You are on page 1of 68

1

41231 กฎหมายอาญา 1 : ภาคบทบ ัญญ ัติทวไป


หน่วยที 1 ล ักษณะทวไปของกฎหมายอาญาและปร
ั ัชญากฎหมายอาญา

1. กฎหมายอาญาจัดอยูใ่ นสาขากฎหมายมหาชน เป็ นเรืองราวความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน โดย


บัญญัตวิ า่ การกระทําใดๆเป็ นความผอดและกําหนดโทษทีจะลงแก่ความผิดนัน
2. กฎหมายอาญามีความมุง่ หมายทีจะรักษาความสงบเรียบร ้อยของสังคม ให ้สมาชิกของสังคมมีความ
ปลอดภัยในชีวต ิ
ิ ร่างกาย และทรัพย์สน

1.1 ล ักษณะทวไปของกฎหมายอาญา

1. กฎหมายอาญาเป็ นกฎหมายทีว่าด ้วยความผิดและโทษ โดย บัญญัตก
ิ ารกระทําเป็ นความผิดอาญา
และกําหนดโทษทีจะลงแก่ผู ้กระทําความผิดนัน
2. ในสังคมเริมแรก กฎหมายให ้อํานาจแก่บค ุ คลทีจะทําการแก ้แค ้นต่อผู ้กระทําผิด และเมือรัฐมันคงขึน
จึงกําหนดให ้มีการชดใช ้ค่าเสียหายแทนการแก ้แค ้น จนในทีสุดรัฐก็เข ้าไปจัดการลงโทษผู ้กระทําผิดเอง
3. ความผิดอาญาหมายถึง การกระทําหรือละเว ้นการกระทําทีกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิดและกําหนด
โทษไว ้
4. ความผิดอาญาแบ่งแยกได ้หลายประเภทแล ้วแต่แนวความคิดและความมุง่ หมาย เช่น ตามความหนั ก
เบาของโทษ ตามการกระทํา ตามเจตนา ตามศีลธรรม เป็ นต ้น
5. กฎหมายอาญาเป็ นเรืองระหว่างรัฐกับเอกชน และมุง่ ทีจะลงโทษผู ้กระทําความผิด ส่วนกฎหมายแพ่ง
เป็ นเรืองเกียวกับสิทธิหน ้าทีระหว่างเอกชนด ้วยกัน การกระทําความผิดทางแพ่งจึงไม่กระทบกระเทือนต่อ
สังคมเหมือนความผิดอาญา

1.1.1 ความหมายของกฎหมายอาญา
กฎหมายอาญามีความหมายอย่างไรมีกระบบ
ี และแต่ละระบบมีความคิดในทางกฎหมายอย่างไร
กฎหมายอาญาจัดอยูใ่ นสาขากฎหมายมหาชน เป็ นกฎหมายทีเกียวกับการกระทําความผิดและ
กําหนดโทษทีจะลงแก่ผู ้ทีกระทําความผิดนั น
กฎหมายอาญามี 2 ระบบคือ ระบบกฎหมายของประเทศทีใช ้ประมวลกฎหมาย ซึงบัญญัตค ิ วามผิด
อาญาไว ้เป็ นลายลักษณ์อักษร และระบบคอมมอนลอว์ ซึงความผิดอาญาเป็ นไปตามหลักเกณฑ์ในคํา
พิพากษาของศาล ความผิดในทางอาญาของประเทศทีใช ้ระบบประมวลกฎหมายนันถือว่า การกระทําใดๆจะ
เป็ นความผิดหรือไม่และต ้องรับโทษอย่างไร ต ้องอาศัยตัวบทกฎหมายอาญาเป็ นหลัก การตีความวาง
หลักเกณฑ์ของความผิดจะต ้องมาจากตัวบทเหล่านัน คําพิพากษาของศาลไม่สามารถสร ้างความผิดอาญาขึน
ได ้ แต่ระบบคอมมอนลอว์นัน การกระทําใดๆจะเป็ นความผิดอาญาต ้องอาศัยคําพิพากษาทีได ้วินจ ิ ฉั ยไว ้เป็ น
บรรทัดฐานและนํ าบรรทัดฐานนั นมาเปรียบเทียบกับคดีทเกิ
ี ดขึน

1.1.2 วิว ัฒนาการของกฎหมายอาญา


ประมวลกฎหมายอาญาในปั จจุบน ั มีววิ ัฒนาการมาอย่างไร
แต่เดิมกฎหมายอาญาของไทยมิได ้จัดทําในรูปประมวลกฎหมาย แต่มลี ักษณะเป็ นกฎหมายแต่ละ
ฉบับไป เช่น กฎหมายลักษณะโจร ลักษณะวิวาท เป็ นต ้น ต่อมาในรัชการพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล ้า
เจ ้าอยูห
่ ัว เนืองจากความจําเป็ นในด ้านการปกครองประเทศ และความจําเป็ นทีจะต ้องเลิกศาลกงสุล
ต่างประเทศ จึงได ้มีการจัดทําประมวลกฎหมายอาญาขึน ทํานองเดียวกันกับกฎหมายอาญาของประเทศทาง
ตะวันออก และญีปุ่ น เรียกว่ากฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึงเป็ นประมวลกฎหมายอาญาฉบับแรกของ
ไทย กฎหมายลักษณะอาญาได ้ใช ้บังคับมาเป็ นเวลาประมาณ 48 ปี จนถึง พ.ศ. 2500 ก็ได ้ยกเลิกไป และได ้
ประกาศใช ้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 ซึงเป็ นฉบับปั จจุบัน และใช ้บังคับมาตังแต่วันที 1 มกราคม
2500 ซึงตรงกับวาระฉลองครบ 25 พุทธศตวรรษ

ความผิดอาญาทุกอย่างได ้นํ ามาบัญญัตริ วบรวมไว ้ในประมวลกฎหมายอาญาหมดหรือไม่


นํ ามาบัญญัตไิ ด ้ไม่หมดสิน ความผิดในประมวลกฎหมายอาญาเป็ นแต่เพียงส่วนหนึงของความผิด
อาญาเท่านั น ยังมีความผิดอาญาพระราชบัญญัตต ิ า่ งๆ อีกมากมาย เช่น พรบ. ป่ าไม ้ พรบ. ยาเสพติดให ้โทษ
เป็ นต ้น แต่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญานันๆ เป็ นความผิดทีมีลักษณะทัวไปคือ เป็ นความผิดทีสามัญ
ชนย่อมกระทําอยูเ่ ป็ นปกติ เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาย ทําร ้ายร่างกาย ลักทรัพย์ เป็ นต ้น ส่วนความผิดอาญา
ตาม พระราชบัญญัตอ ิ น
ื เป็ นความผิดเฉพาะเรืองนั นๆ เช่น ความผิดตามพระราชบัญญัตป ิ ่ าไม ้ก็เป็ นเรือง
เกียวกับป่ าไม ้ ว่าการกระทําเช่นไรเป็ นความผิดและมีโทษเท่าใด

ประมวลกฎหมายอาญาฉบับปั จจุบันมีเค ้าโครงอย่างไร

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


2

ประมวลกฎหมายอาญาฉบับปั จจุบัน แบ่งออกเป็ น 3 ภาค คือ ภาค 1 ว่าด ้วยบทบัญญัตทิ วไป


ั คือ
เป็ นหลักเกณฑ์ทวไปของกฎหมายอาญาทั
ั งปวง ซึงจะต ้องนํ าไปใช ้บังคับในความผิดอาญาตามกฎหมายอืน
ด ้วย ภาค 2 ว่าด ้วยความผิดอาญาสามัญ และภาค 3 ว่าด ้วยความผิดลหุโทษ

1.1.3 ประเภทของความผิด
ความผิดอาญาหมายความว่าอย่างไร เราอาจแบ่งความผิดอาญาได ้ประการใดบ ้าง
ความผิดอาญาหมายถึง การกระทําหรือละเว ้นการกระทําทีกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิดและกําหนด
โทษไว ้
ความผิดอาญาอาจจําแนกออกได ้หลายประเภทแล ้วแต่ข ้อพิจารณาในการแบ่งประเภทนันๆ เช่น
(1) พิจารณาตามความหนั กเบาของโทษ แบ่งเป็ นความผิดอาญาสามัญและความผิดลหุโทษ
(2) พิจารณาในแง่เจตนา แบ่งเป็ นความผิดทีกระทําโดยเจตนากับความผิดทีกระทําโดยประมาท
และความผิดทีไม่ต ้องกระทําโดยเจตนา
(3) พิจารณาในแง่ศล ี ธรรม แบ่งเป็ นความผิดในตัวเอง เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาม ข่มขืน ลักทรัพย์
และความผิดเพราะกฎหมายห ้าม เช่น ความผิดฐานขับรถเร็วเกินสมควร
นอกจากนีอาจแบ่งได ้โดยข ้อพิจารณาอืนๆ อีก เช่น ตามลักษณะอันตรายต่อสังคม ตามลักษณะการ
กระทําและตามกฎหมายวิธพ ี จิ ารณาความอาญา

1.1.4 กฎหมายอาญาก ับกฎหมายแพ่ง


กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาต่างกันอย่างไร
มีความต่างกันในสาระสําคัญดังต่อไปนี
(1) แตกต่างกันด ้วยลักษณะแห่งกฎหมาย กฎหมายแพ่งเป็ นกฎหมายทีว่าด ้วยสิทธิ หน ้าที และ
ความสัมพันธ์ระหว่างเอชนกับเอกชน อาทิ เช่น สิทธิและหน ้าทีของบิดามารดาทีมีตอ ่ บุตร การสมรส การหย่า
มรดก ภูมล ิ ําเนาของบุคคล ส่วนกฎหมายอาญานั น เป็ นกฎหมายทีว่าด ้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน
โดยเอกชนมีหน ้าทีต ้องเคารพต่อบทบัญญัตแ ิ ห่งกฎหมาย ซึงกําหนดให ้การกระทําอันใดก็ตามเป็ นความผิดถ ้า
หากฝ่ าฝื น โดยปกติต ้องมีโทษ ตัวอย่างเช่น ความผิดฐานลักทรัพย์ ฐานปล ้นทรัพย์ ฐานยักยอก และฐาน
หมินประมาท เป็ นอาทิ
(2) แตกต่างกันด ้วยวัตถุประสงค์ของกฎหมาย กฎหมายแพ่งมีวัตถุประสงค์ในอันทีจะอํานวยและ
รักษาไว ้ซึงความยุตธิ รรมในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด ้วยกันแม ้บางกรณีรัฐจะเข ้าไปเป็ นคูก ่ รณี
ในทางแพ่งก็ตาม รัฐอยูใ่ นฐานะเป็ นเอกชนมีสท ิ ธิหน ้าทีอย่างเดียวกับเอกชนอืนๆทุกประการ ส่วนกฎหมาย
อาญานั นมีเจตารมย์ในทางรักษาความสงบเรียบร ้อยของบ ้านเมือง มุง่ ประสงค์คุ ้มครองให ้ความปลอดภัยแก่
สังคม เมือบุคคลใดละเมิดบทบัญญัตแ ิ ห่งกฎหมายอาญา กฎหมายถือว่ารัฐเป็ นผู ้เสียหายโดยตรง จริงอยูท ่ ี
ตามระบบกฎหมายอาญาของไทยเรานัน เอกชนผู ้ถูกล่วงละเมิดสิทธิก็ถอ ื ว่าเป็ นผู ้เสียหาย ฟ้ องร ้องให ้ศาล
ลงโทษผู ้ล่วงละเมิดตนได ้ดุจกัน แต่สท ิ ธิของเอกชนดังกล่าว ต ้องถือว่าเป็ นเพียงข ้อยกเว ้นของหลักกฎหมาย
ทีว่ารัฐเป็ นผู ้เสียหายโดยตรงเท่านัน
(3) แตกต่างกันด ้วยการตีความ ในกฎหมายแพ่งนั นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4
บัญญัตวิ า่ การตีความกฎหมายย่อมต ้องตีความตามตัวอักษร หรือตามความมุง่ หมายของบทบัญญัตแ ิ ห่ง
กฎหมายถ ้าหากไม่มบ ี ทกฎหมายทีจะยกขึนปรับแก่คดีได ้ ให ้วินจ ิ ฉั ยคดีนันตามจารีตประเพณีแห่งท ้องถิน
ส่วนในกฎหมายอาญานั นจะตีความอย่างกฎหมายแพ่งไม่ได ้ หากแต่ต ้องตีความโดยเคร่งครัดจะถือ
ว่าบุคคลใดมีความผิดตามบทบัญญัตแ ิ ห่งกฎหมายใด ต ้องตีความตามตัวอักษรทีปรากฏในบทบัญญัตแ ิ ห่ง
กฎหมายนั นๆ โดยตรงจะมีการขยายความในบทบัญญัตแ ิ ห่งกฎหมายออกไปให ้ครอบคลุมไปถึงการกระทํา
อืนๆ อันใกล ้เคียงกับการกระทําทีกฎหมายบัญญัตวิ า่ เป็ นความผิดมิได ้
(4) แตกต่างกันด ้วยสภาพบังคับ ในกฎหมายแพ่งนั น มีสภาพบังคับประเภทหนึง กล่าวคือถ ้าหากมี
การล่วงละเมิดกฎหมายแพ่ง บุคคลผู ้ล่วงละเมิดไม่ปฏิบัตต ิ ามคําพิพากษาของศาล ก็อาจจะถูกยึดทรัพย์มา
ขายทอดตลาดเอาเงินทีขายได ้มาชําระหนีตามคําพิพากษาของศาล หรือมิฉะนั นอาจถูกกักขังจนกว่าจะปฏิบัต ิ
ตามคําพิพากษาของศาลก็ได ้ ส่วนในกฎหมายอาญานันมีสภาพบังคับอีกประเภทหนึง คือ โทษทางอาญาซึง
กฎหมายได ้บัญญัตไิ ว ้สําหรับความผิด ซึงโทษดังกล่าวมีอยู่ 5 สถานด ้วยกัน คือ โทษประหารชีวต ิ จําคุก
กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สน ิ

1.2 ปร ัชญาของกฎหมายอาญา
1. วัตถุประสงค์กฎหมายอาญา คือ คุ ้มครองส่วนได ้เสียของสังคมให ้พ ้นจากการประทุษร ้ายต่างๆ
กฎหมายอาญาจึงเป็ นสิงจําเป็ นยิงต่อความสงบเรียบร ้อยของสังคม
2. ทฤษฎีกฎหมายอาญา หมายถึง กลุม ่ แนวความคิดหรือหลักการทีถือว่าเป็ นพืนฐานของกฎหมาย
อาญา

1.2.1 ความมุง
่ หมายของกฎหมายอาญา
กฎหมายอาญามีความมุง่ หมายอย่างไร และมีวธิ ก
ี ารใดให ้บรรลุถงึ ความมุง่ หมายนัน

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


3

กฎหมายอาญามีความมุง่ หมายในอันทีจะคุ ้มครองประโยชน์ของส่วนรวมให ้พ ้นจากการประทุษร ้าย


โดยอาศัยการลงโทษเป็ นมาตรการสําคัญ

รัฐมีเหตุผลประการใดในการใช ้อํานาจลงโทษผู ้กระทําความผิด


เหตุผลหรือความชอบธรรมในการลงโทษของรัฐมีผู ้ให ้ความเห็นไว ้ 3 ประการ คือ
(1) หลักความยุตธิ รรม
(2) หลักป้ องกันสังคม
(3) หลักผสมระหว่างหลักความยุตธิ รรมและหลักป้ องกันสังคม

ข ้อจํากัดอํานาจในการลงโทษของรัฐมีอย่างไร
อํานาจในการลงโทษของรัฐมีข ้อจํากัดโดยบทบัญญัตใิ นกฎหมาย กล่าวคือ
(1) โทษจะต ้องเป็ นไปตามกฎหมาย
(2) ในความผิดทีกฎหมายกําหนดโทษขันสูงไว ้ รัฐจะลงโทษผู ้กระทําความผิดเกิดกว่านันไม่ได ้ เว ้น
แต่จะมีเหตุเพิมโทษตามกฎหมาย
(3) ในความผิดทีกฎหมายกําหนดโทษขันตําไว ้ รัฐลงโทษผู ้กระทําความผิดตํากว่านันไม่ได ้ เว ้นแต่
จะมีเหตุลดโทษตามกฎหมาย
(4) ในความผิดทีกฎหมายกําหนดโทษขันตําไว ้และขันสูงไว ้ รัฐมีอํานาจลงโทษได ้ตามทีเห็นสมควร
ในระหว่างโทษขันตําและขันสูงนั น

1.2.2 ทฤษฎีกฎหมายอาญา
ทฤษฎีกฎหมายอาญาในทรรศนะตามคอมมอนลอว์ เป็ นประการใด
นั กทฤษฎีกฎหมายอาญาในระบบคอมมอนลอว์เห็นว่า กฎหมายอาญาแบ่งได ้เป็ น 3 ส่วน คือ ภาค
ความผิด หลักทัวไป และหลักพืนฐาน
ภาคความผิด เป็ นส่วนทีบัญญัตเิ กียวกับความผิดฐานต่างๆ หรือคําจํากัดความของความผิดแต่ละฐาน
และกําหนดโทษสําหรับความผิดนันนันด ้วย เป็ นส่วนทีมีความหมายแคบทีสุด แต่มจ ี ํานวนบทบัญญัตม ิ ากทีสุด
หลักทัวไป เป็ นส่วนทีมีความหมายกว ้างกว่าภาคความผิดและนํ าไปใช ้บังคับแก่ความผิดต่างๆ เช่น
เรืองวิกลจริต ความมึนเมา เด็กกระทําความผิด ความจําเป็ น การป้ องกันตัว พยายามกระทําความผิด ตัวการ
ผู ้ใช ้ ผู ้สนั บสนุน เป็ นต ้น
หลักพืนฐาน ส่วนนีถือว่าเป็ นหัวใจของกฎหมายอาญาและเป็ นส่วนทีมีความหมายกว ้างทีสุด ซึงต ้อง
นํ าไปใช ้บังคับแก่ความผิดอาญาต่างๆ เช่นเดียวกับหลักทัวไป หลักพืนฐานของกฎหมายอาญา ได ้แก่ (1)
ความยุตธิ รรม (2) เจตนา (3) การกระทํา (4) เจตนาและการกระทําต ้องเกิดร่วมกัน (5) อันตรายต่อสังคม (6)
ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และ (7) ลงโทษ
บทบัญญัตท ิ งั 3 ส่วนนีย่อมสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ถ ้าจะเข ้าใจผิดฐานใดฐานหนึงได ้ชัดแจ ้งจะต ้องนํ า
หลักทัวไปและหลักพืนฐานไปพิจารณาประกอบด ้วย เพราะลําพังแต่บทบัญญัตภ ิ าคความผิดนันมิได ้ให ้
ความหมายหรือคําจํากัดความทีสมบูรณ์ของความผิดแต่ละฐาน จะต ้องพิจารณาประกอบกับหลักทัวไปและ
หลักพืนฐานเสมอ

แบบประเมินผล หน่วยที 1 ล ักษณะทวไปของกฎหมายอาญาและปร


ั ัชญากฎหมายอาญา

1. กฎหมายอาญา คือ กฎหมายทีว่าด้วยการกระทําความผิดและกําหนดโทษทีจะลงแก่ผูก ้ ระทําผิด


2. ความคิดทางกฎหมายอาญาของประเทศทีใช ้ประมวลกฎหมายอาญา ความสําคัญอยู่ท ี ต ัวบทกฎหมายที
เป็นลายล ักษณ์อ ักษร
3. ประมวลกฎหมายอาญาฉบับแรกของไทยคือ กฎหมายล ักษณะอาญา ร.ศ. 127
4. โครงสร ้างของประมวลกฎหมายฉบับปั จจุบันประกอบด ้วย ภาคบทบ ัญญ ัติทวไป ั ภาคความผิด และ
ความผิดลหุโทษ รวม 3 ภาค
5. ความผิดทางอาญาหมายถึง การกระทํา หรือละเว้นการกระทําทีกฎหมายบ ัญญ ัติเป็นความผิดและ
กําหนดโทษไว้ดว้ ย
6. ความผิดทางแพ่งต่างกับความผิดทางอาญาคือ ความผิดทางแพ่งเป็นการละเมิดต่อเอกชน
โดยเฉพาะ ส่วนความผิดทางอาญาเป็นการทําความเสียหายต่อส่วนรวม
7. กฎหมายอาญามีความมุง่ หมายคือ คุม ั
้ ครองส่วนได้เสียของสงคมโดยการลงโทษผู ก
้ ระทําผิด
8. เหตุทรัี ฐมีเหตุผลในการแทรกแซงเข ้าไปลงโทษบุคคลคือ ั
เพือป้องก ันสงคมและตอบแทนผู ก
้ ระทํา
ความผิด
9. กรณีความผิด ข ับรถชนรวบ้ ั านผูอ้ นโดยประมาท
ื เป็ นความผิดทางแพ่งเท่านัน
10. ในข ้อทีไม่ใช่ข ้อแตกต่างระหว่างกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาคือ กฎหมายอาญามุง ่ ทีจะร ักษา
ความสมพั ันธ์ระหว่างเอกชนด้วยก ัน ส่วนกฎหมายแพ่งมุ่งทีจะร ักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
11. เป็ นการบอกลักษณะของกฎหมายอาญาดีทสุ ี ดคือ กฎหมายทีว่าด้วยความผิดและโทษสําหร ับ
ความผิด

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


4

12. ประเทศทีใช ้ประมวลกฎหมายอาญา มีความคิดทางกฎหมายอาญาคือ ถือว่าต ัวบทกฎหมายอาญาที


เป็นลายล ักษณ์อ ักษรมีความสําค ัญทีสุด
13. การกระทําทีจะถือว่าเป็ นความผิดอาญาคือ การกระทําหรือละเว้นการกระทําทีกฎหมายบ ัญญ ัติเป็น
ความผิดและกําหนดโทษ
14. สภาพบังคับทางอาญาและสภาพบังคับทางแพ่ง ต่างก ันเพราะสภาพบ ังค ับทางอาญาเป็นการลงโทษ
เช่น ประหารชีวต ิ หรือจําคุก ส่วนสภาพบ ังค ับทางแพ่งเป็นการชดใชค ้ า่ เสียหาย
15. การกระทําทีถือว่าเป็ นเฉพาะความผิดทางแพ่ง คือ ข ับรถชนรถยนต์ค ันอืนเสียหายทงค
ั ัน
16. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาคือ สภาพบังคับในกฎหมายแพ่งเป็ นการชดใช ้
ค่าเสียหาย ส่วนกฎหมายอาญาเป็ นการลงโทษ


หน่วยที 2 : อาชญากรรมในสงคม

1. อาชญากรรมคือการกระทําทีมีโทษทางอาญา
2. ตามแนวความคิดของนั กอาชญาวิทยาต่างสํานั กกัน อาชญากรรมอาจเป็ นพฤติกรรมทีคนเลือกกระทํา
เพือแสวงหาความสุข หรืออาจเป็ นพฤติกรรมทีเกิดขึนตามธรรมชาติเช่นเดียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
อืนๆ หรืออาจเป็ นพฤติกรรมทีขัดต่อบรรทัดฐาน ความประพฤติของคนส่วนใหญ่ในสังคม
3. สาเหตุของอาชญากรรมมีทมาจากการศึ
ี กษาของนั กอาชญาวิทยาสํานั กโปซิตพ
ี ซึงต่อมาได ้มีผู ้
ศึกษาค ้นคว ้าเพิมเติมจนก่อตังเป็ นทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชีววิทยา ทางจิตวิทยาและทางสังคมวิทยา

แนวคิดทวไปเกี
ั ยวก ับอาชญากรรม
1. อาชญากรรมอาจนิยามได ้หลายอย่าง อาชญากรรมตามกฎหมาย หมายถึงการกระทําทีฝ่ าฝื น
บทบัญญัตข ิ องกฎหมายอาญา ส่วนอาชญากรรมตามนิยามทางสังคมหมายถึงการประทําทีฝ่ าฝื นบรรทัดฐาน
ความประพฤติทางสังคม
2. อาชญากร เป็ นผู ้กระทําความผิดทีศาลได ้พิพากษาแล ้วว่าได ้กระทําความผิดและลงโทษตาม
กฎหมาย
3. เพศ อายุ การศึกษาและฐานะทางสังคมอืนๆ เป็ นปั จจัยทีแสดงให ้เห็นสถานะของอาชญากรรมและ
อาชญากร
4. อาชญาวิทยาเป็ นวิชาทีศึกษาเกียวกับอาชญากรรมและอาชญากรโดยวิธก ี ารทางวิทยาศาสตร์
5. สํานั กอาชญาวิทยาทีสําคัญอาจแบ่งออกเป็ น 2 กลุม ่ กลุม
่ ที 1 เน ้นการศึกษาทางด ้านสาเหตุ
อาชญากรรม ซึงมีสํานั กโปซิตพ ี เป็ นสํานั กสําคัญ และกลุม่ ที 2 เน ้นทางด ้านการศึกษาเกียวกับการลงโทษ
ผู ้กระทําความผิดซึงมีสํานั กคลาสสิกเป็ นสํานั กสําคัญ
6. อาชญากรรมในสังคมอาจแบ่งออกได ้หลายลักษณะคือ อาชญากรรมพืนฐาน อาชญากรรมจากการ
ประกอบอาชีพ อาชญากรรมทีทําเป็ นองค์การ อาชญากรรมทีทําเป็ นอาชีพ อาชญากรรมทางการเมือง และ
อาชญากรรมทีขัดต่อความสงบเรียบร ้อยของสังคม ในประเทศไทยอาชญากรรมทีร ้ายแรงและไม่ร ้ายแรง
เกิดขึนมาก
7. การจัดทําสถิตอ ิ าชญากรรมทําได ้ 2 ทางด ้วยกันคือ อย่างเป็ นทางราชการและไม่เป็ นทางราชการ
8. สถิตอ ิ าชญากรรมทีไม่ใช่ทางราชการ อาจให ้ข ้อมูลเพิมเติมได ้ว่าอาชญากรรมเกิดขึนในสังคมมี
มากกว่าทีปรากฏในสถิตข ิ องทางราชการ เกณฑ์วัดการเกิดขึนของอาชญากรรมว่าเพิมขึนหรือลดลงใน
ระหว่างปี ทศึี กษา อาจทําได ้โดยเปรียบเทียบสถิตอ ิ าชญากรรมต่อประชากร 100,000 คน

อาชญากรรมและอาชญากร
นิยามอาชญากรรมมีแบ่งออกเป็ นกีนิยาม อะไรบ ้าง และสถิตอ
ิ าชญากรรมของทางราชการอาศัย
นิยามอะไรเป็ นหลัก
นิยามอาชญากรรมมี 2 นิยาม คือ นิยามตามกฎหมายและนิยามทางสังคม สถิตขิ องทางราชการใช ้
นิยามตามกฎหมาย

ผู ้กระทําความผิดทีต ้องโทษในเรือนจําไทยส่วนใหญ่จัดอยูใ่ นกลุม


่ อายุใด
ผู ้กระทําความผิดทีต ้องโทษในเรือนจําของไทยส่วนใหญ่จัดอยูใ่ นกลุม่ อายุ 21-25 ปี

อาชญาวิทยาและสําน ักอาชญาวิทยา
สํานั กคลาสสิก มีทัศนะเกียวกับอาชญากรรมอย่างไร
สํานั กคลาสสิกเห็นว่า อาชญากรรมเกิดจากเจตน์จํานงอิสระของบุคคลทีแสวงหาความสุขและได ้
ประกอบกรรมอันนั นโดยเจตนา เพราะฉะนั นจึงเน ้นการศึกษาทีอาชญากรรม

สํานั กโปซิตพ
ี และสํานั กป้ องกันสังคมมีทัศนะเกียวกับอาชญากรรมเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


5

สํานั กโปสซิตพ ี และสํานั กป้ องกันสังคม เห็นพ ้องกันว่าอาชญากรรมมิใช่เป็ นการกระทําโดยเจตนา


หากแต่ผู ้ถูกบังคับให ้กระทําอย่างหลีกเลียงไม่ได ้ และตัวทีบังคับให ้กระทํานันอาจเป็ นปั จจัยทางชีววิทยา ทาง
จิตวิทยา หรือทางสังคมวิทยาก็ได ้ เพราะฉะนั นจึงเน ้นให ้ศึกษาผู ้กระทําความผิดเพือค ้นหาสาเหตุโดยวิธก ี าร
ทางวิทยาศาสตร์

ล ักษณะและขอบเขตของอาชญากรรม
อาชญากรรมพืนฐานได ้แก่ อาชญากรรมประเภทใด
อาชญากรรมพืนฐานเป็ นอาชญากรรมทีเกิดขึนในทุกสังคมตังแต่โบราณกาล คือ ความผิดต่อชีวต ิ
ร่างกายและทรัพย์สน ิ และเพศ เช่น ทําร ้ายร่างกาย ลักทรัพย์ วิงราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล ้นทรัพย์ และข่มขืน
กระทําชําเรา เป็ นต ้น

อาชญากรรมพืนฐานต่างจากอาชญากรรมทีจัดเป็ นองค์การอย่างไร
อาชญากรรมพืนฐานแตกต่างจากอาชญากรรมทีจัดเป็ นองค์การ ตรงทีอาชญากรรมพืนฐานเป็ น
อาชญากรรมทีทําเป็ นส่วนบุคคล ส่วนอาชญากรรมทีเป็ นองค์การ มิใช่อาชญากรรมทีทําเป็ นส่วนบุคคล แต่ม ี
หน่วยงานเป็ นผู ้ดําเนินการรับผิดชอบ ซึงส่วนใหญ่จะเป็ นองค์การอาชญากรรมหรือองค์การนอกกฎหมาย เช่น
การจัดให ้มีการค ้าประเวณี เล่นการพนั น ค ้ายาเสพติดหรือลักลอบขนของหนีภาษี เป็ นต ้น

การจ ัดทําสถิตแิ ละเกณฑ์ว ัดแนวโน้มของอาชญากรรม


สถิตอ
ิ าชญากรรมของทางราชการอาจบอกอะไรแก่ผู ้อ่านได ้บ ้าง
สถิตอิ าชญากรรมของทางราชการอาจบอกให ้ทราบว่ามีอาชญากรรมอะไรเกิดขึนในสังคมในแต่ละปี
และสะท ้อนให ้เห็นการปฏิบัตงิ านของเจ ้าพนั กงานตํารวจเกียวกับการปราบปรามอาชญากรรม

สถิตอ
ิ าชญากรรมอย่างไม่เป็ นทางการได ้มาจากการจัดทํากีอย่าง อะไรบ ้าง
สถิตอิ าชญากรรมอย่างไม่เป็ นทางการได ้มาจากการทํา 5 อย่างด ้วยกันคือ
(1) การสังเกตอาชญากรรม
(2) รายงานของพนั กงานรักษาความปลอดภัยเอกชน
(3) สถานการณ์ทดสอบ
(4) การศึกษาผู ้เสียหายหรือเหยืออาชญากรรม
(5) คําสารภาพของผู ้ถูกสัมภาษณ์

อาชญากรรมประเภทต่างๆ ในระหว่าง 2530 ถึง 2532 ในประเทศไทยเพิมขึนหรือลดลงอย่างไร


อาชญากรรมในประเทศไทยเกิดขึนมากมาย อาชญากรรมอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญมีอัตราการ
เกิดขึนค่อนข ้างคงที คือในรอบ 4 ปี ทผ่ ี านมา มีการเพิมและลดไม่มากนั ก แต่ถ ้าว่าถึงจํานวนความผิดฐานฆ่า
ผู ้อืนเกิดขึนมากทีสุด ในบรรดาความผิดอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญด ้วยกัน
ในด ้านความผิดต่อชีวต
ิ ร่างกายและเพศ ความผิดฐานทําร ้ายร่างกายเกิดขึนมากทีสุด และมีแนวโน ้ม
เพิมขึน
ในด ้านความผิดเกียวกับทรัพย์ ความผิดฐานลักทรัพย์เกิดขึนมากทีสุด แต่มแ
ี นวโน ้มลดลง
เช่นเดียวกับความผิดฐานฉ ้อโกง ซึงมีแนวโน ้มลดลงเช่นเดียวกัน ส่วนความผิดทีเหลือค่อนข ้างคงที คือมีการ
เพิมและลดค่อนข ้างน ้อยเมือพิจารณาความผิดฐานลักทรัพย์บางประเภท ความผิดฐานลักรถจักร ยานยนต์และ
รถยนต์เกิดขึนมากและมีแนวโน ้มเพิมขึน ส่วนการลักโคกระบือมีแนวโน ้มลดลง
ในด ้านความผิดต่อ พรบ. อาวุธปื นฯ พรบ. การพนั น และ พรบ. ยาเสพติด ความผิดต่อ พรบ. ทัง 3 นี
เกิดขึนมากและมีแนวโน ้มเพิมมากขึน

ทฤษฎีสาเหตุของอาชญากรรม
1. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมมีทมาจากทฤษฎี
ี ของสํานั กคลาสสิกและสํานั กโปซิตพ

2. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชีววิทยาบอกว่า อาชญากรรมเกิดจากความผิดปกติทางกายภาพอันมี
ผลสืบเนืองมาจากพันธุกรรม
3. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยาอธิบายว่า อาชญากรรมเกิดขึนจากความผิดปกติทางอารมณ์
ทางจิตและทางบุคลิกภาพ
4. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางสังคมวิทยาอธิบายว่า อาชญากรรมเกิดจากอิทธิพลของสังคมและ
สิงแวดล ้อม

ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชวี วิทยา
ทฤษฎีสาเหตุของอาชญากรรมทางชีววิทยาทีสําคัญมีกทฤษฎี
ี อะไรบ ้าง
มี 4 ทฤษฎีใหญ่ คือ
(1) ทฤษฎีรปู ร่างลักษณะทางกาย

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


6

(2) ทฤษฎีโครโมโซม ผิดปกติ


(3) ทฤษฎีปัญญาอ่อนกับอาชญากรรม
(4) ทฤษฎีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

ทฤษฎีรปู ร่างลักษณะทางกายเห็นว่าผู ้ทีมีลักษณะทางกายอย่างไรจะประกอบอาชญากรรมมากทีสุด


ทฤษฎีรป ู ร่างลักษณะทางกายเห็นว่าเด็กหรือผู ้ใหญ่ทมี
ี รา่ งกายแข็งแรงแบบนั กกีฬา จะกระทํา
ความผิดมากทีสุด

ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยา
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยามีกทฤษฎี
ี อะไรบ ้าง
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยามี 4 ทฤษฎีด ้วยกันคือ (1) ทฤษฎีความผิดปกติทางจิตกับ
อาชญากรรม (2) ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ (3) ทฤษฎีปัญหาทางอารมณ์กับอาชญากรรม และ (4) ทฤษฎีพยาธิ
สภาพทางจิตกับอาชญากรรม

ทฤษฎีพยาธิสภาพทางจิตกับอาชญากรรม สามารถอธิบายอาชญากรรมได ้เพียงไร


ทฤษฎีพยาธิสภาพทางจิตกับอาชญากรรม พยายามอธิบายว่าอาชญากรรมเกิดจากพยาธิสภาพทาง
จิตต่างๆ นานา แต่จากการศึกษาปรากฏว่า ไม่ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างพยาธิสภาพทางจิตกับ
ั ของจิตแพทย์แต่ละคน ทําให ้ผลการ
อาชญากรรม และการวิเคราะห์พยาธิสภาพทางจิต เป็ นเรืองอัตตวิสย
วิเคราะห์แตกต่างกันมาก


ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางสงคมวิ ทยา
ทฤษฎีความไร ้กฎเกณฑ์ของโรเบิรต
์ เค เมอร์ตัน เสนอรูปแบบของการปรับตัวของชาวอเมริกันมีก ี
แบบ อะไรบ ้าง
ทฤษฎีความไร ้กฎเกณฑ์เสนอรูปแบบของการปรับตัวของชาวอเมริกน
ั ไว ้ 5 รูปแบบด ้วยกัน คือ
(1) แบบคล ้อยตาม
(2) แบบทําขึนใหม่
(3) แบบพิธก
ี าร
(4) แบบถอยหลังเข ้าคลอง
(5) แบบปฏิวัต ิ

ทฤษฎีการควบคุมภายนอกและภายในกล่าวไว ้อย่างไรเกียวกับสาเหตุของอาชญากรรม และท่านคิด


ว่าจะนํ าทฤษฎีนีมาใช ้อธิบายสถานภาพอาชญากรรมในประเทศไทยได ้หรือไม่ อย่างไร จงให ้ความเห็น
ทฤษฎีการควบคุมภายนอกและควบคุมภายในเสนอว่าถ ้าการควบคุมภายนอกเข ้มแข็ง และบุคลิกมี
การควบคุมภายในเข ้มแข็งด ้วย อาชญากรรมจะไม่เกิดขึน แต่ถ ้าการควบคุมภายนอกเข ้มแข็ง แต่การควบคุม
ภายในอ่อน โอกาสประกอบอาชญากรรมย่อมเกิดขึน ซึงถ ้าการควบคุมทังภายนอกและภายในอ่อนแอ
อาชญากรรมย่อมจะเกิดขึนมากโดยไม่จํากัดเวลาและสถานที


แบบประเมินผล หน่วยที 2 อาชญากรรมในสงคม

1. การศึกษาอาชญากรรมอย่างเป็ นระบบเริมมีขนหลั ึ งจากการพิมพ์เผยแพร่ผลงานของนักอาชญาวิทยาที


ชือ ซีซาร์ เบ็ คคาเรีย
2. สถิตอ ิ าชญากรรมของทางราชการตังอยู่บนนิยามอาชญากรรม คือ นิยามตามกฎหมาย
3. สํานั กอาชญาวิทยา สําน ักคลาสสิค เกิดขึนก่อน
4. ซีซาร์ ลอมโบรโซ ผู ้นํ าแห่งสํานั กโปซิตฟ ี มีความคิดเกียวกับอาชญากรรมคือ อาชญากรรมเกิดขึน
เพราะมีสาเหตุทางด้านชีววิทยา
5. อาชญากร โดยนิยามทางวิชาการหมายถึงบุคคล ผูท ้ ได้
ี กระทําผิดทางอาญาและศาลมีคําพิพากษา
ให้ลงโทษตามโทษานุโทษ
6. ความผิดฐานวางเพลิง เป็ นอาชญากรรมอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ
7. ทฤษฎีอาชญากรโดยกําเนิด เป็ นทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมของนักอาชญาวิทยาชือ ซีซาร์ ลอมโบรโช
8. ตามทฤษฎีลักษณะทางกายกับอาชญากรรม อาชญากรจะมีรูปร่าง ลําสนแข็ ั งแรงแบบน ักกีฬามากทีสุด
9. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิเคราะห์มท ี มาจากทฤษฎี
ี ของนักวิชาการทีชือ ซิกม ัน ฟรอยด์
10. ทฤษฎีการคบหาสมาคมทีแตกต่างกันเริมจากแนวความคิด อาชญากรรม เกิดจากการเรียนรู ้
11. อาชญากรรมทีถือว่าเป็ น อาชญากรรมทีไม่มผ ี ู ้เสียหายคือ เล่นการพน ัน
12. การศึกษาอาชญากรรมอย่างเป็ นระบบเริมโดยสํานั กอาชญาวิทยา สําน ักคลาสสิก
13. นักอาชญาวิทยาผู ้ทีเป็ นผู ้นํ าของสํานักโปซิตฟ ี คือ ซีซาร์ ลอมโบรโซ
14. อาชญากรรมตามทัศนะของนักอาชญาวิทยา สํานั กคลาสสิก เป็นการกระทําโดยเจตนาเพือแสวงหา
ความสุข

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


7

่ ารประกอบอาชญากรรมตามทฤษฎีโครงสร ้างทางสังคมและความไร ้กฎเกณฑ์คอ


15. การปรับตัวทีนํ าไปสูก ื
แบบถอยหล ังเข้าคลอง (Retreatism)
16. ข่มขืนกระทําชําเรา เป็ นอาชญากรรมอุกฉกรรจ์และสยองขวัญตามนิยามของกรมตํารวจ
17. อาชญากรรมทีจัดทําเป็ นองค์กร คือ การค้ายาเสพติดให้โทษ
18. ทฤษฎีการคบหาสมาคมทีแตกต่างกันของศาสตราจารย์ซัทเทอร์แลนด์ บอกไว ้ว่าคนจะลงมือกระทํา
ความผิดเพราะ ได้เรียนรูเ้ ทคนิคการประกอบอาชญากรรม
19. สถิตอ
ิ าชญากรรมของระบบงานยุตธิ รรมทีบอกสถานภาพและจํานวนอาชญากรรมได ้มากทีสุดคือ สถิต ิ
ของกรมตํารวจ
20. นักอาชญาวิทยาสังคมวิทยาเห็นอาชญากรรมเกิดจากสาเหตุ ั
เกิดจากอิทธิพบของสงคมและ
สิงแวดล้อม

้ ังค ับกฎหมายอาญา
หน่วยที 3 การใชบ

1. กฎหมายอาญาต ้องมีบทบัญญัตเิ ป็ นลายลักษณ์อก ั ษรทีชัดแจ ้งปราศจากการคลุมเครือ และจะต ้อง


ตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด
2. กฎหมายอาญาจะให ้ผลย ้อนหลังแก่ผู ้กระทํามิได ้ แต่ย ้อนหลังเพือเป็ นคุณได ้
3. กฎหมายอาญาใช ้บังคับสําหรับการกระทําผิดทีเกิดขึนในราชอาณาจักร ส่วนการกระทําผิดนอก
ราชอาณาจักรนั น อาจใช ้บังคับกฎหมายอาญาได ้บางกรณี โดยคํานึงถึงสถานที สภาพของความผิดและ
ผู ้กระทําผิด

3.1 ล ักษณะการใชก ้ ฎหมายอาญา


1. กฎหมายอาญาต ้องมีบทบัญญัตค
ิ วามผิดและบทลงโทษไว ้เป็ นลายลักษณ์อก
ั ษรอย่างชัดแจ ้งและ
แน่นอน
2. กฎหมายอาญาต ้องตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด
3. กฎหมายอาญาจะย ้อนหลังให ้ผลร ้ายแก่ผู ้กระทํา โดยบัญญัตเิ ป็ นความผิดหรือเพิมโทษในภายหลังมิได ้


3.1.1 กฎหมายอาญาต้องมีบทบ ัญญ ัติโดยชดแจ้

กฎหมายอาญาต ้องมีบทบัญญัตโิ ดยชัดแจ ้งนั น หมายความว่าอย่างไร
กฎหมายอาญาต ้องมีบทบัญญัตโิ ดยชัดแจ ้ง หมายความว่า กฎหมายอาญาจะต ้องมีบทบัญญัตไิ ว ้เป็ น
ลายลักษณ์อก ั ษร โดยบัญญัตค ิ วามผิดและโทษไว ้ในขณะกระทํา และบทบัญญัตน ิ ั นต ้องชัดเจนปราศจากการ
คลุมเครือมิฉะนั นจะใช ้บังคับมิได ้ ซึงประมวลกฎหมายอาญาได ้บัญญัตริ ับรองไว ้ในมาตรา 2 ทีว่าบุคคลจักต ้อง
รับโทษในทางอาญาต่อเมือได ้กระทําการอันกฎหมายทีใช ้ขณะกระทําการนั นบัญญัตเิ ป็ นความผิดและกําหนด
โทษไว ้ และโทษทีจะลงแก่ผู ้กระทําผิดนันต ้องเป็ นโทษทีกําหนดไว ้ในกฎหมาย

การใช ้บังคับกฎหมายอาญานัน จะบัญญัตก ิ ารกระทําทีทีเป็ นความผิดโดยไม่มบ ี ทกําหนดโทษ หรือ


กําหนดบทลงโทษโดยไม่บัญญัตค ิ วามผิดไว ้ได ้หรือไม่ เพราะเหตุใด
การใช ้บังคับกฎหมายอาญานัน จะบัญญัตก ิ ารกระทําทีเป็ นความผิดโดยไม่มบ
ี ทกําหนดโทษ หรือ
กําหนดบทลงโทษโดยไม่บัญญัตค ิ วามผิดไม่ได ้ เพราะการลงโทษเป็ นเรืองทีมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพ
ส่วนบุคคลโดยตรงหากให ้ผู ้อํานาจผู ้บังคับกฎหมายกําหนดโทษได ้เอง หรือลงโทษเสียก่อนจึงกําหนด
ความผิดภายหลัง ก็จะเป็ นการเปิ ดช่องให ้มีการใช ้อํานาจตามอําเภอใจได ้โดยง่าย ซึงจะเป็ นผลให ้
กระบวนการยุตธิ รรมเบียงเบนไป และประชาชนก็จะขาดหลักประกันในสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล เช่นนีย่อม
เป็ นทีเสียหายต่อความสงบเรียบร ้อยในบ ้านเมืองและสังคมโดยรวม ฉะนันลักษณะการใช ้บังคับกฎหมายจึงถือ
หลัก “ไม่มค ี วามผิด ไม่มโี ทษ ไม่มก ี ฎหมาย” โดยเคร่งครัด

3.1.2 กฎหมายอาญาต้องมีตค ี วามโดยเคร่งคร ัด


ทีวากฎหมายอาญาจะต ้องตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดนันมีความหมายอย่างไร
ทีว่ากฎหมายอาญาจะต ้องตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดนันหมายความว่า กฎหมายบัญญัตก ิ าร
กระทําใดเป็ นความผิดและต ้องรับโทษในทางอาญาแล ้ว ต ้องถือว่าการกระทํานันๆ เท่านั นทีเป็ นความผิดและ
ผูกระทําถูกลงโทษจะรวมถึงการกระทําอืนๆด ้วยไม่ได ้ อย่างไรก็ดใี นบางกรณีการตีความตามตัวอักษรแต่เพียง
อย่างเดียว ยังไม่อาจทําให ้เข ้าใจความหมายทีแท ้จริงของบทบัญญัตแ ิ ห่งกฎหมายได ้ ด ้วยเหตุนีจึงต ้อง
คํานึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายด ้วยนอกจากนี การตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดดังกล่าว มีความหมาย
เฉพาะการเคร่งครัดในด ้านทีเป็ นคุณแก่ผู ้กระทําเท่านัน มิใช่ในทางทีจะเป็ นโทษแก่ผู ้กระทํา

ในการตีความกฎหมายอาญานั น จะนํ าหลักการเทียบกฎหมายทีใกล ้เคียงอย่างยิง (Analogy) มา


ใช ้ได ้หรือไม่เพียงใด

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


8

ในการตีความกฎหมายอาญานั น จะนํ าหลักการเทียบกฎหมายทีใกล ้เคียงอย่างยิง มาใช ้บังคับให ้เป็ น


ผลร ้ายแก่ผู ้กระทํามิได ้ หลักการเทียบเคียงนัน ใช ้เฉพาะในกฎหมายแพ่งดังทีมีบัญญัตไิ ว ้ในประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 อย่างไรก็ดห ี ลักการเทียบเคียงดังกล่าวอาจนํ ามาใช ้เพือเป็ นคุณหรือประโยชน์แก่
ผู ้กระทําได ้

3.1.3 กฎหมายอาญาจะย้อนหล ังให้ผลร้ายมิได้


กฎหมายอาญาย ้อนหลังเป็ นผลร ้ายมิได ้นั น มีความหมายครอบคลุมเพียงใด
ทีว่ากฎหมายอาญาย ้อนหลังเป็ นผลร ้ายมิได ้นั น มีความหมายครอบคลุมใน 2 กรณี ดังต่อไปนี
(1) กฎหมายอาญา จะย ้อนหลังเพือลงโทษมิได ้ กล่าวคือในเมือไม่มก ี ฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด
ไว ้ในขณะกระทํา จึงใช ้บังคับกฎหมายทีบัญญัตใิ นภายหลังย ้อนหลังกลับไปให ้ถือว่าการกระทํานันเป็ น
ความผิด และลงโทษบุคคลผู ้กระทํานั นมิได ้
(2) กฎหมายอาญาจะย ้อนหลังเพือเพิมโทษหรือเพิมอายุความมิได ้ กล่าวคือในขณะกระทํามี
กฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิดและกําหนดโทษไว ้ ต่อมามีกฎหมายใหม่บัญญัตเิ พิมโทษการกระทําดังกล่าวนั น
ให ้หนั กขึน หรือเพิมอายุความแห่งโทษหรืออายุความแห่งการฟ้ องร ้องผู ้กระทําผิดนันให ้ยาวยิงขึน จะนํ า
กฎหมายใหม่ดังกล่าวมาใช ้บังคับแก่ผู ้กระทํามิได ้ ในกรณีเช่นนีจะต ้องนํ ากฎหมายทีมีอยูเ่ ดิมใช ้บังคับแก่
ผู ้กระทําผิด
ี ารใช ้บังคับกฎหมายอาญาอาจย ้อนหลังเป็ นผลดีได ้ และวิธก
อย่างไรก็ดก ี ารเพือความปลอดภัยมิใช่
โทษทางอาญา จึงใช ้บังคับย ้อนหลังได ้

้ ฎหมายอาญาในสว่ นทีเกียวก ับเวลา


3.2 การใชก
1. กฎหมายทีบัญญัตข
ิ นในภายหลั
ึ งแตกต่างไปจากกฎหมายทีใช ้ในขณะกระทําผิด ให ้ใช ้กฎหมายในส่วน
ทีเป็ นคุณแก่ผู ้กระทําผิด
2. วิธก
ี ารเพือความปลอดภัย จะใช ้บังคับแก่บค
ุ คลใดก็ตอ ิ ห่งกฎหมายให ้ใช ้บังคับได ้
่ เมือมีบทบัญญัตแ
เท่านัน และกฎหมายทีจะใช ้บังคับนั น ให ้ใช ้กฎหมายในขณะทีศาลพิพากษา

3.2.1 กรณีกฎหมายใหม่เป็นคุณแก่ผก ู ้ ระทําผิด


การใช ้บังคับกฎหมายอาญาย ้อนหลังเป็ นผลดีแก่ผู ้กระทํานัน มีกรณีใดบ ้าง อธิบาย
การใช ้บังคับกฎหมายอาญาย ้อนหลังเป็ นผลดีแก่ผู ้กระทํานัน มี 2 กรณี ได ้แก่กฎหมายใหม่ยกเลิก
ความผิดตามกฎหมายเก่า และกรณีกฎหมายใหม่แตกต่างจากกฎหมายเก่า
(ก) กรณีกฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดตามกฎหมายเก่า ได ้แก่กฎหมายทีออกมาในภายหลังบัญญัต ิ
ให ้การกระทํานันไม่เป็ นความผิดตามกฎหมายเก่า และกรณีใหม่แตกต่างจากกฎหมายเก่า
- ผู ้กระทํานันพ ้นจากการเป็ นผู ้กระทําผิด กล่าวคือ หากมีกฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดตาม
กฎหมายเก่า ในขณะทีไม่มค ี ําพิพากษาถึงทีสุดให ้คดีนันเป็ นอันยุต ิ นันคือผู ้กระทําความผิดนั นพ ้นจากการเป็ น
ผู ้กระทําความผิดโดยอัตโนมัต ิ
- กรณีถอ ื ว่าผู ้กระทําไม่เคยต ้องคําพิพากษา หรือให ้พ ้นจากการถูกกล่าวโทษกล่าวคือ หากมี
กฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดตามกฎหมายเก่า ในขณะทีได ้มีคําพิพากษาถคงทีสุดให ้ลงโทษแล ้วก็ให ้ถือว่าผู ้
นั นไม่เคยต ้องคําพิพากษาว่าได ้กระทําความผิดนั นเลย และหากเป็ นกรณีทบุ ี คคลนั นยังอยูใ่ นขณะรับโทษ ก็
ให ้การลงโทษนันสินสุดลงและปล่อยตัวบุคคลนันไป
(ข) กรณีกฎหมายใหม่แตกต่างจากกฎหมายเก่า ได ้แก่กฎหมายทีใช ้บังคับในภายหลังแตกต่างกับ
กฎหมายทีใช ้บังคับในขณะกระทําความผิด ซึงอาจแบ่งแยกได ้เป็ น 2 กรณี ดังนี
- กรณีคดียังไม่ถงึ ทีสุด กล่าวคือ หากกฎหมายทีใช ้ภายหลังแตกต่างกับกฎหมายทีใช ้ในขณะ
กระทําผิด ในกรณีคดียังไม่ถงึ ทีสุดให ้ใช ้กฎหมายในส่วนทีเป็ นคุณแก่ผู ้กระทําความผิด ไม่วา่ ในทางใด
- กรณีคดีถงึ ทีสุดแล ้ว และโทษทีกําหนดตามคําพิพากษาหนั กแก่โทษทีกําหนดตามกฎหมายที
บัญญัตใิ นภายหลัง ในเมือผู ้กระทํายังไม่ได ้รับโทษ หรือกําลังรับโทษอยูอ ่ าจแยกเป็ น 2 กรณี ได ้แก่
 กรณีโทษตามคําพิพากษามิใช่โทษประหารชีวต ิ หากผู ้กระทําความผิดยังไม่ได ้รับโทษ
ศาลต ้องกําหนดโทษใหม่ตามกฎหมายทีใช ้บัญญัตใิ นภายหลังในเมือผู ้กระทําความผิด ผู ้แทนโดยชอบธรรม
หรือพนั กงานอัยการร ้องขอและหากผู ้กระทําความผิดกําลังรับโทษอยู่ ศาลจะต ้องกําหนดโทษเสียใหม่ตาม
กฎหมายทีบัญญัตใิ นภายหลังในกรณีทศาลจะกํ ี าหนดโทษใหม่นี หากเห็นเป็ นการสมควรจะกําหนดโทษน ้อย
กว่าโทษขันตําตามกฎหมายใหม่ หรือศาลจะปล่อยตัวผู ้กระทําผิดไปก็ได ้
 กรณีโทษตามคําพิพากษาเป็ นโทษประหารชีวต ิ และตามกฎหมายใหม่โทษทีจะลงแก่
ผู ้กระทําความผิดไม่ถงึ กับประหารชีวต ิ กรณีเช่นนีให ้งดโทษประหารชีวต ิ แก่ผู ้กระทําผิด และให ้ถือว่าโทษ
ประหารชีวต ิ ตามคําพิพากษาได ้เปลียนเป็ นโทษสูงสุดทีจะลงได ้ตามกฎหมายใหม่ โดยไม่ต ้องมีการร ้องขอ
หรือใช ้ดุลพินจิ ของศาล

ศาลจังหวัดนนทบุรพี พ
ิ ากษาจําคุกนายเขียว 1 เดือน ฐานดืมสุราในยามวิกาล ต่อมารัฐออกกฎหมาย
ยกเลิกความผิดดังกล่าว กฎหมายใหม่จะมีผลต่อนายเขียวประการใด ถ ้าปรากฏว่า

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


9

(1) นายเขียวอุทธรณ์คําพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์ และคดียังอยูใ่ นระหว่างการพิจารณาของศาล


อุทธรณ์
(2) นายเขียวไม่อท
ุ ธรณ์ ทําให ้คําพิพากษาศาลจังหวัดนนทบุรถ
ี งึ ทีสุดและนายเขียวกําลังรับโทษ
จําคุกอยู่
(3) นายเขียวไม่อท ุ ธรณ์ ทําให ้คําพิพากษาศาลจังหวัดนนทบุรถ ี งึ ทีสุดโดยนายเขียวได ้รับโทษ
จําคุกครบกําหนดและพ ้นโทษไปแล ้ว
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 บัญญัตไิ ว ้ว่า “บุคคลจะต ้องรับโทษทางอาญาต่อเมือได ้กระทําการ
อันกฎหมายทีใช ้ในขณะนันบัญญัตเิ ป็ นความผิดและกําหนดโทษไว ้ และโทษทีจะลงแก่ผู ้กระทําผิดต ้องเป็ น
โทษตามทีบัญญัตไิ ว ้ในกฎหมาย
ถ ้าตามบทบัญญัตข ิ องกฎหมายทีบัญญัตใิ นภายหลัง การกระทําเช่นนันไม่เป็ นความผิดต่อไป ให ้ผู ้ที
ได ้กระทําการนั นพ ้นจากการเป็ นผู ้กระทําความผิด และถ ้าได ้มีคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษแล ้ว ก็ให ้ถือว่าผู ้
นั นไม่เคยต ้องคําพิพากษาว่าได ้กระทําความผิด ถ ้ารับโทษอยูก ่ ็ให ้การลงโทษสินสุดลง
บทบัญญัตน ิ ีได ้วางหลักในการบังคับใช ้กฎหมายอาญาไว ้ว่า กฎหมายอาญาไม่มผ ี ลย ้อนหลังไป
บังคับใช ้กับข ้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ทเกิ ี ดขึนก่อนวันทีกฎหมายอาญาใช ้บังคับ แต่กม ็ ข
ี ้อยกเว ้นอยูว่ า่ ในกรณี
กฎหมายภายหลังบัญญัตย ิ กเลิกความผิด กฎหมายใหม่นีมีผลย ้อนหลังได ้ ซึงจะมีผลต่อผู ้การกระทํานัน ดังนี
(1) ให ้ผู ้กระทําพ ้นความผิดทันที
(2) ถ ้ามีคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษแล ้ว ให ้ถือว่าผู ้กระทําไม่เคยต ้องคําพิพากษาว่าได ้กระทํา
ความผิด
(3) ถ ้ารับโทษอยูก ่ ็ให ้การลงโทษสินสุดลง
จากข ้อเท็จจริงตามปั ญหา ศาลจังหวัดนนทบุรพ ี พิ ากษาจําคุกนายเขียว 1 เดือน ฐานดืมสุราในยาม
วิกาลต่อมามีกฎหมายยกเลิกความผิดนันเสีย กรณีนีเป็ นเรืองกฎหมายภายหลังออกมาการยกเลิกความผิด
ฉะนั นกฎหมายใหม่ยอ ่ มมีผลย ้อนหลังได ้ ซึงย่อมทําให ้นายเขียวได ้รับผลตามทีกฎหมายกําหนดไว ้ ดังต่อไปนี
กรณีแรก นายเขียวอุทธรณ์คําพิพากษา แสดงว่า คําพิพากษายังไม่ถงึ ทีสุด เมือเป็ นเช่นนีต ้องถือว่า
นายเขียวพ ้นความผิดไปทันที เจ ้าพนั กงานจะดําเนินคดีกับนายเขียวต่อไปอีกไม่ได ้ ต ้องปล่อยตัวนายเขียว
กรณีทสองี นายเขียวไม่อท ุ ธรณ์ และรับโทษตามคําพิพากษา กรณีนีต ้องระงับโทษนายเขียว และ
ปล่อยตัว โดยถือว่านายเขียวไม่เคยต ้องคําพิพากษาว่าได ้กระทําความผิด
กรณีทสาม ี นายเขียว รับโทษตามคําพิพากษาอันถึงทีสุดครบกําหนด และพ ้นโทษแล ้ว ก็เป็ นกรณีท ี
มีคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษ เมือกฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดทีนายเขียวได ้กระทําก็ต ้องถือว่า นายเขียว
ไม่เคยต ้องคําพิพากษาว่าได ้กระทําความผิด

3.2.2 กรณีวธ ิ ก
ี ารเพือความปลอดภ ัย
การใช ้บังคับวิธกี ารเพือความปลอดภัยมีหลักเกณฑ์ประการใดบ ้าง
หลักเกณฑ์การใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยนั น มีบทบัญญัตไิ ว ้ในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 12 ซึงประกอบด ้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการดังต่อไปนี
ี ารเพือความปลอดภัยทีจะใช ้บังคับได ้ต ้องเป็ นวิธก
(1) วิธก ี ารทีกฎหมายกําหนดไว ้ เพราะวิธก ี ารเพือ
ความปลอดภัยเป็ นเรืองของการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ฉะนันจะใช ้บังคับได ้ต่อเมือมีกฎหมายให ้
อํานาจไว ้โดยชัดแจ ้งเท่านัน และ
(2) กฎหมายทีจะนํ ามาใช ้ บังคับเกียวกับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยได ้ต ้องเป็ นกฎหมายในขณะที
ศาลพิพากษาคดี มิใช่กฎหมายในขณะทีพฤติการณ์อน ี ารเพือความปลอดภัยมาใช ้นันได ้
ั เป็ นเหตุให ้อาจนํ าวิธก
เกิดขึน เหตุผลก็คอ ื วิธกี ารเพือความปลอดภัยไม่ใช่โทษ แต่เป็ นวิธก ี ารเพือป้ องกันสังคมให ้ปลอดภัยจากการ
ทีบุคคลนันกระทําความผิดในภายภาคหน ้า

ี ารใช ้บังคับวิธก
วิธก ี ารเพือความปลอดภัยนั น มีกรณีใดบ ้าง อธิบาย
วิธกี ารใช ้บังคับวิธกี ารเพือความปลอดภัยนั น อาจแบ่งได ้เป็ น 4 กรณีดังต่อไปนี
(1) กรณียกเลิกวิธก ี ารเพือความปลอดภัย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 13 กล่าวคือ เมือมี
กฎหมายใหม่ยกเลิกวิธก ี ารเพือความปลอดภัยใดแล ้ว ก็ให ้ศาลระงับการใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยนัน
เสีย
(2) กรณีเปลียนแปลงเงือนไขบังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
14 กล่าวคือ เมือมีกฎหมายใหม่ออกมาเปลียนแปลงเงือนไขทีจะสังให ้มีการใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความ
ปลอดภัย ซึงเป็ นผลอันไม่อาจนํ ามาใช ้บังคับแต่กรณีของผู ้นั นได ้ หรือนํ ามาใช ้บังคับได ้แต่การใช ้บังคับวิธก ี าร
เพือความปลอดภัยตามกฎหมายใหม่เป็ นคุณแก่ผู ้นันยิงกว่า ศาลมีอํานาจสังให ้ยกเลิกหรือไม่ก็ได ้ หรือศาลจะ
สังให ้ใช ้บังคับวิธกี ารเพือความปลอดภัยตามกฎหมายใหม่ทเป็ ี นคุณนั นเพียงใดหรือไม่กไ็ ด ้ทังนีอยูใ่ นดุลพินจิ
ของศาล
(3) กรณีกฎหมายเปลียนโทษ มาเป็ นวิธก ี ารเพือความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
15 กล่าวคือ กรณีกฎหมายใหม่เปลียนโทษทางอาญามาเป็ นวิธก ี ารเพือความปลอดภัย ก็ให ้ถือว่าโทษทีจะลง
นั นเป็ นวิธกี ารเพือความปลอดภัย เหตุผลก็คอ ื วิธกี ารเพือความปลอดภัยนันเบากว่าโทษนั นเอง และหากกรณี

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


10

ศาลยังไม่ได ้ลงโทษผู ้นั น หรือผู ้นั นยังรับโทษอยู่ ก็ให ้ใช ้วิธก


ี ารเพือความปลอดภัยแก่ผู ้นันต่อไป ส่วนผล
บังคับในเรืองเงือนไขการใช ้วิธก
ี ารเพือความปลอดภัยแตกต่างไปจากเงือนไขเดิม ก็ให ้ใช ้บังคับเช่นเดียวกับ
กรณีมาตรา 14
(4) กรณีเพิกถอนหรืองดใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยชัวคราวตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 16 กล่าวคือ เมือพฤติการณ์เกียวกับการใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยนั นเปลียนไปจากเดิม ศาล
จะสังเพิกถอนหรืองดการใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยแก่ผู ้นั นไว ้ชัวคราวหรือไม่ก็ได ้ ทังนีอยูใ่ นดุลพินจ

ของศาล

3.3 การใชก ้ ฎหมายอาญาในสว่ นทีเกียวก ับพืนที


1. ผู ้ใดกระทําความผิดในราชอาณาจักรต ้องรับโทษตามกฎหมาย การกระทําความผิดในเรือไทย หรือ
อากาศยานไทย ไม่วา่ จะอยู่ ณ ทีใด ให ้ถือว่ากระทําความผิดในราชอาณาจักร
2. รัฐมีอาํ นาจลงโทษผู ้กระทําความผิดนอกราชอาณาจักรได ้ในความผิดทีเป็ นผลโดยตรงต่อความสงบ
เรียบร ้อยและความมันคงแห่งราชอาณาจักร รวมทังในระหว่างรัฐต่างๆ โดยไม่คํานึงถึงสัญชาติของผู ้กระทํา
ผิด
3. รัฐบาลมีอํานาจลงโทษคนในสัญชาติทกระทํ ี าความผิดต่อบุคคลในสัญชาติ แม ้กระทํานอกราชอาณา
เขตก็ตาม ทังนีภายใต ้ขอบเขตทีจํากัด
4. การกระทําความผิดอันเดียวอาจตกอยูใ่ นอํานาจของศาลหลายรัฐ ดังนัน หากมีการดําเนินคดีเดียวกัน
ซําอีกครังหนึง ก็จะเกิดความไม่เป็ นธรรมทีผู ้กระทําความผิด อาจถูกลงโทษสองครังในความผิดเดียวกัน จึง
ต ้องอาศัยหลักการคํานึงถึงคําพิพากษาของศาลต่างประเทศประกอบด ้วย

3.3.1 หล ักดินแดน
ในกรณีใดบ ้างทีกฎหมายให ้ถือว่าเป็ นการกระทําความผิดในราชอาณาจักร จงอธิบาย
กรณีทกฎหมายให
ี ้ถือว่าเป็ นการกระทําความผิดในราชอาณาจักรมีดังต่อไปนี
(1) กระทําความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยไม่วา่ อยูท ่ ใด(แต่
ี ต ้องอยูน
่ อกราชอาณาจักร) ตาม
มาตรา 4 วรรค 2
(2) การกระทําความผิดบางส่วนในราชอาณาจักร และบางส่วนนอกราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรค
แรก
(3) การกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร และผลแห่งการกระทําเกิดขึนในราชอาณาจักร โดย
ผู ้กระทําประสงค์ให ้ผลเกิดขึนในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(4) การกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร และผลแห่งการกระทําผิดเกิดในราชอาณาจักรโดย
ลักษณะแห่งการกระทํา ผลนันควรเกิดขึนในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(5) การกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร และผลของการกระทําเกิดขึนในราชอาณาจักร โดย
ย่อมจะเล็งเห็นได ้ว่า ผลนันจะเกิดขึนในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(6) การตระเตรียมการนอกราชอาณาจักร ซึงกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด ถ ้าหากการกระทํานันจะ
ได ้กระทําตลอดไปจนถึงขันความผิดสําเร็จ ผลจะเกิดขึนในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรค 2
(7) การพยายามกระทําการนอกราชอาณาจักร ซึงกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด ถ ้าหากการกระทํา
นั นจะได ้กระทําตลอดไปจนจนถึงขันความผิดสําเร็จ ผลจะเกิดขึนในราชอาณาจักร ตามมาตรา 5 วรรค 2
(8) ตัวการร่วม ผู ้ใช ้ หรือผู ้สนับสนุน ได ้กระทํานอกราชอาณาจักรโดยความผิดนั นได ้กระทําใน
ราชอาณาจักรหรือกฎหมายให ้ถือว่าได ้กระทําในราชอาณาจักร ตามมาตรา 6

ก วางยาพิษ ข โดยผสมกับเบียร์ให ้ดืม ขณะโดยสารเครืองบินไทยซึงบินอยูเ่ หนือน่านฟ้ าฟิ ลปิ ปิ นส์


ข ลงทีฮ่องกง และรักษาตัวในโรงพยาบาลฮ่องกง 3 วัน อาการยังไม่ดข ี นึ จึงเดินทางไปรักษาตัวทีญีปุ่ นและ
ถึงแก่ความตายในโรงพยาบาลญีปุ่ น ดังนี ก ต ้องรับโทษในประเทศไทยหรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 4 ผู ้ใดกระทําความผิดในราชอาณาจักร ต ้องรับโทษตามกฎหมาย
การกระทําความผิดในเรือไทย หรืออากาศยานไทย ไม่รู ้ว่าจะอยู่ ณ ทีใด ให ้ถือว่ากระทําความผิดใน
ราชอาณาจักร
ตามปั ญหา ก วางยาพิษ ข โดยผสมกับเบียร์ให ้ ข ดืม ขณะโดยสารเครืองบินไทยในเมือ ก ได ้
กระทําความผิดในอากาศยานไทย ฉะนั นไม่วา่ จะอยู่ ณ ทีใด กฎหมายให ้ถือว่าเป็ นการกระทําความผิดใน
ราชอาณาจักร ตามมาตรา 4วรรค 2 สําหรับ ข ผู ้เสียหายจะไปรักษาหรือถึงแก่ความตายทีใดก็ไม่สาํ คัญ
เพราะการกระทําความผิดได ้เกิดขึนและสินสุดลงแล ้ว ในอากาศยานไทย และความตายเป็ นเพียงสุดท ้ายของ
การกระทําเท่านัน ดังนั น ก จึงต ้องรับโทษในประเทศไทยตามบทบัญญัตด ิ ังกล่าว

ดําจะฆ่าขาว จึงนํ าระเบิดมาวางทีบ ้านขาวในเขตฝั งไทย โดยดํากดรีโมทคอนโทรลจากเขตฝั งลาว


ขาวถูกระเบิดถึงแก่ความตาย ดังนีถือเป็ นการกระทําความผิดในราชอาณาจักรหรือไม่เพราะเหตุใด
ในเรืองนี ปอ. มาตรา 5 วรรค 2 วางหลักได ้ว่า การกระทําแม ้แต่สว่ นหนึงส่วนใดได ้กระทําใน
ราชอาณาจักร ให ้ถือว่าความผิดนันได ้กระทําในราชอาณาจักร

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


11

ตามปั ญหา ดํา นํ าระเบิดมาวางทีบ ้านขาวในฝั งไทย โดยกดรีโมทคอนโทรลจากเขตฝั งลาว เห็นได ้


ว่าความผิดบางส่วนได ้กระทํานอกราชอาณาจักรและบางส่วนได ้กระทําในราชอาณาจักร จึงถือว่าดําได ้กระทํา
ความผิดในราชอาณาจักร ตามมาตรา 5 วรรคแรกดังกล่าว

ก วางแผนฆ่า ข โดยใช ้ขนมผสมยาพิษให ้ ข กิน ในขณะที ข กําลังจะเดินทางจากมาเลเซียมาไทย


เพือให ้ ข เข ้ามาตายฝั งไทย ข กินขนมนีแล ้วเดินทางเข ้ามาในประเทศไทย แต่ ข ไม่ตายเพราะแพทย์ไทย
ช่วยชีวต ิ ไว ้ได ้ทัน ดังนีถือว่า ก ได ้กระทําความผิดในประเทศไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตาม ปอ. มาตรา 5 วรรค 2 ในกรณีตระเตรียมการ หรือพยายามกระทําการใดๆซึงกฎหมายบัญญัต ิ
เป็ นความผิดแม ้การกระทํานันจะได ้กระทํานอกราชอาณาจักร ถ ้าหากการกระทํานันจะได ้กระทําตลอดไปจนถึง
ขันความผิดสําเร็จ ผลจะเกิดขึนในราชอาณาจักร ให ้ถือว่าการพยายามกระทําความผิดนันได ้กระทําใน
ราชอาณาจักร
ตามปั ญหาดังกล่าว ก ใช ้ขนมผสมยาพิษให ้ ข กิน เพือให ้ ข เข ้ามาตายในประเทศไทย ข กินขนม
นั นแล ้วเดินทางเข ้ามาในไทย แต่ ข ไม่ตายเพราะแพทย์ไทยช่วยชีวต ิ ไว ้ได ้ทัน จึงเป็ นการพยายามกระทํา
ความผิดนอกราชอาณาจักร หากความผิดสําเร็จผลจะเกิดขึนในราชอาณาจักร ถือว่าการพยายามกระทํา
ความผิดนันได ้กระทําในราชอาณาจักร ตามมาตรา 5 วรรค 2 ดังกล่าว

ทินอ่องอยูใ่ นพม่า วางแผนจะปล ้นทรัพย์สน ิ ในประเทศไทย โดยทินอ่องกับพวกได ้ตระเตรียมอาวุธ


พร ้อมแล ้วขณะกําลังจะเดินทางเข ้ามากระทําการในเขตประเทศไทย ก็ถก ู ตํารวจพม่าจับได ้เสียก่อน ดังนีถือ
เป็ นการกระทําความผิดในราชอาณาจักรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตาม ปอ. มาตรา 5 วรรค 2 ในกรณีตระเตรียมการ หรือพยายามกระทําการใดๆซึงกฎหมายบัญญัต ิ
เป็ นความผิดแม ้การกระทํานันจะได ้กระทํานอกราชอาณาจักร ถ ้าหากการกระทํานันจะได ้กระทําตลอดไปจนถึง
ขันความผิดสําเร็จผลจะเกิดขึนในราชอาณาจักร ให ้ถือว่าการตระเตรียมการหรือพยายามกระทําความผิดนันได ้
กระทําในราชอาณาจักร
ตามปั ญหา ทินอ่องกับพวกได ้ตระเตรียมอาวุธพร ้อมแล ้ว แต่ขณะจะเดินทางเข ้าเขตไทยก็ถก ู ตํารวจ
พม่าจับได ้เสียก่อนนั น เห็นได ้ว่าทินอ่องกับพวกยังมิได ้ลงมือกระทําการจึงเป็ นเพียงขันตระเตรียมเท่านัน และ
การตระเตรียมการปล ้นทรัพย์กฎหมายยังไม่ถอ ื ว่าเป็ นความผิด กรณีจงึ ไม่ต ้องด ้วยบทบัญญัตแ ิ ห่งมาตรา 5
วรรค 2 ดังกล่าว จึงยังไม่ถอ ื ว่าเป็ นการกระทําความผิดในราชอาณาจักร

บุคคลผู ้กระทําความผิดในราชอาณาจักรจะต ้องรับโทษตามกฎหมายเสมอไปหรือไม่เพราะเหตุใด


บุคคลผู ้กระทําความผิดในราชอาณาจักร โดยหลักแล ้วจะต ้องรับโทษตามกฎหมาย ดังที ปอ.
บัญญัตไิ ว ้ในมาตรา 4 วรรคแรก โดยไม่คํานึงถึงว่าผู ้กระทําผิดจะเป็ นบุคคลสัญชาติใด อย่างไรก็ดม ี ข
ี ้อยกเว ้น
บางประการดังนี
(1) ข ้อยกเว ้นตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ได ้แก่ องค์พระมหากษั ตริยซ ึ ารงอยูใ่ นฐานะอันเป็ นที
์ งดํ
เคารพสักการะผู ้ใดจะละเมิดมิได ้ รวมทังสมาชิกสภานิตบ ิ ัญญัตผ
ิ ู ้ทีเกียวข ้องแต่ภายใต ้ขอบเขตทีจํากัด
(2) ข ้อยกเว ้นตามกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ได ้แก่ ประมุขของรัฐต่างประเทศ ทูตและ
บุคคลในคณะทูตตลอดจนครอบครัว เรือรบและกองทหารของต่างประเทศในราชอาณาจักร
(3) ข ้อยกเว ้นตามกฎหมายพิเศษ เช่น พระราชบัญญัตวิ า่ ด ้วยการดําเนินงานขององค์การ
สหประชาชาติและทบวงการชํานาญพิเศษแห่งสหประชาชาติในประเทศไทย พ.ศ. 2495 เป็ นต ้น

3.3.2 หล ักอํานาจลงโทษสากล
เพราะเหตุใดกฎหมายไทยจึงรับรองหลักอํานาจโทษสากล ซึงมีบัญญัตไิ ว ้ในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 7
เหตุทกฎหมายไทยรั
ี บรองอํานาจลงโทษสากล โดยมีบญ ั ญัตไิ ว ้ในมาตรา 7 เพราะการกระทํา
ความผิดนอกราชอาณาจักรตามทีระบุไว ้ในมาตรา 7 เป็ นภัยโดยตรงต่อความสงบเรียบร ้อยและความมันคง
ของประเทศรวมทังในระหว่างรัฐต่างๆ กล่าวคือ ความผิดเกียวกับความมันคงแห่งราชอาณาจักรตามมาตรา
7(1) เป็ นหลักป้ องกันตนเองของรัฐ ความผิดเกียวกับการปลอมแปลงเงินตรา แสตมป์ ใบหุ ้น ใบหุ ้นกู ้ หรือตัว
เงิน ตามมาตรา 7(2) เป็ นหลักป้ องกันทางเศรษฐกิจ และความผิดฐานชิงทรัพย์ และปล ้นทรัพย์ในทะเลหลวง
ตามมาตรา 7(3) เป็ นหลักป้ องกันสากล

ก ข และ ค คนฮ่องกง ร่วมกันปล ้นทรัพย์ จ คนเกาหลี ในเรือของญีปุ่ นซึงแล่นอยูใ่ นทะเลหลวงหาก


ก ข และ ค หลบหนีเข ้ามาในประเทศไทยจะต ้องรับโทษในประเทศไทยหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 7(3) มีสาระสําคัญว่า ผู ้ใดกระทําความผิดดังระบุไว ้ต่อไปนีนอก
ราชอาณาจักร จะต ้องรับโทษในราชอาณาจักรคือ ความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339 และความผิดฐาน
ปล ้นทรัพย์ ตามมาตรา 340 ซึงได ้กระทําในทะเลหลวง

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


12

ตามปั ญหา ก ข และ ค คนฮ่องกง ร่วมกันปล ้นทรัพย์ จ คนเกาหลีในทะเลหลวง เป็ นความผิดตามที


ระบุไว ้ในมาตรา 7(3) ดังกล่าว ซึงไม่วา่ ผู ้กระทําความผิดหรือผู ้เสียหายจะเป็ นบุคคลสัญชาติใด หากผู ้กระทํา
ความผิดเข ้ามาในเขตอํานาจของศาลไทย ก็จะต ้องรับโทษในประเทศไทยตามบทบัญญัตด ิ ังกล่าว

3.3.3 หล ักบุคคล
หม่อง คนพม่า ข่มขืน กี คนเวียตนามในเรือของมาเลเซีย ในขณะแล่นอยูใ่ นทะเลหลวง หากหม่อง
คนพม่าหนีการจับกุมเข ้ามาในประเทศไทย กี จะร ้องขอให ้ศาลไทยลงโทษหม่องในประเทศไทยได ้หรือไม่
เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 8 (3) มีสาระสําคัญว่า ผู ้ใดกระทําความผิดฐานกระทําชําเราตาม
มาตรา 276 นอกราชอาณาจักร จะต ้องรับโทษในราชอาณาจักร ถ ้า
(ก) ผู ้กระทําความผิดนั นเป็ นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศทีความผิดนั นเกิดขึน หรือผู ้เสียหายได ้
ร ้องขอ ให ้ลงโทษ หรือ
(ข) ผู ้กระทําความผิดนั นเป็ นคนต่างด ้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็ นผู ้เสียหาย และผู ้เสียหายได ้
ร ้องขอให ้ลงโทษ
ตามปั ญหา แม ้ความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราจะเป็ นความผิดทีระบุไว ้ในมาตรา 8 (3) แต่การ
กระทําความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรานอกราชอาณาจักรดังกล่าว หม่องผู ้กระทําความผิดและกีผู ้เสียหาย
ต่างก็เป็ นคนต่างด ้าว กรณีดงั กล่าวจึงไม่ต ้องด ้วยมาตรา 8 ทัง (ก) และ (ข) กีผู ้เสียหายจึงขอให ้ศาลไทย
ลงโทษหม่องในประเทศไทยไม่ได ้
อนึง ความผิดดังกล่าวแม ้จะได ้กระทําในเรือของมาเลเซีย ซึงอยูใ่ นทะเลหลวง แต่มใิ ช่ความผิดฐาน
ชิงทรัพย์ หรือปล ้นตามมาตรา 7 (3) หม่องผู ้กระทําผิดจึงไม่ต ้องรับโทษในประเทศไทยตามบัญญัตด ิ ังกล่าว

หว่อง คนมาเลเซีย ฉ ้อโกง ดี คนไทยในสิงค์โปร์ ต่อมา หว่องเข ้ามาท่องเทียวในประเทศไทย ดังนี


ดี จะฟ้ องคดีขอให ้ศาลไทยลงโทษ หว่องในประเทศไทยได ้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8(ข) (10) มีสาระสําคัญว่าผู ้ใดกระทําความผิดฐานฉ ้อโกงตาม
มาตรา 341 นอกราชอาณาจักร และผู ้กระทําความผิดนั นเป็ นคนต่างด ้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็ น
ผู ้เสียหายและผู ้เสียหายได ้ร ้องขอให ้ลงโทษ ผู ้นั นจะต ้องรับโทษในราชอาณาจักร
ตามปั ญหา หว่อง คนมาเลเซียฉ ้อโกง ดี คนไทยในสิงค์โปร์ ซึงเป็ นสถานทีนอกราชอาณาจักร และ
ความผิดฐานฉ ้อโกงตามมาตรา 341 เป็ นความผิดตามมาตรา 8(10) ในเมือหว่องผู ้กระทําผิดเป็ นคนต่างด ้าว
และ ดีผู ้เสียหายเป็ นคนไทย ดังนัน ดี จึงฟ้ องคดีขอให ้ศาลไทยลงโทษหว่องในประเทศไทยได ้ ตามมาตรา
8(ข) (10) ดังกล่าว

โจ คนต่างด ้าวเป็ นเจ ้าพนั กงานของรัฐบาลไทย กระทําความผิดฐานเจ ้าพนั กงานรับสินบน ตาม


มาตรา 149 ร่วมกับเส็งพ่อค ้าคนไทย ในขณะอยูบ ่ นเครืองบินฮ่องกง ซึงบินอยูเ่ หนือน่านฟ้ าญีปุ่ น ดังนีโจ และ
เส็ง จะต ้องรับโทษในประเทศไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 9 มีสาระสําคัญว่า เจ ้าพนั กงานของรัฐบาลไทยกระทําความผิด
ตามทีบัญญัตไิ ว ้ในมาตรา 147 ถึงมาตรา 166 และมาตรา 200 ถึงมาตรา 205 นอกราชอาณาจักร จะต ้องรับ
โทษในราชอาณาจักร
ตามปั ญหา โจ คนต่างด ้าวเป็ นเจ ้าพนั กงานของรัฐบาลไทย กระทําความผิดฐานเจ ้าพนั กงานรับ
สินบน ตามมาตรา 149 ซึงเป็ นความผิดทีระบุไว ้ในมาตรา 9 และได ้กระทําในเครืองบินฮ่องกง ซึงบินอยูใ่ น
เหนือน่านฟ้ าญีปุ่ นอันเป็ นสถานทีนอกราชอาณาจักร แม ้โจจะเป็ นคนต่างด ้าวในเมือเป็ นเจ ้าพนั กงานของ
รัฐบาลไทย ก็จะต ้องรับโทษในประเทศไทย ตามมาตรา 9 ดังกล่าว
สําหรับเส็ง พ่อค ้าคนไทย ได ้ร่วมกระทําความผิดกับโจ เจ ้าพนั กงานของรัฐบาลไทยจึงไม่เข ้า
องค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 9 เส็ง มีความผิดฐานเป็ นผู ้สนั บสนุนตามมาตรา 149 ประกอบกับมาตรา
86 แม ้เส็งเป็ นคนไทยกระทําความผิดนอกราชอาณาจักรตามมาตรา 8 (ก) แต่รัฐบาลไทยซึงเป็ นผู ้เสียหายก็
จะร ้องขอให ้ลงโทษในประเทศไทยไม่ได ้ เพราะความผิดตามมาตรา 149 มิใช ้ความผิดทีระบุไว ้ในมาตรา 8
ดังนั น เส็งจึงไม่ต ้องรับโทษในราชอาณาจักร

เจมส์ คนอังกฤษเป็ นเจ ้าพนักงานของรัฐบาลไทย กระทําความผิดฐานเจ ้าพนั กงานยักยอก ตาม


มาตรา 147 ในเรือไทยขณะจอดอยูท ่ ท่
ี าเรืออังกฤษดังนี จะต ้องรับโทษในประเทศไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 4 วรรค 2 การกระทําความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยไม่
ว่าจะอยู่ ณ ทีใดให ้ถือว่ากระทําความผิดในราชอาณาจักร
มาตรา 9 เจ ้าพนั กงานของรัฐบาลไทยกระทําความผิด ตามทีบัญญัตไิ ว ้ในในมาตรา 147 ถึงมาตรา
166 และมาตรา 200 ถึงมาตรา 205 นอกราชอาณาจักรจะต ้องรับโทษในราชอาณาจักร
ตามปั ญหา เจมส์ คนอังกฤษเป็ นเจ ้าพนั กงานของรัฐบาลไทย แม ้จะได ้กระทําความผิดฐานเจ ้า
พนั กงานยักยอกตามมาตรา 147 ซึงเป็ นความผิดทีระบุไว ้ในมาตรา 9 แต่เจมส์ได ้กระทําความผิดในเรือไทย
ซึงไม่วา่ อยู่ ณ ทีใด ก็ให ้ถือว่ากระทําความผิดในราชอาณาจักร ฉะนั นไม่วา่ เจมส์จะเป็ นคนสัญชาติใดเมือ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


13

กระทําความผิดทีกฎหมายให ้ถือว่าได ้กระทําความผิดในราชอาณาจักร ก็ต ้องรับโทษในราชอาณา จักร ตาม


มาตรา 4 วรรค 2 มิใช่กรณีมาตรา 9

3.3.4 การคํานึงถึงคําพิพากษาของศาลต่างประเทศ
ยูโซป คนมาเลเซีย ทําร ้ายกายแดงคนไทย เป็ นอันตรายสาหัส เหตุเกิดในสิงค์โปร์ ศาลสิงค์โปร์
พิพากษาจําคุกเพียง 6 เดือน เมือพ ้นโทษยูโซป ได ้เดินทางมาท่องเทียวประเทศไทย แดงร ้องขอให ้ศาลไทย
ลงโทษอีก เพราะเห็นว่ายูโซปรับโทษจําคุกในสิงค์โปร์เพียง 6 เดือน เท่านันไม่สาสมกับความผิด ดังนีศาล
ไทยจะลงโทษยูโซปได ้อีกหรือไม่เพราะเหตุใด
ตาม ปอ. มาตรา 10(2) มีสาระสําคัญว่าผู ้ใดกระทําการนอกราชอาณาจักรซึงเป็ นความผิดตามมาตรา
ต่างๆ ทีระบุไว ้ในมาตรา 8 ห ้ามมิให ้ลงโทษผู ้นันในราชอาณาจักรเพราะการกระทํานั นอีก ถ ้าศาลใน
ต่างประเทศพิพากษาให ้ลงโทษและผู ้นันได ้พ ้นโทษแล ้ว
ตามปั ญหาทีกล่าวถึง ยูโซปคนมาเลเซีย ทําร ้ายร่างกายแดงคนไทยเป็ นอันตรายสาหัส เหตุเกิดใน
สิงค์โปร์ ซึงเป็ นสถานทีนอกราชอาณาจักร ความผิดฐานทําร ้ายร่างกายจนเป็ นเหตุให ้ผู ้ถูกทําร ้ายได ้รับอัตราย
สาหัสตามมาตรา 297 เป็ นความผิดทีระบุไว ้ในมาตรา 8 (5) ในเมือศาลสิงค์โปร์พพ ิ ากษาให ้ลงโทษยูโซป
และยูโซปผู ้กระทําความผิดได ้พ ้นโทษแล ้ว แม ้แดงจะร ้องขอให ้ศาลลงโทษตามมาตรา 8 (ก) ศาลไทยก็จะ
พิพากษาลงโทษยูโซปอีกไม่ได ้ตามมาตรา 10(2) ดังกล่าว

เย คนพม่า ชิงทรัพย์ ล่ คนสิงค์โปร์ ในเรือไทยขณะจอดอยูท ่ ท่


ี าเรือในประเทศพม่า หากศาลพม่าได ้
พิพากษาลงโทษจําคุกเย 5 ปี เมือพ ้นโทษแล ้ว เยได ้เดินทางเข ้ามาติดต่อการค ้าทีจังหวัดระนอง และลีมไิ ด ้
ร ้องขอให ้ศาลไทยลงโทษอีก เช่นนีศาลไทยจะลงโทษเยอีกสําหรับความผิดนันได ้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ตาม ปอ. มาตรา 4 วรรค 2 การกระทําความผิดในเรือไทยหรืออากาศยายไทย ไม่วา่ จะอยู่ ณ ทีใด
ให ้ถือว่ากระทําความผิดในราชอาณาจักร
มาตรา 11 ผู ้ใดทําความผิดในราชอาณาจักร หรือกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายนีถือได ้ว่า
กระทําในราชอาณาจักร ถ ้าผู ้นันได ้รับโทษสําหรับการกระทํานันตามคําพิพากษาในต่างประเทศมาแล ้ว
ทังหมดหรือบางส่วนศาลจะลงโทษน ้อยกว่าทีกฎหมายกําหนดไว ้สําหรับความผิดนันเพียงใดก็ได ้ ทังนีโดย
คํานึงถึงโทษทีผู ้นั นได ้รับมาแล ้ว
ในกรณีทผู ี ้กระทําทําผิดในราชอาณาจักร หรือกระทําความผิดทีประมวลกฎหมายนีถือว่าได ้กระทําใน
ราชอาณาจักร ได ้ถูกฟ้ องในศาลต่างประเทศโดยรัฐบาลไทยร ้องขอ ห ้ามมิให ้ลงโทษผู ้นันในราชอาณาจักรอีก
ถ ้า
(1) ได ้มีคําพิพากษาของศาลในต่างประเทศอันดับทีสุดให ้ปล่อยตัวผู ้นัน หรือ
(2) ศาลในต่างประเทศพิพากษาให ้ลงโทษ และผู ้นั นได ้พ ้นโทษแล ้ว
ตามปั ญหาทีกล่าวถึง เยคนพม่าชิงทรัพย์ ลีคนสิงค์โปร์ในเรือไทยขณะจอดอยูท ่ ท่
ี าเรือพม่า จึงถือได ้
ว่า เยได ้กระทําความผิดในราชอาณาจักรตามมาตรา 4 วรรค 2 แม ้ศาลพม่าได ้พิพากษาลงโทษและเย
ผู ้กระทําความผิดได ้พ ้นโทษแล ้ว แต่รัฐบาลไทยมิได ้ร ้องขอให ้ฟ้ องคดีในศาลพม่า ตามมาตรา 11 วรรค 2
เมือเยเดินทางเข ้ามาในประเทศไทย ศาลไทยจึงมีอํานาจลงโทษได ้อีก แต่ศาลจะลงโทษน ้อยกว่าที
กฎหมายกําหนดไว ้สําหรับความผิดนันเพียงใดก็ได ้ หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได ้ ทังนีโดยคํานึงถึงโทษทีได ้รับ
มาแล ้วตามมาตรา 11 วรรค 1
อนึง แม ้ลีผู ้เสียหายจะมิได ้ร ้องขอให ้ศาลไทยลงโทษ และผู ้กระทําความผิดหรือผู ้เสียหายมิใช่คน
ไทย ศาลไทยก็มอ ี ํานาจพิพากษาลงโทษได ้อีก เพราะมิใช่กรณีความผิดนอกราชอาณาจักรตาม มาตรา 8

้ ังค ับกฎหมายอาญา
แบบประเมินผล หน่วยที 3 การใชบ

1. บุคคลจะต ้องรับโทษในทางอาญาตามหลักเกณฑ์คอ ื กฎหมายทีใชใ้ นขณะกระทําบ ัญญ ัติวา่ การ


กระทํานนเป
ั ็ นความผิดและกําหนดโทษไว้
2. การใช ้บังคับกฎหมายนัน เมือไม่มก
ี ฎหมายทีจะยกมาปรับแก่คดีได ้จะต ้องดําเนินการคือ จะต้องปล่อยต ัว
ผูต
้ อ
้ งหาไป
3. กรณีกฎหมายใหม่บัญญัตแ ิ ตกต่างไปจากกฎหมายขณะกระทําความผิด จะใชก ้ ฎหมายใหม่ในส่วนที
เป็นคุณแก่ผูก ้ ระทําความผิดไม่วา่ ทางใดๆ
ี ารเพือความปลอดภัยนัน จะใช ้บังคับในกรณี กฎหมายให้อํานาจไว้และให้ใชก
4. วิธก ้ ฎหมายในขณะที
ศาลพิพากษา
5. ความหมายของราชอาณาจักรนัน รวมถึงทะเล อาณาเขตระยะ 12 ไมล์ทะเล ห่างจากชายฝัง อันเป็ น
อาณาเขตของประเทศไทย
6. กระทําความผิด ในอากาศยานไทยซึงอยูน ่ อกประเทศไทย กฎหมายให ้ถือว่ากระทําความผิดใน
ราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา
7. การตระเตรียมการกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร เช่น ตระเตรียมการวางเพลิงเผาทร ัพย์ ทีต ้องรับ
โทษในราชอาณาจักร

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


14

8. ความผิดเกียวกับ ชิงทร ัพย์และปล้นทร ัพย์ หากเป็ นความผิดทีได ้กระทําในทะเลหลวงจะต ้องรับโทษใน


ราชอาณาจักร โดยไม่คํานึงถึงว่าผู ้กระทําหรือผู ้เสียหายจะเป็ นคนสัญชาติใด
9. แดงอยู่ฝังลาว ใช ้ปื นยิงดําซึงอยู่ฝังไทยถึงแก่ความตาย แดงต ้องรับโทษในประเทศไทยเพราะ ความผิด
นนได้
ั กระทําความผิดส่วนหนึงส่วนใดในราชอาณาจ ักร
10. ขาวคนมาเลเซียชิงทรัพย์เขียวคนไทยในเรือไทยทีจอดอยู่ทา่ เรือสิงคโปร์ ศาลสิงคโปร์ได ้ลงโทษจําคุก
ขาว เมือพ ้นโทษแล ้ว ได ้เดินทางเข ้ามาในประเทศไทย และเขียวมิได ้ร ้องขอให ้ศาลไทยลงโทษขาวอีก ดังนัน
ศาลไทยจะลงโทษขาวสําหร ับความผิดนนอี ั กได้ โดยคํานึงถึงโทษทีได้ร ับมาแล้ว
11. หลักการตีความกฎหมายอาญา คือตีความโดยเคร่งคร ัดตามต ัวอ ักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมาย
12. บทบัญญัตข ิ องกฎหมายอาญาทีว่า ต ้องชัดเจนปราศจากความคลุมเครือ นันหมายความว่า ต้องชดเจน ั
แน่นอนพอสมควร
13. เข ้าทําไร่ในป่ าสงวน เป็ นความผิดตาม พ.ร.บ. ป่ าไม ้ พ.ศ. 2507 ต่อมามีหนังสือของนายกรัฐมนตรีไม่ให ้
เอาผิดแก่ราษฎรทีเข ้าทําไร่อยู่กอ ่ น ทงนี
ั ราษฎรนน ั ย ังต้องมีความผิดหรือต้องร ับโทษเพราะหน ังสือของ
นายกร ัฐมนตรีมใิ ช่กฎหมาย
14. วัตถุประสงค์ของวิธก ี ารเพือความปลอดภัย ั
เพือป้องก ันสงคมให้ ปลอดภ ัยจากการทีบุคคลนนจะ ั
กระทําความผิดในอนาคต
15. การใช ้ปื นยิงคนจนถึงแก่ความตายนัน ขณะถูกยิงแล้วก่อนจะสินใจ คือผลทีเป็ นจุดประสงค์ใกล ้ชิด
16. กระทําความผิดในเรือไทยซึงอยูน ่ อกประเทศไทย กฎหมายให้ถอ ื ว่ากระทําความผิดใน
ราชอาณาจ ักรตามประมวลกฎหมายอาญา
17. หม่องคนพม่าเข ้ามาราดนํ ามันเพือเผาส ้มคนไทยในเขตไทย แต่ยังไม่ทันได ้จุดไฟก็ถูกตํารวจไทยจับได ้
เสียก่อน โดยทีหม่องได ้ตระเตรียมอุปกรณ์วางแผนตังแต่อยู่ในเขตพม่า หม่องจะต ้องรับโทษในประเทศไทยด ้วย
เหตุผล กระทําความผิดในราชอาณาจ ักร
18. ม่วงลักทรัพย์เหลืองในเครืองบินไทยซึงบินอยู่เหนือน่านฟ้ าไทย ม่วงต ้องรับโทษในประเทศไทย เพราะ
กระทําความผิดในราชอาณาจ ักร
19. ความผิดเกียวกับ การปลอมและแปลงเงินตรานน ั แม ้ผู ้กระทําจะได ้กระทํานอกราชอาณาจักร ก็ต ้องรับ
โทษในราชอาณาจักร
20. ดําคนพม่าทําร ้ายร่างกายขาว คนไทย เหตุเกิดในมาเลเซียมีคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ปล่อยตัวดํา ต่อมาดํา
ได ้เดินทางเข ้ามาในประเทศไทยและขาวได ้ร ้องขอให ้ศาลไทยลงโทษอีกดังนี ศาลไทยลงโทษอีกไม่ได้แล้ว
เพราะศาลมาเลเซียได้พพ ิ ากษาถึงทีสุดให้ปล่อยต ัวแล้ว

หน่วยที 4 ความร ับผิดทางอาญา

1. ความรับผิดในทางอาญาเกิดขึนเมือผู ้กระทําได ้กระทําครบ“องค์ประกอบ”ทีกฎหมายบัญญัต ิ และ


2. การกระทําทีครบ “องค์ประกอบ” ทีกฎหมายบัญญัตจิ ะต ้องไม่มก ี ฎหมายยกเว ้นความผิด และ
3. การกระทําทีครบ “องค์ประกอบ” ทีไม่มก ี ฎหมายยกเว ้นความผิดนั นจะต ้องไม่มก
ี ฎหมายยกเว ้นโทษ
ด ้วย
4. บุคคลจะต ้องรับผิดในทางอาญาต่อเมือมีการกระทํา

โครงสร้างร ับผิดทางอาญา
1. การกระทําครบ “องค์ประกอบ” ทีกฎหมายบัญญัตห ิ มายความว่า
(1) ผู ้กระทําจะต ้องมี “การกระทํา”
(2) การกระทํานันจะต ้องครบ “องค์ประกอบภายนอก” ทีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้
(3) การกระทําจะต ้องครบ “องค์ประกอบภายใน” ทีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้
(4) ผลของการกระทําจะต ้องสัมพันธ์กับการกระทําตามหลักในเรืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทํา
และผล
2. การกระทําทีครบตามหลักเกณฑ์ข ้างต ้นทัง 4 ประการนันจะต ้องไม่มก ี ฎหมายยกเว ้นความผิด
3. การกระทําทีไม่มก ี ฎหมายยกเว ้นความผิดจะต ้องไม่มก
ี ฎหมายยกเว ้นโทษด ้วย

การกระทําครบองค์ประกอบทีกฎหมายบ ัญญ ัติ


การกระทําทีครบ “องค์ประกอบ” ทีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้ หมายความว่าอย่างไร
การกระทําทีครบองค์ประกอบ ทีกฎหมายบ ัญญ ัติไว้ หมายความว่า ผูก ้ ระทํามีการกระทํา
การกระทํานนครบองค์
ั ประกอบภายนอกของความผิดในเรืองนนๆ ั การกระทํานนครบองค์
ั ประกอบ
ภายในของความผิดในเรืองนนๆ ั และผลกระทบของการกระทําสมพ ั ันธ์ก ับการกระทําตามหล ักใน
ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผล
เรืองความสมพ

ฟ้ าต ้องการให ้ม่วงตาย ฟ้ าจึงใช ้ปื นยิงม่วง ม่วงถูกยิงบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย ขณะทีนํ าส่ง


โรงพยาบาล จงวินจ ิ ฉั ยว่าการกระทําของฟ้ าครบองค์ประกอบทีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้หรือไม่

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


15

ถือได้วา
่ การกระทําของฟ้าครบองค์ประกอบทีกฎหมายบ ัญญ ัติไว้ กล่าวคือ ฟ้ามีการกระทํา
การกระทําครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ปอ. มาตรา 288 และ
การกระทําครบองค์ประกอบภายในกล่าวคือ “เจตนา” ตามมาตรา 288 และผลของการกระทําคือ
ความตายของม่วงสมพ ั ันธ์ก ับการกระทําของฟ้าตามหล ักในเรืองความสมพ
ั ันธ์ระหว่างการกระทํา
และผล

การกระทําไม่มกี ฎหมายยกเว้นความผิด
การกระทําไม่มก
ี ฎหมายยกเว ้นความผิดหมายความว่าอย่างไร
การกระทําทีไม่มกี ฎหมายยกเว้นความผิดหมายความว่า ผูก ้ ระทําไม่มอ ี ํานาจตามกฎหมายที

จะกระทําการซงครบองค์ประกอบทีกฎหมายบ ัญญ ัติไว้ ึ
ซงเมือไม่มก ี ฎหมายยกเว้นความผิด
ผูก ้ ระทําก็มค
ี วามผิด แต่ถา้ มีกฎหมายยกเว้นความผิด ผูก ้ ระทําก็ไม่มคี วามผิด กฎหมายทียกเว้น
ความผิดอาจจะบ ัญญ ัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เชน ่ เรืองป้องก ันต ัว ตาม ปอ. มาตรา 68 หรือ
ไม่ได้บ ัญญ ัติไว้โดยตรง เชน ่ หล ักในเรืองความยินยอมหรือบ ัญญ ัติไว้ในกฎหมายอืน เชน ่ ปพพ.
มาตรา 1567 (2) ให้อํานาจผูใ้ ชอ ้ ํานาจปกครองทําโทษบุตรตามสมควรเพือว่ากล่าวสงสอน ั หรือใน
ร ัฐธรรมนูญ เชน ่ มาตรา 125 ของร ัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจ ักรไทย พุทธศกราช ั ึ
2534 ซงให้ เอก
ิ ิ
สทธิในการอภิปรายในสภาแก่สมาชกร ัฐสภาเป็นต้น

แดงต ้องการฆ่าเหลือง แดงใช ้ปื นจ ้องเล็งทําท่าจะยิงเหลือง เหลืองไวกว่า จึงใช ้ปื นของเหลืองยิง


แดงตาย เหลืองจะต ้องรับผิดในทางอาญาหรือไม่
เหลืองไม่ตอ้ งร ับผิดในทางอาญา ทงๆที ั การกระทําของเหลืองครบองค์ประกอบทีกฎหมาย
บ ัญญ ัติไว้ ตาม ปอ. มาตรา 288 ทุกประการ เพราะการกระทําของเหลืองเป็นการป้องก ันโดยชอบ
ด้วยกฎหมาย ตาม ปอ. มาตรา 68 ยกเว้นความผิดให้แก่เหลือง

การกระทําไม่มก ี ฎหมายยกเว้นโทษ
การกระทําไม่มก
ี ฎหมายยกเว ้นโทษหมายความอย่างไร
การกระทําไม่มก ี ฎหมายยกเว้นโทษ ึ
หมายความว่าการกระทําซงครบองค์ ประกอบที
กฎหมายบ ัญญ ัติซงไม่ ึ มก ี ฎหมายยกเว้นความผิดนน ั ไม่มกี ฎหมายยกเว้นโทษให้แก่ผก ่ ก ัน
ู ้ ระทําเชน
แต่ถา้ มีกฎหมายยกเว้นโทษแล้ว ผูก ้ ระทําก็ ไม่ตอ
้ งร ับผิดในทางอาญา กฎหมายทียกเว้นโทษมีหลาย
กรณี เชน ่ การกระทําความผิดโดยจําเป็นตาม ปอ. มาตรา 67 เด็ กกระทําความผิดตาม ปอ. มาตรา
73 74 ผูก ้ ระทําวิกลจริต ตาม ปอ. มาตรา 65 วรรคแรก ผูก ้ ระทํามึนเมาตาม ปอ. มาตรา 66 การ
กระทําตามคําสงมิ ั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพน ักงานตาม ปอ. มาตรา 70 การกระทําความผิดต่อ
ทร ัพย์ในระหว่างสามีภรรยาตาม มาตรา 71 เป็นต้น

ขาวฆ่าแดงในขณะทีขาวไม่สามารถรู ้ผิดชอบเลยเพราะขาวจิตฟั นเฟื อน ขาวจะต ้องรับผิดชอบในทาง


อาญาหรือไม่
ขาวไม่ตอ้ งร ับผิดในทางอาญาในความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 แม้วา่ การ
กระทําของขาวจะครบองค์ประกอบทีกฎหมายบ ัญญ ัติ และแม้วา่ จะไม่มก ี ฎหมายยกเว้นความผิด
ให้แก่ขาวก็ตาม เพราะขาวเป็นคนวิกลจริตจึงอ้าง ปอ. มาตรา 65 วรรคแรก ขึนยกเว้นโทษใน
ความผิดฐานฆ่าคนตายได้

เหลืองเป็ นมือปื นรับจ ้างใช ้ปื นยิงม่วงถึงแก่ความตาย จะมีเกณฑ์อย่างไรในการวินจ


ิ ฉั ยความ
รับผิดชอบของเหลืองให ้เป็ นขันตอน
เหลืองต้องร ับผิดในทางอาญาฐานฆ่าคนตายตาม ปอ มาตรา 289 (4) กล่าวคือ ฆ่าคนตาม
โดยไตร่ตรองไว้กอ ึ ็ นเหตุฉกรรจ์ของการฆ่าคนตายธรรมดาตาม ปอ. มาตรา 288 เพราะ
่ นซงเป
เหลืองเป็นมือปื นร ับจ้าง
เหตุทเหลื
ี องต้องร ับผิดในทางอาญาตามความผิดด ังกล่าวเพราะ
(1) การกระทําของเหลืองครบตาม “องค์ประกอบ” ทีกฎหมายบ ัญญ ัติเพราะ
 เหลืองมีการกระทํา
 การกระทําของเหลืองครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดตาม ปอ. มาตรา 289
(4)
 การกระทําของเหลืองครบองค์ประกอบภายใน (กล่าวคือ “เจตนา”) ของความผิด
ตาม ปอ. มาตรา 289 (4)
 ความตายของม่วงสมพ ั ันธ์ก ับการกระทําของเหลืองตามหล ักในเรืองความสมพ ั ันธ์
ระหว่างการกระทําและผล
(2) การกระทําของเหลืองไม่มก ี ฎหมายยกเว้นความผิด กล่าวคือ ไม่ใชก ้ ารกระทําทีเหลืองมี
อํานาจจะกระทําต่อม่วงได้

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


16

(3) การกระทําของเหลืองไม่มก
ี ฎหมายยกเว้นโทษ
เหลืองจึงต้องร ับผิดในทางอาญาฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้กอ
่ นตามมาตรา 289 (4)

การกระทํา
1. ความรับผิดในทางอาญาของบุคคลจะเกิดขึนเมือบุคคลนันมี “การกระทํา” หากไม่มก ี ารกระทําแล ้ว
บุคคลก็ไม่ต ้อรับผิดในทางอาญา
2. การกระทําคือ การเคลือนไหวร่างกายหรือไม่เคลือนไหวร่างกายโดยรู ้สึกนึกกล่าวคือ อยูภ ่ ายใต ้
บังคับของจิตใจ
3. ในการทีจะวินจ ิ ฉั ยว่าผู ้กระทํามีการกระทําหรือไม่นันต ้องพิจารณาว่าผู ้กระทําคิดทีจะกระทําตกลงใจที
จะกระทําตามทีได ้คิดไว ้ และได ้กระทําไปตามทีตกลงใจนั นหรือไม่ หากเป็ นไปตามขันตอนดังกล่าวก็ถอ ื ว่ามี
การกระทํา
4. การกระทําโดยทัวไปเกิดขึนเมือผู ้กระทําเคลือนไหวร่างกาย แต่การไม่เคลือนไหวร่างกายก็อาจถือว่า
เป็ นการกระทําได ้ ซึงแบ่งการกระทําโดยงดเว ้นและการกระทําโดยละเว ้น
5. การกระทําโดยงดเว ้น หมายถึงงดเว ้นการทีจักต ้องกระทําเพือป้ องกันผล
6. การกระทําโดยละเว ้น หมายถึงการละเว ้นไม่กระทําในสิงซึงกฎหมายบังคับให ้กระทํา
7. หน ้าทีของการกระทําโดยงดเว ้น คือหน ้าทีซึงจะต ้องกระทําเพือป้ องกันผล กล่าวคือ เป็ นหน ้าทีโดย
เฉพาะทีจะต ้องป้ องกันมิให ้เกิดผลขึน ส่วนหน ้าทีของการกระทําโดยละเว ้นเป็ นหน ้าทีโดยทัวๆ ไป มิใช่หน ้าที
โดยเฉพาะเจาะจงทีจะต ้องป้ องกันมิให ้เกิดผลขึน

ความหมายของการกระทํา
จงอธิบายความหมายของ “การกระทํา”
การกระทําหมายถึง การเคลือนไหวร่างกายหรือไม่เคลือนไหวร่างกายโดยรูส ึ นึก กล่าวคือ
้ ก
อยูภ
่ ายใต้บ ังค ับของจิตใจ

หลักเกณฑ์ในการวินจิ ฉั ยว่าผู ้กระทํามีการกระทําหรือไม่มอ


ี ย่างไร
ต้องพิจารณาว่าผูก
้ ระทําคิดทีจะกระทํา ตกลงใจทีจะกระทํา และกระทําไปตามทีตกลงใจอ ัน
ื เนืองมาจากความคิดหรือไม่ หากเป็นไปตามขนตอนด
สบ ั ังกล่าวก็ ถอ
ื ว่ามีการกระทําแล้ว

การเคลือนไหวร่างกายในขณะละเมอ ขณะเป็ นลมบ ้าหมู จะถือว่ามีการกระทําได ้ในกรณีใดบ ้าง


โดยหล ักแล้วการเคลือนไหวร่างกายในขณะละเมอ หรือในขณะเป็นลมบ้าหมูไม่ถอ ื ว่าเป็น
การกระทําเพราะผูเ้ คลือนไหวร่างกายไม่ได้คด ิ และตกลงใจทีจะเคลือนไหวร่างกาย แต่ถา้ ผูน ้ นรู
ั ต ้ ัว
อยูแ่ ล้วว่าชอบละเมอทําการรุนแรงต่างๆ อยูเ่ สมอและย ังขืนเอาปื นวางไว้ใกล้ต ัวก่อนเข้านอน หาก
นอนแล้วละเมอเอาปื นนนยิ ั งคนต้องถือว่ามีการกระทํา หรือแพทย์หา้ มคนไข้ทเป ี ็ นลมบ้าหมูข ับรถแต่
ย ังขืนข ับรถ และเกิดเป็นลมบ้าหมูชนคนตายก็ตอ ้ งถือว่ามีการกระทําเชน่ ก ัน

การกระทําโดยการเคลือนไหวร่างกาย
การกระทําโดยการเคลือนไหวร่างกายนั น จําเป็ นหรือไม่ ทีผู ้กระทําจะต ้องสัมผัสหรือแตะต ้องกับวัตถุ
แห่งการกระทําโดยตรง
ไม่จําเป็นทีผูก
้ ระทําจะต้องสมผั ัสหรือแตะต้องก ับว ัตถุแห่งการกระทําโดยตรง ผูก ้ ระทําอาจ

ใชบค ุ คลอืนๆ เป็นเครืองมือ เชน ่ หลอกให้บค ุ คลทีสามสง ่ ทร ัพย์ของผูเ้ สย
ี หายให้ หรือใชส ้ น
ุ ัขไป
ี หายมาสง
คาบทร ัพย์ของผูเ้ สย ่ ให้ หรือหลอกให้ผเู ้ สย
ี หายเดินไปตกหน้าผา เป็นต้น

หากผู ้กระทํามิได ้สัมผัสหรือแตะต ้องกับวัตถุแห่งการกระทําโดยตรง ผู ้กระทําจะต ้องรับผิดในผลที


เกิดขึนหรือไม่
ผูก
้ ระทําอาจต้องร ับผิดในผลทีเกิดขึนในฐานทีเป็นความผิดสา ํ เร็จก็ ได้ เชน ่ ไก่หยิบไม้จะ
ฟาดศรี ษะของใหญ่ ใหญ่หลบท ันแต่ลม ้ ลงศรี ษะฟาดก ับขอบพืน ปรากฏว่าศรี ษะแตกต้องเย็บหลาย
่ นี ไก่ตอ
เข็ ม เชน ้ งร ับผิดฐานทําร้ายร่างกายใหญ่ ตาม ปอ. มาตรา 295 แม้วา่ ไม้ทไก่ ี หยิบจะมิได้
ฟาดถูกศรี ษะของใหญ่ก็ตาม แต่ใหญ่ศรี ษะแตกก็ เพราะการกระทําของไก่นนเอง ั

การกระทําโดยการไม่เคลือนไหวร่างกาย
การกระทําโดยงดเว ้น หมายความว่าอย่างไร
การกระทําโดยงดเว้น หมายความถึง การให้เกิดผลอ ันใดอ ันหนึงขึนด้วยการงดเว้นไม่
ิ ตนมีหน้าทีต้องกระทํา ซงเป
กระทําในสงที ึ ็ นหน้าทีโดยเฉพาะทีจะต้องกระทําเพือป้องก ันมิให้เกิดผล
นน

การกระทําโดยละเว ้นหมายความว่าอย่างไร

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


17

การกระทําโดยละเว้น หมายความว่า ผูก ิ งกฎหมายบ


้ ระทําไม่กระทําในสงซ ึ ังค ับให้กระทําซงึ
เป็นเรืองทวๆไป
ั ่ รณีโดยเฉพาะทีจะต้องป้องก ันมิให้เกิดผลนนขึ
มิใชก ั น

จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการกระทําโดยงดเว ้นและการกระทําโดยละเว ้น
แตกต่างก ันตรงทีว่า หน้าทีของการกระทําโดยงดเว้นนน ั เป็นหน้าทีโดยเฉพาะเจาะจงที
จะต้องป้องก ันมิให้เกิดผล สว่ นการกระทําโดยละเว้นนนเป
ั ็ นกรณีทกฎหมายบ
ี ังค ับให้กระทําในเรือง
ทวๆไป
ั ่ ังค ับให้กระทําโดยเฉพาะเจาะจง เพือป้องก ันมิให้เกิดผลขึน
มิใชบ

นางแดงต ้องการให ้ลูกทารกของตนตาย แดงจึงไม่ยอมให ้นมลูกจนกระทังลูกอดนมตาย นางแดงมี


ความผิดฐานใด
นางแดงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยถือว่าเป็นการกระทําโดยงดเว้น เพราะนาง
แดงมีหน้าทีตาม ปพพ. ในฐานะทีเป็นมารดาทีจะต้องอุปการะเลียงดูบต ึ
ุ รผูเ้ ยาว์ ซงหน้
าทีในการ
อุปการะเลียงดูนน
ั ย่อมจะต้องเป็นหน้าทีในอ ันทีจะป้องก ันมิให้ลก
ู อดนมตายด้วย

ขาวเป็ นนั กว่ายนํ าเห็นเขียวกําลังจะจมนํ าตาย ขาวเกลียดเขียวต ้องการให ้เขียวตาย จึงไม่วา่ ยนํ าลง
ไปช่วย ทังๆ ทีสามารถช่วยได ้ เช่นนี ขาวจะมีความผิดฐานใด
หากปรากฏว่าขาวเป็ นบิดาของเขียวซึงเป็ นบุตรผู ้เยาว์ ขาวต ้องการให ้เขียวตาย ขาวจึงปล่อยให ้เขียว
จมนํ าตายไปต่อหน ้าต่อตา ขาวจะมีความผิดฐานใด
ขาวมีความผิดตาม ปอ. มาตรา 374 ซงถื ึ อว่าเป็นการละเว้นไม่กระทําในสงที ิ กฎหมายบ ังค ับ
ให้กระทํา แต่ขาวไม่ผ ิดฐานฆ่าเขียวตายโดยเจตนา เพราะขาวไม่มห ี น้าทีโดยเฉพาะเจาะจงทีจะต้อง
ป้องก ันมิให้เขียวจมนําตาย
ในกรณีหล ัง ขาวมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยถือเป็นการกระทําโดยงดเว้น
เพราะขาวเป็นบิดาของเขียว ขาวย่อมมีหน้าทีตาม ปพพ. ทีจะต้องอุปการะเลียงดูเขียว ซงถื ึ อว่าเป็น
หน้าทีโดยเฉพาะเจาะจงทีจะต้องป้องก ันมิให้เขียวจมนําตายด้วย

แบบประเมินผล หน่วยที 4 ความร ับผิดทางอาญา

1. เขียวละเมอลุกขึนมาใช ้ปื นไล่ยงิ ดํา ดําตกใจวิงหนีออกไปท่ามกลางสายฝน ฟ้ าฝ่ าดําตาย เขียวไม่


ต ้องรับผิดในทางอาญาเพราะ เขียวไม่มก ี ารกระทํา
2. แดงอายุ 13 ปี โกรธม่วงจึงใช ้ปื นยิงไปทีม่วงซึงหัวใจวายตายไปแล ้ว โดยแดงไม่รู ้คิดว่าม่วงยังมีชวี ต ิ
อยู่ แดงไม่มค ี วามผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ปอ. มาตรา 288 เพราะการกระทําของแดงขาด
องค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ปอ.มาตรา 288
3. ติมอายุ 13 ปี เดินซุม ่ ซ่ามเตะแจกันของแต๋วแตกเสียหาย ติมไม่มค ี วามผิดฐานทําให ้เสียทรัพย์ตาม
ปอ. มาตรา 358 เพราะ ติมไม่มเี จตนา
4. เหลืองเป็ นคนวิกลจริตต ้องการฆ่าแดงให ้ตาย จึงใช ้ปื นไล่ยงิ แดง แดงวิงหนีทันและไปหลบซ่อนอยู่
ใต ้ต ้นไม ้ใหญ่กลางทุง่ ต่อมามีฝนตกหนั ก ฟ้ าผ่าต ้นไม ้และผ่าแดงตายคาที เหลืองไม่มค ี วามผิดฐานฆ่าแดง
ตาม ปอ. มาตรา 288 เพราะ ความตายของแดงไม่สมพ ั ันธ์ก ับการกระทําของเหลืองตามหล ักในเรือง
ความสมพ ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผล
5. ม่วงหลอกขาวว่าเหล ้าในขวดเป็ นยา ขาวหลงเชือกินเข ้าไป ปรากฏว่าขาวมึนเมา ในขณะนั นแดงซึง
ต ้องการฆ่าขาวได ้ใช ้ปื นยิงไปทีขาว ขาวไวกว่าจึงใช ้ปื นยิงแดงเป็ นการป้ องกันตัวในขณะทีขาวกําลังมึนเมาอยู่
นั นเอง ม่วงถูกขาวยิงตาย ขาวไม่ตอ ้ งร ับผิดชอบฐานฆ่าม่วงตายเพราะการกระทําของขาวเป็นการ
ป้องก ันโดยชอบด้วยกฎหมาย
6. แดงเป็ นบิดาของดําซึงเป็ นบุตรผู ้เยาว์ ดําขโมยเงินของแดงไปซือบุหรีมาสูบ แดงจึงใช ้ไม ้บรรทัดตี
มือดํา 3 ทีเพือเป็ นการลงโทษ แดงไม่มค ี วามผิดฐานทําร้ายร่างกาย เพราะแดงมีอํานาจตาม ป.พ.พ.
ทีจะลงโทษดําตามสมควรหรือเพือว่ากล่าวสงสอนได้ ั
7. ขาวอายุ 13 ปี โกรธแดงซึงเป็ นเด็กอายุ 13 ปี เช่นกัน ขาวใช ้ไม ้ตีถก ู ลูกตาแดงเป็ นรอยบวมชํา อีก 5
วันตาบอดสนิททังสองข ้าง ขาวไม่มค ี วามผิดทางอาญา ไม่ตอ ้ งร ับผิดตาม ปอ.มาตรา 297 เพราะมี
กฎหมายยกเว้นโทษเนืองจากอายุไม่เกิน 14 ปี
8. ฟ้ ากําลังเผล เหลืองจับมือฟ้ าเขกศีรษะแดงอย่างแรงหนึงครัง ฟ้ ารู ้ตัวเมือได ้เขกศีรษะแดงไปแล ้ว
ฟ้าไม่ตอ ้ งร ับผิดเพราะไม่มก ี ารกระทําตามความหมายของกฎหมาย
9. ติมเป็ นมารดาของจิมซึงเป็ นทารก ติมต ้องการให ้จิมตายจึงไม่ยอมให ้นมจิมกิน จิมอดนมจนตาย ติ
มผิดฐานฆ่าจิมตายโดยเจตนา โดยถือว่าเป็นการกระทําโดยงดเว้น
10. ม่วงเป็ นนั กว่ายนํ า ม่วงเดินผ่านสระนํ าเห็นเด็กกําลังจะจมนํ าตาย ม่วงจําได ้ว่าเด็กคนนั นคือลูกของ
เขียวซึงเป็ นศัตรูของตน ม่วงต ้องการให ้เด็กตายจึงไม่วา่ ยนํ าลงไปช่วย ม่วงผิดฐานไม่ชว ่ ยผูซ ึ
้ งตกอยู ใ่ น
ภย ันตรายแห่งชวี ต ิ ตาม ปอ.มาตรา 374

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


18

11. ผู ้ทีกระทําในขณะละเมอไม่ต ้องรับผิดในทางอาญาเพราะ ไม่มกี ารกระทําตามความหมายของ


กฎหมาย
12. หากการกระทําไม่ครบตามองค์ประกอบภายนอกของความผิดในเรืองนันๆ แล ้ว ผลคือ (1)
ผูก้ ระทําไม่ตอ ้ งร ับผิดในทางอาญาในความผิดในเรืองนนๆ ั โดยถือว่าเป็นการขาดองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิด (2) ไม่ตอ ้ งพิจารณาต่อไปอีกว่าผูก ้ ระทํามีเจตนาหรือประมาทในการกระทํา
ความผิดหรือไม่ (3) ไม่ตอ ้ งพิจารณาต่อไปอีกว่าผลการกระทําสมพ ั ันธ์ก ัน การกระทําตามหล ักใน
เรืองความสมพ ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผลหรือไม่ และไม่ตอ ้ งพิจารณาต่อไปอีกว่ามีกฎหมาย
ยกเว้นโทษหรือไม่เชน ่ ก ัน
13. เด็กอายุไม่เกิน 14 ปี ทําลายทรัพย์ของผู ้อืนโดยประมาท เด็ กนนไม่ ั ตอ้ งร ับผิดเพราะการทําลาย
ทร ัพย์ของผูอ ้ นต้
ื องกระทําโดยเจตนาจึงจะเป็นความผิด
14. บุคคลวิกลจริตต ้องรับผิดในทางอาญาในผลของการกระทํา ซึงไม่สม ั พันธ์กับการกระทําตามหลักใน
เรืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผล ไม่ตอ ้ งร ับผิดในผลทีเกิดขึนเพราะผลทีเกิดขึนไม่สมพ ั ันธ์
ก ับการกระทําตามหล ักในเรืองความสมพ ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผลแล้วโดยไม่ตอ ้ งคํานึงว่า
ผูก ้ ระทําจะวิกลจริตหรือไม่
15. การป้ องกันโดยชอบด ้วยกฎหมายนั น หากปรากฏว่าผู ้กระทํามีเหตุยกเว ้นโทษในทางอาญาด ้วย ใน
การวินจ ิ ฉั ยความรับผิดชอบของผู ้กระทําควรพิจารณาดังนี ไม่ตอ ้ งพิจารณาเหตุยกเว้นโทษ เพราะมีเหตุ
ยกเว้นความผิดทีจะเป็นข้ออ้างได้อยูแ ่ ล้วในอ ันทีจะไม่ตอ ้ งร ับผิดในทางอาญา
16. บิดาซึงลงโทษบุตรตามสมควรเพือว่ากล่าวสังสอนไม่ต ้อรับผิดในทางอาญาเพราะ ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้อํานาจบิดาไว้โดยตรงทีจะลงโทษบุตร
17. เด็กอายุไม่เกิน 14 ปี กระทําการทีกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด เด็กนั นไม่ต ้องรับผิดในทางอาญา
เพราะ มีกฎหมายยกเว้นโทษให้แก่เด็ ก
18. การกระทําตามความหมายของกฎหมายความว่า การเคลือนไหวหรือไม่เคลือนไหวร่างกายโดยรู ้
สํานึก กล่าวคืออยูภ ่ ายใต้บ ังค ับของจิตใจ
19. มารดาซึงจงใจไม่อป ุ าระเลียงดูบต ุ รผู ้เยาว์ของตน เช่นไม่ยอมให ้อาหารหรือนมแก่บต ุ รผู ้เยาว์ถอ
ื ว่า
มารดามีการกระทําโดยงดเว้น
20. แดงต ้องการฆ่าดําให ้ตาย แต่แดงหาจังหวะเหมาะไม่ได ้ วันหนึงแดงเห็นดํากําลังจะจมนํ าตายแดง
สามารถช่วยได ้โดยการทิงขอนไม ้ลงไปให ้ดําเกาะ แดงไม่ทํากลับยืนยิมอยูร่ ม ิ สระนํ า ดําจมนํ าตายแดงมี
ความผิดฐาน ไม่ชว่ ยผูอ ้ นซ ึ
ื งตกอยู ใ่ นภย ันตรายแห่งชวี ต ิ ตาม ปอ.มาตรา 374

หน่วยที 5 ความร ับผิดทางอาญา (ต่อ)

1. องค์ประกอบภายนอกของความผิดคือ ผู ้กระทํา การกระทําและวัตถุแห่งการกระทํา


2. องค์ประกอบภายในของความผิดโดยหลักแล ้วคือ “เจตนา”
3. ในบางกรณีองค์ประกอบภายในของความผิดคือ “ประมาท”
4. บางกรณีแม ้ไม่มเี จตนาหรือไม่ประมาท บุคคลก็อาจต ้องรับผิดหากมีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้ว่า “ไม่เจตนา
และไม่ประมาท” ก็ต ้องรับผิด

องค์ประกอบภายนอก
1. องค์ประกอบภายนอก หมายความถึง ผู ้กระทํา การกระทํา และวัตถุแห่งการกระทํา
2. ผู ้กระทําแบ่งออกเป็ น ผู ้กระทําความผิดเอง ผู ้กระทําความผิดโดยทางอ ้อมและผู ้ร่วมกระทําความผิด
3. การกระทําจะถึงขันทีมีกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด เช่น เข ้าขันลงมือตาม ปอ. มาตรา 80 หรือ
ตระเตรียมในบางกรณี เช่น ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ ซึง ปอ. มาตรา 219 ถือว่าเป็ นความผิด
4. วัตถุแห่งการกระทํา หมายถึง สิงทีผู ้กระทํามุง่ หมายกระทําต่อ เช่น “ผู ้อืน” ในความผิดฐานฆ่าคน
ตาม ปอ. มาตรา 288 “ทรัพย์ของผู ้อืน” ในความผิดฐานลักทรัพย์ ตาม ปอ. มาตรา 334 หรือฐานทําให ้เสีย
ทรัพย์ ตาม ปอ. มาตรา 358
5. การขาดองค์ประกอบภายนอกหมายความว่า องค์ประกอบภายนอกข ้อใดข ้อหนึงไม่มอ ี ยูต
่ ามความ
เป็ นจริง เช่น ยิงไปทีศพ หรือลักทรัพย์ของตนเอง เป็ นต ้น

ความหมายขององค์ประกอบภายนอก
องค์ประกอบภายนอกของความผิดแต่ละฐานหมายความว่าอย่างไร จงยกตัวอย่างประกอบ
องค์ประกอบภายนอกของความผิดแต่ละฐาน คือ ผูก ้ ระทํา การกระทําและว ัตถุแห่งการ
่ ความผิดฐานฆ่าคนตายคือ (1) ผูใ้ ด (2) ฆ่า (3) ผูอ
กระทํา เชน ้ น

ผู ้กระทําความผิดในทางอาญา อาจแยกออกได ้เป็ นกีประเภท

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


19

ผูก
้ ระทําความผิดในทางอาญาอาจแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ผูก
้ ระทําความผิดเอง
ผูก
้ ระทําความผิดโดยทางอ้อม ผูร้ ว่ มกระทําผิด

ผู ้กระทําความผิดเองและผู ้กระทําความผิดโดยทางอ ้อม และผู ้ใช ้ให ้กระทําความผิดแตกต่างกัน


อย่างไร ความแตกต่างดังกล่าวมีผลทางกฎหมายอย่างไร
ผูก ้ ระทําความผิดเอง คือ ผูล ้ งมือกระทําความผิดด้วยตนเอง หรือใชส ้ ตว์
ั หรือบุคคลทีไม่ม ี
การกระทําในทางอาญาเป็นเครืองมือในการกระทําความผิด
ผูก ้ ระทําความผิดในทางอ้อม คือ ผูท ้ ใช
ี ห้ รือหลอกให้บค ุ คลทีไม่ตอ ้ งร ับผิดในทางอาญา
เพราะขาดเจตนาเป็นเครืองมือในการกระทําความผิด
ผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิด หมายถึง ผูท ้ ก่
ี อให้ผอ ู ้ นไปกระทํ
ื าความผิดโดยผูอ ้ นมี
ื เจตนาในการ
กระทําความผิด
ผลของความแตกต่างคือ เรือง การพยายามกระทําความผิด ผูก ้ ระทําความผิดเองร ับผิด
ฐานพยายามเมือได้ลงมือกระทําความผิด ผูก ้ ระทําความผิดโดยทางอ้อมร ับผิดฐานพยายามเมือใช ้
หรือหลอกแล้ว ผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิด ร ับผิดฐานพยายาม เมือผูถ ้ ก
ู ใชล้ งมือกระทําความผิดทีใช ้
แล้ว

นิตบิ คุ คลอาจต ้องรับผิดในทางอาญาอย่างใดหรือไม่


นิตบ ิ คุ คลมีความร ับผิดในทางอาญาได้เชน ่ เดียวก ับบุคคลธรรมดาเว้นแต่โทษทีลงแก่นต
ิ ิ
บุคคลนนลงได้
ั แต่เฉพาะโทษปร ับและริบทร ัพย์สนิ เท่านนั เพราะโดยสภาพแล้วไม่อาจลงโทษ
ประหารชวี ติ จําคุก หรือก ักข ังแก่นติ บ
ิ ค
ุ คลได้

การขาดองค์ประกอบภายนอก
ขาดองค์ประกอบภายนอก หมายความว่าอย่างไร
การขาดองค์ประกอบภายนอก หมายความว่า ตามความเป็นจริงขาดองค์ประกอบภายนอก
บางประการไป เชน ่ ในความผิดฐานค่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 ขาด “ผูอ
้ น”
ื หรือ ในความผิด
ฐานล ักทร ัพย์ตาม ปอ. มาตรา 334 ขาดทร ัพย์ของผูอ
้ น

หากผู ้กระทําเข ้าใจว่ามีองค์ประกอบภายนอกครบ แต่ความจริงขาดองค์ประกอบภายนอกบางข ้อไป


เช่นนีผู ้กระทําจะต ้องรับผิดอย่างไร
มีสองความเห็น ความเห็นแรกถือว่าไม่มค ี วามผิด เชน่ ยิงศพโดยเข้าใจว่าเป็นคนนอนคลุม
โปงอยู่ ถือว่าไม่มค ี วามผิดฐานฆ่าคนเลย หรือล ักทร ัพย์ของตนเองแต่เข้าใจผิดว่าเป็นของผูอ
้ น

เชน่ นีก็ไม่มค ี วามผิดฐานล ักทร ัพย์เลย แต่อก ี ความเห็นหนึงถือว่าเป็นความผิดฐานพยายามซงึ
เป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ตาม ปอ. มาตรา 81

องค์ประกอบภายใน (เจตนา)
1. เจตนาตามความเป็ นจริง หมายความว่า ผู ้กระทํารู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด และผู ้กระทําประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทํานั น
2. เจตนาโดยผลของกฎหมาย หมายความว่า ผู ้กระทํารู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด แต่ผู ้กระทํามิได ้ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็น แต่กฎหมายถือว่าผู ้กระทําประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผล
3. การสําคัญผิดในตัวบุคคล หมายความว่า ผู ้กระทํารู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด และผู ้กระทําก็ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผลตามความเป็ นจริงแล ้ว เพียงแต่ผู ้กระทําสําคัญผิดต่อ
วัตถุทมุ
ี ง่ หมายกระทําต่อ กล่าวคือสําคัญผิดว่ากําลังกระทําต่อบุคคลหนึงทังๆ ทีตามความเป็ นจริงแล ้วตน
กําลังกระทําต่ออีกบุคคลหนึง
4. การสําคัญผิดว่ามีข ้อเท็จจริงซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษหรือลดโทษ หมายความว่า
ความจริงไม่มข ี ้อเท็จจริงดังกล่าวเลย แต่ผู ้กระทําสําคัญผิดว่ามีข ้อเท็จจริงดังกล่าวนัน
5. การขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า ความจริงไม่มอ ี งค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดเรืองนันๆเลย เช่น ไม่ม ี “ผู ้อืน” ในฐานความผิดฆ่าคนตาย ตาม ปอ. มาตรา 288 แต่ผู ้กระทําเข ้าใจ
ผิดว่าขาดองค์ประกอบภายนอก กล่าวคือยิงศพคิดว่ายิงคน
การไม่รู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า ความจริง มี
องค์ประกอบภายนอกครบถ ้วน เช่นมี “ผู ้อืน” ในความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ.มาตรา 288 แต่ผู ้กระทํา
เข ้าใจผิดว่าขาดองค์ประกอบภายนอก กล่าวคือยิงคนแต่คด ิ ว่าคนทียิงนั นเป็ นศพนันเอง
การสําคัญผิดว่ามีข ้อเท็จจริงซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษหรือลดโทษ หมายความว่าความ
จริงองค์ประกอบภายนอกของความผิดมีอยูค ่ รบ และผู ้กระทําก็เข ้าใจดีอยูแ ่ ล ้วว่ามีองค์ประกอบภายนอก
ครบถ ้วน แต่ผู ้กระทําเข ้าใจไปว่ามีข ้อเท็จจริงซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษ หรือลดโทษ เช่น ม่วง
เข ้าใจว่าแดงซึงหยิบปื นขึนมาขูล ่ ้อเล่นนั นจะยิงตนจริงๆ ม่วงจึงใช ้ปื นของตนยิงแดงตาย ถือว่าม่วงสําคัญผิด
ว่าตนมีสท ิ ธิป้องโดยชอบด ้วยกฎหมายซึงเป็ นกรณีทกฎหมายยกเว ี ้นความผิด เป็ นต ้น

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


20

เจตนาตามความเป็นจริง
ในการทีจะถือว่าผู ้กระทํามีเจตนาได ้จะต ้องมีหลักเกณฑ์อย่างไร
ผูก้ ระทําต้อง “รู”้ ข้อเท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และผูก
้ ระทําจะต้อง
ประสงค์ตอ
่ ผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทํานน ั

จงอธิบายเรืองการรู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด


การรูข้ อ ้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า รูข ้ อ้ เท็จจริงทุก
ประการอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานนนๆ ั เชน่ ในความผิดฐานฆ่าคนตาย ตาม
ปอ. มาตรา 288 ผูก ้ ระทําก็ จะต้องรูว้ า่ การกระทําของตนเป็นการ “ฆ่า” และรูว้ า่ เป็นการฆ่า “ผูอ ้ น”

ผลของการไม่รข ู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกคือ ถือว่าผูก ้ ระทําไม่มเี จตนากระทํา
ความผิดฐานนนๆ ั เชน ่ หากผูก ้ ระทําไม่รว ิ ตนยิงคือ “ผูอ
ู ้ า่ สงที ้ น”
ื แต่เข้าใจว่าเป็นการยิง “ศพ” ก็ จะ
ถือว่ามีเจตนาฆ่าผูอ ้ นไม่
ื ได้จงึ ไม่ผ ิดตาม ปอ. มาตรา 288 เพราะความผิดตามมาตรานี ผูก ้ ระทํา
จะต้องมีเจตนาจึงจะมีความผิดได้ อย่างไรก็ตามหากการไม่รข ู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบ
ภายนอกนนเกิ ั ดขึนเพราะความประมาท ผูก
้ ระทําก็อาจต้องร ับผิดฐานประมาท หากมีกฎหมาย
บ ัญญ ัติวา่ การกระทําโดยประมาทเป็นความผิด เชน หากผูก ่ ้ ระทําดูให้ดก ิ ตนยิงเป็น
ี ็จะรูว้ า่ สงที
“ผูอ ื ไม่ใช่ “ศพ” ผูก
้ น” ้ ระทําก็ จะต้องร ับผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา 291

เจตนาประสงค์ตอ ่ ผลหมายความว่าอย่างไร
เจตนาประสงค์ตอ ่ ผล หมายความว่า มุง ่ หมายหรือประสงค์ตอ ่ ผลโดยตรง ในความผิดต่อ
ชวี ต
ิ และความผิดต่อร่างกาย ในการวินจ ิ ฉัยต้องใชห ้ ล ักกรรมเป็นเครืองชเจตนาเป
ี ็ นแนวทางในการ

พิจารณา เชน ผูก ้ ี ํ
้ ระทําใชปืนยิงไปทีผูเ้ สยหาย โดยยิงไปทีอว ัยวะสาค ัญๆ ต้องถือว่าประสงค์ตอ ่ ผล
หรือมุง ี หายตาย แต่ถา้ ใชม
่ หมายให้ผเู ้ สย ้ ด
ี เล็กๆ แทงทีเดียวในเวลามืดคําขณะทีมองเห็นไม่ถน ัด
อาจต้องถือว่าประสงค์หรือมุง ่ หมายต่ออ ันตรายแก่กายหรือจิตใจของผูเ้ สย ี หายเท่านนก็
ั ได้

เจตนาเล็งเห็นผลหมายความว่าอย่างไร
เจตนาเล็ งเห็นผล หมายความว่า ผูก ้ ระทําไม่ประสงค์ตอ ่ ผลแต่เล็ งเห็นได้วา
่ จะเกิดผลอย่าง
แน่นอน เท่าทีจิตใจของบุคคลในฐานะเชน ่ เดียวก ับผูก
้ ระทําโดยปกติเล็งเห็นได้
ในการวินจ ิ ฉัยนน
ั ให้พจ
ิ ารณาถึงเรืองประสงค์ตอ ่ ผลก่อน หากพิจารณาเห็นว่าผูก ้ ระทําไม่
ประสงค์ตอ ่ ผล จึงค่อยมาพิจารณาต่อไปว่าผูก ้ ระทําเล็งเห็นผลหรือไม่ เจตนาประสงค์ตอ ่ ผลหรือ
เล็ งเห็นผลก็ มผ ี ลทางกฎหมายอย่างเดียวก ัน กล่าวคือถ้าเป็นเจตนาฆ่าประเภทประสงค์ตอ ่ ผล
ผูก
้ ระทําก็ ผ ิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตาม ปอ.มาตรา 288 ถ้าเป็นเจตนาฆ่าประเภทเล็งเห็นผล
ผูก้ ระทําก็ ผ ิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ปอ. มาตรา 288 เชน ่ เดียวก ัน

เจตนาพิเศษหมายความว่าอย่างไร
เจตนาพิเศษคือ มูลเหตุจง ู ใจในการกระทําความผิด เจตนาพิเศษเป็นคนละกรณีก ับเจตนา
ธรรมดา เจตนาธรรมดาคือประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผล
ความผิดใดกฎหมายต้องเจตนาพิเศษ ก็ จะบ ัญญ ัติถอ ้ ยคําทีแสดงว่าเป็นเจตนาพิเศษไว้ใน
องค์ประกอบของความผิดนนๆ ั ่
โดยตรง เชน คําว่า “โดยทุจริต” ถือว่าเป็นเจตนาพิเศษ ของ
ความผิดฐานล ักทร ัพย์ตาม ปอ.มาตรา 334 คําว่า “เพือให้ผห ู ้ นึงผูใ้ ดหลงเชอว่ ื าเป็นเอกสารที
แท้จริง” เป็นเจตนาพิเศษของของความผิดฐานปลอดเอกสารตาม ปอ. มาตรา 264
ในกรณีพจ ิ ารณาถ้อยคํานนๆ ั เป็นเจตนาพิเศษหรือไม่ให้สงเกตคํั าว่า “เพือ.........” หรือคํา
ว่า “โดยทุจริต” เป็นต้น
ความผิดทีกฎหมายต้องการเจตนาพิเศษ เชน ่ ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264
หากผูก ่
้ ระทํามีแต่เจตนาธรรมดา เชน ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็ งเห็นผลเท่านน ั ผูก้ ระทําก็ ย ังไม่ม ี
ความผิด โดยถือว่าขาดองค์ประกอบภายใน แต่ถา้ มีความผิดมาตรานนๆ ั กฎหมายไม่ตอ ้ งการเจตนา
พิเศษ เชน ่ ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ปอ. มาตรา 288 เพียงแต่ผน ู ้ นกระทํ
ั ามีเจตนา
ธรรมดา กล่าวคือ ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็ งเห็นผล ผูก
้ ระทําก็ มค
ี วามผิดแล้ว

เจตนาโดยผลของกฎหมาย
เจตนาโดยผลของกฎหมายหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า กฎหมายถือว่าผูก ้ ระทํามีเจตนาประสงค์ตอ่ ผลหรือเล็ งเห็นผลต่อผูอ ื งึ
้ นซ
ได้ร ับผลจากการกระทําแม้วา
่ ความจริงผูก
้ ระทําจะมิได้ประสงค์ตอ่ ผลหรือเล็งเห็นผลนนๆั เลย
ประมวลกฎหมายอาญาได้บ ัญญ ัติเกียวก ับเรืองนีไว้ในมาตรา 60 ซงเรีึ ยกก ันว่าการกระทํา
โดยพลาด

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


21

จงอธิบายหลักเกณฑ์ทสํ ี าคัญของการกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60
การทีจะถือว่าเป็นการกระทําโดยพลาดนน ั ผูถ
้ ก
ู กระทําจะต้องมีตงแต่ ั สองฝ่ายขึนไป และ
ผูก
้ ระทําจะต้องมิได้มเี จตนาประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็ งเห็นผลต่อผูร้ ับผลของการกระทําโดยพลาด
หากผูก ้ ระทํามีเจตนากระทําต่อชวี ต ิ ขิ องบุคคลหนึง หากผลไปเกิดแก่ทร ัพย์ของอีกบุคคล
หนึงก็ ไม่ถอ ื ว่าเป็นการกระทําโดยพลาด เพราะผูก ้ ระทํารูข้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอก
ของความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 ผูก ้ ระทําไม่รขู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิด ฐานทําให้เสย ี ทร ัพย์ตาม ปอ. มาตรา 358 จึงถือว่ามีเจตนาทําให้เสย ี ทร ัพย์
ไม่ได้ เชน ่ ม่วงต้องการฆ่าแดงใชป ้ ื นยิงไปทีแดงกระสุนไม่ถก ู แดง แต่ถก ู แจก ันลายครามทองเหลือง
แตกเสย ี หาย เชน ่ นีจะถือว่าม่วงกระทําโดยเจตนาต่อทร ัพย์ของเหลืองไม่ได้

ดําต ้องการฆ่าแดงซึงเป็ นศัตรูของตน จึงใช ้ปื นยิงไปทีแดง แต่กระสุนไม่ถก ู แดง แต่พลาดไปถูก


เหลืองซึงเป็ นบิดาของดําตาย เช่นนีดําจะมีความผิดฐานใด
ดําทําผิดฐานพยายามฆ่าแดง ตาม ปอ. มาตรา 288 ประกอบก ับมาตรา 80 และผิดฐานฆ่า
เหลืองในฐานะทีเป็นคนธรรมดา มิใชฐ ่ านะบุพการีตาม 289 (1) เพราะดํารูว้ า ่ กําล ังกระทําต่อคน
ธรรมดา แต่ไม่รวู ้ า่ กําล ังกระทําต่อผูซ ึ ความสมพ
้ งมี ั ันธ์กล่าวคือ บุพการี จึงจะถือว่ามีเจตนาต่อ
บุพการีไม่ได้ นอกจากนนมาตรา ั 60 ตอนท้าย ก็ย ังห้ามมิให้นํากฎหมายทีลงโทษหน ักขึนเพราะ
ความสมพั ันธ์ระหว่างผูก ้ ระทําและผูซ ึ
้ งได้ ร ับผลร้ายมาใชบ ้ ังค ับก ับกรณีนด้
ี วย

ดําต ้องการฆ่าม่วงซึงเป็ นศัตรูของตน แต่กระสุนไม่ถก ู ม่วงกับพลาดไปถูกขาวซึงเป็ นพนั กงานซึง


กําลังกระทําตามหน ้าทีถึงแก่ความตาย เช่นนีจะมีความผิดฐานใด
ดําผิดฐานพยายามฆ่าม่วง ตาม ปอ. มาตรา 288 ประกอบก ับมาตรา 80 และผิดฐานฆ่าขาว
ในฐานะทีเป็นคนธรรมดา มิใชฐ ่ านะทีเป็นเจ้าพน ักงานซงกระทํ
ึ าการตามหน้าทีตาม 289 (2) เพราะ
ดํารูว้ า่ กําล ังกระทําต่อคนธรรมดาแต่ไม่รวู ้ า ่ กระทําต่อผูซ ึ ฐานะกล่าวคือ
้ งมี ึ
เจ้าพน ักงานซงกระทํ า
การตามหน้าที จึงจะถือว่ามีเจตนาต่อเจ้าพน ักงานซงกระทํ ึ าตามหน้าทีไม่ได้ นอกจากนน ั มาตรา 60
ตอนท้ายก็ย ังห้ามมิให้นํากฎหมายทีลงโทษหน ักขึนเพราะฐานะของบุคคลมาใชบ ้ ังค ับก ับกรณีนด้
ี วย

ดําต ้องการฆ่าเหลืองซึงเป็ นบิดาของตน ดํายิงไปทีเหลืองกระสุนไม่ถก


ู เหลือง แต่พลาดไปถูกฟ้ าซึง
เป็ นมารดาของดําตาย ดําจะมีความผิดฐานใด
ดําผิดฐานพยายามฆ่าเหลืองซงเป ึ ็ นบุพการีตาม ปอ. มาตรา 289 (1) ประกอบก ับมาตรา
80 และผิดฐานฆ่าฟ้าซงเป ึ ็ นบุพการีตายตาม ปอ. มาตรา 289 (1) ด้วย เพราะดํารูอ ้ ยูแ
่ ล้วว่าตน
กําล ังกระทําต่อบุพการีและผลก็ เกิดแก่บพ ุ การีอก
ี คนหนึง จึงถือว่ากระทําโดยเจตนาต่อบุพการีได้

ดําต ้องการฆ่าเหลืองซึงเป็ นบิดา ดํายิงไปทีเหลืองกระสุนไม่ถก ู เหลือง แต่พลาดไปถูกเขียวซึงเป็ น


เจ ้าพนั กงานซึงกระทําตามหน ้าทีตาย ดํามีความผิดฐานใด
ดําผิดฐานพยายามฆ่าบุพการีตาม ปอ. มาตรา 289 (1) ประกอบก ับมาตรา 80 และผิดฐาน
ฆ่าเขียวในฐานะทีเป็นคนธรรมดาตายมิใชใ่ นฐานะเจ้าพน ักงานซงกระทํ ึ าตามหน้าทีตาม ปอ. มาตรา
289 (2) เพราะดํารูว้ า่ ตนกําล ังกระทําต่อบุพการีไม่รว ึ
ู ้ า่ ตนกําล ังกระทําต่อเจ้าพน ักงานซงกระทํ า
ตามหน้าที จึงจะถือว่ามีเจตนากระทําต่อเจ้าพน ักงานซงกระทํ ึ าตามหน้าทีไม่ได้ นอกจากนน ั หากให้
ดําต้องร ับผิดฐานฆ่าเจ้าพน ักงานซงกระทํ ึ าตามหน้าทีแล้ว ก็ จะเป็นการข ัดต่อมาตรา 60 ตอนท้าย ที
ห้ามมิให้นํากฎหมายทีลงโทษหน ักขึนเพราะฐานะของบุคคลมาใชบ ้ ังค ับก ับผูก
้ ระทํา เพือลงโทษ
ผูก
้ ระทําให้หน ักขึน

การสําค ัญผิดในต ัวบุคคล


การสําคัญผิดในตัวบุคคลหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า ผูก ึ
้ ระทําได้กระทําต่อบุคคลซงได้ร ับผลร้ายโดยเข้าใจว่า ผูไ้ ด้ร ับผลร้ายนนั
เป็นอีกบุคคลหนึง เชน ่ ม่วงต้องการฆ่าเหลือง ม่วงเห็นฟ้าเดินมาในความมืดคิดว่าเป็นเหลือง จึงใช ้
ปื นยิงฟ้าตาย เชน ่ นี ถือว่าม่วงกระทําโดยเจตนาต่อฝ้าแล้ว เพราะม่วงรูว้ า
่ ตนกําล ังฆ่าผูอ
้ นื และม่วง
ต้องการให้ผอ ู ้ นน
ื นตาย
ั จึงถือว่าม่วงกระทําโดยเจตนาต่อฟ้า ม่วงยกเอาความสําค ัญผิดว่าฟ้าคือ
เหลืองมาแก้ต ัวว่าไม่มเี จตนา ซงมี ึ อยูแ่ ล้วนนไม่
ั ได้

การสําคัญผิดในตัวบุคคลต่างกับการกระทําโดยพลาดอย่างไร จงยกตัวอย่าง
สําค ัญผิดในต ัวบุคคลมีผเู ้ สย
ี หายเพียงฝ่ายเดียว กล่าวคือผูท ้ ได้
ี ร ับผลร้ายจากการกระทํา
่ นพลาดนนมี
สว ี หายสองฝ่ายคือ ผูเ้ สย
ั ผเู ้ สย ี หายฝ่ายแรกทีผูก ้ ระทํามุง
่ หมายกระทําต่อ (ผลจะเกิดแก่
ี หายฝ่ายแรกหรือไม่ก็ตาม) และผูเ้ สย
ผูเ้ สย ี หายฝ่ายทีสองซงได้
ึ ร ับผลร้ายจากการกระทํานน ั
ต ัวอย่าง

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


22

แดงต้องการฆ่าดํา เห็นเหลืองเดินมาคิดว่าเป็นดําจึงใชป ้ ื นยิงเหลืองตาย เชน


่ นี ถือว่าเป็น
การสาํ ค ัญผิดในต ัวบุคคล เพราะมีผเู ้ สย
ี หายฝ่ายเดียวคือเหลือง ในกรณีนแดงผิ
ี ดฐานฆ่าเหลืองตาย
โดยเจตนา แต่ไม่ผ ิดฐานพยายามฆ่าดําด้วย เพราะดําไม่ได้ร ับผลอะไรจากการกระทําของแดงด้วย
ถ้าปรากฏว่า แดงต้องการฆ่าขาว แดงยิงไปทีขาวแต่ขาวหลบท ัน กระสุนพลาดไปถูกม่วง
ตาย เชน ่ นีถือว่าเป็นการกระทําโดยพลาด เพราะมีผเู ้ สยี หายสองฝ่ายคือ ขาวและม่วง ในกรณีนแดง ี
ผิดฐานพยายามฆ่าขาว และผิดฐานฆ่าม่วงตามโดยเจตนาอีกบทหนึงด้วย

เขียวต ้องการฆ่าฟ้ า ในความมืดเขียวเห็นขาวมารดาของตนเดินมาคิดว่าเป็ นฟ้ า จึงใช ้ปื นยิงขาวตาย


เขียวมีความผิดอย่างไร
เขียวผิดฐานฆ่าขาวตาวในฐานะทีขาวเป็นคนธรรมดามิใชบ ่ พ
ุ การี ตาม ปอ. มาตรา 289 (1)
เพราะเขียวไม่รว ู ้ า่ ตนกําล ังกระทําต่อบุพการี เขียวรูแ
้ ต่เพียงว่าตนกําล ังกระทําต่อ “ผูอ้ น”
ื จึงจะถือ
ว่ามีเจตนาในสงที ิ ตนไม่รวู ้ า่ กําล ังกระทําต่อไม่ได้ นอกจากนนความในมาตรา
ั 62 วรรคท้าย ก็ย ังมี
บ ัญญ ัติยน
ื ย ันอีกด้วยว่า“บุคคลจะต้องร ับโทษหน ักขึนโดยอาศยข้ ั อเท็จจริงใดบุคคลนน ั จะต้องได้รู ้
ข้อเท็จจริงนน” ั

การสําค ัญผิดว่ามีขอ ึ ็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลดโทษ


้ เท็จจริงซงเป
ความสําคัญผิดว่ามีข ้อเท็จจริงซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษ ลดโทษ มีในกรณีใดบ ้าง
ความสา ํ ค ัญผิดว่ามีขอ ้ เท็จจริงซงเป ึ ็ นเหตุยกเว้นความผิด เชน ่ กรณีป้องก ันโดยสา ํ ค ัญผิด

ซงหมายความว่ าความจริงไม่มภ ี ย ันตรายอ ันเกิดจากการประทุษร้ายอ ันละเมิดต่อกฎหมาย แต่
้ ระทําสําค ัญผิดไปว่ามี
ผูก
ความสา ํ ค ัญผิดว่ามีขอ ้ เท็จจริงเป็นเหตุยกเว้นโทษ เชน ่ กรณีจาํ เป็นโดยสําค ัญผิด หรือล ัก
ทร ัพย์ของผูอ้ นแต่
ื ํ
สาค ัญผิดว่าเป็นของคูส ่ มรสเป็นต้น
ความสา ํ ค ัญผิดว่ามีขอ ้ เท็จจริงซงเปึ ็ นเหตุลดโทษ เชน ่ กรณีบ ันดาลโทสะโดยสา ํ ค ัญผิด
หรือล ักทร ัพย์ของผูอ ้ นแต่
ื สําค ัญผิดว่าเป็นของผูส ้ บ ั
ื สนดานหรือบุพการี

หากความสําคัญผิดดังกล่าวเกิดขึนด ้วยความประมาทจะมีผลอย่างไร
ผูก
้ ระทําต้องร ับผิดฐานประมาท ในกรณีทกฎหมายบ
ี ัญญ ัติวา
่ การกระทําโดยประมาทเป็น
ความผิด
ต ัวอย่าง
ม่วงต้องการล้อแดงเล่น จึงเอาปื นเด็กเล่นขูว่ า ้ ืน
่ จะยิงแดง แดงไม่ท ันดูให้ด ี คิดว่าม่วงใชป
จริงๆ จะยิงตน แดงจึงใชป ้ ื นของตนยิงม่วงตาย แดงอ้างป้องก ันโดยสําค ัญผิด เพือยกเว้นความผิด
ฐานฆ่าม่วงตามโดยเจตนาได้ แต่แดงจะต้องร ับผิดฐานฆ่าม่วงตายโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา
291 เพราะความสา ํ ค ัญผิดของตนเองเกิดขึนด้วยความประมาท

การเปรียบเทียบการขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด การไม่รข ู้ อ ้ เท็จจริงอ ัน


เป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และการสา ํ ค ัญผิดว่ามีขอ
้ เท็จจริงซงเป ึ ็ นเหตุยกเว้นความผิด
ยกเว้นโทษ หรือลดโทษ
การขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด การไม่รู ้ข ้อเท็จจริง ซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้น
โทษหรือลดโทษ หมายความว่าอย่างไร
การขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า ความจริงไม่ครบองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิด เชน ่ ขาด “ผูอ ้ น”
ื ในความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 ขาด
“ทร ัพย์ของผูอ ้ น”
ื ในความผิดฐานล ักทร ัพย์ตาม ปอ. มาตรา 334
การไม่รข ู้ อ ้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า ความจริงมี
องค์ประกอบภายนอกของความผิดอยูค ่ รบ เชน ่ มี “ผูอ้ น”
ื ในความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ.
มาตรา 288 มี “ทร ัพย์ของผูอ ้ น”
ื ในความผิดฐานล ักทร ัพย์ตาม ปอ. มาตรา 334 แต่ผก ู ้ ระทําเข้าใจ
ว่าองค์ประกอบภายนอกไม่ครบ เชน ่ เข้าใจว่ากําล ังยิง “ศพ” ทงๆ ั ทีความจริงคือการยิง “ผูอ ้ น”

เข้าใจว่าทร ัพย์ทเอาไปเป
ี ็ นของตน ทงๆ ั ทีความจริงคือทร ัพย์ของผูอ ้ น

การสําค ัญผิดว่ามีขอ ้ เท็จจริงซงเปึ ็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษหรือลดโทษหมายความ
ว่า ผูก้ ระทํารูข
้ อ้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดทุกประการแล้ว แต่สําค ัญผิดไป
ว่ามีขอ
้ เท็จจริงซงเป ึ ็ นเหตุยกเว้นความผิดยกเว้นโทษหรือลดโทษซงความจริ ึ งไม่ม ี

ผลในทางกฎหมายของการขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิดมีอย่างไร
ถือว่าผูก
้ ระทําไม่มค
ี วามผิดเพราะขาดองค์ประกอบ เชน่ ยิงศพคิดว่ายิงคนถือว่าไม่ม ี
ความผิดฐานฆ่าคน เพราะไม่ม ี “ผูอ ้ น”
ื ล ักทร ัพย์ของตนเองโดยคิดว่าเป็นทร ัพย์ของผูอ้ นถื
ื อว่าไม่
ผิดฐานล ักทร ัพย์ เพราะไม่ม ี “ทร ัพย์ของผูอ
้ น”
ื อย่างไรก็ตาม มีบางความเห็นถือว่าผูก
้ ระทําผิดฐาน
พยายามซงเปึ ็ นไปไม่ได้ อย่างแน่แท้ตาม ปอ. มาตรา 81 ได้

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


23

การไม่รู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดมีผลทางกฎหมายอย่างไร


ผลคือ ถือว่าผูก ้ ระทําไม่มเี จตนา เพราะฉะนนจึ ั งไม่ตอ ้ งร ับผิดในความผิดทีต้องการเจตนา
แต่อาจต้องร ับผิดฐานประมาท หากการไม่รข ู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกนนเกิ ั ดขึนด้วย
ความประมาท และมีกฎหมายบ ัญญ ัติวา ่ การกระทําโดยประมาทนนเป ั ็ นความผิด

การสําคัญผิดว่ามีข ้อเท็จจริงซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษ หรือลดโทษ มีผลทางกฎหมาย


อย่างไร
ผลคือถือว่าผูก ้ ระทําได้ร ับการยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลดโทษตามความสําค ัญผิด
นน
ั ํ
แต่ถา้ ความสาค ัญผิดเกิดขึนโดยความประมาท ผูก ้ ระทําอาจต้องร ับผิดฐานประมาท หากมี
กฎหมายบ ัญญ ัติวา่ การกระทําโดยประมาทในกรณีเชน ่ นนเป
ั ็ นความผิด

ในการวินจ ิ ฉั ยกรณีทังสามนี มีขันตอนอย่างไร


ให้ดว
ู า่ เป็นเรืองการขาดองค์ประกอบภายนอกหรือไม่ หากความจริงมีองค์ประกอบภายนอก
ครบ จึงค่อยดูตอ ่ ไปว่าผูก ้ ระทําขาดเจตนาเพราะไม่รข ู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกหรือไม่
หากปรากฏว่าผูก ้ ระทํามีเจตนาเพราะรูข ้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกครบถ้วน และ
ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทํานนแล้ ั วจึงค่อยดูตอ ่ ไปในขนสุั ดท้ายว่า ผูก
้ ระทําสาํ ค ัญ
ผิดในข้อเท็จจริงซงเป ึ ็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลดโทษหรือไม่ หากเป็นกรณีสําค ัญผิด
ด ังกล่าวก็อาจนํามาอ้างเพือยกเว้นความผิดซงผู ึ ก ้ ระทํามีเจตนากระทํา หรือยกเว้นโทษในความผิด
ึ ก
ซงผู ้ ระทํามีเจตนาหรือลดโทษในความผิดซงผู ึ ก ้ ระทํามีเจตนาอยูแ ่ ล้วก็ ได้
ข้อสาํ ค ัญอยูต ่ รงทีว่า ให้นําเรืองการไม่รข ู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดขึนวินจ ิ ฉัยก่อนเรืองการสําค ัญผิดว่ามีขอ ้ เท็จจริงซงเป ึ ็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ
หรือลดโทษ หากถือว่าไม่มเี จตนาเพราะไม่รข ู้ อ ้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด ก็
ไม่ตอ้ งพิจารณาเรืองการสา ํ ค ัญผิดว่ามีขอ ้ เท็จจริงซงเป ึ ็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ ลดโทษ
เรืองการสําค ัญผิดในข้อเท็จจริงนนนํ ั ามาพิจารณาหล ังจากทีถือว่าผูก ้ ระทํามีเจตนาเพราะรู ้
ข้อเท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดแล้วเท่านน ั
ต ัวอย่าง
ม่วงหยิบเอาสายสร้อยของเหลืองไปขาย โดยม่วงเข้าใจว่าเป็นสายสร้อยของม่วงเอง เชน ่ นี
ถือว่าม่วงไม่เจตนาล ักทร ัพย์ของเหลืองเพราะไม่รข
ู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดฐานล ักทร ัพย์ตาม ปอ. มาตรา 334 ม่วงจึงไม่ผ ิดฐานล ักทร ัพย์เหลือง ในกรณีด ังกล่าวนี
เมือใชม้ าตรา 59 วรรค 3 เป็นคุณแก่มว่ งได้แล้ว ก็ ไม่ตอ้ งพิจารณาเรืองการสา ํ ค ัญผิดในข้อเท็จจริง
ตามมาตรา 62 วรรคแรกเลย
ต ัวอย่าง
ม่วงหยิบเอาสายสร้อยของเหลืองไปขาย โดยม่วงเข้าใจว่าเป็นสายสร้อยของขาวภรรยาม่วง
เชน่ นีต้องถือว่าม่วงมีเจตนาล ักทร ัพย์เพราะม่วงรูข ้ อ้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดฐานล ักทร ัพย์ กล่าวคือรูอ ้ ยูแ
่ ล้วว่าเป็น “ทร ัพย์ของผูอ ้ น”
ื จึงถือว่าม่วงมีเจตนาล ักทร ัพย์
ของผูอ ้ น
ื ในกรณีด ังกล่าวนีเมือใชม ้ าตรา 59 วรรค 3 ให้เป็นคุณแก่มว่ งไม่ได้ (เพราะม่วงรู ้
ข้อเท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกกล่าวคือ เข้าใจว่าเป็นทร ัพย์ของภรรยาซงจะถื ึ อว่ารูว้ า่ เป็น
“ทร ัพย์ของผูอ ้ น”ื แล้ว) ก็ตอ ํ
้ งพิจารณามาตรา 62 วรรคแรก เรืองการสาค ัญผิดในข้อเท็จจริง ซงจะ ึ

เห็นได้วา่ ม่วงสาค ัญผิดว่าเป็นสร้อยของภรรยา ซงก็ ํ
ึ หมายความว่าสาค ัญผิดว่ามีขอ ้ เท็จจริง ซงเป ึ ็น
เหตุยกเว้นโทษนนเอง ั จึงต้องถือตามความเข้าใจของม่วง ซงผลก็ ึ คอ
ื ม่วงไม่ตอ้ งร ับโทษในการล ัก
ทร ัพย์ของเหลือง

การไม่รู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และการสําคัญผิดในข ้อเท็จจริงว่ามี


เหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษ ลดโทษ มีข ้อทีจะต ้องพิจารณาร่วมกันอย่างไร
ข้อทีจําต้องพิจารณาร่วมก ันก็คอ ื หากการไม่รข ู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด และการสา ํ ค ัญผิดในข้อเท็จจริงซงเป ึ ็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลดโทษ
เกิดขึนเพราะความประมาท ผูก
้ ระทําก็ จะต้องร ับผิดฐานประมาท หากมีกฎหมายบ ัญญ ัติวา ่ การ
กระทําโดยประมาทในกรณีด ังกล่าวเป็นความผิด

องค์ประกอบภายใน (ประมาท)
1. การกระทําโดยประมาท ไดแก่ความผิดมิใช่โดยเจตนา
2. ผู ้กระทําได ้กระทําไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึงบุคคลในภาวะเช่นนีจักต ้องมีตามวิสย ั และ
พฤติการณ์ และผู ้กระทําอาจใช ้ความระมัดระวังเช่นว่านั นได ้ แต่หาได ้ใช ้ให ้เพียงพอไม่
3. ในการทีจะวินจ ิ ฉั ยว่าผู ้กระทําได ้กระทําโดยประมาทหรือไม่นัน ต ้องสมมติบค ุ คลขึนเปรียบเทียบมีทกุ
อย่างเหมือนเหมือนผู ้กระทํานัน กล่าวคือ อยูใ่ นภาวะอย่างเดียวกัน ตามวิสย ั แลพฤติการณ์เหมือนๆ กัน

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


24

โดยทัวไปแล ้วอาจใช ้ความระมัดระวังได ้หรือไม่ ระดับความระมัดระวังในทีนีต ้องใช ้มาตรฐานของบุคคลทัวไป


ซึงมีทก ุ อย่างเหมือนผู ้กระทํา
4. หากบุคคลทีสมมติขนซึ ึ งมีทกุ อย่างเหมือนผู ้กระทําโดยทัวไปอาจใช ้ความระมัดระวังได ้และผู ้กระทํา
ไม่ใช ้ ก็ถอื ว่าผู ้กระทําประมาท แต่ถ ้าบุคคลทีสมมติขนซึ ึ งมีทก ุ อย่างเหมือนผู ้กระทําโดยทัวไปไม่อาจใช ้ความ
ระมัดระวังได ้ การทีผู ้กระทําขาดความระมัดระวังก็ไม่ถอ ื ว่าผู ้กระทําประมาท
5. การวินจ ิ ฉั ยว่าผู ้กระทําประมาทหรือไม่นัน พิจารณาจากการกระทําของผู ้กระทําฝ่ ายเดียวเป็ นเครือง
ิ ฉั ย อีกฝ่ ายหนึงจะประมาทหรือไม่ไม่สําคัญ
วินจ
6. การกระทําโดยประมาท เป็ นการกระทําโดยขาดเจตนา จึงมีการพยายามกระทําโดยประมาทไม่ได ้
เพราะการพยายามกระทําความผิดมีได ้เฉพาะในความผิดทีกระทําโดยเจตนาเท่านัน
7. การกระทําโดยประมาท จะมีการร่วมกระทําตาม ปอ. มาตรา 83 ใช ้ให ้กระทําตาม ปอ. มาตรา 84
มาตรา 85 หรือสนั บสนุนให ้กระทําตาม ปอ. มาตรา 86 ไม่ได ้ เพราะการกระทําโดยประมาทมิใช่การกระทํา
โดยเจตนา ผู ้กระทําไม่ได ้มุง่ หมายให ้ผลเกิดขึน จึงไม่อาจรู ้ได ้ว่าจะเกิดผลขึนเมือใดเพราะฉะนั น โดยสภาพ
จึงจะมีการร่วมกระทํา ใช ้ให ้กระทํา หรือสนั บสนุนให ้กระทําไม่ได ้
8. ความรับผิดฐานประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาบางมาตรา จะเกิดขึนก็ตอ
่ เมือมีผลของการ
กระทําโดยประมาทแล ้วเท่านัน หากยังไม่เกิดขึนก็ยังไม่ต ้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาท และจะถือว่าเป็ น
การพยายามกระทําความผิดก็ไม่ได ้ เพราะการพยายามกระทําความผิดจะมีได ้ก็แต่เฉพาะการกระทําโดย
เจตนาเท่านั น
อย่างไรก็ตามผลของการกระทําโดยประมาทอาจเกิดขึนได ้แตกต่างกันไป การขับรถชนคนตาย ถือว่าความ
ตายคือผล แต่แม ้ว่ารถจะไม่ได ้ชนแต่กท ็ ําท่าว่าจะชน และคนทีจะถูกชนเกิดตกใจกลัวหัวใจวายตาย ก็ถอ ื ว่า
เกิดผลขึนแล ้วเช่นเดียวกัน

หล ักในการวินจ ิ ฉัยเรืองประมาท
การกระทําโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา 59 วรรค 4 มีหลักเกณฑ์อย่างไร
มีหล ักเกณฑ์ด ังนี
(ก) มิใชเ่ ป็นการกระทําความผิดโดยเจตนา
(ข) กระทําไปโดยปราศจากความระม ัดระว ัง ซงบุ ึ คคลในภาวะเชน ั
่ นีจ ักต้องมีตามวิสยและ
พฤติการณ์
(ค) ผูก้ ระทําอาจใชค ้ วามระม ัดระว ังเชน
่ ว่านนได้
ั แต่หาได้ใชใ้ ห้เพียงพอไม่

เมือได ้ทราบหลักเกณฑ์ตา่ งๆ ของการกระทําโดยประมาทแล ้ว ในการวินจ ิ ฉั ยว่าผู ้กระทําประมาท


หรือไม่มห
ี ลักในการพิจารณาอย่างไร
ให้สมมติบค ุ คลขึนเปรียบเทียบ บุคคลทีสมมตินต้ ี องมีทก
ุ อย่างเหมือนผูก ้ ระทํากล่าวคือ อยู่
ในภาวะอย่างเดียวก ับผูก ั
้ ระทําตามวิสยและพฤติการณ์อย่างเดียวก ัน หากบุคคลทีสมมุตน ิ โดยท
ี วไป

ไม่อาจใชค ้ วามระม ัดระว ังก็ ถอ
ื ว่าการทีผูก ้ วามระม ัดระว ังผูก
้ ระทําไม่ใชค ้ ระทําไม่ประมาท


ข้อสงเกตบางประการเกี ยวก ับการกระทําโดยประมาท
ม่วงขับรถโดยไม่มใี บอนุญาตให ้ขับขี แต่มว่ งขับรถไปตามถนนด ้วยความระมัดระวัง แดงวิงตัดหน ้ารถ
ของม่วงในระยะกระชันชิด รถของม่วงชนแดงตาย เช่นนี จะถือว่าการทีม่วงฝ่ าฝื นกฎหมายด ้วยการขับรถโดย
ไม่มใี บอนุญาต เป็ นการกระทําโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา 59 วรรค 4 และต ้องรับผิดตาม ปอ. มาตรา 291
ฐานทําให ้คนตายโดยประมาทเลยจะถูกต ้องหรือไม่
ไม่ถกู ต้อง การทีม่วงฝ่าฝื นกฎหมายด้วยการข ับรถยนต์ไปตามถนนโดยไม่มใี บอนุญาตข ับขี
นน
ั จะถือว่าการกระทําด ังกล่าวเป็นประมาทท ันทีไม่ได้ การกระทําของม่วงจะเป็นประมาทหรือไม่
จะต้องเป็นไปตามหล ักเกณฑ์ ของมาตรา 59 วรรค 4 การข ับรถยนต์โดยไม่มใี บอนุญาตให้ข ับขี
อาจจะถือว่าไม่ประมาทก็ ได้ หากไม่เป็นการกระทําโดยปราศจากความระม ัดระว ังตามหล ักเกณฑ์
ของ ปอ. มาตรา 59 วรรค 4

ม่วงขับรถโดยประมาท ชนกับรถของเหลืองซึงขับมาโดยประมาทเช่นกัน ปรากฏว่าแดงซึงนั งมาใน


รถของเหลืองถูกรถชนตาย เช่นนีม่วงและเหลืองจะต ้องรับผิดอย่างไร
ม่วงและเหลืองต่างคนต่างต้องร ับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้แดงตาย กล่าวคือ
แต่ละคนต้องร ับผิดชอบ ปอ. มาตรา 291 ฐานทําให้คนตายโดยประมาท

การกระทําโดยประมาทจะมีการร่วมกระทําตาม ปอ. มาตรา 83 ใช ้ให ้กระทําตาม ปอ. มาตรา 84 หรือ


สนั บสนุนให ้กระทําตาม ปอ. มาตรา 86 ได ้หรือไม่
การร่วมกระทําความผิดตาม ปอ. มาตรา 83 การใชใ้ ห้กระทําความผิดตาม ปอ. มาตรา 84
การสน ับสนุนให้กระทําความผิดตาม ปอ. มาตรา 86 มีได้เฉพาะในความผิดทีกระทําโดยเจตนา

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


25

ความผิดทีกระทําโดยประมาท ไม่อาจทราบได้วา่ ผลจะเกิดขึนเมือใด โดยสภาพจึงไม่อาจร่วมกระทํา


ใชใ้ ห้กระทํา หรือสน ับสนุนให้กระทําไม่ได้

การกระทําความผิดโดยประมาทจะมีการพยายามกระทําความผิดได ้หรือไม่ แดงขับรถไปตามถนน


ด ้วยความเร็วสูง รถของแดงทําท่าจะชนดํา และไม่มผ
ี ลเสียหายใดๆ เกิดขึนแก่ดํา แดงจะมีความผิดฐาน
พยายามทําให ้ดําตายโดยประมาทได ้หรือไม่
การพยายามกระทําความผิดมีได้เฉพาะการกระทําความผิดโดยเจตนาเท่านน ั การกระทํา
โดยประมาทจะมีการพยายามกระทําความผิดไม่ได้
ตามต ัวอย่างด ังกล่าว แดงไม่ผ ิดฐานพยายามทําให้คนตายโดยประมาท เพราะการกระทํา
โดยประมาทจะมีพยายามกระทําความผิดไม่ได้

องค์ประกอบภายใน (ไม่เจตนาและไม่ประมาท)
1. ความผิดอาญาในบางเรือง กฎหมายกําหนดให ้ผู ้ซึงมีการกระทําอันครบองค์ประกอบภายนอกต ้องรับ
ผิดทันทีโดยไม่ต ้องคํานึงถึงองค์ประกอบภายใน กล่าวคือแม ้ผู ้กระทําจะไม่เจตนาและไม่ประมาท ผู ้กระทําซึง
มีการกระทําอันครบองค์ประกอบภายนอกก็ต ้องมีความผิด
2. ประมวลกฎหมายอาญา ได ้บัญญัตเิ กียวกับความผิดทีผู ้กระทําไม่ต ้องเจตนาและไม่ต ้องประมาทไว ้ใน
ความผิดลหุโทษ นอกจากนันยังมีพระราชบัญญัตอ ิ นๆ
ื อีกบางเรือง เช่น พระราชบัญญัตศ ิ ลุ กากรซึงลงโทษผู ้
ทียืนรายการเสียภาษี ศลุ กากรทีไม่ตรงกับความเป็ นจริงโดยไม่คํานึงว่า ผู ้นันเจตนายืนไม่ตรงกับความจริงหรื
อประมาทในการยืนไม่ตรงกับความจริงนันหรือไม่
3. ความผิดทีไม่ต ้องมีเจตนาและไม่ต ้องประมาทนี ก็ยังอยูภ ่ ายใต ้หลักทัวไปทีว่าผู ้กระทําต ้องมีการ
กระทํา หากไม่มก ี ารกระทําแล ้ว ก็ไม่มคี วามผิด
4. เนืองจากไม่มเี จตนา ผู ้กระทําก็มค ี วามผิด เพราะฉะนัน ผู ้กระทําจะยกเอาข ้อแก ้ตัวว่าไม่รู ้ข ้อเท็จจริง
อันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดมาอ ้าง เพือไม่ต ้องรับผิดไม่ได ้ เพราะข ้ออ ้างดังกล่าวใช ้ได ้เฉพาะ
สําหรับความผิดทีต ้องการแสดงเจตนาเท่านั น
5. อย่างไรก็ตาม ข ้อแก ้ตัวอืนๆ เช่น กระทําไปเพราะความจําเป็ นตาม ปอ. มาตรา 67 หรือสําคัญผิดใน
ข ้อเท็จจริงตาม ปอ. 62 ก็ยังนํ ามาอ ้างเพือเป็ นคุณแก่ผู ้กระทําได ้อยูเ่ สมอ

ความหมายของการกระทํา “ไม่เจตนาและไม่ประมาท”
ความผิดทีไม่ต ้องมีเจตนาไม่ต ้องประมาทก็เป็ นความผิด หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า แม้ผก ู ้ ระทําไม่มเี จตนาและไม่ประมาท ผูก ้ ระทําก็ตอ้ งมีความผิด กล่าวคือเป็น
ความผิดทีไม่คํานึงถึงองค์ประกอบภายในใดๆ เลย เมือการกระทําครบองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดในเรืองนนๆั แล้วก็ ถอ ื ว่าผูก
้ ระทํามีความผิดท ันที ไม่ตอ้ งคํานึงถึงสภาพจิตใจของผูก ้ ระทํา
แต่อย่างใดเลย

ประมวลกฎหมายอาญาได ้บัญญัตเิ กียวกับความผิดทีไม่ต ้องมีเจตนา ไม่ต ้องประมาทนีไว ้อย่างไร


หรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญาได้บ ัญญ ัติเกียวก ับเรืองนีไว้ในความผิดลหุโทษ เพราะมาตรา 104
ซงเปึ ็ นบทบ ัญญ ัติทวไปที
ั ้ ก่ความผิดลหุโทษได้ให้หล ักไว้วา่
ใชแ การกระทําความผิดลหุโทษแม้
ผูก้ ระทําไม่มเี จตนาหรือประมาทก็ เป็นความผิด เว้นแต่ถอ้ ยคําในบทบ ัญญ ัติความผิดลหุโทษมาตรา
นนๆ
ั เอง จะแสดงให้เห็นว่าต้องเจตนาหรือประมาทจึงจะเป็นความผิด


ข้อสงเกตบางประการเกี ยวก ับการกระทําโดยไม่เจตนาและไม่ประมาท
หากผู ้กระทําไม่มก ี ารกระทําตามความหมายของกฎหมาย ผู ้กระทําจะมีความผิดในความผิดทีไม่
ต ้องการเจตนาและไม่ต ้องการประมาทหรือไม่
ผูก
้ ระทําจะไม่มค ี วามผิด เพราะความผิดทีไม่ตอ ้ งเจตนาและไม่ประมาทก็ เป็นความผิดได้น ี
ย ังต้องอยูภ่ ายใต้หล ักทวไปที
ั ว่า บุคคลจะต้องร ับผิดในทางอาญาเมือมีการกระทําตามความหมาย
ของกฎหมาย หากไม่มก ี ารกระทําก็ ไม่มค ี วามผิด

หากผู ้กระทําถูกบังคับให ้กระทําความผิด และความผิดนั นแม ้ผู ้กระทําไม่เจตนาและไม่ประมาทก็ม ี


ความผิด ผู ้กระทําจะยกเอาการถูกบังคับเป็ นข ้อแก ้ตัวได ้อย่างไรหรือไม่
หากผูก ้ ระทําความผิดด ังกล่าว อยูภ
่ ายใต้ทบ ี ังค ับหรืออยูภ ึ
่ ายใต้อํานาจซงไม่สามารถ
หลีกเลียงหรือข ัดขืนได้ ผูก ้ ระทําก็อาจยกความจําเป็นตามมาตรา 67 (1) ขึนแก้ต ัวเพือไม่ตอ ้ งร ับ
โทษในความผิดทีกระทําลงไป แม้จะเป็นความผิดซงผู ึ ก ้ ระทําไม่เจตนา และไม่ประมาทก็ ผ ิดได้ก็
ตาม

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


26

ผู ้กระทําจะอ ้างการไม่รู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด ตาม ปอ. มาตรา 59


วรรค 3 ขึนเป็ นข ้อแก ้ตัวว่าไม่มเี จตนาในความผิดทีไม่ต ้องการเจตนาเพียงใดหรือไม่
ผูก ้ ระทําจะยกขึนอ้างไม่ได้ เพราะการอ้างมาตรา 59 วรรค 3 นนอ้ ั างขึนเพือถือว่าไม่ม ี
เจตนา เฉพาะในความผิดทีต้องการเจตนา แต่ความผิดทีไม่ตอ ้ งการเจตนานน
ั ไม่มป
ี ระโยชน์อ ันใดที
จะอ้างความไม่รข ู้ อ
้ เท็จจริงตามมาตรา 59 วรรค 3 เพราะความผิดนนๆ ั แม้ไม่เจตนาผูก
้ ระทําก็ตอ
้ งมี
ความผิดอยูแ ่ ล้ว

หากความผิดนันๆ ต ้องการเจตนาพิเศษนอกเหนือจากเจตนาธรรมดา (ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็น


ผล) หากผู ้กระทําไม่มเี จนตาพิเศษ ผู ้กระทําจะต ้องมีความผิดหรือไม่
หากผูก ้ ระทําไม่มเี จตนาพิเศษ ก็ ถอ ื ว่าขาดองค์ประกอบภายใน ในสว ่ นทีว่าด้วย “เจตนา
พิเศษ” ผูก
้ ระทําก็ ไม่มค ี วามผิด ความผิดทีไม่เจตนาและไม่ประมาทก็ ผ ิดได้นน ั ยกเว้นเฉพาะเจตนา
ธรรมดา กล่าวคือ ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็ งเห็นผลเท่านน ั แต่ไม่รวมไปยกเว้นถึงเจตนาพิเศษด้วย

แบบประเมินผล หน่วยที 5 ความร ับผิดทางอาญา (ต่อ)

1. เขียวหลอกแดงว่าเครืองเพชรในหีบซึงเป็ นของขาวนั น ขาวได ้ยกให ้เขียวหมดแล ้ว แดงหลงเชือจึง


ไขกุญแจเปิ ดหีบส่งเครืองเพชรให ้แก่เขียว เช่นนีถือว่าเขียวเป็ น ผูก ้ ระทําความผิดฐานล ักทร ัพย์ของขาว
โดยทางอ้อม
2. บริษัทส่งเสริมทีดินไทย จํากัด โฆษณาหลอกขายทีดินแก่ประชาชนโดยอ ้างว่าทีดินเป็ นกรรมสิทธิ
ของบริษัทซึงความจริงไม่ใช่นัน บริษ ัทต้องร ับผิดทางอาญาและร ับโทษเฉพาะโทษปร ับและริบทร ัพย์สน ิ
เท่านน ั
3. ติมหยิบสายสร ้อยของแต๋วไปขาย โดยติมเข ้าใจว่าสายสร ้อยของแต๋วนันเป็ นของติมเอง ติมมี
ความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ กรณีนไม่ ี ผด ิ ฐานล ักทร ัพย์เพราะไม่มเี จตนาเนืองจากไม่รว ู ้ า่ ทร ัพย์นน ั
เป็นของผูอ ้ นแต่
ื เข้าใจผิดเป็นของตน
4. เขียวโกรธขาวจึงใช ้ปื นยิงไปทีหน ้าอกขาว 3 นั ดซ ้อนๆ กระสุนถูกหน ้าอกเป็ นแผลลึกกว ้างหลายเซ็น
ตริเมตร ขาวถูกยิงบาดเจ็บแต่แพทย์ชว่ ยชีวต ิ ไว ้ได ้ทัน เขียวมีความผิดฐาน พยายามฆ่าคนตาย
5. แดงต ้องการให ้เหลืองตายจึงใช ้ปื นยิงไปทีเหลืองโดยแดงเห็นอยูแ ่ ล ้วว่าเหลืองยืนอยูต
่ ด ิ กับขาวและ
ปื นทีใช ้ก็เป็ นปื นลูกซอง กระสุนปื นถูกเหลืองและขาวตาย แดงมีความผิดฐาน ฆ่าเหลืองตายโดยเจตนา
ประสงค์ตอ ่ ผลและฆ่าขาวตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล
6. ดําต ้องการฆ่าแดง แดงหลบทันกระสุนจึงแฉลบไปถูกกระจกรถยนต์ของแดงซึงจอดอยูห ่ า่ งออกไป
แตกเสียหาย ในกรณีเชน ่ นีไม่ถอ ื ว่าดํามีเจตนาโดยพลาดทําให้ทร ัพย์ของแดงเสย ี หายเพราะ ผลเกิด
แก่ผเู ้ สยี หายคนเดียว
7. ฟ้ าใช ้ม่วงไปฆ่าเหลือง ม่วงเห็นดําซึงเป็ นคูแ ่ ฝดกับเหลืองเดินมา ม่วงเข ้าใจว่าเป็ นเหลือง จึงใช ้ปื นยิง
ดําตาย ม่วงผิดฐานฆ่าดําตายโดยเจตนา
8. เขียวต ้องการล ้อให ้ม่วงตกใจ จึงหยิบปื นเด็กเล่นขึนมาทําท่าจะยิงเขียว ม่วงเข ้าใจผิดว่าเขียวจะฆ่า
ตน ม่วงจึงหยิบปื นของตนมายิงเขียวตาย ม่วงไม่มค ี วามผิดฐานฆ่าเขียวตายโดยเจตนาโดยถือว่าเป็น
การป้องก ันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสําค ัญผิด
9. ฟ้ าหยิบปื นขึนมาเช็ดถูทําความสะอาดโดยไม่ตรวจดูให ้ดีวา่ มีลก ู กระสุนหลงอยูใ่ นกระบอกปื นหรือไม่
ความจริงปรากฏว่ามีลก ู กระสุนหลงอยูห ่ นึงลูก กระสุนลันไปถูกเหลืองซึงนั งอยูใ่ กล ้ๆตาย ฟ้ามีความผิดฐาน
ฆ่าคนตายโดยประมาท
10. แม ้ผู ้กระทําไม่เจตนาและไม่ประมาทบางกรณีผู ้กระทําอาจต ้องรับผิดในทางอาญา หากมีกฎหมาย
บ ัญญ ัติไว้ด ังกล่าวอย่างชดแจ้ ั ง
11. ม่วงบอกให ้ดําส่งทรัพย์ของฟ้ าให ้แก่มว่ งโดยหลอกว่าเป็ นทรัพย์ของม่วงเอง ดําหลงเชือจึงส่งทรัพย์
ของฟ้ าให ้แก่มว่ ง ม่วงเป็นผูก ้ ระทําผิดฐานล ักทร ัพย์ของฟ้าโดยทางอ้อม
12. นิตบ ิ ค ุ คลต ้องรับผิดในทางอาญาแต่โทษทีจะลงมีได ้ เฉพาะโทษปร ับและริบทร ัพย์สน ิ
ิ ิ
13. แดงตังใจจะขายนาฬกาของตนให ้แก่ขาว แดงหยิบนาฬกาของเหลืองซึงยีห ้อเดียวกันและลักษณะ
เดียวกันขายให ้แก่ขาว โดยแดงเข ้าใจว่าเป็ นนาฬกาของตนเอง ิ แดงไม่ผ ิดฐานล ักทร ัพย์เพราะไม่มเี จตนา
เนืองจากไม่รวู ้ า ิ ิ
่ นาฬกานาฬกาเป็นของเหลืองแต่เข้าใจผิดว่าเป็นของตนเอง
14. การใช ้ปื นยิงโดยตังใจยิงไปยังบริเวณอวัยวะสําคัญของผู ้เสียหายถือว่า ผู ้กระทํามีเจตนาฆ่าเสมอ
15. เจตนาเล็งเห็นผลหมายความว่า เล็ งเห็นว่าผลจะเกิดอย่างแน่นอน
16. หลักสําคัญทีสุดประการหนึงของการกระทําโดยพลาดตาม ปอ. มาตรา 60 คือ ผูเ้ สย ี หายต้องมีสอง
ฝ่ายขึนไป
17. เหลืองต ้องการลักปากกาของเขียว เหลืองเห็นปากกาของดําวางอยูบ ่ นโต๊ะทํางานของเขียว เหลือง
เข ้าใจผิดว่าเป็ นของเขียว เหลืองจึงหยิบเอาปากกาของดํามาเป็ นของตน เหลืองผิดฐานล ักทร ัพย์ดําโดย
เจตนา

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


27

18. ฟ้ าและเหลืองมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน วันหนึงฟ้ ามึนเมามาก เมือพบเหลืองฟ้ าแกล ้งเอามือ


ล ้วงกระเป๋ าจะหยิบปื นมายิงเหลือง เหลืองเข ้าใจว่าฟ้ าจะยิงตนจึงใช ้ปื นยิงฟ้ าตาย ความจริงฟ้ าไม่มป
ี ื นติดตัว
มาเลย เหลืองไม่มค ี วามผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยถือว่าเป็นการป้องก ันโดยชอบด้วย
กฎหมายโดยสา ํ ค ัญผิด
19. ขาวขับรถด ้วยความเร็วสูงไปตามถนนทีมีคนสัญจรไปมา รถของขาวชนดําตาย ขาวผิดฐานฆ่าดํา
ตายโดยประมาท
20. องค์ประกอบภายในของความผิดแต่ละฐานหมายความว่า บางกรณีแม้ไม่เจตนาไม่ประมาทบุคคล
ก็ อาจต้องร ับผิดทางอาญาได้ หากมีกฎหมายบ ัญญ ัติไว้โดยชดแจ้ ั ง

หน่วยที 6 ความร ับผิดทางอาญา (ต่อ)

1. ความผิดทีต ้องมีผลปรากฏ เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 ผู ้กระทํานั นจะรับผิด


ในผลทีเกิดขึน ก็ตอ ่ เมือผลนันสัมพันธ์กับการกระทําตามหลักในเรืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผล
2. หากผลทีเกิดขึนไม่สม ั พันธ์กบ
ั การกระทําตามหลักในเรืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผล
ผู ้กระทําไม่ต ้องรับผิดในผลทีเกิดขึน แต่ต ้องรับผิดเท่าทีได ้กระทําไปแล ้วก่อนทีจะเกิดผลนัน เช่นถ ้าเป็ น
ความผิดฐานฆ่าคนตาย ตาม ปอ. มาตรา 288 ผู ้กระทําก็อาจต ้องรับผิดฐานพยายามฆ่าตาม ปอ. มาตรา 288
ประกอบกับมาตรา 80 เป็ นต ้น

ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผล
6.1 ความสมพ
1. ความผิดทีต ้องมีผลแยกออกจากการกระทํา หรือทีเรียกกันว่า ความผิดทีต ้องมีผลปรากฏ เช่น
ความผิดฐานฆ่าคนตาย ตาม ปอ. มาตรา 288 นัน หากมีผลคือความตายของผู ้กระทําเกิดขึน ผู ้กระทําจะต ้อง
รับผิดฐานฆ่าคนตายก็ตอ ่ เมือความตายนันสัมพันธ์กับการกระทําของผู ้กระทําตามหลักในเรืองความสัมพันธ์
ระหว่างการกระทําและผล หากความตายนั นไม่สม ั พันธ์กับการกระทําของผู ้กระทํา ตามหลักในเรือง
ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําแล ้วผู ้กระทําก็ไม่ต ้องรับผิดในความตายนัน แต่อาจต ้องรับผิดในการกระทํา
ของตนก่อนเกิดผลนัน เช่น รับผิดฐานพยายามฆ่า เป็ นต ้น
2. ผู ้กระทําจะต ้องรับผิดในผลนัน ผากผลนันเป็ นผล “ผลโดยตรง” หากไม่ใช่ “ผลโดยตรง” ก็ไม่ต ้องรับ
ผิดในผลนั น
“ผลโดยตรง” คือผลตาม “ทฤษฎีเงือนไข” ซึงมีหลักว่า “ถ ้าไม่มก ี ารกระทําผลไม่เกิดถือว่า ผลเกิด
จากการกระทํานัน แม ้ผลนันจะเกิดขึนได ้ ต ้องมีเหตุอนๆ ื ร่วมด ้วยก็ตาม”
3. ถ ้า “ผลโดยตรง” เกิดจาก “เหตุแทรกแซง” ผู ้กระทําจะต ้องรับผิดในผลนันก็ตอ ่ เมือ ผลนั นเกิดจาก
“เหตุแทรกแซง” ทีคาดหมายได ้ในการวินจ ิ ฉั ยว่าคาดหมายได ้หรือไม่ ต ้องใช ้มาตรฐานของวิญ ช ู น
“เหตุแทรกแซง” ที “คาดหมายได ้” คือเหตุตาม “ทฤษฎีเหตุทเหมาะสม” ี นั นเอง
4. ในกรณีทผลของการกระทํ
ี า ทําให ้ผู ้กระทําต ้อรับโทษหนั กขึน ผู ้กระทําจะต ้องรับผิดในผลนั นก็
ต่อเมือ เป็ นทัง “ผลโดยตรง” และผลธรรมดา
“ผลธรรมดา” คือผลตาม “ทฤษฎีเหตุทเหมาะสม” ี กล่าวคือเป็ นผลทีผู ้กระทําสามารถ “คาดเห็น”
ความเป็ นไปได ้ของผลนัน การวินจ ิ ฉั ยความสามารถในการคาดเห็นใช ้มาตรฐานของวิญ ช ู น

6.1.1 หล ักทวไปเกีั ยวก ับความสมพั ันธ์ระหว่างการกระทําและผล


จงอธิบายหลักทัวไปเกียวกับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผล
หล ักทวไปคื
ั อ หากผลนนเป ั ็ น “ผลโดยตรง” ผูก ้ ระทําต้องร ับผิดในผลนน ั หากไม่ใช่ “ผล
โดยตรง” ก็ ไม่ตอ ้ งร ับผิดชอบ
ในกรณีท ี “ผลโดยตรง” นนเกิ ั ดจาก “เหตุแทรกแซง” ผูก ้ ระทําจะร ับผิดในผลนนก็
ั ตอ่ เมือ “
เหตุแทรกแซง” นนวิ ั ญ ูชนคาดหมายได้ หากคาดหมายไม่ได้ก็ตอ ้ งร ับผิด
ในกรณีทผลของการกระทํ
ี าความผิด ทําให้ผก ู ้ ระทําต้องร ับโทษหน ักขึน ผ฿◌้กระทําจะต้อง
ร ับผิดในผลนน ั ก็ ตอ ่ เมือผลนนเป
ั ็ นทงั “ผลโดยตรง” และ “ผลธรรมดา” หากเป็นผลผิดปกติธรรมดา
ก็ ไม่ตอ
้ งร ับผิดในผลนนแต่ ั อย่างใด

ประมวลกฎหมายอาญาได ้บัญญัตห
ิ ลักในเรืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลไว ้อย่างไรบ ้าง
หรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญา มิได้บ ัญญ ัติหล ักทวไปในเรื
ั อง “ผลโดยตรง” ไว้แต่อย่างใดเพียงแต่
บ ัญญ ัติไว้ใน ปอ. มาตรา 63 ว่า “ถ้าผลของการกระทําความผิดใดทําให้ผกู ้ ระทําต้องร ับโทษหน ัก
ขึน ผลของการกระทําความผิดนนต้ ั องเป็นผลทีตามธรรมดาย่อมเกิดขึนได้” ตาม ปอ. มาตรา 63
คือหล ัก “ผลธรรมดา” นนเอง

6.1.2 “ผลโดยตรง”

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


28

ผลโดยตรง ตามทฤษฎีเงือนไขหมายความว่าอย่างไร
ผลโดยตรงตามทฤษฎีเงือนไขคือ ผลทีเกิดขึนตามหลักของทฤษฎีเงือนไขทีว่า “ถ ้าไม่มก ี ารกระทํา
(ของจําเลย) ผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทํา (ของจําเลย) นั น แม ้ว่า ผลนันจะเกิดขึนได ้ จะต ้องมีเหตุ
อืนๆ ในการก่อให ้เกิดผลนันขึนด ้วย ก็ตาม แต่ถ ้าไม่มก
ี ารกระทํา (ของจําเลย) นั นแล ้ว ผลก็ยังเกิดขึน เช่นนี
จะถือว่า ผลนั นเกิดจากการกระทํา (ของจําเลย)ไม่ได ้

หากผู ้กระทําไม่เจตนา และไม่ประมาทในการกระทําความผอดนั น และความผิดนั นก็ไม่ใช่ความผิด


โดยเด็ดขาด (ความผิดโดยเด็ดขาดหมายความว่าไม่เจตนาและไม่ประมาทก็มค ี วามผิด) ในกรณีเช่นนี
จะต ้องพิจารณาเรือง “ผลโดยตรง” ตามทฤษฎีทมี ี เงือนไข หรือไม่
หากผูก ้ ระทําไม่มเี จตนากระทําความผิดและก็ ไม่ได้ประมาทในการก่อให้เกิดผลนนขึ ั น และ
กรณีก็ไม่ใชค ่ วามผิดโดยเด็ดขาด เชน ่ นี ไม่ตอ ้ งพิจารณาเลยว่าผลทีเกิดขึนนนเป ั ็ น “ผลโดยตรง”
ตามทฤษฎีเงือนไขหรือไม่ เพราะถือว่าขาดองค์ประกอบภายใน มาตงแต่ ั แรกแล้ว
ต ัวอย่าง
แดงข ับรถไปตามถนนด้วยความระม ัดระว ัง ดําวิงต ัดหน้ารถ โดยกระชนช ั ด ิ รถของแดงชน
ดํา ดําตายในกรณีเชน ่ นีไม่ตอ
้ งพิจารณาเลยว่าความตายของดําเป็นผลโดยตรง จากการกระทํา
ของแดง ตามทฤษฎีเงือนไขหรือไม่ ทงนี ั เพราะเมือแดงไม่ประมาทตาม ปอ. มาตรา 59 วรรค 4 ก็ ถอ ื
ว่าขาด “องค์ประกอบภายใน” เสย ี แล้วจึงไม่ตอ ้ งพิจารณาประเด็ น เรืองความสมพ ั ันธ์ระหว่างการ
กระทํา และผลอีกต่อไป เพราะถือว่าไม่ประมาทเสย ี แล้ว ก็ ไม่มท
ี างทีจะร ับผิดชอบตามมาตรา 291
ได้เลย ในทางตรงก ันข้ามหากแดงประมาท กล่าวคือข ับรถเร็วและดําต ัดหน้าโดยกระชนช ั ดิ รถของ
แดงชนดําตาย เชน ่ นี ถือว่าแดงแระมาท ตามมาตรา 59 วรรค 1 จึงครบ “องค์ประกอบภายใน” ของ
ความผิดตาม ปอ. มาตรา 291 ประเด็นทีจะต้องพิจารณาต่อไปคือ ความตายของดํา “เป็นผล
โดยตรง” จากการกระทําโดยประมาทของแดงหรือไม่

ึ ดจากเหตุแทรกแซง
6.1.3 “ผลโดยตรง” ซงเกิ
ทฤษฎีเหตุทเหมาะสมหมายความว่
ี าอย่างไร
หมายความว่าเหตุนนเหมาะสมเพี
ั ยงพอตามปกติทจะก่
ี อให้เกิดผลอ ันเป็นความผิดขึน
หรือไม่ หากเหมาะสมผูก้ ระทําต้องร ับผิดในผลอ ันนน
ั หากไม่เหมาะสมก็ ไม่ตอ้ งร ับผิด

ในกรณีใดทีจะต ้องใช ้ทฤษฎีเหตุทเหมาะสมแทนทฤษฎี


ี เงือนไข และมีหลักเกณฑ์ในการใช ้ทฤษฎี
เหตุทเหมาะสมอย่
ี างไร
โดยหล ักแล้วต้องใชท ้ ฤษฎีเงือนไข วินจ
ิ ฉัยความร ับผิดของผูก ้ ระทําต่อผลทีเกิดขึนเสมอ
แต่ในกรณีทผลน ี นเกิ
ั ดจากเหตุแทรกแซง ซงเป ึ ็ นเหตุการณ์ทเกิ ี ดขึนใหม่ หล ังจากการกระทําของ
ผูก
้ ระทํา จะต้องใชท ้ ฤษฎีเหตุผลทีเหมาะสมแทนทฤษฎีเงือนไข ในการใชท ้ ฤษฎีเหตุทเหมาะสมน
ี นั
ให้พจิ ารณาเหตุแทรกแซงนนเป ั ็ นเหตุทคาดหมายได้
ี หรือไม่ หากคาดหมายได้ก็ถอ ื การกระทําใน
ตอนแรกนนเหมาะสมเพี
ั ยงพอตามปกติทจะก่ ี อให้เกิดผลในบนปลายขึ
ั น ผูก ้ ระทําต้องร ับผิดในผล
บนปลาย
ั แต่ถา้ เหตุแทรกแซงนนเป ั ็ นเหตุทคาดหมายไม่
ี ได้วา
่ จะเกิดอะไรขึน แรกก็ถอ ื ว่าการกระทํา
ในตอนแรกนนไม่ ั เหมาะสมเพียงพอตามปกติทจะก่ ี อให้เกิดผลในบนปลายขึ
ั น ผูก
้ ระทําไม่ตอ้ งร ับผิด
ในผลบนปลาย
ั แต่ร ับผิดเฉพาะเพียงเท่าทีตนได้กระทําไปแล้ว

ดําทําร ้ายม่วงบาดเจ็บ ม่วงนอนหลับหมดสติอยู่ ปรากฏว่าในเวลาต่อมามีงพ ู ษ


ิ เลือยมากัดม่วงตาย
เช่นนี ดําจะต ้องรับผิดชอบอย่างไร
หากใชท ้ ฤษฎีเงือนไข ดําต้องร ับผิดฐานฆ่าม่วงตายโดยไม่เจตนาเพราะความตายของม่วง
สมพั ันธ์ก ับการทําร้ายของดําตามทฤษฎีเงือนไข (ถ้าดําไม่ทําร้ายม่วง ม่วงก็ จะไม่นอนหมดสติและ
ถูกงูก ัดตาย ) แต่มว ่ งมิได้ตายเพราะการทีถูกดําทําร้าย แต่ตายเพราะงูถก ู จึงต้องถือว่าการทีถูกงู

ก ัดซงเป็นเหตุการณ์ทเกิ ี ดขึนหล ังจากทีดําทําร้ายม่วงแล้ว และเป็นเหตุให้มว่ งตายนนเป ั ็ นเหตุแทรก
จึงต้องใชท ้ ฤษฎีเหตุทเหมาะสมแทนทฤษฎี
ี เงือนไข ในกรณีนถืี อว่าเป็นเหตุแทรกแซงทีคาดหมาย
ไม่ได้ ดําจึงไม่ตอ ้ งร ับผิดฐานฆ่าม่วงตายโดยไม่เจตนา ตาม ปอ. มาตรา 290 เพราะความตายของ
ม่วงไม่สมพั ันธ์ก ับการกระทําของดําตามทฤษฎีเหตุทเหมาะสม ี อย่างไรก็ ตาม หากสถานทีซงดํ ึ าทํา
ร้ายม่วงนนเปั ็ นป่าทึบและมีงพ ู ษ
ิ อยูช
่ ุกชุมการทีงูพษ ึ
ิ เลือยมาก ัดม่วงซงนอนหมดสติ อยูอ
่ าจถือว่าเป็น
เหตุแทรกแซงทีคาดหมายได้ก็ได้ ซงมี ึ ผลทําให้ดําต้องร ับผิดฐานฆ่าม่วงตายโดยไม่เจตนา (ไม่ผด ิ
ฐานฆ่าม่วงตายโดยเจตนาตาม ปอ. มาตรา 288 เพราะดําไม่มเี จตนาฆ่าม่วงในตอนแรก เจตนาใน
ตอนแรกมีเจตนา “ทําร้าย” เท่านน ั )

เหลืองทําร ้ายเขียวบาดเจ็บ เขียวไม่ยอมรักษาบาดแผล ปล่อยให ้แผลสกปกเป็ นหนองและเกิดเป็ น


พิษขึน เขียวถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เหลืองมีความผิดอย่างไร

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


29

หากใชท ้ ฤษฎีเงือนไข เหลืองต้องมีความผิดฐานฆ่าเขียวตายโดยไม่เจตนา ตามมาตรา 290


เพราะความตายของเขียวสมพ ั ันธ์ก ับการทําร้ายของเหลืองตามทฤษฎีเงือนไข
แต่เขียวไม่ได้ตายเพราะการทําร้ายของเหลืองโดยตรง เขียวตายเพราะบาดแผลทีถูกทํา

ร้ายเน่าเป็นพิษอ ันสบเนืองมาจากการทีเขียวร ักษาบาดแผลไม่ด ี จึงต้องถือว่าการทีเขียวร ักษา
บาดแผลไม่ดเี ป็นเหตุแทรกแซง ในกรณีเชน ้ ฤษฎีเหตุทเหมาะสม
่ นีจึงต้องใชท ี ึ จะเห็นได้วา
ซงก็ ่ การ
ทีผูถ
้ ูกทําร้ายไม่ยอมร ักษาบาดแผลนนไม่ ั ใชส ่ งผิดปกติ
ิ ธรรมดา เหตุแทรกแซงด ังกล่าวจึงจึงถือว่า
คาดหมายได้ ผูก ้ ระทําต้องร ับผิดในผลสุดท้ายทีเกิดขึน กล่าวคือ ร ับผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
ตาม ปอ. มาตรา 290

6.1.4 “ผลธรรมดา”
ในกรณีใดทีจะต ้องใช ้หลัก “ผลธรรมดา” วินจิ ฉั ยความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผล
ในการวินจ
ิ ฉั ยว่าผลทีเกิดขึนเป็ นผลธรรมดาหรือไม่นัน ต ้องใช ้มาตรฐานของผู ้ใดเป็ นหลักในการ
พิจารณา
ในกรณีทผลของการกระทํ
ี าความผิดจะทําให้ผก ่ นี
ู ้ ระทําต้องร ับโทษหน ักขึนในกรณีเชน
ผูก
้ ระทําจะต้องร ับโทษหน ักขึนเฉพาะเมือผลทีเกิดขึนนนเป ั ็ น ผลธรรมดาของการกระทําความผิดใน
ตอนแรก หากเป็นผลผิดธรรมดา ผูก
้ ระทําก็ ไม่ตอ
้ งร ับโทษหน ักขึนแต่ร ับโทษเฉพาะเท่านนทีั ได้
กระทําไปโดยเจตนาในตอนแรก ในการวิจ ัยผลธรรมดานนต้ ั องใชม ้ าตรฐานของวิญ ูชนเป็นหล ัก

ม่วงวางเพลิงเผาบ ้านของแดงในขณะทีแดงไปพักผ่อนต่างจังหวัดปรากฏว่าไฟคลอดเหลืองเพือของ
แดงซึงแอบมานอนพักอยูต ่ าย เช่นนี ม่วงต ้องรับผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์เป็ นเหตุให ้คนตายหรือไม่
หากปรากฏว่าม่วงวางเพลิงเผาโกดังเก็บสินค ้าของแดงทีทิงไว ้รกร ้างว่างเปล่า ในทีเปลียวไม่มผ ี ู ้คน
อยูอ่ าศัย แต่เหลืองซึงหลงทางมาและแอบเข ้าไปนอนพักอยูถ ่ กู ไฟคลอกตาย เช่นนี ม่วงจะมีความผิดฐาน
วางเพลิงเผาทรัพย์เป็ นเหตุให ้คนตายหรือไม่
ม่วงต้องร ับผิดฐานวางเพลิงเผาทร ัพย์เป็นเหตุให้คนตายตาม ปอ. มาตรา 224 ซงมี ึ โทษ
หน ักกว่ามาตรา 214 (1) เพราะความตายของแดงซงเป ึ ็ นผลทีทําให้มว่ งต้องร ับโทษตามมาตรา
224 ซงหน ึ ักกว่าโทษตามมาตรา 218 (1) นน ั เป็นผลธรรมดาของการวางเพลิงเผาบ้าน
ในกรณีหล ัง ม่วงผิดเพียงฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนอ ันเป็นทีเก็ บสน ิ ค้าตาม ปอ. มาตรา 218
(2) เท่านน ั แต่ไม่ผ ิดฐานวางเพลิงเผาทร ัพย์เป็นเหตุให้คนตายตาม ปอ. มาตรา 224 เพราะความ
ตายของเหลืองไมใชผ ่ ลธรรมดาจากการวางเพลิงเผาโรงเรือนเก็บสน ิ ค้าซงทิ
ึ งไว้รกร้างในสถานที

ซงไม่ มผ ี ค
ู ้ นอยูอ ั
่ าศยในล ักษณะเชน ่ นน

ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผลในความผิดบางมาตรา
6.2 ปัญหาความสมพ
1. ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตาม ปอ. มาตรา 290 ผู ้กระทําไม่มเี จตนาฆ่าแต่มเี จตนาทํา
ร ้าย และการทําร ้ายนั นเป็ นเหตุให ้ผู ้อืนถึงแก่ความตาย ปั ญหาในเรืองสันพันธ์ระหว่างการทําร ้ายและความตาย
นั น มีความเห็นอยู่ 2 แนว ความเห็นแรกถือว่าต ้องใช ้หลักผลธรรมดาตามมาตรา 63 เพราะถือว่าผลคือความ
ตายของผู ้ถูกทําร ้าย ทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึนจากการทําร ้ายตามมาตรา 295 หรือมาตรา 391 อีก
ความเห็นหนึงถือว่า ความตายของผู ้ถูกทําร ้ายไม่ใช่ผลทีทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึน จึงไม่ต ้องใช ้หลัก
ผลธรรมดา แต่ใช ้หลัก “ผลโดยตรง” ตามทฤษฎีเงือนไข หากมีเหตุแทรกแซงเกิดขึนก็ใช ้ทฤษฎีเหตุท ี
เหมาะสมเพือดูวา่ คาดหมายได ้หรือไม่
2. ความผิดฐานทําร ้ายร่างกายจนเป็ นเหตุให ้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจตามมาตรา 295 นั น ก็ม ี
ความเห็นอยู่ 2 แนวทางเช่นเดียวกัน ความเห็นแรกถือว่าต ้องใช ้หลักผลธรรมดาตาม มาตรา 63 เพราะถือว่า
ผลคืออันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึนจากการกระทําความผิดตามมาตรา 391
อีกความเห็นหนึงถือว่า อันตรายแก่กายหรือจิตใจไม่ใช่ผลทีทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึน แต่เป็ นผลที
ผู ้กระทําจะต ้องมีเจตนาโดยตรงให ้เกิดผลนันขึน หากมีเจตนาให ้เกิดผลดังกล่าว แต่ผลไม่เกิดก็ผด
ิ ฐาน
พยายาม แต่ถ ้าไม่มรเจตนาจะให ้เกิดผลเป็ นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ แม ้ในบันปลายจะเกิดผลเป็ นอันตราย
แก่กายหรือจิตใจก็อาจเป็ นเรืองของการกระทําโดยประมาทมิใช่เจตนา

6.2.1 ความสมพ ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผลในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา


ในการวินจ
ิ ฉั ยความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลในส่วนในส่วนทีเกียวกับความผิดฐานฆ่าคนตาย
โดยไม่เจตนา ตาม มาตรา 290 มีแนวความคิดอย่างไรบ ้าง
มีสองความเห็นคือ ความเห็นแรก ถือ มาตรา 290 เป็นบทหน ักของมาตรา 295 หรือมาตรา
391 จึงต้องใชห ้ ล ักผลธรรมดาเป็นหล ักในการวินจ ึ
ิ ฉ ัย ซงหมายความว่ าหากความตายไม่ใชผ ่ ล
ธรรมดาจากการกระทําความผิดตามมาตรา 295 หรือมาตรา 391 ผูก ้ ระทําก็ผ ิดเพียง มาตรา 295
หรือมาตรา 391 แล้วแต่กรณี แต่ถา้ ความตายเป็นผลธรรมดา ผูก ้ ระทําความผิดตามมาตรา 290
่ นอีกความเห็นหนึงถือว่า มาตรา 290 มิใชบ
สว ่ ทหน ักของมาตรา 295 หรือมาตรา 391 จึงไม่ใชห ่ ล ัก

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


30

ผลธรรมดาแต่ใชห ้ ล ัก “ผลโดยตรง” ตามทฤษฎีเงือนไข และหากมีเหตุแทรกแซงก็ ใชท


้ ฤษฎีเหตุท ี
เหมาะสมวินจ
ิ ฉัยว่า เหตุแทรกแซงนนคาดหมายได้
ั หรือไม่นนเอง

เขียวโกรธแดงจึงหยิกแดงมีบาดแผลเป็ นรอยชําและเลือดออกเล็กน ้อย แดงรักษาไม่ดเี ชือบาดทะยัก


เข ้าแผล แดงตาย เขียวจะมีความผิดฐานใด
หากถือตามความเห็นทีว่า ต้องใชห ้ ล ักผลธรรมดาก ับ มาตรา 290 เขียวก็ ไม่มค ี วามผิดฐาน
ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามมาตรา 290 เพราะถือว่าความตายของแดงไม่ใชผ ่ ลธรรมดาจากการ
กระทําความผิด ตามมาตรา 391 เขียวจึงผิดตามมาตรา 391 เท่านน ั แต่ถา้ ถือตามความเห็นที 2 ซงึ
ไม่ใชห ่ ล ักผลธรรมดา เขียวก็ ผ ิดตามมาตรา 290 เพราะเหตุแทรกแซงคือการทีแดงร ักษาบาดแผล
ไม่ดน ี นถื
ั อว่าคาดหมายได้ เขียวจึงต้องร ับผิดชอบในความตายของของแดงตามมาตรา 290

6.2.2 ความสมพ ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผลในความผิดฐานทําร้ายร่างกาย


ในการวินจิ ฉั ยความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลในความผิดฐานทําร ้ายร่างกายตาม ปอ. มาตรา
295 มีแนวคิดในการวินจ ิ ฉั ยอย่างไร
มี 2 ความเห็น ความเห็นแรกถือว่าต้องใชห ้ ล ักธรรมผลธรรมดาตามมาตรา 63 เพราะมาตรา
295 เป็นบทหน ักของมาตรา 391 แต่ความเห็นที 2 ถือว่าจะใชห ้ ล ักผลธรรมดาไม่ได้เพราะ มาตรา
295 มิใชบ่ ทหน ักของมาตรา 391 เนืองจากการทําร้ายตามมาตรา 295 และการใชก ้ ําล ังทําร้ายตาม
มาตรา 391 ไม่เหมือนก ันเพราะการทําร้ายตามมาตรา 295 ไม่ตอ ้ งมีการใชก ้ ําล ัง สว ่ นการทําร้าย
ตามมาตรา 391 ต้องมีการใชก ้ ําล ังด้วยเหตุน ี มาตรา 295 จึงมิใชบ ่ ทหน ักของมาตรา 391 จึงนํา
หล ักผลธรรมดาตามมาตรา 63 มาใชไ้ ม่ได้

แดงโกรธดําจึงหยิกดําทีแขน ปรากฏว่าเกิดรอยชําแดงและเลือดออกเล็กน ้อย ดํารักษาแผลไม่ด ี ทํา


ให ้แผลลุกลามเกิดเป็ นอันตรายแก่กาย แดงจะมีความผิดอย่างใด
หากถือตามความเห็นแรกก็ ตอ ้ งพิจารณาว่า ผลคืออ ันตรายแก่กายหรือจิตใจนนเปั ็ นผล
ธรรมดาตามมาตรา 63 ของการใชก ้ ําล ังทําร้ายไม่ถงึ ก ับเป็นเหตุให้เกิดอ ันตรายแก่กายหรือจิตใจ
หรือไม่ หากเป็นผลธรรมดา แดงผิดตามมาตรา 295 หากไม่ใชผ ่ ลธรรมดาก็ ไม่ผด ิ ตามมาตรา 295
แต่ผ ิดตามมาตรา 391
ตามความเห็นทีสอง ถือว่าแดงไม่ผ ิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอ ันตรายแก่กาย
หรือจิตใจตามมาตรา 295 เพราะแดงไม่มเี จตนาทีจะให้เกิดผลด ังกล่าวขึนเลยแต่แดงอาจผิดฐาน
ทําร้ายร่างกายโดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดอ ันตรายหรือจิตใจตามมาตรา 390 ได้ ในกรณีนจะนํ ี า
เรืองเหตุแทรกแซงตามทฤษฎีเหตุทเหมาะสมมาปร
ี ับโดยถือว่าการทีดําร ักษาบาดแผลไม่ด ี เป็นเหตุ
แทรกแซงทีคาดหมายได้ และแดงต้องร ับผิดตามมาตรา 295 นนไม่ ั ได้ เพราะความผิดตามมาตรา
295 ผูก ้ ระทําต้องมีเจตนาต่อผล (หากไม่เกิดก็ผด ิ ฐานพยายาม) หากเขาไม่มเี จตนาต่อผลจะให้เขา
ต้องร ับผิดในผลนนไม่ั ได้ ทงนี
ั ต่างจากกรณีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290

ซงความตายเป ็ นผลทีผูก
้ ระทําไม่เจตนาเลย เพราะฉะนนหากความตายเกิ
ั ดขึนจากเหตุแทรกแซงที
ผูก
้ ระทําคาดหมายได้ตามทฤษฎีเหตุทเหมาะสม ี ผูก
้ ระทําก็ตอ ้ งมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่
เจตนา

แบบประเมินผล หน่วยที 6 ความร ับผิดทางอาญา (ต่อ)

1. เขียวยิงฟ้ าบาดเจ็บสาหัส มีผู ้นํ าฟ้ าไปส่งรงพยาบาล แต่ฟ้าทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงแก่ความตาย


เสียก่อนถึงโรงพยาบาล เขียวผิดฐานฆ่าฟ้าตายโดยเจตนา เพราะหากเขียวไม่ยงิ ฟ้า ฟ้าก็ จะไม่ตาย
2. แดงขับรถไปตามถนนด ้วยความเร็วสูง ดําวิงตัดหน ้าโดยกระชันชิด รถของแดงชนดําตาย แดงพิสจ ู น์
ได ้ว่าแม ้ไม่ขับเร็ว รถก็ต ้องชนดําตายอยูน
่ ั นเอง เพราะดําวิงตัดหน ้าโดยกระชันชิด แดงไม่ตอ ้ งร ับผิดฐาน
ทําให้ดําตายโดยประมาท เพราะความตายของดําไม่ใช่ “ผลโดยตรง” จากการกระทําโดยประมาท
ของแดง
3. ขาวและเหลืองต่างคนต่างต ้องการให ้ดําตาย จึงต่างหลอกให ้ดํากินขนมผสมยาพิษ ซึงต ้องกินขนาด
6 แกรมจึงจะตาย ยาพิษทีขาวให ้แก่ดํามีจํานวน 3 แกรม ดํากินยาพิษทีขาวและเหลืองให ้ปรากฏว่าดําตาย
ขาวและเหลืองร ับผิดฐานฆ่าดําตายโดยเจตนาเพราะความตายเป็น “ผลโดยตรง” จากการกระทํา
ของแต่ละคน
4. แดงไล่ยงิ ขาว ขาววิงหนีไปหลบอยูใ่ ต ้ต ้นไม ้ใหญ่ตอ ่ มามีฝนตกหนั ก ฟ้ าผ่าต ้นไม ้และขาวตายด ้วย
แดงมีความผิดฐานพยายามฆ่า เพราะความตายของขาวไม่สมพ ั ันธ์ก ับการกระทําของแดงตามหล ักใน
เรืองความสมพ ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผล
5. เขียวทําร ้ายขาวบาดเจ็บ ขาวรักษาบาดแผลไม่ดเี ชือบาดทะยักเข ้าแผลทําให ้ขาวตาย เขียวผิดฐาน
ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


31

6. เขียววางเพลิงเผาบ ้านของเหลืองในขณะทีเหลืองไม่อยูบ ่ ้าน ปรากฏว่า แดงซึงเป็ นเพือนของเหลือง


และนอนอยูใ่ นบ ้านหลังนั นโดยทีเขียวไม ้รู ้ ถูกไฟคลอกตาย เขียวผิดฐานวางเพลิงเผาทร ัพย์เป็นเหตุให้
คนตาย
7. ดําวางเพลิงเผาโกดังเก็บสินค ้าของเหลืองซึงปล่อยทิงร ้างไว ้ในทีรก ปรากฏว่าไฟคลอกเขียวซึงแอบ
มานอนในโกดังตายด ้วย ดําผิดฐานวางเพลิงเผาทร ัพย์โดยเจตนาเท่านน ั
8. เหลืองตังใจต่อยขาวทีบริเวณหน ้าท ้อง แต่ขาวก ้มตัวลง ขาวจึงถูกต่อยทีลูกตาข ้างซ ้ายเป็ นรอยบวม
ชําต่อมาอีก 5 วันตาบอด เหลืองผิดฐานทําร ้ายร่างกายขาวรับอันตรายสาหัส (ตาบอด) ตาม ปอ.มาตรา 297
เพราะการทีตาบอดเป็ นผลธรรมดาจากการทําร ้ายในลักษณะดังกล่าว
9. หากผลของการกระทําความผิดทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึน ผลนนต้
ั องเป็นทงั ”ผล
โดยตรง” และ”ผลธรรมดา”
10. ในกรณีทมี ี เหตุแทรกแซงผู ้กระทําไม่ต ้องรับผิดในผลทีเกิดขึน หากเป็นเหตุแทรกแซงที
คาดหมายไม่ได้
11. เหลืองยิงฟ้ าบาดเจ็บสาหัส ฟ้ านอนหมดสติอยูไ่ ด ้สักครู่ก็ถงึ แก่ความตาย เหลืองมีความผิดฐาน ฆ่า
คนตายโดยเจตนา
12. หากผลของการกระทําเกิดจากเหตุอนๆด ื ้วย แต่ถ ้าไม่มกี ารกระทําของผู ้กระทําแล ้วผลจะไม่เกิดขึน
เลย ผูก ้ ระทําต้องร ับผิดในผลนน ั
13. ในกรณีทผลเกิ ี ดจากเหตุแทรกแซงทีเป็ นเหตุการณ์ธรรมชาติ ผูก ้ ระทําไม่ตอ
้ งร ับผิดในผลนนหากั
เหตุแทรกแซงนนคาดหมายไม่
ั ได้
14. หากผู ้ถูกทําร ้ายรักษาบาดแผลทีทําร ้ายไม่ด ี และมีผลทําให ้ผู ้ถูกทําร ้ายตาย ผูก ้ ระทํามีความผิด
ฐานฆ่าคนตายโดยไม่มเี จตนา
15. หากความตายเป็ นผลธรรมดาจากการวางเพลิงเผาทรัพย์ ผูก
้ ระทํามีความผิดฐานวางเพลิงเผา
ทร ัพย์เป็นเหตุให้คนตาย
16. หากความตายไม่ใช่ผลธรรมดาจากการวางเพลิงเผาทรัพย์ ผูก ้ ระทําไม่ผ ิดฐานวางเพลิงเผาทร ัพย์
เป็นเหตุให้คนตาย
17. ผู ้กระทําความผิดฐานทําร ้ายร่างกายตาม ปอ. มาตรา 295 จะต ้องรับผิดฐานทําร ้ายร่างกายรับ
อันตรายสาหัส ตาม ปอ. มาตรา 297 หากผลตามมาตรา 297 ทีเกิดขึนเป็นทงั “ผลโดยตรง” ตาม
ทฤษฎีเงือนไข และ “ผลธรรมดา “ ตามทฤษฎีเหตุทเหมาะสม ี
18. “ผลธรรมดาตาม ปอ. มาตรา 63 ใช ้ในกรณีท ี ผลของการกระทําความผิดทําให้ผถ ู้ ก
ู กระทําต้อง
ร ับโทษหน ักขึน
19. โดยหลักแล ้วต ้องใช ้ผลโดยตรง ตามทฤษฎีเงือนไขเสมอ แต่บางกรณีต ้องใช ้ทฤษฎีเหตุทเหมาะสม ี
ด ้วย กรณีทมี ี เหตุแทรกแซงเกิดขึน
20. หากเหตุแทรกแซงนั นคาดหมายได ้ว่าจะเกิดขึน ผูก ้ ระทําต้องร ับผิดในผลทีเกิดขึนนน ั

หน่วยที 7 การพยายามกระทําความผิด

1. ความผิดอาญาเริมเมือการกระทํานันถึงขันลงมือกระทําแล ้ว แต่ถ ้าได ้ลงมือกระทําแล ้ว การกระทํานัน


กระทําไปไม่ตลอดหรือการกระทําไปตลอดแล ้วแต่ไม่บรรลุผล ถือว่าเป็ นการพยายามกระทําความผิด ซึง
โดยทัวไปจะมีโทษสองในสามส่วนของความผิดสําเร็จ
2. ความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได ้อย่างแน่แท ้ คือความผิดทีไม่มท ี างกระทําให ้สําเร็จได ้โดยเด็ดขาด
ไม่ใช่โดยบังเอิญ การกพยายามกระทําความผิดทีเป็ นไปไม่ได ้อย่างแน่แท ้ ถือเป็ นการพยายามกระทํา
ความผิดเช่นกัน ซึงผู ้กระทําต ้องระวางโทษไม่เกินกึงหนึงของโทษทีกฎหมายกําหนด
3. การยับยังหรือการกลับใจแก ้ไขการกระทําอันจะยังผลให ้ผู ้กระทําไม่ต ้องรับโทษฐานพยายามนั น
จะต ้องเป็ นการยับยังหรือกลับใจแก ้ไขด ้วยความสมัครใจของผู ้กระทํา มิใช่ถกู กดดันจากภายนอก
4. มีความผิดบางประเภททีไม่มค ี วามผิดฐานพยายาม หรือมีความผิดฐานพยายามแต่ไม่ต ้องรับโทษ
และการพยายามกระทําความผิดซึงมีลักษณะรุนแรง กฎหมายได ้เอาโทษผู ้พยายามกระทําความผิดนันเท่ากับ
การกระทําความผิดสําเร็จ

หล ักทวไปของการพยายามกระทํ
ั าความผิด
่ นลงมื
1. การกระทําจะเริมเป็ นความผิดต่อเมือพ ้นขันตระเตรียมการเข ้าสูข ั อทํา
2. แนวความคิดเรืองการลงมือกระทําความผิดมีหลายแนวแต่ของไทยใช ้อยู่ 2 หลัก คือ หลักความ
ใกล ้ชิดกับผลและหลักการกระทําความผิดทีประกอบไปด ้วยกรรมเดียวหรือหลายกรรม
3. การพยายามกระทําความผิด ผู ้กระทําต ้องมีเจตนากระทําให ้บรรลุผลตามเจตนา แต่ผู ้กระทํา กระทํา
ไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล ้วแต่การกระทํานั นไม่บรรลุผล

การเริมต้นของความผิด

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


32

นั กกฎหมายได ้แยกการกระทําทางอาญาออกเป็ นกีวาระ อะไรบ ้าง และตามปกติจะลงโทษการกระทํา


ทีอยูใ่ นวาระใด
น ักกฎหมายได้แยกการกระทําทางอาญาออกได้เป็น 3 วาระคือ
(1) วาระทางจิตใจ คือ ความคิดทีจะกระทําความผิดและการต ัดสน ิ ใจกระทําความผิด
(2) วาระการเตรียมการ คือ การหาเครืองไม้เครืองมือหรือรวบรวมสงต่ ิ างๆ สําหร ับกระทํา
ความผิด
(3) วาระลงมือกระทํา คือใชเ้ ครืองมือทีหาไว้นนกระทํ
ั าความผิด
ตามปกติแล้วจะลงโทษการกระทําทีอยูใ่ นวาระลงมือกระทําแล้ว เพราะถือว่าเป็นการกระทํา
ทีใกล้ชด ิ ความผิดสาํ เร็จแม้วา่ ความผิดจะสําเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างไรก็ ดบ ี างกรณีการกระทําที
อยูใ่ นวาระตระเตรียมการ ผูก ่
้ ระทําก็อาจได้ร ับโทษเชนก ัน ถ้าเป็นกรณีความผิดทีร้ายแรง เชน่ การ
ตระเตรียมการเพือปลงพระชนม์หรือประทุษร้ายต่อพระมหากษ ัตริย ์ การตระเตรียมการเพือเป็นกบฏ
การตระเตรียมการเพือกระทําความผิดต่อความมนคงของร ั ัฐ

การลงมือกระทําความผิด
ปั จจุบันนีศาลฎีกาของไทยใช ้หลักอะไรในการวินจ ิ ฉั ยเรืองการลงมือกระทําความผิด และหลักนีมี
ข ้อดีข ้อเสียอย่างไร
ปัจจุบ ันนีศาลฎีกาของไทยใชห ้ ล ักความใกล้ชด ิ ก ับผลเป็นหล ักในการวินจ ิ ฉัยเรืองการลงมือ
กระทําความผิดโดยหล ักนีให้ดว ู า่ การทีได้กระทําไปนนใกล้ ั ชดิ ก ับความผิดสา ํ เร็จหรือไม่ ถ้าใกล้ชด ิ
ก็ ถอ
ื ว่าลงมือกระทําความผิดแล้ว
อย่างไรก็ด ี หล ักนีก็ มท ี งข้
ั อดีและข้อเสย ี กล่าวคือ ในข้อดีนน ั หล ักความใกล้ชด ิ ก ับผลนี
สะดวกดีทสามารถยื ี ดหยุน ่ ได้ ทําให้ศาลสามารถใชด ้ ล ุ พินจ ิ เป็นเรืองๆว่า การกระทํานนใกล้ ั หรือไกล

ก ับผลสาเร็จ แต่ก็มข ้ เสยคือจะถือว่าการกระทําเพียงใด จึงจะเรียกว่าใกล้ชดก ับความผิดสําเร็จ
ี อ ี ิ
ย่อมต้องแล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ซงแต่ ึ ละคนก็ มค ี วามคิดแตกต่างก ัน ด ังนนหล ั ักนีจึง
ขาดความแน่นอน ทําให้ตอ ้ งอาศยดู ั จากแนวคําพิพากษาฎีกาทีเคยวินจ ิ ฉัยไว้แล้วในเรืองนนๆ ั เป็น
เกณฑ์วา่ แค่ไหนใกล้หรือไกลก ับความผิดสา ํ เร็จ

นั กทฤษฎีได ้พยายามวางหลักเกณฑ์เรืองการลงมือกระทําความผิดไว ้อย่างไร


น ักทฤษฎีได้พยายามวางหล ักเกณฑ์เรืองการลงมือกระทําความผิด โดยแยกพิจารณาว่า
การกระทําความผิดนนประกอบด้ั วยกรรมๆ เดียวหรือหลายกรรม ถ้าการกระทําความผิดประด้วย

กรรมๆเดียว การกระทําใดซงในทางธรรมชาติ เป็นอ ันหนึงอ ันเดียวก ันก ับการกระทําความผิดถือว่า
เป็นการลงมือกระทําความผิดแล้ว เชน ่ ในการฟัน การทีผูก ้ ระทําเงือดาบขึนจะฟัน การเงือดาบขึน
ถือเป็นการกระทําในทางธรรมชาติเชน ่ เดียวก ับการฟันแล้ว ก็ เป็นการลงมือแล้วเป็นต้น สว่ นการ
กระทําประกอบด้วยหลายกรรม ถ้าผูก ้ ระทําได้กระทํากรรมหนึงกรรมใดลงไป หรือกระทํากรรมใด
อ ันเป็นการกระทําในทางธรรมชาติก ับกรรมใดกรรมหนึงด ังกล่าว ก็ถอ
ื ว่าได้ลงมือกระทําความผิด
แล้ว เชน ่ ความผิดฐานชงิ ทร ัพย์ประกอบด้วย 2 กรรม คือล ักทร ัพย์ และใชก ้ ําล ังประทุษร้าย ถ้า
ผูก้ ระทําได้ใชก ้ ําล ังประทุษร้ายแล้ว แม้จะย ังไม่ท ันได้ล ักทร ัพย์ก็ถอื ว่าได้ลงมือชงิ ทร ัพย์แล้ว

หล ักเกณฑ์การพยายามกระทําความผิด
จงบอกหลักเกณฑ์ทวไปของการพยายามกระทํ
ั าความผิด
จากบทบ ัญญ ัติ มาตรา 80 เราสามารถแยกหล ักเกณฑ์การพยายามกระทําความผิดได้เป็น
3 ประการ คือ
(1) ต้องเป็นการกระทําโดยเจตนา
(2) ผูก้ ระทําต้องได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว
(3) กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล

นาย ก กําลังเดินอยูบ
่ ริเวณทีจอดรถของศูนย์การค ้าแห่งหนึง นาย ข ถอยรถออกจากทีจอดรถ ด ้วย
ความรีบร ้อนไม่ทนั เห็นนาย ก รถของนาย ข จึงชนนาย ก ล ้มลง การทีนาย ก แจ ้งความกับเจ ้าหน ้าทีตํารวจว่า
ให ้จับนาย ข มาดําเนินคดีในข ้อหาพยายามฆ่าตนนัน ท่านเห็นว่าถูกต ้องหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 ได้บ ัญญ ัติไว้วา่ “ผูใ้ ดลงมือกระทําความผิด แต่
กระทําไปไม่ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานนไม่ั บรรลุผล ผูน
้ นพยายามกระทํ
ั า
ความผิด” การทีจะถือว่าผูใ้ ดพยายามกระทําความผิดนน ั ต้องปรากฏว่าผูน
้ นมี
ั เจตนากระทําและ
จะต้องได้ ลงมือกระทําแล้ว แต่กระทําไปไม่ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานนไม่ ั
บรรลุผล
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีนาย ข ถอยรถด้วยความรีบร้อน และไม่ท ันเห็นนาย ก จึง
ชนนาย ก ล้มลงนน ั เห็นว่าการกระทําของนาย ข เป็นการกระทําโดยประมาท หรือขาดความ
ึ คคลในภาวะเชน
ระม ัดระว ังซงบุ ่ นนจะพึงมี
ั ั
ตามวิสยและพฤติ การณ์ การทีนาย ก ไปแจ้งความก ับ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


33

เจ้าหน้าทีตํารวจว่า นาย ข พยายามฆ่าตนนนไม่ ั ถก


ู ต้องเพราะจะมีการพยายามกระทําความผิดได้ก็
ต่อเมือเป็นกรณีมเี จตนาเท่านน ั เพราะเจตนาถือเป็นหล ักเกณฑ์สําค ัญในเรืองของการพยายาม
กระทําความผิด เมือผูก ้ ระทําคือ นาย ข ผิดฐานพยายามฆ่านาย ก แต่อาจเป็นความผิดฐานอืน

การพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
1. กรณีทจะเป็
ี นการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได ้อย่างแน่แท ้ตามมาตรา 81 ได ้
จะต ้องผ่านหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 ด ้วย
2. แม ้การกระทําบางอย่างจะไม่สามารถบรรลุผลได ้อย่างแน่แท ้ แต่เมือการกระทํานันมุง่ ต่อผลซึง
กฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด การกระทําก็แสดงถึงเจตนาชัวร ้ายของผู ้กระทําการนันแล ้วจึงสมควรทีจะต ้อง
ลงโทษบ ้าง เพือดัดนิสย ั ของผู ้กระทํา
3. การไม่สามารถบรรลุผลอย่างแน่แท ้นี กฎหมายบัญญัตส ิ าเหตุไว ้เพียง 2 ประการ คือปั จจัยทีใช ้ในการ
กระทําอย่างหนึง และวัตถุทมุ ี ง่ หมายกระทําต่ออีกอย่างหนึง
4. ผลของการพยายามกระทําความผิดซึงเป็ นไปไม่ได ้อย่างแน่แท ้ กฎหมายให ้ลงโทษได ้ไม่เกินกึง
หนึงของโทษทีกฎหมายกําหนดไว ้สําหรับความผิดนั น แต่อย่างไรก็ดศ ี าลจะไม่ลงโทษเลยก็ได ้ หากการ
กระทําซึงเป็ นไปไม่ได ้อย่างแน่แท ้นันได ้กระทําไปโดยความเชืออย่างงมงาย
5. การพยายามกระทําความผิดโดยทัวๆ ไป และการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได ้
อย่างแน่แท ้ แม ้จะเป็ นการพยายามกระทําความผิดเหมือนกันแต่ก็มข ี ้อแตกต่างกันหลายประการ

หล ักเกณฑ์ของการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นาย ก ต ้องการฆ่านาย ข จึงเตรียมปื นบรรจุกระสุนไว ้พร ้อมวางไว ้หัวเตียง ภรรยาของนาย ก ไม่
อยากให ้นาย ก ทําผิดกฎหมาย จึงแอบถอดเอากระสุนออกหมด นาย ก ไม่รู ้ จึงนํ าปื นทีไม่มล ี ก
ู นันไปยิงนาย
ข ให ้ท่านวินจิ ฉั ยว่า นาย ก มีความผิดฐานใดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 81 ได้บ ัญญ ัติไว้วา่ ผูท
้ กระทํ
ี าการโดยมุง่ ต่อผลซงึ
กฎหมายบ ัญญ ัติเป็นความผิด แต่การกระทํานนไม่ ั สามารถจะบรรลุผลอย่างแน่แท้เพราะเหตุปจ ั จ ัย

ซงใช ใ้ นการกระทํา หรือเหตุแห่งว ัตถุทมุ ี ง
่ หมายกระทําต่อให้ถอ ื ว่าผูน
้ นพยายามกระทํ
ั าความผิด
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การที นาย ก ต้องการฆ่า นาย ข จึงเตรียมปื นบรรจุกระสุนไว้
พร้อมแล้ว เห็นได้วา ่ นาย ก มีเจตนาฆ่านาย ข แล้วแต่ปรากฏว่าภรรยานาย ก ไม่อยากให้นาย ก ทํา
ผิดกฎหมายจึงแอบถอดเอากระสุนออกหมด นาย ก ไม่รจ ู ้ งึ นําปื นทีไม่มก ี ระสุนนนไปยิ
ั งนาย ข เห็น
ว่ากรณีน ี นาย ก ได้ลงมือกระทําความผิดตามเจตนาของตนแล้วแต่การกระทําของนาย ก ไม่
บรรลุผลอย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจ ัยทีใชใ้ นการกระทําคือซงไม่ ึ มกี ระสุน นาย ก จึงต้องร ับผิดฐาน
พยายามฆ่านาย ข ตามมาตรา 81 ด ังกล่าวมาแล้ว

ผลของการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นาง ก ภรรยาน ้อยของนาย ข ต ้องการจะฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข นาง ก เป็ นคนเชือทางไสย
ศาสตร์ จึงไปให ้หมอผีเสกขนม หมอผีได ้ทําพิธแ ี ละบอกว่า ถ ้าภรรยาหลวงของนาย ข กินขนมนีแล ้ว จะต ้อง
ตายภายใน 3 วัน นาง ก จึงนํ าขนมนั นไปให ้ภรรยาหลวงของนาย ข กิน กรณีนี นาง ก จะมีความผิดฐานใด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 วรรค 2 ได้บ ัญญ ัติวา ่ ถ้าการกระทําด ังกล่าวในวรรค
แรก กล่าวคือกระทําการมุง ึ
่ ต่อผลซงกฎหมายบ ัญญ ัติเป็นความผิด แต่การกระทํานนไม่ ั สามารถจะ
บรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุปจ ึ ้
ั จ ัยซงใชกระทํา หรือเหตุแห่งว ัตถุทมุ
ี ง
่ หมายกระทํานนได้

กระทําไปโดยความเชออย่ ื างงมงายศาลจะไม่ลงโทษก็ ได้
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีนาง ก ภรรยาน้อยของนาย ข ต้องการจะฆ่าภรรยาหลวง
ของนาย ข เห็นว่า นาง ก มีเจตนาจะฆ่าภรรยาหลวงของนาย ก แล้ว จึงได้ไปหาหมอผีเสกขนม
เพราะตนมีความเชอว่ ื า หมอผีสามารถเสกขนมให้เป็นพิษ และนําไปฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข ตาย
ได้ หล ังจากหมอผีทําพิธีเสร็จ นาง ก ก็นําขนมนนไปให้ ั ภรรยาหลวงของนาย ข กิน การกระทํา
ด ังกล่าวของนาง ก เห็นว่า นาง ก ได้ลงมือกระทําโดยมุง ึ
่ ต่อผลซงกฎหมายบ ัญญ ัติเป็นความผิดแล้ว
แต่การกระทําของนาง ก ไม่บรรลุผลปัจจ ัยทีใชใ้ นการกระทําคือขนมนนไม่ ั สามารถจะทําให้คนตาย
ได้ นาง ก จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข แต่การกระทําของนาง ก นน ั ได้
กระทําไปโดยความเชออย่ ื างงมงาย กรณีนศาลจะไม่
ี ลงโทษก็ ได้

ปัญหาของการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นั กกฎหมายมีความเห็นอย่างไรบ ้างสําหรับปั ญหาเรืองการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท ้ตามมาตรา 81
และเรืองการขาดองค์ประกอบ
สําหร ับปัญหาเรืองการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 และเรืองการขาดองค์ประกอบ
ึ ักจะพูดถึงก ันอยูเ่ สมอว่า การขาดองค์ประกอบ นีจะถือว่าเป็นเรืองของการไม่บรรลุผลอย่างแน่
ซงม
แท้ตามมาตรา 81 ด้วยหรือไม่ ในเรืองนีมีน ักกฎหมายให้ความเห็นแตกต่างก ันเป็น 2 ฝ่าย

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


34

ฝ่ายแรก เห็นว่าการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 นี บ ัญญ ัติขนเป ึ ็ นพิเศษเพือทีจะ


ใชก้ ับกรณีการขาดองค์ประกอบด้วยและกล่าวว่าการขาดองค์ประกอบไม่ใชพ ่ ยายามตามหล ักทวไป ั
ในมาตรา 80 แต่ทผิดตามมาตรา
ี 81 เพราะมีกฎหมายบ ัญญ ัติเป็นพิเศษ สงเกตจากต ั ัวบททีว่า “ให้
ถือว่าผูน
้ นพยายามกระทํ
ั าความผิด” ฝ่ายนีจึงเห็นว่าการล ักทร ัพย์ของตนเองโดยคิดว่าเป็นทร ัพย์
ของตนเองโดยคิดว่าเป็นทร ัพย์ของผูอ ้ นก็
ื ด ี การยิงศพโดยคิดว่าเป็นคนดี หรือการข่มขืนภรรยา
ตนเองโดยคิดว่าเป็นหญิงอืนอ ันมิใชภ ่ รรยาตนก็ด ี แม้จะเป็นการขาดองค์ประกอบ แต่ก็เป็นเรืองการ
ไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ ตามมาตรา 81 ด้วย ซงฝ ึ ่ ายนีถือว่าผูก
้ ระทํามีเจตนาร้ายและลงมือกระทํา
แล้ว ก็ควรได้ร ับโทษบ้าง
อีกฝ่ายหนึง เห็นว่า กรณีด ังกล่าว เป็นเรืองของการขาดองค์ประกอบ โดยฝ่ายนีให้เหตุผล
ว่า ความผิดทีเป็นไปไม่ได้โดยแน่แท้ตามมาตรา 81 นน ั จะต้องมีของแท้จริงอ ันเป็นองค์ประกอบ
ของความผิดครบบริบร ู ณ์ หากแต่ดว้ ยเหตุปจ ั จ ัยทีใชใ้ นการกระทําความผิดหรือด้วยเหตุว ัตถุท ี
กระทํานนไม่
ั สามารถเป็นไปได้โดยแน่แท้เท่านน ั ถ้าหากไม่มข ี อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบ
ความผิดเลย ก็ ไม่ควรจะถือว่าเป็นพยายามกระทําความผิด

ข้อเหมือนและข้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 มาตรา
81
จงกล่าวถึงข ้อเหมือนและข ้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 และมาตรา
81 พอสังเขป
ข้อเหมือนระหว่างการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 และมาตรา 81 มีอยู่ 2
ประการ คือ
(1) ผูก
้ ระทํามีเจตนากระทําความผิดเหมือนก ัน
(2) ผูก้ ระทําความผิดได้ลงมือกระทําไปแล้วเหมือนก ัน
ข้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 และ มาตรา 81 มีอยู่ 3
ประการคือ
(1) การไม่บรรลุผลตามมาตรา 80 เป็นเพราะเหตุบ ังเอิญแต่การไม่บรรลุตามมาตรา 81
เป็นการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้
(2) การไม่บรรลุผลตามมาตรา 80 อาจเกิดจากปัจจ ัยซงใช ึ ใ้ นการกระทําหรือว ัตถุทมุี ง

หมายกระทําต่อหรือเพราะเหตุอนๆ ื ก็ ได้ แต่การไม่บรรลุผลตามมาตรา 81 ต้องเกิดจากปัจจ ัยซงใช ึ ้
ในการกระทําหรือว ัตถุทมุ ี ง
่ หมายกระทําต่อเท่านน ั
(3) การพยายามตามมาตรา 80 กฎหมายกําหนดโทษไว้วา ่ ให้ร ับโทษ 2 ใน 3 ของโทษที
กฎหมายกําหนดไว้สําหร ับความผิดนน ั แต่การพยายามตามมาตรา 81 กฎหมายกําหนดโทษไว้วา ่ ให้
ร ับโทษไม่เกินกึงหนึงของโทษทีกฎหมายกําหนดไว้สา ํ หร ับความผิดนน ั

การพยายามกระทําความผิดทีผูก ้ ระทําย ับยงหรื


ั อกล ับใจแก้ไข
1. การยับยัง หมายถึง การสมัครใจยุตก ิ ารกระทําของตัวเอง เมือตัวได ้กระทําถึงขันลงมือแล ้วจนกระทัง
ก่อนความผิดจะสําเร็จลง ซึงหมายถึงจะต ้องกระทําระหว่างทีการกระทําเข ้าขันพยายามแล ้ว
2. การกลับใจแก ้ไขไม่ให ้การกระทําบรรลุผล เป็ นกรณีทผู ี ้กระทําได ้กระทําทุกสิงทุกอย่างซึงเขาเชือว่า
จําเป็ นสําหรับความผิดสําเร็จ แต่เขาได ้กลับใจโดยความสมัครใจเข ้าแก ้ไขไม่ให ้ไม่ให ้การกระทํานั นบรรลุผล
3. เมือได ้มีการกระทําทีเข ้าขันพยายามกระทําความผิดแล ้ว โดยปกติผู ้กระทําต ้องต ้องได ้รับโทษฐาน
พยายามเสมอ แต่ถ ้าผู ้กระทําได ้ยับยังหรือกลับใจแก ้ไขมิให ้การกระทํานันบรรลุผลด ้วยความสมัครใจของ
ผู ้กระทํา โดยมิใช่ถก ู กดดันจากภายนอก กฎหมายก็ยอมยกเว ้นไม่เอาโทษ คงเอาโทษในฐานความผิดที
กระทําการเช่นนั นเป็ นความผิดสําเร็จในตัวเองขึนแล ้ว

หล ักเกณฑ์การย ับยงหรื
ั อกล ับใจแก้ไข
จงบอกหลักเกณฑ์ของการพยายามกระทําความผิดทีผู ้กระทํายับยังหรือกลับใจแก ้ไข พร ้อมทัง
ยกตัวอย่างประกอบ
จากบทบ ัญญ ัติมาตรา 82 เราสามารถแยกหล ักเกณฑ์การพยายามกระทําความผิดที
ผูก้ ระทําย ับยงหรื
ั อกล ับใจแก้ไขได้เป็น 3 ประการคือ
(1) ผูก ้ ระทําจะต้องลงมือกระทําความผิดแล้ว
(2) ความผิดทีกระทําจะต้องย ังไม่สา ํ เร็จผลตามทีผูก้ ระทําเจตนา
(3) ผูก ้ ระทําย ับยงเส ี
ั ยเองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้วแต่กล ับใจแก้ไข
ไม่ให้การกระทํานนบรรลุ ั ผล
ต ัวอย่าง
(ก) สอ ่ ง ยกปื นขึนเล็ งจะยิง แสง แต่ สอ ่ ง เกิดสงสารขึนมาจึงกล ับใจไม่ยงิ แสง ถือว่าสอ
่ ง
ย ับยงเส
ั ย ี เองไม่ตอ ้ งร ับโทษฐานพยายามฆ่าคน

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


35

(ข) เฟื องวางยาพิษฟ้า โดยเอายาพิษใสใ่ นถ้วยกาแฟของฟ้า เมือฟ้าดืมยาพิษเข้าไปแล้ว


เฟื องเกิดสาํ นึกผิดจึงเอายาถอนพิษให้ฟ้ากิน จนยาพิษไม่ได้ทาํ อ ันตรายแก่จ ิตใจหรือร่างการของ
ฟ้า ถือว่าเฟื องกล ับใจแก้ไขไม่ให้การกระทํานนบรรลุ
ั ผล ไม่ตอ้ งร ับโทษฐานพยายามฆ่าคน

ผลของการทีผูก ้ ระทําย ับยงหรื


ั อกล ับใจแก้ไข
จงกล่าวถึงผลของการพยายามกระทําความผิดทีผู ้กระทํายับยังหรือกลับใจแก ้ไข
ผลของการพยายามกระทําความผิดทีผูก ้ ระทําย ับยงหรื
ั อกล ับใจแก้ไข แยกได้เป็น 2
ประการคือ
(1) ผูก ้ งร ับโทษสําหร ับการพยายามกระทําความผิดนน
้ ระทําไม่ตอ ั
(2) แต่ถา้ การทีได้กระทําไปแล้วต้องตามบทกฎหมายทีบ ัญญ ัติเป็นความผิด ผูน
้ นต้
ั องร ับ
ํ หร ับความผิดนน
โทษสา ั

ส ้มต ้องการฆ่าม่วง ส ้มจึงยกปื นขึนจ ้องจะยิงม่วง ส ้มเห็นพระภิกษุ เดินมา ส ้มนึกถึงบาปบุญคุณโทษ


ไม่อยากทําบาป จึงตัดสินใจเลิกยิงม่วง แต่กอ ่ นจะจากไปส ้มได ้ใช ้ด ้ามปื นตีศรี ษะม่วงหนึงทีเป็ นแผลโลหิต
ไหล กรณีดังกล่าวส ้มจะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 บ ัญญ ัติวา ่ ผูใ้ ดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่
ตลอดหรือกระทําไปแล้วแต่การกระทํานนไม่ ั บรรลุผล ผูน ้ นพยายามกระทํ
ั าความผิด
และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 82 บ ัญญ ัติวา่ ผูใ้ ดพยายามกระทําความผิดหากย ับยงั
เสย ี เองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกล ับใจแก้ไขไม่ให้กระทํานนบรรลุ ั ผล ผูน ้ นไม่
ั ตอ้ งร ับโทษสําหร ับ
การพยายามกระทําความผิดนน ั แต่ถา้ การทีได้กระทําไปแล้วต้องตามบทกฎหมายทีได้บ ัญญ ัติเป็น
ความผิดผูน ้ นต้
ั องร ับโทษสาํ หร ับความผิดนนๆ ั

จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีสมต้องการฆ่าม่วง จึงยกปื นจ้องจะยิงม่วง การกระทําของ
สม ้ ด ังกล่าวถือว่าเป็นการลงมือกระความผิดแล้ว แต่กระทําไปไม่ตลอด ตามมาตรา 80 ซงการ ึ
กระทําไม่ตลอดนีเป็นเพราะสม ้ เห็นพระภิกษุเดินมา นึกถึงบาปบุญคุณโทษ จึงต ัดสน ิ ใจเลิกยิงม่วง
การกระทําด ังกล่าวถือว่าสม ้ ย ับยงช ั
ั งใจเส ย ี เองไม่กระทําการให้ตลอด ซงเปึ ็ นการย ับยงช ั
ั งใจโดย
สม ัครใจ เพราะสม ้ สามารถกระทําความผิดให้ตลอดได้ แต่ยุตก ิ ารกระทําของตนเสย ี (ตามมาตรา
82) สม ้ จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผูอ ้ น ื แต่ไม่ตอ ้ งร ับโทษสําหร ับการพยายามกระทําความผิดนน ั
สว ้
่ นการทีสมตีศรี ษะม่วงด้วยด้ามปื นนน ้
ั สมต้องมีความผิดฐานทําร้ายร่างกายอีกกระทงหนึงด้วย

บทบ ัญญ ัติพเิ ศษเกียวก ับการพยายามกระทําความผิดบางล ักษณะ


1. มีความผิดบางประเภททีไม่มค ี วามผิดฐานพยายาม เช่น ความผิดฐานประมาทจะมีพยายามไม่ได ้
เพราะไม่ได ้กระทําโดยเจตนา
2. โดยทัวไปการพยายามกระทําความผิดจะมีโทษสองในสามส่วนหรือไม่เกินกึงหนึงของโทษที
กฎหมายกําหนด แต่ก็มข ี ้อยกเว ้นการกระทําความผิดบางประเภททีไม่ต ้อรับโทษ
3. การพยายามกระทําความผิดบางอย่าง ซึงมีลักษณะรุนแรง กฎหมายได ้เอาโทษผู ้พยายามกระทํา
ความผิดนันเท่ากับการกระทําความผิดสําเร็จ

ความผิดทีมีพยายามไม่ได้
จงยกตัวอย่างความผิดทีมีพยายามมา 5 ตัวอย่าง
ความผิดบางฐานหรือการกระทําบางล ักษณะมีการพยายามไม่ได้โดยสภาพของต ัวเอง
ได้แก่
1. ความผิดฐานประมาท
2. ความผิดลหุโทษโดยทวไป ั
้ รือผูส
3. ความผิดฐานเป็นผูใ้ ชห ้ น ับสนุน
4. ความผิดฐานละเว้น
5. ความผิดบางอย่าง แม้กระทําสําเร็จแล้วย ังไม่เป็นความผิดเด็ ดขาด จนกว่าจะผ่านพ้น
เวลา หรือมีพฤติการณ์อนมาประกอบจึงจะเป
ื ็ นความผิด

การพยายามกระทําความผิดทีไม่ตอ ้ งร ับโทษ
มีกรณีใดบ ้างทีพยายามกระทําความผิดแล ้ว แต่ไม่ต ้องรับโทษ
โดยหล ักแล้วเมือบุคคลกระทําผิดถึงขนพยายามแล้
ั ว บุคคลนนก็ั ตอ้ งร ับโทษตามกฎหมาย
แต่มบ
ี างกรณีทกฎหมายไม่
ี เอาโทษการกระทําทีถึงขนพยายามแล้
ั ว ด้วยเหตุผลทีต่างก ันได้แก่
1. การกระทําความผิดลหุโทษ
2. การพยายามทําแท้ง
3. การย ับยงเสั ยี เ◌ ิอง

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


36

การพยายามกระทําความผิดทีกฎหมายบ ัญญ ัติโทษไว้เท่าก ับโทษในความผิดสา ํ เร็จ


และการพยายามกระทําความผิดทีกฎหมายถือเป็นความผิดเชน ่ เดียวก ับความผิดสําเร็จ
จงกล่าวถึงความผิดทีการพยายามกระทําความผิดฐานนั นๆ กฎหมายบัญญัตโิ ทษไว ้เท่ากับโทษใน
ความผิดสําเร็จและการพยายามกระทําความผิดทีกฎหมายถือว่าเป็ นความผิดเช่นเดียวกับความผิดสําเร็จ
ความผิดบางฐาน การพยายามกระทําความผิดก็ มผ ี ลร้ายแรงไม่นอ ้ ยไปกว่าความผิดสําเร็จ
จึงสมควรทีจะลงโทษการพยายามกระทําความผิดฐานนนๆ ั เท่าก ับโทษในความผิดสําเร็จหรือถือว่า
การพยายามกระทําความผิดเชน ่ เดียวก ับความผิดสา ํ เร็จ ได้แก่
1. การพยายามปลงพระชนม์พระมหากษ ัตริย์
2. การพยายามกระทําการประทุษร้ายต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระมหากษ ัตริย์
3. การพยายามปลงพระชนม์พระราชน ิ ห
ี รือร ัชทายาท หรือฆ่าผูส ํ เร็จราชการแทน
้ า
พระองค์
4. การพยายามกระทําการประทุษร้ายต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระราชน ิ ห
ี รือร ัช
ทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผูส ้ ําเร็จราชการแทนพระองค์
5. การพยายามกระทําความผิดต่อความมนคงของร ั ัฐภายนอกราชอาณาจ ักร
6. การพยายามทําร้ายร่างกายหรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของราชาธิบดี ราชน ิ ี ราชสามี

ร ัชทายาทหรือประมุขแห่งร ัฐต่างประเทศ ทีมีสมพ ันธ์ไมตรี
7. การพยายามฆ่าราชาธิบดี ราชน ิ ี ราชสามี ร ัชทายาทหรือประมุขของร ัฐต่างประเทศทีมี
สมพั ันธไมตรีหรือผูแ
้ ทนของร ัฐต่างประเทศ ซงได้ ึ ร ับแต่งตงให้
ั มาสูพ่ ระราชสา ํ น ัก

แบบประเมินผล หน่วยที 7 การพยายามกระทําความผิด

1. การกระทําในขันตอน ทีบุคคลต ้องรับผิดฐานพยายาม ได ้แก่ การลงมือกระทํา


2. การพยามกระทําความผิด เช่น แดงเห็นดําเดินผ่านมาเลยยกปื นจ้องไปทางดํา
3. ม่วงเอายาพิษใส่ในถ ้วยกาแฟให ้ฟ้ ากิน แต่เหลืองปั ดถ ้วยกาแฟตกแตกก่อน กรณีนีถือว่า เป็นการลง
มือกระทําความผิดแล้ว
4. ความหมายของการพยายามกระทําความผิด เช่น ลงมือกระทําความผิดและกระทําไปตลอด
แล้วแต่การนนไม่ ั บรรลุผล
5. ขาวเจตนาจะฆ่าเขียว จึงยิงปื นไปทีเขียว แต่เขียวหลบกระสุนปื นทัน ทําให ้กระสุนไม่ถก ู เขียวดังนี
ขาวมีความผิดฐานพยายามฆ่าเขียว
6. สม ้ จะฆ่านําเงิน จึงใชป ้ ื นยิงนําเงิน แต่ยงิ ไม่ถก ู นําเงิน จึงไม่ตาย กรณีนีไม่ถอ ื เป็ นการพยายาม
กระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได ้อย่างแน่แท ้เพราะปั จจัยทีใช ้ในการกระทํา
7. ต ้อยต ้องการฆ่าติง ต ้อยเห็นตอไม ้คิดว่าเป็ นติง แต่แท ้ทีจริงติงไปต่างจังหวัดหลายวันแล ้ว ต้อยผิด
ฐานพยายามฆ่าผูอ ้ นโดยไม่
ื สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะว ัตถุทมุ ี ง่ กระทําต่อ
8. การพยายามกระทําความผิดทีผู ้กระทํายับยังเสียเองหมายความว่า ผูก้ ระทําได้ลงมือกระทําแล้ว
แต่เกิดเปลียนใจด้วยความสม ัครใจของตนเองไม่กระทําให้ตลอด
9. กฎหมายได ้กําหนดผลของการยับยังหรือกลับใจแก ้ไขไม่ให ้การกระทําบรรลุผล ผูย ้ ับยงหรื
ั อกล ับ
ใจแก้ไขไม่ตอ ้ งร ับโทษสําหร ับการพยายามกระทําความผิดนน ั แต่ถา้ การทีได้กระทําไปแล้วนนต้ ั อง
ตามบทบ ัญญ ัติเป็นความผิด ผูก ้ ระทํานนต้ ํ
ั องร ับโทษสาหร ับความผิดนน ั
10. กฎหมายได ้กําหนดโทษฐานพยายามกระทําความผิดโดยทัวไปไว ้คือ 2 ใน 3 สว่ นของโทษที
กฎหมายกําหนดไว้สําหร ับความผิดนน ั
11. การทีผู ้กระทําได ้ลงมือกระทําความผิดแล ้ว แต่กระทําไปไม่ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล ้วแต่ไม่
บรรลุผล ผู ้กระทํานั นต ้องรับผิด ฐานพยายาม
12. การพยายามกระทําความผิดหมายความว่า ลงมือกระทําแล้ว แต่การกระทํานนไม่ ั บรรลุผล
13. การกระทําทีขาดองค์ประกอบของความผิด ถือว่า ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
14. ผู ้กระทํายับยังหรือกลับใจแก ้ไขมิให ้การกระทําของคนบรรลุผล บุคคลนนไม่ั ตอ ้ งร ับโทษฐาน
พยายามกระทําความผิด
15. เก ้งข่มขืนกระทําชําเรา ด.ญ. เก่ง อายุ 3 ขวบ แต่กระทําไม่สําเร็จ เพราะอวัยวะเพศของ ด.ญ. เก่ง
เล็กเกินไป เก้งจะต้องร ับโทษไม่เกินกึงหนึงของโทษทีกฎหมายกําหนดไว้
16. ในปั จจุบน ั นีศาลฎีกาไทยใช ้หลักในการวินจ ิ ฉั ยปั ญหาเรืองการลงมือกระทําความผิดคือ หล ักความ

ใกล้ชดก ับผล
17. ปุ้ มยกปื นขึนเล็งจะยิงป้ อม แต่คด ิ ถึงลูกของป้ อมจะต ้องกําพร ้า เกิดสงสารจึงยับยังไม่ยงิ กรณีนถื ี อ
ว่าเป็นการย ับยงเส ั ย ี เองอ ันมีผลให้กระทําไม่ตอ ้ งร ับโทษสําหร ับการพยายามกระทําความผิดนน ั
18. ความผิดทีประกอบด ้วยหลายกรรม มีหลักเกณฑ์อย่างไรในการพิจารณาเรืองการลงมือกระทํา
ความผิด การกระทํากรรมหนึงกรรมใดลงไป ถือว่าลงมือกระทําแล้ว

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


37

19. กุ ้งใช ้กรรไกรตัดสร ้อยคอของไก่ขาดจากกัน และตกลงยังพืนดิน แต่ก ุ ้งยังไม่ได ้เอาสร ้อยคอไปเพราะ


ตํารวจร ้องบอกให ้ไก่รู ้ตัว และเก็บสร ้อยเสียก่อน กุง้ มีความผิดฐานล ักทร ัพย์
20. หน่อยวางยาพิษโหน่ง โดยเอายาพิษใสในถ ้วยกาแฟของโหน่ง โหน่งดืมยาพิษเข ้าไปแล ้ว แต่หน่อย
เกิดสงสารจึงเอายาถอนพิษให ้โหน่งกิน โหน่งจึงไม่เป็ นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หน่อยไม่ตอ ้ งร ับโทษฐาน
พยายามฆ่าโหน่ง

หน่วยที 8 เหตุยกเว้นความผิด

1. บุคคลไม่ต ้องรับผิดทางอาญา ถ ้ากฎหมายหรือจารีตประเพณีให ้อํานาจกระทําการนันได ้


2. บุคคลไม่ต ้องรับผิดทางอาญา ถ ้าได ้กระทําเพือป้ องกันสิทธิของตนเองหรือผู ้อืนพอสมควรแก่เหตุ
3. บุคคลไม่ต ้องรับผิดทางอาญาบางกรณี ถ ้าผู ้เสียหายได ้ยินยอมให ้กระทําการนันหรือเป็ นการปฏิบัต ิ
ตามคําสังโดยชอบของเจ ้าพนั กงาน

กฎหมายและจารีตประเพณีให้อํานาจกระทําได้
1. บุคคลอาจกระทําการอย่างใดอย่างหนึงได ้โดยไม่ต ้องรับผิดในทางอาญาถ ้ามีกฎหมายให ้อํานาจ
บุคคลกระทําการเช่นนันได ้
2. ถ ้าได ้มีจารีตประเพณีให ้อํานาจบุคคลกระทําการอย่างหนึงอย่างใดได ้ หากบุคคลได ้กระทําการ
เช่นนั นลงไปก็ไม่มคี วามผิดในทางอาญาเช่นเดียวกัน

กฎหมายให ้อํานาจกระทําได ้
เราแยกพิจารณากรณีทกฎหมายให
ี ้อํานาจแก่บค ุ คลกระทําการใดได ้โดยกว ้างๆ อย่างไรบ ้าง
เราอาจแยกพิจารณากรณีทกฎหมายให้ ี อํานาจแก่บค ุ คลกระทําการใดได้โดยกวางๆ
ด ังต่อไปนี
(1) ให้อํานาจแก่พน ักงานเจ้าหน้าทีในการปฏิบ ัติการตามหน้าที เชน ่ ให้อํานาจตํารวจใน
การจ ับกุมผูก ้ ระทําผิดเป็นต้น
(2) ให้อํานาจแก่บค ุ คลโดยผ่านการกลนกรองของพน
ั ักงานเจ้าหน้าทีก่อน เชน ่ บุคคลที
ต้องการจะทําไม้หวงห้าม ต้องขออนุญาตจากพน ักงานเจ้าหน้าทีก่อน
(3) ให้อํานาจแก่บค ุ คลในการทีจะกระทํากิจการเพือประโยชน์สาธารณะหรือเพือผูอ ้ น

เชน ่ สมาชก ิ สภาผูแ ้ ทนราษฎรมีเอกสท ิ ธิในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ในสภาผูแ ้ ทนราษฎร บุคคล
ใดจะนําไปฟ้องร้องไม่ได้
(4) ให้อํานาจแก่บค ุ คลเพือการปกป้องคุม ้ ครองสท ิ ธิหรือประโยชน์สข ุ สว่ นตน ่
เชน
คูค ึ
่ วามซงแสดงความคิ ดเห็นในกระบวนการพิจารณาคดีในศาลไม่มค ี วามผิดฐานหมินประมาท

จารีตประเพณีให ้อํานาจกระทําได ้
จารีตประเพณีคอ ื อะไร จารีตประเพณียกเว ้นความผิดทางอาญาของบุคคลได ้อย่างไร
จารีตประเพณีคอ ื ข้อบ ังค ับแห่งความประพฤติของมนุษย์ในเรืองใดเรืองหนึงซงถื ึ อปฏิบ ัติ
ตามสบ ื เนืองก ันมาตลอดเสมือนเป็นกฎหมาย โดยมิได้มก ี ารเขียนบ ัญญ ัติไว้เป็นลายล ักษณ์อ ักษร
หากมีบ ันทึกอยูใ่ นความจําและความคิดของบุคคลจารีตประเพณียกเว้นความผิดทางอาญาของ
บุคคลได้ โดยการทีจารีตประเพณีให้อํานาจบุคคลทีจะกระทําการอย่างใดอย่างหนึงได้ และแม้การ
นนจะเข้
ั าองค์ประกอบความผิดอาญาบุคคลนนก็ ั ไม่ตอ้ งร ับผิดแต่อย่างใด เชน ่ ถ้าจารีตประเพณีให้
อํานาจบุคคลเข้าไปเก็บเห็ด เก็ บไม้ฟืนในทีดินของผูอ ้ นได้
ื และได้มบี ค
ุ คลเข้าไปกระทําการด ังกล่าว
เจ้าของทีดินจะฟ้องร้องดําเนินคดีก ับบุคคลนนในความผิ
ั ดฐานบุกรุกและล ักทร ัพย์ไม่ได้

การกระทําเพือป้องก ันสท ิ ธิ
1. บุคคลจะต ้องกระทําการทีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้เป็ นความผิด เพือป้ องกันสิทธิของตนเองหรือผู ้อืนให ้
พ ้นจากภยันตรายอย่างใดอย่างหนึง
2. ภยันตรายนันจะต ้องเกิดจากการประทุษร ้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและใกล ้จะถึงซึงไม่อาจแก ้ไขได ้
โดยวิธอี น

3. การกระทําเพือป้ องกันสิทธิจะต ้องกระทําไปภายในขอบเขตทีเหมาะสม

แนวความคิดเกียวกับการป้ องกันและความเป็ นมาของกฎหมายไทย


กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ยกเว ้นความผิดให ้แก่ผู ้กระทําเพือป้ องกันหรือไม่
กฎหมายล ักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 50 บ ัญญ ัติวา่ “ผูใ้ ดกระทําการอย่างหนึงอย่าง
ใดแต่พอสมควรแก่เหตุ โดยมีความจําเป็นเพือป้องก ันชวี ต
ิ เกียรติยศและชอเส ื ยี ง หรือทร ัพย์ของต ัว

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


38

ม ันก็ด ี หรือของผูอ้ นก็


ื ด ี เพือให้พน ึ ดโดยผิดกฎหมาย ท่านว่าไม่ควรลงอาญาแก่ม ัน”
้ ภย ันตรายซงเกิ
ถือได้วา ่ ยกเว้นแต่เฉพาะโทษมิได้ยกเว้นความผิดให้แต่อย่างใด ผูก
้ ระทําจึงย ังคงมีความผิดอยูอ
่ ก

เป็ นการกระทําเพือป้ องกันสิทธิของตนเองหรือผู ้อืน


นายดําบุกรุกเข ้าไปแย่งครอบครองสวนมะม่วงของนายแดง ซึงนายแดงเข ้าไปปลูกอยูใ่ นบริเวณป่ า
สงวนแห่งชาติโดยไม่ชอบด ้วยกฎหมาย นายแดงมีอาํ นาจป้ องกันนายดําจากการบุกรุกเข ้าไปในสวนมะม่วงได ้
หรือไม่ เพียงใด
ตาม ปอ. มาตรา 68 บุคคลอาจกระทําการใดๆเพือป้องก ันสท ิ ธิของตนหรือของผูอ ้ นให้
ื พน้
ึ ดจากการประทุษร้ายละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภย ันตรายทีใกล้จะถึง ถ้าได้กระทํา
ภย ันตรายซงเกิ
ไปพอสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีทจํ ี าต้องกระทําเพือป้องก ัน ถือว่าบุคคลนนไม่
ั มค ี วามผิด
การทีนายแดงเข้าไปทําสวนมะม่วงในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติ แม้จะเป็นการกระทําทีผิด
กฎหมายอาญา แม้จะไม่อาจกล่าวอ้างสท ิ ธิใดๆ ต่อร ัฐก็ ตามแต่นายแดงมีอํานาจอ ันชอบธรรมในสวน

ด ังกล่าว ซงอาจกล่ าวอ้างต่อราษฎรด้วยก ันได้ เมือนายดําได้บุกรุกเข้าไปแย่งการครอบครองสวน
มะม่วง ถือว่านายดําได้กอ ่ ให้เกิดภย ันตรายต่อสท ิ ธิของนายแดงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็น
ภย ันตราย ึ
ซงได้ เกิดขึนแล้วและย ังไม่หมดสนไป ิ นายแดงย่อมมีอํานาจป้องก ันสทิ ธิของตนได้
พอสมควรแก่เหตุและไม่เกินกว่ากรณีทจํ ึ
ี าเป็นต้องป้องก ัน ซงตาม ปอ. มาตรา 68 ถือว่าการกระทํา
ของนายแดงไม่มค ี วามผิด (น ัย ฏ 276/2474)

ให ้พ ้นภยันตรายซึงเกิดจากการประทุษร ้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
นายม่วงทะเลอะวิวาทกับนายคราม จนถึงขันชกต่อยกัน มีผู ้เข ้าไปห ้ามปราม ทังสองฝ่ ายจึงเลิกรา
แยกย ้ายกันไป นายครามเข ้าไปนั งดืมนํ าอยูท ่ รี ้านขายกาแฟ ส่วนนายม่วงพบไม ้ท่อนโตขนาดเท่าแขนยาง
สองศอก จึงถือตามไปตีนายครามหลายครัง ถูกบ ้างไม่ถก ู บ ้าง นายครามหนีไปจนตรอกอยูห ่ ลังร ้าน นายม่วงก็
ยังตามไปตีอก ี นายครามหยิบได ้มีดปอกผลไม ้ทีวางอยู่ จึงแทงสวนไปหนึงที ถูกทีช่องท ้องของนายม่วงจน
เป็ นเหตุให ้ถึงแก่ความตามในเวลาต่อมาไม่นาน นายครามจะอ ้างว่ากระทําไปเพือป้ องกันตาม ปอ. มาตรา 68
ได ้หรือไม่เพียงใด
ตาม ปอ. มาตรา 68 บ ัญญ ัติวา ่ “ผูใ้ ดจะกระทําการใดเพือป้องก ันสท ิ ธิของตน หรือของ
ผูอ
้ นให้
ื พน ้ ภย ันตรายซงเกิ ึ ดจากการประทุษร้ายอ ันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภย ันตรายทีใกล้จะ
ถึง ถ้าได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานนเป ั ็ นการป้องก ันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผูน ้ นไม่
ั มี
ความผิด”
หล ักสําค ัญประการหนึงซงเป ึ ็ นเงือนไขให้ผก ู ้ ระทําไม่มคี วามผิดคือ ภย ันตรายทีเกิดขึน
จะต้องเป็นภย ันตรายซงเกิ ึ ดจากการประทุษร้ายอ ันละเมิดต่อกฎหมาย ถ้าผูก
้ ระทําเป็นผูก ้ อ

ภย ันตรายนนขึ ั นด้วยความผิดของตน จะอ้างอํานาจป้องก ันตาม ปอ. มาตรา 68 ไม่ได้ เชน ่ ถ้า
ผูก้ ระทําสม ัครใจเข้าวิวาทต่อสูก ้ ับผูอ
้ นย่
ื อมไม่อาจอ้างอํานาจป้องก ันตาม ปอ. มาตรา 68 ได้ และ
ต้องมีความผิดตามทีได้กระทําลงไป
แต่กรณีนายม่วงก ับนายครามนี แม้ในชนแรกนายครามจะสม ั ัครใจวิวาทต่อสูก ้ ับนายม่วง
แต่เมือมีผห ู ้ า้ มปราม นายคราม ก็ได้เลิกราไป และได้ไปดืมนําอยูท ่ ร้
ี านขายกาแฟแล้ว ถือว่าการ
สม ัครใจได้ขาดตอนไป เมือนายม่วงได้ใชไ้ ม้ตท ี า
ํ ร้ายนายครามอีก ถือว่านายม่วงได้กอ ่ ให้เกิด
ภย ันตรายขึนมาใหม่ เป็นภย ันตรายซงเกิ ึ ดจากการประทุษร้ายอ ันละเมิดต่อกฎหมายและใกล้จะถึง
โดยนายครามมิได้มส ี ว่ นในการก่อภย ันตรายนีขึนมาแต่อย่างใด การทีนายครามหยิบมีดปอกผลไม้
จึงแทงสวนไปหนึงที ในขณะทีนายม่วงกําล ังใชไ้ ม้ไล่ตท ี า
ํ ร้ายตนอยูน ่ น
ั ถือว่าเป็นการกระทําไป
พอสมควรแก่เหตุ และไม่เกินกว่ากรณีทจํ ี าต้องกระทําเพือป้องก ัน เพราะกรณีฉุกเฉินเชน ่ นน ั นาย
ครามย่อมไม่มโี อกาสเลือกได้วา ่ จะแทงสว ่ นใดของร่างกายได้ ฉะนนแม่ ั นายม่วงจะถึงแก่ความตาย
นายครามก็ ไม่มค ี วามผิด (น ัย ฎ 2520/2529)

เป็ นภยันตรายทีใกล ้จะถึง


นายฉุนพูดจาโต ้เถียงกับนายเฉียวทางโทรศัพท์ นายฉุนโกรธแค ้นนายเฉียวมาก จึงพูดว่านายเฉียว
อย่าหนีไปไหน เดียวตนจะไปฆ่านายเฉียวทีบ ้าน แล ้ววางหูโทรศัพท์ลงอย่างมีโทสะรุนแรง นายเฉียวเกิด
ความกลัวเชือว่านายฉุนจะฆ่าตนจริง ทังบ ้านก็อยูห่ า่ งกันเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั น นายเฉียวจึงตัดสินใจพกปื น
ขับรถออกจากบ ้านไปหานายฉุนโดยไปจอดรถอยูห ่ า่ งจากบ ้านนายฉุนราว 100 เมตร แล ้วไปดักซุม ่ อยูท
่ หน
ี ้า
บ ้านนายฉุน สักครูน่ ายฉุนเปิ ดประตูพกปื นออกมาจากบ ้าน นายเฉียวจึงยิงนายฉุนถึงแก่ความตาย ถามว่านาย
เฉียวจะอ ้างว่ากระทําไปเพือป้ องกันตาม ปอ. มาตรา 68 ได ้หรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 68 เรืองการป้องก ันโดยชอบด้วยกฎหมายนนมี ํ ค ัญอยูป
ั หล ักสา ่ ระการ
หนึงว่า ภย ันตรายทีเกิดขึนนนต้ ั องเป็นภย ันตรายทีใกล้จะถึงหากภย ันตรายนนย ั ังอยูห
่ า่ งไกล ก็ ไม่
เข้าเงือนไขทีจะป้องก ันโดยชอบ
กรณีนายเฉียวยิงนายฉุนถึงแก่ความตายนน ั แม้นายเฉียวจะเชอว่ ื านายฉุนจะไปฆ่าตนที
บ้านจริงก็ตาม แต่ภย ันตรายทีจะเกิดขึนย ังเป็นภย ันตรายทีอยูห ึ
่ า่ งไกลไม่ใกล้จะถึง ซงนายเฉี ยวย ัง

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


39

มีโอกาสทีจะหลีกเลียงภย ันตรายให้พน ้ ได้โดยวิธอ


ี น ่ หนีไปให้พน
ื เชน ้ จากบ้านปิ ดประตูบา้ นเสยี ไม่
ยอมให้นายฉุนเข้าไปในบ้านได้ ไปแจ้งความร้องทุกข์ก ับตํารวจเป็นต้น การทีนายเฉียวต ัดสน ิ ใจไป
ด ักยิงนายฉุนทีบ้าน จึงเป็นการกระทําทีไม่อาจอ้างอํานาจป้องก ันตามมาตรา 68 ได้ นายเฉียวย่อมมี
ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้กอ ่ น ตาม ปอ. มาตรา 289

เป็ นกรณีจําต ้องกระทํา


มีคนร ้ายลักกระบือ 1 ตัว ของนายขวัญไป นายขวัญจึงตามคนร ้ายไปโดยอาศัยรอยกระบือ และไป
พบกระบือผูกอยูใ่ นป่ าละเมาะ แต่ไม่พบคนร ้าย ขวัญเชือว่าคนร ้ายจะต ้องกลับมาเอากระบือไป จึงดักซุม ่ อยู่
ครึงชัวโมง ได ้มีคนร ้าย 1 คน จะมาแก ้เชือกทีล่ามเพือเอากระบือไป ขวัญจึงใช ้ปื นทีพกมาด ้วยยิงคนร ้ายถึงแก่
ความตาย ถามว่าขวัญจะอ ้างว่ากระทําเพือป้ องกันทรัพย์ได ้หรือไม่
การป้องก ันสท ิ ธิของตนเองหรือผูอ้ นตาม
ื ปอ. มาตรา 68 นนมี ํ ค ัญประการหนึงว่า
ั หล ักสา
จะต้องเป็นกรณีทจํ ี าต้องกระทําเพือป้องก ันสทิ ธิของตนเอง หรือผูอ ้ นให้
ื พน้ จากภย ันตราย หากย ังมี
วิธอี นที
ื จะหลีกเลียงภย ันตรายได้โดยไม่ตอ ้ งกระทําการอ ันกฎหมายบ ัญญ ัติไว้วา่ เป็นความผิดแล้ว
บุคคลก็ตอ ้ งเลือกเอาวิธอ ี นน
ื นั
สําหร ับข้อเท็จจริงทีเกิดขึนนี จะเห็นได้วา ่ นายขว ัญตามกระบือไปท ันแล้ว โดยไม่มค ี นร้าย
อยูข ่ ณะนน ั ย่อมจะนําเอากระบือกล ับคืนไปได้ โดยไม่ตอ ิ
้ งแย่งชงหรือทําร้ายต่อผูใ้ ด การทีนายขว ัญ
ก ับซุม ่ รออยู่ และยิงคนร้ายจนถึงแก่ความตาย จึงไม่ถอ ื เป็นกรณีทจํ ี าต้องกระทําเพือป้องก ัน นาย
ขว ัญย่อมมีความผิดฐานฆ่าคนตาย (น ัย ฎ 1250/2502 ประชุมใหญ่)

เป็ นการกระทําพอสมควรแก่เหตุ
นายผาดซึงเป็ นคนสงบเสงียมเรียบร ้อยถูกนายโผนซึงเป็ นนั กเลงอันธพาลหาเรืองชกต่อยทําร ้าย
บาดเจ็บในร ้ายขายของชํา นายผาดล ้มลงแล ้วนายโผนก็ยังกระทืบซําหลายครัง และไม่มท ี ท
ี า่ ว่าจะเลิกรา
นายผาดกลัวว่านายโผนจะฆ่าตน จึงคว ้าขวานผ่าฟื นของเจ ้าของร ้านทีวางอยูใ่ กล ้มือฟั นไปทีแข ้งของนายโผน
1 ที เป็ นแผลเหวอะหวะ นายโผนล ้มลงนอนดินครวญคราง นายผาดลุกขึนฟั นซําแล ้วซําอีกด ้วยความกลัวว่า
นายโผนจะลุกขึนมาทําร ้ายตนจนนายโผนถึงแก่ความตาย นายผาดมีความผิดหรือไม่เพียงใด
ตาม ปอ. มาตรา 68 การป้องก ันสท ิ ธิของตนหรือของผูอ ้ นให้
ื พน ้ จากภย ันตรายทีใกล้จะ
ถึง จะต้องกระทําไปพอสมควรแก่เหตุ จึงจะได้ร ับยกเว้นความผิด แต่ถา้ กระทําไปเกินสมควรแก่เหตุ
ตามมาตรา 69 ศาลจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ ได้ และถ้ากระทําไปเพราะความตืนเต้น ความตกใจกล ัว
หรือความกล ัว ศาลจะไม่ลงโทษผูก ้ ระทําก็ ได้
จากอุทาหรณ์ กรณีนายผาดใชข ้ วานฟันนายโผนไปหนึงที จนนายโผนได้ร ับบาดแผลที
แข้งเหวอะหวะล้มลงนอนดินครวญคราง ถือว่าภย ันตรายได้หมดสนลงแล้ ิ ว หากนายผาดจะกระทํา
ไปเพียงเท่านนย่ั อมเป็นการกระทําทีพอสมควรแก่เหตุ แต่การทีนายผาดย ังคงฟันซําแล้วซําอีกจน
นายโผนถึงแก่ความตาย เพราะย ังไม่หายกล ัวนายโผนนน ั ถือว่าเป็นการกระทําทีทีเกินสมควรแก่
เหตุ ไม่ได้ร ับยกเว้นความผิด แต่ศาลอาจไม่ลงโทษนายผาดเลยก็ ได้ตาม ปอ. มาตรา 69

ความยินยอมให้กระทําและเหตุอน ื
1. ในบางกรณี ถ ้าผู ้เสียหายยินยอมให ้กระทําการอย่างหนึงอย่างใดและยินยอมนันไม่ขัดต่อความสงบ
เรียบร ้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู ้กระทําก็ไม่มค ี วามผิดทางอาญา
2. ถ ้าบุคคลมีหน ้าทีทีปฏิบัตต
ิ ามคําสังโดยชอบของเจ ้าพนั กงาน บุคคลนั นไม่ต ้องรับผิดในทางอาญา
แม ้ว่าจะได ้กระทําการซึงกฎหมายบัญญัตไิ ว ้ว่าเป็ นความผิด

ความยินยอมให้กระทํา
ความยินยอมของผู ้เสียหายทีไม่กอ ่ ให ้เกิดความรับผิดในทางอาญาในบางกรณีนัน มีหลักเกณฑ์
อย่างไรบ ้าง
มีหลักเกณฑ์คอ ื
(1) ต ้องเป็ นความยินยอมทีไม่ขัดต่อความสงบเรียบร ้อยหรือศิลธรรมอันดีของประชาชน
(2) ต ้องเป็ นความยินยอมทีให ้ไว ้ต่อผู ้กระทําก่อนหรือขณะกระทําการอันกฎหมายบัญญัตไิ ว ้ว่าเป็ น
ความผิด
(3) ต ้องเป็ นความยินยอมโดยสมัครใจ


การกระทําตามคําสงโดยชอบของเจ้ าพน ักงาน
ปอ.ได ้บัญญัตถ
ิ งึ เรืองการกระทําตามคําสังโดยชอบของเจ ้าพนั กงานไว ้ หรือไม่ อย่างไร และคําสัง
โดยชอบของเจ ้าพนั กงานนันเป็ นอย่างไร
ตาม ปอ. มิได้มบ ี ทบ ัญญ ัติทกล่ ั
ี าวถึงการกระทําตามคําสงโดยชอบของเจ้ าพน ักงานไว้แต่
อย่างไร ซงต่ึ างจากกฎหมายล ักษณะอาญาทีบ ัญญ ัติวา ั
่ การกระทําตามคําสงโดยชอบด้ วยกฎหมาย
ไม่ตอ
้ งร ับโทษ และตาม ปพพ. บ ัญญ ัติวา่ การกระทําตามคําสงโดยชอบด้ั วยกฎหมายไม่ตอ ้ งใชค้ า่

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


40

สนิ ไหมทดแทน อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มบ ี ทบ ัญญ ัติด ังกล่าวใน ปอ. แต่ยอ ่ มมีผลโดยปริยายว่า เมือ
ผูอ ั อํานาจออกคําสงโดยชอบด้
้ อกคําสงมี ั วยกฎหมายระเบียบแบบแผน ผูป ั ยอ
้ ฏิบ ัติตามคําสงก็ ่ ม
ปฏิบ ัติตามคําสงน ั นโดยชอบเช
ั ่ ก ัน


คําสงโดยชอบของเจ้ าพน ักงานนน ั ในชนต้ั นผูส ั องเป็นเจ้าพน ักงานและมีอํานาจออก
้ งต้
คําสงน ั นได้
ั โดยชอบกฎหมายระเบียบแบบแผน สว ่ นคําสงน ั นไม่
ั จา ั
ํ ต้องระบุวา่ เป็นคําสงเสมอไป อาจ
ใชถ ้ อ ั
้ ยคําอย่างอืนทีมีความหมายว่าสงให้ ึ
กระทําตาม ซงอาจเป ็ นข้อตกลงหรือสญญาอย่ ั างใดอย่าง
หนึง ซงถ้ ั
ึ าไม่กระทําตามย่อมถือว่าผิดสญญาก็ ได้

แบบประเมินผล หน่วยที 8 เหตุยกเว้นความผิด

1. เหตุยกเว ้นความผิดคือ เหตุบางเหตุซงมี ึ อยูใ่ นขณะกระทําความผิดและเป็นเหตุสา ํ ค ัญทีทําให้


ผูก้ ระทําสามารถกระทําการนนได้ ั โดยไม่มค ี วามผิดอาญา
2. กฎหมายให ้อํานาจกระทําได ้ หมายความว่า กฎหมายให้อํานาจบุคคลกระทําการใดๆได้โดย
ชอบ แม้การนนจะฝ ั ่ าฝื นบทบ ัญญ ัติกฎหมายอาญาซงกํ ึ าหนดความผิดและโทษไว้ บุคคลนนก็ ั ไม่ม ี
ความผิด
3. กรณีทถื ี อว่ากฎหมายให ้อํานาจกระทําได ้คือ เจ้าของทีดินมีอํานาจต ัดรากไม้ซงรุ ึ กเข้ามาจาก
ทีดินติดต่อ และเอาไว้เสย ี โดยไม่มค ี วามผิดฐานทําให้เสย ี ทร ัพย์หรือล ักทร ัพย์
4. จารีตประเพณีให ้อํานาจกระทําได ้หมายความว่า จารีตประเพณีให้อํานาจบุคคลกระทําการใดได้
โดยชอบ แม้การกระทํานนจะฝ ั ่ าฝื นบทบ ัญญ ัติกฎหมายอาญา ึ าหนดความผิดและโทษไว้
ซงกํ
บุคคลนนก็ ั ไม่มค ี วามผิด
5. กรณีทจะถื ี อว่าจารีตประเพณีให ้อํานาจกระทําได ้คือ พระตีทา ํ โทษลูกศษ ิ ย์ ึ
ซงประพฤติ ผ ิด
ร้ายแรง
6. สิทธิ หมายความว่า ประโยชน์ใดๆ ทีกฎหมายร ับรองคุม ้ ครองให้
7. การป้ องกันสิทธิโดยชอบด ้วยกฎหมาย หมายความว่า บุคคลอาจกระทําการสงใดได้ ิ โดยไม่ม ี
ความผิดถ้าเป็นการกระทําเพือป้องก ันสท ิ ธิของตนหรือของผูอ ้ นโดยชอบด้
ื วยกฎหมาย
8. กรณีทถื ี อว่าเป็ นการป้ องกันสิทธิโดยชอบด ้วยกฎหมายคือ ตํารวจยิงผูร้ า้ ยทีกําล ังจ้องปื นยิงใส่
ราษฎร
9. กรณีทถื ี อว่าเป็ นความยินยอมให ้กระทําความผิดได ้และทําให ้ผู ้กระทําไม่มค ี วามผิด เช่น คนไข้ทา ํ
หน ังสอ ื ยินยอมให้นายแพทย์ทา ํ การผ่าต ัดสมอง
10. กรณีทถื ี อว่าเป็ นการกระทําตามคําสังโดยชอบของเจ ้าพนั กงานไม่เป็ นความผิด เช่น กรณีนายเขียว
ใชร้ ถบรรทุกก ัญชาของกลางไปสถานีตํารวจทีนายตํารวจจ้างให้บรรทุกไป
11. ตํารวจชันผู ้ใหญ่จับผู ้ต ้องหาด ้วยตนเองได ้โดยไม่ต ้องมีหมายจับ ถือว่ากฎหมายให้อํานาจ กระทํา
ได้
12. สมาชิกสภาผู ้แทนราษฎรปราศรัยเปิ ดโปงความผิดของนายดํารัฐมนตรีทเวที ี ปราศรัยบริเวณ
สนามหลวงโดยไม่สจ ุ ริต กฎหมายไม่ให้ อํานาจกระทําได้
13. พระเฆียนตีศษ ิ ย์เพืออบรมสังสอนมิให ้พกอาวุธ ถือว่าจารีตประเพณีให้อํานาจกระทําได้
14. จารีตประเพณีไม่ให้อํานาจกระทําได ้ เช่น นายเหลืองเข ้าไปเก็บผลมะม่วงทีตกหล่นอยูใ่ นสวน
มะม่วงของนายแสดเพือเอาไปขาย
15. ผู ้ตายถือขวานใหญ่บก ุ รุกเข ้าไปจะทําร ้ายจําเลยถึงในบ ้านจําเลยจึงฟั นผู ้ตายถูกไหล่ซ ้าย ขวานตก
จากมือ ผู ้ตายล ้มลงหยิบขวานและร ้องเรียกให ้พรรคพวกมาช่วย จําเลยจึงฟั นซําอีกหลายที ถือว่าเป็นการ
ป้องก ันโดยชอบด้วยกฎหมาย
16. ภริยายืนคุยกับชายแปลกหน ้าในทีลับ สามีเห็นเข ้าจึงเกิดความหึงหวงจึงทําร ้ายชายนั นได ้รับบาดเจ็บ
ไม่ถอ ื ว่า เป็นการป้องโดยชอบด้วยกฎหมาย
17. นายม่วงบุกรุกขึนไปบนเรือนของนายคราม และเงือมีดไปทีนายครามนั งอยู่ นายครามเข ้าต่อสู ้แย่งมีด
มาได ้ และใช ้มีดนั นแทงนายม่วงได ้ทันที 1 ครัง ในขณะทีแย่งมีดกัน ถูกทีหน ้าอกซ ้ายเหนือราวนม นายม่วง
ถึงแก่ความตาย ถือว่าเป็นการป้องก ันพอสมควรแก่เหตุ
18. นางสาวแจ๋วยินยอมให ้แพทย์ผา่ ตัดเสริมจมูก ถือได ้ว่าเป็ น ความยินยอมให้กระทําความผิดซงึ
ผูก ้ ระทําไม่มค ี วามผิด
19. นายอ่อนยินยอมให ้แพทย์ผา่ ตัดเนืองอกในสมอง แพทย์ได ้ทําการผ่าตัดอย่างสุดความสามารถ แต่
นายอ่อนถึงแก่ความตายเพราะการผ่าตัด กรณีนถื ี อว่า แพทย์ไม่ตอ ้ งร ับผิดฐานทําให้คนตายโดยไม่

เจตนา เพราะผูเ้ สยหายยินยอมให้กระทํา
20. นายดําลูกจ ้างของกรมป่ าไม ้ตัดโค่นไม ้หวงห ้ามทีเป็ นโรคตามคําสังของป่ าไม ้เขตเพือการบํารุงรักษา
ป่ าตามหลักวิชาการป่ าไม ้ ถือว่าเป็นการปฏิบ ัติตามคําสงโดยชอบของเจ้ ั าพน ักงานซงไม่ ึ มค ี วามผิด

หน่วยที 9 เหตุยกเว้นโทษ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


41

1. บุคคลไม่ต ้องรับโทษทางอาญาหากได ้กระทําความผิดด ้วยความจําเป็ น


2. บุคคลไม่ต ้องรับโทษทางอาญา ถ ้าได ้กระทําตามคําสังทีมิชอบของเจ ้าพนั กงานซึงตนมีหน ้าทีต ้อง
ปฏิบัตต
ิ าม
3. บุคคลไม่ต ้องรับโทษทางอาญาหากเป็ นเด็กอายุไม่เกินสิบสีปี
4. สามีภริยาซึงกระทําความผิดต่อกันในความผิดบางประเภทซึงเกียวกับทรัพย์กฎหมายยกเว ้นโทษให ้

9.1 การกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
1. หากบุคคลกระทําความผิดด ้วยความจําเป็ น เพราะอยูใ่ นทีบังคับหรือภายใต ้อํานาจซึงไม่สามารถ
หลีกเลียงขัดขืนได ้ และกระทําไปพอสมควรแก่เหตุ บุคคลนั นไม่ต ้องได ้รับโทษ
2. หากบุคคลกระทําความผิดด ้วยความจําเป็ นเพราะเพือให ้พ ้นจากภยันตรายทีใกล ้จะถึง และไม่
สามารถหลีกเลียงให ้พ ้นโดยวิธอ
ี นได
ื ้ หากกระทําไปพอสมควรแก่เหตุบค ุ คลนั นไม่ต ้องได ้รับโทษเช่นเดียวกัน

9.1.1 กระทําความผิดด ้วยความจําเป็ นเพราะอยูใ่ นทีบังคับหรือภายใต ้อํานาจ


นายหมืนใช ้ปื นขูบ
่ ังคับนายแสนให ้เขียนจดหมายหมินประมาทนายล ้านตามคําสังของตน ถ ้าขัดขืนจะ
ยิงให ้ตาย นายแสนจึงยอมเขียนจดหมายหมินประมาทมอบให ้กับนายหมืนไปใช ้ประมาทนายล ้านตามความ
ประสงค์ ถามว่านายแสนมีความผิด และถูกลงโทษฐานหมินประมาทนายล ้านหรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 67 บ ัญญ ัติไว้มใี จความว่า ผูใ้ ดกระทําความผิดด้วยความจําเป็นเพราะอยู่
ในทีบ ังค ับหรือภายใต้อํานาจซงไม่ ึ สามารถหลีกเลียงได้ ถ้าการกระทํานนไม่ ั เกินสมควรแก่เหตุ ผูน
้ น

ไม่ตอ้ งร ับโทษ
จากปัญหา นายแสนตกอยูภ ่ ายใต้อํานาจอาวุธปื นของนายหมืน ซงไม่ ึ สามารถหลีกเลียง

หรือข ัดขืนได้ จึงต้องยอมเขียนจดหมายหมินประมาทนายล้านตามคําสงของนายหมืน จึงถือได้วา่
กระทําความผิดด้วยความจําเป็น เพราะอยูภ ึ
่ ายใต้อํานาจซงไม่ สามารถหลีกเลียงหรือข ัดขืนได้ และ
ได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุนายแสนจึงได้ร ับยกเว้นโทษในความผิดฐานหมินประมาท

9.1.2 กระทําความผิดด ้วยความจําเป็ นเพราะเพือให ้พ ้นจากภยันตราย


เมือปี กลายฝนตกหนั กจนท่วมนาข ้าวของนายแก ้วเสียหายหมดสิน พอปี นีพอฝนเริมตกมาไม่มาก
นายแก ้วกลัวว่าฝนจะตกจนท่วมนาข ้าวของตนเสียหายอีก จึงรีบขุดระบายนํ าจากนาของตนผ่านถนนสาธารณะ
ไปยังคลองระบายนํ าจนประชาชนสัญจรไปมาไม่สะดวก ถามว่า นายแก ้วมีความผิดตาม ปอ. มาตรา 385
หรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 67(2) เรืองการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นเพือหลีกเลียงให้พน ้
ภย ันตราย มีหล ักสําค ัญอยูป่ ระการหนึงว่า ภย ันตรายทีเกิดขึนนนต้ ั องเป็นภย ันตรายทีใกล้จะถึง หาก
ภย ันตรายนนยั ังอยูห่ า่ งไกลย่อมไม่เข้าเงือนไขยกเว้นโทษตามมาตรา 67(2) นี
จากกรณีอท ุ าหรณ์ ฝนเพียงเริมตกลงมาไม่มาก ภย ันตรายทีจะเกิดขึน คือนําท่วมต้นข้าวใน
นาย ังมาไม่ถงึ และไม่เป็นการแน่นอนว่าปี นีฝนจะตกหน ักจนนําท่วมนาหรือไม่ เมือภย ันตรายย ังไม่
ใกล้จนถึงนายแก้วย่อมไม่อาจอ้างความจําเป็นตามมาตรา 67(2) เพือเป็นข้อแก้ต ัวไม่ตอ ้ งร ับโทษได้
นายแก้วจึงต้องมีความผิดและต้องร ับโทษตาม ปอ. มาตรา 385 (น ัย ฎ 734/2529)

9.2 ความไม่สามารถร ับผิดชอบและความอ่อนอายุ


1. หากบุคคลกระทําความผิดในขณะไม่สามารถรับผิดชอบหรือบังคับตนเองได ้ เพราะมีจต ิ บกพร่องโรค
จิต หรือจิตฟั นเฟื อน บุคคลนันได ้รับการยกเว ้นโทษ
2. หากบุคคลเสพสุราหรือสิงมึนเมาโดยไม่รู ้ว่าสิงนันจะทําให ้มึนเมาหรือถูกขืนใจให ้เสพ และได ้กระทํา
ความผิดในขณะทีไม่สามารถรู ้ผิดชอบหรือบังคับตนเองได ้เพราะความมึนเมา บุคคลนั นได ้รับการยกเว ้นโทษ
เช่นเดียวกัน
3. เด็กอายุไม่เกินสิบสีปี โดยสภาพจิตใจถือว่ายังไม่อาจจะรู ้ผิดชอบชัวดีหากกระทําความผิด เด็กนัน
ได ้รับยกเว ้นโทษ

9.2.1 กระทําความผิดในขณะจิตผิดปกติ
นายสุรบาล เป็ นพยานศาลในคดีฆา่ คนตาย ซึงตนเห็นคนร ้ายกําลังฆ่าบุตรชายของตนเองอยู่ แต่ใน
ชันเบิกความต่อศาล นายสุรบาล กลับให ้การว่าตนไม่เห็นเหตุการณ์ ไม่ทราบว่าบุตรชายของตนถูกฆ่าตาย
และไม่เคยมีบต ุ รชายแต่อย่างใด พนั กงานอัยการโจทย์พยายามซักถามอย่างหนั ก แต่พยานกลับให ้การเลอะ
เลือนจําอะไรไม่ได ้เลย ทังๆทีเหตุการณ์เพิงผ่านมาเพียงเดือนเศษ อัยการจึงแจ ้งให ้พนั กงานสอบสวน
ดําเนินคดีกบ
ั นายสุรบาล ฐานเบิกความเท็จ พนั กงานสอบสวนได ้ส่งนายสุรบาลไปให ้จิตแพทย์ตรวจ
จิตแพทย์รายงานว่านายสุรบาลเป็ นโรคทีเกิดจากพิษสุรา เรียกว่า Korsakov’s Psychosis ทําให ้ความจําแคบ
ลงอย่างเห็นได ้ชัดและเป็ นอยูน
่ าน จําเหตุการณ์ทเพิี งผ่านมาไม่ได ้ ไม่เข ้าใจกาลเวลาอย่างลึกซึงและพูด
ตอแหล ถามว่า นายสุรบาลมีความผิดและต ้องรับโทษฐานเบิกความเท็จหรือไม่

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


42

ตาม ปอ. มาตรา 65 ผูใ้ ดกระทําความผิดในขณะไม่สามารถรูผ ้ ิดชอบหรือไม่สามารถบ ังค ับ


ตนเองได้ เพราะมีจ ิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟันเฟื อน ผูน ้ นไม่
ั ้ งร ับโทษสําหร ับความผิดนน
ตอ ั
จากปัญหา ปรากฏว่านายสุรบาลเป็นโรคจิตคอร์ซาคอฟว์ มีอาการจําเหตุการณ์ทเพิ ี งผ่าน
มาไม่ได้และพูดตอแหลน่าเชอว่ ื าการเบิกความต่อศาลไปเชน ่ นน
ั เป็นเพราะไม่รส ู้ กึ ผิดชอบหรือไม่
สามารถบ ังค ับตนเองได้ หากรูส ึ ผิดชอบหรือสามารถบ ังค ับตนเองได้แล้ว น่าเชอว่
้ ก ื านายสุรบาลจะ
ไม่เบิกความเท็จอย่างแน่นอน เพราะคดีด ังกล่าวบุตรชายของตนถูกฆ่าตาย บิดาย่อมต้องมุง ่ หว ังให้
คนร้ายถูกลงโทษ ทงการให้
ั การก็ เลอะเลือนอย่างไม่นา่ จะเป็นไปได้ ย่อมไม่มข ี อ ั
้ สงสยเลยว่ านาย
สุรบาลกระทําเพือชว ่ ยเหลือคนร้ายให้พน ้ ผิดหรือเพราะเกรงกล ัวอ ันตรายจะเกิดขึนก ับตน
กรณีนนายสุ
ี รบาลมีความผิดฐานเบิกความเท็จ แต่ได้ร ับยกเว้นโทษ ตาม ปอ. มาตรา 65

9.2.2 กระทําความผิดในขณะมึนเมา
บุคคลทีเป็ นโรคจิตจากพิษสุราหรือจากยาเสพติดได ้กระทําความผิดในขณะทีไม่สามารถรู ้ผิดชอบ
หรือในขณะทีไม่สามารถบังคับตนเองได ้ บุคคลนันจะได ้รับยกเว ้นโทษหรือไม่ อย่างไร
บุคคลนนได้
ั ร ับยกเว้นโทษตาม ปอ. มาตรา 65 โดยตรง เพราะถือว่ากระทําผิดในขณะทีไม่
รูส ึ ผิดชอบ หรือไม่สามารถบ ังค ับตนเองได้เพราะโรคจิตตามมาตรา 65 มิใชก
้ ก ่ รณีมน
ึ เมาเพราะเสพ

สุราหรือสงเมาอย่างอืนตาม ปอ. มาตรา 66

9.2.3 เด็กอายุไม่เกินสิบสีปี กระทําความผิด


เด็กอายุ 1 ขวบเศษเห็นพีเลียงนอนหลับและกรนเสียงดัง รู ้สึกกึงกลัว กึงรําคาญ จึงเอาของแข็งที
วางอยูใ่ กล ้ตัว ทุบทีปากของพีเลียงเพือให ้หยุดกรน ทําให ้ฟั นของพีเลียงหัก 1 ซี โดยทีเด็กไม่รู ้ว่าการทีตน
กระทําเช่นนันจะทําให ้พีเลียงได ้รับบาดเจ็บ ถามว่า เด็กนันมีความผิดฐานทําร ้ายร่างกายหรือไม่ อย่างไร
ตาม ปอ.มาตรา 73 เด็กอายุไม่เกินเจ็ดปี กระทําการอ ันกฎหมายบ ัญญ ัติวา ่ เป็นความผิดเด็ก
นนไม่
ั ตอ ึ
้ งร ับโทษซงหมายความว่ า เด็กนนจะต้
ั องมีความรูส ึ ผิดชอบเพียงพอทีจะเข้าใจว่าตนตน
้ ก
กําล ังกระทําสงใด ิ และจะเกิดผลอําไรขึนจากการกระทํานน ั แต่ถา้ เด็ กนนย
ั ังเป็นทารกไม่รไู ้ ม่เข้าใจ
ิ ตนกระทํา ถือว่าย ังไม่รส
ถึงสงที ู ้ ํานึกในการกระทํา จึงไม่ตอ ้ งมีความร ับผิดในทางอาญา ตาม ปอ.
มาตรา 59 เพราะขาดเจตนา
จากอุทาหรณ์ เด็กอายุเพียง 1 ขวบเศษ ย ังไม่รส ู ้ ํานึกในการทีกระทํา ไม่เข้าใจว่าการทีตน
เอาของแข็ งทุบตีปากของพีเลียงจะทําให้พเลี ี ยงได้ร ับบาดเจ็บ เข้าใจแต่เพียงว่าจะทําให้พเลี ี ยงหยุด
กรนได้เท่านน ่ นี มิใชก
ั เชน ่ รณี ตาม ปอ. มาตรา 73 ซงเด็ ึ กได้ร ับยกเว้นโทษ แต่เป็นกรณีทเด็ ี กไม่
ต้องร ับผิดในทางอาญา ตาม ปอ. มาตรา 59

ั มิชอบด้วยกฎหมายและความเป็นสามีภริยา
9.3 การกระทําตามคําสงที
1. ถ ้าบุคคลมีหน ้าทีต ้องปฏิบัตต
ิ ามคําสังของเจ ้าพนั กงาน แม ้คําสังนั นจะมิชอบด ้วยกฎหมายผู ้นั นก็ไม่
ควรรับโทษจากการกระทําของตน เว ้นแต่จะรู ้ว่าคําสังนันมิชอบด ้วยกฎหมาย
2. สามีภริยากระทําความผิดต่อกันในความผิดบางประเภท ซึงไม่กระทบต่อความสงบเรียบร ้อยหรือ
ศีลธรรมอันดีของประชาชนควรได ้รับการยกเว ้นโทษ

ั มิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพน ักงาน
9.3.1 การกระทําตามคําสงที
เหตุใดกฎหมายจึงต ้องยกเว ้นโทษให ้แก่ผู ้ปฏิบัตต ิ ามคําสังทีมิชอบของเจ ้าพนั กงานตามมาตรา 70
เหตุทกฎหมายต้
ี องยกเว้นโทษให้แก่ผป ั มิชอบของเจ้าพน ักงานตามมาตรา
ู ้ ฏิบ ัติตามคําสงที
70 เนืองจากผูก ื
้ ระทํามีหน้าทีหรือเชอโดยสุ จริตว่ามีหน้าทีต้องปฏิบ ัติตาม ถ้าลงโทษก็ จะไม่เป็นธรรม
แก่เขา อีกทงั เพือจะมิให้ผอ ู ้ ยูใ่ ต้บ ังค ับบ ัญชาต้องเกิดความไม่แน่ใจในความถูกต้องของคําสงของ ั
ผูบ
้ ังค ับบ ัญชา อ ันจะเกิดผลเสย ี ต่อการปฏิบ ัติงานราชการทวๆไปได้ ั

ทีว่าบุคคลมีหน ้าทีต ้องปฏิบัตต


ิ ามคําสังของเจ ้าพนั กงานนัน หน ้าทีดังกล่าวกําหนดไว ้ด ้วยหรือไม่
หน้าทีของบุคคลตามมาตรา 70 นน ั อาจกําหนดไว้ในกฎหมาย ระเบียบแบบแผน คําสงั
ทวไปหรื
ั ั
อคําสงเฉพาะคราวก็ ได้

ทีว่าเชือโดยสุจริตว่ามีหน ้าทีต ้องปฏิบัตต


ิ ามคําสังของเจ ้าพนั กงานนั นเป็ นเช่นไร

ทีว่าเชอโดยสุ ั
จริตว่ามีหน้าทีปฏิบ ัติตามคําสงของเจ้ าพน ักงานนน ั กล่าวคือ ผูซ ึ
้ งได้ ร ับคําสงั

ของเจ้าพน ักงานเชอโดยไม่ตด ั
ิ ใจสงสยว่าตนต้องทําตามคําสงนน ั ั ถ้าไม่กระทําตามตนอาจจะต้องมี
ความผิด ทางอาญาหรือต้องร ับโทษทางวิน ัยแล้วแต่กรณี บุคคลประเภทนีอาจจะได้แก่ บุคคลผูอ ้ ยู่
ใต้บ ังค ับบ ัญชาของเจ้าพน ักงานต้องปฏิบ ัติตามคําสงต่ ั างๆ อยูเ่ สมอจึงเกิดความเชอม ื นโดยไม่
ั มขี อ ้

สงสยใดๆ ว่าตนมีหน้าทีต้องปฏิบ ัติตามคําสงเจ้ ั าพน ักงานนนในกรณี
ั อนๆด้ื วย หรือบุคคลผูร้ ับคําสงั
ก ับเจ้าพน ักงานผูอ ั ความสมพ
้ อกคําสงมี ั ันธ์ก ันตามระเบียบแบบแผนอย่างใดอย่างหนึง ึ ็น
ซงเป
ชอ ่ งทางให้เกิดความเข้าใจเชอถื ื อไปว่าตนมีหน้าทีต้องปฏิบ ัติตามคําสงของเจ้ ั าพน ักงานนน ั เชน ่

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


43

ลูกบ้านก ับผูใ้ หญ่บา้ น เป็นต้น หรือบุคคลผูน ้ นอาจเป


ั ็ นผูอ้ ยูใ่ นอํานาจควบคุมดูแลของเจ้าพน ักงาน
ตามกฎหมาย จึงเชอโดยสุ ื ั
จริตว่าเจ้าพน ักงานมีอํานาจสงให้ ตนกระทําการอย่างใดอย่างหนึง เชน ่
น ักโทษก ับผูค ้ ม
ุ เป็นต้น

9.3.2 สามีภริยากระทําความผิดต่อก ันในความผิดบางประเภท


สามีภรรยากระทําความผิดต่อกันหมายความว่าอย่างไร
สามีภริยากระทําความผิดต่อก ันหมายความว่า สามีหรือภริยาเป็นผูก ้ ระทําความผิดโดย
ลําพ ังผูเ้ ดียว เป็นต ัวการร่วมก ันก ับผูอ
้ น
ื เป็นผูก
้ อ
่ ให้ผอ
ู ้ นกระทํ
ื าความผิดหรือเป็นผูส ้ น ับสนุนผูอ
้ น

กระทําความผิด และภริยาหรือสามีเป็นผูเ้ สย ี หายโดยตรงในการกระทําความผิดนน ั เชน ่ สามีเป็นผู ้
ล ักทร ัพย์ของภริยา สามีรว่ มก ับผูอ้ นล
ื ักทร ัพย์ของภริยา สามีใชค ้ นอืนล ักทร ัพย์ของภริยา เป็นต้น

ถ ้าสามีภริยากระทําความผิดต่อกันในความความผิดตามทีระบุไว ้ในมาตรา 71 หรือมีผู ้อืนเป็ นตัวการ


ผู ้ก่อให ้กระทําความผิด หรือผู ้สนั บสนุนด ้วยผู ้อืนนันได ้รับยกเว ้นโทษตามมาตรา 71 ด ้วยหรือไม่อย่างไร
ผูอ้ นที
ื เป็นต ัวการร่วมกระทําความผิดด้วยสามีหรือภริยา เป็นผูก ้ อ
่ ให้สามีหรือภริยากระทํา
ความผิดต่อก ันหรือเป็นผูส ้ น ับสนุนให้สามีหรือภริยากระทําความผิดต่อก ันไม่ได้ร ับยกเว้นโทษตาม
มาตรา 71 เพราะเหตุยกเว้นโทษตามมาตรา 71 เป็นเหตุสว่ นต ัวของสามีหรือภริยาตามมาตรา 89

ถ ้าสามีภริยาร่วมกันกระทําความผิดตามทีระบุไว ้ในมาตรา 71 ต่อบุคคลภายนอก สามีภริยาจะได ้รับ


การยกเว ้นโทษตามมาตรา 71 วรรคแรกหรือไม่ อย่างไร
สามีภริยาทีร่วมก ันกระทําความผิดต่อบุคคลภายนอก ไม่ได้ร ับการยกเว้นโทษตามมาตรา
71 วรรคแรกเพราะไม่ใชเ่ ป็นกรณีทสามี ี หรือภริยากระทําผิดต่อก ันแต่อย่างใด

แบบประเมินผล หน่วยที 9 เหตุยกเว้นโทษ

1. เหตุยกเว ้นโทษ หมายความว่า เหตุทยกเว้ ี นเฉพาะโทษแต่ไม่ยกเว้นความผิด


2. การกระทําความผิดด ้วยความจําเป็ น หมายความว่า ผูก ้ ระทําความผิดอยูใ่ นทีบ ังค ับหรือภายใต้
อํานาจซงไม่ ึ สามารถหลีกเลียงเพือข ัดขืนได้
3. กรณีทเป็ ี นการกระทําความผิดด ้วยความจําเป็ น คือ พน ักงานด ับเพลิงทํารายรวบ้ ั านเพือสก ัดต้น
เพลิง
4. การกระทําความผิดขณะจิตผิดปกติ หมายความว่า กระทําความผิดในขณะไม่สามารถรูผ ้ ิดชอบ
หรือไม่สามารถบ ังค ับตนเองได้ เพราะมีจ ิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟันเฟื อน
5. การกระทําความผิดในขณะมึนเมาได ้จะรับการยกเว ้นโทษถ ้าหาก ถูกขืนใจให้เสพสงมึ ิ นเมาจน
บ ังค ับตนเองไม่ได้
6. เด็กกระทําความผิดไม่ต ้องรับโทษ หากเด็กนัน มีอายุไม่เกิน 14 ปี
7. ผู ้กระทําตามคําสังทีมิชอบของเจ ้าพนั กงานได ้รับยกเว ้นโทษ ถ ้าหาก มีหน ้าทีต ้องปฏิบัตต ิ ามคําสังนัน
8. สามีภริยา กระทําผิดต่อกันในความผิดบางประเภทจะได ้รับยกเว ้นโทษ ถ ้าหาก จดทะเบียนสมรส
ก ัน
9. สามีภริยากระทําผิดต่อกันในความผิดฐานใดจึงได ้รับยกเว ้นโทษ ทําให้เสย ี ทร ัพย์
10. กรณีตอ ่ ไปนีไม่ได้ร ับการยกเว้นโทษในการกระทําความผิด เช่น เจ้าพน ักงานสงให้ ั ยงิ คนร้ายที
หลบหนีทคุ ี มข ัง
11. นายหอมไม่ไปคัดเลือกทหารตามหมายนั ด เพราะนายหวลใช ้ปื นบังคับมิให ้ไป ถือว่าเป็ นการกระทํา
ความผิดด ้วยความจําเป็ นเพราะอยูใ่ นทีบังคับหรือภายใต ้อํานาจซึงไม่สามารถหลีกเลียงหรือขัดขืนได ้
12. นายระบาดถูกงูเห่ากัด เพราะไปตีกบในทุง่ นา นายระเบียนจึงลักรถจักรยานยนต์ของนายระบมพานาย
ระบาดไปฉีดเซรุม ่ เพราะไม่มย ี านพาหนะอย่างใดทีจะพาไปให ้ได ้ทันท่วงที ถือเป็นกระทําความผิดด้วย
ความจําเป็นเพราะเพือให้ตนเองหรือผูอ ้ นพ้
ื นจากภย ันตรายทีใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลียงให้
พ้นโดยวิธอ ี นใดได้
ื เมือภย ันตรายนนตนมิ
ั ได้กอ
่ ให้เกิดขึนเพราะความผิดของตน
13. นายเหียม นายโหด และเด็กชายหอยโดยสารเรือไปในทะเล เรือได ้อัปปางคนทังสามลงเรือลํา
เดียวกันลอยลําอยูใ่ นทะเลเป็ นเวลาหลายวัน นายเหียมและนายโหดหิวโหยจนทนไม่ได ้ เห็นเด็กชายหอยใกล ้
จะตายเพราะอดอาหารและนํ า จึงร่วมกันฆ่าเด็กชายหอยกินเป็ นอาหาร ทําให ้รอดตาย กรณีนถื ี อว่า นาย
เหียมและนายโหดมีความผิด และต้องร ับโทษฐานฆ่าคนตาย เพราะการฆ่าเด็กชายหอยเป็นอาหาร
มิใชว่ ธิ ส
ี ด
ุ ท้ายทีจะหลีกเลียงให้พน ้ ภย ันตรายคือความตายเพราะการอดอาหาร
14. นายจู๋เป็ นโรคตอแหลอันเกิดจากพิษสุราชอบพูดโกหกโดยบังคับตนเองไม่ได ้ เมือไปเบิกความทีศาล
จึงเกิดความเท็จ เรืองนีผู ้กระทําได ้รับการยกเว ้นโทษเพราะกระทําความผิดในขณะจิตผิดปกติตาม ปอ.มาตรา
65
มาตรา 65 ผู ้ใดกระทําความผิดในขณะไม่สามารถรู ้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได ้ เพราะมีจต ิ
บกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั นเฟื อน ผู ้นันไม่ต ้องรับโทษสําหรับความผิดนั น

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


44

แต่ถ ้าผู ้กระทําความผิดยังสามารถรู ้ผิดชอบอยูบ ่ ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได ้บ ้าง ผู ้นั นต ้องรับโทษ


สําหรับความผิดนัน แต่ศาลจะลงโทษน ้อยกว่าทีกฎหมายกําหนดไว ้สําหรับความผิดนั นเพียงใดก็ได ้
15. นายซอกเป็ นโรคจิตเชือว่าโลกจะแตก จึงฆ่านายซอนถึงแก่ความตายเพือช่วยโลกมิให ้แตก กรณีนี
ถือว่า ศาลจะลงโทษนายซอกน ้อยกว่าทีกฎหมายกําหนดไว ้ สําหรับความผิดฐานฆ่าคนตายเพียงใดก็ได ้ หาก
ปรากฏข ้อเท็จจริงเพิมเติมว่า นายซอกไม่มันใจในความเชือของตนนั ก และยังมีความคิดในขณะทีฆ่านายซอน
ว่าตนอาจติดคุกฐานฆ่าคนตาย
16. นายอิมกินเห็ดเมาโดยไม่รู ้ว่าเป็ นเห็ดเมาเป็ นเหตุให ้มึนเมาจนบังคับตนเองไม่ได ้ เอาดาบไล่ฟันนาย
อ่วม บาดเจ็บ กรณีนีผู ้กระทําได ้รับการยกเว ้นโทษสําหรับความผิดทีกระทํา
17. ตาม ปอ.มาตรา 74 บัญญัตวิ า่ เด็กอายุกว่า 7 ปี แต่ยังไม่เกิน 14 ปี กระทําการอันกฎหมายบัญญัต ิ
เป็ นความผิด เด็กนนไม่ ั ตอ้ งร ับโทษ แต่ให้ศาลมีอํานาจทีจะดําเนินการ ด ังต่อไปนีคือ ว่ากล่าวต ักเตือน
เด็ กนนแล้
ั วปล่อยต ัวไป และถ้าศาลเห็นสมควรทีจะเรียกบิดามารดาผูป ้ กครองหรือบุคคลทีเด็ กนน ั
อาศยอยูั ม
่ าต ักเตือนด้วยก็ได้
มาตรา 74 เด็กอายุกว่าเจ็ดปี แต่ยังไม่เกินสิบสีปี กระทําการอันกฎหมายบัญญัตไิ ว ้เป็ นความผิด เด็กนั นไม่
ต ้องรับโทษแต่ให ้ศาลมีอํานาจทีจะดําเนินการดังต่อไปนี
(1) ว่ากล่าวตักเตือนเด็กนัน แล ้วปล่อยตัวไป และถ ้าศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดามารดา ผู ้ปกครอง หรือ
บุคคลทีเด็กนันอาศัยอยูม ่ าตักเตือนด ้วยก็ได ้
(2) ถ ้าศาลเห็นว่าบิดามารดา หรือผู ้ปกครองสามารถดูแลเด็กนั นได ้ ศาลจะมีคําสังให ้มอบตัวเด็กนันให ้แก่
บิดามารดา หรือผู ้ปกครองไป โดยวางข ้อกําหนดให ้บิดามารดาหรือผู ้ปกครองระวังเด็กนั นไม่ให ้ ก่อเหตุร ้าย
ตลอดเวลาทีศาลกําหนด ซึงต ้องไม่เกินสามปี และกําหนด จํานวนเงินตามทีเห็นสมควร ซึงบิดามารดาหรือ
ผู ้ปกครองจะต ้อง ชําระต่อศาลไม่เกินครังละหนึงพันบาทในเมือเด็กนันก่อเหตุร ้ายขึน
ถ ้าเด็กนั นอาศัยอยูก ่ ับบุคคลอืนนอกจากบิดามารดาหรือผู ้ปกครอง และศาลเห็นว่าไม่สมควร จะเรียก
บิดามารดาหรือผู ้ปกครองมาวางข ้อกําหนดดังกล่าวข ้างต ้นศาลจะเรียกตัวบุคคลทีเด็กนันอาศัยอยูม ่ า สอบถาม
ว่า จะยอมรับข ้อกําหนดทํานองทีบัญญัตไิ ว ้สําหรับบิดามารดา หรือผู ้ปกครองดังกล่าวมาข ้างต ้น หรือไม่ก็ได ้
ถ ้าบุคคลทีเด็กนั นอาศัยอยูย ่ อมรับข ้อกําหนดเช่นว่านั น ก็ให ้ศาลมีคําสังมอบตัวเด็ก ให ้แก่บค ุ คลผู ้นั นไปโดย
วางข ้อกําหนดดังกล่าว
(3) ในกรณีทศาลมอบตัี วเด็กให ้แก่บดิ ามารดา ผู ้ปกครองหรือ บุคคลทีเด็กนั นอาศัยอยูต่ าม (2) ศาลจะ
กําหนดเงือนไขเพือคุมความ ประพฤติเด็กนันเช่นเดียวกับทีบัญญัตไิ ว ้ใน มาตรา 56 ด ้วยก็ได ้ ใน กรณีเช่นว่า
นี ให ้ศาลแต่งตังพนั กงานคุมประพฤติหรือพนั กงานอืนใด เพือคุมประพฤติเด็กนั น
(4) ถ ้าเด็กนั นไม่มบ ี ดิ ามารดาหรือผู ้ปกครอง หรือมีแต่ศาลเห็นว่าไม่สามารถดูแลเด็กนันได ้ หรือถ ้าเด็ก
อาศัยอยูก ่ ับบุคคลอืนนอกจากบิดามารดาหรือผู ้ปกครองและบุคคลนั นไม่ยอมรับข ้อกําหนดดังกล่าวใน (2)
ศาลจะมีคําสังให ้มอบตัวเด็กนั นให ้อยูก ่ ับบุคคลหรือองค์การทีศาลเห็นสมควร เพือดูแลอบรมและสังสอนตาม
ระยะเวลาทีศาลกําหนดก็ได ้ในเมือบุคคลนั นหรือองค์กรนั นยินยอม ในกรณีเช่นว่านีให ้บุคคลหรือองค์การนั นมี
อํานาจเช่นผู ้ปกครองเฉพาะเพือดูแล อบรมและสังสอน รวมตลอดถึงการกําหนดทีอยู่ และการจัดให ้เด็กมีงาน
ทําตามสมควร หรือ
(5) ส่งตัวเด็กนั นไปโรงเรียน หรือสถานฝึ กอบรม หรือสถานทีซึงจัดตังขึนเพือฝึ กและอบรมเด็ก ตลอด
ระยะเวลาทีศาลกําหนดแต่อย่าให ้เกินกว่าทีเด็กนั นจะมีอายุครบสิบแปดปี
คําสังของศาลในข ้อ (2) (3) (4) และ (5) นั น ถ ้าในขณะใดภายในระยะเวลาทีศาลกําหนดไว ้ ความ
ปรากฏแก่ศาลโดยศาลรู ้เองหรือตามคําเสนอของผู ้มีสว่ นได ้เสีย พนั กงานอัยการ หรือบุคคลหรือองค์กรทีศาล
มอบตัวเด็กเพือดูแลอบรมและสังสอนหรือเจ ้าพนั กงานว่าพฤติการณ์เกียวกับคําสังนันได ้เปลียนแปลงไป ก็ให ้
ศาลมีอาํ นาจเปลียนแปลงแก ้ไขคําสังนั น หรือมีคําสังใหม่ตามอํานาจในมาตรานี
18. พลตํารวจได ้รับคําสังจากนายตํารวจให ้ทําร ้ายผู ้ต ้องหาเพือให ้รับสารภาพตามทีเคยปฏิบต ั มิ า ดังนี ผู ้
ทีกระทําตามคําสงของเจ้ ั าพน ักงานต้องร ับโทษ
19. สามีรว่ มกับผู ้อืนชิงทรัพย์ของภริยาตนเอง สามีตอ ้ งร ับโทษในความผิดทีกระทํา
20. เด็กอายุ 2 ขวบ กระทําการอันกฎหมายบัญญัตไิ ว ้เป็ นความผิด เด็ กนนไม่ ั มค
ี วามผิดเพราะย ังไร้
เดียงสาไม่รส ํ
ู ้ านึกว่าตนกําล ังกระทําความผิด

หน่วยที 10 เหตุลดโทษ

1. บุคคลอาจได ้รับการลดโทษหากได ้กระทําความผิดขณะบันดาลโทสะ


2. บุคคลอาจได ้รับการลดโทษเช่นกัน หากได ้กระทําความผิดโดยไม่รู ้ว่ามีกฎหมายอันบัญญัตไิ ว ้เป็ น
ความผิด เป็ นญาติใกล ้ชิดกระทําความผิดต่อกันในความผิดประเภท เป็ นบุคคลอายุกว่าสิบสีปี แต่ไม่เกินยีสิบปี
หรือมีเหตุบรรเทาโทษ

10.1 บ ันดาลโทสะ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


45

1. ผู ้ทีจะอ ้างเหตุบันดาลโทสะเพือการลดหย่อนโทษได ้จะต ้องถูกข่มเหงอย่างร ้ายแรง และด ้วยเหตุอนั


ไม่เป็ นธรรม
2. กระทําความผิดต่อผู ้ข่มเหงจะต ้องกระทําในขณะทีมีการข่มเหงนั น จึงจะถือว่าเป็ นการกระทําโดย
บันดาลโทสะ

10.1.1 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอ ันไม่เป็นธรรม


นายดําและนายแดงต่างก็มน ึ เมาสุรา นั งอยูใ่ นร ้านขายสุรา แต่นังกินคนละโต๊ะ ต่างฝ่ ายต่างก็ไม่พอใจ
ซึงกันและกัน สักครูน ่ ายดําชักอาวุธปื นยิงนายแดงออกไป 1 นั ด ได ้รับบาดเจ็บ นายแดงจึงชักปื นยิงตอบโต ้
ไป ถูกนายดําถึงแก่ความตาย ถามว่า นายแดงจะอ ้างว่ากระทําไปโดยบันดาลโทสะได ้หรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 72 มีหล ักว่า ผูใ้ ดบ ันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงด้วยเหตุอ ันไม่เป็นธรรม จึง
กระทําความผิดต่อผูข ้ ม
่ เหงในขณะนน ั ศาลจะลงโทษผูน ้ นน้
ั อยกว่าทีกฎหมายกําหนดไว้สา ํ หร ับ
ความผิดนนเพีั ยงใดก็ ได้
จากอุทาหรณ์ แม้นายดําและนายแดงต่างมึนเมา และไม่พอใจซงก ึ ันและก ัน แต่นายดําก็ ไม่
มีความชอบธรรมอ ันใดทีจะยิงนายแดง โดยนายแดงก็ หาได้เป็นผูก ้ อ
่ เหตุแต่อย่างใดอย่างหนึงจน
ถึงก ับเป็นการยวยุ
ั นายดํา ฉะนน ั การทีนายดํายิงนายแดงถือเป็นการข่มเหงนายแดง และเป็นข่มเหง
นายแดงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอ ันไม่ชอบธรรม เมือนายแดงเกิดบ ันดาลโทสะ ชกปื ั นยิงโต้ตอบไป
ขณะนน ั จึงถือว่าเป็นการกระทําโดยบ ันดาลโทสะตามมาตรา 72 (น ัย ฎ 2298/2531)

10.1.2 กระทําความผิดต่อผูข
้ ม
่ เหงในขณะนน

นายเหลืองข่มขืนกระทําชําเรานางม่วงภริยานายคราม นายครามกับมาถึงบ ้านทราบจากนางม่วงว่า
นายเหลืองเพิงจะลงจากเรือนไป นายครามเกิดโทสะคว ้าปื นไล่ตามนายเหลืองไป ระหว่างทางพบนายแสด
บิดานายเหลือง จึงยิงนายแสดถึงแก่ความตาย เพราะโกรธนายเหลือง ถามว่า นายครามจะอ ้างเหตุบันดาล
โทสะได ้หรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 72 การกระทําบ ันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอ ันไม่
เป็นธรรมนน ั จะต้องเป็นการกระทําต่อผูข ้ ม
่ เหงนนั แต่ตามอุทาหรณ์ นายแสดมิได้เป็นผูข ้ ม
่ เหงหรือ
ร่วมก ันในการข่มเหง แม้จะเป็นบิดาของนายเหลืองก็มไิ ด้มส ี ว่ นในการข่มเหงร ังแกแต่อย่างใด การที
นายครามยิงนายแสดแม้จะยิงเพราะโกรธนายเหลืองก็ ไม่อาจอ้างว่ามาทําเพราะบ ันดาลโทสะตาม
มาตรา 72 ได้

10.2 เหตุลดโทษอืนๆ
1. บุคคลใดไม่อาจแก ้ตัวว่าไม่รู ้กฎหมายเพือให ้พ ้นความรับผิดทางอาญาได ้ แต่ถ ้ามีหลักฐานแน่ชด ั ว่า
บุคคลนั นไม่รู ้ว่ามีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้เช่นนัน ก็อาจจะได ้รับการปราณีลดโทษ
2. ถ ้าบุพการีกับผู ้สืบสันดาน หรือพีน ้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทําความผิดต่อกันในความผิดบาง
ประเภท ผู ้กระทําผิดอาจได ้รับการลดโทษ
3. ถ ้าผู ้กระทําผิดยังเยาว์วัย จะถือว่ารู ้ผิดชอบชัวดีบริบรู ณ์แล ้วไม่ได ้ จึงอาจได ้รับการลดโทษให ้ตาม
ควรแก่อายุ
4. ถ ้าก่อน ขณะ หรือภายหลังกระทําความผิด ได ้มีเหตุบรรเทาโทษอย่างใดอย่างหนึง ผู ้กระทํา
ความผิดอาจได ้รับการลดโทษเช่นเดียวกัน

10.2.1 กระทําความผิดโดยไม่รว ู้ า่ กฎหมายบ ัญญ ัติไว้เป็นความผิด


นางสาวแมรี เป็ นชาวอังกฤษ เดินทางมาทัศนาจรประเทศไทย นางสาวแมรี เดินเปลือยอกทีชายหาด
เมืองพัทยาต่อหน ้าผู ้คน จึงถูกตํารวจจับฐานกระทําการอันควรขายหน ้าต่อหน ้าธารกํานัลตาม ปอ. มาตรา 388
นางสาวแมรีปฏิเสธว่าไม่รู ้ว่ากฎหมายไทยบัญญัตวิ า่ การกระทํานันเป็ นความผิด และขอสู ้คดีในศาล ถ ้าท่าน
เป็ นผู ้พิพากษา ซึงนั งพิจารณาคดีนีจะปฏิบัตอ
ิ ย่างไรกับจําเลย
ตาม ปอ. มาตรา 64 บุคคลจะแก้ต ัวว่าไม่รก ู ้ ฎหมายเพือให้พน ้ ความร ับผิดทางอาญาไม่ได้
แต่ถา้ ศาลเห็นว่าตามสภาพและพฤติการณ์ผก ู ้ ระทําความผิดอาจไม่รว ู ้ า่ กฎหมายบ ัญญ ัติวา่ การ
กระทํานนเป ั ็ นความผิด ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหล ักฐานต่อศาล และถ้าศาลเชอว่ ื า ผูก
้ ระทํา
ไม่รวู ้ า่ กฎหมายบ ัญญ ัติไว้เชน่ นน
ั ศาลจะลดโทษน้อยกว่าทีกฎหมายกําหนดไว้สา ํ หร ับความผิดนน ั
เพียงใดก็ได้
กรณีน ี ถ้าศาลเห็นว่านางสาวแมรีเป็นชาวต่างชาติ ซงเดิ ึ นทางเข้ามาประเทศไทย ปกติแล้ว
ชาวยุโรปอาจเปลือยออกในทีสาธารณะต่อหน้าธารกําน ัลได้ จําเลยเป็นชาวยุโรป อาจไม่รวู ้ า่
กฎหมายไทยถือว่าการเปลือยอกต่อหน้าธารกําน ัลเป็นความผิด ศาลอาจอนุญาตให้จําเลยแสดง
พยานหล ักฐานด ังกล่าวแล้วต่อศาล และถ้าศาลเชอว่ ื าจําเลยไม่รวู ้ า
่ กฎหมายบ ัญญ ัติไว้เชน ่ นน
ั ศาล
จะลงโทษน้อยกว่าทีกฎหมายกําหนดไว้สา ํ หร ับความผิดนนเพี ั ยงใดก็ได้ ซงตาม ึ ปอ. มาตรา 388 มี
โทษปร ับไม่เกิน 500 บาท ศาลอาจลดโทษเท่าใดก็ ได้ตงแต่ ั หนึงสตางค์จนถึงห้าร้อยบาท แต่ศาลจะ
ไม่ลงโทษเลยก็ ได้

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


46

10.2.2 ญาติใกล้ชด ิ กระทําความผิดต่อก ันในความผิดบางประเภท


นายต ้นเป็ นพีชายของนายตาล นายต ้นมีบต ุ รชายทีชอบด ้วยกฎหมาย 3 คน คือนายกิง นายก ้าน และ
นายผล มีบต ุ รสาวคนเล็กทีชอบด ้วยกฎหมาย 1 คน คือนางดอกไม ้ นางดอกไม ้มีบต ุ รกับสามีทไม่ี ได ้จด
ทะเบียน 1 คน ชือนางสาวเกสร ต่อมา นางดอกไม ้กับนายผลร่วมกันวิงราวสร ้อยคอนางสาวเกสรไปแบ่งให ้กับ
นายต ้น นายตาล นายกิง และนายก ้าน คนละ 1 ส่วน ถามว่า นายต ้น นายตาล นายกิง นายก ้าน นายผล และ
นางดอกไม ้ จะได ้รับการลดหย่อนผ่อนโทษตาม ปอ. มาตรา 71 หรือไม่ อย่างไร
ตาม ปอ.มาตรา 71 ถ้าผูบ ้ พุ การีก ับผูส ้ บ ั
ื สนดานกระทํ าความผิดต่อก ันในความผิดมาตรา
334 ถึงมาตรา 336 วรรคแรก และมาตรา 341 ถึงมาตรา 364 แม้กฎหมายจะมิได้บ ัญญ ัติให้เป็น
ความผิดอ ันยอมความก ันได้ ก็ ให้เป็นความผิดอ ันยอมความก ันได้ และศาลจะลงโทษน้อยกว่าที
กฎหมายกําหนดไว้สําหร ับความผิดนนเพี ั ยงใดก็ ได้ ึ บ
ซงผู ้ พ
ุ การีนน ั จะต้องเป็นผูส ื สายโลหิต
้ บ
โดยตรงขึนไป และผูส ้ บ ั
ื สนดานก็ จะต้องเป็นผูส ้ บื สายโลหิตโดยตรงลงมา ทงจะต้ ั องมีความสมพ ั ันธ์
ก ันโดยชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย
ตามอุทาหรณ์ นางดอกไม้รว่ มก ับนายผลวิงรางทร ัพย์นางเกสรถือว่าบุคคลทงสองมี ั
ความผิดตาม ปอ. มาตรา 336 วรรคแรก เมือวิงราวทร ัพย์แล้วก็นําไปมอบให้แก่นายต้น นายตาล
นายกิง และนายก้าน บุคคลทงส ั จึ ี งมีความผิดตาม ปอ. มาตรา 357 ฐานร ับของโจร ปัญหาว่า
ผูก้ ระทําความผิดทงหกคนจะได้
ั ร ับการลดหย่อนโทษตามมาตรา 71 หรือไม่นนั จะต้องแยก
พิจารณาเป็นแต่ละคนไป กล่าวคือ
นางดอกไม้แม้จะมิได้จดทะเบียนก ับสามี แต่ตาม ปพพ. ถือว่านางดอกไม้เป็นมารดาทีชอบ
ด้วยกฎหมายของนางสาวเกสร นางดอกไม้จ ึงได้ร ับการลดหย่อนโทษตามมาตรา 71 นนก็ ั คอ ื แม้
ความผิดฐานวิงราวทร ัพย์จะมิใชเ่ ป็นความผิดอ ันยอมความได้ ก็ถอ ื เป็นความผิดอ ันยอมความได้ แต่
ถ้าไม่มก ี ารยอมความก ัน ศาลจะลงโทษนางดอกไม้นอ ้ ยกว่าทีกฎหมายกําหนดเพียงใดก็ได้
สําหร ับนายผล นายกิง และนายก้านมีศกดิ ั เป็นลุงของนางสาวเกสร มิใชเ่ ป็นผูบ ้ พุ การี จึง
ไม่ได้ร ับการลดหย่อนโทษ ตามมาตรา 71 นีแต่อย่างใด
สว่ นนายต้นเป็นพ่อทีชอบด้วยกฎหมายของนางดอกไม้ และเป็นตาทีชอบด้วยกฎหมายของ
นางสาวเกสร นายต้นจึงได้ร ับการลดหย่อนโทษตามมาตรา 71 เชน ่ เดียวก ับนางดอกไม้ แต่นายตาล
แม้จะถือว่าเป็นตาของนางสาวเกสร ก็ มใิ ชผ ่ บ
ู้ พ
ุ การี เพราะมิได้สบ ื สายโลหิตโดยตรงขึนไป นายตาล
จึงไม่ได้ร ับลดหย่อนโทษตามมาตรา 71

10.2.3 บุคคลอายุกว่าสบ ิ สปีี แต่ไม่เกินยีสบ ิ ปี กระทําความผิด


การใช ้ดุลพินจ
ิ ของศาลของ ปอ. มาตรา 75 กับมาตรา 76 แตกต่างกันอย่างไร
ตาม ปอ. มาตรา 75 ให้ศาลใชด ้ ุลพินิจว่าจะสมควรพิพากษาลงโทษจําเลยหรือไม่ ถ้าศาล
เห็นว่าไม่สมควรพิพากษาลงโทษ ก็ ให้จ ัดการตามมาตรา 74 แต่ถา้ ศาลเห็นสมควรพิพากษาลงโทษ
ก็ ให้ศาลลดมาตราสว่ นโทษทีกําหนดไว้สา ํ หร ับความผิดลงกึงหนึง
แต่ตามมาตรา 76 ให้ศาลใชด ้ ล
ุ พินิจว่าสมควรจะลดมาตราสว่ นโทษให้แก่จา ํ เลยหรือไม่ ถ้า
ศาลเห็นสมควรก็ ให้ลดมาตราสว่ นโทษทีกําหนดไว้สา ํ หร ับความผิดนนลงหนึ
ั งในสามหรือกึงหนึงก็ ได้
แต่ถา้ ศาลไม่เห็นสมควรลดมาตราสว ่ นโทษให้ ก็ ให้ลงโทษทีกําหนดไว้สําหร ับความผิดนน ั

10.2.4 มีเหตุบรรเทาโทษ
ในคดีฆา่ คนตาย จําเลยซึงให ้การรับสารภาพชันสอบสวน ได ้มาให ้การปฏิเสธชันศาล อัยการโจทก์
นํ าประจักษ์พยานเข ้าสืบยืนยันความผิดของจําเลย 10 ปาก และมีพยานแวดล ้อมกรณีอก ี หลายปากรับฟั งได ้
สอดคล ้องต ้องกันว่าจําเลยเป็ นคนร ้ายฆ่าคนตายจริง ถึงแม ้จําเลยจะไม่ให ้การรับสารภาพชันสอบสวน ศาลก็ม ี
พยานหลักฐานเพียงพอทีจะลงโทษจําเลยตามฟ้ องได ้ เช่นนี ถ ้าจําเลยยืนฎีกาขอให ้ศาลลดโทษให ้เพราะคํา
รับสารภาพชันสอบสวน เป็ นประโยชน์ในชันพิจารณา ถ ้าท่านเป็ นศาลฎีกาจะลดโทษแก่จําเลยเพราะเหตุ
บรรเทาโทษหรือไม่
ตาม ปอ.มาตรา 78 เมือปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึง
หนึงของโทษทีจะลงแก่ผก ู ้ ระทําความผิดก็ ได้ เหตุบรรเทาโทษเหตุหนึงได้แก่ ผูก ้ ระทําความผิดให้
ความรูแ ้ ก่ศาลอ ันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
ตามอุทาหรณ์ แม้จา ั
ํ เลยให้การร ับสารภาพชนสอบสวน ั
แต่จําเลยก็ ให้การปฏิเสธในชนศาล
อ ัยการโจทก์ได้นําประจ ักษ์พยานเข้าสบ ื ยืนย ันความผิดของจําเลยถึง 10 ปาก และมีพยานแวดล้อม
กรณีอก ี หลายปาก ร ับฟังได้วา่ จําเลยเป็นคนร้ายฆ่าคนตายจริง ถึงแม้จา ํ เลยจะไม่ให้การร ับสารภาพ

ชนสอบสวน ศาลก็มพ ั
ี ยานหล ักฐานเพียงพอทีจะลงโทษจําเลยได้ คําให้การชนสอบสวนของจํ าเลย
จึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลฎีกาจะไม่ลดโทษให้แก่จา ํ เลย
เพราะมีเหตุบรรเทาโทษตาม ปอ. มาตรา 78

แบบประเมินผล หน่วยที 10 เหตุลดโทษ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


47

1. เหตุลดโทษหมายความว่า เหตุตามทีกฎหมายระบุไว้ใชเ้ ป็นเกณฑ์ลดโทษให้แก่ผก ู ้ ระทํา


ความผิด
2. บันดาลโทสะ หมายความว่า ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอ ันไม่เป็นธรรมจึงกระทํา
ความผิดต่อผูข ้ ม่ เหงในขณะนน ั
3. ผู ้กระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะได ้รับโทษ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าทีกฎหมายกําหนดไว้
เพียงใดก็ได้
4. กรณีทได ี ้รับโทษเพราะกระทําโดยบันดาลโทสะ เช่น นายเหลืองทําร้ายร่างการนายม่วงเพราะ
นายม่วงกําล ังทําอนาจารภริยานายเหลือง
5. ภาษิตกฎหมายทีว่า “ทุกคนต ้องรู ้กฎหมาย” มีผลใช ้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญาคือ จะแก้ต ัว
ว่าไม่รก ู ้ ฎหมายอาญาเพือให้พน ้ ความร ับผิดในทางอาญาไม่ได้
6. กรณีตอ ่ ไปนีศาลอาจอนุญาตให ้แสดงหลักฐานเพือพิสจ ู น์วา่ ผู ้กระทําผิดไม่รู ้กฎหมายบัญญัตไิ ว ้ว่าการ
กระทํานั นเป็ นความผิด เช่น นายคน ัง เงาะซาไก ใชล ้ ก
ู ดอกยิงสตว์ ั ป่าคุม ้ ครองตาย
7. เหลนลักทรัพย์ทวด มีผลตามกฎหมายคือ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าทีกฎหมายกําหนดไว้สําหร ับ
ความผิดฐานล ักทร ัพย์เพียงใดก็ ได้
8. น ้องชายฉ ้อโกงพีสาวร่วมบิดามารดา มีผลตามกฎหมายคือ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าทีกฎหมาย
กําหนดไว้สําหร ับความผิดฐานฉ้อโกงเพียงใดก็ ได้
9. เหตุบรรเทาโทษ เช่นโฉดเขลาเบาปัญญา
10. เหตุบรรเทาโทษเช่น ยากจนค่นแค้น
11. บิดาเอามีดใหญ่ไล่แทงบุตร เพราะโกรธทีบุตรไม่ให ้เงินใช ้ บุตรปั ดมีดดาบหลุดจากมือบิดา แล ้วหยิบ
มีดนันขึนมาทําร ้ายบิดาในทันที กรณีนถื ี อว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอ ันไม่เป็นธรรม
12. นายเขืองต่อว่าพลตํารวจเข่งว่ามองหน ้าทําไมเป็ นตํารวจหรือไม่เป็ นตํารวจไม่สาํ คัญ พลตํารวจเข่ง
โกรธจึงชกนายเขืองฟั นหัก 1 ซี ข้อนีไม่ถอ ื ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอ ันไม่เป็นธรรม
13. นายม่วงขึนไปบนเรือนายครามพบแต่ภริยาของนายครามอยูค ่ นเดียว จึงคุกครามเกียวกราดเป็ น
ทํานองข่มเห็ง ภริยานายครามร ้องขึน นายม่วงก็ลงจากเรือไป พอดีนายครามกลับมาเกือบจะถึงบ ้านได ้ยิน
เสียงภริยาร ้อง และเมือถึงบ ้านก็ทราบเรืองจากภริยา เกิดอารมณ์โกรธ ตามนายม่วงไปทันห่างจากเรือน 6-7
เส ้น จึงทําร ้ายนายม่วงถึงแก่ความตาย กรณีนถื ี อว่าเป็นการกระทําความผิดต่อผูข ้ ม่ เหงในขณะนน ั
14. นายชาติใช ้ไม ้ตีนายชัชบาดเจ็บสาหัสขณะกําลังด่าประจานตน ข้อนีถือว่าเป็นการกระทําโดย
บ ันดาลโทสะ
15. นายแหยงเอาดาบไล่ฟันชายหนุ่มซึงกอดจูบอยูก ่ ับน ้องสาวของตน กรณีนีไม่ถอ ื ว่าเป็ นการกระทําโดย
บันดาลโทสะ
16. นางรูบ ี ชาวอังกฤษ ไม่รู ้ว่าการเปลือยอกตามชายหาดต่อหน ้าธารกํานั ลเป็ นความผิดตาม ปอ.มาตรา
388 กรณีนี ศาลจะยอมให้ผก ู ้ ระทําแก้ต ัวได้วา่ ไม่รก ู ้ ฎหมายตาม ปอ.มาตรา 64
มาตรา 64 บุคคลจะแก ้ตัวว่าไม่รู ้กฎหมายเพือให ้พ ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได ้ แต่ถ ้าศาลเห็นว่า
ตามสภาพและพฤติการณ์ผู ้กระทําความผิดอาจจะไม่รู ้ว่ากฎหมายบัญญัตวิ า่ การกระทํานั นเป็ น ความผิด ศาล
อาจอนุญาตให ้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล และถ ้าศาลเชือว่า ผู ้กระทําไม่รู ้ว่ากฎหมายบัญญัตไิ ว ้เช่นนั นศาล
จะลงโทษน ้อย กว่าทีกฎหมายกําหนดไว ้ สําหรับความผิดนั นเพียงใดก็ได ้
17. ย่าลักทรัพย์ของยายทีฝากหลานไว ้ กรณีนไม่ ี ได้ร ับการลดโทษ
18. นายวีระอายุ 16 ปี กระทําความผิด ศาลต ้องพิจารณาว่า นายวีระมีความรูผ ้ ิดชอบสมควร
พิพากษาลงโทษหรือไม่เป็นอ ันด ับแรก
19. นางรําพึงเอาระเบิดมือเก่าๆ ขึนสนิม ซึงเก็บได ้จากกองขยะขว ้างทิงไป เพราะคิดว่าเป็ นระเบิดใช ้การ
ไม่ได ้แล ้ว แต่เกิดระเบิดขึนเป็ นเหตุให ้คนตายและบาดเจ็บ กรณีนถื ี อว่าเป็นการกระทําโดยโดยโฉดเขลา
เบาปัญญาอาจได้ร ับการบรรเทาโทษจากศาล
20. จําเลยให ้การในชันพนั กงานสอบสวนว่าตนได ้แทงผู ้ตายจริง แต่แกล ้งบิดเบือนข ้อเท็จจริงว่าผู ้ตายมี
อาวุธปื นจะใช ้ยิงตนก่อน ทังจําเลยยังหาปื นมาวางไว ้ใกล ้มือผู ้ตายเพืออําพรางรูปคดีตงแต่ ั แรกอีกด ้วย ใน
กรณีนไม่ ี ถอื ว่าเป็นการให้ความรูแ ้ ก่ศาลอ ันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาซงไม่ ึ เป็นเหตุบรรเทาโทษ
หน่วยที 11 ผูม ้ ส ่ นเกียวข้องในการกระทําผิด
ี ว

1. ตัวการในการกระทําความผิดคือ บุคคลทีมีการกระทําร่วมกันและเจตนาร่วมกับบุคคลอืนในการกระทํา
ความผิดอาญา
2. ผู ้ใช ้คือ บุคคลทีก่อให ้ผู ้อืนกระทําความผิด โดยทีตนเองมิได ้มีสว่ นร่วมกระทําความผิดนั นด ้วย ผู ้ใช ้
อาจเจาะจงให ้ผู ้บุคคลหนึงหรือวิธใี ช ้วิธโี ฆษณาหรือประกาศแก่บค
ุ คลทัวไปก็ได ้

11.1 ต ัวการ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


48

1. การกระทําร่วมกันอาจเป็ นกรณีบค ุ คลตังแต่ 2 คนขึนไป ร่วมกระทําส่วนใดส่วนหนึงอันเป็ น


องค์ประกอบความผิด หรือเป็ นการแบ่งหน ้าทีกันทํา หรือร่วมอยูใ่ นทีเกิดเหตุในลักษณะทีสามารถเข่า
ช่วยเหลือผู ้กระทําผิดคนอืนทันทีก็ได ้
2. การมีเจตนาร่วมกันของตัวการ หมายความว่า ผู ้กระทําผิดทุกคนได ้รู ้ถึงการกระทําของกันและกันและ
ต่างถือเอาการกระทําของคนอืนเป็ นการกระทําของตนเอง
3. ตัวการต ้องรับโทษตามทีกฎหมายกําหนดไว ้สําหรับความผิดนั น แต่ตวั การแต่ละคน อาจรับโทษไม่
เท่ากันก็ได ้

11.1.1 การกระทําร่วมก ัน
ขาวกับดําวางแผนร่วมกันเพือจะไปทําร ้ายแดง ขาวไปดักซุม ่ อยูใ่ นทีเปลียว ส่วนดําไปพูดจาชักชวน
ให ้แดงให ้เดินมายังทีทีขาวซุม ่ อยู่ พอได ้โอกาสขาวก็ใช ้ไม ้ตีศรี ษะแดงหลายครัง แดงได ้รับบาดเจ็บโลหิต
ไหล ดังนี ขาวและดํามีความผิดใดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ในกรณีความผิดได้เกิดโดยการกระทําของบุคคล
ตงแต่
ั สองคนขึนไป ผูท ้ ได้
ี รว่ มกระทําความผิดด้วยก ันนนเป ั ็ นต ัวการ
จากปัญหาแม้ดําจะมิได้ลงมือทําร้ายแดง แต่ก็มส ี ว่ นร่วมในการทําร้ายโดยไปพูดจาชกชวน ั
ล่อให้แดงมาถูกทําร้ายเป็นการแบ่งหน้าทีก ันทําระหว่างขาวก ับดํา ขาวและดําจึงเป็นต ัวการต้องร ับ
ผิดในความผิดฐานทําร้ายร่างกายผูอ ้ นจนเป
ื ็ นเหตุให้ได้ร ับอ ันตรายแก่กาย ตาม ปอ. มาตรา 295

11.1.2 เจตนาร่วมก ัน
มกราและกุมภาสมคบกันไปลักทรัพย์ของมีนา มกราปี นขึนไปบนบ ้านของมีนา และหยิบได ้สายสร ้อย
เพชรกับแหวนเพชรนํ ามาส่งให ้กุมภาและบอกให ้หลบหนีไปก่อน กุมภารับของมาแล ้วหลบหนีไป มกรากับขึน
ไปลักของคนอืนอีก พอดีมน ี าตืนขึน มกราจึงใช ้ปื นยิงมีนาตาย ดังนี กุมภาต ้องรับผิดทางอาญาอย่างไร
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ในกรณีความผิดได้เกิดขึนโดยการกระทําของ
บุคคลตงแต่
ั สองคนขึนไป ผูท ้ ได้
ี รว่ มกระทําความผิดด้วยก ันนนเป ั ็ นต ัวการ ต้องระวางโทษตามที
กฎหมายกําหนดไว้สําหร ับความผิดนน ั
จากปัญหาด ังกล่าวกุมภามีเจตนาเพียงล ักทร ัพย์มน ี า และขณะทีมกรายิงมีนา กุมภามิได้ยู่
ในทีเกิดเหตุแล้ว ถือไม่ได้วา ่ กุมภามีเจตนาร่วมก ันก ับมกราในการฆ่ามีนา เพราะฉะนนกุ ั มภาไม่ตอ
้ ง
ร ับผิดฐานชงิ ทร ัพย์และฆ่าผูอ้ น

11.1.3 ความร ับผิดของต ัวการ


นายสมกับนายศักดิร่วมกันชิงทรัพย์ข ้อเท็จจริงฟั งได ้ว่านายสมเป็ นคนลักเอาสายสร ้อยและทําร ้ายเจ ้า
ทรัพย์ ส่วนนายศักดิเป็ นคนดูต ้นทาง ดังนี ถ ้าศาลจะพิพากษาลงโทษจําคุกนายสม 10 ปี ศาลจะต ้องลงโทษ
นายศักดิ จําคุก 10 ปี ด ้วยหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ผูท ้ ได้
ี รว่ มกระทําความผิดด้วยก ันนนเปั ็ นต ัวการต้อง
ระวางโทษตามทีกฎหมายกําหนดไว้สําหร ับความผิดนน ั
จากปัญหากฎหมายกําหนดให้ต ัวการต้องระวางโทษเชน ่ เดียวก ัน แต่มไิ ด้หมายความว่า
โทษทีศาลจะลงแก่ต ัวการทุกคนจะต้องเท่าก ัน ด ังนนศาลไม่ ั จําเป็นต้องลงโทษนายศกดิ ั เท่านายสม

11.2 ผูใ้ ช ้
1. การก่อให ้ผู ้อืนกระทําผิด คือการทําให ้บุคคลอืนซึงยังไม่มเี จตนาทีจะกระทําความผิด ตกลงใจทีจะ
กระทําความผิดนัน
2. ผู ้ใช ้จะต ้องมีเจตนาก่อให ้ผู ้อืนกระทําผิดด ้วย ลําพังผู ้กระทําผิดตัดสินใจกระทําผิดเพราะคําพูดของ
ผู ้ใช ้โดยผู ้ใช ้มิได ้มีเจตนา ผู ้ใช ้ไม่ต ้องรับผิด
3. ความรับผิดของผู ้ใช ้ขึนอยูก ่ ับการกระทําของผู ้ถูกใช ้ ถ ้าผู ้ถูกใช ้มิได ้กระทําความผิด ผู ้ใช ้ต ้องระวาง
้ต
โทษหนึงในสามของความผิด ผู ้ใช ้องระวางโทษตามทีกฎหมายกําหนดไว ้สําหรับความผิดนัน

11.2.1 การก่อให้ผอ ู ้ นกระทํ


ื าผิด
ขาวต ้องการจะฆ่าดํา จึงให ้แดงไปติดต่อจ ้างมือปื นเพือยิงดําในราคา 80,000 บาท แดงไม่สามารถ
ติดต่อมือปื นได ้ พอดีตํารวจทราบเรือง จึงจับกุมขาวและแดง ดังนี ขาวและแดงต ้องรับผิดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 กฎหมายถือว่าผูก ้ อ
่ ให้ผอ
ู ้ นกระทํ
ื าความผิด เป็นผูใ้ ช ้
กระทําความผิด ถ้าผูถ ้ ก ้
ู ใชได้กระทําความผิด ผูใ้ ชตอ ้ ้ งร ับโทษเสมือนต ัวการ แต่ถา้ ความผิดย ังมิได้
กระทําลง ไม่วา่ จะเป็นเพราะผูถ ู ใชไ้ ม่ยอมกระทํา ย ังไม่ได้กระทํา หรือเหตุอนใด
้ ก ื ้ อ
ผูใ้ ชต ้ งระวาง
โทษเพียงหนึงในสามของโทษทีกําหนดไว้สา ํ หร ับความผิดนน ั

11.2.2 เจตนาของผูใ้ ช ้

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


49

แดงถูกดําข่มเหงรังแกรู ้สึกโกรธ จึงบ่นออกมาดังๆว่า ถ ้ามีใครทําให ้ดําตายได ้ ห ้าหมืนบาทก็ไม่


เสียดาย ทังนีแดงคิดว่าตนอยูแ่ ถวนันคนเดียว แต่เผอิญขาวได ้ยินคิดว่าจริงจึงไปยิงดําถึงแก่ความตาย ดังนี
แดงมีความผิดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 ผูก ้ อ
่ ให้ผอ ู ้ นกระทํ
ื าความผิดกฎหมายถือว่าเป็นผูใ้ ช ้
ให้กระทําความผิด ถ้าผูถ ู ใชไ้ ด้กระทําความผิดผูใ้ ชต
้ ก ้ อ
้ งร ับโทษเสมือนต ัวการ
แดงไม่มค ี วามผิด เพราะแดงไม่ทราบว่าจะมีคนได้ยน ิ คําพูดของตน จึงไม่มเี จตนาก่อให้
ผูอ
้ นกระทํ
ื าผิด

11.2.3 ความร ับผิดของผูใ้ ช ้


เหลืองจ ้างให ้ฟ้ าไปฆ่าแดง ฟ้ าตกลงรับจ ้างและไปดักซุม ่ อยู่ พอแดงเดินผ่านมาก็ยกปื นขึนจ ้องเล็ง
ไปทีแดงก็พอดีตํารวจผ่านมาจึงจับฟ้ าได ้ ดังนี เหลืองมีความผิดฐานใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 ผูท ้ ก่
ี อให้ผอ ู ้ นกระทํ
ื าความผิดด้วยการจ้างเป็นผูใ้ ช ้
กระทําความผิด ถ้าผูถ ้ กู ใชไ้ ด้กระทําความผิดนน ั ผูใ้ ชต้ อ
้ งร ับโทษเหมือนต ัวการและ มาตรา 80 ผูล ้ ง
มือกระทําความผิดแล้ว แต่กระทําไปไม่ตลอดผูน ้ นพยายามกระทํ
ั าความผิด
จากปัญหา ฟ้าได้ลงมือกระทําผิดแล้ว แต่กระทําไปไม่ตลอดจึงเป็นความผิดฐานพยายาม
ฆ่าผูอ
้ นโดยไตร่
ื ตรองไว้กอ ึ างฟ้าต้องร ับโทษเสมือนต ัวการ คือร ับโทษเชน
่ น เหลืองซงจ้ ่ เดียวก ับฟ้า

11.3 ผูใ้ ชโ้ ดยวิธโี ฆษณา หรือประกาศ


1. การใช ้โดยวิธโี ฆษณาเป็ นการใช ้โดยวิธป
ี ระกาศแก่บค ุ คลทัวไปไม่เจาะจงเฉพาะคนใดคนหนึง
2. ความรับผิดของผู ้ใช ้โดยวิธโี ฆษณาขึนอยูก่ ับการกระทําของผู ้ถูกใช ้ ถ ้าผู ้ถูกใช ้มิได ้กระทําผิด ผู ้ใช ้
ต ้องระวางโทษกึงหนึงของความผิด ถ ้าผู ้ถูกใช ้ลงมือกระทําความผิด ผู ้ใช ้ต ้องระวางโทษตามทีกฎหมาย
กําหนดไว ้สําหรับความผิดนั น

11.3.1 ล ักษณะการใชโ้ ดยวิธโี ฆษณาหรือประกาศ


แดงต ้องการฆ่าขาว จึงเรียกเหลือง ดํา และ ฟ้ า มาประชุมกันและถามว่าใครจะสามารถไปฆ่าขาวได ้
บ ้าง ดํารับอาสาไปฆ่าขาว แต่ยังไม่ทน ั ลงมือทําก็ถก ู จับเสียก่อน ดังนีแดงจะมีความผิดหรือไม่ เพียงใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 ผูท้ โฆษณาหรื
ี อประกาศแก่คนทวไปให้
ั กระทํา
ความผิดและความผิดนนมี ั กําหนดโทษไม่ตํากว่าหกเดือนต้องร ับโทษกึงหนึงของโทษทีกฎหมายได้
กําหนดไว้ และ มาตรา 84 ผูท ้ ก่
ี อให้ผอู ้ นกระทํ
ื าความผิดด้วยประการใดๆ เป็นผูใ้ ชใ้ ห้กระทํา
ความผิด ถ้าความผิดย ังไม่ได้กระทําลงด้วยเหตุใดก็ตาม ผูใ้ ชต ้ อ
้ งร ับโทษเพียงหนึงในสามของโทษ
ทีกําหนดไว้สา ํ หร ับความผิดนนั
จากปัญหาการใชข ้ องแดงมิใชก ่ ารประกาศหรือโฆษณา เพราะใชใ้ นกลุม ่ คนจําก ัดต ัว เมือ
ความผิดมิได้กระทําลงเพราะดําทีร ับอาสาไปฆ่าขาว ถูกเจ้าพน ักงานตํารวจจ ับเสย ี ก่อน แดงจึงร ับ
ผิดพียงหนึงในสาม

11.3.2 ความร ับผิดผูใ้ ชโ้ ดยวิธโี ฆษณาหรือประกาศ


พลตํารวจแสงวิงไล่ตามจับนายสอนคนร ้าย พลตํารวจแก ้วร ้องบอกแก่คนทีเดินผ่านไปมาช่วยกันรุม
ทําร ้ายนายสอน นายสมศักดิ ได ้ยินจึงคว ้ามีดเข ้าไปขวางหน ้านายสอนในระยะประชิดและเงือมีดจะฟั น พอดีม ี
คนมาจับตัวนายสมศักดิ ไว ้ได ้ ดังนี พลตํารวจแสงมีความผิดฐานใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 ผูท ้ โฆษณาหรื
ี อประกาศให้บค
ุ คลทวไปกระทํ
ั าผิด

ซงความผิดน นมี
ั กําหนดโทษไม่ตากว่ ํ าหกเดือน และมีผก ู ้ ระทําผิดนนตามโฆษณาหรื
ั อประกาศ ต้อง
ร ังโทษเสมือนต ัวการและ มาตรา 80 ผูท ้ ลงมื
ี อกระทําผิดแล้วแต่กระทําไปไม่ตลอด เป็นผูพ ้ ยายาม
กระทําความผิดต้องร ับโทษสองในสามสําหร ับความผิดนน ั
จากปัญหาพลตํารวจแสง ใชใ้ ห้นายสมศกดิ ั ทําผิดโดยการประกาศเมือนายสมศกดิ ั ลงมือ
กระทําผิดแล้ว พลตํารวจแสงต้องร ับโทษเสมือนต ัวการ คือร ับผิดฐานพยายามทําร้ายร่างกายผูอ ้ นื

แบบประเมินผล หน่วยที 11 ผูม ี ว่ นเกียวข้องในการกระทําความผิด


้ ส

1. ผู ้เกียวข ้องกับการกระทําผิดในลักษณะเป็ นตัวการหมายความว่า เป็นผูร้ ว่ มกระทําความผิด


2. คําว่า “ร่วมกระทําความผิดด ้วยกัน” ได ้แก่การกระทําความผิดในลักษณะ เช่น ข ับรถร ับสง่ ผูก
้ ระทํา
ผิด
3. พฤติการณ์ทถืี อว่าผู ้กระทํามีเจตนาร่วมกัน ได ้แก่ (ก) วางแผนเตรียมการก ันมาก่อน (ข) ทา
ด้วยก ัน เมือกระทําผิดแล้วก็ หลบหนีไปด้วยก ัน (ค) อยู่ในทีเกิดเหตุ พูดสน ับสนุนให้พวกของตนทํา
ความผิด

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


50

4. แดงและดําต ้องการจะปลอมลายมือชือของเขียว แดงจึงไปหาตัวอย่างลายมือของเขียวมา ส่วนดําทํา


ปลอมลายมือของเขียวลงในกระดาษ ดังนี แดงและดําเกียวข ้องกับการกระทําผิดคือ แดงและดําเป็นต ัวการ
ร่วมก ัน
5. แดงกับดําทะเลอะวิวาทกับขาว แดงเข ้าชกต่อยทําร ้ายขาว ส่วนดําชัดปื นออกมาขูค ่ นอืนๆ ไม่ให ้มา
ช่วยขาว ดังนี ดําเกียวข ้องกับการทําร ้ายร่างกายคือ เป็นต ัวการ
6. การก่อให ้ผู ้อืนกระทําผิดหมายถึง ทําให้ผอ ู ้ นต
ื ัดสน ิ ใจกระทําผิด
7. อาทิตย์จ ้างจันทร์ให ้ฆ่าพุธโดยใช ้ปื นยิง แต่จันทร์กลับวางยาพิษพุธ จนพุธถึงแก่ความตาย กรณีนี
อาทิตย์เกียวข ้องกับการฆ่าพุธในลักษณะ เป็นผูใ้ ชใ้ ห้กระทําผิด
8. การใช ้ให ้ผู ้อืนกระทําโดยการโฆษณา หมายถึง ใชบ ้ ค
ุ คลทวไปโดยไม่
ั เจาะจงผูก ้ ระทําผิด

9. ในการใช ้ผู ้อืนให ้ทําความผิด ถ ้าผู ้ถูกใช ้ไม่ยอมทํา ผูใ้ ชจะต้องร ับโทษหนึงในสามของความผิดที
ใช ้
10. แดงจับมือดําให ้ยิงขาว กรณีนไม่ ี ถอ ื ว่าแดงเป็นผูใ้ ชใ้ ห้ดํากระทําผิด
11. ผู ้เกียวข ้องกับการกระทําผิดในลักษณะเป็ นผู ้ใช ้หมายความว่า เป็นผูก ้ อ
่ ให้ผอ
ู ้ นกระทํ
ื าผิด
12. คําว่า “ร่วมกระทําผิดด ้วยกัน” ได ้แก่ การแบ่งหน้าทีก ันทํา
13. ภริยาช่วยจับแขนขวาของสาวใช ้ให ้สามีของตนข่มขืนกระทําชําเราดังนี ภริยามีความเกียวข ้องกับการ
ข่มขืนกระทําชําเราด ้วย โดยภริยาเป็นต ัวการร่วมก ับสามี
14. พฤติการณ์ ทีถือว่าแดงเป็ นตัวการร่วมกับดําในการฆ่าขาวคือ อยูใ่ นทีเกิดเหตุ เมือดําฆ่าขาวแล้วก็
หนีไปด้วยก ัน
15. สมบอกแสงให ้เอายาพิษไปใส่อาหารให ้สมศรี โดยบอกว่าเป็ นผงชูรส แสงหลงเชือจึงทําตาม เมือ
สมศรีรับประทานอาหารเข ้าไปก็ถงึ แก่ความตาย ดังนี สมเกียวข้องก ับการฆ่าสมศรีในฐานะ เป็นผูก ้ ระทํา
ผิดด้วยตนเอง
16. แดงบังคับให ้ดําชกขาว โดยบอกว่าถ ้าไม่ชกจะทุบกระจกรถยนต์ของขาว แดงต้องร ับผิดฐานเป็น
ผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิด
17. ขาวจับมือแดงให ้เหนียวไกปื นยิงดํา กรณีนี ไม่ถอ ื ว่าขาวเป็นผูใ้ ชใ้ ห้กระทําผิด
18. การโฆษณาให ้ผู ้อืนกระทําผิด และไม่มผ ี ู ้กระทํา ผู ้โฆษณาจะต ้องรับผิดต่อเมือความผิดทีโฆษณาให ้
ทํานันมีโทษไม่ตํากว่า หกเดือน
19. ขาวหลอกให ้แดงยิงดําโดยบอกว่าดําเป็ นศพ กรณีนถื ี อว่าเป็น Innocent Agent
20. สมศักดิยุยงให ้แสงไปยิงศักดิให ้ตาย โดยสมศักดิหาปื นมาให ้ แสงจึงตกลงใจจะฆ่าศักดิ แต่แล ้วยิง
ปื นไม่เป็ น จึงไปดักใช ้มีดแทงศักดิตาย ดังนี สมศกดิ ั เป็นผูใ้ ช ้ ในความผิดฐานฆ่าผูอ ้ น ื

หน่วยที 12 ผูม ี ว่ นเกียวข้องในการกระทําความผิด (ต่อ)


้ ส

1. ผู ้สนั บสนุนเป็ นผู ้ทีให ้ความช่วยเหลือหรือความสะดวกแก่ผู ้กระทําผิดก่อน หรือในขณะกระทํา


ความผิด
2. ในกรณีทผู ี ้ถูกใช ้หรือผู ้รับการสนั บสนุน กระทําความผิดเกินขอบเขตทีผู ้ใช ้หรือผู ้สนั บสนุนมีเจตนา
ผู ้ใช ้หรือผู ้สนั บสนุนต ้องรับผิดภายในขอบเขตแห่งเจตนาของตน
3. เหตุซงมี ึ ผลกระทบต่อความรับผิดของผู ้มีสว่ นเกียวข ้องกับการกระทําผิดนัน อาจมีผลกระทบต่อ
ผู ้เกียวข ้องทุกคนเป็ นการทัวไป หรือมีผลกระทบเฉพาะผู ้เกียวข ้องบางคนก็ได ้

12.1 ผูส
้ น ับสนุน
1. การช่วยเหลือทีเป็ นการสนั บสนุนจะต ้องกระทําก่อนหรือขณะกระทําผิด
2. ผู ้สนั บสนุนจะต ้องมีเจตนาให ้ความช่วยเหลือผู ้กระทําผิด ทังนีโดยไม่ต ้องคํานึงว่าผู ้ได ้รับการ
สนั บสนุนจะทราบถึงการช่วยเหลือนั นหรือไม่
3. ผู ้สนั บสนุนมีความรับผิดเพียงสองในสามของความผิดทีกระทําลง

12.1.1 การช่วยเหลือหรือให ้ความสะดวกในการกระทําความผิด


ส ้มโอและส ้มจุกเป็ นพ่อค ้าขายส ้มในตลาด ส ้มโอต ้องการฆ่าส ้มจุกเพราะส ้มจุกชอบแย่งลูกค ้าของตน
ส ้มเกลียงซึงเป็ นเพือนกับส ้มโอรู ้เข ้า จึงเสนอให ้ส ้มโอยืมปื นเพือจะนํ าไปฆ่าส ้มจุก ส ้มโอรับปื นจากส ้มเกลียง
ไปถึงบ ้านส ้มจุก เห็นส ้มจุกกําลังเล่นอยูก ่ ับลูก จึงเกิดความสงสารไม่ลงมือยิงส ้มจุก กรกรีดังกล่าวส ้มเกลียงจะ
มีความผิดฐานเป็ นผู ้สนั บสนุนหรอไม่อย่างไร
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 บ ัญญ ัติวา่ “ผูใ้ ดกระทําด้วยประการใดๆ อ ันเป็นการ
ชว ่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกในการทีผูอ ้ นกระทํ
ื าความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด แม้
ผูก ้ ระทําความผิดจะมิได้รถ ่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกนนก็
ู ้ งึ การชว ั ตาม ผูน
้ นเป
ั ็ นผูส ้ น ับสนุนการ
กระทําความผิด” ถ้าการกระทําของต ัวการไม่เป็นความผิดหรือไม่มก ี ารกระทําความผิด ผูท ้ ให้
ี ความ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


51

ชว ่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกนนก็ ั จะไม่มค ี วามผิดด้วย ถือว่าไม่มก ี ารสน ับสนุนเพราะการพยายาม


สน ับสนุนไม่ม ี
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีสม้ โอและสม ้ จุกเป็นพ่อค้าขายสม ้ ในตลาด ้ โอ
และสม
้ ้
ต้องการฆ่าสมจุกเพราะสมจุกชอบแย่งลูกค้าของตนอยูเ่ สมอ เห็นว่าสมโอมีเจตนาจะฆ่าสมจุกแล้ว ้ ้
้ เกลียงซงเป
สม ึ ็ นเพือนก ับสม ้ โอรูว้ า่ สม
้ โอจะฆ่าสม้ จุกจึงให้สมโอยืมปื นเพือจะนําไปฆ่าสม ้ จุก การ
กระทําของสม ้ เกลียงถือว่าเป็นการให้ความชว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่สม ้ โอในการกระทํา
ความผิดก่อนกระทําความผิดแล้ว แต่ปรากฏว่าเมือสม ้ โอร ับปื นไปจากสม ้ เกลียงแล้วกําล ังจะไปยิง
สม้ จุกเห็นสม ้ จุกเล่นอยูก ่ ับลูกจึงเกิดความสงสารไม่ลงมือยิงสม ้ จุก กรณีด ังกล่าวการกระทําความผิด
ย ังไม่เกิดขึน สม้ เกลียงผูใ้ ห้ความชว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกก็ถอ ื ว่าย ังไม่มค
ี วามผิดฐานเป็น
ผูส ้ น ับสนุนไปด้วย
สรุป สม ้ เกลียงจึงย ังไม่มค ี วามผิดฐานผูส ้ น ับสนุนแต่อย่างใด

12.1.2 เจตนาและความรับผิดของผู ้สนั บสนุน


สมใจบอกสมจิตว่า อยากได ้ยาเบือไปเบือหนูทบ ี ้าน เพราะหนูทบ ี ้านชุกชุมมาก สมจิตจึงนํ ายาเบือ
มาให ้สมใจ เมือสมใจได ้ยาเบือแล ้วแทนทีจะนํ าไปเบือหนู กลับนํ าไปใส่แกงให ้สามีกน ิ สามีถงึ แก่ความตาย
กรณีดังกล่าวสมจิตจะต ้องรับผิดเพียงใดหรือไม่เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 บ ัญญ ัติวา่ “ผูใ้ ดกระทําด้วยประการใดๆ อ ันเป็นการ
ชว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกในการทีผูอ ้ นกระทํ
ื าความผิด ก่อนหรือขณะกระทําความผิด แม้
ผูก้ ระทําความผิดจะมิได้รถ ู ้ งึ การชว ่ ยเหลือให้ความสะดวกนนก็ ั ตาม ผูน ้ นเป
ั ็ นผูส
้ น ับสนุนการกระทํา
ความผิด” การชว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทําความผิด อ ันจะทําให้ผก ู ้ ระทําร ับผิดฐาน
เป็นผูส ้ น ับสนุนนน ั จะต้องปรากฏว่าผูช ่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกนนจะต้
้ ว ั องกระทําโดยเจตนาด้วย
คือทําไปโดยรูห ้ รือตงใจที
ั จะชว ่ ยเหลือผูอ ้ นในการกระทํ
ื าความผิดไม่วา่ จะเป็นเจตนาประสงค์ตอ ่ ผล
หรือเล็งเห็นผลก็ตาม
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีสมใจบอกสมจิตว่าอยากได้ยาเบือไปเบือหนูทบ้ ี าน เพราะ
หนูทบ้ ี านชุกชุมมาก สมจิตจึงให้ยาเบือสมใจไป ปรากฏว่าเมือสมใจได้ยาเบือไปแล้วแทนทีจะนําไป
เบือหนู กล ับนําไปใสใ่ นแกงให้สามีกน ิ สามีจ ึงถึงแก่ความตายกรณีด ังกล่าวเห็นว่า การทีสมจิตให้ยา
เบือแก่สมใจไป สมจิตไม่ทราบว่าสมใจจะนํายาเบือนนไปฆ่ ั าสามี คิดว่าจะนําไปเบือหนู จึงเห็นว่าสม
จิตไม่มเี จตนาทีจะชว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่สมใจในการกระทําความผิดฐานฆ่าคนตาย แม้
การกระทําของสมจิตจะเป็นการชว ่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกก็ตาม แต่เมือขาดเจตนาแล้ว การ
กระทําของสมจิตก็ ไม่มค ี วามผิดแต่อย่างใด สมจิตจึงไม่ตอ ้ งร ับผิดในกรณีด ังกล่าว

12.1.3 ข ้อเปรียบเทียบระหว่างตัวการ ผู ้ใช ้และผู ้สนั บสนุน


ตัวการผู ้ใช ้ และผู ้สนั บสนุน มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร อธิบาย
ล ักษณะทีแตกต่างก ันระหว่างต ัวการ ผูใ้ ชแ ้ ละผูส
้ น ับสนุนคือ
“ต ัวการ” คือ ผูท ้ ร่ี วมมือร่วมใจก ันกระทําความผิดตงแต่ ั สองคนขึนไปโดยมีเจตนาร่วมก ัน
กระทําความผิดและจะต้องเป็นการร่วมกระทําในระหว่างทีกําล ังกระทําความผิด มิใชภ ่ ายหล ังทีการ
กระทําความผิดเสร็จสนแล้ ิ ว
“ผูใ้ ช”้ คือ ผูท ้ ก่
ี อให้ผอ ู ้ นกระทํ
ื าความผิด กล่าวคือต้องกระทําอย่างใดอย่างหนึงทีเป็นเหตุ
ให้ผอ ู ้ นต ิ
ื ัดสนใจกระทําความผิดนน ั การก่ออาจกระทําโดยการใชบ ้ ังค ับ ขูเ่ ข็ญ จ้าง วาน ยุยง
สง่ เสริม หรือด้วยวิธอ ี นใด

“ผูส ้ น ับสนุน” คือ ผูท ี ว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกในการทีผูอ
้ ช ้ นกระทํ
ื าความผิด และต้อง
เป็นการชว่ ยเหลือก่อนหรือขณะกระทําความผิด โดยมีเจตนาชว่ ยเหลือให้ความสะดวก

เมือความผิดอันเดียวกันมีตัวการ ผู ้ใช ้ และผู ้สนั บสนุนเราจะเริมต ้นพิจารณาจากบุคคลใดก่อน


เมือความผิดอ ันเดียวก ันมีต ัวการ ผูใ้ ช ้ และผูส ้ น ับสนุนต้องเริมพิจารณาจากต ัวการก่อน
เพราะความผิดทีต ัวการได้กระทําเป็นความผิดทีเป็นประธาน สว ่ นการกระทําอ ันเป็นการใชใ้ ห้กระทํา
ความผิดและ การกระทําอ ันเป็นการสน ับสนุนเป็นเพียงความผิดอุปกรณ์ และขึนต่อความผิดทีเป็น
ประธานกล่าวคือ ถ้าความผิดทีเป็นประธานได้กระทําลงน้อย ผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิดและผูส ้ น ับสนุน
ก็ พลอยร ับโทษน้อยไปด้วย

้ ละผูส
12.2 ขอบเขตความร ับผิดของผูใ้ ชแ ้ น ับสนุน
1. ผู ้ใช ้หรือผู ้สนั บสนุนไม่ต ้องรับผิดเกินขอบเขตแห่งการใช ้หรือสนั บสนุนของตน เว ้นแต่ตนจะเล็งเห็น
ได ้เช่นนัน
2. ถ ้าผู ้ใช ้หรือผู ้สนั บสนุนกลับใจเข ้าขัดขวางการกระทําความผิดทําให ้ความผิดไม่สําเร็จ ผู ้ใช ้คงรับผิด
เสมือนความผิดนั นมิได ้ทําลง ส่วนผู ้สนั บสนุนไม่ต ้องรับผิด

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


52

12.2.1 กรณีผู ้ถูกใช ้หรือผู ้รับการสนั บสนุนกระทําเกินขอบเขตแห่งการใช ้หรือการสนั บสนุน


เพชรจ ้างพลอยไปฆ่าเพิม โดยทีเพชรไม่รู ้ว่าเพิมเป็ นตํารวจ แต่พลอยรู ้ว่าเพิมเป็ นตํารวจ ซึงกระทํา
การตามหน ้าที แต่ด ้วยความอยากได ้เงินค่าจ ้าง พลอยจึงไปดักยิงเพิมถึงแก่ความตาย กรณีดังกล่าวเพชรต ้อง
รับผิดชอบหรือไม่เพียงใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 87 บ ัญญ ัติวา ่ “ในกรณีทมี ี การกระทําความผิดเพราะมี
ผูใ้ ชใ้ ห้กระทําตามมาตรา 84 เพราะมีผโู ้ ฆษณาหรือประกาศแก่บค ุ คลทวไปให้ ั กระทําความผิดตาม
มาตรา 85 หรือโดยมีผส ู ้ น ับสนุนตามมาตรา 86 ถ้าความผิดทีเกิดขึนนน ั ผูก้ ระทําได้กระทําไปเกิน
ขอบเขตทีใชห ้ รือทีโฆษณาหรือประกาศหรือเกินไปจากเจตนาของผูส ้ น ับสนุน ผูใ้ ชใ้ ห้กระทํา
ความผิดผูโ้ ฆษณาหรือประกาศแก่บค ุ คลทวไปให้
ั กระทําความผิดหรือผูส ้ น ับสนุนการกระทํา
ความผิด แล้วแต่กรณี ต้องร ับผิดทางอาญาเพียงสา ํ หร ับความผิดเท่าทีอยูใ่ นขอบเขตทีใช ้ หรือที
โฆษณา หรือประกาศ หรืออยูใ่ นขอบเขตแห่งเจตนาของผูส ้ น ับสนุนการกระทําความผิดเท่านน ั แต่
ถ้าโดยพฤติการณ์อาจเล็ งเห็นได้วา่ อาจเกิดการกระทําความผิดเชน ่ ทีเกิดขึนนนได้ ั จากการใชก ้ าร
โฆษณาหรือประกาศหรือการสน ับสนุน ผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิด ผูโ้ ฆษณาหรือประกาศแก่บค ุ คล
ทวไปให้
ั กระทําความผิด หรือผูส ้ น ับสนุนการกระทําความผิด แล้วแต่กรณี ต้องร ับผิดทางอาญาตาม
ความผิดทีเกิดขึนนน ั
ในกรณีทผู ี ถ ู ใช ้ ผูก
้ ก ้ ระทําตามคําโฆษณา หรือประกาศแก่บุคคลทวไปให้ ั กระทําความผิด
หรือต ัวการในความผิดจะต้องร ับผิดทางอาญามีกําหนดโทษสูงขึน เพราะอาศยผลที ั เกิดขึนจากการ
กระทําความผิด ผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิด ผูโ้ ฆษณาหรือประกาศแก่บค ุ คลทวไปให้ั กระทําความผิด
หรือผูส ้ น ับสนุนการกระทําความผิด แล้วแต่กรณี ต้องร ับผิดทางอาญาตามความผิดทีมีกําหนดโทษ
สูงขึนนนด้ ั วย แต่ถา้ โดยล ักษณะของความผิดผูก ้ ระทําจะต้องร ับผิดทางอาญามีกําหนดโทษสูงขึน
เฉพาะ เมือผูก ้ ระทําต้องรู ้ หรืออาจเล็งเห็นได้วา ่ จะเกิดผลเชน ่ นนขึ ั น ผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิด ผู ้
โฆษณาหรือประกาศแก่บค ุ คลทวไปให้ ั กระทําความผิดหรือผูส ้ น ับสนุนการกระทําความผิด จะต้องร ับ
ผิดทางอาญาตามความผิดทีมีกําหนดโทษสูงขึนก็ เฉพาะเมือตนได้รห ู ้ รืออาจเล็ งเห็นได้วา่ จะเกิดผล
เชน ่ ทีเกิดขึนนน” ั
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีเพชรจ้างพลอยไปฆ่าเพิม โดยทีเพชรไม่รว ู้ า
่ เพิมเป็น
ตํารวจ ซงกระทํ ึ าการตามหน้าที แต่พลอยรูว้ า ่ เพิมเป็นตํารวจ ซงการกระทํึ าตามหน้าที แต่ดว้ ยความ
อยากได้เงินค่าจ้าง พลอยจึงไปด ักยิงเพิมถึงแก่ความตาย กรณีด ังกล่าวเห็นว่า การกระทําของ
พลอยเป็นเรืองทีผูก ้ ระทําจะต้องร ับผิดทางอาญามีกําหนดโทษสูงขึนเพราะการทีพลอยฆ่าเพิมนน ั
เป็นการฆ่าเจ้าพน ักงาน ึ
ซงกระทํ าตามหน้าที มีกําหนดโทษสูงกว่าคนธรรมดา ซงการฆ่ ึ าเจ้า
พน ักงานซงกระทํ ึ าตามหน้าทีนนผู ั ก ้ ระทําจะต้องร ับโทษสูงขึนก็ตอ ่ เมือได้กระทําไปโดยรูอ ้ ยูว่ า่ ผูท้ ตน ี
ฆ่านนเป ั ็ นเจ้าพน ักงาน ซงกระทํ ึ าตามหน้าที โดยทีเพชรไม่รว ู้ า
่ เพิมเป็นเจ้าพน ักงาน ซงกระทํ ึ าตาม
หน้าที ทงนี ั ไม่วา ่ พลอยจะรูเ้ ชน ่ นนหรื ั อไม่ก็ตาม เมือพลอยไปฆ่าเพิมตามทีได้ถก ู ใช ้ เพชรก็ ยอ ่ มมี

ความผิดฐานใชให้ฆา่ คนธรรมดาเท่านน ั ไม่ตอ
้ งร ับโทษสูงขึนฐานฆ่าเจ้าพน ักงาน ซงกระทําตาม ึ
หน้าทีตามหล ักกฎหมายทีกล่าวมาข้างต้น

12.2.2 กรณีผู ้ใช ้หรือผู ้สนั บสนุนขัดขวางการกระทําของผู ้ถูกใช ้หรือผู ้รับการสนั บสนุน
นงเยาว์ใช ้ให ้แจ๋วซึงสาวใช ้ของสมศักดิ นํ ายาพิษไปใส่ในถ ้วยกาแฟของสมศักดิเพือจะฆ่าสมศักดิให ้
ตาย แจ๋วได ้นํ ายาพิษไปใส่ในถ ้วยกาแฟของสมศักดิในขณะทีสมศักดิกําลังจะยกถ ้วยกาแฟทีผสมยาพิษนัน
ขึนดืม นงเยาว์ซงแอบดู ึ อยูเ่ กิดความสงสารสมศักดิ จึงตรงเข ้าไปปั ดถ ้วยกาแฟหกหมด กรณีดังกล่าวนงเยาว์
ต ้องรับผิดหรือไม่เพียงใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 88 บ ัญญ ัติวา่ “ถ้าความผิดทีได้ใช ้ ทีได้โฆษณาหรือ
ประกาศแก่บค ุ คลทวไปให้
ั กระทํา หรือทีได้สน ับสนุนให้กระทํา ได้กระทําถึงขนลงมื ั อกระทําความผิด
แต่เนืองจากการเข้าข ัดขวางของผูใ้ ช ้ ผูโ้ ฆษณาหรือประกาศหรือผูส ้ น ับสนุน ผูก ้ ระทําได้กระทําไป
ไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานนไม่ ั บรรลุผล ผูใ้ ชห ้ รือผูโ้ ฆษณาหรือประกาศ คง
ร ับผิดเพียงทีบ ัญญ ัติไว้ในมาตรา 84 วรรคสอง หรือมาตรา 85 วรรคแรก แล้วแต่กรณี สว่ น
ผูส้ น ับสนุนนนไม่
ั ตอ้ งร ับโทษ”
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีนงเยาว์ใชใ้ ห้แจ๋วซงเป ึ ็ นสาวใชข ้ องสมศกดิ ั นํายาพิษไปใส่
ในถ้วยกาแฟของสมศกดิ ั เพือเจตนาจะฆ่าสมศกดิ ั ให้ตาย และแจ๋วก็ ได้นํายาพิษไปใสใ่ นถ้วยกาแฟ
ของสมศกดิ ั เห็นได้วา ่ แจ๋วซงเป ้ ระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้วตามทีนงเยาว์ได้ใช ้
ึ ็ นผูก แต่
ในขณะทีความผิดย ังไม่บรรลุผล ึ
นงเยาว์ซงแอบดู ั ยกถ้วยกาแฟขึนดืมเกิดความ
อยูเ่ ห็นสมศกดิ
สงสารสมศกดิ ั จึงตรงเข้าไปปัดถ้วยกาแฟหกหมด เห็นได้วา่ นงเยาว์ซงเป ึ ็ นผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิด
ได้เข้าข ัดขวางเพือมิให้การกระทําของแจ๋วบรรลุผล กรณีด ังกล่าวกฎหมายได้บ ัญญ ัติให้ผใู ้ ชน ้ นคง

ร ับผิดเพียงทีบ ัญญ ัติไว้ในมาตรา 84 วรรคสอง กล่าวคือ ร ับผิดเสมือนหนึงความผิดทีใชม ้ ไิ ด้กระทํา
ลงไป ทงๆที ั ความจริงความผิดกระทําถึงขนพยายามแล้ ั ว
สรุป นงเยาว์ร ับโทษเพียงหนึงในสามของความผิดฐานฆ่าคนตาย

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


53

12.3 เหตุทมี ้ ละผูส


ี ผลกระทบถึงความร ับผิดของต ัวการ ผูใ้ ชแ ้ น ับสนุน
1. เหตุสว่ นตัว หมายถึง เหตุเฉพาะตัวของผู ้มีสว่ นเกียวข ้องในการกระทําความผิดคนใดคนหนึงซึงไม่ม ี
ผลถึงผู ้เกียวข ้องคนอืนๆ
2. เหตุในลักษณะคดี หมายถึงเหตุทเกี ี ยวกับความผิดซึงมีผลต่อผู ้เกียวข ้องในการกระทําความผิดทุก
คนเสมอกัน
3. ในความผิดบางฐาน ผู ้กระทําผิดจะต ้องมีคณ ุ สมบัตพิ เิ ศษบางอย่างดังนั นผู ้ทีขาดคุณสมบัตแ ิ ม ้จะมี
ส่วนเกียวข ้องในลักษณะตัวการหรือผู ้ใช ้ ก็ไม่อาจรับผิดอย่างตัวการหรือผู ้ใช ้ได ้คงรับผิดได ้เพียงผู ้สนั บสนุน

12.3.1 เหตุสว่ นตัวและเหตุในลักษณะคดี


เหตุสว่ นตัวและเหตุในลักษณะคดีหมายความว่าอย่างไร
ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 89 บ ัญญ ัติวา ่ “ถ้ามีเหตุสว ่ นต ัวอ ันควรยกเว้นโทษ ลดโทษ
หรือเพิมโทษแก่ผก ู ้ ระทําความผิดคนใด จะนําเหตุนนไปใช
ั ้ ก่ผก
แ ู ้ ระทําความผิดคนอืนในการกระทํา
ความผิดนนด้ ั วยไม่ได้ แต่ถา้ เหตุอ ันควรยกเว้นโทษ ลดโทษหรือเพิมโทษเป็นเหตุในล ักษณะคดี จึง
ให้ใชแ ้ ก่ผกู ้ ระทําความผิดในการกระทําความผิดนนด้ ั วยก ันทุกคน”
จากบทบ ัญญ ัติด ังกล่าว สามารถให้ความหมายของคําว่าเหตุสว่ นต ัวและเหตุในล ักษณะคด
ได้ด ังนี
“เหตุสว ่ นต ัว” หมายถึง ข้อเท็จจริงทีเกียวแก่คณ
ุ สมบ ัติทเป ี ็ นเรืองสว ่ นต ัวของผูก้ ระทําผิดแต่
ละคน อ ันเป็นผลให้ได้ร ับการยกเว้นโทษ ลดโทษหรือเพิมโทษแก่ผร ู ้ ว่ มกระทําความผิดคนนนไม่ ั มผ
ี ล
ถึงผูร้ ว่ มกระทําผิดคนอืนด้วย
“เหตุในล ักษณะคดี” หมายถึง ข้อเท็จจริงอืนๆ ในคดีซงมิ ึ ได้อาศยคุ ั ณสมบ ัติหรือฐานะ
่ นต ัวของผูก
สว ้ ระทําความผิด แต่เป็นเหตุเกียวเนืองก ับการกระทําความผิด ซงย ึ ังผลให้ได้ร ับการ
ยกเว้นโทษ ลดโทษ หรือเพิมแก่ต ัวการทีร่วมกระทําความผิดทุกคน

12.3.2 เหตุเฉพาะตัวของผู ้กระทําในความผิดบางฐาน


แดงเป็ นข ้าราชกรกรม กรมหนึงได ้รับแต่งตังเป็ นประธานกรรมการสอบบรรจุเข ้ารับราชการ แดง
ต ้องการรับเงินสินบนในการสอบครังนี จึงร่วมวางแผนกับภรรยาโดยแบ่งงานกันทําให ้ภรรยาเป็ นผู ้รับเงินจากผู ้
มาติดต่อ และแดงเป็ นผู ้กระทําการช่วยให ้บุคคลทีให ้เงินนั นสอบบรรจุเข ้ารับราชการได ้ กรณีดังกล่าวแดงและ
ภรรยาจะต ้องรับผิดเพียงใดหรือไม่
ในประมวลกฎหมายอาญา กฎหมายได้กําหนดความผิดบางอย่างต้องมีองค์ประกอบ
ความผิดเป็นคุณสมบ ัติเฉพาะต ัว หรือล ักษณะเฉพาะต ัวผูก ้ ระทํา ด ังนนบุ
ั คคลทวไปซ
ั ึ
งไม่ มี
คุณสมบ ัติเชน ่ นนย่
ั อมไม่อาจกระทําความผิดนนได้ ั เพราะองค์ประกอบความผิด แต่ถา้ บุคคลทวไป ั
ร่วมกระทําความผิดในล ักษณะต ัวการก ับผูท ้ มี
ี คณ ุ สมบ ัติเฉพาะต ัวทีจะกระทําความผิดนนได้ ั บุคคล
ทวไปน
ั นก็
ั จะกลายเป็นผูส ้ น ับสนุน แทนทีจะเป็นต ัวการร่วมกระทําความผิด
จากข้อเท็จจริงตามปัญหาการทีแดงเป็นประธานกรรมการสอบบรรจุเข้าร ับราบการ ซงถื ึ อ
ว่าเป็นเจ้าพน ักงานได้รว่ มวางแผนก ับภรรยาโดยแบ่งงานก ันทํา ให้ภรรยาเป็นผูร้ ับเงินสน ิ บนซงมี ึ ผู ้
มาติดต่อ และแดงเป็นผูก ้ ระทําการชว ่ ยให้บค ุ คลทีให้เงินนนสอบบรรจุ
ั เข้าร ับราชการได้ กรณี
ด ังกล่าวเห็นว่า แดงและภรรยาเป็นต ัวการร่วมในการกระทําความผิดฐานเจ้าพน ักงานร ับสน ิ บน แต่
เนืองจากความผิดด ังกล่าว กฎหมายกําหนดคุณสมบ ัติของผูก ้ ระทําว่าต้องเป็นเจ้าพน ักงาน ด ังนน ั
บุคคลอืนทีไม่ได้เป็นเจ้าพน ักงานก็ถอ ื ว่าขาดคุณสมบ ัติจ ึงไม่อาจกระทําความผิดนนได้ ั กรณี
ด ังกล่าว ภรรยาของแดงเป็นบุคคลธรรมดาทวไปไม่ ั ได้เป็นเจ้าพน ักงาน แม้จะได้รว่ มกระทําความผิด
ก ับแดงซงเปึ ็ นเจ้าพน ักงานในล ักษณะต ัวการ ก็ ไม่อาจมีความผิดฐานนีได้ ภรรยาของแดงจึงเป็น
เพียงผูส้ น ับสนุนการกระทําความผิดด ังกล่าว แดงเพียงผูเ้ ดียวทีมีความผิดฐานเจ้าพน ักงานร ับ
สน ิ บน

แบบประเมินผล หน่วยที 12 ผูม ี ว่ นเกียวข้องในการกระทําความผิด (ต่อ)


้ ส

1. ผู ้สนั บสนุนหมายถึง ผูช ้ ว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผอ ู ้ นกระทํ


ื าความผิด
2. ติมติดใจต๋อยจึงเปิ ดประตูบ ้านทิงไว ้ให ้ต๋อยมาลักทรัพย์ของเจ ้าของบ ้าน ต๋อยไม่รู ้แต่ก็เข ้ามาทาง
ประตูนันโดยคิดว่าเจ ้าของบ ้านลืมปิ ด ในกรณีนีถือว่า ติมเป็นผูส ้ น ับสนุนกระทําผิด
3. “หลังจากทีนิดฟั นน ้อยไปครังหนึงแล ้ว นิมก็พด ู ยุยงให ้นิดฟั นน ้อยให ้ตาย” กรณีดังกล่าว นิมต้องร ับ
ผิดฐานเป็นผูส ้ น ับสนุน
4. หลักเกณฑ์ทจะผิ ี ดฐานเป็ นผู ้สนั บสนุน ต้องกระทําด้วยประการใดๆ อ ันเป็นการชว่ ยเหลือหรือให้
ความสะดวกในการทีผูอ ้ นกระทํ
ื าความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด
5. กฎหมายได ้กําหนดโทษของผู ้สนั บสนุนการกระทําความผิดไว ้ สองในสามของโทษทีกําหนดไว้
สําหร ับความผิดทีสน ับสนุนนน ั
6. เหตุสว่ นตัวของผู ้กระทําความผิด ได้แก่การกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67(1)

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


54

มาตรา 67 ผู ้ใดกระทําความผิดด ้วยความจําเป็ น


(1) เพราะอยูใ่ นทีบังคับ หรือภายใต ้อํานาจซึงไม่สามารถหลีกเลียงหรือขัดขืนได ้ หรือ
(2) เพราะเพือให ้ตนเองหรือผู ้อืนพ ้นจากภยันตรายทีใกล ้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลียงให ้พ ้น
โดยวิธอ ี นใดได
ื ้ เมือภยันตรายนั นตน มิได ้ก่อให ้เกิดขึนเพราะความผิดของตน
ถ ้าการกระทํานั นไม่เป็ นการเกินสมควรแต่เหตุแล ้ว ผู ้นั นไม่ต ้อง รับโทษ
7. ดําจ ้างขาวฆ่าเขียวโดยกําชับให ้ใช ้ปื นยิง แต่ขาวแอบใช ้วิธก ี ารวางระเบิดจนร่างกายเขียวแหลก
ละเอียดถึงแก่ความตาย กรณีดังกล่าว ดําต้องร ับผิดฐานฆ่าเหมือนก ับขาว
8. สีมเี จตนาร ้ายสังสอนสา โดยรู ้อยูว่ า่ สาเป็ นโรคหัวใจอย่างแรง สีได ้รับไม ้คมแฝกให ้แสดไปตีศรี ษะสา
แสดตีอย่างแรงเป็ นเหตุให ้สา ช็อคหัวใจวายตาย สต ี อ
้ งร ับผิดฐานฆ่าผูอ ้ นโดยเจตนา

9. แสงรู ้ว่าสอนจะฆ่าสุข จึงช่วยหาปื นมาให ้สอน ขณะสอนจ ้องปื นไปยังสุขแต่กอ ่ นเหนียวไก แสงกลัว
ติดคุก จึงเข ้าไปปั ดปื น กระสุนจึงไม่ถก ู สุข กรณีนี แสงไม่ตอ ้ งร ับโทษ
10. เอเป็ นตัวการกระทําผิดกับบี คดีขาดอายุความจึงไม่ต ้องรับผิด ถือว่าเป็นเรืองเหตุในล ักษณะคดี
11. ความหมายของผู ้สนั บสนุนคือ ผูช ่ ยเหลือผูอ
้ ว ้ นก่
ื อนกระทําความผิด
12. อ๊อดโกรธนายจ ้างจึงแกล ้งเปิ ดหน ้าต่างไว ้เพือให ้ขโมยเข ้าบ ้าน แต่ขโมยไม่รู ้เข ้าทางประตูบ ้านที
นายจ ้างลืมปิ ด “อ๊อด” ไม่ตอ ้ งร ับผิดฐานเป็นผูส ้ น ับสนุนการกระทําผิด
13. ข ้อทีไม่ใช่หลักเกณฑ์ทจะผิ ี ดฐานเป็ นผู ้สนั บสนุน โดยผูก ้ ระทําผิดต้องรูถ ้ งึ การชว่ ยเหลือนน ั
14. ปื ดกับพวกจะไปปล ้นทรัพย์ ป๋ องจึงให ้ยืมปื นและรถยนต์เพือใช ้ในการปล ้น ปื ดรับเอาอาวุธปื นและ
รถยนต์ไปแล ้ว แต่มไิ ด ้เอาไปปล ้นด ้วย คงเอาแต่อาวุธปื นไป แต่ก็มไิ ด ้ใช ้อาวุธปื นนั น กรณีดังกล่าว ป๋องต้อง
ร ับผิดเป็นผูส ้ น ับสนุนให้กระทําความผิด
15. ผู ้ทีสนั บสนุนการกระทําความผิดจะต ้อง ได ้รับโทษ 2/3 ส่วนของโทษทีกําหนดไว ้สําหรับความผิดที
สนั บสนุนนัน
16. ความผิดไม่สําเร็จตามมาตรา 80 เป็ นเหตุในลักษณะคดีของผู ้กระทําผิด
มาตรา 80 ผู ้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล ้วแต่การกระทํา
นั นไม่บรรลุผล ผู ้นันพยายามกระทําความผิด
ผู ้ใดพยายามกระทําความผิด ผู ้นั นต ้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษทีกฎหมายกําหนดไว ้
สําหรับความผิดนัน
17. ร.ต.อ.ดํา สังให ้ ส.ต.ต. แดงขึนไปจับขาวบนเรือนข ้อหาลักทรัพย์ ส.ต.ต. แดงขึนไปยิงขาวตาย
ร.ต.อ. ดํา ไม่ตอ ้ งร ับผิดในฐานฆ่าขาวเลย
18. แสงช่วยวางแผนและหาปื นให ้สดกับพวกไปปล ้นบ ้านสี ขณะทําการปล ้นสีตอ ่ สู ้ขัดขวาง สดจึงใช ้ปื น
ยิงสีตาย แสงต้องร ับผิดเป็นผูส ้ น ับสนุนฐานปล้นทร ัพย์เป็นเหตุให้ผอ ู ้ นถึ
ื งแก่ความตาย
19. แก ้วจ ้างมืดฆ่าขาว มืดใช ้ปื นยิงขาวบาดเจ็บสาหัส แก ้วรู ้สึกสงสารจึงรีบพาขาวไปส่งแพทย์ แพทย์
รักษาได ้ทัน ขาวไม่ตาย แก ้วต ้องรับผิดฐานพยายามฆ่าเสมือนเป็ นตัวการ
20. ผู ้ใช ้ให ้ผู ้อืนพยายามกระทําความผิดลหุโทษ ไม่ต ้องรับผิดและรับโทษเลย

หน่วยที 13 ทฤษฎีการลงโทษและทฤษฎีวธ
ิ ก
ี ารเพือความปลอดภ ัย

1. ทฤษฎีการลงโทษมีทมาจากปฏิ ี กริ ยิ าของสังคมทีมีตอ ่ ผู ้กระทําความผิด โดยเน ้นไปในด ้านการ


ลงโทษ
2. การลงโทษมีวัตถุประสงค์สว่ นใหญ่เพือคุ ้มครองสวัสดิภาพของสังคม โดยเน ้นทีการลดอาชญากรรม
และการส่งเสริมให ้ประชาชนเคารพปฏิบัตต ิ ามกฎหมาย
3. การปฏิบต ั ติ อ
่ ผู ้กระทําความผิดมีทมาจากทฤษฎี
ี และวัตถุประสงค์ในการลงโทษและมีการพัฒนาไป
จนถึงขันให ้ประชาชนเข ้ามามีสว่ นร่วมในการปฏิบัตต ิ อ
่ ผู ้กระทําความผิด
4. ทฤษฎีวธิ ก ี ารเพือความปลอดภัยมีทมาจากปฏิ ี กริ ยิ าของสังคมต่อผู ้กระทําความผิด เช่นเดียวกันโดย
เน ้นไปทีการคุ ้มครองสังคม

13.1 ทฤษฎีการลงโทษ
1. การลงโทษเกิดจากปฏิกริ ย ิ าของผู ้เสียหายทีจะตอบโต ้กับผู ้ประทุษร ้ายในรูปแบบของการแก ้แค ้น
และต่อมารัฐดําเนินการแทนผู ้เสียหาย เป็ นการทดแทนอย่างในระบบ “ตาต่อตา ฟั นต่อฟั น”
2. การลงโทษควรจะมองไปถึงประโยชน์ทจะเกิ ี ดแก่สงั คมในอนาคตด ้วย โดยคํานึงถึงความปลอดภัย
ของสังคมเป็ นหลักด ้วยวิธก
ี ารยับยัง ป้ องกันและปรับปรุงผู ้กระทําความผิด
3. การลงโทษควรจะเปลียนเป็ นการปฏิบต ั ติ อ ่ ผู ้กระทําผิดโดยมุง่ ต่อการแก ้ไขฟื นฟูผู ้กระทําความผิดให ้
กลับตนเป็ นคนดี ยกเว ้นในกรณีแก ้ไขปรับปรุงไม่ได ้ ก็ให ้กําจัดไปจากสังคม
4. การลงโทษควรจะเปลียนเป็ นการปฏิบต ั ติ อ ่ ผู ้กระทําความผิด โดยมุง่ ต่อการคุ ้มครองสังคมให ้
ปลอดภัยจากอาชญากรรม โดยวิธก ี ารแก ้ไขฟื นฟูและอืนๆทีเหมาะสม

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


55

5. การลงโทษมีวัตถุประสงค์เพือแก ้แค ้น ทดแทน ยับยัง คุ ้มครองสังคม และแก ้ไขฟื นฟูผู ้กระทํา


ความผิด
6. แบบของการลงโทษมี 4 ประการด ้วยกัน คือลงโทษโดยการกําจัดออกไปจากสังคม ลงโทษโดยการ
ทรมานทางกาย ลงโทษโดยการประจาน และลงโทษโดยการทําให ้สูญเสียทางการเงิน

13.1.1 ทฤษฎีการลงโทษเพือแก ้แค ้นและทดแทนแก่ผู ้กระทําความผิด


การลงโทษผู ้กระทําความผิดตามแนวความคิดของ อิมมานูเอล คานส์ เป็ นอย่างไร
อิมมานูเอล คานส ์ มีทรรศนะว่าการลงโทษผูก ้ ระทําความผิดควรจะมองย้อนไปในอดีตว่า
ผูก
้ ระทําได้กระทําความผิดอะไรและร้ายแรงเพียงใด แล้วจึงลงโทษให้เหมาะสมก ับความผิดนนั โดย
มีเหตุผลเพียงว่าผูก
้ ระทําความผิดสมควรถูกลงโทษ เพราะได้กระทําการฝ่าฝื นกฎหมายบ้านเมือง
แล้ว

13.1.2 ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์
ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์ มีทมาจากสํ
ี านั กอาชญาวิทยาสํานั กใด และมีหลักเกณฑ์
อะไรบ ้าง
ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์มท ี มาจากส
ี ําน ักคลาสสก
ิ ซงวางหล
ึ ักเกณฑ์ไว้วา
่ การ
ลงโทษควรจะมองไปในอนาคตมากกว่ามองย้อนหล ังไปในอดีต การลงโทษผูก ้ ระทําความผิดควรจะ
เน้นไปทีการลดอาชญากรรมและทําให้ประชาชนเคารพและปฏิบ ัติตามกฎหมาย การลงโทษจึงควร
จะเน้นทีการป้องก ัน การย ับยงและการแก้
ั ไขปร ับปรุงผูก
้ ระทําความผิด การทีจะให้มผ ี ลในการย ับยงั
การลงโทษจะต้องทําอย่างรุนแรง และอย่างเปิ ดเผ การแก้ไขปร ับปรุงใชห ้ ล ักการข ังเดียว และ
หล ักการทางศาสนาเพือให้สํานึกในความผิดและกล ับต ัวเป็นพลเมืองดีให้ได้

13.1.3 ทฤษฎีการลงโทษเพือแก ้ไขฟื นฟูผู ้กระทําความผิด


ทฤษฎีการลงโทษเพือแก ้ไขฟื นฟูผู ้กระทําความผิดมีทมาจากสํ
ี านั กอาชญาวิทยาสํานั กใด และมี
หลักการสําคัญอย่างใด
ทฤษฎีการลงโทษเพือแก้ไขฟื นฟูผก ู ้ ระทําความผิด มีทมาจากน
ี ักอาชญาวิทยาสา ํ น ักโปซ ิ
ตีฟ หล ักเกณฑ์สําค ัญของทฤษฎีคอ ื ลงโทษผูก ้ ระทําความผิดให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลโดยใช ้
วิธก
ี ารแก้ไขฟื นฟูเป็นรายบุคคลหรือรายกลุม ึ อนจะทําการแก้ไขต้องมีการศก
่ ซงก่ ึ ษาหาสาเหตุของ
ปัญหาโดยวิธก ี ารทางวิทยาศาสตร์เสย ี ก่อน เพือจะได้แก้ไขปัญหา

13.1.4 ทฤษฎีการลงโทษเพือปกป้ องคุ ้มครองสังคม


ทฤษฎีป้องกันสังคม มีหลักการสําคัญในการปฏิบัตติ อ
่ ผู ้กระทําความผิดอย่างไร
ั ํ
ทฤษฎีป้องก ันสงคม มีหล ักการสาค ัญ คือ คุม ้ ครองสงคมให้ั ปลอดภ ัยจากอาชญากรรมโดย
การแก้ไขฟื นฟูผก ั
ู ้ ระทําความผิดและอบรมบ่มนิสยมากกว่าการลงโทษ

13.1.5 วัตถุประสงค์และแบบของการลงโทษ
วัตถุประสงค์ของการลงโทษมีกข ี ้อ อะไรบ ้าง
ว ัตถุประสงค์ของการลงโทษ มี 4 ข้อ คือ
(1) เพือแก้แค้นทดแทน
(2) เพือย ับยงหรื
ั อป้องก ัน
(3) เพือคุม ั
้ ครองสงคม
(4) เพือปร ับปรุงและแก้ไขฟื นฟูผก ู ้ ระทําผิด

การลงโทษมีกแบบี อะไรบ ้าง


การลงโทษมี 4 แบบ คือ
(1) กําจ ัดออกจากหมูค ั
่ ณะหรือสงคม
(2) ทรมานร่างกาย
(3) ประจาน
(4) ทําให้สญ ี ทางการเงิน
ู เสย

13.2 การปฏิบ ัติตอ


่ ผูก ั
้ ระทําผิดในสงคม
1. อุดมการณ์ในการปฏิบัตต ิ อ
่ ผู ้กระทําความผิดมีทมาจากทฤษฎี
ี และวัตถุประสงค์ในการลงโทษซึงเน ้น
ไปใน 3 ทาง คือ มุง่ ลงโทษ มุง่ แก ้ไขฟื นฟู และมุง่ ให ้ประชาชนมีสว่ นร่วมในการแก ้ไขปรับปรุงผู ้กระทํา
ความผิด
2. ผู ้ทีกระทําความผิดทีมีโทษไม่ร ้ายแรงอาจได ้รับการแก ้ไขฟื นฟูให ้เป็ นคนดีได ้โดยใช ้ชุมชนเป็ นที
แก ้ไข

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


56

3. ผู ้ทีกระทําความผิดทีมีโทษร ้ายแรง อาจแก ้ไขให ้กลับเป็ นคนดีได ้โดยใช ้เรือนจําเป็ นทีแก ้ไขและ
ขณะเดียวกันก็เป็ นการกําจัดเสรีภาพของผู ้ต ้องโทษด ้วย

13.2.1 อุดมการณ์ในการปฏิบัตต ิ อ
่ ผู ้กระทําผิด
อุดมการณ์ในการปฏิบัตต ิ อ
่ ผู ้กระทําผิดมีกอย่ ี าง อะไรบ ้าง
อุดมการณ์ในการปฏิบ ัติตอ ่ ผูก้ ระทําผิดมี 3 อุดมการณ์ คือ
(1) อุดมการณ์ทมุ
ี ง ่ ต่อการลงโทษ
(2) อุดมการณ์ทมุี ง ่ ต่อการแก้ไขฟื นฟู
(3) อุดมการณ์ทมุ ี ง ่ ต่อการแก้ไขฟื นฟูในชุมชน

13.2.2 การปฏิบตั ต
ิ อ
่ ผู ้กระทําความผิดในชุมชน
หลักเกณฑ์ในการพิจารณารอการลงโทษ มีกข ี ้อ อะไรบ ้าง
มีหล ักเกณฑ์ในการพิจารณารอการลงโทษมี 3 ข้อคือ
(1) โทษนนเป
ั ็ นโทษจําคุก
(2) ศาลจะลงโทษจริงไม่เกิน 2 ปี
(3) ไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อนเว้นแต่ได้กระทําความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ

เงือนไขพักการลงโทษมีกข ี ้อ อะไรบ ้าง


เงือนไขพ ักการลงโทษมี 2 อย่าง
(1) ให้ปฏิบ ัติตาม 3 ข้อ
(ก) ให้ประกอบอาชพ ี ในทางสุจริต
(ข) ให้ปฏิบ ัติกจ
ิ ทางศาสนา
(ค) ให้ไปรายงานต ัวต่อพน ักงานเจ้าหน้าทีพ ักโทษ เดือนละ 1 ครงั
(2) ห้ามปฏิบ ัติ 6 ข้อ
(ก) ห้ามเข้าไปในเขตท้องทีๆ กําหนดไว้
(ข) ห้ามเปลียนอาชพ ี นอกจากได้ร ับอนุญาต
(ค) ห้ามทําผิดกฎหมายทุกชนิด
(ง) ห้ามประพฤติตนในทางเสอมเส ื ี

(จ) ห้ามพกอาวุธทุกชนิด
(ฉ) ห้ามไปเยียมและติดต่อก ับน ักโทษอืนทีไม่ใชญ ่ าติ

13.2.3 การปฏิบต
ั ต
ิ อ
่ ผู ้กระทําความผิดในสถานทีควบคุม
ั เรือนจําใช ้อุดมการณ์อะไรในการปฏิบัตต
ในปั จจุบน ิ อ
่ ผู ้กระทําความผิด

ใชอด ุ มการณ์แก้ไขฟื นฟู ้ ารปฏิบ ัติตอ
แต่ในสหร ัฐอเมริกามีแนวโน้มจะห ันมาใชก ่ ผูก
้ ระทํา
ความผิดโดยมุง ่ ต่อการลงโทษอย่างเป็นธรรม

การปฏิบตั ต
ิ อ
่ ผู ้กระทําผิดในสถานทีควบคุมได ้ผลเป็ นประการใด
ได้ผลด ังนี
(1) ในด้านการร ักษาความปลอดภ ัย มีผห ู ้ ลบหนีไปได้นอ้ ยมาก
(2) ในด้านการแก้ไขปร ับปรุงได้ผลประมาณ 80%

13.3 ทฤษฎีวธ
ิ ก
ี ารเพือความปลอดภ ัย
1. การกักกันมีทมาจากทฤษฎี
ี คุ ้มครองสังคม ทฤษฎียับยัง และทฤษฎีแก ้ไขฟื นฟู
2. การห ้ามเข ้าเขตกําหนด การเรียกประกันทัณฑ์บน การคุมตัวไว ้ในสถานพยาบาล และการห ้าม
ประกอบอาชีพบางอย่าง มีทมาจากทฤษฎี
ี คุ ้มครองสังคมเป็ นส่วนใหญ่

13.3.1 ทฤษฎีเกียวกับการกักกัน
กักกันตาม ปอ.มาตรา 40 มีทมาจากทฤษฎี
ี อะไรบ ้าง
มาจากทฤษฎีคอ ื
(1) ทฤษฎีคม ั
ุ ้ ครองสงคม
(2) ทฤษฎีย ับยงอาชญากรรม

(3) ทฤษฎีแก้ไขฟื นฟูผกู ้ ระทําความผิด

13.3.2 ทฤษฎีเกียวกับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยอืนๆ


วิธก
ี ารเพือความปลอดภัยโดยเฉพาะการเรียกประกันทัณฑ์บนมีทมาจากทฤษฎี
ี คืออะไร
มีทมาจากทฤษฎี
ี คม ั
ุ ้ ครองสงคม ของสาํ น ักป้องก ันสงคม

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


57

แบบประเมินผล หน่วยที 13 ทฤษฎีการลงโทษและวิธก


ี ารเพือความปลอดภ ัย

1. นั กอาชญาวิทยาสํานั กคลาสสิก เสนอให ้ลงโทษผู ้กระทําความผิดด ้วยวัตถุประสงค์ ลงโทษให้


เหมาะสมก ับความผิด
2. นั กทฤษฎีทา่ นใดทีเสนอว่าผู ้กระทําความผิดถูกลงโทษเพราะสมควรได ้รับโทษคือ อิมมานูเอล
คานส ์
3. นั กอาชญาวิทยา สา ํ น ักคลาสสก ิ ทีเสนอให ้ลงโทษผู ้กระทําผิดเพือยับยังอาชญากรรม
4. นั กอาชญาวิทยาสํานั กโปซิตฟ ี เสนอให ้ลงโทษผู ้กระทําผิดด ้วยวัตถุประสงค์ ลงโทษให้เหมาะสมก ับ
บุคคล
5. การใช ้เรือนจําเป็ นทีลงโทษจําคุกผู ้กระทําผิดในยุคแรกเน ้นวัตถุประสงค์ แก้ไขปร ับปรุง
6. การลงโทษเพือลงโทษ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการลงโทษตามทฤษฎีอรรถประโยชน์
7. นั กอาชญาวิทยา สา ํ น ักนีโอคลาสสก ิ ริเริมรอการลงโทษ
8. การปฏิบต ั ติ อ่ ผู ้กระทําผิดในเรือนจําสมัยใหม่ใช ้ทฤษฎีลงโทษ เพือแก้ไขฟื นฟู
9. นั กอาชญาวิทยา สา ํ น ักป้องก ันสงคม ั ใช ้วิธก ี ักกันผู ้ต ้องโทษติดนิสย ั
10. การห ้ามเข ้าเขตกําหนดมีทมาจากทฤษฎี ี ํ
ของนั กอาชญาวิทยา สาน ักป้องก ันสงคม ั
11. อิมมานูเอล คานส์ เสนอให ้ลงโทษผู ้กระทําผิดเพราะเหตุผล ผูก ้ ระทําผิดสมควรได้ร ับโทษ
12. การลงโทษให ้เหมาะสมกับความผิดเป็ นหลักการลงโทษของ สา ํ น ักคลาสสก

13. การลงโทษเพือแก ้ไขฟื นฟูผู ้กระทําผิดเป็ นหลักการของ น ักอาชญาวิทยาสา ํ น ักโปซต
ิ ฟ ี
14. นั กอาชญาวิทยา สําน ักคลาสสก ิ เสนอให ้ลงโทษเพือยับยังป้ องกันอาชญากรรม และแก ้ไขปรับปรุง
ผู ้กระทําความผิด
15. การใช ้เรือนจําเป็ นทีลงโทษจําคุกผู ้กระทําผิดในยุคปั จจุบันเน ้นวัตถุประสงค์ แก ้ไขฟื นฟู
16. การลงโทษเพราะผู ้กระทําผิดสมควรได ้รับโทษทีมาจาก ทฤษฎีการลงโทษเพือแก้แค้นทดแทน
17. การใช ้เรือนจําเป็ นสถานทีลงโทษเพือแก ้ไขปรับปรุงผู ้กระทําผิดริเริมโดยนั กอาชญาวิทยา ํ น ัก
สา
คลาสสก ิ
18. การปฏิบต ั ติ อ่ ผู ้กระทําผิดในชุมชน โดยการคุมความประพฤติมท ี มาจาก
ี ทฤษฎีลงโทษเพือแก้ไข
ฟื นฟู
19. นั กอาชญาวิทยา สา ํ น ักป้องก ันสงคม ั ใช ้วิธเี รียกประกันทัณฑ์บนเพือป้ องกันอาชญากรรมในอนาคต
20. การห ้ามประกอบอาชีพบางอย่างมีทมาจากทฤษฎี ี ของนั กอาชญาวิทยา สําน ักป้องก ันสงคม ั

หน่วยที 14 โทษและวิธก
ี ารเพือความปลอดภ ัย

1. โทษสําหรับลงแก่ผู ้กระทําความผิดนันมี 5 ประการตามลําดับชันแห่งความร ้ายแรงของการกระทําผิด


คือประหารชีวต ิ
ิ จําคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สน
2. วิธเี พิมโทษ ลดโทษ เปลียนโทษ การรอการลงโทษและระงับโทษต ้องเป็ นไปตามหลักเกณฑ์และ
เงือนไขทีกฎหมายกําหนด
3. วิธก ี ารเพือความปลอดภัยมิใช่โทษมี 5 ประการ คือ กักกัน ห ้ามเข ้าเขตกําหนด เรียกประกันทัณฑ์บน
คุมตัวไว ้ในสถานพยาบาล ห ้ามประกอบอาชีพบางอย่าง

14.1 โทษ
โดยลักษณะของโทษทีจะบังคับแก่ผู ้กระทําผิดมี 3 ลักษณะคือ
1. โทษทีบังคับต่อชีวต ิ ได ้แก่
โทษประหารชีวต ิ ด ้วยการเอาไปยิงเสียให ้ตาย
2. โทษทีบังคับต่อเสรีภาพได ้แก่
โทษจําคุก โดยมีกําหนดระยะเวลาและไม่มก ี าํ หนดระยะเวลา ซึงการคํานวณเกียวกับ
ระยะเวลาจําคุกจะเป็ นไปตามทีกฎหมายกําหนด
โทษกักขัง ให ้กักขังผู ้ต ้องโทษไว ้ในสถานทีอันมิใช่เรือนจําโดยมีระยะเวลาอยูภ ่ ายใน
เงือนไขของกฎหมาย และจะนํ าไปใช ้เป็ นการลงโทษหรือเป็ นมาตรการบังคับใน
กรณีทฝ่ี าฝื นการลงโทษปรับ ริบทรัพย์สน ิ ตลอดจนเรียกประกันทัณฑ์บน ในวิธี
เพือความปลอดภัย
3. โทษทีบังคับต่อทรัพย์สน ิ ได ้แก่
โท ผู ้นันต ้องชําระเงินตามจํานวนทีกําหนดไว ้ในคําพิพากษา หากขัดขืนผู ้นั นจะต ้องถูกยึดทรัพย์
ษ สินใช ้ค่าปรับหรือกักขังแทนค่าปรับ โทษนีมักใช ้คูก ่ ับโทษจําคุก
ปรับ
โท บังคับเอาแก่ทรัพย์ททํ ี าหรือมีไว ้เป็ นความผิด ได ้ใช ้หรือมีไว ้เพือใช ้ในการกระทําความผิด ได ้มา

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


58

ษ โดยการกระทําความผิด และได ้ให ้เป็ นสินบนหรือได ้ให ้เพือจูงใจเพือเป็ นรางวัลในการกระทํา


ริบ ความผิด
ทรั
พย์

14.1.1 โทษประหารชีวต ิ
วิธป
ี ระหารชีวต
ิ ในปั จจุบันทําอย่างไร หากผู ้ต ้องโทษประหารชีวต
ิ เป็ นหญิงมีครรภ์ หรือวิกลจริตจะทํา
อย่างไร
วิธกี ารประหารชวี ติ ในปัจจุบ ันคือเอาไปยิงเสย ี ให้ตาย ตาม ปอ.มาตรา 19 หากผูต ้ อ
้ งโทษ
ประหารชวต ี ิ เป็นหญิงมีครรภ์ ต้องรอโทษประหารชวต ี ิ ไว้กอ
่ นจนกว่าจะคลอดบุตรแล้วจึงให้ประหาร
ได้ ตาม ปวอ. มาตรา 247 วรรค 2
หากผูต ้ งโทษประหารชวี ต
้ อ ิ เป็นคนวิกลจริตก่อนถูกประหารชวี ต ิ ต้องรอการประหารชวี ต ิ ไว้
จนกว่าจะหาย ถ้าหายหล ัง 1 ปี น ับแต่คําพิพากษาถึงทีสุด ก็ ให้ลดโทษลงเป็นจําคุกตลอดชวี ต ิ ตาม
ปวอ. มาตรา 248

การทีกฎหมายอาญาของไทยยังคงโทษประหารชีวต
ิ เอาไว ้สมควรหรือไม่ จงอธิบายและให ้เหตุผล
ประกอบ
โทษประหารชวี ต ิ เป็นโทษทีรุนแรงสามารถย ับยงอาชญากรรมได้
ั อย่างมีประสท ิ ธิภาพ เพราะ

สามารถกําจ ัดบุคคลทีสงคมไม่ ตอ
้ งการได้โดยเด็ดขาด มิให้มโี อกาสก่อความเดือดร้อนให้ก ับสงคม ั
ได้อก ี ทงยั ังเหมาะสมก ับประเภทของความผิดร้ายแรงและทารุณโหดร้าย อย่างไรก็ ดโี ทษประหาร
ชวี ต
ิ เป็นโทษทีเมือเกิดความผิดพลาดแล้วก็ จะไม่มท ี างแก้ไขได้เลย ยิงกว่านนย
ั ังข ัดต่อหล ัก

มนุษยธรรม เพราะมนุษย์ดว้ ยก ันไม่ควรมีอํานาจเหนือความตายซงก ันและก ัน
ฉะนน ่ ฎหมายไทยเพียงประเทศเดียวทีย ังคงมโทษประหารชวี ต
ั ไม่ใชก ิ ไว้ ประเทศอืนๆ ก็ย ัง
นิยมมีโทษประหารชวี ต ึ ธก
ิ อยู่ เพียงแต่แตกต่างก ันซงวิ ี ารประหารชวี ต
ิ เท่านน

14.1.2 โทษจําคุก
อธิบายหลักเกณฑ์การคํานวณระยะเวลาจําคุก พร ้อมทังยกตัวอย่างประกอบ
การคํานวณระยะเวลาจําคุก มีหล ักเกณฑ์ตาม ปอ. มาตรา 21 คือ
ให้น ับว ันเริมจําคุกคํานวณเข้าด้วย และให้น ับเป็นหนึงว ันเต็ม โดยไม่ตอ ้ งคํานึงถึงจํานวน

ชวโมง ่ ศาลพิพากษาให้จําคุกจําเลย ว ันที 3 มกราคม 2530 เวลา 15.30 น. สง
เชน ่ ต ัวจําเลยเข้า
เรือนจําเวลา 16.30 น. ด ังนนให้ ั น ับว ันที 3 มกราคม 2530 เป็นว ันแรกของการลงโทษจําคุก และให้
น ับเป็น 1 ว ันเต็ ม ไม่เหมือนก ับน ับระยะเวลาใน ปพพ. มาตรา 158 ซงจะไม่ ึ น ับว ันแรกของระยะเวลา
รวมคํานวณเข้าไปด้วย
ในกรณีทกํ ี าหนดโทษไว้เป็นเดือน ไม่ถอ ื ตามเดือนปฏิทิน แต่เอา 30 ว ัน เป็นหนึงเดือน เชน ่
เริมต้นจําคุกว ันที 1 กุมภาพ ันธ์ 2530 มีกําหนด 1 เดือน ครบกําหนดว ันที 2 มีนาคม 2530 ไม่
เหมือนก ับการน ับระยะเวลาใน ปพพ. มาตรา 159 วรรคต้น ซงให้ ึ คํานวนตามปฏิทิน
ถ้ากําหนดเป็นปี ให้คํานวณตามปฏิท ินในราชการ ซงอาจมี ึ 365 ว ันหรือ 366 ว ัน ก็ ได้ เชน ่
เริมต้นจําคุกว ันที 1 ตุลาคม 2530 ครบกําหนด 1 ปี เมือว ันที 30 ก ันยายน 2531
อนึงการกําหนดโทษจําคุก ถ้ากฎหมายระวางโทษไว้อย่างไร ศาลก็ ตอ ้ งกําหนดให้เป็นไป
ตามนน ั เชน่ กฎหมายระวางโทษเป็นเดือน ศาลก็ ตอ ้ งกําหนดโทษเป็นเดือนด้วย

อธิบายหลักเกณฑ์การเริมรับโทษจําคุก พร ้อมทังยกตัวอย่างประกอบ
หล ักเกณฑ์การเริมร ับโทษจําคุก เป็นไปตาม ปอ.มาตรา 22 วรรคแรก คือให้เริมแต่ว ันมีคํา
พิพากษา แต่ถา้ ผูต ้ อ
้ งคําพิพากษาถูกคุมข ังก่อนศาลพิพากษาให้ห ักจํานวนว ันทีถูกคุมข ังออกจาก
ระยะเวลาตามคําพิพากษาเชน ่ จําเลยกระทําความผิดฐานล ักทร ัพย์ ถูกตํารวจจ ับได้ในว ันที 1
มกราคม 2531 และได้ถูควบคุมข ังไว้ทสถานี ี ตํารวจ จนพน ักงานอ ัยการนําต ัวขึนฟ้องในว ันที 1
เมษายน 2531 และศาลได้พพ ิ ากษาให้จาํ คุก 2 ปี ในว ันที 1 กรกฎาคม 2531 ด ังนีศาลต้องห ักว ัน
คุมข ังตงแต่
ั ว ันที 1 มกราคม 31 ถึง 1 กรกฎาคม 31 เป็นเวลา 6 เดือน 1 ว ัน ออกจากระยะเวลา
จําคุกก่อน ผลสุดท้ายจําเลยต้องร ับโทษจําคุกในเรือนจําเพียง 1 ปี 5 เดือน 29 ว ัน

ตาม ปอ. มาตรา 22 ความว่า “เว ้นแต่คําพิพากษานันจะกล่าวไว ้เป็ นอย่างอืน” หมายความว่าอย่างไร


อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
“เว้นแต่คําพิพากษานนจะกล่
ั าวไว้เป็นอย่างอืน” หมายความว่า ศาลอาจจะพิพากษาว่าให้
เริมน ับโทษจําคุกตามคําพิพากษาโดยไม่ห ักจํานวนว ันทีผูต ้ อ
้ งคําพิพากษาถูกคุมข ัง ก่อนศาลมีคํา
พิพากษาออกจากระยะเวลาตามคําพิพากษาก็ ได้ ทงนี
ั ต้องไม่เกินอ ัตราโทษขนสู ั งของกฎหมายที
กําหนดไว้สําหร ับความผิดทีได้กระทําลง และไม่กระทบกระเทือน ปอ.มาตรา 91 เชน ่ ในคดีความผิด

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


59

ฐานล ักทร ัพย์ ตาม ปอ.มาตรา 334 ซงมีึ โทษจําคุกได้ไม่เกิน 3 ปี นน ั ถ้าจําเลยได้ถก


ู คุมข ังอยูก
่ อ
่ น
ศาลพิพากษาในคดีความผิดฐานล ักทร ัพย์นเป ี ็ นเวลา 1 ปี 4 เดือนแล้ว ศาลจะพิพากษาให้ลงโทษ
จําคุกเกินกว่า 1 ปี 8 เดือน โดยไม่ห ักว ันทีจําเลยถูกคุมข ังก่อนพิพากษาไม่ได้ เพราะเกินกําหนด
โทษขนสูั งของความผิดฐานล ักทร ัพย์คอ
ื เกิน 3 ปี

14.1.3 โทษกักขัง
อธิบายโดยสรุปถึงหลักเกณฑ์การบังใช ้โทษกักขังและสิทธิของผู ้ถูกกักขัง
โทษก ักข ังเป็นโทษทีเกียวก ับเสรีภาพของผูก ้ ระทําความผิดเชน ่ เดียวก ับโทษจําคุกแต่เป็น
โทษทีเบากว่า เพราะไม่ได้ถก ู ก ักข ังในเรือนจําและผูต ้ อ้ งโทษก ักข ังมีสท ิ ธิตา่ งๆ มากกว่าผูต ้ อ
้ งโทษ
จําคุก
การบ ังค ับใชโ้ ทษก ักข ัง ในปัจจ ัย ในปัจจุบ ันไม่มบ ี ทบ ัญญ ัติมาตราใดในประมวลกฎหมาย
อาญาทีกําหนดโทษก ักข ังแก่ผก ู ้ ระทําความผิดสา ํ หร ับการกระทําความผิดฐานใดฐานหนึง
โดยเฉพาะ มีแต่เพียงทีบ ัญญ ัติความผิดบางมาตราทีให้เปลียนโทษอย่างอืนมาเป็นโทษก ักข ัง หรือ
ใชว้ ธิ ก
ี ารลงโทษก ักข ังเพือเป็นมาตรการเร่งร ัดให้กระทําการตามทีกฎหมายบ ัญญ ัติได้แก่
(1) การทีเปลียนโทษจําคุกเป็นโทษก ักข ังตามมาตรา 23 (การเปลียนโทษก ักข ังกล ับเป็น
โทษจําคุกมาตรา 27)
(2) กรณีตอ ้ งโทษปร ับแล้วไม่ชา ํ ระค่าปร ับ หรือศาลสงสยว่ ั าจะมีการหลีกเลียงไม่ชําระ
ค่าปร ับ ให้มก ี ารก ักข ังแทนค่าปร ับ (มาตรา 29)
(3) กรณีข ัดขืนคําพิพากษาของศาลให้ร ิบทร ัพย์สน ิ ให้ก ักข ังจนกว่าจะปฏิบ ัติตาม (มาตรา
34)
(4) กรณีไม่ยอมทําท ัณฑ์บนหรือหาประก ันไม่ได้ ให้ก ักข ังจนกว่าจะปฏิบ ัติตาม (มาตรา
46)
(5) ในกรณีไม่ชําระเงินตามทีศาลสงั เมือกระทําผิดท ัณฑ์บน ให้มก ี ารก ักข ังจนกว่าจะมีการ
ชําระ (มาตรา 47) สถานทีก ักข ัง ตามมาตรา 34 แยกเป็น 2 ประเภท คือ
(ก) สถานทีก ักข ังซงกํ ึ าหนดไว้อ ันมิใชเ่ รือนจํา คือสถานีตํารวจ หรือสถานก ักข ังของ
กรมราชท ัณฑ์
(ข) สถานทีอืนซงไม่ ึ ใชส่ ถานทีก ักข ังซงกํ
ึ าหนดได้แก่ ทีอาศยของผู ั น
้ นเอง
ั ั
ทีอาศยของ
ผูอ้ นที
ื ยินยอมร ับผูน ้ น ั และสถานทีอืนทีอาจก ักข ังได้
ิ ธิของผูต
สท ้ อ ้ งโทษก ักข ัง (มาตรา 25-26) คือ
กรณีทผูี ต้ อ ้ งโทษก ักข ังในสถานทีซงกํ ึ าหนด มีสท ิ ธิได้ร ับการเลียงดูจากสถานทีนน ั มีสท ิ ธิ
ได้ร ับอาหารจากภายนอกโดยเสย ี ค่าใชจ ้ า่ ยของตนเอง ใชเ้ สอผ้ ื าของตนเอง ได้ร ับการเยียมอย่าง
น้อยว ันละ 1 ชม. และร ับสง ่ จดหมายได้ (มาตรา 25)
ในกรณีทผู ี ต ้ อ ้ งโทษก ักข ังถูกก ักต ัวไว้ในสถานทีอืน ผูต ้ อ
้ งโทษก ักข ังมีสทิ ธิตา่ งๆ ดีกว่าผูถ้ กู
ก ักข ังในสถานทีซงกํ ึ าหนด มีสท ิ ธิจะดําเนินการใชวช ้ ิ าชพ ี ของตนเองได้ตามแต่ศาลจะเห็นสมควร
กําหนดเงือนไข

14.1.4 โทษปรับ
โทษปรับคืออะไร ถ ้าผู ้ต ้องโทษปรับไม่ชาํ ระค่าปรับภายในเงือนไขของกฎหมาย จะมีวธิ ก ี ารบังคับผู ้
นั นอย่างไร
โทษปร ับเป็นโทษอาญาในทางทร ัพย์สน ิ การเสย ํ ระเงินจํานวนหนึงต่อศาล
ี ค่าปร ับคือการชา
ตามจํานวนทีศาลกําหนดเอาไว้ในคําพิพากษา (มาตรา 28)
ถ้าผูต ้ งโทษปร ับไม่ชําระค่าปร ับภายในเงือนไขของกฎหมาย คือภายใน 30 ว ัน น ับแต่ว ันที
้ อ
ศาลพิพากษาผูน ้ นก็
ั อาจจะถูกยึดทร ัพย์สน ิ ใชแ้ ทนค่าปร ับ หรือถูกก ักข ังแทนค่าปร ับ แต่ศาลก็ อาจ
เรียกประก ันหรือก ักข ังแทนค่าปร ับไปพลางก่อนก็ ได้ ถ้ามีเหตุอ ันสมควรสงสยว่ ั าผูน้ นจะหลี
ั กเลียงไม่

ชาระค่าปร ับ (มาตรา 29)

อธิบายหลักเกณฑ์วธิ ค ี ํานวณระยะเวลากักขังแทนค่าปรับพร ้อมทังยกตัวอย่างประกอบ


วิธค
ี ํานวณระยะก ักข ังแทนค่าปร ับ ปอ.มาตรา 30 มีหล ักเกณฑ์ด ังนี
(1) ในการก ักข ังแทนค่าปร ับให้ถอ ื 70 บาทต่อว ัน เชน ่ ถูกปร ับ 700 บาท ไม่มเี งินเสย ี
ค่าปร ับ ต้องถูกก ักข ังแทนค่าปร ับเป็นเวลา 10 ว ัน เศษของค่าปร ับให้ปด ั ทิง
(2) การก ักข ังแทนค่าปร ับนี ศาลจะกําหนดระยะเวลาเกินกว่าทีกฎหมายกําหนดระยะเวลา
ิ ดไม่ได้ คือ
ก ักข ังสนสุ
ในกรณีคา ่ ปร ับรวมไม่เกิน 40,000 บาท ไม่วา่ เป็นความผิดกระทงเดียวหรือหลายกระทง
ศาลจะก ักข ังได้ไม่เกิน 1 ปี
ในกรณีทมี ี คา
่ ปร ับรวมก ันตงแต่
ั 40,000 บาทขึนไป ศาลจะสงให้ ั ก ักข ังแทนค่าปร ับเกิน
ระยะเวลา 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ก็ ได้

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


60

ให้เริมน ับว ันก ักข ังแทนค่าปร ับรวมเข้าด้วย และให้น ับเป็น 1 ว ันเต็ ม ไม่วา่ จะเริมก ักข ังใน
เวลาใดของว ันนน ั
ในกรณีทผู ี ต
้ อ
้ งโทษก ักข ังแทนค่าปร ับ ถูกคุมข ังมาก่อนศาลพิพากษาไม่วา ่ จะเป็นการคุมข ัง
ระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณาของศาล ให้ห ักจํานวนว ันทีถูกคุมข ังออกจากจํานวนค่าปร ับ
ให้ถอ ื อ ัตรา 70 บาทต่อ 1 ว ัน เว้นแต่ผน ู ้ นต้
ั องคําพิพากษาให้ลงโทษจําคุกและปร ับ จะห ักจํานวน
ว ันทีถูกคุมข ังออกจากจํานวนค่าปร ับท ันทีไม่ได้
และเมือถูกก ักข ังแทนค่าปร ับครบกําหนดแล้วก็ ให้ปล่อยในว ันรุง ่ ขึนถ ัดจากว ันทีครบกําหนด
เชน ่ จําเลยถูกศาลพิพากษาให้ปร ับ 1,400 บาท ในว ันที 1 มกราคม 2530 จําเลยไม่ชําระค่าปร ับจึง
ถูกก ักข ังแทน เมือถูกก ักข ังได้ 20 ว ัน ก็ ปล่อยต ัวในว ันที 21 มกราคม 2530
อย่างไรก็ด ี ถ้าจําเลยนําเอาเงินค่าปร ับมาชา ํ ระจนครบจํานวนทีขาดระหว่างทีต้องถูกก ักข ัง
แทนค่าปร ับก็ ให้ปล่อยต ัวในท ันที ไม่ตอ ้ งรอให้ถงึ ว ันรุง่ ขึน

14.1.5 โทษริบทรัพย์สน ิ
ทรัพย์สน ิ ทีกฎหมายริบได ้ มีกประเภท
ี อะไรบ ้าง ยกตัวอย่างประกอบ
ทร ัพย์สน ิ ทีกฎหมายริบได้ม ี 4 ประเภท คือ
(1) ทร ัพย์สน ิ ทีศาลต้องริบโดยเด็ดขาด ปอ.มาตรา 32 เป็นทร ัพย์สน ิ ประเภททีกฎหมาย
บ ัญญ ัติวา่ ผูใ้ ดทําเป็นความผิด เชน ่ เงินตราปลอม หรือผูใ้ ดมีไว้เป็นความผิด เชน ่ ปื นเถือน ฝิ นเถือน
(2) ทร ัพย์สน ิ ทีศาลต้องริบเด็ดขาด ตาม ปอ.มาตรา 34 สว ่ นใหญ่เป็นทร ัพย์สน ิ ทีเกียวข้อง
ิ บนของเจ้าพน ักงาน หรือเพือจูงใจ เพือเป็นรางว ัลในการกระทําความผิดเว้นแต่ทร ัพย์สน
ก ับสน ิ นน

เป็นของผูอ ้ นซ
ื งมิึ ได้รเู ้ ห็นเป็นใจในการกระทําความผิดด้วย
(3) ทร ัพย์สน ิ ทีศาลริบโดยใชด ้ ล
ุ พินจ
ิ ตาม ปอ.มาตรา 33 เป็นทร ัพย์สน ิ ซงใช
ึ ใ้ นการกระทํา
ความผิด เชน ปื นทีใชฆา่ คน หรือมีไว้เพือใชในการกระทําความผิด เชน เครืองมือทีใชใ้ นการ
่ ้ ้ ่
โจรกรรม หรือทร ัพย์สน ิ ทีได้มาโดยการกระทําความผิด
(4) ทร ัพย์สน ิ ทีศาลต้องริบตามกฎหมายอืนๆ ตาม ปอ. มาตรา 17 เชน ่ พรบ. ป่าไม้ พรบ.
ศุลกากร และ พรบ. การพน ัน เป็นต้น

14.2 การเพิมโทษ ลดโทษ การเปลียนโทษ การรอการลงโทษ และการระงับโทษ

1. ในการเพิมโทษ ห ้ามเพิมถึงขันประหารชีวต ิ จําคุกตลอดชีวต ิ หรือจําคุกเกินห ้าสิบปี สําหรับโทษ


ประหารชีวต
ิ ในการลดโทษ ถ ้าจะลด 1 ใน 3 ให ้ลดเป็ นโทษจําคุกตลอดชีวต ิ ถ ้าลดกึงหนึงให ้ลดเป็ นโทษ
จําคุกตลอดชีวต
ิ หรือโทษจําคุกตังแต่ยสิ ี บห ้าปี ถงึ ห ้าสิบปี สําหรับโทษจําคุกในกรณีทมี ี การเพิมโทษหรือลด
โทษจําคุก โดยปกติแล ้วคํานวณจากระวางโทษหรือโทษทีศาลจะลงเป็ นหลักแล ้วจึงเพิมหรือลดตามเกณฑ์ท ี
กฎหมายกําหนด แต่ถ ้าเป็ นการลดโทษจําคุกตลอดชีวต ิ ให ้เปลียนเป็ นโทษจําคุกห ้าสิบปี
2. การเปลียนโทษ อาจจะเปลียนจากโทษจําคุกเป็ นโทษกักขังหรือเปลียนจากโทษกักขังกลับไปเป็ น
โทษจําคุกอีก ถ ้าปฏิบัตผ
ิ ด
ิ เงือนไขของกฎหมาย แต่ถ ้าเป็ นการลงโทษจําคุกระยะสันและมีโทษปรับด ้วย ศาล
จะยกโทษจําคุกให ้คงเหลือแต่โทษปรับอย่างเดียวก็ได ้
3. การกระทําความผิด ซึงศาลลงโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี ประกอบกับเหตุผลอืนๆ ทีกฎหมายกําหนด
ศาลจะพิพากษาว่ามีความผิดแล ้วแต่อาจให ้รอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษ โดยกําหนดเงือนไขการคุม
ความประพฤติไว ้ด ้วยก็ได ้
4. โทษทางอาญาระงับเมือผู ้กระทําความผิดตาย หรือชําระค่าปรับอย่างสูงสําหรับความผิดบางประเภท

14.2.1 การเพิมโทษและการลดโทษ
การเพิมหรือลดมาตราส่วนโทษหมายถึงอะไร กรณีทมี ี การเพิมและลดโทษทีจะลงในคดีเดียวกันศาล
จะทําอย่างไร
การเพิมหรือลดมาตราสว่ นโทษ หมายถึง วิธก ี ารเพิมหรือลดตามสดส ั ว่ นของระวางโทษที
กฎหมายบ ัญญ ัติไว้สา ํ หร ับความผิดนนๆ
ั เชน ่ กฎหมายกําหนดโทษจําคุก 3 ปี เมือเพิม 1 ใน 3 ก็คอ ื
จําคุก 4 ปี เป็นการเพิมตามสดส ั ว
่ นก ับอ ัตราโทษทีกําหนดไว้ตามกฎหมาย การลดโทษก็ เชน ่ ก ัน ถ้า
ลด 1 ใน 3 ก็คอ ื จําคุก 2 ปี ฉะนนในการคิ
ั ดเพิมหรือลดมาตราสว ่ นโทษนีหากหากมีทงการเพิ
ั มและ
ลดมาตราสว ่ นโทษแล้วจะเพิมก่อนหรือลดก่อนก็ จะได้ผลล ัพธ์ เท่าก ัน
ในกรณีทมี ี การเพิมและลดโทษทีจะลงด้วยในคดีเดียวก ัน ศาลต้องเพิมหรือลดมาตราสว่ น

เสยก่อน แล้วจึงกําหนดโทษทีจะลง ต่อไปจึงค่อยเพิมหรือลดโทษทีจะลงอีกขนหนึ ั ง

อธิบายหลักเกณฑ์การลดโทษ 2 ใน 3 ของโทษประหาชีวต ิ ตาม ปอ. มาตรา 52


ตาม ปอ.มาตรา 52 ก่อนแก้ไข บ ัญญ ัติถงึ หล ักเกณฑ์การลดโทษประหารชวี ติ ไม่วา่ จะเป็น
ลดมาตราสว ่ นโทษหรือหรือลดโทษทีจะลง ถ้าลด 1 ใน 3 ให้ลดเป็นโทษจําคุกตลอดชวี ต
ิ ด ังต ัวอย่าง
ข้างต้น จําเลยมีความผิดตามมาตรา 289 ประกอบก ับมาตรา 84 วรรคสอง ต้องระวางโทษ 1 ใน 3

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


61

ของโทษประหารชวี ต ิ กฎหมายให้ลดโทษประหารชวี ต ิ 1 ใน 3 เป็นจําคุกตลอดชวี ต ิ แล้วเปลียนโทษ


จําคุกตลอดชวี ติ เป็นจําคุก 50 ปี ตามมาตรา 51 (1) ประกอบก ับมาตรา 53 คือลดโทษ 1 ใน 3 ของ
โทษประหารชวี ต ิ (คงเหลือโทษทีจะลงเป็น 2 ใน 3) เป็นโทษจําคุก 50 ปี คํานวณเอาครึงหนึงคือ
โทษทีจะลงจริง 1 ใน 3 เป็นโทษจําคุก 25 ปี ฉะนนลดโทษ ั 2 ใน 3 ของโทษประหารชวี ต ิ คือจําคุก
25 ปี (ฎ 3611/2528)
ั เกณฑ์ปฏิบ ัติเกียวก ับการลดโทษ 2 ใน 3 ของโทษประหารชวี ต
ด ังนน ิ วิธค
ี ํานวณไม่ตา่ งก ัน
ทงก่
ั อนและภายหล ังทีได้แก้ไขแล้ว คือคิดคํานวณเอาเพียงครึงหนึงของการลดโทษ 1 ใน 3 ของ
โทษประหารชวี ต ิ เชน ่ ก ัน คงต่างก ันแต่บทบ ัญญ ัติกําหนดจําจวนโทษ จึงทําให้ผลล ัพธ์ไม่เท่าก ัน
กล่าวคือ บทบ ัญญ ัติจา ํ นวนโทษตามมาตรา 52 (1) ก่อนแก้ไขเปิ ดโอกาสให้คด ิ ลดโทษลง 1 ใน 3
ของโทษประหารชวต ี ิ เป็นโทษขนตํ
ั าจําคุก 16 ปี ปัจจุบ ันภายหล ังแก้ไขแล้ว มาตรา 52 (1) ประกอบ
ก ับมาตรา 53 ให้เปลียนโทษจําคุกตลอดชวี ต ิ เป็น 50 ปี

14.2.2 การเปลียนโทษ และการยกโทษ


วิธก
ี ารทีศาลเลียงโทษจําคุกจําเลยระยะสันมีกวิี ธี
วิธกี ารทีศาลเลียงโทษจําคุกจําเลยระยะสนมี ั 2 วิธ ี คือการเปลียนโทษจําคุกเป็นก ักข ังตาม

มาตรา 23 การยกโทษจําคุกเสยตามมาตรา 55

อธิบายหลักเกณฑ์ในการเปลียนโทษ และการยกโทษ
หล ักเกณฑ์การเปลียนโทษ ได้แก่ การเปลียนโทษจําคุกเป็นก ักข ังและการเปลียนโทษก ักข ัง
เป็นจําคุก สว ่ นการยกโทษ ได้แก่มาตรา 23 27 และมาตรา 55 ตามลําด ับ
หล ักเกณฑ์การเปลียนโทษจําคุกเป็นโทษเป็นโทษก ักข ัง ตามมาตรา 23 มีด ังนี
1) การกระทําความผิดซงมี ึ โทษจําคุกและคดีนนศาลลงโทษจํ
ั าคุกไม่เกิน 3 เดือน ถ้าไม่
ปรากฏว่าผูน ้ นไม่
ั เคยร ับโทษจําคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้ร ับโทษจําคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสา ํ หร ับ
ความผิดทีกระทําโดยประมาทหรือลหุโทษ
2) ศาลจะพิพากษาให้ลงโทษก ักข ังไม่เกิน 3 เดือน แทนโทษจําคุกนนก็ ั ได้
หล ักเกณฑ์การเปลียนโทษก ักข ังเป็นโทษจําคุกตามมาตรา 27 มีด ังนี
ศาลอาจเปลียนโทษก ักข ังเป็นจําคุกมีกําหนดเวลาตามทีศาลเห็นสมควรแต่หา้ มเกิน
กําหนดเวลาของโทษก ักข ังทีผูน ้ นจะต้
ั องได้ร ับต่อไป หากปรากฏแก่ศาลเองหรือตามคําแถลงของ
พน ักงานอ ัยการหรือตามคําแถลงของผูค ้ วบคุมดูแลสถานทีก ักข ังว่าในระหว่างทีผูต้ อ
้ งโทษก ักข ังอยู่
นนั
(1) ฝ่าฝื นระเบียบข้อบ ังค ับ หรือวิน ัยของสถานทีก ักข ัง
(2) ไม่ปฏิบ ัติตามเงือนไขทีศาลกําหนด หรือ
(3) ต้องคําพิพากษาให้ลงโทษจําคุก
หล ักเกณฑ์การยกโทษจําคุกตามมาตรา 55 มีด ังนี
1) ถ้าโทษจําคุก หรือผูก ้ ระทําผิดต้องร ับผิดมีกําหนด 3 เดือน หรือน้อยกว่าและมีโทษปร ับ
ด้วย
2) ศาลกําหนดโทษจําคุกให้นอ ้ ยลงก็ ได้ (แต่ไม่มโี ทษปร ับอยูด
่ ว้ ย) หรือยกโทษจําคุกเสย ี
และปร ับสถานเดียวก็ ได้

14.2.3 การรอการลงโทษ
อธิบายถึงหลักเกณฑ์การรอการลงโทษและให ้บอกถึงระยะเวลาในการรอการลงโทษ
หล ักเกณฑ์การรอการลงโทษมีบ ัญญ ัติในมาตรา 56 ด ังต่อไปนี
1) มีการกระทําความผิดซงมี ึ แต่เฉพาะโทษจําคุก และในคดีนนศาลลงโทษจํ
ั าคุกไม่เกิน 2
ปี ไม่วา
่ จะมีอ ัตราโทษเท่าไรก็ ตาม และเป็นโทษตาม ปอ. หรือตามประมวลกฎหมายอืนก็ ได้
2) ไม่ปรากฏว่าผูก ้ ระทําความผิดได้ร ับโทษจําคุกมาก่อน โทษจําคุกต้องหมายถึงโทษ
จําคุกมาแล้วจริงไม่ใชไ ่ ด้ร ับการยกเว้นโทษจําคุก (ตามมาตรา 55) เปลียนโทษจําคุกเป็นก ักข ัง
(ตามมาตรา 23) เคยต้องคําพิพากษาให้จําคุกแต่ให้รอไว้
หรือต้องคําพิพากษาให้จา ํ คุกแต่หลบหนีหรือปรากฏว่าได้ร ับโทษจําคุกมาก่อน แต่เป็นโทษ
สําหร ับความผิดทีได้กระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
3) ต้องอ้างเหตุทให้ ี รอการลงโทษตามมาตรา 56 ได้แก่ อายุ ประว ัติ ความประพฤติ
สติปญ ึ
ั ญา การศกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสย ั อาชพี สงแวดล้
ิ อม สภาพความผิด เหตุอน ี
อ ันควรปราณี ประกอบดุลพินจ ิ ของศาลทีจะพิจารณาให้รอการลงโทษหรือไม่ก็ได้
่ นระยะเวลาในการรอการลงโทษ มีกําหนดไม่เกิน 5 ปี
สว

อธิบายถึงผลสภาพบังคับในกรณีทผู ี ้ได ้รับการรอการลงโทษไม่ปฏิบัตต


ิ ามเงือนไขคุมการประพฤติ
กับกรณีผู ้ได ้รับการรอการลงโทษกระทําความผิดขึนอีก

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


62

ผลสภาพบ ังค ับกรณีทผู ี ไ้ ด้ร ับการรอการลงโทษไม่ปฏิบ ัติตามเงือนไขคุมความประพฤติมผ ี ล


ตามมาตรา 57 ด ังต่อไปนี
1) ศาลอาจเห็นสมควรเรียกต ัวผูน ้ นมาต
ั ักเตือนให้ปฏิบ ัติตามเงือนไขทีศาลกําหนดให้
ครบถ้วนต่อไป หรือ
2) กําหนดการลงโทษทีย ังไม่ได้กําหนด หรือ
3) ศาลอาจเห็นสมควรให้ลงโทษทีกําหนดไว้แต่แรก หรือให้รอนนไปเลย ั
กรณีผไ ู ้ ด้ร ับการรอการลงโทษกระทําความผิดขึนอีก มีผลตามมาตรา 58 ด ังนี
1) ในกรณีทศาลรอการลงโทษไว้
ี ศาลทีพิพากษาคดีหล ังต้องกําหนดโทษในคดีนนก่ ั อน
และบวกโทษทีจะต้องลงในคดีกอ ่ นนน ั (ต้องไม่เกิน 2 ปี ) เข้าก ับโทษในคดีหล ัง โดยไม่มก ี ารเพิม
โทษ รวมเป็นโทษทงหมดที ั จะลงแก่ผก ู ้ ระทําความผิด
2) ในกรณีทศาลรอการลงโทษ
ี ศาลทีพิพากษาคดีหล ังจะต้องบวกทาทีรอการลงทาไว้ใน
คดีกอ ่ นเข้าก ับคดีหล ังโดยไม่มก ี ารเพิมทา รวมเป็นโทษทงหมดที ั จะลงแก่ผก
ู ้ ระทําผิด (ตามมาตรา
58 วรรคแรก)
แต่ถา้ ภายในระยะเวลาทีศาลกําหนด ผูต ้ อ้ งคําพิพากษาไม่ได้กระทําความผิด และทงไม่ ั ได้
ผิดเงือนไขเพือคุมความประพฤติตามทีศาลกําหนดไว้ ผูน ้ นก็
ั พน้ จากการทีจะถูกลงโทษ เท่าก ับ
ได้ร ับการยกเว้นโทษให้ไปเลย (ตามมาตรา 58 วรรคท้าย)

14.2.4 การระงับโทษ
การระงับแห่งโทษทางอาญาทีทําให ้สิทธิในการลงโทษระงับ นอกจากโดยอายุความแล ้ว จะรับได ้
โดยวิธใี ด
ิ ธิในการลงโทษระง ับ ได้แก่ ตาม ปอ. มาตรา 38 และ 79 คือ
สท
(1) โดยความตายของผูก ้ ระทําความผิด
(2) ในคดีทมีี โทษปร ับสถานเดียว ผูต ้ งหาได้นําค่าปร ับในอ ัตราอย่างสูงสําหร ับความผิดนน
้ อ ั
มาชําระก่อนศาลเริมต้นสบ ื พยาน

14.3 วิธก
ี ารเพือความปลอดภ ัย
1. กักกันคือ การควบคุมผู ้กระทําความผิดติดนิสย ั ไว ้ภายในเขตกําหนด เพือป้ องกันการกระทําความผิด
เพือดัดนิสย ั และเพือฝึ กหัดอาชีพ
2. ห ้ามเข ้าเขตกําหนด คือการห ้ามมิให ้เข ้าไปในท ้องทีหรือสถานทีทีกําหนดไว ้ในคําพิพากษา
3. เรียกประกันทัณฑ์บน ได ้แก่ การทีศาลเรียกให ้ผู ้ใดทําคํามันว่าจะไม่กอ ่ เหตุร ้ายขึนภายในเวลาที
กําหนด โดยกําหนดจํานวนเงินไว ้ ทังนีศาลจะเรียกให ้มีประกันด ้วยหรือไม่ก็ได ้ หากผู ้นั นกระทําผิดคํามันคือ
ก่อเหตุร ้ายขึนในเวลาทีกําหนด ศาลมีอาํ นาจสังให ้ผู ้นั นชําระเงินตามจํานวนทีกําหนดได ้
4. คุมตัวไว ้ในสถานพยาบาล เป็ นมาตรการของวิธก ี ารเพือความปลอดภัยอีกประเภททีป้ องกันบุคคล
โดยเฉพาะผู ้มีจติ บกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั นเฟื อน หรือผู ้กระทําความผิดเกียวเนืองกับเสพย์สรุ าเป็ นอาจิณ
หรือผู ้ติดยาเสพติดให ้โทษไปกระทําความผิด จึงให ้อยูใ่ นสถานทีทีเหมาะสม
5. ห ้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง คือ ห ้ามผู ้ทีถูกลงโทษเพราะได ้กระทําความผิด มิให ้ประกอบอาชีพ
บางอย่างหลังจากทีพ ้นโทษไปแล ้ว เพือป้ องกันไม่ให ้อาชีพหรือวิชาชีพเช่นนั นเป็ นเครืองมือในการกระทํา
ความผิดอีก

14.3.1 กักกัน
จําเลยซึงมีอายุเกินหนึงปี แล ้ว และเคนต ้องโทษจําคุกฐานลักทรัพย์ของแสงโสมมาแล ้ว 2 ครัง ครัง
ละ 1 ปี หลังพ ้นโทษจําคุกครังที 2 มาแล ้วเพียง 3 เดือน จําเลยก็ไปลักทรัพย์ของแสงโสมอีกครัง ซึงเป็ น
ความผิดทีกฎหมายระบุไว ้ให ้กักกันได ้ ดังนี แสงโสมจะฟ้ องขอให ้ศาลกักกันจําเลยเพือป้ องกันมิให ้มาลัก
ทรัพย์ของตนอีกได ้หรือไม่เพราะเหตุใด
แม้การกระทําของจําเลยจะเข้าเงือนไขหล ักเกณฑ์ของการก ักก ัน ตามประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา 41 เพราะจําเลยได้กระทําความผิดฐานล ักทร ัพย์ซงบ ึ ัญญ ัติไว้ในมาตรา 41 (8)
มาแล้วไม่นอ ้ ยกว่า 2 ครงั และในคดีทงสองศาลก็
ั ได้พพิ ากษาให้จาํ คุก 1 ปี ก็ตาม แต่แสงโสมจะ
ฟ้องขอให้ศาลก ักก ันจําเลยไม่ได้ เพราะอํานาจในการฟ้องขอให้ก ักก ันนนเป ั ็ นอํานาจของพน ักงาน
อ ัยการ

14.3.2 ห ้ามเข ้าเขตกําหนด


การห ้ามเข ้าเขตกําหนดคืออะไร มีหลักเกณฑ์อย่างไร
การห้ามเข้าเขตกําหนดคือวิธก ี ารเพือความปลอดภ ัยประเภทหนึง โดยห้ามเข้าไปในท้องที
หรือสถานทีทีกําหนดไว้ในคําพิพากษา
หล ักเกณฑ์คือต้องมีคําพิพากษาและเป็นคําพิพากษาให้ลงโทษชนิดใดชนิดหนึงในความผิด
ฐานใดฐานหนึง ศาลจะห้ามเข้าเขตกําหนดก็ เพือความปลอดภ ัยของประชาชนโดยไม่จา ํ เป็นต้องมี

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


63

การร้องขอซงต้ ั ในคําพิพากษาโดยระบุทอ
ึ องสงไว้ ั
้ งทีหรือสถานทีทีกําหนดไว้ชดเจน การห้ามเข้า
เขตกําหนดจะมีผลบ ังค ับก็ตอ่ เมือได้พน้ โทษตามคําพิพากษาแล้ว และศาลจะกําหนดห้ามไว้เป็น
เวลานานเท่าใดก็ ได้ แต่ตอ
้ งไม่เกิน 5 ปี

14.3.3 เรียกประกันทัณฑ์บน
อธิบายหลักเกณฑ์การเรียกประกันทัณฑ์บน และอายุความการบังคับตามทัณฑ์บน
หล ักเกณฑ์การเรียกประก ันท ัณฑ์บน มี 2 กรณี ตามบทบ ัญญ ัติ ปอ. มาตรา 46 คือ
1. กรณีพน ักงานอ ัยการเสนอศาลให้เรียกประก ันท ัณฑ์บนเมือย ังไม่มก ี ารกระทําผิด แต่
เพราะพน ักงานอ ัยการเห็นว่าผูน ้ นจะก่ ั อเหตุรา้ ยให้เกิดภย ันตรายแก่บค
ุ คลหรือทร ัพย์สน ิ ของผูอ
้ น

2. กรณีมก ี ารกระทําความผิดเกิดขึนแล้ว ความปรากฏแก่ศาลและศาลพิพากษาไม่ลงโทษ
ผูถ้ ูกฟ้อง แต่ศาลเห็นว่าบุคคลนนน่ ั าจะก่อเหตุรา้ ยให้เกิดภย ันตรายแก่บุคคลหรือทร ัพย์สน ิ ของผูอ้ น

3. การเรียกประก ันท ัณฑ์บนเป็นดุลพินจ ิ ของศาล
4. ผูถ้ ก
ู ฟ้องต้องมีอายุเกิน 17 ปี ขณะทีมีการกระทําอ ันเป็นเหตุให้ศาลเรียกประก ันท ัณฑ์
บนได้
5. ศาลมีอํานาจทีจะสงให้ ั ผนู ้ นทํ
ั าท ัณฑ์บนกําหนดจํานวนเงินไม่เกิน 5,000 บาท แต่ไม่
เกิน 2 ปี และอาจจะสงให้มป ั ี ระก ันด้วยหรือไม่ก็ได้
อายุความการบ ังค ับตามท ัณฑ์บนมี 2 กรณีตามบทบ ัญญ ัติ ปอ.สามาตรา 101 คือ

(1) การบ ังค ับตามคําสงศาลในการเรี ยกประก ันท ัณฑ์บนต้องดําเนินการบ ังค ับภายใน 2 ปี
น ับแต่ว ันทีศาลมีคําสงั
(2) การร้องขอให้ศาลสงให้ ั ใชเ้ งินเมือผูท ้ าํ ท ัณฑ์บนประพฤติผ ิดท ัณฑ์บนต้องร้องขอ
ภายใน 2 ปี น ับแต่ว ันทีทําท ัณฑ์บนประพฤติผ ิดท ัณฑ์บน

14.3.4 คุมตัวไว ้ในสถานพยาบาล


เหตุใดต ้องมีการคุมตัวไว ้ในสถานพยาบาล ศาลจะใช ้วิธก ี ารนีเมือใด
เหตุทต้ ี องมีการคุมต ัวไว้ในสถานพยาบาลก็ เพือป้องก ันประชาชนให้พน ้ จากบุคคลผู ้
วิกลจริต หรือเสพสุราเป็นอาจิณหรือติดยาเสพติดให้โทษ
ศาลจะใชว้ ธ ิ กี ารนีเมือศาลเห็นสมควรว่าหากปล่อยบุคคลประเภทด ังกล่าวไปแล้ว จะเป็นภ ัย
แก่ประชาชน จึงสงให้สง ั ่ ผูน
้ นไปคุ
ั มต ัวไว้ในสถานพยาบาล และคําสงเกี ั ยวแก่บุคคลวิกลจริตนีศาล
จะเพิกถอนเสย ั
ี เมือใดก็ ได้ สว่ นคําสงกรณี กระทําความผิดเกียวเนืองก ับการเสพสุราเป็นอาจิณ หรือ
การเป็นผูต้ ด
ิ ยาเสพติดให้โทษ มีกําหนดเวลาไม่เกิน 2 ปี

14.3.5 ห ้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง

อธิบายหลักเกณฑ์ซงศาลจะสั งห ้ามผู ้กระทําความผิดประกอบอาชีพบางอย่าง

ศาลจะสงให้คําพิพากษาห้ามการประกอบอาชพ ี บางอย่างเมือ
1. ศาลได้พพ ิ ากษาให้ลงโทษผูน ้ นตามฐานความผิ
ั ด
2. ศาลเห็นว่า ผูท ้ ถูี กลงโทษนน ั
ั กระทําความผิดโดยอาศยโอกาสจากการประกอบอาช ี

หรือวิชาชพี หรือความผิดเนืองจากการประกอบอาชพ ี หรือวิชาชพ

3. ศาลเห็นว่าถ้าผูน ้ นประกอบอาช
ั ี หรือวิชาชพ
พ ี นนต่ ่ นน
ั อไปอาจจะกระทบความผิดเชน ั
ขึนอีก

แบบประเมินผล หน่วยที 14 โทษและวิธก


ี ารเพือความปลอดภ ัย

1. โทษอาญามี 5 ประการคือ โทษประหารชวี ต ิ จําคุก ก ักข ัง ปร ับ และริบทร ัพย์สน ิ


2. วิธค
ี ํานวณระยะเวลาจําคุกตามคําพิพากษาคือ น ับตงแต่ ั ว ันทีศาลมีคําพิพากษาโดยน ับเป็นหนึง
ว ัน โดยไม่คํานึงถึงชวโมง ั บวกด้วยกําหนดระยะเวลา ถ้าเป็นเดือนให้น ับเป็น 30 ว ัน และถ้าน ับเป็นปี
ให้ปีตามปฏิทินราชการตามระยะเวลาของโทษทีลง
3. ในกรณีทผู ี ้ต ้องโทษปรับขัดขืนไม่ชาํ ระค่าปรับ ผูต้ อ
้ งโทษจะถูกยึดทร ัพย์หรือถูกก ักข ังแทน
ค่าปร ับ หรือเรียกประก ันแล้วแต่กรณี
4. ทรัพย์สน ิ ทีศาลต ้องริบเสมอคือ ทร ัพย์สน ิ ทีผูก
้ ระทําผิดหรือมีไว้เป็นความผิด
5. หลักเกณฑ์ทกฎหมายกํี าหนดในการคํานวณการเพิมโทษหรือลดโทษคือ ให้ศาลตงกํ ั าหนดโทษที
จะลงแล้วเพิมโทษก่อน แล้วจึงลดลงจากผลทีเพิมแล้วนนในกรณี ั ทมี
ี ทงการลงโทษและเพิ
ั มโทษ
6. การยกโทษจําคุกนั นมีหลักเกณฑ์คอ ื เมือผูก ้ ระทําผิดมีโทษจําคุกทีจะต้องร ับมีกําหนดเวลา
เพียงสามเดือนหรือน้อยกว่านน ั ศาลจะกําหนดโทษจําคุกให้นอ ้ ยลงหรือยกโทษจําคุกเสย ี คงปร ับแต่
อย่างเดียวก็ ได้
7. การรอการลงโทษคือ การทีศาลพิพากษาว่าผูน ้ นกระทํ
ั าความผิดจริง แต่รอการกําหนดโทษไว้
หรือกําหนดโทษ แต่รอการลงโทษไว้ แล้วปล่อยต ัวไป

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


64

8. โทษอาญาระงับเมือ ผูก ้ ระทําผิดตาย หรือเมือผูก ้ ระทําผิดชําระค่าปร ับในอ ัตราสูงในคดีทมี ี


โทษปร ับสถานเดียว
9. วิธก ี ารเพือความปลอดภัยมี 5 ประเภทคือ ก ักก ัน ห้ามเข้าเขตกําหนด เรียกประก ันท ัณฑ์บน
คุมต ัวไว้ในสถานพยาบาล และห้ามประกอบอาชพ ี บางอย่าง
10. ศาลจะเรียกประกันทัณฑ์บนได ้เมือ ความปรากฏแก่ศาลโดยข้อเสนอของพน ักงานอ ัยการว่าผู ้
นนน่
ั าจะก่อเหตุรา้ ยแก่บุคคลหรือทร ัพย์สน ิ และศาลไม่ลงโทษผูถ ้ กู ฟ้องแต่มเี หตุผลอ ันควรเชอ ื
เชน ่ นน ั
11. นาย ก ลักทรัพย์นาย ข ไป ถูกจับในวันที 1 สิงหาคม พ.ศ. 2524 ถูกส่งฟ้ องศาลเมือวันที 11
กันยายน พ.ศ. 2524 ศาลได ้ตัดสินลงโทษจําคุกนาย ก เป็ นเวลา 3 ปี โดยมิหักวันทีนาย ก ถูกคุมขังก่อนศาล
พิพากษาออกก่อน ไม่ได้ เพราะโทษทีจะลงแก่จําเลยถ้าไม่ห ักว ันทีคุมข ังก่อนพิพากษาต้องไม่เกิน
กําหนดโทษชนสู ั งสําหร ับความผิดทีได้กระทําลง
12. นาย ก มีความผิดฐานทําให ้เสียทรัพย์และศาลได ้พิพากษาปรับนาย ก 500 บาท นาย ก ได ้ถูกคุมขัง
ก่อนศาลพิพากษา 7 วัน แต่นาย ก ไม่มเี งินทีจะชําระค่าปรับได ้จึงถูกกักขังแทนค่าปรับ นาย ก ต ้องถูกกักขัง
แทนค่าปรับในอัตรา 70 บาท ต่อ 1 วัน จนกว่าจะครบ 500 บาท ดังนัน นาย ก จะถูกกักขังรวมทังสิน 8 วัน
โดยหักวันทีคุมขังก่อนศาลพิพากษา 7 วัน ออกจากวันทีถูกกักขังแทนค่าปรับนัน
13. นาย ก พกอาวุธปื นไม่ทะเบียนไปจีชิงทรัพย์ นาย ข เมือได ้ทรัพย์ของนาย ข ไปแล ้ว นาย ก ได ้วิงไป
ทีรถจักรยานยนต์ซงนาย ึ ก จอดไว ้ ใช ้สําหรับหลบหนี ดังนีเมือศาลตัดสินลงโทษจําคุกนาย ก ไปแล ้ว ศาล
จะริบปื นเพราะเป็นปื นซงไม่ ึ มท ี ะเบียน สว ่ นรถจ ักรยานยนต์นนริ ั บไม่ได้เพราะมิได้มส ี ว่ นในความผิด
ชงิ ทร ัพย์เพียงใชเ้ ป็นพาหนะหลบหนี
14. นายดําได ้ขอยืมปื นนายแดงไปโดยบอกกับนายแดงว่าจะนํ าปื นไปเพือเฝ้ าไร่ของนายดํา แต่นายดํา
กับนํ าปื น (ซึงไม่มท ี ะเบียน) นั นไปใช ้ในการปล ้นทรัพย์พร ้อมกับพวกของนายดําอีก 4 คน โดยพวกของนาย
ดําหลบหนีไปได ้ นายดําถูกจับได ้เพียงคนเดียวและศาลได ้พิพากษาลงโทษนายดํา และสังริบปื นของกลาง
ดังนี นายแดงจะร้องขอปื นของตนทีศาลสงริ ั บคืนได้ เพราะเป็นทร ัพย์สน ิ ของนายแดง และนายแดง
ไม่มส ี ว่ นร่วมในการกระทําความผิด
15. ในกรณีเพิมโทษน ้อยกว่าและลดโทษมากกว่าต ้องเป็ นไปดังนีคือ เพิมก่อนแล ้วจึงลดเพราะเป็ นคุณ
แก่ผู ้กระทําผิดมากกว่า
16. นาย ก ได ้กระทําความผิดฐานลักทรัพย์และศาลได ้พิพากษาลงโทษปรับนาย ก เป็ นเงิน 5,000 บาท
ต่อมานาย ก ได ้กระทําความผิดฐานทําร ้ายร่างกายและศาลได ้ลงโทษจําคุกนาย ก 2 เดือน ดังนี ศาลจะ
ลงโทษจําคุกเป็นก ักข ังแทน ได้ เพราะนาย ก ไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อน
17. นายเก่งได ้ทําความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลพิพากษาจําคุกนายเก่ง 2 เดือนและปรับ 3,000 บาท ดังนี
ศาลจะยกโทษจําคุก 2 เดือน เป็ นเพียงแต่ปรับนายเก่ง 3,000 บาท ได้ เพราะคดีนศาลลงโทษจํ ี าคุกนาย
เก่งไม่เกิน 3 เดือน และมีโทษปร ับด้วย
18. นายอ ้วนกระทําความผิดและศาลได ้พิพากษาว่านายอ ้วนกระทําความผิดฐานประมาทเป็ นเหตุให ้คน
ตาย และลงโทษจําคุกนายอ ้วน 3 ปี ต่อมาเมือพ ้นโทษแล ้วนายอ ้วนมากระทําความผิดฐานลักทรัพย์แต่ศาล
พิพากษาลงโทษจําคุกนายอ ้วน 2 ปี ศาลจะรอการลงโทษนายอ ้วน ได้ แต่ตอ ้ งรอลงโทษไว้ได้ไม่เกิน 5 ปี
19. นายกุ ้งยืมช ้างนายก ้างไปใช ้ขนของทีบ ้าน แต่นายกุ ้งกับนํ าช ้างไปชักลากไม ้ผิดกฎหมายและนายกุ ้ง
ถูกจับ ศาลได ้พิพากษาจําคุกนายกุ ้ง และริบช ้างและไม ้ของกลาง จะริบชา้ งไม่ได้ เพราะเป็นของบุคคล
อืนทีมิได้รเู ้ ห็นเป็นใจด้วยในการกระทําผิด แต่ร ิบไม้ได้เนืองจากเป็นทร ัพย์สน ิ ทีได้มาโดยกระทํา
ความผิด
20. นาย ก ได ้ถูกศาลสังพิพากษาให ้ปรับเป็ นเงิน 500 บาท แต่นาย ก ไม่มเี งินจะชําระค่าปรับจึงถูกักขัง
แทนค่าปรับเป็ นเวลา 25 วัน นาย ก ได ้ถูกกักขังไปแล ้ว 10 วันแล ้วจึงนํ าเงินค่าปรับในส่วนทีเหลืออีก 15 วัน
มาชําระเมือชําระค่าปรับทีเหลือคือ 300 บาท แล ้วเกิดเปลียนใจจึงขอเงินทีจ่ายไป 300 บาทคืนโดยจะขอถูก
กักขังแทนค่าปรับต่อไป ไม่ได้ เพราะเงินค่าปร ับทีนาย ก จ่ายไปแล้วนนเป ั ็ นการชา ํ ระเงินตามคํา
พิพากษาของศาลจะขอคืนไม่ได้

หน่วยที 15 การกระทําความผิดหลายอย่าง การกระทําความผิดอีก อายุความและอืนๆ

1. ในการกระทําความผิดนั น อาจเป็ นการกระทําความผิดหลายบทหรือหลายกระทงก็ได ้


2. ผู ้ทีเคยถูกลงโทษจําคุกมาแล ้ว หากกระทําความผิดขึนอีกในภายหลังอาจถูกเพิมโทษได ้
3. การดําเนินคดีกับผู ้ทีกระทําความผิด จะต ้องกระทําภายในระยะเวลาทีกฎหมายกําหนดไว ้ และผู ้ทีถูก
ศาลพิพากษาให ้ลงโทษหรือถูกศาลพิพากษา หรือสังให ้ใช ้วิธก ี ารเพือความปลอดภัย ก็จะต ้อง ดําเนินการ
ตามคําพิพากษา หรือคําสังของศาลภายในระยะเวลาทีกฎหมายกําหนดไว ้เช่นกัน มิฉะนั นเป็ นอันขาดอายุ
ความ
4. บทบัญญัตท ิ วไปในประมวลกฎหมายอาญาต
ั ้องนํ ามาใช ้แก่ความผิดลหุโทษ และนํ ามาใช ้แก่
ความผิดตามกฎหมายอืนด ้วย เว ้นแต่จะมีบทบัญญัตเิ ป็ นอย่างอืน

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


65

15.1 การกระทําความผิดหลายอย่าง
1. การกระทํากรรมเดียว ซึงอาจเป็ นการกระทําอันเดียวหรือเป็ นการกระทําหลายอันแต่มเี จตนาเป็ น
อย่างเดียวกัน ถ ้าไปเข ้าความผิดตามกฎหมายตังแต่ 2 บทขึนไป ถือว่าเป็ นการกระทําความผิดหลายบท ต ้อง
ใช ้กฎหมายบททีมีโทษหนั กทีสุดลงโทษแก่ผู ้กระทําความผิด
2. การกระทําหลายกรรมต่างกัน ถ ้าไปเข ้าความผิดตามกฎหมายตังแต่ 2 บทขึนไป ถือว่าเป็ นการ
กระทําความผิดหลายกระทง ต ้องลงโทษผู ้กระทําความผิดทุกกรรมเป็ นกระทงความผิดไป

15.1.1 การกระทําความผิดหลายบท
นายม่วงบุกรุกเข ้าไปในบริเวณบ ้านของนายฟ้ า เมือลักทรัพย์แล ้วลักเอากระบือของนายฟ้ าไป ดังนี
การกระทําของนายม่วงเป็ นการกระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทหรือไม่ และจะต ้องรับโทษอย่างไร
การกระทําของนายม่วงเป็นการกระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เพราะแม้วา่ นาย
ม่วงจะมีการกระทําหลายอ ัน คือมีทงการบุ
ั กรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของนายฟ้าและล ักเอากระบือ
ของนายฟ้าไป แต่นายม่วงก็ ได้กระทําไปโดยมีว ัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ เพือล ักทร ัพย์ของ
ึ ็ นการกระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ในกรณีเชน
นายฟ้า ซงเป ้ ฎหมายบท
่ นี ศาลจะต้องใชก
ทีมีโทษหน ักทีสุดแก่นายม่วงเพียงบทเดียว

อธิบายหลักเกณฑ์การพิจารณากฎหมายบททีมีโทษหนั กทีสุดตาม ปอ.มาตรา 90


หล ักเกณฑ์การพิจารณากฎหมายบททีมีโทษหน ักทีสุดตาม ปอ. มาตรา 90 มีด ังนี
1) พิจารณาลําด ับโทษตาม ปอ. มาตรา 18 โดยโทษทีอยูล ่ ําด ับก่อนเป็นโทษหน ักกว่าโทษ
ในลําด ับถ ัดไป
2) ถ้าความผิดแต่ละบทมีโทษลําด ับเดียวก ัน ให้พจ
ิ ารณาอ ัตราโทษขนสู ั งเป็นเกณฑ์
3) ถ้าความผิดแต่ละบทมีอ ัตราโทษขนสู
ั งเท่าก ัน ให้พจิ ารณาโทษลําด ับถ ัดไปในบทนนๆ ั
ประกอบ
4) ถ้าความผิดแต่ละบทมีอ ัตราโทษขนสู
ั งเท่าก ันและโทษลําด ับถ ัดไปก็ มอ ี ัตราโทษเท่าก ัน
ให้พจิ ารณาอ ัตราโทษขนตํ
ั าเป็นเกณฑ์
5) ถ้าความผิดแต่ละบทมีอ ัตราโทษเท่าก ันทุกอย่างทงอั ัตราโทษขนสู ั งและอ ัตราโทษขนตํ
ั า
ให้อยูใ่ นดุลพินิจของศาลทีจะลงโทษตามบทหนึงบทใดก็ ได้

15.1.2 การกระทําความผิดหลายกระทง
นายม่วงใช ้มีดฟั นนายฟ้ าถึงแก่ความตาย นายแสดบิดาของนายฟ้ าเข ้ามาขัดขวาง นายม่วงจึงใช ้มีด
ฟั นนายแสดถึงแก่ความตายด ้วย ดังนี การกระทําของนายม่วงเป็ นการกระทําผิดหลายกระทงหรือไม่
การทีนายม่วงใช ้มีดฟั นนายฟ้ าถึงแก่ความตาย และต่อมาก็ใช ้มีดฟั นนายแสดบิดาของนายฟ้ าถึงแก่
ความตายด ้วยนัน ถือได ้ว่าการกระทําของนายม่วงเป็ นการกระทําหลายกรรม และการกระทําหลายกรรมนัน
เป็ นการกระทําทีแยกออกจากกันได ้ จึงเป็ นความผิดหลายกระทงตาม ปอ. มาตรา 91

อธิบายหลักเกณฑ์การลงโทษในความผิดหลายกระทงตาม ปอ. มาตรา 91 ทีแก ้ไขใหม่


หลักเกณฑ์การลงโทษในความผิดหลายกระทงตาม ปอ.มาตรา 91 มีดังต่อไปนี กรณีทผู ี ้ใดกระทํา
การอันเป็ นความผิดหลายกรรมต่างกันให ้ศาลลงโทษผู ้นันทุกกรรมเป็ นกระทงความผิดไป แต่ไม่วา่ จะมีการ
เพิมโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษด ้วยหรือไม่ก็ตาม เมือรวมโทษทุกกระทงแล ้วจําคุกทังสินต ้องไม่
เกินกําหนดดังนี
(1) สิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงทีหนั กทีสุดมีอัตราโทษจําคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี
(2) ยีสิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงทีหนั กทีสุดมีอัตราโทษจําคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี แต่ไม่เกิน 10
ปี
(3) ห ้าสิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงทีหนั กทีสุด มีอัตราโทษจําคุกอย่างสูงเกิน 10 ปี ขึนไป เว ้น
แต่กรณีทศาลลงโทษจํ
ี าคุกตลอดชีวติ

15.2 การกระทําความผิดอีก
1. ผู ้ทีเคยถูกลงโทษจําคุกมาแล ้ว หากได ้กระทําความผิดอีกภายในระยะเวลาทีกฎหมายกําหนดและ
ศาลจะลงโทษจําคุก ผู ้นั นอาจถูกเพิมโทษให ้หนั กขึนอีกหนึงในสามก็ได ้
2. ผู ้ทีเคยถูกลงโทษจําคุกไม่น ้อยกว่า 6 เดือนมาแล ้ว หากได ้กระทําความผิดซําในความผิดประเภท
เดียวกันอีก ภายในระยะเวลาทีกําหนดและศาลจะลงโทษจําคุก ผู ้นั นอาจจะถูกเพิมโทษให ้หนั กขึนอีกกึงหนึง
ได ้
3. ความผิดทีกระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดซึงกระทําในขณะมีอายุยังไม่เกิน 17 ปี
ไม่ถอื เป็ นเหตุเพิมโทษ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


66

15.2.1 การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกโดยทัวไป
การเพิมโทษพร ้อมการกระทําความผิดอีกโดยทัวไปตาม ปอ. มาตรา 92 มีดังนี
หลักเกณฑ์การเพิมโทษเพราะการกระทําความผิดอีกโดยทัวไปตาม ปอ. มาตรา 92 มีดังนี
(1) ผู ้นันเคยต ้องคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษจําคุก
(2) ได ้กระทําความผิดใดๆ อีกในระหว่างทียังต ้องรับโทษอยู่ หรือภายในเวลา 5 ปี นั บแต่วันพ ้นโทษ
(3) ศาลจะพิพากษาลงโทษครังหลังถึงจําคุก

การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกทัวไปตาม ปอ.มาตรา 92 มีกําหนดโทษทีจะเพิมเท่าใด


กําหนดโทษทีศาลจะเพิมแก่ผู ้กระทําความผิดอีกโดยทัวไปตาม ปอ. มาตรา 92 คือ หนึงในสามของ
โทษทีศาลจะลงแก่ผู ้กระทําความผิดสําหรับความผิดครังหลัง

15.2.2 การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกเฉพาะทาง
การเพิมโทษเพราะการกระทําผิดอีกเฉพาะอย่างตาม ปอ.มาตรา 93 มีหลักเกณฑ์อย่างไร
หลักเกณฑ์การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกเฉพาะอย่างตาม ปอ. มาตรา 93 มีดังนี
(1) ผู ้นันเคนต ้องคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษจําคุกไม่น ้อยกว่า 6 เดือน
(2) ได ้กระทําความผิดอย่างหนึงอย่างใดซําในมาตราเดียวกันอีกในระหว่างยังต ้องรับโทษอยูห
่ รือ
ภายในเวลา 3 ปี นั บแต่วันพ ้นโทษ
(3) ศาลจะพิพากษาลงโทษครังหลังถึงจําคุก

การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกเฉพาะอย่างตาม ปอ. มาตรา 93 มีกําหนดโทษทีจะเพิมเท่าใด


กําหนดโทษทีศาลจะเพิมแก่ผู ้กระทําความผิดอีกเฉพาะอย่างตาม ปอ.มาตรา 93 คือ กึงหนึงของ
โทษทีศาลจะลงแก่ผู ้กระทําความผิดสําหรับความผิดครังหลัง

15.2.3 กรณีไม่เป็ นเหตุเพิมโทษ


ความผิดทีกฎหมายบัญญัตห ิ ้ามมิให ้นํ ามาเป็ นเหตุเพิมโทษได ้แก่ความผิดใด
ความผิดทีห ้ามมิให ้นํ ามาเป็ นเหตุเพิมโทษมีอยู่ 3 ประเภท คือ
(1) ความผิดทีกระทําโดยประมาท
(2) ความผิดลหุโทษ
(3) ความผิดซึงกระทําในขณะอายุยังไม่เกิน 17 ปี

15.3 อายุความ
1. ในการฟ้ องคดีและฟ้ องขอให ้กักกันผู ้กระทําความผิดต่อศาลนั น จะต ้องกระทําภายในระยะเวลาที
กฎหมายกําหนด มิฉะนันจะฟ้ องร ้องผู ้นันไม่ได ้
2. การลงโทษผู ้กระทําความผิดตามคําพิพากษาของศาลจะต ้องกระทําภายในระยะเวลาทีกฎหมาย
กําหนด
3. การบังคับตามคําพิพากษาหรือคําสังของศาลเกียวกับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยจะต ้องกระทําภายใน
ระยะเวลาทีกฎหมายกําหนด

15.3.1 อายุความฟ้ องคดีและฟ้ องขอให ้กักกัน


นายม่วงได ้เป็ นโจทก์ยนฟ้
ื องนายคราม เป็ นคดีอาญาซึงมีกําหนดอายุความฟ้ องคดี 10 ปี โดยนาย
ม่วงได ้ยืนฟ้ องภายในกําหนดอายุความ แต่ยังไม่ได ้ตัวนายครามผู ้เป็ นจําเลยมาศาลเพือพิจารณาคดีเนืองจาก
จําเลยหลบหนี ต่อมาจึงได ้ตัวจําเลยมาศาลเมือพ ้นกําหนดอายุความ 10 ปี แล ้ว ดังนัน คดีดังกล่าวขาดอายุ
ความหรือไม่
คดีทนายม่
ี วงฟ้ องนายครามดังกล่าวขาดอายุความแล ้ว เพราะในการฟ้ องคดีอาญานันจะต ้องได ้ฟ้ อง
และได ้ตัวผู ้กระทําความผิดมายังศาลภายในกําหนดอายุความ การทีนายม่วงได ้ยืนฟ้ องนายครามภายใน
กําหนดอายุความ แต่ไมได ้ตัวนายครามมาศาลภายในกําหนด แม ้ต่อมาจะได ้ตัวมาศาลก็ได ้มาเมือพ ้นกําหนด
อายุความ 10 แล ้ว คดีจงึ ขาดอายุความ

อธิบายถึงอายุความการฟ้ องคดีความผิดอันยอมความกันได ้
อายุความฟ้ องคดีความผิดอันยอมความได ้มีหลักเกณฑ์ดังนี
(1) ผู ้เสียหายต ้องร ้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นั บแต่วันรู ้เรืองความผิด และรู ้ตัวผู ้กระทําความผิด
(2) ภายในอายุความตาม ปอ.มาตรา 95 หมายความว่า แม่ผู ้เสียหายจะร ้องทุกข์ภายใน 3 เดือนแล ้ว
ก็ตาม การฟ้ องคดีความผิดอันยอมความได ้ก็อยูภ ่ ายในกําหนดอายุความฟ้ องคดีทัวไปตาม ปอ.มาตรา 95
ด ้วย

15.3.2 อายุความการลงโทษ

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


67

อธิบายหลักเกณฑ์อายุความการลงโทษทัวไป
หลักเกณฑ์อายุความการลงโทษทัวไป คือ เมือมีคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษผู ้กระทําผิด และผู ้
นั นยังมิได ้รับโทษหรือรับโทษมาบ ้างแล ้ว แต่หลบหนีไปในระหว่างต ้องโทษอยู่ ถ ้าไม่ได ้ตัวผู ้กระทําความผิด
มารับโทษภายในระยะเวลาทีกฎหมายกําหนดไว ้ นั บแต่วันทีมีคําพิพากษาถึงทีสุดหรือนั บแต่วันทีหลบหนีเป็ น
ต ้นไป ถือว่าขาดอายุความการลงโทษ จะลงโทษผู ้กระทําความผิดตามคําพิพากษานันอีกไม่ได ้

อธิบายหลักเกณฑ์อายุความยึดทรัพย์หรือกักขังแทนค่าปรับ
หลักเกณฑ์อายุความยึดทรัพย์สน ิ หรือกักขังแทนค่าปรับ คือ การยึดทรัพย์สน
ิ หรือการกักขังแทน
ค่าปรับในกรณีทผูี ้ต ้องคําพิพากษาให ้ปรับไม่นําค่าปรับมาชําระแก่ศาลภายในกําหนด จะต ้องกระทําภายใน
กําหนดอายุความคือ ภายในกําหนด 5 ปี นั บแต่วันทีมีคําพิพากษาถึงทีสุด มิฉะนั นจะถือว่าขาดอายุความ จะ
ยึดทรัพย์หรือกักขังผู ้นั นไม่ได ้

15.3.3 อายุความการบังคับวิธกี ารเพือความปลอดภัย


อายุความกักกันคืออะไร
อายุความกักกันคือ เมือมีคําพิพากษาให ้กักกันผู ้ใด ถ ้าผู ้นันยังไม่ได ้รับการกักกัน หรือได ้รับการ
กักกันยังไม่ครบถ ้วนเพราะหลบหนีไป ถ ้าไม่ได ้ตัวผู ้นันมาทําการกักกันภายในกําหนด 3 ปี นั บแต่วันทีพ ้นโทษ
ไม่วา่ จะพ ้นเพราะได ้รับโทษตามคําพิพากษาแล ้ว หรือเพราะล่วงเลยอายุความการลงโทษหรือนั บแต่วันทีผู ้นั น
หลบหนีไป ถือว่าขาดอายุความกักกัน จะกักกันผู ้นันอีกไม่ได ้

อธิบายอายุความการบังคับตามทัณฑ์บน
อายุความการบังคับตามทัณฑ์บนคือ ในกรณีทศาลสั ี งให ้บุคคลใดทําทัณฑ์บนหรือหาประกันว่าจะไม่
ก่อเหตุร ้าย ถ ้าผู ้นันไม่ปฏิบัตติ ามคําสังศาล ศาลมีอาํ นาจสังกักขังผู ้นันหรือจะสังห ้ามผู ้นั นเข ้าเขตกําหนดก็ได ้
แต่การกักขังหรือห ้ามเข ้าเขตกําหนดจะต ้องทําภายในกําหนด 2 ปี นั บแต่วันทีศาลมีคําสัง มิฉะนันจะเป็ นอัน
ขาดอายุความ
ในกรณีผู ้ทีศาลมีคําสังให ้ทําทัณฑ์บน ประพฤติผด ิ ทัณฑ์บน ศาลมีอํานาจหรือให ้ผู ้ผู ้นั นชําระเงินไม่
เกินจํานวนทีกําหนดไว ้ในทัณฑ์บน การร ้องขอให ้ศาลสังให ้ชําระเงินนีจะต ้องกระทําภายในกําหนด 2 ปี นั บแต่
วันทีผู ้ทําทัณฑ์บนประพฤติผด ิ ทัณฑ์บน มิฉะนั นขาดอายุความ

15.4 บทบ ัญญ ัติทใช


ี แ้ ก่ความผิดลหุโทษและการใชบ
้ ทบ ัญญ ัติทวไปในกฎหมายอื
ั น
1. กฎหมายได ้บัญญัตใิ ห ้นํ าหลักเกณฑ์ทัวไปของกฎหมายอาญาในลักษณะ 1 มาใช ้กับความผิดลหุ
โทษด ้วย เว ้นแต่จะเข ้าข ้อยกเว ้นทีบัญญัตไิ ว ้เป็ นพิเศษในมาตรา 104 105 และ 106 ซึงกฎหมายได ้บัญญัต ิ
ให ้แตกต่างไปจากความผิดสามัญ
2. บทบัญญัตท ิ วไปในภาค
ั 1 ให ้นํ าไปใช ้แก่ความผิดตาม พรบ. อืน ซึงกําหนดความผิดทางอาญาด ้วย
แต่มขี ้อยกเว ้นว่าถ ้า พรบ. อืนนั นได ้บัญญัตห ิ ลักเกณฑ์ในเรืองนั นๆ ไว ้โดยเฉพาะแล ้ว ก็ให ้ใช ้หลักเกณฑ์ตาม
พรบ. อืนนัน

15.4.1 บทบัญญัตท ี ้แก่ความผิดลหุโทษ


ิ ใช
ความผิดลหุโทษคืออะไร
ความผิดลหุโทษได ้แก่ ความผิดตาม ปอ. และความผิดตามกฎหมายอืนทีมีอัตราโทษดังนี
(1) จําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือ
(2) ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือ
(3) จําคุกไม่เกิน 1 เดือน และปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ิ เิ ศษทีใช ้กับความผิดลหุโทษแตกต่างจากบทบัญญัตท
บทบัญญัตพ ี ้แก่ความผิดทัวไปอย่างไร
ิ ใช
้ ับความผิดลหุโทษ แตกต่างจากบทบ ัญญ ัติทใช
บทบ ัญญ ัติพเิ ศษทีใชก ้ ก่ความผิดทวไป
ี แ ั ด ังนี
(1) เจตนาในการกระทําความผิด คือ การกระทําความผิดลหุโทษแม้กระทําโดยไม่มเี จตนาก็เป็น
ความผิด
(2) การพยายามกระทําความผิด คือ ผูท ้ พยายามกระทํ
ี าความผิดลหุโทษ ผูน้ นไม่
ั ตอ ้ งร ับโทษ
(3) ผูส
้ น ับสนุนการกระทําความผิดคือ ผูท ้ สน
ี ับสนุนการกระทําความผิดลหุโทษผูน ้ นไม่
ั ตอ้ งร ับโทษ

15.4.2 การใช ้บทบัญญัตท ิ วไปในกฎหมายอื


ั น
อธิบายหลักเกณฑ์การนํ าบทบัญญัตท ิ ัวไปใน ปอ. ไปใช ้ในกฎหมายอืน
ปอ. มาตรา 17 บัญญัตใิ ห ้นํ าบทบัญญัตใิ นภาคหนึงแห่ง ปอ. ไปใช ้กับความผิดตามกฎหมายอืนด ้วย
ิ ลักเกณฑ์เรืองนั นๆ ไว ้โดยเฉพาะแล ้ว ก็ให ้ใช ้หลักเกณฑ์ด ้วย พรบ. อืน
เว ้นแต่กฎหมายอืนนั นจะได ้บัญญัตห
นั น

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549


68

แบบประเมินผล หน่วยที 15 การกระทําความผิดหลายอย่าง การกระทําความผิดอีก อายุความและอืนๆ

1. การกระทําความผิดหลายบทหมายความว่า การกระทําความผิดกรรมเดียว แต่ไปเข้าความผิดตาม


กฎหมายหลายบท
2. เมือมีการทําความผิดหลายบท กฎหมายกําหนดให้ลงโทษหน ักทีสุด
3. การกระทําความผิดหลายกระทงหมายความว่า การกระทําความผิดหลายอ ันต่างก ัน และการกระทํา
นนไปเข้
ั าความผิดตามกฎหมายหลายบท
4. เมือมีการกระทําความผิดหลายกระทง กฎหมายกําหนดให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
5. การเพิมโทษผู ้กระทําความผิดมีหลักเกณฑ์คอ ื บุคคลนนเคยถู
ั กศาลพิพากษาให้ลงโทษจําคุกมาแล้ว
และได้กระทําความผิดต้องโทษจําคุกอีกในเวลาทีกําหนดไว้
6. การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกโดยทัวไปมีกําหนดทีจะเพิม หนึงในสามของโทษทีจะลงในครงั
หล ัง
7. อายุความฟ้ องคดีทัวไป เริมน ับแต่ว ันกระทําความผิด
8. การนับอายุความคดีอาญาสินสุดลงเมือ ได้ฟ้องคดีและได้ต ัวผูก ้ ระทําความผิดมาย ังศาล
9. คดีความผิดอันยอมความได ้ มีอายุความ 3 เดือน น ับแต่ว ันทีรูเ้ รืองความผิด และรูต ้ ัวผูก้ ระทํา
ความผิด
10. ความผิดลหุโทษหมายความว่า ความผิดทีมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปร ับไม่เกิน 1,000 บาท
หรือทงจํ ั าทงปร
ั ับ
11. การกระทําความผิดกรรมเดียว แต่ไปเข้าความผิดตามกฎหมายหลายบท เป็ นความหมายของการ
กระทําความผิดหลายบท
12. กฎหมายกําหนดให ้ลงโทษผู ้กระทําทุกกรรมเป็ นกระทงความผิดไป ในการกระทําความผิดหลาย
กระทง
13. ความผิดซึงมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทังปรับทังจํา เป็ นความหมาย
ของความผิดลหุโทษ
14. ความหมายของความผิดหลายกระทงคือ การกระทําความผิดหลายอ ันต่างก ัน แต่ไปเข้าความผิด
ตามกฎหมายหลายบท
15. กฎหมายกําหนดให ้ลงโทษผู ้กระทําโดยใช ้บทมาตราทีมีโทษหนักทีสุดในการกระทําความผิดหลายบท
16. กฎหมายกําหนดให ้เพิมโทษผู ้กระทําความผิดอีกหนึงในสามในกรณี เพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีก
โดยทวไปั
17. การนับอายุความฟ้ องคดี เริมน ับตงแต่
ั ว ันกระทําความผิด
18. อายุความฟ้ องคดีอาญาจะนั บไปจนถึง เมือได้ฟ้องคดีและได้ต ัวผูก้ ระทําความผิดมาย ังศาล
19. ศาลต ้องเพิมโทษผู ้กระทําความผิดในกรณีท ี บุคคลนนเคยถูั กศาลพิพากษาให้ลงโทษจําคุกมาแล้ว
และได้กระทําความผิดต้องโทษจําคุกอีกในระยะเวลาทีกําหนดไว้
20. อายุความของความผิดอันยอมความได ้ คือ 3 เดือน น ับแต่ว ันรูเ้ รืองความผิดและรูต ้ ัวผูก้ ระทํา
ความผิด

*********************************************

สอบซ่อมวันที 5 กุมภาพันธ์ 2549

You might also like