You are on page 1of 41

สรุปกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

หลักทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิและการใช้สิทธิ
1. ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดีในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต มาตรา 5
2. ถ้ามิได้กำหนดดอกเบี้ยไว้ ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี มาตรา 7
3. ลายพิมพ์นิ้วมือ แกงได หรือเครื่องหมายอื่นทำนองเช่นว่านี้ก็ดี ทำลงในเอกสาร ถ้าไม่ได้ทำต่อพนักงานเจ้า
หน้าที่ หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรอง 2 คนแล้ว เสมอกับลงลายมือชื่อ มาตรา 9
4. การลงจำนวนเงินในเอกสารด้วยตัวอักษรและตัวเลข ถ้าไม่ตรงกันและมิอาจทราบเจตนาที่แท้จริงได้ ให้ใช้จำนวน
เงินที่เขียนเป็ นตัวอักษรเป็ นประมาณ ถ้าไม่ตรงกันหลายแห่ง ให้เอาจำนวนเงินหรือปริมาณน้อยที่สุดเป็ นประมาณ
มาตรา 12,13
5.ถ้าเอกสารทำไว้สองภาษา เป็ นภาษาไทยภาษาหนึ่งด้วย หากมีความแตกต่างกันและไม่อาจทราบเจตนาของคู่
กรณีได้ว่าจะให้ใช้ภาษาใดบังคับ ให้ใช้ภาษาไทยบังคับ มาตรา 14

บุคคล
บุคคลธรรมดา
สภาพบุคคล ย่อมเริ่มแต่เมื่อบุคคล การคลอดนั้นหมายถึง การที่ทารกออกมาจากครรภ์มารดาหมดทั้งตัวแล้ว แม้
จะยังไม่ได้ตัดสายสะดือ และต้องรอดอยู่ด้วย แม้เพียงชั่วระยะเวลานิดเดียวก็มีสิทธิต่างๆ ในทรัพย์สินย้อนไปตั้งแต่
วันแรกที่ปฎิสนธิในครรภ์มารดา เช่น อาจรับมรดกของบิดาซึ่งตายก่อนเด็กคลอดได้ เป็ นต้น มาตรา 15

ภูมิลำเนาของบุคคล มีหลักตามกฎหมาย ดังนี้


1. ภูมิลำเนาของบุคคลธรรมดา ได้แก่ ถิ่นอันบุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็ นหลักแหล่งสำคัญ มาตรา 37
2. ถ้าบุคคลมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกัน หรือมีแหล่งที่ทำมาหากินเป็ นปกติหลายแห่ง ก็ให้ถือเอาแห่งใดแห่ง
หนึ่งเป็ นภูมิลำเนาของบุคคนนั้น มาตรา 38
3. ถ้าภูมิลำเนาไม่ปรากฎ ให้ถือว่าถิ่นที่อยู่เป็ นภูมิลำเนา มาตรา 39
4. ถ้าไม่มีถิ่นที่อยู่เป็ นปกติ หรือไม่มีที่ทำการงานเป็ นหลักแหล่ง ถ้าพบตัวในถิ่นไหนก็ใหถือว่าถิ่นนั้นเป็ นภูมิลำเนา
มาตรา 40
5. บุคคลอาจแสดงเจตนากำหนดภูมิลำเนา ณ ถิ่นใดเพื่อกระทำการใด ก็ถือว่าถิ่นนั้นเป็ นภูมิลำเนาเฉพาะการนั้น
มาตรา 42
6. ภูมิลำเนาของบุคคลบางประเภท เช่น ผู้เยาว์ หรือผู้ไร้ความสามารถ กฎหมายให้ใช้ภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบ
ธรรมหรือของผู้อนุบาล มาตรา 44.45
7. ข้าราชการ ภูมิลำเนาได้แก่ถิ่นที่ทำงานตามตำแหน่งหน้าที่อยู่ประจำ ถ้าเป็ นเพียงแต่ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชา
การชั่วคราวไม่ถือว่าที่นั้นเป็ นภูมิลำเนา มาตรา 46
8. ผู้ที่ถูกจำ คุกตามคำ พิพากษาถึงที่สุดหรือตามคำ สั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ภูมิลำ เนาได้แก่ เรือนจำ หรือ
ทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่ จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว มาตรา 47
**** การเปลี่ยนภูมิลำเนากระทำได้โดยการแสดงเจตนาว่าจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาและย้ายถิ่นที่อยู่ มาตรา 41

ความสามารถของบุคคล
1.ผู้เยาว์ บรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ มาตรา 19
ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย มาตรา 20 สมรสเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปี บริบูรณ์ หรือ เมื่อ
ศาลอนุญาตให้ทำการสมรส มาตรา 1448 จำไว้ว่า “บรรลุแล้วบรรลุเลย”
ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมของ “ผู้แทนโดยชอบธรรม” ก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมนั้นๆ เป็ น
โมฆียะ คืออาจถูกบอกล้างได้ในภายหลัง มาตรา 21
ผู้เยาว์อาจทำนิติกรรมที่สมบูรณ์ได้เอง โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม คือ
1.ทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ มาตรา 25
2.นิติกรรมที่เป็ นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ ายเดียว มาตรา 22 เช่น รับการให้โดยไม่มีข้อผูกพัน
3.นิติกรรมที่ต้องทำเองเฉพาะตัว มาตรา 23 เช่น การรับรองบุตร กรณีตาม มาตรา 1548
4.นิติกรรมที่สมควรแก่ฐานานุรูป และเป็ นการจำเป็ นในการดำรงชีพตามควร มาตรา 24
5.เมื่อผู้เยาว์ได้รับอนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมให้ประกอบการค้า มาตรา 27
2.คนไร้ความสามารถ คือ คนวิกลจริตที่คู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน ของผู้นั้น หรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาล
ให้สั่งให้บุคคลนั้นเป็ นคนไร้ความสามารถ มาตรา 28 และจัดให้อยู่ในความอนุบาล นิติกรรมที่คนไร้ความสามารถ
กระทำลงย่อมตกเป็ นโมฆียะทั้งสิ้น แม้จะได้รับความยินยอมจาก “ผู้อนุบาล” ก็ไม่ได้ มาตรา 29
ส่วนคนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็ นคนไร้ความสามารถ หากไปทำนิติกรรม ย่อมต้องถือว่ามีผลสมบูรณ์ เว้นแต่
ว่า ได้กระทำในขณะจริตวิกล + คู่กรณีอีกฝ่ ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้ว นิติกรรมนั้นจึงตกเป็ นโมฆียะ มาตรา 30
3.คนเสมือนไร้ความสามารถ คือ บุคคลที่ปรากฏว่า ไม่สามารถจัดทำการงานของตนเองได้ เพราะมีกายพิการ จิตฟั่น
เฟือน ไม่สมประกอบ แต่ไม่ถึงขนาดวิกลจริต ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็ นอาจิณ ติดสุรายาเมา เมื่อคู่สมรส บุพการี
ผู้สืบสันดาน หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็ นคนเสมือนไร้ความสามารถ โดยให้อยู่ใน
“ความพิทักษ์” ก็ได้ มาตรา 32

การสิ้นสภาพบุคคล
1.ตาย มาตรา 15
2.สาบสูญ (โดยผลของกฎหมาย) ได้แก่
2.1 บุคคลไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยไม่มีใครทราบว่าเป็ นตายร้ายดีอย่างไรตลอดระยะเวลา 5
ปี มาตรา 61 วรรคแรก
2.2 บุคคลไปทำการรบหรือสงคราม หรือตกไปอยู่ในเรื่อเมื่ออับปราง หรือตกไปในฐานะที่จะเป็ น
ภยันตรายแก่ชีวิตประการอื่นใด หากนับแต่เมื่อภยันตรายประการอื่นๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้วนับได้เวลาถึง 2 ปี ยังไม่มี
ใครทราบว่าบุคคลนั้นเป็ นตายร้ายดีอย่างไร มาตรา 61 วรรคสอง

นิติบุคคล เกิดขึ้นตามกฎหมาย เช่น


1. ทบวงการเมือง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรมในรัฐบาล เทศบาลและสุขาภิบาลทั้งหลาย กรมตำรวจ
กองทัพบก/เรือ/อากาศ แต่กรมในกองทัพนั้นไม่เป็ นนิติบุคคล
2. วัดวาอาราม เฉพาะวัดในพระพุทธศาสนา ที่เรียกกันว่าเป็ นวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ส่วนถ้า
เป็ นมัสยิดหรือวัดของศาสนาคริสต์ ต้องจดทะเบียนเป็ นนิติบุคคลจึงจะเป็ นเจ้าของที่ดินได้
3. ห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้ว/บริษัทจำกัด/สมาคม และมูลนิธิ ส่วนสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศที่เข้า
มาประกอบการในประเทศไทยก็เป็ นนิติบุคคลเช่นเดียวกับนิติบุคคลในประเทศนั้น แม้นิติบุคคลในต่าง
ประเทศนั้นจะมิได้มาจดทะเบียนในประเทศไทยก็ตาม เมื่อนิติบุคคลดังกล่าวได้เป็ นนิติบุคคลโดยชอบ
ด้วยกฎหมายของประเทศนั้นๆแล้ว
ทรัพย์
ความหมาย
“ทรัพย์” หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง มาตรา 137
“ทรัพย์สิน” หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ มาตรา 138

ประเภทของทรัพย์
1. อสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น
1.1 ที่ดิน หมายถึง พื้นแผ่นดิน รวมตลอดถึง ภูเขา เกาะ และที่ชายทะเลด้วย
1.2 ทรัพย์ที่ติดกับที่ดินมีลักษณะเป็ นการถาวร
1.3 ทรัพย์ซึ่งประกอบเป็ นอันเดียวกับที่ดิน
1.4 สิทธิอันเกี่ยวกับ 1.1 , 1.2 และ 1.3 อันได้แก่ สิทธิในกรรมสิทธิ์ ( ม.1336 ) , สิทธิครอบครอง (
ม.1367 ) ,สิทธิจำนอง , สิทธิเก็บกิน ( ม.1417 ) ภาระจำยอม ( ม. 1387 ) เป็ นต้น

2. สังหาริมทรัพย์ ได้แก่
2.1 ทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์
2.2 สิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์ เช่น สิทธิจำนอง สิทธิยึดหน่วง เป็ นต้น

3. ทรัพย์แบ่งได้ ( ม.141 ) ได้แก่ทรัพย์อันอาจแยกออกจากกันเป็ นส่วนๆได้ โดยยังสภาพเดิมอยู่


4. ทรัพย์แบ่งไม่ได้ ( ม.142 ) ได้แก่
4.1 ทรัพย์ที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้โดยสภาพ เช่น บ้าน โต๊ะ เก้าอี้ เป็ นต้น
4.2 ทรัพย์ที่กฎหมายถือว่าแบ่งไม่ได้ เช่น หุ้นของบริษัท ส่วนควบของทรัพย์ เป็ นต้น

5. ทรัพย์นอกพาณิชย์ ( ม.143 ) ได้แก่


5.1 ทรัพย์ที่ไม่อาจถือเอาได้ เช่น ก้อนเมฆ ดวงอาทิตย์ เป็ นต้น
5.2 ทรัพย์ที่ไม่อาจโอนกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ที่ดินธรณีสงฆ์ ยาเสพติด เป็ นต้น

ส่วนประกอบของทรัพย์
1. ส่วนควบ ( ม.144 ) ได้แก่ ส่วนซึ่งว่าโดยสภาพแห่งทรัพย์ หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น เป็ นสาระ
สำคัญในความเป็ นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจจะแยกจากกันได้ นอกจากทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้
ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป ข้อยกเว้นในเรื่องส่วนควบมีดังนี้ ( ม.145 , 146 )
1.1 ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติ
1.2 ทรัพย์อันติดกับที่ดิน หรือโรงเรือนชั่วคราว
1.3 โรงเรือนหรือการปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธิปลูกทำลงไว้
2. อุปกรณ์ ( ม.147 ) ได้แก่ สิ่งที่ใช้บำรุงดูแลรักษาทรัพย์ประธาน และสามารถแยกออกจากทรัพย์ประธาน
ได้ โดยไม่ทำให้เปลี่ยนแปลงรูปทรง ต่างจากการเป็ นส่วนควบ
3. ดอกผล คือ ผลประโยชน์ที่ได้งอกเงยจากทรัพย์สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเองโดยสม่ำเสมอ แบ่งออกเป็ น 2
ประเภท คือ ( ม.148 )
3.1 ดอกผลธรรมดา คือ สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ซึ่งได้มาจากตัวทรัพย์ โดยการมีหรือ
ใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม เช่น ผลไม้ น้ำนม ขนสัตว์ และลูกของสัตว์ เป็ นต้น
3.2 ดอกผลนิตินัย ซึ่งเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย เช่น ดอกเบี้ย กำไร ค่าเช่า ค่าปันผล ฯ

บุคคลสิทธิและทรัพย์สิทธิ
“บุคคลสิทธิ” คือ สิทธิหรือบุคคลที่จะบังคับให้กระทำการ งดเว้นกระทำการหรือส่งมอบทรัพย์สินให้ ได้แก่
สิทธิต่างๆ ที่เจ้าหนี้จะบังคับเอาได้จากลูกหนี้นั่นเอง

“ทรัพย์สิทธิ” คือ สิทธิเหนือทรัพย์สิน สามารถบังคับได้โดยตรงเอากับตัวทรัพย์สินได้ ทรัพย์สิทธิ เกิดขึ้น


ได้ก็แต่อาศัยอำนาจของกฎหมายเท่านั้น ได้แก่ กรรมสิทธิ์ สิทธิอาศัย ภาระจำยอม สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บ
กิน และภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ ( ม.1387 – 1434 ) เป็ นต้น

การได้มาซึ่งทรัพย์สิทธิ
1. ผลของนิติกรรม เช่น สัญญาซื้อขาย เป็ นต้น
2. ผลกฎหมาย ได้แก่ การครบอครองปรปักษ์ / การได้รับมรดก / การรับรองลิขสิทธิ์ เป็ นต้น

นิติกรรม
หลักเกณฑ์สำคัญของนิติกรรม ( ม.149 )
1 ) ต้องมีการแสดงเจตนา
2 ) ต้องกระทำโดยใจสมัคร
3 ) มุ่งให้มีผลผูกพันทางกฎหมาย
4) เป็ นการทำลงโดยชอบด้วยกฎหมาย
5) ผู้ที่ทำนิติกรรมต้องมี “ความสามารถ” ในการทำนิติกรรมด้วย

ประเภทของนิติกรรม
1 . นิติกรรมฝ่ ายเดียว เช่น การทำพินัยกรรรม / การปลดหนี้ ( ม. 340 ) / การบอกเลิกสัญญา ( ม. 386 ) /
โฆษณาจะให้รางวัล ( ม.362 และ 365 ) เป็ นต้น นิติกรรมฝ่ ายเดียวนี้ มีผลตามกฎหมายแล้ว แม้จะยังไม่มีผู้รับ
ก็ตาม
2. นิติกรรมหลายฝ่ าย คือ มีฝ่ ายที่ทำคำเสนอและอีกฝ่ ายทำคำสนอง เมื่อคำเสนอและคำสนองตรงกัน ก็
เกิดสัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย / สัญญาเช่า / สัญญาค้ำประกัน เป็ นต้น

ความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรม
1. ความสามารถในการทำนิติกรรม กล่าวคือ ถ้านิติกรรมได้กระทำลงโดยผู้หย่อนความสามารถ คือ
1.1 ผู้เยาว์
1.2 คนไร้ความสามารถ
1.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ เป็ นโมฆียะ ( ม. 153 )
2. วัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม
2.1 เป็ นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
2.2 เป็ นการพ้นวิสัย
2.3 เป็ นการขัดความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
3. แบบแห่งนิติกรรม
3.1 การทำเป็ นหนังสือ เช่น การโอนหนี้ ( ม. 306 ) / สัญญาเช่าซื้อ ( ม. 572 ) / สัญญาตัวแทนบาง
ประเภท ( ม. 798 ) ถ้าตกลงเพียงวาจา สัญญานั้น เป็ นโมฆะ
3.2 การทำ เป็ นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น การคัดค้านตั๋วแลกเงิน ( ม.961 ) / การทำ
พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ ายเมือง ( ม. 1658 ) เป็ นต้น ถ้าไม่ได้ทำเป็ นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมใช้บังคับ
ไม่ได้
3.3 การทำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (
ม.456 ) / สัญญาขายฝาก ( ม.491 ) / สัญญาจำนอง ( ม.714 ) เป็ นต้น ถ้าไม่ทำตามแบบ เป็ นโมฆะ
4. การแสดงเจตนา

4.1 เจตนาอย่างหนึ่งแต่แสดงออกอีกอย่างหนึ่ง นิติกรรมนั้นมีผลใช้บังคับได้ เว้นแต่อีกฝ่ ายหนึ่งจะได้


รู้ถึงเจตนาที่แท้จริง ( ม. 154 ) หรือ การแสดงเจตนาลวง โดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ ายหนึ่ง ( ม. 155 ) หรือนิติกรรม
อำพราง ( ม. 155 ว.สอง ) เป็ นโมฆะ

4.2 การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด

(1) สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรม

- สำคัญผิดในประเภทของนิติกรรม

- สำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็ นคู่สัญญา เป็ นโมฆะ

- สำคัญผิดในวัตถุแห่งนิติกรรม ( ม.156 )

(2) สำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์ ถ้าคุณสมบัติดังกล่าว เป็ นสาระสำคัญของ


นิติกรรม กล่าวคือ ถ้ารู้ว่า บุคคลหรือทรัพย์ไม่ได้คุณสมบัติที่ต้องการ ก็คงไม่ทำนิติกรรมด้วย นิติกรรม
นั้นเป็ นโมฆียะ ( ม. 157 )

(3) สำคัญผิดเพราะกลฉ้อฉล ได้แก่ การที่คู่กรณีฝ่ ายหนึ่งใช้อุบายหลอกลวง ให้เขาหลงเชื่อ


แล้วเขาทำนิติกรรม ซึ่งถ้ามิได้ใช้อุบายหลอกเช่นว่านั้น เขาคงไม่ทำนิติกรรมด้วย นิติกรรมนั้น
เป็ นโมฆียะ ( ม. 159 )

(4) การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ นิติกรรมนั้นเป็ นโมฆียะ ( ม.164 ) ถ้าการข่มขู่


นั้นถึงขนาดที่ทำให้ผู้ถูกขู่กลัวจริงๆ แต่การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมก็ดี หรือความกลัวเพราะนับถือยำเกรงก็ดี
ไม่ถือว่าเป็ นการขู่ ( ม.165 )

ผลแห่งความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรม

“โมฆะ” หมายถึง นิติกรรมนั้นเสียเปล่ามาตั้งแต่ต้น ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย คือ เสมือนว่าไม่มีการทำ


นิติกรรมนั้นๆเลย จะฟ้องร้องบังคับกันไม่ได้ จะให้สัตยาบันก็ไม่ได้ ( ม. 172 )
“โมฆียะ” หมายถึง นิติกรรมที่สมบูรณ์ตามกฎหมายจนกว่าจะมีการบอกล้าง ( ม.176) ถ้าไม่มีการบอกล้าง
ภายในระยะเวลา ( 1 ปี นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรือ 10 ปี นับแต่ได้ทำนิติกรรม ม.181 ) หรือมีการให้
สัตยาบัน ( ม.179) โดยบุคคลที่กฎหมายกำหนด นิติกรรมนั้นเป็ นอันสมบูรณ์ตลอดไป

สัญญา

สาระสำคัญของสัญญา

1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ ายขึ้นไป

2. ต้องมีการแสดงเจตนาต้องตรงกัน ( คำเสนอ + คำสนองตรงกัน )

“คำเสนอ” เป็ นคำแสดงเจตนาขอทำสัญญา คำเสนอต้องมีความชัดเจน แน่นอน ถ้าไม่มีความ


ชัดเจนแน่นอน เป็ นแต่เพียงคำเชิญชวน

“คำสนอง” คือ การแสดงเจตนาของผู้สนองต่อผู้เสนอ ตกลงรับทำสัญญาตามคำเสนอ คำสนอง


ต้องมีความชัดเจน แน่นอน ปราศจากข้อแก้ไข ข้อจำกัด หรือข้อเพิ่มเติมใดๆ

3. ต้องมีวัตถุประสงค์ในการทำสัญญา

ประเภทของสัญญา

1. สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน

“สัญญาต่างตอบแทน” ได้แก่ สัญญาที่ทำให้คู่สัญญาต่างเป็ นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน


( ม.369 ) กล่าวคือ คู่สัญญาต่างมีหนี้ หรือหน้าที่จะต้องชำระให้แก่กันเป็ นการตอบแทน

“สัญญาไม่ต่างตอบแทน” คือ สัญญาที่ก่อหนี้ฝ่ ายเดียว เช่น สัญญายืม ( ม.640 , 650 )

2. สัญญามีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน

3. สัญญาประธานกับสัญญาอุปกรณ์

“สัญญาประธาน” หมายถึง สัญญาที่เกิดขึ้นและเป็ นอยู่ได้โดยลำพัง ไม่ขึ้นอยู่กับสัญญาอื่น

“สัญญาอุปกรณ์” นอกจากสัญญาอุปกรณ์จะต้องสมบูรณ์ตามหลักความสมบูรณ์ของตัวเอง
แล้ว ยังขึ้นกับความสมบูรณ์ของสัญญาประธานอีกด้วย กล่าวคือ ถ้าสัญญาประธานไม่สมบูรณ์ สัญญาอุปกรณ์
ย่อมไม่สมบูรณ์ด้วยเช่นกัน เช่น สัญญาค้ำประกัน ( ม.680 ) / สัญญาจำนอง ( ม.702 ) / สัญญาจำนำ ( ม.747 )

4. สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก โดยคู่สัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกโดยที่
บุคคลภายนอกนั้นไม่ได้เข้ามาเป็ นคู่สัญญาด้วย เช่น สัญญาประกันชีวิต

5. เอกเทศสัญญาตาม ป.พ.พ. บรรพ 3 กับสัญญาไม่มีชื่อ

สิทธิในการบอกเลิกสัญญา

1. สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

1.1 เมื่อคู่สัญญาฝ่ ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ คู่สัญญาอีกฝ่ ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้ว


บอกกล่าวให้ฝ่ ายนั้นชำระหนี้ในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าฝ่ ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะที่กำหนดให้ อีกฝ่ ายหนึ่งจะ
เลิกสัญญาเสียก็ได้ ( ม.387 )
1.2 เมื่อคู่สัญญาฝ่ ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ซึ่งโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาได้แสดงไว้
วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจะเป็ นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนดหรือภายในระยะเวลาซึ่ง
กำหนดไว้ เจ้าหนี้มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที โดยไม่จำเป็ นต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ก่อน

1.3 เมื่อการชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนกลายเป็ นพ้นวิสัย เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง


อันจะโทษลูกหนี้ได้ เจ้าหนี้จะเลิกสัญญาเสียก็ได้ ( ม.389 )

2. สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา หมายความว่า คู่สัญญาได้ตกลงกันกำหนดสิทธิในการเลิก


สัญญาไว้ล่วงหน้า ถ้ามีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้เกิดขึ้น ก็ให้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่คู่กรณี

ผลของการเลิกสัญญา

1. คู่สัญญาแต่ละฝ่ ายต้องให้อีกฝ่ ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะเดิม ( ม.391 วรรคหนึ่ง ) เช่น

- ทรัพย์สินที่ได้ส่งมอบหรือโอนให้แก่กันไปตามสัญญา ก็ต้องคืนทรัพย์สินนั้นในสภาพที่เป็ น
อยู่เดิมขณะมีการส่งมอบหรือโอนไปตามสัญญา และถ้าเป็ นการพ้นวิสัยที่จะคืนได้ทั้งหมดหรือบางส่วน ก็ต้อง
ชดใช้ค่าเสียหายแทน

- หากทรัพย์สินที่จำต้องส่งคืนนั้นเป็ นเงินตรา กฎหมายกำหนดให้บวกดอกเบี้ย คิดตั้งแต่เวลา


ที่ได้รับเงินไปด้วย ( ม.391 วรรคสอง ) อัตราดอกเบี้ยนั้น ถ้ามิได้กำหนดเอาไว้ ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี (
ม.7 )

- อย่างไรก็ตาม การเลิกสัญญาอันมีผลทำให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมนี้ จะเป็ นสาเหตุ


ทำให้บุคคลภายนอกเสื่อมเสียสิทธิไม่ได้

2. การเลิกสัญญาไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะเรียกค่าเสียหาย ( มาตรา 391 วรรคท้าย


)

หนี้

ลักษณะสำคัญของหนี้ ต้องประกอบด้วย

1. การมีนิติสัมพันธ์ (ความผูกพันกันในทางกฎหมาย)

2. การมีเจ้าหนี้และลูกหนี้ ( สิทธิเหนือบุคคล)

3. ต้องมีวัตถุแห่งหนี้ ( การกระทำ / งดเว้นกระทำการ / ส่งมอบทรัพย์สิน )

3.1 ทรัพย์ซึ่งเป็ นวัตถุแห่งการชำระหนี้ ได้ระบุไว้เป็ นประเภทและตามสภาพแห่งนิติกรรม หรือ


ตามเจตนาของคู่กรณี ไม่อาจกำหนดได้ว่า ทรัพย์นั้นจะพึงเป็ นชนิดอย่างไรแล้ว กฎหมายกำหนดให้ลูกหนี้ต้องส่ง
มอบชนิดปานกลาง ( ม.195 วรรคหนึ่ง ) เว้นแต่ หากเป็ นกรณีที่อาจสันนิษฐานเจตนาของคู่กรณีได้แล้ว เช่น ใน
ครั้งก่อนๆ นั้นได้ส่งมอบของชนิดที่ดีที่สุดเสมอมา ดังนี้ ลูกนี้จะส่งมอบชนิดปานกลางไม่ได้

3.2 วัตถุแห่งการชำระหนี้เป็ นเงินตรา ถ้าหนี้เงินได้แสดงไว้เป็ นเงินต่างประเทศ จะส่งใช้เป็ น


เงินไทยก็ได้ การแลกเปลี่ยนเงินนี้ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน ( ม.196 )

3.3 กรณีวัตถุแห่งการชำระหนี้มีหลายอย่าง โดยกลักกฎหมายให้สิทธิลูกหนี้ที่จะเลือก ( ม.


198 )
วิธีเลือกนั้น ให้ทำโดยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ ายหนึ่ง ( ม.199 วรรคหนึ่ง )และต้องแสดงเจตนาเลือก
ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ถ้าไม่เลือกภายในเวลาที่กำหนด สิทธิที่จะเลือกนั้นก็จะตกไปอยู่แก่อีกฝ่ ายหนึ่ง
( ม.200 วรรคหนึ่ง )

- ในกรณีที่กำหนดให้บุคคลภายนอกเป็ นผู้ที่มีสิทธิเลือก บุคคลภายนอกต้องแสดงเจตนา


เลือกต่อลูกหนี้ และลูกหนี้ต้องแจ้งความนั้นแก่เจ้าหนี้ แต่ถ้าบุคคลภายนอกไม่ประสงค์จะ
เลือกหรือไม่เลือกภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ สิทธิเลือกนั้นย่อมตกแก่ฝ่ ายลูกหนี้ (
ม.201 )
- ในกรณีที่การอันพึงต้องชำระหนี้มีหลายอย่าง และอย่างใดอย่างหนึ่งตกเป็ นอันพ้นวิสัยที่
จะกระทำได้มาตั้งแต่ต้น หรือกลายเป็ นพ้นวิสัยในภายหลัง ให้จำกัดการชำระหนี้นั้นไว้
เพียงการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัย แต่การจำกัดหนี้ในกรณีเช่นนี้ไม่อาจใช้บังคับได้
หากว่าการชำระหนี้ที่กลายเป็ นพ้นวิสัยนั้น เกิดขึ้นเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่ง ซึ่งฝ่ าย
ที่ไม่มีสิทธิเลือกนั้นต้องรับผิดชอบ ( ม.202 )

บ่อเกิดแห่งหนี้

1. นิติกรรม - สัญญา

2.นิติเหตุ หมายถึง เหตุที่มิได้เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาเข้าผูกพันตนเพื่อก่อหนี้ แต่กฎหมายเป็ น


กำหนด ซึ่งอาจเป็ นเหตุธรรมชาติ หรือ อาจเป็ นเหตุที่ก่อขึ้นโดยการกระทำของบุคคล โดยเขามิได้มุ่งให้มี
ผลในกฎหมาย แต่กฎหมายก็กำหนดให้ต้องมีหนี้หรือหน้าที่ต่อบุคคลอื่น ได้แก่

2.1 ละเมิด ( ม.420 )

2.2 จัดการงานนอกสั่ง ( ม.395 , 401 )

2.3 ลาภมิควรได้ ( ม.406 )

2.4 ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เช่น บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา ( ม.1563 )

การบังคับชำระหนี้

1. กำหนดชำระหนี้ ถ้าเป็ นกรณีที่คู่กรณีไม่ได้ตกลงกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนแล้ว กฎหมาย


ถือว่า หนี้นั้นถึงกำหนดชำระโดยพลัน ( ม.203 )

2. การผิดนัดของลูกหนี้

2.1 เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้น เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยัง


ไม่ชำระหนี้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว ( ม.204 วรรคหนึ่ง )

2.2 เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระตามวันแห่งปฏิทินแล้ว และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนด ลูกหนี้


ได้ชื่อว่าตกเป็ นผู้ผิดนัดแล้ว โดยมิต้องเตือนก่อนเลย ( ม.204 )

2.3 ถ้าเป็ นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด ( ม.206 )

ผลของการที่ลูกหนี้ผิดนัด

1.เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการนั้นได้ ( ม.215)

2. ถ้าโดยเหตุผลที่ผิดนัดนั้น ทำให้การชำระหนี้กลายเป็ นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะ


บอกปัดไม่รับการชำระหนี้นั้น และมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ได้ ( ม.216 )
3.ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างที่ตน
ผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบในการที่ชำระหนี้กลายเป็ นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดด้วย
เว้นแต่ความเสียหายนั้นถึงอย่างไรก็จะเกิดขึ้นอยู่ดีถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันกำหนดเวลา ( ม.217 )

4. ในระหว่างผิดนัด ถ้าไม่มีการกำหนดไว้เป็ นอย่างอื่น ในกรณีของหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ด


ครึ่งต่อปี ( ม.224 )

ข้อแก้ตัวของลูกหนี้

ถ้าการชำระหนี้นั้นยังมิได้กระทำลง เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ลูกหนี้


ก็ยังหาได้ชื่อว่าเป็ นผู้ผิดนัด ( ม.205 )

การผิดนัดของเจ้าหนี้

1. ถ้าลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้น โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้าง


กฎหมายได้เจ้าหนี้ตกเป็ นผู้ผิดนัด ( ม.207 )

2. ในกรณีของสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ส่วนของตนต่อเมื่อเจ้าหนี้ชำระหนี้
ตอบแทนด้วยนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าหนี้จะได้เตรียมพร้อมที่จะรับชำระหนี้ตามที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ตาม
แต่ถ้าเจ้าหนี้ไม่เสนอที่จะทำการชำระหนี้ตอบแทนตามที่พึงต้องทำแล้ว เจ้าหนี้ก็เป็ นอันได้ชื่อว่าผิดนัด (
ม.210 )

- เหตุแห่งความผิดนัดในข้อนี้ เนื่องมาจากหนี้อันเกิดจากสัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีลักษณะที่
คู่สัญญาฝ่ ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ ( ม.369 )

ผลของการที่เจ้าหนี้ผิดนัด

1. ปลดเปลื้องความรับผิดในอันที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เพราะเหตุชำระหนี้ล่าช้า

2. ปลดเปลื้องความรับผิดในกรณีที่การชำระหนี้นั้นกลายเป็ นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้

3. ปลดเปลื้องความรับผิดในความเสียหายอย่างใดๆ ที่เกิดแก่ตัวทรัพย์อันเป็ นวัตถุแห่งหนี้นั้น

4. ปลดเปลื้องความรับผิดในดอกเบี้ยสำหรับกรณีที่เป็ นหนี้เงิน

ข้อแก้ตัวของเจ้าหนี้

1. ในเวลาที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้น ( ไม่ว่าเจ้าหนี้พร้อมที่จะรับชำระหนี้นั้นหรือยัง ) หากลูก


หนี้มิได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถชำระหนี้ได้จริงๆ เจ้าหนี้ก็หาตกเป็ นผู้ผิดนัดไม่ ( ม.211 )

2. ในกรณีที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ หรือลูกหนี้มีสิทธิที่จะชำระหนี้ได้ก่อนเวลากำหนด การที่เจ้า


หนี้มีเหตุขัดข้องชั่วคราวไม่อาจรับชำระหนี้ได้นั้น หาทำให้เจ้าหนี้ตกเป็ นผู้ผิดนัดไม่ ( ม.212 )

การชำระหนี้กลายเป็ นพ้นวิสัย
1. ถ้าการชำระหนี้กลายเป็ นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ
ลูกหนี้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เจ้าหนี้เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น (
ม.218 )

กรณีที่การชำ ระหนี้กลายเป็ นพ้นวิสัยแต่บางส่วน และส่วนที่ยังเป็ นวิสัยจะทำ ได้นั้นเป็ นอันไร้


ประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว เจ้าหนี้จะไม่ยอมรับชำระหนี้นั้น และเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้เสีย
ทั้งหมดทีเดียวก็ได้ ( ม. 218 วรรคสอง )

2. ถ้าการชำระหนี้กลายเป็ นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว


ลูกหนี้เป็ นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น ( ม.219 วรรคสอง )

ถ้าภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้วนั้น ลูกหนี้กลายเป็ นคนไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ ก็ให้ถือเสมือนว่าเป็ น


พฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้ตกเป็ นอันพ้นวิสัย ( ม. 219 วรรคสอง )

ความรับผิดของลูกหนี้เพื่อคนที่ตนใช้ในการชำระหนี้

ลูกหนี้สามารถตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็ นตัวแทนในการชำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้


กระทำได้หรือขัดต่อเจตนาที่คู่กรณีตกลงกันไว้ (ม.314 ) เมื่อลูกหนี้ได้มอบหมายให้ตัวแทนจัดการชำระหนี้
ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบในความผิดของบุคคลที่ลูกหนี้มอบหมายนั้นเสมือนกับว่าเป็ นความผิดของตนเอง (
ม.220 )

สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้

ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ หากลูกหนี้ไม่ชำระ เจ้าหนี้ชอบที่


จะฟ้ องร้องต่อศาลขอให้ศาลบังคับคดีให้ โดยการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวม
ทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย ( ม. 214 )

การบังคับชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง

หากลูกหนี้ละเลยไม่ยอมชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิร้องขอต่อศาลบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ การ


บังคับชำระหนี้นี้ จะกระทำไม่ได้หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับได้ ( ม. 213 วรรคหนึ่ง )

ในกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็ นอันให้กระทำการอันใดอัน


หนึ่งเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้บังคับบุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายแทนก็ได้ (
ม.213 วรรคสอง ) และในกรณีที่วัตถุแห่งหนี้เป็ นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ศาลอาจสั่งให้ถือ
เอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้

ในกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็ นการให้งดเว้นการอันใด


เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่าย และให้จัดการอันควรเพื่อ
กาลภายหน้าด้วยก็ได้ ( ม.213 วรรคสาม )

การควบคุมทรัพย์สินของลูกหนี้

1. การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ( ม.233 )

1.1 ลูกหนี้ต้องขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง

1.2 การที่ลูกหนี้ขัดขืนหรือเพิกเฉยนั้น เป็ นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์

1.3 สิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้จะเข้าใช้แทนลูกหนี้ ต้องมิใช่การส่วนตัวของลูกหนี้โดยแท้


2. การเพิกถอนกลฉ้อฉล ( ม.237 )

2.1 ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันมีผลเป็ นการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ให้แก่บุคคลอื่น

2.2 การกระทำนิติกรรมดังกล่าวนั้น ลูกหนี้รู้อยู่ว่าเป็ นทางทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ

2.3 ในการเพิกถอนนิติกรรมซึ่งลูกหนี้ได้กระทำ ลงไป เจ้าหนี้ต้องพิสูจน์ว่าในขณะที่ทำ


นิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็ นผู้ได้ลาภงอกจากการทำนิติกรรมนั้นได้รู้ความจริงด้วยว่าเป็ นการทำให้เจ้าหนี้เสีย
เปรียบ แต่ถ้าเป็ นการที่ลูกหนี้ทำให้โดยเสน่หาแล้ว เพียงแต่ลูกหนี้รู้ถึงการฉ้อฉลนั้นฝ่ ายเดียวก็เพียงพอแล้ว
ที่จะขอเพิกถอนได้

3. การรับช่วงสิทธิ ถ้ามีบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็ นฝ่ ายในมูลหนี้มาแต่เดิม แต่เป็ นผู้มีส่วนได้เสียเป็ น


พิเศษ อาจเข้ามาเกี่ยวข้องโดยการเข้ามาใช้หนี้แทนลูกหนี้ได้ และโดยผลของกฎหมายบุคคลภายนอกนั้นก็
จะเป็ นผู้เข้ามาสวมตำแหน่งเป็ นเจ้าหนี้แทนต่อไป เรียกว่า “การรับช่วงสิทธิ” ( ม.226 )

4. การโอนสิทธิเรียกร้อง คือ ข้อตกลงซึ่งเจ้าหนี้เรียกว่า “ผู้โอน” ยินยอมโอนสิทธิของตนอันมีต่อ


ลูกหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกเรียกว่า “ผู้รับโอน” เฉพาะเจ้าหนี้เท่านั้นที่สามารถโอนสิทธิเรียกร้องของตนให้
บุคคลภายนอกได้ ส่วนลูกหนี้นั้นจะโอนหนี้ของตนให้บุคคลภายนอกไม่ได้ ( ม.303 )

- สิทธิเรียกร้องที่โอนไม่ได้

1. สภาพของสิทธินั้นไม่เปิดช่องให้โอน ( ม.303 วรรคหนึ่ง )

2. สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีได้แสดงเจตนาห้ามโอนกัน แต่การแสดงเจตนาเช่นว่านี้จะยก
ขึ้นเป็ นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตไม่ได้ ( ม.303 วรรคสอง )

3. สิทธิเรียกร้องใดที่ตามกฎหมาย ศาลจะสั่งยึดไม่ได้ สิทธิเรียกร้องเช่นนั้นย่อมโอน


กันไม่ได้ ( ม.304 ) สิทธิเรียกร้องเช่นนี้ต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดีหรือไม่อยู่
ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี

- แบบของการโอนสิทธิเรียกร้อง

1. ต้องทำเป็ นหนังสือ มิฉะนั้นการโอนจะไม่สมบูรณ์

2. จะยกการโอนขึ้นเป็ นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ ต่อเมื่อ

ก. บอกกล่าวการโอนเป็ นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

ข. ให้ลูกหนี้ยินยอมด้วยในการโอนเป็ นหนังสือ

ลูกหนี้และเจ้าหนี้หลายคน

ผลแห่งการเป็ นลูกหนี้ร่วม มีดังนี้

1. เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง ( ม.291 )

2. การที่ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งชำระหนี้ ย่อมได้ประโยชน์แก่ลูกหนี้อื่นๆด้วย ( ม.292 )

3. การปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมคนใด ย่อมเป็ นประโยชน์แก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่นๆ เพียงเท่าส่วนของลูก


หนี้ที่ได้ปลดหนี้ให้ ( ม.293 )

4. การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งนั้นย่อมได้ประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย ( ม.295 )
5. การอันเป็ นคุณหรือเป็ นโทษเฉพาะตัวลูกหนี้ร่วม ย่อมไม่มีผลไปถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่น ( ม.295 วรรค
หนึ่ง )

6. ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็ นส่วนเท่าๆกัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้


เป็ นอย่างอื่น ( ม.296 )

ผลแห่งการเป็ นเจ้าหนี้ร่วม มีดังนี้

1. การที่เจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งผิดนัดนั้น ย่อมเป็ นโทษแก่เจ้าหนี้คนอื่นๆ ด้วย ( ม.299 วรรคหนึ่ง )

2. ถ้าสิทธิเรียกร้องและหนี้สินเป็ นอันเกลื่อนกลืนกันไปในเจ้าหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง สิทธิของเจ้าหนี้คน


อื่นๆ อันมีต่อลูกหนี้ก็ย่อมเป็ นอันระงับสิ้นไป ( ม.299 วรรคสอง )

3. เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้หรือปฏิบัติการอย่างอื่นต่อเจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งอันมีผลให้หนี้ระงับสิ้นไปแล้ว
ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นจากหนี้นั้นไป ( ม.299 วรรคสาม )

4. เมื่อเจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้แล้ว ย่อมเป็ นโทษแก่เจ้าหนี้ร่วมคนอื่นเท่าส่วนที่


ได้ปลดหนี้ให้นั้น ( ม.299 วรรคสาม )

5. ในระหว่างเจ้าหนี้ร่วมกันนั้น เจ้าหนี้แต่ละคนชอบที่จะได้รับชำระหนี้เป็ นส่วนเท่าๆกัน เว้นแต่จะได้


กำหนดไว้เป็ นอย่างอื่น ( ม.300 )

ความระงับแห่งหนี้

1. การชำระหนี้

1.1 ผู้ชำระหนี้ บุคคลภายนอกจะเป็ นผู้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้นั้นจะ


ไม่เปิดช่องให้บุคคลภายนอกชำระ หรือขัดเจตนาของคู่กรณี ( ม.314 )

1.2 ผู้รับชำระหนี้ ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ให้แก่ผู้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามกฎหมายเท่านั้น ถ้า


ลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่ผู้ที่ไม่มีสิทธิโดยชอบที่จะรับชำระหนี้แล้ว หนี้นั้นก็หาระงับลงไม่ “ผู้รับชำระหนี้” คือ
บุคคลดังต่อไปนี้ ( ม.315 )

(1) เจ้าหนี้

(2) ผู้มีอำนาจชำระหนี้แทนเจ้าหนี้

(3) ผู้ที่ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้ แต่เจ้าหนี้ได้ให้สัตยาบันแล้ว

(4) การชำระหนี้แก่ผู้ครองตามปรากฏแห่งสิทธิในมูลหนี้ คือ ผู้ที่มีหลักฐานเบื้องต้นว่า


เป็ นเจ้าหนี้ ถ้าผู้ชำระหนี้กระทำไปโดยสุจริตแล้ว หนี้ย่อมระงับ ( ม.316 )

(5) การชำระหนี้ให้แก่ผู้ถือใบเสร็จโดยสุจริต ( ม.318 )

(6) การชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ โดยฝ่ าฝื นคำสั่งศาล ( ม.319 ) หนี้นั้นไม่ระงับ

(7) การชำระหนี้ให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิรับชำระหนี้ แต่เจ้าหนี้ได้ลาภงอกจากการนั้น ( ม.317


)

1.3 วัตถุในการชำระหนี้ หากเป็ นการตกลงให้ชำระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินอย่างใด


อย่างหนึ่งแล้ว ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างนั้นโดยตรง จะนำทรัพย์สินอื่นมาชำระแทนไม่ได้ และ
จะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนก็ไม่ได้ ( ม.320 ) อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหนี้ยินยอมรับชำระ
เป็ นอย่างอื่นผิดไปจากที่ตกลงกันหรือยินยอมรับชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนก็ย่อมทำได้ ซึ่งอาจทำให้หนี้นั้น
ระงับไปทั้งหมด หรือบางส่วนแล้วแต่กรณี ( ม.321 )

- ในกรณีที่วัตถุแห่งการชำระหนี้เป็ น “เงินสด” และมีการชำระหนี้ด้วยเช๊คหรือตั๋วเงิน


ประเภทอื่นแทนนั้น ยังไม่ถือว่าหนี้ระงับลง จนกว่าเช๊คหรือตั๋วเงินนั้นจะได้ขึ้นเงินแล้วเท่านั้น ( ม.321 วรรค
สาม )

1.4 สถานที่ชำระหนี้ หากคู่กรณีไม่ได้ตกลงกันไว้เกี่ยวกับสถานที่ชำระหนี้ ถ้าเป็ นการชำระ


หนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง กฎหมายให้ส่งมอบกัน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อให้
เกิดหนี้นั้นขึ้น ส่วนสำหรับสถานที่ชำระหนี้ในกรณีอื่นๆ นั้น หากไม่ได้ตกลงกันไว้กฎหมายกำหนดสให้ต้อง
ชำระหนี้ ณ สถานที่ซึ่งเป็ นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้ ( ม.324 )

1.5 ค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ หากไม่ได้ตกลงกันเอาไว้ กฎหมายกำหนดให้ฝ่ ายลูกหนี้เป็ น


ผู้ออกค่าใช้จ่าย ( ม.325 )

1.6 หลักฐานในการชำระหนี้ ลูกหนี้จะได้รับอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ( ม.326 )

(1) ใบเสร็จ

(2) ได้รับเวนคืนเอกสารอันเป็ นหลักฐานแห่งหนี้

(3) ขอให้ทำลายหลักฐานแห่งหนี้ หรือ

(4) ขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย

2. การปลดหนี้ คือ การที่เจ้าหนี้ยอมสละสิทธิเรียกร้องอันมีต่อลูกหนี้ให้แก่ลูกหนี้ไปโดยเสน่หา ซึ่ง


มีผลทำให้หนี้นั้นระงับลง ( ม.340 ) ถ้าหากหนี้นั้นมีหนังสือเป็ นหลักฐาน การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็ นหนังสือ
ด้วย หรือต้องเวนคืนเอกสารอันเป็ นหลักฐานแห่งหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย ( ม.340 วรรค
สอง )

3. การหักกลบลบหนี้ ( ม.341 ) มีหลักดังนี้

3.1 การหักกลบลบหนี้เป็ นกรณีที่บุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้

3.2 มูลหนี้ต้องมีวัตถุเป็ นอย่างเดียวกัน

3.3 หนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระหนี้แล้ว และทั้งสภาพแห่งหนี้ก็เปิดช่องให้หักกลบลบ


หนี้กันได้

4. การแปลงหนี้ใหม่ คือ การที่คู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็ นสาระสำคัญแห่งหนี้


กัน หนี้นั้นเป็ นอันระงับไปด้วย “แปลงหนี้ใหม่” ( ม.349 ) เช่น การเปลี่ยนวัตถุแห่งหนี้

5. หนี้เกลื่อนกลืนกัน ถ้าสิทธิและความรับผิดในหนี้รายใด ตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกันแล้ว หนี้นั้น


เป็ นอันระงับไปด้วยหนี้เกลื่อนกลืนกัน ( ม.353 )
ละเมิด

องค์ประกอบมี ดังนี้

1. เป็ นการกระทำต่อบุคคลอื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

2. เป็ นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ม. 420

3. การกระทำนั้นเป็ นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับเสียหาย

ข้อสังเกต การยอมให้บุคคลอื่นกระทำต่อตนด้วยการสมัครใจกล่าวคือ ปราศจากการข่มขู่กลฉ้อฉล


หรือสำคัญผิดและความยินยอมที่ให้นี้จะต้องมีอยู่ตลอดเวลาในที่ทำละเมิดด้วย

ความรับผิดเนื่องจากการแสดงความเท็จ

ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่ าฝื นต่อความจริง โดยรู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง หรือควร


จะรู้ได้ว่าข้อความนั้นไม่จริง เป็ นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือ
เป็ นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ผู้นั้นจะต้องชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น ( ม.423 ) แต่มีข้อยกเว้น คือ หากผู้กล่าว
หรือผู้รับข้อความนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ( ม.423 วรรคสอง ) การกล่าวในลักษณะหมิ่น
ประมาทดังกล่าวย่อมไม่เป็ นละเมิด

ความรับผิดในการทำละเมิดของบุคคลอื่น

1. ความรับผิดในการทำละเมิดของลูกจ้าง หลัก นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่ง


ละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น ( ม.425 ) นายจ้างและลูกจ้างต้องมีความสัมพันธ์กันตาม
สัญญาจ้างแรงงาน

“ทางการที่จ้าง” หมายถึง การกระทำใดๆ ที่เป็ นส่วนหนึ่งของงานหรืออยู่ในขอบเขตของ


งานที่จ้างรวมตลอดถึงการกระทำใดๆ ที่อยู่ภายใต้คำสั่งหรือความควบคุมดูแลของนายจ้าง

เมื่อนายจ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว นายจ้างมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจาก
ลูกจ้างได้ ( ม.426 )

2. ความรับผิดในการทำละเมิดของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริต กฎหมายสันนิษฐานให้บิดามารดา
ผู้อนุบาลหรือผู้ที่รับดูแลผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตอยู่ต้องรับผิดร่วมด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความ
ระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลนั้นแล้ว ( ม.429 , 430 )

3. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากยานพาหนะหรือทรัพย์อันตราย กฎหมายกำหนด
ไว้ว่า บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆ อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล หรือครอบ
ครองทรัพย์ซึ่งเป็ นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ บุคคลนั้นต้องรับผิดชอบต่อ
ความเสียหายอันเกิดจากยานพาหนะหรือทรัพย์นั้นๆ ( ม.437 ) ผู้ครอบครองจะหลุดพ้นจากความรับผิดดัง
กล่าวได้ ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่า ความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดจากความผิดของผู้เสียหายเอง

4. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ กฎหมายให้สันนิษฐานให้เจ้าของสัตว์หรือ
บุคคลที่รับเลี้ยงดูแลสัตว์นั้นไว้แทนเจ้าของเป็ นผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ที่ต้องเสียหายนั้น
อย่างไรก็ดี หากเจ้าของสัตว์หรือบุคคลที่รับเลี้ยงรับดูแลสัตว์นั้นไว้แทนเจ้าของ พิสูจน์ได้ว่า ตนได้ใช้ความ
ระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์
ได้ว่า ความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังแล้ว ( ม. 433 )
5. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น กฎหมายกำหนดให้ผู้
ครอบครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นนั้นเป็ นผู้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี หากผู้
ครอบครองสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร เพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายแล้ว
ผู้ครอบครองไม่ต้องรับผิด และในกรณีเช่นนี้กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่เป็ นเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง
อย่างอื่นนั้น เป็ นผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ( ม. 434 )

ค่าสินไหมทดแทน ศาลจะเป็ นผู้วินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด (


ม.438 ) คือ

1. กรณีทำทรัพย์สินเสียหาย ค่าสินไหมทดแทน ได้แก่ การคืนทรัพย์สิน ที่เสียไป ถ้าคืนไม่ได้ก็ให้ใช้


ราคาทรัพย์นั้น รวมถึงค่าเสียหายอื่นๆ

2. กรณีเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย

2.1 ถ้าถึงตาย ( ม.443 ) ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะ

ถ้าไม่ตายทันที ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลก่อนตาย รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำ


มาหาได้ เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

2.2 ถ้าไม่ถึงตาย ค่าสินไหมทดแทน ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล รวมตลอดทั้ง ค่าเสียหายที่ต้อง


ขาดประโยชน์ทำมาหาได้ เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วย

นอกจากนี้ผู้เสียหายยังอาจเรียกค่าเสียหาย อันไม่อาจคำนวณเป็ นตัวเงินได้อีกด้วย เช่น


ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในระหว่างการรักษา แต่ค่าเสียหายนี้เป็ นการเฉพาะตัว ไม่สามารถโอนกันได้ และ
ไม่สืบทอดไปถึงทายาท ( ม.446 )

นิรโทษกรรม ( ม.438 )

ถ้าการทำละเมิดดังกล่าว ผู้กระทำได้ทำไปเพื่อป้องกันก็ดี เพราะมีเหตุจำเป็ นก็ดี หรือเพื่อบำบัดปัด


ป้องภยันตรายสาธารณะซึ่งมีมาโดยฉุกเฉินก็ดี ผู้กระทำละเมิดโดยเหตุดังกล่าวนั้นไม่จำต้องชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทน

จัดการงานนอกสั่ง

หมายถึง การที่บุคคลใดเข้าทำกิจการแทนผู้อื่น โดยเขามิได้วานขานวานใช้ทำ หรือไม่มีสิทธิจะ


ทำการงานนั้นแทนผู้อื่นด้วยประการใดก็ดี ต้องจัดการงานนั้นให้เป็ นประโยชน์ตามความต้องการแท้จริงของผู้อื่น
นั้น หรือตามที่ฟังจะสันนิษฐานได้ว่า เป็ นความประสงค์ของเขา ผู้ที่เข้าจัดการก็มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายนั้นได้ (
ม.395 )

ถ้าการเข้าจัดการงานนั้น ขัดความประสงค์ของเขา ผู้เข้าจัดการไม่สามารถเรียกค่าใช้จ่ายใดๆ ได้


และถ้าเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นนั้นแล้ว ก็ต้องชดใช้ให้กับเขาด้วย ( ม.396 )

ลาภมิควรได้

ได้แก่ กรณีที่บุคคลใดได้มาซึ่งทรัพย์สินใด เพราะการที่บุคคลอีกคนหนึ่งกระทำเพื่อการชำระหนี้ก็ดี


หรือได้มาด้วยประการอื่นก็ดี โดยปราศจากมูลหนี้อันจะอ้างกฎหมายใด และการได้มานั้นทำให้บุคคลอีกคนหนึ่ง
เสียเปรียบ สิ่งที่ได้มานั้นเป็ นลาภมิควรได้ ต้องคืนให้ผู้มีสิทธิไป ( ม.406 ) อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้ทรัพย์สินมานั้นไม่
จำต้องคืนทรัพย์สินนั้นให้แก่บุคคลต่อไปนี้คือ ผู้ที่ชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าไม่มีความผูกพัน / ผู้ชำระหนี้ตามหน้าที่ศีล
ธรรม หรือหนี้ที่ฝ่ าฝื นกฎหมาย ( ม.408 , 413 )
สัญญาซื้อขาย

ความหมายของสัญญาซื้อขาย มีลักษณะดังนี้ ( ม.453 )

1. สัญญาซื้อขายเป็ นสัญญาที่ต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นให้แก่ผู้ซื้อ เมื่อคู่สัญญาได้แสดงเจตนา


ตกลงทำสัญญาซื้อขายแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นต้องโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่เวลาที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกัน
ทันที ( ม.458 )

2. ผู้ซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย “ราคา” ในที่นี้หมายความถึง เงินตราปัจจุบันที่สามารถชำระ


หนี้ได้ตามกฎหมาย มิใช่ทรัพย์สินอย่างอื่น เพราะถ้าหากเป็ นทรัพย์สินอย่างอื่นแล้ว ก็อาจกลายเป็ นสัญญาแลก
เปลี่ยนไป ( ม.518 )

สัญญาซื้อขายที่ต้องทำตามแบบ

1. อสังหาริมทรัพย์ ( ม.139 ) ต้องทำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

2. สังหาริททรัพย์ชนิดพิเศษ ( ม.456 ) มิฉะนั้น สัญญาซื้อขายจะตกเป็ นโมฆะ ( ม.456 )

3. สังหาริมทรัพย์ราคา 500 บาท ขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ ายผู้ต้องรับผิด หรือต้องได้


มีการวางมัดจำ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ ( ม.456 วรรคท้าย )

หน้าที่และความรับผิดของผู้ขาย

1. การส่งมอบทรัพย์สิน โดยปกติผู้ขายก็ต้องส่งมอบให้ผู้ซื้อทันทีเมื่อเกิดสัญญาซื้อขายนั้น เว้นแต่


คู่สัญญาจะได้ตกลงไว้ประการอื่น

2. ความรับผิดในความชำรุดบกพร่อง เป็ นเหตุทำให้ทรัพย์นั้นเสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสม


ที่จะนำมาใช้ประโยชน์ตามปกติ ผู้ขายต้องรับผิดชอบ ( ม.472 ) ทั้งนี้โดยผู้ขายจะรู้อยู่แล้วหรือไม่ว่าความ
ชำรุดบกพร่องมีอยู่ เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้ ผู้ขายไม่ต้องรับผิด ( ม.473 )

2.1 ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหาก
ได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

2.2 ถ้าความชำ รุดบกพร่องนั้นเป็ นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอา


ทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

2.3 ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

3. ความรับผิดในการรอนสิทธิ หากมีผู้อื่นซึ่งมีสิทธิตามกฎหมาย มารบกวนสิทธิของผู้ซื้อแล้ว ผู้


ขายต้องรับผิด ( ม.475 ) เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้ ผู้ขายไม่ได้รับผิด

3.1 ถ้าสิทธิของผู้ก่อการรบกวนนั้นผู้ซื้อรู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขาย ( ม.476 )

3.2 ถ้าไม่มีมีการฟ้องคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปโดยความผิดของผู้ซื้อ


เอง

3.3 ถ้าผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่า ถ้าได้เรียกเข้ามาผู้ซื้อจะชนะ

3.4 ถ้าผู้ขายได้เข้ามาในคดี แต่ศาลได้ยกคำเรียกร้องของผู้ซื้อเสียเพราะความผิดของผู้ซื้อ


เอง
ข้อแตกต่างระหว่างสัญญาจะซื้อจะขายกับสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” เป็ นการซื้อขายที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเปลี่ยนมือ หรือโอนไปยังผู้


ซื้อทันทีอย่างเด็ดขาด เมื่อการซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์ ส่วนการซื้อขายจะสำเร็จบริบูรณ์เมื่อใดนั้น นอกจากการ
ตกลงกันแล้ว ต้องพิจารณาถึงแบบของสัญญาด้วย ถ้าเป็ นการซื้อขายทรัพย์สินชนิดที่กฎหมายกำหนดให้มี
แบบแล้ว ต้องทำตามแบบด้วยมิฉะนั้น สัญญาซื้อขายก็ตกเป็ นโมฆะ

“สัญญาจะซื้อจะขาย” เป็ นสัญญาจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อในเวลาภาย


หน้า

ข้อสังเกต สัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น กฎหมายได้


กำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือ หรือได้วางมัดจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จึงจะฟ้ องร้องบังคับ
คดีได้ ( ม.456 )

สัญญาขายฝาก

ลักษณะของสัญญาขายฝาก ( ม.491 ) มีดังนี้

1. เป็ นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ทำให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นโอนเปลี่ยนมือจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อฝาก


ทันทีแม้จะยังไม่มีการส่งมอบหรือชำระราคาก็ตาม

2. มีข้อตกลงให้ผู้ขายฝากอาจไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ ในการทำสัญญาขายฝากไม่จำเป็ นต้องใช้คำว่า “ไถ่”


อาจใช้คำอื่นๆ ที่มีความหมายทำนองเดียวกันก็ได้ เช่น “ซื้อกลับคืน” หรือ “ซื้อคืน” เป็ นต้น

แบบของสัญญาขายฝาก ให้นำบทบัญญัติในลักษณะซื้อขายมาใช้บังคับ

ระยะเวลาในการใช้สิทธิไถ่คืน ( ม.494 ) มีดังนี้

1. ถ้าเป็ นอสังหาริมทรัพย์ คู่กรณีจะกำหนดระยะเวลาไถ่คืนไว้เกินกว่า 10 ปีไม่ได้

2. ถ้าเป็ นสังหาริมทรัพย์ คู่กรณีจะกำหนดระยะเวลาไถ่เกินกว่า 3 ปีไม่ได้

3. ถ้าคู่กรณีกำหนดระยะเวลาไถ่คืนไว้เกิน 10 ปี หรือ 3 ปี ก็ต้องลดลงมาเหลือเพียง 10 ปี หรือ 3 ปี แล้วแต่


ประเภททรัพย์ ( ม.495 )

- ในกรณีที่ไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับระยะเวลาไถ่ไว้ หรือมีการขยายระยะเวลาไถ่ แต่กำหนดเวลาไถ่รวม


กันทั้งหมดจะต้องไม่เกินระยะเวลาตามกฎหมาย คือ 10 ปี หรือ 3 ปี แล้วแต่กรณี ( ม.496 )

“สินไถ่” คือ ราคาไถ่ถอน ซึ่งต้องเป็ นเงินตราเท่านั้น จะเอาทรัพย์สินอย่างอื่นมาไถ่แทนไม่ได้ และถ้าหากไม่


ได้กำหนดสินไถ่ไว้สัญญา กฎหมายถือว่า สินไถ่มีจำนวนเท่ากับราคาที่ขายฝากไว้ แต่ถ้ามีการกำหนดราคา
ขายฝาก หรือสินไถ่ไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อไป กฎหมายกำหนดให้ไถ่ได้
ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมถึงประโยชน์ตอบแทนอีกร้อยละ 15 ต่อไป ( ม.499 )

บุคคลผู้มีสิทธิไถ่คืนทรัพย์สินและบุคคลผู้มีหน้าที่รับไถ่คืนทรัพย์สิน

โดยปกติบุคคลผู้มีสิทธิไถ่ทรัพย์สินก็คือ ผู้ขายฝาก ส่วนบุคคลผู้มีหน้าที่รับไถ่ทรัพย์สินก็คือ ผู้ซื้อฝากนั้นเอง


อย่างไรก็ตาม ทายาทของบุคคลดังกล่าวย่อมเป็ นบุคคลผู้มีสิทธิไถ่หรือบุคคลผู้มีหน้าที่รับการไถ่ด้วย

นอกจากนี้ บุคคลซึ่งในสัญญาขายฝากได้กำหนดไว้ให้เป็ นผู้ไถ่ได้ ( ม.497 , 498 )


ถ้ามีการขอไถ่ทรัพย์สินภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือเวลาที่กำหนดตามกฎหมาย แต่ผู้รับซื้อฝากไม่
ยอมหรือไม่อยู่รับไถ่ ผู้ไถ่สามารถนำสินไถ่ไปวางไว้ยังสำนักงานวางทรัพย์สินภายในกำหนดเวลาดังกล่าว
กฎหมายให้ถือว่าทรัพย์สินซึ่งขายฝากไว้นั้น ตกเป็ นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ ตั้งแต่เวลาที่ได้ชำระสินไถ่ หรือวาง
ทรัพย์สินอันเป็ นสินไถ่ แล้วแต่กรณี ( ม.492 )

สัญญาเช่าทรัพย์

สัญญาเช่าทรัพย์มีลักษณะดังนี้ ( ม.537 ) คือ

1. เป็ นสัญญาต่างตอบแทน สัญญาเช่ารายใดที่กำหนดให้ผู้เช่าได้ประโยชน์ในทรัพย์สินฝ่ ายเดียว โดยผู้เช่า


ไม่ต้องมีหน้าที่อย่างใดๆ แล้ว สัญญานั้นก็หาเป็ นสัญญาเช่าไม่ แต่อาจเป็ นสัญญายืม ( ม.369 ) หรือเป็ นผู้อาศัย

2. ผู้เช่ามีสิทธิได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า “ทรัพย์สิน” ( ม. 138 ) ที่เป็ นวัตถุแห่งสัญญาเช่านี้


จะเป็ นอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์สินหรือสิทธิใดๆ ก็ได้ และสิทธิที่จะใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สิน
ตามสัญญาเช่านั้น กฎหมายได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องเป็ นระยะเวลาอันมีจำกัด หรือแม้จะกำหนดระยะเวลาเช่า
ไว้ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าก็ได้ ( ม.541 ) เพราะเท่ากับเป็ นการกำหนดระยะเวลาอันมีจำกัดแล้ว

3. ผู้เช่าตกลงให้ค่าเช่าเพื่อตอบแทนการใช้ทรัพย์สิน “ค่าเช่า” โดยปกติจะเป็ นเงินตรา แต่คู่สัญญาจะตกลง


กันกำหนดค่าเช่าเป็ นทรัพย์สินอย่างอื่นก็ได้ เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามไว้แต่อย่างใด

แบบการทำสัญญาเช่าทรัพย์ กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบของสัญญาไว้แต่อย่างใด ดังนั้นเพียงแต่คู่


กรณีได้มีเจตนาตกลงกัน สัญญาเช่าทรัพย์ก็เกิดขึ้นแล้ว แต่ในเรื่องนี้มีกรณียกเว้น หากเป็ นการเช่า
อสังหาริมทรัพย์ กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ ( ม.538 ) แบ่ง
ได้ดังนี้

1. การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่กำหนดระยะเวลาเช่าไว้เกิน 3 ปี ต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลง


ลายมือชื่อฝ่ ายที่ต้องรับผิด มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้

2. การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่กำหนดระยะเวลาเช่าไว้เกิน 3 ปี หรือตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ต้องทำ


เป็ นหนังสือ + จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากไม่ทำตามก็จะฟ้องร้องบังคับคดีได้แค่เพียง 3 ปีเท่านั้น

หน้าที่และความรับผิดของผู้ให้เช่า

1. หน้าที่ในการชำระค่าเช่า หากไม่มีการตกลงกันไว้ ให้ชำระเมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่าแต่ละคราว ( ม.559 )

2. หน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่เช่านั้นเสมอกับวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง เช่น

2.1 ในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่านั้น ผู้เช่าต้องใช้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือตามปกติ


ประเพณีเท่านั้น ( ม.552 )

2.2 ในการใช้ทรัพย์สิน ผู้เช่าต้องสงวนรักษาทรัพย์สินนั้นเสมอที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของ


ตนเอง ( ม.553 )

3. หน้าที่ในการคืนทรัพย์สินที่เช่า มีข้อยกเว้น คือ การเช่าที่นา และสัญญาได้ครบกำหนดลงในขณะที่ผู้เช่า


ได้เพราะปลูกข้าวแล้ว ผู้เช่าก็มีสิทธิที่จะครอบครองใช้ประโยชน์ในนานั้นต่อไปจนกว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จ แต่ทั้งนี้ผู้
เช่าก็ต้องชำระค่าเช่าในระหว่างนั้นด้วย ( ม.571 ) ในการส่งคืนทรัพย์สินที่เช่านั้น กฎหมายกำหนดให้ผู้เช่าต้องส่ง
ทรัพย์สินคืนในสภาพอันซ่อมแซมดีแล้วเช่นกัน ( ม.561 )

การสิ้นสุดของสัญญาเช่าทรัพย์

1. กรณีที่สัญญาเช่าระงับไปด้วยผลของกฎหมาย อาจมีได้โดยเหตุต่อไปนี้ คือ


1.1 เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าตามที่ตกลงไว้ในสัญญา กฎหมายกำหนดให้สัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้น
กำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ โดยมิพักต้องบอกกล่าว ( ม.564 )

1.2 เมื่อผู้เช่าตาย สัญญาเช่าทรัพย์นั้นคุณสมบัติของผู้เช่าเป็ นสาระสำคัญ สิทธิการเช่าจึงเป็ นสิทธิ


เฉพาะตัวของผู้เช่า อันไม่อาจตกทอดเป็ นมรดกแก่ทายาทได้

1.3 เมื่อทรัพย์ที่เช่านั้นสูญหายไปทั้งหมด ( ม.567 )

2. กรณีที่สัญญาเช่าระงับไปด้วยการบอกเลิกสัญญา อาจมีได้โดยเหตุต่อไปนี้ คือ

2.1 กรณีที่มีข้อตกลงในสัญญาเช่าระบุให้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่คู่สัญญาเอาไว้โดยเฉพาะ

2.2 เมื่อคู่สัญญาฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่งปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาเช่าในข้อสำคัญ เช่น ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่า


เช่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ( ม.560 )

2.3 กรณีที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของสัญญาไว้ และไม่อาจสันนิษฐานได้ว่าระยะเวลาเช่าจะ


สิ้นสุดลงเมื่อใดแล้ว กฎหมายได้กำหนดให้สิทธิในการบอกเลิกสัญญาแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่ ายไว้ แต่ในการบอกเลิก
สัญญาเช่านั้นต้องบอกกล่าวให้อีกฝ่ ายหนึ่งรู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็ นอย่างน้อย แต่ไม่จำ
ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินกว่า 2 เดือน ( ม.566 )

สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา

คือ นอกจากจะต้องชำระค่าเช่าเพื่อตอบแทนการได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าแล้ว ผู้


เช่ายังต้องชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็ นการตอบแทนที่ได้เข้าทำสัญญาเช่านั้นยิ่งไปกว่าการชำระค่าเช่าธรรมดา
อีกด้วย ดังนั้น แม้ไม่ได้ทำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็ใช้บังคับตามข้อตกลงได้

ข้อสังเกต ค่าเช่าที่มีเงินกินเปล่าหรือเงินแป๊ ะเจี๊ ยะนั้น ถือว่าเป็ นส่วนหนึ่งของเงินค่าเช่า จึงไม่ใช่


สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา

ผลทางกฎหมายของสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษ

การทำสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษ แม้จะเป็ นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่จำเป็ นต้องมีหลักฐาน


เป็ นหนังสือแต่อย่างใด และสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษนี้ แม้ผู้เช่าตาย สัญญาเช่าก็ไม่ระงับ ทายาทของ
ผู้เช่ามีสิทธิเช่าต่อไปได้จนกว่าจะครบกำหนดสัญญา

สัญญาเช่าซื้อ

มีลักษณะดังนี้ คือ ( ม.572 )

1. เป็ นสัญญาซึ่งเจ้าของทรัพย์สินนำทรัพย์สินออกให้เช่า

2. มีคำมั่นของเจ้าของทรัพย์สินว่าจะขายหรือให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็ นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่าซื้อ หากได้


ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาครบถ้วนแล้ว

แบบของสัญญาเช่าซื้อ ไม่ว่าจะเป็ นการเช่าซื้อสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ตาม กฎหมายได้


กำหนดแบบของสัญญาเช่าซื้อไว้ คือ ต้องทำเป็ นหนังสือลงลายมือชื่อของคู่สัญญาในสัญญาทั้งสองฝ่ าย ถ้า
ฝ่ ายใดมิได้ลงลายมือชื่อ จะถือว่าฝ่ ายนั้นทำหนังสือด้วยมิได้ มิฉะนั้นสัญญาตกเป็ นโมฆะ ( ม.572 วรรคสอง )

ความระงับแห่งสัญญาเช่าซื้อ

1. โดยการบอกเลิกของผู้เช่าซื้อ โดยการส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของ ( ม.573 )


2. โดยการบอกเลิกสัญญาของผู้ให้เช่าซื้อ มีสาเหตุ 2 ประการ คือ

2.1 เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆ กัน ( ม.574 ) หากเป็ นการผิดนัดไม่ใช่เงินใน


งวดสุดท้าย ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องบอกเลิกสัญญาได้ต่อเมื่อระยะเวลาการใช้เงินได้พ้นกำหนดไปอีกงวดหนึ่ง
แล้ว ( ม.574 )

2.2 เมื่อผู้เช่าซื้อกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็ นส่วนสำคัญ ( ม.574 )

ผลของการบอกเลิกสัญญา ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็ นเจ้าของทรัพย์สินชองที่จะกลับเข้าครอบครอง


ทรัพย์สินนั้น และริบเงินทั้งหมดที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระมาแล้ว ( ม.574 )

ข้อแตกต่างระหว่างสัญญาเช่าซื้อกับสัญญาเช่าทรัพย์

1. สัญญาเช่าทรัพย์ ผู้เช่ามีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าโดยไม่มีทางจะได้
กรรมสิทธิ์เลย ไม่ว่าจะเช่ากันนานเท่าใด / แต่สัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อนอกจากมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์
จากทรัพย์สินที่เช่าแล้ว ยังอาจได้สิทธิในทรัพย์สินนั้นหากได้ชำระเงินครบจำนวนครั้งตามที่กำหนดใน
สัญญา

2. ค่าเช่าในสัญญาเช่าทรัพย์นั้น จะเป็ นเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นก็ได้ / แต่ค่าเช่าซื้อนั้นกฎหมายระบุ


ไว้ชัดเจนว่าต้องเป็ นเงินเท่านั้น ( ม.572 )

3. สัญญาเช่าซื้อเป็ นสัญญาที่ต้องทำตามแบบ คือ ต้องทำเป็ นหนังสือ มิฉะนั้นตกเป็ นโมฆะ / แต่


สัญญาเช่าทรัพย์ไม่ต้องทำตามแบบแต่อย่างใด

สัญญาจ้างแรงงาน

คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่ง เรียกว่า นายจ้าง


และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ( ม.575 ) การจ้างแรงงานนี้ รวมถึงการใช้ความรู้ความ
สามารถด้วย เช่น จ้างครูมาสอนหนังสือ เป็ นต้น

สัญญาจ้างแรงงานมีลักษณะดังนี้

1. ต้องมีการตกลงเป็ นนายจ้างและลูกจ้างกัน

2. เป็ นสัญญาต่างตอบแทน

3. สาระสำคัญอยู่ที่คู่สัญญา นายจ้างจะโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกได้ก็ต่อเมื่อลูกจ้าง
ยินยอมพร้อมใจด้วย ทำนองเดียวกัน ลูกจ้างจะให้บุคคลภายนอกทำงานแทนตนไม่ได้ถ้านายจ้างไม่ยินยอม
ด้วย ถ้าคู่สัญญาฝ่ ายใดทำการฝ่ าฝื นความยินยอมนี้ คู่สัญญาอีกฝ่ ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ (
ม.577 )

4. เป็ นสัญญาไม่มีแบบ เพียงตกลงด้วยวาจาก็ใช้ได้แล้ว

หน้าที่ของลูกจ้าง

1. ต้องทำงานด้วยตนเอง จะให้คนอื่นทำงานแทนไม่ได้ ถ้านายจ้างไม่ยินยอมด้วย ( ม.577 )

2. ต้องทำการให้ได้ตามที่ตนรับรองไว้ เมื่อได้แสดงออกโดยชัดแจ้ง หรือโดยปริยายว่าเป็ นเป็ นผู้มี


ฝี มือพิเศษ ( ม. 578 )
3. ต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟังคำสั่งสอนของนายจ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย และต้องปฏิบัติงานด้วย
ความซื่อสัตย์สุจริตรักษาความลับในการงานของนายจ้าง

หน้าที่ของนายจ้าง

1. ต้องให้สินจ้างแก่ลูกจ้าง แม้ว่าจะมิได้ตกลงกันไว้ว่ามีสินจ้างหรือไม่ ถ้าตามพฤติการณ์ไม่อาจคาด


หมายได้ว่างานนั้นจะพึงทำให้เปล่า ต้องถือว่า มีคำมั่นว่าจะให้สินจ้าง ( ม. 576 ) ส่วนการจ่ายสินจ้างนั้น ถ้า
ไม่ได้กำหนดไว้โดยสัญญาหรือจารีตประเพณีให้จ่ายเมื่อทำงานเสร็จ ถ้ากำหนดไว้เป็ นระยะเวลา ให้จ่ายเมื่อ
สุดระยะเวลาเช่นนั้นทุกคราวไป ( ม.580 )

2. ต้องออกหนังสือรับรองผลงานและระยะเวลาที่ทำงานให้แก่ลูกจ้าง ( ม.585 )

3. ถ้าลูกจ้างมาจากต่างถิ่น ซึ่งนายจ้างได้ออกค่าเดินทางมาให้ เมื่อการจ้างสิ้นสุดลงนายจ้างพึงออก


ค่าเดินทางกลับให้ด้วย เว้นแต่การเลิกจ้างนั้น เนื่องมาจากการกระทำหรือความผิดของลูกจ้าง ( ม.586 )

ถ้านายจ้างไม่ทำตามหน้าที่ ลูกจ้างชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้ และถ้าเกิดความเสียหายอย่างใด ๆ


ลูกจ้างย่อมเรียกค่าเสียหายได้ ( ม.215 )

ความระงับแห่งสัญญาจ้างแรงงาน

1. เมื่อครบกำหนดในสัญญาจ้าง หรือมีการบอกเลิกสัญญา

2. สัญญาจ้างแรงงานระงับเมื่อคู่สัญญาฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่งถึงแก่ความตาย ( ม.584 )

3. การเลิกสัญญาตามกฎหมาย ซึ่งได้แก่

3.1 เมื่อนายจ้างหรือลูกจ้างทำผิดหน้าที่ อีกฝ่ ายหนึ่งบอกเลิกสัญญาได้ ( ม.577 และ ม.583 )

3.2 เมื่อลูกจ้างขาดคุณสมบัติที่ได้ให้คำรับรองไว้หรือไร้ฝี มือ ( ม.578 )

3.3 เมื่อลูกจ้างขาดงานไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร และเป็ นระยะเวลานานเกินสมควร

3.4 เมื่อมีการบอกกล่าวเลิกสัญญาล่วงหน้า เมื่อถึงกำหนดหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้าง


คราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็ นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า ( ม.582 )

4. การทำงานของลูกจ้างตกเป็ นพ้นวิสัย

อายุความในการฟ้ องร้องคดี เป็ นไปตามบทบัญญัติทั่วไป คือ 10 ปี ( ม.193/30 )

สัญญาจ้างทำของ

หลักเกณฑ์ที่สำคัญ ( ม. 587 ) มีดังนี้

1. เป็ นสัญญาต่างตอบแทน

2. เป็ นสัญญาที่มุ่งถือผลสำเร็จของงาน

3. ไม่มีแบบ

หน้าที่และความรับผิดของผู้รับจ้าง

1. ต้องทำงานให้สำเร็จตามสัญญา ( ม. 587 )
2. ต้องจัดหาเครื่องมือต่างๆ สำหรับใช้ในการทำงาน ( ม. 588)

3. ถ้าผู้รับจ้างเป็ นผู้จัดหาสัมภาระ ต้องจัดหาชนิดที่ดี ( ม. 589 ) ถ้าผู้ว่าจ้างเป็ นผู้จัดหา ผู้รับจ้างต้อง


ใช้สัมภาระด้วยความระมัดระวังและประหยัด เมื่อทำเสร็จแล้วต้องคืนสัมภาระที่เหลือ ( ม. 590 )

4. ต้องรับผิดในความชักช้าของงานที่ทำ เว้นแต่ความชักช้านั้นเกิดจากความผิดของผู้ว่าจ้าง ( ม. 593


)

5. ต้องยอมให้ผู้ว่าจ้างหรือตัวแทนตรวจตราการงาน ( ม.592 )

6. ต้องแก้ไขความบกพร่องที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ทำงานนั้น ( ม. 594 )

7. ต้องรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องภายหลังการส่งมอบ เพียงที่ปรากฏขึ้นภายใน 1 ปี นับแต่วัน


ส่งมอบ หรือภายใน 5 ปี ถ้าเป็ นสิ่งปลูกสร้างบนพื้นดิน ( ม. 600 )

8. ถ้าผู้ว่าจ้างยอมรับการที่ทำบกพร่องนั้น โดยไม่อิดเอื้อน ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิด เว้นแต่ความชำรุด


บกพร่องนั้นจะไม่พึงพบได้ในขณะรับมอบ หรือผู้รับจ้างได้ปิดบังความนั้นเสีย ( ม. 598 )

9. ต้องทำการให้เสร็จและส่งมอบให้ตรงตามเวลาที่ตกลงกันไว้ ( ม. 596 ) หากส่งมอบล่าช้า ผู้ว่าจ้าง


ชอบที่จะลดสินจ้างลง เว้นแต่ความล่าช้าจะเกิดจากความผิดของผู้ว่าจ้าง

หน้าที่และความรับผิดของผู้ว่าจ้าง

1. หน้าที่ในการจ่ายสินจ้าง ตามจำนวนและเวลาที่ตกลงกัน เว้นแต่จะมีเหตุผลให้ไม่ต้องจ่ายสินจ้าง


หรือมีเหตุให้ลดสินจ้าง

2. รับผิดเมื่อผู้ว่าจ้างมีส่วนผิดในกรณีสั่งให้ทำหรือในการเลือกผู้รับจ้าง หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ (
ม.591 ) อนึ่ง เมื่อการงานที่ทำพังทลาย สูญหายไปก่อนส่งมอบโดยมิใช่ความผิดของฝ่ ายใด

- ถ้าผู้รับจ้างเป็ นผู้จัดสัมภาระ ความวินาศนั้น ตกเป็ นพับแก่ผู้รับจ้าง สินจ้างไม่ต้องใช้ ( ม.


603 )

- ถ้าผู้ว่าจ้างเป็ นผู้จัดสัมภาระ ความวินาศนั้น ตกเป็ นพับแก่ผู้ว่าจ้าง สินจ้างไม่ต้องใช้ (


ม.604 )

ความระงับแห่งสัญญาจ้างทำของ

1. เมื่อผู้รับจ้างทำงานเสร็จ แล้วส่งมอบให้แก่ผู้ว่าจ้าง และได้รับค่าจ้างครบถ้วนแล้ว

2. เมื่อคู่สัญญาฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่งใช้สิทธิเลิกสัญญา

3. สัญญาเลิกกันโดยผลของกฎหมาย

3.1 ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาเสียเมื่อใดก็ได้ ถ้าการที่จ้างยังไม่เสร็จ แต่ต้องชดเชยค่าเสียหายที่จะพึง


มีให้แก่ผู้รับจ้าง ( ม.605 )

3.2 เมื่อผู้รับจ้างตายหรือตกเป็ นผู้ไม่สามารถทำการงานนั้นได้ ถ้าสาระสำคัญของสัญญาอยู่ที่ความรู้


ความสามารถของผู้รับจ้าง ( ม. 606 ) สัญญาจ้างระงับ แต่ต้องใช้สินจ้างตามส่วนของการงานที่ทำไปแล้ว

อายุความการฟ้ องร้อง เพื่อให้ผู้รับจ้างรับผิดในความชำรุดบกพร่อง ต้องฟ้ องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่


ความชำรุดบกพร่องได้ปรากฎขึ้น ( ม. 601 )
สัญญายืมใช้คงรูป

หลักเกณฑ์ที่สำคัญ ( ม. 640 ) ดังนี้ คือ

1. เป็ นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน

2. เป็ นสัญญาที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์

3. วัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปคือทรัพย์สิน

หน้าที่ของผู้ยืม

1. หน้าที่ในการเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ และค่าบำรุงรักษาทรัพย์สิน ( ม. 647 ) ค่าใช้จ่ายในการส่งมอบ


ทรัพย์สินคืน ( ม. 642 )

2. หน้าที่ในการใช้สอยทรัพย์สินและสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม และต้องใช้ทรัพย์สินด้วยตนเอง จะนำ


ไม่ให้ผู้อื่นใช้ไม่ได้ ( ม. 643 )

3. หน้าที่ในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อใช้เสร็จ

ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูป

1. ในกรณีที่สัญญาได้กำหนดระยะเวลายืมไว้ สัญญาจะระงับเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาตามสัญญา

2. ในกรณีที่สัญญาไม่ได้กำหนดระยะเวลายืมไว้ ผู้ให้ยืมมีสิทธิเรียกคืนเมื่อใดก็ได้ ( ม. 646 วรรคสอง


)

3. สัญญายืมใช้คงรูปจะระงับไปเมื่อผู้ยืมตาย ( ม. 648 )

4. สัญญายืมใช้คงรูปจะระงับไปเมื่อผู้ให้ยืมบอกเลิกสัญญา ในกรณีที่ผู้ยืมผิดสัญญา ( ม. 645 )

สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง

หลักเกณฑ์ที่สำคัญ ( ม. 650 ) ดังนี้

1. สัญญายืมใช้สินเปลืองอาจเป็ นสัญญามีค่าตอบแทนก็ได้

2. เป็ นสัญญาที่มีการโอนกรรมสิทธิ์

3. วัตถุแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองคือทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไป

หน้าที่ของผู้ยืม ต้องส่งมอบทรัพย์สินประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แก่ผู้ให้ยืม เมื่อ


สัญญายืมระงับสิ้นไป ( ม.640 )

สัญญากู้ยืมเงิน

มีหลักดังนี้ ( ม.653 ) คือ ในการยืมเงินที่มีจำนวนเกินกว่า 50 บาทขึ้นไปนั้น ต้องมีหลักฐานเป็ น


หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็ นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้

สัญญากู้ยืมเงินที่คิดดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยนั้นจะเป็ นเงินตราหรือจะเป็ นทรัพย์สินอย่างอื่นก็ได้ ในการคิดดอกเบี้ยนั้นคู่สัญญาจะคิด
ดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ไม่ได้ ถ้าคู่สัญญาฝ่ าฝื นก็จะมีผลทำให้ดอกเบี้ยทั้งหมดตกเป็ นโมฆะ แต่ใน
ส่วนของต้นเงินนั้นยังคงใช้ได้ เพราะสามารถแยกส่วนต้นเงินซึ่งสมบูรณ์ออกจากส่วนดอกเบี้ยได้ ( ม.173 )

หากคู่สัญญากำหนดให้คิดดอกเบี้ยแต่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ ให้คิดร้อยละ 7.5 ต่อปี ( ม.7 )

การคิดดอกเบี้ยทบต้น หากคู่สัญญาได้ตกลงกันไว้เป็ นหนังสือว่า ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ในกรณีที่


ดอกเบี้ยได้ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปีแล้ว ( ม.654 ) กับกรณีมีประเพณีการค้าขายให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้

สัญญาฝากทรัพย์

มีหลักดังนี้ ( ม.657 )

1. เป็ นสัญญาที่สมบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์ ( ถ้าไม่มีการส่งมอบ ถึงแม้ว่าจะได้ทำเป็ นหนังสือกันแล้ว


สัญญานั้นก็ไม่สมบูรณ์ ฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ )

2. วัตถุแห่งสัญญาเป็ นทรัพย์สิน

3. ผู้รับฝากต้องเก็บรักษาไว้ในอารักขาแห่งตน

ค่าบำเหน็จในการฝากทรัพย์ กฎหมายให้ถือว่าเป็ นการฝากทรัพย์มีบำเหน็จ ( ม.658 ) ฉะนั้นแม้จะไม่ได้


ตกลงค่าฝากไว้ต่อกัน ก็สามารถเรียกร้องกันได้

หน้าที่ของผู้รับฝาก

1. หน้าที่ใช้ความระมัดระวังในการสงวนทรัพย์สิน แยกได้เป็ น 3 กรณี คือ ( ม. 659 )

1.1 การรับฝากโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝาก ผู้รับฝากต้องใช้ความระมัดระวังเหมือนเช่นเคยประพฤติใน


กิจการของตนเอง

1.2 การรับฝากโดยมีบำเหน็จค่าฝาก ผู้รับฝากต้องใช้ความระมัดระวังเหมือนวิญญูชนจะพึงกระทำ

1.3 การรับฝากโดยผู้มีวิชาชีพเฉพาะ ต้องใช้ความระมัดระวังเช่นผู้มีอาชีพเช่นนั้นจะต้องใช้ด้วยหาก


ใช้ความระมัดระวังธรรมดา ทรัพย์ที่ฝากเสียหายหรือสูญหายไป ผู้รับฝากก็อาจไม่พ้นความรับผิด

2. หน้าที่เก็บรักษาทรัพย์สินซึ่งฝากด้วยตนเอง ถ้าผู้ฝากมิได้อนุญาต และผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝาก


นั้นออกใช้สอยเอง หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษา ผู้รับฝากจะต้องรับ
ผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นสูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึ่งอย่างใด แม้จะเป็ นเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้
ว่า ถึงอย่าง ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง ( ม. 660 )

3. หน้าที่ต้องรีบบอกกล่าวแก่ผู้รับฝากโดยพลัน ถ้ามีบุคคลภายนอกมาอ้างว่า มีสิทธิเหนือทรัพย์สินซึ่ง


ฝากและยื่นฟ้องผู้รับฝากก็ดี หรือมายึดทรัพย์สินนั้นก็ดี ( ม. 661 )

4. หน้าที่คืนทรัพย์สินที่รับฝากไว้

4.1 การคืนเมื่อถึงกำหนด ( ม. 662 ) เว้นแต่มีเหตุจำเป็ นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ ถึงจะคืนก่อนกำหนด


ได้

4.2 การคืนก่อนกำหนด ( ม. 663 ) หากผู้รับฝากเรียกคืน


4.3 การคืนทรัพย์สินได้ทุกเมื่อ ( ม. 664 ) ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดเวลาส่งคืนไว้

4.4 ผู้รับฝากมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินให้แก่บุคคลที่ควรเป็ นผู้รับคืน ( ม. 665 )

5. ต้องคืนดอกผลอันเกิดแก่ทรัพย์ที่ฝาก ( ม. 666 )

หน้าที่ของผู้ฝาก

1. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์สินซึ่งฝาก ( ม. 667 )

2. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายอันควรแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งฝาก ( ม. 668 )

3. หน้าที่เสียค่าบำเหน็จ ( ม. 669 )

สิทธิยึดหน่วงของผู้รับฝาก ผู้รับฝากชอบที่จะยึดหน่วงเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นไว้ได้ จนกว่าจะได้รับเงิน


บรรดาที่ค้างชำระแก่ตนเกี่ยวด้วยการฝากทรัพย์นั้น

อายุความ 6 เดือน สำหรับ 3 กรณี คือ ( ม. 671 )

1. เรียกร้องให้ใช้เงินบำเหน็จค่าฝากทรัพย์

2. เรียกร้องให้ใช้เงินค่าใช้จ่ายที่เสียไปเกี่ยวกับทรัพย์

3. เรียกร้องให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ ได้แก่กรณีทรัพย์สินที่ฝากบุบสลายโดยไม่ถึงกับ
สูญหาย อันเป็ นความผิดของผู้รับฝาก

ถ้าเป็ นการฟ้องเรียกร้องโดยอาศัยเหตุอื่น ใช้อายุความ 10 ปีตามหลักทั่วไป

วิธีเฉพาะการฝากเงิน

เกี่ยวกับการฝากเงิน กฎหมายบัญญัติรายละเอียดไว้เพียง 2 ประการเท่านั้น ( ม. 672 และ 673 ) แต่


หลักใหญ่ก็ยังต้องใช้หลักทั่วไปในเรื่องการฝากทรัพย์ประกอบด้วย

1. ผู้รับฝากไม่ต้องคืนเงินตราอันเดียวกับที่ฝาก

2. ผู้รับฝากใช้เงินที่ฝากได้

สัญญาค้ำประกัน

หลักมีดังนี้ ( ม. 680 )

1. เป็ นเรื่องที่ผู้ค้ำประกันทำสัญญาผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้

2. สัญญาค้ำประกันเป็ นสัญญาอุปกรณ์ กล่าวคือ จะต้องมีหนี้ให้ค้ำประกัน ดังนั้น ถ้าหนี้ดังกล่าวไม่


ชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือระงับสิ้นไปด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี สัญญาค้ำประกันย่อมสิ้นผลไปด้วย ( ม. 681 วรรค
หนึ่ง )

แบบของสัญญาค้ำประกัน

ต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็ นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้ องร้องบังคับคดีไม่ได้ (


ม. 680 วรรคสอง ) แต่เจ้าหนี้ยังคงสามารถฟ้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ให้ตามมูลหนี้สัญญาประธานได้
ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน

เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้แล้ว ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ก็ถือว่าลูกหนี้ผิดนัด ( ม. 204 ) เจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้


ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้เมื่อนั้น ( ม. 686 ) แต่ผู้ค้ำประกันก็ยังสามารถเกี่ยงให้เจ้าหนี้ไปรับชำ ระหนี้จาก
ทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนได้ หากผู้ค้ำประกันสามารถพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้ และการที่จะ
บังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นไม่เป็ นการยาก ( ม. 689 )

ความระงับแห่งสัญญาค้ำประกัน

1. เมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไป

2. เมื่อผู้ค้ำประกันบอกเลิกการค้ำประกันสำหรับกิจการที่ต่อเนื่องกันหลายคราว ไม่จำกัดเวลาเป็ นคุณ


แก่เจ้าหนี้ ( ม. 699 )

3. เมื่อเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้กับลูกหนี้ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ( ม. 700 )

4. เมื่อเจ้าหนี้ไม่ยอมชำระหนี้จากผู้ค้ำประกัน โดยไม่มีเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้แล้ว ( ม. 701 )

สัญญาจำนอง

มีหลักดังนี้ ( ม. 702 วรรคหนึ่ง )

1. เป็ นเรื่องที่ผู้จำนองนำทรัพย์สินไปตราไว้แก่ผู้รับจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้ ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระ


หนี้เมื่อถึงกำหนด เจ้าหนี้ก็สามารถบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองได้ ( ม. 702 วรรคสอง )

2. ผู้จำนองไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับจำนองบ ผู้จำนองยังคงมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นอยู่

3. สัญญาจำนองเป็ นสัญญาอุปกรณ์ ( ม. 707 )

ทรัพย์สินที่จำนองได้ ( ม. 703 )

1. อสังหาริมทรัพย์ ( ม. 139 )

2. สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วตามกฎหมาย ได้แก่

( ก ) เรือกำปั่น หรือเรือมีระวางตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์มีระวางตั้งแต่ 5 ตัน


ขึ้นไป

( ข ) แพ ( floating house )

( ค ) สัตว์พาหนะ

3. สังหาริมทรัพย์อื่นๆ ซึ่งกฎหมายหากบัญญัติไว้ให้จดทะเบียนเฉพาะการ เช่น เครื่องจักรกลโรงงาน

แบบของสัญญาจำนอง

ต้องทำเป็ นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาจำนอง


เป็ นโมฆะ ( ม. 152 )

ความรับผิดชอบของผู้จำนอง
เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วและลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น เจ้าหนี้ก็มีสิทธิที่จะฟ้ องร้องบังคับจำนอง ( ม.
728 ) โดยนำทรัพย์สินที่จำนองนั้นออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้ และจำนองนั้นครอบไปถึง
ทรัพย์ที่ติดอยู่กับที่ดินที่จำนองด้วย

สิทธิของผู้จำนอง

ผู้จำนองมีสิทธิที่จะไถ่ถอนทรัพย์สินที่จำนองได้ ถ้ามีการจำนองซ้อนกันหลายราย ผู้ที่รับจดทะเบียน


จำนองก่อนย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนตามลำดับไป ( ม. 730 ) ถ้าหนี้ของผู้รับจดทะเบียนจำนองรายหลัง
ถึงกำหนดชำระก่อนผู้รับจำนองรายหลังจะบังคับตามสิทธิของตนให้เสียหายแก่ผู้รับจำนองรายแรก ซึ่งหนี้ยัง
ไม่ถึงกำหนดชำระไม่ได้

หากผู้จำนองเป็ นบุคคลภายนอกที่มิใช้ลูกหนี้แล้ว ผู้จำนองยังมีสิทธิที่จะได้รับเงินใช้คืนจากลูกหนี้


ตามจำนวนเงินที่ชำระแทนลูกหนี้ไปด้วย ( ม. 724 )

ความระงับแห่งสัญญาจำนอง ( ม. 744 )

1. เมื่อหนี้ที่ประกันระงับ เช่น การแปลงหนี้ใหม่ อย่างไรก็ตาม หากหนี้นั้นไม่สามารถพิจารณาบังคับ


คดีได้เพราะขาดอายุความแล้ว ผู้รับจำนองยังคงบังคับตามสัญญาจำนองได้อยู่

2. เมื่อปลดจำนองให้แก่ผู้จำนองด้วยหนังสือเป็ นสำคัญ

การปลดจำนอง คือ การที่เจ้าหนี้ยอมสละสิทธิที่จะบังคับจำนองเอาทรัพย์สินที่จำนองนั้น แต่การ


ปลดจำนองนี้หาทำให้หนี้เดิมซึ่งเป็ นสัญญาประธานระงับไปไม่ หากจะให้การปลดจำนองนั้นมีผลตาม
กฎหมายถึงบุคคลภายนอกด้วย ก็ต้องนำเป็ นหนังสือปลดจำนองนั้นไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย
( ม. 746 )

3. เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองตามคำสั่งศาลอันเนื่องจากการบังคับจำนอง และจะต้องมี
การจำทะเบียนความระงับแห่งสัญญาจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

สัญญาจำนำ

มีหลักดังนี้ ( ม. 747 )

1. ทรัพย์สินที่จำนำต้องเป็ นสังหาริมทรัพย์ แต่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษก็นำมาจำนำได้

2. ผู้จำนำต้องส่งมอบทรัพย์สินที่จำนำให้แก่ผู้รับจำนำ ผู้จำนำในสัญญาจำนำนั้นจะเป็ นตัวลูกหนี้หรือ


บุคคลภายนอกก็ได้ ถ้าไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่จำนำสัญญาจำนำก็ไม่เกิดขึ้น

3. สัญญาจำนำเป็ นสัญญาอุปกรณ์

ความรับผิดของผู้จำนำ

เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น เจ้าหนี้ก็มีสิทธิที่จะบังคับจำนำได้ตามกฎหมาย ( ม.
764 ) โดยนำเอาทรัพย์สินที่จำนำไว้นั้นออกขายทอดตลาดได้เอง โดยไม่จำเป็ นต้องอาศัยคำสั่งศาลให้ขาย
ทอดตลาดเพราะทรัพย์สินที่จำนำอยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำอยู่แล้ว
สิทธิของผู้จำนำ

ผู้จำนำที่จะถูกบังคับจำนำทรัพย์นั้น อาจเข้าชำระหนี้ทั้งหมดเสียก็ได้ ซึ่งจะมีผลทำให้หนี้ประธาน


ระงับไป และส่งผลให้สัญญาจำนำระงับลงด้วย และหากเป็ นกรณีที่ผู้จำนำเป็ นบุคคลภายนอก ผู้จำนำยังมี
สิทธิที่จะได้รับเงินใช้คืนจากลูกหนี้ได้อีกด้วย

ความระงับแห่งสัญญาจำนำ ( ม. 769 )

1. เมื่อหนี้ซึ่งเป็ นประกันนั้นระงับสิ้นไป ที่ไม่ใช่ด้วยเหตุอายุความ ถ้าเป็ นกรณีขาดอายุความแล้ว


ทรัพย์สินที่จำนำยังอยู่กับผู้รับจำนำ ก็สามารถบังคับจำนำได้อยู่

2. เมื่อผู้รับจำนำยอมให้ทรัพย์สินที่จำนำกลับคืนไปสู่ความครอบครองของผู้จำนำ

สัญญาตัวแทน

ความเป็ นตัวแทนอาจเกิดได้ 2 ประการ คือ ( ม. 797 )

1. การเป็ นตัวแทนโดยชัดแจ้ง

2. การเป็ นตัวแทนโดยปริยาย โดยเกิดจากพฤติการณ์ทำให้เข้าใจได้ว่ามีการเป็ นตัวแทนกันแล้ว

อนึ่ง ผู้จะเป็ นตัวแทนนั้น ต้องอาศัยอำนาจของตัวการ ดังนั้น ถ้าตัวการไม่สามารถทำกิจการนั้นได้


ด้วยตนเอง ตัวแทนก็ไม่มีอำนาจจัดการ

แบบของการตั้งตัวแทน

สัญญาตัวแทนตามปกติไม่มีแบบ อยู่ที่ตัวการกับตัวแทนจะตกลงกันอย่างไรก็ตาม กฎหมายได้วาง


หลักไว้ว่า ถ้ากิจการใด กฎหมายบังคับให้ ต้องทำเป็ นหนังสือ การตั้งแต่แทนเพื่อทำกิจการนั้น ต้องทำเป็ น
หนังสือด้วย ส่วนถ้ากิจการใดกฎหมายบังคับว่า ต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นก็
ต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือด้วย ( ม.798 ) ถ้าตัวแทนกระทำไปโดยไม่ได้รับมอบหมายเป็ นหนังสือจากตัวการ
การกระทำนั้นย่อมไม่ผูกพันตัวการ

หน้าที่ของตัวแทนต่อตัวการ

ในระหว่างอายุสัญญา ตัวแทนมีหน้าที่ดังนี้

1. ต้องทำตามที่ได้รับมอบหมาย จะทิ้งหรือเลิกกลางคันไม่ได้

2. ต้องทำตามคำสั่งของตัวการ ถ้าไม่มีคำสั่งก็ต้องดำเนินการตามธรรมเนียมที่เคยทำกันในกิจการที่
เขาให้ทำ ( ม. 807 )

3. ต้องทำกิจการนั้นด้วยตนเอง เว้นแต่จะมีอำนาจให้ตั้งตัวแทนช่วงได้ ( ม. 808 )

4. ต้องกระทำโดยใช้ความระมัดระวังและใช้ฝี มือตามควร กล่าวคือ ถ้าเป็ นตัวแทนที่มีบำเหน็จหรือ


โดยอาชีพต้องใช้ฝี มือระดับของผู้มีวิชาชีพ ( ม. 807 วรรคสอง )

5. ต้องแจ้งถึงความเป็ นไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายให้ตัวการทราบ ( ม. 809 )

6. ถ้าได้รับเงินหรือทรัพย์สินอย่างใดไว้แทนตัวการ ต้องส่งมอบให้แก่ตัวการทั้งสิ้น ( ม. 810 )

7. ตัวแทนจะทำนิติกรรมกับตัวแทนในนามของตนเองไม่ได้ เว้นแต่ตัวการจะยินยอมด้วย ( ม. 805 )


เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง ตัวแทนมีหน้าที่ดังนี้

1. ต้องแถลงบัญชี ( ม. 809 )

2. ต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวการตามสมควร เมื่อสัญญาตัวแทนสิ้นสุดลง เนื่องมาจากตัวการตาย


ตกเป็ นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย จนกว่าทายาทหรือผู้รับผิดชอบจะได้เข้ามาดูแลแทน ( ม.828 ,829 )

ความรับผิดของตัวแทนต่อตัวการ

1. ถ้าตัวแทนได้กระทำการไปโดยประมาทเลินเล่อ หรือไม่ทำการเป็ นตัวแทน หรือทำไปนอกเหนือ


อำนาจตัวแทนต้องรับผิดในความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้น ( ม. 812 )

2. ถ้าตัวแทนเข้าทำสัญญากับบุคคลภายนอก โดยเห็นแก่อามิสสินจ้างหรือทรัพย์สินอย่างใด ๆ
สัญญาดังกล่าวไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะยินยอมด้วย ( ม. 825 )

สิทธิของตัวแทนต่อตัวการ

1. สิทธิในเงินที่ตัวแทนทดรองจ่าย เพื่อให้การทำงานได้ลุลวงไป ( ม. 815 ) ถ้าตัวการไม่ให้ นอกจาก


ตัวแทนจะฟ้องเรียกค่าเสียหายได้แล้ว ยังอาจปฏิเสธไม่ทำหน้าที่ตัวแทนต่อไปได้

2. ถ้าการทำกิจการที่ตัวการมอบหมายให้ เช่น การใช้ตัวแทนต้องเสียหาย โดยไม่ใช้เป็ นความผิด


ของตนเองแล้ว ตัวแทนจะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากตัวการก็ได้ ( ม. 816 วรรคท้าย )

3. ถ้ามีข้อตกลงไว้ว่าจะให้บำเหน็จ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยาย หรือเคยเป็ นธรรมเนียมว่าต้องให้


บำเหน็จตัวแทนก็มีสิทธิได้รับบำเหน็จ ( ม. 803 )

4. สิทธิยึดหน่วงทรัพย์ของตัวการ ( ม. 819 ) ที่อยู่ในความครอบครองของตันเอาไว้ จนกว่าจะได้รับ


เงินที่ค้างชำระ เพราะ การเป็ นตัวแทน

ความระงับแห่งสัญญาตัวแทน

1. ตามความตกลงหรือเงื่อนไขในสัญญา

2. ตามกฎหมาย ( ม. 826 ) ได้แก่ กรณีฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่งตาย ล้มละลาย หรือตกเป็ นผู้ไร้ความสามารถ

สัญญานายหน้า

“นายหน้า” คือบุคคลซึ่งทำสัญญากับบุคคลหนึ่งที่เรียกว่าตัวการ ตกลงทำหน้าที่เป็ นคนกลางหรือ


เป็ นสื่อชี้ช่องให้ตัวการได้เข้าทำสัญญา กับบุคคลภายนอก ( ม. 845 )

บำเหน็จของนายหน้า

สัญญานายหน้านั้น ตามปกติต้องถือว่ามีบำเหน็จ ( ม. 846 ) แม้จะไม่มีข้อตกลงกันไว้ ก็ต้องให้


บำเหน็จตามธรรมเนียมคือร้อยละ 5 สิทธิเรียกค่าบำเหน็จเกิดขึ้นเมื่อตัวการกับบุคคลภายนอกได้ตกลงกันทำ
สัญญาเสร็จ แม้ต่อมาจะมีการบอกเลิกสัญญาภายหลัง ก็ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้

อายุความฟ้ องร้องเรียกค่านายหน้า

ใช้อายุความ 10 ปี ตามบทบัญญัติทั่วไป
ประกันภัย

หลักเกณฑ์เฉพาะของสัญญาประกันภัย มี 3 ประการ คือ ( ม. 861 )

1. เป็ นสัญญาต่างตอบแทน คือ ผู้เอาประกันภัยเป็ นลูกหนี้ที่จะต้องชำระเบี้ยประกันภัย และเป็ นเจ้า


หนี้ที่จะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเงินจำนวนหนึ่ง เมื่อมีเหตุในอนาคตตามสัญญาได้เกิดขึ้น

2. เป็ นสัญญาที่มีเงื่อนไขอันไม่แน่นอน เพราะเป็ นภัยที่ไม่มีใครคาดคิดล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดแก่ใคร


เมื่อใด

3. เป็ นสัญญาที่รัฐควบคุม

สัญญาประกันวินาศภัย

เป็ นสัญญาที่มุ่งหมายชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายที่เกิดขึ้นอันสามารถคำนวณเป็ นราคา


เงินได้ ( ม. 867 วรรคสอง )

สิทธิของผู้เอาประกันภัย

1. สิทธิขอลดเบี้ยประกัน ถ้าภัยนั้นได้หมดไป โดยมีความเสี่ยงลดลง ( ม. 864 )

2. สิทธิขอลดจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัย ถ้ามูลประกันภัยได้ลดน้อยถอยลงไปมาก ( ม. 873 )

3. สิทธิที่จะเรียกให้ผู้รับประกันหาหลักประกัน หรือจะบอกเลิกสัญญา ในกรณีที่ผู้รับประกันภัยต้องคำ


พิพากษาให้เป็ นคนล้มละลาย ( ม. 876 วรรคหนึ่ง )

4. สิทธิที่จะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ( ม. 877 )

5. สิทธิบอกเลิกสัญญา ตามหลักเรื่องหนี้ ( ม. 987 – 989 ) และยังบอกเลิกสัญญาก่อนเริ่มเสี่ยงภัย (


ม. 872 ) หรือเมื่อผู้รับประกันภัยต้องคำพิพากษาให้ล้มละลาย ( ม. 876 ) หรือเลิกสัญญาเมื่อบริษัทออกกกรม
ธรรม์ประกันภัยโดยใช้แบบหรือข้อความที่นายทะเบียนไม่เห็นชอบด้วย เป็ นต้น

หน้าที่ของผู้เอาประกันภัย

1. หน้าที่เปิดเผยความจริง ผู้เอาประกันภัยต้องแถลงความจริงขณะทำสัญญา ( ม. 865 )

2. หน้าที่ชำระเบี้ยประกัน

3. หน้าที่บอกกล่าวเมื่อเกิดวินาศภัยแก่ผู้รับประกันภัย โดยไม่ชักช้า ( ม. 881 )

4. หน้าที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญา ถ้าปฏิบัติ ผู้รับประกันภัยอาจหลุดพ้นความรับผิดได้

สิทธิของผู้รับประกันภัย

1. สิทธิเรียกเบี้ยประกัน แม้ว่าเหตุผลที่ได้ประกันภัยไว้ จะไม่ได้เกิดขึ้นเลยก็ตาม


2. สิทธิขอลดค่าสินไหมทดแทน ในกรณีที่คู่สัญญาได้กำหนดราคาแห่งมูลประกันไว้สูงเกินมาก ( ม.
874 )

3. สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน เมื่อมีเหตุวินาศภัยตามสัญญาเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับ


ประโยชน์ที่ทราบความวินาศภัยขึ้นแล้ว มีหน้าที่ต้องแจ้งให้ผู้รับประกันภัยทราบโดยมิชักช้า ถ้าไม่แจ้ง แล้ว
เกิดความเสียหายแก่ผู้รับประกันภัย ผู้รับประกันภัยชอบที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในส่วนนั้นได้ ( ม.
881 วรรคสอง ) อย่างไรก็ตาม การที่ผู้เอาประกันภัยแจ้งชักช้าก็ไม่ทำให้ผู้รับประกันภัยหลุดพ้นความรับผิด
ไป และถ้าไม่ปรากฏว่าการแจ้งชักช้านั้น ทำให้ผู้รับประกันภัยเสียหายอย่างใด ผู้เอาประกันภัยก็ไม่ต้องชดใช้
ค่าเสียหาย

4. สิทธิในการรับช่วงสิทธิ ถ้าความวินาศภัยเกิดจากบุคคลภายนอก และผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่า


สินไหมทดแทนไปเป็ นจำนวนเท่าใด ย่อมรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ ซึ่งมีต่อ
บุคคลภายนอกเพียงนั้น ( ม. 880 วรรคหนึ่ง )

5. สิทธิในซากทรัพย์

6. สิทธิบอกเลิกสัญญา ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องคำพิพากษาให้ล้มละลาย เว้นแต่ผู้เอาประกันภัย


ได้ส่งเบี้ยประกันเต็มจำนวนแล้ว ( ม. 876 วรรคสอง ) หรือบอกเลิกสัญญาตามเงื่อนไขและวิธีการที่ระบุไว้
ในกรมธรรม์ โดยบอกกล่าวการเลิกสัญญานั้นเป็ นหนังสือให้ทราบล่วงหน้าตามควร

หน้าที่ของผู้รับประกันภัย

1. หน้าที่ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัย อันมีเนื้อความถูกต้องตามสัญญา มีข้อความและเป็ นไปตามแบบ


ที่นายทะเบียนเห็นชอบ รวมทั้งเอกสารประกอบหรือแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยด้วย ( ม. 867 วรรคสอง )

2. หน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อมีเหตุวินาศภัยเกิดขึ้นตามจำนวนเงินที่ตกลงกันไว้

3. หน้าที่คืนเบี้ยประกัน ในกรณีต่อไปนี้ คือ

3.1 เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาก่อนเริ่มเสี่ยงภัย ( ม. 872 )

3.2 เมื่อผู้เอาประกันภัยขอลดจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัย ( ม. 873 )

3.3 เมื่อผู้รับประกันภัยขอลดค่าสินไหมทดแทน ( ม. 874 )

3.4 เมื่อผู้รับประกันภัยตกเป็ นบุคคลล้มละลาย ( ม. 876 )

3.5 กรณีบอกเลิกสัญญาในกรณีกรมธรรม์ผิดแบบ

3.6 ในกรณีที่นายทะเบียนสั่งให้ลดจำนวนเงินที่เอาประกันภัยลง

4. หน้าที่สำรวจค่าเสียหาย ตีราคาค่าเสียหาย ( ม. 877 วรรคสอง ) และออกค่าใช้จ่ายในการตีราคานั้นด้วย (


ม. 878 )

การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้รับประกันภัย

1. เหตุวินาศภัยนั้นเกิดขึ้น เพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกัน
ภัยหรือผู้รับประโยชน์ ( ม. 879 )

2. เหตุวินาศภัยเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมประกอบในเนื้อแห่งวัตถุที่เอาประกันภัย ( ม. 879 วรรค


สอง ) กล่าวคือ วัตถุที่เอาประกันนั้นได้เสื่อมสลายไปเองโดยสภาพ
อายุความ

การเรียกค่าสินไหมทดแทนต้องฟ้องเรียกร้องภายใน 2 ปี นับแต่เกิดสิทธิตามสัญญา ( ม. 882 )

สัญญาประกันชีวิต

ได้แก่ สัญญาประกันภัย ซึ่งเงื่อนไขในการใช้จำนวนเงินโดยอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ


ของบุคคลหนึ่ง ( ม. 889 )

สิทธิของผู้เอาประกันชีวิต

1. สิทธิที่จะได้รับเงินจำนวนหนึ่ง

2. สิทธิเรียกร้องจากผู้ที่ก่อมรณภัย ( ม. 896 )

3. สิทธิบอกเลิกสัญญา เสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ โดยงดส่งเบี้ยประกันต่อไป โดยไม่ต้องแจ้งให้ผู้รับ


ประกันภัยทราบเป็ นลายลักษณ์อักษร และถ้าได้ส่งเบี้ยประกันมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิได้
รับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัยหรือรับกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จจากผู้รับประกันภัยด้วย ( ม. 894 )

4. สิทธิขอลดเบี้ยประกันชีวิต ( ม. 864 )

หน้าที่ของผู้เอาประกันชีวิต

1. หน้าที่ต้องเปิดเผยความจริง เนื่องจากการคิดเบี้ยประกันชีวิต มีฐานมาจากอายุและสุขภาพอนามัย


ของผู้เอาประกันภัย ถ้าไม่เปิดเผยความจริงหรือแถลงข้อความเท็จเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนี้จะทำให้สัญญา
นั้นเป็ นโมฆียะ ( ม. 893 ) หรือความจริงเกี่ยวกับอนามัย แต่ถ้าไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง หรือไม่ทราบว่าตนเป็ นโรค
ที่ร้ายแรงอยู่ ดังนี้ สัญญาประกันชีวิตนั้นสมบูรณ์

2. หน้าที่ชำระเบี้ยประกันชีวิต

สิทธิและหน้าที่ของผู้รับประกันชีวิต

1. สิทธิได้รับเบี้ยประกันชีวิตตามที่ตกลงกัน

2. หน้าที่ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันชีวิต

3. หน้าที่ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต

4. สิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิต ในกรณีที่สัญญาประกันชีวิตเป็ นโมฆียะเนื่องจากการปกปิ ดข้อ


ความจริงกหรือแถลงเท็จ ( ม. 865 ) หรือแถลงอายุคลาดเคลื่อน ( ม. 893 )

เหตุยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันชีวิต ( ม. 895 )

1. บุคคลนั้นได้ฆ่าตนเองด้วยความสมัครใจภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา หรือ

2. บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

อย่างไรก็ตาม ผู้รับประกันภัยต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันชีวิต หรือถ้าผู้ตายเอา


ประกันชีวิตของตนเอง ก็ให้เงินนั้นตกแก่ทายาทของผู้นั้น

สิทธิของเจ้าหนี้ผู้เอาประกันภัย
1. ถ้าสัญญาประกันชีวิตไม่ได้ระบุผู้รับประโยชน์ไว้ ให้ถือว่าเงินนี้เป็ นส่วนหนึ่งแห่งกองมรดก ซึ่งเจ้า
หนี้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากกองมรดกนั้น ( ม. 897 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1734 )

2. ถ้าสัญญาเจาะจงตัวผู้รับประโยชน์ไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับเงินประกันชีวิตตามสัญญา แต่ต้องส่งคืนเบี้ย


ประกันเท่าจำนวนที่ผู้เอาประกันภัยส่งไปแล้วเข้าเป็ นกองมรดกของผู้ตาย ซึ่งเจ้าหนี้เอาใช้หนี้ได้ ( ม. 897
ว.สอง )

อายุความ ใช้ 10 ปี ตามบททั่วไป ( ม. 193 / 30 )

สัญญาตั๋วเงิน

มีลักษณะสำคัญ คือ ต้องทำเป็ นหนังสือตราสารเนื้อความตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุแห่งหนี้เป็ นเงิน


ตราและเป็ นตราสารเปลี่ยนมือได้โดยการส่งมอบหรือสลักหลังตราสารนั้น ๆ ( ม. 898 , 900 ) การชำระหนี้ด้วย
ตั๋วเงินจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้มีการใช้เงินตราตามตั๋วเงินแล้ว ( ม. 321 ) และแม้การเรียกให้ใช้เงินตามตั๋วจะ
ขาดอายุความแล้ว หากหนี้เดิมยังไม่ขาดอายุความ ก็ยังเรียกให้ชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมได้ ( ม. 1005 )

ตั๋วเงินตามกฎหมาย มี 3 ชนิด คือ

1. ตั๋วแลกเงิน คือ หนังสือตราสาร ซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้สั่งจ่าย” สั่งบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้


จ่าย” ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ผู้รับเงิน” ( ม. 908 )
ตั๋วแลกเงินจะต้องมีข้อความบอกว่าเป็ น “ตั๋วแลกเงิน” ซึ่งอาจจะใช้ภาษาใดก็ได้ มีคำสั่งอันปราศจากเงื่อนไข
ระบุชื่อผู้สั่งจ่ายเงินแก่ผู้รับเงินหรือ “ผู้ถือ” เป็ นจำนวนเงินอันแน่นอนตามวันและสถานที่ใช้เงิน พร้อมทั้งลง
วัน เดือน ปี กำหนดใช้เงิน ( ถ้าไม่มี ถือว่าใช้เงินเมื่อได้เห็น ) / สถานที่ออกตั๋วเงิน มีชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน วัน
และสถานที่ออกตั๋ว และที่สำคัญคือต้องมีลายมือผู้สั่งจ่ายด้วย หากขาดรายการหนึ่งรายการใด ย่อมไม่ใช่ตั๋ว
แลกเงินตามกฎหมาย

2. ตั๋วสัญญาใช้เงิน คือ หนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้ออกตั๋ว” ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้


เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับเงิน”

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้สั่งจ่ายไม่ลงวันที่ในตั๋วเงิน แสดงว่ายอมให้ผู้มีสิทธิในตั๋วนั้นลงวันที่ได้โดย


สุจริต ตั๋วเงินนั้นย่อมสมบูรณ์

ตั๋วสัญญาใช้เงินจะต้องมีข้อความบอกว่าเป็ น “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” มีคำมั่นอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้


เงินเป็ นจำนวนแน่นอน มีวันถึงกำหนดใช้เงิน ( ถ้าไม่มี ถือว่าใช้เงินเมื่อเห็น ) / มีสถานที่ใช้เงิน ( ถ้าไม่มี ให้
ถือเอาภูมิลำเนาของผู้ออกตั๋ว ) / มีชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน วันและสถานที่ออกตั๋ว ( ถ้าไม่ระบุวันออกตั๋ว ผู้ทรง
ตั๋วชอบด้วยกฎหมายและโดยสุจริตจะจดวันถูกต้องแท้จริงลงก็ได้ ถ้าไม่ได้ระบุสถานที่ออกตั๋วไว้ ให้ถือว่า
ออก ณ ภูมิลำเนาของผู้ออกตั๋ว ) และที่สำคัญคือต้องลงลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว

อนึ่ง ตั๋วสัญญาใช้เงิน ต้องระบุชื่อผู้รับเงินเสมอ จะเป็ นตั๋วผู้ถือไม่ได้

3. เช็ค คือ หนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่ง เรียกว่า “ผู้สั่งจ่าย” สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อ


ทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับเงิน” ( ม. 987 )

เช็คมีลักษณะที่สำคัญต่างจากตั๋วเงินประเภทอื่น คือ ผู้จ่ายเงินตามเช็คคือ ธนาคาร และการจ่ายเงิน


ต้องจ่ายเมื่อทวงถามเท่านั้น

ข้อความในเช็คจะต้องมีคำบอกว่าเป็ นเช็ค / มีคำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็ นจำนวนแน่นอน


/ มีชื่อหรือยี่ห้อของธนาคาร / มีชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ / มีสถานที่ใช้เงิน / วันและ
สถานที่ออกเช็ค / และลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ถ้าตราสารใดมีข้อความครบถ้วนตามนี้ก็ถือว่าได้มีการออกเช็ค แม้
จะไม่ได้ใช้แบบพิมพ์ของธนาคาร หรือผู้ที่มิได้มีเงินฝาก แต่เอาแบบพิมพ์ของธนาคารของผู้อื่นไปใช้ แล้ว
ธนาคารปฏิเสธการใช้เงินผู้สั่งจ่าย ผู้สลักหลังหรือผู้อาวัลต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น เพราะ เอกสาร
ดังกล่าวมีข้อความครบถ้วนเป็ นเช็คแล้ว

ถ้าเช็คมีข้อความนอกเหนือไปจากที่กฎหมายระบุ ( ม. 988 ) ย่อมเป็ นเช็คที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่


ข้อความที่เพิ่มดังกล่าวไม่มีผลอย่างหนึ่งอย่างใดในตั๋วเงินนั้นเลย ( ม. 899 )

หลักสำคัญที่ใช้บังคับร่วมกันสำหรับตั๋วเงินทั้ง 3 ชนิด มีดังนี้ คือ

1. ผู้ใดลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงิน ผู้นั้นต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ( ม. 900 )

2. ตั๋วเงินย่อมสามารถโอนกันได้ ซึ่งมีวิธีการดังนี้ คือ

2.1 สำหรับตั๋วเงินที่ออกให้แก่ผู้ถือ สามารถโอนให้แก่กันได้ด้วยการส่งมอบ ( ม. 918 ) ยกเว้น


ตั๋วสัญญาใช้เงินที่โดยสภาพไม่สามารถออกให้แก่ผู้ถือได้ ( ม. 983 ( 5) )

2.2 สำหรับตั๋วเงินที่ระบุชื่อผู้รับเงินไว้ชัดแจ้ง สามารถโอนให้แก่กันได้โดยการสลักหลังตั๋วเงิน


นั้นซึ่งจะเป็ นการสลักหลังโดยระบุชื่อผู้รับประโยชน์ หรือเป็ นการสลักลอยก็ได้ คือ สลักหลังลงลายมือชื่อ
ของตนโดยไม่ต้องระบุชื่อผู้รับประโยชน์ ( ม. 919 )

การอาวัล คือ การค้ำประกันความรับผิดชอบตามตั๋วเงิน ผู้รับอาวัลนั้นจะเป็ นบุคคลภายนอกหรือ


เป็ นคู่สัญญาคนใดคนหนึ่งในเช็คนั้นก็ได้ ( ม. 938 )

แบบของการรับอาวัล

1. เขียนด้วยถ้อยคำสำนวน “ใช้ได้เป็ นอาวัล” หรือสำนวนอื่นใดที่มีความหมายทำนองเดียวกันไว้ด้าน


หน้าหรือด้านหลังของเช็คก็ได้ และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล ในกรณีที่คำรับอาวัลไม่ได้ระบุว่าประกันผู้ใด
นั้น กฎหมายให้ถือว่าเป็ นประกันผู้สั่งจ่าย ( ม. 939 วรรคท้าย )

2. เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้อาวัลในด้านหน้าของเช็ค โดยไม่ต้องเขียนข้อความใดๆ เลยก็มีผล


เป็ นการอาวัลแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็ นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย ( ม. 939 วรรคสาม )

3. การสลักหลังเช็ค ซึ่งเป็ นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือ ย่อมเท่ากับเป็ นการอาวัลผู้สั่งจ่ายแล้ว ( ม. 921 )

ความรับผิดของผู้รับอาวัล ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันตนเป็ นอย่างเดียวกับบุคคลที่ตนประกัน ( ม.


940 )

สิทธิไล่เบี้ยของผู้รับอาวัล

เมื่อผู้รับอาวัลใช้เงินตามเช็คแล้ว ผู้รับอาวัลมีสิทธิในอันที่จะไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลซึ่งตนประกันไว้ได้ (
ม. 940 วรรคท้าย ) ในการไล่เบี้ยนี้ ผู้รับอาวัลมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ซึ่งตนค้ำประกันได้เต็มจำนวนตามที่ตนได้
ชำระหนี้แทนไป

เช็คขีดคร่อม คือ เช็คที่มีเส้นขนานคู่ ขีดขวางไว้ข้างหน้า ซึ่งในระหว่างเส้นขนานนั้น อาจจะมี


ข้อความอยู่ในระหว่างเส้นคู่ขนานนั้นหรือไม่ก็ได้ ซึ่งแยกได้เป็ น 2 กรณี คือ

1. เช็คขีดคร่อมทั่วไป คือ เช็คที่ในระหว่างเส้นคู่ขนานนั้นไม่มีข้อความใด ๆ เขียนไว้เลย หรือมี


ข้อความคำว่า “และบริษัท” หรือ “And Co.” หรือ “& Co.” หรือคำย่ออื่นๆ ซึ่งไม่มีความหมายเฉพาะเจาะจง
( ม. 994 วรรคหนึ่ง )
2. เช็คขีดคร่อมเฉพาะ คือ เช็คที่ในระหว่างเส้นคู่ขนาน จะมีชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งโดยเฉพาะ
เจาะจงลงไป ( ม. 994 วรรคท้าย )

การจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อม ธนาคารจะจ่ายเงินตามเช็คนั้นให้แก่ธนาคารเท่านั้น จะจ่ายโดยตรงให้


แก่บุคคลที่นำเช็คนั้นมาขึ้นเงินไม่ได้ เช็คขีดคร่อมจึงให้ประโยชน์ในด้านความปลอดภัยมาก

หุ้นส่วนและบริษัท

คือ การทำสัญญาระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน โดยประสง


จะแบ่งปันกำไรที่จะพึงได้จากกิจการนั้น ( ม. 1012 )

ประเภทของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท

1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ ผู้ที่เข้าร่วมทำสัญญาตจัดตั้งเป็ นห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น ผู้เป็ นหุ้นส่วนหมด


ทุกคนต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจำกัด ( ม. 1025 ) กล่าวคือ

1.1 ผู้เป็ นหุ้นส่วนสามัญทุกคนต้องรับผิดในหนี้สินของห้างอย่าง “ลูกหนี้ร่วม” ในหนี้สิ้นของ


ห้างหุ้นส่วน ไม่ว่าจะโดยสัญญาหรือละเมิดที่ทำไปในกิจการของห้าง

1.2 ผู้เป็ นหุ้นส่วนสามัญทุกคนต้องรับผิดในหนี้สินของห้างโดยไม่จำกัดจำนวน

ด้วยเหตุนี้ คุณสมบัติของผู้เป็ นหุ้นส่วนสามัญ จีงเป็ นสาระสำคัญ เพราะถ้าคนใดคนหนึ่งไปทำสัญญา


หรือได้จัดทำไปในทางที่เป็ นธรรมดาการค้าของห้างหุ้นส่วนนั้น ผู้เป็ นหุ้นส่วนทุกคนย่อมต้องผูกพันในการนั้น
ๆ ด้วย และต้องรับผิดในหนี้ร่วมกันโดยไม่จำกัดจำนวน ( ม. 1050 )

การจัดการห้างหุ้นส่วนสามัญ

1. การจัดการโดยตรง กล่าวคือ หุ้นส่วนทุกคนเข้าบริหารงานเอง โดยอาจแบ่งหน้าที่กันทำ หรืออาจ


จะมอบหมายให้หุ้นส่วนคนใดหรือหลายคนเป็ นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น หรืออาจร่วมกันจ้างบุคคล
ภายนอกมาเป็ นผู้ดำเนินงานห้างหุ้นส่วนก็ได้

2. การดูแลครอบงำ ได้แก่ กรณีที่ตั้งให้หุ้นส่วนคนเป็ นผู้จัดการแล้ว อำนาจในการจัดการดูแลกิจการ


ต่าง ๆ ของห้างหุ้นส่วนย่อมเป็ นของผู้จัดการนั้น แต่หุ้นส่วนที่ไม่ใช่ผู้จัดการย่อมมีสิทธิที่จะไต่ถามถึงการงาน
ของห้างหุ้นส่วนที่จัดการอยู่นั้นได้ทุกเมื่อ และมีสิทธิตรวจและคัดสำเนาสมุดบัญชีและเอกสารใด ๆ ของห้าง
หุ้นส่วนได้ด้วย ( ม. 1037 )

สิทธิและหน้าที่ระวห่างผู้เป็ นหุ้นส่วนด้วยกัน

1. ห้ามประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีสภาพเดียกัน และเป็ นการแข่งขันกับห้างหุ้นส่วน ( ม.


1038 วรรคหนึ่ง ) โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เป็ นหุ้นส่วนคนอื่น ถ้าฝ่ าฝื นผู้เป็ นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ มีสิทธิ
เรียกเอาผลกำไรที่ผู้ฝ่ าฝื นหามาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่ทำให้ห้างหุ้นส่วนได้รับความ
เสียหายเพราะเหตุนั้นก็ได้ ( ม. 1038 วรรคสอง )

2. ห้ามนำบุคคลอื่นเข้าเป็ นหุ้นส่วน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เป็ นหุ้นส่วนทั้งหมดทุกคน ( ม.


1040 ) เช่น ผู้เป็ นหุ้นส่วนคนหนึ่งตาย หุ้นส่วนสามัญต้องเลิกกัน เว้นแต่ผู้เป็ นหุ้นส่วนคนอื่นยอมให้มีคนรับ
โอนหุ้นนั้นต่อมาได้ ก็คงเป็ นหุ้นส่วนกันต่อไป

3. ขอให้งดใช้ชื่อ ถ้ามีการใช้ชื่อของผู้เป็ นหุ้นส่วนคนใดมาตั้งเป็ นชื่อห้างหุ้นส่วน เมื่อผู้นั้นออกจาก


ห้างหุ้นส่วนไปแล้ว อาจขอให้งดใช้ชื่อของตนเป็ นชื่อห้างหุ้นส่วนต่อไปได้ ( ม. 1047 ) มิฉะนั้นตนอาจต้องรับ
ผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนว่าตนยังเป็ นหุ้นส่วนอยู่ ( ม. 1054 )
4. ความเกี่ยวพันระหว่างหุ้นส่วนผู้เป็ นผู้จัดการกับผู้เป็ นหุ้นส่วนอื่น ให้ใช้กฎหมายเรื่องตัวแทนมา
บังคับ ( ม.1042 ) เว้นแต่กรณีที่กฎหมายเกี่ยวกับหุ้นส่วนได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ( ม. 1042 ) เช่น หุ้น
ส่วนผู้จัดการไปลงนามแทนห้าง ห้างต้องรับผิดด้วย

ความเกี่ยวพันกับบุคคลภายนอก

1. ผู้เป็ นหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการการค้าขาย


ซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นไม่ได้ ( ม.1049 )

2. ผู้เป็ นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในการใด ๆ อันผู้เป็ นหุ้นส่วนคนใดได้จัดทำไปใน


ทางที่เป็ นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ( ม. 1050 ) แม้ผู้เป็ นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ จะมิได้รู้เห็นในกิจการ
ที่ทำไปนั้นเลยก็ตาม ก็ต้องรับผิดร่วมกัน นอกจากนี้ความรับผิดต่อบุคคลภายนอกนี้รวมถึงความรับผิดในทาง
ละเมิดด้วย ( ม. 1051 , 1052 )

นอกจากนี้สำหรับผู้ที่เป็ นหุ้นส่วนสามัญ ต้องรับผิดในหนี้ของห้างที่ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามา


เป็ นหุ้นส่วน และแม้ผู้เป็ นหุ้นส่วนจะออกไปแล้ว ก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างได้ก่อให้เกิดขึ้น ก่อนที่ตนจะ
ได้ออกจากห้างหุ้นส่วนไป ( ม. 1051 , 1052 )

การเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ

1. การเลิกโดยผลของกฎหมาย ( ม. 1055 ) ได้แก่

1.1 ถ้าในสัญญากำหนดกรณีที่จะเลิกกันไว้

1.2 เมื่อถึงกำหนดเวลาที่สัญญาเป็ นหุ้นส่วนกัน เว้นแต่ผู้เป็ นหุ้นส่วนทั้งหลายยังคงดำเนิน


กิจการกันต่อไปโดยไม่มีการชำระบัญชีกัน ก็ถือว่าหุ้นส่วนทั้งหลายตกลงเป็ นหุ้นส่วนกันต่อไปโดยไม่มี
กำหนดเวลา ( ม. 1059 )

1.3 ถ้าสัญญาทำไว้เฉพาะเพื่อกิจการใด เมื่อเสร็จกิจการนั้นแล้ว

1.4 ในกรณีที่การเป็ นหุ้นส่วนไม่ได้กำหนดเวลาไว้ เมื่อผู้เป็ นหุ้นส่วนคนใดบอกเลิกสัญญาการ


เป็ นหุ้นส่วนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนสิ้นรอบปี ในทางบัญชีของห้างหุ้นส่วนนั้น ( ม. 1056 ) แต่ถ้าหุ้น
ส่วนอื่นยังไม่อยากเลิก โดยรับซื้อหุ้นของผู้ที่ประสงค์จะออกไว้ ห้างหุ้นส่วนก็ไม่เลิกกัน ( ม. 1060 )

1.5 เมื่อผู้เป็ นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดตาย ล้มละลาย หรือตกเป็ นผู้ไร้ความสามารถ ห้างหุ้นส่วน


ต้องเลิกกัน เว้นแต่หุ้นส่วนคนอื่นจะรับซื้อหุ้นนั้นไว้ แล้วตกลงดำเนินกิจการต่อไป ( ม. 1060 )

2. การเลิกโดยความประสงค์ของผู้เป็ นหุ้นส่วน เมื่อผู้เป็ นหุ้นส่วนคนใดบอกเลิกสัญญาการเป็ น


หุ้นส่วนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนสิ้นรอบปี ในทางบัญชีของห้างหุ้นส่วนนั้น ( ม. 1056 ) เว้นแต่มีเหตุ
อื่น เช่น เมื่อผู้เป็ นหุ้นส่วนคนใดบอกเลิกสัญญาการเป็ นหุ้นส่วนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนสิ้นรอบปี ใน
การบัญชีของห้างหุ้นส่วนนั้น ( ม. 1056 ) ผู้หนึ่งผิดสัญญา หรือไม่มีผู้ดูแลกิจการทำให้เกิดความเสียหาย ก็
ขอให้เลิกได้ โดยไม่จำเป็ นต้องบอกกล่าวล่วงหน้า 6 เดือน

3. การเลิกโดยคำสั่งศาล เมื่อผู้เป็ นหุ้นส่วนร้องขอต่อศาล ศาลอาจสั่งให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกันได้ เมื่อ


มีเหตุต่อไปนี้ คือ

3.1 เมื่อผู้เป็ นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งนอกจากผู้ร้องนั้น ล่วงละเมิดบทบังคับใด ๆ อันเป็ นข้อ


สาระสำคัญ ซึ่งสัญญาหุ้นส่วนกำหนดไว้แก่ตน โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

3.2 เมื่อกิจการของห้างหุ้นส่วนมีแต่จะขาดทุนและไม่มีหวังที่จะฟื้นตัวได้อีก
3.3 เมื่อมีเหตุอื่นใดที่ทำให้ห้างหุ้นส่วนนั้นเหลือวิสัยที่จะดำรงอยู่ต่อไปได้

การชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญ

เมื่อห้างหุ้นส่วนสามัญเลิกกันแล้ว ต้องมีการรวบรวมบรรดาทรัพย์สินทั้งหลายของห้างหุ้นส่วน เพื่อ


ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายของห้าง ถ้ามีเหลือก็ให้คืนแก่ผู้เป็ นหุ้นส่วน และถ้ายังเหลืออีกก็นำมาแบ่ง
กำไรกัน ซึ่งเรียกว่า “การชำระบัญชี” ( ม.1062 ) แต่ถ้าได้ชำระหนี้กับบุคคลภายนอกและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้ว
สินทรัพย์ที่เหลืออยู่ยังไม่พอจะคืนแก่ผู้เป็ นหุ้นส่วนได้ครบจำนวนที่ลงทุนเรียกว่า “ขาดทุน” ต้องเฉลี่ยการ
ขาดทุนในระหว่างหุ้นส่วนด้วยกัน ( ม.1063 )

2. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล

ห้างหุ้นส่วนสามัญ กฎหมายไม่บังคับว่าต้องจดทะเบียน แต่ถ้าประสงค์จะจดทะเบียนเป็ นนิติบุคคลก็


ย่อมทำได้ การขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนสามัญนั้นเป็ นไปตามแบบที่กฎหมายกำหนด ( ม. 1064 การขอจด
ทะเบียนให้นำ มาตรา 1014-1024 มาใช้บังคับ ) เมื่อจดทะเบียนแล้วต้องใช้คำ ว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญ
นิติบุคคล” ประกอบด้วยเสมอ มิฉะนั้นจะมีความผิด

ผลของการจดทะเบียน

1. ห้างหุ้นส่วนมีสภาพเป็ นนิติบุคคล การเป็ นนิติบุคคลทำให้มีสิทธิและหน้าที่แยกต่างหากจากผู้เป็ น


หุ้นส่วน ( ม. 1015 ) มีชื่อสัญชาติ และภูมิลำเนาเป็ นของตนเอง และมีสิทธิดำเนินคดีในศาลในนามของห้าง
เองด้วย

2. การถือเอาประโยชน์ต่อบุคคลภายนอก การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนต้องมีชื่อ วัตถุประสงค์ ชื่อผู้เป็ น


หุ้นส่วนผู้จัดการ ตลอดจนอำนาจหน้าที่และข้อจำกัดต่าง ๆ ซึ่งต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา ( ม. 1021 )
และถือว่าบุคคลทั่วไปได้รู้แล้ว ( ม. 1022 ) ดังนั้นผู้เป็ นหุ้นส่วนอาจถือเอาประโยชน์ต่อบุคคลภายนอกอันห้าง
หุ้นส่วนจดทะเบียนนั้นได้มา แม้ในกิจการที่ไม่ปรากฏชื่อของตนได้ ( ม. 1065 )

3. ห้ามหุ้นส่วนทำการค้าขายแข่งขันกับกิจการของห้าง ( ม. 1070 , 1071 )

สำหรับผู้เป็ นหุ้นส่วนที่ออกจากห้างหุ้นส่วนนั้นไปแล้ว ยังคงต้องรับผิดในหนี้ที่ห้างหุ้นส่วนได้ก่อขึ้น


ภายในวัตถุประสงค์ของห้าง และเกิดขึ้นก่อนที่ตนจะออกจากการเป็ นหุ้นส่วน แต่กฎหมายจำกัดให้รับผิด
ชอบเพียง 2 ปี นับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน ( ม. 1068 )

การเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลและการชำระหนี้

ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลนี้อาจเลิกได้ด้วยเหตุเดียวกันกับการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญที่ได้จด
ทะเบียน คือ อาจเลิกโดยผลของกฎหมาย ( ม. 1055 ) เช่น ห้างหุ้นส่วนล้มละลาย ( ม. 1069 ) เป็ นต้น หรือ
โดยการตกลงของผู้เป็ นหุ้นส่วน หรือโดยคำสั่งศาล

เมื่อห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลเลิกกันแล้ว ต้องมีการชำระบัญชีเสมอไป จะใช้วิธีตกลงกันเองไม่ได้


และผู้ชำระบัญชีต้องนำไปจดทะเบียนภายใน 14 วันนับแต่วันที่เลิกกัน ( ม.1254 และ 1270 )
3. ห้างหุ้นส่วนจำกัด

ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะต้องประกอบด้วยผู้เป็ นหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ ( ม. 1077 )

1. ผู้เป็ นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งจำกัดความรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนรับจะลงหุ้น


ในห้างหุ้นส่วนนั้นจำพวกหนึ่ง และ

2. ผู้เป็ นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัด


อีกพวกหนึ่ง

ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น กฎหมายบังคับให้ต้องจดทะเบียนเสมอ ( ม. 1078 )

หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด

ผู้เป็ นหุ้นส่วนประเภทนี้ มีความรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนตกลงจะลงหุ้น คุณสมบัติของผู้เป็ น


หุ้นส่วนประเภทนี้จึงไม่ใช่สาระสำคัญเหมือนกิจการเป็ นหุ้นส่วนสามัญ จึงอาจโอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่น
ได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากหุ้นส่วนอื่นๆ ( ม. 1091 ) และแม้หุ้นส่วนประเภทนี้ ทายาทย่อมเข้ามา
แทนที่ได้ ( ม. 1093 ) หรือล้มละลาย ก็ไม่เป็ นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องเลิกกัน ( ม. 1092 )

สิทธิของหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด มีดังนี้

1. มีสิทธิออกความเห็นแนะนำ ออกเสียงลงคะแนนในการแต่งตั้งถอดถอนผู้จัดการ ( ม. 1088 วรรค


สอง ) ตลอดจนตรวจสอบบัญชีและเอกสารของห้างได้ตามสมควร

2. เป็ นผู้ชำระบัญชีของห้างได้ ( ม. 1089 )

3. มีสิทธิค้าขายแข่งกับห้างได้ ( ม. 1090 )

ข้อจำกัดของหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด มีดังนี้

1. ห้ามเอาชื่อของผู้เป็ นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดมาเรียกขานระคนกับชื่อห้าง ( ม. 1081 ) มิ


ฉะนั้นผู้เป็ นหุ้นส่วนนั้น ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนเป็ นประเภทไม่จำกัดความรับผิด

2. หุ้นส่วนประเภทนี้จะลงหุ้นด้วยแรงไม่ได้ ต้องลงเป็ นเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่น ( ม. 1083 )

3. ไม่มีสิทธิจัดการงานของห้าง ( ม. 1087 ) ถ้าสอดเข้าจัดการงานของห้าง ต้องร่วมรับผิดกับห้างหุ้น


ส่วนจำกัดเช่นเดียวกับผู้เป็ นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด ( ม. 1088 ) ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ หรือฟ้ อง
คดีของห้าง

4. ไม่มีส่วนได้รับเงินปันผลหรือดอกเบี้ย ถ้าห้างไม่มีผลกำไร ( ม. 1084 )

ความรับผิด ของหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด มีดังนี้ ( ม. 1095 )


ผู้เป็ นหุ้นส่วนปรเภทจำกัดความรับผิด จะรับผิดในหนี้ที่ห้างมีต่อบุคคลภายนอกก็ต่อเมื่อห้างหุ้นส่วน
จำกัดได้เลิกกัน ตราบใดที่ห้างยังไม่เลิก เจ้าหนี้จะฟ้องให้รับผิดไม่ได้ และเมื่อห้างเลิกกันแล้ว ผู้เป็ นหุ้นส่วน
จำกัดความรับผิดคงจะมีความรับผิดเพียง

1. จำนวนลงหุ้นของผู้เป็ นหุ้นส่วนเท่าที่ยังค้างส่งแก่ห้างหุ้นส่วน

2. จำนวนลงหุ้นเท่าที่ผู้เป็ นหุ้นส่วนได้ถอนไปจากสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วน

3. จำนวนเงินปันผลและดอกเบี้ยซึ่งผู้เป็ นหุ้นส่วนได้รับไปแล้วโดยทุจริตและผิดกฎหมาย

หุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด สามารถเป็ นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนได้ ( ม. 1087 ) ใช้ชื่อ


ตนเองเป็ นชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ ( ม. 1081 ) ลงทุนด้วยแรงงานก็ได้ ( ม. 1083 ) ความเกี่ยวพันอื่น ๆ ก็ให้
ใช้บทบัญญัติสำหรับห้างหุ้นส่วนสามัญมาใช้บังคับ สำหรับความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้เป็ นหุ้นส่วน
ประเภทไม่จำกัดความรับผิดต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนโดยมาจำกัดจำนวน

การเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัด ใช้หลักการเช่นเดียวกับการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ( ม. 1080 วรรค


หนึ่ง)

บริษัทจำกัด

การจัดตั้งบริษัทจำกัด

1. ผู้เริ่มก่อการอย่างน้อย 7 คน ร่วมตกลง โดยเข้าชื่อกันทำ “หนังสือบริคณห์สนธิ” ( ม. 1097 ) ซึ่ง


ได้แก่เอกสารที่มีข้อความตามที่กฎหมายกำหนด ( ม. 1098 ) และเป็ นตราสารจัดตั้งนิติบุคคลตามกฎหมาย

2. นำหนังสือบริคณห์สนธิที่ลงลายมือชื่อผู้ก่อการทั้งหมด หรือลายมือชื่อพยานรับรอง 2 คน ไปจด


ทะเบียนที่หอทะเบียนการค้า ในเขตที่บริษัทตั้งอยู่

3. นำหุ้นออกให้จองหรือให้เข้าชื่อซื้อหุ้นจนครบ โดยออกหุ้นในราคาไม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ตั้งไว้ และ


ห้ามชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้น ( ม. 1102 และ 1105 )

4. เมื่อหุ้นที่จะต้องลงเงินนั้นได้มีผู้เข้าชื่อซื้อหมดแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องนัดบรรดาผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นมา
ประชุมกันซึ่งเรียกว่า “ประชุมตั้งบริษัท” ( ม. 1107 ) เพื่อให้มีการตกลงในเรื่องต่างๆ เช่น ข้อบังคับบริษัท ( ม.
1110 )

5. กรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้ง จะรับมอบหมายงานจากผู้เริ่มก่อการไปดำเนินการต่อ โดยให้


จัดการเรียกให้ผู้เริ่มก่อการและผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทั้งหลาย ใช้เงินในหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น ( ม.
1105 )

6. เมื่อมีการชำระค่าหุ้นตามกำหนดแล้ว กรรมการบริษัทต้องไปขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทโดยระบุ
รายการตามที่กฎหมายกำหนด ( ม. 1111 ) การฟ้องเกี่ยวกับหนี้ของบริษัทต้องฟ้องบริษัทโดยตรง ไม่ใช่ฟ้ อง
ผู้ก่อตั้งในฐานะส่วนตัว

7. ถ้ากรรมการบริษัทไม่ดำเนินการจดทะเบียนภายใน 3 เดือนนับแต่มีการประชุมจัดตั้งบริษัท ถือว่า


บริษัท ถือว่าบริษัทนั้นไม่มีการตั้งขึ้น ( ม. 1112 ) ต้องคืนเงินค่าหุ้นที่ได้รับไว้เต็มจำนวน

การเลิกบริษัทจำกัด

1. การเลิกโดยผลของกฎหมาย ( ม. 1236 )
1.1 ถ้าในข้อบังคับของบริษัทกำหนดกรณีที่จะเลิกกันไว้ เมื่อมีกรณีนั้นเกิดขึ้น

1.2 เมื่อถึงกำหนดที่ตั้งขึ้นไว้

1.3 ถ้าบริษัทตั้งขึ้นเฉพาะเพื่อทำกิจการใด เมื่อกิจการนั้นเสร็จแล้ว

1.4 มีมติพิเศษให้เลิก คือ มีการลงมติในการประชุมเป็ นลำดับ 2 ครั้ง ครั้งแรก มีมติไม่ต่ำกว่า


3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมด และครั้งที่ 2 มีมติยืนยันตามมติเดิมด้วยเสียงไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 ( ม. 1194 )

1.5 เมื่อบริษัทล้มละลาย

2. การเลิกโดยคำสั่งศาล ( ม. 1237 )

2.1 ถ้าทำผิดในการยี่นรายงานการประชุมตั้งบริษัท หรือทำผิดในการประชุมตั้งบริษัท

2.2 ถ้าบริษัทไม่เริ่มทำการภายใน 1 ปี นับแต่วันจดทะเบียนหรือหยุดทำการ 1 ปีเต็ม

2.3 เมื่อการค้าของบริษัททำไปก็มีแต่ขาดทุนอย่างเดียว และไม่มีหวังฟื้นตัวได้

2.4 เมื่อจำนวนผู้ถือหุ้นลดลงจนเหลือไม่ถึง 7 คน

เมื่อบริษัทเลิกแล้ว ต้องมีการชำระบัญชีให้เสร็จ นำความไปจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่


วันที่เลิกบริษัท ( ม. 1254 ) เมื่อชำระบัญชีเสร็จแล้ว ผู้ชำระบัญชีต้องทำรายงานแล้วเรียกประชุมใหญ่เพื่อให้
ที่ประชุมอนุมัติ ( ม. 1270 วรรคหนึ่ง ) เมื่อที่ประชุมอนุมัติแล้ว ผู้ชำระบัญชีต้องนำความนั้นไปจดทะเบียน
ภายใน 14 วันนับแต่วันประชุม ( ม. 1271 ) เป็ นอันเสร็จการ

ครอบครัว

การหมั้น

1. ชายและหญิงคู่หมั้นต้องมีอายุ 17 ปี บริบูรณ์ ( ม. 1435 ) ถ้าการหมั้นกระทำโดยฝ่ าฝื นมาตรา 1435


ผลคือ การหมั้นตกเป็ นโมฆะ ( ม. 1435 ว. 2 )

2. ผู้เยาว์ทำการหมั้นจะต้องได้รับความยินยอมของบิดามารดาหรือผู้ปกครองด้วย ( ม. 1436 ) ถ้าการ


หมั้นที่ผู้เยาว์ทำโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าว การหมั้นนั้นตกเป็ นโมฆียะ

แบบของการหมั้น

การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็ นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็ น


หลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น ( ม. 1437 ) สัญญาหมั้นเป็ นสัญญาพิเศษผิดกับสัญญาธรรมดา ฉะนั้น หากมี
การหมั้นแต่ฝ่ ายชายไม่มีของหมั้นมามอบให้หญิงแล้ว แม้จะมีการผิดสัญญาหมั้นก็จะฟ้ องเรียกค่าทดแทน
ฐานผิดสัญญาหมั้นไม่ได้
ของหมั้น

ลักษณะสำคัญของของหมั้นจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ 4 ประการ คือ

1. ต้องเป็ นทรัพย์สิน ( สิทธิเรียกร้อง ถือได้ว่าเป็ นทรัพย์สินที่นำมาเป็ นของหมั้นได้ )

2. ต้องเป็ นของที่ฝ่ ายชายให้ไว้แก่หญิง

3. ต้องให้ไว้ในเวลาทำสัญญาและหญิงต้องได้รับไว้แล้ว

4. ต้องเป็ นการให้ไว้เพื่อเป็ นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นและต้องให้ไว้ก่อนสมรส ถ้าให้เมื่อหลัง


สมรสแล้วทรัพย์นั้นไม่ใช่ของหมั้น

การรับผิดตามสัญญานั้น

เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ ายใดผิดสัญญานั้น อีกฝ่ ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่


ฝ่ ายหญิงเป็ นฝ่ ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นให้แก่ฝ่ ายชายด้วย ( ม.1439 )

สินสอด

เป็ นทรัพย์สินที่ฝ่ ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ ายหญิง แล้วแต่กรณี


เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ( ม. 1437 ว.3 )

ผลของการหมั้น

1. สิทธิเรียกค่าทดแทนจากคู่หมั้นอีกฝ่ ายหนึ่ง ( ม. 1440 )

1.1 ค่าทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

1.2 ค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดา มารดา หรือ บุคคลผู้กระทำการใน


ฐานะบิดา มารดา ได้ใช้หรือต้องตกเป็ นลูกหนี้ เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

1.3 ค่าทดแทนความเสียหายที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สิน หรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพ หรือ


ทางทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควร ด้วยคาดหมายว่าจะมีการสมรส

2. สิทธิเรียกค่าทดแทนจากชายอื่น ถ้าหากชายอื่นมาล่วงเกินหญิงคู่หมั้น

2.1 การที่ชายอื่นร่วมประเวณีกับหญิงคู่หมั้น โดยหญิงคู่หมั้นยินยอมมีหลัก คือ ( ม. 1445 )

( 1 ) ชายอื่นร่วมประเวณีกับหญิงคู่นั้น

( 2 ) ชายอื่นนั้นรู้หรือควรรู้ว่าหญิงได้หมั้นกับชายคู่หมั้นแลวและรู้ด้วยว่าชายคู่หมั้น
เป็ นใคร

( 3 ) ชายคู่หมั้นได้บอกเลิกสัญญาหมั้นแล้ว

2.2

You might also like