ซึง่ สารพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ อาจเป็นดีเอ็นเอ (DNA) ซึง่ พบในสิง่ มีชวี ติ ส่วนใหญ่ แหล ง ข อ มู ล ทั้ ง หมดสํ า หรั บ โครงสร า งและ
หรืออาจเป็นอาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งพบในไวรัสบางชนิดเท่านั้น การทํางานของกระบวนการตางๆ ของสิง่ มีชวี ติ
แบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก ดีเอ็นเอ และอารเอ็นเอ
ในปี พ.ศ. 2412 โยฮันน์ ฟรีดริช มิเชอร์ (Johann Friedrich Miescher) นักชีวเคมีชาวสวีเดน
3. ครูใหนักเรียนศึกษา การทดลองเกี่ยวกับการ
กรดนิวคลีอิก 1(nucleic acid) จากสารเคมีที่สกัดจากนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งไม่
ค้นพบกรดนิ
สามารถถูกย่อยด้วยเอนไซม์เพปซินได้ เมื่อน�ามาวิเคราะห์ทางเคมี พบว่า มีธาตุไนโตรเจน (N) คนพบสารพันธุกรรมของมิเชอร ฟอยลเกน
และฟอสฟอรัส (P) เป็นองค์ประกอบ จึงเรียกสารสกัดนี้ว่า นิวคลีอิน (nuclein) และต่อมาเปลี่ยน และกริฟฟท
ชื่อใหม่เป็นกรดนิวคลีอิก ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ดีเอ็นเอ และอาร์เอ็นเอ 4. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ในปี พ.ศ. 2457 โรเบิร์ต ฟอยล์เกน (Robert Feulgen) นักเคมีชาวเยอรมัน ใช้สีฟุคซิน ï• เพราะเหตุ ใ ด เมื่ อ ฉี ด แบคที เ รี ย ที่ ผ สม
(fuchsin) ย้อมเซลล์ พบว่า สารที่ย้อมติดสีคือ ดีเอ็นเอ และสีจะติดบริเวณนิวเคลียสและรวมตัว ระหวางสายพันธุ S ที่ตายแลวกับแบคทีเรีย
หนาแน่นที่โครโมโซม จึงสรุปว่า ดีเอ็นเออยู่บนโครโมโซมในนิวเคลียส สายพันธุ R จึงมีผลทําใหหนูตาย
ในปี พ.ศ. 2471 เฟรเดอริก กริฟฟิท (Frederick Griffith) แพทย์ชาวอังกฤษพยายามที่จะ ( แนวตอบ มี ส ารบางอย า งจากแบคที เ รี ย
พัฒนาวัคซีนโรคปอดบวม โดยท�าการศึกษาแบคทีเรีย Streptococcus pneumoniae ซึง่ เป็นสาเหตุ สายพันธุ S เขาไปยังแบคทีเรียสายพันธุ R
ท�าให้เกิดโรคปอดบวมร้ายแรงในสัตว์เลีย้ งลูกด้วยน�า้ นม โดยใช้แบคทีเรีย 2 สายพันธุ์ ประกอบด้วย และสามารถเปลี่ยนแบคทีเรียสายพันธุ R
สายพันธุ์ที่ก่อโรคหรือสายพันธุ์ S (smooth) ซึ่งสามารถท�าให้เกิดโรคปอดบวมในหนูได้ เนื่องจาก ใหกลายปนสายพันธุ S ได จึงมีผลทําให
สายพันธุ์ S มีแคปซูลหุ้มปองกันตัวจากระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม และสายพันธุ์ หนูตาย)
ที่ไม่ก่อโรคหรือสายพันธุ์ R (rough) ซึ่งไม่มีแคปซูลหุ้ม เพื่อทดสอบลักษณะการก่อโรคของ
แบคทีเรีย กริฟฟิทได้ทา� การทดลองโดยฉีดแบคทีเรียสองสายพันธุน์ เี้ ข้าไปในหนูโดยแบ่งการทดลอง อธิบายความรู้
ออกเป็น 4 ชุด ดังนี้ 1. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกมาสรุปผลการทดลอง
B iology ของมิเชอร ฟอยลเกน และกริฟฟท
Focus แคปซูลของแบคทีเรีย 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
แบคทีเรียจะมีโครงสร้างที่หุ้มอยู่ชั้นนอก เรียกว่า แคปซูล ทดลองของมิเชอร ฟอยลเกน และกริฟฟท
(capsule) ซึ่งเป็นสารประเภทพอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide)
และพอลิเพปไทด์ (polypeptide) มีลักษณะเป็นเมือกคล้ายวุ้น และ
ย้อมไม่ติดสีแกรม ท�าหน้าที่ช่วยให้แบคทีเรียยึดเกาะกับพื้นผิว
แคปซูล
ของเซลล์ที่อาศัยอยู่ เพิ่มศักยภาพในการเจริญและก่อโรคของ
แบคทีเรีย และท�าให้สามารถทนต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมได้ ภาพที่ 5.1 โครงสร้างของแบคทีเรีย

ยีนและ 35
โครโมโซม แนวตอบ Big Question
สารพันธุกรรมของมนุษย คือ ดีเอ็นเอ

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


นักวิทยาศาสตรทานใดคนพบสารนิวคลีอินจากนิวเคลียส 1 กรดนิวคลีอกิ เปนสารชีวโมเลกุลทีม่ ขี นาดใหญ ทําหนาทีเ่ ก็บและถายทอด
1. โรเบิรต ฟอยลเกน ขอมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจากรุนหนึ่งไปยังรุนตอไปใหสามารถแสดง
2. ออสวอลด แอเวอรี ลักษณะตางๆ ของสิ่งมีชีวิตได และยังทําหนาที่ควบคุมการเจริญเติบโตและ
3. เฟรเดอริก กริฟฟท กระบวนการตางๆ ของสิ่งมีชีวิต กรดนิวคลีอิกประกอบดวยหนวยยอยของ
4. แมคลิน แมคคารที นิวคลีโอไทด (nucleotide) แบงเปน 2 กลุม ดังนี้
5. โยฮันน ฟรีดริช มิเชอร 1) กรดดี อ อกซี ไ รโบนิ ว คลี อิ ก (deoxyribonucleic acid ; DNA)
(วิเคราะหคําตอบ โยฮั น น ฟรี ด ริ ช มิ เ ชอร นั ก วิ ท ยาศาสตร สามารถพบไดในบริเวณนิวเคลียสของเซลล มีหนาที่เก็บขอมูลทางพันธุกรรม
ชาวสวีเดน คนพบกรดนิวคลิอินจากสารที่สกัดจากนิวเคลียสของ ของสิง่ มีชวี ติ และถายทอดขอมูลทางพันธุกรรมจากรุน พอแมไปสูร นุ ลูก
เซลลเม็ดเลือดขาว ซึ่งไมถูกยอยดวยเอนไซมเพปซิน และเมื่อ 2) กรดไรโบนิวคลีอิก (ribonucleic acid ; RNA) พบไดในนิวเคลียสและ
นํามาวิเคราะหทางเคมี พบวา ประกอบดวยธาตุไนโตรเจน และ ไซโทพลาซึมของเซลล มีหนาที่ในการสังเคราะหโปรตีนตางๆ
ฟอสฟอรัส ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T45
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากผลการทดลอง ชุด ก ฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ R ให้กับหนู พบว่า หนูไม่ตาย
ของกริ ฟ ฟ ท ได มี นั ก วิ ท ยาศาสตร ทํ า การ ชุด ข ฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ S ให้กับหนู พบว่า หนูตาย
ทดลองตอจากการทดลองของกริฟฟท คือ ชุด ค ฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนให้กับหนู พบว่า หนูไม่ตาย
แอเวอรี และคณะ ชุด ง ฉีดแบคทีเรียที่ผสมระหว่างสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนกับสายพันธุ์ R
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาการทดลองของแอเวอรีและ ที่มีชีวิตให้กับหนู พบว่า หนูตาย
คณะ ทีน่ าํ แบคทีเรียทีผ่ สมระหวางสายพันธุ S ก. ข.
ที่ตายแลว กับแบคทีเรียสายพันธุ R แลวเติม
เอนไซม RNase โปรตีเอส และ DNase ใน
แตละชุดการทดลอง สายพันธุ์ R หนูไม่ตาย สายพันธุ์ S หนูตาย
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ï• สารชนิ ด ใดที่ ส ามารถเปลี่ ย นแบคที เ รี ย ค. ง.
สายพันธุ R ใหกลายปนสายพันธุ S ได
เพราะเหตุใด
(แนวตอบ สารที่ทําใหแบคทีเรียสายพันธุ R สายพันธุ์ S หนูไม่ตาย สายพันธุ์ S หนูตาย
ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อน ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อน
กลายปนสายพันธุ S คือ DNA เนือ่ งจากเมือ่ และสายพันธุ์ R
ทําการทดลองใสเอนไซมหลายชนิด ไดแก ภาพที่ 5.2 การทดลองของเฟรเดอริก กริฟฟิท
RNase โปรตีเอส DNase ลงในสวนผสม จากผลการทดลองดังกล่าว กริฟฟิทเกิดข้อสงสัยว่า “เพราะเหตุใดเมือ่ น�าแบคทีเรียสายพันธุ์
ของแบคทีเรียที่ผสมระหวางสายพันธุ S ที่ S ทีท่ า� ให้ตายด้วยความร้อนไปผสมกับสายพันธุ์ R ทีม่ ชี วี ติ แล้วฉีดให้หนู จึงท�าให้หนูตาย” กริฟฟิท
ตายแลว กับแบคทีเรียสายพันธุ R มีเพียง รายงานว่ามีสารบางอย่างจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนเข้าไปยังแบคทีเรีย
สายพันธุ์ R บางเซลล์ ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียสายพันธุ์ R เป็นแบคทีเรีย
หลอดที่ใส DNase เทานั้น ที่ไมเกิดการ
สายพันธุ์ S ทีม่ ชี วี ติ และท�าให้กอ่ โรค ซึง่ ลักษณะก่อโรคทีไ่ ด้รบั มานีย้ งั สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลาน
เปลี่ยนแปลงของแบคทีเรีย แสดงใหเห็นวา ของแบคทีเรียด้วย อย่างไรก็ตาม กริฟฟิทก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสารนั้นคืออะไร
DNase ยอย DNA จึงไมมีการเปลี่ยนแปลง ในปี พ.ศ. 2487 ออสวอลด์ แอเวอรี (Oswald Avery) แมคลิน แมคคาร์ที (Maclyn
ของแบคทีเรีย) McCarty) และคอลิน แมคลอยด์ (Colin MacLeod) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ท�าการทดลอง
4. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นว า DNA เป น สาร ต่อจากริฟฟิท โดยน�าแบคทีเรียสายพันธุ์ S มาท�าให้ตายด้วยความร้อน แล้วสกัดสารจากแบคทีเรีย
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวติ สวนใหญ ทั้งแบคทีเรีย สายพันธุ์ S มาใส่หลอดทดลอง 4 หลอด แล้วเติมเอนไซม์ต่าง ๆ ดังนี้
พืช สัตว และมนุษย สวน RNA เปนสาร หลอดทดลอง ก เติมเอนไซม์ไรโบนิวคลีเอส (ribonuclease; RNase) เพื่อย่อยสลาย RNA
พันธุกรรมของของไวรัส เชน ไวรัสทีเ่ ปนสาเหตุ หลอดทดลอง ข เติมเอนไซม์โปรตีเอส 1(protease) เพื่อย่อยสลายโปรตีน
ของโรคเอดส ซารส ไขหวัดนก หลอดทดลอง ค เติมเอนไซม์ดอี อกซีไรโบนิวคลีเอส (deoxyribonuclease; DNase) เพือ่ ย่อย
สลาย DNA
หลอดทดลอง ง ไม่เติมเอนไซม์ เนื่องจากใช้เป็นหลอดทดลองชุดควบคุม
36

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 เอนไซมโปรตีเอส เปนเอนไซมทที่ าํ หนาทีเ่ รงปฏิกริ ยิ าการไฮโดรไลซิสโปรตีน เพราะเหตุใดออสวอลด ที แอเวอรี และคณะ จึงเชื่อวา DNA
ใหกลายเปนกรดอะมิโน หรือพอลิเพปไทดทสี่ นั้ ลง พบทัง้ ในระบบการยอยอาหาร เปนสารพันธุกรรมของแบคทีเรีย
ของสิ่งมีชีวิต ผลไม และจุลินทรียบางชนิด เชน (วิเคราะหคาํ ตอบ จากการทดลองสกัดสารจากแบคทีเรียสายพันธุ S
- เรนนิน (rennin) ผลิตจากกระเพาะของลูกวัว สามารถยอยโปรตีนเคซีน ที่ ถู ก ทํ า ให ต ายด ว ยความร อ นมาใส ห ลอดทดลอง 4 หลอด
ในนํ้านมใหมีโมเลกุลเล็กลง ถูกนํามาใชในกระบวนการผลิตเนยแข็ง แลวเติมเอนไซมในหลอดทดลอง 3 หลอด ไดแก หลอดทีเ่ ติมเอนไซม
- ปาเปน (papain) พบมากในยางมะละกอ ถูกนํามาใชในกระบวนการ ไรโบนิวคลีเอส หลอดทีเ่ ติมเอนไซมโปรตีเอส และหลอดทีเ่ ติมเอนไซม
ผลิตเบียร ไวน และทําใหเนื้อสัตวนุมขึ้น ดีออกซีไรโบนิวคลีเอส จากนั้นจึงใสแบคทีเรียสายพันธุ R เขาไป
ในหลอดทดลองทั้ง 4 หลอด พบวา มีเฉพาะหลอดที่เติมเอนไซม
ดีออกซีไรโบนิวคลีเอสเทานั้น ที่ไมพบการเปลี่ยนจากแบคทีเรีย
สายพันธุ R เปนสายพันธุ S จึงเชือ่ วาเอนไซมดอี อกซีไรโบนิวคลีเอส
เขาไปยอยสลาย DNA ทําใหไมสามารถเปลีย่ นแปลงสายพันธุข อง
แบคทีเรียได สวนหลอดทดลองอื่นๆ ที่ยังมี DNA อยู จะมีการ
เปลี่ยนสายพันธุของแบคทีเรีย จึงเชื่อวา DNA เปนสารพันธุกรรม
ของแบคทีเรีย)

T46
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
จากนั้นเติมแบคทีเรียสายพันธุ์ R ลงในหลอดทดลองแต่ละหลอด ปล่อยไว้สักระยะหนึ่งแล้ว 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
จึงน�าไปเพาะเลีย้ งในอาหารเลีย้ งเชือ้ ผลการทดลองพบว่า ส่วนผสมของแบคทีเรียสายพันธุ์ R กับ ค น พบสารพั น ธุ ก รรมของสิ่ ง มี ชี วิ ต จากการ
สารสกัดจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนในสภาวะที่มีเอนไซม์ DNase จะไม่ ทดลองของออสวอลด ที แอเวอรี และคณะ
พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่เกิดขึ้นใหม่ ขณะที่ส่วนผสมของแบคทีเรียที่อยู่ในสภาวะที่มีเอนไซม์ 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การคนพบสาร
RNase และโปรตีเอส จะพบแบคทีเรียสายพันธุ์ S เกิดขึ้น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าสารที่เปลี่ยนแปลง พันธุกรรม
พันธุกรรมของแบคทีเรียสายพันธุ์ R เป็นสายพันธุ์ S คือ DNA 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
สารสกัดจากสายพันธุ์ S สกัดเอาลิพิดและ ชีววิทยา ม.4 เลม 2
ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อน คาร์โบไฮเดรตออก

RNA ขัน้ สรุป


โปรตีน ขยายความเข้าใจ
DNA
ครูใหนกั เรียนทําผังสรุป เรือ่ ง การคนพบสาร
เติม RNase เติมโปรตีเอส เติม DNase พันธุกรรม จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร
เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย ทานตางๆ
สายพันธุ์ R สายพันธุ์ R สายพันธุ์ R สายพันธุ์ R

ขัน้ ประเมิน
ก. ข. ค. ง. ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจแบบทดสอบกอนเรียน
2. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรื่อง การคนพบ
สารพันธุกรรม
3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง การคนพบ
สารพันธุกรรม
พบแบคทีเรีย พบแบคทีเรีย ไม่พบแบคทีเรีย พบแบคทีเรีย 4. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
สายพันธุ์ S สายพันธุ์ S สายพันธุ์ S สายพันธุ์ S ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
ภาพที่ 5.3 การทดลองของออสวอลด์ แอเวอรี แมคลิน แมคคาร์ที และคอลิน แมคลอยด์

นอกจากนี้ยังมีการทดลองอื่น ๆ ที่ยืนยันว่า DNA เป็นสารพันธุกรรมของทั้งแบคทีเรีย


โพรทิสต์ พืช สัตว์ และมนุษย์ ส่วน RNA เป็นสารพันธุกรรมของไวรัส เช่น ไวรัสที่เป็นสาเหตุของ
โรคโปลิโอ เอดส์ ซาร์ส ไข้หวัดนก ใบด่างในยาสูบ และมะเร็งบางชนิด เป็นต้น

ยีนและ 37
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล


สิ่งมีชีวิตในขอใดมีสารพันธุกรรมแตกตางจากขออื่น ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง การคนพบสารพันธุกรรม
1. ยีสต ไดจากผังสรุป เรื่อง การคนพบสารพันธุกรรม ที่นักเรียนทําในขั้นขยายความ
2. ไวรัส เขาใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานที่อยูใน
3. มนุษย แผนการจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 5
4. อะมีบา แบบประเมิ
แบบประเมิ
นชิน้นชิงาน/ภาระงาน
้นงาน/ภาระงาน(รวบยอด)
(รวบยอด)แผนฯ
แผนทีฯ่ 1,ที่ 4,1 5

5. พารามีเซียม แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ
ระดับคะแนน
ระดับคะแนน

(วิเคราะหคําตอบ ยีสต อะมีบา มนุษย พารามีเซียม มี DNA เปน


ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์

สารพันธุกรรม แตสําหรับไวรัสบางชนิด เชน ไวรัสที่เปนสาเหตุ


4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................

ของโรคเอดส ซารส ไขหวัดนก มี RNA เปนสารพันธุกรรม ดังนั้น ประเด็นที่ประเมิน


4
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ

3
ระดับคะแนน
2 1

ตอบขอ 2.)
1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วน จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์ ใหญ่
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ ใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T47
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน โครโมโซมของสิ่งมีชีวิต 2. โครโมโซม
ความรูเดิมของนักเรียน มีกี่ประเภท อะไรบาง จากการค้นพบ DNA ว่าเป็นสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา DNA ที่เปนสาร ซึง่ DNA เป็นองค์ประกอบหลักของโครโมโซมทีอ่ ยูใ่ นนิวเคลียส
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเปนองคประกอบหลัก ของเซลล์ และภายใน DNA มียนี ท�าหน้าทีค่ วบคุมการท�างานและก�าหนดลักษณะทางพันธุกรรมอยู่
ของโครโมโซมที่อยูในนิวเคลียสของเซลล ท�าให้มีการศึกษาโครโมโซม และ DNA อย่างละเอียด เพื่อน�าไปสู่ความเข้าใจในการควบคุม
การท�างานและการก�าหนดลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา 2.1 รูปราง ลักษณะ และจํานวนโครโมโซม
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษารู ป ร า ง ลั ก ษณะ และ โครโมโซมมีลกั ษณะเป็นเส้นยาวขดพันกันอยูภ่ ายในนิวเคลียส เรียกว่า โครมาทิน (chromatin)
1
จํานวนโครโมโซม ซึ่งประกอบดวยโครมาทิด ซึง่ สามารถมองเห็นได้โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ ในช่วงของการแบ่งเซลล์ระยะอินเตอร์เฟส โครโมโซม
2 อัน ยึดกันที่ตําแหนงเซนโทรเมียร จะจ�าลองตัวเองเป็นเส้นคู่ที่เหมือนกันทุกประการ และในระยะเมทาเฟส โครโมโซมจะหดตัวสั้น
และหนาขึน้ ท�าให้มองเห็นโครโมโซมได้อย่างชัดเจน โดยโครโมโซมมีโครมาทิด 2 อันยึดติดกันตรง
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ต�าแหน่งเซนโทรเมียร์ (centromere) ส่วนของโครโมโซมที่ยื่นออกจากเซนโทรเมียร์ ประกอบด้วย
ï• ในระหวางการแบงเซลล โครโมโซมจะมี
ส่วนที่มีแขนสั้น (p-arm) และส่วนที่มีแขนยาว (q-arm)
ลั ก ษณะเหมื อ นหรื อ แตกต า งกั บ ในช ว งที่
เซลลไมมีการแบงเซลลอยางไร
(แนวตอบ แตกตางกัน เพราะในระหวางการ โครมาทิด
(chromatids)
แบงเซลล โครโมโซมจะหดสั้น ประกอบ เป็นโครโมโซมที่ได้จ�าลองตัวเองจนมีลักษณะเป็นเส้นคู่
ด ว ยโครมาทิ ด 2 อั น ยึ ด กั น ที่ ตํ า แหน ง
เซนโทรเมียร แตในชวงที่ไมมีการแบงเซลล โครโมโซมสวนที่มีแขนสั้น
(p-arm)
โครโมโซมจะคลายตัวเปนเสนใยโครมาทิน เป็นบริเวณส่วนบนของโครโมโซมที่มีแขนสั้น
ที่ขดพันกันอยูภายในนิวเคลียส)
เซนโทรเมียร
(centromere)
เป็นต�าแหน่งบนโครโมโซมซึ่งมีลักษณะเป็นรอยคอดบน
โครโมโซม จากต�าแหน่งของเซนโทรเมียร์ท�าให้เห็นคล้าย
โครโมโซมถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน

โครโมโซมสวนที่มีแขนยาว
(q-arm)
เป็นบริเวณส่วนล่างของโครโมโซมที่มีแขนยาว
ภาพที่ 5.4 โครงสร้างของโครโมโซม

38

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 ระยะอินเตอรเฟส เปนระยะที่เซลลเตรียมพรอมกอนที่จะแบงนิวเคลียส การแบงเซลลระยะใดจะเห็นโครโมโซมชัดเจนที่สุด
และไซโทพลาซึม เซลลระยะนี้จะมีนิวเคลียสขนาดใหญ และเห็นนิวคลีโอลัส 1. ระยะโพรเฟส
ชัดเจนเมื่อยอมสี แบงออกเปน 3 ระยะ ไดแก 2. ระยะเทโลเฟส
- ระยะ G1 หรือระยะกอนสราง DNA เปนระยะที่เซลลมีการสังเคราะห 3. ระยะเมทาเฟส
สารตางๆ 4. ระยะแอนาเฟส
- ระยะ S หรือระยะสราง DNA เปนระยะทีเ่ ซลลมกี ารสังเคราะห DNA เพิม่ 5. ระยะอินเตอรเฟส
อีก 1 ชุด ซึ่งสาย DNA ในระยะนี้ยังเปนเสนใยโครมาทินอยูในนิวเคลียส (วิเคราะหคาํ ตอบ ระยะเมทาเฟส เปนระยะทีโ่ ครโมโซมขดตัวกันจน
- ระยะ G2 หรือระยะหลังการสราง DNA เปนระยะที่เซลลมีการเตรี มีขนาดใหญ และเคลือ่ นทีม่ าอยูบ ริเวณกลางเซลล จึงทําใหมองเห็น
ยมพรอมที่จะแบงเซลล มีการสรางโปรตีนและออรแกเนลลตางๆ เพิ่ม โครโมโซมอยางชัดเจน ดังนัน้ ตอบขอ 3.)
มากขึ้น

T48
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
หากแบ่งประเภทของโครโมโซมตามต�าแหน่งของเซนโทรเมียร์จะแบ่งเป็น 4 แบบ ดังนี้ 3. ครูใหนักเรียนศึกษาประเภทของโครโมโซม
1. เมทาเซนทริก (metacentric) เป็นโครโมโซมทีม่ ตี า� แหน่งเซนโทรเมียร์อยูต่ รงกลาง จึง ตามตําแหนงของเซนโทรเมียร ที่แบงออกเปน
ท�าให้แขนทั้งสี่ข้างมีความยาวเท่ากัน 4 แบบ ไดแก เมทาเซนทริก ซับเมทาเซนทริก
2. ซับเมทาเซนทริก (submetacentric) เป็นโครโมโซมทีม่ ตี า� แหน่งเซนโทรเมียร์อยูห่ า่ งจาก อะโครเซนทริก และทีโลเซนทริก
จุดกึ่งกลางเล็กน้อย จึงท�าให้โครมาทิดมีแขนข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างเล็กน้อย 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
3. อะโครเซนทริก (acrocentric) เป็นโครโมโซมที่มีต�าแหน่งเซนโทรเมียร์อยู่ใกล้กับ อาจมีจํานวนโครโมโซมเทากันหรือไมเทากัน
ปลายของโครมาทิด จึงท�าให้โครมาทิดมีแขนข้างหนึ่งยาวมากกว่าอีกข้าง ก็ได ขึ้นอยูกับชนิดของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ และให
4. ทีโลเซนทริก (telocentric) เป็นโครโมโซมที่มีต�าแหน่งเซนโทรเมียร์อยู่ที่ปลายของ นักเรียนศึกษาตารางที่ 5.1 จํานวนโครโมโซม
โครมาทิด ท�าให้โครมาทิดมีแขนข้างเดียว ในเซลลรางกายของสิ่งมีชีวิตตางๆ

ส่วนที่มีแขนสั้น
เซนโทรเมียร์

เซนโทรเมียร์

ส่วนที่มีแขนยาว
ทีโลเซนทริก อะโครเซนทริก ซับเมทาเซนทริก เมทาเซนทริก

ภาพที่ 5.5 ประเภทของโครโมโซมที่แบ่งตามต�าแหน่งของเซนโทรเมียร์

B iology
Focus เทโลเมียร
เทโลเมียร์
เทโลเมียร์ (telomere) เป็นบริเวณส่วนปลายของโครโมโซม
ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของโครโมโซม และเกี่ยวข้องกับ
ความชราของสิง่ มีชวี ติ โดยทุกครัง้ ทีเ่ ซลล์แบ่งตัว เทโลเมียร์จะสัน้ ลง
ซึง่ เมือ่ ร่างกายมีอายุมากขึน้ เซลล์กจ็ ะแบ่งตัวเพิม่ มากขึน้ เทโลเมียร์
จึงสั้นลงจนไม่สามารถแบ่งตัวได้อีกต่อไป และท�าให้ร่างกายหมด
ภาพที่ 5.6 การแบ่งเซลล์ท�าให้
อายุขัยลงหรือมีการตายของสิ่งมีชีวิต เทโลเมียร์สั้นลง

ยีนและ 39
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


สวนใดของโครโมโซมมีผลตอความชราของสิ่งมีชีวิต ครูอาจนําภาพโครโมโซมของสิง่ มีชวี ติ เชน โครโมโซมของมนุษย จากแผนภาพ
1. โครมาทิด คารีโอไทปมารวมกันพิจารณาวา โครโมโซมแตละคูถูกจัดอยูในประเภทใด
2. โครมาทิน เมือ่ แบงประเภทตามตําแหนงของเซนโทรเมียร เพือ่ ใหนกั เรียนไดรว มกันอภิปราย
3. เทโลเมียร ถึงประเภทของโครโมโซมตามตําแหนงของเซนโทรเมียร
4. เซนโทรเมียร
5. นิวคลีโอโซม
(วิเคราะหคาํ ตอบ เทโลเมียร เปนบริเวณสวนปลายของโครโมโซม สื่อ Digital
มีสวนชวยรักษาเสถียรภาพของโครโมโซม และเกี่ยวของกับความ ศึกษาเพิ่มเติมไดจาก QR Code เรื่อง โครโมโซม
ชราภาพของสิง่ มีชวี ติ ซึง่ ทุกครัง้ ทีม่ กี ารแบงเซลล เทโลเมียรจะสัน้
ลง จนกระทั้งไมสามารถแบงตัวไดอีก ซึ่งทําใหเกิดการตายของ
สิ่งมีชีวิต ดังนั้น ตอบขอ 3.) โครโมโซม
www.aksorn.com/interactive3D/RKA68

T49
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา สิง่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ อาจมีโครโมโซมทีม่ รี ปู รางแบบเดียวหรือหลายแบบก็ได แตสงิ่ มีชวี ติ แตละ
ï• โครโมโซมมีความสัมพันธกับความซับซอน ชนิดจะมีรปู รางโครโมโซมแตกตางกันและมีจาํ นวนโครโมโซมในเซลลรา งกายไมเทากันหรืออาจเทากัน
ของสิ่งมีชีวิตหรือไม ก็ไดขนึ้ อยูก บั สิง่ มีชวี ติ ชนิดนัน้ ๆ
(แนวตอบ จํานวนโครโมโซมไมนาจะมีความ ตารางที่ 5.1 : จํานวนโครโมโซมในเซลลรางกายของสิ่งมีชีวิตชนิดตางๆ
สัมพันธกับระดับความซับซอนของสิ่งมีชีวิต จํานวน จํานวน
เชน ไกมีจํานวนโครโมโซมมากกวาคน แต สิ�งมีชีวิต (สัตว) โครโมโซม สิ�งมีชีวิต (พืช) โครโมโซม
(2n) (2n)
ระบบอวัยวะของคนมีความซับซอนมากกวา
สุนัขบาน (Canis familiaris) 78 ฝาย (Gossypium hirsutum) 52
ไก หรือแมลงวัน แมลงหวี่ ยุงกนปลอง และ
ผึ้ง เปนแมลงเหมือนกันที่มีความซับซอน ไก (Gallus domesticus) 78 ยาสูบ (Nicotiana tabacum) 48
ของโครงสรางใกลเคียงกัน แตมีจํานวน มา (Equus calibus) 64 ชา (Camellia sinensis) 30
โครโมโซมที่แตกตางกัน) ชิมแปนซี (Pan trogodytes) 48 สน (Pinus ponderosa) 24
6. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) 1
มนุษย (Homo
( sapiens) 46 มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum) 24
กับนักเรียน
หนู (Mus musculus) 40 ขาว (Oryza sativa) 24
อธิบายความรู แมวบาน (Felis catus) 38 กลวย (Musa paradisiaca) 22
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับรูปราง ผึ้ง (Apis mellifera) 32 แตงโม (Citrillus vulgaris) 22
ลักษณะ และจํานวนโครโมโซม กบ (Rana pipiens) 26 ขาวโพด (Zea mays) 20
แมลงวัน (Musca domestica) 12 กะหลํ่าปลี (Brassica oleracea) 18
แมลงหวี่ (Drosophila melanogaster) 8 หอม (Allium cepa) 16
ยุงกนปลอง (Anopheles dirus) 6 ถั่วลันเตา (Pisum sativum) 14
จํานวนโครโมโซมในสิ่งมีชีวิตแตละสปชีสจะมีจํานวนคงที่ H. O. T. S.
ไมเปลี่ยนแปลง แตหากมีการเปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซม คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ในสิ่งมีชีวิต อาจทําใหเกิดความผิดปกติได เชน ในมนุษยจะ สิ่ ง มี ชี วิ ต ต า ง
มีโครโมโซมจํานวน 23 คู หรือ 46 แทง หากโครโมโซมคูที่ เซลล
ชนิดเยืกัอ่ นบุขา แต
งแกมมี

21 เกินมา 1 โครโมโซม จะเรียกวา กลุมอาการดาวน (Down โครโมโซมเทา


แนวตอบ H.O.T.S. syndrome) ซึ่งทําใหผูมีโครโมโซมลักษณะนี้มีพัฒนาการชากวา กัน สามารถสืบพันธุกันและ
คนปกติ มีความพิการทางดานสติปญญา และใบหนามีลักษณะ ใหกําเนิดลูกไดหรือไม เพราะ
สิ่ ง มี ชี วิ ต ต า งชนิ ด กั น ที่ มี จํ า นวนโครโมโซม เหตุใด
เทากันจะไมสามารถสืบพันธุ และใหกําเนิดลูกได เฉพาะ เปนตน
เนื่องจากโครโมโซมแตละคูจะมีรูปรางและขนาดที่
40
แตกตางกัน จึงทําใหไมเกิดการเขาคูก นั ของฮอมอ-
โลกัสโครโมโซม

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 มนุษย มีโครโมโซมแบงออกเปน 2 ประเภท ไดแก ในเซลลสืบพันธุจะพบโครโมโซมจํานวนเทาใด
1) โครโมโซมรางกาย (autosome) เปนโครโมโซมที่ควบคุมลักษณะตางๆ 1. 2 โครโมโซม 2. 23 โครโมโซม
ของรางกาย ประกอบดวยโครโมโซม 22 คู คือ คูที่ 1-22 3. 46 โครโมโซม 4. 52 โครโมโซม
2) โครโมโซมเพศ (sex chromosome) เปนโครโมโซมที่ทําหนาที่ควบคุม 5. 92 โครโมโซม
หรือกําหนดเพศ ไดแก โครโมโซม X และโครโมโซม Y ซึง่ จะแตกตางกันในแตละ ( วิเคราะหคําตอบ เซลล ร  า งกายของมนุ ษ ย จ ะพบโครโมโซม
เพศ โดยในเพศหญิงมีโครโมโซมเพศแบบ XX และเพศชายมีโครโมโซมเพศแบบ ทั้งหมด 23 คู หรือ 46 โครโมโซม แตสําหรับเซลลสืบพันธุจะมี
XY ซึง่ โครโมโซม Y จะมีขนาดเล็กกวาโครโมโซม X มาก ประกอบดวยโครโมโซมเพศ จํานวนโครโมโซมแคครึ่งหนึ่งของเซลลรางกาย คือ 23 โครโมโซม
1 คู คือ คูที่ 23 ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T50
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2.2 สวนประกอบของโครโมโซม 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาสวนประกอบของโครโมโซม
1 ไซโทพลาซึม ที่ เ กิ ด จากเกลี ย วคู  ข อง DNA รวมอยู  กั บ
ในสิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรคาริโอต เช่น E.coli จะมีจ�านวน
โครโมโซมเพียงโครโมโซมเดียวเป็นรูปวงแหวนอยูใ่ นไซโทพลาซึม นิวคลีออยด์ โปรตีนฮิสโตน กลายเปนโครมาทิน
ประกอบด้วย DNA 1 โมเลกุล ภายในเซลล์มีโปรตีนบางชนิด เยื่อหุ้มเซลล์ 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ท�าให้โครโมโซมขดเป็นวงเรียกว่า ซูเปอร์คอยล์ (supercoil) ผนังเซลล์ ï• โปรตีนฮิสโตนในโครโมโซมมีบทบาทอยางไร
ท�าให้สามารถบรรจุอย่างหนาแน่นอยู่ในเซลล์ได้ และเรียกส่วน แคปซูล (แนวตอบ เนื่องจาก DNA มีประจุลบ แต
DNA ทีห่ นาแน่นว่า นิวคลีออยด์ (nucleoid) ซึง่ ไม่ได้ถกู ล้อมรอบ ภาพที่ 5.7 โครโมโซมของสิ่งมีชีวิต โปรตีนฮิสโตนมีประจุบวก จึงทําใหเกิดการ
ด้วยเยื่อหุ้ม ในกลุ่มโพรคาริโอต สร า งสมดุ ล ประจุ ข องโครมาทิ น ด ว ยสาย
2 DNA พันรอบกลุมโปรตีนฮิสโตน)
ในสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต โครโมโซมจะบรรจุโมเลกุลเกลียวคู่ของ DNA รวมอยู่กับ
โปรตีนฮิสโตน (3histone protein) โดยจับกันเป็นองค์ประกอบเชิงซ้อนทีเ่ รียกว่า โครมาทิน (chromatin) 3. ครูใหนกั เรียนศึกษาจีโนมของสิง่ มีชวี ติ ซึง่ เปน
โดยโปรตีนฮิสโตนมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะมิโนทีม่ ปี ระจุบวก เช่น ไลซีน อาร์จนี นี เป็นต้น สารพันธุกรรมทั้งหมดที่บรรจุอยูในนิวเคลียส
จึงมีคุณสมบัติในการเกาะจับกับสาย DNA ซึ่งมีประจุลบได้เป็นอย่างดี ท�าให้เกิดการสร้างสมดุล ของทุกๆ เซลล และมีความหลากหลายใน
ประจุของโครมาทินด้วยสาย DNA พันรอบกลุ่มโปรตีนฮิสโตน เรียกโครงสร้างนี้ว่า นิวคลีโอโซม ดานขนาด จํานวนของยีน และความหนาแนน
(nucleosome) ของยีน แลวใหนักเรียนศึกษาตารางที่ 5.2
ขนาด จํานวนของยีน และความหนาแนนของ
โครโมโซม ยีนในสิ่งมีชีวิตชนิดตางๆ

เกลียวคู่ DNA
นิวคลีโอโซม

โครมาทิน โปรตีนฮิสโตน

ภาพที่ 5.8 โครโมโซมของสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต

ยีนและ 41
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


ขอใดไมพบบนโครโมโซม 1 สิง่ มีชวี ติ กลุม โพรคาริโอต เปนสิง่ มีชวี ติ ทีเ่ ซลลไมมเี ยือ่ หุม นิวเคลียส จึงพบ
1. ไขมัน 2. โปรตีน สารพันธุกรรมลอยอยูในไซโทพลาซึม ไดแก แบคทีเรีย และสาหรายเขียวแกม
3. กรดนิวคลีอิก 4. คารโบไฮเดรต นํ้าเงิน
5. ไนโตรจีนัสเบส 2 สิ่งมีชีวิตกลุมยูคาริโอต เปนสิ่งมีชีวิตที่เซลลมีเยื่อหุมนิวเคลียส จึงพบ
( วิ เ คราะห คํ า ตอบ โครโมโซมประกอบด ว ย DNA ซึ่ ง เป น สารพันธุกรรมอยูในนิวเคลียส ไดแก พืช สัตว รา โพรโทซัว และสาหราย
สารประกอบประเภทกรดนิวคลีอิก และ DNA มีนิวคลีโอไทด 3 โปรตีนฮิสโตน เปนโปรตีนทีป่ ระกอบดวยกรดอะมิโนทีม่ สี ภาพประจุเปนบวก
เปนหนวยยอยที่มีโครงสรางประกอบดวยนํ้าตาลดีออกซีไรโบส และมีสภาวะเปนเบส แบงออกเปน 5 ชนิด ไดแก H1 H2A H2B H3 และ H4
(คารโบไฮเดรต) หมูฟอสเฟต และไนโตรจีนัสเบส โดย DNA จะ
ขดตัวพันรอบโปรตีนฮิสโตน ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T51
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับสวน ในปัจจุบันสารพันธุกรรมทั้งหมดที่อยู่ในเซลล์สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ เรียกว่า จีโนม (genome)
ประกอบของโครโมโซม ซึ่งเป็นชุดของดีเอ็นเอทั้งหมดที่บรรจุอยู่ในนิวเคลียสของทุก ๆ เซลล์ และมีความหลากหลายใน
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ด้านขนาด จ�านวนของยีน และความหนาแน่นของยีน โดยจีโนมถือว่าเป็นข้อมูลทางพันธุกรรม
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ทั้งหมดที่จ�าเป็นต่อการสร้างสารต่าง ๆ และการด�ารงชีวิตอย่างปกติของสิ่งมีชีวิต
ตารางที่ 5.2 : ขนาด จ�านวน และความหนาแน่นของยีนในสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ
ขัน้ สรุป ขนาดของจีโนม ความหนาแน่น
ขยายความเข้าใจ สิ่งมีชีวิต (ล้านคู่เบส) จ�านวนยีน ของยีน
ครูใหนักเรียนทํารายงาน เรื่อง โครโมโซมของ แบคทีเรีย
- Escherichia coli 1.8 1,700 940
สิง่ มีชวี ติ โดยคัดเลือกสิง่ มีชวี ติ ทีส่ นใจ ระบุจาํ นวน - Haemophuilus influenzae 4.6 4,400 950
โครโมโซม และประเภทของโครโมโซมแตละแทง แบคทีเรียกลุ่ม อาร์เคีย
ตามตําแหนงของเซนโทรเมียร โดยสืบคนขอมูล - Archaeoglobus fulgidus 2.2 2,500 1,130
- Methanosarcina barkeri 4.8 3,600 750
จากหนังสือ วารสารทางวิชาการ สือ่ ออนไลน หรือ
แหลงเรียนรูตางๆ สิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต
- ยีสต์ (Saccharomyces cerevisiae) 12 6,300 525
- หนอนตัวกลม (Caenorhabditis elegans) 100 20,100 200
ขัน้ ประเมิน - ข้าว (Oryza sativa)
- ข้าวโพด (Zea mays)
430
2,300
42,000
32,000
98
14
ตรวจสอบผล - หมีแพนด้า (Ailuropoda melanoleuca) 2,400 21,000 9
1. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน เรื่อง โครโมโซม - มนุษย์ (Homo sapiens) 3,000 25,000 7
ของสิ่งมีชีวิต
ปัจจุบันจีโนมของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส พืช สัตว์ และมนุษย์ ถูกตรวจหา
2. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามใน
ล�าดับจีโนมออกมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งน�าไปสู่การศึกษาเรื่องยีน หน้าที่ของยีน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 ยีนกับสิ่งมีชีวิต การหาความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตเพื่อทราบความใกล้ชิดทางวิวัฒนาการ ความ
หลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการท�าแผนทีท่ างพันธุกรรม (genetic mapping) ของสิง่ มีชวี ติ ต่าง ๆ
โดยการศึกษาจีโนมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ที่เรียกว่า จีโนมิกส์ (genomics)
B iology
Focus โครงการจีโนมมนุษย
โครงการจีโนมมนุษย์ (Human Genome Project) เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2533 โดยการน�าของ
รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา เพือ่ ศึกษาล�าดับนิวคลีโอไทด์ทสี่ มบูรณ์ของมนุษย์ โดยการตรวจหาล�าดับ
นิวคลีโอไทด์ของทุกโครโมโซม ทั้งโครโมโซมร่างกาย 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ จากการตรวจสอบ
พบข้อมูลล�าดับรหัสพันธุกรรมมนุษย์มีขนาดใหญ่ประมาณ 3,000 ล้านล�าดับ และมียีนที่ค้นพบ
เบื้องต้นเป็นจ�านวนประมาณ 25,000 ยีน

42

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิด


ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง โครโมโซม ไดจากรายงาน จีโนมคืออะไร มีความสําคัญตอสิ่งมีชีวิตอยางไร
เรื่อง โครโมโซมของสิ่งมีชีวิต ที่นักเรียนทําในขั้นขยายความเขาใจ โดยศึกษา (วิเคราะหคําตอบ จีโนม เปนชุดของดีเอ็นเอทั้งหมดที่บรรจุอยูใน
เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานที่อยูในแผนการจัดการ นิวเคลียสของเซลลสิ่งมีชีวิตทุกเซลล ซึ่งจะมีความหลากหลายใน
เรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 5 ดานขนาด จํานวนยีน และความหนาแนนของยีน จีโนมมีความ
แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 2 สําคัญตอการกําหนดกระบวนการตางๆ ในเซลล และลักษณะ
ตางๆ ของสิ่งมีชีวิตใหอยูในสภาวะปกติ ซึ่งหากมีความผิดปกติ
แบบประเมินรายงาน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ
ระดับคะแนน
ระดับคะแนน

ของจีโนมจะสงผลกระทบตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เชน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความถูกต้องของเนื้อหา
2 ความสมบูรณ์ของรูปเล่ม
3 ความตรงต่อเวลา
รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............./................../..................
ไมสามารถผลิตสารทีใ่ ชในการดํารงชีวติ ทําใหเกิดความพิการทาง
ประเด็นที่ประเมิน
1. ความถูกต้อง
4
เนื้อหาสาระของ
เกณฑ์การประเมินรายงาน

3
เนื้อหาสาระของ
ระดับคะแนน
2
เนื้อหาสาระของ
1
เนื้อหาสาระของ
รางกายหรือเสียชีวิตได เปนตน)
ของเนื้อหา รายงานถูกต้องครบถ้วน รายงานถูกต้องเป็นส่วน รายงานถูกต้องบาง รายงานไม่ถูกต้องเป็น
ใหญ่ ประเด็น ส่วนใหญ่
2. ความสมบูรณ์ มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน องค์ประกอบไม่
ของรูปเล่ม สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ แต่ยังไม่เป็น ครบถ้วน ไม่เป็น
ระเบียบ และรูปเล่ม ระเบียบ แต่รูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่
สวยงาม สวยงาม สวยงาม สวยงาม
3. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-12 ดีมาก
9-10 ดี
6-8 พอใช้
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง

T52
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
DNA มีความสัมพันธกบั 3. ดีเอ็นเอ 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
โครโมโซม อยางไร ความรูเดิมกับนักเรียน
ดีเอ็นเอหรือกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอกิ (deoxyribonucleic
acid; DNA) เป็นสารพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ส่วนใหญ่ และบางส่วน 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ดีเอ็นเอเปนสาร
ของ DNA ยังท�าหน้าที่เป็นยีน ซึ่งสามารถควบคุมลักษณะต่าง ๆ ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ พันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ สวนใหญ และบางสวน
โดย DNA ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะมีองค์ประกอบทางเคมีและโครงสร้างที่เหมือนกัน ของดีเอ็นเอทําหนาทีเ่ ปนยีนทีค่ วบคุมลักษณะ
ตางๆ ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
3.1 องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
DNA เป็นกรดนิวคลีอกิ ชนิดหนึง่ มักพบอยูใ่ นนิวเคลียสของเซลล์ โดยพันตัวอยูบ่ นโครโมโซม ขัน้ สอน
DNA มีลักษณะเป็นพอลิเมอร์ (polymer) ของนิวคลีโอไทด์ (nucleotide) ซึ่งแต่ละโมเลกุลของ สํารวจคนหา
นิวคลีโอไทด์ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย 3 ส่วน ดังนี้ 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาองค ป ระกอบทางเคมี
หมู่ฟอสเฟต (phosphate group) ของดีเอ็นเอที่เกิดจากหนวยยอยของนิวคลีโอ
ประกอบด้วย ฟอสฟอรัสและออกซิเจน
มีสูตรโมเลกุล PO43- ไทดมาตอกันเปนสายยาว ซึ่งนิวคลีโอไทดมี
3 โครงสรางประกอบดวยนํ้าตาลดีออกซีไรโบส
H เบสพิวรีน
H
หมูฟอสเฟต และไนโตรจีนัสเบส (A T G C)
N H
H N
H N
N N 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
H
NH2 N
N N
H ï• นิ ว คลี โ อไทด แ ต ล ะชนิ ด จะแตกต า งกั น
H N
N
N H
N
H
O อยางไร
อะดีนีน H กวานีน
N N
H
เบสไพริมิดีน H C O
(แนวตอบ นิวคลีโอไทดแตละชนิดจะแตกตาง
O N H
-O H N 2
N กั น ที่ ช นิ ด ของเบส โดยอาจเป น เบสชนิ ด
P O O
O- H H H O H O อะดีนีน ไทมีน ไซโทซีน หรือกวานีน)
N N
H
OH H
H 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา นิวคลีโอไทดของ
ไซโทซีน H H ไทมีน
ดีเอ็นเอประกอบดวยโครงสราง 3 สวน ไดแก
นํา้ ตาลดีออกซีไรโบส หมูฟ อสเฟต และไนโตร-
1 2
จีนสั เบส (A T C G) ซึง่ นิวคลีโอไทดแตละชนิด
น�้าตาลดีออกซีไรโบส (deoxyribose ไนโตรจีนัสเบส (nitrogenous base) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม จะแตกตางกันที่ชนิดของไนโตรจีนัสเบส
sugar) เป็นน�า้ ตาลคาร์บอน 5 อะตอม ได้แก่ เบสพิวรีน (purinebase) มีวงแหวน 2 วง ประกอบ
มีสูตรโมเลกุล C5H10O4 โดยคาร์บอน ด้วยกวานีน (guanine; G) และอะดีนีน (adenine, A) และ
ต�าแหน่งที่ 2 จะไม่มีหมู่ไฮดรอกซิล เบสไพริมิดีน (pyrimidine base) มีวงแหวน 1 วง ประกอบ
(OH-group) ด้วยไซโทซีน (cytosine; C) และไทมีน (thymine; T)
ภาพที่ 5.9 โครงสร้างของนิวคลีโอไทด์ แนวตอบ Prior Knowledge

ยีนและ 43
DNA เปนสวนประกอบของโครโมโซมของ
โครโมโซม
สิ่งมีชีวิต ซึ่งสายดีเอ็นเอจะพันอยูรอบกลุมโปรตีน
ฮิสโตน

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สื่อ Digital


ขอใดไมใชไนโตรจีนัสเบสที่พบในดีเอ็นเอ ศึกษาเพิ่มเติมไดจาก QR Code เรื่อง อะดีนีน กวานีน ไทมีน
1. ไทมีน และไซโทซีน
2. ยูราซิล
3. กวานีน
4. อะดีนีน
5. ไซโทซีน
อะดีนีน กวานีน
www.aksorn.com/interactive3D/RKA65 www.aksorn.com/interactive3D/RKA64
(วิเคราะหคําตอบ ไนโตรจีนัสเบสที่เปนองคประกอบของดีเอ็นเอ
มี 4 ชนิด ไดแก อะดีนีน ไทมีน ไซโทซีน และกวานีน สวนยูราซิล
เปนไนโตรจีนัสเบสของอารเอ็นเอ ดังนั้น ตอบขอ 2.)
ไทมีน ไซโทซีน
www.aksorn.com/interactive3D/RKA61 www.aksorn.com/interactive3D/RKA63

T53
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูใหนกั เรียนศึกษาการเชือ่ มตอกันของนิวคลี- หน่วยย่อยของนิวคลีโอไทด์แต่ละหน่วยจะสร้างพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ (phosphodiester
โอไทดเปนพอลินิวคลีโอไทด bond) เชือ่ มต่อกัน โดยหมูฟ่ อสเฟตทีอ่ ยูใ่ นต�าแหน่งคาร์บอนที่ 5 จะสร้างพันธะกับน�า้ ตาลดีออกซี-
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา ไรโบสของอีกนิวคลีโอไทด์ที่คาร์บอนต�าแหน่งที่ 3 และเมื่อเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว เรียกว่า
•ï หนวยยอยของนิวคลีโอไทดเชื่อมตอเปน พอลินวิ คลีโอไทด์ (polynucleotide) ซึง่ ปลายด้านหนึง่ ของพอลินวิ คลีโอไทด์จะเป็นต�าแหน่ง 5 ไพร์ม
DNA สายยาวไดอยางไร (5′) ของคาร์บอนอะตอมในน�้าตาลดีออกซีไรโบส และปลายอีกด้านเป็นต�าแหน่ง 3 ไพร์ม (3′)
( แนวตอบ หมู  ฟ อสเฟตที่ อ ยู  ใ นคาร บ อน ของคาร์บอนอะตอมในน�้าตาลดีออกซีไรโบส
ตํ า แหน ง ที่ 5 ของนิ ว คลี โ อไทด โ มเลกุ ล ใน พ.ศ. 2492 เออร์วิน ชาร์กาฟฟ์ (Erwin Chargaff) นักชีวเคมีชาวอเมริกัน ได้ศึกษา
หนึ่งจะสรางพันธะฟอสโฟไดเอสเตอรกับ ปริมาณเบสทั้ง 4 ชนิดใน DNA จากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ พบว่า ในโมเลกุลของ DNA มีเบสอะดีนีน
คารบอนตําแหนงที่ 3 ของนํ้าตาลดีออกซี- (A) ปริมาณเท่ากับเบสไทมีน (T) ซึ่งจับคู่กันด้วยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และเบสไซโทซีน (C)
ไรโบสของอีกนิวคลีโอไทดหนึ่ง แตโมเลกุล ปริมาณเท่ากับเบสกวานีน (G) ซึ่งจับคู่กันด้วยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ โดยเรียกการจับคู่ของ
ดีเอ็นเอมีลักษณะเปนเกลียวคู ซึ่งดีเอ็นเอ ไนโตรจีนัสเบสว่า เบสคู่สม (complementary base)
2 สาย จะสรางพันธะไฮโดรเจนระหวาง O OH พันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ
-O P ระหว่างเบส A กับ T
ไนโตรจีนัสเบส โดยเบส A จับคูกับเบส T O
H2C
OH
พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์
ดวยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ สวนเบส G O O
T A
CH2
จับคูก บั เบส C ดวยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ) -O P
O
O O- พันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ
ระหว่างเบส G กับ C
H2C O PO
G C
O O CH2
-O P O -
O O
H2C O PO
C G
O O CH2
-O P O O-
O
H2C O P
A T O
CH2
OH O O-
HO PO

ภาพที่ 5.10 การสร้างพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์และพันธะไฮโดรเจนในโมเลกุลของนิวคลีโอไทด์


B iology
Focus บทบาทของนิวคลีโอไทด
นอกจากนิวคลีโอไทด์จะเป็นหน่วยย่อยของกรดนิวคลีอิกแล้ว ยังมีบทบาทเป็นส่วนประกอบ
ส�าคัญของโคเอนไซม์ (co-enzyme) ในการถ่ายทอดอิเล็กตรอนของกระบวนการหายใจระดับเซลล์ เช่น
NAD (nicotinamide adenine dinucleotide) และ FAD (flavin adenine dinucleotide) เป็นต้น

44

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิด


ศึกษาเพิ่มเติมไดจาก QR Code เรื่อง นิวคลีโอไทด พันธะฟอสโฟไดเอสเทอรเชื่อมระหวางโมเลกุลใด
1. ไนโตรจีนัสเบสที่เปนคูสมกัน
2. ไนโตรจีนัสเบสกับหมูฟอสเฟต
3. นํ้าตาลดีออกซีไรโบสกับหมูฟอสเฟต
นิวคลีโอไทด 4. นํ้าตาลดีออกซีไรโบสกับไนโตรจีนัสเบส
www.aksorn.com/interactive3D/RKA66 5. นํ้าตาลดีออกซีไรโบสระหวางเกลียวคู DNA
(วิเคราะหคําตอบ พันธะฟอสโฟไดเอสเทอร เปนพันธะที่เชื่อมตอ
ระหวางนํ้าตาลดีออกซีไรโบสกับหมูฟอสเฟต โดยหมูฟอสเฟตที่
อยูในคารบอนตําแหนงที่ 5 ของนิวคลีโอไทดโมเลกุลหนึ่งจะสราง
พันธะฟอสโฟไดเอสเตอรกับคารบอนตําแหนงที่ 3 ของนํ้าตาล
ดีออกซีไรโบสของอีกนิวคลีโอไทดหนึ่ง ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T54
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
จากข้อมูลการทดลองของชาร์กาฟฟ์ พบอัตราส่วนของเบสในนิวคลีโอไทด์ใน DNA ของ 6. ครูใหนกั เรียนศึกษาการทดลองของชารกาฟฟ
สิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์มีความสอดคล้องกัน โดยปริมาณเบสอะดีนีน (A) มีปริมาณใกล้เคียงกับ ที่พบวาเบส A จะมีปริมาณใกลเคียงกับเบส T
ปริมาณเบสไทมีน (T) และปริมาณเบสกวานีน (G) มีปริมาณใกล้เคียงกับปริมาณเบสไซโทซีน (C) และเบส G จะมีปริมาณใกลเคียงกับเบส C
ตัวอย่างเช่น ใน DNA ของหนู พบว่า เบส A = 28.6% เบส T = 28.4% เบส G = 21.4% 7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
และเบส C = 21.5% (เปอร์เซ็นต์ทไี่ ด้อาจจะไม่เท่ากันเนือ่ งจากข้อจ�ากัดของเทคนิคทีช่ าร์กาฟฟ์ใช้) •ï เพราะเหตุใดปริมาณเบส A จึงใกลเคียงกับ
เป็นต้น เบส T และเบส G จึงใกลเคียงกับเบส C
(แนวตอบ เนื่องจากเบส A จะเขาคูกับเบส T
ตารางที่ 5.3 : ปริมาณไนโตรจีนัสเบสตามกฎของชาร์กาฟฟ์ ในสิ่งมีชีวิตต่างๆ
สวนเบส C จะเขาคูก บั เบส G ทําใหปริมาณ
ชนิดของเบส (ร้อยละ) อัตราส่วน
ชนิดของสิ่งมีชีวิต เบส A ใกลเคียงกับเบส T และเบส G
อะดีนีน ไทมีน กวานีน ไซโทซีน A : T G:C
(A) (T) (G) (C) ใกลเคียงกับเบส C เสมอ)
ยีสต์ 31.3 32.9 18.7 17.1 0.95 1.09 8. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากผลการทดลอง
ของชารกาฟฟ จึงตั้งเปนกฎของชารกาฟฟ มี
แมลงหวี่ 27.3 27.6 22.5 22.5 0.99 1.00
หลักการ คือ สิง่ มีชวี ติ แตละชนิดมีปริมาณของ
ผึ้ง 34.4 33.0 16.2 16.4 1.04 0.99 เบสทัง้ 4 ชนิด แตกตางกัน ซึง่ ในสิง่ มีชวี ติ ชนิด
เม่นทะเล 32.8 32.1 17.7 18.4 1.02 0.96 หนึ่งจะมีคาคงที่ ไมแปรผันตามอายุ อาหาร
และสิ่งแวดลอม โดยอัตราสวนระหวางเบส
ปลาแซลมอน 29.7 29.1 20.8 20.4 1.02 1.02
A : T และ G : C จะใกลเคียงกับ 1
หนู 28.6 28.4 21.4 21.5 1.01 1.00
อธิบายความรู
คน (เซลล์ตับ) 30.7 31.2 19.3 18.8 0.98 1.03
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
จากผลการทดลองชาร์กาฟฟ์ จึงมีการตั้งเป็นกฎของชาร์กาฟฟ์ (Chargaff’s rules) ขึ้นโดย องคประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
มีหลักการ ดังนี้ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับกฎของ
• สิง่ มีชวี ติ แต่ละชนิดจะมีปริมาณองค์ประกอบของเบสทัง้ 4 ชนิด ใน DNA ของแต่ละสปีชสี ์ ชารกาฟฟ
แตกต่างกัน
• องค์ประกอบเบสของ DNA ในสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมีค่าคงที่ ไม่แปรผันตามอายุ อาหาร
หรือสิ่งแวดล้อม
• อัตราส่วนระหว่างเบส A : T และ G : C จะใกล้เคียงกับ 1 เนื่องจากการจับคู่กันระหว่าง
เบส A กับ T และเบส G กับ C ท�าให้จ�านวนปริมาณเบส A เท่ากับเบส T และเบส C เท่ากับ
เบส G เสมอไป
ยีนและ 45
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิด
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับกฎของชารกาฟฟ
1. อัตราสวนระหวางเบส A : T และ G : C จะใกลเคียงกับ 1 เสมอ
2. ปริมาณเบส A จะเทากับเบส T และเบส G จะเทากับเบส C เสมอ
3. สิ่งมีชีวิตแตละชนิดมีปริมาณของเบสทั้ง 4 ชนิดใน DNA คงที่เสมอ
4. ปริมาณองคประกอบของเบสทั้ง 4 ชนิด ในสิ่งมีชีวิตเดียวกันจะแตกตางกัน
5. ปริมาณองคประกอบของเบสทั้ง 4 ชนิด จะไมแปรผันตามอายุ หรือสิ่งแวดลอม
(วิเคราะหคําตอบ กฎของชารกาฟฟ มีหลักการ ดังนี้
- สิ่งมีชีวิตแตละชนิดจะมีปริมาณองคประกอบของเบสทั้ง 4 ชนิด ใน DNA ของแตละสปชีสที่แตกตางกัน
- องคประกอบเบสของ DNA ในสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมีความคงที่ ไมแปรผันตามอายุ อาหาร หรือสิ่งแวดลอม
- อัตราสวนระหวางเบส A : T และ G : C จะใกลเคียงกับ 1 ซึ่งอาจเนื่องจากการจับคูกันระหวางเบส A กับเบส T และเบส G
กับเบส C ทําใหจํานวนปริมาณเบสชนิด A เทากับ T และ C เทากับ G เสมอไป ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T55
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาโครงสร า งโมเลกุ ล ของ 3.2 โครงสรางของดีเอ็นเอ
ดีเอ็นเอ จากแบบจําลองของวัตสัน และคริก ซึง่ จากข้อมูลองค์ประกอบทางเคมีของ DNA และอัตราส่วนระหว่างเบสชนิดต่าง ๆ ของโมเลกุล
ใชขอ มูลจากการวิเคราะหดว ยเทคนิคเอกซเรย DNA จึงมีนักวิทยาศาสตร์น�าข้อมูลดังกล่าวมาจ�าลองโครงสร้างโมเลกุลของ DNA โดยใช้เทคนิค
ดิฟแฟรกชัน และกฎของชารกาฟฟ
ต่าง ๆ ร่วมกับผลการทดลองของชาร์กาฟฟ์
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ในปี พ.ศ. 2493 มัวริส เอช เอฟ วิลคินส์ (Maurice H. F. Wilkins) และโรซาลินด์ แฟรงคลิน
•ï แรงยึดเหนียวของคูเบส A กับ T และคูเบส
(Rosalind Franklin) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ศึกษาโครงสร้างของ DNA ในสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ
G กับ C คูใดมีแรงยึดเหนี่ยวมากกวากัน
โดยใช้เทคนิคเอกซ์เรย์ดิฟแฟรกชัน (X-ray diffraction) ซึ่งเป็นเทคนิคการวิเคราะห์สารประกอบ
(แนวตอบ คูเบสระหวาง G กับ C มีแรงยึด
ที่มีอยู่ในสารตัวอย่าง ด้วยการฉายรังสีเอกซ์ (X-ray) ผ่านผลึก DNA ซึ่งการหักเหของรังสีเอกซ์
เหนี่ยวมากกวา A กับ T เนื่องจากมีพันธะ
ท�าให้เกิดภาพบนแผ่นฟิล์ม ผลการฉายรังสี พบว่า โครงสร้างของ DNA จากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มี
ไฮโดรเจนมากกวา)
ลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก คือ DNA ประกอบด้วยพอลินิวคลีโอไทด์มากกว่า 1 สาย มีลักษณะ
•ï ใน 1 เกลียวของ DNA ประกอบดวยคูเ บสกีค่ ู
เป็นเกลียว ซึ่งเกลียวแต่ละรอบจะมีระยะห่างเท่า ๆ กัน จากการศึกษานี้ท�าให้เข้าใจโครงสร้าง
(แนวตอบ เกลียว DNA แตละเกลียวจะหาง
ทางกายภาพของ DNA ได้ชัดเจนขึ้น
กัน 34 อังสตรอม ซึ่งแตละคูเบสหางกัน 3.4
อังสตรอม ดังนั้น เกลียว DNA แตละเกลียว
ประกอบดวยคูเบสจํานวน 10 คู)
จุดที่เกิดการหักเหของรังสี X
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา โมเลกุลดีเอ็นเอ
ประกอบดวยพอลินวิ คลีโอไทด 2 สาย เรียงสลับ
ทิศกัน บิดเปนเกลียวคูเวียนตามเข็มนาฬกา
ซึ่งมีแกนนํ้าตาล-ฟอสเฟตอยูดานนอก และ โครงสร้างผลึก DNA
ไนโตรจีนสั เบสอยูด า นใน โดย A จับคูก บั T ดวย จุดที่เกิดจากรังสี X
พันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และ G จับคูกับ C
ดวยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ โครงสรางเกลียวคู
ภาพการถ่ายรังสี X เมื่อฉายผ่าน
มีระยะหางกัน 20 อังสตรอม แตละเกลียวหางกัน โครงสร้างผลึก DNA
34 อังสตรอม และแตละคูเบสหางกัน 3.4
อังสตรอม ภาพที่ 5.11 การศึกษาโครงสร้างของ DNA โดยใช้ผลึก DNA และการหักเหของรังสี X

อธิบายความรู
ในปี พ.ศ. 2496 เจมส์ ดี วัตสัน (James D. Watson) นักชีวเคมีชาวอเมริกัน และฟรานซิส
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
คริก (Francis Crick) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ได้เสนอแบบจ�าลองโครงสร้างโมเลกุลของ DNA
โครงสรางของดีเอ็นเอ โดยรวบรวมข้อมูลจากการทดลองของชาร์กาฟฟ์ (ปริมาณเบส A เท่ากับเบส T และปริมาณ
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง โครงสรางและ เบส C เท่ากับเบส G) และการถ่ายภาพผลึก DNA ด้วยเทคนิคเอกซ์เรย์ดิฟแฟรกชัน
องคประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด 46

ชีววิทยา ม.4 เลม 2

สื่อ Digital ขอสอบเนน การคิด


ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม จาก แบบจําลองโครงสรางโมเลกุล DNA ของวัตสันและคริกมี
ภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง ดีเอ็นเอ ลักษณะตามขอใด
คืออะไร? https://www.twig-aksorn. 1. คูเ บสแตละคูม รี ะยะหางกัน 2 อังสตรอม
com/fifilm/what-is-dna-7931/ 2. เบสคูส มอยูส ว นดานในของโมเลกุล DNA
3. โครงสรางเกลียวคูม รี ะยะหางกัน 34 อังสตรอม
4. เบส A และเบส T จับกันดวยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ
ศึกษาเพิ่มเติมไดจาก QR Code เรื่อง โครงสรางดีเอ็นเอ 5. พอลินวิ คลีโอไทด 2 สาย บิดเปนเกลียวทวนเข็มนาฬกา
(วิเคราะหคําตอบ โมเลกุล DNA ประกอบดวยพอลินิวคลีโอไทด
2 สาย บิดเปนเกลียวตามเข็มนาฬกา มีแกนนํ้าตาลฟอสเฟตอยู
โครงสรางดีเอ็นเอ ดานนอก ไนโตรจีนัสเบสอยูดานใน โดยเบส A จับคูกับเบส T ดวย
www.aksorn.com/interactive3D/RKA67 พันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และเบส G จับคูกับเบส C ดวยพันธะ
ไฮโดรเจน 3 พันธะ โครงสรางเกลียวคูม รี ะยะหางกัน 20 อังสตรอม
ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T56
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
แบบจ�าลองโครงสร้างโมเลกุลของ DNA ของวัตสันและคริก มีโครงสร้าง ดังนี้ ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน สราง
• โมเลกุลของ DNA ประกอบด้วย พอลินิวคลีโอไทด์ 2 สายเรียงสลับทิศกัน (antiparallel) แบบจําลองโมเลกุลของ DNA จากกระดาษ โดย
และพันกันบิดเป็นเกลียวคู่ (double helix) เวียนขวาตามเข็มนาฬิกา ใชขอมูลการสรางแบบจําลองโมเลกุลของ DNA
• นิวคลีโอไทด์แต่ละสายประกอบด้วยแกนน�้าตาล-ฟอสเฟต (sugar-phosphate backbone) จากทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 3 ดีเอ็นเอ แลว
ซึ่งประจุลบจะอยู่ส่วนด้านนอกของโมเลกุล และไนโตรจีนัสเบสซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ชอบน�้าจะอยู่ส่วน ออกมานําเสนอแบบจําลองหนาชั้นเรียน
ด้านในของโมเลกุล
• การจับคูก่ นั ของเบสคูส่ มโดยเบส A จับคูก่ บั เบส T ด้วยการสร้างพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ ขัน้ ประเมิน
และเบส G จับคู่กับเบส C ด้วยการสร้างพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ ตรวจสอบผล
• โครงสร้างเกลียวคู่มีระยะห่าง 20 อังสตรอม ( A� ) แต่ละเกลียวห่างกัน 34 อังสตรอม 1. ครูตรวจสอบจากแบบจําลองและการนําเสนอ
แต่ละคู่เบสมีระยะห่างกัน 3.4 อังสตรอม แบบจําลองโมเลกุลของ DNA
20 A 2. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง โครงสราง
G C O OH
-O P
O
และองคประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
A T OH
T A
H2C
T A 3. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
O O
-O P
CH2
O O-
ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
O
G C H2C O PO
G C
C G O O CH2
A T -O P O -
O O
C G H2C O PO
C G
O O CH2
34 A -O P O O-
O
T A H2C O P
A T O
T A
CH2
A T OH O O-
A T HO PO

G C
3.4 A
A T

ภาพที่ 5.12 แบบจ�าลองโครงสร้างโมเลกุล DNA ของวัตสันและคริก

47
โครโมโซม และดีเอ็นเอ

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


DNA โมเลกุลหนึ่ง ประกอบดวยเบส T จํานวนรอยละ 20 ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ดีเอ็นเอ ไดจากแบบ
จงคํานวนหาปริมาณเบสชนิดอื่นใน DNA โมเลกุลนี้ จําลองและการนําเสนอแบบจําลองโมเลกุลของ DNA ที่นักเรียนทําในขั้นขยาย
(วิเคราะหคาํ ตอบ ในโมเลกุลของ DNA จะมีปริมาณเบส T เทากับ ความเขาใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานที่
เบส A และปริมาณเบส C เทากับเบส G ดังนั้น DNA โมเลกุลนี้ อยูในแผนการจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 5
จึงมีปริมาณเบส A รอยละ 20 เทากับปริมาณเบส T สวนเบส G แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

และเบส C จะมีปริมาณรวมกันรอยละ 60 ซึง่ ประกอบดวยปริมาณ คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ

ลาดับที่
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
ระดับคะแนน
3 2 1

เบส C รอยละ 30 และปริมาณเบส G รอยละ 30 เชนกัน) 1


2
3
4
เนื้อหาละเอียดชัดเจน
ความถูกต้องของเนื้อหา
ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ












5 วิธีการนาเสนอผลงาน   
รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T57
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน 4. สมบัติของสารพันธุกรรม
DNA มีความสําคัญตอ
ความรูเดิมของนักเรียน สิ่งมีชีวิตอยางไร
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา DNA เปนสาร DNA เป็นสารพันธุกรรมที่ท�าให้เกิดการถ่ายทอดลักษณะ
พันธุกรรมทีท่ าํ เกิดการถายทอดลักษณะตาง ๆ ต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน เนื่องจาก DNA
จากพ อ แม ไ ปสู  ลู ก หลาน เนื่ อ งจาก DNA สามารถจ�าลองตัวเอง และใช้ตัวเองเป็นแม่แบบของรหัสพันธุกรรมในการสังเคราะห์โปรตีนต่าง ๆ
สามารถจําลองตัวเอง และใชตัวเองเปนแม ของเซลล์ เพื่อให้เกิดการท�างานของโปรตีนหรือการแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมได้
แบบของรหั ส พั น ธุ ก รรมในการสั ง เคราะห DNA เป็นสารพันธุกรรมของสิ่งชีวิต ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่ส�าคัญของการเป็นสารพันธุกรรม
โปรตีน และยังสามารถเกิดการแปรผันที่ทํา 3 ประการ ดังนี้
ใหเกิดความผิดปกติได ประการแรก ต้องสามารถเพิ่มจ�านวนได้ โดยยังคงลักษณะเดิมไว้ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอด
พันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่ไปยังรุ่นลูกได้
ขัน้ สอน ประการที่สอง ต้องสามารถควบคุมการท�างานของเซลล์ให้สังเคราะห์สารต่าง ๆ เพื่อให้เกิด
สํารวจค้นหา
การแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมได้
1. ครูใหนักเรียนศึกษาสมบัติของสารพันธุกรรม ประการทีส่ าม อาจก่อให้เกิดความผันแปรได้บา้ ง การผันแปรทีเ่ กิดขึน้ มีความสามารถทีอ่ าจ
2. ครูถามคําถามนักเรียน ก่อให้เกิดลักษณะทางพันธุกรรมทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปจากเดิม ซึง่ ลักษณะทางพันธุกรรมทีเ่ ปลีย่ นแปลง
•ï เพราะเหตุใด DNA จึงมีคุณสมบัติเปนสาร นี้อาจท�าให้เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ขึ้นได้
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
(แนวตอบ DNA สามารถเพิ่มจํานวนได มียีน
ที่ ส ามารถควบคุ ม การทํ า งานของเซลล 4.1 การสังเคราะห์ดีเอ็นเอ
และสามารถเกิ ด การแปรผั น ของยี น ซึ่ ง วัตสันและคริกได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ
ทําใหมีลักษณะแตกตางจากลักษณะเดิมได การจ�าลองตัวของ DNA โดยเริ่มต้นจากการที่ DNA แม่แบบ
คุณสมบัติเหลานี้แสดงใหเห็นวา DNA เปน DNA สูญเสียพันธะไฮโดรเจนของแต่ละสาย
สารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต) ระหว่างเบส A กับเบส T และเบส G กับเบส C
3. ครูใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะห DNA เริ่ม ที่ละคู่ จึงเกิดการคลายเกลียวและแยกจากกัน
จากการคลายเกลียวคูของดีเอ็นเอ แตละสาย สายแต่ละสายที่แยกจากกันจะท�าหน้าที่เป็น DNA สูญเสียพันธะ
ไฮโดรเจน
จะทําหนาที่เปนแมแบบ โดยนํานิวคลีโอไทด DNA แม่แบบ (DNA template) ที่จะท�าให้เกิด
มาจับกับสายแมแบบ ซึ่งเบส A เขาคูกับเบส T สายใหม่ขึ้น โดยมีการน�านิวคลีโอไทด์อิสระ
และเบส G เขาคูกับเบส C โดยจากเริ่มตนที่มี ที่อยู่ในเซลล์เข้ามาจับกับพอลินิวคลีโอไทด์
DNA เพียงโมเลกุลเดียวก็จะไดDNA สายใหม สายเดิม โดยเบส A จับคู่กับเบส T และเบส C
2 โมเลกุล ทีเ่ รียกวา การจําลองแบบกึง่ อนุรกั ษ จับคู่กับเบส G และสุดท้ายจะได้ DNA สองชุด DNA สายใหม่ 2 สาย

แนวตอบ Prior Knowledge ที่เหมือนกันจาก DNA เริ่มต้นเพียงหนึ่งสาย ภาพที่ 5.13 การสังเคราะห์ DNA จาก DNA แม่แบบ

DNA เปนสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่ง 48


ทําหนาที่ควบคุมลักษณะตางๆ และทําใหเกิด
การถายทอดลักษณะจากรุนพอแมไปสูรุนลูก

ขอสอบเนน การคิด
ขอใดตอไปนีไ้ มใชคณ ุ สมบัตขิ องสารพันธุกรรม
1. สามารถเพิม่ จํานวนได 2. สามารถสังเคราะหสารได
3. สามารถควบคุมการทํางานของเซลลได 4. สามารถถายทอดจากรุน หนึง่ สูร นุ หนึง่ ได
5. สามารถเกิดความแปรผันทีท่ าํ ใหมลี กั ษณะแตกตางไปจากเดิมได
(วิเคราะหคําตอบ คุณสมบัติของสารพันธุกรรมประกอบดวย 3 ประการ ไดแก
1. ตองสามารถเพิ่มจํานวนได โดยยังคงลักษณะเหมือนเดิมไว เพื่อใหเกิดการถายทอดพันธุกรรม
จากรุนพอแมไปยังรุนลูกได
2. ตองสามารถควบคุมการทํางานของเซลลใหสังเคราะหสารตางๆ เพื่อใหเกิดการแสดงออกของ
ลักษณะทางพันธุกรรมได
3. สามารถเกิดความผันแปรได ซึ่งอาจกอใหเกิดลักษณะทางพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ที่มีผลทําใหเกิดสปชีสใหมของสิ่งมีชีวิตได
โดยสารพันธุกรรมไมไดทาํ หนาทีส่ งั เคราะหสารโดยตรง แตจะควบคุมการทํางานของเซลลใหทาํ หนาที่
สังเคราะหสารขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T58
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
เมื่อเกิดการจ�าลองตัวของ DNA แล้ว 4. ครูถามคําถามนักเรียนวา
แต่ละสายของ DNA จะท�าหน้าที่เป็นแม่แบบ DNA แม่แบบ •ï การจําลองแบบกึง่ อนุรกั ษ มีลกั ษณะอยางไร
ส�าหรับการน�านิวคลีโอไทด์มาสร้างเป็นสายใหม่ (แนวตอบ การจําลอง DNA โดย DNA สายใหม
โดยอาศัยสายแม่แบบตามกฎการเข้าคูข่ องเบส ทีเ่ กิดขึน้ จะประกอบดวย DNA สายใหม 1 สาย
เพื่อให้ได้สายใหม่ จากจุดเริ่มต้นที่มี DNA และ DNA สายเกาอีก 1 สาย)
การจ�าลอง
เพียงโมเลกุลเดียวก็จะได้ DNA 2 โมเลกุ 1 ล DNA ครั้ง 5. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา การจําลองของ DNA
เรียกกระบวนการนีว้ า่ การจ�าลอง DNA (DNA ที่ 1
จะเปนแบบกึ่งอนุรักษ จากเริ่มตนที่มี DNA
replication) ซึ่งท�าให้ DNA สองสายใหม่ที่เกิด
ขึ้นมีส่วนของสายเก่าและสายใหม่ที่ถูกจ�าลอง 1 โมเลกุล จะได DNA 2 โมเลกุล ซึ่งในสาย
การจ�าลอง ดีเอ็นเอจะประกอบดวยสายแมแบบ 1 สาย
ขึน้ พันกันเป็นเกลียวคู่ การจ�าลองลักษณะแบบ DNA ครั้ง
นีเ้ รียกว่า การจ�าลองแบบกึง่ อนุรกั ษ์ (semicon- ที่ 2 และสาย DNA สายใหมอีก 1 สาย พันกันเปน
servative model) ภาพที่ 5.14 การจ�าลองแบบกึ่งอนุรักษ์ของ DNA เกลียวเวียนขวา
ในปี พ.ศ. 2499 อาร์เธอร์ คอนเบิร์ก (Arthur Kornberg) นักเคมีชาวอเมริกันสามารถ 6. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา โมเลกุล DNA
สังเคราะห์โมเลกุลของ DNA ในหลอดทดลองได้สา� เร็จ โดยน�าเอนไซม์ดเี อ็นเอพอลิเมอเรส (DNA สามารถสังเคราะหในหลอดทดลองไดเชนกัน
polymerase) ซึ่งสกัดจากแบคทีเรีย E. coli ใส่ในหลอดทดลองที่มีสารประกอบที่จ�าเป็นต่อการ และใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะห DNA ใน
สังเคราะห์ DNA ได้แก่ DNA แม่แบบ นิวคลีโอไทด์ 4 ชนิด (นิวคลีโอไทด์ที่มีเบส A นิวคลีโอไทด์ หลอดทดลองของคอนเบิรก
ที่มีเบส T นิวคลีโอไทด์ที่มีเบส G นิวคลีโอไทด์ที่มีเบส C) และเอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิเมอเรส 7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ซึ่งท�าที่มีหน้าที่เชื่อมนิวคลีโอไทด์ให้ต่อกันเป็นสายยาว โดยมีทิศทางการสังเคราะห์สาย DNA
สายใหม่จากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′ •ï การสังเคราะห DNA ในหลอดทดลองตอง
การค้นพบเอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิเมอเรสของคอนเบิร์กที่ใช้ในการเชื่อมนิวคลีโอไทด์เข้าด้วย ใชองคประกอบใดบาง
กัน นับว่ามีความส�าคัญอย่างยิง่ ในวิชาพันธุศาสตร์ เพราะท�าให้นกั วิทยาศาสตร์สามารถสังเคราะห์ (แนวตอบ ใช DNA แมแบบ นิวคลีโอไทด 4
DNA ในหลอดทดลองได้ โดยไม่จ�าเป็นต้องเกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ชนิด (เบส A T C G) และ เอนไซม DNA
พอลิเมอเรส)
B iology
Focus เอนไซมดีเอ็นเอพอลิเมอเรส
•ï เอนไซมดเี อ็นเอพอลิเมอเรสมีบทบาทในการ
ดีเอ็นเอพอลิเมอเรส (DNA polymerase) เป็นเอนไซม์ส�าคัญในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ โดย สังเคราะห DNA อยางไร
ท�าหน้าที่เชื่อมนิวคลีโอไทด์ให้ต่อกันเป็นสายยาว ซึ่งปัจจุบันเอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิเมอเรสที่พบใน (แนวตอบ ทําหนาที่เติมเบสตัวใหมที่เปน
แบคทีเรีย E. coli มี 3 ชนิด ดังนี้ เบสคูสมกับ DNA แมแบบ)
ดีเอ็นเอพอลีเมอเรส I (DNA polymerase I) ท�าหน้าที่เร่งปฏิกิริยาการสร้างพันธะฟอสโฟ-
ไดเอสเตอร์ระหว่างหมู่ฟอสเฟตกับหมู่ไฮดรอกซิลในสายนิวคลีโอไทด์ อธิบายความรู้
ดีเอ็นเอพอลีเมอเรส II (DNA polymerase II) ท�าหน้าที่ช่วยในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับสมบัติ
ดีเอ็นเอพอลีเมอเรส III (DNA polymerase III) มีบทบาทในการซ่อมแซมดีเอ็นเอที่แตกหัก
เสียหาย ของสารพันธุกรรม
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ยีนและ
โครโมโซม
49 สังเคราะห DNA แบบกึ่งอนุรักษ
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
สังเคราะห DNA ในหลอดทดลอง

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


นิวคลีโอไทดชนิดใดไมถูกใชในการสังเคราะห DNA ในหลอด 1 การจําลอง DNA นอกจากการจําลอง DNA แบบกึ่งอนุรักษแลว ยังมีการ
ทดลอง จําลอง DNA รูปแบบอื่นๆ ดังนี้
1. นิวคลีโอไทดที่มีเบสชนิดไทมีน 1) การจําลองดีเอ็นเอแบบอนุรักษ (conservative replication) เปนการ
2. นิวคลีโอไทดที่มีเบสชนิดยูราซิล จําลองดีเอ็นเอที่จะไดดีเอ็นเอ 2 โมเลกุล โดยเปน DNA สายเกาทั้งหมด
3. นิวคลีโอไทดที่มีเบสชนิดกวานีน 1 โมเลกุล และ DNA สายใหมทั้งหมดอีก 1 โมเลกุล
4. นิวคลีโอไทดที่มีเบสชนิดอะดีนีน 2) การจําลองดีเอ็นเอแบบกระจาย (Dispersion replication) เนื่องจาก
5. นิวคลีโอไทดที่มีเบสชนิดไซโทซีน สายดีเอ็นเอจะมีการแยกออกระหวางทีม่ กี ารจําลองดีเอ็นเอ แลวเกิดการรวมตัว
(วิเคราะหคาํ ตอบ นิวคลีโอไทดทมี่ เี บสชนิดยูราซิลจะไมพบในการ กันระหวางชิ้นสวนใหมและเกา ทําใหได DNA สายใหม ที่ประกอบดวยลักษณะ
สังเคราะห DNA ในหลอดทดลอง เนื่องจากเบสชนิดยูราซิลไมใช ของสายเกา
องคประกอบของ DNA แตเปนองคประกอบของ RNA ดังนั้น
ตอบขอ 2.)

T59
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสังเคราะห จากการศึกษาต่อมาพบว่า การสังเคราะห์ DNA สายใหม่ 2 สาย จะแตกต่างกัน ดังนี้
DNA จาก DNA แมแบบ จะได DNA สายใหม • สายน�า (leading strand) เป็นการสังเคราะห์ DNA สายใหม่ ที่มีการสร้างต่อเนื่องกันเป็น
2 สาย ซึ่ง DNA 2 สายนี้จะมีวิธีการสังเคราะห สายยาวจากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′
ที่แตกตางกัน • สายตาม (lagging strand) เป็นการสังเคราะห์ DNA สายใหม่ ที่ไม่สามารถสร้างต่อเนื่อง
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะห DNA 2 เป็นสายยาวได้ เนื่องจากทิศทางการสร้างจากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′ สวนทางกับทิศทาง
สาย ประกอบดวย สายนําทีม่ กี ารสรางตอเนือ่ ง การคลายเกลียวของ DNA โมเลกุลเดิม จึงสร้างพอลินิวคลีโอไทด์สายสั้น ๆ เรียกว่า ชิ้นส่วน
จากปลาย 5ʹ ไปยังปลาย 3ʹ และสายตามที่ โอคาซากิ (Okazaki fragment) อยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ มีทิศทางจากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′ และ
มีการสรางเปน DNA สายสั้นๆ จากปลาย 3ʹ จะอาศัยเอนไซม์ดีเอ็นเอไลเกส (DNA ligase) เชื่อมต่อชิ้นส่วนโอคาซากิเหล่านี้ให้เป็นสาย
ไปยังปลาย 5ʹ
3′
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา 5′
สายน�า
•ï การสังเคราะห DNA สายใหมทั้ง 2 สาย
5′
เหมือนหรือแตกตางกันอยางไร 3′
(แนวตอบ การสังเคราะห DNA สายใหม 2
ชิ้นส่วนโอคาซากิ
สาย จะมีลักษณะแตกตางกัน เนื่องจาก สายตาม
ทิศทางการสังเคราะห DNA แตละสาย 3′
แตกตางกัน โดยสายนําจะมีการสังเคราะห 5′
DNA พอลิเมอเรส
อยางตอเนื่องในทิศทาง 5 ʹ ไปยัง 3 ʹ สวน
สายตาม จะมีการสังเคราะหอยางไมตอ เนือ่ ง
เนื่ อ งจากทิ ศ ทางการสร า งจากปลาย 3 ʹ
ไปยังปลาย 5 ʹ สวนทางกับทิศทางการคลาย
เกลียวของ DNA โมเลกุลเดิม จึงมีการสราง 3′
DNA แม่แบบ
5′
เป น พอลิ นิ ว คลี โ อไทด ส ายสั้ น ๆ เรี ย กว า 5′
สายน�า
3′
ชิ้นสวนโอคาซากิ ที่มีทิศทางการสรางจาก
ชิ้นส่วนโอคาซากิ
ปลาย 5 ʹ ไปยัง 3 ʹ แลวจึงเชื่อมตอชิ้นสวน
ดวยเอนไซมดีเอ็นเอไลเกส) 3′
5′
สายตาม

อธิบายความรู DNA ไลเกส


DNA แม่แบบ
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ ภาพที่ 5.15 การสังเคราะห์ DNA สายใหม่ 2 สายจาก DNA แม่แบบ
สังเคราะห DNA
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การสังเคราะห 50
DNA

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ในการเรียนการสอน เรือ่ ง การสังเคราะห DNA ครูอาจหาคลิปวิดโี อทีแ่ สดง เอนไซมชนิดใดใชเชื่อมตอ DNA สายสั้นเขาดวยกันในการ
ขั้นตอนการสังเคราะห DNA มาเปดใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพ และ จําลองตัวเองของดีเอ็นเอ
เขาใจการสังเคราะห DNA ไดงายขึ้น โดยอาจใชคําคนหาตอไปนี้ 1. helicase 2. DNA ligase
- DNA replication 3. DNA perimerase 4. restriction enzyme
- Semiconservative model 5. DNA perimerase III
- leading strand and lagging strand (วิเคราะหคาํ ตอบ การจําลอง DNA ในสายตาม (lagging strand)
จะมีการสรางเปนชิ้นสวนโอคาซากิที่มีลักษณะเปน DNA สายสั้น
เนื่องจากทิศทางการคลายเกลียวของ DNA สวนทางกับทิศทาง
การสราง DNA สายใหม ซึ่งชิ้นสวนโอคาซากิจะถูกเชื่อมตอเปน
DNA สายยาวโดยใชเอนไซมดีเอ็นเอไลเกส (DNA ligase) ดังนั้น
ตอบขอ 2.)

T60
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูถามคําถามนักเรียนวา
4.2 การควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของดีเอ็นเอ
•ï DNA ที่ถูกสังเคราะหขึ้นมีบทบาทสําคัญตอ
สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มี DNA ท�าหน้าที่บรรจุข้อมูลทางพันธุกรรม โดยโครงสร้างของ DNA
เซลลสิ่งมีชีวิตอยางไร
ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์สองสายที่มีความยาวของคู่เบสนับแสนนับล้านคู่ ซึ่งการจัดเรียงล�าดับ
ของเบสที่แตกต่างกัน ท�าให้เกิดความแตกต่างของ DNA ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด (แนวตอบ DNA มีขอมูลทางพันธุกรรมบรรจุ
อยู  ซึ่ ง เป น ลํ า ดั บ เบสของนิ ว คลี โ อไทด บ น
จากการศึกษาก่อนหน้านี้ ท�าให้ทราบว่าการแสดงออกต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่สู่ลูก
สายดีเอ็นเอที่ทําหนาที่เปนยีน โดยยีนจะ
ถูกก�าหนดโดยยีน (gene) ซึ่งเป็นล�าดับนิวคลีโอไทด์บางช่วงบนสาย DNA ที่มีความจ�าเพาะ โดย
ยีนจะก�าหนดกรดอะมิโนที่ใช้สังเคราะห์โปรตีน การแสดงออกของยีนจึงท�าให้เกิดการสังเคราะห์ ควบคุมการสังเคราะหโปรตีน ในเซลลสงิ่ มีชวี ติ
โปรตีนขึน้ ในเวลาและปริ มาณที โปรตีนทีถ่ กู สังคราะหขนึ้ จะมีบทบาทและหนาที่
1 2 แ่ ตกต่างกัน ขึน้ อยูก่ บั บทบาทและหน้าทีข่ องโปรตีนชนิดนัน้ ๆ เช่น เชน เปนองคประกอบของเซลล เรงปฏิกริ ยิ า
โปรตีนแอกทินและไมโอซินของเซลล์กล้ามเนือ้ โปรตีนเฮโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง เป็นต้น
รวมถึงเอนไซม์ที่ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ก็เป็นโปรตีนเช่นกัน จึงกล่าวได้ว่าโปรตีนที่ถูก ตางๆ ภายในเซลล ซึ่งมีผลทําใหรางกาย
สังเคราะห์ขนึ้ มีผลต่อการแสดงลักษณะทางพันธุกรรมและการด�ารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ อย่างไรก็ตาม ของสิ่งมีชีวิตอยูในสภาวะปกติ)
ความผิดปกติของยีนก็ส่งผลต่อการสังเคราะห์โปรตีน ท�าให้เกิดความผิดปกติที่แสดงออกมาทาง 2. ครูใหนักเรียนศึกษาบทบาทของ DNA ตอ
ลักษณะฟีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิต เช่น การสังเคราะหโปรตีน
สภาวะเผือก (albinism) หรือผิวเผือก เป็นลักษณะที่ 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
เกิดจากแอลลีลด้อยในพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ท�าให้ร่างกาย •ï หากการสังเคราะห DNA เกิดความผิดปกติ
ไม่สามารถสร้างเอนไซม์ท่ีสังเคราะห์สารสีเมลานินที่ท�าให้เกิด จะมีผลตอสิ่งมีชีวิตอยางไร
สีผวิ ตามปกติได้ ท�าให้รา่ งกายสิง่ มีชวี ติ มีผวิ สีขาว และมีลกั ษณะ (แนวตอบ ทําใหขอมูลพันธุกรรมที่ถูกใชใน
ที่อ่อนแอกว่าสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไป รวมถึงตกเป็นเหยื่อหรือ การสังเคราะหโปรตีนผิดปกติ ซึง่ มีผลทําให
เปาโจมตีได้งา่ ย เนือ่ งจากสีผวิ ทีข่ าวสามารถสังเกตเห็นได้ชดั เจน เกิดความผิดปกติของสิ่งมีชีวิต)
โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle cell anemia) 4. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางความผิดปกติของ
ภาพที่ 5.16 กวางเผือกสีขาวที่มี
เกิดจากความผิดปกติของโปรตีนเฮโมโกลบิน (hemoglobin protein) ลักษณะแตกต่างจากกวางในฝูง DNA ซึ่งมีผลตอการสังเคราะหโปรตีน
ของเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยคนที่เป็นโรคโลหิตจางแบบนี้จะมี 5. ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5 คน รวมกันหา
เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกต่างจากคนปกติ ซึ่งเป็นรูปเคียวหรือ เม็ดเลือดแดงปกติ
ขอมูลเกีย่ วกับโรคทีเ่ กิดจากความผิดปกติของ
ดวงจันทร์เสี้ยว และส่งผลต่อการล�าเลียงแกสออกซิเจนของ ยีน และสงผลตอลักษณะฟโนไทปของสิง่ มีชวี ติ
เซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งสาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงล�าดับ พร อ มทํ า เป น ใบงานสรุ ป และส ง ตั ว แทน
นิวคลีโอไทด์ในสาย DNA ท�าให้การแปลรหัสของกรดอะมิโนผิด นําเสนอหนาชั้นเรียน
ซึ่งปกติจะแปลรหัสเป็นกรดอะมิโนชนิดกรดกลูตามิก (glutamic เม็ดเลือดแดงรูปเคียว
acid) แต่แปลรหัสเป็นกรดอะมิโนชนิดวาลีน (valine) ภาพที่ 5.17 เม็ดเลือดแดงปกติและ อธิบายความรู
เม็ ด เลื อ ดแดงรู ป เคี ย วของคนเป็ น
โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว 1. ครูใหนักเรียนออกมานําเสนอโรคที่เกิดจาก
ความผิดปกติของยีน และสงผลตอลักษณะ
ยีนและ 51
โครโมโซม ฟโนไทปที่แสดงออกมา
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของ DNA

กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนควรรู


ใหนักเรียนสืบคน ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เปนผลจาก 1 แอกทิน เปนโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบในกลามเนื้อ ทํางานรวมกับไมโอซิน
ความผิดปกติของโปรตีน ทีน่ กั เรียนสนใจ ซึง่ เกิดจากความผิดปกติ ชวยใหกลามเนือ้ มีการหดตัวและคลายตัว ซึง่ เปนผลใหอวัยวะสามารถเคลือ่ นไหว
ของยีนที่ควบคุมการสังเคราะหโปรตีนชนิดนั้นๆ โดยคนควาจาก และเคลื่อนที่ได
หนังสือ วารสารทางวิชาการ สื่อออนไลน หรือแหลงเรียนรูตางๆ
แลวจัดทําเปนใบงานสงครูผูสอน 2 ไมโอซิน เปนโปรตีนที่พบในกลามเนื้อ มีขนาดใหญ หนา และสีเขม
กวาแอกทิน ซึ่งทําหนาที่ชวยในการเคลื่อนไหวภายในเซลลและเนื้อเยื่อรวมกับ
แอกทิน โดยอาศัยพลังงาน ATP ในการเคลือ่ นทีไ่ ปตามสายเอฟแอกทิน (Factin)
ที่พันกันเปนเกลียวอยูกับโทรโปไมโอซิน (tropomyosin) และโทรโปรนิน
(troponin)

T61
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสังเคราะห 4.3 ดีเอ็นเอกับการสังเคราะห์โปรตีน
โปรตีนจาก DNA จะมีกรดนิวคลีอิกอีกหนึ่ง ยีนท�าหน้าทีก่ า� หนดข้อมูลในการสังเคราะห์โปรตีนทีจ่ า� เพาะ แต่ยนี ไม่ได้ทา� หน้าทีส่ ร้างโปรตีน
ชนิดมาเกี่ยวของ ไดแก อารเอ็นเอ โดยตรง โดยกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนจาก DNA จะมีกรดนิวคลีอิกอีกชนิดที่ท�าหน้าที่เชื่อม
2. ครูใหนักเรียนศึกษาโครงสรางของ RNA และ ต่อกระบวนการดังกล่าว ได้แก่ กรดนิวคลีอิกชนิดอาร์เอ็น1เอ (RNA) ซึ่งมีลักษณะเป็นพอลิเมอร์
ความแตกตางระหวาง RNA กับ DNA สายยาวของนิวคลีโอไทด์ทเี่ ชือ่ มต่อกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ระหว่างหม่ฟอู ตเฟสและหม่ไู ฮดรอกซิล
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา ของโมเลกุลน�้าตาลเช่นเดียวกับ DNA แต่มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ดังนี้
•ï โครงสรางของ RNA และ DNA มีลักษณะ
แตกตางกันอยางไร ี ประเภท DNA และ RNA
ความแตกต่างของโครงสร้างของกรดนิวคลีอก
(แนวตอบ นํา้ ตาลเพนโทสทีเ่ ปนองคประกอบ 2
น�้าตาลเพนโทสที่เป็นองค์ประกอบของ DNA เป็นชนิดน�้าตาลดีออกซีไรโบส (ออกซิเจนในคาร์บอน
ของ DNA เปนนํา้ ตาลดีออกซีไรโบส แตของ ต�าแหน่งที่ 2 หายไป) แต่ของ RNA เป็นน�้าตาลไรโบส
RNA เปนนํ้าตาลเพนโทส และชนิดของ ชนิดของเบสที่พบใน DNA ประกอบด้วย อะดีนีน (A) กวานีน (G) ไซโทซีน (C) และไทมีน (T)
แต่ชนิดของเบสที่พบใน RNA จะไม่มีเบสไทมีน (T) แต่มีเบสยูราซิล (U) มาแทนที่
ไนโตรจีนัสเบสที่พบใน DNA ไดแก A T
G และ C แตไนโตรจีนัสเบสที่พบใน RNA DNA RNA
O O
ไดแก A U G และ C)
เบสไทมีน (T) H3C เบสยูราซิล (U)
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา RNA มีลักษณะ NH NH
แตกตางจาก DNA คือ นํา้ ตาลทีเ่ ปนองคประกอบ
N N
ของ RNA เปนชนิดไรโบส แตของ DNA เปน O O O O

นํ้าตาลดีออกซีไรโบส และชนิดของเบสที่พบ -O
P O O
-O
P O O
ใน RNA เปน A U G C ซึง่ ของ DNA เปน A T G C O - H H O - H H
5. ครูถามคําถามนักเรียนวาา H
OH H
H H
OH OH
H

•ï เนื่องจาก DNA อยูในนิวเคลียส แตรางแห น�้าตาลดีออกซีไรโบส น�้าตาลไรโบส


เอนโดพลาซึมชนิดผิวขรุขระและไรโบโซม ภาพที่ 5.18 ความแตกต่างของโครงสร้างของกรดนิวคลีอีกประเภท DNA และ RNA
ทีท่ าํ หนาทีส่ งั เคราะหโปรตีนอยูใ นไซโทพลาซึม
DNA จะควบคุมการสังเคราะหโปรตีนใน
สิง่ มีชวี ติ กลุม่ ยูคาริโอตมี DNA ท�าหน้าทีเ่ ป็นสารพันธุกรรมอยูใ่ นนิวเคลียส แต่การสังเคราะห์
ไซโทพลาซึมไดอยางไร
โปรตีนของสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้จะเกิดในไซโทพลาซึม จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า DNA
(แนวตอบ การนํา DNA จากนิวเคลียสมา
ไม่ได้ท�าหน้าที่เป็นแม่แบบในการสังเคราะห์โปรตีนโดยตรง แต่มีตัวกลางในการน�ารหัสพันธุกรรม
สังเคราะหโปรตีนที่ไซโทพลาซึม จะอาศัย
จาก DNA ซึ่งอยู่ในนิวเคลียสมาสังเคราะห์โปรตีนที่ไซโทพลาซึม
ตัวกลางในการนํารหัสพันธุกรรมจาก DNA
มาสังเคราะหโปรตีน ไดแก mRNA)
6. ครูใหนักเรียนศึกษา mRNA ซึ่งมีหนาที่ใน 52
การนําขอมูลของ DNA จากในนิวเคลียสมา
สังเคราะหโปรตีนในไซโทพลาซึม

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 พั น ธะโคเวเลนต์ เป น พั น ธะที่ เ กิ ด จากอะตอมสองอะตอมใช เ วเลนซ ขอใดเปนความแตกตางของระหวาง DNA กับ RNA
อิเล็กตรอนหนึ่งคูหรือมากกวารวมกัน ทําใหเกิดแรงดึงดูดที่รวมอะตอมเปน 1. จํานวนหมูฟอสเฟต
โมเลกุล อะตอมมักสรางพันธะโคเวเลนตเพือ่ เติมวงโคจรอิเล็กตรอนรอบนอกสุด 2. ชนิดของไนโตรจีนัสเบส
ใหเต็ม ดังนั้น อะตอมที่สรางพันธะโคเวเลนตจึงมักมีเวเลนซอิเล็กตรอนอยูมาก 3. จํานวนพันธะไฮโดรเจนระหวางเบสคูสม
เชน ธาตุหมู VI และหมู VII เปนตน โดยพันธะโคเวเลนตจะแข็งแรงกวาพันธะ 4. จํานวนคารบอนอะตอมในโมเลกุลของนํ้าตาล
ไฮโดรเจน และมีความแข็งแรงเทาๆ กับพันธะไอออนิก 5. ชนิดของพันธะระหวางนิวคลีโอไทด 2 โมเลกุล
2 นํา้ ตาลเพนโทส หมายถึง นํา้ ตาลโมเลกุลเดียว ทีม่ คี ารบอน 5 อะตอม เชน (วิเคราะหคําตอบ DNA และ RNA มีลกั ษณะทีแ่ ตกตางกัน ไดแก
แอราบิโนส (arabinose) ไซโลส (xylose) ชนิดของนํา้ ตาล และชนิดของไนโตรจีนสั เบส โดย DNA เปนนํา้ ตาล
ดีออกซีไรโบส และไนโตรจีนัสเบสประกอบดวยอะดีนีน กวานีน
สื่อ Digital ไซโทซีน และไทมีน สวนของ RNA เปนนํ้าตาลไรโบส และไนโตร-
จีนัสเบสประกอบดวยอะดีนีน กวานีน ไซโทซีน และยูราซิล ดังนั้น
ศึกษาเพิ่มเติมไดจาก QR Code ตอบขอ 2.)
เรื่อง ยูราซิล ยูราซิล
T62 www.aksorn.com/interactive3D/RKA62
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ในปี พ.ศ. 2546 ฟรองซัว จาค็อบ (Francois Jacob) และจาค โมนอด (Jacques Monod) 7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสังเคราะห
นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรัง่ เศสได้เสนอว่า ตัวกลางทีท่ า� หน้าทีน่ า� รหัสพันธุกรรมจาก DNA ในนิวเคลียส โปรตีน ประกอบดวย 2 กระบวนการ คือ
มาสังเคราะห์โปรตีนในไซโทพลาซึม คือ RNA ซึ่งเรียก RNA ที่เป็นตัวกลางนี้ว่า อาร์เอ็นเอ การถอดรหัส จาก DNA เปน mRNA และ
น�ารหัสหรือเอ็มอาร์เอ็นเอ (messenger RNA; mRNA) การแปลรหัส จาก mRNA เปนโปรตีน และ
ต่อมา เจราร์ด เฮอร์วิทซ์ (Jerard Hurwitz) และจอห์น เจ ฟอร์น (John J. Furth) ได้ศึกษา ใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะหโปรตีนของ
เกี่ยวกับแหล่งที่อยู่และหน้าที่ของ mRNA และยืนยันการค้นพบของจาค็อบและโมนอด แบคทีเรียกับของสิ่งมีชีวิตกลุมยูคาริโอต
การสังเคราะห์โปรตีนจาก DNA ประกอบด้วยการสังเคราะห์ mRNA โดยใช้ DNA เป็น 8. ครูถามคําถามนักเรียนวา
แม่แบบ เรียกกระบวนการนี้ว่า การถอดรหัส (transcription) ซึ่งจะเกิดขึ้นในนิวเคลียส และการ •ï ในแบคทีเรียที่ไมมีเยื่อหุมนิวเคลียส การ
สังเคราะห์โปรตีนที่ไรโบโซม เรียกกระบวนการนี้ว่า การแปลรหัส (translation) ซึ่งจะเกิดขึ้นใน สังเคราะหโปรตีนจะแตกตางสิ่งมีชีวิตที่มี
ไซโทพลาซึม เยื่อหุมนิวเคลียสหรือไม อยางไร
อย่างไรก็ตาม การสังเคราะห์โปรตี1 นของแบคทีเรียจะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต ( แนวตอบ การสั ง เคราะห โ ปรตี น ของ
เนื่องจากแบคทีเรียไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส และมี DNA รูปวงแหวน ท�าให้ DNA ไม่ถูกแยกโดย แบคที เ รี ย จะแตกต า งจากสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
เยื่อหุ้มนิวเคลียสออกจากไรโบไซมและองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีน เยือ่ หุม นิวเคลียส เนือ่ งจาก DNA ไมถกู แยก
ท�าให้สามารถเริ่มต้นการแปลรหัสของ mRNA ได้โดยที่ยังมีการถอดรหัสอยู่ แต่การสังเคราะห์
ออกจากไรโบโซมและองคประกอบอื่นๆ ที่
โปรตีนของสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอตจะเกิดขึ้นเมื่อ mRNA ถูกส่งผ่านเยื่อหุ้มนิวเคลียสออกไปยัง
เกี่ยวของกับการสังเคราะหโปรตีน ทําให
ไซโทพลาซึมก่อนเท่านั้น
สามารถเริ่ ม ต น การแปลรหั ส ได โดยที่
ยั ง มี ก ารถอดรหั ส อยู  แต สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
นิวเคลียส
เยื่ อ หุ  ม นิ ว เคลี ย สจะมี ก ารแปลรหั ส หลั ง
การถอดอรหัส
DNA การถอดรหัสเสร็จสิ้นแลว)
9. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เนือ่ งจากแบคทีเรีย
ไมมเี ยือ่ หุม นิวเคลียส ดังนัน้ การถอดรหัสและ
mRNA การแปลรหัสจึงเกิดขึ้นพรอมๆ กันได แตของ
การถอดอรหัส
DNA
ไซโทพลาซึม สิง่ มีชวี ติ กลุม ยูคาริโอต การแปลรหัสจะเกิดขึน้
ไซโทพลาซึม mRNA การแปลรหัส เมื่อสิ้นสุดการถอดรหัสแลว เนื่องจากตองนํา
ไรโบโซม
การแปลรหัส ไรโบโซม mRNA จากการถอดรหั ส มาแปลรหั ส ต อ ที่
พอลิเพปไทด์ พอลิเพปไทด์ ไซโทพลาซึม
แบคทีเรีย สิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต อธิบายความรู้
ภาพที่ 5.19 ความแตกต่างของการสังเคราะห์โปรตีนของแบคทีเรีย และสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ
แตกตางของ RNA กับ DNA
ยีนและ
โครโมโซม
53 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ
แตกตางของการสังเคราะหโปรตีนระหวาง
แบคทีเรียกับสิ่งมีชีวิตกลุมยูคาริโอต

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


การสังเคราะหโปรตีนของมนุษยกับแบคทีเรียแตกตางกันอยางไร 1 เยือ่ หุม นิวเคลียส เปนชัน้ ของลิพดิ ไบเลเยอรทหี่ อ หุม สารพันธุกรรมในเซลล
(วิเคราะหคําตอบ แบคทีเรียเปนสิ่งมีชีวิตที่ไมมีเยื่อหุมนิวเคลียส ยูคาริโอต เปนเยื่อบางๆ 2 ชั้นที่เรียงซอนกัน ประกอบดวยสารพวกลิพิดและ
ทําให DNA ไมถกู แยกจากไรโบโซมและองคประกอบทีเ่ กีย่ วของกับ โปรตีน บริเวณโดยรอบของเยือ่ หุม นิวเคลียสมีชอ งเล็กๆ กระจายอยูท วั่ ไป เรียกวา
การสังเคราะหโปรตีน จึงสามารถเริม่ ตนการแปลรหัสในขณะทีย่ งั มี นิวเคลียรพอร (nuclear pore) หรือแอนนูลัส ซึ่งเยื่อหุมนิวเคลียสทําหนาที่แยก
การถอดรหัสอยู แตสาํ หรับมนุษยเปนสิง่ มีชวี ติ ทีม่ เี ยือ่ หุม นิวเคลียส สวนของนิวเคลียสออกจากไซโทพลาซึม ควบคุมการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม
การแปลรหัสจะเกิดขึ้นก็ตอเมื่อการถอดรหัสเสร็จสมบูรณแลว และสารอืน่ ๆ ระหวางนิวเคลียสกับไซโทพลาสซึม นอกจากนัน้ เยือ่ หุม นิวเคลียส
เทานั้น) ยังมีลักษณะเปนเยื่อเลือกผานเชนเดียวกับเยื่อหุมเซลล

T63
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะห mRNA 1. การสังเคราะห์ mRNA จาก DNA แม่แบบ มีลกั ษณะคล้ายกับการสังเคราะห์ DNA
จาก DNA แมแบบ แต่การสังเคราะห์ mRNA จะใช้ DNA เพียงสายเดียวเป็นแม่แบบ
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแบ ง กลุ  ม ออกเป น 3 กลุ  ม
ให นั ก เรี ย นจั บ ฉลากเลื อ กขั้ น ตอนในการ
สังเคราะห mRNA ประกอบดวย กลุมที่ 1 การสังเคราะห mRNA จาก DNA แมแบบ
ขั้นเริ่มตน กลุมที่ 2 ขั้นการตอสายยาว และ
กลุมที่ 3 ขั้นสิ้นสุด ใหนักเรียนแตละกลุมรวม
1 ขั้นเริ่มต้น RNA พอลิเมอเรสจะเข้าจับ 1
กับจุดเริม่ ต้นในส่วนทีเ่ รียกว่า โพรโมเตอร์ โพรโมเตอร์ ดีเอ็นเอเฮลิกซ์
กันวิเคราะหขั้นตอนการสังเคราะห mRNA ที่ (promoter) ของ DNA โดยท�าให้พันธะ
จับฉลากได และออกมาวาดภาพเพื่อนําเสนอ ไฮโดรเจนระหว่างคู่เบสของสาย DNA
หนาชั้นเรียน สลายออก สายของ DNA จะคลายเกลียว RNA พอลิเมอเรส
แยกออกจากกัน และ DNA สายหนึ่ง
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอ จะท�าหน้าที่เป็นแม่แบบ
ขั้นตอนการสังเคราะห mRNA ที่จับฉลากได
4. ครูถามคําถามนักเรียนวา 2 ขัน้ การต่อสายยาว เมือ่ RNA พอลิเมอเรส
•ï การสังเคราะห mRNA เหมือนหรือแตกตาง เคลื่อนไปตามสาย DNA แม่แบบ และ
คลายเกลียวคู่ของ DNA ออก เพื่อการ 2
จากการสังเคราะห DNA อยางไร เข้าคูส่ มกับนิวคลีโอไทด์ของ mRNA ซึง่ mRNA
( แนวตอบ แตกต า งกั น เนื่ อ งจากการ RNA พอลิเมอเรสจะเติมนิวคลีโอไทด์ที่
สังเคราะห DNA จะใชพอลินิวคลีโอไทด ปลาย 3′ ของโมเลกุล mRNA โดยเบส C
เปนแมแบบทั้ง 2 สาย ใชเอนไซมดีเอ็นเอ เข้าคู่กับเบส G เบส A เข้าคู่กับเบส T ล�าดับหยุด
เบส G เข้าคู่กับเบส C และเบส U เข้าคู่
พอลิเมอเรสในการสังเคราะห ใชนวิ คลีโอไทด กับเบส A ซึ่งการสร้างสาย mRNA นั้น RNA พอลิเมอเรส
ที่มีไนโตรจีนัสเบสเปน A T C G และผล จะสลับทิศทางกับสาย DNA แม่แบบ
ที่ไดจะได DNA สายใหม 2 สาย แตการ
สังเคราะห mRNA จะใชพอลินิวคลีโอไทด 3 ขั้นสิ้นสุด เมื่อการถอดรหัสด�าเนินไป 3
จนถึงส่วนล�าดับปลายของสาย DNA
เปนแมแบบเพียงสายเดียว ใชอารเอ็นเอ เอนไซม์ RNA พอลิเมอเรสจะหลุดออก
พอลิเมอเรสในการสังเคราะห ใชนวิ คลีโอไทด จาก DNA และปล่อย mRNA ออกมา ส่วน mRNA
ที่มีไนโตรจีนัสเบสเปน A U C G และผลที่ DNA 2 สายจะจับคูก่ นั และบิดเป็นเกลียว
ไดจะได mRNA เพียงสายเดียว) เหมือนเดิม ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์ RNA พอลิเมอเรส
mRNA ดังกล่าว ข้อมูลทางพันธุกรรม
ใน DNA ได้ถ่ายทอดให้กับ mRNA
อธิบายความรู้ เรี ย กกระบวนการนี้ ว ่ า การถอดรหั ส
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ (transcription)
สังเคราะห mRNA จาก DNA ภาพที่ 5.20 การสังเคราะห์ mRNA จาก DNA แม่แบบ
54
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การสังเคราะห
mRNA จาก DNA

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ในการเรียนการสอน เรื่อง การสังเคราะห mRNA จาก DNA แมแบบ การสังเคราะห DNA และ mRNA มีลักษณะแตกตางกัน อยางไร
ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่แสดงขั้นตอนการสังเคราะห mRNA จาก DNA แมแบบ (วิเคราะหคําตอบ การสังเคราะห DNA ใชพอลินิวคลีโอไทดเปน
มาเปดใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพ และเขาใจการสังเคราะห mRNA แมแบบทั้ง 2 สาย ใชเอนไซมดีเอ็นเอพอลิเมอเรส นิวคลีโอไทดที่มี
ไดงายขึ้น โดยอาจใชคําคนหาตอไปนี้ ไนโตรจีนัสเบสเปน A T C G ในการสังเคราะห และผลผลิตที่ได
- mRNA synthesis จะได DNA สายใหม 2 สาย แตการสังเคราะห mRNA จะใชพอลิ-
- mRNA translation นิวคลีโอไทดเปนแมแบบเพียงสายเดียว ใชอารเอ็นเอพอลิเมอเรส
- protein synthesis (translation) ใชนวิ คลีโอไทดทมี่ ไี นโตรจีนสั เบสเปน A U C G ในการสังเคราะห
และผลทีไ่ ดจะได mRNA เพียงสายเดียว ซึง่ ทัง้ การสังเคราะห DNA
และ mRNA จะเกิดในนิวเคลียสของเซลล)

T64
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา

จากการศึกษา RNA ในเซลล์สิ่งมีชีวิต พบว่า นอกจาก mRNA ที่ท�าหน้าที่เป็นตัวกลาง 1. ครูใหนักเรียนศึกษารหัสพันธุกรรมของ DNA


น�ารหัสพันธุกรรมจาก DNA ในนิวเคลียสมาสังเคราะห์โปรตีนในไซโทพลาซึมแล้ว ยังพบ RNA ที่ถูกถายทอดใหกับ mRNA
ชนิดอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสังเคราะห์โปรตีนอีก 2 ชนิด ได้แก่ อาร์เอ็นเอถ่ายโอนหรือ 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ทีอาร์เอ็นเอ (transfer RNA; tRNA) ซึ่งเป็นโมเลกุล RNA ขนาดเล็ก ท�าหน้าที่น�ากรดอะมิโน •ï การถอดรหัสของ DNA ทําใหได mRNA แลว
ที่สอดคล้องกับรหัสการสังเคราะห์โปรตีนบนสาย mRNA มาต่อเป็นสายพอลิเพปไทด์ และ mRNA เกี่ยวของกับการสังเคราะหโปรตีน
อาร์เอ็นเอไรโบโซมหรืออาร์อาร์เอ็นเอ (ribosomal RNA; rRNA) ท�าหน้าที่เป็นองค์ประกอบของ อยางไร
ไรโบโซม ซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่ท�าหน้าที่ในการสังเคราะห์โปรตีนในสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ mRNA จะถูกใชเปนตัวกลางนํา
2. รหัสพันธุกรรม จากที่กล่าวมาแล้วว่า DNA เป็นแม่แบบในการสังเคราะห์ mRNA รหัสพันธุกรรมที่ไดจากการถอดรหัสจาก
ซึ่งข้อมูลทางพันธุกรรมของ DNA จะถูกถ่ายทอดให้กับ mRNA1 ดังนั้น การเรียงล�าดับของ DNA มาสังเคราะหโปรตีนในไซโทพลาซึม)
นิวคลีโอไทด์ต่าง ๆ ของ mRNA จึงเป็นตัวก�าหนดกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ โดยเรียกล�าดับ 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ขอมูลของ DNA
กรดอะมิโนเหล่านี้ว่า รหัสพันธุกรรม (genetic code) โดยนิวคลีโอไทด์ของ RNA มีเพียง 4 ชนิด จะถูกถายทอดใหกบั mRNA ซึง่ การเรียงลําดับ
แต่ประกอบเป็นโมเลกุลของกรดอะมิโนเพื่อสังเคราะห์โปรตีนทั้งหมด 20 ชนิด ดังนั้น ถ้ารหัส ของนิวคลีโอไทดจะเปนตัวกําหนดชนิดของ
พันธุกรรม 1 รหัส ประกอบด้วย 1 นิวคลีโอไทด์ จะมีรหัสได้ 4 รหัส (41) ซึ่งไม่เพียงพอกับจ�านวน กรดอะมิโนที่เปนหนวยยอยของโปรตีน
กรดชนิดอะมิโนทั้งหมด หรือถ้ารหัสพันธุกรรม 1 รหัส ประกอบด้วย 2 นิวคลีโอไทด์ จะมีรหัสได้ 4. ครูถามคําถามนักเรียนวา
16 รหัส (42) ซึง่ ไม่เพียงพอกับจ�านวนกรดอะมิโนทัง้ หมดเช่นกัน แต่ถา้ รหัสพันธุกรรม 1 รหัส ประกอบ •ï นิวคลีโอไทดของ RNA มี 4 ชนิด (A U G C)
ด้วย 3 นิวคลีโอไทด์ จะมีรหัสได้ 64 รหัส (43) ซึ่งเพียงพอต่อจ�านวนกรดอะมิโนทั้งหมด จึงมี แตกรดอะมิโนทีเ่ ปนองคประกอบของโปรตีน
ความเป็นไปได้ว่ารหัสพันธุกรรม 1 รหัสประกอบด้วย 3 นิวคลีโอไทด์ ซึ่งได้รับการยืนยันจาก มี 20 ชนิด นักเรียนคิดวา กรดอะมิโน 1 ตัว
คริกและคณะในปี พ.ศ. 2504 และเรียกรหัสพันธุกรรม 1 รหัสที่ประกอบด้วย 3 นิวคลีโอไทด์ว่า ประกอบดวยนิวคลีโอไทดจํานวนเทาใด
รหัสสามตัว (triplet code) (แนวตอบ 3 นิวคลีโอไทด เนื่องจากหากรหัส
พันธุกรรม 1 รหัส ประกอบดวย 1 นิวคลีโอไทด
ในปี พ.ศ. 2504 มาร์แชลล์ ดัมเบิลยู ไนเรนเบิร์ก (Marshall W. Nirenberg) และโจฮานน์
จะได 4 (41) รหัส ซึ่งไมเพียงพอตอจํานวน
เอส แมททัย (Johann H. Matthei) ค้นพบรหัสพันธุกรรมรหัสแรก คือ UUU ซึ่งเป็นรหัสของ
กรดอะมิโนทั้งหมด และหากรหัสพันธุกรรม
กรดอะมิโนชนิดเฟนิลอะลานีน (phenylalanine) และต่อมาก็มกี ารพบรหัสพันธุกรรมเพิม่ ขึน้ เรือ่ ย ๆ
1 รหัส ประกอบดวย 2 นิวคลีโอไทด จะได
ในปี พ.ศ. 2509 พบรหัสพันธุกรรมถึง 61 ชนิด ทีก่ า� หนดชนิดของกรดอะมิโนต่าง ๆ เหลืออีก 16 (42) รหัส ซึ่งไมเพียงพอตอจํานวนกรด
เพียง 3 รหัสเท่านัน้ ทีไ่ ม่กา� หนดชนิดกรดอะมิโน ประกอบด้วย UAA UAG และ UGA ซึง่ ต่อมาจึง อะมิโนทัง้ หมด แตหากรหัสพันธุกรรม 1 รหัส
ทราบในภายหลังว่า รหัส 3 ตัวนีเ้ ป็นรหัสทีท่ า� ให้การแปรหัสสิน้ สุด ทีเ่ รียกว่า รหัสหยุด (stop codon) ประกอบดวย 3 นิวคลีโอไทด จะได 64
นอกจากนั้นยังพบว่า AUG เป็นรหัสของกรดอะมิโนเมไทโอนีน (methionine) ซึ่งท�าหน้าที่เป็น (43) รหัส ซึ่งเพียงพอตอจํานวนกรดอะมิโน
รหัสเริ่มต้น (start codon) ของการสังเคราะห์โปรตีนอีกด้วย ทั้งหมด)
5. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา รหัสพันธุกรรม 1
ยีนและ 55
รหัส จะประกอบดวยนิวคลีโอไทด 3 ชนิด และ
โครโมโซม
ใหนกั เรียนศึกษารหัสพันธุกรรมทีก่ าํ หนดชนิด
ของกรดอะมิโนตางๆ

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


กรดอะมิโนตัวแรกของการสังเคราะหพอลิเพปไทดคอื กรดอะมิโน 1 กรดอะมิโน เปนสารชีวโมเลกุลที่มีทั้งหมูอะมิโนและคารบอกซิล เปน
ชนิดใด องคประกอบสําคัญของโปรตีนที่อยูในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด กรดอะมิโนมีทั้งหมด
1. วาลีน 20 ชนิด หากแบงประเภทตามความตองการของรางกาย แบงออกเปน 2 ประเภท
2. อะลานีน ไดแก
3. เมไทโอนีน 1) กรดอะมิโนชนิดจําเปน (essential amino acid) เปนกรดอะมิโนที่
4. แอสพาราจีน รางกายไมสามารถสังเคราะหขึ้นใชไดเอง ตองไดรับจากสารอาหารเทานั้น
5. เฟนิลอะลานีน ประกอบดวย 10 ชนิด ไดแก ไลซีน เมไทโอนีน ทริปโทเฟน ทรีโอนีน ไอโซลิว
(วิเคราะหคาํ ตอบ รหัสเริม่ ตนของการสังเคราะหพอลิเพปไทด คือ ซีน ลิวซีน เฟนิลอะลานีน ฮีสทีดีน อารจีนีน และวาลีน
AUG ซึง่ สามารถถอดรหัสพันธุกรรมไดกรดอะมิโนชนิดเมไทโอนีน 2) กรดอะมิโนไมจําเปน (nonessential amino acid) เปนกรดอะมิโน
ดังนั้น ตอบขอ 3.) ที่ ร  า งกายสามารถสั ง เคราะห ขึ้ น มาใช เ องได จ ากอาหารที่ ร  า งกายสะสมไว
ประกอบดวย 10 ชนิด ไดแก ไกลซีน กรดกลูตามิก กรดแอสปาติก ซีสเตอีน
ซีรีน อะลานีน ไทโรซีน โพรลีน กลูตามีน และแอสปาราจีน

T65
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา ตารางที่ 5.4 : อักษรย่อภาษาอังกฤษของกรดอะมิโนชนิดต่างๆ
•ï จากรหั ส พั น ธุ ก รรมในตาราง มี กี่ ร หั ส ที่ เบสต�าแหน่งที่ 2
ทําหนาที่กําหนดชนิดของกรดอะมิโน U C A G
(แนวตอบ มีรหัสพันธุกรรม 61 รหัส ทีก่ าํ หนด UUU UCU UAU Tyr UGU Cys U
Phe C
ชนิดของกรดอะมิโน โดยรหัสพันธุกรรมอีก 3 U UUC
UUA
UCC
UCA Ser
UAC
UAA STOP
UGC
UGA STOP A
รหัส จะทําหนาที่เปนรหัสหยุด ไดแก UAA UUG Leu UCG UAG STOP UGG Trp G
UAG และ UGA) CUU CCU CAU
His
CGU U
7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา รหัสพันธุกรรม 1 C CUC CCC CAC CGC
Arg
C
CUA Leu CCA Pro CAA CGA A

เบสต�าแหน่งที่ 1

เบสต�าแหน่งที่ 3
รหัส เรียกวา โคดอน ซึง่ จะกําหนดกรดอะมิโน CUG CCG CAG Gln CGG G
1 ชนิด และลําดับเบส 3 โมเลกุลของ tRNA ที่ AUU ACU AAU
Asn
AGU
Ser
U
เขาคูกับโคคอน เรียกวา แอนติโคดอน A AUC Ile ACC
Thr
AAC AGC C
AUA ACA AAA Lys AGA
Arg
A
8. ครูถามคําถามนักเรียนวา AUG START, Met ACG AAG AGG G
•ï กรดอะมิโน 75 ตัวในสายพอลิเพปไทด GUU GCU GAU GGU U
Asp C
จะใชนิวคลีโอไทดจํานวนเทาใด G GUC
GUA
Val GCC
GCA
Ala GAC
GAA
GGC
GGA Gly A
(แนวตอบ กรดอะมิโน 75 ตัว ในสายพอลิ- GUG GCG GAG Glu GGG G
เพปไทดจะประกอบดวยนิวคลีโอไทด 225 ตัว)

อธิบายความรู้ รหัสกรดอะมิโน กรดอะมิโน รหัสกรดอะมิโน กรดอะมิโน


ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ Phe เฟนิลอะลานีน เมไทโอนีน
Met
รหั ส พั น ธุ ก รรมที่ ทํ า หน า ที่ กํ า หนดชนิ ด ของ Leu ลิวซีน รหัสเริ่มต้น
กรดอะมิโนในสายพอลิเพปไทด Ser ซีรีน Thr ทรีโอนีน
Tyr ไทโรซีน Asn แอสพาราจีน
Cys ซีสเทอีน Lys ไลซีน
Trp ทริปโตเฟน Val วาลีน
Pro โพรลีน Ala อะลานีน
His ฮีสทีดีน Asp กรดแอสปาติก
Gln กลูตามีน Glu กรดกลูตามิก
Arg อาร์จีนีน Gly ไกลซีน
Ile ไอโซลิวซีน Stop รหัสหยุด

56

ขอสอบเนน การคิด
DNA สายหนึ่งมีลําดับเบส ดังนี้ 3ʹ GAGCAGTGATTGCCA 5ʹ กรดอะมิโนที่ถูกสังเคราะหขึ้น
มีลําดับอยางไร (ไมพิจารณารหัสเริ่มตน)
1. ลิวซีน ซีรีน ทีโอนีน วาลีน อะลานีน
2. ลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน อะลานีน เมไทโอนีน
3. ลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน แอสพาราจีน ไกลซีน
4. ลิวซีน ซีลีน ทรีโอนีน แอสพาราจีน เมไทโอนีน
5. ลิวซีน แอสพาราจีน กรดแอสปาติก ไกลซีน อารจีนีน
(วิเคราะหคําตอบ DNA 3 ʹ GAG CAG TGA TTG CCA 5 ʹ
mRNA 5 ʹ CUC GUC ACU AAC GGU 3 ʹ
กรดอะมิโน Leu Val Thr Asn Gly
ดังนั้น mRNA สายนี้มีลําดับกรดอะมิโนประกอบดวยลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน แอสพาราจีน ไกลซีน
ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T66
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
โมเลกุลของ mRNA จะเป็นคู่สมกับสาย DNA แม่แบบ 3′
ด้านที่ต่อ 1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า กระบวนการ
ตามกฎการเข้าคู่ของเบส ซึ่งการเข้าคู่จะเหมือนกับที่พบใน 5′ กับกรดอะมิโน สังเคราะหโปรตีนจาก mRNA เรียกวา การ
การจ�าลองตัวของ DNA ยกเว้นจะพบเบส U เข้าคู่กับเบส A แปลรหัส โดยมีการอานขอความทางพันธุกรรม
(แทนที่เบส T) รหัสสามตัวที่พบในนิวคลีโอไทด์ของ mRNA จะ tRNA ในรูปของโคดอนตามสาย mRNA ซึ่งจะมี
เรียกว่า โคดอน (codon) ซึง่ แต่ละโคดอนจะแปลความหมายเป็น ตัวชวยในการแปลรหัส ไดแก tRNA และ rRNA
กรดอะมิโน 1 ชนิด และล�าดับเบสของ tRNA ทีเ่ ข้าคูก่ บั ล�าดับเบส แอนติโคดอน 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ของโคดอนในสาย mRNA จะเรียกว่า แอนติโคดอน (anticodon) •ï tRNA และ rRNA มีสวนชวยในการแปลรหัส
ซึ่งประกอบด้วย 3 นิวคลีโอไทด์ โดยสิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถ อยางไร
ใช้รหัสเหล่านี้แปลความหมายจาก mRNA เป็นกรดอะมิโน mRNA โคดอน (แนวตอบ tRNA ทําหนาที่นํากรดอะมิโน
เหมือน ๆ กัน รหัสพันธุกรรมนี้จึงถือเป็นรหัสสากล ภาพที่ 5.21 รหัสสามตัวในนิวคลีโอไทด์
ของ DNA ที่เชื่อมตออยูกับแอนติโคดอนมาเคาคูกับ
ในระหว่างการแปลรหัส ล�าดับโคดอนของ mRNA จะถูกแปลรหัสเป็นล�าดับกรดอะมิโน โคดอนของ mRNA สวน rRNA ทําหนาที่
เพือ่ สร้างสายพอลิเพปไทด์ โคดอนจะถูกอ่านเพือ่ แปลรหัสในทิศทางจาก 5′ ไปยัง 3′ ตาม mRNA ชวยการจับกันของแอนติโคดอนของ tRNA
ซึง่ แต่ละโคดอนจะน�ากรดอะมิโนแต่ละชนิดเข้ามาในสายพอลิเพปไทด์ ท�าให้จา� นวนนิวคลีโอไทด์เป็น กับโคดอนของ mRNA)
สามเท่าของจ�านวนกรดอะมิโน เช่น นิวคลีโอไทด์จา� นวน 300 นิวคลีโอไทด์ในสาย mRNA จะถูกใช้
เพื่อเป็นรหัสของกรดอะมิโน 100 ตัวในสายของพอลิเพปไทด์ เป็นต้น
1
3. การสังเคราะห์โปรตีนที่ไรโบโซม กระบวนการที่ข้อมูลทางพันธุกรรมผ่านจาก
mRNA ไปยังโปรตีน เรียกกระบวนนี้ว่า การแปลรหัส (transcription) โดยมีการอ่านข้อความทาง
พันธุกรรมในรูปของโคดอนตามสาย mRNA เพื่อน�าไปสร้างพอลิเพปไทด์ ซึ่งจะมีตัวช่วยใน
การแปลรหัส ดังนี้ ทีอารเอ็นเอ
(tRNA)
จะมีกรดอะมิโนทีจ่ า� เพาะอยูท่ ปี่ ลายด้านหนึง่ อีกด้าน
สายพอลิเพปไทด์ จะมีแอนติโคดอน ซึ่งประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์
สามตัวที่สามารถเข้าคู่สมกับโคดอนของ mRNA
กรดอะมิโน

อารอารเอ็นเอ
(rRNA)
จะช่วยการจับกันของแอนติโคดอนของ tRNA กับ
แอนติโคดอน โคดอนของ mRNA ระหว่างการสังเคราะห์โปรตีน
โดย rRNA ประกอบด้วยหน่วยย่อยขนาดใหญ่และ
5′ โคดอน ขนาดเล็ก ซึ่งจะต้องจับกันเพื่อกลายเป็นไรโบโซม
3′ ที่ท�าหน้าที่ได้เมื่อมีการจับกับโมเลกุลของ mRNA
ภาพที่ 5.22 การสังเคราะห์โปรตีนที่ไรโบโซม ยีนและ 57
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


พอลิเพปไทดสายหนึ่งประกอบดวยกรดอะมิโนจํานวน 153 1 ไรโบโซม เปนออรแกเนลลชนิดหนึ่งในเซลลของสิ่งมีชีวิต พบไดทั้งใน
โมเลกุล ลําดับเบสบนสาย mRNA ของพอลิเพปไทดสายนี้จะมี สิง่ มีชวี ติ พวกโพรคาริโอตและยูคาริโอต ซึง่ จะมีขนาดทีแ่ ตกตางกัน โดยไรโบโซม
จํานวนอยางนอยกี่ลําดับเบส ในสิง่ มีชวี ติ กลุม โพรคาริโอตจะมีขนาด 70s ประกอบดวยหนวยหยอยขนาดใหญ
1. 51 ลําดับเบส 2. 153 ลําดับเบส ที่มีขนาด 50s และหนวยยอยขนาดเล็กที่มีขนาด 30s สวนของสิ่งมีชีวิตกลุม
3. 306 ลําดับเบส 4. 459 ลําดับเบส ยูคาริโอตจะมีขนาด 80s ประกอบดวยหนวยยอยขนาดใหญที่มีขนาด 60s และ
5. 612 ลําดับเบส หนวยยอยขนาดเล็กที่มีขนาด 40s
(วิเคราะหคําตอบ กรดอะมิโน 1 โมเลกุล จะประกอบดวยลําดับ
เบสทีใ่ ชเปนรหัสพันธุกรรม 3 ตัว สายพอลิเพปไทดทปี่ ระกอบดวย
กรดอะมิโนจํานวน 153 โมเลกุล จะประกอบดวยลําดับเบสอยางนอย
เทากับ 153 × 3 = 459 ตัว ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T67
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ครูใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะหสายพอลิ- การสังเคราะห์สายพอลิเพปไทด์สามารถแบ่งออกได้เป็นขั้นต่าง ๆ ดังนี้
เพปไทด ประกอบดวย กระบวนการเริ่มตน
กระบวนการตอสาย และกระบวนการสิ้นสุด การสังเคราะหสายพอลิเพปไทด
4. ครูใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 3 กลุม ให
นักเรียนจับฉลากเลือกขั้นตอนการสังเคราะห 1 กระบวนการเริ่มต้น (intiation)
สายพอลิเพปไทด ประกอบดวย ไรโบโซมหน่วยย่อยขนาดเล็กจับ ไรโบโซมหน่วยย่อยขนาดใหญ่
กับ mRNA และ tRNA ทีม่ กี รด
กลุมที่ 1 กระบวนการเริ่มตน อะมิโนตัวแรก คือ เมไทโอนีน
กลุมที่ 2 กระบวนการตอสาย (AUG) จะมาจับกัน จากนัน้ หน่วย
กลุมที่ 3 กระบวนการสิ้นสุด ย่ อ ยขนาดใหญ่ ข องไรโบโซม 5′ 3′
จะเข้ามาจับ และพร้อมส�าหรับ กรดอะมิโนตัวแรก
ใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกันวิเคราะหขนั้ ตอน การเติมสายพอลิเพปไทด์ โดย
การสังเคราะหสายพอลิเพปไทดที่จับฉลากได ถูกสังเคราะห์ขึ้นในทิศทางเดียว 1
และออกมาวาดภาพ เพือ่ นําเสนอหนาชัน้ เรียน จากส่วนปลายของกรดอะมิโน
ตัวแรก คือ เมไทโอนีน เรียกว่า 3' U A C 5'
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอ ปลาย N (N-terminus) ไปยัง tRNA 5' A U G 3'
ขั้ น ตอนการสั ง เคราะห ส ายพอลิ เ พปไทด ที่ กรดอะมิ โ นตั ว สุ ด ท้ า ยที่ ป ลาย mRNA
จับฉลากได คาร์บอกซิล เรียกว่า ปลาย C 5′ 3′
(C-terminus) ไรโบโซมหน่วยย่อยขนาดเล็ก
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา
•ï กรดอะมิโนตัวแรกของสายพอลิเพปไทดจะ 2 กระบวนการต่อสาย (elongation)
เปนชนิดเมไทโอนีนเสมอไปหรือไม อยางไร tRNA จะน�ากรดอะมิโนมาเติม
เข้ า กั บ กรดอะมิ โ นก่ อ นหน้ า ที่
(แนวตอบ เนื่องจากรหัสพันธุกรรมเริ่มตน ปลาย C ของสาย โดย mRNA
ของการแปลรหัสจะเปน AUG เสมอ จึงทําให จะเคลื่ อ นที่ ผ ่ า นไรโบโซมใน
กรดอะมิโนตัวแรกในสายพอลิเพปไทดจะ ทิศทางจาก 5′ ไปยัง 3′ จากนั้น
tRNA ที่มีแอนติโคดอนจะน�า 5′ สายพอลิเพปไทด์
เปนเมไทโอนีนเสมอ) กรดอะมิโนเข้ามาเติมในสาย ซึง่
3′
เป็นคูส่ มกับโคดอนของ mRNA
แล้วเกิดการสร้างพันธะเพปไทด์
ระหว่ า งกรดอะมิ โ นทั้ ง สอง
โดยไรโบโซมจะเคลื่ อ นที่ ที ล ะ
โคดอนและน�ากรดอะมิโนมาต่อ 3′
ไปเรื่อย ๆ จนเป็นสายยาวของ 5′
พอลิเพปไทด์
ภาพที่ 5.23 การสังเคราะห์สายพอลิเพปไทด์

58

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ในการเรียนการสอน เรือ่ ง การสังเคราะหพอลิเพปไทด ครูอาจหาคลิปวิดโี อ ขอใดแสดงความสัมพันธของชนิด RNA กับหนาที่ไดถูกตอง
ที่แสดงขั้นตอนการสังเคราะหพอลิเพปไทด มาเปดใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียน 1. rRNA นํากรดอะมิโนมาเขาคูกับ mRNA
เห็นภาพ และเขาใจการสังเคราะหพอลิเพปไทดไดงายขึ้น โดยอาจใชคําคนหา 2. tRNA ชวยการจับของ mRNA กับ rRNA
ตอไปนี้ 3. mRNA ชวยการจับของโคดอนกับแอนติโคดอน
- protein synthesis 4. tRNA นํารหัสพันธุกรรมจากนิวเคลียสมายังไรโบโซม
- protein synthesis (translation) 5. mRNA นํารหัสพันธุกรรมจากดีเอ็นเอมาสังเคราะหโปรตีน
- transcription and translation (วิเคราะหคาํ ตอบ mRNA ทําหนาทีน่ าํ รหัสพันธุกรรมจากดีเอ็นเอ
- From DNA to protein มาสังเคราะหโปรตีน tRNA นํากรดอะมิโนมาเขาคูก บั โคดอนของ
mRNA และ rRNA ทําหนาทีช่ ว ยการจับกันของโคดอนของ mRNA กับ
แอนติโคดอนของ tRNA ดังนัน้ ตอบขอ 5.)

T68
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
7. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า เมื่ อ จบสิ้ น
กระบวนการแปลรหัส สายพอลิเพปไทดที่เปน
องคประกอบของโปรตีนจะยังไมสามารถใช
งานได จําเปนตองผานกระบวนการดัดแปลง
3 กระบวนการสิน้ สุด (termination) หลั ง การแปลงรหั ส ซึ่ ง อาจเป น การนํ า สาย
การต่อสายจะด�าเนินไปเรื่อย ๆ พอลิ เ พปไทด ไ ปเชื่ อ มกั บ โมเลกุ ล ของสาร
จนกระทั่งเจอโคดอนที่เป็นรหัส
tRNA หยุดใน mRNA ได้แก่ UAG ประกอบอื่นๆ หรือการแบงสายพอลิเพปไทด
กรดอะมิโน
UAA UGA ซึง่ รหัสทัง้ สามแบบนี้ ออกเปนสวนๆ
ไม่ได้เป็นรหัสส�าหรับกรดอะมิโน 8. ครูถามคําถามนักเรียนวา
3′ แต่ท�าหน้าที่เป็นสัญญาณส�าหรับ
หยุดการแปลรหัส โดยพอลิเพป- •ï เซลล 1 เซลล จําเปนตองผลิตโปรตีนจํานวน
5′
พันธะเพปไทด์ ไทด์ที่ยึดกับ tRNA ตัวสุดท้าย มาก เซลล จ ะสั ง เคราะห โ ปรตี น อย า งไร
จะถูกตัดออกไปและแยกออกจาก ใหเพียงพอตอความตองการ
กัน จากนั้นไรโบโซมหน่วยย่อย
2 3′ ขนาดเล็กและหน่วยย่อยขนาด (แนวตอบ mRNA ที่ไดจากการถอดรหัส 1
5′
ใหญ่ จ ะแยกออกจากกั น และ สาย จะถู ก นํ า มาสร า งสายพอลิ เ พปไทด
5′ mRNA จะหลุดออกจากไรโบโซม หลายสายพร อ มๆ กั น ซึ่ ง เมื่ อ ไรโบโซม
ตัวแรกผานโคดอนเริ่มตน ไรโบโซมตัวที่ 2
3′ การสังเคราะห์โปรตีนในสิ่งมีชีวิต จะเข า มาจั บ กั บ mRNA ทั น ที เพื่ อ ให มี
กลุ่มยูคาริโอตจะมีการถอดรหัสภายใน การแปลรหัสอยางตอเนื่องและหลายสาย
5′ นิวเคลียส จากนั้น mRNA จะออกจาก
พรอมกัน)
นิวเคลียส แล้วมีการแปลรหัสในไซโท-
พลาซึม ส่วนสิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรคาริโอต 9. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา ในเซลลจะมีไรโบโซม
การสังเคราะห์โปรตีนสามารถเกิดขึน้ ได้ เปนจํานวนมาก จึงมีการแปลรหัสพรอมกัน
3 ทันทีโดยที่ mRNA ทีส่ งั เคราะห์มาจาก หลายสายที่เรียกวา พอลิไรโบโซม
DNA จะถูกน�าไปแปลรหัสทันทีทั้ง ๆ
ที่กระบวนการถอดรหัสยังไม่สิ้นสุด อธิบายความรู

3′ 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
5′ สังเคราะหพอลิเพปไทด
รหัสหยุด 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การสังเคราะห
พอลิเพปไทด

59
การสังเคราะหโปรตีน

กิจกรรม 21st Centurey Skills สื่อ Digital


ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5 คน รวมกันสรางแบบจําลอง ครูใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง ดีเอ็นเอ
เรื่อง การสังเคราะหโปรตีน ที่ประกอบดวย สรางโปรตีนไดอยางไร? https://www.twig-aksorn.com/ffii lm/how-does-
•ï การถอดรหัส (translation) dna-make-protein-7932/
ï• การแปลรหัส (tanscription)
ใหนักเรียนอธิบายรายละเอียดของกระบวนการตางๆ ลงใน
แบบจําลอง และออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน

T69
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม เรื่อง DNA กับการ 1
ภายหลังการแปลรหัสจะได้โปรตีนออกมา ซึ่งเมื่อผ่านการจัดรูปร่างและการดัดแปลงต่าง ๆ
สังเคราะหโปรตีน ในชั้นเรียน โดยบันทึกลงใน จะได้โปรตีนทีส่ มบูรณ์พร้อมท�าหน้าทีต่ า่ ง ๆ เรียกกระบวนการเหล่านีว้ า่ กระบวนการดัดแปลงหลัง
สมุดของนักเรียน การแปลรหัส (post-translational modifications) ดังนี้
- กรดอะมิ โ นบางตั ว อาจถู ก ดั ด แปลงทางเคมี โ ดยการน� า ไปเชื่ อ มต่ อ กั บ โมเลกุ ล ของ
อธิบายความรู้ สารประกอบชนิดอื่น ๆ เช่น โมเลกุลของน�้าตาล ไขมัน หมู่ฟอสเฟต เป็นต้น
1. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกมาเฉลยกิจกรรม DNA - สายพอลิเพปไทด์อาจถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหรือมากกว่า เช่น โปรตีนอินซูลินจะถูก
กับการสังเคราะหโปรตีน ที่หนาชั้นเรียน สังเคราะห์เป็นสายพอลิเพปไทด์สายเดี่ยว แต่จะสามารถท�าหน้าที่ได้หลังจากมีเอนไซม์มาตัด
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยกิจกรรม DNA กับ ส่วนกลางของสาย ท�าให้ได้เป็นโปรตีนที่ประกอบขึ้นด้วยสายพอลิเพปไทด์สองสายเชื่อมกันด้วย
การสังเคราะหโปรตีน พันธะไดซัลไฟด์ เป็นต้น
โปรตีนที่ได้จากการแปลรหัสจะมีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกัน เช่น โปรตีนคอลลาเจนใน
ขัน้ สรุป สัตว์ทา� หน้าทีเ่ ป็นองค์ประกอบของโครงสร้าง หรือโปรตีนแอกตินและไมโอซินในกล้ามเนือ้ ท�าหน้าที่
ขยายความเข้าใจ เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เป็นต้น
ทั้งแบคทีเรียและสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอตจะมีไรโบโซมหลายตัวช่วยในการแปลรหัสของ
ครูใหนักเรียนทําผังสรุป เรื่อง การสังเคราะห mRNA พร้อม ๆ กัน โดย mRNA สายเดี่ยวถูกใช้สร้างพอลิเพปไทด์หลายสายพร้อมกัน
โปรตี น จากดี เ อ็ น เอ ซึ่ ง ประกอบด ว ยการ เมื่อไรโบโซมเคลื่อนที่ไปไกลผ่านโคดอนเริ่มต้น ไรโบโซมตัวที่สองสามารถเข้าจับกับ mRNA และ
ถอดรหัส (การสังเคราะห mRNA จาก DNA ท�างานต่อไปได้ ซึ่งเมื่อมองผ่านกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนจะมีลักษณะคล้ายลูกปัดตามเส้นด้าย
แมแบบ) และการแปลรหัส (การสังเคราะหสาย ลักษณะแบบนี้จะเรียกว่า พอลิไรโบโซม (polyribosome) หรือพอลิโซม (polysome) การท�างาน
พอลิเพปไทดจาก mRNA) แบบนี้จะช่วยให้เซลล์สามารถสร้างสายพอลิเพปไทด์ได้จ�านวนมากโดยใช้เวลาอย่างรวดเร็ว
ขัน้ ประเมิน อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรส DNA
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรือ่ ง การสังเคราะห
โปรตีนจากดีเอ็นเอ
พอลิเพปไทด์
2. ครูตรวจสอบผลจากกิจกรรม DNA กับการ
สังเคราะหโปรตีน
3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การสังเคราะห ไรโบโซม
DNA
4. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การสังเคราะห mRNA (ปลาย 5′)
พอลิไรโบโซม
mRNA จาก DNA
5. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การสังเคราะห ภาพที่ 5.24 การแปลรหัสแบบพอลิไรโบโซม
พอลิเพปไทด
60

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 โปรตีน มีบทบาทและหนาที่ที่แตกตางกันในรางกายสิ่งมีชีวิต เชน เซลลมีกระบวนการสังเคราะหพอลิเพปไทดในปริมาณสูง และ
- เปนองคประกอบของโครงสราง เชน คอลลาเจนและเคอราตินในสัตว รวดเร็วไดอยางไร
โปรตีนบริเวณผนังเซลลของพืช (วิเคราะหคาํ ตอบ ในเซลลจะประกอบดวยไรโบโซมเปนจํานวนมาก
- เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เชน แอกทินและไมโอซซินในกลามเนื้อ ทิวบูลิน จึงมีการแปลรหัสของ mRNA พรอม ๆ กัน ซึง่ mRNA สายเดีย่ วจะ
ในซิเลียหรือแฟลเจลลาในสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว ถูกใชสังเคราะหพอลิเพบไทดหลายสายพรอมกัน เมื่อไรโบโซม
- ทําหนาที่ในระบบภูมิคุมกัน เชน อิมมูโนโกบูลินในสัตว ตัวแรกเขามาจับกับสาย mRNA และเคลือ่ นทีผ่ า นจุดเริม่ ตนของ
- ควบคุมปฏิกริ ยิ าตางๆ ในสิง่ มีชวี ติ เชน เอนไซมในกระบวนการสังเคราะห การสังเคราะห ไรโบโซมตัวที่สองจะเขามาจับกับ mRNA และ
ดวยแสง เอนไซมในกระบวนการสลายสารอาหาร สังเคราะหพอลิเพปไทดตอ และจะมีไรโบโซมตัวอืน่ ๆ จะมาจับกับ
- ทําหนาทีใ่ นการติดตอสือ่ สารระหวางเซลลชนิดตางๆ เชน ฮอรโมนตางๆ mRNA ตอเชนกัน เรียกการสังเคราะหพอลิเพปไทดรูปแบบนี้วา
พอลิไรโบโซม หรือพอลิโซม)

T70
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
6. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
DNA และการสังเคราะหโปรตีน • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
จิตวิทยาศาสตร์
• ความมีเหตุผล

จงตอบค�าถามต่อไปนี้ • ความรอบคอบ แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม


1. 1.1 หมายเลข 1 คือ นิวคลีโอไทด
1. จงศึกษาภาพแสดงโครงสร้างของ DNA แล้วตอบค�าถามต่อไปนี้
1.2 หมายเลข 2 คือ หมูฟอสเฟต หมายเลข 3
7 คือ ไนโตรจีนสั เบส หมายเลข 4 คือ พันธะ
4 ไฮโดรเจน หมายเลข 5 คือ พันธะฟอสโฟ-
2
3 ไดเอสเทอร หมายเลข 6 คือ เบสคูสม
6 หมายเลข 7 คือ นํ้าตาลดีออกซีไรโบส
5
1.3 สาย DNA ทีป่ ลายมีหมูฟ อสเฟตอยูด า นบน
1 คือ ปลาย 5 ʹ สวนสาย DNA ที่ปลายเปน
ภาพที่ 5.25 นํ้าตาลดีออกซีไรโบส คือ ปลาย 3 ʹ
1.1 กรอบที่ลูกศรหมายเลข 1 ชี้คืออะไร ประกอบด้วยส่วนประกอบใดบ้าง 2. 2.1 3ʹ GCGATATCGCAAAGTCTGTCAGCT 5ʹ
1.2 หมายเลข 2-7 เป็นส่วนประกอบใดของ DNA
1.3 ปลายทั้งสองด้านของ DNA แต่ละสาย เป็นปลายด้านใดของ DNA 2.2 อาร จี นี น ไทโรซี น ซี รี น วาลี น ซี ลี น
2. mRNA มีล�าดับเบสเป็น 5′ CGCUAUAGCGUUUCAGACAGUCGA 3′ แอสพาราจีน ซีลนี อารจนี นี
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ 3. 3.1 โคดอนของ mRNA คือ 5ʹAAGUUAGUGUA
2.1 ล�าดับเบส DNA ในสายแม่แบบมีล�าดับอย่างไร UUGACAUGAUAGAAGCACUCUACUAUA
2.2 พอลิเพปไทด์สายนี้มีล�าดับกรดอะมิโนอย่างไร (ใช้รหัสพันธุกรรมจากตารางที่ 5.4) UUCUCAAUAGGUCCACGUGGACCUGUA
3. ก�าหนดให้สายพอลิเพปไทด์สายหนึ่งเป็น DNA แม่แบบ มีล�าดับเบส ดังนี้ UUGUGAGGUGAAUAUGAAAGGAAU
3′ TTCAATCACATAACTGTACTATCTTCGTGAGATGATATAAGAGTTATCCAGGTGCA
CCTGGACATAACACTCCACTTATACTTTCCTTACTCGTTTTACGGCGTCAAGT GAGCAAAAUGCCGCAGUUCAUUUGCG
AAACGCCAGTC 5′ GUCAG 3ʹ
3.1 ล�าดับโคดอนของ mRNA และแอนติโคดอนของ tRNA มีล�าดับอย่างไร แอนติ โ คดอนของ tRNA คื อ 3 ʹ UUCAAU
3.2 พอลิเพปไทด์สายนี้มีกรดอะมิโนกี่ตัว และมีล�าดับกรดอะมิโนอย่างไรบ้าง CACAUAAGUGUACUAUCUUCGUCAC
AUGAUAUAAGAGUUAUCCAG
อภิปรายผลกิจกรรม GUGCACCUGGACAUAACACUCCA
จากกิจกรรม จะสามารถถอดรหัสพันธุกรรมจาก DNA แม่แบบเป็น mRNA ซึ่งเบส C จะถอดรหัส CUUAUACUUUCCUUACUCGUUUUACGGC
ได้เบส G และเบส G จะถอดรหัสได้เบส C ส่วนเบส T จะถอดรหัสได้เบส A แต่เบส A จะถอดรหัสได้เบส GUCAAGUAAACGCCAGTC 5ʹ
U เนื่องจาก mRNA จะมีเบส U แทนเบส T อีกทั้งยังสามารถแปลรหัส mRNA ให้เป็นสายพอลิเพปไทด์ 3.2 เริม่ จาก AUG ตําแหนงที่ 79 จนถึงปลายสาย
โดยใช้ข้อมูลจากตารางรหัสพันธุกรรมของกรดอะมิโน ซึ่งจะสามารถอ่านล�าดับกรดอะมิโนที่อยู่ในสาย (ไมเจอรหัสหยุดการสังเคราะห) พอลิเพปไทดสาย
พอลิเพปไทด์ได้ นีจ้ งึ ประกอบกรดอะมิโนอยางนอย 14 ตัว ไดแก
ยีนและ 61 เมไทโอนีน ไลซีน ไกลซีน เมไทโอนีน ซีลนี ไลซีน
โครโมโซม
เมไทโอนีน โพรลีน กลูตามีน เฟนิลอะลานีน
ไอโซลิวซีน ซิสเตอีน ไกลซีน และกลูตามีน

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


จากตาราง แอนติโคดอนหมายเลข 1 2 และ 3 คือขอใด ตาม ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สมบัติของสารพันธุกรรม
ลําดับ ไดจากรายงาน ผังสรุป เรื่อง การสังเคราะหโปรตีนจากดีเอ็นเอ ที่นักเรียนทําใน
ขั้นขยายความเขาใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมิน
โคดอน 5’ AUG UUG CGU ACG UCA 3’
ผลงานที่อยูในแผนการจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 5
แอนติโคดอน 1. AAC 2. 3. AGU
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน แบบประเมิ
แบบประเมิ
นชิน้นชิงาน/ภาระงาน
้นงาน/ภาระงาน(รวบยอด)
(รวบยอด)แผนฯ
แผนทีฯ่ 1,ที่ 4,1 5

1. UCG GGA และ UCG 2. UAC GCA และ UGC คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ

ลาดับที่
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ
ระดับคะแนน
ระดับคะแนน

3. AGU ACG และ CGU 4. UUG CGA และ CGU 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน    ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา    1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย    2 ความถูกต้องของเนื้อหา
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ    3 ความคิดสร้างสรรค์

5. UAG GCA และ UGC


5 วิธีการนาเสนอผลงาน    4 ความตรงต่อเวลา
รวม รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ................./................../..................

(วิเคราะหคําตอบ แอนติโคดอนของ tRNA จะมีลําดับเบสเปน


............/................./................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
เกณฑ์การให้คะแนน 1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ

คูสมกับโคดอนของ mRNA โดยเบส A คูกับเบส U และเบส C


สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วน จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน จุดประสงค์ ใหญ่
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน 2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่

คูกับเบส G ดังนั้น หมายเลข 1. คือ UAC หมายเลข 2 คือ GCA 3. ความคิด


สร้างสรรค์

4. ความตรงต่อ
ผลงานแสดงถึงความคิด
สร้างสรรค์ แปลกใหม่
และเป็นระบบ
ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่
ผลงานแสดงถึงความคิด
สร้างสรรค์ แปลกใหม่
แต่ยังไม่เป็นระบบ
ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
ผลงานมีความน่าสนใจ
แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก
ใหม่
ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
ผลงานไม่มีความ
น่าสนใจ และไม่แสดง
ถึงแนวคิดแปลกใหม่
ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่

และหมายเลข 3 คือ UGC ดังนั้น ตอบขอ 2.)


เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
11-13 ดี ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
8-10 พอใช้ 14-16 ดีมาก
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง 11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T71
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูนาํ ภาพของคนผิวปกติและคนผิวเผือกมาให รหัสพันธุกรรม มีผลตอ 5. การกลาย
นักเรียนดู แลวถามคําถามนักเรียนวา การแสดงลักษณะตาง ๆ การเปลีย่ นแปลงทีส่ ง่ ผลกระทบต่อข้อมูลทางพันธุกรรมจะ
ï• ลักษณะผิวเผือกเกิดจากสาเหตุใด ของสิ่งมีชีวิตอยางไร
ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนในสิ่งมีชีวิต ซึ่งอาจมีผลท�าให้
(แนวตอบ ลักษณะผิวเผือกของมนุษยเกิดจาก
ลักษณะฟีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดลักษณะนั้น ๆ ไปยัง
การเปลี่ยนแปลงของรหัสพันธุกรรม ซึ่งเปน
สิ่งมีชีวิตรุ่นต่อไปได้ ซึ่งเรียกการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ว่า การกลาย
ลําดับเบสของนิวคลีโอไทดบนสายดีเอ็นเอ
ที่มีผลตอการสังเคราะหโปรตีนตางๆ เมื่อ การกลาย (mutation) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพของสิ่งมีชีวิต ท�าให้สิ่งมีชีวิตที่เกิด
รหั ส พั น ธุ ก รรมผิ ด ปกติ จ ะส ง ผลต อ การ ขึน้ ใหม่มลี กั ษณะแตกต่างจากรุน่ พ่อแม่ ซึง่ หากการกลายส่งผลต่อลักษณะของฟีโนไทป์ จะเรียกว่า
สังเคราะหโปรตีนที่ผิดปกติ ทําใหโปรตีน เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การกลายในสิ่งมีชีวิตแบ่งออก
ทํางานผิดปกติหรือไมสามารถทํางานได จึง เป็น 2 ระดับ ดังนี้
แสดงลักษณะที่แตกตางจากปกติออกมา) 5.1 การกลายระดับยีน
2. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน การกลายระดับยีน (gene mutation) เกิดการเปลีย่ นแปลงในระดับนิวคลีโอไทด์หนึง่ หรือสอง
ความรูของนักเรียน ล�าดับในยีน ถือว่าเป็นการกลายเฉพาะจุด (point mutation) หรือการกลายขนาดเล็ก (small-scale
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การเปลี่ยนแปลง mutation) หากเกิดขึ้นในเซลล์สืบพันธุ์ อาจส่งผ่านไปยังลูกหลานได้ การกลายระดับยีนแบ่งออก
ลักษณะตางๆ ของสิง่ มีชวี ติ ทีท่ าํ ใหเกิดลักษณะ เป็น 2 ชนิด ดังนี้
ที่แตกตางจากรุนพอแม เรียกวา การกลาย
1. การแทนที่คู่เบส (base-pair substitution) คือ การแทนที่คู่ของนิวคลีโอไทด์ตัวหนึ่ง
ด้วยนิวคลีโอไทด์อีกตัวหนึ่ง ซึ่งอาจมีผลต่อการแสดงลักษณะทางพันธุกรรมหรือไม่ก็ได้ เนื่องจาก
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
โคดอนหลายชนิดเป็นรหัสของกรดอะมิโนชนิดเดียวกัน เช่น โคดอน GUU GUC GUA และ
GUG เป็นโคดอนของกรดอะมิโนวาลีนเหมือนกัน ซึ่งหากเกิดการแทนที่ล�าดับนิวคลีโอไทด์
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา การกลายในสิง่ มีชวี ติ เช่น จาก GUU กลายเป็น GUG การเกิดมิวเทชันดังกล่าวย่อมไม่มีผลกระทบต่อลักษณะของ
แบงออกเปน 2 ระดับ ไดแก การกลายระดับยีน สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เพราะยังคงมีการสร้างสายพอลิเพปไทด์ที่ประกอบด้วยล�าดับกรดอะมิโนเช่นเดิม
และการกลายระดับโครโมโซม การแทนที่คู่เบส 3 แบบ ดังนี้
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการกลายระดับยีนจาก
1) การกลายแบบเงียบ (silent mutation) คือ การเปลีย่ นแปลงของคูเ่ บส แต่กรดอะมิโน
การแทนทีค่ เู บส ซึง่ การกลายประเภทนีอ้ าจไม
ทีไ่ ด้จากการถอดรหัสยังเป็นกรดอะมิโนชนิดเดิม จึงไม่สง่ ผลกระทบต่อลักษณะฟีโนไทป์ของสิง่ มีชวี ติ
ส ง ผลกระทบหรื อ อาจส ง ผลกระทบต อ สาย
พอลิเพปไทดก็ได ขึ้นอยูกับประเภทของการ 2) การกลายแบบเปลี่ยนรหัส (missense mutation) คือ การแทนที่คู่เบสที่ท�าให้เกิด
แทนทีค่ เู บส และตัวอยางลําดับนิวคลีโอไทดทมี่ ี การแปลรหัสเป็นกรดอะมิโนชนิดอื่น การกลายแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อโปรตีนได้ เนื่องจาก
การกลายแบบการแทนที่คูเบสทั้ง 3 รูปแบบ กรดอะมิโนตัวใหม่อาจมีคุณสมบัติแตกต่างจากกรดอะมิโนตัวเดิม ซึ่งอาจท�าให้โครงสร้างของ
โปรตีนเปลี่ยนแปลงและไม่สามารถท�าหน้าที่ได้
62

ขอสอบเนน การคิด
DNA สายหนึง่ มีลาํ ดับเบส ดังนี้ 3ʹ TACACGTTACGTCTT 5ʹ หากมีการแทนทีค่ เู บสในตําแหนงที่ 8
(จากดาน 3ʹ) จากเบส T เปนเบส A จัดเปนการแทนที่คูเบสแบบใด
(วิเคราะหคําตอบ DNA สายปกติ
DNA 3 ʹ TACACGTTACGTCTT 5 ʹ
mRNA 5 ʹ AUGUGCAAUGCAGAA 3 ʹ
กรดอะมิโน Met-Cys-Asn-Ala-Glu
DNA ที่กลาย
DNA 3 ʹ TACACGTAACGTCTT 5 ʹ
mRNA 5 ʹ AUGUGCAUUGCAGAA 3 ʹ
กรดอะมิโน Met-Cys- le-Ala-Glu
DNA สายนี้มีการกลายแบบเปลี่ยนรหัส (missense mutation) ทําใหกรดอะมิโนเปลี่ยนจาก Asn
เปน le)

T72
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
3) การกลายเปนรหัสหยุด (nonsense mutation) คือ การแทนที่คู่เบสที่ท�าให้เกิด
การถอดรหัสเป็นรหัสหยุด ซึ่งท�าให้การแปลรหัสหยุดลง พอลิเพปไทด์ที่ได้จะมีขนาดสั้นกว่า •ï การกลายระดับยีนจากการแทนทีค่ เู บสจะสง
พอลิเพปไทด์ปกติ ส่วนใหญ่การกลายเป็นรหัสหยุดจะส่งผลให้โปรตีนไม่สามารถท�าหน้าที่ได้ และ ผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตเสมอไปหรือไม
ท�าให้เซลล์ผิดปกติ (แนวตอบ การกลายระดับยีนจากการแทนที่
DNA ปกติ คูเ บสอาจสงไมสง ผลกระทบตอลักษณะของ
DNA 3′ 5′ DNA ปกติ สามารถถอดรหัสและ สิง่ มีชวี ติ เสมอไป เนือ่ งจากหากมีการแทนที่
mRNA 5′ 3′ แปลรหัสเป็นกรดอะมิโน 4 ชนิด คือ
เมไทโอนีน ไลซีน เฟนิลอะลานีน และ คูเ บส แตสามารถถอดรหัสและแปลรหัสเปน
โปรตีน รหัสหยุด
ไกลซีน กรดอะมิโนชนิดเดิมจะไมมีผลตอการกลาย
ระดับยีน)
4. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา การกลายระดับยีน
การกลายแบบเงียบ จากการแทนที่คูเบสมีหลายรูปแบบ ซึ่งบาง
การแทนที่เบส G ด้วยเบส A การแทนที่เบส G ด้วยเบส A ท�าให้
DNA 3′ 5′
ล�าดับนิวคลีโอไทด์เปลี่ยนแปลงจาก รูปแบบจะไมสง ผลกระทบตอลําดับนิวคลีโอไทด
mRNA 5′ 3′ CCG เป็น CCA แต่ถอดรหัสและ คือ การกลายแบบเงียบ เนือ่ งจากจะมีการแปลรหัส
โปรตีน รหัสหยุด แปลรหัสเป็นกรดอะมิโนชนิดเดิม คือ เปนกรดอะมิโนชนิดเดิม แตการกลายแบบ
ไกลซีน จึงไม่มผี ลต่อสายพอลิเพปไทด์
เปลีย่ นรหัส และการกลายเปนรหัสหยุดจะสงผล
กระทบตอสายพอลิเพปไทดทไี่ ดเสมอ เนือ่ งจาก
การกลายแบบเปลี่ยนรหัส
การแทนที่เบส C ด้วยเบส T การแทนที่เบส C ด้วยเบส T ท�าให้ จะแปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดอื่น หรือเปน
DNA 3′ 5′ รหัสหยุดการสังเคราะห
ล�าดับนิวคลีโอไทด์เปลี่ยนแปลงจาก
mRNA 5′ 3′ CCG เป็ น TCG ส่ ง ผลต่ อ การ
โปรตีน รหัสหยุด ถอดรหัสและแปลรหัสของกรดอะมิโน
จากเดิม คือ ไกลซีน เป็นซีลีน

การกลายเปนรหัสหยุด
การแทนที่เบส T ดวยเบส A
DNA 3′ 5′
การแทนที่เบส T ด้วยเบส A ท�าให้
ล� า ดั บ นิ ว คลี โ อไทด์ เ ปลี่ ย นแปลง
mRNA 5′ 3′ จาก TTC เป็น ATC ส่งผลต่อการ
โปรตีน รหัสหยุด ถอดรหัสและแปลรหัสของกรดอะมิโน
จากเดิมคือ ไลซีน เป็นรหัสหยุด

ภาพที่ 5.26 ตัวอย่างการกลายแบบแทนที่เบสของล�าดับนิวคลีโอไทด์

ยีนและ 63
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


การกลายจากการแทนที่คูเบสจึงไมสงผลกระทบตอลักษณะ 1 การแทนที่คูเบส เกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้
ของสิ่งมีชีวิต - การเปลี่ยนคูของเบสพิวรินกับเบสไพริมิดีนในโมเลกุลของ DNA ที่เกิด
(วิเคราะหคําตอบ เนื่องจากโคดอนหลายชนิดเปนรหัสพันธุกรรม ขึ้นระหวางการสราง DNA ในระยะอินเตอรเฟส
ของกรดอะมิโนชนิดเดียวกัน ซึง่ การแทนทีค่ เู บสอาจทําใหเกิดการ - การเปลี่ยนแปลงโครงสรางภายในโมเลกุลของเบส ทําใหสมบัติทางเคมี
แปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดเดิม จึงไมสงผลกระทบตอลักษณะ ในเชิงจับคูเปลี่ยนไป เชน เบสอะดีนีน (A) เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเปน
ของสิง่ มีชวี ติ เรียกการแทนทีค่ เู บสรูปแบบนีว้ า การกลายแบบเงียบ รูปใหมแลวจะไปจับคูกับเบสไซโทซีน (C) รูปปกติ แทนที่อะดีนีนจะจับ
(silent mutation)) คูกับไทมีน (T) ตามปกติ

T73
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูใหนักเรียนศึกษาโรคโลหิตจางแบบเม็ด - ตัวอย่างการกลายที่เกิดจากการแทนที่คู่เบส เช่น Biology
เลือดแดงรูปเคียว ซึ่งเปนตัวอยางการกลาย โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle-cell disease) in real life
จากการแทนที่คูเบส เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ควบคุม1ด้วยแอลลีลด้อย โดยมีความ โดยทัว่ ไปโรคโลหิตจางแบบเม็ด
เลือดแดงรูปเคียว จะพบมากใน
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา ผิดปกติของโปรตีนเฮโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งมี กลุม่ คนแอฟริกนั ซึง่ เป็นเขตทีม่ ี
•ï โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียวเกิด ลักษณะเป็นรูปเคียวท�าให้ไม่สามารถน�าออกซิเจนได้ตามปกติ การระบาดของเชื้อไข้มาลาเรีย
จากการแทนทีค่ เู บสประเภทใด และมีผลตอ ความผิดปกตินี้เกิดจากการกลายของคู่นิวคลีโอไทด์ 1 ต�าแหน่ง สูง เนือ่ งจากเซลล์เม็ดเลือดแดง
สิ่งมีชีวิตอยางไร ในยีนจาก 3′-CTC- 5′ เป็น 3′-CAC- 5′ จึงเกิดความผิดปกติ รู ป เคี ย วไม่ เ หมาะสมต่ อ การ
ของการแปลรหัสของกรดอะมิโน 1 ต�าแหน่ง ซึ่งในคนปกติจะ เจริญของเชื้อไข้มาลาเรีย จึง
(แนวตอบ การกลายแบบเปลี่ยนรหัส จาก
แปลรหัสได้กรดอะมิโนชนิดกรดกลูตามิก (glutamic acid) แต่คน พบว่า ส่วนใหญ่ของประชากร
3 ʹ-CTC-5 ʹ เปน 3 ʹ-CAC-5 ʹ ซึ่งจากเดิม กลุ ่ ม นี้ ที่ อ ยู ่ ร อดจะมี จี โ นไทป์
ถอดรหัสและแปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิด ที่เป็นโรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียวจะแปลรหัสได้ เป็นแบบเฮเทอโรไซกัส
กรดกลู ต ามิ ก แต ลํ า ดั บ เบสใหม ทํ า ให กรดอะมิโนชนิดวาลีน (valine) จึงท�าให้การแปลรหัสเพื่อการ
ถอดรหัสและแปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิด สังเคราะห์โปรตีนเฮโมโกลบินผิดปกติ ส่งผลต่อลักษณะของ
เซลล์เม็ดเลือดแดง
วาลี น และจะมี ผ ลต อ ลั ก ษณะของเซลล
เม็ดเลือดแดงซึ่งจะมีลักษณะเปนรูปเคียว ล�าดับนิวคลีโอไทด์ของคนปกติ
DNA 3′ C A C GTG GAC TGA GGA CTC C T C 3′
ทํ า ให ค วามสามารถในการลํ า เลี้ ย งแก ส mRNA 5′ G U G CAC CUG ACU CCU GAG G A G 5′
ออกซิเจนไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย วาลีน ฮีสทีดีน ลิวซีน ทรีโอนีน โพรลีน กรดกลูตามิก
กรดกลูตามิก
ล�าดับกรดอะมิโน (ปกติ)
ลดลง)
ล�าดับนิวคลีโอไทด์ของผู้ปวยโรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว
DNA 3′ C A C G T G G A C T G A G G A C A C C T C 3′
อธิบายความรู mRNA 5′ G U G C A C C U G A C U C C U G U G G A G 5′
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ ล�าดับกรดอะมิโน วาลีน ฮีสทีดีน ลิวซีน ทรีโอนีน โพรลีน วาลีน
กรดกลูตามิก
(กลายพันธุ์)
กลายระดับยีนจากการแทนที่คูเบส
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับสาเหตุ
ของโรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว
3. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การกลายระดับ
ยีนจากการแทนที่คูเบส
เม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดแดงปกติ รูปเคียว

ภาพที่ 5.27 การกลายเฉพาะจุดแบบการแทนที่คู่เบส ท�าให้เปลี่ยนล�าดับกรดอะมิโนจากชนิดกรดกลูตามิก


เป็นวาลีน ส่งผลต่อโปรตีนเฮโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง

64

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 เฮโมโกลบิน เปนโปรตีนสําคัญในเซลลเม็ดเลือดแดง ชวยนําออกซิเจนไป โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียวเกิดจากการกลาย
เลีย้ งสวนตางๆ ของรากาย มีองคประกอบสําคัญ คือ ฮีม (heme) ซึง่ มีธาตุเหล็ก รูปแบบใด เพราะเหตุใด
(Fe) เปนสวนประกอบ ทําหนาที่จับและปลอยแกสออกซิเจน และสายโกลบิน (วิเคราะหคาํ ตอบ โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียวเกิดจาก
เปนโปรตีนเสนยาวที่ขดพันกันอยู โดยแตละสายมีฮีมติดอยู 1 อณู ดังนั้น การกลายประเภทการแทนที่คูเบส แบบการกลายแบบเปลี่ยนรหัส
เฮโมโกลบิน 1 โมเลกุล จึงประกอบดวยฮีม 4 อณู และสายโกลบิน 4 สาย ซึง่ ปกติจะมีลาํ ดับเบสเปน 3 ʹ CTC 5 ʹ ทีแ่ ปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิด
กรดกลูตามิก แตผปู ว ยโรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียวจะ
มีลําดับเบสเปน 3 ʹ CAC 5 ʹ ที่แปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดวาลีน
ซึ่งจะมีผลตอโปรตีนเฮโมโกลบินของเซลลเม็ดเลือดแดง)

T74
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. การเพิม่ ขึน้ หรือขาดหายของนิวคลีโอไทด์ (insertion or deletion of nucleotide) คือ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาการกลายระดับยีนจาก
การเพิม่ ขึน้ หรือขาดหายไปของนิวคลีโอไทด์ในยีน และจะส่งผลร้ายแรงกว่าการแทนทีค่ เู่ บส เนือ่ งจาก การเพิ่มขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
อาจเปลี่ยนการอ่านข้อมูลพันธุกรรมที่เป็นรหัสสามตัวของนิวคลีโอไทด์ที่เรียงต่อกันบน mRNA •ï การกลายระดั บ ยี น จากการเพิ่ ม ขึ้ น หรื อ
1
ระหว่างการแปลรหัส การกลายแบบนี้เรียกว่า การกลายแบบเลื่อนกรอบ (frameshift mutation) ขาดหายของนิวคลีโอไทดจะสงผลกระทบตอ
โดยจ�านวนของนิวคลีโอไทด์ที่มีการเพิ่มขึ้นหรือขาดหายไป ท�าให้นิวคลีโอไทด์ที่อยู่ถัดไปจาก สิ่งมีชีวิตเสมอไปหรือไม
ต�าแหน่งเดิมถูกจัดกลุม่ ของโคดอนแบบไม่เหมือนเดิม ซึง่ อาจท�าให้เกิดการกลายแบบเปลีย่ นรหัส (แนวตอบ จะสงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตเสมอ
หรือการกลายเป็นรหัสหยุด ถ้าการเกิดการกลายแบบเลือ่ นกรอบไม่ได้อยูท่ ปี่ ลายสุดของยีน โปรตีน เนือ่ งจากลําดับนิวคลีโอไทดจะมีการจัดกลุม
ที่ได้ออกมาส่วนใหญ่จะไม่สามารถท�าหน้าที่ได้ ของโคดอนใหม ซึ่งอาจทําใหเกิดการกลาย
DNA ปกติ
แบบเปลีย่ นรหัส หรือการกลายเปนรหัสหยุด)
DNA 3′ 5′ DNA ปกติ สามารถถอดรหัสและแปลรหัส • การกลายระดับยีนจากการแทนทีค่ เู บส และ
mRNA 5′ 3′ กรดอะมิโน 4 ชนิด คือ เมไทโอนีน ไลซีน จากการเพิม่ ขึน้ หรือขาดหายของนิวคลีโอไทด
โปรตีน รหัสหยุด เฟนิลอะลานีน และไกลซีน การกลายแบบใดมีผลรายแรงตอสิ่งมีชีวิต
มากกวากัน เพราะเหตุใด
การเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด์ A
นิวคลีโอไทดเพิ่มขึ้น (แนวตอบ การกลายระดับยีนจากการเพิ่ม
การเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด์ A ท�าให้ ขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด เนื่องจาก
DNA 3′ 5′
เปลีย่ นแปลงล�าดับนิวคลีโอไทด์จาก TTC
การเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด์ U เป็น ATT ส่งผลต่อการถอดรหัสและ การจั ด กลุ  ม ใหม ข องโคดอนจะส ง ผลต อ
mRNA 5′ 3′
แปลรหัสของกรดอะมิโนจากไลซีน เป็น พอลิเพปไทดทถี่ กู สังเคราะหขนึ้ แตการแทนที่
โปรตีน รหัสหยุด รหัสหยุด คูเบส อาจจะสงผลหรือไมสงผลตอสาย
นิวคลีโอไทดขาดหาย
พอลิ เ พปไทด ขึ้ น อยู  กั บ รู ป แบบการกลาย
DNA 3′
การขาดหายของนิวคลีโอไทด์ A
การขาดหายไปของนิวคลีโอไทด์ A ท�าให้ แตละประเภท)
5′
การขาดหายของนิวคลีโอไทด์ U
เปลี่ ย นแปลงล� า ดั บ นิ ว คลี โ อไทด์ จ าก 3. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เมือ่ เซลลเกิดความ
mRNA 5′ 3′ AAA เป็น AAC ส่งผลต่อการถอดรหัส ผิ ด พลาดจากการกลายระดั บ ยี น เซลล จ ะ
และแปลรหัสของกรดอะมิโนจากเฟนิล-
โปรตีน
อะลานีนเป็นลิวซีน รวมถึงกรดอะมิโน สามารถแกไขการกลายนั้นๆ ได แตถาเซลล
ตัวถัดไปด้วย ไมสามารถแกไขไดสําเร็จ ลําดับนิวคลีโอไทด
นัน้ จะถูกใชเปนแมแบบในการจําลองตัวเองใน
ภาพที่ 5.28 ตัวอย่างการกลายแบบการเพิ่มขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด์
รอบตอไป
การกลายแบบนี้เกิดขึ้นได้จากความผิดพลาดระหว่างการจ�าลองตัวเองของ DNA น�าไปสู่ อธิบายความรู้
การแทนที่คู่เบส การเพิ่มขึ้น หรือการขาดหายไปของนิวคลีโอไทด์ได้ โดยทั่วไปความผิดพลาด
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ดังกล่าวจะถูกแก้ไขโดยการซ่อมแซมภายในเซลล์ แต่ถา้ การซ่อมแซมนัน้ ไม่สา� เร็จ ล�าดับนิวคลีโอไทด์
กลายระดับยีนจากการเพิ่มขึ้นหรือขาดหาย
ที่ไม่ถูกต้องก็อาจถูกใช้เป็นแม่แบบในการจ�าลองตัวเองในรอบต่อไป เรียกว่า การกลายตาม
ของนิวคลีโอไทด
ธรรมชาติ (spontaneous mutation)
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การกลายระดับ
ยีนและ 65 ยีนจากการเพิม่ ขึน้ หรือขาดหายของนิวคลีโอไทด
โครโมโซม
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


เพราะเหตุใดการเพิ่มขึ้นหรือการขาดหายของนิวคลีโอไทดจึง 1 การกลาย พบทั้งเซลลรางกายและเซลลสืบพันธุ ซึ่งสามารถถายทอดการ
มักสงผลกระทบตอลักษณะของสิ่งมีชีวิต กลายนัน้ ๆ หรือไมกไ็ ด เนือ่ งจากการการกลายทีเ่ กิดขึน้ กับเซลลสบื พันธุ ยีนทีเ่ กิด
(วิเคราะหคําตอบ การเพิ่มขึ้นหรือการขาดหายของนิวคลีโอไทด การกลายจะสามารถสงตอไปยังลูกหลานไดโดยตรง แตการกลายทีเ่ กิดกับเซลล
ทําใหมกี ารจัดกลุม ของโคดอนใหมทมี่ ลี กั ษณะแตกตางจากโคดอน รางกาย ก็ขึ้นอยูกับวาเซลลรางกายชนิดนั้นจะมีการพัฒนาใหเกิดการสืบพันธุ
เดิม ซึง่ อาจทําใหมกี ารแปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดใหม หรือทําให ไดหรือไม เซน หากเกิดการกลายกับเนื้อเยื่อบริเวณตาขางของพืช ซึ่งเปนเซลล
การแปลรหัสหยุดลงเร็วกวาปกติ สงผลใหสายพอลิเพปไทดที่ได รางกายทีส่ ามารถพัฒนาเปนกิง่ เมือ่ นํากิง่ มาขยายพันธุต อ จะไดพชื ทีม่ พี นั ธุกรรม
มีลําดับกรดอะมิโนผิดปกติ หรือสายพอลิเพปไทดสั้นกวาปกติ ตางไปจากเดิม เปนตน
ซึ่งจะไมสามารถทําหนาที่ได ดังนั้น การเพิ่มขึ้นหรือการขาดหาย
ของนิวคลีโอไทดจงึ มักสงผลกระทบตอลักษณะของสิง่ มีชวี ติ เสมอ)

T75
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ 5.2 การกลายระดับโครโมโซม
ยี น เป น การกลายของยี น ส ว นน อ ย แต ก าร การกลายระดับโครโมโซม (chromosomal mutation) เป็นการกลายทีเ่ กิดจากการเปลีย่ นแปลง
กลายอีกประเภทหนึ่งจะสงผลตอยีนจํานวน ของโครโมโซมซึ่งจะมีผลต่อยีนจ�านวนมาก สิ่งมีชีวิตที่มีความผิดปกติมักแสดงอาการมากกว่า
มาก คือ การกลายระดับโครโมโซม แบงออก 1 อาการ จึงเรียกความผิดปกติที่เกิดจากการกลายระดับโครโมโซมนี้ว่า กลุ่มอาการ (syndrome)
เปนการเปลีย่ นแปลงรูปรางโครโมโซม และการ การกลายระดับโครโมโซมแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
เปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซม 1. การเปลีย่ นแปลงรูปร่างของโครโมโซม เป็นการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดกับสายโครโมโซม
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาการกลายระดับโครโมโซม ซึ่งสามารถเกิดได้หลายรูปแบบ ดังนี้
จากการเปลี่ยนแปลงรูปรางโครโมโซม 1) การขาดหาย (deletion) คือ การขาดหายของส่วนใดส่วนหนึ่งของแท่งโครโมโซม
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ ส่งผลให้ยีนบริเวณนั้นขาดหายไป ดังนี้
โครโมโซมจากการเปลี่ ย นแปลงรู ป ร า ง A B C D E F G H A B C E F G H
โครโมโซมจะมีผลทําใหบางสวนของโครโมโซม
ขาดหายไป เพิ่มขึ้นมา หรือสลับชิ้นสวนกัน ภาพที่ 5.29 การขาดหายของโครโมโซม
4. ครูใหนกั เรียนศึกษาการกลายระดับโครโมโซม 1
2) การเพิ่มซ�า้ (duplication) คือ การเพิ่มส่วนของแท่งโครโมโซม โดยส่วนที่เพิ่มขึ้น
จากการการเปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซม มีความซ�้าซ้อนกับส่วนที่มีอยู่บนแท่ง ท�าให้ยีนบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น ดังนี้
A B C D E F G H A B C B C D E F G H

ภาพที่ 5.30 การเพิ่มซ�้าของโครโมโซม


3) อินเวอร์ชัน (inversion) คือ การเปลี่ยนสลับชิ้นส่วนบนแท่งโครโมโซม ท�าให้ล�าดับ
ของยีนบนแท่งโครโมโซมเปลี่ยนไป ดังนี้
A B C D E F G H A D C B E F G H

ภาพที่ 5.31 การสลับชิ้นส่วนของโครโมโซม


4) การเคลื่อนย้าย (translocation) คือ การย้ายที่หรือแลกสลับชิ้นส่วนระหว่างแท่ง
โครโมโซมที่ไม่ได้เป็นโครโมโซมคู่เหมือนกัน ดังนี้
A B C D E F G H M N O C D E F G H

M N O P Q R A B P Q R

ภาพที่ 5.32 การเคลื่อนย้ายหรือสลับชิ้นส่วนระหว่างแท่งของโครโมโซม


66

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 การเพิ่มซํ้า ของโครโมโซมมักเปนยีนที่ไมสามารถทําหนาที่ได เพราะยีน เพราะเหตุใดการกลายระดับโครโมโซมจึงสงผลกระทบมากกวา
เดิมทําหนาทีอ่ ยูแ ลว แตเมือ่ กาลเวลาผานไป ยีนทีเ่ พิม่ ขึน้ อาจมีการเปลีย่ นแปลง การกลายระดับยีน
ภายในโมเลกุล DNA เล็กนอย จนกลายเปนซํา้ ของยีนใหมทที่ าํ หนาทีไ่ ด ซึง่ สงผลให (วิเคราะหคาํ ตอบ การกลายระดับโครโมโซม เปนการกลายทีเ่ กิด
สิง่ มีชวี ติ มีความแตกตางจากบรรพบุรษุ ดังนัน้ การเพิม่ ยีนหรือสวนของโครโมโซม ขึน้ กับยีนจํานวนมาก จึงแสดงความผิดปกติมากกวาการกลายระดับ
มักสงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตนอยกวาการขาดหายของโครโมโซม ยีนที่เกิดจากการกลายของยีนบางยีนเทานั้น ซึ่งการกลายระดับ
โครโมโซมจะแสดงความผิดปกติมากกวา 1 อาการ จึงเรียกความ
ผิดปกติที่เกิดจากการกลายระดับโครโมโซมวา กลุมอาการ เชน
กลุมอาการดาวน ที่เกิดจากจํานวนโครโมโซมคูที่ 21 เกินมา 1
โครโมโซม กลุม อาการพาทัว ทีเ่ กิดจากจํานวนโครโมโซมคูท ี่ 13
เกินมา 1 โครโมโซม เปนตน)

T76
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. การเปลี่ยนแปลงจ�านวนโครโมโซม เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้น 5. ครูถามคําถามนักเรียนวา
หรือลดลงของจ�านวนโครโมโซมจากจ�านวนปกติ ซึ่งการเปลี • สาเหตุสําคัญที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง
1 ่ยนแปลงจ�านวนโครโมโซมที่เกิดขึ้น
เนื่องจากในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เส้นใยสปินเดิลจะแยกโครโมโซมไปยังเซลล์ลูก แต่บาง จํานวนโครโมโซม คือสาเหตุใด
ครั้งอาจมีความผิดพลาดระหว่างการแบ่งเซลล์ ที่เรียกว่า การไม่แยกจากกัน (nondisjunction) (แนวตอบ ความผิดพลาดระหวางการแบง
ท�าให้คู่ของฮอมอโลกัสโครโมโซมแยกตัวผิดปกติระหว่2างไมโอซิส I หรือซิสเตอร์โครมาทิดไม่แยก เซลลแบบไมโอซิส เกิดจากการไมแยกจากกัน
ออกจากกันระหว่างไมโอซิส II ท�าให้เซลล์สืบพันธุ์หนึ่งได้รับโครโมโซมชนิดเดียวกันสองแท่ง ของฮอมอโลกัสโครโมโซมระหวางไมโอซิส I
และอีกเซลล์สืบพันธุ์ไม่มีโครโมโซม ดังนี้ หรื อ การไม แ ยกจากกั น ของซิ ส เตอร
ไมโอซิส I โครมาทิดระหวางไมโอซิส II ทําใหเซลล
สืบพันธุไดรับโครโมโซมมากกวาหรือนอย
กวาปกติ)
การไม่แยกจากกัน 6. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ
ไมโอซิส II โครโมโซมจากการเปลี่ ย นแปลงจํ า นวน
โครโมโซม เปนผลจากความผิดพลาดของ
เซลลที่เกิดขึ้นระหวางการแบงเซลล เรียกวา
การไมแยกจากกัน พบทั้งความผิดปกติของ
การไม่แยกจากกัน การแบงเซลลระยะไมโอซิส I ที่ฮอมอโลกัส
เซลล์สืบพันธุ์ โครโมโซมไมแยกจากกัน และความผิดปกติ
ของการแบงเซลลระยะไมโอซิส II ที่ซิสเตอร
โครมาทิดไมแยกจากกัน ทําใหเซลลสืบพันธุ
n+1 n+1 n-1 n-1 n+1 n-1 n n
บางเซลล มี จํ า นวนโครโมโซมมากขึ้ น และ
จ�านวนโครโมโซม
บางเซลลมีจํานวนโครโมโซมลดลง
การไม่แยกจากกันของฮอมอโลกัส- การไม่แยกจากกันของซิสเตอร์โครมาทิด
โครโมโซมระหว่างไมโอซิส I ระหว่างไมโอซิส II
อธิบายความรู้
ภาพที่ 5.33 การไม่แยกจากกันของโครโมโซมในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
B iology 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
Focus สิ่งกอการกลาย กลายระดับโครโมโซม
สิง่ ก่อการกลายหรือมิวทาเจน (mutagen) เป็นสิง่ กระตุน้ หรือสิง่ ชักน�าให้เกิดมิวเทชัน แบ่งออก 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
เป็น 2 ประเภท ได้แก่ สิ่งก่อการกลายทางกายภาพ (physical mutagen) เช่น อุณหภูมิ รังสีเอกซ์ ชีววิทยา ม.4 เลม 2
3 เป็นต้น และสิ่งก่อการกลายทางเคมี (chemical mutagen) เช่น
รังสีแกมมา รังสีอัลตราไวโอเลต
ควันบุหรี่ สารอะฟาทอกซิน (สารเคมีจากเชื้อรา) สารไนโตรซามีน เป็นต้น

ยีนและ 67
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


โรคทางพันธุกรรมในขอใดที่เกิดจากปรากฏการณนอนดิสจังชัน 1 เสนใยสปนเดิล (spiden fif iber) เปนเสนใยที่เชื่อมโยงระหวางขั้วเซลลกับ
1. โรคฮีโมฟเลีย 2. โรคธาลัสซีเมีย ไคนีโทคอรของแตละโครโมโซมในระหวางการแบงเซลล ซึ่งจะเกิดขึ้นในระยะ
3. กลุมอาการดาวน 4. กลุมอาการคริดูชาต โพรเฟสของการแบงเซลล
5. โรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงรูปเคียว 2 เซลลสืบพันธุ หากเซลลสืบพันธุที่ผิดปกติจากการไมแยกจากกันไดรับ
(วิเคราะหคาํ ตอบ ปรากฏการณนอนดิสจังชัน เปนการไมแยกจาก การผสมพันธุ จะทําใหไซโกตมีจํานวนโครโมโซมที่ผิดปกติ เชน มอนอโซมิก
กันของโครโมโซมในระหวางการแบงเซลลแบบไมโอซิส ทําใหบาง (monosomic) มีโครโมโซมเปน 2n-1 หากเกิดการปฏิสนธิจะทําใหเกิดไซโกต
เซลลมีจํานวนโครโมโซมมากกวาปกติ และบางเซลลมีจํานวน ที่ขาดโครโมโซม หรือไตรโซมิก (trisomic) มีโครโมโซมเปน 2n+1 หากเกิดการ
โครโมโซมนอยกวาปกติ เชน กลุม อาการดาวน ทีเ่ กิดจากโครโมโซม ปฏิสนธิจะทําใหเกิดไซโกตที่มีโครโมโซมเกิน
คูที่ 21 เกินมา 1 โครโมโซม ดังนั้น ตอบขอ 3.) 3 สารอะฟาทอกซิน เปนสารที่ถูกผลิตจากเชื้อราบางชนิด เชน A. flavus
A. parasiticus มักพบปนเปอนในผลผลิตทางการเกษตร เชน ถั่วลิสง ขาวโพด
กระเทียม เปนตน ซึ่งสารอะฟาทอกซินเปนสารกอการกลายของยีนที่เปนผล
ทําใหเกิดโรคมะเร็งตับ

T77
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางการกลายระดับ การกลายทีเ่ กิดจากความผิดปกติในระดับโครโมโซมอาจทําใหเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม
โครโมโซมที่ทําใหเกิดโรคทางพันธุกรรม เชน ได เชน
กลุมอาการคริดูชาต กลุมอาการดาวน • กลุมอาการคริดูชาต (Cri du chat
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา syndrome) เปนความผิดปกติของโครโมโซม
•ï กลุมอาการคริดูชาตและกลุมอาการดาวน คูที่ 5 ผิดปกติ 1 โครโมโซม โดยมีสวนหนึ่ง
เกิดจากการกลายระดับโครโมโซมประเภท ของโครโมโซมขาดหายไปทําใหแขนขางสั้น
ใด และมีลักษณะอยางไร ของโครโมโซมสั้นกวาปกติ ผูปวยจะมีลักษณะ
อาการ คือ ปญญาออน ศีรษะเล็กกวาปกติ
(แนวตอบ กลุมอาการคริดูชาตเกิดจากการ
การเจริญเติบโตชา หนากลม ใบหูอยูต าํ่ กวาปกติ
กลายระดับโครโมโซมจากการเปลี่ยนแปลง และมีเสียงรองแหลมคลายเสียงแมวรองซึ่ง
รูปรางโครโมโซม ซึ่งโครโมโซมคูที่ 5 มี เปนที่มาของชื่อกลุมอาการ พบประมาณ 1 ใน ภาพที่ 5.34 แผนภาพคาริโอไทปความผิดปกติของผูปวย
สวนหนึ่งของแขนขางสั้นขาดหายไป สวน 50,000 คนของทารกแรกเกิด และพบในเด็ก กลุมอาการคริดูชาต
กลุมอาการดาวนเกิดจากการกลายระดับ หญิงมากกวาเด็กชาย ในอัตราสวน 2:1
โครโมโซมจากการเปลี่ ย นแปลงจํ า นวน • กลุม อาการดาวน (Down’s syndrome)
โครโมโซม ซึ่งโครโมโซมคูที่ 21 เกินมา เปนความผิดปกติของโครโมโซมคูท ี่ 21 เกินมา
1 โครโมโซม) 1 โครโมโซม เปนทัง้ หมด 47 โครโมโซม ผูป ว ย
จะมีลักษณะอาการ คือ รูปรางเตี้ย ตาหาง
หางตาชีข้ นึ้ ลิน้ โตคับปาก คอสัน้ กวาง นิว้ มือนิว้
เทาสัน้ ปญญาออน พบประมาณ 1 ใน 800 คน
ของทารกแรกเกิด และกลุมผูปวยจะมีหนาตา
คลายกันทุกเชื้อชาติ มักพบในมารดาที่มีอายุ
ประมาณ 35 ป ขึ้นไป ภาพที่ 5.35 แผนภาพคาริโอไทปความผิดปกติของผูปวย
กลุมอาการดาวน
B iology 1
Focus การทําคารีโอไทป์
การทําคารีโอไทป (karyotype) เปนการศึกษารายละเอียด
ของโครโมโซมแตละแทงในนิวเคลียสของเซลลสิ่งมีชีวิต โดยศึกษา
ทั้งจํานวนและรูปรางของโครโมโซม ซึ่งการทําคารีโอไทปนิยมใช
โครโมโซมในระยะเมทาเฟส เพราะเปนระยะที่สามารถมองเห็น
โครโมโซมแตละแทงไดอยางชัดเจน เนือ่ งจากโครโมโซมมีการหดตัว
ภาพที่ 5.36 โครโมโซมระยะ
มากที่สุด มีขนาดใหญที่สุด และจะเรียงตัวอยูบริเวณกึ่งกลางเซลล เมทาเฟส

68

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 คารีโอไทป เปนแผนภาพของโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ ที่นํามา “ผูปวยมีอาการปญญาออน ศีรษะเล็กกวาปกติ ใบหูอยูตํ่ากวา
จัดเรียงกันเปนกลุม ตามขนาดและตําแหนงของเซนโทรเมียร เชน โครโมโซมของ ปกติ และมีเสียงรองคลายเสียงแมว” จากลักษณะอาการขางตน
มนุษย มีจํานวนโครโมโซมทั้งหมด 23 คู ประกอบดวยโครโมโซมรางกาย 22 คู เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมใด และผิดปกติอยางไร
และโครโซมเพศ 1 คู 1. โครโมโซมคูที่ 5 มีจํานวนลดลง 1 โครโมโซม
2. โครโมโซมคูที่ 21 มีจํานวนเพิ่มมา 1 โครโมโซม
3. โครโมโซมคูที่ 5 มีสวนหนึ่งของแขนขางสั้นขาดหายไป
4. โครโมโซมคูที่ 21 มีสวนหนึ่งของแขนขางสั้นขาดหายไป
5. โครโมโซมคูท ี่ 23 มีจาํ นวนโครโมโซม X เพิม่ มา 1 โครโมโซม
(วิเคราะหคําตอบ จากขอมูลขางตน เปนความผิดปกติของ
กลุม อาการคริดชู าต ทีม่ โี ครโมโซมคูท ี่ 5 มีสว นหนึง่ ของแขนขางสัน้
ขาดหายไป ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T78
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
การเปลี่ยนแปลงจ�านวนโครโมโซมเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ จ�านวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง พบได้ 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ
ทัง้ โครโมโซมร่างกายและโครโมโซมเพศ ซึง่ นอกจากกลุม่ อาการคริดซู าต์และกลุม่ อาการดาวน์แล้ว โครโมโซมจากการเปลี่ ย นแปลงจํ า นวน
ยังมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมอื่น ๆ ดังตาราง โครโมโซม สามารถเกิดไดทั้งกับโครโมโซม
รางกาย และโครโมโซมเพศ และใหนักเรียน
ตารางที่ 5.5 : กลุ่มอาการความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจ�านวนโครโมโซม ศึกษาตารางที่ 5.5 กลุมอาการความผิดปกติ
ชื่อกลุ่มอาการความผิดปกติ ความผิดปกติที่เกิดกับ ลักษณะของความผิดปกติ ทางพันธุกรรม
ทางพันธุกรรม โครโมโซม
กลุ่มอาการพาทัว โครโมโซมร่างกาย - ปากแหว่ง เพดานโหว่ ตาเล็ก หูหนวก
4. ครูใหนกั เรียนจับคู แลวเลือกกลุม อาการความ
(Patau syndrome) 47, +13 ใบหูต�่า นิ้วมือนิ้วเท้ามักเกิน หัวใจและไต ผิดปกติทางพันธุกรรมจากในตาราง 5.5 แลว
ผิดปกติ สมองพิการ ปัญญาอ่อน ทารกมัก เขียนแผนภาพคารีโอไทปของผูป ว ยทีม่ คี วามผิด
ตายหลังจากคลอดไม่กี่เดือน ปกติทางพันธุกรรมที่คูของนักเรียนเลือกลงใน
- พบประมาณ 1 ใน 5,000 คนของทารก
แรกเกิด กระดาษ พรอมอธิบายลักษณะของความผิดปกติ
กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด โครโมโซมร่างกาย - มื อ ก� า ท้ า ยทอยโหนก ใบหู ผิ ด รู ป และ 5. ครูถามคําถามนักเรียนวา
(Edwards syndrome) 47, +18 เกาะต�่า ï• ถาพอสรางสเปรม ทีม่ โี ครโมโซม XY ผสมกับ
- พบประมาณ 1 ใน 5,000 คนของทารก เซลลไขที่มีโครโมโซม X ลูกจะมีโครโมโซม
แรกเกิด
เพศเปนอยางไร และมีความผิดปกติอยางไร
กลุ่มอาการเทอร์เนอร์ โครโมโซมเพศ - เป็นเพศหญิง รูปร่างเตี้ย คอสั้น หน้าแก่
(Turner syndrom) 45, X มีแผ่นหลังคล้ายปีกจากต้นคอลงมาจรด (แนวตอบ โครโมโซมเพศของลูกจะเปน XXY
หัวไหล่ เป็นหมัน เรียกกลุม อาการนีว้ า ไคลนเฟลเตอร ซึง่ ผูท มี่ ี
- พบประมาณ 1 ใน 5,000 คนของทารก โครโมโซมเพศลักษณะนีจ้ ะเปนเพศชาย แขน
แรกเกิด
ขายาว มีความสูงมากมากกวาเพศชายปกติ
กลุ่มอาการเอกซ์วายวาย โครโมโซมเพศ - เป็นเพศชาย แขนขายาว สูงกว่าเพศชาย
(XYY syndrome) 47, XYY ปกติ ไม่เป็นหมัน มีเตานมคลายเพศหญิง สติปญ  ญาตํา่ กวาปกติ
- พบประมาณ 1 ใน 10,000 คนของทารก มักเปนหมัน)
แรกเกิด
กลุ่มอาการไคลน์เฟลเทอร์ โครโมโซมเพศ - เป็นเพศชาย แขนขายาว สูงกว่าเพศชาย อธิบายความรู
(Klinefelter syndrome) 47, XXY ปกติ มีเต้านมคล้ายผู้หญิง สะโพกผาย
48, XXXY มักเป็นหมัน สติปัญญาต�่ากว่าปกติ 1. ครูสุมนักเรียนออกมา 5 คู ที่เลือกกลุมอาการ
49, XXXXY - พบประมาณ 1 ใน 500 คนของทารก ความผิดปกติทางพันธุกรรมแตกตางกัน มา
แรกเกิด วาดแผนภาพคารีโอไทปที่หนาชั้นเรียน
หมายเหตุ : การเขียนสัญลักษณ์แทนความผิดปกติที่เกิดกับโครโมโซมจะใช้ตัวเลขแรกแสดงจ�านวนโครโมโซมทั้งหมดและ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับโรคทาง
ตัวเลขหรืออักษรด้านหลังแสดงความผิดปกติ เช่น
47, +13 หมายถึง มีจ�านวนโครโมโซมทั้งหมด 47 แท่ง และมีโครโมโซมแท่งที่ 13 เกินมา 1 แท่ง พันธุกรรมทีเ่ กิดจากการกลายระดับโครโมโซม
48, XXXY หมายถึง มีจ�านวนโครโมโซมทั้งหมด 48 แท่ง และมีโครโมโซมเพศ (X) เกินมา 2 แท่ง

ยีนและ 69
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


จากแผนภาพคารีโอไทป เปนความผิดปกติของกลุมอาการใด
1. กลุมอาการดาวน
2. กลุมอาการพาทัว
1 2 3 4 5 3. กลุมอาการเอ็ดเวิรด
6 7 8 9 10 11 12 4. กลุมอาการเทอรเนอร
13 14 15 16 17 18 5. กลุมอาการไคลนเฟลเทอร
19 20 21 22 X Y

(วิเคราะหคําตอบ จากแผนภาพคารีโอไทป มีโครโมโซมคูที่ 13 เกินมา แสดงถึงกลุมอาการพาทัว


ซึ่งผูปวยที่มีโครโมโซมลักษณะนี้จะมีอาการปากแหวง เพดานโหว ตาเล็ก หูหนวก นิ้วมือนิ้วเทาเกิน
หัวใจและไตผิดปกติ สมองพิการ ปญญาออน และทารกมักตายหลังคลอดไมกเี่ ดือน ดังนัน้ ตอบขอ 2.)

T79
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ การเปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซมเปน1ชุดจากจํานวนดิพลอยดนี้ เรียกสิ่งมีชีวิตที่มีจํานวน
โครโมโซมที่ทําใหมีจํานวนโครโมโซมมากกวา โครโมโซมมากกวา 2 ชุดวา พอลิพลอยด (polypoild) ซึ่งสวนใหญเกิดจากการแบงเซลลแบบ
2 ชุด เรียกวา พอลิพลอยด ซึ่งหากเกิดในพืช ไมโอซิสผิดปกติจากการไมแยกจากกัน ทําใหเซลลสืบพันธุมีจํานวนโครโมโซมมากกวา 2 ชุด
จะทําใหพืชมีลักษณะหรือคุณสมบัติที่ดีขึ้น พอลิพลอยดที่พบในพืชจะทําใหพืชมีขนาดดอกหรือผลใหญกวาพืชดิพพลอยด อีกทั้งยังให
2. ครูใหนักเรียนศึกษาคุณสมบัติพิเศษของพืช ผลผลิตหรือสรางสารบางชนิดเพิ่มขึ้น เชน ขาวโพดพันธุ 4n มีวิตามินสูงกวาพันธุ 2n หรือยาสูบ
พอลิพลอยด พันธุ 4n มีสารนิโคตินสูงกวา 2n เปนตน ซึ่งพืชพอลิพลอยดเลขคู ไดแก 4n 6n 8n มักไดพืช
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา ที่มีผลหรือลําตนใหญและสามารถมีชีวิตและสืบพันธุไดตามปกติ แตสําหรับพืชพอลิพลอยดเลขคี่
•ï พืชพอลิพลอยดเลขคีแ่ ละพอลิพลอยดเลขคู ไดแก 3n 5n 7n จะเปนหมัน เพราะมีปญหาในการสรางเซลลสืบพันธุจึงใชประโยชนในการพัฒนา
มีคุณสมบัติแตกตางกันอยางไร พันธุพืชที่ไมมีเมล็ด เชน แตงโม องุน กลวย เปนตน
(แนวตอบ พืชพอลิพลอยดเลขคูจ ะมีผลทําให
พืชมีดอกหรือผลขนาดใหญ สามารถผลิต
สารบางชนิดได แตสําหรับพืชพอลิพลอยด
เลขคี่ จ ะเป น หมั น เพราะมี ป  ญ หาในการ
สรางเซลลสืบพันธุ)
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา พอลิพลอยดที่พบ
ในสัตวจะพบไดนอยกวาในพืช เนื่องจากการ
เปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซมมักทําใหสัตวมี
ภาพที่ 5.37 สตรอวเบอรรี่ขนาดใหญเกิดจากการพัฒนา ภาพที่ 5.38 แตงโมไรเมล็ด เกิดจากการพัฒนาสายพันธุ
ความพิการ อายุสั้น หรือเสียชีวิตตั้งแตอยูใน สายพันธุพืชพอลิพลอยดเลขคู เปนพืชพอลิพลอยดเลขคี่
ระยะเอ็มบริโอ
พอลิพลอยดทพี่ บในสัตวจะพบไดนอ ยกวาในพืช เนือ่ งจากการเปลีย่ นแปลงจํานวนโครโมโซม
อธิบายความรู้ ในสัตวสวนใหญทําใหมีอายุสั้น มีความพิการทางรางกายและสมอง หรือมีผลกระทบรุนแรงทําให
1. ครูสมุ เลือกนักเรียนใหยกตัวอยางพอลิพลอยด เอ็มบริโอเสียชีวิตตั้งแตอยูในครรภ
ที่พบในสิ่งมีชีวิต และที่สามารถพบในชีวิต การเกิดการกลายในสิง่ มีชวี ติ หากเกิดขึน้ มากเกินไปจะทําใหสงิ่ มีชวี ติ ตายได แตถา เกิดไมมาก
ประจําวันของนักเรียน อาจทําใหสิ่งมีชีวิตนั้นอยูรอดได และบางครั้งการเกิดการกลายอาจทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ พันธุกรรมที่สงผลใหสิ่งมีชีวิตสามารถดํารงชีวิตไดดีกวาเดิม ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ
พอลิพลอยดที่พบในสิ่งมีชีวิต และที่สามารถ โครโมโซมและ DNA จากการกลายจึงเปนสวนหนึง่ ทีท่ าํ ใหสงิ่ มีชวี ติ มีลกั ษณะทีแ่ ตกตางออกไป และ
พบในชีวิตประจําวัน ลักษณะเหลานี้ยังสามารถถายทอดไปสูลูกหลาน หรือรุนตอ ๆ ไปได ซึ่งมีผลทําใหเกิดการแปรผัน
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ทางพันธุกรรม จึงทําใหลักษณะของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลง และเกิดสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย ซึ่งเปน
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ปจจัยหนึ่งที่ทําใหเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

70

นักเรียนควรรู กิจกรรม ทาทาย


1 พอลิพลอยด เปนเซลลที่มีโครโมโซมมากกวา 2 ชุด ซึ่งปกติเซลลรางกาย ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง สิง่ มีชวี ติ พอลิพลอยด ในประเด็น
ของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายถูกกําหนดใหมีโครโมโซมเปน 2n (2n=2x) (โดย x คือ ตอไปนี้
ชุดหนึง่ ของโครโมโซมพืน้ ฐาน) เชน ทริพพลอยด (triploidy; 2n=3x) เททระพลอยด - ประเภทของสิ่งมีชีวิตพอลิพลอยด
(tetraploidy; 2n=4x) เพนตะพลอยด (pentaploidy; 2n=5x) เฮกซะพลอยด - หลักการเกิดพอลิพลอยดในสิ่งมีชีวิต
(hexaploidy; 2n=6x) เฮพตะพลอยด (heptaploidy; 2n=7x) ออกตะพลอยด - การใชประโยชนจากสิ่งมีชีวิตพอลิพลอยด
(octaploidy; 2n=8x) โดยพอลิพลอยดสามารถเกิดไดจากหลายสาเหตุ - ขอดี/ขอเสียของสิ่งมีชีวิตพอลิพลอยด
- เกิดจากธรรมชาติ เชน การแบงเซลลไมโทซิสผิดปกติ ทําใหจํานวน โดยคนควาจากหนังสือ วารสารทางวิชาการ สือ่ ออนไลน หรือ
โครโมโซมเพิ่มขึ้นเปน 2 เทา หรือเกิดจากการแบงเซลลแบบไมโอซิสผิด แหลงเรียนรูตางๆ แลวจัดทําเปนรายงานสงครูผูสอน
ปกติ ทําใหไดเซลลสืบพันธุที่ไมมีการลดจํานวนโครโมโซมลงครึ่งหนึ่งใน
ไมโอซิส I ทําใหไดเซลสืบพันธุที่เปน 2n
- เกิดจากมนุษย เชน การใชรังสี หรือสารเคมี ทําใหเกิดพอลิพลอยดจาก
การยับยั้งการเกิดผนังเซลลกั้นในชวงของการแบงเซลล ทําใหจํานวน
โครโมโซมเพิ่มขึ้นเทาตัว เชน โคลชิซีน (colchicine) ไนตรัสออกไซด
(nitrous oxide) เปนตน
T80
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
Summary ขยายความเขาใจ
1. ครูใหนักเรียนทําแผนพับนําเสนอ เรื่อง โรค
ยีนและโครโมโซม พันธุกรรม ที่เกิดจากการกลายในระดับยีน
หรือระดับโครโมโซม โดยใหนกั เรียนเลือกโรค
การคนพบสารพันธุกรรม พันธุกรรม 1 โรค ทีเ่ กิดจากการกลายทีไ่ มได
• โยฮันน์ ฟรีดริช มิเชอร์ ค้นพบ กรดนิวคลีอิกจากสารเคมีที่สกัดจากนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาว อธิบายอยูใ นหนังสือเรียน ซึง่ มีเนือ้ หาประกอบ
ซึ่งไม่ถูกย่อยด้วยเอนไซม์เพปซิน ดวยประเภทของการกลาย ลักษณะความผิด
• เฟรเดอริก กริฟฟิท ค้นพบสารบางอย่างจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนสามารถ
เข้าไปยังแบคทีเรียสายพันธุ์ R ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียสายพันธุ์ R เป็นแบคทีเรีย ปกติของผูป ว ย และวิธกี ารดูแล/รักษาผูป ว ย
สายพันธุ์ S ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกหลานของแบคทีเรีย 2. ครูใหนกั เรียนทํา Self Check เพือ่ ตรวจสอบ
• ออสวอลด์ แอเวอรี, แมคลิน แมคคาร์ที และคอลิน แมคลอยด์ พบว่า สารทีเ่ ปลีย่ นแปลงพันธุกรรมของแบคทีเรีย ความเขาใจของตนเอง
สายพันธุ์ R เป็นสายพันธุ์ S คือ DNA
• สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ทั้งแบคทีเรีย โพรทิสต์ พืช สัตว์ และมนุษย์ มี DNA เป็นสารพันธุกรรม ขณะที่ไวรัสบาง 3. ครูใหนกั เรียนทํา Unit Question ทายหนวยการ
ชนิด เช่น ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโปลิโอ เอดส์ ไข้หวัดนก มี RNA เป็นสารพันธุกรรม เรียนรูท ี่ 5 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2
โครโมโซม ส่วนทีม่ แี ขนสัน้
4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวยการ
• โครโมโซมในช่วงการแบ่งเซลล์ระยะอินเตอร์เฟส
เซนโทรเมียร์ เรียนรูท ี่ 5 ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
จะจ�าลองตัวเองเป็นเส้นคู่ และในช่วงเมทาเฟส เซนโทรเมียร์ 5. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน
จะหดตัวสั้นและหนา ซึ่งจะมีโครมาทิด 2 อันยึด ส่วนที่มี
แขนยาว
ติดกันตรงต�าแหน่งเซนโทรเมียร์ และหากแบ่ง ทีโลเซนทริก อะโครเซนทริก ซับเมทาเซนทริก เมทาเซนทริก
ภาพที่ 5.39
ตามต�าแหน่งของเซนโทรเมียร์ จะแบ่งเป็น 4 ชนิด โครโมโซม
• โครโมโซม ประกอบด้วยโมเลกุลเกลียวคูข่ อง DNA นิวคลีโอโซม เกลียวคู่ DNA
พันรอบกลุ่มโปรตีนฮิสโตน
• จีโนม คือ สารพันธุกรรมทัง้ หมดทีอ่ ยูใ่ นนิวเคลียส โปรตีน
ฮิสโตน
ของทุก ๆ เซลล์ ซึง่ จ�าเป็นต่อการด�ารงชีวติ อย่าง
ปกติของสิ่งมีชีวิต
ภาพที่ 5.40
ดีเอ็นเอ
ไนโตรจีนัสเบส
• DNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์ ซึง่ ประกอบ H เบสพิวรีน
ด้วยองค์ประกอบย่อย 3 ส่วน N H H
H N N N
- ไนโตรจีนัสเบส (เบส A T G C) H N
H H
- น�า้ ตาลดีออกซีไรโบส NH2 N
N N
- หมู่ฟอสเฟต N H N
N O
N H H
อะดีนีน H H
กวานีน
O N N N เบสไพริมิดีน H C O H
H N 2
N
- P O
O O
O- H H H O H O
N N
H H
OH H ไซโทซีน H H ไทมีน
ภาพที่ 5.41 ยีนและ 71
โครโมโซม

ขอสอบเนน การคิด
จากภาพที่กําหนดให กระบวนการหมายเลข 1 และ 2 คือกระบวนการใด และเกิดขึ้นที่ใด
DNA 1. หมายเลข 1 translation เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม หมายเลข 2 repication
เกิดขึ้นที่นิวเคลียส
1 2. หมายเลข 1 translation เกิดขึ้นที่นิวเคลียส หมายเลข 2 repication
mRNA
เกิดขึ้นที่นิวเคลียส
นิวเคลียส 3. หมายเลข 1 repication เกิดขึ้นที่นิวเคลียส หมายเลข 2 transcription
เกิดขึ้นที่นิวเคลียส
mRNA
4. หมายเลข 1 repication เกิดขึ้นที่นิวเคลียส หมายเลข 2 translation
เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม
5. หมายเลข 1 translation เกิดขึ้นที่นิวเคลียส หมายเลข 2 transcription
2 กรดอะมิโน
เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม
(วิเคราะหคําตอบ จากภาพเปนกระบวนการสังเคราะหโปรตีนของสิ่งมีชีวิตกลุมยูคาริโอต ซึ่งหมายเลข 1 คือ translation
เปนการสังเคราะห mRNA จาก DNA เกิดขึ้นที่นิวเคลียส และหมายเลข 2 คือ transcription เปนการสังเคราะหพอลิเพปไทด
จาก mRNA เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T81
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากแผนพับนําเสนอ เรือ่ ง โรค ดีเอ็นเอ (ต่อ)
20 A
พันธุกรรม • วัตสันและคลิก เสนอแบบจ�าลองโครงสร้างโมเลกุล G
A
C
T
พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์

2. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง การกลาย ของ DNA ดังนี้ T A O OH พันธะไฮโดรเจน


O PO
- ประกอบด้วยพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สายบิด -
OH
ระดับยีนจากการแทนที่คูเบส เป็นเกลียวคู่สลับทิศกัน เวียนตามเข็มนาฬิกา C
G
G
C
O O
H2C
T A
CH2
O PO O O-
3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง การกลาย มี แ กนน�้ า ตาล-ฟอตเฟตอยู ่ ด ้ า นนอก และ
-
A T H2C O PO
C G G C
ไนโตรจีนัสอยู่ด้านในของโมเลกุล O O CH2
ระดั บ ยี น จากการเพิ่ ม ขึ้ น หรื อ ขาดหายของ - โครงสร้างเกลียวคู่มีระยะห่าง 20 �A แต่ละ T A
34 A
- P
O O
H2C
C G
O O-
O PO

นิวคลีโอไทด เกลียวห่างกัน 34 �A และแต่ละคู่เบสห่างกัน T A


-
O O
O PO
CH2
O O-
A T O PO
4. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถาม Unit 3.4 �A A T
H2C
A T

- เบสอะดีนีนจะจับคู่กับเบสไทมีนด้วยพันธะ OH CH2
O O-
Question ทายหนวยการเรียนรูท ี่ 5 ในหนังสือ ไฮโดรเจน 2 พันธะ ส่วนเบสกวานีนจะจับคู่ A
G
T
C
3.4 A
HO PO

เรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2 เบสไซโทซีนด้วยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ ภาพที่ 5.42


5. ครูตรวจสอบผลจากการทําแบบทดสอบทาย
หนวยการเรียนรูที่ 5 ในแบบฝกหัดชีววิทยา สมบัติของสารพันธุกรรม
3′
DNA แม่แบบ
ม.4 เลม 2 • DNA มีสมบัติเป็นสารพันธุกรรม เนื่องจาก 5′ 5′
สายน�า
3′
DNA สามารถเพิ่มจ�านวนได้ สามารถควบคุม ชิ้นส่วนโอคาซากิ
6. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ การท�างานต่าง ๆ ของเซลล์ได้ และสามารถเกิด 3′ สายตาม
ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 การแปรผันทางพันธุกรรมได้ 52 ยีนและโครโมโซม 5′
• DNA มีการจ�าลองแบบกึ่งอนุรักษ์ โดย DNA DNA ไลเกส
DNA แม่แบบ
7. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน จะคลายเกลียวออกจากกัน แต่ละสายท�าหน้าที่ ภาพที่ 5.43
เป็น DNA แม่แบบ ซึ่งการสังเคราะห์ DNA
สายใหม่ 2 สายจะมีทิศทางต่างกัน โดยสายน�ามี
ทิศทางจากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′ ส่วนสายตาม
มีทศิ ทางจากปลาย 3′ ไปยังปลาย 5′ ซึง่ สวนทาง การถอดรหัส
กับสายแม่แบบ จึงสร้างเป็นชิ้นส่วนโอคาซากิ
ที่เป็นสาย DNA สั้น ๆ และจะเชื่อมกันด้วย
เอนไซม์ดีเอ็นเอไลเกส นิวเคลียส
• การควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของ DNA
ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลัก
1. การสังเคราะห์ mRNA โดย DNA จะถอดรหัส
เป็น mRNA ซึ่งเกิดในนิวเคลียส
2. การสังเคราะห์โปรตีน โดย mRNA จะถูก
แปลรหัสต่อเป็นกรดอะมิโนที่เรียงต่อกันเป็น กรดอะมิโน
อนุพันธ์ของโปรตีน ซึ่งเกิดในไซโทพลาซึม
การแปลรหัส
• ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนมี RNA อีก
2 ชนิดเกี่ยวข้อง คือ tRNA ที่น�ากรดอะมิโน ไรโบโซม
มาต่อเป็นอนุพันธ์ของโปรตีน และ rRNA ที่ท�า
โปรตีน
หน้าที่ช่วยในการแปลรหัส ไซโทพลาซึม

72
ภาพที่ 5.44

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง การกลาย ไดจากแผนพับ ขอใดตอไปนี้จะไมพบในการสังเคราะหโปรตีนที่เกิดขึ้นใน
นําเสนอ เรือ่ ง โรคพันธุกรรม ทีน่ กั เรียนทําในขัน้ ขยายความเขาใจ โดยศึกษาเกณฑ ไซโทพลาซึม
การวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานที่อยูในแผนการจัดการเรียนรู 1. ดีเอ็นเอ 2. ไรโบโซม
หนวยการเรียนรูที่ 5 3. ทีอารเอ็นเอ 4. เอ็มอารเอ็นเอ
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน แบบประเมิ
แบบประเมิ
นชิน้นชิงาน/ภาระงาน
้นงาน/ภาระงาน(รวบยอด)
(รวบยอด)แผนฯ
แผนทีฯ่ 1,ที่ 4,1 5
5. อารอารเอ็นเอ
แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ

(วิเคราะหคําตอบ ดีเอ็นเอ เปนตนแบบในการสังเคราะห mRNA


คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ
ระดับคะแนน คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ
ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1 ระดับคะแนน
1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน    ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
2
3
4
5
ความถูกต้องของเนื้อหา
ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
วิธีการนาเสนอผลงาน












1
2
3
4
ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
ความตรงต่อเวลา
ซึ่งจะพบอยูในนิวเคลียส สวนการการสังเคราะหโปรตีนที่เกิดขึ้น
รวม

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
ในไซโทพลาซึมจะประกอบดวย mRNA ที่นํารหัสพันธุกรรมของ
DNA มาสังเคราะหโปรตีน tRNA ที่นํากรดอะมิโนมาเขาคูกับ
............/................./................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
เกณฑ์การให้คะแนน 1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ

โคดอนของ mRNA สวนไรโบโซม และ rRNA จะชวยการจับของ


สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วน จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน จุดประสงค์ ใหญ่
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน 2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่

โคดอนและแอนติโคดอน ดังนั้น ตอบขอ 1.)


3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ ใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
11-13 ดี ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
8-10 พอใช้ 14-16 ดีมาก
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง 11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

T82
นํา สอน สรุป ประเมิน

แนวตอบ Self Check


1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด
การกลาย 4. ถูก 5. ผิด
การกลาย เป็นการเปลีย่ นแปลงทีส่ ง่ ผลกระทบต่อข้อมูลทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ แบ่งออกเป็น 2 ระดับ
• การกลายระดับยีน เป็นการเปลี่ยนแปลงของนิวคลีโอไทด์ตัวเดียวในยีน แบ่งออกเป็น 2 แบบ เฉลย Unit Question
- การแทนที่คู่เบส เป็นการแทนที่คู่ของนิวคลีโอไทด์ตัวหนึ่งด้วยคู่ของนิวคลีโอไทด์อีกตัวหนึ่ง เช่น
การกลายแบบเงียบ (กลายเป็นกรดอะมิโนตัวเดิม) การกลายแบบเปลี่ยนรหัส (กลายเป็นกรดอะมิโน 1. ยีน เปนลําดับนิวคลีโอไทดชวงหนึ่งของสาย
ตัวอื่น) และการกลายเป็นรหัสหยุด (กลายเป็นกรดอะมิโนที่เป็นรหัสหยุด) เช่น โรคโลหิตจางแบบ
เม็ดเลือดแดงรูปเคียว DNA ทําหนาที่กําหนดลักษณะทางพันธุกรรม
- การเพิ่มขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด์ โดยมีการเพิ่มขึ้นหรือขาดหายไปของล�าดับนิวคลีโอไทด์ ของสิ่งมีชีวิต ซึ่ง DNA เปนสวนประกอบหลัก
ที่เรียกว่า การกลายแบบเลื่อนกรอบ ซึ่งอาจท�าให้สายของกรดอะมิโนสั้นลงหรือยาวขึ้น ของโครโมโซมที่อยูในนิวเคลียสของสิ่งมีชีวิต
• การกลายระดับโครโมโซม แบ่งออกเป็น 2 แบบ 2. 1) หมายเลข 1 คือ DNA แมแบบ เปนสาย DNA
- ความผิดปกติของโครงสร้างโครโมโซม เช่น กลุ่มอาการคริดูซาต์ ซึ่งโครโมโซมคู่ที่ 5 มีแขนข้างสั้น
ของโครโมโซมผิดปกติไป 1 โครโมโซม ทีเ่ ปนตนแบบของการสังเคราะห DNA สายใหม
- ความผิดปกติของจ�านวนโครโมโซมจากการไม่แยกจากกัน ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่าง หมายเลข 2 คือ สายนํา เปนสาย DNA สาย
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เช่น กลุ่มอาการดาวน์ ซึ่งมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 โครโมโซม ใหมทไี่ ดจากการสังเคราะห โดยมีการสราง
แบบตอเนือ่ งเปนสายยาวในทิศทาง 5ʹ ไปยัง 3ʹ
หมายเลข 3 คือ สายตาม เปนสาย DNA สาย
Self Check ใหมทไี่ ดจากการสังเคราะห โดยมีการสราง
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด แบบไมตอ เนือ่ ง แตจะสรางเปน DNA สายสัน้ ๆ
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ แลวมาเชือ่ มตอกันภายหลัง
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ หมายเลข 4 คือ เอนไซม DNA ไลเกส ทําหนาที่
1. สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส พืช สัตว์ และมนุษย์ มี DNA 1. เชือ่ มตอ DNA สายสัน้ ๆ ในสายตามใหเปน
เป็นสารพันธุกรรม DNA สายยาว
2. DNA เป็นพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย เรียงสลับทิศและบิดเป็นเกลียว 3.2 หมายเลข 5 คือ ชิน้ สวนโอคาซากิ เปนสาย
เวียนซ้าย โดยเบส A จับคู่กับเบส T ด้วยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ
และเบส C จับคู่กับเบส G ด้วยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ
DNA สายสั้นๆ ที่ไดจากการสังเคราะหใน
ุด
สม

ทิศทาง 5 ʹ ไปยัง 3 ʹ ของสายตาม


ใน

3. การจ�าลอง DNA จะแบ่งเป็น 2 สาย โดยสายลีดดิ้งสแตรนด์มีทิศทาง 4.1


ลง

หมายเลข 6 คือ DNA พอลิเมอเรส เปน


ทึ ก

จากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′ ส่วนสายแลงกิงสตรนด์มที ศิ ทางจากปลาย


บั น

3′ ไปยังปลาย 5′ เอนไซมที่ทํางานระหวางการสราง DNA


4. การสังเคราะห์โปรตีนของเซลล์เกิดจาก DNA ถูกถอดรหัสเป็น mRNA 4.3 สายใหมในการจําลองตัวเองของ DNA โดย
ซึ่งเกิดขึ้นในนิวเคลียส จากนั้น mRNA ถูกล�าเลียงมาแปลรหัสเป็น ทําหนาที่เชื่อมนิวคลีโอไทดใหตอกันเปน
โปรตีนในไซโทพลาซึม สายยาว
5. การแทนที่คู่เบสแบบการกลายแบบเงียบ ท�าให้การถอดรหัสและแปล 5.1 2) ภาพขางตนเปนการจําลอง DNA จาก DNA
รหัสของกรดอะมิโนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แมแบบ และจะได DNA สายใหม 2 สาย คือ
ยีนและ 73
โครโมโซม
สายนํา ซึ่งจะมีการสรางแบบตอเนื่องเปน
สายยาว โดยมี DNA พอลิเมอเรส ทําหนาที่
เชื่ อ มต อ นิ ว คลี โ อไทด ใ ห เ ป น สายยาวใน
ทิศทางจาก 5 ʹ ไปยัง 3 ʹ และ DNA สายใหมอกี สาย คือ สายตาม ซึง่ จะมีการสราง DNA สายใหมแบบไมตอ เนือ่ ง แตจะสรางเปน DNA สายสัน้ ๆ ทีเ่ รียกวา
ชิน้ สวนโอคาซากิ ในทิศทางจาก 5 ʹ ไปยัง 3 ʹ เชนกัน แลวมาเชือ่ มตอกันภายหลังโดยอาศัยการทํางานของเอนไซม DNA ไลเกส
3. เนื่องจาก DNA สามารถเพิ่มจํานวนได และจะมีลักษณะเหมือนเดิม เพื่อทําใหเกิดการถายทอดพันธุกรรมจากรุนพอแมไปยังรุนลูก และยังสามารถควบคุม
การทํางานของเซลลใหสังเคราะหสารตางๆ เพื่อใหเกิดการแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมได นอกจากนั้น DNA อาจกอใหเกิดความผันแปรไดซึ่งทําให
ลักษณะทางพันธุกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากคุณสมบัติเหลานี้แสดงใหเห็นวา DNA เปนสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
4. DNA และ RNA เปนสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ซึ่ง DNA เปนสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสวนใหญ ขณะที่ RNA เปนสารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตบาง
ชนิด เชน ไวรัสที่ทําใหเกิดไขหวัดใหญ โปลิโอ เอดส ใบดางของยาสูบ เปนตน แต DNA และ RNA จะมีโครงสรางที่แตกตางกัน ดังนี้
ï• โครงสรางของ DNA มีนํ้าตาลดีออกซีไรโบสเปนองคประกอบ แตของ RNA จะเปนนํ้าตาลไรโบส
ï• ชนิดของเบสที่พบใน DNA ประกอบดวย อะดีนีน (A) กวานีน (G) ไซโทซีน (C) และไทมีน (T) แตชนิดของเบสที่พบใน RNA จะไมมีเบสไทมีน (T) แตจะ
มีเบสยูราซิล (U) มาแทนที่

T83
นํา สอน สรุป ประเมิน

5. RNA มี 3 ชนิ ด แต ล ะชนิ ด จะมี ห น า ที่ ใ น


กระบวนการสังเคราะหโปรตีนที่แตกตางกัน
ประกอบดวย U nit
คําชี้แจง :
Question 5
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
ï• อาร เ อ็ น เอนํ า รหั ส (messenger RNA;
mRNA) ทําหนาที่นํารหัสพันธุกรรมจาก 1. จงอธิบายความสัมพันธ์ของยีน DNA และโครโมโซม มาพอสังเขป
DNA ในนิวเคลียสมาสังเคราะหโปรตีนใน 2. ศึกษาแผนภาพการจ�าลองตัวเองของ DNA แล้วตอบค�าาถามต่อไปนี้
ไซโทพลาซึม 6
ï• อารเอ็นเอถายโอน (transfer RNA; tRNA)
1
ทําหนาทีน่ าํ กรดอะมิโนทีจ่ าํ เพาะทีส่ ามารถ
เขาคูกับโคดอนของ mRNA มาตอเพื่อการ
สังเคราะหโปรตีน โดย tRNA ที่สามารถเขา 2
คูกับโคดอนของ mRNA ไดเรียกวา แอนติ-
โคดอน (anticodon) 3
ï• อาร เ อ็ น เอไรโบโซม (ribosomal RNA;
rRNA) ทําหนาที่ชวยการจับกันของแอนติ- 5 4
ภาพที่ 5.45
โคดอนของ tRNA กับโคดอนของ mRNA 2.1 หมายเลข 1-6 คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร
ในระหวางการสังเคราะหโปรตีน โดย rRNA 2.2 จงอธิบายขั้นตอนการจ�าลอง DNA จากแผนภาพข้างต้น
ประกอบดวยหนวยยอยขนาดใหญ และ 3. เพราะเหตุใด DNA จึงมีคุณสมบัติในการเป็นสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
ขนาดเล็ ก ซึ่ ง จะต อ งจั บ กั น ให ก ลายเป น 4. จงอธิบายความเหมือน และความแตกต่างระหว่าง DNA กับ RNA มาพอสังเขป
ไรโบโซมที่ทําหนาที่ได 5. RNA มีกี่ชนิด และแต่ละชนิดมีหน้าที่ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนอย่างไร
6. 1) หมายเลข 1 คือ กระบวนการถอดรหัส 6. ศึกษาแผนภาพการสังเคราะห์โปรตีนของยูคาริโอต แล้วตอบค�าถามต่อไปนี้
(transcription) เปนกระบวนการสังเคราะห DNA แม่แบบ 3′ 5′
mRNA โดยใช DNA เปนแมแบบ ซึ่งจะ
เกิดขึ้นในนิวเคลียส สวนหมายเลข 2 คือ 1
กระบวนการแปลรหัส (translation) เปน
กระบวนการแปลรหัสของ mRNA ใหเปน 2 5′ 3′

กรดอะมิโน ซึ่งจะเกิดขึ้นในไซโทพลาซึม
โปรตีน
2) ลําดับโคดอนของสาย mRNA คือ UGG UUU
GGC UCA ภาพที่ 5.46
3) สายพอลิเพปไทดทไี่ ดจากการแปลรหัสและ 6.1 หมายเลข 1 และ 2 คือกระบวนการใด และเกิดขึ้นบริเวณใดในเซลล์สิ่งมีชีวิต
ถอดรหัสจาก DNA แมแบบ ประกอบดวย 6.2 ล�าดับโคดอนของ mRNA มีรหัสอย่างไร
กรดอะมิโนทริปโตเฟน เฟนิลอะลานีน ไกล 74
6.3 สายพอลิเพปไทด์ที่สังเคราะห์ขึ้นมีกรดอะมิโนชนิดใดบ้าง
ซีน และซีรีน ตามลําดับ

7. การถอดรหัสในสิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ชนิดจะแตกตางกัน เนื่องจากแบคทีเรียจะไมมีเยื่อหุมนิวเคลียส ทําให DNA ไมถูกแยกออกจากไรโบโซมและองคประกอบ


อื่นๆ ที่เกี่ยวของกับการสังเคราะหโปรตีน ทําใหสามารถเริ่มตนการแปลรหัสของ mRNA ไดโดยที่ยังมีการถอดรหัสอยู แตการสังเคราะหโปรตีนของ
ยูคาริโอตจะเกิดขึ้นเมื่อ mRNA ถูกสงผานเยื่อหุมนิวเคลียสออกไปยังไซโทพลาซึมกอนเทานั้น
8. 1) การกลายแบบเปลี่ยนรหัส คือ การแทนที่คูเบสที่ทําใหเกิดการแปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดอื่น ซึ่งอาจสงผลตอโปรตีนได เนื่องจากกรดอะมิโนตัวใหม
อาจมีคุณสมบัติตางจากกรดอะมิโนตัวเดิมที่ถูกแทนที่ และทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสรางของโปรตีน และทําใหโปรตีนทําหนาที่ไมได
2) การกลายเปนรหัสหยุด คือ การแทนที่คูเบสที่ทําใหเกิดการแปลรหัสเปนรหัสหยุด ซึ่งทําใหการแปลรหัสหยุดลง พอลิเพปไทดที่ไดจะมีขนาดสั้นกวา
พอลิเพปไทดปกติ การกลายเปนรหัสหยุดจะนําไปสูโปรตีนที่ไมสามารถทําหนาที่ได และอาจทําใหเซลลทําหนาที่ผิดปกติไป
3) การเพิ่มซํ้า คือ การเพิ่มสวนของแทงโครโมโซม โดยสวนที่เพิ่มขึ้นมาจะมีความซํ้าซอนกับสวนที่มีอยูบนแทงโครโมโซมเดิม ทําใหยีนบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น
นําไปสูสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
4) การเคลื่อนยาย คือ การยายที่หรือแลกสลับชิ้นสวนระหวางแทงโครโมโซมที่ไมไดเปนโครโมโซมคูเหมือนกัน ซึ่งอาจนําไปสูสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะ
เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ

T84
10. การไมแยกจากกันมีผลทําใหจํานวนโครโมโซม
ของสิ่งมีชีวิตผิดปกติไปจากเดิม โดยอาจทําให
7. การถอดรหัสและการแปลรหัสในสิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรคาริโอตกับยูคาริโอตมีความเหมือนหรือ คู  ข องฮอมอโลกั ส โครโมโซมแยกตั ว ผิ ด ปกติ
ต่างกันอย่างไร ระหวางไมโอซิส I หรือซิสเตอรโครมาทิดผิด
ปกติระหวางไมโอซิส II ทําใหเซลลสบื พันธุห นึง่
8. จงระบุลักษณะของการกลายต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
8.1 การกลายแบบเปลี่ยนรหัส ไดรับโครโมโซมชนิดเดียวกันสองอัน และอีก
8.2 การกลายเป็นรหัสหยุด เซลลสบื พันธุไ มมโี ครโมโซม ซึง่ ถาเซลลสบื พันธุ
8.3 การเพิ่มซ�้า ที่ผิดปกตินี้ไดรับการผสม ไซโกตจะมีจํานวน
8.4 การเคลื่อนย้าย โครโมโซมที่ผิดปกติไป

9. DNA ปกติ มีล�าดับนิวคลีโอไทด์ ดังนี้


3′ CGATATGCTGATCAATGTATTACGGGCCCA 5′
จงตอบค�าถามต่อไปนี้
9.1 หากมีการเพิ่มขึ้นของล�าดับนิวคลีโอไทด์ C ระหว่างนิวคลีโอไทด์ต�าแหน่งที่ 5 และ 6
(จากด้าน 3′ ของสาย DNA ปกติ) จะมีผลต่อล�าดับกรดอะมิโน และการสังเคราะห์โปรตีน
อย่างไร
9.2 หากมีการขาดหายไปของล�าดับนิวคลีโอไทด์ G ในต�าแหน่งที่ 10 (จากด้าน 3′ ของสาย
DNA ปกติ) จะมีผลต่อล�าดับกรดอะมิโน และการสังเคราะห์โปรตีนอย่างไร
9.3 หากมีการขาดหายไปของลล�าดับนิวคลีโอไทด์ A ในต�าแหน่งที่ 11 และมีการเพิ่มขึ้นของ
นิวคลีโอไทด์ C ระหว่างนิวคลีโอไทด์ต�าแหน่งที่ 22 และ 23 (จากด้าน 3′ ของสาย DNA
ปกติ) จะมีผลต่อลล�าดับกรดอะมิโน และการสังเคราะห์โปรตีนอย่างไร
10. การไม่แยกจากกันของโครโมโซมในระหว่างการแบ่งนิวเคลียส มีผลต่อการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
อย่างไร

ยีนและ 75
โครโมโซม

9. 9.1) DNA 3ʹ CGA TAC TGC TGA TCA ATG TAT TAC GGG CCA A 5ʹ
mRNA 5ʹ GCU AUG ACG ACU AGU UAC AUA AUG CCC GGU U 3ʹ
กรดอะมิโน Ala Met Tyr Tyr Ser Tyr Ile Met Pro Gly
ลําดับกรดอะมิโนที่สังเคราะหได คือ อะลานีน เมไทโอนีน ไทโรซีน ไทโรซีน ซีรีน ไทโรซีน ไอโซลิวซีน เมไทโอนีน โพรลีน ไกลซีน ดังนั้น เมื่อมี
การเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด C ในระหวางตําแหนงที่ 5 และ 6 จะเปลี่ยนลําดับกรดอะมิโนตัวที่ 2 เปนตนไป และมีการสังเคราะหตอไปเรื่อยๆ
ซึ่งไมเจอรหัสหยุด
9.2) DNA 3ʹ CGA TAT GCT ATC AAT GTA TTA CGG GCC AA 5ʹ
mRNA 5ʹ GCU AUA CGA UAG UUA CAU AAU GCC CGG UU 3ʹ
กรดอะมิโน Ala Ile Arg รหัสหยุด
ลําดับกรดอะมิโนที่สังเคราะหได คือ อะลานีน ไอโซลิวซีน อารจีนีน ดังนั้น ลําดับกรดอะมิโนจะเจอรหัสหยุดการสังเคราะหกอน DNA สายปกติ
ทําใหสายพอลิเพปไทดสั้นลง
9.3) DNA 3ʹ CGA TAT GCT GTC AAT GTA TTA ACG GGC CCA 5ʹ
mRNA 5ʹ GCU AUA CGA CAG UUA CAU AAU UGC CCG GGU 3ʹ
กรดอะมิโน Ala Ile Arg Gln Phe His Asn Cys Pro Gly
ลําดับกรดอะมิโนทีส่ งั เคราะหได คือ อะลานีน ไอโซลิวซีน อารจนี นี กลูตามีน ฟนลิ อะลานีน ฮีสทิดนี แอสพาราจีน ซีสเทอีน โพรลีน ไกลซีน ดังนัน้ เมือ่ มีการ
ลดลงของนิวคลีโอไทด A ในตําแหนงที่ 11 และการเพิม่ ขึน้ ของนิวคลีโอไทด C ระหวางตําแหนงที่ 22 และ 23 จะมีการเปลีย่ นลําดับกรดอะมิโนตัง้ แตตวั ที่
4 เปนตนไป และมีการสังเคราะหตอไป ซึ่งไมเจอรหัสหยุด ทําใหสายพอลิเพปไทดที่ไดยาวกวาปกติ และมีลําดับกรดอะมิโนเปลี่ยนแปลงไป
T85
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช จ�ดประสงค ว�ธ�สอน ประเมิน ทักษะที่ใช
การเร�ยนรู อันพึงประสงค
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายหลักการสราง แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบกอนเรียน - ทักษะการ - มีวินัย
เทคโนโลยีทาง ม.4 เลม 2 ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท หาความรู (5Es - ตรวจแบบฝกหัด เปรียบเทียบ - ใฝเรียนรู
ดีเอ็นเอ - แบบฝกหัดชีววิทยา ได (K) Instructional - ตรวจรายงาน เรื่อง สิ่งมีชีวิต - ทักษะการ - มุงมั่นในการ
ม.4 เลม 2 2. อธิบายหลักการโคลนยีน Model) ดัดแปรพันธุกรรม วิเคราะห ทํางาน
5 - PowerPoint หรือโคลนดีเอ็นเอได (K) - ตรวจผังสรุป เรื่อง การสราง - ทักษะการ
ชั่วโมง ประกอบการสอน 3. อธิบายหลักการสราง สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม รวบรวมขอมูล
สิ่งมีชีวิตดัดแปร - ตรวจใบงาน เรื่อง การโคลนยีน - ทักษะการ
พันธุกรรมได (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง การสราง เชื่อมโยง
4. เปรียบเทียบการโคลนยีน สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม - ทักษะการ
โดยอาศัยพลาสมิดของ - ประเมินการปฏิบัติการ ใหเหตุผล
แบคทีเรียกับเทคนิค - ประเมินการนําเสนอผลงาน - ทักษะการคิด
พอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน - สังเกตพฤติกรรมการทํางาน อยางมีเหตุผล
ได (K) รายบุคคล
5. เขียนขั้นตอนการสราง - สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท - สังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
ได (P) และมุงมั่นในการทํางาน
6. เขียนขั้นตอนการโคลน
ยีนหรือโคลนดีเอ็นเอ
ได (P)
7. เขียนขั้นตอนการสราง
สิ่งมีชีวิตดัดแปร
พันธุกรรมได (P)
8. สนใจใฝรูในการศึกษา (A)

แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการนําเทคโนโลยี แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - ทักษะการ - มีวินัย


การประยุกตใช ม.4 เลม 2 ทางดีเอ็นเอมาใชประโยชน หาความรู (5Es - ตรวจแบบฝกหัด สํารวจคนหา - ใฝเรียนรู
เทคโนโลยีทาง - แบบฝกหัดชีววิทยา ทางดานตาง ๆ ได (K) Instructional - ตรวจผังมโนทัศน เรื่อง - ทักษะการ - มุงมั่นในการ
ดีเอ็นเอ
ม.4 เลม 2 2. อธิบายเกีย่ วกับขอดี/ Model) การประยุกตใชประโยชนจาก เชื่อมโยง ทํางาน
5 - PowerPoint
ประกอบการสอน
ขอเสียของการใช
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
- ตรวจกิจกรรม เรื่อง การตรวจ
- ทักษะการ
รวบรวมขอมูล
ชั่วโมง
ได (K) สอบลายพิมพดีเอ็นเอ - ทักษะการ
3. อธิบายขอควรคํานึงถึง - ตรวจใบงาน เรื่อง การประยุกต วิเคราะห
ความปลอดภัยทาง ใชประโยชนจากเทคโนโลยี - ทักษะการนํา
ชีวภาพ ชีวจริยธรรม ทางดีเอ็นเอ ความรูไปใช
และผลกระทบทางดาน - ตรวจ Unit Question ทายหนวย - ทักษะการ
สังคมในการใชเทคโนโลยี การเรียนรูที่ 6 ในหนังสือเรียน ประยุกตใช
ทางดีเอ็นเอ (K) ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ความรู
4. ตรวจสอบความสัมพันธ - ตรวจแบบทดสอบทายหนวย - ทักษะการคิด
ของลายพิมพดีเอ็นเอกับ การเรียนรูที่ 6 ในแบบฝกหัด อยางมีเหตุผล
ตัวบุคคลในกรณีตาง ๆ ชีววิทยา ม.4 เลม 2
ได (P) - ประเมินการนําเสนอผลงาน
5. สนใจใฝรใู นการศึกษา (A) - สังเกตพฤติกรรมการทํางาน
รายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
- สังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
และมุงมั่นในการทํางาน

T86
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 6
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
การใชเทคโนโลยีเพื่อสรางดีเอ็นเอสายผสม หรือ DNA รีคอม- ตัดดวยเอนไซมตัดจําเพาะ ซึ่งเปนเอนไซม
ที่ตัดโมเลกุลของ DNA ที่ตําแหนงจําเพาะ
บิแนนท (recombinant DNA) ซึง่ สามารถใชดดั แปลง ตัดตอ เคลือ่ น
ตําแหนงตัดจําเพาะ
ยาย หรือสราง DNA สายใหม เพื่อนําไปดัดแปรพันธุกรรมของ DNA GAATTC ตัดดEวยเอนไ
AA TT C
G
DNA โมเลกุลอื่นที่ตัดดวย EcoRI
G
CTTAAG C TT AA
สิ่งมีชีวิต coR
I

ซม
G AA TT C
• การสราง DNA รีคอมบิแนนท เปนการตัดตอ DNA จาก DNA รีคอมบิแนนท
G AATT C G AATT C
C TT AA G

สิง่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ แลวนําไปเชือ่ มตอกับ DNA ของสิง่ มีชวี ติ อีกชนิด C TTAA G C TTAA G

โดยอาศัยเอนไซม 2 ชนิด ไดแก เอนไซมตัดจําเพาะ และเอนไซม เชื่อมตอดวยเอนไซม DNA ไลเกส ซึ่งเปนเอนไซม


ที่ชวยในการเชื่อมตอสาย DNA เขาดวยกัน
DNA ไลเกส
• การโคลนดีเอ็นเอ (DNA cloning) เปนการเพิม่ จํานวน DNA ซึง่ หาก DNA บริเวณนัน้ เปนยีนจะเรียกวา การโคลนยีน แบงออกเปน
การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย การโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน (PCR)
การเพิม่ ปริมาณ DNA โดยตัดชิน้ สวน DNA ไปเชือ่ มตอกับเวกเตอร เชน พลาสมิด อาศัยองคประกอบ ไดแก DNA แมแบบ ไพรเมอร นิวคลีโอไทด (เบส A C G T)
ของแบคทีเรีย และนําไปเลี้ยงเพิ่มจํานวนเพื่อใหมีปริมาณชิ้นสวน DNA ที่เพิ่มขึ้น และเอนไซม DNA พอลิเมอเรส
เซลลที่มียีนที่ตองการ ยีนที่ตองการ DNA แมแบบ
นิวคลีโอไทด 5’ 3’ 5’ 3’

5’
3’ 5’
DNA 5’ 3’
1 2 3
โครโมโซม พลาสมิด 3’ 5’
เซลลแบคทีเรีย 3’ 5’
5’ 3’
เพาะเลี้ยงแบคทีเรีย
ใหเพิ่มจํานวน 3’ 5’ 3’ 5’

เซลลแบคทีเรีย DNA รีคอมบิแนนท ไพรเมอร

• การสรางสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมโดยใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ


การสรางพืชดัดแปรพันธุกรรม การสรางสัตวดัดแปรพันธุกรรม
การตัดตอยีนแสดงลักษณะที่ตองการใหกับพืช เชน ตานทานโรค ทนแลง โดยใช การตัดตอยีนที่ตองการใหกับสัตว โดยฉีดเขาสูนิวเคลียสของเซลลไขเพื่อใหแทรก
พลาสมิด Ti ทีส่ ามารถแทรกยีนหรือชิน้ สวนดีเอ็นเอทีต่ อ งการเขาสูโ ครโมโซมของพืช เขาสูจีโนมของนิวเคลียส ทําการปฏิสนธิในหลอดทดลอง แลวถายฝากเขาสูตัวแม
เพื่อใหเจริญเปนลูกตัวใหมที่มียีนที่ตองการ
แบคทีเรีย A.tumefaciens Ti พลาสมิดรีคอมบิแนนท
เซลลไข
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

พลาสมิด ยีน ผูรับ

ยีนที่สนใจ Ti พลาสมิดรีคอมบิแนนท โครโมโซมของเซลลพืช


นิวเคลียสของเซลลไข การปฏิสนธิในหลอดทดลอง

การประยุกต ใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
• การประยุกตใชในเชิงการแพทย : การวินิจฉัยโรค การบําบัดดวยยีน โดยแทรกยีนปกติเขาสูรางกายของผูปวยหรือผูมีความผิดปกติ
เพือ่ ใหยนี ปกติเขาไปแทนทีย่ นี ทีผ่ ดิ ปกติ ซึง่ สามารถทํางานแทนยีนทีผ่ ดิ ปกติได และการสรางผลิตภัณฑทางเภสัชกรรม โดยแทรกยีนทีส่ ามารถ
ผลิตสารหรือฮอรโมนใหกับแบคทีเรีย แลวนําไปเพิ่มจํานวนเพื่อใหสามารถผลิตในปริมาณมากขึ้น
• การประยุกตใชในเชิงวิทยาศาสตร : การตรวจลายพิมพ DNA เพื่อระบุความสัมพันธในครอบครัว และผูกระทําความผิดในคดีตาง
• การประยุกตใชในเชิงการเกษตร : การสรางพืชและสัตวดัดแปรพันธุกรรม เพื่อเพิ่มคุณสมบัติ หรือผลผลิตทางการเกษตร
• การประยุกตใชในเชิงสิ่งแวดลอม : การสรางพืชหรือจุลินทรียดัดแปรพันธุกรรม เพื่อยอยสลายสารพิษที่ปนเปอนในสิ่งแวดลอม
• การประยุกตใชในเชิงอุตสาหกรรม โดยการสรางพืชหรือจุลนิ ทรียด ดั แปรพันธุกรรมเพือ่ ใหมคี ณ ุ สมบัตติ ามตองการ และถูกนําไปใชใน
อุตสาหกรรม เชน มันฝรั่งดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใชในอุตสาหกรรมกระดาษ แบคทีเรียดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใชในอุตสาหกรรมผลิตฮอรโมน
เนือ่ งจากความกาวหนาทางเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ทําใหเกิดความกังวลเรือ่ งความปลอดภัยทางชีวภาพ เชน ความปลอดภัยตอสุขภาพ
การเปนพาหะของสารพิษ การดื้อยาของเชื้อโรค การถายยีนจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งสูสิ่งมีชีวิตขางเคียง รวมถึงจริยธรรมในการใชขอมูลดีเอ็นเอ
และผลกระทบดานสังคม ซึ่งอาจทําใหเกิดการแบงชนชั้น และความเหลื่อมลํ้าในสังคมมากยิ่งขึ้น

T87
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา

พันธุศาสตรและ
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู

6
หนวยการเรียนรูที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครูถามคําถาม Big Question เพือ่ กระตุน ความ
สนใจของนักเรียนวา ความรูทางดาน DNA มี
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
ประโยชนตอชีวิตประจําวันของมนุษยอยางไร ผลการเรียนรู้ การศึกษาพันธุศาสตร์และเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมี ค วาม
10. อธิ บ ายหลั ก การสร้ า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ก้าวหน้าอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งมีการน�าความรู้มาประยุกต์
ดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอ็นเอ- ใช้ในการปรับแต่งและเคลื่อนย้ายยีนข้ามชนิดของสิ่งมีชีวิต
รีคอมบิแนนท์ได้
11. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และ ซึง่ ไม่สามารถเกิดขึน้ ในธรรมชาติได้ รวมทัง้ การน�ามาประยุกต์ใช้
อภิ ป รายการน� า เทคโนโลยี ท าง ประโยชน์ ด ้ า นการแพทย์ แ ละเภสั ช กรรม นิ ติ วิ ท ยาศาสตร์
ดี เ อ็ น เอไปประยุ ก ต์ ทั้ ง ในด้ า น
สิ่ ง แวดล้ อ ม นิ ติ วิ ท ยาศาสตร์ การเกษตร สิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมกันอย่างแพร่หลาย
การแพทย์ การเกษตร และ
อุตสาหกรรม และข้อควรค�านึงถึง
ด้านชีวจริยธรรมได้

แนวตอบ Big Question


¤ÇÒÁÃÙŒ
·Ò§´ŒÒ¹ DNA
ความรู  ท างด า น DNA ทํ า ให ท ราบถึ ง การ ÁÕ»ÃÐ⪹µ‹ÍªÕÇÔµ
ควบคุ ม การทํ า งานของระบบต า งๆ ในร า งกาย »ÃШÓÇѹ¢Í§Á¹Øɏ
สิ่งมีชีวิต ซึ่งเปนผลจากการควบคุมของยีน ดังนั้น Í‹ҧäÃ
จึ ง สามารถนํ า ความรู  เ หล า นี้ ม าใช ใ นด า นต า งๆ
เชน ดานการแพทยในการรักษาโรคหรืออาการที่
เกิดจากความผิดปกติของยีน ดานการเกษตรใน
การปรับปรุงสายพันธุสิ่งมีชีวิตใหมีคุณสมบัติที่ดี
และมีลักษณะที่ตองการได

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรือ่ ง พันธุศาสตรและเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ครูควรเนน
การใชภาพ แบบจําลอง และวีดิทัศน เพื่อชวยใหนักเรียนเขาใจเนื้อหาไดงายขึ้น
โดยการจัดการสอนควรเนนกระบวนการกลุม เพือ่ ใหนกั เรียนไดรว มอภิปราย และ
มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน รวมทั้งใหนักเรียนไดตระหนักถึงขอดี/ขอเสีย
ที่เกิดขึ้นจากการใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในสิ่งมีชีวิต

T88
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Prior Knowledge
สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม 1. เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ 1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ความรูทางดาน
(GMOs) หมายถึงอะไร ดีเอ็นเอถูกนํามาดัดแปรพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ
นักวิทยาศาสตร์สามารถดัดแปรพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
อ ให้มีลักษณะตามความต้องการ โดยอาศัยเทคโนโลยีทำง DNA
(DNA technology) ทีส่ ามารถปรับแต่งยีนและเคลือ่ นย้ายยีนข้ามชนิดของสิง่ มีชวี ติ ซึง่ ไม่สามารถ
ใหมลี กั ษณะตามทีต่ อ งการ โดยอาศัยเทคโนโลยี
ทางดีเอ็นเอ เรียกสิ่งมีชีวิตเหลานี้วา สิ่งมีชีวิต
ดัดแปรพันธุกรรม
เกิดขึ้นในธรรมชาติทั่วไปได้ และสามารถน�ามาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย
เทคโนโลยีทาง DNA เป็นการใช้เทคโนโลยีเพือ่ สร้าง DNA สำยผสม หรือ DNA รีคอมบิแนนท์ 2. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
(recombinant DNA) ซึ่งสามารถใช้ดัดแปลง ตัดต่อ เคลื่อนย้าย หรือสร้าง DNA สายใหม่ เพื่อ ความรูเดิมของนักเรียน
น�าไปดัดแปรพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ทั้งแบคทีเรีย พืช สัตว์ และมนุษย์ 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา เทคโนโลยีทาง
ดีเอ็นเอเปนการใชเทคโนโลยีเพื่อสรางดีเอ็นเอ
1.1 การสร้างดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ รีคอมบิแนนท ซึ่งอาศัยเอนไซม 2 ชนิด ไดแก
การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์ เป็นการตัดต่อ DNA จากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง แล้วน�าไป เอนไซมตดั จําเพาะ และเอนไซมดเี อ็นเอไลเกส
เชื่อมต่อกับ DNA ของสิ่งมีชีวิตอีกชนิด โดยอาศัยการท�างานของเอนไซม์ 2 ชนิด ดังนี้ 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเอนไซม ตั ด จํ า เพาะที่
1. เอนไซม์ตัดจ�ำเพำะ (restriction enzyme) เป็นเอนไซม์ที่สามารถตัด DNA ใน สามารถตัดสายดีเอ็นเอไดอยางจําเพาะ พบใน
ต�าแหน่งทีม่ ลี า� ดับเบสจ�าเพาะ ซึง่ ถูกค้นพบในป พ.ศ. 2513 โดยแฮมิลตัน สมิธ และคณะ ท�าวิจยั ใน สิง่ มีชวี ติ กลุม แบคทีเรีย และมีความสามารถใน
แบคทีเรียและพบเอนไซม์ที่มีห1น้าที่ป้องกันเซลล์ของแบคทีเรีย โดยตัดสาย DNA แปลกปลอม การตัดสาย DNA ไดอยางจําเพาะทีแ่ ตกตางกัน
ที่มาจากสิ่งมีชีวิตอื่นหรือฟำจ (phage)
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ปัจจุบันมีการค้นพบเอนไซม์ตัดจ�าเพาะจ�านวนมาก ซึ่งมีบริเวณตัดจ�าเพาะในต�าแหน่งที่ • เอนไซมตดั จําเพาะมีความจําเพาะในการตัด
ต่างกัน โดยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะแต่ละชนิดจะจดจ�าล�าดับเบสในสาย DNA อย่างจ�าเพาะ ที่เรียกว่า
สายดีเอ็นเออยางไร และเอนไซมแตละชนิด
ต�ำแหน่งตัดจ�ำเพำะ (restriction site) ซึ่งจะตัด DNA ทั้งสองสายที่ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะนั้น ๆ
มีความเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร
ตารางที่ 6.1 : เอนไซมตัดจําเพาะ แหลงที่แยกได ลําดับที่จดจํา และลักษณะปลายที่ไดจากการตัด (แนวตอบ เอนไซมตัดจําเพาะจะมีบริเวณตัด
เอนไซม์ แหล่งที่แยกได้ ล�ำดับที่จดจ�ำ ลักษณะปลำยที่ได้รับจำกกำรตัด จําเพาะในตําแหนงตางๆ ซึ่งเอนไซมแตละ
EcoRI Escherichia coli 5′ GAATTC 3′ 5′---G AATTC---3′ ชนิดจะจดจําตําแหนงตัดจําเพาะในสาย
3′ CTTAAG 5′ 3′---CTTAA G---5′
5′ GGATCC 3′ 5′---G GATCC---3′ ดีเอ็นเอที่มีตําแหนงตัดจําเพาะที่แตกตาง
BamH Bacillus amyloliquefaciens 3′ CCTAGG 5′ 3′---CCTAG G---5′ กัน ซึ่งอาจตัดสายดีเอ็นเอไดเปนปลายทู
5′ AAGCTT 3′ 5′---A AGCTT---3′
HindIII Haemophilus influenzae 3′ TTCGAA 5′ 3′---TTCGA A---5′ หรือปลายเหนี่ยวขึ้นอยูกับชนิดของเอนไซม
TaqI Thermus aquaticus 5′ TCGA 3′ 5′---T CGA---3′ ตัดจําเพาะที่ใช)
3′ AGCT 5′ 3′---AGC T---5′
5′ CAGCTG 3′ 5′---CAG CTG---3′
PvuII Proteus vulgaris 3′ GTCGAC 5′ 3′---GTC GAC---5′ แนวตอบ Prior Knowledge
5′ CCCGGG 3′ 5′---CCC GGG---3′ สิ่งมีชีวิตที่ถูกตัดแตงพันธุกรรม โดยนํายีนจาก
Smal Serratia marcescens 3′ GGGCCC 5′ 3′---GGG CCC---5′
พันธุศาสตร์และ 77
สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ส นใจมาแทรกเข า สู  ยี น ของสิ่ ง มี ชี วิ ต
เทคโนโลยีทาง DNA
อีกชนิด ทําใหสงิ่ มีชวี ติ ทีถ่ กู แทรกยีนเขาไปมีคณ
ุ สมบัติ
ของยีนที่สนใจ

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


เอนไซมตัดจําเพาะถูกคนพบครั้งแรกในสิ่งมีชีวิตกลุมใด 1 ฟาจ เปนไวรัสของแบคทีเรียที่ใชแบคทีเรียเจาบาน (host) ในการเพิ่ม
1. พืช จํานวนภายในเซลลของแบคทีเรีย ซึ่งนําไปใชสําหรับการศึกษาดานชีววิทยา
2. สัตว ระดับโมเลกุล เพือ่ นํายีนทีส่ นใจเขาไปในแบคทีเรีย เนือ่ งจากฟาจมีความจําเพาะ
3. ฟงไจ กับแบคทีเรียจึงถูกนํามาประยุกตใช เชน การตัดตอพันธุกรรม การจําแนกกลุม
4. โพรโทซัว ของแบคทีเรีย การติดตามการระบาดของแบคทีเรียกอโรค การทําลายแบคทีเรีย
5. แบคทีเรีย ดื้อยา การควบคุมแบคทีเรียในอาหาร พืช และผลไม เปนตน
( วิ เ คราะห คํ า ตอบ เอนไซม ตั ด จํ า เพาะถู ก ค น พบครั้ ง แรกใน
สิ่งมีชีวิตกลุมแบคทีเรีย ซึ่งเปนเอนไซมที่ทําหนาที่ปองกันเซลล
ของแบคทีเรีย โดยการตัดสายดีเอ็นเอแปลกปลอมจากสิง่ มีชวี ติ อืน่
ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T89
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
6. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เอนไซมตดั จําเพาะ จากตารางจะเห็นว่าเอนไซม์ตดั จ�าเพาะแต่ละชนิดมีบริเวณ
จะตัดสาย DNA อยางจําเพาะ เอนไซมแตละ ล�าดับเบสจ�าเพาะและจุดตัดจ�าเพาะที่แตกต่างกัน เช่น เอนไซม์
ชนิดจะมีตําแหนงตัดจําเพาะที่แตกตางกัน ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ
EcoRI มีล�าดับเบสจ�าเพาะในการตัดจ�านวน 6 คู่เบส ส่วน TaqI
เอนไซมบางชนิดตัดสาย DNA เปนปลายเหนียว จะใช้เพียง 4 คู่เบส ซึ่งปกติเอนไซม์ตัดจ�าเพาะที่ใช้กันอย่าง
ซึ่ ง จะมี นิ ว คลี โ อไทด ส ายเดี่ ย วยื่ น ออกมา แพร่ ห ลายจะจ� า เพาะกั บ ล� า ดั บ นิ ว คลี โ อไทด์ ป ระมาณ 4-8
เอนไซมบางชนิดตัดสาย DNA เปนปลายทู นิวคลีโอไทด์ เอนไซม์ตัดจ�าเพาะจะตัดสาย DNA สองสายท�าให้
ซึ่งจะไมทําใหเกิดนิวคลีโอไทดสายเดี่ยว ได้ปลายนิวคลีโอไทด์สายเดี่ยวยื่นออกมา เรียกว่า ปลำยเหนียว
ภาพที่ 6.1 ปลายเหนียว
7. ครูใหนกั เรียนศึกษา เอนไซมดเี อ็นเอไลเกส ซึง่ (sticky end) ปลายเดี่ยวที่ยื่นออกมานี้สามารถสร้างพันธะ
ทําหนาที่เชื่อมสายดีเอ็นเอที่ถูกตัดเขาดวยกัน ไฮโดรเจนกับอีกปลายเหนียวที่ถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะ
และขั้นตอนการสรางดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท ชนิดเดียวกันได้ การสร้างพันธะกับคู่จะเป็นแบบชั่วคราว ซึ่ง
8. ครูถามคําถามนักเรียนวา ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ จะท�าให้เกิดการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ได้ด้วยเอนไซม์ DNA
• เอนไซม ตั ด จํ า เพาะและเอนไซม ดี เ อ็ น เอ ไลเกส ถ้าเอนไซม์ตัดจ�าเพาะตัดแล้วไม่ท�าให้เกิดนิวคลีโอไทด์
สายเดี่ยว จะเรียกว่า ปลำยทู่ (blunt end)
ไลเกสถู ก ใช ส ร า งดี เ อ็ น เอรี ค อมบิ แ นนท
อยางไร 2. DNA ไลเกส (DNA ligase enzyme) เป็นเอนไซม์
(แนวตอบ การสรางดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท ภาพที่ 6.2 ปลายทู่ ทีช่ ว่ ยในการเชือ่ มต่อสาย DNA เข้าด้วยกัน โดยเร่งปฏิกริ ยิ าการ
สร้างพันธะโคเวเลนต์ (covalent bond) ระหว่าง DNA 2 โมเลกุลให้เชือ่ มต่อกัน ซึง่ การตัดและเชือ่ ม
จะใช เ อนไซม ตั ด จํ า เพาะตั ด สายดี เ อ็ น เอ
ต่อสาย DNA นิยมใช้ในงานด้านอณูชวี วิทยาทีเ่ กีย่ วข้องกับ DNA รีคอมบิแนนท์ และการโคลนยีน
ของสิ่งมีชีวิต ทําใหไดสายดีเอ็นเอที่มีปลาย
แบบตางๆ แลวนําโมเลกุลดีเอ็นเอที่สนใจ
จากสิ่ ง มี ชี วิ ต อื่ น ที่ ถู ก ตั ด ด ว ยเอนไซม ตั ด การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์
จําเพาะชนิดเดียวกัน และมีปลายเหมือนกัน ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ DNA โมเลกุลอื่นที่ตัดด้วย EcoRI
มาเชือ่ มกับสายดีเอ็นเอทีถ่ กู ตัดดวยเอนไซม DNA GAATTC 1 A A TT C
ตัดด้วยเอนไ G
CTTAAG Eco G C TT A A
ตัดจําเพาะโดยอาศัยเอนไซมดเี อ็นเอไลเกส) R I
ซม

G A A TT C
อธิบายความรู C TTAA 2 G
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ 3 DNA รีคอมบิแนนท์
G AATT C G AATT C
เอนไซมตดั จําเพาะ และเอนไซมดเี อ็นเอไลเกส C TTAA G C TTAA G
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ ภาพที่ 6.3 การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์
การสรางดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท 1. เมื่อมีการตัดสาย DNA ด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะ ซึ่งจะได้ปลายแบบต่าง ๆ ทั้งปลายทู่และปลายเหนียวขึ้นอยู่กับ
ชนิดของเอนไซม์ที่ใช้
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด 2. น�า DNA สายอืน่ ทีต่ อ้ งการเชือ่ มต่อ ซึง่ ต้องถูกตัดด้วยเอนไซม์ตดั จ�าเพาะชนิดเดียวกัน จึงจะได้ปลายทีเ่ หมือนกัน
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 3. เอนไซม์ DNA ไลเกสจะช่วยเชื่อมต่อ DNA ทั้ง 2 สาย ท�าให้เกิดสาย DNA รีคอมบิแนนท์ที่สมบูรณ์
78

เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย


ในการเรียนการสอน เรือ่ ง DNA รีคอมบิแนนท ครูอาจหาคลิปวิดโี อทีแ่ สดง ใหนกั เรียนสืบคนขอมูล เรือ่ ง เอนไซมตดั จําเพาะ จากหนังสือ
การสราง DNA รีคอมบิแนนท มาเปดใหนกั เรียนดู เพือ่ ใหนกั เรียนเห็นภาพ และ วารสารทางวิชาการ สือ่ ออนไลน หรือแหลงเรียนรูต า งๆ แลวคัดเลือก
เขาใจการสราง DNA รีคอมบิแนนทไดงายขึ้น โดยอาจใชคําคนหาตอไปนี้ เอนไซมตัดจําเพาะ 10 ชนิด (นอกเหนือจากในหนังสือเรียน)
- DNA recombinant พรอมระบุแหลงทีแ่ ยกได ลําดับเบสทีจ่ ดจํา และลักษณะปลายทีไ่ ด
- DNA ligase enzyme จากการตัด ลงในกระดาษ A4
- Restriction enzyme

T90
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
• การสังเกต
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ทํา
การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์ • การสร้างแบบจ�าลอง กิจกรรม การสราง DNA รีคอมบิแนนท เพื่อ
• การลงความเห็นจากข้อมูล
จิตวิทยำศำสตร์ จําลองขัน้ ตอนการสราง DNA รีคอมบิแนนท ทีใ่ ช
วัสดุอปุ กรณ์ • ความมีเหตุผล
• ความร่วมมือช่วยเหลือ
คุณสมบัติของเอนไซมตัดจําเพาะ และเอนไซม
1. กระดาษขาวและกระดาษสีแดง (หรือสีใดก็ได้) ดีเอ็นเอไลเกส
2. ปากกาหรือดินสอ อธิบายความรู
3. เทปใส
4. กรรไกร 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอผล
การทํากิจกรรม การสราง DNA รีคอมบิแนนท
วิธปี ฏิบตั ิ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
การสราง DNA รีคอมบิแนนท
GAAT T C GAAT T C
CTTAAG C T T AA G
ภาพที่ 6.4
1. เตรียมชิ้นส่วน DNA ที่ต้องการตัดต่อเข้ากับพลาสมิด โดยน�ากระดาษสีแดงมาตัดให้มีความกว้าง 3
เซนติเมตร ยาว 10 เซนติเมตร และเขียนล�าดับ DNA ลงบนกระดาษ ที่ต้องการตัดต่อเข้ากับพลาสมิด
ท�าไว้จ�านวน 10 ชิ้น
T AAGG G T G A A T T C T T A AT C C C GG G C C T
AT T C C C AC T T A A GAAT T A GG G C C C G G A
ภาพที่ 6.5
2. เตรียมพลาสมิดโดยการน�ากระดาษสีขาวมาตัดให้มีความกว้าง 3 เซนติเมตร และยาว 20 เซนติเมตร และ
เขียนล�าดับ DNA ลงบนกระดาษไว้ส�าหรับเป็นพลาสมิด ท�าไว้จ�านวน 10 ชิ้น

GGT GA A T T C T T A AT
C CAC T T AA G A A T T A
ภาพที่ 6.6
3. น�ากระดาษสีขาวที่เป็นพลาสมิดมาม้วนติดกันให้เป็นวงกลม โดยใช้เทปใสเชื่อมปลายแต่ละด้านเข้าด้วยกัน
จะได้วงพลาสมิดที่สมบูรณ์ทั้ง 10 ชิ้น

พันธุศาสตร์และ 79
เทคโนโลยีทาง DNA

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


เอนไซมตัดจําเพาะจะตัดพันธะชนิดใดของโมเลกุลดีเอ็นเอ ครูอาจใหนักเรียนทํากิจกรรม โดยแตละกลุมใชลําดับเบสบนสาย DNA ที่
(วิเคราะหคาํ ตอบ เอนไซมตดั จําเพาะจะตัดพันธะฟอสโฟไดเอสเทอร จําเพาะตอเอนไซมตัดจําเพาะที่แตกตางกัน ดังนี้
(phosphodiester) ที่เชื่อมระหวางนํ้าตาลดีออกซีไรโบสของ - EcoRI มีลําดับตัดตัดจําเพาะ คือ 5ʹ GAATTC 3ʹ
นิวคลีโอไทดโมเลกุลหนึ่ง กับหมูฟอสเฟตของนิวคลีโอไทดอีก 3ʹ CTTAAG 5ʹ
โมเลกุลหนึ่ง) - BamH มีลําดับตัดตัดจําเพาะ คือ 5ʹ GGATCC3ʹ
3ʹ CCTAGG 5ʹ
- HindIII มีลําดับตัดตัดจําเพาะ คือ 5ʹ AAGCTT 3ʹ
3ʹ TTCGAA 5ʹ

T91
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา DNA รีคอมบิแนนท GAAT T C GAATTC
ที่สรางขึ้นจะถูกเพิ่มจํานวนเพื่อใหเพียงพอตอ CTTAAG C T T AA G
การนําไปประยุกตใชประโยชน เรียกการเพิ่ม ภาพที่ 6.7
4. ชิ้นส่วน DNA จะถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะ EcoRI ในบริเวณต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ (ตารางที่ 6.1) โดย
จํานวนนี้วา การโคลน DNA และหากสาย ตัดตามเส้นปะ ส่วนของชิ้นส่วน DNA ที่เหลือให้ตัดทิ้ง ก็จะได้เป็นชิ้นส่วน DNA ที่พร้อมจะน�ามาต่อเข้า
DNA ดังกลาวเปนยีนจะเรียกวา การโคลนยีน กับพลาสมิดที่ถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะ ท�าเช่นนี้ทั้ง 10 ชิ้น
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการโคลนยีนโดยอาศัย
พลาสมิดของแบคทีเรีย
GGT GA A T T C T T A AT
C CAC T T AA G A A T T A
ภาพที่ 6.8
5. น�ากระดาษสีขาวที่เป็นพลาสมิด มาตัดตรงต�าแหน่งที่เอนไซม์ตัดจ�าเพาะตรงต�าแหน่งเดียวกัน ซึ่งจะท�าให้
ได้พลาสมิดขาดออกจากกันกลายเป็นสาย ท�าเช่นนี้ทั้ง 10 ชิ้น
6. น�ากระดาษทั้ง 20 ชิ้นใส่ในถุงทึบ เขย่าให้กระจายทั่ว ๆ กัน แล้วหยิบกระดาษออกจากถุง ครั้งละ 2 ชิ้น
เป็นจ�านวน 10 ครั้ง
• ถ้าได้ชิ้นสีขาว 1 ชิ้นและสีแดง 1 ชิ้น ให้น�ากระดาษสีแดงซึ่งเป็นสาย DNA ที่ต้องการต่อเข้ากับ
พลาสมิดสีขาว มาเชื่อมกันเป็นวงด้วยเทปใส
• ถ้าได้ชิ้นสีขาว 2 ชิ้น ให้ต่อพลาสมิด (กระดาษสีขาว) ขดเป็นวงดังเดิมด้วยเทปใส
• ถ้าได้ชิ้นสีแดงสองชิ้น ให้ต่อชิ้นสีแดงเข้ากันด้วยเทปใส

?
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. นักเรียนได้ DNA รีคอมบิแนนท์ ในรูปของพลาสมิดที่มี DNA ที่ต้องการแทรกอยู่ทั้งหมดกี่วง
2. นักเรียนได้พลาสมิดที่เหมือนเดิมกี่วง
3. นักเรียนได้ DNA ที่ไม่ใช้พลาสมิดกี่โมเลกุล

อภิปรายผลกิจกรรม

จากกิจกรรมนี้ จะสามารถจ�าลองการสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์ โดยอาศัยหลักการท�างานของ


เอนไซม์ตัดจ�าเพาะและเอนไซม์ DNA ไลเกส โดยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะจะตัดสาย DNA ที่ต�าแหน่ง
ตัดจ�าเพาะของเอนไซม์นั้น ๆ ขณะที่เอนไซม์ DNA ไลเกส จะเชื่อมสาย DNA 2 สายที่มีต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม เดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็น DNA สายเดิม หรือ DNA สายใหม่ ท�าให้ได้ DNA รีคอมบิแนนท์ขึ้น
1. ขึ้นอยูกับผลการทํากิจกรรมของนักเรียน 80
2. ขึน้ อยูกับผลการทํากิจกรรมของนักเรียน
3. ขึน้ อยูกับผลการทํากิจกรรมของนักเรียน

ขอสอบเนน การคิด
กําหนดอักษรตางๆ ตอไปนี้แทนขั้นตอนการทํา Recombinant DNA
A : ตัด DNA ที่มียีนที่ตองการดวยเอนไซมตัดจําเพาะ
B : เชื่อมตอ DNA กับ DNA พาหะ ที่ตัดดวยเอนไซมตัดจําเพาะ
C : แยก DNA ที่มียีนที่ตองการออกจากผูให
D : คัดเลือกเซลลแบคทีเรียที่มียีนที่ตองการ
E : นํา Recombinant DNA เขาสูเซลลแบคทีเรีย
ขอใดเรียงลําดับการทํา Recombinant DNA ไดถูกตอง
1. D C A B E 2. C A B E D
3. D E C B A 4. A B E D C
5. C E B A D
(วิเคราะหคาํ ตอบ การทํา Recombinant DNA เริม่ จากแยก DNA ทีม่ ยี นี ทีต่ อ งการออกจากผูใ ห แลวตัด DNA ทีม่ ยี นี ทีต่ อ งการ
ดวยเอนไซมตัดจําเพาะ นําไปเชื่อมตอกับ DNA ของพาหะที่ตัดดวยเอนไซมตัดจําเพาะชนิดเดียวกัน และนํา Recombinant
DNA ที่ไดใสเขาสูเซลลแบคทีเรีย แลวคัดเลือกเซลลแบคทีเรียที่มียีนที่ตองการเพื่อนําไปเพิ่มจํานวนตอไป ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T92
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1.2 การโคลนดีเอ็นเอ 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
กำรโคลน DNA (DNA cloning) เป็นการเพิ่มจ�านวน DNA เนื่องจาก DNA รีคอมบิแนนท์ • เพราะเหตุใดจึงเลือกพลาสมิดของแบคทีเรีย
ที่ผ่านการตัดต่อมานั้นอาจไม่เพียงพอต่อการน�าไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ จึงอาศัยการโคลน DNA เปนพาหะในการโคลนยีน
เพื่อเพิ่มจ�านวนให้เพียงพอต่อการน�าไปใช้ และหาก DNA บริเวณดังกล่าวเป็นยีน จะเรียกว่า (แนวตอบ พลาสมิดของแบคทีเรีย เปน DNA
กำรโคลนยีน (gene cloning) แบ่งออกเป็น 2 วิธี สายคู  ที่ อ ยู  น อกโครโมโซมของแบคที เ รี ย
1. กำรโคลนยีนโดยอำศัยพลำสมิดของแบคทีเรีย เป็นการเพิ่มปริมาณ DNA โดย ซึ่ ง พลาสมิ ด ของแบคที เ รี ย เป น ที่ นิ ย มใช
อาศัย DNA พาหะหรือเวกเตอร์ (vector) เช่น พลาสมิด (plasmid) ของแบคทีเรีย ซึ่งในแบคทีเรีย เนื่องจากมีจุดเริ่มตนของการจําลอง DNA
1 เซลล์ อาจมีพลาสมิดตั้งแต่ 1- 300 ชุด และเมื่อน�าแบคทีเรียไปเลี้ยงเพื่อเพิ่มจ�านวนเซลล์ มียนี ตานยาปฏิชวี นะ มีตาํ แหนงของเอนไซม
ชุดของพลาสมิดที่มีชิ้นส่วนของ DNA ที่ต้องการก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ตัดจําเพาะหลายชนิดซึ่งเหมาะสมกับการ
โคลนยีน)
การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การโคลนยีนโดย
เซลล์แบคทีเรีย
เซลล์ที่มียีนที่ต้องการ อาศั ย พลาสมิ ด ของแบคที เ รี ย เป น การเพิ่ ม
จํานวนโดยใชพลาสมิดเปนเวกเตอรในการเพิม่
โครโมโซม
DNA จํานวน โดยตัดตอยีนที่สนใจใหกับพลาสมิด
พลาสมิด DNA รีคอมบิแนนท์ ยีนที่ต้องการ
ของแบคทีเรีย แลวนําแบคทีเรียมาเพิม่ จํานวน
เซลล์แบคทีเรีย ซึ่ ง ยี น ที่ ผ  า นการตั ด ต อ จะเพิ่ ม จํ า นวนตาม
การเพิ่มจํานวนของแบคทีเรีย
เพาะเลี้ยงแบคทีเรีย
ให้เพิ่มจ�านวน

ภาพที่ 6.9 การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย


1. แยกดีเอ็นเอบริสุทธิ์จากเซลล์ แล้วตัดชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่มียีนที่ต้องการ
2. แยกโมเลกุลดีเอ็นเอขนาดเล็กที่ท�าหน้าที่เป็นเวกเตอร์ ซึ่งอาจเป็นโครโมโซมของแบคทีเรีย ที่เรียกว่า พลาสมิด
3. น�าชิน้ ส่วนดีเอ็นเอทีม่ ยี นี ทีต่ อ้ งการมาเชือ่ มต่อกับพลาสมิด ได้เป็นดีเอ็นเอสายผสม ซึง่ จะมีคณ
ุ สมบัตติ ามทีต่ อ้ งการ
4. น�าดีเอ็นเอสายผสมใส่กลับเข้าสู่เซลล์แบคทีเรีย เพื่อให้แสดงคุณสมบัติที่ต้องการ
5. น�าแบคทีเรียไปเพิ่มจ�านวน เพื่อให้มีการเพิ่มจ�านวนมากขึ้น
B iology
Focus พลาสมิด 1
พลาสมิด เป็น DNA วงแหวนสายคู่ที่อยู่นอกโครโมโซมของแบคทีเรีย อาจมีขนาดตั้งแต่
1,000-200,000 คู่เบส และมักมียีนสร้างเอนไซม์ที่ท�าให้แบคทีเรียมีลักษณะเฉพาะ โดยพลาสมิดที่
นิยมใช้ในการโคลนยีนในปัจจุบันจะพัฒนาให้มีขนาดเล็กประมาณ 3,000-4,000 คู่เบส มียีนต้านทาน
ยาปฏิชวี นะ เพือ่ ใช้เป็นเครือ่ งหมายในการคัดเลือกเซลล์แบคทีเรียทีม่ พี ลาสมิด และมีตา� แหน่งเอนไซม์
ตัดจ�าเพาะที่เหมาะสมต่อการแทรกสาย DNA ที่ต้องการ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการโคลนยีน
พันธุศาสตร์และ 81
เทคโนโลยีทาง DNA

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


เพราะเหตุใดจึงนิยมใชพลาสมิดของแบคทีเรียเปนพาหะในการ 1 โครโมโซมของแบคทีเรีย เนือ่ งจากแบคทีเรียเปนสิง่ มีชวี ติ กลุม โพรคาริโอต
โคลนยีน จึงไมมเี ยือ่ หุม สารพันธุกรรม ซึง่ โครโมโซมจะลอยอยูใ นไซโทพลาซึม ประกอบดวย
(วิเคราะหคําตอบ เนื่องจากพลาสมิดของแบคทีเรียมีขนาดเล็ก ดีเอ็นเอ 80% โปรตีน 10% และอารเอ็นเอ 10% โดยดีเอ็นเอจะจับกับโปรตีน
มียนี ตานยาปฏิชวี นะ มียนี สรางเอนไซมทที่ าํ ใหแบคทีเรียมีลกั ษณะ เปนโครงสรางที่เรียกวา นิวคลีออยด (nucleoid) มีลักษณะเปนรูปวงแหวน
เฉพาะ มีตาํ แหนงตัดจําเพาะทีเ่ หมาะสมตอการแทรกสาย DNA ที่ ประกอบดวย DNA 1 โมเลกุล และขดปนวงที่เรียกวา ซูเปอรคอยล (supercoil)
ตองการ จึงสะดวกสําหรับใชในการโคลนยีน) ซึ่งสามารถสังเกตดวยการใชกลองจุลทรรศนอิเล็กตรอน

T93
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการโคลนยี น ในหลอด 2. กำรโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน (polymerase
ทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน chain reaction ; PCR) เป็นเทคนิคการเพิ่มชิ้นส่วน DNA ในหลอดทดลองโดยอาศัยเครื่อง
ที่สามารถควบคุมสภาวะตางๆ ในการเพิ่ม เทอร์มอลไซเคลอร์ (thermal cycler) ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
จํานวนของยีนหรือดีเอ็นเอได รวมทั้งก�าหนดจ�านวนรอบและเวลาส�าหรับปฏิกิริยาในแต่ละขั้นตอนได้อย่างอัตโนมัติ
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา การท�า PCR ต้องอาศัยองค์ประกอบ ดังนี้
• การโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิค 1) DNA แม่แบบ เป็นชิ้นส่วนของ DNA ที่ต้องการโคลน
พอลิ เ มอเรสเชนรี แ อกชั น มี ก ระบวนการ 2) ไพรเมอร์ (primer) เป็น DNA สายสั้น ๆ ที่มีล�าดับเบสเป็นคู่สมกับ DNA แม่แบบ
อยางไร 3) นิวคลีโอไทด์ทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ เบส A C G T
(แนวตอบ การโคลนยีนในหลอดทดลอง เริ่ม 4) เอนไซม์ DNA พอลิเมอเรส
จากการแยก DNA ออกเปนสายเดี่ยวเพื่อ องค์ประกอบทั้งหมดจะละลายอยู่ในสารละลายบัพเฟอร์เพื่อควบคุมให้เกิดภาวะที่
ใชเปนแมแบบ จากนั้นไพเมอรจะเขาจับกับ เหมาะสมต่อการเกิดปฏิกิริยา
DNA แมแบบเพื่อเริ่มการสังเคราะห โดย
DNA พอลิเมอรเรสจะนํานิวคลีโอไทดอิสระ
มาเขาคูกับนิวคลีโอไทดของสายแมแบบ การโคลนยีนโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการสังเคราะหจะไดยีน นิวคลีโอไทด์
ที่มีลักษณะเหมือนกันเพิ่มขึ้นมา) DNA แม่แบบ 5’ 3’ 5’ 3’

5’
3’ 5’
5’ 3’
11 2
2 3
3
3’ 5’
5’ 3’
3’ 5’

3’ 5’ 3’ 5’
ไพรเมอร์ ภาพที่ 6.10 การโคลนยีนโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
1 การแยก DNA เป็นสายเดีย่ ว 2 การจับของไพรเมอร์กบั DNA 3 การสร้าง DNA สายใหม่
(denaturation) เป็นการแยก แม่ แ บบ (annealing of (primer extension) เป็นการ
สายคู่ของ DNA แม่แบบ primer) โดยลดอุ ณ หภู มิ สร้างสาย DNA สายใหม่ตอ่
เป็นสายเดีย่ วโดยใช้อณ
ุ หภูมิ เหลือประมาณ 50-55 องศา- จากไพรเมอร์ในทิศทาง 5′
ประมาณ 90-95 องศา- เซลเซียส เพื่อให้เกิดการจับ ไป 3′ โดยการท�างานของ
เซลเซียส ของไพรเมอร์ กั บ DNA เอนไซม์ DNA พอลิเมอเรส
แม่แบบด้วยพันธะไฮโดรเจน โดยใช้ อุ ณ หภู มิ ป ระมาณ
70-75 องศาเซลเซียส

82
การโคลนยีน

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ในการเรียนการสอน เรื่อง การโคลนดีเอ็นเอ ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่แสดง ขอดี/ขอเสีย ของการโคลนยีนโดยเทคนิค PCR คืออะไร
การโคลนดีเอ็นเอมาเปดใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพ และเขาใจการ (วิเคราะหคําตอบ ขอดี คือ สามารถเพิ่มปริมาณยีนที่ตองการได
โคลนดีเอ็นเอไดงายขึ้น โดยอาจใชคําคนหาตอไปนี้ ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว สวนขอเสีย คือ ไมมีการตรวจสอบ
- DNA cloning ความถูกตองของลําดับนิวคลีโอไทดของยีน จึงอาจทําใหเกิดความ
- gene cloning ผิดพลาดของยีนได)
- plasmid cloning
- polymerase chain reaction

T94
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
เทคนิค PCR สามารถเพิ่มจ�านวน DNA ที่ต้องการจาก DNA แม่แบบที่มีปริมาณน้อยมาก 7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อสิ้นสุดแต่ละรอบของปฏิกิริยา จ�านวนของชิ้นส่วนเป้าหมายจะเพิ่มจ�านวน • หากตองการยีนจํานวน 500 โมเลกุล จาก
เป็นสองเท่า ดังนั้น จ�านวนโมเลกุล DNA จะเท่ากับ 2n (n เท่ากับจ�านวนรอบของปฏิกิริยา) เช่น ยีนเริม่ ตนเพียงโมเลกุลเดียว จะตองกําหนด
การท�า PCR 4 รอบ จะได้ DNA ทั้งหมดเท่ากับ 24 หรือ 16 โมเลกุล จาก DNA เริ่มต้นเพียง รอบของการทํา PCR กี่รอบ
โมเลกุลเดียว (แนวตอบ 9 รอบ เพราะ 29 เทากับ 512 ซึ่ง
DNA แม่แบบ
DNA สายใหม่ จะเพียงพอตอจํานวนยีนที่ตองการ)
• การโคลนยี น โดยเทคนิ ค พอลิ เ มอเรส
PCR รอบที่ 1
DNA 2 โมเลกุล
เชนรีแอกชัน มีขอดีและขอเสียอยางไร
( แนวตอบ การโคลนยี น โดยเทคนิ ค พอลิ -
PCR รอบที่ 2 เมอเรสเชนรีแอกชันจะมีความรวดเร็วและ
DNA 4 โมเลกุล
จําเพาะสูง แตอาจเกิดความผิดพลาดใน
PCR รอบที่ 3 การโคลนปริมาณมาก เนื่องจากเอนไซมที่
DNA 8 โมเลกุล
ใชในปฏิกริ ยิ าอาจไมทาํ งาน และไมมสี มบัติ
PCR รอบที่ 4
DNA 16 โมเลกุล
การตรวจสอบความถูกตองของนิวคลีโอไทด
เหมื อ นกั บ ของแบคที เ รี ย ซึ่ ง อาจทํ า ให มี
ภาพที่ 6.11 ปริมาณ DNA หลังการเพิ่มจ�านวนด้วยเทคนิค PCR ในแต่ละรอบ
จํานวนชุด DNA ที่ถูกตองเพียงบางสวน)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการท�า PCR จะมีความรวดเร็วและจ�าเพาะสูง แต่การเพิ่มจ�านวนโดย 8. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.)
เทคนิค PCR ไม่สามารถแทนที่การโคลนยีนในเซลล์ได้เมื่อต้องการยีนในปริมาณมาก เนื่องจาก กับนักเรียน
ระหว่างการท�า PCR อาจมีความผิดพลาดได้ จึงท�าให้มีจ�านวนรอบจ�ากัดที่จะได้จ�านวนชุด DNA อธิบายความรู
เป้าหมายที่เพิ่มขึ้นอย่างถูกต้อง การประยุกต์ใช้จึงน�าเทคนิค PCR มาเพิ่มปริมาณชิ้นส่วน DNA
ที่จ�าเพาะเพื่อน�าไปใช้ในการโคลนต่อไป 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
H. O. T. S. โคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย และ
เทคนิค PCR มีอิทธิพลอย่างมากกับงานวิจัยทางชีววิทยา คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
และพันธุวศิ วกรรม โดยถูกใช้เพือ่ เพิม่ ปริมาณ DNA จากตัวอย่าง เทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
หากต้ อ งการ 2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เปรี ย บเที ย บข อ ดี /
ที่หลากหลาย ตั้งแต่วูลลีแมมมอธ (woolly mammoth) ที่ถูกแช่ เซลล์
โ ค เยืลอ่ บุนขา้ งแก้
ยี มน
แข็งอายุ 40,000 ป ลายพิมพ์ DNA จากหยดเลือดเพียงเล็กน้อย ปริ ม าณมาก ขอเสียของการโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของ
เนือ้ เยือ่ หรือคราบอสุจทิ พี่ บในอาชญากรรม เซลล์ตวั อ่อนส�าหรับ จากยี น เริ่ ม ต้ น ปริ ม าณน้ อ ย แบคทีเรีย และเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
การวินิจฉัยหาความผิดปกติทางพันธุกรรม เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส มาก และมีเวลาจ�ากัด ควร 3. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การโคลนยีน
ซึง่ มีความยากในการตรวจพบ เช่น HIV (การตรวจ HIV โดยยีน เลือกการโคลนยีนด้วยวิธี ใด 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
เพราะเหตุใด
ของไวรัสจะถูกเพิ่มจ�านวนขึ้น) เป็นต้น ชีววิทยา ม.4 เลม 2
พันธุศาสตร์และ 83
แนวตอบ H.O.T.S.
เทคโนโลยีทาง DNA
ควรเลือกใชเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
เนื่องจากมีความจําเพาะสูง และมีความรวดเร็ว

ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู


การเพิ่มจํานวนโมเลกุลดีเอ็นเอ 50 โมเลกุล ดวยเทคนิค PCR ครูอธิบายเกีย่ วกับการตรวจสอบการติดเชือ้ ไวรัสโคโรนาสายพันธุใ หม 2019
จํานวน 8 รอบ จะไดโมเลกุลดีเอ็นเอจํานวนเทาใด โดยวิธีปฏิกิริยาลูกโซพอลิเมอเรสแบบยอนกลับ (RT-PCR) ซึ่งเปนการตรวจหา
1. 1,600 โมเลกุล สารพันธุกรรมของไวรัสที่ผานการรับรองและไดมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร
2. 5,120 โมเลกุล การแพทย สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และองคกรอนามัยโลก
3. 6,400 โมเลกุล (WHO) วาเปนวิธมี าตรฐานสําหรับการวินฉิ ยั โรคโควิด 19 (COVID-19) ขัน้ ตอน
4. 12,800 โมเลกุล การตรวจดวยเทคนิคนี้จะเหมือนกับเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน แตจะตอง
5. 25,600 โมเลกุล ทําการถอดรหัสสารพันธุกรรมของไวรัสจาก RNA เปน DNA เรียกวา reverse
(แนวตอบ การเพิ่มจํานวนโมเลกุลดีเอ็นเอ 50 โมเลกุล ดวย transcription จากนั้นจึงเปนการแยก DNA ใหเปนสายเดี่ยว (denaturation)
เทคนิค PCR จํานวน 8 รอบ เทากับ 50 × 28 = 12,800 โมเลกุล การจับของไพรเมอรกับ DNA (annealing) และการสราง DNA สายใหม
ดังนั้น ตอบขอ 4.) (extension) ตามลําดับ ซึง่ จะทําใหไดปริมาณ DNA หรือสารพันธุกรรมของไวรัส
เปนจํานวนมาก โดยการทํา RT-PCR จะใชเวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง

T95
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสราง DNA 1.3 การสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์
รีคอมบิแนนท และการโคลน DNA ถูกนํามา สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม (genetically modification organism; GMOs) หมายถึง สิง่ มีชวี ติ
ใชสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ที่มีองค์ประกอบทางพันธุกรรมถูกดัดแปลงโดยใช้เทคโนโลยีทาง DNA ซึ่งการสร้าง DNA
2. ครูใหนักเรียนศึกษา ขั้นตอนการสรางพืชดัด รีคอมบิแนนท์ถูกน�ามาประยุกต์ใช้ในการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมทั้งในพืชและสัตว์ ดังนี้ิี
แปรพันธุกรรม และถามคําถามนักเรียนวา
• เพราะเหตุใดจึงใชพลาสมิด Ti จากแบคทีเรีย 1. กำรสร้ำงพืชดัดแปรพันธุกรรม เป็นการตัดต่อยีนที่สามารถแสดงออกลักษณะที่
A. tumefaciens เปนเวกเตอรในการแทรก ต้องการให้กับพืช เช่น ยีนต้านทานโรค ยีนต้านทานภัยแล้ง ยีนชะลอการสุก เป็นต้น โดยใช้
ยีนสูเซลลพืช พลำสมิด Ti จากแบคทีเรีย Agrobacterium tumefaciens ที่สามารถแทรกยีนหรือชิ้นส่วน DNA
(แนวตอบ เนื่องจากแบคทีเรียชนิดนี้สามารถ ทีม่ กี ารแสดงออกลักษณะทีต่ อ้ งการให้กบั โครโมโซมของเซลล์พชื ท�าให้พชื มีการแสดงออกลักษณะ
บุกรุกเขาสูเซลลพืช และสงผานพลาสมิด Ti ของยีนนั้น ๆ ซึ่งเรียกพืชเหล่านี้ว่า พืชดัดแปรพันธุกรรม (transgenic plant)
เขาสูโครโมโซมของเซลลพืชไดโดยตรง) 1
การสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรม
3. ครูใหนักเรียนศึกษาขั้นตอนการสรางสัตวดัด
แปรพันธุกรรม และครูถามคําถามนักเรียนวา แบคทีเรีย A.tumefaciens Ti พลาสมิดรีคอมบิแนนท์
• เพราะเหตุใดการสรางสัตวดดั แปรพันธุกรรม 2
จึงมีกระบวนการที่แตกตางจากการสราง การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
พืชดัดแปรพันธุกรรม 7
( แนวตอบ เนื่ อ งจากสั ต ว มี ค วามสามารถ พลาสมิด 1 6
ในการรับยีนจากภายนอกไดนอยกวาพืช
จึ ง ต อ งฉี ด ยี น ที่ ต  อ งการเข า สู  นิ ว เคลี ย ส 5
ของเซลลไข เพื่อใหยีนแทรกเขาสูจีโนมของ 3
นิวเคลียสโดยตรง) Ti พลาสมิดรีคอมบิแนนท์
4. ครูใหนักเรียนจับคูสืบคนขอมูล เรื่อง สิ่งมีชีวิต ยีนที่สนใจ 2 4 โครโมโซมของเซลล์พชื

ดัดแปรพันธุกรรม โดยเลือกพืชหรือสัตวดดั แปร ภาพที่ 6.12 การสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรม


พันธุกรรม 1 ชนิด แลวระบุวาพืชหรือสัตว 1 แยกพลาสมิดออกจากเซลล์ 3 น�าชิน้ ส่วน DNA แทรกเข้าไป 6 เพิม่ จ�านวนของเซลล์พชื โดย
ดั ด แปรพั น ธุ ก รรมชนิ ด นั้ น มี คุ ณ สมบั ติ ห รื อ แบคทีเรีย A. tumefaciens ใน DNA ของพลาสมิด ได้เป็น อาศัยเทคนิคการเพาะเลี้ยง
และตัดชิน้ ส่วน DNA โดยใช้ Ti พลาสมิดรีคอมบิแนนท์ เนื้อเยื่อ (tissue culture)
ลักษณะพิเศษอยางไร สามารถนํามาใชประโยชน เอนไซม์ตัดจ�าเพาะ
ไดอยางไร โดยทําเปนผังสรุปเพือ่ นําเสนอหนา 4 ใส่ Ti พลาสมิดรีคอมบิแนนท์ 7 พืชต้นใหม่จะประกอบด้วย
ชั้นเรียนในชั่วโมงตอไป เข้าสู่เซลล์แบคทีเรีย ยีนจากสิ่งมีชีวิตที่ต้องการ
2 แยก DNA จากสิ่งมีชีวิตที่ A. tumefaciens อีกครั้ง
มียีนที่สนใจ และตัดชิ้นส่วน
อธิบายความรู DNA โดยใช้ เ อนไซม์ ตั ด 5 น�าไปเลี้ยงร่วมกับเซลล์พืช
จ�าเพาะชนิดเดียวกับที่ใช้ตัด ซึ่ ง แบคที เ รี ย จะแทรก Ti
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับการสราง ชิน้ ส่วน DNA ของพลาสมิด พลาสมิดรีคอมบิแนนท์ เข้า
พืชและสัตวดัดแปรพันธุกรรม 84 สู่โครโมโซมของเซลล์พืช
2. ครูใหนกั เรียนทําใบงาน เรือ่ ง การสรางสิง่ มีชวี ติ
ดัดแปรพันธุกรรม

นักเรียนควรรู กิจกรรม สรางเสริม


1 การสรางพืชดัดแปรพันธุกรรม นอกจากการใชพลาสมิด Ti เปนพาหะแลว ใหนกั เรียนทําสืบคนขอมูลเกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม
ยังสามารถสงถายยีนโดยการใชเครื่องยิงอนุภาค โดยการยิงยีนที่ตองการเขาสู ที่ นั ก เรี ย นสนใจ 1 ชนิ ด จากหนั ง สื อ วารสารทางวิ ช าการ
เซลลพืช ซึ่งยีนจะถูกเคลือบไวบนอนุภาคโลหะขนาดเล็ก เชน อนุภาคทองคํา สื่อออนไลน หรือแหลงเรียนรูตางๆ พรอมระบุคุณสมบัติหรือ
อนุภาคทังสเตน และใชแรงผลักดันจากแหลงตาง ๆ เชน ดินปน กระแสไฟฟา ลั ก ษณะที่ ถู ก ตั ด แต ง พั น ธุ ก รรม วิ ธีก ารสร า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปร
แรงดันของแกส ทําหนาที่เปนตัวผลักดันอนุภาคโลหะเขาสูเนื้อเยื่อเปาหมาย พันธุกรรม และการใชประโยชนจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่
ผานผนังเยื่อหุมเซลล และเกิดการเชื่อมตอระหวางยีนที่ตองการกับโครโมโซม นักเรียนสนใจ ทําเปนแผนพับนําเสนอสงครูผูสอน
ของเซลลเปาหมาย
2 การเพาะเลีย้ งเนือ้ เยือ่ เปนการนําเซลล หรือเนือ้ เยือ่ ของพืชมาเพาะเลีย้ งใน
อาหารสังเคราะหที่ประกอบดวยธาตุอาหาร วิตามิน และฮอรโมนพืช (ออกซิน
และไซโตไคนิน) ในสภาวะปลอดเชือ้ และมีการวบคุมสภาวะตางๆ ทัง้ แสงสวาง
อุณหภูมิ และความชื้น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีประโยชนในหลายๆ ดาน เชน
การขยายพันธุเพื่อเพิ่มจํานวนพืชอยางรวดเร็ว การเก็บรักษาสายพันธุเพื่อการ
อนุรักษสายพันธุพืชที่ใกลสูญพันธุ การคัดเลือกพันธุพืชเพื่อพัฒนาสายพันธุ

T96
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2. กำรสร้ำงสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม เป็นการตัดต่อยีนที่สามารถแสดงออกลักษณะที่ ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะคู  อ อกมานํ า เสนอการ
ต้องการให้กับสัตว์ เช่น หมูมีไขมันต�่า วัวผลิตน�้านมมากขึ้น เป็นต้น แต่การสร้างสัตว์ดัดแปร- สรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ที่นักเรียนไดไป
พันธุกรรมจะมีลักษณะแตกต่างจากการสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรม เนื่องจากสัตว์มีศักยภาพใน สืบคนมา
การรับยีนจากภายนอกได้นอ้ ยกว่าพืช จึงอาศัยการฉีดยีนทีต่ อ้ งการเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ไข่ อธิบายความรู
เพื่อให้ยีนดังกล่าวแทรกเข้าสู่จีโนมของนิวเคลียสและแสดงออกตามต้องการได้ จากนั้นจึงท�า
การปฏิสนธิในหลอดทดลอง (in vitro fertilization) แล้วจึงถ่ายฝากเข้าเข้าสูต่ วั แม่ เพือ่ ให้เจริญเป็น 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ลูกตัวใหม่ที่มียีนที่ต้องการอยู่ ซึ่งเรียกสัตว์เหล่านี้ว่า สัตว์ดัดแปรพันธธุกรรม (transgenic animal) สรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
การสร้างสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม ชีววิทยา ม.4 เลม 2

1 โคลนยี น ที่ ต ้ อ งการจาก ขัน้ สรุป


สิ่งมีชีวิตที่ท�าหน้าที่เป็นผู้ให้ ขยายความเขาใจ
2
2 แยกเซลล์ ไ ข่ อ อกจากเพศ 1 ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน สืบคน
เมียซึ่งท�าหน้าที่เป็นผู้รับ ขอมูล เรื่อง สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยให
เซลล์ไข่ นักเรียนประยุกตใชความรูที่เรียนและที่สืบคน
3 ฉี ด ยี น ที่ ต ้ อ งการเข้ า ไปใน ยีน
นํามาสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมสายพันธุ
นิวเคลียสของเซลล์ไข่ ผู้รับ
ใหม ที่ แ สดงคุ ณ สมบั ติ ห รื อ ลั ก ษณะที่ ต  อ งการ
3
4 ท�าการปฏิสนธิในหลอด แลวจัดทําเปนรายงานสงครูผูสอน
ทดลอง (in vitro fertiliztion)
นิวเคลียสของเซลล์ไข่ 4 ขัน้ ประเมิน
5 น�าเซลล์ไข่ทผี่ า่ นการปฏิสนธิ
ตรวจสอบผล
ในหลอดทดลอง และมียีน
การปฏิสนธิในหลอดทดลอง
ที่ต้องการใส่กลับเข้าไปใน 1. ครูตรวจแบบทดสอบกอนเรียน
เพศเมียซึ่งเป็นผู้รับ
2. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน เรื่อง สิ่งมีชีวิต
6 ตั ว อ่ อ นเกิ ด การพั ฒ นาได้ 5 ดัดแปรพันธุกรรม
6 3. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุปและการนําเสนอ
อย่างสมบูรณ์ และเมือ่ คลอด
ออกมาจะมี คุ ณ สมบั ติ ห รื อ เรื่อง การสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
สามารถผลิตสารทีต่ อ้ งการได้
4. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การโคลนยีน
5. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง การสราง
สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
ภาพที่ 6.13 การสร้างสัตว์ดดั แปรพันธุกรรม
6. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
85
การสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2

กิจกรรม 21st Century Skills แนวทางการวัดและประเมินผล


ครูใหนักเรียนสรางแบบจําลอง การสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปร ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
พันธุกรรม โดยเลือกสิง่ มีชวี ติ ทีส่ นใจ 1 ชนิด (พืช/สัตว) ซึง่ ประกอบ ไดจากรายงาน เรือ่ ง สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม ทีน่ กั เรียนทําในขัน้ ขยายความเขาใจ
ดวย โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานที่อยูในแผน
- ขั้นตอนการสรางดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท การจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูท ี่ 6
- ขั้นตอนการโคลนดีเอ็นเอ แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 2 แบบประเมินการนาเสนอผลงาน

- ขั้นตอนการสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใชดีเอ็นเอ
แบบประเมินรายงาน คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน
ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
ระดับคะแนน 3 2 1

รีคอมบิแนนท
ลาดับที่ รายการประเมิน 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน   
4 3 2 1
1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความถูกต้องของเนื้อหา   
2 ความสมบูรณ์ของรูปเล่ม 3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย   
3 ความตรงต่อเวลา 4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ   

โดยใหนักเรียนสรางแบบจําลอง และนําเสนอหนาชั้นเรียน รวม 5 วิธีการนาเสนอผลงาน   


รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............./................../.................. ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การประเมินรายงาน
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เกณฑ์การให้คะแนน
ของเนื้อหา รายงานถูกต้องครบถ้วน รายงานถูกต้องเป็นส่วน รายงานถูกต้องบาง รายงานไม่ถูกต้องเป็น ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ใหญ่ ประเด็น ส่วนใหญ่ ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
2. ความสมบูรณ์ มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน องค์ประกอบไม่ ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
ของรูปเล่ม สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ แต่ยังไม่เป็น ครบถ้วน ไม่เป็น
ระเบียบ และรูปเล่ม ระเบียบ แต่รูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่
สวยงาม สวยงาม สวยงาม สวยงาม
3. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 14-15 ดีมาก
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-13 ดี
11-12 ดีมาก 8-10 พอใช้
9-10 ดี ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
6-8 พอใช้
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง

T97
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมมี 2. การประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีทาง
ความรูเดิมของนักเรียน ประโยชนตอ มนุษยอยางไร ดีเอ็นเอ
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสราง DNA
ปัจจุบนั เทคโนโลยีทาง DNA มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
รีคอมบิแนนท และสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
อีกทั้งยังเข้ามามีบทบาทส�าคัญต่อการด�ารงชีวิตของมนุษย์
ถูกนํามาประยุกตใชประโยชนในหลายๆ ดาน มากขึ้น โดยการน�าเทคโนโลยีทาง DNA มาประยุกต์ใช้ในหลายด้าน ทั้งในเชิงการแพทย์และ
ทั้งการแพทยและเภสัชกรรม นิติวิทยาศาสตร เภสัชกรรม นิติวิทยาศาสตร์ การเกษตร สิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรม
การเกษตร สิ่งแวดลอม และอุตสาหกรรม
2.1 การประยุกต์ใช้ในเชิงการแพทย์
ขัน้ สอน การประยุกต์ใช้ในเชิงการแพทย์และเภสัชกรรม เป็นการใช้เทคโนโลยีทาง DNA ในการ
สํารวจคนหา วินิจฉัยโรค การรักษาโรค และผลิตยาหรือฮอร์โมนบางชนิด ดังนี้
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการประยุกตใชเทคโนโลยี 1. กำรวินิจฉัยโรค เช่1 น โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส โดยใช้ Biology
เทคนิค PCR ตรวจสอบจีโนมของไวรัสในสิ่งมีชีวิต หรือเทคนิค in real life
ทางดีเอ็นเอในเชิงการแพทย การวินิจฉัยโรค PCR ที่มีการออกแบบไพรเมอร์ให้จ�าเพาะกับยีนที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันสามารถตรวจการติด
และการรักษาโรคดวยเทคนิคยีนบําบัด กับโรค โดยชิ้นส่วน DNA ที่ถูกเพิ่มจ�านวนขึ้นจะถูกน�ามา เชื้อ HIV ของทารกแรกเกิด
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา จากการตรวจ DNA ของเชื้อ
หาล�าดับนิวคลีโอไทด์เพื่อดูการกลายของยีนที่สัมพันธ์กับโรค ไวรัส HIV จากตัวอย่างเลือดใน
• เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอนํามาใชวินิจฉัยโรค ซึ่งท�าให้พบยีนที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์แล้วหลายโรค เช่น กระดาษซับเลือดเด็กแรกคลอด
ไดอยางไร โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ โรคฮีโมฟเลีย โรคซิสติกไฟโบรซิส โดยอาศัยการตรวจด้วยเทคนิค
( แนวตอบ การตรวจสอบจี โ นมของไวรั ส โรคฮันติงตัน โรคกล้ามเนื้อลีบดูเชน เป็นต้น ความผิดปกติจาก HIV-PCR ซึ่งจะทราบผลเร็ว
หรือการออกแบบไพรเมอรที่เกี่ยวของกับ โรคเหล่านีส้ ามารถตรวจพบโรคได้กอ่ นทีจ่ ะมีการแสดงออกของ ท�าให้การรักษามีประสทธิภาพ
โรค เพือ่ ศึกษาถึงการกลายของยีนทีม่ คี วาม โรคหรือก่อนที่จะคลอด อีกทั้งยังสามารถใช้เพื่อวินิจฉัยกลุ่ม มากขึ ้น อีกทั้งยังสามารถหยุด
การแพร่เชื้อ HIV จากแม่สู่ลูก
สัมพันธกับโรคนั้นๆ)
อาการที่ไม่แสดงออกหรือเป็นพาหะในผู้ที่มีแอลลีลด้อยได้อีก ได้ด้วย
ด้วย
2. กำรบ�ำบัดด้วยยีน การท�างานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายถูกควบคุมด้วยการท�างาน
ของยีน ซึง่ หากมีความผิดปกติของยีนก็จะก่อให้เกิดความผิดปกติของร่างกายขึน้ ได้ ความผิดปกติ
ที่เกิดจากความบกพร่องของยีนสามารถรักษาได้ด้วยเทคนิคยีนบ�ำบัด (gene therapy) ซึ่งเป็นการ
น�ายีนปกติใส่เข้าไปในผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีความผิดปกติเพื่อรักษาโรคหรือความผิดปกตินั้น ๆ
การท�ายีนบ�าบัดจะท�ากับเซลล์ที่มีความสามารถในการแบ่งตัวได้ตลอดชีวิตของผู้ป่วย เช่น เซลล์
แนวตอบ Prior Knowledge ไขกระดูก เซลล์ต้นก�าเนิดของเซลล์เม็ดเลือด และเซลล์ภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
เนื่ อ งจากสิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรมจะมี ตัวอย่างของโรคทีร่ กั ษาด้วยเทคนิคยีนบ�าบัด เช่น โรคภูมคิ มุ้ กันบกพร่องอย่างรุนแรง (severe
ลักษณะหรือคุณสมบัติตามที่ตองการ จึงมีการนํา combined immunodeficiency; SCID) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะไม่
มาประยุกตใชประโยชนในหลายๆ ดาน เชน ดาน สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ และมักจะเสียชีวิตเมื่อมีการติดเชื้อ เป็นต้น
การแพทยเพื่อสรางสารหรือฮอรโมนบางชนิดที่ใช 86
รักษาโรค ดานการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตของพืช
และสัตวตางๆ เปนตน

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 จีโนม คือ ขอมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ โดยอาจอยู เซลลรางกายชนิดใดสามารถใชในการรักษาโรคดวยเทคนิค
ในรูปของดีเอ็นเอหรืออารเอ็นเอ (ในกรณีของไวรัสหลายชนิด) ซึ่งจะนับรวม ยีนบําบัด
ทัง้ สวนทีเ่ ปนยีน และสวนทีไ่ มใชยนี (ไมมกี ารถอดรหัสดวย) สิง่ มีชวี ติ หลายชนิด 1. เซลลตับ
ถูกหาลําดับเบสของจีโนมทั้งหมดแลว เชน มนุษย แมลงหวี่ หนู ขาว แบคทีเรีย 2. เซลลหัวใจ
E.coli ยีสต S. cerevisiae อะราบิดอพซิส เปนตน ทําใหทราบโครงสรางของ 3. เซลลประสาท
จีโนม การควบคุมการแสดงออกของยีนตางๆ ที่สงผลตอการดํารงชีวิต และ 4. เซลลกลามเนื้อ
การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตดวย 5. เซลลไขกระดูก
(วิเคราะหคําตอบ การรักษาโรคดวยเทคนิคยีนบําบัดจะทํากับ
เซลลที่มีความสามารถในการแบงตัวไดตลอดชีวิต เชน เซลล
ไขกระดูก เซลลตนกําเนิดของเซลลเม็ดเลือด เซลลในระบบ
ภูมิคุมกัน เปนตน ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T98
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา

1 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
หลักการทํายีนบําบัด • การบําบัดดวยยีนจะใชรกั ษาโรคทีม่ ลี กั ษณะ
อยางไร
1 เก็ บ เกี่ ย วเซลล์ จ ากผู ้ ป ่ ว ย (แนวตอบ การบําบัดดวยยีนจะใชรกั ษาโรคที่
น�ามาเลี้ยงเพื่อเพิ่มจ�านวน
ของเซลล์ เกิดจากความผิดปกติของยีน โดยการแทรก
ยีนปกติเขาไปแทนยีนที่บกพรอง เพื่อใหยีน
2 เตรี ย มพาหะที่ ท� า หน้ า ที่
กลับมาทํางานไดอยางปกติ)
1 น� า ยี น ปกติ เ ข้ า สู ่ ร ่ า งกาย
เซลล์จากผู้ป่วย ของผู้ป่วย เช่น รีโทรไวรัส • การทํายีนบําบัดควรทํากับเซลลรา งกายหรือ
เป็นต้น เซลลสืบพันธุมากกวากัน เพราะเหตุใด
3 ใส่ยนี ทีท่ า� งานปกติแทรกเข้า (แนวตอบ การทํายีนบําบัดสามารถทําไดทั้ง
ไปในสารพั น ธุ ก รรมของ ในเซลลรางกาย หรือเซลลสืบพันธุ แตมี
7 พาหะ ความแตกตางกัน เนื่องจากหากเปนการทํา
4 4 น�าพาหะทีป่ ระกอบด้วยยีนที่ ในเซลลรางกายจะเปนการรักษาโรคเฉพาะ
6 ท�างานปกติมาเลี้ยงร่วมกับ บุคคลเทานั้น แตหากทําในเซลลสืบพันธุ
เซลล์ของผู้ป่วย จะสามารถถายทอดยีนนัน้ ไปยังรุน ลูกหลาน
5 ยีนปกติทอี่ ยูใ่ นสารพันธุกรรม ได)
3 ของพาหะจะแทรกเข้ า สู ่ 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การประยุกตใช
โครโมโซมของผู้ป่วย เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิงการแพทย พบทั้ง
5
6 น� า เซลล์ ที่ ป ระกอบด้ ว ย การนํามาใชในการวินิจฉัยโรคเพื่อตรวจสอบ
รีโทรไวรัส
ยีนที่ท�าหน้าที่ปกติฉีดเข้า จีโนมของไวรัส หรือการออกแบบไพรเมอรให
ยีนปกติ ร่างกายของผู้ป่วย จําเพาะกับยีนทีเ่ กีย่ วของกับโรค และรักษาโรค
2 7 ยีนที่แทรกเข้าสู่ร่างกายของ ดวยเทคนิคยีนบําบัด โดยการแทรกยีนปกติเขา
ผูป้ ว่ ยจะสร้างโปรตีนทีท่ า� งาน สูส ารพันธุกรรมของเวกเตอรเพือ่ ใหเวกเตอรนาํ
ปกติให้แก่ร่างกายได้ ยีนปกติเขาไปแทนทีย่ นี ทีผ่ ดิ ปกติของผูป ว ยได
ภาพที่ 6.14 หลักการท�ายีนบ�าบัด
อย่างไรก็ตาม การท�ายีนบ�าบัดยังมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น การควบคุมการแสดงออก
ของยีนที่ใส่เข้าไป การแสดงออกของยีนเพียงพอกับความต้องการและแสดงออกในต�าแหน่งที่
ต้องการหรือไม่ ความปลอดภัยต่อเซลล์ของผู้ป่วย เป็นต้น นอกจากนี้การท�ายีนบ�าบัดยังน�ามา
ซึง่ ปัญหาด้านจริยธรรม เนือ่ งจากบางกลุม่ เชือ่ ว่าการดัดแปลงยีนในมนุษย์ถอื เป็นเรือ่ งผิดจริยธรรม
รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับวิวัฒนาการของมนุษย์อีกด้วย
พันธุศาสตร์และ 87
เทคโนโลยีทาง DNA

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


การบําบัดดวยยีนใชในการรักษาโรคประเภทใด 1 การทํายีนบําบัด นอกจากการใชรีโทรไวรัสเปนพาหะในการแทรกยีนปกติ
1. โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เขาสูโครโมโซมของผูปวยแลว ยังสามารถใชวิธีที่เรียกวา การฝากถายยีนเขา
2. โรคที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิต สูเซลลภายในรางกายโดยตรง (ex vivo gene transfer) ซึ่งเปนการนําเซลล
3. โรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ออกมานอกรางกาย และทําการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมในเซลลดังกลาว
4. โรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ใหมคี ณุ สมบัตหิ รือลักษณะตามทีต่ อ งการ แลวจึงใสเซลลทไี่ ดรบั การเปลีย่ นแปลง
5 โรคที่เกิดจากความผิดปกติของหนวยพันธุกรรม สารพันธุกรรมแลวกลับเขาไปในรางกาย ซึ่งวิธีนี้เหมาะสําหรับเซลลที่นําออกมา
(วิเคราะหคําตอบ การบําบัดดวยยีนถูกใชรักษาโรคที่เกิดจาก ไดงาย เชน เซลลไขกระดูก เปนตน
ความผิดปกติของยีนหรือหนวยพันธุกรรม โดยการแทรกยีนปกติ
ใหกบั เวกเตอร เพือ่ ใหเวกเตอรนาํ ยีนปกติเขาไปแทนทีย่ นี ทีบ่ กพรอง
ซึ่ ง จะทํ า ให ยี น ที่ บ กพร อ งกลั บ มาทํ า งานได อ ย า งปกติ อี ก ครั้ ง
ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T99
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูใหนักเรียนศึกษาการประยุกตใชในเชิงการ 3. กำรสร้ำงผลิตภัณฑ์ทำงเภสัชกรรม เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทาง DNA เพื่อ
แพทย ในการสรางผลิตภัณฑทางเภสัชกรรม พัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการผลิตโปรตีน เช่น การผลิตฮอร์โมน
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา อินซูลินส�าหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การผลิตโกรทฮอร์โมนส�าหรับเด็กที่มีลักษณะแคระแกร็น
• การสรางผลิตภัณฑทางเภสัชกรรม เชน เนื่องจากขาดโกรทฮอร์โมน เป็นต้น
ฮอรโมนอินซูลิน ใชหลักการอยางไร
( แนวตอบ การสร า งฮอร โ มนอิ น ซู ลิ น ใช การผลิตฮอร์โมนอินซูลินในเซลล์แบคทีเรีย
หลักการเดียวกับการสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปร 1 แยกยี น ที่ ส ร้ า งฮอร์ โ มน
พันธุกรรม โดยตัดตอยีนสรางอินซูลินเขา อิ น ซู ลิ น โดยใช้ เ อนไซม์ ฮอร์โมนอินซูลิน
สูเซลลแบคทีเรีย ทําใหแบคทีเรียสามารถ ตัดจ�าเพาะ 1
ยีนสร้างฮอร์โมนอินซูลิน
สรางอินซูลินได เมื่อนําแบคทีเรียไปเพิ่ม 2 แยกพลาสมิดออกจากเซลล์ DNA รีคอมบิแนนท์ 4
จํานวนจะทําใหมีการสรางฮอรโมนอินซูลิน แบคที เ รี ย และตั ด ชิ้ น ส่ ว น
5
DNA โดยใช้ เ อนไซม์ ตั ด 3
ในปริมาณมากได) จ�าเพาะ
7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การประยุกตใช พลาสมิดของแบคทีเรีย
ในเชิงการแพทยในการสรางผลิตภัณฑทาง 3 ตั ด ต่ อ ยี น ที่ ส ร้ า งฮอร์ โ มน
อิ น ซู ลิ น ให้ กั บ พลาสมิ ด 2
เภสัชกรรมจะใชการการสรางสิง่ มีชวี ติ ดัดแปร DNA ได้เป็น DNA รีคอม- 6
พันธุกรรมทีส่ ามารถผลิตยาหรือฮอรโมนตางๆ บิแนนท์
ได ซึง่ เมือ่ นําไปเพิม่ จํานวนจะทําใหมกี ารผลิต ภาพที่ 6.15 การผลิตฮอร์โมนอินซูลินในเซลล์แบคทีเรีย
4 ใส่ DNA รี ค อมบิ แ นนท์
ในปริมาณมากได เข้ า ไปในเซลล์ แ บคที เ รี ย 5 น�าแบคทีเรียทีม่ ี DNA รีคอม- 6 แยกฮอร์โมนอินซูลิน และ
เพื่อให้มีแสดงออกของยีน บิ แ นนท์ ไ ปเพิ่ ม จ� า นวน ท� า ให้ บ ริ สุ ท ธิ์ เ พื่ อ น� า ไปใช้
อธิบายความรู โดยแบคทีเรียทีป่ ระกอบด้วย เพื่อให้มีการสร้างฮอร์โมน งานต่อไป
DNA รีคอมบิแนนท์จะสร้าง อินซูลินในปริมาณมาก
1. ครู ใหและนั กเรี ยนร วมกั นอภิ ปรายเกี่ ยวกับ ฮอร์โมนอินซูลินได้
การประยุกตใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิง
การแพทย เทคโนโลยีทาง DNA ยังสามารถประยุกต์ใช้เพือ่ ผลิตยาบางชนิด โดยการสังเคราะห์โมเลกุล
ขนาดเล็กส�าหรับการใช้เป็นยา เช่น ยา imatinib (ชื่อทางการค้าคือ Gleevec) เป็นยาที่สามารถ
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ยับยั้งตัวรับไทโรซีนไคเนสอย่างจ�าเพาะ ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดทรานสโลเคชันของโครโมโซม
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัยอีโลจีนัสชนิดเรื้อรัง (chronic myelogenous leukemia;
CML) เป็นต้น รวมทัง้ น�ามาประยุกต์ใช้ในการผลิตวัคซีน ซึง่ แต่เดิมจะใช้ไวรัสทีถ่ กู ท�าให้ไม่สามารถ
ก่อโรคหรือสายพันธุ์ไม่ก่อโรคมาฉีดให้กับคนเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน แต่เมื่อทราบชนิดของ
โปรตีนบนผิวของไวรัสที่เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันแล้วก็สามารถใช้วิธีทางพันธุวิศวกรรมมาตัดต่อ
เฉพาะยีนที่เป็นต้นแบบในการสร้างโปรตีนชนิดนั้น แล้วใช้โปรตีนดังกล่าวเป็นแอนติเจนในการ
กระตุ้นภูมิคุ้มกันแทนการใช้ไวรัส ท�าให้มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
88

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด


ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคที่นํามาใชพัฒนาวัคซีนปองกันโรคโควิด ฮอรโมนชนิดใดที่มีการใชเทคนิคพันธุวิศวกรรมในการผลิต
19 ซึง่ มีหลายเทคนิค เชน การผลิตแอนติเจนของไวรัสโคโรนาสายพันธุใ หม 2019 1. ฮอรโมนอินซูลิน
(SARS-CoV-2) โดยแยกรหัสพันธุกรรมของไวรัสเฉพาะสวนที่สรางแอนติเจน 2. ฮอรโมนกลูคากอน
ได แลวแทรกเขาไปในเซลลของแบคทีเรียหรือเซลลของสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม 3. ฮอรโมนเอลโดรเจน
เพื่อใหเซลลเหลานี้ผลิตแอนติเจนชนิดเดียวกับไวรัสออกมา ซึ่งจะสามารถนํา 4. ฮอรโมนเอนดอรฟน
แอนติเจนไปใชเปนวัคซีนปองกันโรคโควิด 19 ได 5. ฮอรโมนอะดรีนาลีน
(วิเคราะหคาํ ตอบ ฮอรโมนอินซูลนิ ถูกใชเทคนิคทางพันธุวศิ วกรรม
ในการผลิต โดยนํา DNA รีคอมบิแนนทที่ไดจากการตัดตอ
ใหสามารถสรางฮอรโมนอินซูลินใสเขาสูเซลลแบคทีเรีย แลว
นําเซลลแบคทีเรียไปเพิ่มจํานวน เพื่อใหสรางฮอรโมนอินซูลิน
ไดในปริมาณมาก ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T100
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2.2 การประยุกต์ใช้ในเชิงนิติวิทยาศาสตร์ 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการประยุกตใชเทคโนโลยี
การประยุกต์ใช้ในเชิงนิตวิ ทิ ยาศาสตร์ เป็นการใช้เทคโนโลยี ทางดีเอ็นเอในเชิงนิติวิทยาศาสตร
ทาง DNA เพื่อตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (DNA fingerprint) 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ในการพิสจู น์ตวั บุคคลในกรณีตา่ ง ๆ เช่น การตรวจหาผูก้ ระท�าผิด • ลายพิมพ DNA ใชพสิ จู นตวั บุคคลไดอยางไร
ในคดีอาญชญากรรม การตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายเลือด (แนวตอบ เนือ่ งจากลายพิมพ DNA ของแตละ
เป็นต้น เนื่องจากล�าดับดีเอ็นเอของแต่ละบุคคลจะมีลักษณะ บุคคลจะมีลกั ษณะเฉพาะ ซึง่ มีลาํ ดับดีเอ็นเอ
เฉพาะ1 จึงมีล�าดับดีเอ็นเอที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล (ยกเว้น ที่แตกตางกันในแตละบุคคล ทําใหสามารถ
แฝดแท้) ซึ่งการตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอจะใช้การเปรียบเทียบ ใชลายพิมพ DNA ในการพิสูจนตัวบุคคล)
ล�าดับนิวคลีโอไทด์ที่ต�าแหน่งต่าง ๆ บนสายดีเอ็นเอ ซึ่งแต่ละ 3. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เนือ่ งจากลายพิมพ
บุ ค คลไม่ มี โ อกาสที่ ล� า ดั บ นิ ว คลี โ อไทด์ ทุ ก ต� า แหน่ ง บนสาย ภาพที่ 6.16 ดีเอ็นเอจากเลือด ดีเอ็นเอของแตละบุคลจะมีลักษณะที่แตกตาง
ดีเอ็นเอจะตรงกัน จึงสามารถใช้ลายพิมพ์ดเี อ็นเอในการตรวจสอบ เป็ผู้กนระท�หลัากผิฐานส� าคัญในการระบุตัว
ดในคดีอาญชญากรรม กั น จึ ง สามารถใช ก ารตรวจสอบลายพิ ม พ
เอกลัก2ษณ์ของแต่ละบุคคลได้ โดยใช้วธิ กี ารต่าง ๆ เช่น PCR และ ดีเอ็นเอในการพิสจู นตวั บุคคลในกรณีตา งๆ ได
RFLP เป็นต้น ซึง่ วิธกี ารเหล่านีต้ อ้ งการปริมาณของตัวอย่างน้อย เช น ผู  ก ระทํ า ความผิ ด ในคดี อ าชญากรรม
มาก เพียงแค่ 1,000 เซลล์ก็เพียงพอแล้ว ผู้ต้อง ผู้ต้อง ผู้ต้อง
ความสัมพันธทางสายเลือด
สงสัย สงสัย สงสัย
ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบลายพิมพ์ คนร้าย คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 4. ครูใหนกั เรียนดูภาพ การเปรียบเทียบลายพิมพ
ดีเอ็นเอจากเหตุการณ์อาชญากรรมหนึ่ง ซึ่งมี
ดีเอ็นเอของคนรายกับผูตองสงสัยทั้ง 3 คน
ผูต้ อ้ งสงสัยทีก่ ระท�าความผิดจ�านวน 3 คน จาก
และถามนักเรียนวา
การเปรียบเทียบลายพิมพ์ดีเอ็นเอที่เก็บได้จาก
ที่เกิดเหตุกับผู้ต้องสงสัยที่กระท�าความผิดทั้ง • เพราะเหตุใดผูตองสงสัยคนที่ 2 จึงเปน
3 ราย พบว่า ลายพิมพ์ดีเอ็นเอที่เก็บได้จากที่ ผูกระทําความผิดในคดีอาชญากรรมนี้
เกิดเหตุเหมือนกับลายพิมพ์ดีเอ็นเอของผู้ต้อง (แนวตอบ ผูตองสงสัยคนที่ 2 มีลายพิมพ
สงสัยรายที่ 2 ดังนั้น ผู้ต้องสงสัยรายที่ 2 คือ ดี เ อ็ น เอเหมื อ นกั บ ลายพิ ม พ ดี เ อ็ น เอของ
ผู้กระท�าความผิดในคดีอาชญากรรมนี้ ภาพที่ 6.17 การเปรียบเทียบลายพิมพ์ดีเอ็นเอ คนราย ดังนั้น ผูตองสงสัยคนที่ 2 เปน
จากที่เกิดเหตุกับผู้ต้องสงสัยจ�านวน 3 ราย ผูกระทําความคิดในคดีอาชญากรรมนี้)
B iology
Focus การตรวจลายพิมพ์ DNA บริเวณช็อทแทนเดมรีพีท
ช็อทแทนเดมรีพที (short tandem repeat, STRs) เป็นส่วนของ DNA ทีม่ กี ารเรียงซ�า้ ต่อ ๆ กัน
โดยจ�านวนหน่วยทีซ่ า�้ มี 2-5 นิวคลีโอไทด์ในส่วนทีจ่ า� เพาะของจีโนม ซึง่ เป็นบริเวณทีม่ คี วามหลากหลาย
สูงและจะได้รับถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูก และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล ซึ่งการตรวจลายพิมพ์
DNA บริเวณนี้จะใช้เทคนิค PCR เพิ่มปริมาณนิวคลีโอไทด์ที่มีความจ�าเพาะ โดยใช้ไพรเมอร์ที่เชื่อม
กับสีฟลูออเรสเซนต์ จากนั้นน�ามาท�าเจลอิเล็กโทรโฟริซีส ซึ่งช่วยให้เพิ่มปริมาณ DNA ในบริเวณนี้ได้
แม้ไม่สมบูรณ์หรือมีปริมาณน้อย
พันธุศาสตร์และ 89
เทคโนโลยีทาง DNA

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


ชิ้นสวนใดของรางกายที่ไมสามารถนําไปพิสูจน DNA ได 1 แฝด เกิดจากการผสมกันของไขและอสุจิ มี 2 รูปแบบ ไดแก
1. เสนผม 1) แฝดแท (monozygotic twins) เปนแฝดทีเ่ กิดจากอสุจแิ ละไขใบเดียวกัน
2. กระดูก ซึ่งมีการแยกตัวหลังการปฏิสนธิ ทําใหมีขอมูลทางพันธุกรรมเหมือนกัน
3. ผิวหนัง 2) แฝดเทียม (dizygotic twins) เปนแฝดที่เกิดจากไขคนละใบและอสุจิ
4. ปลายเล็บ คนละตัว ทําใหมีขอมูลทางพันธุกรรมแตกตางกัน
5. หยดเลือด 2 RFLP (Restriction Fragment Length Polymorphism) เปนวิธีการตรวจ
(วิเคราะหคําตอบ ชิ้นสวนของรางกายมนุษยที่สามารถนํามา สอบดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตที่สนใจ โดยนําชิ้นสวนดีเอ็นเอสายเดี่ยวขนาดเล็กที่
ตรวจสอบ DNA ได ตองเปนชิ้นสวนที่มีเซลลที่มีนิวเคลียส ซึ่งเปน ทราบลําดับเบส และทําการติดฉลากสารกัมมันตรังสีเพื่อใชในการติดตามผล
แหลงเก็บสารพันธุกรรมไว เชน เสนผม กระดูก ผิวหนัง หยดเลือด นํามาทําปฏิกิริยากับดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตที่สนใจที่ถูกแยกเปนสายเดี่ยวและถูก
แตสําหรับปลายเล็บเปนโปรตีนชนิดหนึ่งที่ไมใชเซลล จึงไมมีสาร ตัดยอยดวยเอนไซมตัดจําเพาะ โดยอาศัยความสามารถของดีเอ็นเอตรวจสอบ
พันธุกรรมอยูภายใน ดังนั้น ตอบขอ 4.) ที่สามารถเขาคู หรือจับกันกับสายดีเอ็นเอเปาหมายตรงตําแหนงที่มีลําดับเบส
เปนคูสมกันได

T101
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
5. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม วิเคราะหลายพิมพ • การลงความเห็นจากข้อมูล

DNA โดยบันทึกลงในสมุดบันทึกของนักเรียน วิเคราะห์ลายพิมพ์ DNA • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป


• การจัดท�าสือ
่ และสือ่ ความหมายข้อมูล
จิตวิทยำศำสตร์
อธิบายความรู • ความมีเหตุผล
จงตอบค�ำถำมต่อไปนี้ • ความร่วมมือช่วยเหลือ
1. ครู สุ  ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยกิ จ กรรม • ความรับผิดชอบ
วิเคราะหลายพิมพ DNA 1. จากการตรวจลายพิมพ์ DNA ของครอบครัวหนึ่ง จงหาว่า
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยกิจกรรม วิเคราะห แม่ ลูกชาย ลูกสาว พ่อ 1.1 เราสามารถบอกได้หรือไม่ว่าลูกชายหรือ
ลูกสาวเป็นลูกแท้จริงที่เกิดมาจากพ่อและ
ลายพิมพ DNA แม่ เพราะเหตุใด
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ 1.2 ในครอบครัวนี้มีการรับบุตรบุญธรรมหรือไม่
การประยุกตใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิง เพราะเหตุใด
นิติวิทยาศาสตร
4. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การตรวจสอบ
ลายพิมพดีเอ็นเอ
ภาพที่ 6.18
2. ถ้านักเรียนเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ และต้องพิจารณาลายพิมพ์ DNA ของผู้ต้องสงสัย 3 คน จากหลักฐาน
ที่พบในที่เกิดเหตุในคดีฆาตกรรม จงหาว่า
หลักฐาน ผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องสงสัย 2.1 จาก DNA ที่ พ บในที่ เ กิ ด เหตุ บุ ค คล
คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 หมายเลข 3 ถู ก สงสั ย ว่ า เป็ น ผู ้ ก ระท� า
ความผิด เราจะสามารถบอกได้หรือไม่ว่า
หมายเลข 3 เป็นผู้กระท�าความผิดจริงหรือ
เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเหตุใด
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 2.2 หากผู้ต้องสงสัยหมายเลข 3 เป็นผู้บริสุทธิ์
1. 1.1 ลูกชายเปนลูกที่แทจริงของครอบครัวนี้ แล้วหมายเลขใดที่ควรจะเป็นผู้กระท�าผิดใน
เนื่ อ งจากลายพิ ม พ ดี เ อ็ น เอทุ ก ตํ า แหน ง มี เหตุการณ์นี้ เพราะเหตุใด
บางสวนเหมือนของพอ และบางสวนเหมือน
ภาพที่ 6.19
ของแม
1.2 มีการรับบุตรบุญธรรม เพราะลูกสาวไมมี อภิปรายผลกิจกรรม
ลายพิมพเหมือนของทั้งพอและแม จากกิจกรรมนี้ จะสามารถใช้ข้อมูลลายพิมพ์ DNA ในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อ แม่ และ
2. 2.1 ผูตองสงสัยหมายเลข 3 ไมใชผูกระทํา ลูก ซึ่งลูกจะต้องมีลายพิมพ์ DNA บางส่วนเหมือนของพ่อและส่วนที่เหลือเหมือนของแม่ และยังสามารถใช้
ความผิ ด ในคดี อ าชญากรรมนี้ เนื่ อ งจาก ในการตรวจหาผู้กระท�าผิดในคดีอาชญากรรมต่าง ๆ ได้ โดยเปรียบเทียบลายพิมพ์ DNA ที่เก็บได้จากที่เกิด
ลายพิมพดีเอ็นเอไมตรงกับหลักฐานที่เก็บได เหตุกับลายพิมพ์ DNA ของผู้ต้องสงสัย ซึ่งต้องมีลายพิมพ์ DNA ที่เหมือนกันทุกประการ
2.2 ผูตองสงสัยหมายเลข 2 เปนผูกระทํา 90
ความผิ ด ในคดี อ าชญากรรมนี้ เนื่ อ งจากมี
ลายพิมพดีเอ็นเอตรงกับหลักฐานทุกตําแหนง

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


จากลายพิมพ DNA ที่กําหนดให สามารถบอกไดหรือไมวา ลูกคนใดบางเปนลูกของสามีและภรรยาคูนี้
ลูกสาว ลูกสาว ลูกชาย ลูกชาย
พอ แม คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 1 คนที่ 2 1. ลูกชายคนที่ 2 เพียงคนเดียว
2. ลูกสาวคนที่ 1 และลูกชายคนที่ 1
3. ลูกสาวคนที่ 2 และลูกชายคนที่ 1
4. ลูกสาวคนที่ 1 ลูกสาวคนที่ 2 และลูกชายคนที่ 1
5. ลูกสาวคนที่ 2 ลูกชายคนที่ 1 และลูกชายคนที่ 2

(วิเคราะหคาํ ตอบ ลูกจะตองมีลายพิมพ DNA บางสวนเมือนของพอ และสวนทีเ่ หลือทัง้ หมดเหมือนของ


แม ซึ่งจากการพิจารณาลายพิมพ DNA ที่กําหนดให พบวา ลูกสาวคนที่ 1 และลูกชายคนที่ 1 มีลาย
พิมพ DNA บางสวนเหมือนของพอ และสวนที่เหลือทั้งหมดเหมือนของแม ทั้ง 2 คนนี้ จึงเปนลูกของ
สามีและภรรยาคูนี้ ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T102
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2.3 การประยุกต์ใช้ในเชิงการเกษตร 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการประยุกตใชเทคโนโลยี
การประยุกต์ใช้ในเชิงการเกษตร เป็นการใช้เทคโนโลยีทาง DNA ในการสร้างสิ่งมีชีวิต ทางดีเอ็นเอในเชิงการเกษตร
ดัดแปรพันธุกรรม เพือ่ ปรับปรุงพันธุใ์ ห้มลี กั ษณะหรือคุณสมบัตทิ ดี่ ขี นึ้ ซึง่ การดัดแปรพันธุกรรมใน 2. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า การประยุ ก ต
พืชจะท�าได้งา่ ยกว่าในสัตว์ เนือ่ งจากพืชมีศกั ยภาพในการรับยีนจากภายนอกและสามารถสร้างพืช ใช เ ทคโนโลยี ท างดี เ อ็ น เอในเชิ ง การเกษตร
ขึน้ ใหม่จากเซลล์ เนือ้ เยือ่ หรือส่วนต่าง ๆ ของพืชได้งา่ ยกว่า ตัวอย่างพืชดัดแปรพันธุกรรมมี ดังนี้ โดยการสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มี
- พืชดัดแปรพันธุกรรมที่มีควำมสำมำรถในกำรต้ำนทำนแมลง โดยการถ่ายยีนที่สามารถ ลักษณะหรือคุณสมบัติที่ดีขึ้น เชน ขาวโพด
สร้างสารพิษจากแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis หรือ BT ซึง่ สามารถท�าลายตัวอ่อนของแมลง ที่สามารถตานทานแมลงศัตรูพืชได ขาวที่
บางประเภทอย่างเฉพาะเจาะจง โดยไม่เป็นอันตรายต่อสิง่ มีชวี ติ อืน่ ๆ และเมือ่ น�ายีนทีส่ ร้างสารพิษ สามารถผลิตวิตามินเอได มะเขือเทศที่ชะลอ
ไปใส่ในพืช เช่น ฝ้าย ข้าวโพด มันฝรั่ง ยาสูบ มะเขือเทศ ท�าให้พืชเหล่านี้สามารถผลิตสารท�าลาย การสุก หมูมีไขมันตํ่าและเนื้อเพิ่มขึ้น
หนอนที่มากัดกิน ซึ่งเป็นการลดการใช้สารเคมีและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร 3. ครูใหนกั เรียนศึกษาการประยุกตใชเทคโนโลยี
- พื1ชดัดแปรพันธุกรรมที่มีคุณค่ำทำงอำหำรเพิ่มขึ้น เช่น ทางดี เ อ็ น เอในเชิ ง สิ่ ง แวดล อ ม และในเชิ ง
ข้าวสีทอง (golden rice) เป็นข้าวที่สามารถสร้างวิตามินเอได้ อุตสาหกรรม
โดยการตัดต่อยีนจากต้นแดฟโฟดิล (daffodil) ทีม่ คี วามสามารถ 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การประยุกตใช
ในการสร้างวิตามินเอเข้าไปในข้าว เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิงสิ่งแวดลอม โดย
- พืชดัดแปรพันธุกรรมทีส่ ำมำรถต้ำนทำนสำรปรำบวัชพืช การสรางสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมทีส่ ามารถ
โดยการน�ายีนที่ต้านทานสารปราบวัชพืชเข้าไปในพืช เช่น ฝ้าย ยอยสลายสารเคมีตกคางในธรรมชาติได สวน
ถั่วเหลือง ข้าวโพด ท�าให้สารปราบวัชพืชไม่มีผลต่อพืชเหล่านี้ ในเชิงอุตสาหกรรมจะเปนการสรางสิ่งมีชีวิต
ภาพที่ 6.20 ข้าวสีทองจากการดัดแปร
- พืชดัดแปรพันธุกรรมทีต่ ำ้ นทำนต่อโรค เช่น การถ่ายยีน พันธุกรรมให้สามารถสร้างวิตามินเอ ดัดแปรพันธุกรรมทีถ่ กู ใชในอุตสาหกรรมตางๆ
สร้างโปรตีนเปลือกไวรัส (coat virus protein gene) เข้าสู่เซลล์ ซึ่งจะทําใหมีการผลิตในปริมาณมากและใน
Biology
ของมะละกอ แล้วชักน�าให้มะละกอสร้างโปรตีนดังกล่าว ท�าให้ in real life เวลาอันรวดเร็ว
สามารถต้านทานเชือ้ ไวรัสทีเ่ ป็นสาเหตุของโรคใบด่างจุดวงแหวน เอทิลนี 2(ethylene) เป็นฮอร์โมน
- พืชดัดแปรพันธุกรรมเพื่อยืดอำยุของผลผลิต โดยการ พืชที่สร้างขึ้นจากผลไม้ในช่วง
น�ายีนที่มีผลยับยั้งการสร้างเอนไซม์เอทิลีน ซึ่งเป็นเอนไซม์ ใกล้สุก และมีผลกระตุ้นการสุก
เร่งการสุกใส่เข้าไปในพืช เช่น มะเขือเทศ ท�าให้สามารถเก็บ ของผลไม้ จึงมีการน�ามาใช้บ่ม
ผลไม้ให้สกุ เร็วขึน้ โดยน�าผลไม้
รักษาได้นานและขนส่งในระยะทางไกลได้ มาบ่มรวมกันในภาชนะปิดที่มี
ส�าหรับการดัดแปรพันธุกรรมในสัตว์ ส่วนใหญ่จะถูกใช้ อากาศถ่ายเทได้นอ้ ย ซึง่ สภาวะ
เพื่อปรับปรุงผลผลิตให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ทั้งด้านปริมาณและ นี้ท�าให้ภายในภาชนะมีเอทิลีน
คุณภาพ เช่น หมูมีไขมันต�่าและเนื้อเพิ่มขึ้น วัวผลิตน�้านมเร็ว เป็นจ�านวนมาก และช่วยเร่งให้
ผลไม้สุกได้เร็วขึ้น
และมากขึ้น เป็นต้น
พันธุศาสตร์และ 91
เทคโนโลยีทาง DNA

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


การสรางมะละกอตานโรคใบดางจุดวงแหวนตองใชยีนชนิดใด 1 ขาวสีทอง เปนขาวทีส่ ามารถสังเคราะหสารบีตาแคโรทีน ซึง่ เปนสารตัง้ ตน
1. ยีนสรางนํ้ายางในมะละกอ ของวิตามินเอ เพือ่ ใชเปนอาหารในพืน้ ทีท่ ขี่ าดวิตามินเอ โดยทัว่ ไปขาวจะสามารถ
2. ยีนสรางผนังเซลลแบคทีเรีย ผลิตบีตาแคโรทีนออกมาเชนกัน แตจะถูกสะสมไวที่ใบ แตสําหรับขาวสีทองจะ
3. ยีนสรางสารพิษจากแบคทีเรีย สามารถผลิตบีตาแคโรทีนและเก็บสะสมไวในเอนโดสเปรม หรือเมล็ดขาว
4. ยีนสรางโปรตีนเปลือกหุมไวรัส 2 เอทิลนี นอกจากเรงการสุกของผลไมแลว ยังมีบทบาทกระตุน การหลุดรวง
5. ยีนสรางแอนติบอดีตอตานไวรัส ของใบ กระตุนการเกิดรากฝอย และรากแขนง ซึ่งในปจจุบันมีการนําเอทิลีนมา
(วิเคราะหคําตอบ การสรางมะละกอตานโรคใบดางจุดวงแหวน ใชประโยชนในหลายๆ ดาน เชน ใชบมผลไม กระตุนการออกดอกของสับปะรด
จะใชยีนสรางโปรตีนเปลือกหุมไวรัสถายฝากเขาไปในเซลลของ กระตุนการเกิดดอกเพศเมียของพืชตะกูลแตง เรงการไหลของนํ้ายางพารา
มะละกอ เพื่อใหมะละกอสรางโปรตีนเปลือกหุมไวรัส ทําให เพิ่มปริมาณนํ้ายางของมะละกอเพื่อผลิตปาเปน เปนตน
สามารถตานทานตอเชื้อไวรัสได ดังนั้น ตอบ 4.)

T103
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแบ ง กลุ  ม ออกเป น 2 กลุ  ม 2.4 การประยุกต์ ใช้ในเชิงสิ่งแวดล้อม
เพื่อโตวาทีในหัวขอ ขอดี/ขอเสียของการใช การประยุกต์ใช้ในเชิงสิ่งแวดล้อม เป็นการใช้เทคโนโลยีทาง DNA เพื่อสร้างจุลินทรีย์หรือ
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ดังนี้ พืชที่มีความสามารถในการย่อยสลายสารพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้
กลุมที่ 1 ขอดีของการใชเทคโนโลยีทาง สารเคมีเพื่อควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชในการเกษตรจ�านวนมาก ซึ่งท�าให้เกิดสารพิษตกค้าง
ดีเอ็นเอ ทั้งในผลผลิตและสิ่งแวดล้อม แต่ในธรรมชาติมีจุลินทรีย์บางชนิดที่สามารถปรับตัวให้ทนต่อ
กลุมที่ 2 ขอเสียของการใชเทคโนโลยีทาง สารเคมี และสามารถใช้สารเคมีที่ตกค้างเหล่านั้นเป็นแหล่งอาหารและพลังงานได้ เช่น แบคทีเรีย
ดีเอ็นเอ Pseudomonas sp. ที่สามารถย่อยสารอาทราซีนซึ่งเป็นสารก�าจัดวัชพืชชนิดหนึ่งให้เป็นแก๊ส
ใหนักเรียนรวมกันสืบคนขอมูลเพื่อใชในการ คาร์บอนไดออกไซด์กับแอมโมเนียได้ จึงมีการศึกษาเรื่องยีนและเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อย
โตวาทีในชั่วโมงตอไป สารพิษชนิดนี้ เพื่อน�าไปปรับแต่งและถ่ายโอนให้แก่พืชหรือจุลินทรีย์อื่น ๆ และใช้ในการบ�าบัดดิน
6. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน ทํา หรือแหล่งปนเปื้อนสารอาทราซีนต่อไป เป็นต้น
กิ จ กรรม สิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรม โดย นอกจากนัน้ การสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรมทีส่ ามารถต้านทานโรคและแมลงศัตรูพชื ยังเป็น
สื บ ค น และรวบรวมข อ มู ล เกี่ ย วกั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต ผลประโยชน์ทางอ้อมต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากพืชที่ได้รับการถ่ายฝากยีนเหล่านี้ ท�าให้มี
ดัดแปรพันธุกรรมในประเด็นทีก่ าํ หนดให จัดทํา การลดการใช้สารเคมีต่าง ๆ ในการเกษตร จึงก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมลดลงด้วย
รายงาน และปายนิเทศเพื่อนําเสนอในชั่วโมง 2.5 การประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรม
สุดทาย การประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรม เป็นการใช้เทคโนโลยี
อธิบายความรู ทาง DNA ในการพัฒนาผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ ต่าง ๆ เช่น การดัดแปรพันธุกรรมของมันฝรั่งสายพันธุ์หนึ่งที่มี
ประยุ ก ต ใ ช เ ทคโนโลยี ท างดี เ อ็ น เอในเชิ ง ชื่อว่า Amflora
1 ของบริษัท BASF เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
การเกษตร เชิงสิง่ แวดลอม และเชิงอุตสาหกรรม ของแป้งในมันฝรัง่ โดยปกติแป้งในมันฝรัง่ มีโครงสร้างเป็นโซ่ตรง
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ผสมกับโซ่กิ่ง แต่มันฝรั่งที่ถูดดัดแปรพันธุกรรมจะมีโครงสร้างที่
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ภาพที่ 6.21 มันฝรั่ง Amflora ที่ถูก เป็นโซ่กิ่งเกือบทั้งหมด โดยมันฝรั่งดัดแปรพันธุกรรมนี้จะถูกน�า
ดัดแปรพันธุกรรมให้มโี ครงสร้างของ ไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตกระดาษ และอุตสาหกรรม
แป้งเป็นโซ่กงิ่ เพือ่ ใช้ในอุตสาหกรรม
กระดาษและกาว ผลิตกาว เป็นต้น
นอกจากนั้น การดัดแปรพันธุกรรมของจุลินทรีย์เพื่อใช้ผลิตยาหรือฮอร์โมนบางชนิดที่ใช้ใน
ทางการแพทย์ เช่น ฮอร์โมนอินซูลิน โกรทฮอร์โมน ก็ถูกน�ามาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อให้
มีการผลิตในปริมาณมากและรวดเร็วขึ้น หรือการสร้างสัตว์เป็นเสมือนโรงงานผลิตเพื่อสกัดสาร
ต่าง ๆ และน�าไปใช้ 2 ในทางการแพทย์ เช่น การถ่ายยีนสร้างโปรตีนแอนติธรอมบินซึ่งป้องกัน
การเกิดลิ่มเลือดในมนุษย์ เพื่อให้มีการสร้างและหลั่งออกมาพร้อมกับน�้านมของแพะ เป็นต้น

92

นักเรียนควรรู กิจกรรม สรางเสริม


1 แปง เปนพอลิแซ็กคาไรดที่พบในพืช มีโครงสราง 2 รูปแบบ ไดแก ครูใหนักเรียนสืบคนขาวหรือเหตุการณที่มีการใชประโยชน
- อะไมโลส (amylose) ประกอบดวยกลูโคสเรียงตัวตอกันเปนเสนยาวที่ จากสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม พรอมวิเคราะหขอ ดีและขอเสียจาก
ไมมีการแตกแขนง ซึ่งเชื่อมตอกันแบบ ∝(1 4) glycosidic bond การใชประโยชนจากสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมทีน่ กั เรียนสืบคนมา
- อะไมโลเพกทิน (amylopectin) ประกอบดวยกลูโคสเรียงตอกันเปน ลงในกระดาษ A4 จํานวน 1 หนากระดาษ
เสนยาว และมีการแตกแขนงเปนกิ่งกาน โดยเชื่อมตอกันแบบ ∝(1 6)
glycosidic bond กิจกรรม ทาทาย
2 ลิม่ เลือด คือ กอนเลือดทีอ่ ยูใ นลิม่ เลือด ทําใหเกิดการอุดตันของหลอดเลือด ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ การประยุกตใชประโยชน
สงผลตอระบบไหลเวียนเลือดทีไ่ ปเลีย้ งอวัยวะตางๆ ซึง่ อาจทําใหเนือ้ เยือ่ บริเวณ จากเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ จากหนังสือ วารสารทางวิชาการสื่อ
ที่หลอดเลือดไปเลี้ยงขาดเลือด และทําใหเกิดอาการเนื้อตายจากการขาดเลือด ออนไลน หรือแหลงเรียนรูตางๆ แลวนําเขียนสรุปวา ในชีวิต
(infarction) ประจําวันของนักเรียนหรือบุคคลในครอบครัวของนักเรียนมีการ
ใชประโยชนจากเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอดานใดบาง และมีการใช
ประโยชนอยางไร ซึ่งนักเรียนสามารถเขียนการใชประโยชนจาก
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมากกวา 1 ดาน
T104
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีทาง DNA จะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ยังมีความกังวลด้านความ 1. ครูใหนักเรียนทั้ง 2 กลุม รวมโตวาทีในหัวขอ
ปลอดภัยทางชีวภาพ เนื่องจากเทคโนโลยีทาง DNA เป็นการปรับแต่งพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่ง ขอดี/ขอเสียของการใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
อาจท�าให้เกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่อาจมีผลเสียต่าง ๆ ตามมา จึงมีความกังวลด้านต่าง ๆ ดังนี้ โดยใชขอมูลจากที่สืบคนมา
- ความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตที่มียีนของสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาจไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ เช่น 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมอาจกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ เป็นต้น • จากการโตวาที นักเรียนคิดวาเทคโนโลยีทาง
- การเป็นพาหะของเชื้อโรคหรือสารพิษ เนื่องจากยีนจากไวรัสที่ใช้ในการสร้างสิ่งมีชีวิต ดีเอ็นเอมีขอดีหรือขอเสีย อยางไร
ดัดแปรพันธุกรรมอาจเป็นอันตรายต่อผู้รับได้ (แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ
- การดือ้ ยาของเชือ้ โรค เนือ่ งจากการสร้างสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมอาจเกิดความผิดพลาด ครูผูสอน
และท�าให้เกิดเชื้อก่อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่ร้ายแรงและดื้อยาปฏิชีวนะ ท�าให้ยากต่อการรักษา - ขอดีของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ เชน การ
- ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพืชที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรมที่ต้านทานต่อสารฆ่าแมลง ประยุกตใชทางการแพทยและเภสัชกรรม
ซึ่งช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพที่ดีขึ้น แต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเคมี ซึ่งอาจน�ามา เพือ่ การรักษาโรค การผลิตยาหรือฮอรโมน
สู่การเกิดโรคมะเร็งในผู้ที่บริโภคได้เช่นกัน การประยุกตใชทางการเกษตรเพื่อการ
- การรับโภชนาการเกินปริมาณ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรมอาจท�าให้ สรางสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติหรือลักษณะ
ผู้บริโภคได้รับสารอาหารมากกว่าอาหารที่ได้จากธรรมชาติทั่วไป และอาจมากเกินไปจนก่อให้เกิด ตามตองการ และการประยุกตใชทาง
โทษต่อร่างกาย โดยเฉพาะเด็กทารกที่อาจเป็นอันตรายได้
1 นิติวิทยาศาสตรเพื่อการตรวจสอบความ
- ผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อมทีม่ ผี ลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เนือ่ งจากอาจมีสายพันธุ์ สัมพันธทางสายเลือด และผูรายในคดี
ใหม่ที่สามารถปรับตัวได้ดีกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ ท�าให้สายพันธุ์ดังเดิมสูญพันธุ์ไป ตางๆ เปนตน
- การถ่ายยีนจากสิง่ มีชวี ติ หนึง่ สูส่ งิ่ มีชวี ติ ข้างเคียง เช่น การถ่ายยีนต้านทานโรคหรือต้านทาน - ขอเสียของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ เชน
แมลงไปยังวัชพืชใกล้เคียง อาจท�าให้เกิดวัชพืชที่มีความแข็งแรงจนยากต่อการควบคุม เป็นต้น การเกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุใหมที่อาจเปน
จากผลเสียที่อาจเกิดขึ้น จึงมีมาตรการป้องกันต่าง ๆ ดังนี้ พาหะของสารพิษ ดื้อยาปฏิชีวนะ และ
- การป้องกันการติดเชื้อที่มีการดัดแปรพันธุกรรมของนักวิจัย โดยป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิต สารกําจัดศัตรูพืช หรืออาจเปนอันตราย
ดัดแปรพันธุกรรมหลุดออกจากห้องปฏิบตั กิ าร โดยเฉพาะสายพันธุท์ ใี่ ช้ในการท�าพันธุวศิ วกรรมจะ ตอสุขภาพของผูใ ชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
ถูกท�าให้ไม่สามารถมีชวี ติ รอดนอกห้องปฏิบตั กิ าร รวมทัง้ การทดลองบางอย่างทีเ่ ป็นอันตรายอย่าง เปนตน)
ชัดเจนจะถูกห้ามท�าการทดลองเพื่อป้องกันผลกระทบร้ายแรงที่ตามมา
อธิบายความรู
- การสร้างข้อตกลงเพือ่ ความปลอดภัยส�าหรับผูบ้ ริโภค โดยการติดฉลากระบุบนอาหารหรือ
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเพื่อสิทธิในการเลือกซื้อของผู้บริโภค 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการโตวาทีใน
- การประเมินความปลอดภัยของอาหารและผลิตภัณฑ์ จะต้องถูกประเมินคุณภาพจากหลาย หัวขอ ขอดี/ขอเสียของการใชเทคโนโลยีทาง
หน่วยงาน ทั้งองค์กรอาหารและยา หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และ ดีเอ็นเอ
กรมวิชาการเกษตร 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ
กั ง วลด า นความปลอดภั ย ทางชี ว ภาพของ
พันธุศาสตร์และ 93 การใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
เทคโนโลยีทาง DNA

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู


เพราะเหตุ ใ ดจึ ง ต อ งคํ า นึ ง ถึ ง ความปลอดภั ย จากการใช 1 ความหลากหลายทางชีวภาพ หมายถึง การมีชนิดพันธุของสิ่งมีชีวิต
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลากหลายชนิดมาอยูรวมกัน ณ สถานที่หนึ่งหรือระบบนิเวศใดระบบนิเวศหนึ่ง
(วิเคราะหคําตอบ เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ เปนการปรับแตง ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพประกอบดวยองคประกอบ 3 ประการ ไดแก
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่งทําใหเกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุใหมที่อาจ 1) ความหลากหลายทางพั น ธุ ก รรม หมายถึ ง ความหลากหลายของ
สงผลเสียตางๆ ตามมา เชน ความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตที่มียีน สิ่งมีชีวิต ซึ่งเปนผลจากความแปรผันทางพันธุกรรม
ของสิ่งมีชีวิตอื่น การเปนพาหะของเชื้อโรคหรือพาหะของสารพิษ 2) ความหลากหลายทางสปชีส หมายถึง ความหลากหลายของชนิดของ
การดือ้ ยาของเชือ้ โรค การกอใหเกิดเซลลมะเร็ง การรับโภชนาการ สิ่งมีชีวิต ซึ่งปจจุบันพบมากกวา 40 ลานชนิด
เกิ น ปริ ม าณ ผลกระทบต อ ความหลากหลายทางชี ว ภาพของ 3) ความหลากหลายของระบบนิเวศ หมายถึง ความหลากหลายของ
สิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดลอม การถายยีนสูสิ่งมีชีวิตขางเคียง เปนตน) สิ่งมีชีวิตที่เปนผลจากความแตกตางของระบบนิเวศ

T105
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอ 1
นอกจากนั้น การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอยังมีความกังวลด้านชีวจริยธรรม
กิจกรรม สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ที่หนาชั้น และด้านสังคม เนื่องจากการใช้ข้อมูลดีเอ็นเอของมนุษย์ในกระบวนการต่าง ๆ มีความเหมาะสม
เรียน มากน้อยเพียงใด เช่น บริษัทประกันภัยหรือประกันชีวิตสามารถตรวจหาข้อมูลดีเอ็นของผู้ยื่นขอ
กรมธรรม์ได้หรือไม่ บริษัทสมัครงานสามารถตรวจสอบข้อมูลดีเอ็นหรือยีนของผู้สมัครงานก่อน
อธิบายความรู รับเข้าท�างานเพื่อดูความเสี่ยงในด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้หรือไม่ หรือหากมีการน�า
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลจาก เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมาใช้มาใช้ในการคัดเลือกคุณสมบัติต่าง ๆ ของมุษย์ อาจไม่ใช่การคัดเลือก
กิจกรรม สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ลักษณะที่เป็นโรคออกไปเท่านั้น แต่จะสามารถคัดเลือกลักษณะที่ดีไว้ ท�าให้ผู้มีฐานะดีในสังคมมี
โอกาสเลือกมากกว่าในการใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในการเปลีย่ นแปลงพันธุกรรม เพือ่ ให้ลกู หลาน
แข็งแรงและฉลาดที่สุด จึงอาจสร้างความเหลื่อมล�้าในสังคม และเกิดการแบ่งแยกชนชั้นมากขึ้น
ขัน้ สรุป สิ่งเหล่านี้มักเป็นค�าถามที่ตามมาในสังคมเมื่อมีการพัฒนาของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมากขึ้น
ขยายความเขาใจ
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า ผั ง มโนทั ศ น เรื่ อ ง การ
ประยุ ก ต ใ ช ป ระโยชน จ ากเทคโนโลยี ท าง กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
ดีเอ็นเอ ที่ประกอบดวยการประยุกตใชในเชิง • การลงความเห็นจากข้อมูล

การแพทยและเภสัชกรรม เชิงนิตวิ ทิ ยาศาสตร สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป


• การจัดท�าสือ
่ และสือ่ ความหมายข้อมูล
เชิ ง การเกษตร เชิ ง สิ่ ง แวดล อ ม และเชิ ง จิตวิทยำศำสตร์
• ความมีเหตุผล
อุตสาหกรรม ?
วิธปี ฏิบตั ิ • ความร่วมมือช่วยเหลือ
2. ครูใหนักเรียนทํา Self Check เพื่อตรวจสอบ 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปร • ความรับผิดชอบ

ความเขาใจของตนเอง พันธุกรรมหรือ GMOs จากหัวข้อต่อไปนี้


1.1 ขั้นตอนการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม (ทั้งพืชและสัตว์)
3. ครูใหนักเรียนทํา Unit Question ทายหนวย 1.2 การประยุกต์ใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมทางการเกษตร การแพทย์ อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม
การเรียนรูที่ 6 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 พร้อมยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
เลม 2 1.3 การตรวจสอบความปลอดภัยทางชีวภาพก่อนน�าไปใช้ประโยชน์
4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวยการ 1.4 ความเสี่ยงในการใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมต่อสุขอนามัยของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และมนุษย์
1.5 ผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมต่อสุขอนามัยของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และมนุษย์
เรียนรูที่ 6 ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 1.6 ให้นักเรียนร่วมกันคิดสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมชนิดใหม่ รวมถึงอธิบายเหตุผลที่เลือกดัดแปร
5. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน พันธุกรรม และการประยุกต์ใช้งานสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมดังกล่าว
2. ให้นกั เรียนแต่ละกลุม่ น�าเสนอหน้าชัน้ และร่วมอภิปรายถึงผลกระทบจากการใช้สงิ่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม
ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ในอนาคต
อภิปรายผลกิจกรรม

จากกิจกรรมนี้ จะทราบข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ขั้นตอนการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปร


พันธุกรรม การประยุกต์ใช้งานสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม การตรวจสอบความปลอดภัยทางชีวภาพ รวมถึง
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมได้
94

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 ชีวจริยธรรม (bioethics) หมายถึง การปฏิบตั ติ อ สิง่ มีชวี ติ อยางมีคณ ุ ธรรม ขอใดตอไปนี้ไมใชสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
ไมทํารายหรือทําอันตรายตอสัตวหรือมนุษยเพื่อการศึกษาและการวิจัย ดังนี้ 1. ขาวที่สรางบีตาแคโรทีน
- จรรยาบรรณในการใชสัตวทดลอง โดยผูใชสัตวตองตระหนักถึงคุณคา 2. ยูกลีนาที่สังเคราะหดวยแสง
ของชีวิตสัตว ตระหนักถึงความแมนยําของผลงานโดยใชสัตวจํานวนนอยที่สุด 3. แบคทีเรียที่ผลิตฮอรโมนอินซูลิน
ตระหนักวาสัตวเปนสิ่งมีชีวิตเชนเดียวกับมนุษย ไมขัดตอกฎหมายและนโยบาย 4. มะละกอตานโรคใบดางจุดวงแหวน
การอนุรักษปา และบันทึกการปฏิบัติตอสัตวไวเปนหลักฐานอยางครบถวน 5. ขาวโพดสรางสารพิษทําลายตัวออนของแมลง
- การทําแทง เปนการกระทําที่ขัดตอกฎหมายและหลักศาสนา โดยถือวา (วิเคราะหคําตอบ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม เปนสิ่งมีชีวิตที่ถูก
เปนสิ่งผิดจริยธรรมและศีลธรรม แตยังคงเปนที่โตแยงกันวาในกรณีที่พบทารก ปรับแตงพันธุกรรม โดยนํายีนทีม่ คี ณ ุ สมบัตทิ ตี่ อ งการจากสิง่ มีชวี ติ
ในครรภมีความผิดปกติทางพันธุกรรม แลวควรหรือไมที่จะทําแทง ชนิดหนึ่งมาตัดตอเขากับสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง
- การโคลนมนุษย เนือ่ งจากเปนทีโ่ ตแยงกันอยางมากวาเปนสิง่ ทีค่ วรกระทํา เพื่อใหสามารถแสดงลักษณะหรือคุณสมบัติตามที่ตองการได
หรือไม หากมีมนุษยทเี่ กิดจากการโคลนจะมีความเสีย่ งเพียงใดทีจ่ ะมียนี ผิดปกติ ซึ่งยูกลีนาที่สังเคราะหดวยแสง ไมใชสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
- การสรางอาวุธชีวภาพ ซึ่งอาจทําใหมนุษยและสิ่งมีชีวิตจํานวนมากใน เนือ่ งจากยูกลีนามีคลอโรพลาสตภายในเซลล จึงสังเคราะหดว ยแสง
พื้นที่ไดรับบาดเจ็บ ปวย และเสียชีวิตได ได ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T106
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
Summary ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากผังมโนทัศน เรื่อง การ
พันธุศาสตร์และเทคโนโลยี ประยุ ก ต ใ ช ป ระโยชน จ ากเทคโนโลยี ท าง
ทางดีเอ็นเอ ดีเอ็นเอ
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ 2. ครูตรวจสอบผลจากกิจกรรม การตรวจสอบ
• กำรสร้ำงดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ เป็นกระบวนการสร้าง DNA สายใหม่โดยอาศัยเอนไซม์ 2 ชนิด ลายพิมพดีเอ็นเอ
ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ DNA โมเลกุลอื่นที่ตัดด้วย EcoRI
ตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�ำเพำะ ซึ่งเป็น 3. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน เรื่อง สิ่งมีชีวิต
เอนไซม์ ที่ ตั ด โมเลกุ ล ของ DNA
DNA GAATTC ตัดด้วยเอน
A A TT C
G G ที่ต�าแหน่งจ�าเพาะ ดัดแปรพันธุกรรม
CTTAAG Eco ไ C TT A A
RI 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การประยุกต
ซ ม์

G A A TT C
DNA รีคอมบิแนนท์
C TT A A G ใชประโยชนจากเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
เชื่อมต่อด้วยเอนไซม์ DNA ไลเกส
G AATT C
C TTAA G
G AATT C
C TTAA G ซึง่ เป็นเอนไซม์ทชี่ ว่ ยในการเชือ่ มต่อ 4. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถาม Unit
ภาพที่ 6.22
สาย DNA เข้าด้วยกัน Question ทายหนวยการเรียนรูท ี่ 6 ในหนังสือ
• กำรโคลนดีเอ็นเอ เป็นการน�ายีนหรือชิ้นส่วน DNA ที่เราสนใจมาเพิ่มจ�านวน แบ่งออกเป็น 2 แบบ
เรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2
- กำรโคลนยีนโดยอำศัยพลำสมิดของแบคทีเรีย เป็นการตัดต่อยีนใส่ในพลาสมิดของแบคทีเรีย แล้วน�าไป 5. ครูตรวจสอบผลจากการทําแบบทดสอบทาย
เพิ่มจ�านวนเซลล์ของแบคทีเรีย ท�าให้มีจ�านวนยีนเพิ่มมากขึ้น หนวยการเรียนรูที่ 6 ในแบบฝกหัดชีววิทยา
- กำรโคลนยีนโดยอำศัยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน (PCR) เป็นการเพิ่มชิ้นส่วน DNA ใน ม.4 เลม 2
หลอดทดลอง โดยใช้เครื่องเทอร์มอลไซเคลอร์ที่สามารถก�าหนดจ�านวนรอบและเวลาอย่างอันโนมัติ
6. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
• กำรสร้ำงสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์
ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
- กำรสร้ำงพืชดัดแปรพันธุกรรม โดยอาศัยพลาสมิด Ti เป็นพาหะน�ายีนเข้าสู่โครโมโซมพืช เพื่อให้พืช
แสดงคุณสมบัติที่ต้องการ 7. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน
- กำรสร้ำงสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม โดยฉีดยีนที่ต้องการเข้าไปนิวเคลียสของเซลล์ไข่เพื่อให้ยีนแทรกเข้าสู่
จีโนมของนิวเคลียส และท�าการปฏิสนธิในหลอดทดลอง แล้วถ่ายฝากเข้าสู่ตัวแม่เพื่อให้เจริญเป็น
ลูกตัวใหม่ที่มียีนที่ต้องการอยู่

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
• กำรประยุกต์ใช้ในเชิงกำรแพทย์และเภสัชกรรม ประกอบด้วย
- กำรวินิจฉัยโรค โดยอาศัยเทคนิค PCR เพื่อวินิจฉัยโรคหรือยีนที่ปกติได้รวดเร็วขึ้น เช่น การตรวจ
เชื้อ HIV จากตัวอย่างเลือดหรือเนื้อเยื่อ การวินิจฉัยโรคฮีโมฟิเลีย โรคโลหิตจากซิกเคิลเซลล์
- กำรบ�ำบัดด้วยยีน โดยแทรกยีนปกติเข้าสูร่ า่ งกายผูป้ ว่ ยหรือผูม้ คี วามผิดปกติ เพือ่ ให้ยนี ปกติเข้าไปแทนที่
ยีนที่ผิดปกติ และสามารถท�างานแทนยีนที่ผิดปกติได้ เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
- กำรสร้ำงผลิตภัณฑ์ทำงเภสัชกรรม ใช้พัฒนายาหรือฮอร์โมนบางชนิด โดยแทรกยีนที่สามารถผลิตสาร
หรือฮอร์โมนให้กับแบคทีเรีย แล้วน�าไปเพิ่มจ�านวนเพื่อให้สามารถผลิตสารหรือฮอร์โมนดังกล่าว
ในปริมาณมากได้ เช่น การผลิตฮอร์โมนอินซูลิน และโกรทฮอร์โมน เป็นต้น
พันธุศาสตร์และ 95
เทคโนโลยีทาง DNA

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


โรคในขอใดไมสามารถรักษาดวยเทคนิคยีนบําบัด ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง การประยุกตใชประโยชนจาก
1. โรคอีสุกอีใส 2. โรคเบาหวาน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ไดจากการโตวาทีในหัวขอ ขอดี/ขอเสียของการใชเทคโนโลยี
3. โรคฮีโมฟเลีย 4. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ทางดีเอ็นเอ จากกิจกรรม สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม และจากผังมโนทัศน เรือ่ ง
5. โรคภูมิคุมกันบกพรอง (SCID) การประยุกตใชประโยชนจากเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ทีน่ กั เรียนทําในขัน้ ขยายความเขาใจ
(วิเคราะหคําตอบ การรักษาดวยเทคนิคยีนบําบัด เปนการรักษา โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานทีอ่ ยูใ นแผนการ
โรคที่เกิดจากความผิดปกติของยีน โดยการแทรกยีนปกติเขาสู จัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูท ี่ 6
รางกายของผูปวยเพื่อใหเขาไปทํางานแทนที่ยีนที่บกพรอง โรคที่ แบบประเมิ
แบบประเมิ
นชิน้นชิงาน/ภาระงาน
้นงาน/ภาระงาน(รวบยอด)
(รวบยอด)แผนฯ
แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
แผนทีฯ่ 1,ที่ 4,1 5 แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ

สามารถรักษาดวยเทคนิคยีนบําบัด เชน โรคเบาหวาน โรคฮีโมฟเลีย


คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน
ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
ระดับคะแนน 3 2 1
ลาดับที่ รายการประเมิน 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน   
4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา   

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิคุมกันบกพรอง (SCID) เปนตน


1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย   
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ   
3 ความคิดสร้างสรรค์
5 วิธีการนาเสนอผลงาน   
4 ความตรงต่อเวลา
รวม รวม

แต สํ า หรั บ โรคอี สุ ก อี ใ ส เป น โรคที่ เ กิ ด จากการได รั บ เชื้ อ ไว รั ส ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

สายพันธุห นึง่ เขาสูร า งกาย และเปนโรคติดตอ จึงไมสามารถรักษา


ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ เกณฑ์การให้คะแนน
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วน จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์ ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
จุดประสงค์ ใหญ่ ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน

ดวยเทคนิคยีนบําบัดได ดังนั้น ตอบขอ 1.) 2. ความถูกต้อง


ของเนื้อหา
3. ความคิด
เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องครบถ้วน
ผลงานแสดงถึงความคิด
ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น
ผลงานแสดงถึงความคิด
ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน

สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก น่าสนใจ และไม่แสดง


และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ ใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก

T107
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-13 ดี
14-16 ดีมาก 8-10 พอใช้
11-13 ดี ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน

แนวตอบ Self Check


1. ถูก 2. ผิด 3. ผิด
4. ถูก 5. ถูก การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ (ตอ)
• กำรประยุกต์ใช้ในเชิงนิติวิทยำศำสตร์ โดยการตรวจลายพิมพ์ DNA เพื่อระบุความสัมพันธ์ในครอบครัว
แนวตอบ Unit Question และผู้กระท�าความผิดในคดีต่าง ๆ โดยอาศัยเทคนิค PCR และ RFLP
• กำรประยุกต์ใช้ในเชิงกำรเกษตร แบ่งออกเป็น
1. เอนไซมตัดจําเพาะ เปนเอนไซมที่สามารถตัด - การสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรม เพือ่ ให้พชื ผลิตสารหรือแสดงลักษณะตามต้องการออกมา เช่น การตัดต่อ
DNA ในตําแหนงที่มีลําดับเบสจําเพาะได สวน ยีนต้านทานโรคใบด่างจุดวงแหวนให้กับมะละกอ การตัดต่อยีนสร้างวิตามินเอให้กับข้าว การตัดต่อ
เอนไซม DNA ไลเกส เปนเอนไซมที่ชวยในการ ยีนยืดอายุให้กับมะเขือเทศ
- การสร้างสัตว์ดดั แปรพันธุกรรม เพือ่ ให้สตั ว์ผลิตสารหรือแสดงลักษณะตามต้องการออกมา เช่น การตัดต่อ
เชื่อมตอสาย DNA เขาดวยกัน เมื่อมีการตัด ยีนเพื่อให้หมูมีไขมันต�่าและมีเนื้อมากขึ้น การตัดต่อยีนเพื่อให้วัวผลิตน�้านมเร็วและมากขึ้น
สาย DNA ดวยเอนไซมตัดจําเพาะจะไดปลาย • กำรประยุกต์ใช้ในเชิงสิง่ แวดล้อม โดยการสร้างพืชหรือจุลนิ ทรียด์ ดั แปรพันธุกรรม เพือ่ ใช้ยอ่ ยสลายสารพิษ
แบบตางๆ ทั้งปลายทูและปลายเหนียว ขึ้นอยู ที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
กับชนิดของเอนไซมตัดจําเพาะที่ใช และหาก • กำรประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสำหกรรม โดยการสร้างพืชหรือจุลินทรีย์ดัดแปรพันธุกรรมเพื่อให้มีคุณสมบัติ
ตามต้องการ และถูกน�ามาใช้ในอุตสาหกรรม เช่น มันฝรัง่ ดัดแปรพันธุกรรมเพือ่ ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ
ตองการเชื่อมตอชิ้นสวน DNA นั้นๆ กับสาย และกาว แบคทีเรียดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตฮอร์โมน
DNA อืน่ ๆ ทีถ่ กู ตัดดวยเอนไซมตดั จําเพาะชนิด • ควำมปลอดภัยของเทคโนโลยีทำงดีเอ็นเอ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอท�าให้เกิดความกังวล
เดียวกัน ปลายทีไ่ ดจะเหมือนกันและจะสามารถ เรือ่ งความปลอดภัยทางชีวภาพ เช่น ความปลอยภัยต่อสุขภาพ การเป็นพาหะของสารพิษ การดื้อยา
จับกันได โดยอาศัยการทํางานของเอนไซม DNA ของเชือ้ โรค การถ่ายยีนจากสิง่ มีชวี ติ หนึง่ สูส่ งิ่ มีชวี ติ ข้างเคียง เป็นต้น รวมถึงจริยธรรมในการใช้ขอ้ มูลดีเอ็นเอ
และผลกระทบด้านสังคม ซึ่งอาจท�าให้เกิดการแบ่งชนชั้น และความเลื่อมล�้าในสังคมมากยิ่งขึ้น
ไลเกส ซึ่งทําใหไดสายดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท
ที่สมบูรณขึ้น
3. การโคลนยี น โดยอาศั ย พลาสมิ ด แบคที เ รี ย Self Check
เปนการเพิ่มปริมาณ DNA โดยอาศัยพาหะหรือ ให้นักเรียนตรวจสอบควำมเข้ำใจ โดยพิจำรณำข้อควำมว่ำถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
เวกเตอร เชน พลาสมิด แลวนําไปเลี้ยงเพื่อ หำกพิจำรณำข้อควำมไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหำตำมหัวข้อที่ก�ำหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
เพิ่มจํานวนเซลล ซึ่งชุดของพลาสมิดที่มีสวน 1. การตัดต่อยีนจากสิ่งมีชีวิตจะใช้เอนไซม์ตัดจ�าเพาะตัดยีนที่สนใจ แล้ว 1.1
ของ DNA ที่ตองการก็จะเพิ่มจํานวนขึ้นดวย น�าไปเชื่อมต่อกับสาย DNA ของสิ่งมีชีวิตโดยใช้เอนไซม์ไลเกส
แตการโคลนยีนโดยอาศัยเทคนิคพอลิเมอเรส- 2. การโคลนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรียมีความเร็วกว่าการโคลนยีน 1.2
เชนรีแอกชัน (PCR) เปนการเพิ่มปริมาณ DNA โดย PCR เนื่องจากแบคทีเรียสามารถเพิ่มจ�านวนได้อย่างรวดเร็ว
ในหลอดทดลอง โดยไมตองอาศัยเซลลใดๆ
ุด
3. สัตว์มีศักยภาพในการรับยีนจากภายนอกมากกว่าพืช จึงสามารถสร้าง 1.3
สม
ใน
อยางไรก็ตาม การโคลนยีนโดยเทคนิค PCR สัตว์ดัดแปรพันธุกรรมได้ง่ายกว่าพืชดัดแปรพันธุกรรม
ลง
ทึ ก

จะไมสามารถทําใหเกิดการแสดงออกไดตามที่
บั น

4. การบ�าบัดด้วยยีนจะท�ากับเซลล์ไขกระดูกหรือเซลล์ตน้ ก�าเนิดเม็ดเลือด 2.1


ตองการได และไมไดตรวจสอบความถูกตอง แดง เนื่องจากเป็นเซลล์ที่มีความสามารถในการแบ่งเซลล์ตลอดชีวิต
เกี่ยวกับลําดับนิวคลีโอไทดของ DNA ที่สราง 5. ลายพิมพ์ DNA ของแต่ละบุคคลมีล�าดับนิวคลีโอไทด์ต่างกันจึงถูกน�า 2.2
ขึ้นเหมือนกับระบบในสิ่งมีชีวิตได มาใช้ระบุเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลได้
96

2. BamHI มีตําแหนงตัดจําเพาะที่ 5ʹ---G GATCC---3ʹ 4. การสรางพืชดัดแปรพันธุกรรม จะอาศัยพลาสมิด Ti (Ti


3ʹ---CCTAG G---5ʹ plasmid) เปนพาหะในการถายยีนที่ตองการเขาไปใน
ดังนั้น DNA ที่ผานการตัดดวย BamHI เปนดังนี้ เซลลพืช โดยพลาสมิดชนิดนี้จะแทรกชิ้นสวน DNA เขา
5ʹ-CTGG ATCCAGGTCATCGGAATTCGAATTCTTGACGGTCGACTA-3ʹ สูโครโมโซมของเซลลพืช ทําใหพืชมีการแสดงออกของยีน
3ʹ-GACCTAG GTCCAGTAGCCTTAAGCTTAAGAACTGCGACGTCAT-5ʹ นั้นๆ ที่พลาสมิดนําพาเขาไปได สวนการสรางสัตวดัดแปร
EcoRI มีตําแหนงตัดจําเพาะที่ 5ʹ---G AATTC---3ʹ พันธุกรรม จะอาศัยการถายยีนที่มีคุณสมบัติที่ตองการเขา
3ʹ---CTTAA G---5ʹ สูนิวเคลียสของเซลลไขที่แยกออกมาจากเพศเมีย ซึ่งยีน
ดังนั้น DNA ที่ผานการตัดดวย EcoRI เปนดังนี้ ดังกลาวจะสามารถแทรกเขาสูจ โี นมของนิวเคลียสและแสดง
5ʹ-CTGGATCCAGGTCATCGG AATTCGAATTCTTGACGGTCGACTA-3ʹ ลักษณะออกมาได จากนั้นทําการปฏิสนธิในหลอดทดลอง
3ʹ-GACCTAGGTCCAGTAGCCTTAA GCTTAAGAACTGCGACGTCAT-5ʹ แลวถายฝากเขาสูเพศเมียซึ่งทําหนาที่เปนผูรับ เพื่อทําให
SmaI มีตําแหนงตัดจําเพาะที่ 5ʹ---CCC GGG---3ʹ เกิดการเจริญของตัวออนที่มียีนที่ตองการอยูได
3ʹ---GGG CCC---5ʹ
ดังนั้น SmaI ไมสามารถตัด DNA สายนี้ได เนื่องจากไมมีตําแหนงตัดจําเพาะ
ใน DNA สายนี้

T108
นํา สอน สรุป ประเมิน

5. ใชเทคนิคพันธุวศิ วกรรม เพือ่ สรางรีคอมบิแนนท

U nit
คําชี้แจง :
Question 6
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� ำ ถำมต่ อ ไปนี้
DNA โดยการสกัด DNA ของสิง่ มีชวี ติ ทีส่ ามารถ
ผลิตสาร A ไดนํามาเพิ่มจํานวนยีนที่สามารถ
ผลิตสาร A ดวยเทคนิค PCR แลวนําไปเชื่อม
ตอกับพลาสมิดไดเปนรีคอมบิแนนท DNA ซึ่ง
1. เอนไซม์ตัดจ�าเพาะและเอนไซม์ DNA ไลเกสคืออะไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ประกอบดวยยีนที่สามารถผลิตสาร A อยู จาก
2. ดีเอนเอสายหนึ่งมีล�าดับเบส ดังนี้
5ʹ-CTGGATCCAGGTCATCGGAATTCGAATTCTTGACGGTCGACTA-3ʹ นั้นนําพลาสมิดดังกลาวใสเขาไปในเซลล E.
3ʹ-GACCTAGGTCCAGTAGCCTTAAGCTTAAGAACTGCGACGTCAT-5ʹ coli และทําการคัดเลือกเซลลของ E. coli ที่มี
จงหาต�าแหน่งตัดจ�าเพาะที่ถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะชนิด BamHI EcoRI และ SalI ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนทอยู และมีการแสดงออก
3. จงเปรียบเทียบการโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดแบคทีเรียและเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน ของยีนทําใหผลิตสาร A ได จากนั้นนํา E. coli
4. จงอธิบายหลักการสร้างสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมทัง้ พืชและสัตว์ พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่าง ไปเพาะเลีย้ งเพือ่ เพิม่ จํานวน และนํามาสกัดสาร
5. สาร A สามารถผลิตจากยีนชนิดหนึง่ ซึง่ มีขนาด 1,000 bp และมีการศึกษาล�าดับนิวคลีโอไทด์ของ A ในปริมาณมาก
ยีนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว แต่จากการศึกษาพบว่าสิ่งมีชีวิตที่สามารถผลิตสาร A ดังกล่าวเจริญ 6. การบําบัดดวยยีน เปนเทคโนโลยีชวี ภาพทีร่ กั ษา
เติบโตช้า และสามารถผลิตสาร A ได้ในปริมาณน้อยจึงไม่เพียงพอกับความต้องการ นักเรียนจะ โรคที่เกิดจากความบกพรองของยีนใดยีนหนึ่ง
ท�าอย่างไรเพื่อให้ได้สาร A ในปริมาณที่มากและในระยะเวลาอันสั้น
โดยการใสยีนที่ทํางานปกติเขาไปทดแทนยีนที่
6. การรักษาด้วยยีนบ�าบัดมีหลักการและวิธีการอย่างไร บกพรองในรางกายของผูป ว ย โดยมีขนั้ ตอนหลัก
7. ถ้านักเรียนเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ และต้องพิจารณาลายพิมพ์ DNA ของผู้ต้องสงสัยหมายเลข คือ การนํายีนปกติถา ยเขาสูเ ซลลรา งกายทีแ่ ยก
1-5 จากหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุในคดีฆาตกรรม นักเรียนคิดว่าผู้ต้องสงสัยหมายเลขใดเป็น
ไดจากผูปวยโดยอาศัยพาหะ เชน รีโทรไวรัส
ผู้ร้ายในคดีฆาตกรรม พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลประกอบ
ผู้ต้องสงสัย ซึง่ พาหะจะแทรกยีนเขาสูโ ครโมโซมและรวมกับ
หลักฐาน 1 2 3 4 5 จีโนมของเซลล จากนั้นนําเซลลใสกลับเขาสู
รางกายของผูปวยอีกครั้ง ซึ่งจะทําใหรางกาย
ผูปวยสามารถสรางโปรตีนที่ปกติหรือผลผลิตที่
ตองการได โดยการทํายีนบําบัดจะทํากับเซลล
ที่มีความสามารถในการแบงตัวไดตลอดชีวิต
ของผูปวย เชน เซลลไขกระดูก เซลลตนกําเนิด
ของเซลลเม็ดเลือด เซลลภูมิคุมกัน เปนตน
ภาพที่ 6.23
8. เทคโนโลยีทาง DNA ถูกน�ามาใช้ประโยชน์เชิงการเกษตร สิง่ แวดล้อม และอุตสาหกรรมอย่างไร 7. จากหลักฐานในที่เกิดเหตุ เมื่อตรวจลายพิมพ
DNA ทีเ่ ก็บไดจากเหยือ่ กับผูต อ งสงสัยหมายเลข
9. จงอธิบายผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมและการป้องกันผลเสียที่
อาจเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเหล่านั้น 1-5 พบวา ผูตองสงสัยหมายเลข 5 มีลายพิมพ
10. เพราะเหตุใดจึงต้องค�านึงถึงจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีทาง DNA ในมนุษย์
DNA เหมือนกับลายพิมพ DNA ที่เก็บไดจาก
เหยื่อในที่เกิดเหตุ ดังนั้น ผูตองสงสัยหมายเลข
พันธุศาสตร์และ
เทคโนโลยีทาง DNA
97 5 จึงเปนผูรายในคดีฆาตกรรมนี้

8. ในเชิงการเกษตร จะใชเทคโนโลยีในการสรางสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมเพือ่ ใหผลิตสารหรือแสดงลักษณะตามตองการ เชน มะละกอทีต่ า นทานโรคใบดาง


จุดวงแหวน ขาวสีทองที่สรางวิตามินเอ มะเขือเทศที่ชะลอการเนาเสีย แพะที่ผลิตโปรตีนแอนติธรอมบิน วัวที่ผลิตนํ้านมเร็วและมากขึ้น หมูที่มีไขมันตํ่า
และมีเนื้อมากขึ้น ในเชิงการสิ่งแวดลอม จะใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในการสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใหสามารถยอยสลายสารพิษตกคางหรือ
ปนเปอ นในสิง่ แวดลอม ในเชิงอุตสาหกรรม จะใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในการสรางพืชหรือจุลนิ ทรียด ดั แปรพันธุกรรมเพือ่ ใหมคี ณ
ุ สมบัตหิ รือลักษณะทีต่ อ งการ
ซึ่งจะถูกนํามาใชในอุตสาหกรรม เชน มันฝรั่งดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใชในอุตสาหกรรมกระดาษและกาว
9. ผลเสียทีอ่ าจเกิดขึน้ จากการสรางสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม เชน ความปลอดภัยของสิง่ มีชวี ติ ทีม่ ยี นี ของสิง่ มีชวี ติ อืน่ ทีอ่ าจไมปลอดภัยตอสุขภาพ การเปน
พาหะของสารพิษ การดื้อยาของเชื้อโรค การถายยีนจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งสูสิ่งมีชีวิตขางเคียง ซึ่งจากผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจึงมีมาตรการในการปองกันตาง
เชน การปองกันการติดเชื้อที่มีการดัดแปรพันธุกรรมของนักวิจัย โดยการปองกันไมใหสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมหลุดออกจากหองปฏิบัติการ การทดลอง
ที่เปนอันตรายอยางชัดเจนจะถูกหามทําการทดลอง การสรางขอตกลงเพื่อความปลอดภัยสําหรับผูบริโภคโดยการติดฉลากระบุบนอาหารหรือผลิตภัณฑ
ทีม่ สี ว นผสมของสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมเพือ่ สิทธิในการเลือกซือ้ ของผูบ ริโภค และการประเมินความปลอดภัยของอาหารและผลิตภัณฑจากหลายองคกร
จะตองถูกประเมินคุณภาพจากหลายหนวยงาน ทั้งองคกรอาหารและยา หนวยงานคุมครองสิ่งแวดลอม สถาบันสุขภาพแหงชาติ และกรมวิชาการเกษตร
10. หากมีการนําเทคโนโลยีดีเอ็นเอมาใชมาใชในการคัดเลือกคุณสมบัติตาง ๆ ของมนุษย ซึ่งอาจไมใชการคัดเลือกลักษณะที่เปนโรคออกไปเทานั้น แตจะ
สามารถคัดเลือกลักษณะที่ดีไว ทําใหผูที่มีฐานะดีในสังคมมีโอกาสเลือกไดมากกวาในการใชเทคโนโลยีดีทางเอ็นเอในการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม เพื่อให
ลูกหลานแข็งแรงและฉลาดที่สุด จึงอาจสรางความเหลื่อมลํ้าในสังคมในอนาคต ทําใหเกิดการแบงแยกชนชั้นมากขึ้นกวาที่เปนอยูในปจจุบัน อีกทั้งยังไม
สามารถทํานายความเสี่ยงในระยะยาวได
T109
Chapter Overview

แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายหลักฐานต่าง ๆ ที่ แบบสืบเสาะ - ต รวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
หลักฐานที่ ม.4 เล่ม 2 สนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการ หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
บ่งบอกถึง - แบบฝึกหัดชีววิทยา ของสิง่ มีชีวิตได้ (K) (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการเปรียบ - มุ่งมั่นใน
วิวัฒนาการ ม.4 เล่ม 2 2. อธิบายการเกิดวิวัฒนาการ Instructional - ตรวจรายงานและ เทียบ การท�ำงาน
ของสิ่งมีชีวิต - PowerPoint ของมนุษย์ได้ (K) Model) ป้ายนิเทศจากกิจกรรม - ทักษะการให้เหตุผล
ประกอบการสอน 3. เขียนล�ำดับขั้นการเกิด ซากดึกดำ�บรรพ์ของ - ทักษะการวิเคราะห์
5 วิวัฒนาการของมนุษย์ได้ (P) สิ่งมีชีวิต - ทักษะการเชื่อมโยง
ชั่วโมง 4. น�ำเสนอผลงานและจัดท�ำ - ตรวจรายงาน เรื่อง
ป้ายนิเทศอย่างได้ถูกต้อง (P) วิวัฒนาการของมนุษย์
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) - ตรวจใบงาน เรื่อง ความ
6. รับผิดชอบต่อภาระที่ได้รับ ใกล้ชิดทางวิวัฒนาการ
มอบหมายในการท�ำ ของสิ่งมีชีวิต
กิจกรรมกลุ่ม (A) - ตรวจใบงาน เรื่อง
วิวัฒนาการของมนุษย์
- ประเมินการนำ�เสนอ
ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 2 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการรวบรวม - มีวินัย
แนวคิด ม.4 เล่ม 2 วิวัฒนาการของลามาร์กได้ หาความรู้ - ตรวจผังสรุป เรื่อง ข้อมูล - ใฝ่เรียนรู้
เกี่ยวกับ - แบบฝึกหัดชีววิทยา (K) (5Es สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการ - ทักษะการให้เหตุผล - มุ่งมั่นใน
วิวัฒนาการ ม.4 เล่ม 2 2. อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับ Instructional จากการคัดเลือกโดย - ทักษะการสรุป การท�ำงาน
ของสิ่งมีชีวิต - PowerPoint วิวัฒนาการของดาร์วินได้ Model) ธรรมชาติตามแนวคิด อ้างอิง
ประกอบการสอน (K) ของดาร์วิน - ทักษะการวิเคราะห์
2 3. เปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับ - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการคิด
ชั่วโมง วิวัฒนาการของลามาร์ก แนวคิดเกี่ยวกับ อย่างมีเหตุผล
และดาร์วินได้ (K) วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
4. ตรวจสอบแนวคิดเกี่ยวกับ - สังเกตพฤติกรรม
วิวัฒนาการของลามาร์ก การทำ�งานรายบุคคล
และดาร์วินได้ (P) - สังเกตความมีวินัย
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน

T110
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายทฤษฎีของฮาร์ดี- แบบสืบเสาะ - ต รวจแบบฝึกหัด - ท ักษะการส�ำรวจ - มีวินัย
พันธุศาสตร์ ม.4 เล่ม 2 ไวน์เบิร์ก และภาวะดุลของ หาความรู้ - ตรวจผังสรุป เรื่อง ค้นหา-ทักษะการ - ใฝ่เรียนรู้
ประชากร - แบบฝึกหัดชีววิทยา ฮาร์ด-ี ไวน์เบิร์กได้ (K) (5Es กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก วิเคราะห์ - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 2 2. คำ� นวณความถี่ของแอลลีล Instructional - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง - ทักษะการคิด การท�ำงาน
5 - PowerPoint และความถี่ของจีโนไทป์ใน Model) ปัจจัยที่มีผลต่อการ อย่างมีเหตุผล
ประกอบการสอน กลุ่มประชากรที่อยู่ภายใต้ เปลี่ยนแปลงความถี่ของ - ทักษะการน�ำ
ชั่วโมง
ภาวะดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก แอลลีลในประชากร ความรู้ไปใช้
ได้ (K) - ตรวจกิจกรรม เรื่อง การ
3. ประยุกต์ใช้ความรู้จากสมดุล ใช้กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก
ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กในการ - ตรวจกิจกรรม เรื่อง การ
หาความถี่ของแอลลีลของ คัดเลือกโดยธรรมชาติ
โรคทางพันธุกรรมได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง
4. อธิบายปัจจัยที่ทำ� ให้เกิดการ การหาความถี่ของ
เปลี่ยนแปลงความถี่ของ แอลลีลในประชากร
แอลลีลในประชากรได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่องการ
5. ทำ� ตามขัน้ ตอนการหาความถี่ ประยุกต์ใช้ประโยชน์จาก
ของแอลลีล และความถี่ของ กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก
จีโนไทป์ในกลุ่มประชากรที่ - สังเกตพฤติกรรม
อยู่ภายใต้ภาวะดุลของ การทำ�งานรายบุคคล
ฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กได้ (P) - สังเกตความมีวินัย
6. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายความหมายของสปีชสี ์ แบบสืบเสาะ - ต รวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการส�ำรวจ - มีวินัย
ก�ำเนิดของสปีชีส์ ม.4 เล่ม 2 ได้ (K) หาความรู้ หลังเรียน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. อธิบายหลักการเกิดสปีชีส์ (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการรวบรวม - มุ่งมั่นใน
2 ม.4 เล่ม 2
- PowerPoint
ใหม่ของสิ่งมีชีวิตได้ (K) Instructional
Model)
- ตรวจผังสรุป เรือ่ ง การ
เกิดสปีชีส์ใหม่ของ
ข้อมูล
- ทักษะการจ�ำแนก
การท�ำงาน
3. ยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่เกิด
ชั่วโมง
ประกอบการสอน สปีชีส์ใหม่ได้ (K) สิ่งมีชีวิต ประเภท
4. นำ� เสนอผลงานและจัดท�ำ - ตรวจรายงาน เรื่อง การ - ทักษะการคิด
ป้ายนิเทศอย่างได้ถูกต้อง ปรับปรุงพันธุ์พืชแบบ อย่างมีเหตุผล
(P) พอลิพลอยดี
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) - ตรวจ Unit Question
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 7
ในหนังสือเรียนชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- ตรวจแบบทดสอบท้าย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7
ในแบบฝึกหัดชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- ประเมินการนำ�เสนอ
ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
T111
Chapter Concept Overview

หลักฐานที่บงบอกถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
• หลักฐานจากซากดึกด�าบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต : การศึกษาหลักฐานที่แสดงล�าดับการเกิดวิวัฒนาการ และบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของ
สิ่งมีชีวิตจากอดีตถึงปจจุบัน โดยคาดคะเนอายุของซากดึกด�าบรรพ์จากอายุของชั้นหินตะกอน
• หลักฐานกายวิภาคเปรียบเทียบ : การศึกษาวิวัฒนาการจากโครงสร้างภายในของสิ่งมีชีวิต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โครงสร้างที่มี
ต้นก�าเนิดเดียวกัน (homologous structure) เป็นโครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดเดียวกัน แต่ท�าหน้าที่ต่างกัน และโครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน
(analogous structure) เป็นโครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน แต่ท�าหน้าที่เหมือนกัน

แขนมนุษย์ ปีกค้างคาว ปีกผีเสื้อ ปีกค้างคาว


โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดเดียวกัน โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน

• หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ : การศึกษาวิวัฒนาการจาก ช่องเหงือก


ระยะเอ็มบริโอ หาง
แผนการเจริญเติมโตที่คล้ายคลึงกันของสิ่งมีชีวิต ตั้งแต่ระยะไซโกต
จนเจริญเป็นเอ็มบริโอ
ระยะการพัฒนา

ระยะกลาง

ระยะปลาย

ปลา ซาลา เต่า นก สัตว์เลี้ยงลูก มนุษย์


มานเดอร์ ด้วยน�้านม

• หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล : การศึกษาวิวัฒนาการจากการเปรียบเทียบล�าดับเบสบนสาย DNA ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้ชิดทาง


วิวัฒนาการจะมีความเหมือนกันของล�าดับเบสบนสาย DNA มากกว่าสิ่งมีชีวิตกลุ่มอื่น ๆ
• หลักฐานทางชีวภูมิศาสตร์ : การศึกษาวิวัฒนาการจากการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตในภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก
บริเวณที่พบซากดึกด�าบรรพ์
แอฟริกา ของลิสโทรซอลัส ซึ่งเป็นสัตว์
อินเดีย เลื้อยคลานโบราณที่อาศัยอยู่
บนบก

อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย
แอนตาร์ติก
บริเวณที่พบซากดึกด�าบรรพ์
ของไซโนกาทัส ซึ่งเป็นสัตว์ บริเวณที่พบซากดึกด�าบรรพ์
เลื้ อ ยคลานโบราณที่ อ าศั ย กลอสโซพเทรีส ซึ่งเป็นพืช
บนบก บริเวณที่พบซากดึกด�าบรรพ์ ตระกูลเฟร์นชนิดหนึ่ง
ของมีโซซอรัส ซึ่งเป็นสัตว์
เลื้อยคลานโบราณที่อาศัยอยู่
ในน�้าจืด
T112
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7

• หลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของมนุษย์ :

ไพลสโตซีน
จากการศึกษาซากดึกด�าบรรพ์ของกะโหลกศีรษะ และ
0
โครงกระดูก รวมทัง้ การเปรียบเทียบล�าดับเบสบนสาย
DNA ระหว่างมนุษย์กบั ลิงชิมแปนซี จึงเชือ่ ว่ามนุษย์
Homo sapiens
แยกสายวิวัฒนาการมาจากไพรเมตกลุ่มลิงไม่มีหาง 1

ล้านปี
(ape) Homo erectus

2 Homo habilis
Australopithecus robustus

ไพลโอซีน 3 Australopithecus africanus

4 Australopithecus afarensis

บรรพบุรษุ ทีค่ ล้ายคลึงกับมนุษย์ทสี่ ดุ ซากดึกด�าบรรพทีร่ จู้ กั ดี คือ ลูซี (Australopithecus afarensis)


มีการเดิน 2 ขา ล�าตัวมีความสูงประมาณ 1-1.5 เมตร สมองมีความจุ 400-500 ลบ.ซม. เคลื่อนที่
ได้ทั้งพื้นดินและบนต้นไม้ มีการกินอาหารหลายรูปแบบ

Homo habilis มีสมองขนาด 600-750 ลบ.ซม. น�้าหนัก 40-50 กิโลกรัม ล�าตัวตรง เดิน 2 ขา
เริ่มมีการใช้สมองและการใช้มือประดิษฐ์สิ่งของและเครื่องใช้จากหิน
Homo erectus มีร่างกายสูง สมองขนาด 1,100 ลบ.ซม. มีการใช้ไฟและประดิษฐ์เครื่องมือจากหิน
โดย H. erectus ที่รู้จักดี ได้แก่ มนุษย์ชวา และมนุษย์ปกกิ่ง

Homo sapiens มีสมองขนาด 1,400 ลบ.ซม. มีกระดูกคิ้วยื่นออกมา จมูกกว้าง คางสั้น มีการอยู่


รวมกันเป็นหมู่ ล่าสัตว์ร่วมกัน รู้จักใช้ไฟและเครื่องหนังสัตว์นุ่งห่ม และเริ่มมีวัฒนธรรม โดยซับ
สปีชีส์แรกที่พบ คือ นีแอนเดอร์ทัล

มนุษย์โครแมนยอง อยู่ซับสปีชีส์เดียวกับมนุษย์ยุคปจจุบัน คือ H. sapiens sapiens มีขนาดสมอง


1,400 ลบ.ซม. มีความสามารถในการล่าสัตว์ ประดิษฐ์เครื่องมือจากหิน วาดภาพโดยใช้สี และมีการ
อยู่ร่วมกันเป็นชุมชนที่มีกฎเกณฑ์

แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
• แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามาร์ก เสนอแนวคิด 2 แนวคิด ได้แก่
- กฎการใช้และไม่ใช้ (Law of use and disuse) : อวัยวะส่วนใดที่มีการใช้งานมากในการด�ารงชีวิตจะมีขนาดใหญ่และแข็งแรง แต่อวัยวะ
ส่วนใดที่ไม่มีการใช้งานจะอ่อนแอและเสื่อมลง
- กฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหม่ (Law of inheritance of acquired characteristic) : การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต
ที่เกิดขึ้นภายในชั่วรุ่นจากกฎการใช้และไม่ใช้ จะสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกหลานได้
• แนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการของดาร์วนิ ผูไ้ ด้รบั ยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชวี ติ โดยเสนอเป็นทฤษฎีการคัดเลือก
โดยธรรมชาติ (theory of natural selection) มีใจความส�าคัญ
- การคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวมีความสามารถในการอยู่รอด และให้ก�าเนิดลูกหลานได้แตกต่างกัน
- การคัดเลือกโดยธรรมชาติเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมที่ประชากรอาศัยอยู่กับลักษณะความแปรผันทางพันธุกรรมของ
สมาชิกในประชากร
- ผลจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้ประชากรมีการปรับตัวให้เหมาะสมเพื่อสามารถด�ารงชีวิตในสภาพแวดล้อมนั้น ๆ ได้

T113
พันธุศาสตร์ประชากร
การศึกษาการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องยีนหรือความถีข่ องแอลลีลทีเ่ ป็นองค์ประกอบทางพันธุกรรมของประชากร ซึง่ มีผลต่อการเกิดวิวฒ
ั นาการ
ของสิ่งมีชีวิต
• การหาความถีข่ องแอลลีลในประชากร : การหาปริมาณของแอลลีลชนิดต่าง ๆ เมือ่ คิดเป็นสัดส่วนของจ�ำนวนแอลลีลทัง้ หมดของยีนต�ำแหน่ง
เดียวกันในประชากร มีสูตร ดังนี้

ความถี่ของแอลลีล = จ�ำนวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทป์ในประชากร
จ�ำนวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
• กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก กล่าวว่า เมื่อประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก ความถี่ของแอลลีลหรือความถี่ของจีโนไทป์ใน
ยีนพูลจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผลรวมของแอลลีลของยีนหนึ่ง ๆ ในประชากรจะเท่ากับ 1 เสมอ (p + q = 1) และประชากรต้องอยู่ภาย
ใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ดังนี้
- ประชากรมีขนาดใหญ่
- ไม่มีการถ่ายเทยีนระหว่างกลุ่มประชากร (ไม่มีการอพยพเข้าหรือออก)
- ไม่มีการเกิดกลาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของแอลลีลในกลุ่มประชากร
- การผสมพันธุ์ของสมาชิกในประชากรต้องเป็นแบบสุ่ม โดยสมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุ์ได้เท่ากัน
- ไม่เกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งสิ่งมีชีวิตทุกตัวมีโอกาสอยู่รอดและประสบความส�ำเร็จในการสืบพันธุ์เท่ากัน
จากกฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก สามารถใช้คาดคะเนความถี่ของแอลลีลเกี่ยวกับโรคทางพันธุกรรมในยีนพูลของประชากร เช่น โรคโลหิตจาง
ชนิดซิกเคิลเซลล์ โรคผิวเผือก เป็นต้น
• ปัจจัยที่ทำ� ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล ที่มีผลท�ำให้สิ่งมีชีวิตเกิดวิวัฒนาการ มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงความถี่แบบไม่เจาะจง มีลักษณะแบบสุ่ม และไม่มีทิศทางที่แน่นอน แบ่งออก 2 ประเภท คือ
ผลกระทบจากผู้ก่อตั้ง (founder effect) ปรากฏการณ์คอขวด (bottleneck effect)
การเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่เกิดกับกลุ่มประชากร การเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่เกิดกับกลุ่มประชากร
ขนาดเล็กทีเ่ ป็นผลจากการอพยพ การแยกตัวของกลุม่ ประชากร ที่ขนาดใหญ่ และมีความหลากหลายทางพันธุกรรม แต่มี
ขนาดใหญ่ไปอยู่ในแหล่งที่อยู่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ และประสบ เหตุการณ์ทที่ ำ� ให้เกิดการลดจ�ำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว เช่น
ความส�ำเร็จในการเพิ่มจ�ำนวนประชากร ภัยพิบตั ทิ างธรรมชาติตา่ ง ๆ ซึง่ ประชากรทีร่ อดชีวติ จะสามารถ
เพิ่มจ�ำนวนขึ้นมาใหม่ แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงของความถี่
แอลลีลที่อาจมีบางแอลลีลหายไป และบางแอลลีลเพิ่มขึ้นมา

ประชากรเริ่มต้น เหตุการณ์คอขวด ประชากรที่รอดชีวิต

- การถ่ายเทเคลือ่ นย้ายยีน : เกิดจากการอพยพเข้าหรืออพยพออกของสมาชิกในประชากร ท�ำให้ความถีข่ องแอลลีลในประชากรสองกลุม่


มีความแตกต่างกันน้อยลงจนเปรียบเสมือนประชากรเดียวกัน
- การเลือกคู่ผสมพันธุ์ : สมาชิกบางส่วนไม่มีโอกาสผสมพันธุ์ ส่งผลต่อความถี่แอลลีลในยีนพูลของประชากรรุ่นต่อไป
- การกลาย : การสร้างแอลลีลใหม่ในยีนพูลของประชากร ซึ่งหากการกลายเป็นลักษณะที่ดีและเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม แอลลีลใหม่
จะถูกสะสมไว้ในยีนพูล ท�ำให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากร แต่หากการกลายเป็นลักษณะที่ไม่ดีและไม่เหมาะสม
ต่อสภาพแวดล้อม ลักษณะนั้นจะถูกคัดทิ้งออกไป
- การคัดเลือกโดยธรรมชาติ : ประชากรที่มีลักษณะเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมจะสามารถด�ำรงชีวิตและให้ก�ำเนิดประชากรในรุ่นต่อไป ซึ่ง
สิ่งมีชีวิตจะอาศัยการปรับเปลี่ยนลักษณะทางสรีระ พฤติกรรม และรูปแบบการด�ำรงชีวิตที่กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม แต่ส�ำหรับประชากร
ที่ไม่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมจะถูกคัดทิ้งและลดจ�ำนวนลง ซึ่งมีผลท�ำให้แอลลีลบางแอลลีลในประชากรมีจ�ำนวนมากขึ้น บางแอลลีลมี
จ�ำนวนลดลง
T114
ก�ำเนิดของสปีชีส์
การเกิดสปีชีส์ใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากร ท�ำให้ประชากรทั้งสองมีโครงสร้างทางพันธุกรรมที่แตกต่าง
กัน และเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ ประกอบด้วย 2 แนวทาง
• การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกภูมิศาสตร์ (allopatric speciation)
การเกิดสปีชีส์ใหม่โดยมีสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติ ท�ำให้ประชากร
ดั้งเดิมถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มย่อยและไม่มีการถ่ายเทเคลื่อนย้าย
ยีนระหว่างกัน จากนั้นแต่ละกลุ่มย่อยจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงความ
แตกต่างทางพันธุกรรมตามการคัดเลือกโดยธรรมชาติจนเกิดสปีชีส์
ใหม่ ตัวอย่างเช่น กระรอก A. harrisi และ A. Leucurus ในบริเวณ
แกรนด์แคนยอน ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นสปีชีส์เดียวกันมาก่อน
• การเกิดสปีชีส์ใหม่ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน (sympatric speciation)
การเกิ ด สปี ชี ส ์ ใ หม่ จ ากการแบ่ ง แยกประชากรดั้ ง เดิ ม ออกเป็ น
กลุ่มย่อยในเชิงการสืบพันธุ์ เชิงพฤติกรรม หรือเชิงนิเวศวิทยา ซึ่ง
ประชากรกลุ่มย่อยอาจยังคงอยู่ในขอบเขตเดียวกัน แต่ประชากร
ดัง้ เดิมและประชากรกลุม่ ย่อยไม่สามารถผสมพันธุก์ นั ได้ ตัวอย่างเช่น
การเกิดพอลิพลอยดี (polyploidy) แบ่งออกเป็น
- การเกิดพอลิพลอยดีภายในสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกัน (autopolyploid)
เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ
2n = 6
ไซโกต

ความผิดพลาดของการ การปฏิสนธิในตัวเอง
แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส

2n = 6 4n = 12
เตตระพลอยด์
เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ
2n = 6

- การเกิดพอลิพลอยดีภายในสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กัน (allopolyploid)
เซลล์สืบพันธุ์ เซลล์สืบพันธุ์
n=2 n=5
ลูกผสม F1 ลูกผสม F2
2n = 5 2n = 10
สปีชีส์ A
2n = 4 ไมโอซิส

แบ่งเซลล์แบบ 2n = 10
เซลล์สืบพันธุ์ ไมโอซิสผิดพลาด เซลล์สืบพันธุ์
n=3 n=5
สปีชีส์ B
2n = 6

T115
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น�า

วิวฒ
ั นาการ
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู

7
หนวยการเรียนรู้ที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครู นํ า ภาพสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี ลั ก ษณะเหมื อ นและ
แตกตางกันมาใหนักเรียนดู และถามคําถาม
Big Question กับนักเรียนวา เพราะเหตุใด ผลการเรียนรู สิ่งมีชีวิตที่พบในปจจุบันมีมากมายหลายชนิด ทั้งที่อาศัยอยู่
สิ่งมีชีวิตตางๆ บนโลกจึงมีลักษณะที่เหมือน 12. สืบค้นข้อมูลและอธิบายเกี่ยวกับ บนบกและในน�า้ บางชนิดมีลกั ษณะทีค่ ล้ายคลึงกันมากแม้อยูค่ น
หลักฐานที่สนับสนุนและข้อมูลที่ ละพื้นที่ หรือบางชนิดมีลักษณะที่แตกต่างกันแม้จะอยูใ่ นพืน้ ที่
และแตกตางกันออกไป ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของ
สิง่ มีชวี ติ ได้ เดียวกัน ซึง่ เป็นผลจากการเปลีย่ นแปลงทางพันธุกรรมในประชากร
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลักษณะที่เหมือน 13. อธิบายและเปรียบเทียบแนวคิด จากลั ก ษณะที่ เ คยเหมื อ นกั น ก็ เ ริ่ ม แตกต่ า งมากขึ้ น เรื่ อ ย ๆ
และแตกตางกันของสิ่งมีชีวิตเปนผลมาจาก เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
และกลายเป็นลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้
ของฌอง ลามาร์ก และทฤษฎีเกีย่ ว
วิ วั ฒ นาการ ซึ่ ง เป น การเปลี่ ย นแปลงของ กับวิวฒ ั นาการของชาลส์ ดาร์วนิ ได้ ล้วนเป็นพื้นฐานของการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
สิง่ มีชวี ติ อยางละเล็กละนอย จนทําใหสงิ่ มีชวี ติ 14. ระบุสาระส�าคัญและอธิบายเงือ่ นไข
ของภาวะสมดุลฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก
มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษ ปัจจัยที่ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ความถี่ ข องแอลลี ล พร้ อ มทั้ ง
ค�านวณหาความถี่ของแอลลีลและ
จีโนไทป์ของประชากรโดยใช้หลัก
ฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ได้
15. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธิบาย
กระบวนการเกิดสปีชสี ์ใหม่ของ
สิง่ มีชวี ติ ได้

à¾ÃÒÐà˵Øã´
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµµ‹Ò§ æ º¹âÅ¡
แนวตอบ Big Question ¨Ö§ÁÕÅѡɳзÕèàËÁ×͹
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตแตละชนิดจะมีการปรับตัว ËÃ×Íᵡµ‹Ò§¡Ñ¹
ด า นต า งๆ ให เ หมาะสมต อ การดํ า รงชี วิ ต ใน
สภาพแวดลอม ทําใหสิ่งมีชีวิตแตละชนิดมีลักษณะ
แตกต า งกั น ออกไป หรื อ กล า วได ว  า สิ่ ง มี ชี วิ ต
มี วิ วั ฒ นาการเกิ ด ขึ้ น ทํ า ให สิ่ ง มี ชี วิ ต แต ล ะชนิ ด
มีลักษณะที่เหมือนและแตกตางกัน

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรื่อง วิวัฒนาการ เปนเรื่องที่มองเห็นภาพไดยาก
เนื่องจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเปนกระบวนการที่ใชเวลายาวนาน ซึ่งไม
สามารถเฝาสังเกตได ดังนั้น ครูจึงควรเนนการใชภาพ วีดิทัศน หรือการ
ยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่เกิดวิวัฒนาการ เพื่อชวยใหงายตอการทําความเขาใจ
ของนักเรียน ควรใหนักเรียนไดฝกคํานวณเกี่ยวกับพันธุศาสตรประชากร และ
การจัดการสอนควรเนนกระบวนการกลุม เพือ่ ใหนกั เรียนไดรว มอภิปราย และมี
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

T116
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Prior Knowledge
หลั ก ฐานใดบ ง บอกว า ใน 1. หลักฐานทีบ่ ง่ บอกถึงวิวฒ
ั นาการ 1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา วิวัฒนาการของ
อดี ต มี สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ไ ม พ บใน สิ่งมีชีวิตเปนกระบวนการที่ใชเวลานาน ซึ่ง
ปจจุบัน เคยอาศัยอยู
ของสิ่งมีชีวิต ยากต อ การตรวจสอบ นั ก วิ ท ยาศาสตร จึ ง
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตอย่างละเล็กอย่างละน้อย รวบรวมขอมูลและหลักฐานตางๆ ที่สนับสนุน
จนท� า ให้ สิ่ ง มี ชี วิ ต นั้ น มี ลั ก ษณะที่ เ ปลี่ ย นไปจากบรรพบุ รุ ษ การเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
และสามารถถ่ายทอดลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปยังรุ่นต่อไป ท�าให้ลูกหลานมีลักษณะที่แตกต่าง 2. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
จากบรรพบุรุษ และสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้ เรียกว่า ความรูเดิมของนักเรียน
วิวัฒนาการ (evolution)
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาหลั ก ฐานจากซาก-
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเป็นกระบวนการที่ใช้ระยะเวลายาวนาน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถ
ดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเปนหลักฐานที่
เฝ้าสังเกต หรือน�าการทดสอบในห้องปฏิบัติการมาอธิบายการเกิดวิวัฒนาการท�าได้ยาก (ยกเว้น
สิง่ มีชวี ติ บางกลุม่ เช่น แบคทีเรีย) ดังนัน้ นักวิทยาศาสตร์ทเี่ ชือ่ ว่าสิง่ มีชวี ติ มีววิ ฒ ั นาการจึงรวบรวม แสดงลําดับขั้นการเกิดวิวัฒนาการ และบงชี้
ข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตจากอดีตถึง
ปจจุบนั โดยคาดคะเนอายุของซากดึกดําบรรพ
1.1 หลักฐานจากซากดึกดําบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต จากอายุของชั้นหินตะกอน
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั้งพืชและสัตว์ เมื่อตายไปจะถูกย่อยสลายผุพังจนไม่มีซากที่สมบูรณ์เหลือ
อยู่ แต่ในบางสภาวะ เช่น การอยู่ภายในน�้าแข็ง การอยู่ในยางไม้ (อ�าพัน)1 การถูกทับถมอย่าง
รวดเร็ว การอยูใ่ นสภาวะอากาศเย็นจัดหรือแห้งแล้ง ซึง่ เชือ้ จุลนิ ทรียไ์ ม่สามารถเข้าไปย่อยสลายได้
รวมทัง้ สิง่ ทีม่ คี วามคงทนและยากต่อการท�าลาย เช่น ฟัน กระดูก เปลือก และชิน้ ส่วนทีม่ โี ครงสร้าง
เป็นโพรงหรือรู ซึ่งจะมีแร่เข้าไปตกผลึกอยู่ภายในช่องว่างท�าให้แข็งขึ้นจนกลายเป็นหิน ท�าให้เกิด
ซากหรือร่องรอยที่ยังคงเหลืออยู่ให้เห็น เรียกซากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่า ซากดึกด�าบรรพ์ (fossil)

แนวตอบ Prior Knowledge


ซากดึกดําบรรพเปนหลักฐานสําคัญที่แสดง
ใหเห็นวาเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยูในอดีต แตมี
ภาพที่ 7.1 ซากดึกด�าบรรพ์ของหอย ภาพที่ 7.2 ซากดึกด�าบรรพ์ของไม้กลายเป็นหิน การสูญพันธุของสิ่งมีชีวิต ทําใหไมพบในปจจุบัน
วิวัฒนาการ 99
แตจะพบซากของสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู เชน การ
อยูใ นนํา้ แข็ง การอยูใ นยางไม รวมทัง้ ซากบางสวน
ที่คงทน เชน ฟน กระดูก เปลือก เปนตน

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


สิ่งมีชีวิตใดมีโอกาสเกิดซากดึกดําบรรพนอยที่สุด 1 อําพัน เปนซากดึกดําบรรพของยางไม มีองคประกอบเปนสารเนื้อผสม
1. มด 2. หอย อําพันสามารถเก็บรักษาโครงสรางของพืช เชน ใบ ดอก ผล และโครงสราง
3. ปลา 4. ปะการัง ของสัตว เชน แมลง แมงมุม ที่ถูกจับยึดไวดวยผิวเหนียวๆ จนฝงแนนเขาไป
5. พลานาเรีย อยูในเนื้อของยางไมขณะที่ยังเปนของไหลหนืดอยู โครงสรางทางอินทรียเกือบ
(วิเคราะหคําตอบ ซากดึกดําบรรพ หมายถึง ซากสิ่งมีชีวิตที่ตาย ทั้งหมดจะหายไป ถูกทิ้งไวเพียงชองโพลงกลวงเทานั้น แตอาจพบรองรอยของ
แตไมถูกยอยสลาย หรือเปนสวนที่มีความคงทน และยากตอการ สารไคตินอยูเชนกัน
ถูกทําลาย เชน กระดูก ฟน เปลือก ชิ้นสวนที่มีโครงสรางเปนโพรง
หรื อ รู เป น ต น ซึ่ ง พลานาเรี ย เป น สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี โ อกาสเกิ ด
ซากดึกดําบรรพนอยที่สุด เนื่องจากเปนสัตวไมมีกระดูกสันหลัง
ไมมีโครงสรางแข็งปกคลุม และไมมีโครงสรางที่เปนโพรงหรือรู
จึงถูกยอยสลายไดงายหลังการตาย ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T117
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูถามคําถามนักเรียนวา การค้ น พบซากดึ ก ด� า บรรพ์ เ ปรี ย บเสมื อ นการค้ น พบ H. O. T. S.
• ซากดึกดําบรรพที่พบในหินตะกอนชั้นลาง หลักฐานอย่างหนึ่งที่สนับสนุนว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นปรากฏ คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
กับหินตะกอนชั้นบน ซากดึกดําบรรพที่พบ อยูบ่ นโลกในอดีต แต่ในปัจจุบนั ได้สญู พันธุไ์ ปแล้ว เช่น ไดโนเสาร์ สิ่ ง มี ชี วิ ต กลุ ่ ม
เซลล์
ใดมีเโยือกาสพบ
อ่ บุขา้ งแก้ม
ในหินชั้นใดมีอายุมากกวากัน เป็ น ต้ น แต่ อ ย่ า งไรก็ ต าม มี สิ่ ง มี ชี วิ ต บางชนิ ด ที่ พ บเป็ น
( แนวตอบ โดยทั่ ว ไปโครงสร า งของ เป็ น ซากดึ ก -
ซากดึกด�าบรรพ์ในอดีต และยังคงพบมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เรียก
สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ว่า ซากดึกด�าบรรพ์ที่ยังมีชีวิต 1(living fossil)
ด�าบรรพ์ได้ยาก เพราะเหตุใด
ซากดึกดําบรรพที่พบในหินตะกอนชั้นบน พร้ อ มยกตั ว อย่ า งสิ่ ง มี ชี วิ ต
จะมี อ ายุ น  อ ยกว า ในหิ น ตะกอนชั้ น ล า ง เช่น แมงดาทะเล หวายทะนอย แมลงปอ เป็นต้น เหล่านั้น
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตในระยะแรกๆ จะตาย
และถูกทับถมอยูในหินตะกอนชั้นลาง จึง
ทําใหมคี วามซับซอนของโครงสรางนอยกวา
ซากดึกดําบรรพที่พบในหินตะกอนชั้นบน
สวนหินตะกอนชั้นบนจะพบโครงสรางที่มี
ความสมบูรณและมีลักษณะใกลเคียงกับ
สิ่งมีชีวิตในปจจุบัน) ภาพที่ 7.3 แมงดาทะเลและแมลงปอ ถูกพบว่าเป็นซากดึกด�าบรรพ์ในอดีต แต่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
5. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) จากการศึ ก ษาซากดึ ก ด� า บรรพ์ ซึ่ ง จะพบมากในหิ น ชั้ น หรื อ หิ น ตะกอนชั้ น ต่ า ง ๆ
กับนักเรียน ซากดึกด�าบรรพ์ที่พบในหินแต่ละชั้นจะแตกต่างกัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถคาดคะเนอายุ
ของซากดึกด�าบรรพ์ได้จากอายุของชั้นหินที่ซากดึกด�าบรรพ์นั้นฝังตัวอยู่ ดังนั้น หลักฐานจาก
ซากดึกด�าบรรพ์จึงสามารถบอกล�าดับการเกิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้ โดยซากดึกด�าบรรพ์ที่พบ
ในหินชั้นล่างย่อมมีอายุมากกว่าซากดึกด�าบรรพ์ที่พบในหินชั้นบน และเมื่อพิจารณาถึงโครงสร้าง
ของซากดึกด�าบรรพ์ที่พบในหินชั้นบนจะมีความซับซ้อนและมีโครงสร้างใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตใน
ปัจจุบนั มากกว่า นอกจากนัน้ ซากดึกด�าบรรพ์ยงั เป็นหลักฐานทีบ่ ง่ ชีใ้ ห้เห็นถึงการเปลีย่ นแปลงของ
สิ่งมีชีวิตจากอดีตจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
B iology
Focus อายุของซากดึกด�าบรรพ์
การบอกอายุของซากดึกด�าบรรพ์ สามารถบอกได้ 2 แบบ คือ
1. อายุเปรียบเทียบ (relative age) คือ อายุของซากดึกด�าบรรพ์ทบี่ อกจากการเปรียบเทียบกับ
แนวคําตอบ H.O.T.S. ซากดึกด�าบรรพ์ หิน หรือเหตุการณ์ทางธรณีวทิ ยาอืน่ ๆ จึงสามารถบอกเพียงว่าอายุแก่กว่าหรืออ่อนกว่า
เท่านั้น
สิ่งมีชีวิตกลุมสัตวไมมีกระดูกสันหลัง เชน 2. อายุสัมบูรณ์ (absolute age) คือ อายุของซากดึกด�าบรรพ์ที่ค�านวณหาจากไอโซโทปของ
หนอนตั ว กลม หนอนตั ว แบน ไส เ ดื อ น และ ธาตุกัมมันตรังสี จึงสามารถบอกเป็นจ�านวนปีได้
พืชตางๆ เนื่องจากเปนสิ่งมีชีวิตที่ไมมีโครงสราง 100
แข็ ง ภายใน ทํ า ให ถู ก ย อ ยโดยจุ ลิ น ทรี ย  ไ ด ง  า ย
จึงไมหลงเหลือซากสิ่งมีชีวิตในปจจุบัน

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 ซากดึกดําบรรพที่ยังมีชีวิต หมายถึง สิ่งมีชีวิต ทั้งพืช สัตว ฟงไจ และ ขอใดกลาวเกี่ยวกับซากดึกดําบรรพไมถูกตอง
สาหราย ที่ยังคงโครงสรางรางกายหรือสรีระแบบบรรพบุรุษดั้งเดิมที่เคยมีชีวิต 1. ซากดึกดําบรรพที่มีอายุนอยจะพบในหินชั้นบน
อยูในยุคกอนประวัติศาสตร หรือมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสรางรางกายไป 2. ซากดึกดําบรรพที่มีอายุมากจะพบในหินชั้นลาง
นอยมาก ซึ่งตรวจสอบไดจากการนําไปเปรียบเทียบกับซากดึกดําบรรพของ 3. ซากดึกดําบรรพสามารถบอกวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได
สิ่ ง มี ชี วิ ต นั้ น ๆ ซากดึ ก ดํ า บรรพ ที่ ยั ง มี ชี วิ ต และที่ เ ป น ที่ รู  จั ก กั น ดี ที่ สุ ด คื อ 4. ซากดึกดําบรรพสามารถบอกลําดับการเกิดของสิ่งมีชีวิต
ปลาซีลาแคนท (Coelacanth) ถูกคนพบเมื่อปลายป ค.ศ. 1938 บริเวณชายฝง บนโลกได
แอฟริกาตะวันออก ซึ่งจากเดิมที่เคยเชื่อวาสูญพันธุไปแลวตั้งแตยุคครีเทเชียส 5. ซากดึกดําบรรพที่มีอายุนอยจะมีลักษณะแตกตางจาก
สิ่งมีชีวิตปจจุบัน
(วิเคราะหคําตอบ ซากดึกดําบรรพที่มีอายุนอยจะมีโครงสราง
ที่ซับซอน และมีลักษณะใกลเคียงกับสิ่งมีชีวิตปจจุบันมากกวา
ซากดึกดําบรรพที่มีอายุมาก ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T118
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
การศึ ก ษาตั ว อย่ า งชิ้ น ส่ ว นซากดึ ก ด� า บรรพ์ ข องม้ า ที่ พ บในช่ ว งเวลาต่ า ง ๆ ท� า ให้ 6. ครูใหนักเรียนศึกษาวิวัฒนาการของมาจาก
นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายเกีย่ วกับวิวฒ ั นาการของม้าจากอดีตจนถึงปัจจุบนั ได้ ทัง้ นีก้ ารศึกษา อดีตจนถึงปจจุบัน ในตารางที่ 7.1
ดังกล่าวจ�าเป็นอย่างยิ่งที่ชิ้นส่วนของซากดึกด�าบรรพ์จะต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พอสมควรจึงจะ 7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
สามารถอธิบายเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้ •ï จากซากดึกดําบรรพของมา นักเรียนคิดวา
มามีวิวัฒนาการอยางไร
ตารางที่ 7.1 : วิวัฒนำกำรของมำจำกอดีตจนถึงปจจุบัน (แนวตอบ จากซากดึกดําบรรพของมา พบวา
ยุค อายุ (ล้านปี) จีนัส ความสูง (นิ้ว) ลักษณะขา ลักษณะตัวม้า มีวิวัฒนาการของขาที่ยาวขึ้น ซึ่งทําใหมามี
ความสูงเพิ่มขึ้น)
อีโอซีน 8. ครูใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 4 กลุม ทํา
54 Hyracotherium 11
(Eocene) กิจกรรม ซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต โดยให
นักเรียนจับฉลากเลือกซากดึกดําบรรพ ดังนี้
กลุมที่ 1 ชางแมมมอธ ประเทศไซบีเรีย
กลุมที่ 2 โครงกระดูกมนุษยทวารวดี จังหวัด
โอลิโกซีน
(Oligocene) 38 Mesohippus 24 สุพรรณบุรี
กลุมที่ 3 ซากดึกดําบรรพปลาโบราณภูนาํ้ จัน้
จังหวัดกาฬสินธุ
กลุมที่ 4 ซากดึกดําบรรพไดโนเสาร จังหวัด
ไมโอซีน 25 Merychippus 40
ขอนแกน
(Miocene) ใหนักเรียนคนควาขอมูล พรอมจัดทํารายงาน
และปายนิเทศ เพื่อนําเสนอหนาชั้นเรียนใน
ชั่วโมงถัดไป
พลิโอซีน 7 Pliohippus 43 อธิบายความรู
(Pliocene)
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายถึงวิวฒ
ั นาการ
ของมาจากอดีตจนถึงปจจุบัน
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายถึงหลักฐาน
ไพลสโตซีน 2.5-0.01 Equus 50
จากซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต
(Pleistocene)

วิวัฒนาการ 101

ขอสอบเนน การคิด สื่อ Digital


ซากดึกดําบรรพที่พบในหินตะกอนชั้นลางกับซากดึกดําบรรพ ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม จากภาพยนตร ส ารคดี สั้ น Twig เรื่ อ ง
ที่พบในหินตะกอนชั้นบนมีโครงสรางซับซอนแตกตางกันหรือไม หลั ก ฐานทางฟอสซิ ล https://www.twig-aksorn.com/fi fi f fi i lm/fossil-
อยางไร evidence-8007/ และเรื่อง บิ๊กอัล https://www.twig-aksorn.com/fiffiilm/
(วิเคราะหคาํ ตอบ ซากดึกดําบรรพทพี่ บในหินตะกอนชัน้ ลางมักมี big-al-8011/
โครงสรางที่ซับซอนนอยกวา เนื่องจากเปนซากดึกดําบรรพที่มี
อายุมากกวา และเปนสิง่ มีชวี ติ ทีย่ งั มีววิ ฒ
ั นาการไมมากนัก จึงไมมี
การปรับเปลีย่ นโครงสรางสําหรับการดํารงชีวติ ทําใหโครงสรางไม
ซับซอนมากนัก สวนซากดึกดําบรรพที่พบในหินตะกอนชั้นบนจะ
มีการปรับเปลี่ยนโครงสรางสําหรับการดํารงชีวิต จึงทําใหมีความ
ซับซอนของโครงสรางมาก และโครงสรางจะมีความใกลเคียงกับ
สิ่งมีชีวิตในปจจุบัน)

T119
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอ อย่างไรก็ตาม ซากดึกด�าบรรพ์เป็นเพียงหลักฐานหนึ่งเท่านั้นที่สามารถน�ามาใช้อธิบายการ
ปายนิเทศจากกิจกรรม ซากดึกดําบรรพของสิ่งมี เกิดวิวฒ
ั นาการเพราะซากดึกด�าบรรพ์ทคี่ น้ พบส่วนใหญ่ยงั ไม่สมบูรณ์ สิง่ มีชวี ติ อีกหลายชนิดทีย่ งั ไม่
ชีวิต กลุมละ 10 นาที และใหนักเรียนกลุมอื่นๆ ถูกค้นพบและอีกหลายชนิดทีไ่ ม่มโี อกาสเกิดซากดึกด�าบรรพ์ได้ ดังนัน้ หลักฐานจากซากดึกด�าบรรพ์
ถามคําถามกลุมที่นําเสนอ อยางนอย 1 คําถาม/ จึงให้รายละเอียดได้ไม่เพียงพอ จ�าเป็นต้องอาศัยหลักฐานอื่น ๆ มาสนับสนุนเพิ่มเติม
กลุม
อธิบายความรู้
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายกิ จ กรรม กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
ซากดึ ก ดํ า บรรพ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต จากหลั ก ฐาน • การลงความเห็นจากข้อมูล
ซากดึกด�าบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
ซากดึกดําบรรพของสิง่ มีชวี ติ ตางๆ พรอมอภิปราย • การจัดท�าสือ
่ และสือ่ ความหมายข้อมูล
ถึงความใกลเคียงของซากดึกดําบรรพกับสิ่งมี จิตวิทยาศาสตร์
• ความมีเหตุผล
ชีวิตกลุมอื่นๆ • ความร่วมมือช่วยเหลือ
วิธปี ฏิบตั ิ • ความรับผิดชอบ

1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเป็น 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจับฉลากเลือกซากดึกด�าบรรพ์ต่อไปนี้


• ช้างแมมมอธ ประเทศไซบีเรีย
• โครงกระดูกมนุษย์ยุคทวารวดี จังหวัดสุพรรณบุรี
• ซากดึกด�าบรรพ์ปลาโบราณภูน�้าจั้น จังหวัดกาฬสินธุ์
• ซากดึกด�าบรรพ์ไดโนเสาร์ จังหวัดขอนแก่น
2. ศึกษา ค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เกีย่ วกับความใกล้เคียงกับสิง่ มีชวี ติ กลุม่ อืน่ ๆ และการสนับสนุน
การเกิดวิวัฒนาการของซากดึกด�าบรรพ์
3. ส่งตัวแทนกลุ่มออกมาอภิปรายหน้าชั้นเรียน

อภิปรายผลกิจกรรม

จากกิจกรรม จะเห็นว่าซากดึกด�าบรรพ์แต่ละชนิดจะพบในชัน้ หินทีแ่ ตกต่างกัน ซึง่ สามารถคาดคะเนอายุ


ของซากดึกด�าบรรพ์ได้จากอายุของชัน้ หินทีซ่ ากดึกด�าบรรพ์นนั้ ฝังตัวอยู่ โดยซากดึกด�าบรรพ์ทพี่ บในหินชัน้ ล่าง
ย่อมมีอายุมากกว่าซากดึกด�าบรรพ์ทพี่ บในหินชัน้ บน และเมือ่ พิจารณาโครงสร้างของซากดึกด�าบรรพ์จะพบว่า
ในหินชัน้ บนจะมีความซับซ้อนและมีโครงสร้างใกล้เคียงกับสิง่ มีชวี ติ ในปัจจุบนั มากกว่า ดังนัน้ ซากดึกด�าบรรพ์
จึงเป็นหลักฐานที่แสดงล�าดับของการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้

102

เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills


ในการเรียนการสอน เรื่อง หลักฐานจากซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต ใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5 คน รวมกันสํารวจซากดึกดําบรรพ
ครูอาจหาคลิปวิดโี อทีแ่ สดงถึงซากดึกดําบรรพของสิง่ มีชวี ติ มาเปดใหนกั เรียนดู ของสิ่งมีชีวิต จากแหลงโบราณวัตถุ พิพิธภัณฑ หรือหากนักเรียน
เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพ และเขาใจไดงายขึ้น โดยอาจใชคําคนหาตอไปนี้ สามารถสํารวจจากแหลงธรรมชาติที่ใกลแหลงที่อยูอาศัยของ
- fossil นักเรียน เชน สวนสาธารณะ เชิงเขา เปนตน พรอมจัดทําเปน
- fossil discoveries รายงาน และปายนิเทศ
- fossils and evidence for evolution
- living fossil

T120
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
1.2 หลักฐานจากกายวิภาคเปรียบเทียบ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาหลักฐานจากกายวิภาค
สิง่ มีชวี ติ บางชนิดเมือ่ ดูลกั ษณะรูปร่างภายนอก จะเห็นว่ามีลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกันและไม่นา่ จะ เปรียบทียบ เชน การศึกษาโครงสรางรยางค
จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ แต่จากการศึกษาโครงสร้างต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การศึกษาโครงสร้าง คูหนาของสัตวมีกระดูกสันหลัง ไดแก แขน
รยางค์ค1ู่หน้าของสัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิด พบว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก มนุษย ขาแมว ครีบหนาของวาฬ ปกคางคาว
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
กระดูกต้นแขน • โครงสรางรยางคคูหนาของสิ่งมีชีวิตเหลานี้
กระดูกปลายแขน มีลักษณะเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร
(แนวตอบ โครงสรางรยางคคหู นามีโครงสราง
กระดูกข้อมือ กระดูกเหมือนกัน แตทําหนาที่แตกตางกัน
กระดูกฝ่ามือ เช น แขนของมนุ ษ ย ใ ช สํ า หรั บ การหยิ บ
กระดูกนิ้วมือ
จั บ สิ่ ง ของ ขาแมวใช สํ า หรั บ การเดิ น
แขนมนุษย์ ขาแมว รยางค์คู่หน้าของวาฬ ปีกค้างคาว ครี บ หน า ของวาฬใช สํ า หรั บ การว า ยนํ้ า
ภาพที่ 7.4 โครงสร้างที่คล้ายคลึงกันมากของแขนมนุษย์ ขาแมว รยางค์คู่หน้าของวาฬ และปีกค้างคาว ปกคางคาวใหสําหรับการบิน)
3. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
จากภาพเป็นโครงกระดูกรยางค์คู่หน้าของสัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิด ได้แก่ แขนมนุษย์
ขาแมว รยางค์คหู่ น้าของวาฬ และปีกค้างคาว โครงสร้างกระดูกรยางค์เหล่านีแ้ ม้ทา� หน้าทีแ่ ตกต่างกัน โครงสรางเหมือนกัน แตทําหนาที่แตกตาง
เพื่อการด�ารงชีวิตในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น แขนของคนใช้ส�าหรับการหยิบจับสิ่งของ ขาของ กัน เรียกวา โครงสรางที่มีตนกําเนิดเดียวกัน
แมวใช้สา� หรับการเดิน ครีบหน้าของวาฬใช้สา� หรับการว่ายน�า้ และปีกของค้างคาวใช้สา� หรับการบิน ซึ่งแสดงใหเห็นวาเปนสิ่งมีชีวิตมีความใกลชิด
แต่เมื่อพิจารณาถึงโครงกระดูกรยางค์จะพบว่ามีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้าง ทางสายวิวัฒนาการ
และต้นก�าเนิดเดียวกันถึงแม้ว่าจะท�าหน้าที่แตกต่างกัน เรียกโครงสร้างลักษณะนี้ว่าโครงสร้าง 4. ครูใหนักเรียนศึกษาโครงสรางของปกคางคาว
ที่มีต้นก�าเนิดเดียวกัน (homologous structure) และปกผีเสื้อ และถามคําถามนักเรียนวา
ในขณะเดียวกัน โครงสร้างภายนอกของสัตว์บางชนิด แม้ว่ามีลักษณะและหน้าที่คล้ายกัน • โครงสราง 2 โครงสรางนี้มีลักษณะเหมือน
แต่โครงสร้างภายในแตกต่างกัน เช่น ปีกผีเสื้อและปีกค้างคาว เรียกโครงสร้างที่มี หรือแตกตางกัน อยางไร
ลักษณะแตกต่างกันแต่ท�าหน้าที่เหมือนกันนี้ (แนวตอบ โครงสรางของปกคางคาวและ
ว่า โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน (analogous ปกผีเสื้อ แมวาโครงสรางทั้ง 2 จะมีหนาที่
structure) เหมือนกัน แตโครงสรางภายในมีลักษณะ
ดั ง นั้ น สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี โ ครงสร้ า งที่ มี ต ้ น ตางกัน)
ก�าเนิดเดียวกันจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน 5. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
ซึ่ ง มี วิ วั ฒ นาการมาจากบรรพบุ รุ ษ เดี ย วกั น โครงสรางแตกตางกัน แตทําหนาที่เหมือนกัน
แต่สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน ภาพที่ 7.5 โครงสร้างที่แตกต่างกันของปีกผีเสื้อและ เรี ย กว า โครงสร า งที่ มี ต  น กํ า เนิ ด ต า งกั น
จะถือว่าไม่มีความสัมพันธ์กันทางบรรพบุรุษ ปีกค้างคาว
แสดงใหเห็นวาเปนสิง่ มีชวี ติ ทีไ่ มมคี วามใกลชดิ
วิวัฒนาการ 103
ทางสายวิวัฒนาการ

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ขอใดจัดเปนโครงสรางที่มีตนกําเนิดตางกัน 1 รยางค หมายถึง สวนที่ยื่นออกจากสวนหลักของอวัยวะของสิ่งมีชีวิต
1. ปกนกและปกคางคาว เชน ครีบปลา แขน ขา ขาของสัตวขาปลอง เปนตน ซึ่งรยางคจะมีโครงรางแข็ง
2. ปกคางคาวและแขนคน ใหกลามเนื้อยึดเกาะเพื่อการเคลื่อนไหว
3. ปกคางคาวและปกแมลง
4. ปกนกและขาหนาของจระเข
5. แขนคนและครีบหนาของวาฬ
(วิเคราะหคําตอบ โครงสรางที่มีตนกําเนิดตางกัน (analogous
structure) เป น โครงสร า งของสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี โ ครงสร า งภายใน
แตกตางกัน แตทําหนาที่เหมือนกัน เชน ปกคางคาวและปกแมลง
เปนตน ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T121
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาหลั ก ฐานจากวิ ท ยา 1.3 หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ
เอ็มบริโอเปรียบเทียบ จากการพัฒนาการของ ในกรณีที่ไม่สามารถศึกษากายวิภาคเปรียบเทียบในระยะตัวเต็มวัยได้ นักชีววิทยาได้ศึกษา
เอ็มบริโอของสัตวมีกระดูกสันหลัง และถาม และพบว่าสัตว์บางชนิดมีระยะเอ็มบริโอ (embryo) ที่คล้า1ยคลึงกัน เช่น ปลา สัตว์เลื้อยคลาน นก
คําถามนักเรียนวา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม และมนุษย์ ซึ่งในระยะเอ็มบริโอจะเจริญเติบโตเป็นขั้น ๆ ตั้งแต่ไข่ได้รับ
• เอ็มบริโอของสัตวมีกระดูกสันหลังตางๆ มี การผสมเป็นไซโกต 2แล้วไซโกตเจริญเป็นเอ็มบริโอซึง่ มีความคล้ายคลึงกัน ลักษณะดังกล่าวสามารถ
การพัฒนาเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร ใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน
(แนวตอบ ในระยะแรกของการเจริญของ
ช่องเหงือก
เอ็มบริโอของสัตวมกี ระดูกสันหลังเหลานีจ้ ะ ระยะเอ็มบริโอ หาง
มีลักษณะที่คลายคลึงกัน แตในระยะปลาย
จะมีการปรับเปลี่ยนรูปรางใหเหมาะสมตอ
การดํารงชีวิตของสัตวแตละชนิด เชน หาง
ระยะการพัฒนา ระยะกลาง
ยังพบอยูในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ยกเวนมนุษย
หรือชองเหงือกจะพบเฉพาะในปลา และ
ซาลาเมนเดอรเทานั้น)
7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การปรับเปลี่ยน
รูปรางใหเหมาะสมตอการดํารงชีวิตของสัตว ระยะปลาย
แตละชนิดในระยะปลายเปนผลจากการเกิด
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ปลา ซาลามานเดอร์ เต่า นก สัตว์เลี้ยงลูก มนุษย์
อธิบายความรู้ ด้วยน�้านม
ภาพที่ 7.6 เอ็มบริโอและพัฒนาการหลังระยะเอ็มบริโอของสัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิด
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
หลักฐานจากกายวิภาคเปรียบทียบ จากภาพเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์มกี ระดูกสันหลัง พบว่า ระยะแรก ๆ
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ จะมีอวัยวะบางอย่างคล้ายคลึงกัน เช่น การมีชอ่ งเหงือกและหาง แต่ตอ่ มาเมือ่ สัตว์มกี ระดูกสันหลัง
หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ แต่ละชนิดเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย ช่องเหงือกยังคงมีอยู่ในสัตว์บางชนิดเพื่อท�าหน้าที่ใน
การหายใจ เช่น ปลาและตัวอ่อนของซาลามานเดอร์ แต่ในสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น ๆ จะปรับ
เปลีย่ นไปในระหว่างการเจริญเติบโตเพือ่ ให้เหมาะสมกับการด�ารงชีวติ ส�าหรับส่วนหางยังคงพบอยู่
ในสัตว์หลายชนิดยกเว้นมนุษย์ ซึง่ ลักษณะทีค่ ล้ายคลึงกันในระหว่างการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอนี้
อาจบ่งชี้ได้ว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังเหล่านี้ต่างมีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ในระยะ
ปลายเกิดการปรับเปลี่ยนรูปร่างขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดวิวัฒนาการเพื่อให้เหมาะสมต่อการ
ด�ารงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันนั่นเอง
104

นักเรียนควรรู การคิดดแนว O-NET


ขอสอบเนน การคิ
1 เอ็มบริโอ เปนระยะแรกในการพัฒนาของสิง่ มีชวี ติ กลุม ยูคาริโอต นับตัง้ แต ชองเหงือกที่พบในระยะเอ็มบริโอของมนุษยถูกพัฒนาเปน
เริม่ มีการแบงเซลลจนกระทัง่ เกิด การฟกออกจากไข หรือการงอก (กรณีของพืช) โครงสรางใด
สําหรับในมนุษย ระยะเอ็มบริโอเริม่ หลังจากการปฏิสนธิจนกระทัง่ สิน้ สุดสัปดาห 1. ใบหู
ที่ 8 ซึ่งหลังจากนั้นจะเรียกสิ่งมีชีวิตวา ระยะทารกในครรภ หรือฟตัส (fetus) 2. จมูก
2 ไซโกต เปนเซลลเริ่มตนเมื่อเซลลสืบพันธุทั้ง 2 เพศ ผสมกันดวยการ 3. ปอด
สืบพันธุแ บบอาศัยเพศ โดยไซโกตเกิดขึน้ จากการปฏิสนธิระหวางเซลลแฮพลอยด 4. หลอดลม
สองเซลล ระหวางเซลลสืบพันธุเพศเมีย คือ ออวุม (ovum) กับเซลลสืบพันธุ 5. ทอยูสเทเชียน
เพศผู คือ สเปรม (sperm) รวมกันเกิดเปนเซลลดิพลอยดหนึ่งเซลล ไซโกตจะ ( วิ เ คราะห คํ า ตอบ ช อ งเหงื อ กในระยะเอ็ ม บริ โ อของมนุ ษ ย
มีดีเอ็นเอที่มาจากทั้งพอและแม และใหขอมูลพันธุกรรมที่จําเปนตอการสราง จะพัฒนาเปนทอยูสเทเชียนทีท่ าํ หนาทีป่ รับความดันในหูสว นกลาง
สิ่งมีชีวิตใหม ดังนั้น ตอบขอ 5.)

T122
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
1.4 หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาหลั ก ฐานด า นชี ว วิ ท ยา
หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุลเป็นหลักฐานที่ละเอียดที่สุดในการระบุความสัมพันธ์ ระดั บ โมเลกุ ล ซึ่ ง เป น หลั ก ฐานที่ ร ะบุ ถึ ง
ของสิ่งมีชีวิต โดยสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีดีเอ็นเอเป็นสารพันธุกรรม ซึ่งล�าดับเบสในสายดีเอ็นเอจะ ความสั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต โดยใช ก าร
ท�าหน้าที่เป็นรหัสพันธุกรรมในการสังเคราะห์โปรตีน ซึ่งการสังเคราะห์โปรตีนชนิดเดียวกันจะใช้ เปรี ย บเที ย บลํ า ดั บ เบสบนสายดี เ อ็ น เอของ
รหัสพันธุกรรมเดียวกัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงล�าดับเบสในสายดีเอ็นเอจะมีผลต่อโปรตีนที่ถูก สิ่งมีชีวิต และใหนักเรียนศึกษาตารางที่ 7.2
สังเคราะห์และอาจท�าให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เปรียบเทียบตําแหนงกรดอะมิโนในเฮโมโกลบิน
จากความก้าวหน้าของเทคนิคทางชีวเคมี ท�าให้สามารถวิเคราะห์หาล�าดับกรดอะมิโนใน ของสิง่ มีชวี ติ ตางๆ และถามคําถามนักเรียนวา
โปรตีนทีส่ า� คัญบางชนิดได้ โดยในสัตว์กลุม่ ใดกลุม่ หนึง่ จะมีลา� ดับกรดอะมิโนของโปรตีนทีค่ ล้ายคลึง • สิ่งมีชีวิตกลุมใดมีความสัมพันธใกลชิดกับ
กัน แต่จะมีความแตกต่างกันเฉพาะจุดเท่านั้น จุดทีแ่ ตกต่างกันของกรดอะมิโนจะเป็นเครือ่ งหมาย มนุษยมากที่สุด เพราะเหตุใด
บ่งชี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการ ตัวอย่างเช่น ต�าแหน่งกรดอะมิโนในสายพอลิเพปไทด์ (แนวตอบ ลิงรีซัสจะมีความสัมพันธใกลชิด
ของเฮโมโกลบินที่แตกต่างกันระหว่างมนุษย์ ลิงรีซัส หนู ไก่ กบ และปลาปากกลม ดังตาราง กั บ มนุ ษ ย ม ากที่ สุ ด เนื่ อ งจากมี ตํ า แหน ง
กรดอะมิโนในเฮโมโกลบินแตกตางจากของ
ตารางที่ 7.2 : เปรียบเทียบต�ำแหน่งกรดอะมิโนในเฮโมโกลบินของสิง่ มีชวี ติ ต่ำงๆ ทีแ่ ตกต่ำงจำกมนุษย์
มนุษยนอยที่สุด)
สิ่งมีชีวิต จ�านวนต�าแหน่งกรดอะมิโนในเฮโมโกลบินที่แตกต่างจากมนุษย์
2. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ลํ า ดั บ เบสบน
มนุษย์ 0
สายดี เ อ็ น เอสามารถระบุ ค วามใกล ชิ ด ทาง
ลิงรีซัส 8 สายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได โดยสิ่งมีชีวิต
หนู 27 ที่มีลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอแตกตางกันนอย
ไก่ 42 แสดงวามีความใกลชิดทางสายวิวัฒนาการ
กบ 67
ปลาปากกลม 127

จากข้อมูลในตารางจะเห็นว่า มนุษย์นา่ จะมีความสัมพันธ์ทางวิวฒ ั นาการทีใ่ กล้ชดิ กับลิงลีซสั


มากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เนื่องจากมีต�าแหน่งกรดอะมิโนในเฮโมโกลบินที่แตกต่างกันน้อยกว่า
สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ดังนั้น ความเหมือนหรือความแตกต่างของล�าดับเบสในดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิต
แต่ละชนิดจึงสามารถใช้บ่งชี้ถึงความใกล้ชิดทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้
การศึกษาด้านชีววิทยาระดับโมเลกุลจึงเป็นหลักฐานบ่งชี้ทางวิวัฒนาการที่ส�าคัญที่ใช้
สนับสนุนหลักฐานทางด้านอืน่ ๆ และยังสามารถใช้ศกึ ษาความใกล้ชดิ ทางวิวฒ ั นาการข้ามกลุม่ ของ
1 2
สิง่ มีชวี ติ ได้ เช่น ระหว่างสัตว์มกี ระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลัง ซึง่ ไม่สามารถศึกษาจาก
กายวิภาคเปรียบเทียบหรือการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอได้ เป็นต้น
วิวัฒนาการ 105

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


หลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการใดไดรับการยอมรับ 1 สัตวมีกระดูกสันหลัง เปนสิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลังพาดเปนแนวยาว
มากที่สุด บริเวณดานหลังของสัตว โดยกระดูกสันหลังจะตอกันเปนขอๆ สามารถยืดหยุน
1. ชีวภูมิศาสตร 2. ซากดึกดําบรรพ และเคลื่อนไหวได ทําหนาที่ชวยพยุงรางกาย และชวยปองกันเสนประสาท
3. กายวิภาคเปรียบเทียบ 4. ชีววิทยาระดับโมเลกุล แบงออกเปนพวกปลา พวกสัตวสะเทินนํ้าสะเทินบก พวกสัตวเลื้อยคลาน
5. วิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ พวกสัตวปก และพวกสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม
(วิเคราะหคําตอบ หลักฐานดานชีววิทยาระดับโมเลกุล เนื่องจาก 2 สั ต ว ไ ม มี ก ระดู ก สั น หลั ง เป น สั ต ว ที่ ไ ม มี ก ระดู ก สั น หลั ง สํ า หรั บ ยึ ด ติ ด
สิ่งมีชีวิตสวนใหญมีดีเอ็นเอเปนสารพันธุกรรม ซึ่งดีเอ็นเอมีผลตอ ใหเปนสวนเดียวกันของรางกาย ซึ่งเปนสัตวที่ไมมีกระดูก และกระดูกออน
การสังเคราะหโปรตีนในเซลลของสิ่งมีชีวิต และหากเปรียบเทียบ ภายในรางกาย แบงออกเปนพวกฟองนํ้า พวกปะการัง พวกหนอนตัวแบน
ความเหมือนหรือความแตกตางของลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอ พวกหนอนปลอง พวกหนอนตัวกลม พวกหมึกและหอย และพวกสัตวมีขาเปน
จะสามารถบงบอกความใกลชิดทางวิวัฒนาการได โดยสิ่งมีชีวิต ขอปลอง
ที่มีความแตกตางของลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอนอย แสดงวามี
ความใกลชิดกันทางสายวิวัฒนาการ ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T123
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาหลักฐานทางชีวภูมศิ าสตร 1.5 หลักฐานทางชีวภูมิศาสตร
ซึง่ ศึกษาถึงการแพรกระจายพันธุข องสิง่ มีชวี ติ ชีวภูมิศาสตร (biogeography) เปนการศึกษาการกระจายพันธุของสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ซึ่งเปน
ตางๆ และถามคําถามนักเรียนวา ขอมูลสําคัญสําหรับการศึกษาวิวัฒนาการ ทําใหทราบวาสิ่งมีชีวิตในปจจุบันมีวิวัฒนาการมาจาก
• เพราะเหตุใดนกฟนซบนหมูเ กาะกาลาปากอส สิ่งมีชีวิตในอดีต โดยลักษณะทางภูมิศาสตรที่แตกตางกันสงผลใหมีการกระจายพันธุของพืชและ
จึงมีหลากหลายสายพันธุ สัตวหลากหลายสปชีสออกไป และสิ่งกีดขวางบางอยาง เชน ภูเขา มหาสมุทร มีผลทําใหเกิดการ
( แนวตอบ เนื่ อ งจากการอพยพ และแพร แบงแยกและเกิดเปนสปชีสใหมในที่สุด
กระจายไปอยูตามเกาะตางๆ ในหมูเกาะ การศึ ก ษาการแพร ก ระจายของนกฟ น ซ ใ นหมู  เ กาะ
กาลาปากอส ซึ่งแตละเกาะจะมีปจจัยที่ กาลาปากอส ซึ่งเปนหมูเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟในมหาสมุทร
สงผลตอการดํารงชีวิตแตกตางกัน ทําให แปซิฟก ตอนใต และอยูห า งจากทวีปอเมริกาใตไปทางทิศตะวันตก
นกฟนซตองมีการปรับตัวเพื่อความอยูรอด ประมาณ 960 กิโลเมตร จากการศึกษาพบวานกฟนซในหมูเ กาะ
ในรูปแบบที่ตางกัน จึงทําใหในปจจุบันมี กาลาปากอสมี ลั ก ษณะคล า ยกั บ นกฟ น ซ ที่ อ าศั ย อยู  ใ นทวี ป
นกฟนซหลายสายพันธุ) อเมริกาใตมากกวานกฟนซทอี่ าศัยอยูใ นหมูเ กาะอืน่ ๆ จึงอาจเปน
4. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา นกฟนซทมี่ ลี กั ษณะ ไปไดวาบรรพบุรุษของนกฟนซอาจอพยพและแพรกระจายจาก
แตกตางกันเปนผลมาจากการเกิดวิวฒ ั นาการ ทวีปอเมริกาใตมาอยูบนเกาะ เมื่อเวลาผานไปก็เกิดวิวัฒนาการ
เนื่ อ งจากแต เ ดิ ม เคยเป น สายพั น ธุ  เ ดี ย วกั น ภาพที่ 7.7 การแพรกระจายของ
จนกลายเปนนกฟนซสายพันธุตาง ๆ ที่อาศัยอยูบนเกาะใน
นกฟนซบนหมูเกาะกาลาปากอส หมูเกาะกาลาปากอส 1
แตเมื่อมีการแพรกระจายจากทวีปอเมริกาใต
นอกจากนัน้ การศึกษาซากดึกดําบรรพของสัตวเลือ้ ยคลานในทวีปตาง ๆ พบวา มีความใกลเคียง
มาอยูบ นเกาะตางๆ ของหมูเ กาะกาลาปากอส
กันมาก และเมื่อเปรียบเทียบชั้นหินพบวาชั้นหินของทวีปตาง ๆ สามารถตอกันไดสนิทอีกดวย จึง
ทําใหเกิดวิวัฒนาการของนกฟนซตามแหลง
ทําใหเชื่อไดวาทวีปตาง ๆ เคยเชื่อมตอเปนแผนดินผืนเดียวกันมากอน
ที่อยูอาศัยที่แตกตางกัน เพื่อใหเหมาะสมตอ
การดํารงชีวิตในสภาพแวดลอมที่แตกตางกัน บริเวณที่พบซากดึกดําบรรพ
แอฟริกา ของลิสโทรซอลัส ซึง่ เปนสัตว
อินเดีย เลื้ อ ยคลานโบราณที่ อ าศั ย
อธิบายความรู อยูบนบก

1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ อเมริกาใต ออสเตรเลีย
หลักฐานดานชีววิทยาระดับโมเลกุล แอนตารติก
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ บริเวณที่พบซากดึกดําบรรพ
หลักฐานทางชีวภูมิศาสตร ของไซโนกาทัส ซึ่งเปนสัตว บริเวณที่พบซากดึกดําบรรพ
เลื้ อ ยคลานโบราณที่ อ าศั ย กลอสโซพเทรีส ซึ่งเปนพืช
3. ครูใหนกั เรียนทําใบงาน เรือ่ ง ความใกลชดิ ทาง บนบก บริเวณที่พบซากดึกดําบรรพ ตระกูลเฟรนชนิดหนึ่ง
สายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของมีโซซอรัส ซึ่งเปนสตว
เลื้ อ ยคลานโบราณที่ อ าศั ย
อยูในนํ้าจืด
ภาพที่ 7.8 ซากดึกบรรพของสัตวเลื้อยคลานในทวีปตาง ๆ
106

นักเรียนควรรู การคิดดแนว O-NET


ขอสอบเนน การคิ
1 ทวีป ตางๆ ของโลกในอดีตเคยเชื่อมตอกันเปนผืนแผนเดียวกัน เรียกวา หลักฐานทางชีวภูมศิ าสตรใชสนับสนุนการเกิดวิวฒ ั นาการของ
แพนเจีย (pangaea) แตเมื่อเวลาผานไปแพนเจียเริ่มแยกเปนหลายสวน สิ่งมีชีวิตไดอยางไร
และเคลื่อนที่แยกออกจากกันเปนทวีปตางๆ โดยมีหลักฐานสนับสนุน คือ (วิเคราะหคาํ ตอบ เนือ่ งจากการกระจายของสิง่ มีชวี ติ ไปยังบริเวณ
รูปรางของทวีปตางๆ สามารถสวมตอกันไดอยางพอดี (โดยเฉพาะทวีปแอฟริกา ตางๆ เปนผลมาจากความเหมาะสมตอการดํารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ
ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต) และซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต แตละชนิดที่เหมาะสมกับสภาพแวดลอมที่แตกตางกัน และอาจ
ทัง้ พืช สัตว และชัน้ หินชนิดเดียวกัน เปนตน การแยกตัวของแผนดินนีถ้ กู เสนอเปน มีสิ่งกีดขวางบางประเภท เชน ภูเขา มหาสมุทร ทําใหสิ่งมีชีวิต
ทฤษฎีการเลื่อนไหลของทวีป (continental drift theory) โดยอัลเฟรด โลธาร กลุม เดียวกันเกิดการแบงแยกออกเปนกลุม ยอย และมีววิ ฒ ั นาการ
เวเกเนอร (Alfred Lothar Wegener) จนกลายเปนสปชีสใหมขึ้น)

T124
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา

1.6 หลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของมนุษย์ 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาวิ วั ฒ นาการของมนุ ษ ย


การศึกษาหลักฐานจาก จากหลั ก ฐานสนั บ สนุ น การเกิ ด วิ วั ฒ นาการ
ซากดึกด�าบรรพ์ของกระโหลก ตางๆ โดยมีหลักฐานสนับสนุนวามนุษยแยก
ศีรษะ และโครงกระดูก รวมทัง้ สายวิวฒ ั นาการมาจากไพรเมตกลุม ลิงไมมหี าง
และถามคําถามนักเรียนวา
การเปรียบเทียบล�าดับเบสบน ไพลสโตซีน
0

สาย DNA ระหว่างมนุษย์กับ • ลั ก ษณะที่ เ ห็ น ว า มนุ ษ ย มี วิ วั ฒ นาการคื อ


ลิงชิมแปนซี ท�าให้นักวิทยา- 1 Homo sapiens ลักษณะใด
(แนวตอบ ความจุของสมอง ซึ่งเมื่อมนุษย
ล้านปี

Homo erectus
ศาสตร์ทราบว่ามนุษย์แยกสาย
วิ วั ฒ นาการมาจากไพรเมต 1 2 Homo habilis
มีวิวัฒนาการสูงขึ้นก็จะมีความจุของสมอง
กลุ่มลิงไม่มีหาง 2(ape) เมื่อ Australopithecus robustus เพิ่ ม มากขึ้ น ส ง ผลต อ ความสามารถใน
ไพลโอซีน

ประมาณ 5-7 ล้านปีที่ผ่านมา 3 การเรียนรู และการดํารงชีวิตของมนุษย)


Australopithecus africanus
ซึ่งเป็นการสนับสนุนว่ามนุษย์ 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา มนุษยแยกสาย
มีววิ ฒั นาการมาอย่างต่อเนือ่ ง
4
Australopithecus afarensis วิวัฒนาการมาจากไพรเมตกลุมลิงไมมีหาง
โดยคาดคะเนล� า ดั บ ขั้ น ตอน ภาพที่ 7. 9 วิวัฒนาการของมนุษย์จากลิงไม่มีหาง
โดยมี ลํ า ดั บ วิ วั ฒ นาการเริ่ ม จากออสตรา-
การสื บ สายวิ วั ฒ นาการของ โลพิเทคัส เปนบรรพบุรษุ ทีค่ ลายคลึงกับมนุษย
มนุษย์ได้ ดังนี้ มากที่สุด มีความจุสมอง 400-500 ลบ.ซม.
มีการเดิน 2 ขา เคลื่อนที่ไดทั้งพื้นดินและบน
1. ออสตราโลพิเทคัส (Australopithecus) เป็นมนุษย์วานร ตนไม มีการกินอาหารหลายรูปแบบ จากนัน้ จึง
ซึ่งสูญพันธุ์ไปกว่า 2 ล้านปีมาแล้ว มีความจุสมองประมาณ 450 เปนมนุษยในจีนสั ดวยโฮโม เริม่ จาก H. habilis
ลบ.ซม. ยืนตัวตรง มีฟันคล้ายฟันของมนุษย์ นักโบราณคดีเชื่อว่า มีความจุสมอง 600-750 ลบ. ซม. มีลําตัวตรง
แม้ออสตราโลพิเทคัสจะรูจ้ กั การเดิน 2 ขา แต่มกี ารกินผลไม้ เมล็ดพืช เดิ น 2 ขา สามารถใช มื อ ประดิ ษ ฐ สิ่ ง ของ
พืชหัวต่าง ๆ เป็นอาหารหลักมากกว่าการกินเนื้อสัตว์ เครือ่ งใชจากหิน ตามดวย H. erectus มีความ
ซากฟอสซิลของออสตราโลพิเทคัสที่รู้จักกันดี คือ ลูซี่ จุสมอง 1,100 ลบ.ซม. มีรา งกายสูงใหญ มีการ
(Lucy) หรือ Australopithecus afarensis ซึง่ ขุดพบทางตอนเหนือ ใชไฟและประดิษฐเครื่องมือจากหิน ตามดวย
ภาพที่ 7.10 กะโหลกศีรษะของ
ของประเทศเอธิโอเปีย โดยเป็นฟอสซิลทีม่ รี า่ งกายเกือบครบทุกส่วน A. afarensis H. sapiens มีความจุสมอง 1,400 ลบ.ซม. มี
มีอายุประมาณ 3.8-3.0 ล้านปีมาแล้ว ลูซี่เป็นโครงกระดูกลักษณะผสมของมนุษย์และลิงไม่มีหาง
กระดูกคิ้วยื่น จมูกกวาง คางสั้น มีการอยูรวม
เป็นเพศหญิง สามารถเดินสองขาและยึดล�าตัวตรงได้ สูงประมาณ 1 เมตร
กันเปนหมู รูจ กั ใชไฟและเครือ่ งหนังสัตวนงุ หม
และมนุษยปจจุบัน คือ H. sapiens sapiens

วิวัฒนาการ 107

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ลูซเี่ ปนฟอสซิลลักษณะผสมของมนุษยกบั ลิงไมมหี าง จัดอยูใ น 1 ไพรเมต คื อ กลุ  ม ของสั ต ว เ ลี้ ย งลู ก ด ว ยนํ้ า นมที่ มี วิ วั ฒ นาการสู ง ที่ สุ ด
สปชีสใด สืบเชื้อสายมาจากสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านมที่มีรก อาศัยและหอยโหนอยูบนตนไม
1. H. habilis เปนสวนใหญ มีสมองเจริญดีและมีขนาดใหญ มีขากรรไกรสั้น มีเล็บแบนทั้ง
2. H. erectus นิ้วมือและนิ้วเทา มีพฤติกรรมทางสังคมที่ซับซอน
3. A. afarensis 2 ลิงไมมหี าง มีสายวิวฒ ั นาการมาจากลิงโลกเกาเมือ่ ประมาณ 20-30 ลานป
4. H. sapiens sapiens กอน มีแขนยาว แตขาสั้น สามารถหอยโหนได สวนมากอาศัยบนพื้นดิน
5. H. sapiens neanderthalensis (มีเพียงชะนีและอุรังอุตังที่ยังอาศัยอยูบนตนไม) มีพัฒนาการทางสมองมาก
(วิเคราะหคําตอบ ลูซี่เปนฟอสซิลที่จัดอยูในสปชีส A. afarensis และมีความคลายคลึงกับมนุษย จึงมีพฤติกรรมที่ซับซอน เชน ชะนี อุรังอุตัง
เปนโครงกระดูกเพศหญิงลักษณะผสมของมนุษยและลิงไมมีหาง กอริลลา ชิมแปนซี
มีความสูงประมาณ 1 เมตร สามารถเดิน 2 ขา และยึดลําตัวตรง
ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T125
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ จากหลักฐานกระดูกเชิงกราน กระดูกกะโหลกศีรษะ และรอยเท้าบนหิน บ่งชี้ว่า
วิวัฒนาการของมนุษย A. afarensis มีการเดิน 2 ขา มีแขนยาวกว่ามนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งเหมาะกับการเคลื่อนที่บนต้นไม้
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง วิวัฒนาการของ จึงเชือ่ กันว่า สามารถเคลือ่ นทีไ่ ด้ทงั้ พืน้ ดินและบนต้นไม้ ซึง่ เหมาะกับลักษณะสภาพแวดล้อมทีเ่ ป็น
มนุษย ป่าโปร่งและต้นไม้ ล�าตัวมีความสูงประมาณ 1-1.5 เมตร สมองมีความจุ 400-500 ลบ.ซม. มีฟัน
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ที่ปรับเปลี่ยนมาให้กินอาหารได้หลายแบบ รู้จักการสร้างเครื่องมือแบบง่าย ๆ อีกทั้งยังพบว่า
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 A. afarensis มีช่วงเวลาในการด�ารงพันธุ์ได้นานถึง 1 ล้านปี และเป็นบรรพบุรุษของออสตราโลพิ-
เทคัสสปีชีส์อื่น ๆ และมนุษย์ในจีนัสโฮโมด้วย
2. โฮโม (Homo) มีหลักฐานสนับสนุนว่ามีวิวัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ล้านปีที่
ผ่านมา โดยอาศัยอยูใ่ นทวีปแอฟริกา ซึง่ เป็นช่วงเวลาทีอ่ อสตราโลพิเทคัสยังไม่สญู พันธุ์ ซึง่ พบอยู่
หลายสปีชีส์ ดังนี้
- Homo habilis มีอายุมากที่สุด มีความจุสมอง
ประมาณ 600-750 ลบ.ซม. มีน�้าหนักประมาณ 40-50 กิโลกรัม
ล�าตัวตั้งตรงและเดิน 2 ขา มีกระดูกปลายนิ้วมือคล้ายกับมนุษย์
ปัจจุบนั แต่มขี นาดใหญ่กว่า แสดงว่ามีทกั ษะการใช้มอื และหยิบจับ
สิ่งของได้ดี อีกทั้งยังพบหินที่น�ามาประดิษฐ์เครื่องใช้อยู่บริเวณ
เดียวกันที่พบซากดึกด�าบรรพ์ แสดงว่า H. habilis เริ่มใช้สมอง
และมือประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้จากหินเพื่อใช้ด�ารงชีวิต โดย
ภาพที่ 7.11 กะโหลกศีรษะของ H. habilis ถือเป็นไพรเมตกลุม ่ แรกทีจ่ ดั อยูใ่ นสกุลเดียวกันมนุษย์
H. habilis
แม้ว่าจะต่างสปีชีส์กับมนุษย์ในปัจจุบันก็ตาม
- Homo erectus เป็นมนุษย์สปีชีส์แรกที่อพยพออกจากแอฟริกา พบในแถบเอเชีย
รวมทั้งหมู่เกาะอินโดนีเชีย ซากดึกด�าบรรพ์ที่พบและรู้จักกันดี คือ มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง
H. erectus มีอายุประมาณ 1.8 ล้านปีถึง 500,000 ปี ตั้งถิ่นฐาน
อยูใ่ นเอเชียไม่นอ้ ยกว่า 1.5 ล้านปี โดยมีรา่ งกายสูงและมีความจุ
สมองประมาณ 1,100 ลบ.ซม. ซึ่งเพศชายมีล�าตัวใหญ่เป็น
1.2 เท่าของเพศหญิง มนุษย์ยุคนี้เริ่มรู้จักการใช้ไฟและประดิษฐ์
เครือ่ งมือจากหินได้ดี มีความประณีตมากขึน้ ขนาดสมองทีโ่ ตขึน้
ของ H. erectus น่าจะมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาทางด้าน
วัฒนธรรม สังคมและการใช้ภาษา ในขณะทีม่ กี ารแพร่กระจายของ
ภาพที่ 7.12 กะโหลกศีรษะของ H. erectus จากแอฟริกามายังเอเชีย พบว่า H. erectus บางส่วน
H. erectus ได้อพยพเข้าไปอยู่ในแถบยุโรปด้วยเช่นกัน
108

เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ในการเรียนการสอน เรื่อง หลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของ มนุษยสปชสี แ รกทีอ่ พยพออกจากแอฟริกามาอยูใ นบริเวณเอเชีย
มนุษย ครูอาจหาคลิปวิดโี อทีแ่ สดงถึงวิวฒ
ั นาการของมนุษย มาเปดใหนกั เรียนดู และหมูเกาะอินโดนีเซียคือมนุษยสปชีสใด
เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพ และเขาใจไดงายขึ้น โดยอาจใชคําคนหาตอไปนี้ 1. H. habilis
- human evolution 2. H. erectus
- evolution of human 3. A. afarensis
- homo sapiens 4. H. sapiens sapiens
5. H. sapiens neanderthalensis
สื่อ Digital (วิเคราะหคาํ ตอบ H. erectus เปนมนุษยสปชสี แ รกทีอ่ พยพออกจาก
ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม แอฟริกามาอยูใ นแถบเอเชีย และหมูเ กาะอินโดนีเซีย มนุษยทรี่ จู กั กันดี
จากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง คือ มนุษยชวา และมนุษยปก กิง่ ซึง่ มีรา งกายสูง มีความจุสมอง
ชิมแปนซี : ญาติผูใกลชิดของมนุษย ประมาณ 1,100 ลบ.ซม. เพศชายมีขนาดลําตัวใหญกวาเพศหญิง
https://www.twig-aksorn.com/f ilm/ ประมาณ 1.2 เทา ดังนัน้ ตอบขอ 2.)
chimps-our-closest-relatives-8003/
T126
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
- Homo sapiens มีวิวัฒนาการมาจาก H. erectus โดยซับสปีชีส์แรกที่พบคือ มนุษย์ ครูใหนกั เรียนทํารายงาน เรือ่ ง วิวฒ
ั นาการของ
นีแอนเดอร์ทลั (Neanderthal man) มีชวี ติ อยูเ่ มือ่ ประมาณ 200,000-30,000 ปีทผี่ า่ นมา จากหลักฐาน มนุษย โดยการสืบคนหลักฐานดานตางๆ ทีส่ ามารถ
ซากดึกด�าบรรพ์พบว่า มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลมีสมองขนาดใหญ่เหมือนกับมนุษย์ปัจจุบัน มีความจุ อธิบายถึงการเกิดวิวฒ ั นาการของมนุษยได
ประมาณ 1,400 ลบ.ซม. แต่กะโหลกศีรษะมีกระดูกคิ้วยื่นออกมา จมูกกว้าง คางสั้น จึงจัดให้
มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลอยู่ในสปีชีส์เดียวกับมนุษย์ปัจจุบัน แต่แยก
เป็นซับสปีชีส์ คือ H. sapiens neanderthalensis โดยมนุษย์ ขัน้ ประเมิน
นีแอนเดอร์ทัล มีการอยู่รวมกันเป็นชุมชน ล่าสัตว์ร่วมกัน รู้จัก ตรวจสอบผล
การใช้ไฟ ใช้หนังสัตว์นุ่งห่ม เริ่มมีวัฒนธรรมการฝังศพที่ตกแต่ง 1. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบกอนเรียน
ด้วยดอกไม้ และฝังศพพร้อมกับเครื่องมือเครื่องใช้ อีกทั้งยังพบ 2. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน และปายนิเทศ
ซากกะโหลกของหมีในถ�า้ ซึง่ อาจเป็นส่วนหนึง่ ของพิธกี รรมทาง
จากกิจกรรม ซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต
ศาสนา มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลพบกระจายในบริเวณต่าง ๆ ตั้งแต่
ภาพที่ 7.13 กะโหลกศีรษะของ 3. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน เรือ่ ง วิวฒ
ั นาการ
ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงประเทศจีน
H. sapiens ของมนุษย
- มนุษย์โครแมนยอง (Cro-magnon man) อยูซ่ บั สปีชสี ์
4. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง ความใกลชดิ
เดียวกับ H. sapiens sapiens มีวิวัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อ 40,000
ปีที่ผ่านมา และสูญพันธุ์ไปเมื่อ 20,000 ปีที่ผ่านมา โดยมีขนาด ทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
สมองใกล้เคียงกับมนุษย์ปจั จุบนั ประมาณ 1,400 ลบ.ซม. มีความ 5. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง วิวัฒนาการ
สามารถในการล่าสัตว์ และมีหลักฐานพบว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วย ของมนุษย
น�้านมหลายชนิดในยุคนั้นเริ่มสูญพันธุ์ จึงเชื่อว่าเกิดจากการ 6. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน
ล่าสัตว์ของมนุษย์โครแมนยอง โดยใช้เครื่องมือที่ประดิษฐ์จาก แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
หินและใช้หอกในการล่าสัตว์ มีความสามารถในการวาดภาพสัตว์ซงึ่
พบหลักฐานจากถ�า้ หลายแห่ง มีการแกะสลักกระดูกและเขากวาง ภาพที่ 7.14 กะโหลกศีรษะของ
เป็นรูปต่าง ๆ และมีการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนที่มีกฏเกณฑ์ มนุษย์โครแมนยอง

B iology
Focus สมมุติฐานของก�าเนิดมนุษย์ยุคปจจุบัน

สมมุติฐานของก�าเนิดมนุษย์ยุคปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ดังนี้


สมมุติฐานแรก กล่าวว่า มนุษย์ปัจจุบันที่อาศัยอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของโลก มีวิวัฒนาการมา
จาก H. erectus ที่แพร่กระจายไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยมีวิวัฒนาการแบบขนานมาเป็นมนษุย์ใน
ยุคปัจจุบัน
ั นาการครัง้ ทีส่ อง โดย H. erectus ทีแ่ พร่กระจาย
สมมติฐานทีส่ อง กล่าวว่า มนุษย์ปจั จุบนั มีววิ ฒ
ไปอาศัยตามบริเวณต่าง ๆ ได้สญู พันธุไ์ ปหมด เหลือเพียง H. erectus ในแอฟริกาเท่านัน้ ทีม่ วี วิ ฒ ั นาการ
เป็น H. sapiens
109
หลักฐานที่บงบอกถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


ขอใดเปนลักษณะสําคัญของมนุษยโครแมนยอง ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง หลักฐานที่บงบอกถึง
1. ขนาดสมองเล็กกวามนุษยปจจุบัน วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ไดจากรายงาน เรื่อง ซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต
2. มนุษยกลุมแรกที่ยายออกจากแอฟริกา และรายงาน เรื่อง วิวัฒนาการของมนุษย ที่นักเรียนทําในขั้นขยายความเขาใจ
3. มีความสามารถในการวาดภาพและแกะสลัก โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานที่อยูในแผน
4. ขนาดลําตัวของเพศชายใหญกวาเพศหญิง 1.2 เทา การจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 7
5. กะโหลกศีรษะมีกระดูกคิ้วยื่น จมูกกวาง และคางสั้น แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 1, 4
แบบประเมินรายงาน
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ

(วิเคราะหคําตอบ มนุษยโครแมนยองอยูซับสปชีสเดียวกับมนุษย
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน
ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน   
4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา   

ปจจุบัน มีขนาดสมอง 1,400 ลบ.ซม. ซึ่งเทากับมนุษยปจจุบัน


1 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย   
2 ความสมบูรณ์ของรูปเล่ม
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ   
3 ความตรงต่อเวลา 5 วิธีการนาเสนอผลงาน   
รวม
รวม

มี ค วามสามารถในการล า สั ต ว การวาดภาพและแกะสลั ก ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


............/................../.................. ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................

และมีการอยูรวมกันเปนชุมชนที่มีกฎเกณฑ ดังนั้น ตอบขอ 3.)


เกณฑ์การประเมินรายงาน
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1 เกณฑ์การให้คะแนน
1. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ของเนื้อหา รายงานถูกต้องครบถ้วน รายงานถูกต้องเป็น รายงานถูกต้อง รายงานไม่ถูกต้องเป็น
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ส่วนใหญ่ บางประเด็น ส่วนใหญ่
2. ความสมบูรณ์ มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน องค์ประกอบไม่ ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
ของรูปเล่ม สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ แต่ยังไม่เป็น ครบถ้วน ไม่เป็น
ระเบียบ และรูปเล่ม ระเบียบ แต่รูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่ม
สวยงาม สวยงาม สวยงาม ไม่สวยงาม
3. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 14-15 ดีมาก
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-13 ดี
11-12 ดีมาก 8-10 พอใช้
9-10 ดี ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
6-8 พอใช้
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง

T127
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ น�า
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน เพราะเหตุใด จึงเชือ่ วา 2. แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ความรูของนักเรียน สิง่ มีชวี ติ มีววิ ฒ
ั นาการ ของสิ่งมีชีวิต
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา นักวิทยาศาสตร เกิดขึน ้
ในอดีตมีความเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บนโลกเกิดจาก
หลายทานพยายามเสนอแนวคิดเพื่ออธิบาย
พระเจ้าเป็นผู้สร้าง จนสมัยกรีกโบราณมีนักปรัชญาหลายท่าน
ว า สิ่ ง มี ชี วิ ต มี วั ฒ นาการเกิ ด ขึ้ น จริ ง ซึ่ ง มี ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตซึ่งยังขัดกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ จนมี
นักวิทยาศาสตร 2 ทาน ทีเ่ สนอแนวคิดเกีย่ วกับ การค้นพบซากดึกด�าบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธ์ไปแล้ว รวมทั้งสภาพภูมิศาสตร์ของโลกมีการ
วิวัฒนาการที่สําคัญ คือ ฌอง ลามารก และ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตน่าจะปรับตัวให้สามารถด�ารงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่
ชาลส ดารวิน เปลี่ยนแปลงได้
นักวิทยาศาสตร์หลายท่านพยายามเสนอแนวคิดเพื่ออธิบายว่าวิวัฒนาการมีจริงและเกิดขึ้น
ขัน้ สอน ได้อย่างไร โดยอาศัยหลักฐานด้านต่าง ๆ เพื่อยืนยันแนวโน้มการเกิดวิวัฒนาการ แนวคิดเกี่ยวกับ
ส�ารวจค้นหา วิวัฒนาการของนักวิทยาศาสตร์ที่ส�าคัญ มีดังนี้
1. ค รู ใ ห  นั ก เ รี ย น ศึ ก ษ า แ น ว คิ ด เ กี่ ย ว กั บ 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามาร์ก
วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง ล า ม า ร  ก ซึ่ ง เ ป  น นั ก ในระหว่างปี พ.ศ. 2287-2372 ฌอง ลามาร์ก (Jean Lamarck)
วิ ท ยาศาสตร ค นแรกๆ ที่ นํ า เสนอแนวคิ ด นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เป็นคนแรก ๆ ที่น�าเสนอแนวคิด
เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต โดยเสนอ เกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการ จากการเปรียบเทียบลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ใน
แนวคิด 2 ประเด็น ไดแก กฎการใชและไมใช ยุคนั้นกับหลักฐานซากดึกด�าบรรพ์ที่ได้รวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์
และกฎแหงการถายทอดลักษณะทีเ่ กิดขึน้ ใหม ลามาร์กได้เสนอแนวคิดเพื่ออธิบายว่าสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยน
แปลงโครงสร้างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในขณะเกิด
วิวัฒนาการได้ 2 ประเด็น ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย
ภาพที่ 7.15 ฌอง ลามาร์ก
ประเด็นที่ 1 กล่าวว่า อวัยวะส่วนใดที่มีการใช้งานมากใน
(พ.ศ.2287-2372) การด� า รงชีวติ จะมีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึน้ ส่วนอวัยวะทีไ่ ม่คอ่ ย
ได้ใช้งานจะอ่อนแอลง และเสื่อมลงไปในที่สุด เรียกแนวคิดนี้ว่า กฏการใช้และไม่ใช้ (Law of use
and disuse)
แนวตอบ Prior Knowledge
ประเด็นที่ 2 กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นโดยการใช้และไม่ใช้
เนื่ อ งจากมี ก ารพบหลั ก ฐานหลายอย า งที่ จะยังคงอยู่ภายในชั่วรุ่นนั้น และสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปได้ เรียกแนวคิดนี้ว่า
สนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เชน กฏแห่งการถ่ายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นมาใหม่ (Law of inheritance of acquired characteristic)
หลักฐานจากซากดึกดําบรรพ ซึ่งพบวามีลักษณะ ลามากร์กใช้ทฤษฏีทั้ง 2 ประเด็นอธิบายการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขาของสัตว์พวกงู
ที่แตกตางจากสิ่งมีชีวิตในปจจุบัน หรือหลักฐาน เนื่องจากโครงกระดูกของงูยังมีซากขาเหลือติดอยู่ ซึ่งลามาร์คอธิบายว่างูอาศัยในสิ่งแวดล้อมที่
ดานชีววิทยาระดับโมเลกุล ซึ่งพบวาสิ่งมีชีวิต เป็นพงหญ้ารกทึบ การเลือ้ ยไปท�าให้ลา� ตัวยาว ส่วนขาทีไ่ ม่ได้ใช้งานจึงค่อย ๆ ลดขนาดเล็กลงและ
บางชนิดมีลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอที่แตกตางกัน หายไป ลักษณะนี้ถ่ายทอดไปได้ ท�าให้งูรุ่นต่อ ๆ มาจึงไม่มีขา
เพียงเล็กนอย แตบางชนิดก็มีความแตกตางกัน 110

อย า งมาก แสดงให เ ห็ น ถึ ง ความใกล ชิ ด ของ


สิ่งมีชีวิตกลุมตางๆ

ขอสอบเนน การคิด
ขอใดกลาวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามารกไดถูกตอง
1. สิ่งมีชีวิตจะปรับตัวใหเหมาะสมตอการดํารงชีวิตในสิ่งแวดลอม
2. สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะไมเหมาะสมจะถูกคัดทิ้งออกจากกลุมประชากร
3. โครงสรางที่เปลี่ยนแปลงในรุนพอแมจะไมสามารถถายทอดไปยังรูนลูกเสมอไป
4. โครงสรางที่มีการใชงานมากจะมีขนาดใหญ แตโครงสรางที่ไมไดใชงานจะมีขนาดเล็ก
5. สิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี กั ษณะเหมาะสมตอสิง่ แวดลอมเทานัน้ ทีจ่ ะสามารถถายทอดพันธุกรรมตอไปได
(วิเคราะหคําตอบ ลามารก เสนอแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตไว 2 ประเด็น ไดแก
ประเด็นที่ 1 กฎการใชและไมใช (Law of use and disuse) มีใจความสําคัญวา อวัยวะสวนใด
ที่มีการใชงานมากในการดํารงชีวิตจะมีขนาดใหญและแข็งแรง สวนอวัยวะที่ไมคอยไดใชงาน
จะออนแอลง และเสื่อมไปในที่สุด
ประเด็นที่ 2 กฎการถายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหม (Law of inheritance of acquired char-
acteristic) มีใจความสําคัญวา การเปลีย่ นแปลงโครงสรางของสิง่ มีชวี ติ ทืเ่ กิดขึน้ โดยการใชและไม
ใชจะยังคงอยูภ ายในชัว่ รุน นัน้ และสามารถถายทอดไปยังรุน ลูกหลานตอไปได ดังนัน้ ตอบขอ 4.)

T128
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
อี ก ทั้ ง ลามาร์ ก ยั ง ใช้ แ นวคิ ด ทั้ ง สอง 1 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาลั ก ษณะคอและขายาว
ประเด็นอธิบายการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ ของยีราฟจากทฤษฎีวิวัฒนาการของลามารก
ยีราฟที่มีลักษณะคอและขายาวในปัจจุบันว่า และถามคําถามนักเรียนวา
จากหลักฐานซากดึกด�าบรรพ์ของยีราฟในอดีต • ลักษณะคอและขายาวของยีราฟเกิดขึ้นได
บรรพบุรุษของยีราฟมีคอสั้นกว่ายีราฟปัจจุบัน อยางไร
ซึง่ กินใบอ่อนบนยอดไม้เป็นอาหาร เมือ่ ใบอ่อน (แนวตอบ ลามารก อธิบายวา ในอดีตยีราฟ
บริเวณด้านล่างถูกกินหมดจึงต้องยืดคอเพือ่ กิน มี ค อและขาสั้ น ซึ่ ง จะกิ น ใบอ อ นบริ เ วณ
ใบไม้จากต้นไม้ทสี่ งู ขึน้ และเนือ่ งจากการยืดคอ 2 ดานลางของตนไมเปนอาหาร แตเมื่อใบ
อย่างเดียวนัน้ ยังไม่เพียงพอจึงต้องเขย่งขาเพิม่ ออนบริเวณดานลางหมด จึงตองยืดคอและ
ด้วย เมื่อเวลาผ่านไปจึงท�าให้ยีราฟมีคอและ เขยงขาเพือ่ กินใบออนทีอ่ ยูด า นบน จึงทําให
ขายาวขึ้น เมื่อยีราฟตัวนี้มีลูก ลูกที่เกิดมาจะมี ยีราฟมีคอและขายาว และสามารถถายทอด
คอและขายาวเหมือนแม่ และเป็นเช่นนี้ไป ลักษณะเหลานี้ไปยังรุนลูกหลานได)
หลายชั่วรุ่น ซึ่งเป็นสาเหตุให้ยีราฟรุ่นต่อ ๆ มา 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลามารก อธิบาย
มีคอยาวขึน้ เรือ่ ย ๆ จนในทีส่ ดุ ยีราฟจึงมีลกั ษณะ 3 ลักษณคอยาวของยีราฟวา บรรพบุรษุ ของยีราฟ
คอและขายาวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน มีคอสั้นซึ่งกินใบออนบนยอดไมเปนอาหาร
เนือ่ งจากแนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ ั นาการของ เมื่อใบออนบริเวณดานลางถูกกินหมดจึงตอง
ลามาร์กเป็นแนวคิดทีไ่ ม่มหี ลักฐานสนับสนุนว่า ยื ด คอเพื่ อ กิ น ใบไม จ ากต น ไม ที่ สู ง ขึ้ น และ
ลักษณะที่เกิดขึ้นมาใหม่ในชั่วชีวิตนั้นสามารถ เนื่องจากการยืดคออยางเดียวยังไมเพียงพอ
ถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปได้ ท�าให้ไม่ได้รับการ จึงตองเขยงขาดวย เมื่อเวลาผานไปจึงทําให
ยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น ภาพที่ 7.16 ทฤษฎีการยืดคอและขาของยีราฟของลามาร์ก ยีราฟมีคอและขายาวขึน้ และสามารถสืบพันธุ
ในระหว่างปี พ.ศ. 2377-2457 เอากุสต์ ไวส์มันน์ (August Weisman) นักวิทยาศาสตร์ชาว ใหกําเนิดยีราฟรุนลูกที่มีคอและขายาว
เยอรมัน ท�าการทดลองตัดหางหนูประมาณ 20 ชั่วรุ่น จากผลการทดลอง พบว่า หนูที่เกิดใหม่
ยังคงมีหางตามปกติ จากผลการทดลองนี้จึงเป็นการคัดค้านแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ
ลามาร์กอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม จากแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามาร์กได้กระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์เริ่ม
คิดว่า วิวัฒนาการเกิดขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งลามาร์กยังเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรก ๆ ที่ยอมรับว่า
โลกได้ก�าเนิดมาหลายพันล้านปี สภาพแวดล้อมในแต่ละยุคมีความแตกต่างกันซึ่งเป็นแรงผลักดัน
ให้สิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่แตกต่างไปจากชนิดเดิมหรือเกิด
วิวัฒนาการนั่นเอง
วิวัฒนาการ 111

ขอสอบเนน การคิด
ลามารกใชแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการมาอธิบายลักษณะคอยาวของยีราฟไวอยางไร
(วิเคราะหคําตอบ ลามารก อธิบายวา ในอดีตยีราฟมีคอสั้น ซึ่งกินใบออนของตนไมเปนอาหาร
แตเมื่อใบออนบริเวณดานลางถูกกินหมด ทําใหยีราฟตองยืดคอใหยาวขึ้นเพื่อกินใบออนบนตนที่
อยูสูงขึ้น ซึ่งเมื่อเวลาผานไปทําใหยีราฟมีคอยาวขึ้น ซึ่งตรงกับกฎการใชและไมใชของลามารก
ที่กลาวไววา อวัยวะสวนใดที่มีการใชงานมากในการดํารงชีวิตจะมีขนาดใหญและแข็งแรง สวน
อวัยวะที่ไมคอยไดใชงานจะออนแอลง และเสื่อมไปในที่สุด และลักษณะคอยาวของยีราฟที่เกิด
ขึ้นยังสามารถถายทอดไปยังลูกหลานของยีราฟได ทําใหยีราฟในปจจุบันมีคอยาว ซึ่งตรงกับ
กฎการถายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหมของลามารก ที่กลาวไววา การเปลี่ยนแปลงโครงสรางของ
สิ่งมีชีวิตทื่เกิดขึ้นโดยการใชและไมใชจะยังคงอยูภายในชั่วรุนนั้น และสามารถถายทอดไปยังรุน
ลูกหลานตอไปได)

T129
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
4. ค รู ใ ห  นั ก เ รี ย น ศึ ก ษ า แ น ว คิ ด เ กี่ ย ว กั บ 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของดาร์วิน
วิวฒั นาการของดารวนิ ซึง่ เปนนักวิทยาศาสตร
ที่ไดรับการยกยองวาเปนบิดาของการศึกษา ในระหว่างปี พ.ศ. 2352-2425 ชาลส์ ดาร์วิน (Charles
Darwin) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่อง
วิ วั ฒ นาการของสิ่ ง มี ชี วิ ต โดยการศึ ก ษา
ว่าเป็นบิดาของการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ดาร์วินได้
ความหลากหลายของสิ่ ง มี ชี วิ ต บนหมู  เ กาะ
เดินทางส�ารวจสิ่งมีชีวิตในทวีปอเมริกาใต้และหมู่เกาะต่าง ๆ ใน
กาลาปากอส เชน นกฟนซ และถามคําถาม มหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างการเดินทางดาร์วินได้บันทึกและ
นักเรียนวา รวบรวมซากดึกด�าบรรพ์ รวมทั้งเก็บตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่พบ
ï• เพราะเหตุใดนกฟนซบนหมูเ กาะกาลาปากอส โดยดาร์วินสังเกตเห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ใน
จึงมีจะงอยปากที่แตกตางกัน สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันหรือในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึง
(แนวตอบ แตเดิมนกฟนซกลุมแรกที่เขามา ภาพที่ 7.17 ชาลส์ ดาร์วิน กันแต่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลกันจะมีความแตกต่างกัน
(พ.ศ.2352-2425)
อาศัยในบริเวณนีอ้ าจไมไดมลี กั ษณะทีห่ ลาก
หลาย แตเมือ่ ประชากรนกฟนซเพิม่ มากขึน้ ในระหว่างการเดินทางดาร์วนิ ได้ศกึ ษาแนวคิดของชาลส์ ไลเอลล์ (Charles Lyell) จากหนังสือ
เรื่องหลักธรณีวิทยา (The Principles of Geology) ซึ่งกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้น
ทําใหอาหารขาดแคลน และประชากรนกฟนซ
อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าโลกจะเกิดขึ้นมานานหลายพันล้านปีก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังคง
ส ว นน อ ยที่ มี จ ะงอยปากแตกต า งไปที่
เกิดขึน้ อยูเ่ สมอ นับเป็นการจุดประกายความสงสัยของดาร์วนิ ว่า สิง่ มีชวี ติ น่าจะมีการเปลีย่ นแปลง
สามารถกินอาหารอื่นแทนได จึงสามารถ ได้เช่นเดียวกับเปลือกโลก
สื บ พั น ธุ  เ พิ่ ม จํ า นวนประชากรได ม ากขึ้ น
ส ง ผลต อ ประชากรของนกฟ น ซ ใ ห มี ก าร ในปี พ.ศ. 2378 ดาร์วินเดินทางมาถึงหมู่เกาะกาลาปากอสในมหาสมุทรแปซิฟิก พบว่า
เปลี่ยนแปลงอยางคอยเปนคอยไป ซึ่งจาก
มีสิ่งมีชีวิตมากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละบริเวณของเกาะจะมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่เหมือนกันเลย ดาร์วิน
จึงเก็บตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ และจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้มากมาย ตัวอย่าง
กระบวนการนี้ทําใหนกฟนซมีจะงอยปาก
สิ่งมีชีวิตที่ดาร์วินสังเกตพบในหมู่เกาะกาลาปากอส เช่น นกฟินซ์ ดาร์วินได้สังเกตพบว่านกฟินซ์
หลายแบบดังที่เห็นในปจจุบัน)
ที่พบแพร่กระจายอยู่ตามเกาะต่าง ๆ มีมากถึง 14 ชนิด ในขณะ
ที่บนแผ่นดินใหญ่มีเพียงชนิดเดียว นกฟินซ์ที่พบแต่ละชนิดมี
ขนาดและรูปร่างของจะงอยปากที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับแหล่ง
อาหารของเกาะนั้น ๆ ดาร์วินเชื่อว่าบรรพบุรุษของนกฟินซ์บน
เกาะกาลาปากอสน่าจะมีบรรพบุรุษมาจากนกฟิ
1 นซ์บนแผ่นดิน
ใหญ่ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีจึงท�าให้หมู่เกาะแยกออก
จากแผ่นดินใหญ่ ท�าให้เกิดการแปรผันทางพันธุกรรมของบรรพ-
บุรุษนกฟินซ์ เมื่อเวลายิ่งผ่านยาวนานขึ้นท�าให้เกิดวิวัฒนาการ
ภาพที่ 7.18 นกฟินซ์บนหมู่เกาะ จนกลายเป็นนกฟินซ์สปีชีส์ใหม่ขึ้น
กาลาปากอส

112

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


1 การเปลีย่ นแปลงทางธรณี ธรณีภาค คือ ชัน้ เนือ้ โลกสวนบนกับชัน้ เปลือกโลก ทฤษฎีของดารวินสามารถใชอธิบายความหลากหลายของ
รวมกัน ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ นกฟนซบนหมูเกาะกาลาปากอสไดอยางไร
- แผนธรณีภาคแยกออกจากกัน เกิดจากการดันตัวของแมกมาทําใหเกิด ( วิเคราะหคําตอบ ในอดี ต นกฟ น ซ ที่ เ ข า มาอาศั ย ในบริ เ วณ
รอยแยก ซึง่ แมกมาจะถายโอนความรอนสูเ ปลือกโลก ทําใหอณ ุ หภูมแิ ละความดัน หมูเกาะกาลาปากอสไมไดมีลักษณะหลากหลายดังเชนปจจุบัน
ลดลง เปลือกโลกจะทรุดตัวกลายเปนหุบเขาในเวลาตอมา และเมื่อมีนํ้าไหล แตเมื่อประชากรนกฟนซเพิ่มมากขึ้น ทําใหขาดแคลนอาหาร
มาสะสมจะเกิดเปนทะเล ซึง่ มีประชากรนกฟนซสว นนอยทีม่ จี ะงอยปากแตกตางไปทีส่ ามารถ
- แผนธรณีภาคเคลื่อนเขาหากัน เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผนธรณีภาค กินอาหารชนิดอืน่ แทนได จึงสามารถสืบพันธุเ พิม่ จํานวนประชากร
เขาหากัน แบงออกเปน 3 รูปแบบ แผนธรณีภาคใตมหาสมุทรชนกันกับแผนธรณี ไดมากขึ้น สงผลตอประชากรของนกฟนซใหมีการเปลี่ยนแปลง
ภาคใตมหาสมุทร แผนธรณีภาคใตมหาสมุทรชนกับแผนธรณีภาคภาคพื้นทวีป อยางคอยเปนคอยไป ซึง่ จากกระบวนการนีท้ าํ ใหในปจจุบนั นกฟนซ
และแผนธรณีภาคภาคพื้นทวีปชนกับแผนธรณีภาคภาคพื้นทวีป มีจะงอยปากทีห่ ลากหลาย)
- แผนธรณีภาคเคลือ่ นทีผ่ า นกัน เกิดจากอัตราการเคลือ่ นตัวของแมกมาใน
ชั้นเนื้อโลกไมเทากัน ทําใหแผนธรณีภาคเคลื่อนที่ไมเทากัน สงผลใหเปลือกโลก
และเทือกเขาใตมหาสมุทรเลื่อนไถลผานและเฉือนกัน

T130
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ï• แนวคิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติสามารถ
นํามาอธิบายลักษณะคอยาวของยีราฟได
แมล
ง อยางไร
ผลไม เ ม ล็ ด แ ล ะ ตร้นช (แนวตอบ บรรพบุรุษของยีราฟมีทั้งสายพันธุ
คอสั้ น และสายพั น ธุ  ค อยาว โดยยี ร าฟ
้ กระบองเพ

สายพันธุคอยาวสามารถกินยอดออนไดทั้ง
ดานลาง และยอดออนบนตนไมสูง แตพวก
เ ม ล็ ด สายพั น ธุ  ค อสั้ น จะสามารถกิ น ได เ ฉพาะ
ยอดอ อ นด า นล า งเท า นั้ น ดั ง นั้ น ยี ร าฟ
สายพันธุค อยาวจะสามารถดํารงชีวติ และมี
โอกาสสืบพันธุไดมากกวาสายพันธุคอสั้น
ภาพที่ 7.19 ลักษณะจะงอยปากที่แตกต่างกันของนกฟินซ์ในหมู่เกาะกาลาปากอส ทํ า ให ยี ร าฟสายพั น ธุ  ค อยาวเพิ่ ม จํ า นวน
ไดมากขึ้นในรุนตอๆ มา จนในปจจุบันมี
ภายหลังการเดินทางที่ยาวนานถึง 5 ปี เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศอังกฤษ ดาร์วินจึงได้
เฉพาะยีราฟสายพันธุคอยาวเทานั้น)
เริม่ ศึกษาเกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ ทีไ่ ด้บนั ทึกและเก็บตัวอย่างมายาวนานตลอดการเดินทาง รวมทัง้ ศึกษา
บทความเกี่ยวกับอัตราการเพิ่มประชากรของโทมัส มัลทัส (Thomas Malthus) จากข้อมูลต่าง ๆ อธิบายความรู
เหล่านี้ ท�าให้ดาร์วนิ เริม่ เข้าใจเกีย่ วกับกลไกการเกิดวิวฒ ั นาการของสิง่ มีชวี ติ ดาร์วนิ คิดว่าสิง่ มีชวี ติ
มีความหลากหลายตามธรรมชาติและปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น ปริมาณอาหารที่มีอยู่อย่างจ�ากัด 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับแนวคิด
ท�าให้สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกว่าเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดและถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามารก
แวดล้อมนั้นไปสู่ลูกหลาน ท�าให้สิ่งมีชีวิตในปัจจุบันมีลักษณะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่มีในอดีต 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับแนวคิด
ลักษณะดังกล่าวถือเป็นการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary adaptation) ของสิ่งมีชีวิตให้เข้า เกี่ยวกับวิวัฒนาการของดารวิน
กับสภาพแวดล้อมเพื่อเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ และเกิดเป็นแนวคิดของดาร์วิน คือ ทฤษฎี
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (theory of natural selection)
B iology
Focus อัตราการเพิ่มประชากรของโทมัส มัลทัส

โทมัส มัลทัส นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้เสนอแนว ประชากร


ความคิดของการเพิ่มประชากรมนุษย์ ดังนี้
จ�านวน

“ประชากรมนุษย์มีแนวโน้มของการเพิ่มแบบเรขาคณิต แต่ อาหาร


แนวโน้มการเพิ่มอาหารของมนุษย์เป็นแบบเลขคณิต ซึ่งลักษณะ
ดังกล่าวท�าให้ไม่เกิดสมดุลระหว่างประชากรกับอาหาร” เวลา
ภาพที่ 7.20
วิวัฒนาการ 113

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู


ปจจัยใดที่ทําใหจะงอยปากของนกฟนซในหมูเกาะลาปากอส ในการเรียนการสอน เรือ่ ง แนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชวี ติ ครูอาจหา
แตกตางกัน คลิปวิดโี อทีแ่ สดงถึงแนวคิดเกีย่ วกับวิวฒนาการของดารวนิ มาเปดใหนกั เรียนดู
1. จํานวนประชากร เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพ และเขาใจไดงายขึ้น โดยอาจใชคําคนหาตอไปนี้
2. ลักษณะภูมิอากาศ - Charles Darwin and evolution
3. ลักษณะภูมิประเทศ - the theory of natural selection
4. ลักษณะของอาหารที่กิน
5. ความแตกตางของสายพันธุ
สื่อ Digital
(วิเคราะหคําตอบ ความแตกตางของจะงอยปากของนกฟนซ
เปนผลจากลักษณะอาหารที่นกฟนซกิน เนื่องจากนกฟนซจะ ครูใหนกั เรียนศึกษาเพิม่ เติมจากภาพยนตร
มีลักษณะจะงอยปากสัมพันธกับลักษณะของอาหารที่กิน เชน สารคดีสั้น Twig เรื่อง ความยุงยากใจของ
ดารวิน https://www.twig-aksorn.com/
เมล็ดพืช แมลง ผลไม ตนกระบองเพชร ทําใหนกฟนซมีลักษณะ
film/darwins-dilemma-8016/
จะงอยปากที่แตกตางกัน ดังนั้น ตอบขอ 4.)

T131
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ดารวินไดเสนอ ดาร์วินใช้ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติอธิบายลักษณะคอของยีราฟว่า บรรพบุรุษของ
ผลงานร ว มกั บ อั ล เฟรด รั ส เซล วอลเลซ ยีราฟมีทั้งพวกคอสั้นและคอยาว พวกยีราฟที่คอยาวสามารถกินยอดไม้ได้ทั้งยอดไม้พุ่มเตี้ยและ
ที่ มี แ นวคิ ด เช น เดี ย วกั บ ของดาร วิ น โดยมี ยอดไม้บนต้นไม้สูง ในขณะที่พวกที่มีคอสั้นจะสามารถกินได้เฉพาะยอดไม้พุ่มเตี้ยเท่านั้น ดังนั้น
สาระสําคัญวา สิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการเกิดขึ้น ยีราฟทีม่ คี อยาวจะสามารถด�ารงชีวติ และมีลกู ได้มากกว่าพวกคอสัน้ ท�าให้ยรี าฟคอยาวเพิม่ จ�านวน
ซึ่ ง มี ก ลไกการคั ด เลื อ กโดยธรรมชาติ ก  อ ให ได้มากขึ้นในรุ่นต่อ ๆ มา จนในปัจจุบันมีเฉพาะยีราฟคอยาวเท่านั้น
เกิดวิวัฒนาการ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ (Alfred
2. ครูใหนักเรียนศึกษาขอสรุปของเมียรจากการ Russel Wallace) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ศึกษาความ
วิเคราะหทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หลากหลายของสิ่งมีชีวิตในหมู่เกาะมาเลย์ และเสนอผลงาน
ที่มีเนื้อหาตรงกับแนวคิดการเกิดวิวัฒนาการจากการคัดเลือก
โดยธรรมชาติของดาร์วิน
ในปี พ.ศ. 2401 อัลเฟรดและดาร์วนิ ได้รว่ มกันเสนอผลงาน
ดังกล่าวในที่ประชุมวิทยาศาสตร์ และในปี พ.ศ. 2402 ดาร์วิน
ได้ตีพิมพ์ผลงานของตัวเองในหนังสือเรื่อง ว่าด้วยก�าเนิดสปีชีส์
ภาพที่ 7.21 อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ โดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (On the Origin of Species by
(พ.ศ.2366-2456) Means of Natural Selection) โดยมีสาระส�าคัญ คือ สิ่งมีชีวิต
มีวิวัฒนาการเกิดขึ้น โดยมีกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการ ซึ่งขัดต่อ
ความเชื่อของชาวตะวันตกอย่างรุนแรงเพราะดาร์วินแสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง
มาจากบรรพบุรษุ จนท�าให้เกิดความคิดว่ามนุษย์เองก็ไม่ได้มหี น้าตาอย่างทีเ่ ห็นในปัจจุบนั มาตัง้ แต่
แรกเริม่ แต่เนือ่ งด้วยข้อมูลและหลักฐานประกอบมากมายท�าให้แนวคิดของดาร์วนิ ได้รบั ความสนใจ
และเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง
ภายหลังจากการเสนอแนวคิดของดาร์วนิ
ไม่ น าน ได้ มี ผู ้ ค ้ น พบซากดึ ก ด� า บรรพ์ ข อง
สัตว์เลีอ้ ยคลานทีม่ ขี นและปี
1 กเหมือนนก ทีม่ ชี อื่ ว่า
อาร์คีออปเทอริกซ์ (Archaeopteryx ) ซึ่งมี
ลักษณะอยู่กึ่งกลางระหว่างไดโนเสาร์และนก
ในปัจจุบัน ซึ่งข้อเท็จจริงนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่าง
ชัดเจนว่าสัตว์เลื้อยคลานน่าจะเป็นบรรพบุรุษ
ของนก และสิ่งมีชีวิตก�าเนิดมาจากบรรพุรุษ
ดึกด�าบรรพ์ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมามีหน้าตาเหมือน
ภาพที่ 7.22 ซากดึกด�าบรรพ์ของอาร์คีออปเทอริกซ์ ในปัจจุบันโดยทันที
114

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 อารคอี อปเทอริกซ เปนสิง่ มีชวี ติ ในยุคจูแรสซิก มีลกั ษณะคลายนกปจจุบนั ดารวินอธิบายลักษณะคอยาวของยีราฟไววาอยางไร
คือ มีขน แตมีลักษณะของสัตวเลื้อยคลานหลายประการ เชน การมีฟนบน (วิเคราะหคําตอบ ดารวิน อธิบายวา ยีราฟในอดีตมีทั้งสายพันธุ
และขากรรไกร กระดูกปกแยกเปนนิ้ว กระดูกหางที่ยาว ซึ่งนักวิทยาศาสตร คอสั้ น และสายพั น ธุ  ค อยาว ซึ่ ง สายพั น ธุ  ค อสั้ น จะกิ น ได แ ค
เชื่อวาอารคีออปเทอริกซไมไดเปนบรรพบุรุษของนกในปจจุบัน แตเปนนกชนิด ยอดออนบริเวณดานลางเทานัน้ เมือ่ ยอดออนบริเวณดานลางหมด
แรกที่พบเปนซากดึกดําบรรพ มีชีวิตอยูเมื่อประมาณ 150 ลานปมาแลว และ จึงไมมีอาหาร และยีราฟสายพันธุคอสั้นคอยๆ ลดจํานวนลง
เปนซากดึกดําบรรพทเี่ ปนตัวเชือ่ มทีแ่ สดงวา นกและสัตวเลือ้ ยคลานมีววิ ฒ
ั นาการ แตสาํ หรับยีราฟสายพันธุค อยาว สามารถกินไดทงั้ ยอดออนบริเวณ
มาจากบรรพบุรุษรวมกัน ดานลางและดานบน ทําใหสามารถดํารงชีวิตและใหกําเนิดลูก
ที่มีคอยาวตอไป จึงทําใหปจจุบันพบเฉพาะยีราฟสายพันธุคอยาว
เทานั้น)
สื่อ Digital
ศึกษาเพิ่มเติมไดจาก QR Code
เรื่อง อารคีออปเทอริกซ
อารคีออปเทอริกซ
T132 www.aksorn.com/interactive3D/RKA81
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
ในระหว่างปี พ.ศ. 2447- 2548 เอินส์ เมียร์ (Ernst Mayr) นักชีววิทยาวิวัฒนาการ 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ชาวเยอรมัน ได้วเิ คราะห์ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วนิ ทีป่ รากฏอยูใ่ นหนังสือ ว่าด้วย ï• จากข อ สรุ ป ของเมี ย ร นั ก เรี ย นสามารถ
ก�าเนิดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ โดยเมียร์ได้ตั้งข้อสังเกต อธิบายแนวคิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
จ�านวน 5 ข้อ ดังนี้ ของดารวินไดอยางไร
ข้อสังเกตที่ 1 สิ่งมีชีวิตมีความสามารถในการสืบพันธุ์และให้ก�าเนิดลูกหลานได้จ�านวนมาก (แนวตอบ
ข้อสังเกตที่ 2 จ�านวนสมาชิกของประชากรแต่ละสปีชีส์ในแต่ละรุ่นมักมีจ�านวนคงที่ ï• การคัดเลือกโดยธรรมชาติทําใหสิ่งมีชีวิต
ข้อสังเกตที่ 3 ปัจจัยที่จ�าเป็นต่อการด�ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตมีปริมาณจ�ากัด แตละตัวมีความสามารถในการอยูรอดและ
ข้อสังเกตที่ 4 สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวในประชากรมีลักษณะแปรผันที่แตกต่างกัน ถายทอดลักษณะดังกลาวไปยังลูกหลานได
ข้อสังเกตที่ 5 ความแปรผันที่เกิดขึ้นนี้สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปได้ แตกตางกัน
จากข้อสังเกตทั้ง 5 ข้อ ท�าให้เมียร์เกิดข้อสรุปจ�านวน 3 ข้อ ดังนี้ • การคั ด เลื อ กโดยธรรมชาติ เ กิ ด ขึ้ น จาก
ข้อสรุปที่ 1 สิ่งมีชีวิตมีการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด เพื่อให้ได้สิ่งที่จ�าเป็นต่อการด�ารงชีวิต ปฏิสัมพันธระหวางสิ่งแวดลอมที่สิ่งมีชีวิต
ซึ่งมีจ�านวนจ�ากัด จึงมีสมาชิกเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดในแต่ละรุ่น (จากข้อสังเกต อาศั ย อยู  กั บ ลั ก ษณะความแปรผั น ทาง
ที่ 1-3) พันธุกรรมของสมาชิกในแตละสปชีส
ข้อสรุปที่ 2 การอยู่รอดของสมาชิกในสิ่งแวดล้อมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสุ่ม แต่เป็นผลมาจาก • ผลการจากคัดเลือกโดยธรรมชาติทําให
ลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมจะมีโอกาส สิ่ ง มี ชี วิ ต มี ก ารปรั บ ตั ว เชิ ง วิ วั ฒ นาการให
อยูร่ อดและให้กา� เนิดลูกหลานได้มากกว่าสิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี กั ษณะไม่เหมาะสมกับสิง่ แวดล้อม (จากข้อ สามารถดํ า รงชี วิ ต อยู  ไ ด ใ นสิ่ ง แวดล อ ม
นั้นๆ ทําใหเกิดความแตกตางไปจากสปชีส
สังเกตที่ 4-5)
เดิมมากขึ้นจนในที่สุดเกิดสิ่งมีชีวิตสปชีส
ข้อสรุปที่ 3 การที่สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวมีศักยภาพในการอยู่รอดและให้ก�าเนิดลูกหลานไม่ ใหม)
เท่ากัน ท�าให้ประชากรมีการเปลีย่ นแปลงไปทีละเล็กละน้อย และมีลกั ษณะทีเ่ หมาะสมกับสิง่ แวดล้อม 4. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.)
สะสมเพิ่มขึ้นในแต่ละรุ่น
กับนักเรียน
จากข้อสรุปของเมียร์ท�าให้สามารถสรุปแนวคิดของดาร์วินได้ ดังนี้
อธิบายความรู้
ข้อสรุปแนวคิดของดาร์วน

1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ
การคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวมีความสามารถในการอยู่รอดและถ่ายทอดลักษณะ
ดังกล่าวไปยังลูกหลานได้แตกต่างกัน แตกตางระหวางแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
การคัดเลือกโดยธรรมชาติเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่กับลักษณะ ของลามารกและของดารวิน
ความแปรผันทางพันธุกรรมของสมาชิกในแต่ละสปีชีส์ 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับ
ผลการจากคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการให้สามารถด�ารงชีวิต วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
อยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ท�าให้เกิดความแตกต่างไปจากสปีชีส์เดิมมากขึ้นจนในที่สุดเกิดสิ่งมีชีวิต
สปีชีส์ใหม่
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2
วิวัฒนาการ 115

ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ขอใดกลาวถึงแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการตามทฤษฎีของดารวินไดถูกตอง
1. การอยูรอดของประชากรสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นอยางสุม
2. สิ่งมีชีวิตแตละรุนตองแกงแยงปจจัยในการดํารงชีวิตที่มีอยูในปริมาณจํากัด
3. กระบวนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจะเกิดอยางรวดเร็วภายในแตละรุน
4. สิ่งมีชีวิตแตละตัวในกลุมประชากรจะมีความสามารถในการสืบพันธุไดเทากัน
5. สิ่งมีชีวิตแตละตัวมีความสามารถในการอยูรอด และใหกําเนิดลูกหลานไดเทากัน
(วิเคราะหคาํ ตอบ แนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชวี ติ ตามทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ของดารวิน มีใจความสําคัญ คือ สิ่งมีชีวิตแตละรุนมีการสืบพันธุใหรุนลูกจํานวนมากที่มีลักษณะ
แปรผันแตกตางกัน ลูกทีม่ ลี กั ษณะแตกตางกันตองแกงแยงปจจัยในการดํารงชีวติ ลูกทีอ่ อ นแอหรือ
มีลักษณะไมเหมาะสมจะไมสามารถอยูรอดได จึงไมมีการสืบทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปยัง
รุนตอไป แตลูกที่มีชีวิตรอดไดจะถายทอดลักษณะที่เหมาะสมนั้นๆ ไปยังรุนตอไป สิ่งมีชีวิต
แตละรุน จึงมีความแตกตางจากสิง่ มีชวี ติ รุน เดิมทีละนอย ซึง่ กระบวนการนีจ้ ะเกิดขึน้ อยางตอเนือ่ ง
เมื่อระยะเวลาผานไป จึงเกิดเปนสิ่งมีชีวิตใหมที่แตกตางไปจากสิ่งมีชีวิตเดิม ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T133
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่ การคัดเลือกโดยธรรมชาติตามแนวคิดของดาร์วนิ เป็นการ H. O. T. S.
มีวิวัฒนาการจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติตาม คัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่เป็นสมาชิกในแต่ละสปีชีส์ที่มีความแปรผัน คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
แนวคิดของดารวิน โดยยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตมา 1 ทางพันธุกรรมท�าให้มีลักษณะแตกต่างกันไป หากลักษณะที่ แนวคิ ด เกี่ ย ว
ชนิด และทําผังสรุปสงครูผูสอน แปรผันนัน้ เหมาะสมกับสิง่ แวดล้อม สมาชิกตัวนัน้ จะถูกคัดเลือก กัเซลล์
บวิเวยือ่ ัฒบุขนาการ
า้ งแก้ม

ไว้ให้สามารถด�ารงชีวิตอยู่ เพิ่มจ�านวนสมาชิก และถ่ายทอด ของลามาร์ ก


กับแนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ ั นาการ
ขัน้ ประเมิน ลักษณะดังกล่าวไปสู่ลูกหลานได้ ของดาร์วิน เหมือนหรือแตก
ตรวจสอบผล แนวคิ ด ของดาร์ วิ น ได้ รั บ การยอมรั บ และกระตุ ้ น ให้ ต่างกันหรือไม่ อย่างไร
1. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรื่อง สิ่งมีชีวิตที่มี นักวิทยาศาสตร์สนใจศึกษาวิวัฒนาการเพิ่มมากขึ้น แต่ดาร์วินก็
วิวฒั นาการจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติตาม ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าความแปรผันทางพันธุกรรมของ
แนวคิดของดารวิน สิง่ มีชวี ติ เกิดขึน้ ได้อย่างไร และมีการถ่ายทอดลักษณะทีเ่ กิดขึน้ จากพ่อแม่ไปยังลูกหลานได้อย่างไร
2. ครู ต รวจสอบผลจากใบงาน เรื่ อ ง แนวคิ ด ในระหว่างปี พ.ศ. 2365-2427 เกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel) ได้ศึกษาลักษณะทาง
เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูกหลานได้ จนได้รับการยอมรับ
3. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ อย่างกว้างขวาง แต่แนวคิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วินและการถ่ายทอดลักษณะทาง
ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 พันธุกรรมของเมนเดลก็ยงั ไม่สามารถเชือ่ มโยงกันได้ จนกระทัง่ มีความรูเ้ รือ่ งพันธุศาสตร์ประชากร
(population genetics) ท�าให้สามารถเชื่อมโยงแนวคิดของดาร์วินและเมนเดล และสามารถ
อธิบายกลไกการเกิดวิวัฒนาการได้
ปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการมีการน�าความรู้ด้านชีววิทยาในสาขาวิชาต่าง ๆ โดย
เฉพาะอย่างยิง่ พันธุศาสตร์ประชากร ชีววิทยาระดับโมเลกุล (molecular biology) บรรพชีวนิ วิทยา
(paleontology) ชีวภูมศิ าสตร์ (biogeography) และอนุกรมวิธาน (taxonomy) เป็นต้น มาผสมผสาน
อธิบายร่วมกับทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ กลายเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการ ที่เรียกว่า ทฤษฎี
แนวค�าตอบ H.O.T.S. วิวัฒนาการสังเคราะห์ (synthetic theory of evolution) ซึ่งเน้นความส�าคัญของประชากรสิ่งมีชีวิต
โดยสิ่งมีชีวิตแต่ละตัวในประชากรเดียวกันจะมีความแปรผันแตกต่างกัน ลักษณะทางพันธุกรรม
แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามารกและ
ใดที่เหมาะสมต่อสิ่งแวดล้อมนั้นก็จะประสบความส�าเร็จในการอยู่รอด การสืบพันธุ์ และสามารถ
ดารวนิ เหมือนกัน คือ สภาพแวดลอมเปนแรงผลักดัน ถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวไปสูล่ กู หลานได้ ลักษณะทางพันธุกรรมใดทีไ่ ม่เหมาะสมต่อสิง่ แวดล้อมก็
ทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดวิวัฒนาการ โดยปรับตัวใหมี จะไม่สามารถอยูร่ อด และสืบพันธุเ์ พือ่ ถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวไปสูล่ กู หลานได้ ดังนัน้ สิง่ แวดล้อม
ลั ก ษณะที่ เ หมาะสมกั บ สภาพแวดล อ มเพื่ อ การ จึงเป็นเหมือนแรงผลักดันในการคัดเลือกประชากรที่เหมาะสม หรืออาจกล่าวได้ว่าการคัดเลือก
อยูร อด แตแนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการของลามารก โดยธรรมชาติเป็นกลไกหลักที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการขึ้น
นั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตเปนผล
จากการใชหรือไมใชอวัยวะหรือโครงสรางนั้นที่
สามารถถายทอดไปยังรุน ตอไปได สวนแนวคิดของ
ดารวิน ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ถายทอดไปยังรุน 116
ตอไปเปนลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพแวดลอมที่ แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET


ครูวดั และประเมินผลความเขาใจในเนือ้ หา เรือ่ ง แนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการ “ยีราฟสายพันธุค อยาวสามารถกินยอดไมทสี่ งู ไดมากกวายีราฟ
ของสิ่งมีชีวิต ไดจากผังสรุป เรื่อง สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการจากการคัดเลือกโดย สายพันธุคอสั้น ทําใหมีโอกาสรอดชีวิตไดมากกวา” จากขอความ
ธรรมชาติตามแนวคิดของดารวิน ที่นักเรียนทําในขั้นขยายความเขาใจ โดย ขางตนสนับสนุนแนวคิดของนักวิทยาศาสตรทานใด
ศึ ก ษาเกณฑ ก ารวั ด และประเมิ น ผลจากแบบประเมิ น ผลงานที่ อ ยู  ใ นแผน 1. เอินส เมียร 2. ชาลส ดารวิน
การจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 7 3. ฌอง ลามารก 4. ชาลส ไลเอลล
แบบประเมิ
แบบประเมินนชิชิ้น้นงาน/ภาระงาน
งาน/ภาระงาน(รวบยอด)
(รวบยอด)แผนฯ
แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
แผน ฯที่ ที2,่ 13 5. อัลเฟรด วอลเลซ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ

(วิเคราะหคําตอบ แนวคิดของชาลส ดารวิน โดยอธิบายวายีราฟ


ระดับคะแนน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
2
3
4
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
ความตรงต่อเวลา
รวม
ในอดีตมีทงั้ สายพันธุค อสัน้ และสายพันธุค อยาว ซึง่ สายพันธุค อสัน้
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
จะกินไดแคยอดไมบริเวณดานลางเทานัน้ เมือ่ ยอดไมบริเวณดานลาง
หมดจึงไมมีอาหาร และคอยๆ ลดจํานวนลง แตสําหรับยีราฟ
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วน จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์ ใหญ่
2. ความถูกต้อง
ของเนื้อหา
3. ความคิด
เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องครบถ้วน
ผลงานแสดงถึงความคิด
ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น
ผลงานแสดงถึงความคิด
ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สายพันธุคอยาวสามารถกินไดทั้งยอดไมดานลาง และดานบน
ทําใหสามารถดํารงชีวิต และใหกําเนิดลูกที่มีคอยาวตอไปได
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิด น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ แปลกใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
14-16
11-13
8-10
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี
พอใช้
จึงทําใหปจ จุบนั พบเฉพาะยีราฟสายพันธุค อยาว ดังนัน้ ตอบขอ 2.)

T134
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
แนวคิดของชาลล ดารวิน 3. พันธุศาสตร์ประชากร 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
สนับสนุนการเกิดวิวฒ ั นา- ความรูเดิมของนักเรียน
พั น ธุ ศ าสตร์ ป ระชากร เป็ น การศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ การ
การของสิ่งมีชีวิตอยางไร
เปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการด้านพันธุกรรมในระดับประชากร 2. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากแนวคิดเกีย่ วกับ
โดยเน้นศึกษาด้านการเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี (gene frequency) วิวัฒนาการของชาลส ดารวิน และแนวคิด
หรือความถีข่ องแอลลีล (allele frequency) ทีเ่ ป็นองค์ประกอบทางพันธุกรรมของประชากร รวมถึง เกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ปัจจัยทีท่ า� ให้ความถีข่ องแอลลีลเปลีย่ นแปลง ซึง่ การเปลีย่ นแปลงของความถีน่ เี้ ป็นพืน้ ฐานทีท่ า� ให้ ของเมนเดล จึ ง ถู ก นํ า มาใช อ ธิ บ าย เรื่ อ ง
เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต พันธุศาสตรประชากร
ประชากร (population) หมายถึง กลุม่ ของสิง่ มีชวี ติ ทีอ่ าศัยอยูร่ วมกันในบริเวณเดียวกันและ
ช่วงเวลาเดียวกัน โดยสมาชิกในประชากรของสิง่ มีชวี ติ นัน้ สามารถสืบพันธุก์ นั ได้ และให้กา� เนิดลูก ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ที่ไม่เป็นหมัน รวมทั้งสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา พันธุศาสตรประชากร
ในประชากรหนึ่ ง ๆ จะประกอบด้ ว ย
เปนการศึกษาการเปลี่ยนแปลงความถี่ของยีน
สมาชิกที่มียีนควบคุมลักษณะต่าง ๆ จ�านวน
มาก โดยยีนทั้งหมดที่อยู่ในประชากรในช่วง แอลลีล และจีโนไทปในยีนพูลของประชากร
เวลาหนึ่ง เรียกว่า ยีนพูล (gene pool) ซึ่ง รวมทั้ ง ป จ จั ย ที่ ทํ า ให เ กิ ด การเปลี่ ย นแปลง
ประกอบด้วยแอลลีลทุกแอลลีลจากทุก ๆ ยีน ความถี่ ข องแอลลี ล ซึ่ ง ทํ า ให สิ่ ง มี ชี วิ ต เกิ ด
ของสมาชิกทุกตัวในประชากรนัน้ ๆ เช่น ยีนพูล วิวัฒนาการ และถามคําถามนักเรียนวา
ในประชากรผีเสือ้ กลุม่ หนึง่ ประกอบด้วยแอลลีล ï• ประชากร คืออะไร
2 แอลลีล คือ แอลลีล A และ a จึงมีรูปแบบ (แนวตอบ ประชากร คือ กลุม ของสิง่ มีชวี ติ
จีโนไทป์ได้ 3 แบบ คือ AA Aa และ aa ทีอ่ าศัยอยูร วมกันในบริเวณเดียวกันและชวง
ภาพที่ 7.23 ยีนพูลในประชากรผีเสื้อ เวลาเดียวกัน ซึ่งสมาชิกในประชากรของ
3.1 การหาความถี่ของแอลลีลในประชากร สิง่ มีชวี ติ ตองสามารถสืบพันธุก นั ได)
ï• ยีนพูลหมายถึงอะไร
ความถี่ของแอลลีล หมายถึง ปริมาณของแอลลีลชนิดต่าง ๆ เมื่อคิดเป็นสัดส่วนหรือร้อยละ
ของจ�านวนแอลลีลทั้งหมดของยีนต�าแหน่งเดียวกันในประชากร (แนวตอบ ยีนพูล หมายถึง ยีนทั้งหมดที่มี
ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นดิพลอยด์ แต่ละเซลล์จะมีจ�านวนโครโมโซม 2 ชุด และแต่ละยีนจะมี 2 อยูในประชากรในชวงเวลาหนึ่ง ประกอบ
แอลลีล ซึ่งหากทราบปริมาณจีโนไทป์ชนิดต่าง ๆ ในประชากร ก็จะสามารถค�านวณหาความถี่ ดวยแอลลีลทุกแอลลีลของสมาชิกทุกตัวใน
ของจีโนไทป (genotype frequency) ได้ ซึง่ เป็นอัตราส่วนของจีโนไทป์ชนิดหนึง่ ต่อจ�านวนจีโนไทป์ ประชากร)
ทั้งหมดในประชากร
แนวตอบ Prior Knowledge
สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ถู ก คั ด เลื อ กให อ ยู  ใ นสิ่ ง แวดล อ ม
วิวัฒนาการ 117
จะอาศั ย การปรั บ เปลี่ ย นทางสรี ร ะ พฤติ ก รรม
และรูปแบบการดํารงชีวิต ซึ่งการปรับเปลี่ยนของ
สิ่งมีชีวิตเหลานี้มีผลทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดวิวัฒนาการ

ขอสอบเนน การคิด
ประชากรดอกไมชนิดหนึ่งจํานวน 1,200 ตน มีดอกสีนํ้าเงิน 300 ตน ดอกสีฟา 600 ตน และ
ดอกสีขาว 300 ตน ความถี่จีโนไทปของดอกไมทั้งหมดเปนเทาใด (กําหนดให แอลลีล B ควบคุม
ดอกสีนํ้าเงิน และแอลลีล B ʹ ควบคุมดอกสีขาว)
ขอ ดอกสีนํ้าเงิน (BB) ดอกสีฟา (BBʹ) ดอกสีขาว (BʹBʹ)
1. 0.30 0.60 0.10
2. 0.15 0.55 0.30
3. 0.25 0.50 0.25
4. 0.45 0.25 0.30
5. 0.20 0.60 0.20

(วิเคราะหคําตอบ ความถี่ของแอลลีล = จํานวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทปในประชากร


300 = 0.25 จํานวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
ดอกสีนํ้าเงิน (BB) = 1,200
ดอกสีฟา (BB ʹ) 600 = 0.50
= 1,200
ดอกสีขาว (B ʹB ʹ) 300 = 0.25
= 1,200 ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T135
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการหาความถี่ ข อง ตัวอย่างการหาความถี่ของแอลลีลในประชากร เช่น ในป่าแห่งหนึ่งมีประชากรลิงอาศัยอยู่
แอลลี ล ในกลุ  ม ประชากร และให นั ก เรี ย น 1,000 ตัว ประกอบด้วยลิงที่มีหมู่เลือด M จีโนไทป์ MM 640 ตัว หมู่เลือด MN จีโนไทป์ MN
ศึกษาการหาความถี่ของแอลลีลของหมูเลือด 320 ตัว และหมู่เลือด N จีโนไทป์ NN 40 ตัว ความถี่จีโนไทป์สามารถค�านวณได้ ดังนี้
ในประชากรลิง
3. ครูยกตัวอยางการหาความถี่ของแอลลีลใน หมู่เลือด M หมู่เลือด MN หมู่เลือด N
ประชากรที่นอกเหนือจากในหนังสือเรียน เชน จีโนไทป์ (จ�านวน) MM (640) MN (320) NN (40)
ï•ï ในประชากรแห ง หนึ่ ง มี แ อลลี ล ควบคุ ม 640 320 40
ดอกไมสีแดง (RR) แอลลีลควบคุมดอกไม
ความถี่จีโนไทป์ 1,000 = 0.64 MM 1,000 = 0.32 MN 1,000 = 0.04 NN
สี ช มพู (Rr) และแอลลี ล ควบคุ ม ดอกไม เมื่อทราบความถี่ของจีโนไทป์จะสามารถค�านวณหาความถี่ของแอลลีลได้ จากสูตร
สีขาว (rr) โดยมีดอกไมสแี ดง 600 ตน ดอกไม ความถี่ของแอลลีล = จ�านวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทป์ในประชากร
สีชมพู 360 ตน และดอกไมสีขาว 40 ตน จ�านวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
จงหาความถี่ของของแอลลีล R และ r ใน = (2 × จ�านวนจีโนไทป์ฮอมอไซกัส) + จ�านวนจีโนไทป์เฮเทอโรไซกัส
ประชากรดอกไมกลุมนี้ 2 × จ�านวนประชากรทั้งหมด
(แนวตอบ ความถีข่ องแอลลีล R เทากับ 0.69 ความถี่ของแอลลีล M = (2 (2× 640) + 320 = 0.8
× 1,000)
และความถีข่ องแอลลีล r เทากับ 0.31)
ความถี่ของแอลลีล N = (2(2× ×40)1,000)
+ 320 = 0.2
อธิบายความรู้
ดังนั้น ประชากรลิงในป่าแห่งนี้จะมีความถี่ของแอลลีล M = 0.8 และความถี่ของแอลลีล
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
N = 0.2 และเมื่อสิ่งมีชีวิตผสมพันธุ์กันจะเกิดการส่งผ่านแอลลีลทางเซลล์สืบพันธุ์ไปยังสิ่งมีชีวิต
การหาความถี่ของแอลลีลในประชากร รุ่นลูก ดังนั้น แอลลีลจึงยังคงอยู่ในยีนพูลตลอดเวลา แต่ยีนพูลสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การหาความถี่ เมื่อความถี่ของแอลลีลเปลี่ยนแปลงไป
ของแอลลีลในประชากร
3.2 กฎของฮาร์ดี - ไวน์เบิร์ก
ในปี พ.ศ. 2151 ก็อดฟรีย์ แฮโรลด์ ฮาร์ดี (Godfrey Harold Hardy) นักคณิตศาสตร์ชาว
อังกฤษ และวิลเฮล์ม ไวน์เบิร์ก (Wilhelm Weinberg) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ได้ศึกษายีนพูลของ
ประชากรและค้นพบกฎทีเ่ กีย่ วข้องกับความถีข่ องแอลลีลในประชากร และได้เสนอเป็นกฎทีเ่ รียกว่า
กฎของฮาร์ดี -ไวน์เบิร์ก (Hardy-Weinberg Law) มีใจความส�าคัญว่า ความถี่ของแอลลีลและ
ความถี่ของจีโนไทป์ในยีนพูลของประชากรจะมีค่าคงที่ในทุก ๆ รุ่น ถ้าไม่มีบางปัจจัยมาเกี่ยวข้อง
เช่น การกลาย การคัดเลือกโดยธรรมชาติ การเลือกคู่ผสมพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอย่าง
ไม่เจาะจง และการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน เป็นต้น

118

ขอสอบเนน การคิด
ประชากรแหงหนึ่ง พบวา มีจํานวนประชากรที่เปนทาลัสซีเมีย 50 คน พาหะของธาลัสซีเมีย
320 คน และคนปกติ 130 คน หากกําหนดให T แทนแอลลีลปกติ และ t แทนแอลลีลธาลัสซีเมีย
จงหาความถี่ของแอลลีล T และ t เปนเทาใด ตามลําดับ
1. 0.52 และ 0.48 2. 0.58 และ 0.42
3. 0.64 และ 0.36 4. 0.70 และ 0.30
5. 0.76 และ 0.24
(วิเคราะหคําตอบ ความถี่ของแอลลีล = จํานวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทปในประชากร
จํานวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
แอลลีล T = (130 ×1,000
2) + 320 = 0.58

แอลลีล t = (50 ×1,000


2) + 320 = 0.42

ความถี่ของแอลลีล T และ t เทากับ 0.58 และ 0.42 ตามลําดับ ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T136
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
จากตัวอย่างหมู่เลือดของประชากรลิง พบยีนพูลของเซลล์สืบพันธุ์ในรุ่นพ่อแม่ โดยแอลลีล 1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา ความถีข่ องแอลลีล
M มีความถี่เท่ากับ 0.8 และแอลลีล N มีความถี่เท่ากับ 0.2 ถ้าประชากรลิงมีโอกาสผสมพันธุ์ได้ ในประชากรจะมีคาคงที่ในทุกๆ รุน ก็ตอเมื่อ
เท่า ๆ กัน จะสามารถใช้กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กในการท�านายหมู่เลือดของประชากรในรุ่นลูกได้ ประชากรอยูใ นภาวะสมดุลของฮารดี-ไวนเบิรก
ดังนี้ 2. ครูใหนักเรียนศึกษากฎของฮารดี- ไวนเบิรก
การรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์จากประชากรในรุ่นพ่อแม่ ที่มีใจความสําคัญวา ความถี่ของแอลลีลและ
ความถี่ของจีโนไทปในยีนพูลของประชากรจะ
เซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
มีคา คงทีใ่ นทุกๆ รุน ถาไมมปี จ จัยบางประการ
M = 0.8 N = 0.2
มาเกี่ยวของ และใหนักเรียนศึกษาความถี่ของ
M = 0.8 MM = 0.64 MN = 0.16 แอลลีลของหมูเลือดในประชากรลิงของรุนลูก
เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้
N = 0.2 MN = 0.16 NN = 0.04 จากแอลลีลในรุนพอแม
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา จากการศึกษา
ดังนั้น ความถี่ของจีโนไทป์ในรุ่นลูกของประชากรลิงในป่าแห่งนี้เป็น ดังนี้ แอลลีลของหมูเลือดในประชากรลิง จะเห็นวา
MM = 0.64 MN = 0.32 NN = 0.04 ความถี่ ข องแอลลี ล ในรุ  น ลู ก จะเท า กั บ
จะเห็นว่า ความถี่ของจีโนไทป์ในรุ่นลูกยังคงมีความถี่ของจีโนไทป์และความถี่ของแอลลีล ความถี่ ข องแอลลี ล ในรุ  น พ อ แม แสดงว า
เหมือนประชากรในรุ่นพ่อแม่ คือ ความถี่ของแอลลีล M = 0.8 และความถี่ของแอลลีล N = 0.2 ยีนพูลของประชากรลิงกลุม นีอ้ ยูใ นภาวะสมดุล
การคงที่ของความถี่นี้อาจกล่าวได้ว่ายีนพูลของประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี - ไวน์เบิร์ก ของฮารดี-ไวนเบิรก ซึ่งจะมีคาเทากับ 1 เสมอ
(Hardy-Weinberg Equilibrium; HWE)
จากตัวอย่างหมู่เลือดของประชากรลิงนั้น แอลลีลในเซลล์สืบพันธุ์จะมารวมกันเป็นจีโนไทป์
ในประชากรรุน่ ถัดไป ถ้าในตัวอย่างทัง้ เซลล์สบื พันธุเ์ พศผูแ้ ละเพศเมียมีความถีข่ องแอลลีล M เท่ากับ
p และมีความถี่ของแอลลีล N เท่ากับ q
ดังนั้น ความถี่ของแอลลีล M = p = 0.8 และความถี่ของแอลลีล N = q = 0.2 จะเห็นว่า
p + q = 1 ซึ่งผลรวมความถี่ของแอลลีลของยีนหนึ่ง ๆ ในประชากรจะมีค่าเท่ากับ 1 เป็นสมการ
ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กที่สามารถน�ามาใช้หาความถี่ของแอลลีลได้นั่นเอง เมื่อเซลล์สืบพันธุ์รวมกัน
จากการผสมพันธุ์แบบสุ่มจะได้จีโนไทป์รุ่นต่อไป คือ MM MN และ NN
โดยที่ความถี่ของจีโนไทป์จะเป็นไปตามกฎการคูณ คือ
ความถี่ของจีโนไทป์ MM คือ p × p = p2 = (0.8)2 = 0.64
ความถี่ของจีโนไทป์ MN คือ 2pq = 2(0.8)(0.2) = 0.32
ความถี่ของจีโนไทป์ NN คือ q × q = q2 = (0.2)2 = 0.04
เมื่อรวมความถี่ของทุกจีโนไทป์จะมีค่าเท่ากับ 1 นั่นคือ p2 + 2pq + q2 = 1 ซึ่งจากสมการ
ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กนี้สามารถน�ามาใช้หาความถี่ของจีโนไทป์ของยีนพูลในประชากรได้
วิวัฒนาการ 119

ขอสอบเนน การคิด
ประชากรหนูกลุมหนึ่ง 1,500 ตัว มีหนูขนสีเหลือง (bb) 25% ของประชากรหนูทั้งหมด สวนที่เหลือเปนประชากรหนูสีดําซึ่งเปนลักษณะเดน
หากประชากรหนูกลุมนี้อยูในภาวะสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก จงคํานวณหาหนูขนสีดําพันธุทางมีจํานวนเทาใด
1. 350 2. 450 3. 550 4. 650 5. 750
(วิเคราะหคําตอบ กําหนดให B แทนแอลลีลเดน แสดงลักษณะสีดํา หากประชากรหนูอยูในภาวะสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก p2 + 2pq + q2 = 1
b แทนแอลลีลดอย แสดงลักษณะสีเหลือง ประชากรหนูขนสีดําพันธุทาง (Bb) = 2pq
จากหนูขนสีเหลือง (bb) มีจํานวนรอยละ 25 = 2 × 0.5 × 0.5
25
= 100 = 0.5
= 0.25 จากประชากรหนู 1,500 ตั ว มี ป ระชากรหนู ขนสีดําพันธุทาง
ความถี่ของแอลลีล b = 0.5 = 0.5 × 1,500
จากความถี่ของแอลลีล b สามาถหาความถี่ของแอลลีล B ไดจาก p + q = 1 = 750 ตัว
เมื่อกําหนดให B = p และ b = q ดังนั้น ตอบขอ 5.)
ความถี่ของแอลลีล B p+q = 1
p = 1 - 0.5
= 0.5

T137
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ประชากรที่อยูใน เมื่อประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก ความถี่ของแอลลีลและความถี่ของ
ภาวะภาวะสมดุลของฮารดี-ไวนเบิรกได จะ จีโนไทป์ในยีนพูลของประชากรจะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะถ่ายทอดพันธุกรรมผ่านไป
ตองอยูภายใตเงื่อนไขตางๆ เชน ประชากร กี่รุ่นก็ตาม หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีวิวัฒนาการเกิดขึ้น แต่ประชากรใด ๆ จะอยู่ในภาวะสมดุลของ
มีขนาดใหญ ไมมีการกลาย ไมมีการคัดเลือก ฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กได้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ได้แก่
โดยธรรมชาติ ไม มี ก ารเลื อ กคู  ผ สมพั น ธุ  - กลุ่มประชากรต้องมีขนาดใหญ่
และไมมีการถายเทเคลื่อนยายยีน และถาม - ไม่มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างกลุ่มประชากร (ไม่มีการอพยพเข้าหรือออก)
คําถามนักเรียนวา - ไม่เกิดการกลาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของแอลลีลในกลุ่มประชากร
ï •ï ในธรรมชาติ ประชากรจะเกิดภาวะสมดุล - การผสมพันธุข์ องสมาชิกในประชากรต้องเป็นแบบสุม่ โดยสมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุ์
ฮารดี-ไวนเบิรกไดหรือไม เพราะเหตุใด ได้เท่ากัน
(แนวตอบ ในธรรมชาติจะเกิดภาวะสมดุล - ไม่เกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตทุกตัวมีโอกาสอยู่รอดและประสบความส�าเร็จ
ของฮารด-ี ไวนเบิรก ไดยาก เพราะประชากร ในการสืบพันธุ์ได้เท่ากัน
ในธรรมชาติ อ าจไม ไ ด อ ยู  ใ นเงื่ อ นไขของ จากกฏของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก สามารถน�ามาประยุกต์ใช้ในการคาดคะเนความถี่ของแอลลีล
ภาวะสมดุลของฮารดี-ไวนเบิรก เนื่องจาก ทีเ่ กีย่ วข้องกับโรคทางพันธุกรรมได้ ตัวอย่างเช่น การสุม่ ประชากรในจังหวัดหนึง่ จ�านวน 10,000 คน
ประชากรอาจมี ข นาดเล็ ก มี ก ารถ า ยเท พบว่า มีประชากรผิวเผือกจ�านวน 4 คน หากประชากรอยู่ในสภาวะสมดุลตามทฤษฎีของฮาร์ดี-
ไวน์เบิรก์ จะสามารถหาความถีข่ องแอลลีลทีท่ า� ให้เกิดโรคผิวเผือก และความถีข่ องแอลลีลของคน
เคลื่อนยายยีนระหวางกลุมประชากร อาจ
ที่เป็นพาหะของโรคได้
เกิดการกลาย สมาชิกมีการเลือกคูผ สมพันธุ
หากก�าหนดให้ จีโนไทป์ RR แสดงลักษณะของคนปกติ
และเกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ) จีโนไทป์ rr แสดงลักษณะของโรคผิวเผือก
อธิบายความรู้ ดังนั้น ความถี่ของ rr คือ q2 = 10,000 4
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับภาวะ = 0.0004
สมดุลของฮารดี-ไวนเบิรก q = 0.02
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การประยุกตใช ความถี่ของ RR คือ p = 1 - q
ประโยชนจากกฎของฮารดี-ไวนเบิรก = 1 - 0.02
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด = 0.98
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ความถี่ของ Rr (พาหะ) = 2pq
= 2 × 0.98 × 0.02
= 0.04
จากการค�านวณ แสดงว่าในประชากรแห่งนี้มีความถี่ของแอลลีลที่ท�าให้เกิดโรคผิวเผือก
เท่ากับ 0.02 หรือร้อยละ 2 และความถีข่ องแอลลีลทีแ่ สดงถึงการเป็นพาหะของโรคผิวเผือกเท่ากับ
0.04 หรือร้อยละ 4
120

ขอสอบเนน การคิด
กําหนดใหความถี่ของแอลลีล A เทากับ 0.6 หากประชากรอยูในสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก
ความถี่จีโนไทปของ Aa เปนเทาใด
1. 0.32 2. 0.48 3. 0.54 4. 0.62 5. 0.70
(วิเคราะหคําตอบ เมือ่ ประชากรอยูใ นสมดุลฮารด-ี ไวนเบิรก สามารถหาความถีจ่ โี นไทปได ดังนี้
ความถี่ของแอลลีล A (p) = 0.6
จาก p+q = 1
q = 1 - 0.6
q = 0.4
ความถี่ของแอลลีล a = q = 0.4
ความถี่จีโนไทปของ Aa = 2pq
= 2 × 0.6 × 0.4
= 0.48
ดังนั้น ความถี่ของแอลลีล Aa เทากับ 0.48 ดังนั้น ตอบขอ 2.)

T138
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การลงความเห็นจากข้อมูล 1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า กฎของฮาร ดี -
การใชกฎของฮาร์ดี - ไวน์เบิร์ก • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
ไวนเบิรกสามารถนํามาประยุกตใชคาดคะเน
จิตวิทยาศาสตร์ ความถี่ ข องแอลลี ล ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ โรคทาง
ความมีเหตุผล
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ •
• ความรอบคอบ
พันธุกรรมได
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการหาความถี่ของแอลลีล
1. ในกลุ่มประชากร 300 คน พบคนเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีจีโนไทป์ aa จ�านวนร้อยละ 9 ถ้าประชากร
กลุ่มนี้อยู่ในภาวะสมดลุของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก จงค�านวณหาว่าในประชากรกลุ่มนี้มีจีโนไทป์ปกติ (AA) ที่ทําใหเกิดโรคผิวเผือก และแอลลีลของคนที่
คนที่เป็นพาหะ (Aa) และคนที่เป็นโรคทางพันธุกรรม (aa) เป็นเท่าไร เปนพาหะ จากการใชกฎของฮารดี-ไวนเบิรก
2. จากประชากรผีเสื้อเริ่มต้นในโรงเรือนแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยผีเสื้อที่มีจีโนไทป์ MM 200 ตัว Mm 400 3. ครูใหนกั เรียนทํากิจกรรม การใชกฎของฮารดี-
ตัวและ mm 400 ตัว หากในประชากรผีเสื้อกลุ่มนี้เกิดการผสมพันธุ์กันแบบสุ่ม จงหาความถี่ของจีโนไทป์ ไวน เ บิ ร  ก โดยบั น ทึ ก ลงในสมุ ด บั น ทึ ก ของ
และความถี่ของแอลลีลในรุ่นลูก
นักเรียน
อภิปรายผลกิจกรรม
อธิบายความรู้
จากกิจกรรมนี้ จะสามารถค�านวณหาความถี่ของแอลลีลในประชากรโดยอาศัยกฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก
ซึ่งผลรวมความถี่ของแอลลีลของยีนหนึ่ง ๆ ในประชากรจะมีค่าเท่ากับ 1 เสมอ (p + q = 1) อีกทั้งยังสามารถ 1. ครู สุ  ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยกิ จ กรรม
น�าไปประยุกต์ใช้ในการคาดคะเนความถี่ของแอลลีลเกี่ยวกับโรคทางพันธุกรรมในยีนพูลของประชากร เช่น การใชกฎของฮารดี-ไวนเบิรก
โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ โรคผิวเผือก เป็นต้น
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยกิจกรรม การใช
กฎของฮารดี-ไวนเบิรก
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
3.3 ปจจัยที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล การประยุกตใชประโยชนจากกฎของฮารดี-
การเปลี่ ย นแปลงความถี่ ข องแอลลี ล ไวนเบิรก
ส่งผลให้โครงสร้างทางพันธุกรรมของประชากร
เปลี่ ย นแปลงตามไปด้ ว ย ซึ่ ง อาจเกิ ด การ
วิวัฒนาการระดับมหภาค

เปลีย่ นแปลงเพียงเล็กน้อยจนไม่สามารถสังเกต
เห็น การเปลีย่ นแปลงทางพันธุกรรมของยีนพูล
ในประชากรเพียงเล็กน้อยนี้ เรียกว่า วิวฒ ั นาการ
ระดับจุลภาค (microevolution) ซึ่งถือได้ว่า
เป็ น การเกิ ด วิ วั ฒ นาการในระดั บ สปี ชี ส ์ ข อง
สิ่งมีชีวิต นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
ทางพันธุกรรมอาจก่อให้เกิดวิวฒ ั นาการในระดับ
ที่เหนือกว่าสปีชีส์ และท�าให้เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ วิวัฒนาการระดับจุลภาค
ใหม่ ไ ด้ เรี ย กว่ า วิ วั ฒ นาการระดั บ มหภาค ภาพที่ 7.24 วิวัฒนาการระดับจุลภาคและวิวัฒนาการ
(macroevolution) ระดับมหภาคของสิ่งมีชีวิต
วิวัฒนาการ 121

ขอสอบเนน การคิด
ประชากรกลุมหนึ่งอยูในสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก มีความถี่ของแอลลีลผิวเผือก 0.03 ซึ่งเปนแอลลีลดอย หากประชากรกลุมนี้มีทั้งหมด 1,000 คน
จงคํานวณหาจํานวนประชากรที่มีผิวปกติ
1. 347 คน 2. 478 คน 3. 579 คน 4. 721 คน 5. 941 คน
(วิเคราะหคําตอบ กําหนดให A แทนแอลลีลปกติ ประชากรทั้งหมด 1,000 คน มีคนปกติ = 0.9409 × 1,000
a แทนแอลลีลผิวเผือก = 940.9 หรือ 941 คน
จาก p+q = 1 ประชากรทั้งหมด 1,000 คน มีคนปกติ 941 คน
ความถี่ของแอลลีล a (p) = 0.03 ดังนั้น ตอบขอ 5.)
ความถี่ของแอลลีล A (q) = 1 - 0.03
= 0.97
2 2
จาก p + 2pq + q = 1
ความถี่ของแอลลีลผิวปกติ AA (p2) = 0.972
= 0.9409

T139
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ในธรรมชาติ ปัจจัยที่ท�าให้ความถี่ของแอลลีลในประชากรเปลี่ยนแปลงและเกิดวิวัฒนาการมี ดังนี้
ไม ส ามารถควบคุ ม เงื่ อ นไขต า งๆ ที่ ทํ า ให 1. การเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี อย่างไม่เจาะจง เป็นการเปลีย่ นแปลงความถีท่ เี่ กิดขึน้ ใน
ประชากรสิ่ ง มี ชี วิ ต อยู  ใ นสมดุ ล ของฮาร ดี - กลุ่มประชากรที่มีขนาดเล็ก อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ไวนเบิรกได เนื่องจากมีปจจัยบางประการเขา และไม่สามารถคาดการณ์ได้ เช่น การเกิดภัยพิบตั ิ การเปลีย่ นแปลงสภาพแวดล้อมอย่างกะทันหัน
มาเกี่ยวของ ท�าให้บางแอลลีลไม่มีโอกาสถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกได้ เป็นต้น
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาการเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี การศึกษาการเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี ของประชากรดอกไม้ชนิดหนึง่ ซึง่ มีทงั้ ดอกสีแดง และ
อยางไมเจาะจง ซึง่ แบงออกเปน 2 สถานการณ ดอกสีม่วง จ�านวน 10 ต้น ต่อมาเมื่อสุ่มประชากรดอกไม้จ�านวน 5 ต้น ย้ายมาปลูกในแปลงใหม่
และได้แพร่พันธุ์จนเป็นประชากรดอกไม้รุ่นที่ 2 และได้สุ่มประชากรดอกไม้รุ่นที่ 2 จ�านวน 2 ต้น
ไดแก ผลกระทบจากผูกอตั้ง ซึ่งเกิดจากการ
มาปลูกในแปลงใหม่ จนกระทั้งแพร่พันธุ์เป็นประชากรดอกไม้ในรุ่นที่ 3 ดังนี้
แยกตั ว ของกลุ  ม ประชากรขนาดเล็ ก และ
ประสบผลสํ า เร็ จ ในแหล ง ที่ อ ยู  อ าศั ย ใหม
และปรากฏการณ ค อขวด ซึ่ ง เกิ ด กั บ กลุ  ม
ประชากรขนาดใหญ ที่ มี ค วามหลากหลาย RR RR Rr RR rr RR RR RR RR
ทางพันธุกรรมมาก แตเกิดการลดจํานวนของ RR rr Rr Rr RR RR
ประชากรอยางรวดเร็วจากเหตุการณตางๆ
เชน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทําใหความหลาก RR Rr Rr rr Rr Rr RR RR RR
หลายทางพันธุกรรมลดลง มีเพียง 5 ต้น
แยกออกมาและให้ก�าเนิด
มีเพียง 2 ต้น
แยกออกมา และให้ก�าเนิด
Rr RR เปนประชากรรุ่นที่ 2 Rr rr เปนประชากรรุ่นที่ 3 RR RR
ภาพที่ 7.25 การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนของประชากรดอกไม้

การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอย่างไม่เจาะจงที่พบในธรรมชาติมี 2 สถานการณ์ ดังนี้


1) ผลกระทบจากผู้ก่อตั้ง (founder effect) เป็นการเปลี 1 ่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่
เกิดขึ้นกับกลุ่มประชากรที่มีขนาดเล็ก ซึ่งเป็นผลจากการอพยพ การแยกตัว หรือถูกท�าให้แยกตัว
ออกจากกลุม่ ประชากรทีม่ ขี นาดใหญ่ไปอยูใ่ นแหล่งทีอ่ ยูใ่ หม่ทอี่ ดุ มสมบูรณ์ และประสบความส�าเร็จ
ในการเพิม่ จ�านวนประชากร ท�าให้โครงสร้างทางพันธุกรรมของประชากรใหม่ทเี่ กิดขึน้ แตกต่างจาก
กลุ่มประชากรเดิม เช่น ผลกระทบจากผู้ก่อตั้งของดอกไม้ เป็นต้น

ภาพที่ 7.26 ปรากฏการณ์ผลกระทบจากผู้ก่อตั้งของดอกไม้


122

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 การอพยพ เปนการเคลื่อนยายของประชากรสิ่งมีชีวิตจากแหลงหนึ่งไป ข อ ใดต อ ไปนี้ ไ ม ใ ช ส าเหตุ ข องการเปลี่ ย นแปลงความถี่ ยี น
ยังอีกแหลงหนึ่ง ทําใหจํานวนสมาชิกของประชากรสิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง อยางไมเจาะจง
การอพยพของสิ่งมีชีวิตมีหลายลักษณะ ดังนี้ 1. แผนดินไหว 2. ภูเขาไฟระเบิด
- การอพยพเขา (immigration) เปนการเคลื่อนยายของสิ่งมีชีวิตจาก 3. การถายเรณู 4. การขาดแคลอาหาร
ประชากรแหลงอื่นมารวมกลุมกับประชากรที่มีอยูเดิม ทําใหจํานวนประชากร 5. การอพยพของประชากร
ในแหลงนั้นเพิ่มจํานวนขึ้น (วิเคราะหคาํ ตอบ การเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี อยางไมเจาะจง แบง
- การอพยพออก (emigration) เปนการเคลือ่ นยายของสิง่ มีชวี ติ ออกจาก ออกเปน 2 สถานการณ ไดแก ผลกระทบจากผูกอตั้ง (founder
ประชากรแหลงเดิมไปสูแ หลงใหม ทําใหจาํ นวนประชากรในแหลงเดิมลดจํานวนลง effect) ซึ่งเปนผลมาจากการอพยพของประชากร การแยกตัว
- การอพยพชวงสั้น (trivial and non-migratory) เปนการอพยพของ ของกลุม ประชากร และปรากฏการณคอขวด (bottleneck effect)
สิ่งมีชีวิตในระยะทางสั้นๆ เพื่อหาอาหาร ผสมพันธุ หรือวางไข ซึ่งเปนผลมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดังนั้น ตอบขอ 3.)
- การอพยพชวงยาว (migratory) เปนการอพยพของประชากรในระยะทาง
ยาวนับรอยนับพันกิโลเมตร ซึ่งไมไดมีวัตถุประสงคเพื่อหาอาหาร หรือสืบพันธุ
แตเกิดจากความพรอมใจที่จะอพยพของสมาชิกในฝูง

T140
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
2) ปรากฏการณ์คอขวด 1(bottleneck effect) เป็นปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึน้ ในกลุม่ ประชากร 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ที่มีขนาดใหญ่และมีความหลากหลายทางพันธุกรรมมาก แต่มีเหตุการณ์บางอย่างที่ท�าให้จ�านวน ï• การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอยางไมเจาะจง
ประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น�้าท่วม การขาดแคลนอาหาร ทั้ง 2 สถานการณ มีลักษณะแตกตางกัน
โรคระบาด เป็นต้น ท�าให้กลุ่มประชากรมีขนาดเล็กลง จากนั้นเมื่อประชากรที่รอดชีวิตประสบ อยางไร
ความส�าเร็จในการสืบพันธุ์ก็จะสามารถเพิ่มขนาดประชากรขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เหตุการณ์ดังกล่าว (แนวตอบ ผลกระทบจากผูกอตั้ง เกิดจาก
เปรียบเสมือนปรากฏการณ์ผ่านคอขวด ซึ่งในกลุ่มประชากรใหม่ความถี่ของแอลลีลในยีนพลูจะ ประชากรมีการเคลือ่ นยายยีน และจะเกิดกับ
เปลี่ยนแปลงไปจากกลุ่มประชากรเดิม โดยบางแอลลีลจะเพิ่มมากขึ้น บางแอลลีลจะลดลง หรือ กลุม ประชากรขนาดเล็ก สวนปรากฏการณ
บางแอลลีลอาจหายไป และมีผลท�าให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดน้อยลงไป คอขวด เกิดจากภาวะวิกฤติของประชากร
ที่มีความเสี่ยงตอการสูญพันธุ และจะเกิด
กั บ กลุ  ม ประชากรขนาดใหญ ที่ มี ค วาม
หลากหลายทางพันธุกรรม)
ï• การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอยางไมเจาะจง
มีผลตอการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีล
อยางไร
(แนวตอบ การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอยาง
ไมเจาะจง มีผลทําใหยีนพูลในประชากร
ประชากรเริ่มต้น เหตุการณ์คอขวด ประชากรที่รอดชีวิต เปลี่ ย นแปลง โดยบางแอลลี ล จะเพิ่ ม ขึ้ น
ภาพที่ 7.27 แบบจ�าลองปรากฏการณ์คอขวด บางแอลลีลจะลดลง และบางแอลลีลอาจ
หายไปจากกลุมประชากร ซึ่งมีผลทําให
ตัวอย่างเช่น การผ่านปรากฏการณ์คอขวดของแมวน�า้
ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลง)
ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป เนื่องจากเมื่อประมาณ
ค.ศ. 1890 มีการล่าแมวน�้าอย่างมากท�าให้ประชากรแมวน�้าลด 4. ครูใหนักเรียนศึกษาการถายเทเคลื่อนยายยีน
จ�านวนลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งพบแมวน�้าเหลือรอดเพียงประมาณ ซึ่งเปนการเคลื่อนยายแอลลีลจากประชากร
20 ตัวเท่านั้น ต่อมาเมื่อแมวน�้าได้รับการอนุรักษ์และสามารถ หนึ่งไปยังอีกประชากรหนึ่งของสปชีสเดียวกัน
เพิม่ จ�านวนขึน้ มาได้ใหม่ จนปัจจุบนั มีประชากรแมวน�า้ ทางตอน และถามคําถามนักเรียนวา
เหนือของยุโรปประมาณ 30,000 ตัว และจากการศึกษายีน ï• การถ า ยเทเคลื่ อ นย า ยยี น มี ผ ลต อ การ
จ�านวน 24 ยีนของแมวน�้า พบว่าไม่มีความแตกต่างทาง เปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล อยางไร
พันธุกรรมเลย เมื่อเปรียบเทียบกับแมวน�้าทางตอนใต้ที่พบว่า (แนวตอบ ทําใหแอลลีลของกลุมประชากร
ภาพที่ 7.28 แมวน�้าทางตอนเหนือ
ยังมีความแตกต่างทางพันธุกรรมมาก เนื่องจากไม่ได้ผ่าน ของยุโรปจะไม่มีความแตกต่างทาง 2 กลุม มีบางแอลลีลเพิม่ ขึน้ และบางแอลลีล
ปรากฏการณ์คอขวด พันธุกรรม ลดลง ซึง่ ทําใหประชากร 2 กลุม มีความถี่
วิวัฒนาการ 123
ของแอลลี ล ใกล เ คี ย งกั น จนเหมื อ นเป น
ประชากรกลุม เดียวกัน)

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ผลกระทบจากผูกอตั้งแตกตางจากปรากฏการณคอขวดอยางไร 1 ปรากฎการณคอขวด เชน ประชากรบนเกาะแหงหนึง่ ในประเทศไมโครนีเซีย
(วิเคราะหคาํ ตอบ ผลกระทบจากผูก อ ตัง้ จะเกิดกับกลุม ประชากร โดยในป ค.ศ. 1775 มีพายุไตฝุนเกิดขึ้น เปนผลทําใหประชากรเกือบทั้งหมด
ขนาดเล็กที่มีการแยกตัวออกจากกลุมประชากรขนาดใหญ และ บนเกาะเสียชีวติ และเหลือผูร อดชีวติ เพียงไมกคี่ น จากการสํารวจประชากร พบวา
ประสบความสําเร็จในการเพิม่ จํานวนประชากร ทําใหประชากรใหม ประชากรที่เหลืออยูมีแอลลีลกอโรคตาบอดสี และในเวลาตอมา เมื่อทําการ
มี โ ครงสร า งทางพั น ธุ ก รรมแตกต า งจากกลุ  ม ประชากรเดิ ม สํารวจประชากรหลังจากมีการเพิ่มจํานวนประชากรกลับขึ้นมาอีกครั้ง พบวา
แตปรากฎการณคอขวดจะเกิดกับกลุมประชากรขนาดใหญที่มี มีประชากรรอยละ 30 ที่เปนพาหะของโรคตาบอดสี และรอยละ 10 เปนผูปวย
ความหลากหลายทางพันธุกรรมมาก แตมีการลดจํานวนลงอยาง โรคตาบอดสี จากเหตุ ก ารณ นี้ แ สดงให เ ห็ น ถึ ง การเพิ่ ม จํ า นวนแอลลี ล ของ
รวดเร็ว ทําใหกลุม ประชากรมีขนาดเล็กลง และมีความหลากหลาย โรคตาบอดสีในกลุมประชากรที่ผานปรากฎการณคอขวดมา
ทางพันธุกรรมลดลง)

T141
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
5. ครูใหนักเรียนศึกษาการเลือกคูผสมพันธุ ซึ่ง 2. การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน (gene flow) การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากร
ทํ า ให ส มาชิ ก บางส ว นไม มี โ อกาสผสมพั น ธุ  เกิดขึ้นจากการอพยพเข้าหรืออพยพออกของสมาชิกในประชากร ท�าให้สัดส่วนของแอลลีลหรือ
และถามคําถามนักเรียนวา ความถีข่ องยีนในยีนพูลของประชากรเปลีย่ นแปลง นอกจากนีก้ ารถ่ายเทเคลือ่ นย้ายยีนยังเกิดขึน้ ใน
ï• การเลื อ กคู  ผ สมพั น ธุ  มี ผ ลต อ การเปลี่ ย น ลักษณะอืน่ ๆ เช่น การแพร่กระจายของละอองเรณูระหว่างประชากรพืชจากพืน้ ทีห่ นึง่ ไปยังพืน้ ทีอ่ นื่
แปลงความถี่ของแอลลีลอยางไร การอพยพย้ายถิ่นฐานระหว่างประชากร เป็นต้น ท�าให้ความถี่ของแอลลีลในประชากรทั้งสองมี
( แนวตอบ ทํ า ให ป ระชากรบางส ว นของ แนวโน้มแตกต่างกันน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดเปรียบเสมือนเป็นประชากรเดียวกัน
กลุม ประชากรไมมโี อกาสผสมพันธุ จึงทําให ตัวอย่างเช่น การศึกษาความถีข่ องแอลลีลในประชากรดอกไม้ชนิดหนึง่ ทีบ่ ริเวณริมฝัง่ แม่นา�้
บางแอลลีลลดลง และอาจหายไปจากกลุม โดยก�าหนดให้แอลลีล P แทนดอกไม้สีม่วง พบว่า ฝั่งด้าน A มีประชากรดอกไม้สีม่วงมากกว่า
ประชากร) สีแดง โดยมีความถี่ของแอลลีล P เท่ากับ 0.9 และฝั่งด้าน B มีประชากรดอกไม้สีแดงมากกว่า
6. ครูใหนักเรียนศึกษาการกลาย ซึ่งมีผลทําให สีมว่ 1ง โดยมีความถีข่ องแอลลีล P เท่ากับ 0.1 ต่อมามีลมพัดแรงเกิดขึน้ ในบริเวณนี้ ท�าให้มกี ารถ่าย
เกิดลักษณะใหมในกลุม ประชากร และหากเปน เรณูระหว่างประชากรดอกไม้ทั้ง 2 ฝั่ง และเมื่อเวลาผ่านไป พบว่า บริเวณฝั่งด้าน A มีประชากร
ลักษณะทีด่ แี ละเหมาะสมตอสภาพแวดลอมจะ ดอกไม้สแี ดงเพิม่ ขึน้ และดอกไม้สมี ว่ งลดลง โดยมีความถีข่ องแอลลีล P ลดลงเหลือ 0.6 และฝัง่ ด้าน
B มีประชากรดอกไม้สีม่วงเพิ่มมากขึ้น และมีประชากรดอกไม้สีแดงลดลง โดยมีความถี่ของ
เปนการเพิม่ แอลลีลใหมในประชากร และถาม
แอลลีล P เพิ่มขึ้นเป็น 0.4 ดังภาพ
คําถามนักเรียนวา
ï• การกลายมีผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่
ของแอลลีลอยางไร
(แนวตอบ การกลายที่ทําใหเกิดลักษณะที่ดี
แอลลี ล ใหม จ ะถู ก สะสมไว ใ นยี น พู ล ของ P = 0.9 P = 0.1 P = 0.6 P = 0.4
ประชากร ทําใหมีความหลากหลายทาง
พันธุกรรมของประชากร แตหากการกลาย
ทําใหเกิดลักษณะที่ไมดี แอลลีลใหมจะถูก A B A B
คัดทิง้ ออกจากยีนพูลของประชากร)
7. ครูใหนกั เรียนศึกษาการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ซึ่ ง ทํ า ให ป ระชากรที่ มี ลั ก ษณะเหมาะสมกั บ
สิ่งแวดลอมสามารถดํารงชีวิตและสืบพันธุให
ประชากรรุนตอไป โดยอาศัยการปรับเปลี่ยน
ลักษณะทางสรีระ พฤติกรรม และรูปแบบการ
ดํารงชีวติ ทีก่ ลมกลืนกับสิง่ แวดลอม แตสาํ หรับ
ภาพที่ 7.29 การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากรดอกไม้สีม่วงและสีแดงที่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น�้า
ประชากรที่ไมเหมาะสมกับสิ่งแวดลอมจะถูก
คัดทิ้งและลดจํานวนลงไป 124

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 การถายเรณู เปนการสืบพันธุแบบอาศัยเพศของพืชดอก เกิดขึ้นเมื่อเรณู ในปจจุบันที่มีการแตงงานขามเชื้อชาติของมนุษยเพิ่มมากขึ้น
ภายในอับเรณูที่แกเต็มที่แลวแตกออก ทําใหเรณูกระจายออกไปและตกลงบน จะมีผลตอการเปลี่ยนแปลงโครงสรางทางพันธุกรรมของมนุษย
ยอดเกสรเพศเมีย ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยอาศัยตัวกลาง เชน ลม นํ้า แมลง ชวยนํา อยางไร
เรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมีย แบงออกเปน 2 รูปแบบ (วิเคราะหคําตอบ การแตงงานขามเชื้อชาติของมนุษย ทําใหมี
- การถายเรณูในดอกหรือตนเดียวกัน (self pollination) เปนการถายเรณู การแพรกระจายของแอลลีลใหมในยีนพูลของประชากรทองถิ่น
ไปยังยอดเกสรเพศเมียภายในดอกเดียวกัน หรือคนละดอกแตเปนพืชตนเดียวกัน ซึ่งประชากรทองถิ่นจะมีความแปรผันทางพันธุกรรมเพิ่มมากขึ้น)
- การถายเรณูขามตน (cross pollination) เปนการถายเรณูจากดอกของ
พืชตนหนึ่งไปยังยอดเกสรเพศเมียของพืชอีกตนหนึ่ง

T142
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
3. การเลือกคู่ผสมพันธุ์ เป็นรูปแบบของการผสมพันธุ์ที่พบในประชากรส่วนใหญ่ โดย 8. ครูถามคําถามนักเรียนวา
สมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุไ์ ด้เท่า ๆ กัน ซึง่ จะไม่มผี ลต่อการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลใน ï• การคั ด เลื อ กโดยธรรมชาติ มี ผ ลต อ การ
ยีนพูลของประชากรทุกรุน่ แต่ในธรรมชาติโดยทัว่ ไป สมาชิกในประชากรมักมีการเลือกคูผ่ สมพันธุ์ เปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลอยางไร
หรือการผสมพันธุ์ไม่เปนแบบสุ่ม (non-random mating) ท�าให้สมาชิกบางส่วนของประชากรไม่มี (แนวตอบ การคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะ
โอกาสได้ผสมพันธุ์ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในยีนพูลของประชากรในรุ่น เหมาะสมกั บ สิ่ ง แวดล อ มให ส ามารถดํ า รง
ต่อไป ชีวิต และสืบพันธุใหประชากรรุนตอไปได
4. การกลาย 1(mutation) เป็นการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ ในระดับยีนและระดับโครโมโซม ส ว นสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี ลั ก ษณะไม เ หมาะสมกั บ
ซึง่ เป็นปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึน้ ตามธรรมชาติของสิง่ มีชวี ติ การเกิดการกลายเพียงอย่างเดียวไม่มผี ล สิ่ ง แวดล อ มจะถู ก คั ด ทิ้ ง และลดจํ า นวนลง
มากพอต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของยีนพูลในประชากรขนาดใหญ่ภายใน
ซึ่ ง มี ผ ลทํ า ให บ างแอลลี ล เพิ่ ม ขึ้ น บาง
รุ่นเดียว เนื่องจากการกลายในธรรมชาติมักเกิดในอัตราที่ต�่ามาก โดยเกิดขึ้นในอัตรา 10-5 หรือ
10-6 ใน 1 ชัว่ อายุ การเปลีย่ นแปลงความถีเ่ พียงเล็กน้อยจึงต้องใช้เวลานานมาก เช่น อัตราการเกิด แอลลีลลดลง และบางแอลลีลอาจหายไปจาก
การกลาย 0.00001/ชั่วอายุ สามารถท�าให้ความถี่แอลลีลจาก 0.5 เปลี่ยนเป็น 0.49 อาจต้องใช้ กลุมประชากร)
เวลานานถึง 2,000 ชัว่ อายุ เป็นต้น แต่ในบางกรณีทมี่ ปี จั จัยอืน่ ร่วมด้วย เช่น การเลือกคูผ่ สมพันธุ์ 9. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางการเปลีย่ นแปลง
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึง่ จะเอือ้ ให้สงิ่ มีชวี ติ ทีม่ ยี นี กลายอยูส่ ามารถเพิม่ จ�านวนได้อย่างรวดเร็ว ประชากรผีเสื้อกลางคืน Biston betularia
ถ้าการกลายเป็นลักษณะที่ดีและเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม แอลลีลใหม่จะถูกสะสมไว้ในยีนพูล และถามคําถามนักเรียนวา
ท�าให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากร แต่หากการกลายท�าให้เกิดลักษณะที่ไม่ดี ï• ผี เ สื้ อ กลางคื น Biston betularia มี
และไม่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม ลักษณะการกลายนั้นจะถูกคัดทิ้งไป กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติอยางไร
5. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) เป็นกลไกพื้นฐานของการเกิด (แนวตอบ ผีเสือ้ กลางคืน B. betularia จะอาศัย
วิวัฒนาการร่วมกับกลไกอื่น ๆ การคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้ประชากรที่มีลักษณะเหมาะสมกับ ลักษณะสีตวั ทีค่ ลายคลึงกับสีของตนไมเพือ่
สิ่งแวดล้อมสามารถด�ารงชีวิตและแพร่พันธุ์ประชากรในรุ่นต่อไปได้ โดยอาศัยการปรับเปลี่ยน
อําพรางตัวจากผูลา ทําใหผีเสื้อที่มีสีตัว
ลักษณะทางสรีระ พฤติกรรม และรูปแบบการด�ารงชีวิตที่กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม แต่ส�าหรับ
ประชากรทีไ่ ม่เหมาะสมกับสิง่ แวดล้อมนัน้ จะถูกคัดทิง้ และลดจ�านวนลงไป ซึง่ มีผลท�าให้แอลลีลบาง แตกตางจากสีของตนไมถูกลามากกวา
แอลลีลในประชากรมีจ�านวนมากขึ้น บางแอลลีลมีจ�านวนลดลง จึงมีจํานวนลดลง จากเหตุการณนี้ทําให
B iology สมาชิกของประชากรทีม่ ลี กั ษณะเหมาะสม
Focus การเลือกคู่ผสมพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต กับสภาพแวดลอมจะมีจาํ นวนเพิม่ มากขึน้
สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยมีการเลือกคู่แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ แตสมาชิกที่มีลักษณะไมเหมาะสมจะมี
การผสมพันธุ์แบบสุ่ม (random mating) เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นเป็นส่วนมากในประชากร ซึ่ง จํานวนลดลง)
การผสมพันธุ์แบบสุ่มจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนในแต่ละรุ่นมากนัก 10. ครูถามคําถามทาทายการคิดขัน้ สูง (H.O.T.S.)
การผสมพันธุไ์ ม่เปนแบบสุม่ (non-random mating) มีการจับคูผ่ สมพันธุโ์ ดยเลือกตามคุณสมบัติ
และลักษณะทางฟีโนไทป์ ถ้าการเลือกคู่ผสมพันธุ์ในกลุ่มมีแนวโน้มเกิดการผสมพันธุ์ภายในสายพันธุ์ กับนักเรียน
เดียวกันหรือในเครือญาติที่เรียกว่า อินบรีดดิ้ง (inbreeding) จะมีผลท�าให้ความถี่ของยีนหรือความถี่ อธิบายความรู้
ของจีโนไทป์เปลี่ยนแปลงไป และท�าเกิดวิวัฒนาการของประชากรขึ้น
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับปจจัย
วิวัฒนาการ 125 ที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


ขอใดไมใชสาเหตุที่ทําใหประชากรมีโครงสรางทางพันธุกรรม 1 การกลาย แบงออกเปน 2 ระดับ ไดแก
ของยีนพูลเปลี่ยนแปลง 1) การกลายระดับยีน (gene mutation) เปนการเปลี่ยนแปลงลําดับ
1. การเพิ่มจํานวนประชากรอยางรวดเร็ว นิวคลีโอไทดในสายของดีเอ็นเอ ทําใหยนี เปลีย่ นแปลงไปจากเดิม เชน โรคโลหิตจาง
2. การแยกตัวของกลุมประชากรขนาดเล็ก จากเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle cell anemia) เกิดจากการกลายของยีนที่
3. การเปลี่ยนแปลงโครงสรางของโครโมโซม ทําหนาที่สังเคราะหโปรตีนเฮโมโกลบินของเซลลเม็ดเลือดแดง
4. การเลือกคูผสมพันธุของสมาชิกในกลุมประชากร 2) การกลายระดั บ โครโมโซม (chromosomal mutation) เป น การ
5. การลดจํานวนประชากรจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรูปรางของโครโมโซม หรือจํานวนโครโมโซม เชน
(วิเคราะหคาํ ตอบ การแยกตัวของกลุม ประชากร การเปลีย่ นแปลง กลุมอาการคริดูชาต (cri du chat syndrome) เกิดจากแขนขางสั้นของ
โครงสรางของโครโมโซม การเลือกคูผสมพันธุ และการลดจํานวน โครโมโซมคูที่ 5 ขาดหายไป กลุมอาการดาวน (Down’s syndrome) เกิดจาก
ประชากรจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เปนปจจัยที่มีผลตอการ จํานวนโครโมโซมคูที่ 21 เกินมา 1 โครโมโซม เปนตน
เปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลของประชากร ทําใหบางแอลลีล
เพิ่มขึ้น ลดลง หรือหายไป ประชากรจึงมีโครงสรางทางพันธุกรรม
ของยีนพูลเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนั้น ตอบขอ 1.)

T143
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม การคัดเลือกโดย ตัวอย่างการคัดเลือกโดยธรรมชาติ 1เช่น ผีเสื้อกลางคืน Biston betularia ในเมือง
ธรรมชาติ โดยบันทึกลงสมุดบันทึกของนักเรียน เบอร์มงิ แฮม ประเทศอังกฤษ ซึง่ ผีเสือ้ กลางคืน B. betularia มีลกั ษณะสีตวั ทีแ่ ตกต่างกัน 2 ลักษณะ
คือ สีเทาและสีด�า เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว พบว่าประชากรผีเสื้อส่วนใหญ่มีตัวสีเทา เนื่องจาก
อธิบายความรู้
สีตวั สีเทามีสคี ล้ายคลึงกับสีของต้นไม้ทมี่ ไี ลเคน
1. ครู สุ  ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยกิ จ กรรม เกาะอยู่ จึงช่วยอ�าพรางตัวจากผู้ล่าได้ดีกว่า
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ผีเสื้อตัวสีด�า ในเวลาต่อมา เมืองเบอร์มิงแฮม
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยกิ จ กรรม การ ถูกพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรม ซึ่งมีโรงงาน
คัดเลือกโดยธรรมชาติ ขนาดใหญ่จ�านวนมาก ท�าให้เขม่าควันจาก
โรงงานเกาะบริเวณต้นไม้จนกลายเป็นสีด�า
ขัน้ สรุป และพบว่าประชากรผีเสื้อตัวสีด�าเพิ่มมากขึ้น
ขยายความเข้าใจ เนื่ อ งจากสามารถอ� า พรางตั ว จากผู ้ ล ่ า ได้ ดี
และผี เ สื้ อ ตั ว สี เ ทาจะถู ก ล่ า จากผู ้ ล ่ า มากขึ้ น
1. ครูใหนักเรียนทําผังสรุป เรื่อง กฎของฮารดี- ภาพที่ 7.30 ผีเสื้อกลางคืน (Biston betularia) จนปัจจุบันผีเสื้อเกือบทั้งหมดมีลักษณะตัวสีด�า
ไวนเบิรก
ก่อนการพัฒนาเป็น หลังการพัฒนาเป็น
2. ครูใหนักเรียนทําผังมโนทัศน เรื่อง ปจจัยที่มี เมืองอุตสาหกรรม เมืองอุตสาหกรรม
ผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลใน
ประชากร

ภาพที่ 7.31 จ�านวนประชากรผีเสื้อกลางคืน (Biston betularia) ในเมืองเบอร์มิงแฮมก่อนและหลังการพัฒนาเป็นเมือง


อุตสาหกรรม
จากปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ทุกปัจจัยล้วนมีผล H. O. T. S.
แนวค�าตอบ H.O.T.S. คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ท�าให้ความถี่ของแอลลีลที่เป็นองค์ประกอบทางพันธุกรรมใน
มิวเทชัน เปนการสรางลักษณะทางพันธุกรรม ประชากรมีการเปลีย่ นแปลง แต่มเี พียงการคัดเลือกโดยธรรมชาติ การเกิดมิวเทชัน
เซลล์เยือ่ าบุงจากการ
แตกต่ ขา้ งแก้ม
ขึ้นมาใหมในกลุมประชากร ซึ่งอาจเปนลักษณะที่ดี เท่านัน้ ทีก่ ารเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลในประชากรท�าให้มี คั ด เ ลื อ ก โ ด ย
หรือไมดีในกลุมประชากรนั้นๆ แตการคัดเลือก การปรับตัวเพื่อให้เกิดลักษณะที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติอย่างไร
โดยธรรมชาติไมไดสรางลักษณะทางพันธุกรรมขึ้น
มาใหม แตจะคัดเลือกลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ อี ยู 126
ในประชากรทีม่ ลี กั ษณะเหมาะสมกับสภาพแวดลอม
ที่สิ่งมีชีวิตนั้นอาศัยอยู

นักเรียนควรรู กิจกรรม สรางเสริม


1 การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ตัวอยางเชน ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูล เรื่อง การคัดเลือกโดยธรรมชาติ
- หอย Cepaea nemoralis จะมีลักษณะของสีเปลือกที่แตกตางกัน จาก จากหนังสือ วารสารทางวิชาการ สื่อออนไลน หรือแหลงเรียนรู
การศึกษา พบวา แหลงที่อยูอาศัยที่แตกตางกันจะพบลักษณะของเปลือกหอยที่ ตางๆ แลวยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการผานการคัดเลือก
แตกตางกัน เชน บริเวณโคลนตมหรือทรายจะพบหอยที่มีลักษณะเปลือกสีเรียบ โดยธรรมชาติ โดยทําสรุปลงในกระดาษ A4 จํานวน 1 หนา
เปนสวนใหญ บริเวณปาหญาจะพบหอยที่มีลักษณะเปลือกมีลายเปนสวนใหญ
ซึง่ ความแตกตางของเปลือกหอยทีพ่ บในบริเวณตางๆ นีเ้ ปนผลจากการพรางตัว
จากผูลาเพื่อใหเหมาะสมกับสิ่งแวดลอมที่อาศัยอยู
- หนูกวาง (Utah Mammals) พบทัง้ สีตวั สีเขมและสีออ น โดยบริเวณปาจะ
พบหนูกวางทีม่ สี เี ขมและสีออ น แตบริเวณทะเลทรายจะมีสอี อ นเทานัน้ เนือ่ งจาก
ในบริเวณทะเลทราย หนูกวางที่มีสีออนจะสามารถพรางตัวจากผูลาไดดีกวาหนู
กวางทีม่ สี เี ขม เพราะสีออ นมีลกั ษณะทีก่ ลมกลืนกับสีพนื้ ทรายจึงอําพรางตัวจาก
ผูล า ไดดกี วา แตหนูกวางทีม่ สี เี ขมจะถูกสังเกต และลาจากผูล า ไดมากกวา ทําให
ในปจจุบันพื้นที่เขตทะเลทรายพบเฉพาะหนูกวางที่มีสีอออนเทานั้น

T144
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การลงความเห็นจากข้อมูล
1. ครู ต รวจสอบผลจากผั ง สรุ ป เรื่ อ ง กฎของ
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
ฮารดี-ไวนเบิรก
จิตวิทยาศาสตร์ 2. ครูตรวจสอบผลจากผังมโนทัศน เรื่อง ปจจัย
ความมีเหตุผล ที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล
วิธปี ฏิบตั ิ •
• ความรอบคอบ
ในประชากร
การทดลองเกีย่ วกับการคัดเลือกโดยธรรมชาติของผีเสือ้ กลางคืน (Biston betularia) ซึง่ มีทงั้ ผีเสือ้ สีเทา
และผีเสื้อสีด�าที่ชอบอาศัยอยู่ตามเปลือกต้นไม้ การทดลองเริ่มจากการจับผีเสื้อมาติดเครื่องหมายและปล่อย 3. ครูตรวจสอบผลจากกิจกรรม การใชกฎของ
ไปในเมือง 2 แห่ง คือ เมือง A เป็นเมืองที่อากาศมีมลพิษน้อย ต้นไม้ยังคงมีไลเคนขึ้นอยู่ และเมือง B เป็น ฮารดี-ไวนเบิรก
เมืองที่ถูกพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรม อากาศมีมลพิษมาก จนกระทั่งไลเคนไม่สามารถเจริญได้ท�าให้เปลือก 4. ครูตรวจสอบผลจากกิจกรรม การคัดเลือก
ต้นไม้มีเขม่าสีด�าเกาะอยู่ หลังจากปล่อยผีเสื้อไประยะหนึ่งจึงจับผีเสื้อกลับมาและได้บันทึกข้อมูล ดังตาราง โดยธรรมชาติ
จ�านวนผีเสื้อกลางคืน (Biston betularia) 5. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การหาความถี่
สถานที่ทดลอง ของแอลลีลในประชากร
สีเทา สีด�า
จ�านวนที่ปล่อย 1,000 1,000 6. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การประยุกต
เมือง A ใชประโยชนจากกฎของฮารดี-ไวนเบิรก
จ�านวนที่จับกลับมา 258 76
7. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน
จ�านวนที่ปล่อย 1,000 1,000
เมือง B แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
จ�านวนที่จับกลับมา 98 389

?
ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. นักเรียนจะอธิบายการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในประชากรผีเสื้อในเมือง A และเมือง B อย่างไร แนวตอบ ค�าถามท้ายกิจกรรม
2. จากสถานการณ์นี้ ธรรมชาติมสี ว่ นเกีย่ วข้องต่อการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลทีท่ า� ให้เกิดการคัดเลือก
ชนิดพันธุ์ของผีเสื้อกลางคืนอย่างไร 1. ในเมือง A จะพบผีเสื้อกลางคืน B. betularia
สีเทามากกวา เนื่องจากเปนเมืองที่มีมลพิษนอย
อภิปรายผลกิจกรรม ตนไมยังมีไลเคนเกาะอยู จึงทําใหผีเสื้อสีเทา
จากกิจกรรม จะเห็นว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติมีผลท�าให้จ�านวนสมาชิกของประชากรที่มีลักษณะ สามารถอําพรางตัวจากผูลาไดดีกวา สวนใน
เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมนั้น ๆ มีจ�านวนเพิ่มมากขึ้น และลักษณะที่ไม่เหมาะสมบางลักษณะจะถูกคัดทิ้ง เมือง B จะพบผีเสื้อกลางคืน B. betularia สีดํา
และลดจ�านวนลง เช่น ผีเสื้อกลางคืน B. betularia สีด�าในเมือง A จะสามารถจับได้จ�านวนน้อย เนื่องจาก มากกวา เนือ่ งจากมีมลพิษทางอากาศมาก ทําให
ลักษณะตัวสีดา� มีความแตกต่างจากสีของเปลือกต้นไม้ ซึง่ ในเมือง A ยังมีไลเคนขึน้ อยู่ จึงถูกล่าจากศัตรูได้งา่ ย เกิดเขมาควันเกาะบนตนไมมาก ผีเสื้อสีดําจึง
เช่นเดียวกับผีเสือ้ กลางคืน B. betularia สีเทาในเมือง B จะสามารถจับได้จา� นวนน้อยเช่นกัน เนือ่ งจากลักษณะ
ตัวสีเทามีความแตกต่างจากสีของเปลือกต้นไม้ ซึ่งในเมือง B ไม่มีไลเคนขึ้นอยู่เลย จึงถูกล่าจากศัตรูได้ง่าย สามารถอําพรางตัวจากผูลาไดมากกวา
ดังนั้น จึงท�าให้แอลลีลบางแอลลีลในประชากรมีจ�านวนเพิ่มมากขึ้น แต่บางแอลลีลจะมีจ�านวนลดลง 2. สิ่งแวดลอมเปนผลทําใหผีเสื้อกลางคืนชนิดนี้
ผานการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งทําใหบาง
วิวัฒนาการ 127
แอลลี ล เพิ่ ม ขึ้ น บางแอลลี ล ลดลง หรื อ บาง
แอลลีลอาจหายไปจากกลุมประชากร

ขอสอบเนน การคิด แนวทางการวัดและประเมินผล


การเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในขอใดที่มีกลไกแตกตาง ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง พันธุศาสตรประชากร
จากขออื่น ไดจากผังสรุป เรื่อง กฎของฮารดี-ไวนเบิรก และผังมโนทัศน เรื่อง ปจจัยที่มี
1. การกลาย 2. ปรากฏการณคอขวด ผลตอการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลในประชากร ทีน่ กั เรียนทําในขัน้ ขยาย
3. ผลกระทบจากผูกอตั้ง 4. การถายเทเคลื่อนยายยีน ความเขาใจ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานทีอ่ ยู
5. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ในแผนการจัดการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 7
(วิเคราะหคาํ ตอบ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ เปนการเปลีย่ นแปลง แบบประเมิ
แบบประเมินนชิชิ้น้นงาน/ภาระงาน
งาน/ภาระงาน(รวบยอด)
(รวบยอด)แผนฯ
แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
แผน ฯที่ ที2,่ 13

คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ

ความถี่ของแอลลีลในประชากรที่ทําใหมีสิ่งมีชีวิตมีการปรับตัว ลาดับที่
1
ระดับคะแนน

รายการประเมิน
ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
4
ระดับคะแนน
3 2 1

ดานตางๆ ใหเกิดลักษณะทีเ่ หมาะสมกับสิง่ แวดลอม แตการกลาย 2


3
4
ความถูกต้องของเนื้อหา
ความคิดสร้างสรรค์
ความตรงต่อเวลา
รวม

ปรากฏการณคอขวด ผลกระทบจากผูกอตั้ง และการถายเท ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน


................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ

เคลื่อนยายยีน เปนการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่เปน
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วน จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์ ใหญ่

องคประกอบทางพันธุกรรมในประชากร ดังนั้น ตอบขอ 5.) 2. ความถูกต้อง


ของเนื้อหา
3. ความคิด
เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ถูกต้องครบถ้วน
ผลงานแสดงถึงความคิด
ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น
ผลงานแสดงถึงความคิด
ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิด น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ แปลกใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้

T145
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครู นํ า ภาพนก 2 ชนิ ด ได แ ก Sternella คําวา “สปชสี ” 4. กําเนิดของสปีชีส์
neglecta และ Sternella magna มาให หมายความวาอยางไร วิ วั ฒ นาการเกิ ด จากการเปลี่ ย นแปลงโครงสร้ า งทาง
นักเรียนดู และถามคําถามกับนักเรียนวา พันธุกรรมของยีนพูลในประชากรจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง ซึ่งอาจ
• นกทัง้ 2 ภาพนี้ เปนสายพันธุเ ดียวกันหรือไม เกิดจากการแปรผัน การสืบพันธุ์ และการคัดเลือกโดยธรรมชาติ และผลจากวิวฒ ั นาการของสิง่ มีชวี ติ
(แนวตอบ นกทัง้ 2 ภาพ เปนนกตางสายพันธุก นั อาจท�าให้เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่เกิดขึ้นได้
แตมีลักษณะรูปรางที่คลายคลึงกัน)
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา นกทั้ง 2 ภาพ มี 4.1 ความหมายของสปีชีส์
สายพันธุ หรือสปชีสที่ตางกัน ปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับความหมายของสปีชีส์ไม่สามารถประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิตได้ทุกชนิด
3. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน จึงมีนักชีววิทยาหลายคนให้แนวคิดเกี่ยวกับความหมายของสปีชีส์ไว้ ดังนี้
ความรูเดิมของนักเรียน สปีชีส์ทางด้านสัณฐานวิทยา (morphological species concept) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มี
โครงสร้างภายนอกเหมือนกัน หรือการท�างานของโครงสร้างภายนอกคล้ายกัน ซึง่ จ�าแนกโดยใช้หลัก
ขัน้ สอน สัณฐานวิทยา (morphology) แต่อาจมีปญั หาในการแยกสปีชสี ท์ มี่ คี วามสัมพันธ์ใกล้ชดิ กันมาก และ
สํารวจคนหา มักมีลักษณะสัณฐานวิทยาคล้ายคลึงกันมาก เช่น นก Sternella neglecta และ Sternella magna
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาความหมายของสป ชี ส  ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก เป็นต้น
แบ ง ออกเป น สป ชี ส  ท างด า นสั ณ ฐานวิ ท ยา
และสปชีสทางดานชีววิทยา และถามคําถาม
นักเรียนวา
• สปชีสทางดานสัณฐานวิทยาและสปชีสทาง
ดานชีววิทยาแตกตางกันอยางไร
( แนวตอบ สป ชี ส  ท างด า นสั ณ ฐานวิ ท ยา
หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสรางภายนอก
หรื อ การทํ า งานของโครงสร า งภายนอก
ที่ ค ล า ยคลึ ง กั น แต สิ่ ง มี ชี วิ ต ไม ส ามารถ Sternella neglecta Sternella magna
ผสมพันธุกันได แตสปชีสทางดานชีววิทยา ภาพที่ 7.32 นก 2 ชนิด ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่คนละสปีชีส์
หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่สามารถผสมพันธุกัน สปีชสี ท์ างด้านชีววิทยา (biological species concept) หมายถึง สิง่ มีชวี ติ ทีส่ ามารถผสมพันธุ์
1
และใหกาํ เนิดลูกทีไ่ มเปนหมัน ซึง่ นักชีววิทยา กันได้ในธรรมชาติและให้กา� เนิดลูกทีไ่ ม่เป็นหมัน แต่ในบางครัง้ สิง่ มีชวี ติ ต่างสปีชสี ก์ นั อาจสามารถ
ใชสมบัติของสปชีสทางดานชีววิทยาในการ ให้กา� เนิดลูกแต่เป็นหมัน ท�าให้สงิ่ มีชวี ติ แต่ละสปีชสี ไ์ ม่สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมร่วมกับสิง่ มีชวี ติ
จําแนกสปชีสของสิ่งมีชีวิต) สปีชีส์อื่นได้ ซึ่งนักชีววิทยาใช้สมบัติทางพันธุศาสตร์และชีววิทยาในการจ�าแนกสปีชีส์โดยอาศัย
แนวตอบ Prior Knowledge หลักการที่ว่า สิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกันจะผสมพันธุ์กันและให้ลูกรุ่นที่ไม่เป็นหมัน
สป ชี ส  หมายถึ ง กลุ  ม ของสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี 128
โครงสรางและหนาทีเ่ หมือนกัน สามารถผสมพันธุ
กันไดโดยที่ลูกที่ไมเปนหมัน

นักเรียนควรรู กิจกรรม ทาทาย


1 สิ่งมีชีวิตตางสปชีสกัน สามารถผสมพันธุกันได แตจะใหกําเนิดลูกที่เปน ครูใหนกั เรียนศึกษา เรือ่ ง กลไกการปองกันการผสมขามพันธุ
หมัน เชน การผสมพันธุร ะหวางมากับลา จะไดลอ ซึง่ เปนหมัน โดยมามีโครโมโซม ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเปนกลไกการผสมขามสปชีสของสิ่งมีชีวิต จาก
จํานวน 64 โครโมโซม ลามีจํานวนโครโมโซม 62 โครโมโซม จึงทําใหลอมี หนังสือ วารสารทางวิชาการ สื่อออนไลน หรือแหลงเรียนรูตางๆ
โครโมโซม 63 โครโมโซม ทําใหในการสรางเซลลสบื พันธุไ มสามารถแบงโครโมโซม พรอมยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่มีกลไกการปองกันการผสมขามพันธุ
ออกเปนสองชุดไดอยางสมบูรณ จึงเกิดความลมเหลวในการสรางตัวออน ของสิ่งมีชีวิตรูปแบบตางๆ ทําสรุปลงในกระดาษ A4 อยางนอย
หรือกลาวไดวา เปนหมัน 5 หนา

T146
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
4.2 การเกิดสปีชีส์ใหม่ 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การเกิดสปชีสใหม
การเกิดสปีชสี ใ์ หม่ (speciation) จะเกิดขึน้ เมือ่ ไม่มกี ารถ่ายเทเคลือ่ นย้ายยีนระหว่างประชากร ของสิ่งมีชีวิต จะเกิดขึ้นเมื่อไมมีการถายเท
ท�าให้ประชากรทัง้ สองมีโครงสร้างทางพันธุกรรมทีแ่ ตกต่างกันและเกิดเป็นสปีชสี ใ์ หม่ขนึ้ ทัง้ นีอ้ าจ เคลือ่ นยายยีนระหวางประชากร ทําใหประชากร
เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นหรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยติดต่อกันเป็นเวลานาน ทั้งสองกลุมมีโครงสรางที่แตกตางกัน และ
การเกิดสปีชีส์ใหม่เกิดได้ 2 แนวทาง ดังนี้ เกิดเปนสปชีสใหม แบงออกเปน 2 แนวทาง
1. การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์ (allopatric speciation) ไดแก การเกิดสปชีสใหมจากการแบงแยก
เป็นการเกิดสปีชีส์ใหม่โดยมีสิ่งกีดขวาง เช่น ภูเขา แม่น�้า ทะเล ซึ่งสิ่งกีดขวางท�าให้ประชากร ทางภูมิศาสตร และการเกิดสปชีสใหมในเขต
ดั้งเดิมถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มย่อยและไม่มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างกัน จากนั้น ภูมิศาสตรเดียวกัน
แต่ละกลุ่มย่อยจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงความแตกต่างทางพันธุกรรมต่อไปตามการคัดเลือก 3. ครูใหนกั เรียนศึกษาการเกิดสปชสี ใ หมจากการ
โดยธรรมชาติจนเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ ต่อมาแม้สิ่งกีดขวางจะหายไป ประชากรในกลุ่มย่อยสามารถ แบงแยกทางภูมิศาสตร ที่เกิดจากสิ่งกีดขวาง
ติดต่อถึงกันได้ แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมร่วมกันเป็นยีนพูลเดียวกันได้อีกต่อไป
ทําใหประชากรดั้งเดิมถูกแบงแยกออกเปน
กลุม ยอย และทําใหไมมกี ารถายเทเคลือ่ นยาย
ยีนระหวางกัน และถามคําถามนักเรียนวา
ï• หากประชากรสปชีสใหมที่เกิดจากการแบง
แยกทางภูมิศาสตรกลับมาเจอกับประชากร
ดั้งเดิมจะสามารถผสมพันธุกันไดหรือไม
อยางไร
ภาพที่ 7.33 การเกิดสปีชีส์ใหม่ของต้นไม้จากการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์
(แนวตอบ ไมสามารถผสมพันธุก นั ได เพราะ
ตัวอย่างเช่น กระรอก 2 ชนิด ได้แก่ Anunospermophilus harrisi และ A. Leucurus ทีพ่ บ ยีนพูลของประชากรทัง้ สองกลุม แตกตางกัน)
บริเวณแกรนด์แคนยอน รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึง่ มีลกั ษณะคล้ายกันมากและมีความ
ใกล้ชดิ ทางสายวิวฒ ั นาการ โดยการแยกกันของ 2 สปีชสี ์ เกิดจากการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยา
ท�าให้บริเวณแกรนด์แคนยอนถูกตัดขาดออกจากกันโดยแม่น�้าโคโลราโด ซึง่ นักวิทยาศาสตร์เชือ่ ว่า
กระรอก 2 สปีชีส์นี้เคยเป็นสปีชีส์เดียวกันมาก่อน ก่อนที่จะเกิดการแยกของแผ่นดินขึ้น

ภาพที่ 7.34 แกรนด์แคนยอนที่กระรอก 2 สปีชีส์อาศัยอยู่ โดยกระรอก A. harrisi อาศัยอยู่ทางด้านทิศใต้และกระรอก


A. leucurus อาศัยอยู่ทางด้านทิศเหนือ
วิวัฒนาการ 129

ขอสอบเนน การคิด
“จากการศึกษาประชากรนกยูงของนักวิทยาศาสตร พบวา ในอดีต นกยูงที่อยูบริเวณสองฝง
แมนํ้าเปนสิ่งมีชีวิตสปชีสเดียวกัน แตหลังการเกิดนํ้าปาไหลหลากทําใหประชากรนกยูงถูกแยก
ออกเปน 2 กลุม โดยมีแมนํ้าคั่นกลาง และเมื่อนักวิทยาศาสตรจับนกยูง 2 กลุมนี้มาเลี้ยงรวมกัน
พบวา นกยูงทั้ง 2 กลุม ไมสามารถผสมพันธุกันได”
จากขอความขางตน เพราะเหตุใดนกยูง 2 กลุมที่เคยเปนสปชีสเดียวกัน ถึงไมสามารถ
ผสมพันธุกันได
(วิเคราะหคําตอบ จากขอมูลขางตน แสดงใหเห็นวา มีการเกิดสปชีสใหมของนกยูง 2 กลุมนี้
ซึ่งมีกลไกลการเกิดสปชีสใหมจากการแบงแยกทางภูมิศาสตร เนื่องจากในอดีตนกยูงที่อยูบริเวณ
สองฝงแมนํ้าเปนสิ่งมีชีวิตสปชีสเดียวกัน แตถูกแบงแยกออกจากกันโดยมีแมนํ้าเปนสิ่งกีดขวาง
ทําใหประชากรนกยูง 2 กลุม ไมมกี ารถายเทเคลือ่ นยายยีนระหวางกัน และแตละกลุม มีการพัฒนา
เปลี่ยนแปลงความแตกตางทางพันธุกรรมจนไมสามารถกลับมาผสมพันธุกันไดอีก หรืออาจกลาว
ไดวา นกยูงทั้ง 2 กลุม มีสปชีสตางกัน)

T147
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการเกิ ด สป ชี ส  ใ หม 2. การเกิดสปีชีส์ใหม่ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน (sympatric speciation) เป็นการ
ในเขตภู มิ ศ าสตร เ ดี ย วกั น ที่ เ กิ ด จากการ เกิดสปีชสี ใ์ หม่จากการแบ่งแยกประชากรดัง้ เดิมออกเป็นกลุม่ ย่อยในเชิงการสืบพันธุ์ เชิงพฤติกรรม
แบงแยกประชากรดั้งเดิมออกเปนกลุมยอยใน หรือเชิงนิเวศวิทยาอย่างใดอย่างหนึง่ หรือหลายอย่างผสมผสานกัน ประชากรกลุม่ ย่อยอาจยังคงมี
เชิงการสืบพันธุ พฤติกรรม หรือนิเวศวิทยา ขอบเขตอยู่ร่วมกันได้ โดยมีกลไกป้องกันท�าให้ประชากรดังเดิมและประชากรกลุ่มย่อยไม่สามารถ
ซึ่ ง ประชากรยั ง อาศั ย อยู  ใ นบริ เ วณเดี ย วกั น ผสมพันธุ์กัน
แตไมสามารถผสมพันธุกับสายพันธุดั้งเดิมได

ภาพที่ 7.35 การเกิดสปีชีส์ใหม่ของต้นไม้ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน

การเกิดสปีชีส์ใหม่ลักษณะนี้เห็นได้จากวิวัฒนาการของพืช เช่น การเกิดสปีชีส์ใหม่ของพืช


บางชนิดอย่างฉับพลัน เนื่องจากกระบวนการเพิ่มโครโมโซมหลาย ๆ ชุด ที่เรียกว่า พอลิพลอยดี
(polyploidy) ซึง่ เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ท�าให้เซลล์สบื พันธุ์
มีจ�านวนโครโมโซม 2 ชุด (2n) เมื่อเซลล์สืบพันธุ์นี้มีการปฏิสนธิจะได้ไซโกตที่มีจ�านวนโครโมโซม
มากกว่า 2 ชุด เช่น โครโมโซม 3 ชุด (3n) หรือโครโมโซม 4 ชุด (4n) เป็นต้น การเกิดพอลิพลอยดี
อาจเกิดจากสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกั1นหรือสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กันก็ได้ ดังนี้
1) การเกิดพอลิพลอยดีภายในสิง่ มีชวี ติ สปีชสี เ์ ดียวกัน (autopolyploidy) เกิดจากความ
ผิดปกติขณะที่มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ท�าให้เซลล์สืบพันธุ์มีจ�านวนโครโมโซมมากกว่าปกติ
เมื่อเกิดการปฏิสนธิท�าให้ได้เซลล์ลูกที่มีจ�านวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จึงมีลักษณะทาง
พันธุกรรมแตกต่างจากพ่อแม่ และไม่สามารถผสมพันธุ์กับสปีชีส์เดียวกับพ่อแม่ได้ จึงถือว่าเกิด
สิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ
2n = 6
ไซโกต

ความผิดพลาดของการ การปฏิสนธิในตัวเอง
แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส

2n = 6 4n = 12
เตตระพลอยด์
เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ
2n = 6
ภาพที่ 7.36 การเกิดพอลิพลอยดีในสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกัน
130

นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิด


1 พอลิพลอยดี เกิดจากหลายสาเหตุ เชน ขอใดตอไปนี้ไมใชปจจัยที่ทําใหเกิดสปชีสใหมของสิ่งมีชีวิต
- เกิดจากการแบงเซลลแบบไมโทซิสผิดปกติ ทําใหจาํ นวนโครโมโซมเพิม่ ขึน้ 1. การแบงเซลลผิดปกติ
เปน 2 เทา 2. สิ่งกีดขวางทางธรรมชาติ
- เกิดจากการแบงเซลลแบบไมโอซิสผิดปกติ ทําใหเซลลสืบพันธุไมมีการลด 3. การแยกตัวทางภูมิศาสตร
จํานวนโครโมโซมลงครึ่งหนึ่งในชวงไมโอซิส I ทําใหไดเซลลสืบพันธุที่เปน 2n 4. การอพยพยายถิ่นของประชากร
- เกิดจากไขถูกผสมโดยสเปรมมากกวา 1 ตัว 5. การเกิดโรคระบาดในกลุมประชากร
(วิเคราะหคําตอบ การเกิดสปชสี ใ หมของสิง่ มีชวี ติ แบงออกเปน 2
ประเภท ไดแก การเกิดสปชสี ใ หมจากการแบงแยกทางภูมศิ าสตร
ซึง่ เกิดจากสิง่ กีดขวางทําใหประชากรถูกแบงออกเปนกลุม ยอยทีไ่ มมี
การถายเทเคลือ่ นยายยีนระหวางกัน ทําใหประชากร 2 กลุม มีความ
แตกตางทางพันธุกรรม และการเกิดสปชีสใหมในเขตภูมิศาสตร
เดียวกัน ซึง่ เกิดจากการแบงแยกประชากรดัง้ เดิมออกเปนกลุม ยอย
ในเชิงการสืบพันธุ พฤติกรรม หรือนิเวศวิทยา ดังนัน้ ตอบขอ 5.)

T148
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
1
2) การเกิดพอลิพลอยดีในสิง่ มีชวี ติ ต่างสปีชสี ก์ นั (allopolyploidy) เป็นการเพิม่ จ�านวน 5. ครูใหนักเรียนศึกษาการเกิดสปชีสใหมในเขต
ชุดของโครโมโซมที่มีต้นก�าเนิดภายในสปีชีส์ต่างกันแต่มีความใกล้เคียงกันตามสายวิวัฒนาการ ภูมศิ าสตรเดียวกันของพืชพอลิพลอยดี แบงออก
ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลายกรณี ดังนี้ เป น การเกิ ด พอลิ พ ลอยดี ภ ายในสิ่ ง มี ชี วิ ต
- กรณีสปีชีส์ A และ B ผสมพันธุ์กัน ได้ลูกผสมที่เป็นหมันและสร้างเซลล์สืบพันธุ์ สปชีสเดียวกัน และสิ่งมีชีวิตที่ตางสปชีสกัน
ที่ไม่สมบูรณ์ แต่ด้วยความบังเอิญลูกผสมรุ่น F1 อาจมีความผิดปกติขณะสร้างเซลล์สืบพันธุ์ท�าให้ และถามคําถามนักเรียนวาา
มีจ�านวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และสามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ได้ เมื่อเซลล์สืบพันธุ์นี้ ï• กลไกใดที่ทําใหประชากรในเขตภูมิศาสตร
ผสมกันได้ไซโกตและเจริญเติบโตเป็นลูกผสมรุ่น F2 ที่ปกติ ซึ่งจัดเป็นพืชสปีชีส์ใหม่ เดียวกันไมสามารถถายเทเคลื่อนยายยีน
เซลล์สืบพันธุ์ เซลล์สืบพันธุ์ ระหวางกันได
n=2 n=5
ลูกผสม F1
2n = 5 2n = 10 ลูกผสม F2 (แนวตอบ การเปลีย่ นแปลงจํานวนโครโมโซม
สปีชีส์ A ของประชากร ทํ า ให ป ระชากรมี จํ า นวน
2n = 4 ไมโอซิส โครโมโซมเปลีย่ นแปลงไปจนไมสามารถผสม
แบ่งเซลล์แบบ 2n = 10 พันธุก บั ประชากรดัง้ เดิมได)
เซลล์สืบพันธุ์ ไมโอซิสผิดพลาด เซลล์สืบพันธุ์
n=3 n=5
สปีชีส์ B
2n = 6 ภาพที่ 7.37 การเกิดพอลิพลอยดีในสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กัน
- กรณีพืชสปีชีส์ A บังเอิญมีความผิดปกติในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ที่มีจ�านวน
โครโมโซมเป็น 2n และผสมพันธุ์กับพืชสปีชีส์ B ที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ปกติ ได้ลูกผสมที่มีจ�านวน
โครโมโซม 3n และด้วยเหตุบังเอิญลูกผสม F1 มีความผิดปกติ สามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ที่มี
จ�านวนโครโมโซมเท่าเดิมได้ และหากเซลล์สบื พันธุด์ งั กล่าวผสมพันธุก์ บั เซลล์สบื พันธุป์ กติของพืช
สปีชีส์ B จึงจะสามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ต่อไปได้กลายเป็นพืชสปีชีส์ใหม่
เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ
2n = 4 n=7
ลูกผสม F1
ความผิดพลาด 3n = 7
สปีชีส์ A ของการแบ่งเซลล์
2n = 4 แบบไมโอซิส

พืชสปีชีส์ใหม่
เซลล์สืบพันธุ์ปกติ 2n = 10
n=3
สปีชีส์ B
2n = 6 เซลล์สืบพันธุ์ปกติ
n=3
ภาพที่ 7.38 การเกิดพอลิพลอยดีในสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กัน
วิวัฒนาการ 131

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


การเกิดพอลิพลอยดีในพืชเปนการเกิดสปชีสใหมของสิ่งมีชีวิต 1 พอลิพลอยดี ตัวอยางเชน
อยางไร - การเกิดพอลีพลอยดีภายในสปชีสเดียวกัน เชน กลวยหอม AAA ที่มี
( วิเคราะหคําตอบ การเกิ ด พอลิ พ ลอยดี ใ นพื ช เกิ ด จากความ บรรพบุรุษมาจากกลวยปา (Musa acuminata Colla) ที่มีจีโนมแบบ AA
ผิดปกติของกระบวนการแบงเซลลแบบไมโอซิส ทําใหเซลลสบื พันธุ - การเกิดพอลีพลอยดีในสิ่งมีชีวิตตางสปชีสกัน เชน กลวยกลาย (AAB)
มีจํานวนโครโมโซมมากกวาปกติ ซึ่งไม สามารถผสมพันธุกับ กลวยนํ้าวา (ABB) กลวยหักมุก (ABB) กลวยเทพรส (ABBB) ที่เกิดพอลิพลอยดี
สิ่งมีชีวิตสปชีสเดิมได และหากพืชที่เซลลสืบพันธุมีโครโมโซม หลังจากการผสมพันธุของกลวยปา (M. acuminata Colla) ที่มีจีโนมแบบ AA
มากกวาปกติผสมพันธุกับพืชที่เซลลสืบพันธุมีโครโมโซมมากกวา กับกลวยตานี (M. balbisiana Colla) ที่จีโนมแบบ BB
ปกติเชนกัน จะถือวาพืชชนิดนั้นเปนพืชสปชีสใหม)

T149
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
6. ครูใหนักเรียนศึกษาการเกิดพอลิพลอยดีจาก ตัวอย่างของการเกิดพอลิพลอยดีของสิ่งมีชีวิตต่าง Biology
การทดลองของจอรจิ คารปเ ชงโก และครูถาม ชนิดกัน เช่น การทดลองของจอร์จิ คาร์ปเิ ชงโก (Georgii Karpe- in real life
คําถามนักเรียนวา chenko) นักพันธุศาสตร์ชาวรัสเซีย ได้ผสมพันธุ์ผักกาดแดง การเกิดพอลีพลอยดี ในพืชถูก
น�ามาพัฒนาพันธุ์พืชไร้เมล็ด
ï• การเกิดพอลิพลอยดีจากการทดลองของ ซึ่งมีจ�านวนโครโมโซม 18 โครโมโซม (2n=18) กับกะหล�่าปลี โดยการชั ก น� า ให้ จ� า นวนชุ ด
จอรจิ คารปเชงโก เปนการเกิดสปชีสใหม ซึ่งมีจ�านวนโครโมโซม 18 โครโมโซม (2n=18) เท่ากัน พบว่า โครโมโซมของพืชเพิ่มหรือลด
อยางไร ลูกผสมที่เกิดขึ้นในรุ่น F1 มีขนาดใหญ่ แข็งแรง แต่ไม่สามารถ ลง โดยการใช้สารเคมีบางชนิด
เช่ น สารโคลชิ ซิ น หรื อ การ
(แนวตอบ การเกิดพอลิพลอยดีในสิง่ มีชวี ติ ตาง ผสมพันธุต์ อ่ ไปได้ แต่ลกู ผสมรุน่ F1 บางต้นสามารถผสมพันธุก์ นั
ฉายรั ง สี แ กมมา พื ช ที่ ถู ก น� า
สปชสี ก นั เนือ่ งจากพืชทีใ่ ชในการทดลองเปน และได้ลกู ผสมรุน่ F2 ซึง่ มีโอกาสเกิดได้นอ้ ยมาก เมือ่ น�าลูกผสมรุน่ มาพัฒนาเป็นสายพันธุ์ ไร้เมล็ด
สิง่ มีชวี ติ ตางสปชสี ก นั แตมจี าํ นวนโครโมโซม F2 มาตรวจดูโครโมโซม พบว่ามีจา� นวนโครโมโซม 36 โครโมโซม เช่น กล้วย แตงโม องุน่ เป็นต้น
เทากัน จึงสามารถผสมพันธุก นั ได แตรนุ ลูก (4n=36) และไม่เป็นหมัน ดังนั้น ลูกผสมรุ่น F2 นี้ จึงเป็น
ทีไ่ ดจะเปนหมัน จึงไมสามารถผสมพันธุต อ สิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ที่เกิดจากพอลิพลอยดี
ไปได อยางไรก็ตาม มีรนุ ลูกบางตนสามารถ n=9
ผสมพั น ธุ  ต  อ ได จึ ง ได รุ  น หลานซึ่ ง ถื อ ว า เซลล์สืบพันธุ์
n=9
เปนสิ่งมีชีวิตสปชีสใหม เนื่องจากมีจํานวน
โครโมโซมเปลีย่ นแปลงไปจากรุน พอแม และ ผักกาดแดง
2n = 18
ไมเปนหมัน) ×
กะหล�่าปลี
2n = 18
ลูกผสม F1
n+n=9+9
(2n = 18) ลูกผสม F2
2n + 2n = 18 + 18
(4n = 36)

ภาพที่ 7.39 การผสมพันธุ์ผักกาดแดงกับกะหล�่าปลี ซึ่งมีจ�านวนโครโมโซมเท่ากัน

ถึงแม้ว่าการเกิดสปีชีส์ใหม่แบบพอลิพลอยดีในสัตว์จะพบได้น้อยกว่าในพืช แต่ก็สามารถ
เกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังมีกลไกอื่น ๆ ที่สามารถท�าให้เกิดสปีชีส์ใหม่ แม้ว่ายังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียว
กับบรรพบุรษุ เช่น การเปลีย่ นแปลงยีนเพียงไม่กยี่ นี ในตัวต่อ ซึง่ เป็นแมลงทีช่ ว่ ยผสมเกสรของพืช
กลุม่ มะเดือ่ ท�าให้ตวั ต่อทีม่ ยี นี เปลีย่ นแปลงและเลือกไปอาศัยอยูใ่ นต้นมะเดือ่ สปีชสี ใ์ หม่ไม่มโี อกาส
ได้พบและผสมพันธุก์ บั ตัวต่อในกลุม่ ประชากรเดิม แต่จะได้พบและผสมกับตัวต่อทีม่ ยี นี เปลีย่ นแปลง
เหมือนกัน จนกระทั่งเกิดตัวต่อ 2 สปีชีส์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันในที่สุด
132

ขอสอบเนน การคิด
มะเขือเทศมีจาํ นวนโครโมโซม 24 คู (2n = 24) แตจากการตรวจสอบโครโมโซมของมะเขือเทศ
แปลงหนึ่ง พบวา มีโครโมโซมเพิ่มขึ้นเปน 48 คู (4n = 48) นักเรียนคิดวา มะเขือเทศแปลงนี้มี
การเกิดสปชีสใหมแบบใด และมีกระบวนการเกิดอยางไร
( วิเคราะหคําตอบ มะเขื อ เทศแปลงนี้ มี ก ลไกการเกิ ด สป ชี ส  ใ หม ใ นเขตภู มิ ศ าตร เ ดี ย วกั น
เกิดจากการแบงแยกประชากรดั้งเดิมออกเปนกลุมยอยทางการสืบพันธุ ทําใหประชากรใหมมี
จํานวนโครโมโซมเพิม่ มากขึน้ และไมสามารถสืบพันธุก บั ประชากรดัง้ เดิมได โดยการเพิม่ ขึน้ ของ
จํานวนชุดของโครโมโซมในมะเขือเทศแปลงนี้ อาจเกิดจากความผิดพลาดของกระบวนการสราง
เซลลสบื พันธุใ นการแบงเซลลแบบไมโอซิส ทําใหเซลลสบื พันธุม จี าํ นวนโครโมโซม 2 ชุด (2n = 24)
และเมื่อเซลลสืบพันธุที่มีจํานวนโครโมโซม 2 ชุด มีการปฏิสนธิกับเซลลสืบพันธุที่มีจํานวน
โครโมโซม 2 ชุด เทากัน ทําใหมะเขือเทศมีจํานวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นเปน 4 ชุด (4n=48) ซึ่งจัด
เปนมะเขือเทศสปชีสใหม)

T150
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การลงความเห็นจากข้อมูล
7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกระทําของ
การปรับปรุงพันธุ์พืชแบบพอลิพลอยดี • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป มนุษยก็มีผลทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดวิวัฒนาการ
• การจัดท�าสือ
่ และสือ่ ความหมายข้อมูล
จิตวิทยาศาสตร์ เป น สป ชี ส  ใ หม ไ ด เ ช น กั น เช น แมลงที่ ดื้ อ
วิธปี ฏิบตั ิ • ความมีเหตุผล
• ความร่วมมือช่วยเหลือ
สารฆาแมลง เชื้อโรคที่ดื้อตอยาปฏิชีวนะ
• ความรับผิดชอบ 8. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแบ ง กลุ  ม กลุ  ม ละ 5 คน
1. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลการปรับปรุงพันธุ์พืชแบบพอลิพลอยดีใน
ประเด็นต่อไปนี้ ทํ า กิ จ กรรม การปรั บ ปรุ ง พั น ธุ  พื ช แบบ
1.1 ตัวอย่างพืชแบบพอลิพลอยดี พอลิพลอยดี แลวจัดทํารายงาน และปายนิเทศ
1.2 ขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์พืชแบบพอลิพลอยดี เพื่อนําเสนอในชั่วโมงตอไป
1.3 ประโยชน์ของการปรับปรุงพันธุ์พืชแบบพอลิพลอยดี
2. ให้นักเรียนจัดท�ารายงาน และน�าเสนอหน้าชั้นเรียน อธิบายความรู้
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
อภิปรายผลกิจกรรม การเกิดสปชีสของสิ่งมีชีวิต
จากกิจกรรม จะเห็นว่าเราสามารถพบพืชทีผ่ า่ นการปรับปรุงพันธุพ์ ชื แบบพอลิพลอยดีได้ในชีวติ ประจ�าวัน 2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
เช่น กล้วย แตงโม องุ่น ข้าวสาลี สตรอว์เบอร์รี เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์พืชอาจใช้วิธีที่ การเกิ ด วิ วั ฒ นาการของสิ่ ง มี ชี วิ ต จากการ
แตกต่างกันออกไป เช่น การผสมพันธุ์พืชที่มีโครโมโซมเท่ากัน การใช้สารเคมีบางชนิด เป็นต้น โดยพืชที่ผ่าน
การปรับปรุงพันธุ์เหล่านี้จะมีคุณสมบัติบางประการที่ดีขึ้น และให้ลักษณะตามต้องการได้ เช่น ผลผลิตสูงขึ้น
กระทําของมนุษย
ผลหรือล�าต้นมีขนาดใหญ่กว่าพืชทั่วไป เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างรวดเร็วของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งผลให้เกิด
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ดังนี้
การดือ้ สารฆ่าแมลง เนือ่ งจากการใช้สารเคมีกา� จัดแมลงในครัวเรือนและในการเกษตรมากขึ
1 น้
ท�าให้มกี ารตกค้างของสารเคมีในสิง่ แวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหามลพิษ เช่น ดีดที ี ซึง่ เป็นสารเคมี
ทีน่ า� มาใช้กา� จัดศตรูพชื ในครัง้ แรกอาจก�าจัดแมลงได้เกือบทัง้ หมด แต่แมลงบางตัวอาจมียนี ต้าน
สารฆ่าแมลง ท�าให้มชี วี ติ รอดและให้กา� เนิดลูกหลาน ซึง่ เป็นการเพิม่ ยีนต้านสารฆ่าแมลงในประชากร
และเมือ่ มีการใช้สารฆ่าแมลงมากขึน้ จะท�าให้แมลงมีการดือ้ สารฆ่าแมลงเพิม่ ามากขึน้
การดื้อยาปฏิชีวนะ การใช้ยาปฏิชีวนะทางการแพทย์เพื่อท�าลายแบคทีเรียบางสายพันธุ์
แต่ที่บางสายพันธุ์สามารถต้านทานต่อยาปฏิชีวนะจนมีโอกาสอยู่รอดและเพิ่มจ�านวนได้มากขึ้น
อีกทั้งแบคทีเรียจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมให้สามารถต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ
ได้มากขึ้น จึงต้องคิดค้นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์รุนแรงขึ้นเพื่อใช้ท�าลายแบคทีเรีย
วิวัฒนาการ 133

กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนควรรู


ครูใหนกั เรียนสืบคนขอมูล เรือ่ ง วิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชวี ติ จาก 1 ดีดีที ยอมาจาก ไดคลอโรไดฟนิลไตรคลอโรอีเทน (dichlorodiphenyl-
การพัฒนาของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี จากหนังสือ วารสาร trichloroethane) เปนยาฆาแมลงประเภทสารสังเคราะหออรกาโนคลอรีน
ทางวิชาการ สือ่ ออนไลน หรือแหลงเรียนรูต า งๆ พรอมยกตัวอยาง ซึ่งสามารถยึดเกาะกับอนุภาคตางๆ ไดดี จึงแพรกระจายสูสิ่งแวดลอมไดงาย
สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี วิ วั ฒ นาการจากการพั ฒ นาของวิ ท ยาศาสตร แ ละ และตองใชเวลานานในการสลายตัว ทําใหเกิดมลพิษเปนเวลานาน โดยดีดีที
เทคโนโลยี โดยสรุปลงในกระดาษ A4 อยางนอย 2 หนา สามารถละลายไดดีในไขมัน เมื่อเขาสูรางกายจะรวมตัวกับฟอสโฟลิพิดใน
เยื่อหุมเซลล และสงผลตอการทํางานของเซลลในระบบตางๆ

T151
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ  ม ออกมานํ า เสนอ
Summary
กิจกรรม การปรับปรุงพันธุพืชแบบพอลิพลอยดี วิวฒ
ั นาการ
หนาชั้นเรียนกลุมละ 5 นาที
หลักฐานที่บ่งบอกถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
อธิบายความรู้ • หลักฐานจากซากดึกด�าบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต เป็นการศึกษาวิวัฒนาการจากหลักฐานที่แสดงล�าดับการเกิด
วิวัฒนาการ และบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยคาดคะเนอายุของ
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายกิ จ กรรม ซากดึกด�าบรรพ์จากอายุชั้นหิน
การปรับปรุงพันธุพืชแบบพอลิพลอยดี • หลักฐานกายวิภาคเปรียบเทียบ เป็นการศึกษาวิวฒ ั นาการจากโครงสร้างภายในของสิง่ มีชวี ติ แบ่งออกเป็น
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด 2 ชนิด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดเดียวกัน โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน
โครงสร้างทีม่ ตี น้ ก�าเนิดเดียวกัน แต่มหี น้าทีแ่ ตกต่างกัน โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน แต่มีหน้าที่เหมือนกัน

แขนมนุษย์ ปีกค้างคาว ปีกผีเสื้อ ปีกค้างคาว


ภาพที่ 7.40 ภาพที่ 7.41
ช่องเหงือก
• หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ เป็นการ ระยะเอ็มบริโอ หาง
ศึ ก ษาวิ วั ฒ นาการจากแผนการเจริ ญ เติ บ โตที่
คล้ายคลึงกันของสิ่งมีชีวิตจากระยะไซโกตจน ระยะการพัฒนา
เจริญเป็นเอ็มบริโอ เช่น ลักษณะช่องเหงือกและ ระยะกลาง
หางของปลา ซาลาเมนเดอร์ เต่า นก สัตว์เลีย้ งลูก
ด้วยน�้านม และมนุษย์ เป็นต้น
ระยะปลาย

ปลา ซาลา เต่า นก สัตว์เลี้ยงลูก มนุษย์


มานเดอร์ ด้วยน�้านม
ภาพที่ 7.42
• หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล เป็นการศึกษาวิวฒ ั นาการจากการเปรียบเทียบล�าดับเบสบนสาย DNA
ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้ชิดทางวิวัฒนาการจะมีความเหมือนกันของล�าดับเบสบนสายดีเอ็นเอมากกว่า
สิ่งมีชีวิตกลุ่มอื่น ๆ
• หลักฐานทางชีวภูมศิ าสตร์ เป็นการศึกษาวิวฒ ั นาการจากการแพร่กระจายของสิง่ มีชวี ติ ในภูมศิ าสตร์ตา่ ง ๆ
134 ของโลก

ขอสอบเนน การคิด
จากการวิเคราะหลาํ ดับเบสบนสายดีเอ็นเอของโปรตีนแอกทินและ จากขอมูลขางตน สิ่งมีชีวิตชนิดใด มีความสัมพันธทางวิวัฒนาการ
ไมโอซิน ซึง่ เปนโปรตีนสําคัญในเซลลกลามเนือ้ ของสิง่ มีชวี ติ ชนิดตางๆ ใกลชิดกับมนุษยมากที่สุด
พบวามีความแตกตางจากของลําดับเบสที่แตกตางจากของมนุษย 1. มา 2. วาฬ
ดังตาราง 3. แมว 4. โลมา
ลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอของโปรตีนแอกทินและไมโอซิน 5. นกแกว
สิ่งมีชีวิต ที่แตกตางจากของมนุษย
สุนัข 72
(วิเคราะหคาํ ตอบ สิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี าํ ดับเบสบนสายดีเอ็นเอแตกตางกันนอย
โลมา 12 แสดงวามีความสัมพันธใกลชิดทางวิวัฒนาการมากที่สุด ซึ่งจากตาราง
ชาง 36 พบวา โลมามีลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอของโปรตีนแอกทินและไมโอซิน
วาฬ 18 ที่แตกตางจากของมนุษยนอยที่สุด แสดงวา โลมามีความสัมพันธทาง
แมว 48 วิวัฒนาการใกลชิดกับมนุษยมากที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 4.)
มา 87
เสือ 148
นกแกว 152

T152
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
• หลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของมนุษย หลักฐานจากซากดึกดําบรรพ และการเปรียบเทียบ 1. ครูใหนักเรียนทําผังสรุป เรื่อง การเกิดสปชีส
ลําดับเบสบนสาย DNA ระหวางมนุษยกับลิงชิมแปนซี พบวา มนุษยแยกสายวิวัฒนาการมาจาก
ไพรเมตกลุมลิงไมมีหางเมื่อประมาณ 5-7 ลานปที่ผานมา โดยคาดคะเนลําดับขั้นตอนการสืบสาย ใหมของสิง่ มีชวี ติ โดยยกตัวอยางการเกิดสปชสี 
วิวัฒนาการของมนุษยได ดังนี้ ใหมของสิ่งมีชีวิตมา 1 ชนิด พรอมระบุกลไก
- ออสตราโลพิเทคัส ของการเกิดสปชีสใหมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น
บรรพบุรุษที่คลายคลึงกับมนุษยที่สุด ซากดึกดําบรรพที่รูจักดี คือ ลูซี โดยสืบคนขอมูลจากวารสารทางวิชาการ หรือ
(Australopithecus afarensis) 1 มีการเดิน 2 ขา ลําตัวมีความสูง
ประมาณ 1-1.5 เมตร สมองมีความจุ 400-500 ลบ.ซม. เคลื่อนที่ สื่อออนไลน
ไดทั้งพื้นดินและบนตนไม มีการกินอาหารหลายรูปแบบ 2. ครูใหนักเรียนทํา Self Check เพื่อตรวจสอบ
- โฮโม
Homo habilis มีสมองขนาด 600-750 ลบ.ซม. นํา้ หนัก 40-50 กิโลกรัม ความเขาใจของตนเอง
ลําตัวตรง เดิน 2 ขา เริ่มมีการใชสมองและการใชมือประดิษฐ 3. ครูใหนักเรียนทํา Unit Question ทายหนวย
สิ่งของเครื่องใชจากหิน
Homo erectus มีรางกายสูง สมองขนาด 1,100 ลบ.ซม. มีการใชไฟ การเรียนรูที่ 7 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4
และประดิษฐเครือ่ งมือจากหิน โดย H. erectus ทีร่ จู กั ดี คือ มนุษยชวา เลม 2
และมนุษยปกกิ่ง
4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวยการ
Homo sapiens มีสมองขนาด 1,400 ลบ.ซม. มีกระดูกคิ้วยื่นออกมา
จมูกกวาง คางสั้น มีการอยูรวมกันเปนหมู ลาสัตวรวมกัน รูจักใชไฟ เรียนรูที่ 7 ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
และเครือ่ งหนังสัตวนงุ หม และเริม่ มีวฒ
ั นธรรม โดยซับสปชสี แ รกทีพ่ บ 5. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน
คือ นีแอนเดอรทัล
มนุษยโครแมนยอง อยูซับสปชีสเดียวกับมนุษยยุคปจจุบัน คือ
H. sapiens sapiens มีขนาดสมอง 1,400 ลบ.ซม. มีความสามารถ
ในการลาสัตว ประดิษฐเครือ่ งมือจากหิน วาดภาพโดยใชสี และมีการอยู
รวมกันเปนชุมชุนทีมีกฏเกณฑ
ภาพที่ 7.43
แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
• แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามารก อธิบายวา สิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงโครงสรางใหเหมาะสมกับ
สภาพแวดลอมขณะเกิดวิวัฒนาการ โดยเสนอแนวคิด 2 แนวคิด
- กฎการใชและไมใช : อวัยวะสวนใดทีม่ กี ารใชมากในการดํารงชีวติ จะมีขนาดใหญและแข็งแรง แตอวัยวะ
สวนใดที่ไมมีการใชงานจะออนแอและเสื่อมลง
- กฎแหงการถายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหม : การเปลี่ยนแปลงโครงสรางของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นภายใน
ชั่วรุนนั้น และสามารถถายทอดไปยังรุนลูกหลานได
• แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของดารวิน
- ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ มีสาระสําคัญ ดังนี้
• การคัดเลือกโดยธรรมชาติทาํ ใหสงิ่ มีชวี ติ แตละตัวมีความสามารถในการอยูร อด และใหกาํ เนิดลูกหลานได
แตกตางกัน
• การคัดเลือกโดยธรรมชาติเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธระหวางสิ่งแวดลอมที่ประชากรอาศัยอยูกับลักษณะ
ความแปรผันทางพันธุกรรมของสมาชิกในประชากร
• ผลจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติทําใหประชากรมีการปรับตัวใหเหมาะสมเพื่อสามารถดํารงชีวิตใน
สิ่งแวดลอมนั้นได วิวัฒนาการ 135

ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู


มนุษยในขอใดอยูซับสปชีสเดียวกับมนุษยปจจุบัน 1 สมอง ขนาดสมองของมนุ ษ ย มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ พั ฒ นาการทางด า น
1. มนุษยชวา ความคิด โดยมนุษยจะเริ่มคิดสิ่งที่เปนปรัชญามากขึ้น ทําใหเกิดวัฒนธรรมซึ่ง
2. มนุษยปกกิ่ง เปนการพัฒนาทางดานสังคมที่ไมเกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตอื่น และความสามารถ
3. มนุษยโครแมนยอง ดังกลาวจะสะสมและถายทอดไปยังรุนตอๆ ไป ทําใหมนุษยสามารถดํารงชีวิต
4. มนุษยนีแอนเดอรทัล อยูในสภาพแวดลอมที่แตกตางกันได ตั้งแตพื้นที่เขตทะเลทรายจนถึงพื้นที่ขั้ว
5. มนุษยออสทราโลพิเทคัส โลก นอกจากนั้น การสะสมของวัฒนธรรมของมนุษยจากการเกิดวิวัฒนาการ
(วิเคราะหคาํ ตอบ มนุษยโครแมนยอง อยูซ บั สปชสี เ ดียวกับมนุษย ของวัฒนธรรมก็ชวยใหมนุษยสามารถดํารงเผาพันธุอยูได
ยุคปจจุบัน คือ H. sapiens sapiens ซึ่งมีวิวัฒนาการเมื่อ 40,000
ปที่ผานมา และสูญพันธุไปเมื่อ 20,000 ปที่ผานมา มีขนาดสมอง
ใกลเคียงกับมนุษยยุคปจจุบัน 1,400 ลบ.ซม. มีความสามารถใน
การลาสัตว ประดิษฐเครือ่ งมือจากหิน วาดภาพโดยใชสี และมีการ
อยูรวมกันเปนชุมชนที่มีกฎเกณฑ ดังนั้น ตอบขอ 3.)

T153
นํา สอน สรุป ประเมิน

ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรือ่ ง การเกิดสปชสี  พันธุศาสตร์ประชากร
ใหมของสิ่งมีชีวิต • พันธุศาสตร์ประชากร เป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงความถี่ของยีนหรือความถี่ของแอลลีลที่เป็น
องค์ประกอบทางพันธุกรรมของประชากร ซึ่งมีผลต่อการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
2. ครูตรวจสอบผลจากรายงานและการนําเสนอ
• การหาความถี่ของแอลลีลในประชากร
กิจกรรม การปรับปรุงพันธุพ ชื แบบพอลิพลอยดี
3. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถาม Unit ความถี่แอลลีล = จ�านวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทป์ในประชากร
จ�านวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
Question ท า ยหน ว ยการเรี ย นรู  ที่ 7 ใน
หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2 • กฎของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ เมือ่ ประชากรอยูใ่ นภาวะสมดุลของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ความถีข่ องแอลลีลหรือความถี่
4. ครูตรวจสอบผลจากการทําแบบทดสอบทาย ของจีโนไทป์ในยีนพูลจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผลรวมของแอลลีลของยีนหนึ่ง ๆ ในประชากรจะเท่ากับ
1 เสมอ (p + q = 1) และประชากรต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ได้แก่ ประชากรมีขนาดใหญ่ ไม่มี
หนวยการเรียนรูที่ 7 ในแบบฝกหัดชีววิทยา การถ่ายเทยีนระหว่างกลุ่มประชากร ไม่เกิดการกลาย สมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุ์เท่ากัน ไม่เกิด
ม.4 เลม 2 การคัดเลือกโดยธรรมชาติ และจากกฎของฮาร์ดไี วน์เบิรก์ สามารถใช้คาดคะเนความถีข่ องแอลลีลเกีย่ วกับ
5. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน โรคทางพันธุกรรมในยีนพูลของประชากร เช่น โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ โรคผิวเผือก เป็นต้น
• ปัจจัยที่ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล ประกอบด้วย
แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 - การเปลีย่ นแปลงความถีแ่ บบไม่เจาะจง มีลกั ษณะแบบสุม่ และไม่มที ศิ ทางทีแ่ น่นอน แบ่งออก 2 ประเภท
6. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน
ผลกระทบจากผู้ก่อตั้ง : เกิดจากการย้ายถิ่นของ ปรากฏการณ์คอขวด : เกิดจากประชากรขนาดใหญ่
ประชากรขนาดเล็กไปอยู่ในแหล่งที่อยู่ใหม่ และ ลดจ�านวนลงอย่างรวดเร็ว เนือ่ งจากภัยธรรมชาติ เช่น
ประสบความส�าเร็จในการสืบพันธุ์ ท�าให้ได้ประชากร แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ท�าให้บางแอลลีลในกลุม่
ใหม่เกิดขึ้นในแหล่งที่อยู่ใหม่ ประชากรเพิ่มขึ้น ลดลง หรือหายไป

ประชากรเริ่มต้น เหตุการณ์คอขวด ประชากรที่รอดชีวิต


ภาพที่ 7.44 ภาพที่ 7.45
- การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน ท�าให้ความถี่ของแอลลีลในประชากรสองกลุ่มมีความแตกต่างกันน้อยลง
จนเปรียบเสมือนประชากรเดียวกันในที่สุด
- การเลือกคู่ผสมพันธุ์ ท�าให้สมาชิกบางส่วนไม่มีโอกาสผสมพันธุ์ ส่งผลต่อความถี่ของแอลลีลในยีนพูล
ของประชากรรุ่นต่อไป
- มิวเทชัน ท�าให้มีการสร้างแอลลีลใหม่ในยีนพูลของประชากร
- การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ท�าให้แอลลีลบางแอลลีลในประชากรเพิ่มมากขึ้น แต่บางแอลลีลหายไป

136

แนวทางการวัดและประเมินผล ขอสอบเนน การคิด


ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง กําเนิดของสปชีส ไดจาก เงือ่ นไขใดทีท่ าํ ใหประชากรไมอยูภ ายใตภาวะสมดุลของฮารด-ี
รายงาน เรื่อง การปรับปรุงพันธุพืชแบบพอลิพลอยดี และผังสรุป เรื่อง การเกิด ไวนเบิรก
สปชีสใหมของสิ่งมีชีวิต ที่นักเรียนทําในขั้นขยายความเขาใจ โดยศึกษาเกณฑ 1. กลุมประชากรมีขนาดใหญ
การวัดและประเมินผลจากแบบประเมินผลงานที่อยูในแผนการจัดการเรียนรู 2. ไมเกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
หนวยการเรียนรูที่ 7 3. ไมเกิดการกลายในกลุมประชากร
แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 1, 4
แบบประเมินรายงาน
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ
4. กลุมประชากรมีการอพยพเขา-ออกตลอดเวลา
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องที่ตรงกับ

ลาดับที่
ระดับคะแนน

รายการประเมิน
ระดับคะแนน
ลาดับที่
1
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
เนื้อหาละเอียดชัดเจน
3

ระดับคะแนน


2

1 5. ประชากรทุกตัวในกลุมมีโอกาสผสมพันธุเทากัน
4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา   

( วิ เ คราะห คํ า ตอบ ภายใต ภ าวะสมดุ ล ของฮาร ดี - ไวน เ บิ ร  ก


1 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย   
2 ความสมบูรณ์ของรูปเล่ม
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ   
3 ความตรงต่อเวลา 5 วิธีการนาเสนอผลงาน   
รวม
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
............/................../.................. ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
ประชากรตองอยูภายใตเงื่อนไข ดังนี้ กลุมประชากรมีขนาดใหญ
ไมมีการถายเทเคลื่อนยายยีน ประชากรมีการผสมพันธุแบบสุม
เกณฑ์การประเมินรายงาน
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1 เกณฑ์การให้คะแนน
1. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนื้อหาสาระของ ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ของเนื้อหา รายงานถูกต้องครบถ้วน รายงานถูกต้องเป็น รายงานถูกต้อง รายงานไม่ถูกต้องเป็น

ไมเกิดการกลาย และไมเกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ดังนั้น


ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ส่วนใหญ่ บางประเด็น ส่วนใหญ่
2. ความสมบูรณ์ มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน องค์ประกอบไม่ ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
ของรูปเล่ม สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ แต่ยังไม่เป็น ครบถ้วน ไม่เป็น
ระเบียบ และรูปเล่ม ระเบียบ แต่รูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่ม
สวยงาม สวยงาม สวยงาม ไม่สวยงาม
3. ความตรงต่อ
เวลา
ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
กาหนด กาหนด 1 วัน
ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
กาหนด 2 วัน
ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
กาหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ตอบขอ 4.)
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 14-15 ดีมาก
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-13 ดี
11-12 ดีมาก 8-10 พอใช้
9-10 ดี ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
6-8 พอใช้

T154
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน

แนวตอบ Self Check


1. ผิด 2. ผิด 3. ถูก
ก�าเนิดของสปชีส์ 4. ผิด 5. ถูก
• ความหมายของสปีชีส์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท แนวตอบ Unit Question
- สปีชสี ด์ า้ นสัณฐานวิทยา : สิง่ มีชวี ติ ทีม่ โี ครงสร้างภายนอกเหมือนกันหรือการท�างานของโครงสร้างคล้ายกัน
- สปีชีส์ด้านชีววิทยา : สิ่งมีชีวิตที่สามารถผสมพันธุ์กันได้ในธรรมชาติ และให้ก�าเนิดลูกที่ไม่เป็นหมัน 1. จากโครงสร า งที่ กํ า หนดให พบว า ป ก
คางคาว รยางคคูหนาของวาฬ ขาหนาจระเข
• การเกิดสปีชีส์ใหม่ แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง
- การเกิดสปีชสี ใ์ หม่จากการแบ่งแยกทางภูมศิ าสตร์ ขาหนาซาลามานเดอร ขาหนาตุน แขนคน ปกนก
เป็นการเกิดสปีชีส์ใหม่ เนื่องจากมีสิ่งกีดขวาง และปกของเพนกวิน เปนอวัยวะที่มีโครงสราง
ท�าให้ประชากรดั้งเดิมถูกแบ่งแยก จึงไม่มีการ ภายในทีค่ ลายคลึงกัน แตมหี นาทีต่ า งกัน โดยจัด
ถ่ายเทเคลือ่ นย้ายยีนระหว่างกัน และประชากร โครงสรางเหลานี้เปนโครงสรางที่มีตนกําเนิด
มีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมตามการคัดเลือก
โดยธรรมชาติ เช่น กระรอก A. harrisi และ เดียวกัน ในขณะที่ปกผีเสื้อและปกแมลงปอ
ภาพที่ 7.46
A. Leucurus ในบริเวณแกรนด์แคนยอน เปนอวัยวะทีม่ หี นาทีเ่ หมือนกับปกคางคาว ปกนก
ซึง่ เชือ่ ว่าเคยเป็นสปีชสี เ์ ดียวกันมาก่อน เป็นต้น และป ก ของเพนกวิ น แต มี โ ครงสร า งภายใน
- การเกิดสปีชีส์ใหม่ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน แตกตางกัน จึงจัดโครงสรางเหลานีโ้ ครงสรางทีม่ ี
เป็ น การเกิ ด สปี ชี ส ์ ใ หม่ ใ นถิ่ น ที่ อ ยู ่ เ ดี ย วกั บ ตนกําเนิดตางกัน ซึ่งจากโครงสรางเหลานี้เปน
บรรพบุรษุ และมีกลไกป้องกันการผสมพันธุก์ นั
เช่น การเกิดพอลิพลอยดีของพืช เป็นต้น หลักฐานสนับสนุนวาคางคาว นก เพนกวิน
ภาพที่ 7.47 ซาลามานเดอร จระเข ตุน วาฬ และคน เปนสัตวมี
กระดูกสันหลังที่มีวิวัฒนาการมาจากบรรพบรุษ
Self Check เดียวกัน
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด 2. ในระยะแรกๆ ของการเจริญ สัตวมีกระดูก
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ สั น หลั ง จะมี อ วั ย วะบางอย า งที่ ค ล า ยคลึ ง กั น
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ เชน ชองเหงือก หาง แตเมื่อสัตวแตละชนิด
1. สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างแตกต่างกัน แต่ท�าหน้าที่เดียวกันในการด�ารงชีวิต 1.2 เจริญเปนตัวเต็มวัยจะมีอวัยวะบางสวนทีย่ งั คงอยู
แสดงว่าสิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการที่ใกล้ชิดกัน โดยชองเหงือกจะคงอยูในปลาและตัวออนของ
2. การคัดเลือกโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต เกิดจากการลดขนาดอวัยวะที่ 2.2 ซาลามานเดอรเพื่อทําหนาที่ในการหายใจ แต
ไม่ได้ใช้งานเพื่อให้เหมาะสมต่อการด�ารงชีวิต สัตวอนื่ ๆ จะปรับเปลีย่ นไปเพือ่ ความเหมาะสม
ุด

3. ประชากรทีอ่ ยูใ่ นภาวะสมดุลของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ จะมีความถีข่ องแอลลีล 3.2 ในการดํารงชีวติ เชน ชองเหงือกของมนุษยจะ
สม
ใน

ในประชากรทุกรุ่นเท่ากัน เปลีย่ นเปนทอยูสเทเชียนเพือ่ ทําหนาทีใ่ นการปรับ


ลง
ทึ ก
บั น

4. ปรากฎการณ์คอขวดจะเกิดขึ้นในกลุ่มประชากรขนาดเล็ก ซึ่งท�าให้กลุ่ม 3.3 ความดันในหูสว นกลาง เปนตน ในขณะทีห่ างจะ


ประชากรมีความแตกต่างทางพันธุกรรมน้อยมาก ยังคงอยูใ นสิง่ มีชวี ติ หลายชนิด ยกเวนมนุษย ซึง่
5. สิ่งมีชีวิต 2 ชนิดที่ไม่มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากรเกิดขึ้น 4. จากลักษณะทีค่ ลายคลึงกันในระหวางการเจริญ
ท�าให้มโี ครงสร้างทางพันธุกรรมทีต่ า่ งกัน จึงเป็นผลให้เกิดสิง่ มีชวี ติ สปีชสี ์ เติบโตของเอ็มบริโอของสัตวมีกระดูกสันหลัง
ใหม่ขึ้น
เหลานี้ บงชี้วามีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษ
วิวัฒนาการ 137 เดียวกัน แตในระยะปลายมีการเกิดวิวฒ ั นาการ
ขึน้ เพือ่ ความเหมาะสมตอการดํารงชีวติ ในสภาพ
แวดลอม
3. จากตาราง จะเห็นวา ไซโตโครม-ซีของมนุษยมกี รดอะมิโนแตกตางจาก 5. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ เปนกระบวนการคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะ
ของลิงซีรสั เพียง 1 ตําแหนงเทานัน้ แสดงวามนุษยจะมีความสัมพันธ เหมาะสมกับสิ่งแวดลอมใหสามารถดํารงชีวิต และสามารถสืบพันธุให
ทางวิวัฒนาการที่ใกลชิดกับลิงซีรัสมากที่สุด รองลงมา คือ กระตาย กําเนิดลูกหลานสิ่งมีชีวิตในรุนตอไปได โดยสิ่งมีชีวิตจะอาศัยการปรับ
และมา ตามลําดับ เนือ่ งจากจํานวนกรดอะมิโนทีม่ คี วามแตกตางนอย เปลีย่ นลักษณะทางสรีระ พฤติกรรม และรูปแบบการดํารงชีวติ ทีก่ ลมกลืมกับ
บงบอกถึงความสัมพันธทางวิวฒ ั นาการทีใ่ กลชดิ กัน สิง่ แวดลอม เพือ่ ใหสามารถดํารงชีวติ ในสิง่ แวดลอมทีเ่ ปลีย่ นแปลงได แตสาํ หรับ
4. ลามาร ก และดาร วิ น มี แ นวคิ ด เกี่ ย วกั บ ลั ก ษณะคอยาวของยี ร าฟ สิ่งมีชีวิตที่ไมสามารถปรับเปลี่ยนลักษณะตางๆ เพื่อการดํารงชีวิตได จะ
ที่ แ ตกต า งกั น โดยลามาร ก อธิ บ ายว า ยี ร าฟในอดี ต มี ลั ก ษณะ คอยๆ ลดจํานวนลง และสูญพันธุใ นทีส่ ดุ ซึง่ การปรับเปลีย่ นลักษณะตางๆ เพือ่
คอสั้น เมื่อพืชที่เปนอาหารบริเวณตนไมเตี้ยๆ มีไมเพียงพอ ทําให การดํารงชีวติ เหลานีท้ าํ ใหสงิ่ มีชวี ติ มีลกั ษระแตกตางจากเดิม จึงถือวาสิง่ มีชวี ติ
ยี ร าฟต อ งยื ด คอเพื่ อ กิ น ใบไม บ นต น ไม สู ง ๆ อยู  เ สมอ จึ ง ทํ า ให มีววิ ฒั นาการเกิดขึน้
ยีราฟในปจจุบันมีคอยาวกวายีราฟในอดีต แตแนวคิดของดารวิน 6. ประชากรที่มีจีโนไทป AA หรือ p2 = 0.7 × 0.7 = 0.49
อธิบายวา ยีราฟในอดีตมีทั้งสายพันธุคอสั้นและคอยาว ซึ่งเมื่อพืชที่ ดังนั้น จํานวนประชากรที่มีจีโนไทป AA = 0.49 × 500 = 245 คน
เปนอาหารบริเวณตนไมเตีย้ ๆ มีไมเพียงพอ ทําใหยรี าฟสายพันธุค อสัน้ ประชากรที่มีจีโนไทป Aa หรือ 2pq = 2 × 0.7 × 0.3 = 0.42
ไมสามารถกินใบไมที่บนตนไมสูงได จึงตายและลดจํานวนลงในที่สุด ดังนั้น จํานวนประชากรที่มีจีโนไทป Aa = 0.42 × 500 = 210 คน
ในขณะทีย่ รี าฟสายพันธุค อยาว สามารถกินไดทงั้ ตนไมเตีย้ ๆ และทีอ่ ยู ประชากรที่มีจีโนไทป aa หรือ q 2
= 0.3 × 0.3 = 0.09
ทีส่ งู ๆ จึงทําใหสามารถสืบทอดลักษณะดังกลาวไปยังรุน ตอไป ทําใหใน ดังนั้น จํานวนประชากรที่มีจีโนไทป aa = 0.9 × 500 = 45 คน
ปจจุบนั พบเฉพาะยีราฟทีม่ ลี กั ษณะคอยาว
หากประชากรนี้อยูในภาวะสมดุลฮารดี-ไวเบิรกจะมีจีโนไทป AA จํานวน
245 คน Aa จํานวน 210 คน และ aa จํานวน 45 คน
T155
นํา สอน สรุป ประเมิน

9. ปจจัยที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่ของ
แอลลีล มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอยางไมเจาะจง U nit
คําชี้แจง :
Question 7
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
ทําใหบางแอลลีลเพิ่มขึ้น บางแอลลีลลดลง
และบางแอลลี ล อาจหายไปจากกลุ  ม 1. จากโครงสร้างต่อไปนี้
ประชากร ซึ่งมีผลทําใหความหลากหลาย
ทางพันธุกรรมลดนอยลง ปีกค้างคาว คลีบวาฬ ปีกผีเสื้อ ขาหน้าจระเข้ ขาหน้าซาลามานเดอร์
- การถายเทเคลื่อนยายยีน ทําใหแอลลีลของ ขาหน้าตุ่น แขนคน ปีกนก ปีกแมลงปอ ปีกเพนกวิน
กลุมประชากร 2 กลุม มีบางแอลลีลเพิ่มขึ้น จงจ�าแนกประเภทของโครงสร้างเหล่านี้ตามหลักฐานทางกายวิภาคเปรียบเทียบ พร้อมอธิบาย
และบางแอลลีลลดลง ซึ่งทําใหประชากร เหตุผลประกอบ
2 กลุม มีความถี่ของแอลลีลใกลเคียงกัน
จนเหมือนเปนประชากรกลุมเดียวกัน 2. จงอธิบายความสัมพันธ์ของการเจริญของเอ็มบริโอของปลา ซาลามานเดอร์ เต่า ไก่ หมู และมนุษย์
- การเลือกคูผสมพันธุ ทําใหประชากรบาง 3. ก�าหนดให้กรดอะมิโนที่แตกต่างกันของไซโตโครม-ซีของมนุษย์ ลิงซีรัส กระต่าย และม้า ดังนี้
สวนของกลุมประชากรไมมีโอกาสผสมพันธุ
สิ่งมีชีวิต ลิงซีรัส กระต่าย ม้า
จึงทําใหบางแอลลีลลดลง และอาจหายไป
มนุษย์ 1 9 12
จากกลุมประชากร
- การกลายทีท่ าํ ใหเกิดลักษณะทีด่ ี แอลลีลใหม ลิงซีรัส - 8 11
จะถูกสะสมไวในยีนพูลของประชากร ทําให กระต่าย - - 3
เพิ่ ม ความหลากหลายทางพั น ธุ ก รรม
ของประชากร แต ห ากการกลายที่ ทํ า ให จงอธิบายความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จากข้อมูลในตาราง
เกิดลักษณะที่ไมดี แอลลีลใหมจะถูกคัดทิ้ง
ออกจากยีนพูลของประชากร 4. แนวคิดของลามาร์กและแนวคิดของดาร์วนิ เกีย่ วกับลักษณะคอยาวของยีราฟ มีความเหมือนหรือ
แตกต่างกัน อย่างไร
- การคัดเลือกโดยธรรมชาติ เปนการคัดเลือก
สิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี กั ษณะเหมาะสมกับสิง่ แวดลอม 5. ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วินสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างไร
ใหสามารถดํารงชีวติ และสืบพันธุใ หประชากร
รุ  น ต อ ไปได ส ว นสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี ลั ก ษณะไม 6. ในพื้นที่แหน่งหนึ่งมีประชากรจ�านวน 500 คน ประชากรนี้มีความถี่ของแอลลีล A = 0.7 และ
a = 0.3 ถ้าประชากรนี้อยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก จงหาจ�านวนประชากรที่มีจีโนไทป์
เหมาะสมกับสิ่งแวดลอมจะถูกคัดทิ้งและ
ในแบบต่าง ๆ
ลดจํานวนลง ซึ่งทําใหบางแอลลีลเพิ่มขึ้น
บางแอลลีลลดลง และบางแอลลีลอาจใหไป 7. การส�ารวจกลุม่ ประชากรในประเทศอังกฤษ จ�านวน 8,254 คน พบว่ามีหมูเ่ ลือด ดังนี้ M = 2,564
จากกลุมประชากร คน MN = 4,632 คน และ N = 1,058 คน จงค�านวณหาความถี่ของแอลลีล M และ N

138

7. จํานวนแอลลีล M (p) ทั้งหมดจากการสํารวจ 8. กําหนดให จีโนไทป AA แสดงลักษณะปกติ และ aa แสดงลักษณะของ


= (2 × 2,564) + 2,316 = 7,444 โรคโลหิตจางชนิดซิกเกิลเซลล
จํานวนแอลลีล N (q) ทั้งหมดจากการสํารวจ 16
ความถี่ของแอลลีล a คือ q2 = 10,000
= (2 × 1,058) + 2,316 = 4,432 q2 = 0.0016
จํานวนแอลลีลทั้งหมดในการสํารวจ q = 0.04
= 7,444 + 4,432 = 11,876 ดังนั้น ความถี่ของแอลลีล a = 0.04
ดังนั้น ความถี่ของแอลลีล M (p) = 7,444 จากสมการ p+q = 1
11,876
p = 1 - 0.04 = 0.96
= 0.63
ดังนั้น ความถี่ของแอลลีล A = 0.96
จากสมการ p+q = 1
คนที่เปนพาหะผิวเผือก = 2pq = 2Aa
เมื่อ p = 0.63
= 2 × 0.96 × 0.04
จะได q = 1 - 0.63
= 0.0768
= 0.37
แสดงวา ในประชากรแหงนีม้ คี วามถีข่ องแอลลีลทีท่ าํ ใหเกิดโรคโลหิตจาง
ดังนั้น ความถี่ของแอลลีล M = 0.63 และความถี่ของแอลลีล N = 0.37
ชนิดซิกเกิลเซลลเทากับ 0.04 หรือประมาณรอยละ 4 และความถี่ของ
แอลลีลทีแ่ สดงถึงการเปนพาหะเทากับ 0.0768 หรือประมาณรอยละ 7.68

T156
นํา สอน สรุป ประเมิน

10. จากการลดลงของสายพันธุปูเสฉวน พบวา มี


การลดลงหลั ง จากเกิ ด เหตุ ก ารณ สึ น ามิ ซึ่ ง
เปรี ย บเหตุ ก ารณ นี้ ไ ด กั บ การเปลี่ ย นแปลง
8. ในการสุม่ ประชากรภาคเหนือจ�านวน 10,000 คน พบว่า มีคนเป็นโรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ ความถี่ยีนอยางไมเจาะจงแบบปรากฏการณ
จ�านวน 16 คน หากประชากรอยู่ในสภาวะสมดุล ตามทฤษฎีของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก จงค�านวณ คอขวด โดยเปรียบใหประชากรปูเสฉวน 10
ความถี่ของแอลลีลที่ท�าให้เกิดโลหิตจากชนิดซิกเคิลเซลล์ และค�านวณหาจ�านวนคนที่เป็นพาหะ
สายพันธุ เปนกลุมประชากรขนาดใหญ และ
ของโรค
เมื่อเกิดสึนามิขึ้นทําใหจํานวนประชากรลดลง
9. ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลมีอะไรบ้าง และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง อยางรวดเร็ว และเหลือสายพันธุปูเสฉวนแค
อย่างไร เพียง 2 สายพันธุเทานั้นที่รอดชีวิต ในขณะที่
อีก 8 สายพันธุน นั้ สูญพันธุไ ป ซึง่ กลุม ประชากร
10. จากการส�ารวจพบว่า พื้นที่ชายฝั่งทะเลแห่งหนึ่งมีปูเสชวนกว่า 10 สายพันธุ์ และหลังจากการ
ที่เหลืออยูจะมีขนาดเล็กลง สงผลใหความถี่
เกิดสึนามิพบปูเสชวนเพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้น สาเหตุการลดลงของสายพันธุ์ปูเสชวนคืออะไร
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ของแอลลี ล ในยี น พู ล ของประชากรปู เ สชวน
ลดลง และมีความหลากหลายนอยลง
11. การเกิดมิวเทชันและการคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้เกิดวิวัฒนาการได้อย่างไร 11. การกลายทีท่ าํ ใหเกิดลักษณะทีด่ แี ละเหมาะสม
12. เพราะเหตุใด สิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี กั ษณะคล้ายคลึงกันมากจึงไม่สามารถผสมพันธุก์ นั และให้กา� เนิดลูกได้
ตอสิ่งแวดลอมที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู มีผลทําให
แอลลีลใหมที่เกิดขึ้นถูกสะสมไวในยีนพูลของ
13. “ประชากรกบที่มีถิ่นอาศัยร่วมกันอยู่ทางตอนเหนือของภาคอีสานของประเทศไทย ได้ท�าการ ประชากร ทําใหความหลากหลายทางพันธุกรรม
อพยพมาทางตอนใต้ของภาคอีสาน ในระหว่างการอพยพ ประชากรกบได้มีการแบ่งออกเป็น 2 ของประชากรเพิ่มมากขึ้น สวนการคัดเลือก
กลุ่มย่อย อันเนื่องมาจากหุบเขาขวางกั้น เมื่อเวลาผ่านไป กบแต่ละกลุ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยธรรมชาติ เ ป น การคั ด เลื อ กสิ่ ง มี ชี วิ ต
ลักษณะจนเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ และเมื่อกบ 2 กลุ่มได้กลับมาพบกันอีกครั้งในแหล่งที่อยู่อาศัย ทีม่ ลี กั ษณะเหมาะสมกับสิง่ แวดลอมใหสามารถ
เดียวกันทางตอนใต้ของภาคอีสานก็ไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้อีก” ดํ า รงชี วิ ต และสื บ พั น ธุ  ใ ห กํ า เนิ ด ลู ก หลาน
จากข้อความข้างต้น เป็นการเกิดสปีชีส์แบบใด เพราะเหตุใด ในรุ  น ต อ ไปได โดยสิ่ ง มี ชี วิ ต จะอาศั ย การ
ปรับตัวดานตางๆ เพื่อใหสามารถดํารงชีวิต
14. การเกิดพอลิพลอยดีมีผลต่อการเกิดสปีชีส์ใหม่อย่างไร ในสิ่งแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงได ซึ่งการปรับ
15. การดื้อสารฆ่าแมลงและการดื้อยาปฏิชีวนะเป็นกลไกการเกิดวิวัฒนาการหรือไม่ เพราะเหตุใด เปลี่ยนลักษณะตางๆ เหลานี้ ทําใหสิ่งมีชีวิต
มีลักษณะแตกตางจากเดิม จึงถือวาสิ่งมีชีวิต
มีวิวัฒนาการเกิดขึ้น
12. สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี ลั ก ษณะคล า ยคลึ ง กั น มาก แต
ไมสามารถผสมพันธุกันและใหกําเนิดลูกได
เพราะสิง่ มีชวี ติ ดังกลาวเปนสิง่ มีชวี ติ ตางสปชสี 
กัน มียีนแตกตางกัน จึงไมสามารถถายเท
วิวัฒนาการ 139 เคลือ่ นยายยีนระหวางประชากรได ซึง่ สิง่ มีชวี ติ
ตางสปชีสกันจะมีกลไกปองกันการผสมขาม
สายพั น ธุ  เช น กลไกการแยกกั น ทางการ
สืบพันธุกอนระยะไซโกต ซึ่งสิ่งมีชีวิตดังกลาวอาจจะมีถิ่นที่อยูอาศัย พฤติกรรมการผสมพันธุชวงเวลาในการผสมพันธุ หรือสรีรวิทยาของเซลลสืบพันธุที่
แตกตางกัน จึงทําใหสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคลายคลึงกันมากแตตางสปชีสกันไมสามารถผสมพันธุกัน และใหกําเนิดลูกได
13. จากขอความขางตน เปนการเกิดสปชีสใ หมจากการแบงแยกทางภูมศิ าสตร (allopatric speciation) ซึง่ มีสาเหตุมาจากภูมศิ าสตรเปนตัวขวางกัน้ ไดแก
หุบเขา ทําใหประชากรเกิดการแบงแยกออกเปน 2 กลุม ยอย แตละกลุม มีการเปลีย่ นแปลงไปตามกาลเวลาจนทําใหเกิดสปชสี ใ หมขนึ้ และเมือ่ ทัง้ 2 สปชสี 
กลับมาพบกันอีกครั้งก็ไมสามารถผสมพันธกันได เนื่องจากมีสปชีสที่ตางกันออกไปแลว
14. พอลิพลอยดี เปนความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งเกิดจากกระบวนการแบงเซลลแบบไมโอซิส ทําใหเซลลสืบพันธุมีจํานวนโครโมโซมเพิ่มชึ้น เชน
2 ชุด (2n) เปนตน และเมื่อเซลลสืบพันธุดังกลาวเกิดการปฏิสนธิจะไดไซโกตที่มีจํานวนโครโมโซมมากกวา 2 ชุด เชน โครโมโซม 3 ชุด (3n) โครโมโซม
4 ชุด (4n) เปนตน หากการเพิ่มขึ้นของชุดโครโมโซมของพืชเหลานี้สามารถผสมพันธุตอไปได และไมเปนหมันจะถือวาเปนสิ่งมีชีวิตสปชีสใหมที่เกิดจาก
พอลิพลอยดี
15. การดื้อสารฆาแมลงและการดื้อยาปฏิชีวนะ เปนกลไกการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตกลไกหนึ่ง เนื่องจากสิ่งมีชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสรางทาง
พันธุกรรมใหสามารถตานทานตอสารฆาแมลง และยาปฏิชวี นะได อีกทัง้ ยังสามารถถายทอดโครงสรางทางพันธุกรรมทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปยังสิง่ มีชวี ติ รุน ตอ
ไปได ทําใหโครงสรางทางพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงมีจํานวนมากขึ้นในกลุมประชากร

T157
S T E M Project
การเพาะพันธุ์ปลากัด
การเพาะพันธุ์ปลากัด เริ่มจากการคัดเลือกพ่อพันธ์ุ
และแม่พันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะของลูกปลากัดตามที่ต้องการ
โดยการพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์ของปลากัด ซึ่งจะคอย
จับคู่ให้พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลากัดเพื่อให้เกิดสีสันใหม่ ๆ
หลังจากที่ได้พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ตามลักษณะที่ต้องการแล้ว
น�ำพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์มาใส่ขวดแก้วแยกขวดเพื่อให้ปลากัด
ทั้งสองเพศได้เทียบคู่กัน และพร้อมส�ำหรับการผสมพันธุ์
ซึง่ สังเกตจากปลากัดเพศผูจ้ ะก่อหวอด (ฟองอากาศทีล่ อยอยู่
บนผิวน�้ำเป็นแพ) จากนั้นจึงน�ำมาใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้
ส�ำหรับการผสมพันธุ์และปล่อยทิ้งไว้ให้เกิดการผสมพันธุ์
เมื่อผสมพันธุ์และเพศเมียวางไข่แล้วให้แยกตัวเมียออกมา
ส่ ว นเพศผู ้ ป ล่ อ ยให้ ดู แ ลไข่ จ นลู ก ปลากั ด ฟั ก ออกจากไข่
แล้วจึงน�ำลูกปลามาแยกเลี้ยงให้เป็นตัวเต็มวัยต่อไป
สถานการณ์
ในอีกสามเดือนข้างหน้ามีออเดอร์เพื่อส่งปลากัดไปประเทศอิหร่าน 50,000 ตัว ซึ่งลูกค้าต้องการปลากัดสีเหลือง
สีแดง และสีน�้ำเงิน
เชื่อมโยงสู่ไอเดีย
ข้อจ�ำกัด
การเพาะพันธุ์ปลากัด ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ Science การคัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลากัดเพื่อ
ให้ได้ลูกปลากัดที่มีลักษณะ (สีและขนาด)
• ปลากัดต้องมีขนาด 5 ซม. ขึ้นไป ตามต้องการ เนือ่ งจากลักษณะทางพันธุกรรม
• ระยะเวลาเลี้ยง 2 เดือน ของพ่ อ และแม่ จ ะถู ก ส่ ง ผ่ า นไปยั ง ลู ก ผ่ า น
การสืบพันธุ์ จะท�ำให้ได้ลกู ทีม่ ลี กั ษณะเหมือน
• พื้นที่ที่ใช้ในการเลี้ยง 28 ตารางเมตร หรือแตกต่างจากพ่อและแม่ตามต้องการ
Technology อุ ป กรณ์ การให้ อาหารปลากั ด แบบครั้ ง ละ
วัสดุและอุปกรณ์ หลายตัว และภาชนะในการเพาะพันธุ์ปลากัด
ที่ดัดแปลงให้เหมาะสม
1. ปลากัดพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ (สีแตกต่างกันเพื่อให้ได้สี
ของลูกปลากัดตามต้องการ) Engineering ออกแบบอุ ป กรณ์ ใ ห้ อาหารปลากั ด ครั้ ง ละ
2. ภาชนะ เช่น อ่างดินเผา กะละมัง ถัง ตุ่มน�้ำขนาดเล็ก หลาย ๆ ตัว และออกแบบลักษณะลูกปลากัด
เพื่อใช้คัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลากัด
3. ขวดแก้ว
4. น�้ำสะอาด
5. พันธุ์ไม้น�้ำ เช่น พลูด่าง จอก
Mathematics ความน่าจะเป็นทีจ่ ะได้ลกู ปลากัดตามลักษณะ
ที่ต้องการ และการค�ำนวณพื้นที่การวางขวด

T158
1 ระบุปญหา
วิเคราะห์สถานการณ์ และระบุ
แนวทางการแก้ปัญหา เพื่อเป็น
แนวทางในการสร้างสรรค์ชนิ้ งาน
6 นําเสนอวิธีการแกปญหา 2 รวบรวมขอมูลและแนวคิด
รวบรวมแนวคิดที่ได้ และปัญหา สืบค้นความรู้ และรวบรวม
ที่พบในกิจกรรม เพื่อน�าเสนอวิธี ข้อมูลที่น�าไปแก้ปัญหา แล้ว
การแก้ปัญหา สรุปข้อมูลความรู้ที่ได้มาโดย
สังเขป

ขั้นตอน
การท�ากิจกรรม

5 ทดสอบ ประเมินผล 3 ออกแบบวิธก


ี ารแกปญ
 หา
และปรับปรุงแกไข
คิ ด วิ ธี ก ารแก้ ป ั ญ หาและ
บั น ทึ กรายละเอี ย ดของชิ้ น งาน ออกแบบชิน้ งาน ตามแนวทาง
แล้วทดสอบเพื่อหาแนวทางการ ทีเ่ ตรียมไว้
ปรับปรุงชิ้นงาน 4 วางแผนและดําเนินการ
แกปญหา

ร่วมกันวางแผนการสร้างสรรค์
ชิ้นงานอย่างเป็นล�าดับขั้นตอน
แล้ ว ตรวจสอบการด� า เนิ น การ
หากไม่ตรงตามแผนจะมีวิธีการ
แก้ไขอย่างไร

การประเมินผลงาน
ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การประเมิน
1 2 3 4 5
• ลักษณะของลูกปลากัดที่ได้
• ความสมบูรณ์แข็งแรงของลูกปลากัด
• คัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ได้อย่างเหมาะสม
• ระยะเวลาในการเพาะพันธุ์

T159
บรรณานุ ก รม
กิตติพัฒน์ อุโฆษกิจ. 2557. พันธุศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ประดิษฐ์ พงศ์ทองค�ำ. 2554. พันธุศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
วรวุฒิ จุฬาลักษณานุกูล. 2551. พันธุศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2544. การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สถาบัน
พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (ม.ป.ป.). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. ม.ป.ท. : ม.ป.พ.
ศุภณัฐ ไพโรหกุล. 2555. Essential Biology. กรุงเทพมหานคร : ธนาเพรส.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (ม.ป.ป.). คูม่ อื การใช้หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ส�ำหรับหลักสูตร
อนาคต ระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
Boone, K. 2007. Biology Expression. Singapore : Panpac Education.
Boone, K. 2007. Biology Expression-An Inquiry Approach. Singapore : EPB Pan Pacific.
Campbell, N. A., Reece, J. B. 2005 Biology. 7th ed. San Francisco : Pearson, Benjamin Cummings.
Grimm, A. et al. 2008. Science & Technology. United Kingdom : Parragon Publishing.
Hartwell, L.H. et al. 2000. Genetics : From Genes to Genome. Boston : McGraw-Hill Higher Education.
Lewis, R. et al. 2002. Life. New York : McGraw-Hill Higher Education.
Lewis, R. et al. 2005. Human Genetic : Concept and Application. Boston : McGraw-Hill Higher Education.

T160
สร้างอนาคตเด็กไทย
ด้วยนวัตกรรมการเรียนรูร
้ ะดับโลก ĔïðøąÖĆîÙčèõćóÿČęĂÖćøđøĊ÷îøĎšøć÷üĉßćđóĉęöđêĉö
ĀîĆÜÿČĂđøĊ÷îøć÷üĉßćđóĉęöđêĉöüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ßĊüüĉì÷ćǰ ßĆĚîöĆí÷öýċÖþćðŘìĊęǰ  đúŠöǰ 
êćöñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰÖúŠčöÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ÞïĆïðøĆïðøčÜǰóýǰ ǰêćöĀúĆÖÿĎêø

คู่มือครู
ĒÖîÖúćÜÖćøýċÖþć×ĆĚîóČĚîåćîǰóčìíýĆÖøćßǰǰđúŠöîĊĚǰïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆéǰđðŨîñĎšÝĆéóĉöóŤ
đñ÷ĒóøŠǰĒúąÝĞćĀîŠć÷ǰēé÷ĕéšÝĆéìĞćÙĞćĂíĉïć÷øć÷üĉßćđóĉęöđêĉöìĊęöĊìĆĚÜñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšđóĉęöđêĉö
ĒúąĂÜÙŤ ð øąÖĂïÿĞ ć ÙĆ â ĂČę î ìĊę ÿĞ ć îĆ Ö óĉ ö óŤ ÝĆ é ìĞ ć ×ċĚ î ǰ đóČę Ă ĔĀš ÿ ëćîýċ Ö þćĕéš đ ìĊ ÷ ïđÙĊ ÷ ÜÖĆ ï ĀúĆ Ö ÿĎ ê ø×ĂÜ
ÿëćîýċÖþćǰĒúąóĉÝćøèćđúČĂÖĔßšĀîĆÜÿČĂîĊĚðøąÖĂïÖćøÝĆéÖćøđøĊ÷îøĎšǰĔĀšÿĂéÙúšĂÜÖĆïĀúĆÖÿĎêøÿëćîýċÖþć
×ĂÜêîĕéšêćöÙüćöđĀöćąÿö

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ÃÒÂÇÔªÒà¾ÔèÁàµÔÁÇÔ·ÂÒÈÒʵÏáÅÐà·¤â¹âÅÂÕ ªÕÇÇÔ·ÂÒ Á.4 àÅ‹Á 2


ǰ ǰ ñĎšđøĊ÷ïđøĊ÷Üǰ ǰ éøđíĊ÷øǰǰíĊøąüøüÜýŤ
ǰ ǰ ǰ ǰ éøßúĉîĆîìŤǰǰđóĘÜÿč×
ǰ ǰ ǰ ǰ îć÷đĂÖøĆåǰǰüÜýŤÿüĆÿéĉĝ
ǰ ǰ ñĎšêøüÝǰ ǰ éøîĞćßĆ÷ǰǰßĊüüĉüøøíîŤ
ǰ ǰ ǰ ǰ éøðŞü÷ǰǰĂčŠîĔÝ
ǰ ǰ ǰ ǰ ñý éøýýĉüĉöúǰǰĒÿüÜñú
ïøøèćíĉÖćø ǰ ñý éøîĞĚćÙšćÜǰǰýøĊüĆçîćēøìĆ÷
ǰ ǰ ǰ ǰ îćÜÿćüüøćõøèŤǰǰìšüöéĊ
ïøĉ þĆ ì ǰ ĂĆ Ö þøđÝøĉ â ìĆ ý îŤ ǰ ĂÝìǰ ÝĞ ć ÖĆ é ǰ ×ĂøĆ ï øĂÜüŠ ć ǰ ñĎš đøĊ ÷ ïđøĊ ÷ Üǰ ñĎš ê øüÝǰ Ēúąïøøèćíĉ Ö ćøǰ
éĆÜÖúŠćüǰđðŨîñĎìš öĊę ÙĊ üćöøĎÙš üćöÿćöćøëĔîÖćøÝĆéìĞćĀîĆÜÿČĂîĊĔĚ ĀšöÙĊ üćöëĎÖêšĂÜǰĒúąöĊÙè č õćóĔîÖćøÝĆéÖćøđøĊ÷îøĎš
êćöüĆêëčðøąÿÜÙŤ×ĂÜøć÷üĉßćđóĉęöđêĉöìĊęÖĞćĀîé
ĀćÖñĎšĔßšĀîĆÜÿČĂĀøČĂÿĞćîĆÖÜćîÙèąÖøøöÖćøÖćøýċÖþć×ĆĚîóČĚîåćîóïüŠćǰĀîĆÜÿČĂđúŠöîĊĚöĊךĂïÖóøŠĂÜǰ
đîČĚĂĀćĕöŠëĎÖêšĂÜǰ đÖĉéñúđÿĊ÷Āć÷êŠĂÖćøđøĊ÷îøĎšǰ ÿŠÜñúÖøąìïìĆĚÜéšćîÙčèíøøöǰ Ýøĉ÷íøøöǰ ĒúąÙüćööĆęîÙÜ
×ĂÜßćêĉǰ đöČęĂïøĉþĆìĄǰĕéšìøćïĒúšüǰïøĉþĆìĄǰ÷ĉîéĊÜéÖćøÝĞćĀîŠć÷ìĆîìĊǰ ĒúąđøĊ÷ÖđÖĘïĀîĆÜÿČĂìĊęÝĞćĀîŠć÷ìĆĚÜĀöé
đóČęĂĒÖšĕ×ĔĀšëĎÖêšĂÜǰêúĂéÝîßéĔßšÙŠćđÿĊ÷Āć÷ìĊęđÖĉé×ċĚîÝøĉÜĔĀšÖĆïñĎšìĊęĕéšøĆïÙüćöđÿĊ÷Āć÷îĆĚîǰìĆĚÜîĊĚǰĔĀšđðŨîĕðêćö
óøąøćßïĆââĆêĉÙčšöÙøĂÜñĎšïøĉēõÙǰóýǰǰóøąøćßïĆââĆêĉÙčšöÙøĂÜñĎšïøĉēõÙǰ ÞïĆïìĊęǰ  ǰóýǰǰĒúą
óøąøćßïĆââĆêĉÙčšöÙøĂÜñĎšïøĉēõÙǰ ÞïĆïìĊęǰ  ǰóýǰǰøüöìĆĚÜ÷ĉî÷ĂöĔĀšÿĞćîĆÖÜćîÙèąÖøøöÖćøÖćøýċÖþć
×ĆĚîóČĚîåćîëĂéëĂîøć÷ßČęĂĀîĆÜÿČĂîĊĚĂĂÖÝćÖïĆâßĊÖĞćĀîéÿČęĂÖćøđøĊ÷îøĎšÿĞćĀøĆïđúČĂÖĔßšĔîÿëćîýċÖþćĕðÖŠĂî
ÝîÖüŠćÝąĕéšøĆïĒÝšÜüŠćöĊÖćøĒÖšĕ×ĒúšüǰóøšĂöìĆĚÜÖćøĒÝšÜðøąßćÿĆöóĆîíŤĔĀšÿëćîýċÖþćìøćï

ǰ ǰ
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ îć÷ßĆ÷èøÜÙŤ úĉöðşÖĉêêĉÿĉî
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ÖøøöÖćøñĎšÝĆéÖćøǰïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆé

นร.ชีววิทยา ม.4 ล.2


ISBN : 978 - 616 - 203 - 776 - 4
บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด

êÐúôĀÖ úèĀÖùĆüċòĄñè บริษท


โทร./แฟกซ์ 0 2622
òāñöăÙāċíăēðċäăðöăæñā÷āùäòŞ ÙĄööăæñāð ċôŚð 
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
ั .....................................................................................................................................................................................
อักษรเจริ ญทั2999
ศน์ อจท. (อัตจำกั
โนมัตดิ 20 คูส ่ าย)
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร
www.aksorn.com Aksornกรุ งเทพมหานคร 10200
ACT 9 786162 037764
โทร./แฟกซ์. 02 6222 999 (อัตโนมัติ 20 คูส ่ าย) www.aksorn.com 85.-

>> ราคาเล่มนักเรียนโปรดดูจากใบสัง
่ ซือ
้ ของ อจท.
คู่มือครู นร. ชีววิทยา ม.4 ล.2

บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 8 858649 138095
โทร. 0 2622 2999 (อัตโนมัติ 20 คูส
่ าย) 350.-
ID Line : @aksornkrumattayom www.aksorn.com อักษรเจริญทัศน์ อจท.
ราคานีเ้ ป็นของฉบับคูม
่ อ
ื ครูเท่านัน

You might also like