Professional Documents
Culture Documents
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
วิชากฎหมายควรรู้ (ส33201)
บรรพที่ 1 หลักทั่วไป กล่าวถึงบทเบ็ดเสร็จ บุคคล ทรัพย์ นิติกรรม
1. ผู้เยาว์ 2. คนไร้ความสามารถ
3. คนเสมือนไร้ความสามารถ 4. บุคคลวิกลจริต
1.4.1 ผู้เยาว์
หมายถึง บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีสิทธิตามกฎหมาย แต่ด้วย
ความอ่ อ นด้ อ ยทางอายุ แ ละวุ ฒิ ภ าวะท้ า ให้
ก ฎ ห ม า ย จ้ า กั ด ก า ร ใ ช้ สิ ท ธิ เ พื่ อ คุ้ ม ค ร อ ง
ผลประโยชน์ของผู้เยาว์
การบรรลุนิติภาวะ เกิดใน 2 กรณี คือ
1) อายุ 20 ปีบริบูรณ์
2) สมรสเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์
ความสามารถของผู้เยาว์
มาตรา 21 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้วางหลักทั่วไป
เกี่ยวกับ การท้านิติกรรมของผู้เยาว์ไว้ว่า “ผู้เยาว์จะทานิติกรรมใดๆต้อง
ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทาลง
ปราศจากความยินยอมเช่นนัน
้ เป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัตไิ ว้เป็นอย่างอื่น ”
ผู้แทนโดยชอบธรรม
เป็นบุคคลที่กฎหมายก้าหนดขึ้นเพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ของผู้เยาว์ โดย
หลักผู้เยาว์จะต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนหรือขณะท้านิติ
กรรมโดยผู้แทนโดยชอบธรรม คือ
1) ผู้ใช้อ้านาจปกครอง คือ บิดา มารดาของผู้เยาว์ เป็นผู้ใช้อ้านาจปกครองร่วมกัน
1) เมื่อคนไร้ความสามารถถึงแก่ความ
ตาย หรือ
2) เมื่อศาลได้สั่งเพิกถอนค้าสั่งให้เป็น
คนไร้ความสามารถ
1.4.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ
ห ม า ย ถึ ง บุ ค ค ล ที่ ไ ม่
สามารถจั ด การงานของตนเองได้
เพราะมีกายพิการหรือจิตฟั่นเฟือ น
ไ ม่ ส ม ป ร ะ ก อ บ ห รื อ ป ร ะ พ ฤ ติ
สุรุ่ยสุร่ายเป็นอาจิณ
หลักเกณฑ์ของคนเสมือนไร้ความสามารถ
2) เหตุข้างต้นท้าให้ไม่สามารถจัดท้าการงานของตนเองได้
2) รับคืนทรัพย์สินที่ไปลงทุน ต้นเงินหรือทุนอย่างอื่น
3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า
4) รับประกันโดยประการใดๆอันมีผลให้ตนต้องถูกบังคับช้าระหนี้
5) เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีก้าหนดระยะเวลา เกินกว่าหกเดือน
หรืออสังหาริมทรัพย์มีก้าหนดระยะเวลา เกินกว่าสามปี
6) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปเพื่อการกุศลหรือตามหน้าที่
7) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือภาระติดพัน
8) ท้าการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะได้มาหรือปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ /
สังหาริมทรัพย์อันมีค่า
9) ก่อสร้างหรือดัดแปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือซ่อมแซมอย่างใหญ่
10) เสนอคดีต่อศาลหรือด้าเนินกระบวนการพิจารณาใดๆ
11) ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
การสิ้นสุดแห่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
1) คนเสมือนไร้ความสามารถถึงแก่ความตาย
2) เมื่อศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
3) เมื่อศาลได้สั่งถอนค้าสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
1.4.4 บุคคลวิกลจริต
หมายถึง บุคคลที่มีอาการวิกลจริต
ที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
*** ถ้าบุคคลนั้นกระท้าการใดๆ ลง
ไปขณะที่ (มาตรา 30)
1) จริตวิกลอยู่ และ
2) คู่ก รณี อีก ฝ่ า ยรู้ว่ า ผู้ก ระท้า เป็ น
คนวิกลจริตการนั้นตกเป็น โมฆียะ
ตารางเปรียบเทียบคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถและบุคคลวิกลจริต
คนไร้ คนเสมือนไร้
หัวข้อ บุคคลวิกลจริต
ความสามารถ ความสามารถ
ค้าสัง่ ศาล สั่งแล้ว สั่งแล้ว ยังไม่ได้สั่ง
คนไร้ คนเสมือนไร้
หัวข้อ บุคคลวิกลจริต
ความสามารถ ความสามารถ
- ถู ก จ้ า กั ด - ท้ า นิ ติ ก ร ร ม ไ ด้ - โดยหลั ก การกระท้ า นิ ติ
ความสามารถโดย ต า ม ป ก ติ มี ผ ล กรรมใดๆมีผลสมบูรณ์ แต่จะ
สมบูรณ์แต่จะเป็นอัน
พินัยกรรม โมฆะเสมอ สมบูรณ์ เสียเปล่า หากกระท้า
ในขณะจริตวิกล
1.5 การสิ้นสภาพบุคคล
1.5.1 การตายตามธรรมชาติ
การที่หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้นและสมองหยุดท้างาน โดยการตรวจ
ด้วยการวัดคลื่นสมองด้วยไฟฟ้า
1.5.2 การตายโดยผลของกฎหมาย
“การสาบสูญ” คือ การสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยผลแห่งกฎหมาย
ข้อสังเกตผลของการสาบสูญ
1) กรณีมีคสู่ มรส – การสาบสูญ ไม่ท้าให้การสมรสขาด
จากกัน แต่เป็นเหตุให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
2) เรื่องมรดก – เมื่อศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ
มรดกย่ อ มตกแก่ ท ายาท แต่ ก รณี นี้ ผู้ รั บ มรดกอาจต้ อ งคื น
ทรัพย์มรดกที่ได้รับมาหากภายหลังพิสูจน์ได้ว่าผู้สาบสูญนั้นมี
ชีวิตอยู่
กรณีคนสาบสูญนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายเวลาอื่นผิดไปจากเวลาที่
กฎหมายสันนิษฐานไว้ คือ 5 ปี ในกรณีธรรมดาและ 2 ปีในกรณีพิเศษ ผู้มี
สิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนค้าสั่งแสดงความสาบสูญ ได้แก่บุคคลต่อไปนี้ คือ
ตัวผู้สาบสูญเองหรือผู้มีส่วนได้เสีย (บิดามารดา บุตร คู่สมรส) หรือพนักงาน
อัยการ ผลของการเพิกถอนค้าสั่ง คือ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์
แห่งการกระท้าทั้งหลายที่ได้กระท้าไปโดยสุจริตในระหว่างที่ศาลมีค้าสั่งให้
เป็นคนสาบสูญ
2. นิติบุคคล
คือ บุคคลตามกฎหมายที่กฎหมายสมมติขึ้นมาและรับรองให้มีสิทธิและ
หน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เป็นลักษณะของการที่บุคคลหลายคนร่วมกัน
ท้ากิจกรรมอันเดียวกัน
2.1 นิติบค
ุ คลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ได้แก่ มูลนิธิ เพื่อด้าเนินกิจกรรมสาธารณกุศล , สมาคม ที่ด้าเนิน
กิจการต่อเนื่องที่ไม่ได้แสวงหาก้าไรหรือรายได้มาแบ่งกัน , ห้างหุ้นส่วน
หรือ บริษัท กิจการที่บุคคลท้าร่วมกันเพื่อแบ่งก้าไร
2.2 นิติบค
ุ คลตามกฎหมายอืน
่
- รัฐวิสาหกิจต่างๆที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย
- มหาวิทยาลัย , พรรคการเมือง , กระทรวง , ทบวง , กรม , จังหวัด ,
เทศบาล , อบจ. , อบต. , กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา (คณะรัฐมนตรี ,
รัฐบาล , อ้าเภอ ≠ นิติบุคคล)
หนี้
เมื่อบุคคลอยู่รวมกันย่อมจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันโดยอาจอยู่ใน
รูปแบบของการให้กระท้า / งดเว้นการกระท้าบางอย่าง หรืออาจมีการ
ส่ ง มอบทรั พ ย์ สิ น แก่ กั น ด้ ว ยเหตุ เ หล่ า นี้ ป ระมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิชย์จึงต้องก้าหนดบทบัญญัติเรื่อง “หนี้” ขึ้น
สิทธิ
เจ้าหนี้ ลูกหนี้
หน้าที่
1.1 ลักษณะส้าคัญ
- มีเจ้าหนี้และลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับช้าระหนี้จากลูกหนี้
- มีความผูกพันในทางกฎหมายอันก่อให้เกิดสิทธิ หน้าที่ เช่น
เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ช้าระหนี้เมื่อถึงก้าหนด
- มีวัตถุแห่งหนี้อันเป็นข้อก้าหนดที่ว่า “ลูกหนี้ต้องปฏิบัติการช้าระหนี้ให้แก่
เจ้าหนี้อย่างไร” ได้แก่
(1) กรณีวัตถุแห่งหนี้เป็นทรัพย์
1. หากก้าหนดทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งการช้าระหนี้ถึงเวลาต้องช้าระ
(3) กรณีวัตถุแห่งการช้าระหนี้มีหลายอย่าง
กฎหมายให้สิทธิลูกหนี้เป็นผู้เลือกและต้องเลือกภายในเวลาที่ก้าหนด
1.3 บ่อเกิดของหนี้
1.3. 1 หนี้ ที่ เ กิ ด จากนิติ ก รรม
หมายถึง การแสดงเจตนาของบุคคลที่
จะก่อให้เกิดหนี้ขึ้นตามกฎหมาย บ่อเกิด
หนี้ ส้ า คั ญ ที่ สุ ด เช่ น สั ญ ญาซื้ อ ขาย ,
ขายฝาก , เช่าทรัพย์ เป็นต้น
1.3.2 หนี้ที่เกิดจากนิติเหตุ มี 4 กรณี ดังต่อไปนี้
การจัดการนอกสั่ง ลาภมิควรได้
กรณีที่การชาระหนี้เป็นการงดเว้นการกระทา กฎหมายให้อ้านาจ
เจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระท้าลงไปแล้ว โดยฝ่ายลูกหนี้
ต้องเสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อการภายหน้าด้วยก็ได้
1.5 การผิดนัด
การผิดนัด สามารถแยกพิจารณาได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 การผิดนัดของลูกหนี้
การผิดนัดของลูกหนี้เกิดขึ้นหลังจากที่หนี้ถึงก้าหนดช้าระแล้ว แต่
ลู ก หนี้ ยั ง ไม่ ช้ า ระหรื อ ช้ า ระล่ า ช้ า ซึ่ ง ลู ก หนี้ จ ะต้ อ งรั บ ผิ ด การผิ ด นั ด ของ
ลูกหนี้จะต้องประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
1. หนี้ ถึ ง ก้ า หนดช้ า ระแล้ ว หากไม่ มี ก้ า หนดเวลา
เจ้าหนี้สามารถเรียกช้าระหนี้ได้ทันที
1) กรณีก้าหนดเวลาช้าระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน
2) หนี้มูลละเมิด เจ้าหนี้ไม่ต้องเตือนเพราะลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดตั้งแต่เวลาท้าละเมิดแล้ว
ผลของการทีล่ กู หนีผ
้ ิดนัด
เมื่อลูกหนี้ผิดนัด นอกจากกฎหมายจะบัญญัติให้ลูกหนี้ต้องปฏิบัติการช้าระหนี้
เท่าที่ท้าได้แล้ว ลูกหนี้ยังต้องรับผิดเป็นพิเศษอีก ได้แก่
1) ลูกหนี้ต้องรับผิดค่าสินไหมทดแทนการไม่ช้าระหนี้
2) เจ้าหนี้บอกปัดไม่รับช้าระหนี้ได้
3) ลูกหนี้ต้องรับผิดในความเสียหาย
4) ลูกหนี้ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยในหนี้สิน คิดในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
กรณีที่ 2 การผิดนัดของเจ้าหนี้
การผิดนัดของเจ้าหนี้ ได้แก่ กรณีที่เจ้าหนี้ไม่รับช้าระหนี้หรือไม่เสนอช้าระ
หนี้ตอบแทน โดยไม่มีเหตุที่จะอ้างตามกฎหมายได้ มีผลท้าให้ลูกหนี้ไม่ตกเป็นฝ่าย
ผิดนัดและอาจหลุดพ้นความผิดได้ การผิดนัดของเจ้าหนี้แยกพิจารณา ได้ดังนี้
1. เจ้าหนี้ผิดนัด เพราะไม่รับช้าระหนี้
2. เจ้าหนี้ผิดนัด เพราะไม่เสนอที่จะท้าการช้าระหนี้ตอบแทน
ผลของการทีเ่ จ้าหนีผ
้ ิดนัด
1) เจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยในหนี้เงินระหว่างผิดนัดไม่ได้
2) ลูกหนี้หลุดพ้นจากความผิดทั้งปวง อันเกิดจากการไม่ช้าระหนี้
1.6 ลูกหนี้หลายคนและเจ้าหนี้หลายคน
1. หนี้อันแบ่งช้าระกันได้
หากมีเจ้าหนี้หลายคน เจ้าหนี้แต่ละคนต่างมีสิทธิเรียกร้องและจะ
ได้รับการช้าระหนี้ในส่วนที่ เท่าๆกัน หรือหากมีลูกหนี้หลายคน ลูกหนี้แต่
ละคนก็ต้องรับผิดช้าระหนี้เป็นส่วนเท่าๆกัน
2. เจ้าหนี้ร่วมและลูกหนี้ร่วม
หากเป็ น หนี้ ที่ บุ ค คลหลายคนต้ อ ง
ร่วมผูกพันตนช้าระหนี้จนครบถ้วนเรียกว่า
ลูกหนี้ร่วม และถ้าเป็นหนี้ที่บุคคลหลายคน
มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ช้าระหนี้จนกว่าจะ
ครบถ้วนเรียกว่า เจ้าหนี้ร่วม
2.1 ลูกหนี้ร่วม
กรณี ข องลู กหนี้ ห ลายคนหรื อ ลู กหนี้ ร่ ว มทุ กคนจะต้ อ งช้ า ระหนี้ โ ดย
สิ้นเชิง ถึงแม้ว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ช้าระเพียงครั้งเดียว ลูกหนี้ทุกคนยังคงต้อง
ผูกพันอยู่จนกว่าหนี้จะได้รับการช้าระ
ผลของการเป็นลูกหนีร้ ว่ ม
1) เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้คนใดคนหนึง่ จากจ้านวนลูกหนี้ทั้งหมดแต่เพียง
คนเดียวก็ได้
2) การที่ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งช้าระหนี้ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นด้วย
3) การที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่ง ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่
ลูกหนี้คนอื่นๆ
4) การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งนั้น ย่อมเป็นคุณประโยชน์แก่
ลูกหนี้คนอื่นด้วย
5) การที่หนี้เกลื่อนกลืนส้าหรับลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่ง เป็นคุณเฉพาะ
ลูกหนี้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างลูกหนี้ร่วม
1) ลูกหนี้ร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดเป็นส่วนๆเท่ากัน ถ้าส่วนที่ลูกหนี้คนใด
คนหนึ่งต้องช้าระแต่เรียกเอาจากลูกหนี้คนนั้นไม่ได้ ลูกหนี้คนอื่นต้องช่วยกันรับผิด
2) ถ้าลูกหนี้ร่วมคนใดช้าระหนี้แก่เจ้าหนี้เกินส่วนไปแล้ว ลูกหนี้คนนั้นย่อม
รับสิทธิจากเจ้าหนี้ฟ้องไล่เบี้ยส่วนดังกล่าวจากลูกหนี้ที่ยังไม่ได้ช้าระหนี้
2.2 เจ้าหนี้ร่วม
2) เจ้าหนี้ร่วมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ช้าระหนี้ทั้งหมดแก่ตนเพียงผู้เดียว โดยไม่ต้องให้
เจ้าหนี้ร่วมยินยอม
3) เมื่อเจ้าหนี้ร่วมคนใดผิดนัดย่อมเป็นโทษแก่เจ้าหนี้ร่วมคนอื่นด้วย
4) เจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บุคคลอื่นย่อมไม่กระทบสิทธิเจ้าหนี้อื่น
3. หนี้ที่แบ่งช้าระไม่ได้
3.1 กรณีของหนี้ที่แบ่งช้าระไม่ได้ที่มีลูกหนี้หลายคน
ให้บุคคลที่เป็นลูกหนี้เหล่านั้นต้องรับผิดชอบเช่นอย่างลูกหนี้ร่วม
เพราะไม่มีหนทางที่จะแบ่งแยกช้าระหนี้กันได้
3.2 กรณีของหนี้ที่แบ่งช้าระไม่ได้ทมี่ ีเจ้าหนี้หลายคน
ลู ก หนี้ จ ะช้ า ระหนี้ ใ ห้ ไ ด้ป ระโยชน์ แ ก่ เ จ้ า หนี้ ด้ว ยกั น
ทั้ ง หมดและเจ้ า หนี้ แ ต่ ล ะคนเรี ย กช้ า ระหนี้ ก็ ไ ด้ แ ต่ เ พื่ อ
ประโยชน์ด้วยกันหมดทุกคนเท่านั้น
1.7 ความระงับแห่งหนี้
1. การช้าระหนี้
การที่ลูกหนี้ได้ช้าระหนี้ถูกต้องตามความประสงค์ของเจ้าหนี้
2. การปลดหนี้
เจ้าหนี้ยินยอมยกหนี้ให้ลูกหนี้ โดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนต้องท้าเป็นหนังสือ
3. หักลบกลบหนี้
ต้องเป็นวัตถุอย่างเดียวกัน
4. แปลงหนีใ้ หม่
การระงับหนี้เก่าแต่มีหนี้ใหม่เกิดขึ้น
5. หนี้เกลือ่ นกลืนกัน
สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้มารวมกันอยู่ในบุคคลเดียวกัน
ทรัพย์/ทรัพย์สน
ิ
“อสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ ” หมายความว่ า ที่ ดิน และทรั พ ย์อัน ติ ดอยู่กับ ที่ ดิน มี
ลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น รวมถึงทรัพยสิทธิอัน
เกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อันติดกับที่ดิน
1.1 ที่ดิน หมายถึง พื้นดินที่เป็นผิวโลก
1.2 ทรัพย์อน
ั ติดอยู่กับทีด
่ ินเป็นการถาวร หมายถึง ทรัพย์ถาวรที่
เกิดโดยธรรมชาติหรือมนุษย์
1.3 ทรัพย์อน
ั ประกอบเป็นอันเดียวกับทีด
่ ิน ได้แก่ ภูเขา แม่น้า แร่ธาตุต่างๆ
1.4 ทรัพยสิทธิอน
ั เกีย
่ วกับทีด
่ ิน หมายถึง สิทธิที่มีเหนือทรัพย์สินนั้น
2. สังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 140 บัญญัติว่า
“ สั ง ห า ริ ม ท รั พ ย์ ” ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ท รัพย์ สิ น อื่ นนอ กจา ก
อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงสิทธิอันเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นด้วย
3. ทรัพย์แบ่งได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 141 บัญญัติว่า
“ทรัพย์แบ่งได้” หมายความว่า ทรัพย์อันอาจแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ
โดยไม่เสียรูปร่าง รูปทรงเดิม เพียงแต่ปริมาณอาจลดลง เช่น ข้าวสาร , ที่ดิน
4. ทรั พ ย์ แ บ่ ง ไม่ไ ด้ ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิ ช ย์
มาตรา 142 บัญญัติว่า
ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลไม้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปี
ไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน”
การกระท้าเพื่อก่อให้เกิดผลทางกฎหมายหรือก่อให้เกิดผลของนิติกรรม
ท้าให้เกิดการเคลื่อนไหวในสิทธิของบุคคล ตามวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรมนั้น
มีด้วยกัน 5 ประการ คือ
5.1 การก่อสิทธิ เป็นการก่อตั้งสิทธิใหม่ขึ้นจากสัญญาต่างๆ
1. แบบที่ต้องท้าเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เนื่องจากเป็นนิติกรรมที่มีความส้าคัญมาก กฎหมายจึงก้าหนด
ไว้ ว่ า นอกจากจะท้ า เป็ น หนั ง สื อ แล้ ว ต้ อ งไปจดทะเบี ย นต่ อ พนั ก งาน
เจ้า หน้ าที่ ด้ว ย เช่ น สัญ ญาซื้ อขายอสั งหาริม ทรั พย์ , สัญ ญาจ้า นอง ,
เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี เป็นต้น
2. แบบที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เป็นนิติกรรมที่กฎหมายก้าหนดให้จดทะเบียนโดยไม่ก้าหนดให้ท้าเป็นหนังสือ
3. แบบที่ต้องท้าเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
นิติกรรมที่กฎหมายก้าหนดให้ต้องท้าเป็นหนังสืออย่างน้อยสุดระหว่าง
กันเองซึ่งอาจจะมีประโยชน์ส้าหรับการใช้เป็นหลักฐานเพื่ออ้างอิงภายหลัง
5. แบบอื่นๆตามที่กฎหมายก้าหนด
กล่าวคือ เป็นแบบเฉพาะตามที่กฎหมายก้าหนดเป็นเรื่องๆไป ต่าง
จากนิติกรรม 4 แบบ ข้างต้น แต่เป็นนิติกรรมที่กฎหมายก้าหนดไว้เป็นพิเศษ
กฎหมายก้ า หนดแบบต่ า งๆของนิ ติ ก รรมไว้ แ ล้ ว ดั ง นั้ น คู่ สั ญ ญาจึ ง ต้ อ ง
ปฏิบัติตามเพื่อให้การท้านิติกรรมนั้นมีความสมบูรณ์ หากคู่สัญญาไม่ท้าตามแบบ
ของนิติกรรมที่ก้าหนดไว้จะก่อให้เกิดผล ดังนี้
1) นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ
2) คู่กรณีกลับสู่สภาพเดิมก่อนท้านิติกรรม
3) นิติกรรมที่เป็นโมฆะอาจถือไม่เป็นโมฆะได้
4) โมฆกรรมไม่กระทบถึงทรัพยสิทธิอย่างอืน
่ นอกเหนือจากนิติกรรม
หลักเกณฑ์เรื่องวัตถุประสงค์ของนิติกรรม
ไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่สามารถให้สัตยาบันให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ได้
2. โมฆียกรรม หมายความว่า นิติกรรมที่อาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่
เริ่มแรกได้แต่ตามความหมายทางกฎหมายนั้น นอกจากโมฆียกรรมอาจถูกบอก
ล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แล้ว โมฆียะกรรมอาจได้รับสัตยาบันท้าให้นิติกรรม
นั้นสมบูรณ์แต่เริ่มแรกได้เช่นกัน
สรุปได้ว่า “โมฆียะ” หมายถึง นิติกรรมที่มีผลจนกว่าจะถูกบอกล้างโดย
ผู้มีอ้านาจบอกล้างตามกฎหมาย
ก้าหนดระยะเวลาในการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ กฎหมายก้าหนดไว้เป็น
2 ช่วงเวลา ดังนี้
2) ต้องบอกล้างภายใน 10 ปี นับแต่ท้านิติกรรม
ข้อแตกต่างระหว่างโมฆกรรมและโมฆียกรรม
โมฆกรรม โมฆียกรรม
1. มีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้จนกว่าจะ
1. ถือว่าเสียเปล่ามาตั้งแต่ต้น
ถูกบอกล้าง
โมฆกรรม โมฆียกรรม
3. จะยกขึ้นกล่าวอ้างเมื่อใดก็ได้ ไม่มี 3. จะต้องบอกล้างภายในระยะเวลา
ก้าหนดเวลา ที่กฎหมายก้าหนด
1. เพื่อความยุติธรรมแก่ฝ่ายลูกหนี้
2. เพื่อเป็นการลงโทษผู้มีสิทธิแล้วไม่ใช้สิทธิ
3. เพื่อความสะดวกในเรื่องการหาพยาน หลักฐาน
4. เพื่อความสงบสุขเรียบร้อยในสังคม
5. เพื่อไม่ให้คดีความในศาลมีมากเกินควร
เอกเทศสัญญา
1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป
2. ต้องมีการแสดงเจตนาตรงกัน
3. ต้องมีวัตถุประสงค์
การก่อให้เกิดสัญญา
1. องค์ประกอบในการก่อให้เกิดสัญญา สัญญาเกิดขึ้นด้วยการแสดง
เจตนา ซึ่งคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็น “ค้า เสนอ” และอีกฝ่ายหนึ่ง
แสดงเจตนาเป็น “ค้าสนอง”
1.1 เงื่อนไขในการก่อให้เกิดสัญญา สัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อมีบุคคลตั้งแต่
สองฝ่ายขึ้นไป ฝ่ายหนึ่งมีค้าเสนอ อีกฝ่ายหนึ่งมีค้าสนอง
ก. ความสามารถของคู่ สั ญ ญา หากคู่สั ญ ญาฝ่ า ยใดฝ่ า ยหนึ่ งไม่ มี
ความสามารถตามที่กฎหมายก้าหนด สัญญาต้องเป็น “โมฆียะ” (ผู้เยาว์ ,
บุคคลวิกลจริต , คนเสมือนไร้ความสามารถ)
ข. ความยินยอมของคู่สัญญา ทั้งสองฝ่ายต้องมีความตกลงยินยอมร่วมกัน
ก. โมฆะและโมฆียะ
1) สัญญาที่ท้าขึ้นและมีผลบังคับโดยสมบูรณ์
ข. การแสดงเจตนาโดยอ้อมหรือโดยปริยาย การกระท้าที่ผู้กระท้า
ท้าไปโดยมีวัตถุประสงค์อื่น
ค. การแสดงเจตนาโดยการนิ่ง ตามหลักการนิ่งไม่เป็นการแสดงเจตนา
กรณีที่ 1 ข้อยกเว้นตามบัญญัติของกฎหมาย
กรณีที่ 2 ข้อยกเว้นตามหลักความซื่อสัตย์สุจริตซึ่งคู่กรณีควรมีต่อกัน
2. ค้าเสนอและค้าสนอง
1) ค้าเสนอเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่มีผลผูกพันผู้เสนอ
4) เมื่อผู้เสนอได้แสดงค้าเสนอไปแล้ว ผู้เสนอไม่มีสิทธิปฏิเสธหรือเลือกปฏิบัติ
5) ค้าเสนอไม่จ้าเป็นต้องกระท้าหรือเสนอไปยังบุคคลหนึ่ง
ประเภทของค้าเสนอ
1) ค้าเสนอเฉพาะหน้า อาจกระท้าได้ด้วยการเสนอต่อบุคคลที่อยู่เฉพาะหน้า
คือ พูดคุยกันต่อหน้า หรือพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ตอบโต้กัน ท้าให้สามารถเข้าใจได้
ทันทีในขณะนั้น ถือว่าเป็นค้าเสนอเฉพาะหน้า ค้าเสนอเฉพาะหน้าย่อมรู้ผลได้ทันทีว่า
ค้าสนองตอบมาจะตรงกับค้าเสนอหรือไม่ สัญญาจะเกิดขึ้นหรือไม่ เว้นไว้แต่ว่าผู้เสนอ
จะก้าหนดเวลาให้ตอบค้าสนองในภายหลังหรือภายในระยะเวลาที่ก้าหนด
2) ค้าเสนออยู่ห่างโดยระยะทาง อาจกระท้าได้ด้วยส่งค้าเสนอไป
ยังต่างจังหวัด หรือต่างส้านักงาน ค้าเสนอต้องใช้เวลาเดินทาง เช่น ส่งค้า
เสนอไปทางไปรษณีย์ ผู้เสนอต้องก้าหนดระยะเวลาพอสมควรในการที่จะให้
ผู้รับค้าเสนอตอบรับค้าสนองกลับมา
ผลของค้าเสนอ เมื่อมีการแสดงเจตนามีผลเป็นค้าเสนอแล้ว ค้าเสนอ
นั้นจะมีผลตามกฎหมายอย่างไร สามารถแยกพิจารณาได้ ดังนี้
(1) ค้าเสนอที่กระท้าต่อบุคคลอยู่เฉพาะหน้าและมิได้ก้าหนดระยะเวลา
ค้าเสนอเฉพาะหน้าได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อส่งค้าเสนอไปย่อมได้ค้าตอบสนอง
ทันทีว่าค้าสนองที่ตอบกลับมาตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรงกับค้าเสนอ ค้าเสนอ
นั้นก็สิ้นผล หรือสิ้นความผูกพัน
ตัวอย่างเช่น นายปราโมทย์เสนอขายรถยนต์ให้นายปรีดาราคาสองแสนบาท
นายปรีดารับฟังแล้วก็นิ่งเฉยไม่ตอบแต่ประการใด หรือว่าตอบว่าไม่ซื้อ เท่ากับเป็นการ
บอกปัด หรือตอบแต่บอกว่าให้ลดราคาให้เหลือหนึ่งแสนแปดหมื่นบาทได้มั้ย เช่นนี้เป็น
ค้าสนองที่ไม่ตรงกับค้าเสนอ นายปราโมทย์อาจตอบ ตกลงขาย หรือให้นายปรีดาไป
คิดก่อน และมาให้ค้าสนองอีก หรือตอบปฏิเสธไม่ขายก็ได้
(2) ค้าเสนอที่ก้าหนดระยะเวลา เมื่อก้าหนดระยะเวลาไว้ให้ผู้รับค้า
เสนอท้าค้าสนอง ผู้เสนอจะต้องผูกพันต่อค้าเสนอนั้นจนกว่าจะหมด
ระยะเวลา จะถอนค้ า เสนอก่ อ นหมดระยะเวลาไม่ ไ ด้ ค้ า เสนอที่ ก้ า หนด
ระยะเวลาให้ ต อบสนองนี้ หากใช้ กั บ ผู้ อ ยู่ ห่ า งโดยระยะทาง ผู้ เ สนอต้ อ ง
ก้าหนดระยะเวลาให้ตอบ ค้าสนองยาวมากขึ้นเป็น 15 วัน หรือ 30 วัน
ส่ว นหลักการคงยึดหลักเดียวกัน ว่า กาหนดระยะเวลาไว้แ ล้ว จะ
ถอนค าเสนอก่ อ นก าหนดไม่ ไ ด้ เมื่ อ ครบก าหนดระยะเวลาแล้ ว ไม่ มี ค าสนอง
กลับมา คาเสนอก็สิ้นผลผูกพัน
ลักษณะของค้าสนอง
1) ค้าสนองเป็นการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง โดยปริยาย และโดยการนิ่ง
2) หากค้าสนองยังไม่ได้ส่งไปหรือส่งไปยังไม่ถึงผู้รับ = สัญญายังไม่เกิด
3) หากในค้าสนองมีข้อความเพิ่มเติม ถือเป็นการบอกปัดไม่รับค้าเสนอ
4) ค้าสนองต้องมุ่งเจาะจงไปยังผู้เสนอ
ผลของค้าสนอง เมื่อผู้รับค้าเสนอได้แสดงเจตนาเป็นค้าสนองแล้ว จะมีผล
ทางกฎหมายเพียงใด สามารถแยกพิจารณาได้ ดังนี้
1. เมื่อมีการสนองรับตามค้าเสนอทุกประการก่อนค้าเสนอสิ้นความผูกพัน
สัญญาจะเกิดขึ้นทันที
2. เมื่อท้าค้าสนองแล้วจะถอนค้าสนองไม่ได้ เว้นแต่เป็นค้าสนองที่
ส่งไปถึงผู้เสนอที่อยู่ห่างโดยระยะทาง และการบอกถอนค้าสนองได้ไปถึง
ผู้เสนอก่อนหรือพร้อมกับค้าสนอง ค้าสนองนั้นจึงจะถอนได้
3. ค้าสนองไม่สิ้นความผูกพันเพราะเหตุผู้สนองตายหรือตกเป็นคน
ไร้ ค วามสามารถ คนเสมื อ นไร้ ความสามารถ เว้ น แต่ ผู้ส นองนั้ น ได้แ สดง
เจตนาไว้ในค้าสนองด้วยว่าถ้าตนตายหรือตกเป็นคนไร้ความสามารถ คน
เสมือนไร้ความสามารถก่อนค้าสนองจะไปถึงผู้เสนอให้ค้าสนองนั้นสิ้นความ
ผูกพัน ค้าสนองนั้นจึงสิ้นความผูกพันได้
4. ค้าสนองล่วงเวลา หมายถึง ค้าสนองที่ไปถึงผู้เสนอช้ากว่าเวลาที่ก้าหนดให้
ท้าค้าสนอง หรือค้าสนองที่เห็นโดยประจักษ์ว่าได้สั่งโดยทางการแล้ว ซึ่งตามปกติ
ควรจะมาถึ ง ภายในก้ า หนดเวลาที่ ใ ห้ ท้ า ค้ า สนอง แต่ ค้ า สนองนั้ น มาถึ ง ล่ า ช้ า กว่ า
ก้าหนด และผู้เสนอได้บอกกล่าวแก่ผู้สนอง โดยพลันว่าก้าหนดสนองนั้นมาถึงช้ากว่า
ก้าหนด ผลของค้าสนองล่วงเวลา คือ ท้าให้ค้าเสนอสิ้นความผูกพัน และค้าสนองที่
ไปถึงล่วงเวลานั้นกลายเป็นค้าเสนอขึ้นมาใหม่
5. ค้าสนองที่มีข้อความเพิ่มเติมหรือมีข้อจ้ากัด หรือมีข้อแก้ไขที่ไม่ตรงกับ
ข้อความในค้าเสนอทุกประการ ถือว่าเป็นค้าบอกปัดไม่รับค้าเสนอ ซึ่งมีผลให้ค้า
เสนอสิ้นความผูกพัน และค้าสนองนั้นจะกลายเป็นค้าเสนอขึ้นมาใหม่
การเกิดสัญญา
1. การเกิดสัญญาโดยทั่วไป มีดังต่อไปนี้
ก. หลักเบื้องต้นของการเกิดสัญญา
ข. เวลาที่เกิดสัญญา สามารถพิจารณาได้ 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 หากบุคคลทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันโดยระยะทาง สัญญา
จะเกิดขึ้นเมื่อค้าสนองไปถึงผู้เสนอ
กรณีที่ 2 หากบุคคลทั้งสองฝ่ายอยู่เฉพาะหน้า และ
มีการเสนอกันเฉพาะหน้าและมิได้บ่งระยะเวลาให้สนองรับ
หากได้สนองรับในทันทีสัญญาเกิดเวลานั้น
ค. สถานที่ซึ่งเกิดสัญญา
2. กรณีที่สัญญาไม่เกิด
สัญญาจะไม่เกิดขึ้นหากทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ตกลงสาระส้าคัญของ
สัญญาจนครบทุกข้อ กรณีที่สองฝ่ายตกลงกันว่าสัญญาจะเกิดขึ้นต้องท้า
เป็นลายลักษณ์อักษร ถ้ายังไม่ท้าสัญญาไม่เกิด
การตีความสัญญา
ก. การตีความสัญญาไปตามประสงค์ในทางสุจริต
ข. ปกติประเพณี
ค. หลักที่ใช้ประกอบในการตีความสัญญา มีดังต่อไปนี้
1) การหาเจตนารมณ์ของคู่สัญญาจะต้องพิจารณาสัญญานั้นทั้งฉบับ
2) ถ้ามีสัญญาหลายฉบับ ต้องพิจารณาทุกฉบับร่วมกัน
3) บางกรณีการแสวงหาเจตนารมณ์ของคู่สัญญาในขณะท้าสัญญาอาจ
หาได้จากการที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกัน
4) หากเดิมคู่สัญญาตกลงกันด้วยวาจาอย่างหนึ่ง แต่เมื่อท้าสัญญาเป็น
ลายลั ก ษณ์ อั ก ษรกลั บ แตกต่ า งจากที่ ต กลงด้ ว ยวาจาให้ ถื อ ตามลายลั ก ษณ์
อักษร
5) หากข้อความในสัญญาเกิดขัดแย้งกันเองจนหาเจตนารมณ์ของคู่กรณี
ไม่ได้ศาลอาจรับฟังข้อเท็จจริงอื่นเพื่อประกอบการตีความ
6) สัญญานั้นต้องตีความไปในทางที่มีผลบังคับได้
8) หากในเอกสารนั้นมีจ้านวนเงินที่เป็นทั้งตัวเลขและตัวอักษร และ
ปรากฏว่ าตั วเลขและตั วอักษรนั้นไม่ต รงกัน หากศาลไม่อาจหยั่งทราบ
เจตนาอันแท้จริงได้ต้องถือเอา จ้านวนเงินที่เป็นตัวอักษรนั้นเป็นประมาณ
9) หากจ้านวนเงินหรือปริมาณได้แสดงไว้เป็นตัวอักษรหลายแห่งหรือเป็น
ตัวเลขหลายแห่ง แต่ละแห่งไม่ตรงกันให้เอา จ้านวนเงินหรือปริมาณที่น้อยสุด
1. ผลแห่งสัญญาทั่วไป แยกพิจารณาได้ดังนี้
ก. ผลผูกพันระหว่างคู่สัญญา ค้าเสนอและค้าสนองตรงกัน
ก่อให้เกิดการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือ “เจ้าหนี้” และ “ลูกหนี้”
ข. ผลบั ง คั บ ทางกฎหมายเพื่ อ ให้ เ ป็ น ไปตามข้ อ ตกลงในสั ญ ญา ย่ อ ม
ก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะเรียกให้ลูกหนี้ปฏิบัติการช้าระหนี้
ค. ข้อตกลงเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติบังคับแห่งหนี้ ห้ามมิให้ลูกหนี้ท้าความตก
ลงยกเว้นมิให้ตนต้องรับผิดเพื่อกลฉ้อฉลไว้ล่วงหน้า
ก. ผลแห่งสัญญาต่างตอบแทนว่าด้วยการช้าระหนี้
หากคู่สัญญาฝ่ายใดผิดสัญญาเป็นเหตุให้อีกฝ่ายเสียหาย ฝ่ายเสียหายมี
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย (ไม่จ้าเป็นต้องกลับสู่สถานะเดิมถ้าไม่ขัดต่อกฎหมาย
ศีลธรรม)
2. การช้าระหนี้ของคู่สัญญาในการเลิกสัญญา
กรณีต้องมีการช้าระหนี้คู่สัญญาฝ่ ายหนึ่งจะไม่ยอมช้าระหนี้จนกว่ า
คู่สัญญาอีกฝ่ายจะช้าระหนี้ก็ได้
3. ความระงับสิ้นไปของสิทธิเลิกสัญญา
สัญญาต่างตอบแทน สัญญาไม่ต่างตอบแทน
คือ สัญญาที่คู่กรณีแต่เพียงฝ่ายเดียวมี
คือ สัญญาที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างเป็น
หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติการช้าระหนี้แก่อีก
เจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน
ฝ่ายหนึ่ง
เช่น สัญญาซื้อขาย , สัญญาเช่าทรัพย์
เช่น สัญญายืม
2. สัญญามีค่าตอบแทน – สัญญาไม่มค
ี า่ ตอบแทน
สัญญามีค่าตอบแทน สัญญาไม่มีค่าตอบแทน
แม้สัญญาทั้งสองจะบริบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมและเป็นสัญญาไม่ต่าง
ตอบแทนเช่นเดียวกัน แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
สัญญายืมใช้คงรูป (มาตรา 640) สัญญายืมใช้สน
ิ้ เปลือง (มาตรา 650)
1. จะต้องคืนทรัพย์สินอันเดียวกับทีย
่ ืม 1. ไม่ต้องคืนทรัพย์สินอันเดียวกับทีย
่ ืมไป
แต่จะต้องคืนทรัพย์สินที่เป็นประเภท
เดียวกัน ชนิดและปริมาณเดียวกันกับ
ทรัพย์สินที่ยืม
2. กรรมสิทธิ์ไม่โอนไปยังผู้ยืม 2. กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ยืม
3. ไม่มีค่าตอบแทน (หากมีค่าตอบแทน 3. อาจมีค่าตอบแทนได้ เช่น ดอกเบี้ยใน
อาจกลายเป็นสัญญาเช่าทรัพย์) สัญญากู้ยืมเงิน
2. การกู้ยืมเงิน
การกู้ ยื ม เงิ น เป็ น การยื ม ใช้ สิ้ น เปลื อ งแบบหนึ่ ง เพี ย งแต่ มี
บทบัญญัติที่พิเศษ กล่าวคือ
แพ หมายความเฉพาะแต่แพที่เป็นทีอ่ ยู่อาศัยของคน
สัตว์พาหนะ หมายความถึงสัตว์ที่ใช้ในการขับขี่ลากเข็น
และบรรทุกซึ่งสัตว์เหล่านี้ต้องท้าตั๋วรูปพรรณแล้ว ได้แก่ ช้าง ม้า
วัว ควาย ลา ล่อ
2. สัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
สัญญาจะซื้อจะขาย
คือ การที่คู่กรณีตกลงในขั้นแรกเพียงว่าจะท้าสัญญากันแล้วเท่านั้น
ส่ ว นกรรมสิ ท ธิ์ จ ะ โอนไปเมื่ อ คู่ สั ญ ญาได้ ท้ า สั ญ ญาซื้ อ ขายตามแบบใน
ภายหลังอีกครั้ง
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
คือ คู่กรณี ต กลงกัน ทุ กเรื่ อ งโดยเสร็ จ สมบู ร ณ์ แ ละมี การ
ระบุทรัพย์สินที่ขายแน่นอน เรียกกันว่า “ทรัพย์เฉพาะสิ่ง” เกิดขึ้น
สัญญาเช่าทรัพย์ และสัญญาเช่าซื้อ
1. ลักษณะทั่วไปของสัญญาเช่าทรัพย์
หัวข้อ อสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์/สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
1. เป็นสัญญาที่ให้ “ผู้ให้เช่า” น้าทรัพย์สินออกให้ “ผู้เช่า” เช่า โดยผู้เช่ามีสิทธิ
หัวข้อ รายละเอียด
ความหมาย คือ สัญญาซึ่ง “ผู้ให้เช่าซื้อ” เอาทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็น
อสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ แ ละสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ อ อกให้ เ ช่ า และให้
ค้ามั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็น
ของ “ผู้เช่าซื้อ ” เมื่อผู้เช่าซื้อได้ช้าระเป็นจ้านวนเงิน
ครบครั้งในสัญญา
หัวข้อ รายละเอียด
โดยหลักผู้เช่าซื้อสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อในเวลา
ความระงับ ใดก็ ไ ด้ โดยการส่ ง มอบทรั พ ย์ สิ น คื น ส่ ว นผู้ใ ห้ เ ช่ า ซื้ อ
แห่งสัญญา สามารถบอกเลิกสัญญาได้เมื่อ ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงิน
สองคราวติดๆกัน
หัวข้อ รายละเอียด
ผู้ให้เช่าซื้อชอบที่จะริบบรรดาเงินค่าเช่าซื้อได้
ผลของการบอกเลิก
ใช้ ม าแล้ ว แต่ ก่ อ นและกลั บ เข้ า ครอบครอง
สัญญา
ทรัพย์สินได้
สัญญาค้้าประกัน
คือ สัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้ค้าประกัน” ผูกพันตนต่อ
“เจ้าหนี”้ คนหนึ่งเพื่อช้าระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ช้าระหนี้นั้น เช่น แดงกู้เงินจากด้าโดย
มีเขียวมาท้าสัญญาค้้าประกันกับด้าเพื่อประกันหนี้เงินกู้ของแดง เมื่อหนี้ถึงก้าหนด
ช้าระ แดงไม่ยอมช้าระหนี้เงินกู้ ด้าสามารถเรียกให้เขียวช้าระหนี้เงินกู้ในฐานะเป็นผู้
ค้้าประกันได้
ลักษณะของสัญญาค้้าประกัน
1) เป็นสัญญาอุปกรณ์ การค้้าประกันต้องมีหนี้เดิม (หนี้ประธาน)
ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ก่อนเสมอ สัญญาค้้าประกันนั้นเป็นเพียงสัญญา
อุปกรณ์ของหนี้ประธานซึ่งมีขึ้นเพื่อให้เจ้าหนี้มีหลักประกันการช้าระหนี้ของ
ลูกหนี้ได้มั่นคงยิ่งขึ้น สัญญาค้้าประกันจะมีขึ้นเพียงล้าพังโดยปราศจาก
สัญญาประธานไม่ได้
2) เป็นสัญ ญาระหว่างเจ้า หนี้กับผู้ค้าประกัน ผู้ค้าประกัน
ต้องเป็นบุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ และสัญญาค้้า
ประกันเป็นสัญญาสองฝ่ายซึ่งท้าขึ้นระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้าประกัน
ส่วนลูกหนี้ไม่ได้เป็นคู่สัญญาในสัญญาค้้าประกันด้วย
3) เป็นสัญญาที่ผู้ค้าประกันจะช้าระหนี้แทนเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ช้าระหนี้
เมื่อหนี้ถึงก้าหนดช้าระ หากลูกหนี้ผิดนัดไม่ช้าระหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้
ค้้า ประกั น ช้า ระหนี้ ไ ด้ แต่เ จ้ าหนี้ ต้ องมี ห นังสื อบอกกล่ า วไปยังผู้ค้า ประกัน
ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดเสียก่อน และเมื่อผู้ค้าประกันช้าระ
หนี้ให้แก่เจ้าหนี้แล้ว ผู้ค้าประกันมีสิทธิไล่เบี้ยเรียกเงินที่ตนได้ช้าระให้แก่เจ้าหนี้
ไปแล้วคืนจากลูกหนี้ได้
4) เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบ ดังนั้น สัญญาค้้าประกันจึงสมบูรณ์เมื่อมีการตก
ลงกันระหว่างผู้ค้าประกันกับเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะตกลงกันด้วยวาจาหรือลายลักษณ์
อักษร แต่การที่จะฟ้องให้ผู้ค้าประกันรับผิดตามสัญญาค้้าประกันได้นั้นจะต้องมี
หลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้าประกันเป็นส้าคัญ
อย่างไรก็ดีสัญญาค้้าประกันที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นก็ไม่เป็นโมฆะแต่
อย่างใด ยังมีผลสมบูรณ์เพียงแต่ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้เท่านั้น
สัญญาจ้านอง
คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้จ้านอง” เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลแก่
คนหนึ่ ง เรี ย กว่ า “ผู้ รั บ จ้ า นอง” เป็ น การประกั น การช้ า ระหนี้ โ ดยไม่ ต้ อ งส่ ง มอบ
ทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจ้านอง
ลักษณะของสัญญาจ้านอง
1) เป็ น สั ญ ญาอุ ป กรณ์ สั ญ ญาจ้ า นองนั้ น เป็ น สั ญ ญาอุ ป กรณ์
เช่ น เดี ย วกั บ สั ญ ญาค้้ า ประกั น สั ญ ญาจ้ า นองจะมี ขึ้ น เพี ย งล้ า พั ง โดย
ปราศจากสัญญาประธานไม่ได้
2) ผู้จ้านองจะเป็นลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้ แต่ผู้จ้านองต้องเป็น
เจ้าของทรัพย์ที่น้ามาจ้านอง ผู้จ้านองจะเอาทรัพย์ของบุคคลอื่นมาจ้านองไม่ได้
4) เป็นสัญญาที่มีแบบ สัญญาจ้านองต้องท้าเป็นหนังสือและจดทะเบียน
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิเช่นนั้นสัญญาจ้านองจะตกเป็น “โมฆะ”
ความรับผิดชอบของผู้จ้านอง
เมื่อหนี้ถึงก้าหนดช้าระแล้ว ผู้รับจ้านองต้องมีจดหมายบอก
กล่าวแก่ลูกหนี้ให้ช้าระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งต้องไม่น้อยกว่า
60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับค้าบอกกล่าว ถ้าลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตาม
ค้ า บอกกล่ า ว ผู้ รั บ จ้ า นองจึ ง มี สิ ท ธิ ฟ้ อ งคดี ต่ อ ศาลเพื่ อ ให้ ศ าล
พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจ้านองและขายทอดตลาด
เปรียบเทียบสัญญาจ้านอง – ขายฝาก
จ้านอง ขายฝาก
1. กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังเป็นของผู้ 1. กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกเป็นของผู้ซื้อ
จ้านอง
2. ต้องเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือ 2. ทรัพย์สินที่ขายฝากเป็นทรัพย์สินใดก็ได้
สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
3. ไม่ต้องมีการส่งมอบ 3. ตามหลักกฎหมายต้องมีการส่งมอบ
ทรัพย์สิน
4. เป็นสัญญาอุปกรณ์ต้องอาศัยสัญญา 4. ส้าเร็จในตัวเองไม่ต้องพึ่งสัญญาอื่น
อื่นเป็นประธาน
สัญญาจ้านอง
คือ สัญญาที่บุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้จ้าน้า” ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่ง
หนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับจ้าน้า” เพื่อเป็นประกันการช้าระหนี้
ลักษณะของสัญญาจ้าน้า
1) เป็ น สั ญ ญาอุ ป กรณ์ สั ญ ญาจ้ า น้ า นั้ น เป็ น สั ญ ญาอุ ป กรณ์
เช่นเดียวกับสัญญาค้้าประกันและสัญญาจ้านอง
2) ผู้จ้าน้าจะเป็นลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้ แต่ผู้จ้าน้าต้องเป็น
เจ้าของทรัพย์ที่น้ามาจ้าน้า ผู้จ้าน้าจะเอาทรัพย์ของบุคคลอื่นมาจ้าน้าไม่ได้
3) เป็นสัญญาที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่จ้าน้าแก่ผู้รับจ้าน้า ถ้าไม่มีการส่ง
มอบทรัพย์ สัญญาจ้าน้าไม่เกิดขึ้น แตกต่างกับสัญญาจ้านอง
เมื่อหนี้ถึงก้าหนดช้าระและผู้รับจ้าน้าได้บอกกล่าวให้ลูกหนี้
ช้ า ระหนี้ แ ต่ ลู ก หนี้ ไ ม่ ช้ า ระ เจ้ า หนี้ มี สิ ท ธิ ที่ จ ะบั ง คั บ จ้ า น้ า โดยน้ า
สังหาริมทรัพย์ที่จ้าน้าออกขายทอดตลาดโดยไม่จ้าเป็นต้องอาศั ย
ค้าสั่งศาลให้ขายทอดตลาด และถ้าบังคับจ้าน้าแล้วราคายังคงอยู่ที่
ผู้รับจ้าน้าก็สามารถเรียกร้องเอาเงินส่วนที่ขาดจากผู้จ้าน้าได้
ความแตกต่างระหว่างสัญญาจ้านอง – สัญญาจ้าน้า
กฎหมายครอบครัวนั้นเดิมเรียกว่า “กฎหมายลักษณะผัวเมีย”
ซึ่งเป็นกฎหมายลักษณะหนึ่งของกฎหมายตราสามดวง ต่อมามีการใช้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัวขึ้นใช้บังคับแทน
การบังคับใช้กฎหมายครอบครัว
นั้ น ได้ มี ก ารผ่ อ นปรนไม่ น้ า ประมวล
กฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ บรรพ 5
ครอบครั ว ไปใช้ ใ น 4 จั ง หวั ด ชายแดน
ภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส ยะลา
และสตูล
มีการน้ากฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวมาบังคับใช้แทน
โดยให้ ด ะโต๊ ะ ยุ ติ ธ รรม 1 นาย นั่ ง พิ จ ารณาคดี ร่ ว มกั บ ผู้ พิ พ ากษา
ดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลาม ค้าวินิจฉัยใน
ข้อกฎหมายของดะโต๊ะยุติธรรมถือเป็นเด็ดขาดจะอุทธรณ์ ฎีกา ไม่ได้
ปัจจุบันข้อพิพาทเกี่ยวกับครอบครัวต้องฟ้องต่อ ศาลเยาวชน
และครอบครัว
การหมั้น
1) อายุของคู่หมั้น
ในกรณีที่ผู้เยาว์ท้าการหมั้น ผู้เยาว์จะท้า
การหมั้น ได้ต้ องได้รั บความยินยอมจากผู้แทน
โดยชอบธรรมก่อน มิเช่นนั้นการหมั้นจะตกเป็น
“โมฆียะ”
แบบของการหมั้น
การหมั้นสามารถกระท้าด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ แต่ฝ่าย
ชายจะต้องส่งมอบ “ของหมั้น” ให้แก่ฝ่ายหญิงขณะท้าการหมั้น มิฉะนั้น
การหมั้น “ไม่สมบูรณ์”
ของหมั้น
คื อ ทรั พ ย์ สิ น ที่ ฝ่ า ยชายส่ ง มอบหรื อ โอนให้ แ ก่ ฝ่ า ยหญิ ง เพื่ อ เป็ น
หลั ก ฐานว่ า จะสมรสกั บ หญิ ง นั้ น เมื่ อ หมั้ น แล้ ว ของหมั้ น ย่ อ มตกเป็ น
กรรมสิทธิ์ของฝ่ายหญิงทันที
กรณีที่หญิงต้องคืนของหมั้น
3) คู่หมั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกล้างสัญญาหมั้นที่เป็นโมฆียะ ท้าให้คู่กรณีทั้ง
สองฝ่ายกลับคืนสู่สถานะเดิมเสมือนไม่มีการหมั้นเกิดขึ้น
กรณีที่หญิงต้องไม่ต้องคืนของหมั้น
1) ฝ่ายชายเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น
2) หญิงบอกเลิกสัญญาหมั้น เนื่องจากมีเหตุอันส้าคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น
อันท้าให้หญิงคู่หมั้นไม่สมควรสมรสด้วย
3) คู่หมั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย
ข้อสังเกต หากมีการผิดสัญญา
หมั้น ฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญาหมั้นจะฟ้อง
บังคับให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาหมั้นให้ทาการ
สมรสกับตนไม่ได้ เพราะการสมรสต้อง
เกิดจากความสมัครใจทั้งสองฝ่าย
สินสอด
1) กรณีไม่มีการสมรสโดยมีเหตุส้าคัญอันเกิดแก่หญิง ท้าให้ชายไม่สมควร
หรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น
2) กรณีไม่มีการสมรสโดยพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบท้าให้ชาย
ไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น
การสมรส
คือ การตกลงระหว่างชายและหญิง
ที่จะอยู่กินฉันสามีภริยา โดยการจดทะเบียน
สมรสเพื่ อ ก่ อ สถานะเป็ น สามี ภ ริ ย าที่ ช าย
ด้วยกฎหมาย
เงื่อนไขของการสมรส
1) ชายหญิงต้องอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์แล้วทั้งสองคน
หากคู่สมรสคนใดคนหนึ่งอายุต่้ากว่า 17 ปี การสมรสนั้นเป็น
“โมฆียะ” อย่างไรก็ดี ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรศาลอาจอนุญาตให้
ชายหญิงที่มีอายุต่้ากว่า 17 ปี ท้าการสมรสกันได้
2) ชายและหญิงต้องไม่เป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงทั้งขึ้นไปและลง
มา ไม่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา
2.3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
2.4) พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดาเดียวกัน
3) ชายหรือหญิงต้องไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ
หากคู่สมรสคนใดคนหนึ่งเป็นบุคคลวิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ
การสมรสนั้ น เป็ น “โมฆะ” แต่ ห ากคู่ ส มรสคนใดคนหนึ่ ง เป็ น คนเสมื อ นไร้
ความสามารถ การสมรสนั้นย่อมสมบูรณ์
4) ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้
เพื่อป้องกันปัญหาว่าใครเป็นบิดาของเด็กที่อาจ
เกิดมาในระหว่างนั้น หากหญิงหม้ายสมรสใหม่ภายใน
310 วัน นับแต่การสมรสเดิมสิ้นสุดลง การสมรสนั้นก็
สมบูรณ์ เพีย งแต่ห ากเด็กคลอดออกมาในระยะเวลา
310 วันนับแต่วันที่การสมรสเดิมสิ้นสุดลง กฎหมายจะ
สันนิษฐานว่าสามีใหม่เป็นบิดาของเด็กคนดังกล่าว
8) ผู้ เ ยาว์ ต้ อ งได้ รั บ ความยิ น ยอมจากบิ ด ามารดา
ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองให้ท้าการสมรส
1) สินส่วนตัว
1.1) ทรัพย์สินที่สามีหรือภริยามีอยู่ก่อนสมรส
1.3) ทรัพย์สินที่สามีหรือภริยาได้มาโดยการรับมรดกหรือการใช้โดยเสน่หา
1.4) ของหมั้น
2) สินสมรส
2.2) ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือหนังสือระบุให้เป็น
สินสมรส
2.3) ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว
การสิ้นสุดการสมรส
1) คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย
3.1) การหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย
3.2.2) สามี ห รื อ ภริ ย าประพฤติ ชั่ ว ไม่ ว่ า ความประพฤติ ชั่ ว นั้ น จะเป็ น
ความผิ ด อาญาหรื อ ไม่ เป็ น เหตุ ใ ห้ ฝ่ า ยใดฝ่ า ยหนึ่ ง ได้ รั บ ความขายหน้ า อย่ า ง
ร้ายแรง หรือถูกดูถูกเกลียดชัง
3.2.5) สามีหรือภริยาต้องค้าพิพากษาถึงที่สุดและได้จ้าคุกเกิน 1 ปี
3.2.6) สามีหรือภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะอยู่ด้วยกันโดยปกติสุขไม่ได้
หรือแยกกันอยู่ตามค้าสั่งของศาลเป็นเวลาเกิน 3 ปี
3.2.7) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญหรือหายไปเกิน 3 ปี
3.2.8) สามีหรือภริยาไม่อุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง จนเป็นที่เดือดร้อน หรือท้า
การอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
3.2.9) สามีหรือภริยาวิกลจริตติดต่อกันเกิน 3 ปี
3.2.10) สามีหรือภริยาประพฤติผิดหนังสือทัณฑ์บนที่ทั้งคู่ท้ากันไว้
3.2.11) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่อร้ายแรง
3.2.12) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกายที่ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล
บุตรบุญธรรม
คุณสมบัติของผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรม
1) ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่้ากว่า 25 ปี
2) ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุมากกว่าบุตรบุญธรรม
อย่างน้อย 15 ปี
เงื่อนไขในการรับบุตรบุญธรรม
3) ความยินยอมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรม
ถ้าผู้ รับ บุ ต รบุ ญธรรมหรื อผู้ ที่จะเป็ นบุ ตรบุญธรรมมี คู่ส มรสอยู่ ต้อ งได้รั บ
ความยินยอมจากคู่สมรสก่อน
ผลของการรับบุตรบุญธรรม
1) บุตรบุญธรรมมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตร
บุญธรรม
2) บิดามารดาโดยก้าเนิดของบุตรบุญธรรมหมดอ้านาจปกครองบุตรบุญ
ธรรมของตนตั้งแต่วันที่จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม และผู้รับบุตรบุญธรรมเป็น
ผู้ใช้อ้านาจปกครองบุตรบุญธรรม
3) บุตรบุญธรรมไม่สูญสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวเดิม
การเลิกรับบุตรบุญธรรม
1) บุตรบุญธรรมกับผู้รับบุตรบุญธรรมตกลงเลิกรับบุตรบุญธรรม
2) บุตรบุญธรรมสมรสกับผู้รับบุตรบุญธรรม
3) ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือบุตรบุญธรรมฟ้องการรับบุตรบุญธรรม
มรดก
“ ม ร ด ก ” ข อ ง ผู้ ต า ย ห ม า ย ถึ ง
ทรั พ ย์ สิ น ของผู้ ต าย รวมถึ ง สิ ท ธิ หน้ า ที่ และ
ความรั บ ผิ ด ชอบต่ า งๆของผู้ ต ายที่ มี อ ยู่ข ณะ
ตาย เว้นแต่ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับ
ผิดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวโดยแท้ของผู้ตาย
ผู้มีสิทธิได้รับมรดก
โดยนิติกรรมต้องท้าตามแบบที่กฎหมายก้าหนดเท่านั้น และพินัยกรรมจะมีผลเมื่อ
ผู้ท้าพินัยกรรมตาย
ผู้ท้าพินย
ั กรรม
4) คนเสมือนไร้ความสามารถ ท้าพินัยกรรมได้โดยไม่ต้องได้รับความ
ยิ น ยอมจากผู้ พิ ทั ก ษ์ พิ นั ย กรรมที่ ค นเสมื อ นไร้ ค วามสามารถท้ า ย่ อ มมี ผ ล
“สมบูรณ์”
บุคคลที่ไม่สามารถเป็นผู้รับพินัยกรรมได้
1) ผู้เขียนพินัยกรรมและคู่สมรสของผู้เขียนพินัยกรรม
2) พยานในพินัยกรรมและคู่สมรสของพยานในพินัยกรรม
3) พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่ ซึ่ ง ได้ จ ดแจ้ ง ข้ อ ความแห่ ง
พิ นั ย กรรมแบบท้ า ด้ ว ยวาจาและคู่ ส มรสของพนั ก งาน
เจ้าหน้าที่นั้น
1) บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
พินัยกรรมต้องท้าให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายก้าหนด หากมิได้ท้า
ให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายก้าหนดไว้ พินัยกรรมนั้นย่อมตกเป็น “โมฆะ”
โดยกฎหมายก้าหนดแบบของพินัยกรรมไว้ 5 แบบ คือ
1) พินัยกรรมแบบธรรมดา
ผู้ท้าพินัยกรรมต้องเขียนข้อความเองทั้งหมดทั้งฉบับ จะเขียนบ้าง
พิมพ์บ้างไม่ได้ และต้องลงลายมือชื่อไว้ด้วย โดยไม่จ้าเป็นต้องมีพยานก็ได้
3) พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ใส่ซองปิดดผนึกให้
เอกสารลับ เขียน/พิมพ์ ลายเซ็น 2 คน
นายอ้าเภอ/ผอ.เขตเก็บไว้
พยานน้าไปแจ้ง
วาจา ค้าพูด - 2 คน
นายอ้าเภอ/ผอ.เขต
ผู้จัดการมรดก
1) การตั้งผู้จัดการมรดกโดยพินัยกรรม
2) การตั้งผู้จัดการมรดกโดยค้าสั่งศาล
3) การตั้งผู้จัดการมรดกโดยทายาทตกลงร่วมกัน
บุคคลทีไ่ ม่สามารถเป็นผู้จด
ั การมรดก
1) บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
2) บุคคลวิกลจริต หรือบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
3) บุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย