Professional Documents
Culture Documents
อ.จักรภพ ศิริภากรกาญจน์
เหตุใดจะต้องศึกษากฎหมาย
• ความไม่ร้ ูกฎหมายไม่เป็ นข้ อแก้ ตวั
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 64 “บุคคลจะแก้ ตวั ว่าไม่ร้ ู
กฎหมายเพื่อให้ พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ แต่ถ้าศาลเห็นว่า
ตามสภาพและพฤติการณ์ผ้ กู ระทำความผิดอาจจะไม่ร้ ูวา่ กฎหมาย
บัญญัติวา่ การกระทำนันเป็
้ นความผิด ศาลอาจอนุญาตให้ แสดงพยาน
หลักฐานต่อศาล และถ้ าศาลเชื่อว่าผู้กระทำไม่ร้ ูวา่ กฎหมายบัญญัติไว้
เช่นนัน้ ศาลจะลงโทษน้ อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับความผิดนัน้
เพียงใดก็ได้ ”
• Mala in se (ความผิดในตัวเอง)
• หากบุคคลใดละเมิดวิถีประชาก็เพียงได้ รับคำติฉินนินทาว่าประพฤติ
ปฏิบตั ิในทางไม่ชอบไม่ควรเท่านัน้
(2) จารี ตหรื อกฎศีลธรรม
• คนในสังคมนันถื
้ อว่าแนวความประพฤติดงั กล่าวเป็ นสิง่ ที่ถกู ต้ องดีงาม
และผู้ละเมิดนันเป็
้ นคนผิดหรื อคนชัว่
(3) กฎหมาย
• เป็ นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่กำหนดให้ คนในสังคมปฏิบตั ิตาม มี
องค์กรที่ควบคุมมิให้ คนในสังคมฝ่ าฝื น และมีการลงโทษผู้ฝ่าฝื น
พัฒนาการของกฎหมาย
• (1) ยุคกฎหมายจารี ตประเพณี
• ในสังคมก่อนที่มนุษย์จะเข้ ามารวมกลุม่ กันเป็ นสังคมเมือง
• (2) ยุคกฎหมายของนักกฎหมาย
• พัฒนาไปสูส่ งั คมเมือง มีการติดต่อสื่อสาร ทำมาค้ าขายระหว่างสังคม
• (3) ยุคกฎหมายบัญญัติ
• สังคมมีความซับซ้ อนขึ ้น ความขัดแย้ งในสังคมมีมากขึ ้น
บทที่ 2
ลักษณะของกฎหมาย
• กฎหมาย?
• (1) สำนักกฎหมายธรรมชาติ ( The Natural Law Theory)
• (2) สำนักกฎหมายฝ่ ายบ้ านเมือง (The Positive Law
Theory)
• (3) สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ (The Historical School
of Law)
• (1) สำนักกฎหมายธรรมชาติ ( The Natural Law Theory)
• ซิเซโร (Cicero)
กฎหมายที่แท้ จริ ง คือเหตุผลที่ถกู ต้ องสอดคล้ องกับธรรมชาติ แผ่ซา่ นไปทุก
สิง่ ทุกอย่าง สม่ำเสมอเป็ นนิรันดร ก่อให้ เกิดหน้ าที่ที่จะต้ องทำโดยคำสัง่ หรื อ
ห้ ามมิให้ กระทำความชัว่ โดยข้ อห้ าม เป็ นหน้ าที่อนั ศักดิ์สทิ ธิ์ที่จะต้ องไม่
บัญญัติกฎหมายให้ ขดั แย้ งกับกฎหมายนี ้ เราไม่อาจยกเลิกหรื อ ทำให้
กฎหมายนี ้เสื่อมทรามลงได้ อันที่จริ งแล้ วไม่วา่ วุฒิสภาหรื อมวลชนก็ไม่มี
อำนาจที่จะปลดปล่อยเราให้ พ้นจากกฎหมายนี ้ และเราไม่ จำเป็ นต้ องพึง่
บุคคลหรื อสิง่ อื่นใดนอกจากตัวเราเองที่จะเป็ นผู้แสดงออกว่ากฎหมายนัน้
เป็ นอย่างไร หรื อตีความว่ากฎหมายนันมี ้ ความหมายอย่างไร กฎหมายไม่
เป็ นอย่างหนึง่ ที่กรุงโรม และเป็ นอีกอย่างหนึง่ ที่กรุงเอเธนส์ เป็ นอย่างหนึง่ ใน
สมัยนี ้แต่เป็ นอีกอย่างหนึง่ ในสมัยต่อมา แต่จะยังคงเป็ นกฎหมายอันเดียวชัว่
นิรันดรไม่เปลี่ยนแปลง โดยและผูกพันบังคับทุกชาติ ทุกภาษา ทุกยุคทุกสมัย
กฎหมายธรรมชาติมีลกั ษณะพิเศษ 3 ประการ คือ
1.ใช้ ได้ โดยไม่จำกัดเวลา คือ กฎหมายธรรมชาติยอ่ มใช้ ได้ เสมอไม่มี
วันยกเลิกหรื อล่วงสมัย
2.ใช้ ได้ โดยไม่จำกัดสถานที่ คือ กฎหมายธรรมชาติใช้ ได้ ทกุ แห่งไม่
จำกัดว่าจะต้ องใช้ ได้ เฉพาะในรัฐใดหรื อสถานที่ใดเท่านัน้
3.อยูเ่ หนือรัฐ คือ กฎหมายธรรมชาติยอ่ มมีความยุติธรรมเป็ นที่สดุ
ฉะนัน้ กฎหมายของรัฐจะขัดหรื อแย้ งต่อกฎหมายธรรมชาติไม่ได้
• คำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1776 ความตอนหนึง่
ว่า
• “เมื่อปรากฏว่ามีความจำเป็ นที่ประชาชาติหนึง่ จำต้ องเลิกล้ มความ
สัมพันธ์ทางการเมืองที่เคยมีกบั ประชาชนอีกชาติหนึง่ เพื่อที่จะแยกทาง
เดินเป็ นอิสระเท่าเทียมกับชาติทงหลายในโลกตามสิ
ั้ ทธิในกฎหมาย
ธรรมชาติ และกฎของพระผู้เป็ นเจ้ า ดังนันจึ
้ งจำต้ องประกาศสาเหตุซงึ่
ทำให้ ตดั สินใจประกาศเอกราชเพื่อให้ มนุษยชาติทงหลายได้
ั้ รับรู้ไว้ ”
(2) สำนักกฎหมายฝ่ ายบ้านเมือง (The Positive
Law Theory)
• นักปรัชญาเมธีที่มีอิทธิพลของสำนักกฎหมายฝ่ ายบ้ านเมือง คือ จอห์น
ออสติน (John Austin) ได้ สรุปไว้ วา่ กฎหมาย คือ คำสัง่ คำบัญชา
ของรัฐาธิปัตย์ ซึง่ กำหนดมาตรฐานความประพฤติให้ กบั ผู้อยูใ่ ต้ อำนาจ
ปกครองของตน ซึง่ หากไม่ปฏิบตั ิตามแล้ วจะต้ องได้ รับโทษ
(3) สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ (The Historical
School of Law)
• ซาวิญยี่ (Savigny) เป็ นผู้นำ เห็นว่า “กฎหมายโดยแท้ จริ ง หาใช่เป็ น
เพียงแค่อะไรสักอย่างที่ผ้ มู ีอำนาจตรากฎหมายสามารถเขียนขึ ้นได้
ตามใจปรารถนาโดยพลการ ทว่ากฎหมายเป็ นผลผลิตของพลังภายใน
สังคมที่ทำงานของมันอย่างเงียบ ๆ และมีรากเหง้ าที่หยัง่ ลึกอยูใ่ น
ประวัติศาสตร์ ของประชาชาติ โดยมีกำเนิดและเติบโตเรื่ อยมาจาก
ประสบการณ์และหลักความประพฤติทวั่ ไปของประชาชน”
ระบบกฎหมาย
• 1. ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ (Civil Law)