Professional Documents
Culture Documents
หลักทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิและการใช้สิทธิ
1. ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดีในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต มาตรา 5
2. ถ้ามิได้กำหนดดอกเบี้ยไว้ ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี มาตรา 7
3. ลายพิมพ์นิ้วมือ แกงได หรือเครื่องหมายอื่นทำนองเช่นว่านี้ก็ดี ทำลงในเอกสาร ถ้าไม่ได้ทำต่อพนักงานเจ้า
หน้าที่ หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรอง 2 คนแล้ว เสมอกับลงลายมือชื่อ มาตรา 9
4. การลงจำนวนเงินในเอกสารด้วยตัวอักษรและตัวเลข ถ้าไม่ตรงกันและมิอาจทราบเจตนาที่แท้จริงได้ ให้ใช้จำนวน
เงินที่เขียนเป็ นตัวอักษรเป็ นประมาณ ถ้าไม่ตรงกันหลายแห่ง ให้เอาจำนวนเงินหรือปริมาณน้อยที่สุดเป็ นประมาณ
มาตรา 12,13
5.ถ้าเอกสารทำไว้สองภาษา เป็ นภาษาไทยภาษาหนึ่งด้วย หากมีความแตกต่างกันและไม่อาจทราบเจตนาของคู่
กรณีได้ว่าจะให้ใช้ภาษาใดบังคับ ให้ใช้ภาษาไทยบังคับ มาตรา 14
บุคคล
บุคคลธรรมดา
สภาพบุคคล ย่อมเริ่มแต่เมื่อบุคคล การคลอดนั้นหมายถึง การที่ทารกออกมาจากครรภ์มารดาหมดทั้งตัวแล้ว แม้
จะยังไม่ได้ตัดสายสะดือ และต้องรอดอยู่ด้วย แม้เพียงชั่วระยะเวลานิดเดียวก็มีสิทธิต่างๆ ในทรัพย์สินย้อนไปตั้งแต่
วันแรกที่ปฎิสนธิในครรภ์มารดา เช่น อาจรับมรดกของบิดาซึ่งตายก่อนเด็กคลอดได้ เป็ นต้น มาตรา 15
ความสามารถของบุคคล
1.ผู้เยาว์ บรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ มาตรา 19
ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย มาตรา 20 สมรสเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปี บริบูรณ์ หรือ เมื่อ
ศาลอนุญาตให้ทำการสมรส มาตรา 1448 จำไว้ว่า “บรรลุแล้วบรรลุเลย”
ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมของ “ผู้แทนโดยชอบธรรม” ก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมนั้นๆ เป็ น
โมฆียะ คืออาจถูกบอกล้างได้ในภายหลัง มาตรา 21
ผู้เยาว์อาจทำนิติกรรมที่สมบูรณ์ได้เอง โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม คือ
1.ทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ มาตรา 25
2.นิติกรรมที่เป็ นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ ายเดียว มาตรา 22 เช่น รับการให้โดยไม่มีข้อผูกพัน
3.นิติกรรมที่ต้องทำเองเฉพาะตัว มาตรา 23 เช่น การรับรองบุตร กรณีตาม มาตรา 1548
4.นิติกรรมที่สมควรแก่ฐานานุรูป และเป็ นการจำเป็ นในการดำรงชีพตามควร มาตรา 24
5.เมื่อผู้เยาว์ได้รับอนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมให้ประกอบการค้า มาตรา 27
2.คนไร้ความสามารถ คือ คนวิกลจริตที่คู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน ของผู้นั้น หรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาล
ให้สั่งให้บุคคลนั้นเป็ นคนไร้ความสามารถ มาตรา 28 และจัดให้อยู่ในความอนุบาล นิติกรรมที่คนไร้ความสามารถ
กระทำลงย่อมตกเป็ นโมฆียะทั้งสิ้น แม้จะได้รับความยินยอมจาก “ผู้อนุบาล” ก็ไม่ได้ มาตรา 29
ส่วนคนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็ นคนไร้ความสามารถ หากไปทำนิติกรรม ย่อมต้องถือว่ามีผลสมบูรณ์ เว้นแต่
ว่า ได้กระทำในขณะจริตวิกล + คู่กรณีอีกฝ่ ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้ว นิติกรรมนั้นจึงตกเป็ นโมฆียะ มาตรา 30
3.คนเสมือนไร้ความสามารถ คือ บุคคลที่ปรากฏว่า ไม่สามารถจัดทำการงานของตนเองได้ เพราะมีกายพิการ จิตฟั่น
เฟือน ไม่สมประกอบ แต่ไม่ถึงขนาดวิกลจริต ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็ นอาจิณ ติดสุรายาเมา เมื่อคู่สมรส บุพการี
ผู้สืบสันดาน หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็ นคนเสมือนไร้ความสามารถ โดยให้อยู่ใน
“ความพิทักษ์” ก็ได้ มาตรา 32
การสิ้นสภาพบุคคล
1.ตาย มาตรา 15
2.สาบสูญ (โดยผลของกฎหมาย) ได้แก่
2.1 บุคคลไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยไม่มีใครทราบว่าเป็ นตายร้ายดีอย่างไรตลอดระยะเวลา 5
ปี มาตรา 61 วรรคแรก
2.2 บุคคลไปทำการรบหรือสงคราม หรือตกไปอยู่ในเรื่อเมื่ออับปราง หรือตกไปในฐานะที่จะเป็ น
ภยันตรายแก่ชีวิตประการอื่นใด หากนับแต่เมื่อภยันตรายประการอื่นๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้วนับได้เวลาถึง 2 ปี ยังไม่มี
ใครทราบว่าบุคคลนั้นเป็ นตายร้ายดีอย่างไร มาตรา 61 วรรคสอง
ประเภทของทรัพย์
1. อสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น
1.1 ที่ดิน หมายถึง พื้นแผ่นดิน รวมตลอดถึง ภูเขา เกาะ และที่ชายทะเลด้วย
1.2 ทรัพย์ที่ติดกับที่ดินมีลักษณะเป็ นการถาวร
1.3 ทรัพย์ซึ่งประกอบเป็ นอันเดียวกับที่ดิน
1.4 สิทธิอันเกี่ยวกับ 1.1 , 1.2 และ 1.3 อันได้แก่ สิทธิในกรรมสิทธิ์ ( ม.1336 ) , สิทธิครอบครอง (
ม.1367 ) ,สิทธิจำนอง , สิทธิเก็บกิน ( ม.1417 ) ภาระจำยอม ( ม. 1387 ) เป็ นต้น
2. สังหาริมทรัพย์ ได้แก่
2.1 ทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์
2.2 สิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์ เช่น สิทธิจำนอง สิทธิยึดหน่วง เป็ นต้น
ส่วนประกอบของทรัพย์
1. ส่วนควบ ( ม.144 ) ได้แก่ ส่วนซึ่งว่าโดยสภาพแห่งทรัพย์ หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น เป็ นสาระ
สำคัญในความเป็ นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจจะแยกจากกันได้ นอกจากทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้
ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป ข้อยกเว้นในเรื่องส่วนควบมีดังนี้ ( ม.145 , 146 )
1.1 ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติ
1.2 ทรัพย์อันติดกับที่ดิน หรือโรงเรือนชั่วคราว
1.3 โรงเรือนหรือการปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธิปลูกทำลงไว้
2. อุปกรณ์ ( ม.147 ) ได้แก่ สิ่งที่ใช้บำรุงดูแลรักษาทรัพย์ประธาน และสามารถแยกออกจากทรัพย์ประธาน
ได้ โดยไม่ทำให้เปลี่ยนแปลงรูปทรง ต่างจากการเป็ นส่วนควบ
3. ดอกผล คือ ผลประโยชน์ที่ได้งอกเงยจากทรัพย์สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเองโดยสม่ำเสมอ แบ่งออกเป็ น 2
ประเภท คือ ( ม.148 )
3.1 ดอกผลธรรมดา คือ สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ซึ่งได้มาจากตัวทรัพย์ โดยการมีหรือ
ใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม เช่น ผลไม้ น้ำนม ขนสัตว์ และลูกของสัตว์ เป็ นต้น
3.2 ดอกผลนิตินัย ซึ่งเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย เช่น ดอกเบี้ย กำไร ค่าเช่า ค่าปันผล ฯ
บุคคลสิทธิและทรัพย์สิทธิ
“บุคคลสิทธิ” คือ สิทธิหรือบุคคลที่จะบังคับให้กระทำการ งดเว้นกระทำการหรือส่งมอบทรัพย์สินให้ ได้แก่
สิทธิต่างๆ ที่เจ้าหนี้จะบังคับเอาได้จากลูกหนี้นั่นเอง
การได้มาซึ่งทรัพย์สิทธิ
1. ผลของนิติกรรม เช่น สัญญาซื้อขาย เป็ นต้น
2. ผลกฎหมาย ได้แก่ การครบอครองปรปักษ์ / การได้รับมรดก / การรับรองลิขสิทธิ์ เป็ นต้น
นิติกรรม
หลักเกณฑ์สำคัญของนิติกรรม ( ม.149 )
1 ) ต้องมีการแสดงเจตนา
2 ) ต้องกระทำโดยใจสมัคร
3 ) มุ่งให้มีผลผูกพันทางกฎหมาย
4) เป็ นการทำลงโดยชอบด้วยกฎหมาย
5) ผู้ที่ทำนิติกรรมต้องมี “ความสามารถ” ในการทำนิติกรรมด้วย
ประเภทของนิติกรรม
1 . นิติกรรมฝ่ ายเดียว เช่น การทำพินัยกรรรม / การปลดหนี้ ( ม. 340 ) / การบอกเลิกสัญญา ( ม. 386 ) /
โฆษณาจะให้รางวัล ( ม.362 และ 365 ) เป็ นต้น นิติกรรมฝ่ ายเดียวนี้ มีผลตามกฎหมายแล้ว แม้จะยังไม่มีผู้รับ
ก็ตาม
2. นิติกรรมหลายฝ่ าย คือ มีฝ่ ายที่ทำคำเสนอและอีกฝ่ ายทำคำสนอง เมื่อคำเสนอและคำสนองตรงกัน ก็
เกิดสัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย / สัญญาเช่า / สัญญาค้ำประกัน เป็ นต้น
ความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรม
1. ความสามารถในการทำนิติกรรม กล่าวคือ ถ้านิติกรรมได้กระทำลงโดยผู้หย่อนความสามารถ คือ
1.1 ผู้เยาว์
1.2 คนไร้ความสามารถ
1.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ เป็ นโมฆียะ ( ม. 153 )
2. วัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม
2.1 เป็ นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
2.2 เป็ นการพ้นวิสัย
2.3 เป็ นการขัดความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
3. แบบแห่งนิติกรรม
3.1 การทำเป็ นหนังสือ เช่น การโอนหนี้ ( ม. 306 ) / สัญญาเช่าซื้อ ( ม. 572 ) / สัญญาตัวแทนบาง
ประเภท ( ม. 798 ) ถ้าตกลงเพียงวาจา สัญญานั้น เป็ นโมฆะ
3.2 การทำ เป็ นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น การคัดค้านตั๋วแลกเงิน ( ม.961 ) / การทำ
พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ ายเมือง ( ม. 1658 ) เป็ นต้น ถ้าไม่ได้ทำเป็ นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมใช้บังคับ
ไม่ได้
3.3 การทำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (
ม.456 ) / สัญญาขายฝาก ( ม.491 ) / สัญญาจำนอง ( ม.714 ) เป็ นต้น ถ้าไม่ทำตามแบบ เป็ นโมฆะ
4. การแสดงเจตนา
4.2 การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด
(1) สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรม
- สำคัญผิดในประเภทของนิติกรรม
- สำคัญผิดในวัตถุแห่งนิติกรรม ( ม.156 )
ผลแห่งความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรม
สัญญา
สาระสำคัญของสัญญา
1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ ายขึ้นไป
3. ต้องมีวัตถุประสงค์ในการทำสัญญา
ประเภทของสัญญา
1. สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน
2. สัญญามีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
3. สัญญาประธานกับสัญญาอุปกรณ์
“สัญญาอุปกรณ์” นอกจากสัญญาอุปกรณ์จะต้องสมบูรณ์ตามหลักความสมบูรณ์ของตัวเอง
แล้ว ยังขึ้นกับความสมบูรณ์ของสัญญาประธานอีกด้วย กล่าวคือ ถ้าสัญญาประธานไม่สมบูรณ์ สัญญาอุปกรณ์
ย่อมไม่สมบูรณ์ด้วยเช่นกัน เช่น สัญญาค้ำประกัน ( ม.680 ) / สัญญาจำนอง ( ม.702 ) / สัญญาจำนำ ( ม.747 )
4. สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก โดยคู่สัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกโดยที่
บุคคลภายนอกนั้นไม่ได้เข้ามาเป็ นคู่สัญญาด้วย เช่น สัญญาประกันชีวิต
สิทธิในการบอกเลิกสัญญา
1. สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ผลของการเลิกสัญญา
- ทรัพย์สินที่ได้ส่งมอบหรือโอนให้แก่กันไปตามสัญญา ก็ต้องคืนทรัพย์สินนั้นในสภาพที่เป็ น
อยู่เดิมขณะมีการส่งมอบหรือโอนไปตามสัญญา และถ้าเป็ นการพ้นวิสัยที่จะคืนได้ทั้งหมดหรือบางส่วน ก็ต้อง
ชดใช้ค่าเสียหายแทน
หนี้
ลักษณะสำคัญของหนี้ ต้องประกอบด้วย
1. การมีนิติสัมพันธ์ (ความผูกพันกันในทางกฎหมาย)
2. การมีเจ้าหนี้และลูกหนี้ ( สิทธิเหนือบุคคล)
บ่อเกิดแห่งหนี้
1. นิติกรรม - สัญญา
การบังคับชำระหนี้
2. การผิดนัดของลูกหนี้
ผลของการที่ลูกหนี้ผิดนัด
1.เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการนั้นได้ ( ม.215)
ข้อแก้ตัวของลูกหนี้
การผิดนัดของเจ้าหนี้
2. ในกรณีของสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ส่วนของตนต่อเมื่อเจ้าหนี้ชำระหนี้
ตอบแทนด้วยนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าหนี้จะได้เตรียมพร้อมที่จะรับชำระหนี้ตามที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ตาม
แต่ถ้าเจ้าหนี้ไม่เสนอที่จะทำการชำระหนี้ตอบแทนตามที่พึงต้องทำแล้ว เจ้าหนี้ก็เป็ นอันได้ชื่อว่าผิดนัด (
ม.210 )
- เหตุแห่งความผิดนัดในข้อนี้ เนื่องมาจากหนี้อันเกิดจากสัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีลักษณะที่
คู่สัญญาฝ่ ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ ( ม.369 )
ผลของการที่เจ้าหนี้ผิดนัด
1. ปลดเปลื้องความรับผิดในอันที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เพราะเหตุชำระหนี้ล่าช้า
2. ปลดเปลื้องความรับผิดในกรณีที่การชำระหนี้นั้นกลายเป็ นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้
4. ปลดเปลื้องความรับผิดในดอกเบี้ยสำหรับกรณีที่เป็ นหนี้เงิน
ข้อแก้ตัวของเจ้าหนี้
การชำระหนี้กลายเป็ นพ้นวิสัย
1. ถ้าการชำระหนี้กลายเป็ นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ
ลูกหนี้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เจ้าหนี้เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น (
ม.218 )
ความรับผิดของลูกหนี้เพื่อคนที่ตนใช้ในการชำระหนี้
สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้
การบังคับชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง
การควบคุมทรัพย์สินของลูกหนี้
1. การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ( ม.233 )
1.1 ลูกหนี้ต้องขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง
- สิทธิเรียกร้องที่โอนไม่ได้
2. สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีได้แสดงเจตนาห้ามโอนกัน แต่การแสดงเจตนาเช่นว่านี้จะยก
ขึ้นเป็ นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตไม่ได้ ( ม.303 วรรคสอง )
- แบบของการโอนสิทธิเรียกร้อง
ข. ให้ลูกหนี้ยินยอมด้วยในการโอนเป็ นหนังสือ
ลูกหนี้และเจ้าหนี้หลายคน
1. เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง ( ม.291 )
4. การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งนั้นย่อมได้ประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย ( ม.295 )
5. การอันเป็ นคุณหรือเป็ นโทษเฉพาะตัวลูกหนี้ร่วม ย่อมไม่มีผลไปถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่น ( ม.295 วรรค
หนึ่ง )
3. เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้หรือปฏิบัติการอย่างอื่นต่อเจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งอันมีผลให้หนี้ระงับสิ้นไปแล้ว
ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นจากหนี้นั้นไป ( ม.299 วรรคสาม )
ความระงับแห่งหนี้
1. การชำระหนี้
(1) เจ้าหนี้
(2) ผู้มีอำนาจชำระหนี้แทนเจ้าหนี้
(1) ใบเสร็จ
(4) ขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย
องค์ประกอบมี ดังนี้
1. เป็ นการกระทำต่อบุคคลอื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
3. การกระทำนั้นเป็ นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับเสียหาย
ความรับผิดเนื่องจากการแสดงความเท็จ
ความรับผิดในการทำละเมิดของบุคคลอื่น
เมื่อนายจ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว นายจ้างมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจาก
ลูกจ้างได้ ( ม.426 )
2. ความรับผิดในการทำละเมิดของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริต กฎหมายสันนิษฐานให้บิดามารดา
ผู้อนุบาลหรือผู้ที่รับดูแลผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตอยู่ต้องรับผิดร่วมด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความ
ระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลนั้นแล้ว ( ม.429 , 430 )
3. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากยานพาหนะหรือทรัพย์อันตราย กฎหมายกำหนด
ไว้ว่า บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆ อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล หรือครอบ
ครองทรัพย์ซึ่งเป็ นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ บุคคลนั้นต้องรับผิดชอบต่อ
ความเสียหายอันเกิดจากยานพาหนะหรือทรัพย์นั้นๆ ( ม.437 ) ผู้ครอบครองจะหลุดพ้นจากความรับผิดดัง
กล่าวได้ ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่า ความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดจากความผิดของผู้เสียหายเอง
4. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ กฎหมายให้สันนิษฐานให้เจ้าของสัตว์หรือ
บุคคลที่รับเลี้ยงดูแลสัตว์นั้นไว้แทนเจ้าของเป็ นผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ที่ต้องเสียหายนั้น
อย่างไรก็ดี หากเจ้าของสัตว์หรือบุคคลที่รับเลี้ยงรับดูแลสัตว์นั้นไว้แทนเจ้าของ พิสูจน์ได้ว่า ตนได้ใช้ความ
ระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์
ได้ว่า ความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังแล้ว ( ม. 433 )
5. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น กฎหมายกำหนดให้ผู้
ครอบครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นนั้นเป็ นผู้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี หากผู้
ครอบครองสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร เพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายแล้ว
ผู้ครอบครองไม่ต้องรับผิด และในกรณีเช่นนี้กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่เป็ นเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง
อย่างอื่นนั้น เป็ นผู้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ( ม. 434 )
2. กรณีเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย
นิรโทษกรรม ( ม.438 )
จัดการงานนอกสั่ง
ลาภมิควรได้
สัญญาซื้อขายที่ต้องทำตามแบบ
หน้าที่และความรับผิดของผู้ขาย
2.1 ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหาก
ได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน
2.3 ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด
สัญญาขายฝาก
แบบของสัญญาขายฝาก ให้นำบทบัญญัติในลักษณะซื้อขายมาใช้บังคับ
บุคคลผู้มีสิทธิไถ่คืนทรัพย์สินและบุคคลผู้มีหน้าที่รับไถ่คืนทรัพย์สิน
สัญญาเช่าทรัพย์
หน้าที่และความรับผิดของผู้ให้เช่า
2. หน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่เช่านั้นเสมอกับวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง เช่น
การสิ้นสุดของสัญญาเช่าทรัพย์
2.1 กรณีที่มีข้อตกลงในสัญญาเช่าระบุให้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่คู่สัญญาเอาไว้โดยเฉพาะ
สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา
ผลทางกฎหมายของสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษ
สัญญาเช่าซื้อ
1. เป็ นสัญญาซึ่งเจ้าของทรัพย์สินนำทรัพย์สินออกให้เช่า
ความระงับแห่งสัญญาเช่าซื้อ
ข้อแตกต่างระหว่างสัญญาเช่าซื้อกับสัญญาเช่าทรัพย์
1. สัญญาเช่าทรัพย์ ผู้เช่ามีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าโดยไม่มีทางจะได้
กรรมสิทธิ์เลย ไม่ว่าจะเช่ากันนานเท่าใด / แต่สัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อนอกจากมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์
จากทรัพย์สินที่เช่าแล้ว ยังอาจได้สิทธิในทรัพย์สินนั้นหากได้ชำระเงินครบจำนวนครั้งตามที่กำหนดใน
สัญญา
สัญญาจ้างแรงงาน
สัญญาจ้างแรงงานมีลักษณะดังนี้
1. ต้องมีการตกลงเป็ นนายจ้างและลูกจ้างกัน
2. เป็ นสัญญาต่างตอบแทน
3. สาระสำคัญอยู่ที่คู่สัญญา นายจ้างจะโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกได้ก็ต่อเมื่อลูกจ้าง
ยินยอมพร้อมใจด้วย ทำนองเดียวกัน ลูกจ้างจะให้บุคคลภายนอกทำงานแทนตนไม่ได้ถ้านายจ้างไม่ยินยอม
ด้วย ถ้าคู่สัญญาฝ่ ายใดทำการฝ่ าฝื นความยินยอมนี้ คู่สัญญาอีกฝ่ ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ (
ม.577 )
หน้าที่ของลูกจ้าง
หน้าที่ของนายจ้าง
2. ต้องออกหนังสือรับรองผลงานและระยะเวลาที่ทำงานให้แก่ลูกจ้าง ( ม.585 )
ความระงับแห่งสัญญาจ้างแรงงาน
1. เมื่อครบกำหนดในสัญญาจ้าง หรือมีการบอกเลิกสัญญา
3. การเลิกสัญญาตามกฎหมาย ซึ่งได้แก่
4. การทำงานของลูกจ้างตกเป็ นพ้นวิสัย
สัญญาจ้างทำของ
1. เป็ นสัญญาต่างตอบแทน
2. เป็ นสัญญาที่มุ่งถือผลสำเร็จของงาน
3. ไม่มีแบบ
หน้าที่และความรับผิดของผู้รับจ้าง
1. ต้องทำงานให้สำเร็จตามสัญญา ( ม. 587 )
2. ต้องจัดหาเครื่องมือต่างๆ สำหรับใช้ในการทำงาน ( ม. 588)
5. ต้องยอมให้ผู้ว่าจ้างหรือตัวแทนตรวจตราการงาน ( ม.592 )
6. ต้องแก้ไขความบกพร่องที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ทำงานนั้น ( ม. 594 )
หน้าที่และความรับผิดของผู้ว่าจ้าง
2. รับผิดเมื่อผู้ว่าจ้างมีส่วนผิดในกรณีสั่งให้ทำหรือในการเลือกผู้รับจ้าง หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ (
ม.591 ) อนึ่ง เมื่อการงานที่ทำพังทลาย สูญหายไปก่อนส่งมอบโดยมิใช่ความผิดของฝ่ ายใด
ความระงับแห่งสัญญาจ้างทำของ
3. สัญญาเลิกกันโดยผลของกฎหมาย
1. เป็ นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
2. เป็ นสัญญาที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์
3. วัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปคือทรัพย์สิน
หน้าที่ของผู้ยืม
3. หน้าที่ในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อใช้เสร็จ
ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูป
1. ในกรณีที่สัญญาได้กำหนดระยะเวลายืมไว้ สัญญาจะระงับเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาตามสัญญา
3. สัญญายืมใช้คงรูปจะระงับไปเมื่อผู้ยืมตาย ( ม. 648 )
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
1. สัญญายืมใช้สินเปลืองอาจเป็ นสัญญามีค่าตอบแทนก็ได้
2. เป็ นสัญญาที่มีการโอนกรรมสิทธิ์
3. วัตถุแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองคือทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไป
สัญญากู้ยืมเงิน
สัญญากู้ยืมเงินที่คิดดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยนั้นจะเป็ นเงินตราหรือจะเป็ นทรัพย์สินอย่างอื่นก็ได้ ในการคิดดอกเบี้ยนั้นคู่สัญญาจะคิด
ดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ไม่ได้ ถ้าคู่สัญญาฝ่ าฝื นก็จะมีผลทำให้ดอกเบี้ยทั้งหมดตกเป็ นโมฆะ แต่ใน
ส่วนของต้นเงินนั้นยังคงใช้ได้ เพราะสามารถแยกส่วนต้นเงินซึ่งสมบูรณ์ออกจากส่วนดอกเบี้ยได้ ( ม.173 )
สัญญาฝากทรัพย์
มีหลักดังนี้ ( ม.657 )
2. วัตถุแห่งสัญญาเป็ นทรัพย์สิน
3. ผู้รับฝากต้องเก็บรักษาไว้ในอารักขาแห่งตน
หน้าที่ของผู้รับฝาก
4. หน้าที่คืนทรัพย์สินที่รับฝากไว้
5. ต้องคืนดอกผลอันเกิดแก่ทรัพย์ที่ฝาก ( ม. 666 )
หน้าที่ของผู้ฝาก
1. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์สินซึ่งฝาก ( ม. 667 )
2. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายอันควรแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งฝาก ( ม. 668 )
3. หน้าที่เสียค่าบำเหน็จ ( ม. 669 )
1. เรียกร้องให้ใช้เงินบำเหน็จค่าฝากทรัพย์
2. เรียกร้องให้ใช้เงินค่าใช้จ่ายที่เสียไปเกี่ยวกับทรัพย์
3. เรียกร้องให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ ได้แก่กรณีทรัพย์สินที่ฝากบุบสลายโดยไม่ถึงกับ
สูญหาย อันเป็ นความผิดของผู้รับฝาก
วิธีเฉพาะการฝากเงิน
1. ผู้รับฝากไม่ต้องคืนเงินตราอันเดียวกับที่ฝาก
2. ผู้รับฝากใช้เงินที่ฝากได้
สัญญาค้ำประกัน
หลักมีดังนี้ ( ม. 680 )
1. เป็ นเรื่องที่ผู้ค้ำประกันทำสัญญาผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้
แบบของสัญญาค้ำประกัน
ความระงับแห่งสัญญาค้ำประกัน
1. เมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไป
สัญญาจำนอง
2. ผู้จำนองไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับจำนองบ ผู้จำนองยังคงมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นอยู่
ทรัพย์สินที่จำนองได้ ( ม. 703 )
1. อสังหาริมทรัพย์ ( ม. 139 )
2. สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วตามกฎหมาย ได้แก่
( ข ) แพ ( floating house )
( ค ) สัตว์พาหนะ
แบบของสัญญาจำนอง
ความรับผิดชอบของผู้จำนอง
เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วและลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น เจ้าหนี้ก็มีสิทธิที่จะฟ้ องร้องบังคับจำนอง ( ม.
728 ) โดยนำทรัพย์สินที่จำนองนั้นออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้ และจำนองนั้นครอบไปถึง
ทรัพย์ที่ติดอยู่กับที่ดินที่จำนองด้วย
สิทธิของผู้จำนอง
ความระงับแห่งสัญญาจำนอง ( ม. 744 )
2. เมื่อปลดจำนองให้แก่ผู้จำนองด้วยหนังสือเป็ นสำคัญ
3. เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองตามคำสั่งศาลอันเนื่องจากการบังคับจำนอง และจะต้องมี
การจำทะเบียนความระงับแห่งสัญญาจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
สัญญาจำนำ
มีหลักดังนี้ ( ม. 747 )
3. สัญญาจำนำเป็ นสัญญาอุปกรณ์
ความรับผิดของผู้จำนำ
เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น เจ้าหนี้ก็มีสิทธิที่จะบังคับจำนำได้ตามกฎหมาย ( ม.
764 ) โดยนำเอาทรัพย์สินที่จำนำไว้นั้นออกขายทอดตลาดได้เอง โดยไม่จำเป็ นต้องอาศัยคำสั่งศาลให้ขาย
ทอดตลาดเพราะทรัพย์สินที่จำนำอยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำอยู่แล้ว
สิทธิของผู้จำนำ
ความระงับแห่งสัญญาจำนำ ( ม. 769 )
2. เมื่อผู้รับจำนำยอมให้ทรัพย์สินที่จำนำกลับคืนไปสู่ความครอบครองของผู้จำนำ
สัญญาตัวแทน
1. การเป็ นตัวแทนโดยชัดแจ้ง
แบบของการตั้งตัวแทน
หน้าที่ของตัวแทนต่อตัวการ
ในระหว่างอายุสัญญา ตัวแทนมีหน้าที่ดังนี้
1. ต้องทำตามที่ได้รับมอบหมาย จะทิ้งหรือเลิกกลางคันไม่ได้
2. ต้องทำตามคำสั่งของตัวการ ถ้าไม่มีคำสั่งก็ต้องดำเนินการตามธรรมเนียมที่เคยทำกันในกิจการที่
เขาให้ทำ ( ม. 807 )
1. ต้องแถลงบัญชี ( ม. 809 )
ความรับผิดของตัวแทนต่อตัวการ
2. ถ้าตัวแทนเข้าทำสัญญากับบุคคลภายนอก โดยเห็นแก่อามิสสินจ้างหรือทรัพย์สินอย่างใด ๆ
สัญญาดังกล่าวไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะยินยอมด้วย ( ม. 825 )
สิทธิของตัวแทนต่อตัวการ
ความระงับแห่งสัญญาตัวแทน
1. ตามความตกลงหรือเงื่อนไขในสัญญา
สัญญานายหน้า
บำเหน็จของนายหน้า
อายุความฟ้ องร้องเรียกค่านายหน้า
ใช้อายุความ 10 ปี ตามบทบัญญัติทั่วไป
ประกันภัย
3. เป็ นสัญญาที่รัฐควบคุม
สัญญาประกันวินาศภัย
สิทธิของผู้เอาประกันภัย
4. สิทธิที่จะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ( ม. 877 )
หน้าที่ของผู้เอาประกันภัย
2. หน้าที่ชำระเบี้ยประกัน
สิทธิของผู้รับประกันภัย
5. สิทธิในซากทรัพย์
หน้าที่ของผู้รับประกันภัย
2. หน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อมีเหตุวินาศภัยเกิดขึ้นตามจำนวนเงินที่ตกลงกันไว้
3.5 กรณีบอกเลิกสัญญาในกรณีกรมธรรม์ผิดแบบ
3.6 ในกรณีที่นายทะเบียนสั่งให้ลดจำนวนเงินที่เอาประกันภัยลง
การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้รับประกันภัย
1. เหตุวินาศภัยนั้นเกิดขึ้น เพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกัน
ภัยหรือผู้รับประโยชน์ ( ม. 879 )
สัญญาประกันชีวิต
สิทธิของผู้เอาประกันชีวิต
1. สิทธิที่จะได้รับเงินจำนวนหนึ่ง
2. สิทธิเรียกร้องจากผู้ที่ก่อมรณภัย ( ม. 896 )
4. สิทธิขอลดเบี้ยประกันชีวิต ( ม. 864 )
หน้าที่ของผู้เอาประกันชีวิต
2. หน้าที่ชำระเบี้ยประกันชีวิต
สิทธิและหน้าที่ของผู้รับประกันชีวิต
1. สิทธิได้รับเบี้ยประกันชีวิตตามที่ตกลงกัน
2. หน้าที่ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันชีวิต
3. หน้าที่ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต
เหตุยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันชีวิต ( ม. 895 )
2. บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา
สิทธิของเจ้าหนี้ผู้เอาประกันภัย
1. ถ้าสัญญาประกันชีวิตไม่ได้ระบุผู้รับประโยชน์ไว้ ให้ถือว่าเงินนี้เป็ นส่วนหนึ่งแห่งกองมรดก ซึ่งเจ้า
หนี้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากกองมรดกนั้น ( ม. 897 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1734 )
สัญญาตั๋วเงิน
แบบของการรับอาวัล
สิทธิไล่เบี้ยของผู้รับอาวัล
เมื่อผู้รับอาวัลใช้เงินตามเช็คแล้ว ผู้รับอาวัลมีสิทธิในอันที่จะไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลซึ่งตนประกันไว้ได้ (
ม. 940 วรรคท้าย ) ในการไล่เบี้ยนี้ ผู้รับอาวัลมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ซึ่งตนค้ำประกันได้เต็มจำนวนตามที่ตนได้
ชำระหนี้แทนไป
หุ้นส่วนและบริษัท
ประเภทของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
การจัดการห้างหุ้นส่วนสามัญ
สิทธิและหน้าที่ระวห่างผู้เป็ นหุ้นส่วนด้วยกัน
ความเกี่ยวพันกับบุคคลภายนอก
การเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ
1.1 ถ้าในสัญญากำหนดกรณีที่จะเลิกกันไว้
3.2 เมื่อกิจการของห้างหุ้นส่วนมีแต่จะขาดทุนและไม่มีหวังที่จะฟื้นตัวได้อีก
3.3 เมื่อมีเหตุอื่นใดที่ทำให้ห้างหุ้นส่วนนั้นเหลือวิสัยที่จะดำรงอยู่ต่อไปได้
การชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญ
2. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
ผลของการจดทะเบียน
การเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลและการชำระหนี้
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลนี้อาจเลิกได้ด้วยเหตุเดียวกันกับการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญที่ได้จด
ทะเบียน คือ อาจเลิกโดยผลของกฎหมาย ( ม. 1055 ) เช่น ห้างหุ้นส่วนล้มละลาย ( ม. 1069 ) เป็ นต้น หรือ
โดยการตกลงของผู้เป็ นหุ้นส่วน หรือโดยคำสั่งศาล
หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด
สิทธิของหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด มีดังนี้
3. มีสิทธิค้าขายแข่งกับห้างได้ ( ม. 1090 )
ข้อจำกัดของหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด มีดังนี้
1. จำนวนลงหุ้นของผู้เป็ นหุ้นส่วนเท่าที่ยังค้างส่งแก่ห้างหุ้นส่วน
2. จำนวนลงหุ้นเท่าที่ผู้เป็ นหุ้นส่วนได้ถอนไปจากสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วน
3. จำนวนเงินปันผลและดอกเบี้ยซึ่งผู้เป็ นหุ้นส่วนได้รับไปแล้วโดยทุจริตและผิดกฎหมาย
บริษัทจำกัด
การจัดตั้งบริษัทจำกัด
4. เมื่อหุ้นที่จะต้องลงเงินนั้นได้มีผู้เข้าชื่อซื้อหมดแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องนัดบรรดาผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นมา
ประชุมกันซึ่งเรียกว่า “ประชุมตั้งบริษัท” ( ม. 1107 ) เพื่อให้มีการตกลงในเรื่องต่างๆ เช่น ข้อบังคับบริษัท ( ม.
1110 )
6. เมื่อมีการชำระค่าหุ้นตามกำหนดแล้ว กรรมการบริษัทต้องไปขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทโดยระบุ
รายการตามที่กฎหมายกำหนด ( ม. 1111 ) การฟ้องเกี่ยวกับหนี้ของบริษัทต้องฟ้องบริษัทโดยตรง ไม่ใช่ฟ้ อง
ผู้ก่อตั้งในฐานะส่วนตัว
การเลิกบริษัทจำกัด
1. การเลิกโดยผลของกฎหมาย ( ม. 1236 )
1.1 ถ้าในข้อบังคับของบริษัทกำหนดกรณีที่จะเลิกกันไว้ เมื่อมีกรณีนั้นเกิดขึ้น
1.2 เมื่อถึงกำหนดที่ตั้งขึ้นไว้
1.5 เมื่อบริษัทล้มละลาย
2. การเลิกโดยคำสั่งศาล ( ม. 1237 )
2.4 เมื่อจำนวนผู้ถือหุ้นลดลงจนเหลือไม่ถึง 7 คน
ครอบครัว
การหมั้น
แบบของการหมั้น
3. ต้องให้ไว้ในเวลาทำสัญญาและหญิงต้องได้รับไว้แล้ว
การรับผิดตามสัญญานั้น
สินสอด
ผลของการหมั้น
1.1 ค่าทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น
2. สิทธิเรียกค่าทดแทนจากชายอื่น ถ้าหากชายอื่นมาล่วงเกินหญิงคู่หมั้น
( 1 ) ชายอื่นร่วมประเวณีกับหญิงคู่นั้น
( 2 ) ชายอื่นนั้นรู้หรือควรรู้ว่าหญิงได้หมั้นกับชายคู่หมั้นแลวและรู้ด้วยว่าชายคู่หมั้น
เป็ นใคร
( 3 ) ชายคู่หมั้นได้บอกเลิกสัญญาหมั้นแล้ว
2.2