Professional Documents
Culture Documents
3418012TM คู่มือครูชีววิทยา ม4ล1 (221221)
3418012TM คู่มือครูชีววิทยา ม4ล1 (221221)
Teacher Script
ชีววิทยา ม. 4
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
ตามผลการเรียนรู เล่ม 1
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางจิตรา สังขเกื้อ นางสาววราภรณ ทวมดี
นางสาวฐนิสา หวั่งประดิษฐ
พิมพครั้งที่ 5
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 3448021
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชีววิทยา
ม.4 เลม 1 จัดทําขึ้นสําหรับใหครูผูสอนใชเปนแนวทางวางแผน
การจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
การประกันคุณภาพผูเรียนตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
เพ
ิ่ม คําแนะนําการใช ชวยสรางความเขาใจ เพื่อใชคูมือครูได เพทโดยเลือก Trim
อยางถูกตองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน โซน 1
ิ่ม คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา
เพ ขัน้ นํา
ธรรมชาติ
กระตุน ความสนใจ
ซึ่งครอบคลุมผลการเรียนรูตามที่หลักสูตรกําหนด 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ และให
1
หน่วยการเรียนรูที่
นั ก เรี ย นทํ า แบบทดสอบก อ นเรี ย น เพื่ อ วั ด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม
2. ครูกระตุน ความสนใจของนักเรียนเกีย่ วกับเรือ่ ง
ที่จะเรียน โดยใหนักเรียนดูสื่อดิจิทัลเกี่ยวกับ
ของสิง่ มีชวี ติ
ิ่ม Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ
เพ
สิ่งมีชีวิตจากอินเทอรเน็ต หรือ PowerPoint ผลการเรียนรู สิ่ ง มี ชี วิ ต แต่ ล ะชนิ ด มี ลั ก ษณะเฉพาะแตกต่ า งกั น
บางชนิด
3. ครู ตั้ ง คํ า ถามกระตุ น ความสนใจ โดยให 1. อธิบายและสรุปสมบัติที่ส�าคัญของ มีขนาดเล็กมาก แต่บางชนิดอาจมีขนาดใหญ่มาก บางชนิด
สิง่ มีชวี ติ ความสัมพันธ์ของการจัด สามารถสร้างอาหารได้เอง แต่บางชนิดไม่สามารถสร้างอาหาร
นั ก เรี ย นช ว ยกั น ระดมความคิ ด ในการตอบ
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี คํ า ถาม ซึ่ ง อาจใช คํ า ถามจากหนั ง สื อ เรี ย น
ระบบในสิ่งมีชีวิตที่ท�าให้สิ่งมีชีวิต
ด�ารงชีวิตอยู่ได้
2. อธิบายและบอกความส�าคัญของ
ได้เอง จึงต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร แล้วนักเรียนทราบ
หรือไม่ว่า สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่กล่าวถึงนั้นมีลักษณะส�าคัญอย่างไร
ชีววิทยา ม.4 เลม 1 หรือคําถามอื่นๆ การระบุ ป ั ญ หา ความสั ม พั น ธ์
ประสิทธิภาพ ระหว่างปัญหา สมมติฐาน และวิธี
การตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้ง
ออกแบบการทดลองเพือ่ ตรวจสอบ
สมมติฐานได้
โซน 1
โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2. ใหแตละกลุม สรุปความรูท ศี่ กึ ษาในรูปแบบของ
ประกอบด ว ยแนวทางสํ า หรั บ การจั ด กิ จ กรรมและ
1.3 สิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโต มีอายุขัย และมีขนาดจ�ากัด
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตจะมีการขยายขนาด เพิ่มจ�านวน มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไปท�าหน้าที่
เฉพาะอย่าง หรืออาจรวมกลุ่มเป็นเนื้อเยื่อ ซึ่งจะพัฒนาต่อไปเป็นอวัยวะและระบบอวัยวะต่าง ๆ
ผังมโนทัศน แลวรวมกันตั้งคําถามกลุมละ 1
คําถามเกี่ยวกับเรื่องที่กลุมตนเองศึกษา
เสนอแนะแนวขอสอบ เพือ่ อํานวยความสะดวกใหแกครูผสู อน
ของร่างกาย สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้นับเป็นการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต โดยการเจริญเติบโตของ 3. ให แ ต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอผั ง
สิ่งมีชีวิตบางชนิดนั้น จะเริ่มต้นจากการมีตัวอ่อนขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนพ่อแม่ และมีการ มโนทัศนของกลุม ตนเองและถามคําถามเพือ่ น
เจริญเติบโตโดยขยายขนาดขึน้ เป็นตัวเต็มวัย แต่สงิ่ มีชวี ติ บางชนิดจะมีตวั อ่อนที1 ม่ ลี กั ษณะแตกต่าง
จากพ่อแม่ และต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในขณะเจริญเติบโต (metamorphosis)
คนอื่นๆ ในชั้นเรียน
4. ใหนักเรียนแตละคนสรุปความรูที่ไดจากการ กิจกรรม 21st Century Skills
จนกระทัง่ เป็นตัวเต็มวัยจึงจะมีลกั ษณะเหมือนกับพ่อแม่ เช่น ยุง แมลงวัน ผีเสือ้ กบ เขียด เป็นต้น ศึกษาและจากการนําเสนอของเพือ่ นลงในสมุด
เมือ่ สิง่ มีชวี ติ เกิดขึน้ มาแล้ว จะมีการเจริญเติบโตจนเป็นตัวเต็มวัยทีพ่ ร้อมจะสืบพันธุเ์ พือ่ การ
ด�ารงเผ่าพันธุ์ และต่อมาเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ร่างกายของสิ่งมีชีวิตจะเสื่อมสลายและตายไป
บันทึก โดยใชความคิดสรางสรรคออกแบบให
มีความนาสนใจ
กิ จ กรรมที่ ใ ห นั ก เรี ย นได ป ระยุ ก ต ใ ช ความรู ส ร า งชิ้ น งาน
โดยช่วงเวลาตั้งแต่ที่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาจนตายไปนั้น เรียกว่า อำยุขัย (life span) ซึ่งสิ่งมีชีวิต
แต่ละชนิดจะมีอายุขัยแตกต่างกัน หรื อ ทํ า กิ จ กรรมรวบยอดเพื่ อ ให เ กิ ด ทั ก ษะที่ จํ า เป น ใน
กระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปรางของกบ ศตวรรษที่ 21
หางหดสั้น โตเต็มวัย
ขอสอบเนนการคิด
หางจะหดสัน้ แล้วกบจะขึน้ มาอาศัย กบโตเต็มวัยพร้อมที่จะสืบพันธุ์
อยู่บนบก ซึ่งหายใจด้วยปอด
ขาหนางอก ผสมพันธุ
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอม
ขาหน้าจะงอกออกมา
จนมีขาครบ 4 ขา
ฤดูฝนเป็นฤดู
ผสมพันธุ์ของกบ เฉลยอยางละเอียด
ขาหลังงอก
ขาหลังจะงอกออกมาก่อน
และหางค่อย ๆ หดสั้นลง ไข่
ลูกออด
ลักษณะคล้ายลูกปลา หัวโต
หางยาว หายใจด้วยเหงือก
ลักษณะกลม สีน�้าตาลอมเขียว
และมีเมือกหุ้มอยู่ ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET
ภาพที่ 1.5
ธรรมชาติ 5
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิดวิเคราะห และสอดคลองกับ
ของสิ่งมีชีวิต
T7 กิจกรรมสรางเสริม
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่
ควรไดรับการพัฒนาการเรียนรู
ผลการเรียนรู้
1. อธิบายและสรุปสมบัติที่สำ� คัญของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมีชีวิตที่ท�ำให้สิ่งมีชีวิตด�ำรงชีวิตอยู่ได้
2. อภิปรายและบอกความส�ำคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน และวิธีการตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้ง
ออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน
3. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับสมบัติของน�ำ้ และบอกความส�ำคัญของน�้ำที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และยกตัวอย่างธาตุต่าง ๆ ที่มีความส�ำคัญต่อ
ร่างกายสิ่งมีชีวิต
4. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งความส�ำคัญของคาร์โบไฮเดรตที่มีต่อสิ่งมีชีวิต
5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของโปรตีน และความส�ำคัญของโปรตีนที่มีต่อสิ่งมีชีวิต
6. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของลิพิด และความส�ำคัญของลิพิดที่มีต่อสิ่งมีชีวิต
7. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลีอิก และระบุชนิดของกรดนิวคลีอิก และความส�ำคัญของกรดนิวคลีอิกที่มีต่อสิ่งมีชีวิต
8. สืบค้นข้อมูลและอธิบายปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต
9. อธิบายการท�ำงานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต และระบุปัจจัยที่มีผลต่อการท�ำงานของเอนไซม์
10. บอกวิธกี ารและเตรียมตัวอย่างสิง่ มีชวี ติ เพือ่ ศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง วัดขนาดโดยประมาณและวาดภาพทีป่ รากฏภายใต้กล้อง
บอกวิธีการใช้ และการดูแลรักษากล้องจุลทรรศน์ใช้แสงที่ถูกต้อง
11. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
12. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และระบุชนิดและหน้าที่ของออร์แกเนลล์
13. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของนิวเคลียส
14. อธิบายและเปรียบเทียบการแพร่ ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอกทีฟทรานสปอร์ต
15. สบื ค้นข้อมูล อธิบายและเขียนแผนภาพการล�ำเลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ดว้ ยกระบวนการเอกโซไซโทซิส และการล�ำเลียงสาร
โมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วยกระบวนการเอนโดไซโทซิส
16. สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซิสจากตัวอย่างภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พร้อมทั้งอธิบายและเปรียบเทียบการแบ่ง
นิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซิส
17. อธิบาย เปรียบเทียบ และสรุปขั้นตอนการหายใจระดับเซลล์ในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ และภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ
รวม 17 ผลการเรียนรู้
Pedagogy
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 รวมถึงสือ่ การเรียนรูร ายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ชีววิทยา ชั้น ม.4 ผูจัดทําไดออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเปนวิธีการจัดการเรียนรูและ
เทคนิคการสอนที่เปยมดวยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายใหกับผูเรียน เพื่อใหผูเรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตาม
ผลการเรียนรู รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงคของผูเ รียนทีห่ ลักสูตรกําหนดไว โดยครูสามารถนําไปใชจดั การ
เรียนรูในชั้นเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ไดนํารูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional
Model) มาใชในการออกแบบการสอน ดังนี้
ดวยจุดประสงคของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร เพื่อชวย
ุนความสนใจ
ใหผูเรียนไดพัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค กระต
คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการคนควาหาความรู และมี Eennggagement
1
สาํ xploration
eEvvaluatio ล
ความสามารถในการแกปญหาอยางเปนระบบ ผูจัดทําจึงไดเลือกใช
รวจ
ผ
eE
ตรวจสอบ
n
และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรูที่มุงหมายใหผูเรียนไดมีโอกาสสราง
องคความรูด ว ยตนเองผานกระบวนการคิดและการลงมือทํา โดยใช
5Es
กระบวนการทางวิทยาศาสตรเปนเครือ่ งมือสําคัญเพือ่ พัฒนาทักษะ
bo 4 3
n
El a
tio
กระบวนการทางวิทยาศาสตร และทักษะการเรียนรูแ หงศตวรรษที่ 21 a
rat lan
ขย
รู
คว ion Exp
าม
คว
าย
ามเ าย
ขาใจ อ ธิบ
ผูจ ดั ทําเลือกใชวธิ สี อนทีห่ ลากหลาย เชน การทดลอง การสาธิต การอภิปรายกลุม ยอย เปนตน เพือ่ สงเสริมการเรียนรู
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) ใหเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเนนใชวิธีสอน
โดยใชการทดลองมากเปนพิเศษ เนื่องจากเปนวิธีสอนที่มุงพัฒนาใหผูเรียนเกิดองคความรูจากประสบการณตรงโดย
การคิดและการลงมือทําดวยตนเอง อันจะชวยใหผูเรียนมีความรูและเกิดทักษะทางวิทยาศาสตรที่คงทน
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หนวยการเรียนรูที่ 1 ธรรมชำติของสิ่งมีชีวิต T2 T3 T4
• ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต T5 - T14
• ชีววิทยาคืออะไร T15
• ชีววิทยากับการดํารงชีวิต T16
• ชีวจริยธรรม T17 - T18
• การศึกษาชีววิทยา T19 - T26
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 T27 - T29
บรรณำนุกรม T153
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายสมบัติที่ส�ำคัญ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ธรรมชาติ ม.4 เล่ม 1 ของสิ่งมีชีวิตได้ (K) ความรู้ (5Es ก่อนเรียน - ท กั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
ของสิ่งมีชีวิต - แบบฝึกหัด ชีววิทยา 2. อธิบายความสัมพันธ์ Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด ค้นหา - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 1 ของการจัดระบบใน Model) - ประเมินการปฏิบัติการ - ทกั ษะการตัง้ การท�ำงาน
2 - PowerPoint ประกอบ สิ่งมีชีวิตที่ท�ำให้ - ตรวจใบงาน เรื่อง ค�ำถาม
การสอน สิ่งมีชีวิตด�ำรงชีวิต การตอบสนองต่อสิ่งเร้า - ทกั ษะการตัง้
ชั่วโมง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น อยู่ได้ (K) ของสิ่งมีชีวิต สมมติฐาน
TWIG 3. ทดลองเกี่ยวกับการ - สังเกตพฤติกรรม - ทกั ษะการตรวจ
รักษาดุลยภาพของ การทำ�งานรายบุคคล สอบสมมติฐาน
ร่างกายสิ่งมีชีวิตได้ (P) - สังเกตพฤติกรรมการ
4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา ทำ�งานกลุ่ม
(A) - สังเกตพฤติกรรม
การนำ�เสนอ
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 2 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายเกี่ยวกับแขนง แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ชีววิทยาคืออะไร ม.4 เล่ม 1 วิชาต่าง ๆ ของชีววิทยา ความรู้ (5Es - ต รวจใบงาน เรื่อง - ท กั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
ชีววิทยากับการ - แบบฝึกหัดชีววิทยา และสาขาอื่น ๆ ที่ Instructional ชีวจริยธรรม ค้นหา - มุ่งมั่นใน
ด�ำรงชีวิต ม.4 เล่ม 1 เกีย่ วข้องได้ (K) Model) - สังเกตพฤติกรรม - ทกั ษะการลงความ การท�ำงาน
และชีวจริยธรรม - PowerPoint ประกอบ 2. อธิบายเกี่ยวกับ การทำ�งานรายบุคคล เห็นจากข้อมูล
การสอน ชีวจริยธรรมและ - สังเกตพฤติกรรม
2 - ภาพยนตร์สารคดีสั้น จรรยาบรรณการใช้ การทำ�งานกลุ่ม
ชั่วโมง TWIG สัตว์ทดลองได้ (K) - สังเกตความมีวินัย
3. ออกแบบการทดลอง ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
เพือ่ ตรวจสอบสมมติฐาน ในการทำ�งาน
ได้ (P)
4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา
และมีความรับผิดชอบ
(A)
แผนฯ ที่ 3 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายความส�ำคัญ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การศึกษา ม.4 เล่ม 1 ของการระบุปัญหา ความรู้ (5Es หลังเรียน - ทกั ษะการตัง้ ค�ำถาม - ใฝ่เรียนรู้
ชีววิทยา - แบบฝึกหัดชีววิทยา ความสัมพันธ์ระหว่าง Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการตัง้ - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 1 ปัญหา สมมติฐาน Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง สมมติฐาน การท�ำงาน
4 - PowerPoint ประกอบ และวิธีการตรวจสอบ การศึกษาชีววิทยา - ทกั ษะการตรวจ
ชั่วโมง การสอน สมมติฐานได้ (K) - ประเมินการปฏิบัติการ สอบสมมติฐาน
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 2. ออกแบบและด�ำเนินการ - สังเกตพฤติกรรม - ทกั ษะการส�ำรวจ
TWIG ทดลองตามวิธีการทาง การทำ�งานรายบุคคล ค้นหา
วิทยาศาสตร์ได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม - ทกั ษะการตีความ
3. ตระหนักถึงความส�ำคัญ การทำ�งานกลุ่ม หมายข้อมูลและ
ของพื้นฐานการศึกษา - สังเกตความมีวินัย ลงข้อสรุป
ในงานวิทยาศาสตร์ (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
T2
Chapter Concept Overview
หนวยการเรียนรูที่ 1
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
มีการสืบพันธุ ตองการสารอาหารและพลังงาน มีการเจริญเติบโต มีอายุขัย และขนาดจํากัด
เพื่อเพิ่มจ�านวนประชากร สารอาหารและพลังงานถ่ายทอด เมื่อสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นจะมีการเจริญเติบโต
และด�ารงเผ่าพันธุ์ โดยการกินต่อกันเปนทอด ๆ ในรูป และร่างกายจะค่อย ๆ เสื่อมสลายไป
โซ่อาหารและสายใยอาหาร
เพศผู้
เพศเมีย
ชีวจริยธรรม
จรรยาบรรณการใชสัตว
เพื่องานทางวิทยาศาสตร
1 ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์
2 ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงความแม่นย�าของผลงาน โดยใช้สัตว์จ�านวนน้อยที่สุด
3 การใช้สัตว์ป่าต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายการอนุรักษ์สัตว์ป่า
4 ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักว่าสัตว์เปนสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์
5 ผูใ้ ช้สตั ว์ตอ้ งบันทึกข้อมูลการปฏิบตั ติ อ่ สัตว์ไว้เปนหลักฐานอย่างครบถ้วน
การศึกษาชีววิทยา
อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method)
การกําหนดปญหา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน
เกิดจากการพบเห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วเกิด การคาดคะเนค�าตอบของปัญหาที่อาจ อาจใช้การสังเกตและรวบรวม
ความสงสัย โดยใช้ทักษะการสังเกต เปนไปได้จริง ซึ่งยึดปัญหาเปนหลัก ข้อเท็จจริง แล้วน�ามาแปลความหมาย
ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยใช้ ค�าว่า ถ้า ............. ดังนั้น .............. อภิปรายและสรุป หรือใช้การทดลอง
การสรุปผล การเก็บรวมรวมขอมูลและวิเคราะหขอมูล
การแปลความหมายของข้อมูลที่ได้จากการศึกษาและลงข้อสรุป การน�าข้อมูลที่ได้จากการสังเกต ค้นคว้าทดลอง มาวิเคราะห์
ภายในขอบเขตของผลการศึกษาว่า สมมติฐานข้อใดถูกต้อง เปรียบเทียบกับสมมติฐานทีต่ งั้ ไว้วา่ สอดคล้องกับสมมติฐานหรือไม่
T3
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
ธรรมชาติ
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ และให
1
หน่วยการเรียนรูที่
นั ก เรี ย นทํ า แบบทดสอบก อ นเรี ย น เพื่ อ วั ด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม
2. ครูกระตุน ความสนใจของนักเรียนเกีย่ วกับเรือ่ ง
ที่จะเรียน โดยใหนักเรียนดูสื่อดิจิทัลเกี่ยวกับ
ของสิง่ มีชวี ติ
สิ่งมีชีวิตจากอินเทอรเน็ต หรือ PowerPoint ผลการเรียนรู สิ่ ง มี ชี วิ ต แต่ ล ะชนิ ด มี ลั ก ษณะเฉพาะแตกต่ า งกั น
บางชนิด
3. ครู ตั้ ง คํ า ถามกระตุ น ความสนใจ โดยให 1. อธิบายและสรุปสมบัติที่ส�าคัญของ มีขนาดเล็กมาก แต่บางชนิดอาจมีขนาดใหญ่มาก บางชนิด
สิง่ มีชวี ติ ความสัมพันธ์ของการจัด สามารถสร้างอาหารได้เอง แต่บางชนิดไม่สามารถสร้างอาหาร
นั ก เรี ย นช ว ยกั น ระดมความคิ ด ในการตอบ ระบบในสิ่งมีชีวิตที่ท�าให้สิ่งมีชีวิต
ด�ารงชีวิตอยู่ได้ ได้เอง จึงต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร แล้วนักเรียนทราบ
คํ า ถาม ซึ่ ง อาจใช คํ า ถามจากหนั ง สื อ เรี ย น 2. อธิบายและบอกความส�าคัญของ หรือไม่ว่า สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่กล่าวถึงนั้นมีลักษณะส�าคัญอย่างไร
ชีววิทยา ม.4 เลม 1 หรือคําถามอื่นๆ การระบุ ป ั ญ หา ความสั ม พั น ธ์
ระหว่างปัญหา สมมติฐาน และวิธี
การตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้ง
ออกแบบการทดลองเพือ่ ตรวจสอบ
สมมติฐานได้
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรื่อง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต มีเนื้อหาสําคัญเกี่ยวกับ
การศึกษาชีววิทยาโดยใชวิธีการทางวิทยาศาสตร ซึ่งถือเปนพื้นฐานสําคัญ
ในการศึกษาดานวิทยาศาสตรทกุ แขนง ดังนัน้ ครูควรใหนกั เรียนไดฝก ปฏิบตั ติ าม
ขั้นตอนวิธีการทางวิทยาศาสตรจนเกิดเปนนิสัยติดตัวนักเรียนตอไป
สื่อ Digital
ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง สิ่งมีชีวิต
https://twig-aksorn.com/fifilm/glossary/organism-6681/
T4
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
สิง่ มีชวี ติ ตางจากสิง่ ไมมชี วี ติ 1. ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต 4. ให นั ก เรี ย นร ว มกั น แสดงความคิ ด เห็ น จาก
อยางไร คําถามขางตน จากนั้นครูอาจนําอภิปรายวา
สิ่งต่าง ๆ ที่เราพบเห็นอยู่ทั่วไปนั้น จะมีทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิต
และเป็นสิ่งไม่มีชีวิต โดยสิ่งมีชีวิตบางชนิดมีขนาดเล็กมาก สิ่งมีชีวิตบางชนิดมีลักษณะคลายกับสิ่งไมมี
บางชนิดมีขนาดใหญ่ หรือสิ่งมีชีวิตบางชนิดมีลักษณะคล้ายกับว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ซึ่งด้วยความรู้ ชีวิต จากนั้นใหนักเรียนยกตัวอยางสิ่งมีชีวิต
ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน จึงมีเกณฑ์ที่ใช้ในการจ�าแนกสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ ที่มีลักษณะดังกลาว โดยครูอาจยกตัวอยาง
โดยพิจารณาจากลักษณะต่อไปนี้ พืชชนิดหนึ่งในกลุมของพืชอวบนํ้า ที่ชื่อวา
ไลทอป (lithops) ซึ่งมีลักษณะคลายกอนหิน
1.1 สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ (ครู อ าจหารู ป จากอิ น เทอร เ น็ ต มาประกอบ
สิง่ มีชวี ติ ทุกชนิดล้วนมีการสืบพันธุเ์ พือ่ เพิม่ จ�านวนประชากรและด�ารงรักษาเผ่าพันธุใ์ ห้คงอยู่ การอธิบาย)
โดยสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีการสืบพันธุ์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งสามารถจ�าแนกได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. กำรสืบพันธุแบบไมอำศัยเพศ (asexual
reproduction) เป็นการสืบพันธุ์โดยไม่ต้องอาศัยเซลล์สืบพันธุ์
ซึ่ ง ได้ สิ่ ง มี ชี วิ ต ตั ว ใหม่ ที่ มี ลั ก ษณะเหมื อ นกั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต เดิ ม
ทุกประการ พบได้ทงั้ ในสิง่ มีชวี ติ ทีไ่ ม่เป็นเซลล์ สิง่ มีชวี ติ เซลล์เดียว
และสิง่ มีชวี ติ หลายเซลล์ เช่น การแตกหน่อ (budding) การสร้าง
สปอร์ (sporulation) การงอกใหม่ (regeneration) การแบ่งสองส่วน
(binary fission) การหลุดเป็นส่วน (fragmentation) พาร์ธโี นเจเนซิส
ภาพที่ 1.1 การแบ่งสองส่วน
(parthenogenesis) เป็นต้น (binary fission) ของพารามีเซียม
T5
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนกั เรียนแบงกลุม ออกเปน 7 กลุม เพือ่ ศึกษา 1.2 สิ่งมีชีวิตตองการสารอาหารและพลังงาน
เกี่ยวกับลักษณะของสิ่งมีชีวิตในหนังสือเรียน การด�ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการอยู่รอด เช่น การ
ชีววิทยา ม.4 เลม 1 หรือจากอินเทอรเน็ต โดย เคลื่อนไหวเพื่อล่าเหยื่อ การงอกของเมล็ดพืช เป็นต้น ซึ่งทุก ๆ กิจกรรมล้วนต้องใช้
แบงหนาที่ความรับผิดชอบ ดังนี้ พลังงานทั้งสิ้น นักเรียนทราบหรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตได้รับพลังงานมาจากแหล่งใด
กลุมที่ 1 ศึกษาหัวขอ สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งก�าเนิดพลังงานที่ส�าคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งพืช
กลุมที่ 2 ศึ ก ษาหั ว ข อ สิ่ ง มี ชี วิ ต ต อ งการ สาหร่ายบางชนิด และแบคทีเรียบางชนิดสามารถน�าพลังงานแสงมาใช้ใน
สารอาหารและพลังงาน กระบวนการสั ง เคราะห์ ด ้ ว ยแสง ท� า ให้ ไ ด้
กลุมที่ 3 ศึ ก ษาหั ว ข อ สิ่ ง มี ชี วิ ต มี ก ารเจริ ญ สารอินทรียท์ มี่ สี ารอาหารและพลังงานอยู่ และ
เติบโต มีอายุขัย และมีขนาดจํากัด สามารถน�ามาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ได้ ซึง่ สัตว์
กลุมที่ 4 ศึกษาหัวขอ สิง่ มีชวี ติ มีการตอบสนอง อืน่ ๆ รวมทัง้ มนุษย์จะได้รบั การถ่ายทอดสารอาหาร
ตอสิ่งเรา และพลังงานนั้น โดยการกินต่อกันเป็นทอด ๆ ในรูปของ
กลุมที่ 5 ศึ ก ษาหั ว ข อ สิ่ ง มี ชี วิ ต มี ก ารรั ก ษา โซ่อาหารและสายใยอาหาร
ดุลยภาพของรางกาย สารอาหารที่สิ่งมีชีวิตได้รับจะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้
มีการเจริญเติบโต และซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่สึกหรอ รวมถึง
กลุมที่ 6 ศึกษาหัวขอ สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัว ภาพที่ 1.3 นกต้องใช้พลังงานใน
ใช้เป็นสารตั้งต้นของการเกิดปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์สิ่งมีชีวิต การเคลื่อนไหวเพื่อล่าปลา
ทางวิวัฒนาการ
ที่เรียกว่า กระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism) ซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
กลุมที่ 7 ศึกษาหัวขอ สิ่งมีชีวิตมีการจัดระบบ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กระบวนการ
สร้างสารอินทรีย์โมเลกุลใหญ่จากสารโมเลกุลเล็กโดยใช้พลังงานจากเซลล์ เรียกว่า แอแนบอลิซึม
(anabolism) และกระบวนการสลายสารโมเลกุลใหญ่ให้เป็นสารโมเลกุลเล็ก เรียกว่า แคแทบอลิซมึ
(catabolism)
B iology
Focus กฎการอนุรักษพลังงาน
ตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน (law of conservation of energy)
กล่าวว่า พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่และไม่สามารถ
สูญหายไป แต่สามารถเปลี่ยนรูปจากพลังงานหนึ่งไปเป็น
อี ก พลั ง งานหนึ่ ง เช่ น พลั ง งานแสงเปลี่ ย นเป็ น
พลังงานเคมี พลังงานเคมีในสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนเป็น
พลังงานกล พลังงานศักย์เปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์
เป็นต้น
ภาพที่ 1.4
ขอสอบเนน การคิด
ขอความใดไมสนับสนุนคํากลาวที่วา สิ่งมีชีวิตตองการสารอาหารและพลังงาน
1. สัตวที่กินพืชเปนอาหารจะเจริญเติบโตชากวาสัตวที่กินเนื้อสัตวเปนอาหาร
2. มนุษยควรไดรับสารอาหารที่หลากหลายเพื่อชวยใหรางกายมีความแข็งแรง
3. แอมไปตางจังหวัดหลายวันจึงไมไดใหอาหารปลาที่เลี้ยงไว จนทําใหปลาตาย
4. ตนไมที่เจริญเติบโตในบริเวณที่มีแสงแดดไมเพียงพอ จะมีลักษณะแคระแกร็น
5. ปอมจะรูสึกหิวเมื่อใกลถึงเวลาเที่ยง ซึ่งหากไมไดรับประทานอาหารจะรูสึกไมคอยมีแรง
(วิเคราะหคําตอบ สิ่งมีชีวิตตองการสารอาหารและพลังงาน โดยสิ่งมีชีวิตแตละชนิดตองการ
สารอาหารแตกตางกัน พืชสรางอาหารไดเองจากกระบวนการสังเคราะหดวยแสง สวนสัตวตองกิน
สิ่งมีชีวิตอื่นเปนอาหาร โดยบางชนิดกินพืช บางชนิดกินสัตว บางชนิดกินทั้งพืชและสัตว ซึ่งหากขาด
อาหารเปนเวลานานจะทําใหสิ่งมีชีวิตตายได ดังนั้น ตอบขอ 1.)
T6
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1.3 สิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโต มีอายุขัย และมีขนาดจ�ากัด 2. ใหแตละกลุม สรุปความรูท ศี่ กึ ษาในรูปแบบของ
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตจะมีการขยายขนาด เพิ่มจ�านวน มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไปท�าหน้าที่ ผังมโนทัศน แลวรวมกันตั้งคําถามกลุมละ 1
เฉพาะอย่าง หรืออาจรวมกลุ่มเป็นเนื้อเยื่อ ซึ่งจะพัฒนาต่อไปเป็นอวัยวะและระบบอวัยวะต่าง ๆ คําถามเกี่ยวกับเรื่องที่กลุมตนเองศึกษา
ของร่างกาย สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้นับเป็นการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต โดยการเจริญเติบโตของ 3. ให แ ต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า เสนอผั ง
สิ่งมีชีวิตบางชนิดนั้น จะเริ่มต้นจากการมีตัวอ่อนขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนพ่อแม่ และมีการ มโนทัศนของกลุม ตนเองและถามคําถามเพือ่ น
เจริญเติบโตโดยขยายขนาดขึน้ เป็นตัวเต็มวัย แต่สงิ่ มีชวี ติ บางชนิดจะมีตวั อ่อนที1 ม่ ลี กั ษณะแตกต่าง คนอื่นๆ ในชั้นเรียน
จากพ่อแม่ และต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในขณะเจริญเติบโต (metamorphosis) 4. ใหนักเรียนแตละคนสรุปความรูที่ไดจากการ
จนกระทัง่ เป็นตัวเต็มวัยจึงจะมีลกั ษณะเหมือนกับพ่อแม่ เช่น ยุง แมลงวัน ผีเสือ้ กบ เขียด เป็นต้น ศึกษาและจากการนําเสนอของเพือ่ นลงในสมุด
เมือ่ สิง่ มีชวี ติ เกิดขึน้ มาแล้ว จะมีการเจริญเติบโตจนเป็นตัวเต็มวัยทีพ่ ร้อมจะสืบพันธุเ์ พือ่ การ บันทึก โดยใชความคิดสรางสรรคออกแบบให
ด�ารงเผ่าพันธุ์ และต่อมาเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ร่างกายของสิ่งมีชีวิตจะเสื่อมสลายและตายไป มีความนาสนใจ
โดยช่วงเวลาตั้งแต่ที่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาจนตายไปนั้น เรียกว่า อำยุขัย (life span) ซึ่งสิ่งมีชีวิต
แต่ละชนิดจะมีอายุขัยแตกต่างกัน
กระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปรางของกบ
หางหดสั้น โตเต็มวัย
หางจะหดสัน้ แล้วกบจะขึน้ มาอาศัย กบโตเต็มวัยพร้อมที่จะสืบพันธุ์
อยู่บนบก ซึ่งหายใจด้วยปอด
ขาหนางอก ผสมพันธุ
ขาหน้าจะงอกออกมา ฤดูฝนเป็นฤดู
จนมีขาครบ 4 ขา ผสมพันธุ์ของกบ
ขาหลังงอก
ขาหลังจะงอกออกมาก่อน
และหางค่อย ๆ หดสั้นลง ไข่
ลูกออด
ลักษณะกลม สีน�้าตาลอมเขียว
ลักษณะคล้ายลูกปลา หัวโต และมีเมือกหุ้มอยู่
หางยาว หายใจด้วยเหงือก
ภาพที่ 1.5
ธรรมชาติ 5
ของสิ่งมีชีวิต
T7
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
5. ครูแจงจุดประสงคของการทํากิจกรรม เรื่อง อายุขัยของสิ่งมีชีวิต
อุณหภูมิกับการรักษาดุลยภาพของปลา ใน
หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 หนู 3 ป อายุขัย (สูงสุด)
ค้างคาว13 ป ของสัตวบางชนิด
6. ครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค
LT มาจัดกระบวนการเรียนรู โดยกําหนดให สุนัข 20 ป
สมาชิกแตละคนภายในกลุม (กลุมเดิมจาก แมว 27 ป
การศึกษาขอมูลขางตน) มีบทบาทหนาที่ของ คางคก 36 ป
ตนเอง ดังนี้ ลิงกอริลลา 39 ป
สมาชิกคนที่ 1 : ทํ า ห น า ที่ เ ต รี ย ม วั ส ดุ เหยี่ยว 46 ป
อุปกรณ
จระเข้ปากยาว (อัลลิเกเตอร์) 52 ป
สมาชิกคนที่ 2 : ทํ า หน า ที่ อ า นวิ ธี ก าร
ทํากิจกรรม และนํามาอธิบายใหสมาชิกภายใน ช้างอินเดีย 70 ป
กลุมฟง มนุษย์ 120 ป
สมาชิกคนที่ 3 : ทํ า หน า ที่ บั น ทึ ก ผลการ ภาพที่ 1.6
ทดลอง อายุขัยของพืช
สมาชิกคนที่ 4 : ทําหนาที่นําเสนอผลการ พืชที่มีชวงอายุสั้น (ephemeral plant)
ทดลอง เป็นพืชที่มีวงชีวิตสั้น เจริญเติบโตและขยายพันธุ์
ในช่วงเวลาทีส่ งิ่ แวดล้อมเหมาะสมซึง่ มีอย่างจ�ากัด
เช่น ถั่วเขียว ดาวเรือง พืชทะเลทรายบางชนิด
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ขนาดของสิ่งมีชีวิต 7. ครูนาํ อภิปรายกอนการทํากิจกรรมวา นักเรียน
ได ท ราบแล ว ว า ป จ จั ย ทางกายภาพ เช น
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้น เมื่ออยู่ในระยะตัวเต็มวัยจะมีขนาดแตกต่างกัน บางชนิดมีขนาดเล็กมาก อุณหภูมิมีผลตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เป็นต้น บางชนิดมีขนาดใหญ่มาก เช่น ถาอุณหภูมขิ องนํา้ เปลีย่ นไปจะมีผลตอสิง่ มีชวี ติ
ช้าง วาฬ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีขนาดที่จ�ากัด ที่อาศัยอยูในนํ้า เชน ปลา อยางไร
พืชแต่ละชนิดก็มีขนาดจ�ากัดเช่นเดียวกัน โดยสังเกตได้จากความสูงของยอด และขนาดล�าต้น 8. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ทํ า กิ จ กรรม เรื่ อ ง
ซึ่งนักชีววิทยาได้จัดแบ่งกลุ่มพืชตามความสูงออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
อุ ณ หภู มิ กั บ การรั ก ษาดุ ล ยภาพของปลาใน
หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 ตามขั้นตอน
1. ไม้ยืนต้น (tree) จะมีความสูง
ที่กําหนดไว
มากกว่า 300 เซนติเมตรขึ้นไป
เช่น มะพร้าว มะม่วง ทุเรียน
สัก เป็นต้น
ภาพที่ 1.8
ธรรมชาติ 7
ของสิ่งมีชีวิต
T9
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลการทํ า 1.4 สิ่งมีชีวิตมีการตอบสนองตอสิ่งเรา
กิ จ กรรม โดยครู ตั้ ง คํ า ถามเพื่ อ ให นั ก เรี ย น สิ่งเร้ำ (stimulus พหูพจน์ stimuli) คือ เหตุการณ์ ปัจจัย หรือสิ่งต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมที่มี
แตละกลุมรวมกันแสดงความคิดเห็นวา ผลกระตุ้นให้สิ่งมีชีวิตมีปฏิกิริยาตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมออกมา (response)
ï• อัตราการขยับแผนปดเหงือกของปลากอน
และหลังการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของนํ้า ประเภทของสิง่ เรา
T10
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1.5 สิ่งมีชีวิตมีการรักษาดุลยภาพของรางกาย 2. หลังจากอภิปรายผลการทํากิจกรรม ครูทบทวน
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีกลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต เชน
ภายในร่างกายให้อยู่ในสภาพสมดุล ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว - การรักษาดุลยภาพในเซลลของพารามีเซียม
เช่น อะมีบา หรือพารามีเซียมที่อาศัยอยู่ในแหล่งน�้าจืด น�้าจาก โดยมีคอนแทรกไทลแวคิวโอวทําหนาทีร่ กั ษา
ภายนอกเซลล์จะออสโมซิสเข้าสูเ่ ซลล์ตลอดเวลา ซึง่ หากน�า้ เข้าสู่ คอนแทร็ก
ไทล์แวคิวโอล
ดุลยภาพของนํ้า
เซลล์มากเกินไปอาจท�าให้เซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้นจนเซลล์แตกได้ - การรักษาสมดุลของอุณหภูมใิ นรางกายสัตว
ดังนั้น จึงมีโครงสร้างลักษณะเป็นถุง เรียกว่า คอนแทร็กไทล์ และมนุษย
แวคิวโอล (contractile vacuole) ซึง่ ท�าหน้าทีร่ กั ษาสมดุลของน�า้ ภาพที่ 1.11 พารามี เ ซี ย มจะมี - การรักษาสมดุลของกรด-เบสในเลือดของ
และสารละลายต่าง ๆ ภายในเซลล์ โดยการบีบตัวเพือ่ ขับน�า้ ส่วน คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล ท�าหน้าที่
รักษาสมดุลของน�้าและสารละลาย มนุษย
ที่เกินความต้องการและของเสียออกจากเซลล์ ภายในเซลล์ โดยอาจตั้งคําถามเชื่อมโยงเขาสูเรื่องดังกลาว
ปลานํ้าจืด ปลานํ้าเค็ม ดังนี้
มีโครงสร้างที่ช่วยรักษาสมดุลของน�้าภายในร่างกาย มีโครงสร้างทีช่ ว่ ยรักษาสมดุลของน�า้ ภายในร่างกาย โดย • เมื่ อ อยู ใ นสภาพแวดล อ มที่ มี อุ ณ หภู มิ ตํ่ า
โดยมีเกล็ดปองกันการออสโมซิสของน�้าเข้าสู่ร่างกาย มีเกล็ดเพื่อปองกันการสูญเสียน�้าจากภายในร่างกาย มี เหตุใดรางกายของเราจึงขับปสสาวะมากกวา
มีเซลล์พิเศษบริเวณเหงือกที่ท�าหน้าที่ดูดแร่ธาตุเข้าสู่ เซลล์พิเศษบริเวณเหงือกที่ท�าหน้าที่ขับแร่ธาตุออกจาก
ร่างกาย และมีการขับปัสสาวะบ่อยและเจือจาง ร่างกาย และมีการขับปัสสาวะที่มีความเข้มข้นสูง เมื่ออยูในสภาพแวดลอมที่มีอุณหภูมิสูง
( แนวตอบ เมื่ อ อยู ใ นสภาพแวดล อ มที่ มี
เกล็ดปองกันน�้าออสโมซิส
เข้าสู่ร่างกาย
เกล็ดปองกันน�้าออสโมซิส
ออกจากร่างกาย
อุ ณ หภู มิ ตํ่ า ร า งกายจะขั บ เหงื่ อ ได น อ ย
และมีนาํ้ ในเลือดมาก เพือ่ รักษาสมดุลของนํา้
ในรางกาย จึงมีการกําจัดนํ้าออกในรูปของ
เซลล์พิเศษบริเวณเหงือกดูดซึมแร่ธาตุ ปัสสาวะเจือจาง เซลล์พิเศษบริเวณเหงือกขับแร่ธาตุ ปัสสาวะเข้มข้น
ปสสาวะปริมาณมากกวาปกติ)
ภาพที่ 1.12 ภาพที่ 1.13 • ขณะที่ อ อกกํ า ลั ง กาย เหตุ ใ ดอั ต ราการ
หายใจจึงสูงขึ้นกวาปกติ
สิง่ มีชวี ติ ชัน้ สูงมีการรักษาสมดุลภายในร่างกาย โดยมีกลไก Biology
in real life (แนวตอบ ขณะออกกําลังกายรางกายตองใช
ควบคุมการท�างานด้วยระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบ พลังงานมาก จึงตองนําออกซิเจนเขาสูร า งกาย
หายใจ ระบบขับถ่าย ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบน�้าเหลือง จากความรู ้ เ รื่ อ งการรั ก ษา
ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบย่อยอาหาร เป็นต้น
ดุลยภาพของน�้าในพืชน�ามาใช้ และนําคารบอนไดออกไซดออกจากรางกาย
ในการชะลอความเหีย่ วเฉาของ อยางรวดเร็ว เพื่อรักษาสมดุลของกรด-เบส
ส่วนพืชมีการรักษาดุลยภาพของน�้า โดยการคายน�้าทาง พืช เช่น การแช่บริเวณโคนต้น
ปากใบ (stoma พหูพจน์ stomata) ซึ่งการเปิด - ปิดของปากใบ หรือรากพืชไว้ในน�้าและเด็ดใบ ในเลือด ดังนั้น จึงตองมีอัตราการหายใจ
ขึน้ อยูก่ บั ปริมาณของน�า้ ในเซลล์คมุ (guard cell) โดยถ้ามีนา�้ อยูใ่ น บางส่วนเพื่อช่วยลดอัตราการ ที่สูงขึ้นกวาปกติ)
เซลล์คมุ ปริมาณมาก เซลล์จะเต่ง ปากใบจะเปิดออก แต่ถา้ มีนา�้ คายน�้าออกทางปากใบ
อยู่ในเซลล์คุมปริมาณน้อย เซลล์จะแฟบ ปากใบก็จะปิด
9
การรักษาดุลยภาพของปลา
T11
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
1. ครูนําอภิปรายเกี่ยวกับลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร
• การสังเกต
3. เตรียมน�้าใส่บีกเกอร์ใบที่ 3 โดยเติมน�้าแข็งลงไป
ในน�า้ ทีอ่ ณ ุ หภูมิ 15 C�
ุ หภูมหิ อ้ ง เพือ่ ท�าให้นา�้ มีอณ บีกเกอร์ใบที่ 3
แล้วน�าปลาจากบีกเกอร์ใบที่ 1 มาใส่ลงในบีกเกอร์ น�้าเย็น
ใบที่ 3 สังเกตพฤติกรรมการว่ายน�้าและการขยับ 15 C�
แผ่นปิดเหงือกในระยะเวลา 1 นาที บันทึกผล
(หลังจากครบ 1 นาทีแล้ว ให้น�าปลากลับไปใส่
ในบีกเกอร์ใบที่ 1 เช่นเดิม)
ภาพที่ 1.14
10
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเขาใจ
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 2. ครูนําอภิปรายวา หากนักเรียนสนใจศึกษา
?
สิ่ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด หนึ่ ง และอยากตรวจสอบว า
1. อัตราการขยับแผ่นปิดเหงือกของปลาก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน�้าแตกต่างกัน อย่างไร สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ มีการตอบสนองตอสิ่งเรา
2. การขยับแผ่นปิดเหงือกของปลาเกี่ยวข้องกับการรักษาดุลยภาพของปลาอย่างไร
หรือไม นักเรียนจะออกแบบและดําเนินการ
อภิปรายผลการทดลอง ทดลองอยางไร
3. ครูมอบหมายใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5-6 คน
จากกิจกรรม จะเห็นได้ว่าอุณหภูมิของน�้ามีผลต่ออัตราการขยับแผ่นปิดเหงือกของปลา ซึ่งเมื่อสภาพ
แวดล้อมมีอุณหภูมิสูง อัตราเมแทบอลิซึมในร่างกายของปลาจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย ปลาต้องการแก๊สออกซิเจน ทํากิจกรรม เรื่อง การตอบสนองตอสิ่งเราของ
จากน�้าปริมาณสูงขึ้นจึงต้องเพิ่มอัตราการหายใจ โดยการขยับแผ่นปิดเหงือกให้น�้าไหลผ่านเหงือกได้มากขึ้น สิ่งมีชีวิต ตามขั้นตอน ดังนี้
เพื่อช่วยท�าให้แก๊สออกซิเจนแพร่เข้าสู่หลอดเลือดในเหงือกได้มากขึ้น และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ร่างกาย 1) กําหนดชนิดของสิง่ เราและเลือกชนิดของพืช
ไม่ต้องการจะแพร่สู่น�้าได้มากเช่นกัน แต่เมื่อสภาพแวดล้อมมีอุณหภูมิต�่า กลไกต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นในลักษณะ หรือสัตวทจี่ ะศึกษา โดยไมซาํ้ กับกลุม อืน่ ๆ
ตรงกันข้ามนี้
2) กําหนดปญหา สมมติฐาน ตัวแปรตน ตัวแปร
ตาม ตัวแปรควบคุม และออกแบบการทดลอง
3) ปฏิบตั กิ ารทดลองตามทีอ่ อกแบบไว บันทึกผล
1.6 สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวทางวิวัฒนาการ และนําเสนอผลงาน
จากแนวคิ ด เกี่ ย วกั บ วิ วั ฒ นาการของชาลส์ ดาร์ วิ น 1 4. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด
(Charles Darwin) ที่ว่า สิ่งมีชีวิตมีความหลากหลายตาม ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม. 4 เลม 1
ธรรมชาติ และปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น ปริมาณอาหารที่มีอยู่
อย่างจ�ากัด ท�าให้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมกว่าเท่านั้นที่จะ แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
สามารถมีชีวิตรอด และถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพ 1. อุ ณ หภู มิ ข องนํ้ า มี ผ ลต อ อั ต ราการขยั บ แผ น
แวดล้อมนัน้ ไปยังลูกหลานได้ ท�าให้สงิ่ มีชวี ติ ในปัจจุบนั มีลกั ษณะ 2 ปดเหงือกของปลา โดยเมื่อนํ้ามีอุณหภูมิสูง
แตกต่างจากสิง่ มีชวี ติ ในอดีต ซึง่ ลักษณะดังกล่าวเป็นการปรับตัว อัตราการขยับแผนปดเหงือกจะสูง แตหาก
ทางวิวัฒนาการ (evolutionary adaptation) เพื่อเกิดสิ่งมีชีวิต นํ้ามีอุณหภูมิตํ่า อัตราการขยับแผนปดเหงือก
สปีชีส์ใหม่ ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวนั้น ท�าให้เกิดทฤษฎีการ จะตํ่า
คัดเลือกโดยธรรมชาติ (theory of natural selection) 2. ปลามีการรักษาดุลยภาพของรางกาย โดยเมือ่
ตัวอย่างเช่น ลักษณะคอของยีราฟ ในอดีตบรรพบุรุษของ 3 สภาพแวดลอมมีอณ ุ หภูมสิ งู อัตราเมแทบอลิซมึ
ยีราฟมีทงั้ พวกคอสัน้ และคอยาว พวกคอยาวสามารถกินยอดไม้ จะเพิม่ สูงขึน้ รางกายตองการแกสออกซิเจนสูง
ได้ทั้งไม้พุ่มเตี้ยและไม้ที่มีต้นสูง ในขณะที่พวกคอสั้นสามารถ จึงตองเพิ่มอัตราการหายใจโดยการขยับแผน
กินยอดไม้ได้เฉพาะไม่พุ่มเตี้ยเท่านั้น ดังนั้นยีราฟพวกคอยาว ป ด เหงื อ กให นํ้ า ไหลผ า นเหงื อ กได ม ากขึ้ น
จึงสามารถด�ารงชีวติ และมีลกู หลานได้มากกว่าพวกคอสัน้ ท�าให้ ภาพที่ 1.15 การปรับตัวทางวิวัฒนาการ เพื่อใหแกสออกซิเจนแพรเขาสูหลอดเลือดใน
ยีราฟพวกคอยาวเพิม่ จ�านวนได้มากขึน้ ในรุน่ ต่อ ๆ มา จนปัจจุบนั ของประชากรยีราฟในอดีตจนถึงปัจจุบัน
เหงือกไดมากขึน้ และแกสคารบอนไดออกไซด
มีเฉพาะยีราฟพวกคอยาวเท่านั้น 11
ธรรมชาติ
ของสิ่งมีชีวิต ที่รางกายไมตองการจะแพรเขาสูนํ้าไดมาก
เชนกัน แตเมื่อสภาพแวดลอมมีอุณหภูมิตํ่า
กลไกตาง ๆ ก็จะเกิดขึน้ ในลักษณะตรงกันขาม
T13
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน 1.7 สิ่งมีชีวิตมีการจัดระบบ
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม ร่างกายของสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยหน่วยพื้นฐานที่เรียกว่า เซลล์ (cell) ซึ่งแต่ละเซลล์มี
การรวมกันทําผลงาน และจากการนําเสนอ โครงสร้างหลักที่เหมือนกัน ได้แก่ นิวเคลียส ไซโทพลาซึม และส่วนห่อหุ้มเซลล์
ผลงานหนาชั้นเรียน สิง่ มีชวี ติ เซลลเดียว (unicellular organism) เช่น ยีสต์ แบคทีเรีย โพรโทซัว เป็นต้น ร่างกาย
3. ครูวดั และประเมินผลจากการทํากิจกรรม เรือ่ ง จะประกอบไปด้วยเซลล์เพียงหนึง่ เซลล์ แต่กย็ งั มีระบบการท�างานของโครงสร้างต่าง ๆ ภายในเซลล์
อุณหภูมิกับการรักษาดุลยภาพของปลา เช่น นิวเคลียสท�าหน้าที่ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลล์ ไมโทคอนเดรียท�าหน้าที่สร้างพลังงาน
4. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด คลอโรพลาสต์ท�าหน้าที่สร้างอาหารให้แก่เซลล์ เป็นต้น
สิ่งมีชีวิตหลำยเซลล (multicellular organism) ร่างกายจะประกอบด้วยเซลล์จ�านวนมาก
ซึ่งเซลล์รวมตัวกันเป็นเนื้อเยื่อ (tissue) เพื่อท�าหน้าที่เฉพาะ เนื้อเยื่อหลายชนิดจะประกอบกัน
เป็นอวัยวะ (organ) ซึ่งอวัยวะต่าง ๆ หลายอวัยวะจะท�าหน้าที่ประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบอวัยวะ
(organ system) และระบบอวัยวะทั้งหมดจะประกอบกันเป็นร่างกายของสิ่งมีชีวิต
H. O. T. S.
คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
เซลล์กระดูก
หลั ก ชี ว วิ ท ยา
หน่ ว ยพื้ น ฐาน
ที่เล็กที่สุดของ
กระดูก สิ่งมีชีวิต คือ เซลล์ แต่ไวรัส
ไม่จัดเป็นเซลล์ นักเรียนคิดว่า
เนื้อเยื่อกระดูก ไวรัสจัดเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่
ภาพที่ 1.16 ร่างกายของสิง่ มีชวี ติ หลายเซลล์ประกอบด้วยหน่วยต่าง ๆ เพราะเหตุใด
แนวตอบ H.O.T.S. ได้แก่ เซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ และระบบอวัยวะ
ไวรัสเปนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เพราะสามารถ 12
สื บ พั น ธุ เ พิ่ ม จํ า นวนได แต ไ ม จั ด ว า เป น เซลล
เนื่องจากไมมีสวนหอหุมเซลล
3
ระดับคะแนน
2 1 ตรงกับระดับคะแนน
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ - การรักษาดุลยภาพของรางกาย
ระดับคะแนน 1. การปฏิบัติการ ท า ก า ร ท ด ล อ ง ต า ม ท า ก า ร ท ด ล อ ง ต า ม ต้อ งให้ ค วามช่ ว ยเหลื อ ต้อ งให้ ค วามช่ ว ยเหลื อ ระดับคะแนน
ทดลอง ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ บ้ า ง ใ น ก า ร ท า ก า ร อย่างมากในการทาการ ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1
ระดับคะแนน ได้อย่างถูกต้อง ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ทด ล อง แล ะ ก า ร ใช้ ทด ล อง แล ะ ก า ร ใช้
ลาดับที่ รายการประเมิน ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์ อุปกรณ์ 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน
4 3 2 1 2 ความถูกต้องของเนื้อหา
1 การปฏิบัติการทดลอง 2. ความ มี ค ว า ม ค ล่ อ ง แ ค ล่ ว มี ค ว า ม ค ล่ อ ง แ ค ล่ ว ขาดความคล่ อ งแคล่ ว ท าการทดลองเสร็ จ ไม่
คล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง ในขณะท าการทดลอง ในขณะท าการทดลอง ทั น เ ว ล า แ ล ะ ท า 3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ ในขณะ แต่ต้องได้รับคาแนะนา จึ ง ท าการทดลองเสร็ จ อุปกรณ์เสียหาย 4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
3 การนาเสนอ โ ด ย ไ ม่ ต้ องไ ด้ รั บ ค า
ปฏิบัติการ
ชี้ แ น ะ แ ล ะ ท า ก า ร
บ้าง และทาการทดลอง ไม่ทันเวลา 5 วิธีการนาเสนอผลงาน
รวม เสร็จทันเวลา รวม
ทดลองเสร็จทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บัน ทึ ก และสรุ ป ผลการ บัน ทึ ก และสรุ ป ผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้อ งให้ ค วามช่ ว ยเหลื อ
และนาเสนอผล ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม ทดลองได้ ถู ก ต้ อ ง แต่ บั น ทึ ก ส รุ ป แ ล ะ อย่างมากในการบันทึก ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน การทดลอง นาเสนอผลการทดลอง การน าเสนอผลการ นาเสนอผลการทดลอง สรุ ป และน าเสนอผล ................../................./..................
................/................/................ เป็นขั้นตอนชัดเจน ท ด ล อ ง ยั ง ไ ม่ เ ป็ น การทดลอง
ขั้นตอน
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-12 ดีมาก 14-15 ดีมาก
9-10 ดี 11-13 ดี
6-8 พอใช้
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T14
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
ชีววิทยาศึกษาเกีย่ วกับ 2. ชีววิทยาคืออะไร 1. ครู ตั้ ง คํ า ถามเพื่ อ ทบทวนความรู เ ดิ ม ของ
สิง่ ใด นักเรียน โดยใหนกั เรียนชวยกันระดมความคิด
ชีววิทยา (biology) เป็นค�าที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก
2 ค�า คือ bios หมายถึง ชีวิต และ logos หมายถึง ความคิดและ ในการตอบคําถาม ซึ่งอาจใชคําถาม Prior
เหตุผล ดังนัน้ ชีววิทยาจึงเป็นวิชาทีศ่ กึ ษาเกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ ทัง้ ในด้านการด�ารงชีวติ ความสัมพันธ์ Knowledge จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4
ระหว่างสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งชีววิทยาสามารถจัดจ�าแนกออกเป็นแขนงวิชา เลม 1 หรือคําถามอื่นๆ ตัวอยางเชน
ย่อย ๆ ได้หลายแขนง ตัวอย่างเช่น ï• ความรูทางวิทยาศาสตรแบงออกไดกี่สาขา
อะไรบาง
กำยวิภำคศำสตร (anatomy) ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ ความรูทางวิทยาศาสตรแบงออก
สรีรวิทยำ (physiology) ศึกษาเกี่ยวกับการท�างานและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เปนแขนงใหญๆ ได 5 สาขา ดังนี้
ชีววิทยำระดับเซลล (cell biology) ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างเซลล์สิ่งมีชีวิต กระบวนการ - วิทยาศาสตรธรรมชาติ ไดแก ฟสิกส เคมี
เจริญเติบโตและการตอบสนองของเซลล์ต่อสิ่งต่าง ๆ ชีววิทยา และวิทยาศาสตรโลก
- วิทยาศาสตรประยุกต เชน วิศวกรรม
วิทยำเอ็มบริโอ (embryology) ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงในช่วงต่าง ๆ
ของตัวอ่อนสิ่งมีชีวิต วิทยาการคอมพิวเตอร
- วิทยาศาสตรสังคม เชน มานุษยวิทยา
อนุกรมวิธำน (taxonomy) ศึกษาเกี่ยวกับการจัดหมวดหมู่สิ่งมีชีวิต ภูมิศาสตร จิตวิทยา
จุลชีววิทยำ (microbiology) ศึกษาเกี่ยวกับจุลินทรีย์ - วิทยาศาสตรการทหาร
พฤกษศำสตร (botany) ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้าง ลักษณะ และส่วนประกอบของพืช - วิทยาศาสตรสิ่งแวดลอม)
พันธุศำสตร (genetics) ศึกษาเกีย่ วกับลักษณะต่าง ๆ ทางพันธุกรรม และการถ่ายทอดลักษณะ ï• ïชีววิทยาศึกษาเกี่ยวกับสิ่งใด
ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ ชีววิทยาเปนวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ
สิง่ มีชวี ติ ทัง้ ดานการดํารงชีวติ ความสัมพันธ
นิเวศวิทยำ (ecology) ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ระหวางสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอม)
2. ให นั ก เรี ย นร ว มกั น แสดงความคิ ด เห็ น จาก
ภาพที่ 1.17 ตัวอย่างการศึกษาในแขนงวิชาย่อยทางชีววิทยา
คําถามขางตน จากนั้นครูอาจนําอภิปรายวา
เซลล์วิทยา จุลชีววิทยา
ชีววิทยาสามารถจําแนกออกเปนแขนงยอยๆ
ได ห ลายแขนง จากนั้ น ให นั ก เรี ย นร ว มกั น
ยกตัวอยางแขนงวิชายอยๆ ของชีววิทยา
ธรรมชาติ 13
ชีววิทยาเปนการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ทัง้ ใน
ของสิ่งมีชีวิต
ดานการดํารงชีวิต ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิต
และสิ่งแวดลอม
T15
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Prior Knowledge
1. ใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับชีววิทยาวามีความ ความรูท างชีววิทยาเกีย่ วของ 3. ชีววิทยากับการด�ารงชีวิต
เกี่ ย วข อ งกั บ การดํ า รงชี วิ ต ของมนุ ษ ย แ ละ กับการดํารงชีวติ อยางไร จากการศึ กษาวิจั ยเกี่ ยวกั บสิ่ งมี ชี วิต ด้ว ยกระบวนการ
สัตวอยางไร และชีวจริยธรรม โดยศึกษาจาก ทางวิทยาศาสตร์ท�าให้เกิดความรู้ทางชีววิทยา ซึ่งก่อให้เกิด
หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 หรือจากแหลง ประโยชน์ตอ่ การด�ารงชีวติ ของมนุษย์อย่างมาก ส่งผลให้สามารถ
เรียนรูอื่นๆ คัดเลือก ปรับปรุงพันธุ์ ขยายพันธุ์ เพิ่มผลผลิตของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ทางด้านอาหาร
2. ครู ตั้ ง คํ า ถามเพื่ อ เชื่ อ มโยงความรู จ ากการ หรือด้านเกษตรกรรม โดยอาศัยความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น การตัดต่อยีน การเพาะเลี้ยง
ศึกษาเกี่ยวกับแขนงตางๆ ทางชีววิทยา ให เนื้อเยื่อพืช การผสมเทียม การโคลน เป็นต้น
นั ก เรี ย นช ว ยกั น ระดมความคิ ด ในการตอบ การศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ท�าให้เข้าใจถึงการท�างานของ
คําถาม อวัยวะต่าง ๆ และทราบวิธีการดูแลรักษาระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ท�างานได้ตามปกติ
ï• ความรูจ ากแขนงตางๆ ทางชีววิทยาเกีย่ วของ การศึกษาเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิต โครงสร้าง หน้าที่ และพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ท�าให้
กับการดํารงชีวิตของมนุษยอยางไรบาง เข้าใจถึงการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตนั้น และน�าความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อการด�ารงชีวิตของมนุษย์
(แนวตอบ ความรูจ ากแขนงตางๆ ทางชีววิทยา การศึกษาสาเหตุของโรคที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ น�าไปสู่การค้นคว้าวิจัยหาตัวยาที่จะมา
เกี่ยวของกับการดํารงชีวิตของมนุษย เชน รักษาโรคนั้น ๆ ได้ ตลอดจนเทคโนโลยีการแพทย์ปัจจุบันล้วนได้รับความรู้มาจากการศึกษาทาง
- ความรูด า นกายวิภาคศาสตรและสรีรวิทยา 1 2
ชีววิทยา เช่น การผลิตอินซูลินเพื่อรักษาโรคเบาหวาน การสร้างโกรทฮอร์โมนเพื่อรักษาเด็กที่
ทําใหเขาใจการทํางานของระบบตางๆ เตี้ยกว่าปกติให้สูงเป็นปกติได้ ซึ่งจากความรู้ที่กล่าวมาข้างต้น ท�าให้มนุษย์รู้จักปรับตัวเพื่อให้
ในรางกาย และทราบวิธีการดูแลรักษา สามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ และมีอายุที่ยืนยาวขึ้นกว่าในอดีต
ระบบตางๆ ในรางกายใหทํางานไดอยาง นอกจากนี้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ท�าให้มนุษย์มีความตระหนักถึงความส�าคัญ
ปกติ ของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ รู้จักวิธีการอนุรักษ์เพื่อท�าให้มีสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร
- ความรูด า นจุลชีววิทยา นําไปสูก ารคนควา ธรรมชาติไว้ใช้อย่างยั่งยืน
วิจัยหาตัวยาในการรักษาโรคตางๆ)
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช การผสมเทียม
แนวตอบ Prior Knowledge ภาพที่ 1.18 ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพช่วยในการปรับปรุงพันธุ์และเพิ่มผลผลิตพืชและสัตว์
พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน ตัวอยางเชน 14
สามารถนําความรูมาดูแลรักษาสุขภาพ เลี้ยงสัตว
หรือปลูกพืชตางๆ
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
Prior Knowledge
สัตวชนิดใดบางทีถ่ กู นํามา 4. ชีวจริยธรรม 1. ใหนักเรียนรวมกลุมกัน กลุมละ 5-6 คน เพื่อ
ใชในการทดลอง เลนเกมตอบคําถาม
การศึกษาชีววิทยาจะช่วยท�าให้เข้าใจถึงกระบวนการต่าง ๆ
วิทยาศาสตร
ที่จะเกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต รวมทั้งโรคภัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น 2. ครูอาจเตรียมของรางวัลเล็กนอย เชน ขนม
แล้วน�าไปสู่การหาวิธีปองกันรักษา การศึกษาทางชีววิทยาส่วนใหญ่จะมีการทดลองกับสิ่งมีชีวิต ลูกอม เครื่องเขียนตางๆ เพื่อใหแกนักเรียน
ซึ่งเรียกสิ่งมีชีวิตที่น�ามาใช้ในการทดลองว่า สัตว์ทดลอง ดังนั้นผู้ศึกษาวิจัยทางชีววิทยาจะต้องมี กลุมที่ตอบคําถามไดคะแนนมากที่สุด
จรรยาบรรณในการใช้สัตว์ทดลอง 3. ครูตงั้ คําถามใหนกั เรียนแตละกลุม รวมเลนเกม
การน�าสัตว์ทดลองมาใช้ในการศึกษาวิจยั นัน้ จะต้องมีความระมัดระวัง มีคณ ุ ธรรม หลีกเลีย่ ง ตัวอยางเชน
การทรมานสัตว์ทดลอง ซึ่งสภาวิจัยแห่งชาติ ได้ก�าหนดจรรยาบรรณการใช้สัตว์เพื่องานทาง • จงยกตัวอยางการใชประโยชนจากความรู
วิทยาศาสตร์ไว้ ดังนี้ ทางชีววิทยาในดานการเกษตร
(แนวตอบ ใชการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อขยาย
จรรยาบรรณการใชสัตว พันธุพืชเศรษฐกิจ ใชเทคนิคการดัดแปร
เพื่องานทางวิทยาศาสตร
1 ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ พั น ธุ ก รรมเพื่ อ สร า งพื ช ที่ มี ค วามแข็ ง แรง
2 ผูใ้ ช้สตั ว์ตอ้ งตระหนักถึงความแม่นย�าของผลงาน โดยใช้ ต า นทานโรค และทนต อ ศั ต รู พื ช การ
สัตว์จ�านวนน้อยที่สุด ผสมเทียมสัตวตางๆ การผลิตปุยชีวภาพ)
3 การใช้สัตว์ปาต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายการ • จงยกตัวอยางการใชประโยชนจากความรู
อนุรักษ์สัตว์ปา ทางชี ว วิ ท ยาในด า นการการแพทย แ ละ
4 ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับ สาธารณสุข
มนุษย์
ภาพที่ 1.19
5 ผูใ้ ช้สตั ว์ตอ้ งบันทึกข้อมูลการปฏิบตั ติ อ่ สัตว์ไว้เป็นหลักฐาน (แนวตอบ ใชเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรม
อย่างครบถ้วน สร า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ส ร า งสารบางชนิ ด ที่ มี
ประโยชนตอ การแพทย เชน ฮอรโมนอินซูลนิ
การศึกษาและพัฒนางานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นอีก สารปฏิชีวนะ)
แขนงวิชาหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต ผู้ปฏิบัติงานนี้จะต้องมี • จงยกตัวอยางการใชประโยชนจากความรู
ชีวจริยธรรมในการปฏิบัติงานเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ ทางชีววิทยาในดานอุตสาหกรรม
เทคนิคพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) มาสร้างสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ ใชเทคโนโลยีการหมักในการผลิต
ดัดแปรพันธุกรรม (Genetically Modified Organisms : GMOs) ขนมปง เครื่องดื่มแอลกอฮอล นมเปรี้ยว
ทีส่ ามารถใช้ประโยชน์ดา้ นต่าง ๆ เช่น การควบคุมโรคในพืช การ โยเกิรต)
ผลิตฮอร์โมนหรือเอนไซม์ทสี่ า� คัญส�าหรับมนุษย์และสัตว์ เป็นต้น
ซึ่งอาจท�าให้เกิดความผิดปกติในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ขึ้น และอาจจะ ภาพที่ 1.20 การใช้สัตว์เพื่องาน
ทางวิทยาศาสตร์ ต้องค�านึงถึง
ส่งผลไปสู่วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต จรรยาบรรณการใช้สตั ว์ แนวตอบ Prior Knowledge
ธรรมชาติ 15
สั ต ว ห ลายชนิ ด ที่ ถู ก นํ า มาใช ใ นการทดลอง
ของสิ่งมีชีวิต
วิทยาศาสตร ตัวอยางเชน หนู กระตาย กบ ลิง หมู
ปลา เปนตน
T17
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
1. ครู นํ า อภิ ป รายโดยกล า วถึ ง กิ จ กรรม เรื่ อ ง การโคลนเป็นอีกเทคนิคหนึ่งทางชีววิทยาที่มีการศึกษาวิจัย ทั้งในระดับจุลินทรีย์ พืช และ
อุณหภูมิกับการรักษาดุลยภาพของปลา วาใน สัตว์ เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตใหม่ที่มีพันธุกรรมเหมือนเดิม โดยประเด็นที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมาก
ขณะทํากิจกรรมนักเรียนกระทําอยางไรกับปลา ในวงการแพทย์ คือ การโคลนมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการโคลนในระดับตัวอ่อน (embryo) เพื่อน�า
บาง และการกระทํานั้นคํานึงถึงชีวจริยธรรม อวัยวะไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้ปวย หรือเพื่อการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ตามตัวอ่อนนั้นก็ถือว่าเป็นมนุษย์
หรือไม อยางไร คนหนึ่ง จึงยังเป็นที่โต้แย้งกันอย่างมากว่าเป็นสิ่งที่ควรกระท�าหรือไม่ หากมีมนุษย์ที่เกิดจากการ
2. ครู ตั้ ง ประเด็ น คํ า ถามให นั ก เรี ย นร ว มกั น โคลน จะมีความเสี่ยงเพียงใดที่จะมียีนผิดปกติ ซึ่งปัจจุบันในหลายประเทศยังไม่อนุญาตให้มีการ
อภิปรายวา การนําความรูทางชีววิทยาไปใช โคลนมนุษย์
ตองคํานึงถึงชีวจริยธรรมอยางไรบาง โดยให กรณีการท�าแท้งซึ่งเป็นการกระท�าที่ขัดต่อกฎหมายและหลักศาสนา โดยจะถือได้ว่าการ
นักเรียนชวยกันยกตัวอยางกิจกรรมที่คํานึงถึง ท�าแท้งเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม หรือเป็นบาป แต่ยังคงเป็นที่โต้แย้งกันว่าควรอนุญาตให้มีการท�าแท้ง
ชีวจริยธรรม หรือไม่ในกรณีที่พบว่าทารกในครรภ์มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ในขณะนี้หลายประเทศได้มี
3. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด กฎหมายห้ามท�าแท้งเพราะขัดต่อหลักศาสนา โดยถือว่าทารกในครรภ์เป็นสิ่งมีชีวิต มีจิตวิญญาณ
ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม. 4 เลม 1 การท�าแท้งจึงถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง
การใช้ฮอร์โมนฉีดให้แก่สัตว์ เช่น ไก่ สุกร เป็นต้น เพื่อเร่งการเจริญเติบโต หรือเพื่อให้มี
ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการ ฮอร์โมนต่าง ๆ นั้นอาจตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ดังกล่าว ซึ่งหาก
ขัน้ ประเมิน มนุษย์น�ามาบริโภคก็อาจก่อให้เกิดโรคบางอย่างได้ เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น
ตรวจสอบผล
การใช้สารเคมีเพือ่ ช่วยคงสภาพของอาหารให้มคี วามสดใหม่ เช่น ฟอร์มาลิน เป็นต้น สารนัน้
1. ครู ป ระเมิ น ผล โดยสั ง เกตการตอบคํ า ถาม อาจส่งผลต่อผู้บริโภค ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องด้านการผลิตอาหาร จึงควรยึดหลักชีวจริยธรรมเช่นกัน
และการรวมกันทําผลงาน เนื่องจากการใช้สารบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคได้
2. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากเช่นกัน คือ การน�าความรู้ทางชีววิทยา
มาใช้ในการท�าลายล้าง เช่น การใช้สิ่งมีชีวิตที่ท�าให้เกิดโรคต่อมนุษย์ สัตว์และพืช การน�าสารพิษ
ที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิตมาใช้ท�าลายสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่า อาวุธชีวภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดต่อชีวจริยธรรม
เช่นกัน
B iology
Focus อาวุธชีวภาพ
อาวุธชีวภาพ (biological weapon) เป็นอาวุธที่มีอานุภาพ
ในการท�าลายล้างสูง ท�าให้มนุษย์จ�านวนมากในพื้นที่บริเวณกว้างได้
รับบาดเจ็บ ปวย และเสียชีวิตในที่สุด โดยอาจเรียกว่า “อาวุธเชื้อโรค”
ซึ่งผลิตได้จากสิ่งมีชีวิต โดยครอบคลุมถึงสิ่งมีชีวิตเอง สารพิษจาก
สิ่งมีชีวิต และฮอร์โมนหรือสารอื่นที่สิ่งมีชีวิตผลิตขึ้น ตัวอย่างเช่น
เชือ้ โรคแอนแทรกซ์ซงึ่ เกิดจากแบคทีเรียบาซิลลัสแอนทราซิส (Bacillus
Anthracis) ภาพที่ 1.21
16
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-15 ดีมาก
14-15 ดีมาก 11-13 ดี
11-13 ดี 8-10 พอใช้
8-10 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T18
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
5. การศึกษาชีววิทยา 1. ครูนําเขาสูกิจกรรม โดยใหนักเรียนนับเลข
วิธกี ารทางวิทยาศาสตร
มีกขี่ น
ั้ ตอน อะไรบาง 1-5 วนกันไปเรื่อยๆ จนครบทั้งหอง จากนั้น
ชีววิทยาเป็นวิทยาศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง ดังนั้น การศึกษา ใหนักเรียนที่นับเลขเดียวกัน อยูกลุมเดียวกัน
ชีววิทยาจึงต้องอาศัยวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) 2. ครู เ ตรี ย มรู ป สิ่ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง ให
โดยนักวิทยาศาสตร์ (scientist) มักจะเป็นคนช่างสังเกต ซึ่งการสังเกตจะช่วยให้เกิดการตั้งค�าถาม นักเรียนแตละกลุมสังเกตลักษณะตางๆ ของ
ที่น�าไปสู่การหาค�าตอบหรือข้อสรุปที่จะส่งผลถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น โดยใหเวลาสังเกตประมาณ
การท�างานของนักวิทยาศาสตร์ในแขนงต่าง ๆ มีการศึกษาที่แตกต่างกันตามความสนใจ 5 นาที
นักชีววิทยาระดับโมเลกุล (molecular biologist) ศึกษาเกีย่ วกับโครงสร้างและการท�างานของสารเคมี 3. ใหนักเรียนแตละกลุมจดบันทึกลักษณะของ
ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต นักชีววิทยาระดับเซลล์ (cell biologist) ศึกษาองค์ประกอบของเซลล์ สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ สั ง เกต และตั้ ง คํ า ถามเกี่ ย วกั บ
การเพาะเลี้ยงเซลล์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเซลล์ นักชีววิทยาประชากร (population biologist) ลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้น 2-3 คําถาม
ศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขนาดประชากร สาเหตุและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง 4. ใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาเสนอ
เหล่านั้น ซึ่งจากการศึกษาการท�างานของนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ผลงานหนาชั้นเรียน จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อ
นักวิทยาศาสตร์มวี ธิ กี ารท�างานทีเ่ ป็นรูปแบบและมีระบบขัน้ ตอน ซึง่ มีพฒั นาการสืบทอดต่อกันมา ใหนักเรียนรวมกันอภิปราย ดังนี้
เป็นล�าดับ จนได้เป็นรูปแบบของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) ที่เหมาะสมอย่างใน ï• ข อ มู ล ที่ ก ลุ ม นั ก เรี ย นบั น ทึ ก ได จ ากการ
ปัจจุบัน โดยวิธีการท�างานดังกล่าวเป็นองค์ประกอบส�าคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยท�าให้การศึกษาค้นคว้า สังเกตสิ่งมีชีวิต เมื่อเปรียบเทียบกับกลุม
ทางวิทยาศาสตร์ประสบผลส�าเร็จ และเกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง อื่นๆ แลวมีขอมูลละเอียดครบถวนหรือไม
รวดเร็ว ซึ่งวิธีการทางวิทยาศาสตร์นี้ได้รับการยอมรับว่ามีประโยชน์อย่างมากในการน�าไปใช้เป็น อยางไร
กระบวนการศึกษาค้นคว้า และรวบรวมความรู้ในศาสตร์ทุกสาขาวิชา (แนวตอบ นักเรียนบางกลุมอาจบันทึกขอมูล
ไดละเอียดครบถวน แตบางกลุมอาจบันทึก
ไดไมละเอียดครบถวน)
ï• คําถามทีก่ ลุม นักเรียนตัง้ ขึน้ เมือ่ เปรียบเทียบ
กับกลุมอื่นๆ แลวมีลักษณะอยางไร
(แนวตอบ คําถามบางคําถามอาจนําไปสูการ
คนหาคําตอบที่นาสนใจ แตบางคําถามอาจ
ไมนาสนใจ)
5. ครูเนนยํ้าใหนักเรียนตระหนักวา การสังเกต
เปนทักษะสําคัญที่นําไปสูการคนพบปญหา
และการรวบรวมขอมูล
ธรรมชาติ 17
5 ขั้นตอน ไดแก การกําหนดปญหา การตั้ง
ของสิ่งมีชีวิต
สมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การรวบรวม
ขอมูลและลงขอสรุป และการสรุปผล
T19
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูตงั้ คําถามเพือ่ นําเขาสูก ารสืบคนขอมูล ดังนี้ 5.1 การก�าหนดปัญหา
• วิ ธีก ารทางวิ ท ยาศาสตร ป ระกอบด ว ย เมื่อบุคคลพบเห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วเกิดความสงสัย ก็จะน�า
อะไรบาง ไปสู่การก�าหนดปัญหา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ทักษะการสังเกต
(แนวตอบ วิธีการทางวิทยาศาสตรประกอบ ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ดวยการกําหนดปญหา การตั้งสมมติฐาน โดยไม่ใช้ความคิดเห็นของผู้สังเกตเข้ามาประเมินสิ่งที่เกิดขึ้น
การตรวจสอบสมมติฐาน การเก็บรวบรวม นักจุลชีววิทยาชาวอังกฤษชื่อ อเล็กซานเดอร์ เฟลมิง
ขอมูลและวิเคราะหขอมูล และการสรุปผล) (Alexander Fleming) สังเกตว่าในจานเพาะเชือ้ แบคทีเรียบริเวณ
• นักเรียนคิดวานักวิทยาศาสตรควรมีลกั ษณะ ที่มีราเพนิซิลเลียม (Penicillium notatum) เจริญอยู่ แบคทีเรีย
อยางไร จะหยุดการเจริญเติบโต ท�าให้เขาเกิดความสงสัยและตัง้ ปัญหาว่า
(แนวตอบ นักวิทยาศาสตรมักเปนคนชาง ภาพที่ 1.23 การสังเกตเป็นทักษะพืน้ ฐาน เหตุ ใ ดแบคที เ รี ย จึ ง ไม่ ส ามารถจะเจริ ญ เติ บ โตได้ ใ นขณะที่ มี
ที่ส�าคัญต่อการศึกษาวิทยาศาสตร์
สั ง เกต ซึ่ ง การสั ง เกตจะนํ า ไปสู ก ารตั้ ง ราเพนิซิลเลียมเจริญอยู่ จากนั้นเขาจึงศึกษาต่อไปว่าสิ่งใดที่
คําถาม) เกิดจากราเพนิซิลเลียมที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ จนในที่สุดจึงได้ค้นพบ
• เพราะเหตุใดจึงควรตัง้ สมมติฐานไวหลายๆ สารปฏิชีวนะที่ผลิตจากเชื้อราซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย การค้นพบดังกล่าว
สมมติฐาน ท�าให้ได้สารปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากแบคทีเรียได้ ซึ่งนับว่าเป็นสารที่มีประโยชน์
(แนวตอบ เพื่อใหมีแนวทางในการสืบคนหา อย่างมากในวงการแพทย์ของโลก
คําตอบไดหลายวิธี โดยไมยึดสมมติฐานใด 5.2 การตั้งสมมติฐาน
สมมติ ฐ านหนึ่ ง เป น คํ า ตอบก อ นที่ จ ะได สมมติฐาน (hypothesis) เป็นสิง่ ทีค่ าดว่าจะเป็นค�าตอบทีอ่ าจเป็นไปได้จริงและมีความถูกต้อง
พิสูจนตรวจสอบแลว) เชื่อถือได้ ซึ่งต้องได้รับการพิสูจน์หรือตรวจสอบหลาย ๆ ครั้ง ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2. ใหนักเรียนแตละกลุมสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ โดยการตั้งสมมติฐานอาจใช้ค�าว่า ถ้า ……………… ดังนั้น ………………
หัวขอการกําหนดปญหา และการตัง้ สมมติฐาน
ตัวอย่างการตัง้ สมมติฐาน
จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1
3. ใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรม เรื่อง การ ถ้ำราเพนิซิลเลียมสามารถสร้างสารยังยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้นบริเวณที่มี
ราเพนิซิลเลียมอยู่ แบคทีเรียจะไม่เจริญเติบโต
กําหนดปญหาและตัง้ สมมติฐาน จากหนังสือเรียน ถ้ำแสงแดดมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ดังนัน้ พืชทีข่ นึ้ ในบริเวณทีม่ แี สงแดดจ้าจะมีการเจริญเติบโต
ชีววิทยา ม.4 เลม 1 มากกว่าพืชที่ขึ้นในที่ร่ม
ถ้ำแสงของแสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ดังนั้นพืชที่เจริญเติบโตกลางแจ้ง ล�าต้นจะสูงกว่าพืช
ที่เจริญเติบโตในที่ร่ม
การตั้งสมมติฐานต้องยึดปัญหาเป็นหลัก และควรมีการตั้งสมมติฐานหลาย ๆ สมมติฐาน
เพื่อให้มีแนวทางการสืบค้นหาค�าตอบได้หลายวิธี โดยไม่ยึดสมมติฐานใดสมมติฐานหนึ่งเป็น
ค�าตอบก่อนที่จะได้พิสูจน์ตรวจสอบแล้ว
18
T20
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร
• การสังเกต
1. ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันกําหนดปญหา
การกําหนดปญหาและตั้งสมมติฐาน • การลงความเห็นจากข้อมูล เกี่ ย วกั บ ความรู ท างวิ ท ยาศาสตร และตั้ ง
จิตวิทยำศำสตร สมติฐานที่สอดคลองกับปญหาที่กําหนดขึ้น
• ความสนใจใฝรู้ ตัวอยางเชน
ให้นักเรียนอำนสถำนกำรณที่ก�ำหนดให้ • ความรับผิดชอบ
•ï ปญหา : ความเขมของแสงมีผลตอการเจริญ
นักเรียนกลุ่มหนึ่งสังเกตได้ว่า ต้นไม้ที่ปลูกในที่ร่มจะเจริญเติบโตได้น้อยกว่าต้นไม้ที่ปลูกบริเวณกลางแจ้ง เติบโตของพืชหรือไม
ทีม่ แี สงแดด และต้นไม้ทไี่ ด้รบั การรดน�า้ จะเจริญเติบโตได้ดกี ว่าต้นไม้ทไี่ ม่ได้รบั การรดน�า้ นักเรียนกลุม่ นีจ้ งึ เกิด สมมติฐาน : ถาความเขมของแสงมีผลตอ
ความสงสัยว่า แสงแดดและน�้านั้นมีความส�าคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชหรือไม่ อย่างไร จึงได้ศึกษาค้นคว้า การเจริญเติบโตของพืช ดังนัน้ พืชทีอ่ ยูก ลาง
เพิ่มเติม จนได้ข้อมูลว่า แสงแดดและน�้ามีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช หากพืชได้รับแสงแดดและน�้าอย่าง
เพียงพอ จะสามารถเจริญเติบโตได้ดี แต่หากขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไป การเจริญเติบโตของพืชจะผิดปกติ แจงจะเจริญเติบโตมากกวาพืชที่อยูในที่รม
จากนั้นจึงทดสอบความถูกต้องของข้อมูล ด้วยการศึกษาการเจริญเติบโตของพืช โดยน�าพืชชนิดเดียวกัน : ถาความเขมของแสงมีผลตอ
มาปลูกในดินชนิดเดียวกัน 4 กระถาง ซึ่งมีการดูแลแต่ละกระถางแตกต่างกัน ดังนี้ การเจริญเติบโตของพืช ดังนัน้ พืชทีอ่ ยูก ลาง
แจงจะมีความสูงมากกวาพืชที่อยูในที่รม
✗ ✗ ✗ ✗ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายความเหมือน
และความแตกตางของสมมติฐานทีย่ กตัวอยาง
ไปในขอ 1. โดยแนวการอภิปรายควรเปน
ดังนี้
กระถำงที่ 1 กระถำงที่ 2 กระถำงที่ 3 กระถำงที่ 4 “สมมติฐานทั้งสองนั้น ในสวนที่เปน ดังนั้น
วางไว้กลางสนามที่มี วางไว้ในห้องที่ไม่มีแสงแดด วางไว้กลางสนามที่มี วางไว้ในห้องที่ไม่มีแสงแดด จะแนะแนวทางในการออกแบบการทดลอง
แสงแดด และรดน�้าทุกวัน ส่องถึง และรดน�้าทุกวัน แสงแดด และไม่รดน�้า ส่องถึง และไม่รดน�้า
ออกเป น 2 กลุ ม คื อ กลุ ม ที่ อ ยู ใ นที่ แ จ ง
ภาพที่ 1.24
กั บ กลุ ม ที่ อ ยู ใ นที่ ร ม แต ส ว นที่ ต า งกั น คื อ
จากการศึกษาของนักเรียนกลุ่มนี้ พบว่า พืชในกระถางที่ 1 เจริญเติบโตได้ดีกว่าพืชในกระถางที่ 2
กระถางที่ 3 และกระถางที่ 4 สมมติฐานแรกไมไดระบุนิยามปฏิบัติการของ
การเจริญเติบโตของพืชวาจะวัดจากสิง่ ใด สวน
?
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม สมมติฐานทีส่ อง ระบุนยิ ามปฏิบตั กิ ารของการ
1. ก�าหนดปัญหาจากเหตุการณ์ที่ก�าหนดให้ เจริญเติบโตวาวัดจากความสูง ซึ่งเปนการ
2. ตัง้ สมมติฐานที่สอดคล้องกับปัญหาที่นักเรียนตั้งไว้ในข้อ 1. ชี้แนะวิธีการวัดผลการทดลองนั่นเอง ”
อภิปรายผลกิจกรรม แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
จากกิจกรรม นักเรียนจะสามารถก�าหนดปัญหาและตั้งสมมติฐานจากสถานการณ์ที่ก�าหนดให้ โดยอาศัย 1. แสงแดดและนํ้ามีความสําคัญตอการเจริญ-
ทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการสังเกต ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นทักษะพื้นฐานในการ เติบโตของพืชหรือไม
ศึกษาวิทยาศาสตร์ 2. ถาแสงแดดและนํา้ มีความสําคัญตอการเจริญ-
ธรรมชาติ
ของสิ่งมีชีวิต
19 เติบโตของพืช ดังนั้น พืชที่ไดรับแสงแดดและ
นํ้าอยางเพียงพอจะเจริญเติบโตไดดีกวาพืชที่
ไมไดรับแสงแดดและนํ้า
T21
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูตงั้ คําถามเพือ่ นําเขาสูก ารสืบคนขอมูล ดังนี้ 5.3 การตรวจสอบสมมติฐาน
•ï การตรวจสอบสมมติ ฐ านสามารถทํ า ได สมมติฐานที่ก�าหนดไว้เมื่อเริ่มท�าการศึกษา เป็นค�าตอบของปัญหาที่คาดว่าอาจเป็นไปได้
อยางไร ซึ่งอาจมีได้หลายสมมติฐาน จึงต้องมีการตรวจสอบเพื่อท�าให้ทราบแน่ชัดว่าสมมติฐานใดถูกต้อง
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบวาทําไดโดยการ การตรวจสอบสมมติฐานจะด�าเนินการโดยยึดสมมติฐาน
ทดลอง) เป็นหลัก เนื่องจากสมมติฐานที่ดีได้ชี้แนวทางการตรวจสอบ
2. จากคําถามในขอ 1. หากนักเรียนตอบเพียงวา และการออกแบบการตรวจสอบเอาไว้แล้ว ซึ่งการตรวจสอบ
ทําไดจากการทดลอง ครูควรชี้แจงวา การ สมมติฐานมีจดุ ประสงค์เพือ่ ค้นคว้าหาข้อมูล รวบรวมข้อมูล และ
ตรวจสอบสมมติฐานสามารถทําไดหลายวิธี ตรวจสอบว่าสมมติฐานข้อใดเป็นค�าตอบทีถ่ กู ต้องทีส่ ดุ โดยทัว่ ไป
เชน การสังเกต การตอบแบบสอบถาม การ สามารถท�าได้ 2 วิธี ดังนี้
สัมภาษณ การสํารวจ และการทดลอง 1. ใช้การสังเกตและการรวบรวมข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อ
3. ครู นํ า อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ การ น�าข้อมูลมาแปลความหมาย อภิปราย และสรุปผล
ภาพที่ 1.25 การทดลองทาง
ทดลองวา ปจจัยดังกลาวนั้น เรียกวา ตัวแปร วิ ท ยาศาสตร์ ต ้ อ งมี ก ระบวนการ 2. ใช้การทดลอง เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุดในการศึกษา
จากนั้นใหนักเรียนแตละคนศึกษาเรื่อง การ ท�างานอย่างเป็นระบบตามขัน้ ตอน ทางวิทยาศาสตร์ ซึง่ การตรวจสอบสมมติฐานโดยการทดลองนัน ้
ทัง้ นีเ้ พือ่ ท�าให้ได้ผลการทดลองทีม่ ี ควรระบุกระบวนการทดลองที่จะปฏิบัติจริง มีการออกแบบการ
ตรวจสอบสมมติ ฐ าน จากหนั ง สื อ เรี ย น ความถูกต้องแม่นย�า
ชีววิทยา ม.4 เลม 1 ทดลอง บอกวิธีการใช้วัสดุอุปกรณ์ สารเคมีและเครื่องมือต่าง ๆ
รวมทัง้ มีการวางแผนการด�าเนินงานตามล�าดับ โดยมีการควบคุม
อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หรือเกิดข้อผิดพลาด
น้อยที่สุด และหลังการทดลองต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหา
ข้อสรุปที่ได้จากการทดลองด้วย
ในกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผู้ทดลองจะต้อง
ควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อการทดลองให้มีปริมาณน้อยที่สุด โดย
ปัจจัยต่าง ๆ นั้น เรียกว่า ตัวแปร (variable)
ประเภทของตัวแปรในกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร
ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (independent variable) คือ ตัวแปร
ที่ผู้ทดลองก�าหนดขึ้นเพื่อทดสอบผลที่เกิดขึ้นจากตัวแปรนี้
ตัวแปรตาม (dependent variable) คือ ตัวแปรทีเ่ ป็นผลมาจาก
ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ
ภาพที่ 1.26 ปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ
อาจท� า ให้ ผ ลการทดลองคลาด ตัวแปรควบคุม (controlled variable) คือ สิ่งต่าง ๆ นอกเหนือ
เคลื่ อ นได้ ดั ง นั้ น ในการทดลอง จากตัวแปรต้น ทีอ่ าจท�าให้ผลการทดลองเกิดความคลาดเคลือ่ น
ต้ อ งมี ก ารควบคุ ม ตั ว แปรต่ า ง ๆ ซึ่งผู้ทดลองจะต้องควบคุมให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นคงที่ตลอด
เป็นอย่างดี การทดลอง
20
T22
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ตัวอย่างการก�าหนดตัวแปรในการทดลอง เช่น การศึกษาว่าปุย ชนิดใดมีผลต่อการเจริญเติบโต 1. ใหนักเรียนรวมกันตอบคําถาม ดังนี้
ของพืชมากกว่า โดยท�าการทดลองกับพืชจ�านวน 2 กระถาง ซึ่งกระถางที่ 1 ใส่ปุยชนิดที่ 1 ส่วน ï• เหตุ ใ ดจึ ง ต อ งมี ก ารตรวจสอบสมมติ ฐ าน
กระถางที่ 2 ใส่ปุยชนิดที่ 2 ดังนั้น ตัวแปรต้นในการศึกษานี้ก็คือ ปุย ตัวแปรตาม คือ การ และการตรวจสอบสมมติฐานมีจุดประสงค
เจริญเติบโตของพืช และตัวแปรควบคุม เช่น ชนิด ขนาดและลักษณะของพืช ขนาดของกระถาง เพื่อสิ่งใด
ปริมาณดิน ปริมาณน�้า ปริมาณแสงแดด เป็นต้น (แนวตอบ การตรวจสอบสมมติฐานเพือ่ ทําให
การตรวจสอบสมมติฐานด้วยการทดลอง นอกจากจะควบคุมปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการทดลองแล้ว ทราบแนชัดวาสมติฐานใดถูกตอง ซึ่งการ
ยังต้องแบ่งชุดการทดลองเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ตรวจสอบสมมติ ฐ านมี จุ ด ประสงค เ พื่ อ
กลุ่มทดลอง (experimental group) กลุ่มควบคุม (controlled group)
คนควาหาขอมูล รวบรวมขอมูล ตรวจสอบ
ว า สมมติ ฐ านข อ ใดเป น คํ า ตอบที่ ถู ก ต อ ง
ชุดการทดลองที่ใช้ศึกษาผลของตัวแปรต้น ชุดการทดลองทีใ่ ช้เป็นมาตรฐานอ้างอิง เพือ่ เปรียบเทียบ
ข้อมูลที่ได้จากการทดลอง ที่สุด)
2. ใหนกั เรียนรวมกันอภิปรายความหมายของคํา
ตางๆ ดังนี้
ï• ตัวแปรตนหรือตัวแปรอิสระ (independent
ใสปุยชนิดที่ 1 ใสปุยชนิดที่ 2 ไมใสปุย variable) : ตัวแปรที่ผูทดลองกําหนดขึ้น
ภาพที่ 1.27 การทดลองทางวิทยาศาสตร์มักแบ่งชุดการทดลองออกเป็นกลุ่มทดลองและ เพื่อทดสอบผลที่เกิดขึ้นจากตัวแปรนี้
กลุ่มควบคุม เพื่อใช้เป็นมาตรฐานเปรียบเทียบกัน
ï• ตัวแปรตาม (dependent variable) :
B iology ตั ว แปรที่ เ ป น ผลมาจากตั ว แปรต น หรื อ
Focus ขอควรปฏิบัติในหองทดลอง ตัวแปรอิสระ
เพือ่ ท�าให้การทดลองได้ผลทีถ่ กู ต้อง และเกิดความปลอดภัยต่อผูท้ ดลอง ผูท้ ดลองจึงควรปฏิบตั ิ ï• ตัวแปรควบคุม (controlled variable) :
ดังนี้ สิ่งตางๆ นอกเหนือจากตัวแปรตนที่อาจ
1. ต้องรักษาระเบียบบนโต๊ะทดลอง เพือ่ ช่วยให้ทา� การทดลองได้อย่างสะดวก และช่วยลดอุบตั เิ หตุ ทําใหผลการทดลองเกิดความคลาดเคลื่อน
2. อ่านคูม่ อื การทดลองอย่างละเอียดก่อนท�าการทดลอง และหากมีขอ้ สงสัยให้สอบถามอาจารย์ ซึ่งผูทดลองจะตองควบคุมใหสิ่งตางๆ นั้น
ผู้ควบคุม และไม่ท�าการทดลองใด ๆ ที่นอกเหนือไปจากในคู่มือการทดลอง
คงที่ตลอดการทดลอง
3. ห้ามเล่นหรือหยอกล้อกันในขณะท�าการทดลอง
4. เมื่อต้องการใช้สารเคมีใด ๆ ต้องรินออกจากขวดใส่ลงในบีกเกอร์ก่อน โดยรินออกมาใน
ปริมาณที่ต้องการใช้เท่านั้น และหากใช้ไม่หมดให้เทส่วนที่เหลือทิ้งไป
5. ให้ความระมัดระวังการใช้ไฟในห้องทดลอง ควรดับไฟทันที่เมื่อเลิกใช้งาน
6. ห้ามรับประทานอาหารในห้องทดลอง เพราะอาจมีสารเคมีปนเปอนลงไปในอาหาร
7. เมือ่ ท�าการทดลองเสร็จแล้ว ต้องท�าความสะอาดพืน้ โต๊ะทดลอง เก็บเครือ่ งมือและวัสดุอปุ กรณ์
ให้เรียบร้อย แล้วล้างมือให้สะอาดก่อนออกจากห้องทดลอง
ธรรมชาติ 21
ของสิ่งมีชีวิต
T23
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนสืบคนขอมูลเรื่องการเก็บรวบรวม 5.4 การเก็บรวบรวมขอมูลและวิเคราะหขอ มูล
ขอมูลและวิเคราะหขอมูล และการสรุปผล ขั้นตอนนี้เป็นการน�าข้อมูลที่ได้จากการสังเกต ค้นคว้า
จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 หรือจาก ทดลอง หรือการรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริง มาวิเคราะห์ผล
แหลงเรียนรูอื่นๆ อธิบายความหมายของข้อเท็จจริง แล้วน�าไปเปรียบเทียบ
2. ให นั ก เรี ย นกลุ ม เดิ ม ไปศึ ก ษากิ จ กรรมเรื่ อ ง กับสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่าสอดคล้องกับสมมติฐานข้อใด ซึ่งการ
การกําหนดตัวแปร วิเคราะหขอมูล และสรุป วิเคราะห์ข้อมูลที่ดีจะน�าไปสู่การสรุปผลที่ถูกต้อง
ผลการทดลอง จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4
เลม 1 แลวรวมกันตอบคําถามทายกิจกรรม 5.5 การสรุปผล
3. ครูควรเนนยํา้ วา จากกิจกรรมนักเรียนจะไดใช ขั้นตอนนี้เป็นขั้นแปลความหมายของข้อมูลที่ได้จากการ
ทักษะตางๆ เชน ทักษะการสังเกต ทักษะการ ทดลองหรือการศึกษา และลงข้อสรุปภายในขอบเขตของผล
ลงความคิดเห็นจากขอมูล ทักษะการจัดกระทํา การทดลองหรือผลการศึกษาที่เป็นจริงว่า สมมติฐานใดถูกต้อง
ภาพที่ 1.28 ผู้ทดลองต้องสังเกต ซึง่ หากผลสรุปตรงกับสมมติฐานทีต่ งั้ ไว้ สมมติฐานนัน ้ อาจน�าไป
และสื่อความหมายขอมูล ทักษะการกําหนด และบันทึกผลการทดลอง เพื่อน�า
และควบคุมตัวแปร ทักษะการตีความหมาย ไปวิเคราะห์ถึงความเชื่อมโยงกับ ตั้งเป็นกฎหรือทฤษฎีที่สามารถใช้เป็นแนวทางส�าหรับอธิบาย
สมมติฐาน ปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันได้ แต่หากผลที่ได้
ขอมูลและลงขอสรุป ซึ่งเปนทักษะพื้นฐานที่ ไม่ตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการทดลองนั้นไม่ถูกต้อง แต่ควรจะเปลี่ยน
สําคัญในการศึกษาวิทยาศาสตร สมมติฐานและท�าการทดลองใหม่ต่อไป
สมมติฐานที่ผ่านการตรวจสอบแล้วหลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นการทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์
คนเดิม หรือนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ท�าการทดสอบในลักษณะเดียวกัน หากผลสรุปที่ได้จาก
การตรวจสอบนัน้ สามารถน�
1 ามาประยุกต์ใช้ได้กว้างขวาง ผลนัน้ ก็จะถูกน�าไปตัง้ เป็นทฤษฎี (theory)
เช่น ทฤษฎีเซลล์ ทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติ เป็นต้น และหากผลที่ได้เป็นความจริงเสมอ
ก็อาจน�าไปตั้งเป็นกฎ (law) เช่น กฎของเมนเดล กฏของบอยล์ เป็นต้น
การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตก่อให้เกิดความรู้ทางชีววิทยา ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการสังเกต
การทดลอง และการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ชีววิทยาจึงประกอบด้วยส่วนที่ส�าคัญ
2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นความรู้ (knowledge) และส่วนที่เป็นกระบวนการ (process)
B iology
Focus ทฤษฎีและกฎ
ทฤษฎี (theory) คือ สมมติฐานทีไ่ ด้ตรวจสอบและทดลองหลายครัง้ จนสามารถอธิบายข้อเท็จจริง
อื่นที่คล้ายกันได้ ซึ่งทฤษฎีอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ หากได้รับข้อมูลหรือข้อเท็จจริงใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
กฎ (law) คือ ความจริงพื้นฐานที่สามารถทดสอบได้ และได้ผลเหมือนเดิมทุกครั้งโดย
ไม่มีข้อโต้แย้ง
22
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร
• การจัดกระท�าและสื่อความหมาย
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายคําถามทาย
การกําหนดตัวแปร วิเคราะหขอมูล และ
สรุปผลการทดลอง
ข้อมูล กิจกรรมในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1
• การก�าหนดและควบคุมตัวแปร
• การตีความหมายและสรุปข้อมูล 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
จิตวิทยำศำสตร
• ความสนใจใฝรู้
ศึกษาชีววิทยา โดยควรไดขอสรุป ดังนี้
ให้นักเรียนอำนสถำนกำรณที่ก�ำหนดให้ • ความมุ่งมั่น “การศึกษาชีววิทยาประกอบดวย 2 สวน คือ
สวนที่เปนความรู และสวนที่เปนกระบวนการ
นักเรียนกลุ่มหนึ่งศึกษาการเจริญเติบโตของต้นไม้ภายใต้แสงสีที่แตกต่างกัน โดยวางแผนการทดลองว่า
จะใช้พืชชนิดเดียวกัน มีขนาดใกล้เคียงกัน และมีอายุเท่ากัน มาปลูกในดินชนิดเดียวกัน ปริมาณดินเท่ากัน คนหาความรู ”
และใส่กระถางขนาดเดียวกัน จ�านวน 5 กระถาง แล้วน�าแต่ละกระถางไปไว้ในห้องที่มีขนาดเท่ากัน แต่ให้
แสงสว่างที่มีสีต่างกัน คือ แสงสีแดง แสงสีเหลือง แสงสีน�้าเงิน แสงสีขาว และแสงสีเขียว โดยให้แสงสว่าง
วันละ 8 ชั่วโมง และให้น�้าในปริมาณเท่า ๆ กัน เมื่อผ่านไปทุก ๆ 7 วัน จึงวัดขนาดและความสูงของล�าต้นจน
ครบ 35 วัน
ธรรมชาติ 23
ของสิ่งมีชีวิต
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
1. ครูจูงใจใหนักเรียนแตละกลุมดําเนินการตาม ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
?
ขั้ น ตอนที่ นั ก วิ ท ยาศาสตร ใ ช ใ นการศึ ก ษา
1. ในการทดลองนี้ สิ่งใดเป็นตัวแปรควบคุม สิ่งใดเป็นตัวแปรต้น และสิ่งใดเป็นตัวแปรตาม
สิ่งตางๆ นับตั้งแตการกําหนดปญหา การตั้ง
2. แสงสีใดมีผลท�าให้พืชเจริญเติบโตได้ดีที่สุด และได้น้อยที่สุดตามล�าดับ
สมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การเก็บ 3. ให้นักเรียนแสดงผลการทดลองเป็นแผนภูมิหรือกราฟการเจริญเติบโตของพืชเมื่อได้รับแสงสีต่าง ๆ
รวบรวมขอมูลและวิเคราะหขอมูล และการ
สรุปผล
อภิปรายผลกิจกรรม
2. ครู ม อบหมายการบ า นให นั ก เรี ย นทํ า Unit
Question 1 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 จากกิจกรรม นักเรียนจะได้ใช้ทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการจัดท�าและ
หรือทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัดชีววิทยา การสื่อความหมายของข้อมูล ทักษะการก�าหนดและควบคุมตัวแปร ทักษะการตีความหมายและสรุปข้อมูล
ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นทักษะพื้นฐานส�าคัญต่อการศึกษาวิทยาศาสตร์
Biology
Focus คุณภาพของแสงกับการเจริญเติบโตของพืช
นอกจากแสงจะมีผลโดยตรงต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงแล้ว แสงยังมีอิทธิพลต่อ
ปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในการเจริญเติบโตของพืชด้วย เช่น การงอกของเมล็ด การพักตัวของเมล็ด
การออกดอก เป็นต้น ซึ่งสมบัติของแสงที่มีผลต่อพืช ได้แก่ ความเข้มแสง และคุณภาพของแสง
คุณภาพของแสง (light quality) หรือความยาวของคลืน่ แสง (wavelength) แต่ละช่วงมีผลต่อพืช
แตกต่างกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม 1. คลื่นแสงที่มองไม่เห็น
1. ตัวแปรควบคุม ไดแก ชนิด ขนาด และอายุของพืช - แสงเหนือม่วง (< 390 nm) : ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืช
ชนิดและปริมาณของดิน ขนาดของกระถาง - แสงอินฟราเรด (> 810 nm) : ท�าให้ปล้องของพืชยืดยาวออก
ขนาดของหอง ระยะเวลาที่พืชไดรับแสงสวาง 2. คลื่นแสงที่มองเห็น
ปริมาณนํ้าที่พืชไดรับ - แสงสีม่วง (390-410 nm) และแสงสีน�้าเงิน (426-492 nm) : เกี่ยวข้องกับการตอบสนอง
ของพืชต่อแสง (phototropism) เช่น ดอกไม้บางชนิดหันเข้าหาแสง การโค้งงอเข้าหาแสง
ตัวแปรตน คือ แสงสวางที่มีสีตางกัน ไดแก - แสงสีเขียว (493-535 nm) : ระงับการเจริญเติบโตของพืช
แสงสีแดง แสงสีเหลือง แสงสีนาํ้ เงิน แสงสีขาว - แสงสีเหลือง (536-586 nm) และแสงสีส้ม (587-647 nm) : ส่งเสริมการงอกของเมล็ด
และแสงสีเขียว - แสงสีแดง (647-760 nm) : ส่งเสริมการงอกหรือยับยั้งการงอกของเมล็ดบางชนิด
ตัวแปรตาม คือ ขนาดและความสูงของลําตน และมีความส�าคัญต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง
2. แสงสีแดงใหพชื เจริญเติบโตไดดที สี่ ดุ สวนแสง - แสงสีไกลแดง (761-810 nm) : ยับยั้งการงอกของเมล็ด
สีเหลืองใหพืชเจริญเติบโตไดนอยที่สุด 24
3. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูใน
ดุลยพินิจของครูผูสอน
T26
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
Summary ตรวจสอบผล
1. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง
ธรรมชาติของสิง่ มีชวี ติ โดยพิจารณาขอความที่กําหนดใหในหนังสือ
เรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1
สิ่งมีชีวิตคืออะไร การศึกษาชีววิทยา
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม
ลักษณะของสิ่งมีชีวิต วิธีกำรทำงวิทยำศำสตร การรวมกันทําผลงาน และจากการนําเสนอ
• มีการสืบพันธุ์
1 ผลงานหนาชั้นเรียน
• ต้องการสารอาหารและพลังงาน การกําหนดปญหา
• มีการจัดระบบ 3. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด
• มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า 2 การตั้งสมมติฐาน
4. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบหลังเรียน
• มีการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
• มีการปรับตัวทางวิวัฒนาการ 3 การตรวจสอบสมมติฐาน
• มีการเจริญเติบโต มีอายุขัย และมีขนาดจ�ากัด
4 การเก็บรวบรวมขอมูลและวิเคราะหขอมูล
5
การสรุปผล
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบควำมเข้ำใจ โดยพิจำรณำข้อควำมวำถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หำกพิจำรณำข้อควำมไมถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหำตำมหัวข้อที่ก�ำหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. การสืบพันธุ์และความต้องการสารอาหาร เป็นลักษณะหนึ่งที่ใช้ระบุว่า 1.
สิ่งต่าง ๆ เป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่
2. ชีววิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น 2.
3. การค้นคว้าวิจัยยารักษาโรคต่าง ๆ เป็นการใช้ความรู้ทางชีววิทยาเพื่อ 3.
ุด
ประโยชน์ต่อการด�ารงชีวิตของมนุษย์
สม
ใน
ลง
4. การใช้สารเร่งการเจริญเติบโตของพืชหรือสัตว์เพื่อการเกษตรและ 4.
ทึ ก
บั น
5. การนําความคิดยอยๆ มาสรุปรวมเปนหลักการแลวทดสอบ
ระดับคะแนน คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่
ประเด็นที่ประเมิน
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ 4 3 2 1 ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน 1. การปฏิบัติการ ท า ก า ร ท ด ล อ ง ต า ม ท า ก า ร ท ด ล อ ง ต า ม ต้อ งให้ ค วามช่ ว ยเหลื อ ต้อ งให้ ค วามช่ ว ยเหลื อ ระดับคะแนน
ทดลอง ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ บ้ า ง ใ น ก า ร ท า ก า ร อย่างมากในการทาการ ลาดับที่ รายการประเมิน
ได้ อ ย่ า งถู ก ต้ อ ง แต่ อาจ ทด ล อง แล ะ กา ร ใช้ ทด ล อง แล ะ ก า ร ใช้
3 2 1
ระดับคะแนน ได้อย่างถูกต้อง 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน
ลาดับที่ รายการประเมิน ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์ อุปกรณ์
หลักการนั้น
4 3 2 1 2 ความถูกต้องของเนื้อหา
1 การปฏิบัติการทดลอง 2. ความ มี ค ว า ม ค ล่ อ ง แ ค ล่ ว มี ค ว า ม ค ล่ อ ง แ ค ล่ ว ขาดความคล่ อ งแคล่ ว ท าการทดลองเสร็ จ ไม่
คล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง ในขณะท าการทดลอง ทั น เ ว ล า แ ล ะ ท า
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
ในขณะท าการทดลอง
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ ในขณะ แต่ต้องได้รับคาแนะนา จึ ง ท าการทดลองเสร็ จ อุปกรณ์เสียหาย 4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
โ ด ย ไ ม่ ต้ องไ ด้ รั บ ค า
3 การนาเสนอ ปฏิบัติการ บ้าง และทาการทดลอง ไม่ทันเวลา 5 วิธีการนาเสนอผลงาน
ชี้ แ น ะ แ ล ะ ท า ก า ร
รวม เสร็จทันเวลา รวม
ทดลองเสร็จทันเวลา
ขั้นตอน ซึ่งมีพัฒนาการสืบทอดตอกันมาเปนลําดับจนไดรูปแบบ
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
15
10 1) ให้นักเรียนเขียนกราฟแสดงปริมาณอาหารที่ลูกไก่กินในเวลา 5 วัน
5
2) นักเรียนคิดว่าในวันที่ 6 ปริมาณอาหารทีล่ กู ไก่กนิ น่าจะมีนา�้ หนักประมาณเท่าใด เพราะเหตุใด
จึงคิดเช่นนั้น
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 3) ให้นักเรียนอธิบายว่า เพราะเหตุใดลูกไก่จึงกินอาหารในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นทุก ๆ วัน และ
อายุของลูกไก (กรัม)
หากลูกไก่เจริญเติบโตจนพร้อมที่จะสืบพันธุ์แล้ว จะกินอาหารในปริมาณมากขึ้นอีกเรื่อย ๆ
2) ในวันที่ 6 ปริมาณอาหารที่ลูกไกกินควรจะ หรือไม่ อย่างไร
มีนํ้าหนักประมาณ 20 กรัม เพราะลูกไก 4. ให้นักเรียนยกตัวอย่างแขนงวิชาย่อยของชีววิทยา พร้อมระบุว่าแต่ละแขนงวิชาศึกษาเกี่ยวกับ
ต อ งการกิ น อาหารเพิ่ ม มากขึ้ น เพื่ อ ทํ า ให อะไร
รางกายเจริญเติบโต
5. นักเรียนคิดว่าแขนงวิชาย่อยใดของชีววิทยาน่าสนใจ เพราะเหตุใดจึงน่าสนใจ และคิดว่าการศึกษา
3) ลูกไกจะกินอาหารเพิม่ มากขึน้ ทุกวัน เนือ่ งจาก
ทางด้านนั้นจะสามารถน�าไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
อาหารจะถู ก นํ า ไปใช เ ป น แหล ง พลั ง งาน
ในกระบวนการเมแทบอลิซมึ และหากลูกไก 6. เพราะเหตุใดการศึกษาชีววิทยาจึงต้องตระหนักถึงชีวจริยธรรม
เจริญเติบโตจนพรอมที่จะสืบพันธุ รางกาย 7. ให้นักเรียนอธิบายความหมายของวิธีการทางวิทยาศาสตร์และสรุปออกมาในรูปของผังมโนทัศน์
จะมีการเจริญเติบโตในอัตราที่ลดลง ทําให
26
ตองการกินอาหารในปริมาณคงที่
4. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน ตัวอยางเชน
- พันธุศาสตร ศึกษาการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
- นิเวศวิทยา ศึกษาความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม
- กายวิภาคศาสตร ศึกษาโครงสรางของสิ่งมีชีวิต
- สรีรวิทยา ศึกษาการทํางานของอวัยวะ
- เซลลวิทยา ศึกษาเซลลของสิ่งมีชีวิต
- อนุกรมวิธาน ศึกษาการจัดหมวดหมูของสิ่งมีชีวิต
- จุลชีววิทยา ศึกษาเกี่ยวกับจุลินทรีย
5. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน ตัวอยางเชน พันธุศาสตร เนื่องจากพันธุศาสตรเปนการศึกษาเกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
ซึ่งสามารถนําความรูที่ไดไปตอยอดพัฒนา ปรับปรุงหรือสรางสิ่งมีชีวิตชนิดตางๆ ใหมีลักษณะตามที่ตองการโดยอาศัยเทคนิคทางพันธุวิศวกรรม เปนตน
6. การศึกษาทางชีววิทยาสวนใหญตองมีการทดลองกับสัตวทดลอง ซึ่งสัตวทดลองเปนสิ่งมีชีวิตเชนเดียวกับมนุษย ดังนั้น ผูที่ศึกษาจึงควรมีจริยธรรมในการ
ใชสัตวทดลอง โดยไมทําราย ไมทรมาน และควรปฏิบัติตอสัตวทดลองอยางเมตตาและมีคุณธรรม
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
7. วิธีการทางวิทยาศาสตร เปนวิธีการแสวงหา
ความรูทางวิทยาศาสตรอยางมีกระบวนการ
8. วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีความส�าคัญต่อการศึกษาชีววิทยาอย่างไร เป น แบบแผนและมี ขั้ น ตอนที่ ส ามารถปฏิ บั ติ
9. อเล็กซานเดอร์ เฟลมิง นักจุลชีววิทยา พบว่า “ถ้ามีราเพนิซลิ เลียมอยูใ่ นจานเพาะเลีย้ งแบคทีเรีย ตามได ซึ่ ง ถื อ ว า เป น เครื่ อ งมื อ สํ า คั ญ ของ
จะไม่พบแบคทีเรียเจริญเติบโตในบริเวณนัน้ ๆ” ให้นกั เรียนตัง้ ปัญหาและสมมติฐานทีเ่ กีย่ วข้องกับ นักวิทยาศาสตรในการศึกษาสิง่ ตางๆ โดยขัน้ ตอน
ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ของวิธีการทางวิทยาศาสตร หมีดังนี้
กําหนดปญหา ตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบ
10. สมมติฐานที่ดีมีลักษณะอย่างไร
สมมติฐาน เก็บรวบรวมขอมูลและวิเคราะหขอมูล
11. ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมสัมพันธ์กันอย่างไร สรุปผล
12. หากนักเรียนท�าการทดลอง แล้วได้ผลการทดลองไม่ตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ นักเรียนจะ 8. วิธกี ารทางวิทยาศาสตรเปนกระบวนการสืบเสาะ
ด�าเนินการต่อไปอย่างไร เพราะเหตุใด หาความรู โดยมีวธิ กี ารทํางานทีเ่ ปนระบบขัน้ ตอน
13. นักเรียนคิดว่าบุคคลที่เป็นนักวิทยาศาสตร์จะมีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง ซึ่งถือวาเปนองคประกอบสําคัญที่ชวยทําให
การศึกษาคนควาเรื่องตางๆ ประสบผลสําเร็จ
14. นักเรียนกลุม่ หนึง่ ศึกษาเกีย่ วกับการงอกของเมล็ดพืช ด้วยการเพาะเมล็ดถัว่ เขียวในจานเพาะเชือ้ และเกิดความกาวหนาอยางรวดเร็ว
โดยใช้กระดาษทิชชูเป็นวัสดุรองพื้น ซึ่งแบ่งการทดลองออกเป็น 2 ชุด ดังนี้
9. ปญหา : ทําไมบริเวณที่มีราเพนิซิลเลียมจึงไมมี
• ชุดที่ 1 ไม่รดน�้าตลอดการทดลอง
• ชุดที่ 2 รดน�้าทุกวัน แบคทีเรียเจริญเติบโตอยู
น�าชุดทดลองไปวางไว้ในสถานที่เดียวกันเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งได้ผลการทดลอง ดังนี้ สมมติฐาน : ถาราเพนิซลิ เลียมสามารถสรางสาร
กำรทดลอง ผลกำรสังเกต ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได ดังนั้น
บริเวณที่มีราเพนิซิลเลียมอยู แบคทีเรียจะไม
ชุดที่ 1 เมล็ดไม่งอก
สามารถเจริญเติบโตได
ชุดที่ 2 เมล็ดงอก
10. สมมติฐานทีด่ คี วรมีความชัดเจน เฉพาะเจาะจง
1) ปัญหาที่น�ามาสู่การทดลองนี้ คืออะไร สอดคลองกับความจริงในเรือ่ งทีก่ าํ ลังศึกษา และ
2) สมมติฐานของการทดลองนี้ คืออะไร มั ก จะแนะแนวทางการตรวจสอบสมมติ ฐ าน
3) ให้นักเรียนระบุตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมจากการทดลองข้างต้น และออกแบบการตรวจสอบไวแลว
4) นักเรียนจะสรุปผลการทดลองนี้ ได้อย่างไร
5) หากไม่มีการทดลองในชุดที่ 1 นักเรียนจะสรุปผลการทดลองนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด 11. ตัวแปรตน คือ ตัวแปรที่ผูทดลองกําหนดขึ้น
เพื่อทดสอบผลที่เกิดขึ้นจากตัวแปรนี้
15. หากต้องการตรวจสอบสมมติฐานที่ว่า “ไวรัสชนิดหนึ่งเป็นสาเหตุของการท�าให้เกิดโรคมะเร็ง ตัวแปรตาม คือ ผลทีเ่ กิดจากการทดลองโดย
ในหนูจริงหรือไม่” นักเรียนจะออกแบบการทดลองนี้อย่างไร
จะเปลี่ยนแปลงไปตามตัวแปรตน
ตัวแปรควบคุม คือ ปจจัยอื่นๆ นอกเหนือ
จากตัวแปรตนที่มีผลตอการทดลอง จึงตอง
ธรรมชาติ 27
ของสิ่งมีชีวิต ควบคุมใหเหมือนกันทุกชุดการทดลอง เพื่อ
ปองกันการเกิดความคลาดเคลื่อน
T29
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายเกี่ยวกับสมบัติ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
สารอนินทรีย์ ม.4 เล่ม 1 ของน�ำ้ ได้ (K) ความรู้ (5Es ก่อนเรียน - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. บอกความส�ำคัญของน�้ำ Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด ค้นหา - มุ่งมั่นใน
2 ม.4 เล่ม 1
- PowerPoint ประกอบ
ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตได้ (K)
3. ยกตัวอย่างธาตุต่าง ๆ
Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง
ความสำ�คัญของสาร
- ทกั ษะการตีความ การท�ำงาน
หมายข้อมูลและ
ชั่วโมง
การสอน ที่มีความส�ำคัญต่ อนินทรีย์ต่อสิ่งมีชีวิต ลงข้อสรุป
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ร่างกายสิ่งมีชีวิตได้ (K) - ประเมินการปฏิบัติการ - ทักษะการวิเคราะห์
TWIG 4. สืบเสาะหาความรู้ - สังเกตพฤติกรรมการ
เกี่ยวกับความส�ำคัญ ทำ�งานรายบุคคล
ของสารอนินทรีย์ต่อ - สังเกตพฤติกรรมการ
สิ่งมีชีวิตได้ (P) ทำ�งานกลุ่ม
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา - สังเกตพฤติกรรม
และสามารถท�ำงาน การนำ�เสนอ
ร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง - สังเกตความมีวินัย
สร้างสรรค์ (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 2 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายโครงสร้าง แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
สารอินทรีย์ ม.4 เล่ม 1 ความส�ำคัญ และชนิด ความรู้ (5Es - ต รวจใบงาน เรื่อง - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา ของคาร์โบไฮเดรต Instructional คาร์โบไฮเดรต ค้นหา - มุ่งมั่นใน
2 ม.4 เล่ม 1 โปรตีน ลิพิด และ
- PowerPoint ประกอบ กรดนิวคลีอกิ ได้ (K)
Model) - ประเมินการปฏิบัติการ
- สังเกตพฤติกรรมการ
- ทกั ษะการตัง้
สมมติฐาน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
การสอน 2. สืบค้นข้อมูลและ ทำ�งานรายบุคคล - ทักษะการทดลอง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น อภิปรายเกี่ยวกับความ - สังเกตพฤติกรรมการ - ทักษะการวิเคราะห์
TWIG ส�ำคัญของสารอินทรีย์ ทำ�งานกลุ่ม
ต่อสิ่งมีชีวิตได้ (P) - สังเกตความมีวินัย
3. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
และมีความรับผิดชอบ ในการทำ�งาน
(A)
แผนฯ ที่ 3 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการเกิดปฏิกิริยา แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
ปฏิกิริยาเคมี ม.4 เล่ม 1 ดูดพลังงานและปฏิกริ ยิ า ความรู้ (5Es หลังเรียน - ทกั ษะการตัง้ - ใฝ่เรียนรู้
ในเซลล์ของ - แบบฝึกหัดชีววิทยา คายพลังงานได้ (K) Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด ค�ำถาม - มุ่งมั่นใน
สิ่งมีชีวิต ม.4 เล่ม 1 2. อธิบายการท�ำงานของ Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทกั ษะการตัง้ การท�ำงาน
- PowerPoint ประกอบ เอนไซม์ ตัวยังยั้ง ปัจจัยที่มีผลต่อการ สมมติฐาน
4 การสอน เอนไซม์ และปัจจัยที่มี ทำ�งานของเอนไซม์ - ทักษะการทดลอง
ชั่วโมง - ภาพยนตร์สารคดีสั้น ผลต่อการท�ำงานของ - ประเมินการปฏิบัติการ - ทักษะการวิเคราะห์
TWIG เอนไซม์ได้ (K) - สังเกตพฤติกรรมการ
3. ทดลองเพื่อศึกษาการ ทำ�งานบุคคล
ท�ำงานของเอนไซม์จาก - สังเกตพฤติกรรมการ
เนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตได้ ทำ�งานกลุ่ม
(P) - สังเกตความมีวินัย
4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
(A) ในการทำ�งาน
T30
Chapter Concept Overview
หนวยการเรียนรูที่ 2
1นํ้า
โครงสรางโมเลกุล ความสําคัญ
ไฮโดรเจน 2 อะตอม ออกซิเจน 1 อะตอม • ช่วยรักษาสมดุลอุณหภูมิภายในร่างกาย เนื่องจากน�้ามีความจุ
ความร้อนสูง และเก็บความร้อนได้ดี
H • เปนตัวท�าละลายที่ดี เนื่องจากโมเลกุลของน�้าสามารถสร้างพันธะ
ไฮโดรเจนกับสารต่าง ๆ ได้ดี และด้วยสมบัติที่แสดงทั้งประจุบวก
O และประจุลบในโมเลกุลเดียวกัน
• ช่วยล�าเลียงสารเคมีไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เนือ่ งจากโมเลกุล
H ของน�า้ สามารถทีจ่ ะยึดเหนีย่ วกับโมเลกุลของสารอืน่ ๆ ได้ดี
• มีส่วนร่วมในปฏิกิริยาเคมี มีบทบาทส�าคัญในปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส
(hydrolysis) และช่วยให้กระบวนการเมแทบอลิซมึ เปนไปอย่างปกติ
H2O H + + OH - • ปองกันการเสียดสี หรือการกระทบกระเทือนของอวัยวะ
แรธาตุ
แคลเซียม
• เสริมสร้างกระดูกและฟัน ควบคุมการท�างานของหัวใจ การส่งกระแสประสาท
• พบมากในกุ้งแห้ง นม ไข่ กะป ผักคะน้า ขึ้นฉ่าย ใบยอ
โซเดียม
• ควบคุมสมดุลน�้าและกรด-เบส การส่งกระแสประสาท และการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ
• พบมากในเกลือแกง อาหารทะเล เนื้อสัตว์ นม
โพแทสเซียม
• ควบคุมสมดุลน�้าและกรด-เบส การส่งกระแสประสาท และการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ
• พบมากในกุ้งแห้ง นม ไข่ กะป ผักคะน้า ขึ้นฉ่าย ใบยอ
แมกนีเซียม
• กระตุ้นการท�างานของเอนไซม์ การส่งกระแสประสาท และการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ
• พบมากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง
ฟอสฟอรัส
• เปนส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ควบคุมสมดุลน�้าและกรด-เบส
• พบมากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ เนย ถั่วเมล็ดแห้ง OH- H+
เหล็ก
• เปนองค์ประกอบของเฮโมโกลบิน ไมโอโกลบิน เอนไซม์บางชนิด
• พบมากในเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่แดง หอย ผักขม ขึ้นฉ่าย
ไอโอดีน
• เปนส่วนประกอบของฮอร์โมนไทรอกซินที่ผลิตจากต่อมไทรอยด์
• พบมากในอาหารทะเล เกลือสมุทร น�้าปลา กะป
T31
คาร์ โบไฮเดรต
ีน�้าต
าล ีแปง
ไม่ม ไม่ม
มีน�้าตาลเล็กน้อย
มีน�้า มีแป
ตาลม ง
าก
อาหาร + อาหาร +
สารละลายเบเนดิกต์ สารละลายไอโอดีน
การทดสอบน�้าตาลมอโนแซ็กคาไรด์ การทดสอบแปง
โปรตีน โมเลกุลประกอบด้วยหน่วยย่อย เรียกว่า กรดอะมิโน ที่เชื่อมต่อกันด้วยพันธะเพปไทด์
กรดอะมิโน : สารประกอบอินทรีย์ที่มี พันธะเพปไทด : พันธะที่เชื่อมต่อกรดอะมิโน โดยอาศัยการรวมตัวของหมู่คาร์บอกซิลกับ
หมู่อะมิโน (-NH2) และหมู่คาร์บอกซิล หมู่อะมิโน ซึ่งจะได้เพปไทด์ (peptide) และน�้า 1 โมเลกุล
(-COOH-) เปนองค์ประกอบ
ไกลซีน อะลานีน ซิสเทอีน
หมูอะมิโน หมูคารบอกซิล H H O H H O H H O
H H O H N C C O H H N C C O H H N C C O H
H H C H H C H
H N C C O H
H2O H H2O S
R
H
H H O H H O H H O
H N C C N C C N C C O H
H H C H H C H
H S
พันธะเพปไทด์ H
T32
ลิพิด
ลิพิดเชิงเดี่ยว ลิพิดเชิงซอน
• โมเลกุลประกอบไปด้วยหน่วยย่อย 2 ส่วน คือ กรดไขมัน (fatty • โมเลกุลลประกอบด้วยกรดไขมัน
acid) และกลีเซอรอล (glycerol) กลีเซอรอล และอาจมีสารอื่น ๆ
• ปฏิกิริยาการรวมตัวกันระหว่างกรดไขมันกับกลีเซอรอล เรียกว่า เชื่อมอยู่ด้วย
ดีไฮเดรชัน (dehydration) หรือปฏิกริ ยิ าควบแน่น (condensation) • ตัวอย่างเช่น
ฟอสโฟลิพิด (phospholipid)
O O
ไกลโคลิพิด (glycolipid)
HO C R H2C O C R ลิโพโปรตีน (lipoprotein)
H2C OH O O
HC OH + HO C R HC O C R + 3H2O ลิพิดอนุพันธ
H2C OH O O • โครงสร้างต่างจากลิพิดทั่วไป แต่
HO C R H2C O C R สมบัติคล้ายลิพิด
กลีเซอรอล กรดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ น�้า • ตั ว อย่ า งเช่ น สเตรอยด์ เช่ น
คอเลสเตอรอล (cholesterol)
โพรเจสเทอโรน (progesterone)
เทสโทสเทอโรน (testosterone)
กรดนิวคลีอิก วิตามิน
ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
ปฏิกิริยาเคมี
ถ้าพลังงานพันธะของสารตัง้ ต้นสูงกว่าพลังงานพันธะของผลิตภัณฑ์ ถ้ า พลั ง งานพั น ธะของสารตั้ ง ต้ น ต�่ า กว่ า พลั ง งานพั น ธะของ
เมือ่ เกิดปฏิกริ ยิ าจะมีพลังงานส่วนเกินถูกปลดปล่อยออกมา ซึง่ เรียก ผลิตภัณฑ์ จ�าเปนต้องใช้พลังงานภายนอกเข้าไปในปฏิกิริยา ซึ่ง
ว่า ปฏิกิริยาคายพลังงาน (exergonic reaction) เรียกว่า ปฏิกิริยาดูดพลังงาน (endergonic reaction)
เอนไซม พลังงานกระตุ้น
เมื่อไม่มีเอนไซม์
ระดับพลังงาน
T33
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ และ
เคมีทเี่ ปนพืน้ ฐาน
2
หน่วยการเรียนรูที่
ใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพื่อวัด
ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม
2. ครูอภิปรายเกีย่ วกับหนวยพืน้ ฐานของสิง่ มีชวี ติ
ที่นักเรียนไดศึกษามา โดยกลาวถึงโครงสราง
ของสิง่ มีชวี ติ
และหนาที่ของเซลลแตละชนิด แลวเชื่อมโยง ผลการเรียนรู แมวา สิง่ มีชวี ต
ิ แต่ละชนิดจะมีรปู ร่างลักษณะต่างกัน
แต่นกั เรียน
เขาสูเนื้อหาวาภายในเซลลของสิ่งมีชีวิตนั้น 3. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกีย่ วกับสมบัติ ทราบหรือไม่ว่าร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นล้วนประกอบไปด้วย
ของน�า้ และบอกความส�าคัญของน�า้ หน่วยพื้นฐานที่มีขนาดเล็กที่สุดเรียกว่าเซลล์ โดยภายในเซลล์
ประกอบดวยสารเคมีหลายชนิด ทีม่ ตี อ่ สิง่ มีชวี ติ และยกตัวอย่างธาตุ
ต่าง ๆ ที่มีความส�าคัญต่อร่างกาย จะประกอบด้วยโมเลกุลของสารเคมีหลายชนิดซึง่ สารเคมีตา่ ง ๆ นี้
3. ครู ก ระตุ น ความสนใจของนั ก เรี ย น โดยตั้ ง สิ่งมีชีวิตได้ ล้วนมีผลต่อการท�างานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายสิ่งมีชีวิต
คําถามใหนักเรียนรวมกันอภิปราย ซึ่งอาจใช 4. อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต
ระบุกลุม่ ของคาร์โบไฮเดรต รวมทัง้
คําถามจากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 ความส�าคัญของคาร์โบไฮเดรตที่มี
หรือคําถามอื่นๆ ต่อสิ่งมีชีวิตได้
5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของ
โปรตีน และความส�าคัญของโปรตีน
ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตได้
6. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของ
ลิพิด และความส�าคัญของลิพิดที่มี
ต่อสิ่งมีชีวิตได้
7. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลิอิก
ระบุ ก ลุ ่ ม ของกรดนิ ว คลิ อิ ก และ
ความส�าคัญของกรดนิวคลิอิกที่มี
ต่อสิ่งมีชีวิตได้
8. สืบค้นข้อมูลและอธิบายปฏิกริ ยิ าเคมี
ที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตได้
9. อธิบายการท�างานของเอนไซม์ ใน
การเร่งปฏิกริ ยิ าเคมีในสิง่ มีชวี ติ และ
ระบุปัจจัยที่มีผลต่อการท�างานของ
เอนไซม์ ได้
Ëҧ¡Ò¢ͧÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
แนวตอบ Big Question ¡ÑºÊÒÃà¤ÁÕ
à¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡Ñ¹Í‹ҧäÃ
รางกายสิง่ มีชวี ติ ประกอบไปดวยหนวยพืน้ ฐาน
ที่เรียกวา เซลล โดยภายในเซลลประกอบไปดวย
โมเลกุลของสารเคมีหลายชนิด เชน นํ้า แรธาตุ
คารโบไฮเดรต โปรตีน เปนตน ซึ่งสารเคมีตางๆ
เหลานี้ ลวนมีผลตอการทํางานของระบบตางๆ ใน
รางกายสิ่งมีชีวิต
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนเรื่อง เคมีที่เปนพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ครูอาจจะนําเขาสู
บทเรียนโดยการรวมกันอภิปรายเพื่อใหไดขอสรุปวา โครงสรางของพืชและสัตว
ประกอบดวยอวัยวะที่ทํางานรวมกันอยางเปนระบบ แตละอวัยวะประกอบดวย
เนื้อเยื่อตางๆ ที่ทํางานรวมกัน และเนื้อเยื่อประกอบดวยหนวยยอย คือ เซลล
ซึ่งเซลลยังประกอบดวยโมเลกุลและอะตอม
T34
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
ในรางกายสิ่งมีชีวิตจะพบ 1. สารเคมีทเี่ ปนพืน้ ฐานของสิง่ มีชวี ติ 4. ครู ค วรชี้ แ นะให นั ก เรี ย นทราบว า เนื้ อ หาใน
หนวยการเรียนรูนี้เปนการบูรณาการกับสาขา
สารชนิดใดมากที่สุด ภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั้นจะประกอบไปด้วยโมเลกุล 1
ของสารเคมีหลายชนิด ทั้งที่เป็นสารอนินทรีย์ และสารอินทรีย์ วิ ช าเคมี จากนั้ น ให นั ก เรี ย นพิ จ ารณาภาพ
ซึง่ โมเลกุลของสารเคมีเหล่านี้ จะเกิดจากอะตอมของธาตุทเี่ ป็นพืน้ ฐานของสิง่ มีชวี ติ ได้แก่ คาร์บอน แผนภูมแิ สดงปริมาณสารเคมีในรางกายมนุษย
ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4-6 เลม 1
นักวิทยาศาสตร์มคี วามสนใจทีจ่ ะศึกษาว่าร่างกายสิง่ มีชวี ติ 5. ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนรวมกันอภิปราย
ประกอบด้วยสารใดบ้าง มากน้อยเพียงใด ซึง่ จากการศึกษาพบว่า ï• รางกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบดวย
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุหลายชนิดในปริมาณแตกต่างกัน สารเคมีเชนเดียวกันหรือไม อยางไร
โดยธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ ได้แก่ ธาตุออกซิเจน (แนวตอบ รางกายสิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบ
มีประมาณร้อยละ 65 รองมา คือ ธาตุคาร์บอนประมาณร้อยละ ไปด ว ยสารเคมี เ ช น เดี ย วกั น แต อ าจมี
18.5 ธาตุไฮโดรเจนมีประมาณร้อยละ 10 และธาตุไนโตรเจน ปริมาณสารแตละชนิดแตกตางกัน)
มีประมาณร้อยละ 3 ตามล�าดับ นอกจากนี้อาจพบธาตุที่มี ï• สารเคมี ที่ เ ป น องค ป ระกอบของร า งกาย
ความจ�าเป็นในสิ่งมีชีวิต แต่มีปริมาณน้อย ได้แก่ ฟลูออรีน สิ่งมีชีวิต ไดแกสารชนิดใดบาง
ไอโอดีน สังกะสี แมงกานีส แมกนีเซียม ก�ามะถัน และฟอสฟอรัส (แนวตอบ สารอนินทรีย และสารอินทรีย)
อะตอมของธาตุ ที่ พ บในร่ า งกายมนุ ษ ย์ จ ะรวมตั ว กั น
เป็นสารเคมีต่าง ๆ โดยสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในร่างกาย
ของมนุษย์ที่พบมากที่สุด คือ น�้า ซึ่งมีประมาณร้อยละ 65
ส่วนที่รองลงมา คือ โปรตีนร้อยละ 18 ไขมันร้อยละ 10 ภาพที่ 2.1 ร่างกายของสิ่งมีชีวิต
ประกอบด้วยสารเคมีพื้นฐานเช่น
คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 5 และส่วนที่เหลือจะเป็นสารอินทรีย์และ เดี ย วกั น แต่ อ าจมี ป ริ ม าณสาร
สารอนินทรีย์อื่น ๆ แต่ละชนิดแตกต่างกัน
สารอินทรีย์อื่น ๆ 1% สารอนินทรีย์อื่น ๆ 1%
คาร์โบไฮเดรต 5%
ไขมัน 10%
น�้า 65%
โปรตีน 18%
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 29
ของสิ่งมีชีวิต แนวตอบ Prior Knowledge
นํ้า ซึ่งจัดเปนสารอนินทรีย
T35
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนกั เรียนจับคูก นั ศึกษาขอมูลเกีย่ วกับสมบัติ อะตอมของธาตุต่าง ๆ จะรวมตัวกันเป็นสารประกอบที่มีองค์ประกอบและสมบัติแตกต่างกัน
ของสารอนินทรียและสารอินทรียจากหนังสือ นักวิทยาศาสตร์จึงจ�าแนกสารออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สารอนินทรีย์ และสารอินทรีย์
เรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 จากนั้นใหนักเรียน
ตารางที่ 2.1 : ควำมแตกต่ำงระหว่ำงสำรอนินทรีย์กับสำรอินทรีย์
รวมกลุมกัน กลุมละ 5-6 คน แลวตั้งคําถาม
สมบัติ สารอนินทรีย์ สารอินทรีย์
เกี่ ย วกั บ สารอนิ น ทรี ย ใ นประเด็ น ที่ นั ก เรี ย น
ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ ธาตุทุกชนิด ยกเว้นคาร์บอน มี ธ าตุ ค าร์ บ อนและธาตุ ไ ฮโดรเจน
สนใจ ตัวอยางเชน เป็นองค์ประกอบหลัก และมีธาตุอนื่ ๆ
•ï สารอนินทรียใ นรางกายสิง่ มีชวี ติ มีอะไรบาง เป็นองค์ประกอบร่วม
(แนวตอบ นํ้าและแรธาตุ) 1
พันธะเคมี มีทั้งพันธะโคเวเลนต์และพันธะ พันธะโคเวเลนต์
ï• สารอนินทรียม คี วามสําคัญตอการดํารงชีวติ ไอออนิก (ส่วนมากเป็นไอออนิก)
ของสิ่งมีชีวิตอยางไร การละลายน�้า ส่วนมากละลายน�้าได้ดี ส่วนมากไม่ละลายน�้า ยกเว้นพวก
(แนวตอบ นํ้าเปนตัวทําละลาย ชวยลําเลียง โมเลกุลมีขั้วขนาดเล็ก
สาร และควบคุมอุณหภูมิของรางกาย สวน การน�าไฟฟ้าของสารละลาย (ในน�้า) น�าไฟฟ้าได้ดี โดยเฉพาะสารไอออนิก ไม่น�าไฟฟ้าหรือน�าไฟฟ้าได้น้อย
แรธาตุชว ยในการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีตา งๆ ใน การละลายในตัวท�าละลายอินทรีย์ ไม่ละลาย ละลายได้ดี
รางกาย) จุดหลอมเหลว - จุดเดือด ค่อนข้างสูง ค่อนข้างต�่า
2. ครูควรชีแ้ นะวา คําถามตางๆ ทีแ่ ตละกลุม ตัง้ ขึน้ การเผาไหม้ ติดไฟยาก ซึง่ ต้องใช้ความร้อนสูงมาก ติดไฟง่าย และอาจมีเขม่า
สามารถหาคําตอบไดเมื่อนักเรียนไดศึกษา และเมื่อติดไฟแล้วจะมีกากของแข็ง
เหลืออยู่
เนื้อหาแลว
อัตราการเกิดปฏิกิริยา เกิดได้เร็ว เกิดค่อนข้างช้า
3. ครูกระตุนใหนักเรียนศึกษาสัดสวนของนํ้าใน
รางกายมนุษย จากภาพแผนภูมิแสดงปริมาณ
สารเคมี ใ นร า งกายมนุ ษ ย ในหนั ง สื อ เรี ย น
ชีววิทยา ม.4 เลม 1 แลวรวมกันอภิปราย โดยมี
B iology
Focus อะตอมและโมเลกุล
แนวอภิปราย ดังนี้ สสารทุกชนิดบนโลก จะประกอบด้วยหน่วยที่เล็กที่สุด
“นํ้ า เป น องค ป ระกอบที่ พ บมากที่ สุ ด ใน เรียกว่า อะตอม (atom) ซึ่งยังแสดงคุณสมบัติของธาตุนั้นอยู่
รางกายมนุษย แสดงวานํ้ามีความสําคัญอยาง โดยภายในอะตอมจะประกอบด้วยอนุภาคย่อย ๆ ที่เป็นอนุภาค อะตอม
ยิ่งตอรางกาย ดังนั้น จึงควรดื่มนํ้าใหเพียงพอ มูลฐานอยู่ 3 ชนิด คือ โปรตอน (proton) นิวตรอน (neutron)
ตอความตองการของรางกาย อยางนอยวันละ และอิเล็กตรอน (electron) อะตอมของธาตุตั้งแต่ 2 อะตอม
8-10 แกว นอกจากนี้ยังควรดื่มนํ้าหลังจาก ขึ้ น ไปจะรวมตั ว กั น เรี ย กว่ า โมเลกุ ล (molecule) ซึ่ ง การ
ยึดเหนี่ยวของอะตอมที่เกิดขึ้นนั้นต้องอาศัยแรงจากพันธะเคมี
ออกกําลังกาย และหลังจากรับประทานอาหาร (chemical bond) โมเลกุล
อยางสมํ่าเสมอ ” ภาพที่ 2.3
30
T36
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
สารอนินทรียมีลักษณะ 2. สารอนินทรีย์ 4. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ศึ ก ษาเรื่ อ งนํ้ า จาก
อยางไร หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 แลวอภิปราย
สารอนินทรีย์ (inorganic substance) เป็นสารประกอบ
ที่ไม่มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบอยู่ ซึ่งสารอนินทรีย์ที่เป็น สรุปใจความสําคัญ
องค์ประกอบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั้น บางอย่างมีปริมาณมาก บางอย่างมีปริมาณน้อย แต่สาร 5. ครูใชเทคนิคการเขียนรอบโตะ (round table)
เหล่านี้ล้วนแต่มีความส�าคัญต่อการท�างานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายสิ่งมีชีวิต โดยแจกกระดาษใหนักเรียนกลุมละ 1 แผน
แล ว ให ส มาชิ ก แต ล ะคนในกลุ ม เขี ย นความ
2.1 นํ้า สําคัญของนํา้ ตอสิง่ มีชวี ติ คนละ 1 ขอ ไมซาํ้ กัน
น�้า (water) เป็นสารอนินทรีย์ที่พบมากที่สุดในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งหากสิ่งมีชีวิตขาดน�้า ซึ่งนักเรียนอาจเขียนได ดังนี้
จะท�าให้ไม่สามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ - นํ้าชวยใหเกิดปฏิกิริยาเคมี
โครงสร้างโมเลกุลของน�้าจะประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม - นํ้าชวยในการลําเลียงสาร
ซึ่งมีสูตรโมเลกุล คือ H2O โดยอะตอมของไฮโดรเจนและออกซิเจนในโมเลกุลของน�้ายึดเหนี่ยว - นํ้าชวยรักษาสมดุลอุณหภูมิในรางกาย
กันด้วยพันธะโคเวเลนต์ (covalent bond) ซึ่งเกิดจากการใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน โดยออกซิเจนจะ - นํ้าชวยรักษาสมดุลของกรด-เบส
มีอิเล็กตรอนวงนอกสุดที่เหลืออีก 4 อิเล็กตรอน ซึ่งไม่ได้ยึดเหนี่ยวกับอะตอมของธาตุอื่น ท�าให้ - นํ้าเปนตัวทําละลายที่ดี
อะตอมของออกซิเจนแสดงประจุลบ ส่วนอะตอมของไฮโดรเจนทั้ง 2 อะตอม แสดงประจุบวก
จึงท�าให้โมเลกุลของน�้าเป็นโมเลกุลที่มีขั้ว (polar)
นอกจากน�า้ จะเป็นโมเลกุลที1ม่ ขี วั้ แล้ว น�า้ ยังมีสมบัตเิ ป็นของเหลวทีอ่ ณ
ุ หภูมหิ อ้ ง ซึง่ เกิดจาก
การยึดเหนีย่ วด้วยพันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond) ระหว่างอะตอมของออกซิเจนกับอะตอมของ
ไฮโดรเจนของน�้าแต่ละโมเลกุล
โมเลกุลของน�า้ สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับโมเลกุลของสารอืน่ ๆ ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิง่
สารที่มีขั้ว และสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ ด้วยสมบัตินี้น�้าจึงนับว่าเป็นตัวท�าละลายที่ดีซึ่ง
สามารถละลายสารประกอบต่าง ๆ ได้ดีกว่าตัวท�าละลายอื่น ๆ
+
δ H −
H δ
O O
+
H δ H
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนแตละกลุมรวม สารที่มีสมบัติในการละลายน�้าได้ดี เรียกว่า สารชอบน�้า หรือไฮโดรฟิลิก (hydrophilic) ซึ่ง
กันหาคําตอบวา สมบัติของนํ้าเกี่ยวของกับ เป็นสารทีม่ โี มเลกุลแบบมีขวั้ หรือสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ดี ส่วนสารทีไ่ ม่สามารถละลายน�้าได้
โครงสรางโมเลกุลของนํ้าอยางไร จะเป็นสารที่มีโมเลกุลแบบไม่มีขั้ว และไม่สามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ ซึ่งสารในกลุ่มนี้ เรียกว่า
2. ใหนักเรียนแตละกลุมอธิบายการเกิดโมเลกุล สารไม่ชอบน�้า หรือไฮโดรโฟบิก (hydrophobic)
ที่มีขั้วของนํ้า รวมทั้งการเขียนสัญลักษณแทน โมเลกุลของน�้าสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ เมื่อแตกตัวแล้วจะเกิดเป็นไฮโดรเจนไอออน
ขั้วบวกและขั้วลบ แลวนําเสนอหนาชั้นเรียน (H ) ซึ่งแสดงสมบัติเป็นกรด และไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) ซึ่งแสดงสมบัติเป็นเบส
+
โดยมีแนวการอธิบาย ดังนี้
“การเกิดโมเลกุลที่มีขั้วของนํ้า เกิดจาก -
+
-
+
- + + -
-
+ +
+ + +
CI -
+ + + +
ของออกซิเจนแสดงประจุลบ สวนอะตอมของ +
ไฮโดรเจนทัง้ 2 อะตอม แสดงประจุบวก ซึง่ เขียน ภาพที่ 2.6 โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) เป็นโมเลกุลที่มีขั้ว ภาพที่ 2.7 โมเลกุลของน�า้ สามารถแตกตัวเป็นไฮโดรเจน
เมื่อละลายน�้าแล้ว โซเดียมไอออน (Na+) จะเกาะกับ ไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออนจ�านวนเท่า ๆ กัน ดังสมการ
สัญลักษณแทนขั้วบวกและขั้วลบได ดังภาพ อะตอมของออกซิเจน ส่วนคลอไรด์ไอออน (Cl-) จะเกาะ H2O H+ + OH-
ในหนังสือเรียน หนา 31 ” กับอะตอมของไฮโดรเจน
32
T38
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2.2 แรธาตุ 1. ใหนักเรียนแตละกลุมสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ
แร่ธาตุ (mineral) เป็นส่วนประกอบของสารอินทรีย์หลายชนิดภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต แรธาตุ กลุมละ 1 ชนิด จากหนังสือเรียน
ซึ่งสิ่งมีชีวิตต้องการแร่ธาตุต่าง ๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน ชีววิทยา ม.4 เลม 1
2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ
การจัดแบ่งแร่ธาตุตามความตองการของร่างกาย สาระสําคัญที่กลุมตนเองศึกษาหนาชั้นเรียน
แร่ธาตุที่ต้องการในปริมาณมาก (macronutrient elements) ได้แก่ แคลเซียม โซเดียม โพแทสเซียม โดยกลาวถึงประเด็นเกีย่ วกับความสําคัญ และ
แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส คลอรีน และก�ามะถัน แหลงที่พบแรธาตุนั้นๆ
แร่ธาตุทตี่ อ้ งการในปริมาณน้อย (micronutrient elements) ได้แก่ เหล็ก ไอโอดีน แมงกานีส ทองแดง
สังกะสี ฟลูออรีน โคบอลต์ วาเนเดียม ดีบุก โมลิบดีนัม ซีลีเนียม โครเมียม นิกเกิล และซิลิคอน
อธิบายความรู้
แร่ธาตุทมี่ คี วามส�าคัญต่อกระบวนการท�างานของร่างกาย ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเรื่องแรธาตุ
ตัวอย่างเช่น โดยมีแนวการสรุป ดังนี้
1 “แรธาตุเปนสารอนินทรียซึ่งเปนสวนประกอบ
1. แคลเซียม (calcium) เป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดใน
ร่างกาย ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแคลเซียมฟอสเฟต (Ca3(PO4)2) ของสารอินทรียห ลายชนิด แรธาตุบางชนิดเปนสวน
และแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) มีบทบาทช่วยเสริมสร้าง ประกอบของเอนไซมและโปรตีนตางๆ ที่จําเปน
ความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ควบคุมการท�างานของหัวใจ ตอการทํางานของระบบตางๆ ในรางกาย การขาด
การส่งกระแสประสาท การยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือด แรธาตุบางชนิดอาจกอใหเกิดความผิดปกติของ
แข็งตัว กระตุน้ การดูดซึมสารอาหารบริเวณล�าไส้เล็ก ซึง่ แคลเซียม ภาพที่ 2.8 แคลเซียมมีบทบาทส�าคัญ รางกาย เชน หากพืชขาดธาตุแมกนีเซียม ใบแกจะมี
พบได้มากในปลาตัวเล็ก ๆ ที่กินได้ทั้งตัว กุ้งแห้ง นม ไข่ กะปิ ในการเสริ ม สร้ า งความแข็ ง แรง สีเหลืองระหวางเสนใบ ปลายใบและขอบใบมวน
ของกระดูก ซึ่งช่วยให้สามารถท�า
ผักคะน้า ขึ้นฉ่าย ใบยอ เป็นต้น กิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว เปนรูปถวย หากมนุษยขาดธาตุไอโอดีน อาจทําให
2. โซเดียม (sodium) จะอยู่ในรูปของโซเดียมคลอไรด์ เกิดโรคคอพอก เปนตน ”
(NaCl) มีบทบาทในการควบคุมสมดุลของน�้าและกรด - เบส
ท�าหน้าที่ร่วมกับแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมใน
การควบคุมการส่งกระแสประสาทและการยืดหดตัวของกล้ามเนือ้
ร่างกายจะต้องการโซเดียมในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โดยได้รับจากอาหาร เช่น เกลือแกง อาหารทะเล เนื้อสัตว์ นม
เป็นต้น จึงไม่ค่อยพบปัญหาการขาดธาตุนี้ แต่หากร่างกายได้
รับโซเดียมเกินความต้องการ จะท�าให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
ซึ่งปกติแล้วร่างกายจะมีกลไกขับโซเดียมออกทางปัสสาวะโดย ภาพที่ 2.9 โซเดียมพบมากใน
อาศัยการท�างานของไต เกลือแกงและอาหารทะเล
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 33
ของสิ่งมีชีวิต
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
1. ครูนําอภิปรายเกี่ยวกับความสําคัญของสาร 3. โพแทสเซียม (potassium) ส่วนใหญ่จะอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ มีหน้าที่ควบคุมสมดุล
อนินทรียตอสิ่งมีชีวิต และรวมกันอภิปรายตอ ของน�า้ และกรด - เบสในร่างกาย ท�าหน้าทีร่ ว่ มกับแคลเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ในการควบคุม
ไปวา หากขาดสารอนินทรียบางชนิดจะสงผล การส่งกระแสประสาทและการยืดหดตัวของกล้ามเนือ้ กระตุน้ การท�างานของเอนไซม์ทเี่ กีย่ วข้องกับ
ตอรางกายอยางไร การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ซึ่งโพแทสเซียมพบได้มากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ผักและผลไม้ทุกชนิด
2. ใหนักเรียนแตละคนเขียนผังมโนทัศน เรื่อง 4. แมกนีเซียม (magnesium) ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแมกนีเซียมฟอสเฟต (Mg3(PO4)2)
ความสําคัญของสารอนินทรียตอสิ่งมีชีวิต และแมกนีเซียมคาร์บอเนต (MgCO3) ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญสารอาหาร กระตุ้น
3. ครูมอบหมายการบานใหนักเรียนทําแบบ การท�างานของเอนไซม์ ท�าหน้าที่ร่วมกับแคลเซียม โซเดียม และโพแทสเซียม ในการควบคุม
ฝกหัด ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 1 การส่งกระแสประสาทและการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ อาหารที่มีแมกนีเซียมมาก เช่น เนื้อสัตว์
หนวยการเรียนรูที่ 2 นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เป็นต้น
5. ฟอสฟอรัส (phosphorus) มักจะพบอยู่ร่วมกับแคลเซียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ
กระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมสมดุลกรด-เบสในร่างกาย และมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
กระบวนการเมแทบอลิซึมและการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ ซึ่งฟอสฟอรัสพบได้มากในอาหารประเภท
ขัน้ ประเมิน เนื้อสัตว์ นม ไข่ เนย ถั่วเมล็ดแห้ง และธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
ตรวจสอบผล 6. เหล็ก (iron) เป็นองค์ประกอบของเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งช่วยในการล�าเลียง
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน ออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นส่วนประกอบของไมโอโกลบินในกล้ามเนื้อที่ท�าหน้าที่
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม รับและเก็บออกซิเจนไว้ในกล้ามเนื้อ เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์บางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการ
การรวมกันอภิปราย และการนําเสนอผลงาน เผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ซึ่งพบมากในอาหารพวกเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่แดง หอย ผักขม
3. ครูวดั และประเมินผังโมนทัศน เรือ่ ง ความสําคัญ ขึ้นฉ่าย เป็นต้น
ของสารอนินทรียตอสิ่งมีชีวิต 7. ไอโอดีน (iodine) เป็นส่วนประกอบที่ส�าคัญของ
4. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด ฮอร์โมนไทรอกซินที่ผลิตมาจากต่อมไทรอยด์ ซึ่งท�าหน้าที่
เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร การเจริญเติบโต
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย การสืบพันธุ์ และการท�างาน
ต่อมไทรอยด์ปกติ
ของระบบประสาท ซึ่งพบมากในอาหารที่มีธาตุไอโอดีนสูง เช่น
อาหารทะเล เกลือสมุทร และผลิตภัณฑ์จากทะเล เช่น น�้าปลา
กะปิ เป็นต้น
ถึงแม้วา่ ร่างกายต้องการไอโอดีนในปริมาณเพียงเล็กน้อย
ต่อมไทรอยด์ของผู้ปวยโรคคอพอก
แต่หากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ จะท�าให้ต่อมไทรอยด์บวม
ภาพที่ 2.10 โรคคอพอกเกิดจาก และขยายตัวใหญ่ขึ้น จะเกิดเป็นโรคคอพอกชนิดไม่เป็นพิษ
ร่างกายขาดไอโอดีน ซึ่งท�าให้ต่อม (goiter)
ไทรอยด์โตผิดปกติ
34
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์
ประเด็นที่ ระดับคะแนน
ประเมิน 4 3 2 1
T40
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
ธาตุใดบางที่เปน 3. สารอินทรีย์ 1. ครู ก ล า วนํ า เกี่ ย วกั บ สารอิ น ทรี ย โดยถาม
องคประกอบหลักใน คําถามวา สารอินทรียแตกตางไปจากสาร
สารอินทรีย์ (organic substance) เป็นสารประกอบที่มี
โมเลกุลสารอินทรีย
ธาตุคาร์บอนและธาตุไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลักและยัง อนินทรียอยางไร จากนั้นใหครูและนักเรียน
อาจมีธาตุอื่น เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบร่วม ซึ่งโมเลกุลของ รวมกันอภิปรายวา สารอินทรียเ ปนสารทีม่ ธี าตุ
สารอินทรีย์จะมีส่วนที่เข้าท�าปฏิกิริยากับสารอื่น ที่เรียกว่า หมู่ฟังก์ชัน (functional group) คารบอนและไฮโดรเจนเปนองคประกอบหลัก
2. ครู อ ธิ บ ายเกี่ ย วกั บ การยึ ด เหนี่ ย วระหว า ง
ตารางที่ 2.2 : หมู่ฟงก์ชันบำงชนิดที่เปนองค์ประกอบของสำรอินทรีย์ อะตอมของคาร บ อนกั บ คาร บ อน และ
ชื่อ โครงสร้าง แหล่งที่พบ อะตอมของคารบอนกับไฮโดรเจน เกิดเปน
ไฮดรอกซิล (hydroxyl) น�้าตาล สารประกอบไฮโดรคารบอน ซึ่งเปนสวนหนึ่ง
R O H
กลีเซอรอล ของหมู ฟ ง ก ชั น ในสารอิ น ทรี ย โดยอาจจะ
เขี ย นโครงสร า งโมเลกุ ล ของสารประกอบ
คาร์บอกซิล (carboxyl) O กรดไขมัน ไฮโดรคารบอนใหนักเรียนรวมกันพิจารณา
R C กรดอะมิโน
O H ดังนี้
คาร์บอนิล O น�้าตาล H H
กลุ่มคีโตน (ketone) R C R H C C H อีเทน
คาร์บอนิล O น�้าตาล
H H
กลุ่มอัลดีไฮด์ (aldehyde) R C
H H H
H C C H เอทิลีน
อะมิโน (amino) H กรดอะมิโน
R N โปรตีน
H
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 35
ของสิ่งมีชีวิต แนวตอบ Prior Knowledge
ธาตุคารบอนและธาตุไฮโดรเจน
T41
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายวา สารอินทรียที่พบในสิ่งมีชีวิตมี สารอินทรีย์ที่พบในธรรมชาติมีแหล่งก�าเนิดจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งจะมีขนาดแตกต่างกันตั้งแต่
หลายชนิดที่เปนสารชีวโมเลกุล (biological ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่มาก และอาจมีโครงสร้างแบบง่าย ๆ ไปจนถึงมีโครงสร้างที่ซับซ้อน
molecule) ซึ่งมีโครงสราง สมบัติ และการ ทั้งที่มีรูปร่างตรงยาวสายเดี่ยว หรือแตกแขนงเป็นกิ่งก้าน ซึ่งเรียกสารเหล่านี้ว่า สารชีวโมเลกุล
เกิดปฏิกิริยาแตกตางกัน ทําใหสารชีวโมเลกุล สารชีวโมเลกุล (biological molecule) จัดได้ว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสารอาหารที่
มีหนาที่แตกตางกัน จ�าเป็นต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิต สารชีวโมเลกุลแต่ละชนิดมีโครงสร้าง สมบัติ และการเกิดปฏิกิริยา
2. ครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางอาหารที่มี แตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างนี้จะท�าให้สารชีวโมเลกุลนั้นมีหน้าที่การท�างานที่แตกต่างกัน
สารอาหารประเภทคารโบไฮเดรต
3.1 คาร์โบไฮเดรต
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยว
คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) เป็นสารชีวโมเลกุลที่ประกอบด้วยธาตุหลัก 3 ชนิด คือ
กับโครงสรางของคารโบไฮเดรต โดยมีแนวการ
คาร์บอน (carbon; C) ไฮโดรเจน (hydrogen; H) และออกซิเจน (oxygen; O) โดยมีอัตราส่วน
สรุป ดังนี้
ของอะตอมไฮโดรเจนต่ออะตอมออกซิเจนเป็น 2 : 1 มีสูตรโมเลกุลเป็น (CH2O)n โดย n มีค่า
“คารโบไฮเดรต (carbohydrate) เปนสาร ตั้งแต่ 3 ขึ้นไป
ชีวโมเลกุลที่ประกอบดวยธาตุ 3 ชนิด ไดแก สูตรโมเลกุล (molecular formula) เป็นสูตรทางเคมีที่แสดงว่าสาร 1 โมเลกุล ประกอบด้วย
คารบอน (carbon) ไฮโดรเจน (hydrogen) อะตอมของธาตุใดบ้าง อย่างละกีอ่ ะตอม คาร์โบไฮเดรตมีสตู รโมเลกุล CH2O แสดงว่าใน 1 โมเลกุล
และออกซิเจน (oxygen) โดยมีอัตราสวนของ ของคาร์โบไฮเดรตประกอบด้วยธาตุคาร์บอน (C) 1 อะตอม ธาตุไฮโดรเจน (H) 2 อะตอม และ
อะตอมไฮโดรเจนต อ อะตอมออกซิ เ จนเป น ธาตุออกซิเจน (O) 1 อะตอม
2 :1 มีสูตรโมเลกุลเปน (CH2O)n ซึ่ง n มีคา ร่างกายสิ่งมีชีวิตจะน�าคาร์โบไฮเดรตมาใช้เป็นแหล่งพลังงานและเป็นวัตถุดิบส�าหรับสร้าง
ตั้งแต 3 ขึ้นไป ” โครงร่างและส่วนประกอบของเซลล์ หากจัดจ�าแนกคาร์โบไฮเดรตตามลักษณะโครงสร้าง จะสามารถ
แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ มอโนแซ็กคาไรด์ โอลิโกแซ็กคาไรด์ และพอลิแซ็กคาไรด์
T42
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1 1. ใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 3 กลุม ศึกษา
1. มอโนแซ็กคาไรด์ (monosaccharide) หรือน�า้ ตาลโมเลกุลเดี่ยว เป็นคาร์โบไฮเดรต
ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด จึงอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า น�้าตาลเชิงเดี่ยว (simple sugar) มีสูตร ประเภทของคารโบไฮเดรต ดังนี้
โมเลกุลเป็น CnH2nOn มีจ�านวนคาร์บอนตั้งแต่ 3-7 อะตอม มีสถานะเป็นของแข็ง ละลายน�้าแล้ว กลุมที่ 1 ศึกษาเรื่อง มอโนแซ็กคาไรด
มีรสหวาน กลุมที่ 2 ศึกษาเรื่อง โอลิโกแซ็กคาไรด
กลุมที่ 3 ศึกษาเรื่อง พอลิแซ็กคาไรด
ตารางที่ 2.3 : จ�ำนวนคำร์บอนอะตอม สูตรโมเลกุล และชื่อน�้ำตำลโมเลกุลเดี่ยว
จ�านวนคาร์บอนอะตอม สูตรโมเลกุล ชื่อน�้าตาล
2. ครูแจกกระดาษขนาด A4 ใหนักเรียนแตละ
กลุม กลุม ละ 1 แผน ใหนกั เรียนแตละกลุม สรุป
3 (tri) C3H6O3 ไตรโอส (triose)
ใจความสําคัญของเรือ่ งทีก่ ลุม ตนเองศึกษาเปน
4 (tetra) C4H8O4 เทโทรส (tetrose) ผังมโนทัศนใหมีความนาสนใจ
5 (penta) C5H10O5 เพนโทส (pentose)
6 (hexa) C6H12O6 เฮกโซส (hexose)
7 (hepta) C7H14O7 เฮพโทส (heptose)
น�้าตาลโมเลกุลเดี่ยวที่พบได้มากที่สุดในธรรมชาติ คือ
น�้าตาลเฮกโซส ได้แก่ กลูโคส กาแลกโทส และฟรักโทส ซึ่ง CHO
น�้าตาลเฮกโซส จะมีโครงสร้าง 2 แบบ คือ แบบที่มีคาร์บอน H C OH
เรียงกันเป็นสายยาว และแบบวงแหวนคาร์บอนร่วมกับออกซิเจน HO C H
ซึ่งโครงสร้างแบบที่มีวงแหวนคาร์บอนจะเสถียรกว่า H C OH
วงแหวนคาร์บอนของน�้าตาลเฮกโซส สามารถจัดตาม H C OH
จ�านวนอะตอมของคาร์บอนได้เป็น 2 แบบ ดังนี้ CH2OH
• ไพราโนส (pyranose) เป็นน�้าตาลเฮกโซสที่มีวงแหวน
คาร์บอนและออกซิเจนแบบ 6 เหลี่ยม ได้แก่ กลูโคสและ CH2OH
กาแลกโทส
H C O H
• ฟูราโนส (furanose) เป็นน�้าตาลเฮกโซสที่มีวงแหวน H
คาร์บอนและออกซิเจนเป็น 5 เหลี่ยม ได้แก่ ฟรักโทส C OH H C
1) กลูโคส (glucose) มีลกั ษณะเป็นผลึกสีขาว สามารถ HO C C OH
ละลายน�้าได้ดี มีรสหวาน นับเป็นแหล่งพลังงานที่ส�าคัญที่สุด H OH
ในร่างกายสิ่งมีชีวิต พบมากในผักและผลไม้ต่าง ๆ น�้าผึ้ง ข้าว
ข้าวโพด ข้าวสาลี ภาพที่ 2.12 โครงสร้างของน�้าตาล
กลูโคส
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 37
ของสิ่งมีชีวิต
T43
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ส ง ตั ว แทนออกมานํ า 2) กาแลกโทส (galactose) ละลายน�้าได้ไม่ดี มีรสหวานน้อย ไม่ค่อยพบเป็นอิสระใน
เสนอผังมโนทัศนของกลุมตนเอง ใชเวลาใน ธรรมชาติ แต่มักรวมตัวอยู่กับกลูโคสกลายเป็นน�้าตาลโมเลกุลคู่ที่ชื่อว่า แลกโทส (lactose) ซึ่งพบ
การนําเสนอกลุม ละไมเกิน 5 นาที โดยเริม่ จาก ในนม และผลิตภัณฑ์จากนม
กลุมที่ 1 กอน
CHO CH2OH
2. หลังจากกลุม ที่ 1 นําเสนอเรือ่ งมอโนแซ็กคาไรด C O
H C OH CH2OH
ครูตั้งคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ C O OH HO C H
HO C H OH
นักเรียน HO C H
H
C OH H C H C OH
ï• มอโนแซ็กคาไรดชนิดใดที่พบมากที่สุดใน H C OH H C C H
H C OH
ธรรมชาติ CH2OH
CH2OH H OH
CH2OH O CH2OH
(แนวตอบ นํ้าตาลเฮกโซส ไดแก กลูโคส C C
ภาพที่ 2.13 โครงสร้างของน�้าตาลกาแลกโทส
กาแลกโทส และฟรักโทส) 1 HO
H OH
ï• จงอธิบายลักษณะและแหลงที่พบนํ้าตาล 3) ฟรักโทส (fructose) มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว C C
ละลายน�้าได้ดี มีรสหวานจัด เป็นน�้าตาลที่พืชสร้างขึ้นจาก OH H
กลูโคส กาแลกโทส และฟรักโทส
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง พบมากในผลไม้สุกและน�้าผึ้ง ภาพที่ 2.14 โครงสร้างของน�้าตาล
(แนวตอบ กลูโคส เปนผลึกสีขาว ละลายนํ้า ฟรักโทส
ไดดี มีรสหวาน พบมากในผัก ผลไม นํ้าผึ้ง B iology
กาแลกโทส ละลายนํา้ ไดไมดี มีรสหวานนอย Focus นํ้าตาลอัลโดสและนํ้าตาลคีโตส
มักรวมตัวอยูกับกลูโคส พบมากในนม หากแบ่งน�้าตาลโมเลกุลเดี่ยวตามจ�านวนคาร์บอน จะแบ่งได้ 5 ชนิด ดังที่กล่าวไปแล้ว แต่หาก
ฟรักโทส เปนผลึกสีขาว ละลายนํา้ ไดดี มีรส แบ่งตามลักษณะของหมู่คาร์บอนิล (carbonyl group) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
หวานจัด พบมากในผลไมสุก นํ้าผึ้ง) 1. น�้าตาลอัลโดส (aldose) เป็นน�้าตาลที่มี
O
2. น�้าตาลคีโตส (ketose) เป็นOน�้าตาลที่มี
3. ให นั ก เรี ย นฝ ก เรี ย กชื่ อ นํ้ า ตาลตามจํ า นวน หมู่คาร์บอนิลกลุ่มอัลดีไฮด์ ( C H) หมู่คาร์บอนิลกลุ่มคีโตน ( C )
คารบอนอะตอมในโมเลกุล โดยศึกษาไดจาก เป็นองค์ประกอบ เช่น กลูโคส กาแลกโทส เป็นองค์ประกอบ เช่น ฟรักโทส เป็นต้น
เป็นต้น
หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 1 H O
C CH2OH
H C OH C O
HO C H HO C H
H C OH H C OH
H C OH H C OH
CH2OH CH2OH
กลูโคส เป็นน�้าตาลอัลโดส ฟรักโทส เป็นน�้าตาลคีโตส
ภาพที่ 2.15
38
T44
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2. โอลิโกแซ็กคาไรด์ (oligosaccharide) เป็นน�้าตาล Biology 4. หลังจากกลุม ที่ 2 นําเสนอเรือ่ งโอลิโกแซ็กคาไรด
ที่เกิดจากมอโนแซ็กคาไรด์ตั้งแต่ 2-10 โมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน in real
1 life ครูตั้งคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ
ด้วยพันธะไกลโคซิดกิ (glycosidic bond) ซึง่ โอลิโกแซ็กคาไรด์ที่ น�้ า ตาลทรายสกั ด ได้ จ ากพื ช นักเรียน
หลายชนิด เช่น อ้อย (Sac-
ประกอบด้วยมอโนแซ็กคาไรด์ 2 โมเลกุล เรียกว่า ไดแซ็กคาไรด์ charum spp.) ชู ก าร์ บี ต ï• โอลิโกแซ็กคาไรดเกิดขึ้นไดอยางไร
(disaccharides) หรือน�้าตาลโมเลกุลคู่ ได้แก่ มอลโทส ซูโครส (Beta vulgaris) ซูการ์เมเปิล (แนวตอบ เกิดจากการที่มอโนแซ็กคาไรด
และแลกโทส (Acer saccharum) ข้าวฝาง ตั้งแต 2-10 โมเลกุลมาเชื่อมตอกันดวย
(Sorghum vulgare) ซึ่งจาก
รายงานขององค์การอาหารและ พันธะไกลโคซิดิก)
การเกษตรแห่งสหประชาชาติ ï• จงอธิบายลักษณะและแหลงที่พบนํ้าตาล
หรือ FAO ค่าเฉลี่ยของการ มอลโทส แลกโทส และซูโครส
บริโภคน�้าตาลต่อคน คือ 24
กิโลกรัมต่อปี (แนวตอบ มอลโทส เกิดจากกลูโคส 2 โมเลกุล
เชื่อมตอกัน ละลายนํ้าไดดี มีรสหวานนอย
พบมากในขาวมอลต เมล็ดธัญพืชที่กําลัง
งอก ขาวโพด
CH2OH CH2OH
ภาพที่ 2.16 น�้าตาลทรายเป็นน�้าตาลโมเลกุลคู่ มีชื่อทางเคมีว่า ซูโครส O
แลกโทส เกิดจากกลูโคสเชือ่ มกับกาแลกโทส
H H H H H O H
1) มอลโทส (moltose) เกิดจากน�้าตาลกลูโคส 2 ผลึกเปนผงละเอียด ละลายนํ้าไดไมดี มีรส
OH H O OH H OH
โมเลกุลมาเชือ่ มต่อกัน เป็นน�า้ ตาลทีล่ ะลายน�า้ ได้ดี มีความหวาน
HO หวานนอย พบมากในนม
H OH H OH
น้อย (ประมาณ 0.4 เท่าของซูโครส) พบในข้าวมอลต์ทกี่ า� ลังงอก ซูโครส เกิดจากกลูโคสเชือ่ มกับฟรักโทส เปน
ภาพที่ 2.17 โครงสร้างของ
และข้าวโพด น�้าตาลมอลโทส ผลึกสีขาว ละลายนํา้ ไดดี มีรสหวาน พบมาก
CH2OH
ในออย ตาล มะพราว)
CH2OH
2) แลกโทส (lactose) เกิดจากน�้าตาลกลูโคส 1 H H O H H O OH
5. ใหนักเรียนสังเกตตําแหนงพันธะไกลโคซิดิก
โมเลกุลเชื่อมต่อกับน�้าตาลกาแลกโทส 1 โมเลกุล ผลึกจะเป็น OH H O OH H ในนํ้าตาลมอลโทสกับนํ้าตาลแลกโทส ซึ่งมี
HO H H
ผงละเอียดคล้ายทรายละเอียด ละลายน�้าได้ไม่ดี มีความหวาน ลักษณะตางกัน จากนั้นครูอธิบายวาการเกิด
H OH H OH
น้อยมากเมื่อเทียบกับซูโครส พบมากในน�้านมของมนุษย์และ ภาพที่ 2.18 โครงสร้างของ นํ้าตาลมอลโทสนั้น เกิดพันธะไกลโคซิดิกแบบ
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม น�้าตาลแลกโทส α สวนการเกิดนํ้าตาลแลกโทสนั้น เกิดพันธะ
CH2OH CH2OH ไกลโคซิดิกแบบ β
3) ซูโครส (sucrose) เกิดจากน�า้ ตาลกลูโคส 1 โมเลกุล H
H
O H O H
เชื่อมต่อกับน�้าตาลฟรักโทส 1 โมเลกุล เป็นผลึกใส มีรสหวาน HO
OH H
O
H HO CH2OH
ละลายน�า้ ได้ดี โดยทัว่ ไปจะเรียกว่า น�า้ ตาลทรายหรือน�า้ ตาลอ้อย H OH OH H
พบมากในอ้อย ตาล และมะพร้าว ภาพที่ 2.19 โครงสร้างของ
น�้าตาลซูโครส
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 39
ของสิ่งมีชีวิต
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
6. หลังจากกลุม ที่ 3 นําเสนอเรือ่ งพอลิแซ็กคาไรด 3. พอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide) เกิดจากการเชื่อมต่อกันของมอโนแซ็กคาไรด์
ครูตั้งคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ ตั้งแต่ 11 ถึง 1,000 โมเลกุล ท�าให้เกิดเป็นรูปพอลิเมอร์ที่มีสถานะเป็นของแข็งที่ไม่ละลายน�้า
นักเรียน และไม่มรี สหวาน พอลิแซ็กคาไรด์แต่ละชนิดจะแตกต่างกันไปตามชนิดและจ�านวนมอโนแซ็กคาไรด์
•ï พอลิแซ็กคาไรดเกิดขึน้ ไดอยางไร ที่เป็นองค์ประกอบ ซึ่งกระบวนการเกิดพอลิเมอร์ของน�้าตาล เป็นดังสมการ
(แนวตอบ เกิดจากการที่มอโนแซ็กคาไรด
nC6H12O6 (C6H10O5)n + nH2O
ตั้งแต 11-1,000 โมเลกุลเชื่อมตอกันดวย
พันธะไกลโคซิดิก) ตัวอย่างพอลิแซ็กคาไรด์ที่พบมากในธรรมชาติ มีดังนี้
•ï จงอธิ บ ายลั ก ษณะ และแหล ง ที่ พ บแป ง 1) แปง (starch) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่พบในพืช มีโครงสร้าง 2 รูปแบบ คือ อะไมโลส
เซลลูโลส และไกลโคเจน (amylose) ประกอบด้วยกลูโคสเรียงตัวต่อกันเป็นเส้นยาวทีไ่ ม่มกี ารแตกแขนง ซึง่ เชือ่ มต่อกันแบบ
(แนวตอบ แปง ประกอบดวยกลูโคสเรียงตัว ∝(1 4) glycosidic bond ส่วนอะไมโลเพกทิน (amylopectin) ประกอบด้วยกลูโคสเรียงต่อกัน
ตอกันเปนเสนยาว ซึ่งถาไมมีการแตกแขนง เป็นเส้นยาว และมีการแตกแขนงเป็นกิ่งก้าน โดยเชื่อมต่อกันแบบ ∝(1 6) glycosidic bond
จะไดอะไมโลส แตถา มีการแตกแขนง จะได 2) เซลลูโลส (cellulose) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่พบมากที่สุดในพืช เป็นองค์ประกอบ
อะไมโลเพกทิน พบในพืช ที่ส�าคัญของผนังเซลล์ เกิดจากโมเลกุลของกลูโคสเชื่อมต่อกันเป็นสายยาวที่ไม่แตกแขนง โดย
เซลลูโลส ประกอบดวยกลูโคสเรียงตัวตอ เชื่อมกันแบบ β(1 2) glycosidic bond ท�าให้มีลักษณะเป็นเส้นใยที่เหนียว ไม่ละลายน�้า
กันเปนเสนยาวทีไ่ มแตกแขนง เสนใยเหนียว ซึ่งเมื่อมนุษย์รับประทานเข้าไปร่างกายจะไม่
1 สามารถย่อยสลายได้ เพราะไม่มีเอนไซม์ที่ท�าหน้าที่
ไมละลายนํ้า พบในพืช ย่อยสลายเซลลูโลส แต่ในสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว ควาย ม้า จะมีเอนไซม์เซลลูเลส (cellulase)
ไกลโคเจน ประกอบดวยกลูโคสเรียงตัวตอ ท�าหน้าที่ย่อยสลายเซลลูโลสได้เป็นกลูโคส
กันเปนเสนยาวที่มีการแตกแขนง พบใน 3) ไกลโคเจน (glycogen) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่พบมากในสัตว์ (บริเวณกล้ามเนื้อ
สัตว) และตับ) เกิดจากกลูโคสเชื่อมต่อกันเป็นสายยาวที่มีการแตกแขนงเป็นกิ่งก้าน มีโครงสร้าง
7. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ในพืชแตละชนิดจะมี คล้ายกับอะไมโลเพกทิน แต่สายโมเลกุลจะสั้นและแตกแขนงมากกว่า
ปริมาณอะไมโลสและอะไมโลเพกทินตางกัน นอกจากนี้แล้วยังมีพอลิแซ็กคาไรด์อีกหลายชนิด เช่น ไคทิน (chitin) พบในเปลือกกุ้ง
เชน ขาวเหนียว มีอะไมโลเพกทินรอยละ 99 เพกทิน (pectin) พบในเปลือกส้มโอ เป็นต้น
มีอะไมโลสรอยละ 1 สวนขาวเจามีอะไมโลส
รอยละ 7-33 จึงทําใหขา วเหนียวมีความเหนียว
มากกวาขาวเจามาก
40
T46
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
B iology 1. ใหนักเรียนแตละกลุมศึกษาเรื่อง การทดสอบ
Focus การทดสอบคารโบไฮเดรต คารโบไฮเดรต จากหนังสือเรียน
คาร์โบไฮเดรตโมเลกุลเล็กที่สุด คือ มอโนแซ็กคาไรด์ 2. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ทํ า กิ จ กรรม เรื่ อ ง
ซึ่งเมื่อน�ามอโนแซ็กคาไรด์ตั้งแต่ 2-10 โมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน คารโบไฮเดรต โดยครูแจกกระดาษ A4 ให
จะเกิดเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้น เรียกว่า โอลิโกแซ็กคาไรด์
ซึ่งคาร์โบไฮเดรตแต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน โดยการ ีน�้าต
าล นักเรียนกลุม ละ 6 แผน ใหนกั เรียนตอกระดาษ
ไม่ม
ทดสอบคาร์โบไฮเดรตประเภทต่าง ๆ ท�าได้ ดังนี้ มีน�้าตาลเล็กน้อย ให เ ป น แผ น ใหญ สรุ ป ใจความสํ า คั ญ เรื่ อ ง
มีน�้า
1. การทดสอบมอโนแซ็กคาไรด์ และโอลิโกแซ็กคาไรด์ ตาลม
าก
คารโบไฮเดรตเปนผังมโนทัศนใหมีความนา
(ยกเว้นน�้าตาลซูโครส) อาหาร + สนใจ โดยอาจมีประเด็นตางๆ ดังนี้
น�้าตาลทั้งสองชนิดนี้เป็นสารอินทรีย์ที่ในโมเลกุลมี สารละลายเบเนดิกต์ • ïสูตรโมเลกุล
หมู่คาร์บอกซาลดีไฮด์ (- CHO) ประกอบอยู่ เมื่อน�าไปต้มกับ • ïประเภท
ภาพที่ 2.21 การทดสอบน�้าตาล
สารละลายเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ ดังสมการ มอโนแซ็กคาไรด์ - มอโนแซ็กคาไรด (ชนิด ลักษณะ แหลงทีพ่ บ)
O O - โอลิโกแซ็กคาไรด (ชนิด ลักษณะ แหลงทีพ่ บ)
R C H + 2Cu2+ + 5OH- R C O- + Cu2O + 3H2O - พอลิแซ็กคาไรด (ชนิด ลักษณะ แหลงทีพ่ บ)
มอโนแซ็กคาไรด์
หรือโอลิโกแซ็กคาไรด์ สารละลายเบเนดิ
สารละลายเบเนดิกกต์ต์* เกลืเกลื
อของกรดอิ นทรีนยทรี
อของกรดอิ ์ ยตะกอนสี แดงอิ
์ ตะกอนสี ฐ ฐน�้า น�้า
แดงอิ
ï• การทดสอบ
ยกเว้นซูโครส ï• ความสําคัญตอสิ่งมีชีวิต
* สารละลายเบเนดิกต์ (benedict solution) เป็นสารละลายผสมระหว่าง CuSO4 Na2CO3
และโซเดียมซิเตรด เป็น Cu 2+/ OH- ซึ่งมีสีน�้าเงิน
2. การทดสอบน�้าตาลพอลิแซ็กคาไรด์
สามารถแบ่งตามลักษณะของน�้าตาลพอลิแซ็กคาไรด์
ได้ดังนี้
1) แป้ง : ทดสอบได้โดยการเติมสารละลายไอโอดีน ีแป้ง
ไม่ม
ลงไป จะได้ตะกอนสีน�้าเงินเข้ม
แป้ง + I2 สารเชิงซ้อนสีน�้าเงินเข้ม (ตะกอน) มีแป
้ง
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 41
ของสิ่งมีชีวิต
ขอสอบเนน การคิด
นําหลอดทดลอง 2 หลอด ที่ประกอบดวยสารตางกัน ดังนี้
หลอดที่ 1 ประกอบดวยนํ้าตาลทราย 1 กรัม ละลายในนํ้า 9 กรัม
หลอดที่ 2 ประกอบดวยนํ้าตาลทราย 1 กรัม ละลายในนํ้า 9 กรัม และเติม HCl ลงไปเล็กนอย
เมื่อหยดสารละลายเบเนดิกตลงไปในหลอดทดลองทั้ง 2 หลอด ขอสรุปใดถูกตอง
1. หลอดที่ 1 จะเกิดปฏิกิริยาไดตองมีการใหความรอน
2. การเติม HCl ในหลอดที่ 2 ไมมีผลตอการเกิดปฏิกิริยา
3. สารละลายในหลอดที่ 1 และ 2 จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ
4. หลอดที่ 2 จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ เนื่องจากโครงสรางของนํ้าตาลมีหมูคารบอนิล
5. การเติม HCl ในหลอดที่ 2 จะชวยทําใหเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส ไดนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว
(วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. ไมถูกตอง เพราะนํ้าตาลทรายจะไมทําปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต แมจะมีการใหความรอน
ขอ 2. ไมถกู ตอง เพราะการเติม HCl ลงไปในหลอดที่ 2 จะชวยทําใหนาํ้ ตาลทรายถูกไฮโดรไลซไปเปนนํา้ ตาลกลูโคส และนํา้ ตาลฟรักโทส
ขอ 3. ไมถูกตอง เพราะสารละลายในหลอดที่ 1 ไมเกิดการเปลี่ยนแปลง แตสารละลายในหลอดที่ 2 จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ
ขอ 4. ไมถูกตอง เพราะหลอดที่ 2 เกิดตะกอนสีแดงอิฐได เนื่องจากโครงสรางของนํ้าตาลประกอบดวยหมูคารบอกซาลดีไฮด
ดังนั้น ตอบขอ 5.)
T47
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางอาหารที่มี 3.2 โปรตีน
สารอาหารประเภทโปรตีน โปรตีน (protein) เป็นสารชีวโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ แต่ละโมเลกุลประกอบด้วยหน่วยย่อย
2. ครู ตั้ ง คํ า ถามเพื่ อ ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของ เรียกว่า กรดอะมิโน (amino acid) ที่เชื่อมต่อกันเป็นสายยาวด้วยพันธะเพปไทด์ (peptide bond)
นักเรียน โดยแต่ละโมเลกุลของกรดอะมิโนนั้นจะประกอบด้วยธาตุหลัก
ï• สารอาหารประเภทโปรตีนมีความสําคัญตอ 4 ชนิด ได้แก่ คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) ออกซิเจน (O) และ
รางกายอยางไร ไนโตรเจน (N) นอกจากนั้นยังมีธาตุอื่น ๆ ประกอบอยู่ด้วย เช่น
(แนวตอบ ก�ามะถัน (S) ฟอสฟอรัส (P) เหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) เป็นต้น
- ชวยในการเจริญเติบโต 1. กรดอะมิโน (amino acid) เป็นสารประกอบอินทรียท์ ่ี
- เปนแหลงพลังงาน มีโมเลกุลหมูอ่ ะมิโน (-NH2) และหมูค่ าร์บอกซิล (-COOH) เป็น
- เปนเอนไซมเรงปฏิกิริยาเคมีในรางกาย องค์ประกอบ กรดอะมิโนทีพ่ บว่าเป็นองค์ประกอบของโปรตีนใน
- เปนโครงสรางของเซลล เยือ่ หุม เซลล เปน สิ่งมีชีวิตทั่วไป มีเพียง 20 ชนิด โดยกรดอะมิโนแต่ละชนิดจะมี
องคประกอบของโครโมโซม ความแตกต่างกันในส่วนของหมู่แทนที่ (R-group)
ภาพที่ 2.23 โปรตีนพบในอาหาร
- เสริมสรางภูมิคุมกัน) จ�าพวกเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์
และถั่วต่าง ๆ
หมู่อะมิโน หมู่คาร์บอกซิล
H H O
H N C C O H
R
ภาพที่ 2.24 สูตรโครงสร้างหลักของกรดอะมิโน
ชนิดของกรดอะมิโน
การจ�าแนกชนิดของกรดอะมิโนตามความต้องการของร่างกาย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
กรดอะมิโนทีจ่ า� เป็น (essential amino acid) เป็นกรดอะมิโนทีร่ า่ งกายไม่สามารถสังเคราะห์ขนึ้ ได้เอง
จึงต้องได้รับจากอาหารจ�าพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นม และเครื่องในสัตว์ ซึ่งมนุษย์จะต้องการกรดอะมิโน
ทีจ่ า� เป็นแตกต่างกันไป ขึน้ อยูก่ บั ช่วงวัย โดยวัยผูใ้ หญ่ตอ้ งการ 8 ชนิด ส่วนในวัยเด็กต้องการ 10 ชนิด
กรดอะมิโนที่ไม่จ�าเป็น (nonessential amino acid) เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายนั้นสามารถสังเคราะห์
ขึ้นเองได้จากอาหารที่ร่างกายสะสมเอาไว้ โดยผ่านกระบวนการทรานอะมิเนชัน (transamination)
ซึ่งกรดอะมิโนที่ไม่จ�าเป็นมี 10 ชนิด
42
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
ตารางที่ 2.4 : กรดอะมิโน 20 ชนิด ในร่ำงกำยสิ่งมีชีวิต 1. ให นั ก เรี ย นสั ง เกตภาพสู ต รโครงสร า งของ
กรดอะมิโนที่จ�าเป็น กรดอะมิโนที่ไม่จ�าเป็น กรดอะมิโน จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4
อาร์จีนีน * (Arginine : Arg) อะลานีน (Alanine : Ala) เลม 1 แลวครูถามคําถามวา
ฮีสทิดีน * (Histidine : His) แอสปาราจีน (Asparagine : Asn) ï• โครงสร า งของกรดอะมิ โ นมี ธ าตุ ใ ดเป น
ไอโซลิวซีน (Isoleucine : Ile) กรดแอสปาร์ติก (Aspartic acid : Asp) องคประกอบบาง
ลิวซีน (Leucine : Leu) ซิสเทอีน (Cystein : Cys) (แนวตอบ คารบอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และ
ไลซีน (Lysine : Lys) กรดกลูตามิก (Glutamic acid : Glu) ไนโตรเจน)
เมไทโอนีน (Methionine : Met) กลูตามีน (Glutamine : Gln) •ï กรดอะมิโนทีเ่ ปนองคประกอบของโปรตีนใน
ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine : Phe) ไกลซีน (Glycine : Gly) สิ่งมีชีวิตมีกี่ชนิด จงยกตัวอยาง
ทรีโอนีน (Threonine : Thr) โปรลีน (Proline : Pro) (แนวตอบ 20 ชนิด ซึ่งดูขอมูลไดจากหนังสือ
ทริปโตเฟน (Tryptophan : Trp) ซีรีน (Serine : Ser) เรียน)
วาลีน (Valine : Val) ไทโรซีน (Tyrosine : Tyr) 2. ใหนกั เรียนสังเกตภาพการเชือ่ มตอกันของกรด
* อาร์จีนีนและฮีสทิดีน เป็นกรดอะมิโนที่จ�าเป็นในเด็ก อะมิโนดวยพันธะเพปไทด จากหนังสือเรียน
ชีววิทยา ม. 4 เลม 1
2. พันธะเพปไทด์ (peptide bond) เป็นพันธะทีเ่ ชือ่ มต่อกรดอะมิโน โดยอาศัยการรวมตัว ï• พันธะเพปไทดเกิดขึ้นไดอยางไร
ของหมู่คาร์บอกซิลกับหมู่อะมิโน ซึ่งจากการเชื่อมต่อกันนั้นจะได้สายของกรดอะมิโนที่เรียกว่า (แนวตอบ : เกิดจากการเชื่อมตอกันระหวาง
เพปไทด์ (peptide) และได้น�้า 1 โมเลกุล โดยหากกรดอะมิโน 2 โมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน จะเรียกว่า หมูคารบอกซิลของกรดอะมิโนโมเลกุลหนึ่ง
ไดเพปไทด์ (dipeptide) กรดอะมิโน 3 โมเลกุล มาเชื่อมต่อกัน เรียกว่า1 ไตรเพปไทด์ (tripeptide) กั บ หมู อ ะมิ โ นของกรดอะมิ โ นอี ก โมเลกุ ล
และถ้ากรดอะมิโนหลายโมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน เรียกว่า พอลิเพปไทด์ (polypeptide)
หนึ่ง)
ไกลซีน อะลานีน ซิสเทอีน ï• เมือ่ เกิดพันธะเพปไทดจะมีสารใดเกิดขึน้ บาง
H H O H H O H H O (แนวตอบ : เกิดสายของกรดอะมิโนทีเ่ รียกวา
H N C C O H H N C C O H H N C C O H เพปไทด และเกิดนํ้า 1 โมเลกุล)
H H C H H C H
3. ครูอาจใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน
H2O H H2O S
เพื่อเลนเกมตอลูกปด โดยการแจกลูกปดให
H
H H O H H O H H O นักเรียนกลุมละ 4 สี สีละ 5 เม็ด แลวให
H N C C N C C N C C O H นักเรียนลองตอลูกปดแบบตางๆ ซึ่งเปรียบได
H H C H H C H กับการสรางสายเพปไทด โดยจะแทนลูกปด
H S แตละสีเปนกรดอะมิโนแตละชนิด
พันธะเพปไทด์ H
ภาพที่ 2.25 ตัวอย่างการเชื่อมต่อกันของกรดอะมิโนด้วยพันธะเพปไทด์
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 43
ของสิ่งมีชีวิต
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
4. ใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอวากลุมตนเอง 3. ประเภทของโปรตีน (protein classification) อาจจ�าแนกโปรตีนโดยอาศัยหลักเกณฑ์
ตอลูกปดไดกี่แบบ อยางไรบาง จากนั้นครู หลายแบบ เช่น จ�าแนกตามหน้าที่ ลักษณะโมเลกุล หรือสมบัติทางเคมี เป็นต้น โดยทั่วไปมักจะ
ตั้งคําถามใหนักเรียนชวยกันตอบวา จ�าแนกตามสมบัติทางเคมี ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
•ï เพปไทดที่ประกอบดวยกรดอะมิโน 4 ชนิด 1) โปรตีนเชิงเดี่ยว (simple protein) เป็นโปรตีนที่
ชนิดละ 1 โมเลกุล จะมีสายเพปไทดทมี่ ลี าํ ดับ ประกอบด้วยกรดอะมิโนเพียงอย่างเดียวโดยไม่มสี ารอืน่ มาเจือปน
กรดอะมิโนที่แตกตางกันไดกี่แบบ เช่น อัลบูมิน (albumin) ในไข่ขาว เคราทิน (keratin) ในเส้นผม
(แนวตอบ 24 วิธี โดยคิดไดจากสูตร n! โกลบูลิน (globulin) ในเม็ดเลือดแดง เป็นต้น
(n factorial) ซึง่ n คือ จํานวนชนิดของกรด 2) โปรตีนเชิงประกอบ (compound protein) เป็น
อะมิโน แทนคาสูตร 4! = 4 × 3 × 2 × 1 = 24) โปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนและมีสารอื่นมาเชื่อมต่อด้วย
5. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปวา ตัวอย่างเช่น ภาพที่ 2.26 อัลบูมินเป็นโปรตีน
เชิงเดี่ยวที่พบในไข่ขาว
เนือ่ งจากการจัดเรียงตัวและจํานวนกรดอะมิโน • เฮโมโกลบิน (hemoglobin) ในเม็ดเลือดแดง
ทีเ่ ปนองคประกอบแตกตางกัน จึงทําใหโปรตีน ประกอบด้วยฮีม (heme) กับโกลบูลิน (globulin) H. O. T. S.
แตละชนิดมีสมบัตแิ ตกตางกัน • เคซีน (casein) ในน�้านม ประกอบด้วยกรดฟอส คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ฟอริก (phosphoric acid) กับโปรตีน เ พ ป ไ ท ด ์ ที่
• ไกลโคโปรตีน (glycoprotein) เป็นโปรตีนทีจ่ บั กับ ประกอบด้ ว ย
คาร์โบไฮเดรต ก ร ด อ ะ มิ โ น
• ลิโพโปรตีน (lipoprotein) เป็นโปรตีนที่สร้าง จ� า นวน 6 ชนิ ด ชนิดละ 1
โมเลกุล จะมีสายเพปไทด์ที่
สารประกอบเชิงซ้อนกับไขมัน มีล�าดับกรดอะมิโนที่ต่างกัน
• ฟอสโฟโปรตีน (phosphoprotein) เป็นโปรตีนที่ ได้กี่แบบ
จับกับหมู่ฟอสเฟต
B iology
Focus การทดสอบโปรตีน
การทดสอบโปรตีน ใช้การทดสอบทีเ่ รียกว่า การทดสอบไบยูเร็ต
โดยการเติมสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และสารละลาย ีโปรต
ีน
ไม่ม
คอปเปอร์ (II) ซัลเฟต (CuSO4) ลงไปในอาหารที่ต้องการทดสอบ
มีโปร
ถ้าสารละลายเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีม่วง แสดงว่ามีโปรตีนอยู่ ตีน
อาหาร +
โปรตีน + CuSO4 NaOH สารสีม่วง NaOH + CuSO4
ภาพที่ 2.27
44
ขอสอบเนน การคิด
CONH2 OH
(CH2)2 H H H CH H H
H2 CO N CO N CO N COOH พันธะเพปไทด
H CH2 H CH3
CONH2 CONH2 OH
จากสูตรโครงสรางเพปไทดที่กําหนดให ขอใดกลาวผิด (CH2)2 CH
1. โมเลกุลนี้ เรียกวา เตตระเพปไทด HH H HH
2. โมเลกุลนี้มีพันธะเพปไทด 3 พันธะ H2 CO N CO N CO N COOH
3. เพปไทดนี้ประกอบไปดวยกรดอะมิโน 3 ชนิด H H CH3
CH2
4. เพปไทดนี้ประกอบไปดวยกรดอะมิโน 4 ชนิด
CONH2
5. เมื่อนําเพปไทดนี้ไปทดสอบไบยูเร็ตจะไดสารสีมวง
(วิเคราะหคําตอบ จากสูตรโครงสราง สังเกตไดวา R1, R2, R3 และ R4 ไมซํ้ากัน จึงแสดงวามีกรดอะมิโน 4 ชนิด รวมตัวกันดวย
พันธะเพปไทด 3 พันธะ จึงเรียกโมเลกุลนี้วา เตตระเพปไทด และเมื่อนําสารนี้ไปทดสอบไบยูเร็ตจะไดสารสีมวง ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3.3 ลิพิด 1. ครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางอาหารที่มี
ลิพิด (lipid) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นแหล่งพลังงานที่ส�าคัญของร่างกาย มีสมบัติ สารอาหารประเภทลิพิด
ไม่ละลายน�้า แต่สามารถละลายได้ในสารละลายอินทรีย์หลายชนิด เช่น คลอโรฟอร์ม อะซิโตน 2. ครู ตั้ ง คํ า ถามเพื่ อ ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของ
อีเทอร์ เป็นต้น โมเลกุลของลิพิดประกอบด้วยอะตอมของธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน นักเรียน
ซึ่งจ�านวนคาร์บอนและไฮโดรเจนนั้นจะมีความแตกต่างกันตามชนิดของลิพิด ï• เมือ่ กลาวถึงลิพดิ นักเรียนนึกถึงสารชนิดใด
ลิพิดที่สะสมภายในร่างกายจะช่วยป้องกันการกระทบ (แนวตอบ นํ้ามัน ไขมัน ไข)
กระเทือนของอวัยวะภายใน ช่วยรักษาความอบอุ่นของร่างกาย ครูควรอธิบายเพิ่มเติมวา สารจําพวก
รวมทั้งเป็นองค์ประกอบที่ส�าคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ลิพิดนอกจากจะมีนํ้ามัน ไขมัน และไขแลว
ลิพิดจ�าแนกตามโครงสร้างได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้ ยังมีอีกหลายชนิด เชน ฟอสโฟลิพิด ไกลโค
1. ลิพิดเชิงเดี่ยว (simple lipid) ได้แก่ ไขมัน น�้ามัน ลิพิด สเตรอยด เปนตน ซึ่งนักเรียนจะได
และไข โดยที่อุณหภูมิห้องไขมันมีสถานะเป็นของแข็ง น�้ามันมี ศึกษาตอไป
สถานะเป็นของเหลว ส่วนไขพบได้ตามผิวหนัง ใบไม้ และผลไม้ ï• ลิพิดละลายนํ้าไดหรือไม และละลายใน
บางชนิด สารใดไดบาง
โมเลกุลของไขมันและน�้ามันจะประกอบด้วยหน่วยย่อย ( แนวตอบ ลิ พิ ด มี ส มบั ติ ไ ม ล ะลายนํ้ า แต
2 ส่วน คือ กรดไขมัน (fatty acid) และกลีเซอรอล (glycerol) สามารถละลายไดในสารละลายอินทรีย เชน
1
หากกรดไขมันในโมเลกุลของไขมันและน�า้ มันมี 1 โมเลกุล คลอโรฟอรม อะซิโตน อีเทอร เปนตน)
จะเรียกว่า มอนอกลีเซอไรด์ (monoglyceride) หากมี 2 โมเลกุล ภาพที่ 2.28 ลิพิดพบได้ในอาหาร ï• ลิพิดมีประโยชนตอรางกายอยางไร
เรียกว่า ไดกลีเซอไรด์ (diglyceride) หากมี 3 โมเลกุล เรียกว่า จ�าพวกน�้ามัน ไขมัน และเนย (แนวตอบ ลิพดิ มีเปนสารอาหารทีใ่ หพลังงาน
ไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ใหความอบอุนแกรางกาย ชวยปองกันการ
O O กระทบกระเทือนของอวัยวะภายใน)
HO C R H2C O C R
H2C OH O O
HC OH + HO C R HC O C R + 3H2O
H2C OH O O
HO C R H2C O C R
กลีเซอรอล กรดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ น�้า
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให นั ก เรี ย นสั ง เกตภาพการเกิ ด ไขมั น ชนิ ด ประเภทของกรดไขมัน
ไตรกลีเซอไรด จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม. 4 หากพิจารณาตามระดับความอิ่มตัว สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
เลม 1 หนา 45 แลวครูถามคําถามวา กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid)
•ï โมเลกุลของไขมันและนํ้ามันประกอบดวย - กรดไขมันที่อะตอมของคาร์บอนในโมเลกุลต่อกันด้วยพันธะเดี่ยว (single bond) และไม่สามารถ
จะรับอะตอมของไฮโดรเจนเข้าไปในโมเลกุลได้อีก
หนวยยอยใดบาง - มีสูตรทั่วไปเป็น CnH2n+1COOH
( แนวตอบ โมเลกุ ล ของไขมั น และนํ้ า มั น - ตัวอย่างกรดไขมันอิ่มตัว เช่น กรดบิวไทริก (C3H7COOH)
ประกอบด ว ยหน ว ยย อ ย 2 ส ว น ได แ ก กรดสเตียริก (C17H35COOH) เป็นต้น
กรดไขมัน (fatty acid) และกลีเซอรอล - พบได้ในไขมันจากสัตว์ และน�้ามันพืชบางชนิด เช่น น�้ามัน
มะพร้าว น�้ามันปาล์ม เป็นต้น
(glycerol)) กรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acid)
2. ใหนักเรียนทําความเขาใจการเรียกชนิดของ - กรดไขมันที่อะตอมของคาร์บอนบางอะตอมภายในโมเลกุล
ไขมันตามจํานวนโมเลกุลของกรดไขมัน ดังนี้ ต่อกันด้วยพันธะคู่ (double bond) และยังสามารถรับอะตอม
แทน C
- หากมีกรดไขมัน 1 โมเลกุล เรียกวา ของไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก แทน H
- มีจุดหลอมเหลวต�่า แทน O
มอโนกลีเซอไรด - ท�าปฏิกิริยากับสารอื่นได้ง่าย โดยเฉพาะออกซิเจนในอากาศ ภาพที่ 2.30 โครงสร้างของกรด
- หากมีกรดไขมัน 1 โมเลกุล เรียกวา จะเข้าท�าปฏิกริ ยิ าบริเวณพันธะคู่ เกิดสารประเภทเพอร์ออกไซด์ สเตียริก ซึ่งเป็นกรดไขมันอิ่มตัว
ไดกลีเซอไรด (peroxide) ท�าให้เกิดกลิ่นเหม็นหืน
- หากมีกรดไขมัน 1 โมเลกุล เรียกวา - ตัวอย่างกรดไขมันไม่อมิ่ ตัว เช่น กรดโอเลอิก (C17H33COOH) กรดอะราชิโดนิก (C19H31COOH)
กรดไลโนเลอิก (C17H31COOH) กรดปาล์มิโทเลอิก (C15H29COOH) เป็นต้น
ไตรกลีเซอไรด
หากพิจารณาตามความจ�าเป็นต่อร่างกายของมนุษย์ ได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
3. ใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับชนิดลิพิด กรดไขมัน กรดไขมันที่จ�าเป็นต่อร่างกาย (essential fatty acid)
กลีเซอรอล จากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 - กรดไขมันทีร่ า่ งกายไม่สามารถสังเคราะห์ขนึ้ เองได้จงึ จ�าเป็นต้อง
เลม 1 ได้รับจากการบริโภคอาหาร
- มีความส�าคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก
- หากขาดกรดไขมันจ�าพวกนี้จะท�าให้การเจริญเติบโตผิดปกติ
ผิวหนังอักเสบ และผมร่วง
- ตัวอย่างกรดไขมันที่จ�าเป็นต่อร่างกาย เช่น กรดไลโนเลอิก
กรดไลโนเลนิก กรดอะราชิโดนิก เป็นต้น
- พบได้มากในน�้ามันถั่วเหลือง น�้ามันข้าวโพด และน�้ามัน แทน C
ดอกค�าฝอย แทน H
แทน O
กรดไขมันที่ไม่จ�าเป็นต่อร่างกาย (nonessential fatty acid)
- กรดไขมันที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง ภาพที่ 2.31 โครงสร้างของกรด
- ตัวอย่างกรดไขมันที่ไม่จ�าเป็นต่อร่างกาย เช่น กรดปาล์มิติก โอเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว
กรดสเตียริก เป็นต้น
46
T52
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) กลีเซอรอล (glycerol) เป็นสารในกลุม่ แอลกอฮอล์ 1. ครูตั้งคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ
CH2 N+(CH3)3 นักเรียน
มีสูตรโมเลกุล คือ C3H8O3 คอลีน
CH2
ปฏิกริ ยิ าการรวมตัวระหว่างโมเลกุลของกรดไขมันกับ O ï• กรดไขมันมีสมบัติอยางไร
ฟอสเฟต O P O_
โมเลกุลของกลีเซอรอล เรียกว่า ดีไฮเดรชัน (dehydration) หรือ ( แนวตอบ ไม ล ะลายนํ้ า จุ ด เดื อ ดและ
O
ปฏิกิริยาควบแน่น (condensation) โดยจะได้น�้ามา 1 โมเลกุล CH2 CH2 CH2 กลีเซอรอล จุดหลอมเหลวสูงขึ้นตามจํานวนคารบอน
ซึ่งไขมันที่ได้อาจจะเป็นมอนอกลีเซอไรด์ (monoglyceride) O O อะตอมทีเ่ พิม่ ขึน้ )
C O C O
ไดกลีเซอไรด์ (diglyceride) หรือไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) CH2 CH2 ï• การรวมตัวกันระหวางโมเลกุลกรดไขมันกับ
ขึน้ อยูก่ บั จ�านวนโมเลกุลของกรดไขมันทีเ่ ข้าท�าปฏิกริ ยิ า ซึง่ อาจ CH2 CH2 โมเลกุลกลีเซอรอล เรียกวาปฏิกิริยาอะไร
CH2 CH2
เป็น 1 2 หรือ 3 โมเลกุล ตามล�าดับ CH2 CH2
(แนวตอบ ดีไฮเดรชัน (dehydration) หรือ
2. ลิพิดเชิงซ้อน (compound lipid) ในโมเลกุลจะ CH2 CH2 ปฏิกริ ยิ าควบแนน (condensation))
ประกอบด้วยกรดไขมัน กลีเซอรอล และมีสารอื่นเชื่อมต่ออยู่ CH2 CH2 ï• จงยกตัวอยางลิพดิ เชิงซอน และลิพดิ อนุพนั ธ
CH2 CH2
ด้วย เช่น ฟอสโฟลิพิด (phospholipid) ไกลโคลิพิด (glycolipid) CH2 CH2 (แนวตอบ ลิพิดเชิงซอน เชน ฟอสโฟลิพิด
กรดไขมัน
ลิโพโปรตีน (lipoprotein) เป็นต้น CH2 CH2 ไกลโคลิ พิ ด ลิ โ พโปรตี น ลิ พิ ด อนุ พั น ธ
CH2 CH2
3. ลิพิดอนุพันธ์ (derived lipid) มีโครงสร้างแตกต่าง CH2 CH2 เช น คอเลสเตอรอล โพรเจสเทอโรน
จากลิพิดทั่วไป แต่มีสมบัติคล้ายลิพิด เช่น สามารถละลายได้ CH2 CH2 เทสโทสเทอโรน)
CH2 CH2
ในตัวท�าละลายอินทรีย์ ตัวอย่างลิพิดอนุพันธ์ เช่น สเตรอยด์ CH2 CH2
มีโครงสร้างทัว่ ไปเป็นวง 4 วง ประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอน CH2 CH2
17 อะตอม และหมู1่ R ซึ่งจะแตกต่างกันตามชนิดของสเตรอยด์ CH2 CH2
CH2 CH2
เช่น คอเลสเตอรอล (choleterol) โพรเจสเทอโรน (progesterone)
เทสโทสเทอโรน (testosterone) ภาพที่ 2.32 โครงสร้างของ
ฟอสโฟลิพิด
CH3
C O OH
CH3 CH3
CH3 CH3
O O
โพรเจสเทอโรน เทสโทสเทอโรน
ภาพที่ 2.33 โครงสร้างของโพรเจสเทอโรน และเทสโทสเทอโรน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของสเตรอยด์
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 47
ของสิ่งมีชีวิต
T53
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. ครู อ ธิ บ ายเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ การทดสอบหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
ปริมาณกรดไขมันไมอิ่มตัว
ปริมาณกรดไขมันไมอมิ่ ตัวในนํา้ มันชนิดตางๆ ในนํ้ามันพืชและนํ้ามันสัตว
• การทดลอง
• การลงความเห็นจากข้อมูล
ดังนี้ จิตวิทยาศาสตร์
“สามารถทดสอบปริมาณกรดไขมันไมอมิ่ ตัว วัสดุอปุ กรณ์และสารเคมี • ความสนใจใฝรู้
• ความรอบคอบ
โดยให ทํ า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ ไอโอดี น ซึ่ ง ไอโอดี น 1. น�้ามันพืช เช่น น�้ามันปาล์ม 4. ตะเกียงแอลกอฮอล์
สามารถเขาทําปฏิกริ ยิ าบริเวณพันธะคูร ะหวาง น�้ามันเมล็ดทานตะวัน พร้อมที่กั้นลม
น�้ามันถั่วเหลือง เป็นต้น 5. บีกเกอร์ขนาด 50 มิลลิลิตร
อะตอมคารบอน เกิดเปนสารที่ไมมีสี ดังนั้น 2. น�้ามันสัตว์ เช่น น�้ามันหมู 6. แท่งแก้วคนสาร
หากนํา้ มันมีปริมาณกรดไขมันไมอมิ่ ตัวอยูม าก เนย เป็นต้น 7. หลอดหยด
จะสามารถฟอกสีของไอโอดีนไดมาก ” 3. สารละลายทิงเจอร์ไอโอดีน 1% 8. ไม้ขีดไฟ
2. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ปฏิบัติ
กิจกรรม เรื่อง ปริมาณกรดไขมันไมอิ่มตัวใน วิธปี ฏิบตั ิ
นํ้ามันพืชและนํ้ามันสัตว จากหนังสือเรียน
ชีววิทยา ม.4 เลม 1 แลวรวมกันอภิปรายและ
สรุปผลการทํากิจกรรม
1. น�าน�้ามันพืชและน�้ามันสัตว์ชนิดละ 10
50 50
40 40
30 30
20 20
บีกเกอร์ใบที่ 1 บีกเกอร์ใบที่ 2
(น�้ามันพืช) (น�้ามันสัตว์)
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
ค�าถามท้ายกิจกรรม 4. ครูตั้งคําถามเชื่อมโยงกับชีวิตประจําวัน ดังนี้
?
ï• เหตุ ใ ดเมื่ อ นํ า นํ้ า มั น พื ช บางชนิ ด ไปแช ใ น
1. กรดไขมันจากน�้ามันชนิดใดที่ท�าปฏิกิริยากับสารละลายทิงเจอร์ ไอโอดีน ตูเย็น นํ้ามันนั้นจะไมแข็งตัว
2. จงอธิบายปฏิกิริยาระหว่างกรดไขมันกับสารละลายทิงเจอร์ ไอโอดีน
3. จงเรียงล�าดับน�้ามันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด (แนวตอบ นํ้ามันพืชนั้นจะประกอบไปดวย
กรดไขมันไมอมิ่ ตัวปริมาณมาก ซึง่ กรดไขมัน
ไมอิ่มตัวสวนใหญมักจะมีจุดหลอมเหลวตํ่า
อภิปรายกิจกรรม
ประมาณ -0.5 ถึง -49 C ํ ซึง่ ตํา่ กวาอุณหภูมิ
จากกิจกรรมพบว่า ไขมันและน�้ามันที่ประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว (C = C) เมื่อท�าปฏิกิริยากับ ในตูเ ย็น นํา้ มันนัน้ จึงไมแข็งตัว สวนกรดไข
สารละลายไอโอดีน (I2) จะเกิดปฏิกิริยาการเติมไอโอดีนที่บริเวณพันธะระหว่างคาร์บอนกับคาร์บอนที่จับ
กันด้วยพันธะคู่ ซึง่ หากไขมันและน�า้ มันชนิดใดสามารถฟอกสีหรือท�าให้สขี องสารละลายไอโอดีนจางลงได้มาก มันอิม่ ตัวสวนใหญมจี ดุ หลอมเหลวประมาณ
แสดงว่าไขมันและน�้ามันนั้นประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวปริมาณมาก 44-48 Cํ ซึง่ สูงกวาอุณหภูมใิ นตูเ ย็น นํา้ มันนัน้
จึงแข็งตัว)
ï• นํ้ามันที่ใชประกอบอาหารที่ขายทั่วไปใน
ทองตลาด มีความแตกตางกันอยางไร
(แนวตอบ นํ้ามันที่ขายในทองตลาดมีหลาย
B iology ชนิด เชน นํา้ มันรําขาว นํา้ มันปาลม นํา้ มัน
Focus ปฏิกิริยาสพอนนิฟเคชัน ถั่ ว เหลื อ ง นํ้ า มั น ข า วโพด นํ้ า มั น เมล็ ด
ปฏิกริ ยิ าสพอนนิฟเิ คชัน (sponification) เป็นปฏิกริ ยิ าไฮโดรไลซิสของไขมันและน�า้ มันด้วยเบส ทานตะวัน ซึ่งประกอบไปดวยกรดไขมัน
เกิดเป็นเกลือของกรดไขมัน (RCOO-Na+) หรือสบู่ และกลีเซอรอล ดังสมการ ไมอมิ่ ตัว สวนนํา้ มันจากสัตว เชน นํา้ มันหมู
O O ประกอบไปดวยกรดไขมันอิม่ ตัว)
CH2 O C R1 CH2 OH Na+O- C R1 แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
O O
CH O C R2 + 3NaOH CH OH + Na+O- C R2 1. กรดไขมันจากนํ้ามันพืช เชน นํ้ามันปาลม
O O นํา้ มันเมล็ดทานตะวัน นํา้ มันถัว่ เหลือง เปนตน
CH2 O C R3 CH2 OH Na+O- C R3 เปนกรดไขมันไมอมิ่ ตัวซึง่ มีพนั ธะคูใ นโมเลกุล
ไขมันและน�้ามัน เบส กลีเซอรอล สบู่ จะทําปฏิกิริยากับสารละลายทิงเจอรไอโอดีน
ภาพที่ 2.35 2. ปฏิ กิ ริ ย าระหว า งกรดไขมั น กั บ สารละลาย
สบู่ (soap) คือ เกลือของกรดไขมัน หากละลายน�้าจะแตกตัวให้ไอออนบวก และไอออนลบ ทิ ง เจอร ไ อโอดี น นั้ น เป น ปฏิ กิ ริ ย าการเติ ม
ซึ่งไอออนลบจะเป็นตัวที่ช�าระล้างสิ่งสกปรกต่าง ๆ โดยสามารถละลายได้ทั้งในตัวท�าละลายที่มีขั้วและ ไอโอดีนที่บริเวณพันธะระหวางคารบอนกับ
ไม่มีขั้ว คารบอนทีจ่ บั กันดวยพันธะคู (C= C) ของกรด
ไขมันไมอิ่มตัว
เคมีที่เป็นพื้นฐาน
ของสิ่งมีชีวิต
49 3. ขึน้ อยูก บั ชนิดของนํา้ มันทีน่ าํ มาใชในกิจกรรม
ซึง่ กรดไขมันไมอมิ่ ตัวสวนมากพบในนํา้ มันพืช
มากกวานํ้ามันสัตว
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครู ตั้ ง คํ า ถามเพื่ อ ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของ 3.4 กรดนิวคลีอิก
นักเรียน กรดนิวคลีอิก (nucleic acid) เป็นสารชีวโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมที่
ï• ลักษณะของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมดวยสารใด มีหน้าทีเ่ ก็บและถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชวี ติ จากรุน่ หนึง่ ไปยังรุน่ ต่อ ๆ ไป ตลอดจน
(แนวตอบ สารพันธุกรรม) ท�าหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและกระบวนการต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต กรดนิวคลีอิกมี 2 ชนิด
•ï สารพันธุกรรมในสิง่ มีชวี ติ แตละชนิดเปนสาร ได้แก่ ดีเอ็นเอ (Deoxyribonucleic acid : DNA) และอาร์เอ็นเอ (Ribonucleic acid : RNA) ซึ่ง
เดียวกันหรือไม อยางไร มีปริมาณแตกต่างกันไปตามชนิดของสิ่งมีชีวิต
(แนวตอบ สารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตแตละ โมเลกุลของกรดนิวคลีอิกประกอบด้วยหน่วยย่อย เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide)
ชนิดแตกตางกัน โดยอาจเปน DNA หรือ ซึ่งแต่ละโมเลกุลของนิวคลีโอไทด์ประกอบด้วยส่วนย่อย 3 ส่วน ดังนี้
RNA) 1) น�า้ ตาลเพนโทส (pentose sugar) เป็นน�า้ ตาลทีม่ คี าร์บอน 5 อะตอม น�า้ ตาลเพนโทสที่
2. ครู อ าจนํ า ภาพหรื อ แบบจํ า ลอง DNA ให เป็นส่วนประกอบของนิวคลีโอไทด์มี 2 ชนิด คือ ดีออกซีไรโบส (deoxyribose) ที่เป็นองค์ประกอบ
นักเรียนสังเกตลักษณะและสวนประกอบตางๆ ของดีเอ็นเอ และไรโบส (ribose) ที่เป็นองค์ประกอบของอาร์เอ็นเอ
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ 2) ไนโตรจีนัสเบส (nitrogenous base) เป็นสารอินทรีย์ที่มีอะตอมของคาร์บอนและ
นิวคลีโอไทล นํ้าตาลเพนโทส ไนโตรจีนัสเบส อะตอมของไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ ซึง่ จะเชือ่ มต่อกับคาร์บอนต�าแหน่งที่ 1 ของน�า้ ตาลเพนโทส
และหมูฟอสเฟต โดยไนโตรจีนัสเบสแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
(1) พิวรีน (purine) มีโครงสร้างหลักเป็นวงแหวน 2 วง ได้แก่ อะดีนนี (Adenine; A)
และกวานีน (Guanine; G)
(2) ไพริมิดีน (pyrimidine) มีโครงสร้างหลักเป็นวงแหวนวงเดียว ได้แก่ ไซโทซีน
(Cytocine; C) ไทมีน (Thymine; T) และยูราซิล (Uracil; U)
3) หมู่ฟอสเฟต (phosphate group) เป็นสารที่มีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบ โดยจะ
เชื่อมต่อกับคาร์บอนต�าแหน่งที่ 5 ของน�้าตาลเพนโทส
O O
O P O O P O
O O
นิวคลีโอไทด์ที่มีเบสอะดีนีน นิวคลีโอไทด์ที่มีเบสกวานีน
50
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับประเด็นตางๆ ดังนี้
O O - นิวคลีโอไทล
O P O O P O - นํ้าตาลเพนโทส
O O - ไนโตรจีนัสเบส
- หมูฟอสเฟต
นิวคลีโอไทด์ที่มีเบสไทมีน นิวคลีโอไทด์ที่มีเบสไซโทซีน - ชนิดของกรดนิวคลีอิก
O สรุปสาระสําคัญลงในสมุดบันทึกของนักเรียน
O P O 5. ครู เ น น ยํ้ า ให นั ก เรี ย นสั ง เกตความแตกต า ง
O ระหวาง DNA กับ RNA แตยังไมตองศึกษา
โครงสรางละเอียด
นิวคลีโอไทด์ที่มีเบสยูราซิล
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 51
ของสิ่งมีชีวิต
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูตั้งคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ 2. กรดไรโบนิวคลีอิก หรืออาร์เอ็นเอ (Ribonucleicacid; RNA) เป็นกรดนิวคลีอิก
นักเรียน ดังนี้ ที่มีสายพอลินิวคลีโอไทด์เพียงสายเดียว อาร์เอ็นเอมี 3 ชนิด ซึ่งท�าหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้
ï• แตละโมเลกุลของนิวคลีโอไทดประกอบดวย 1) เอ็มอาร์เอ็นเอ (Messenger RNA; mRNA) เกิดจากการถอดรหัส DNA (DNA
หนวยยอยอะไรบาง transcription) ซึ่งถูกสังเคราะห์ในนิวเคลียสและส่งออกไปยังไซโทพลาซึม ท�าหน้าที่เป็นแม่พิมพ์
(แนวตอบ นํ้าตาลเพนโทส ไนโตรจีนัสเบส (template) ในการสร้างโปรตีน
และหมูฟ อสเฟต) 2) ทีอาร์เอ็นเอ (Transfer RNA; tRNA) จะเป็นตัวแปลรหัสพันธุกรรมบน mRNA
ï• DNA กับ RNA แตกตางกันอยางไร ที่เรียกว่า โคดอน (codon) ซึ่งรหัสเหล่านี้จะเป็นตัวก�าหนดชนิดของกรดอะมิโนที่จะมาเรียงต่อกัน
(แนวตอบ แตกตางกันที่ชนิดของเบส (ใน โดย tRNA แต่ละชนิดจะมีส่วนที่ใช้อ่านรหัส เรียกว่า แอนติโคดอน (anticodon) และมีกรดอะมิโน
DNA เปน A C G T สวนใน RNA เปน A ที่จ�าเพาะต่อรหัสนั้น ๆ
C G U) ชนิดของนํา้ ตาล (ใน DNA เปน 3) อาร์อาร์เอ็นเอ (Ribosomal RNA; rRNA) เป็นองค์ประกอบส�าคัญในไรโบโซม
ดีออกซีไรโบส สวนใน RNA เปน ไรโบส)) ท�าหน้าทีส่ งั เคราะห์โปรตีน โดยจับกับทัง้ mRNA และ tRNA ทีเ่ หมาะสมแล้วช่วยเชือ่ มกรดอะมิโน
2. ครูอาจแจงวาในหนวยการรูนี้ นักเรียนอาจยัง เข้าด้วยกันเป็นพอลิเพปไทด์
ตารางที่ 2.5 : ควำมแตกต่ำงระหว่ำงดีเอ็นเอกับอำร์เอ็นเอ
ไมตองศึกษาโครงสรางและหนาที่ของ DNA
สิ�งเปรียบเทียบ DNA RNA
กับ RNA อยางละเอียด ซึง่ นักเรียนจะไดศกึ ษา
ตอไปในเรื่องพันธุศาสตร แตใหนักเรียนทราบ โครงสร้างโมเลกุล สายพอลิ นิ ว คลี โ อไทด์ 2 สาย สายพอลินิวคลีโอไทด์สายเดียว
พันกันเป็นเกลียว
เพียงวา กรดนิวคลีอิกเปนสารพันธุกรรมอยู C C
ในนิวเคลียส มีหนาที่ควบคุมการถายทอด
G G
ลักษณะทางพันธุกรรม
A A
T U
52
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3.5 วิตามิน ครู ตั้ ง คํ า ถามเพื่ อ ตรวจสอบความรู เ ดิ ม ของ
วิตามิน (vitamin) เป็นสารชีวโมเลกุลที่มีความจ�าเป็นต่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งท�าหน้าที่ควบคุม นักเรียน
การท�างานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้อยู่ในสภาวะปกติ ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์วิตามิน ï• ใหนกั เรียนชวยกันยกตัวอยางอาการหรือโรค
ได้เอง จึงจ�าเป็นต้องได้รับจากสารอาหาร โดยสามารถจ�าแนกวิตามินตามคุณสมบัติการละลาย ที่เกิดจากการขาดวิตามิน
ได้ 2 ประเภท ซึ่งได้แก่ วิตามินที่ละลายในน�้า และวิตามินที่ละลายในไขมัน (แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน
ตัวอยางเชน
วิตามินที่
- โรคตาบอดกลางคื น เกิ ด จากการขาด
ละลายในนํ้า วิตามินเอ
(water soluble vitamin) - โรคเหน็บชา เกิดจากการขาดวิตามินบี 1
- โรคลักปดลักเปด เกิดจากการขาดวิตามิน
วิตามินบีรวม วิตามินซี ซี
(vitamin B-complex) (vitamin C)
- โรคกระดูกออน เกิดจากการขาดวิตามินดี
วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินที่ - เลือดแข็งตัวชา เกิดจากการขาดวิตามินเค)
(vitamin A) (vitamin D) ละลายในไขมัน
(fat soluble vitamin)
วิตามินอี วิตามินเค
(vitamin E) (vitamin K)
T59
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนแบงเปนกลุม กลุมละ 6 คน ศึกษา 1) วิตามินซี หรือกรดแอสคอบิก (vitamin C or
เกี่ยวกับวิตามินชนิดตางๆ ดังนี้ HO H O ascorbic acid) มีสูตรโมเลกุลเป็น C6H8O6 ลักษณะเป็นผลึก
HO O
- คนที่ 1 ศึกษาวิตามินซี สีขาว ละลายน�้าได้ดี สลายตัวง่ายเมื่อถูกอากาศหรือความร้อน
- คนที่ 2 ศึกษาวิตามินบี HO OH
ไม่ทนต่อสภาวะเป็นเบส พบมากในผักและผลไม้สด โดยเฉพาะ
- คนที่ 3 ศึกษาวิตามินเอ อย่างยิ่งในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะขามป้อม มะนาว นอกจากนี้
- คนที่ 4 ศึกษาวิตามินดี ภาพที่ 2.40 โครงสร้างของวิตามินซี ยังพบในผักใบเหลืองและผักสดอีกด้วย
- คนที่ 5 ศึกษาวิตามินอี วิตามินซีจ�าเป็นส�าหรับปฏิกิริยาการใช้ออกซิเจนในร่างกาย ช่วยต้านทานเชื้อโรค และ
- คนที่ 6 ศึกษาวิตามินเค เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย
สรุปสาระสําคัญในประเด็นของความสําคัญ 2) วิตามินบี 1 หรือไทอามีน (vitamin B1 or thiamine) เป็นผลึกใส ไม่มีสี มีรสเค็ม
และแหลงที่พบลงในสมุดบันทึกของนักเรียน ละลายน�้าได้ดี สลายตั1วได้ง่ายเมื่อได้รับความร้อน ไม่ทนต่อสภาวะเป็นเบส ไม่ทนต่อปฏิกิริยา
2. ใหนักเรียนแตละกลุมสรุปความรูที่ศึกษาเปน ออกซิเดชันและรีดักชัน พบมากในเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง เห็ดฟาง ข้าวซ้อมมือ
ผังมโนทัศน หรือข้าวที่ขัดสีน้อย
วิตามินบี 1 มีหน้าทีเ่ กีย่ วข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซมึ ของคาร์โบไฮเดรต ช่วยใน
การท�างานของระบบย่อยอาหารและระบบประสาท
N N
CH2 CH3
54
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
4) วิตามินบี 5 หรือไนอะซีน (vitamin B5 or niacin) 1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายและสรุ ป
เป็นผลึกไม่มีสี มีรสขมจัด มีความทนต่อกรด เบส แสงสว่าง OH ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องวิตามิน
O 2. ครูตั้งคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ
อากาศ และความร้อนได้ พบมากในไข่แดง ตับ ยีสต์ ผลไม้
และผักใบเขียว นักเรียน ดังนี้
N
วิตามินบี 5 เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์เอ ï• รางกายสิ่งมีชีวิต จําเปนตองไดรับวิตามิน
(Coenzyme A) มีส่วนช่วยในการท�างานของระบบย่อยอาหาร หรือไม อยางไร
และเป็นส่วนประกอบของน�้าย่อยบางชนิด นอกจากนี้ยังมีส่วน ภาพที่ 2.43 โครงสร้างของวิตามินบี 5 (แนวตอบ จําเปน เพราะวิตามินชวยควบคุม
ช่วยในการท�างานของเนื้อเยื่อผิวหนังอีกด้วย การทํางานของระบบตางๆ ในรางกายให
5) วิตามินบี 6 หรือไพริดอกซิน (vitamin B6 or ทํางานไดอยางปกติ ซึ่งรางกายไมสามารถ
pyridoxine) เป็นผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสเค็ม ละลายได้ในกรด CH2OH สังเคราะหวติ ามินไดเอง จึงจําเปนตองไดรบั
และด่าง สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกแสงแดด พบมากในอาหารพวก HO CH2OH จากสารอาหาร)
เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ธัญพืช ถั่ว และผักใบเขียว H3C +
N ï• วิตามินพบไดมากในอาหารประเภทใด
วิตามินบี 6 เป็นโคเอนไซม์ในกระบวนการสังเคราะห์1 H (แนวตอบ วิตามินพบไดในอาหารหลายชนิด
กรดอะมิโน ช่วยในการเปลีย่ นทริปโตเฟนให้กลายเป็นเซโรโทนิน แตพบไดมากในผลไม)
ซึง่ เป็นสารสือ่ ประสาททีม่ คี วามเกีย่ วข้องกับการควบคุมอารมณ์ ภาพที่ 2.44 โครงสร้างของวิตามินบี 6
ความนึกคิด ช่วยสร้างสารที่จะเปลี่ยนเป็นฮีม (heme) ใน
เฮโมโกลบิน ช่วยในการสลายไกลโคเจนให้เป็นกลูโคส และช่วย
ในการสร้างกรดอะมิโนที่ไม่จ�าเป็นต่อร่างกาย เช่น อะลานีน
กรดกลูตามิกในตับ โดยอาศัยปฏิกิริยาเคลื่อนย้ายหมู่อะมิโน
(transamination) H2NOC
CONH2
6) วิตามินบี 12 หรือโคบาลามีน (vitamin B12 or H2NOC CONH2
N R +N
cobalamin) มีโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก ลักษณะเป็นผลึกสีแดง H
Co
N N
ละลายได้ในน�้าและแอลกอฮอล์ ไม่ทนต่อสภาวะกรดหรือด่าง H2NOC CONH2
และแสงสว่าง พบมากในตับสัตว์ น�้าปลา และปลาร้า O N
การดูดซึมวิตามินบี 12 ผ่านทางผนังล�าไส้จะต้อง NH
HO N
มีเอนไซม์จากกระเพาะอาหารเป็นตัวกระตุ้น โดยขณะที่ร่างกาย O
O PO
O
ไม่ได้ใช้วติ ามินนีจ้ ะถูกเก็บไว้ทตี่ บั ซึง่ วิตามินนีม้ สี ว่ นช่วยในการ O- HO
สังเคราะห์กรดนิวคลีอิก (DNA) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
ในไขกระดูก และยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคอีกด้วย ภาพที่ 2.45 โครงสร้างของวิตามินบี 12
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 55
ของสิ่งมีชีวิต
T61
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเขาใจ
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปความ 7) กรดโฟลิก (folic acid) อาจอยูใ่ นรูปสารประกอบชนิดอืน่ ๆ ซึง่ มีชอื่ เรียกแตกต่างกัน
สําคัญของสารอินทรียแตละชนิดตอรางกาย เช่น โฟเลต (folate) โฟลาซิน (folacin) เป็นต้น เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมที่บริเวณล�าไส้เล็ก
สิ่งมีชีวิต โดยควรสรุปประเด็นสําคัญได ดังนี้ จากนั้นจะถูกส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และจะถูกขับออก
- คารโบไฮเดรต : เปนแหลงพลังงานและ O OH จากร่างกายไปกับปัสสาวะในรูปของโฟเลต พบมากในถัว่ เมล็ดแห้ง
HN OH
วัตถุดิบสําหรับสรางโครงราง และเปนสวน O O ผักใบเขียวสด ตับสัตว์ ส้ม เป็นต้น
HN
ประกอบของเซลล N กรดโฟลิกเป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ มีหน้าที่
N N เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิกและโปรตีน มีความ
- โปรตีน : เปนโครงสรางของเซลล เปนตัว H2N N OH
เรงปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล ควบคุมการ จ�าเป็นต่อการแบ่งเซลล์ และการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ทํ า งานของร า งกาย เกี่ ย วข อ งกั บ ระบบ ภาพที่ 2.46 โครงสร้างของกรดโฟลิก นอกจากนี้ยังท�าหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาวใน
ภูมิคุมกัน ไขกระดูกอีกด้วย
- ลิพิด : เปนแหลงพลังงาน ชวยปองกันการ 8) ไบโอติน (biotin) เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์
O
สูญเสียนํ้า ควบคุมอุณหภูมิรางกาย ปองกัน C
ทีม่ บี ทบาทส�าคัญในกระบวนการเมแทบอลิซมึ ของคาร์โบไฮเดรต
การกระทบกระเทื อ นของอวั ย วะภายใน
HN NH โปรตีน และไขมัน ซึ่งช่วยท�าให้ผม เล็บ และผิวหนังมีสุขภาพดี
รางกาย
HC CH O ช่วยในการเจริญของเซลล์เยื่อบุผิว และยังช่วยให้ร่างกาย
H2C CH (CH2)4 C OH สามารถสร้างพลังงานในระหว่างการออกก�าลังกายหรือการท�า
- กรดนิวคลีอกิ : ควบคุมการถายทอดลักษณะ S
กิจวัตรประจ�าวันต่าง ๆ ซึ่งไบโอตินพบมากในตับสัตว์ ไข่ นม
ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
ภาพที่ 2.47 โครงสร้างของไบโอติน ผักและผลไม้
- วิตามิน : ควบคุมการทํางานของระบบตางๆ
ในรางกายใหอยูในสภาวะปกติ 2. วิตามินที่ละลายในไขมัน (fat soluble vitamins) มีคุณสมบัติทั่วไป คือ จะละลาย
2. ครูนําอภิปรายวา จากการศึกษาทําใหพบวา ในไขมันหรือน�า้ มันเท่านัน้ สามารถคงสภาพอยูไ่ ด้นาน ร่างกายจะเก็บสะสมไว้ทตี่ บั ซึง่ หากร่างกาย
ได้รับในปริมาณมากเกินความต้องการ จะมีอาการแพ้เกิดขึ้น
สารอินทรียแตละชนิดลวนมีความสําคัญตอ
สิ่งมีชีวิต ดังนั้น เราจึงควรบริโภคอาหารที่ 1) วิตามินเอ หรือเรตินอล (vitamin A or retinol) มีสเี หลืองอ่อน พบมากในตับ ไข่แดง
หลากหลายและมีประโยชน ทั้งนี้เพื่อสุขภาพ
เนย น�า้ นม น�า้ มันตับปลา และยังพบในพืชทีม่ สี ารประกอบพวกแคโรทีน (carotene) ได้แก่ ผักสีเขียว
สีเหลือง สีส้ม เช่น ข้าวโพด มะละกอสุก ฟักทอง กล้วยหอม ผักบุ้ง มะเขือเทศ เป็นต้น
รางกายที่สมบูรณแข็งแรง
วิตามินเอ มีสว่ นช่วยบ�ารุงสายตาและการมองเห็น ซึง่ หากขาดวิตามินเอ จะท�าให้เกิด
โรคตาฟางกลางคืน (night blindness) นัยน์ตาแห้ง กลัวแสง และมักมีอาการติดเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้ง่าย
CH3 CH3 CH3
OH
CH3
CH3
ภาพที่ 2.48 โครงสร้างของวิตามินเอ
56
T62
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
2) วิตามินดี หรือแคลซิเฟอรอล (vitamin D or 3. ครูกลาวเชื่อมโยงเขาสูเนื้อหาที่จะไดศึกษาตอ
CH3
calciferol) เป็นผลึกสีขาวไม่มกี ลิน่ ทนต่อความร้อน ไม่สลายตัว CH3 ไปวา สารอาหารตางๆ ทั้งสารอนินทรียและ
เมื่อถูกออกซิเจนหรือกรดและเบส ซึ่งวิตามินดีมี 2 ชนิด ได้แก่ H2C สารอินทรีย เมือ่ เขาสูร า งกายแลวจะถูกลําเลียง
CH
วิตามินดี 2 (vitamin D2) พบมากในน�้ามันตับปลา นม ไข่แดง CH3 3 ไปสูเซลล แลวเกิดปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล
และยีสต์ ส่วนวิตามินดี 3 (vitamin D3) ได้จากปฏิกริ ิยาระหว่าง HO 4. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด
รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดกับสารสเตรอยด์ในผิวหนัง ภาพที่ 2.49 โครงสร้างของวิตามินดี 3 ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 1 หนวยการ
วิตามินดีที่ร่างกายได้รับ ส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ที่ตับ นอกจากนี้ยังเก็บไว้ที่ผิวหนัง เรียนรูที่ 2
สมอง ตับอ่อน กระดูก และล�าไส้ด้วย
3) วิตามินอี หรือโทโคเฟอรอล (vitamin E or tocoferol) ในธรรมชาติมหี ลายชนิด แต่ที่ ขัน้ ประเมิน
พบในร่างกายมนุษย์ ส่วนใหญ่อยูใ่ นรูปแอลฟา - โทโคเฟอรอล (∝ - tocopherol) ซึง่ วิตามินอีพบมาก ตรวจสอบผล
ในอาหารต่าง ๆ เช่น ไข่ปลา CH3 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม
CH CH3
เนื้อ ตับ ข้าวกล้อง และใน H3C O 3 การรวมกันทําผลงาน และการนําเสนอผลงาน
น�้ามันพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง O CH3 CH3 CH3 2. ครูตรวจผังมโนทัศน เรื่อง คารโบไฮเดรต
ในน�้ า มั น เมล็ ด ดอกค� า ฝอย CH3 3. ครูวดั และประเมินการปฏิบตั กิ าร เรือ่ ง ปริมาณ
น�้ามันถั่วเหลือง น�้ามันร�าข้าว ภาพที่ 2.50 โครงสร้างของวิตามินอี กรดไขมันไมอมิ่ ตัวในนํา้ มันพืชและนํา้ มันสัตว
วิตามินอีมสี ว่ นช่วยในการท�างานของหลายระบบในร่างกาย เป็นสารต้านอนุมลู อิสระ 4. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด
(antioxidant) ช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเซลล์ ช่วยบ�ารุงผิวพรรณให้สดใสและชุ่มชื้น ชะลอ
ความแก่ ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อท�างานอย่างปกติ
4) วิตามินเค หรือฟิลโลควิโนน (vitamin K or phylloquinone) เป็นสารสีเหลือง ทนต่อ
ความร้อนได้ แต่ไม่ทนต่อกรดเบส และแสงสว่าง ซึ่งในธรรมชาติพบ 2 ชนิด คือ วิตามินเค 1
(vitamin K1) หรือฟิลโลควิโนน พบในผักใบเขียว และวิตามินเค 2 (vitamin K2) หรือเมนาควิโนน
(menaquinone) และนอกจากนั้นแบคทีเรียในล�าไส้ใหญ่ยังสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้
วิตามินเคท�าหน้าทีค่ วบคุมการสังเคราะห์โปรตีนทีเ่ กีย่ วข้องกับการแข็งตัวของเลือด
O
CH3
O CH3 CH3
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 57
ของสิ่งมีชีวิต
T63
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูกระตุน ความสนใจของนักเรียนเกีย่ วกับเรือ่ ง เราจะสังเกตุไดอยางไรวา 4. ปฏิกริ ยิ าเคมีในเซลล์ของสิง่ มีชวี ติ
ปฏิกิริยาเคมี โดยใหนักเรียนดูสื่อดิจิทัลจาก มีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น การถ่ายทอดพลังงานในสิง่ มีชวี ติ เริม่ ตัง้ แต่พชื น�าแสงจาก
อินเทอรเน็ต หรือ Powerpoint หรือ TWIG ดวงอาทิตย์มาใช้ในกระบวนสังเคราะห์ด้วยแสง เมื่อสัตว์กินพืช
เรื่อง การเปลี่ยนแปลงพลังงานของปฏิกิริยา ก็จะเกิดการถ่ายทอดพลังงานจากพืชไปยังสัตว์ และสัตว์จะกินต่อกันไปเป็นทอด ๆ ซึง่ สารอาหารจะ
2. ครูตั้งประเด็นเพื่อใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับ ถูกย่อย ดูดซึม และส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อใช้สร้างสารต่าง ๆ และพลังงานที่จ�าเป็น
ปฏิกริ ยิ าดูดพลังงานและปฏิกริ ยิ าคายพลังงาน ต่อการด�ารงชีวิตโดยผ่านปฏิกิริยาเคมี
ดังนี้
- ปฏิกิริยาการแยกนํ้าดวยไฟฟา 4.1 ปฏิกิริยาเคมี
1
- ปฏิกิริยาการรวมตัวของอะตอมไฮโดรเจน ปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของ
กับอะตอมออกซิเจนเปนโมเลกุลของนํ้า สารตั้งต้น ซึ่งระหว่างการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการสลายพันธะระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลแล้ว
สร้างพันธะใหม่ขึ้น และมีการจัดเรียงตัวของอะตอมใหม่ เกิดเป็นสารผลิตภัณฑ์ที่มีสมบัติต่างไป
ขัน้ สอน จากสารตั้งต้น ซึ่งปฏิกิริยาเคมีแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
สํารวจค้นหา
1. ปฏิกิริยาดูดพลังงาน (endergonic reaction)
1. ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ศึกษา พลังงาน
ที่ปล่อย คือ ปฏิกิริยาที่ใช้พลังงานในการสลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง
ขอมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยาที่ครูกําหนดขางตนใน ออกมา
ระดับพลังงาน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
นอกจากนี้หากจําแนกปฏิกิริยาเคมี ตามลักษณะการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุลสาร สามารถ 2. ใหนักเรียนแตละกลุมสรุปความรูที่ศึกษาใน
จําแนกไดเปน 3 ประเภท ดังนี้ รูปแบบของผังมโนทัศน หรือรูปแบบอื่นๆ ที่
1. ปฏิกริ ยิ ารวมตัว (combination) เปนปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดจากการรวมตัวของสารโมเลกุลเล็ก นาสนใจ
กลายเปนสารโมเลกุลใหญ เชน การรวมตัวของแกสไฮโดรเจนกับแกสออกซิเจนเปนโมเลกุล 3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
ของนํ้า ดังสมการ ปฏิ กิ ริ ย าเคมี ที่ ศึ ก ษา โดยควรมี แ นวการ
แกสออกซิเจน (O2)
อภิปราย ดังนี้
2H2 (g) + O2 (g) 2H2O (l) แกสไฮโดรเจน (H2)
- อะตอมของธาตุหรือสารประกอบรวมตัวกัน
2. ปฏิกริ ยิ าแยกสลาย (decomposition) เปนปฏิกริ ยิ า อยูไดดวยพันธะเคมีซึ่งมีพลังงานสะสมอยู
ทีเ่ กิดการแยกสลายสารโมเลกุลใหญใหไดเปนสารโมเลกุลเล็กลง - โมเลกุลของสารทุกชนิดมีพลังงานสะสมอยู
เชน การสลายโมเลกุลของนํ้า ไดเปนแกสไฮโดรเจนและแกส แบตเตอรี่ ในรูปของพลังงานพันธะ
ออกซิเจน ดังสมการ ขั้วบวก ขั้วลบ - ถ า พลั ง งานพั น ธะของสารตั้ ง ต น สู ง กว า
ภาพที่ 2.54 การแยกนํ้าดวย พลั ง งานพั น ธะของผลิ ต ภั ณ ฑ เมื่ อ เกิ ด
2H2O (l) 2H2 (g) + O2 (g) กระแสไฟฟาจะไดแกสไฮโดรเจน ปฏิ กิ ริ ย าจะมี พ ลั ง งานปลดปล อ ยออกมา
และแกสออกซิเจน
เรียกปฏิกริ ยิ าแบบนีว้ า ปฏิกริ ยิ าคายพลังงาน
3. ปฏิกริ ยิ าแทนที่ (replacement) เปนปฏิกริ ยิ าทีส่ ารชนิดหนึง่ เขาแทนทีส่ ารอีกชนิดหนึง่
- ถ า พลั ง งานพั น ธะของสารตั้ ง ต น ตํ่ า กว า
เชน ปฏิกิริยาระหวางแมกนีเซียมกับกรดซัลฟวริก ดังสมการ
พลั ง งานพั น ธะของผลิ ต ภั ณ ฑ เมื่ อ เกิ ด
Mg (s) + H2SO4 (aq) MgSO4 (aq) + H2 (g) ปฏิกริ ยิ าจําเปนตองใชพลังงานจากภายนอก
เรียกปฏิกริ ยิ าแบบนีว้ า ปฏิกริ ยิ าดูดพลังงาน
B iology
Focus ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นไดเร็วหรือชานั้น ขึ้นอยูกับปจจัยหลายประการ ดังนี้
1. ความเขมขนของสารตัง้ ตน ถาสารตัง้ ตนเปนสารละลายทีม่ คี วามเขมขนสูง จะทําใหปฏิกริ ยิ า
เกิดไดเร็วกวาสารตั้งตนที่เจือจาง
2. พืน้ ทีผ่ วิ ของสารตัง้ ตน สารตัง้ ตนทีเ่ ปนของแข็งซึง่ มีพนื้ ทีผ่ วิ มาก จะทําใหปฏิกริ ยิ าเกิดไดเร็ว
กวาสารตั้งตนที่มีพื้นที่ผิวนอย
3. อุณหภูมิ ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงจะทําใหปฏิกิริยาเกิดไดเร็วกวาสภาวะที่มีอุณหภูมิตํ่า
4. ตัวเรงปฏิกิริยา (catalyst) หากมีตัวเรงปฏิกิริยาจะกระตุนใหปฏิกิริยาเกิดไดเร็วขึ้น
5. ความดัน ความดันจะมีผลตอปฏิกิริยาของสารที่เปนแกส โดยเมื่อความดันเพิ่มขึ้น โมเลกุล
ของแกสจะเกิดการชนกันมากขึ้น ทําใหปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 59
ของสิ่งมีชีวิต
T65
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูเปดสื่อดิจิทัล TWIG เรื่อง เอนไซม ให 4.2 เอนไซม์
นักเรียนดู เพื่อนําเขาสูเรื่องที่จะศึกษา เอนไซม์ (enzymes) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ท�าหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์และ
2. ครูตั้งคําถามใหนักเรียนรวมกันแสดงความ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
คิดเห็น ดังนี้
สมบัต
ั ข
ิ องเอนไซม์
ï• ภายในเซลลของสิง่ มีชวี ติ มีปฏิกริ ยิ าเคมีเกิด
ขึ้นหรือไม เป็นโปรตีนทรงกลม (globular protein) โดยเอนไซม์ที่มีขนาดเล็กที่สุดจะประกอบด้วยพอลิเพปไทด์
เพียงสายเดียว ส่วนเอนไซม์ขนาดใหญ่อาจจะประกอบด้วยพอลิเพปไทด์สายยาวจ�านวนหลาย ๆ สาย
(แนวตอบ มี ซึ่งมีทั้งปฏิกิริยาสลายสารและ มีความจ�าเพาะเจาะจง (specificity) เอนไซม์ทกุ ชนิดมีรปู ร่างลักษณะทีจ่ า� เพาะ ซึง่ จะเลือกท�าปฏิกริ ยิ า
สังเคราะหสาร โดยเรียกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น กับสารตั้งต้น (substrate) ได้เพียงชนิดเดียวหรือกลุ่มเดียว
ในเซลลสงิ่ มีชวี ติ วา เมแทบอลิซมึ ) มีประสิทธิภาพการท�างานสูง (high efficiency) โดยเอนไซม์หนึ่งโมเลกุลอาจท�าให้สารตั้งต้น
ï• เอนไซมมีความสําคัญตอสิ่งมีชีวิตอยางไร เปลี่ยนแปลงไปได้กว่า 1,000 ถึงหลายล้านโมเลกุลต่อนาที
คงสภาพเดิมตลอดปฏิกิริยา เมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยา เอนไซม์จะยังคงสภาพเดิมและสามารถเร่งปฏิกิริยา
(แนวตอบ เอนไซมมคี วามสําคัญตอสิง่ มีชวี ติ อื่นต่อได้อีก แต่จะเสียสภาพเมื่อได้รับความร้อนสูง หรืออยู่ในสภาวะกรด - เบส ที่ไม่เหมาะสม
เนื่ อ งจากปฏิ กิ ริ ย าเคมี ภ ายในเซลล ข อง
สิง่ มีชวี ติ ตองอาศัยเอนไซม) 1. การเรียกชื่อเอนไซม์ เรียกได้ 3 วิธี ดังนี้
1) เรียกตามชนิดของสารตั้งต้น โดยเติม -ase ลงไปท้ายชื่อสารตั้งต้น เช่น โปรติเอส
(protease) เป็นเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายโปรตีน เป็นต้น
2) เรียกตามชนิดของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับสารตั้งต้น โดยการเติม -ase ลงไปท้ายชื่อ
ของปฏิกิริยา เช่น เมื่อสารตั้งต้นเกิดปฏิกิริยาดีคาร์บอกซิเลชัน (decarboxylation) เรียกเอนไซม์
ที่เร่งปฏิกิริยานี้ว่า ดีคาร์บอกซิเลส (decarboxylase) เป็นต้น
3) เรียกชื่อเฉพาะ เอนไซม์หลายชนิดมีชื่อเฉพาะ เช่น เพปซิน (pepsin) เป็นเอนไซม์
ที่ย่อยโปรตีนให้เป็นเพปไทด์ เรนนิน (rennin) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนในน�้านม เป็นต้น
2. กลไกการท�างานของเอนไซม์ เอนไซม์จะไปลดพลังงานก่อกัมมันต์ (activation energy; Ea)
หรื อ พลั ง งานกระตุ ้ น ในการ
เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย า และท� า ให้ พลังงานกระตุ้น
เมื่อไม่มีเอนไซม์
ระดับพลังงาน
อนุภาคของสารตั้งต้นชนกัน พลังงานกระตุ้น
ในทิ ศ ทางที่ เ หมาะสม ซึ่ ง เมื่อมีเอนไซม์
สารตั้งต้น
เอนไซม์ จ ะมี ต� า แหน่ ง ที่ เ ข้ า
ผลิตภัณฑ์
กระตุน้ การเกิดปฏิกริ ยิ า เรียก
ว่า บริเวณเร่ง (active site) การด�าเนินของปฏิกิริยา
ภาพที่ 2.55 การเกิดปฏิกิริยาเคมีเมื่อมีเอนไซม์ (เส้นสีน�้าเงิน)
และเมื่อไม่มีเอนไซม์ (เส้นสีเขียว)
60
เอนไซม์
T66
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
เอนไซม์จะเข้าจับกับสารตั้งต้นแล้วได้สารประกอบเชิงซ้อนของเอนไซม์ - สารตั้งต้น 1. ใหนักเรียนกลุมเดิมจากชั่วโมงที่แลว ศึกษา
(enzyme-substrate complex) ซึ่งการจับกันระหว่างเอนไซม์กับสารตั้งต้นมี 2 ทฤษฎี ดังนี้ ขอมูลเกี่ยวกับประเด็นตางๆ ดังนี้
1) ทฤษฎีแม่กุญแจและลูกกุญแจ (lock and key theory) เป็นทฤษฎีที่เปรียบเทียบ - การเรียกชื่อเอนไซม
สารตั้งต้นเสมือนกับลูกกุญแจ และเอนไซม์เสมือนกับแม่กุญแจ โครงสร้างทั้งสองจะเข้าต่อกัน - กลไกการทํางานของเอนไซม
ในต�าแหน่งที่จ�าเพาะได้อย่างพอดี เอนไซม์จึงสามารถเร่งปฏิกิริยาได้ - ปจจัยที่มีผลตอการทํางานของเอนไซม
2. ใหนักเรียนแตละกลุมรวมสรุปความรูที่ศึกษา
สารตั้งต้น
แลวรวมกันตั้งคําถามกลุมละ 1-2 คําถาม
เกี่ยวกับเรื่องดังกลาว ตัวอยางเชน
- เอนไซมมีสมบัติอยางไร
เอนไซม์ - การเรียกชื่อเอนไซมมีกี่วิธี อยางไรบาง
ภาพที่ 2.56 การท�างานของเอนไซม์ตามทฤษฎีแม่กุญแจและลูกกุญแจ
- เอนไซมมีกลไกการทํางานอยางไร
- เอนไซมเขาจับสารตั้งตนที่บริเวณใด
2) ทฤษฎีการเหนี่ยวน�า (induced fit theory) กล่าวว่า เอนไซม์มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น
โดยสามารถปรับรูปร่างให้มคี วามเหมาะสมทีจ่ ะจับกับสารตัง้ ต้นได้ โดยสารตัง้ ต้นจะเป็นตัวเหนีย่ วน�า - การจั บ กั น ระหว า งเอนไซม กั บ สารตั้ ง ต น
ให้เอนไซม์เปลี่ยนรูปร่างไป เสมือนสารตั้งต้นเป็นมือ ส่วนเอนไซม์เป็นถุงมือ ซึ่งเมื่อน�าถุงมือมา มีกี่ทฤษฎี อะไรบาง
สวมกับมือ ถุงมือจะเปลี่ยนรูปร่าง ให้เหมาะสมกับมือได้
สารตั้งต้น
เอนไซม์
61
การจับกันระหว่างเอนไซม์กับสารตั้งต้น
T67
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาถาม 2) ความเข้มข้นของสารตั้งต้น ในปฏิกิริยาใด ๆ ที่
คําถามเพื่อนในชั้นเรียน โดยมีแนวการตอบ มีเอนไซม์อย่างเพียงพอ หากเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้น
อัตราการเกิดปฏิกิริยา
คําถาม ดังนี้ อัตราเร็วในการเกิดปฏิกริ ยิ าจะเพิม่ ขึน้ จนถึงระดับหนึง่ จะพบว่า
ï• เอนไซมมีสมบัติอยางไร อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะคงที่ เนื่องจากมีเอนไซม์ไม่เพียงพอใน
(แนวตอบ เอนไซมเปนโปรตีนทรงกลม มีความ การเกิดปฏิกิริยากับสารตั้งต้น
จําเพาะเจาะจง มีประสิทธิภาพการทํางาน 3) ความเป็นกรด - เบส การเปลี่ยนแปลงค่าความ
ความเข้มข้นของสารตั้งต้น
สูง คงสภาพเดิมตลอดปฏิกริ ยิ า แตอาจเสีย เป็นกรด - เบสเพียงเล็กน้อยอาจมีผลท�าให้อตั ราการเร่งปฏิกริ ยิ า
ภาพที่ 2.58 การท�างานของ
เอนไซม์เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของ
สภาพเมื่อไดรับความรอน หรืออยูในภาวะ ของเอนไซม์เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเอนไซม์แต่ละชนิดจะ สารตั้งต้น
กรด-เบสทีไ่ มเหมาะสม) เร่งปฏิกิริยาได้ดีที่สุดที่ค่า pH หนึ่ง ๆ เท่านั้น โดยจะมีค่า pH ที่เหมาะสมในการท�างาน (optimum
•ï การเรียกชื่อเอนไซมมีกี่วิธี อยางไรบาง pH) ทีแ่ ตกต่างกัน เอนไซม์สว่ นใหญ่ทา� งานได้ดใี นสภาวะความเป็นกรด - เบส ประมาณ 7 (สภาวะ
(แนวตอบ การเรียกชือ่ เอนไซมมี 3 วิธี ไดแก ปกติภายในเซลล์สิ่งมีชีวิต) ยกเว้นเอนไซม์บางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร
1. เรียกตามชนิดของสารตั้งตน โดยเติม
4) อุณหภูมิ ในปฏิกิริยาเคมีทั่วไปเมื่อเพิ่มอุณหภูมิจะท�าให้อัตราการเกิดปฏิกิริยา
-ase ลงไปทายชือ่ สารตัง้ ตน
สูงขึน้ ซึง่ ปฏิกริ ยิ าทีม่ เี อนไซม์เป็นตัวเร่งนัน้ ก็มลี กั ษณะเช่นเดียวกัน แต่จากการศึกษาพบว่าเมือ่ เพิม่
2. เรียกตามชนิดของปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ โดย
อุณหภูมขิ นึ้ ไปจนถึงระดับหนึง่ จะมีผลท�าให้เอนไซม์เสียสภาพไป จนไม่สามารถจับกับสารตัง้ ต้นได้
เติม -ase ลงไปทายชือ่ ปฏิกริ ยิ า
โดยเอนไซม์แต่ละชนิดจะมีอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการท�างาน (optimum temperature) ต่างกัน
3. เรียกชือ่ เฉพาะ)
ï• เอนไซมมีกลไกการทํางานอยางไร ในมนุษย์อุณหภูมิท่ีเหมาะสมต่อการท�างานของเอนไซม์อยู่ที่ประมาณ 25 - 40 �C
(แนวตอบ เอนไซมจะไปลดพลังงานกอกัมมันต แต่ในแบคทีเรียที่เจริญได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูง อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการท�างานของ
หรื อ พลั ง งานกระตุ น ในการเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย า
เอนไซม์จะอยู่ในช่วง 65 - 80 C�
และทํ า ให ส ารตั้ ง ต น ชนกั น ในทิ ศ ทางที่ 1 2 อุณหภูมิที่เหมาะสม อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อ
ต่ อ การท� า งานของ การท�างานของเอนไซม์
เหมาะสม) เพปซิน อะไมเลส ทริปซิน การท�างานของเอนไซม์ เอนไซม์ในมนุษย์ ในแบคทีเรียบางชนิด
การท�างานของเอนไซม์
ï• เอนไซมเขาจับสารตั้งตนที่บริเวณใด
(แนวตอบ บริเวณเรง (active site))
•ï การจับกันระหวางเอนไซมกับสารตั้งตนมีกี่
ทฤษฎี อะไรบาง
(แนวตอบ 2 ทฤษฎี ไดแก 1. ทฤษฎีแมกญ ุ แจ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 0 20 40 60 80 100
ค่า pH อุณหภูมิ ( �C)
และลูกกุญแจ 2. ทฤษฎีการเหนีย่ วนํา)
ภาพที่ 2.59 การท�างานของเอนไซม์ที่ pH ต่าง ๆ ภาพที่ 2.60 การท�างานของเอนไซม์ที่อุณหภูมิต่าง ๆ
ï• ป จ จั ย ใดบ า งที่ มี ผ ลต อ การทํ า งานของ
เอนไซม
( แนวตอบ 1. ความเข ม ข น ของเอนไซม 62
2. ความเขมขนของสารตัง้ ตน 3. ความเปน
กรด-เบส 4. อุณหภูม)ิ
T68
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
1. ครู นํ าอภิ ป รายเพื่ อ เข า สู กิ จ กรรมเรื่ อ ง การ
การทํางานของเอนไซม • การลงความเห็นจากข้อมูล ทํางานของเอนไซม โดยใหนักเรียนพิจารณา
จิตวิทยาศาสตร์ ขอความ ตอไปนี้
วัสดุอปุ กรณ์และสารเคมี วิธปี ฏิบตั ิ • ความสนใจใฝรู้
• ความรับผิดชอบ
“ไฮโดรเจนเปอร อ อกไซด (H 2O 2) เป น
1. เนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ถั่วงอก ผลิตภัณฑจากปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายใน
ฝรั่ง ตับหมู เป็นต้น เซลล ซึง่ เปนสารทีอ่ นั ตรายตอเซลล หากไมถกู
2. โกร่งบดยา
50
50
ทําลายอาจสงผลใหเซลลตาย แตเซลลทั่วไป
40
30
40
20
10
30
20
3. เครื่องชั่ง 10
4. น�้ากลั่น 40
30
20
6. ตะเกียงแอลกอฮอล์
7. บีกเกอร์ 1. น�าถั่วงอกประมาณ 20 กรัม 2. แบ่งของเหลวจากข้อ 1. เปอรออกไซด ”
8. เทอร์มอมิเตอร์ มาบดให้ละเอียดในโกร่งบดยา ปริมาตร 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร ï• จากขอความขางตน นักเรียนสรุปขอเท็จจริง
9. หลอดทดลอง แล้วเติมน�า้ กลัน่ 20 ลูกบาศก์- ใส่หลอดทดลองแล้วน�าไปอุ่นใน ไดอยางไรบาง
10. ที่วางหลอดทดลอง เซนติเมตร คนให้เข้ากัน จากนัน้ บีกเกอร์จนมีอุณหภูมิประมาณ
11. จุกยาง ใช้ผ้าขาวบางคั้นเอาน�้าเก็บไว้ 60 - 70 �C (แนวตอบ
12. ผ้าขาวบาง ของเ ข - H 2O 2 เป น สารที่ เ กิ ด จากปฏิ กิ ริ ย าเคมี
หลวจ องเหลวจ
13. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ากขอ้ ากขอ้ นา้� กลนั่
(H2O2) ความเข้มข้น 3% 1. 2. ภายในเซลล
- H2O2 เปนอันตรายตอเซลล ถาสารนีไ้ มถกู
3. ใส่ H2O2 ความเข้มข้น 3% ลง ทําลาย เซลลอาจตายได ดังนัน้ ภายใน
ในหลอดทดลอง 3 หลอด หลอด H2O2 หลอดที่ 1 หลอดที่ 2 หลอดที่ 3 เซลลมกี ารสลาย H2O2 ซึง่ มีเอนไซมเขา
ละ 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วใส่สารต่าง ๆ ลงไปในหลอดทดลอง ดังนี้ ภาพที่ 2.61 มาเกีย่ วของ)
• หลอดที่ 1 ใส่ของเหลวจากข้อ 1. ปริมาตร 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร
• หลอดที่ 2 ใส่ของเหลวจากข้อ 2. ปริมาตร 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร
• หลอดที่ 3 ใส่น�้ากลั่น ปริมาตร 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
4. ปิดหลอดทดลองทั้งสามหลอดด้วยจุกยาง สังเกตและบันทึกผลการทดลอง
5. ท�าการทดลองซ�า้ ตัง้ แต่ขอ้ 1.- 4. แต่เปลีย่ นเป็นเนือ้ เยือ่ ชนิดอืน่ แทนถัว่ งอก สังเกตและบันทึกผลการทดลอง 1. ในหลอดทดลองที่ 1 เกิดฟองแกสเนือ่ งจากการ
ค�าถามท้ายกิจกรรม สลายตัวของ H2O2 เพราะมีเอนไซมชวยเรง
? ปฏิกริ ยิ า ในหลอดทดลองที่ 2 เกิดฟองแกสเล็ก
1. ผลการทดลองจากหลอดทดลองทั้งสามหลอดมีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
2. เพราะเหตุใดจึงต้องน�าของเหลวที่ได้จากการบดเนื้อเยื่อไปอุ่นจนมีอุณหภูมิประมาณ 60 - 70 C� นอยเนือ่ งจากการสลายตัวของ H2O2 เพราะมี
เอนไซม แตเอนไซมบางสวนเสียประสิทธิภาพ
อภิปรายกิจกรรม
ไปเนื่องจากความรอน สวนหลอดทดลองที่ 3
จากกิจกรรมจะเห็นได้ว่า เอนไซม์จากเซลล์ท�าหน้าที่เร่งการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เกิดฟองแกสเล็กนอยเนื่องจากการสลายตัว
ซึ่งเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ จะสังเกตได้ว่า เมื่อขาดเอนไซม์จากเซลล์ การสลายตัวของไฮโดรเจน-
เปอร์ออกไซด์ที่อุณหภูมิห้องจะเกิดช้ามาก ของ H2O2 ตามธรรมชาติ
63
เคมีที่เป็นพื้นฐาน
ของสิ่งมีชีวิต 2. ทําใหเอนไซมเสียสภาพ เพราะเอนไซมเสีย
สภาพเมื่อไดรับความรอนสูงกวา 60 ํC
T69
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ใหนักเรียนแบงกลุมเพื่อทํากิจกรรม เรื่อง การ 4. สารที่ชวยในการทํางานของเอนไซม เอนไซมบางชนิดจะตองรวมตัวกับสารอื่น
ทํางานของเอนไซม ในหนังสือเรียนชีววิทยา จึงจะสามารถเรงปฏิกิริยาได ซึ่งสารที่ชวยในการทํางานของเอนไซมมี 2 ชนิด ดังนี้
ม.4 เลม 1 โดยใหนกั เรียนรวมกันตัง้ ปญหาและ 1) โคแฟกเตอร (cofactor) เปนไอออนของโลหะ สารตั้งตน
สมมติฐานของกิจกรรม ตัวอยางเชน เชน Na+ K+ Fe2+ Mg2+ Zn2+ เปนตน ซึ่งจะรวมตัวกับเอนไซม โคแฟกเตอร
ปญหา : เอนไซมมบี ทบาทอยางไรในการสลาย แลวทําใหเอนไซมมบี ริเวณเรงทีเ่ หมาะสมตอสารตัง้ ตน จึงทําให
บริเวณเรง
H2O2 เอนไซมเรงปฏิกิริยาได
สมมุติฐาน : เอนไซมชว ยเรงปฏิกริ ยิ าการสลาย 2) โคเอนไซม (Coenzyme) เปนสารประกอบอินทรีย
H2O2 ที่จะจับกับเอนไซมในขณะเรงปฏิกิริยา โดยทําหนาที่รับสง เอนไซม ที่ไมสามารถ เอนไซมสามารถ
เรงปฏิกิริยาได เรงปฏิกิริยาได
2. ครูใชรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค อะตอมหรือธาตุจากสารตั้งตนตัวหนึ่งไปยังสารตั้งตนอีกตัวหนึ่ง
ภาพที่ 2.62 โคแฟกเตอรจับกับ
LT มาจัดกระบวนการเรียนรู โดยกําหนดให ซึง่ หลังจากทีเ่ รงปฏิกริ ยิ าแลว โคเอนไซมจะถูกปลอยออกมาจาก เอนไซมเพื่อชวยในการทํางานของ
สมาชิกแตละคนภายในกลุม มีบทบาทหนาที่ โมเลกุลเอนไซม โดยอาจจะมีโครงสรางทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปเล็กนอย เอนไซม
1
ของตนเอง ดังนี้ แตก็ยังสามารถกลับมาชวยในการทํางานของเอนไซมไดอีก เชน โคเอนไซม เอ (Coenzyme A)
ชวยเรงปฏิกิริยาของเอนไซมหลายชนิ2ด เชน เอนไซมที่ชวยในกระบวนการสังเคราะหกรดไขมัน
สมาชิกคนที่ 1 และ 2 : ทําหนาทีเ่ ตรียมวัสดุ
นิโคทินาไมด อะดีนีน ไดนิวคลีโอไทด (nicotinamide adenine dinucleotide) หรือ NAD+ ชวย
อุปกรณ
ในการทํางานของเอนไซมที่เกี่ยวของกับปฏิกิริยารีดอกซ (redox reaction) เชน ดีไฮโดรจิเนส
สมาชิกคนที่ 3 และ 4 : ทําหนาทีอ่ า นวิธกี าร (dehydrogenase) รีดักเทส (reductase)
ทํ า กิ จ กรรม และนํ า มาอธิ บ ายให ส มาชิ ก
ในกลุมฟง 5. การยับยัง้ การทํางานของเอนไซม สารกลุม หนึง่ เมือ่ ตัวยับยั้ง
เอนไซม บริเวณเรง
สมาชิกคนที่ 5 และ 6 : ทําหนาที่บันทึกผล เขารวมปฏิกิริยาแลวจะไปขัดขวางการเรงปฏิกิริยาของเอนไซม
การทดลอง เรียกสารนี้วา ตัวยับยั้งเอนไซม (enzyme inhibitor) ซึ่งจะเขา เอนไซม
จับกับเอนไซมที่บริเวณเรง จึงทําใหเอนไซมไมสามารถจับกับ
สมาชิกคนที่ 7 และ 8 : ทําหนาที่นําเสนอ
สารตั้งตนได
ผลการทดลอง
ตัวยับยั้งการทํางานของเอนไซม จะกอใหเกิดการ
3. ระหวางทีน่ กั เรียนทํากิจกรรม ครูตงั้ คําถามเพือ่ ยับยั้งปฏิกิริยาได 2 รูปแบบ ดังนี้
สารประกอบ
ที่เสถียร
ใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น 1) การยับยัง้ แบบไมทวนกลับ (irreversible inhibition)
• เพราะเหตุใดจึงตองแบงการทดลองออกเปน เกิดจากการทีต่ วั ยับยัง้ จะเขาจับกับเอนไซมดว ยพันธะโคเวเลนต สารตั้งตน
3 หลอดทดลอง แลวเกิดเปนสารประกอบที่เสถียร ทําใหเอนไซมไมสามารถ
(แนวตอบ เนื่องจากการทดลองหลอดที่ 1 ทํางานไดและไมสามารถกลับคืนสูสภาพปกติได ซึ่งการสูญเสีย
และ 2 เปนชุดทดลอง สวนหลอดที่ 3 เปน สมบัตนิ พี้ บไดจากตัวยับยัง้ ทีเ่ ปนสารอินทรีย เชน ไดไอโซโพรพิล
ภาพที่ 2.63 การยับยั้งแบบ
ชุดควบคุม เพือ่ ใชเปรียบเทียบกับผลทีไ่ ดจาก ฟอสฟอฟลูออริเดรต (diisopropyl phospho fluoridate) ซึ่งจะ ไมทวนกลับทําใหเอนไซมไม
หลอดที่ 1 และ 2) ยับยั้งการทํางานของเอนไซมในระบบประสาท เปนตน สามารถกลับคืนสูสภาพเดิมไดอีก
64
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2) การยับยัง้ แบบทวนกลับได้ (reversible inhibition) เกิดจากตัวยับยัง้ เข้าจับกับเอนไซม์ 1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลการทํ า
ด้วยพันธะอืน่ ทีไ่ ม่ใช่พนั ธะโคเวเลนต์ ซึง่ เป็นพันธะทีไ่ ม่แข็งแรง จึงท�าให้สามารถหลุดออกจากกันได้ กิจกรรม โดยอาจใชคาํ ถามทายกิจกรรรม หรือ
ซึ่งหลังจากนั้นเอนไซม์จะสามารถกลับมาท�างานได้เช่นเดิม คําถามอื่นๆ เชน
• การยับยั้งแบบแข่งขัน (competitive inhibition) เกิดจากตัวยับยั้งมีโครงสร้าง • แกสที่เกิดขึ้นในกิจกรรมเปนแกสชนิดใด
คล้ายสารตั้งต้น จึงจับกับบริเวณเร่งของเอนไซม์แทนสารตั้งต้นได้ ซึ่งปฏิกิริยาจะถูกยับยั้ง และทดสอบไดอยางไร
มากน้อยเพียงใดนัน้ ขึน้ อยูก่ บั ปริมาณสารตัง้ ต้น โดยหากสารตัง้ ต้นมีปริมาณน้อย ตัวยับยัง้ จะแย่ง (แนวตอบ : แกสออกซิเจน ทดสอบไดโดยใช
จับบริเวณเร่งของเอนไซม์ได้มาก อัตราเร็วของปฏิกิริยาจะลดลง แต่หากสารตั้งต้นมีปริมาณมาก ธูปทีต่ ดิ ไฟแลวทําใหเปลวไฟดับเหลือเฉพาะ
ก็จะสามารถแย่งจับกับเอนไซม์ได้ดีกว่า1 ปฏิกิริยาจึงเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับในกรณีที่ไม่มีตัวยับยั้ง เปนถานแดงๆ จอเขาไปในหลอดทดลอง ซึง่
2
ซึ่งตัวยับยั้งในกรณีนี้ เช่น กรดมาโลนิก (malonic acid) สามารถแข่งขันกับกรดซักซินิก (succinic จะมีเปลวไปสวางวาบขึน้ )
acid) ในการจับกับเอนไซม์ซักซิเนท ดีไฮโดรจิเนส (succinate dehydrogenase) 2. หลังจากอภิปรายผลการทํากิจกรรม ครูและ
นักเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการทํางานของ
ตัวยับยั้งเอนไซม์ สารตั้งต้น เอนไซม ดังนี้
บริเวณเร่ง “ในปฏิกิริยาสลาย H2O2 เอนไซมจากเซลล
ทําหนาที่เรงปฏิกิริยา ซึ่งสังเกตไดวา เมื่อขาด
เอนไซม์
เอนไซม การสลาย H2O2 จะเกิดชามาก และ
จากกิจกรรมเปนการศึกษาถึงความเขมขนของ
ภาพที่ 2.64 การยับยั้งแบบแข่งขัน ตัวยับยั้งจะมีโครงสร้างคล้ายสารตั้งต้น
เอนไซมที่มีผลตอการทํางานของเอนไซม”
• การยับยั้งแบบไม่แข่งขัน (non-competitive inhibition) เกิดจากตัวยับยั้งจับกับ
เอนไซม์ในบริเวณที่ไม่ใช่บริเวณเร่งของเอนไซม์ แต่ท�าให้เอนไซม์เปลี่ยนรูปร่างจนบริเวณเร่ง
ของเอนไซม์ไม่สามารถจับกับสารตั้งต้นได้ หรือจับกับสารตั้งต้นได้แต่ไม่สามารถเกิดปฏิกิริยา
หลังจากนั้นตัวยับยัง้ ก็จะแยกออกจากเอนไซม์ไป ซึง่ ตัวยับยั้งแบบนี้ เช่น ปรอท (Hg+) ตะกัว่ (Pb)
สารหนู (As) เป็นต้น
สารตั้งต้น
บริเวณเร่ง
เอนไซม์
ตัวยับยั้งเอนไซม์
เคมีที่เป็นพื้นฐาน 65
ของสิ่งมีชีวิต
T71
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. หลังจากทีน่ กั เรียนทํากิจกรรมแลว ใหนกั เรียน การยับยั้งการท�างานของเอนไซม์ ในกรณีที่กล่าว a
แตละกลุมศึกษาเรื่องตางๆ ดังนี้ ไปแล้วข้างต้นนั้น จะเป็นการยับยั้งที่เกิดจากการมีสารอื่น ๆ
- สารที่ชวยในการทํางานของเอนไซม เข้ามาร่วมในปฏิกริ ยิ า โดยเกิดการยับยัง้ ก่อนทีป่ ฏิกริ ยิ าจะเกิดขึน้ E1
- การยับยั้งการทํางานของเอนไซม ซึ่งนอกจากกรณีดังกล่าว ยังมีการยับยั้งปฏิกิริยาของเอนไซม์
- การเสียสภาพของเอนไซม ภายหลังจากที่เกิดปฏิกิริยาขึ้นแล้ว ซึ่งจะเป็นการยับยั้งด้วย b
2. ครูตงั้ คําถามเพือ่ ใหนกั เรียนแตละกลุม แขงขัน ผลิตภัณฑ์ของปฏิกริ ยิ า (end-product inhibition) โดยจะเกิดขึน้
E2
กันตอบคําถาม ดังนี้ เมื่อมีผลิตภัณฑ์มากเกินพอ ซึ่งผลิตภัณฑ์สุดท้ายนั้นจะมีผล
• สารใดบางที่ชวยในการทํางานของเอนไซม ไปยับยั้งการท�างานของเอนไซม์ที่เร่งปฏิกิริยาในขั้นแรก เช่น
(แนวตอบ โคแฟกเตอร และโคเอนไซม) สาร a จะเปลี่ยนเป็นสาร b โดยการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ c ยับยั้ง
• การยับยัง้ การทํางานของเอนไซมมกี รี่ ปู แบบ ตัวที่ 1 (E1) แล้วสาร b จะเปลี่ยนเป็นสาร c โดยการเร่ง E3
อยางไรบาง ปฏิกิริยาของเอนไซม์ตัวที่ 2 (E2) แล้วสาร c จะเปลี่ยนเป็น
(แนวตอบ 2 รูปแบบ ไดแก 1. การยับยัง้ แบบ สาร d โดยการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ตัวที่ 3 (E3) จากนั้น d
สาร d จะเปลี่ยนเป็นสาร e โดยการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์
ไมทวนกลับ 2. การยับยัง้ แบบทวนกลับได) E4
ตัวที่ 4 (E4) โดยสาร e เป็นผลิตภัณฑ์ตัวสุดท้าย ซึ่งหากมีสาร
• ภาวะใดที่มีผลทําใหเอนไซมเสียสภาพ
e มากเกินความต้องการ จะมีผลย้อนกลับไปยับยั้งการท�างาน
(แนวตอบ อุณหภูมสิ งู ) ของเอนไซม์ตัวที่ 1 ที่เร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนสาร a เป็นสาร b e
3. จากการทํากิจกรรม เรื่อง การทํางานของ จึงส่งผลให้ปฏิกิริยาทั้งหมดหยุดลง โดยการยับยั้งเอนไซม์ E1
เอนไซม ใหนักเรียนแตละกลุมออกแบบการ ของสาร e มักเป็นแบบ non-competitive inhibition และ ภาพที่ 2.66 การยับยั้งด้วย
ทดลองเพื่อศึกษาปจจัยที่มีผลตอการทํางาน ผลิตภัณฑ์ของเอนไซม์
เมื่อสาร e มีความเข้มข้นลดลง ก็จะหลุดออกจากเอนไซม์ E1
ของเอนไซม ปฏิบัติการทดลอง บันทึกและ ท�าให้เอนไซม์ดังกล่าวสามารถท�างานเพื่อผลิตสาร e ได้อีกครั้ง
อภิปรายผลการทดลอง 1
6. การเสียสภาพของเอนไซม์ (denaturation) คือ การที่โครงสร้างของเอนไซม์
เปลีย่ นแปลงไปจนสารตัง้ ต้นเข้าจับกับเอนไซม์ทบี่ ริเวณเร่งไม่ได้ ท�าให้คณ
ุ สมบัตใิ นการเร่งปฏิกริ ยิ า
ของเอนไซม์หมดไป โดยปัจจัยที่มีผลท�าให้เกิดการเสียสภาพของเอนไซม์มีหลายประการ เช่น ได้
รับอุณหภูมิสูงจนท�าให้โครงสร้างของโปรตีนเปลี่ยนแปลงไป
สารตั้งต้น
ความร้อน 40 �C เอนไซม์
เอนไซม์
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
Summary ตรวจสอบผล
1. ใหนักเรียนศึกษาสรุปสาระสําคัญ (summary)
เคมีทเี่ ปนพืน้ ฐานของ จากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เลม 1 เพื่อ
ของสิง่ มีชวี ติ ทบทวนเนื้อหาที่ศึกษามาทั้งหนวยการเรียนรู
จากนั้ น ให นั ก เรี ย นแต ล ะคนสรุ ป ความรู
สารอนินทรีย ในรู ป แบบที่ น า สนใจ โดยอาจเป น ลั ก ษณะ
น�้า แผนผัง ตาราง หรืออื่นๆ
• โครงสร้างโมเลกุลของน�้าประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม สูตรโมเลกุล คือ H2O
• โมเลกุลของน�้าเมื่อแตกตัวจะเกิดเป็นไฮโดรเจนไอออน (H+) และไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) 2. ใหนักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง
• น�้ามีความส�าคัญในการรักษาสมดุลอุณหภูมิในร่างกาย เป็นตัวท�าละลายที่ดี ช่วยล�าเลียงสารเคมีไปยังส่วนต่าง ๆ โดยพิจารณาขอความในกรอบ self check
ของร่างกาย มีส่วนช่วยในปฏิกิริยาเคมี และป้องกันอวัยวะภายในร่างกาย
จากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เลม 1
แร่ธาตุ
• เป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่ให้พลังงาน แต่ร่างกายต้องการ และขาดไม่ได้ 3. ครูมอบหมายการบานใหนกั เรียนทําแบบฝกหัด
• เป็นส่วนประกอบของอวัยวะบางอย่าง เช่น กระดูก ฟัน กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เป็นต้น ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 1
• เป็นส่วนประกอบของสารต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น เลือด น�้าในเซลล์ เป็นต้น
สารอินทรีย
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน
• มอนอแซ็กคาไรด์ : มีสตู รโมเลกุลเป็น CnH2nOn • โมเลกุ ล จะประกอบด้ ว ยหน่ ว ยย่ อ ย เรี ย กว่ า
เช่น น�้าตาลเฮกโซส ได้แก่ กลูโคส กาแลกโทส กรดอะมิโนที่เชื่อมต่อกันเป็นสายยาวด้วยพันธะ
และฟรักโทส เพปไทด์
• โอลิโกแซ็กคาไรด์ : เกิดจากมอนอแซ็กคาไรด์ หมู่อะมิโน หมู่คาร์บอกซิล
2-10 โมเลกุลมาเชือ่ มต่อกัน ซึง่ โอลิโกแซ็กคาไรด์
ที่ประกอบด้วยมอนอแซ็กคาไรด์ 2 โมเลกุล H H O
เรียกว่า ไดแซ็กคาไรด์ ได้แก่ มอลโทส ซูโครส
และแลกโทส H N C C O H
• พอลิแซ็กคาไรด์ : เกิดจากการเชื่อมต่อกันของ
น�้าตาลมอนอแซ็กคาไรด์ ตั้งแต่ 11 ถึง 1,000 R
ภาพที่ 2.68 สูตรโครงสร้างหลักของกรดอะมิโน
โมเลกุล เช่น แป้ง เซลลูโลส ไกลโคเจน
ลิพิด
• ลิพิดเชิงเดี่ยว : ประกอบด้วยหน่วยย่อย 2 ส่วน คือ กรดไขมัน และกลีเซอรอล
• ลิพิดเชิงซ้อน : ประกอบด้วยกรดไขมัน กลีเซอรอล และมีสารอื่นเชื่อมต่ออยู่ด้วย เช่น ฟอสโฟลิพิด ไกลโคลิพิด
• ลิพิดอนุพันธ์ : มีโครงสร้างแตกต่างจากลิพิดทั่วไป แต่มีสมบัติคล้ายลิพิด เช่น สเตอรอยด์
กรดนิวคลีอิก วิตามิน
• เป็นสารพันธุกรรมซึ่งมีหน้าที่เก็บและถ่ายทอด • ควบคุมการท�างานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
ข้อมูลทางพันธุกรรม รวมทั้งควบคุมการเจริญ- ให้อยู่ในสภาวะปกติ
เติบโตและกระบวนการต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต
ขอสอบเนน การคิด
นําอาหาร 4 ชนิด คือ A, B, C และ D มาทดสอบไดผล ดังนี้
อาหาร เบเนดิกต ไอโอดีน ไบยูเร็ต กระดาษ
A ฟา นํ้าเงิน มวง โปรงแสง
B ฟา ฟา ฟา ไมโปรงแสง
C แดงอิฐ นํ้าเงิน ฟา โปรงแสง
D แดงอิฐ ฟา มวง ไมโปรงแสง
ขาวไขเจียวหมูสับ ควรเปนอาหารชนิดใด
1. A 2. B 3. C
4. D 5. A และ C
(วิเคราะหคําตอบ ขาวไขเจียวหมูสับมีแปง โปรตีน และนํ้ามัน ซึ่งเมื่อทดสอบแปงดวยสารละลาย
ไอโอดีนจะไดตะกอนสีนํ้าเงินเขม เมื่อทดสอบโปรตีนดวยการทดสอบไบยูเร็ตจะไดสีมวง และเมื่อ
ทดสอบไขมันดวยกระดาษจะไดกระดาษโปรงแสง ดังนั้น ตอบขอ 1.)
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอนเรียน ปฏิกิริยาเคมีในเซลลของสิ่งมีชีวิต
2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม ปฏิกิริยาเคมี
• ปฏิกริ ยิ าดูดพลังงาน : ปฏิกริ ยิ าทีใ่ ช้พลังงานเพือ่ สลายแรงยึดเหนีย่ วระหว่างอะตอมสูงกว่าพลังงานทีป่ ล่อย
การรวมกันทําผลงาน และจากการนําเสนอ ออกมาเพื่อสร้างแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมใหม่
ผลงาน • ปฏิกิริยาคายพลังงาน : คือ ปฏิกิริยาที่ใช้พลังงานเพื่อสลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมต�่ากว่าพลังงาน
3. ครูวัดและประเมินการปฏิบัติการ จากการทํา ที่ปล่อยออกมาเพื่อสร้างแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมใหม่
เอนไซม์
กิจกรรม เรื่อง การทํางานของเอนไซม และ • หน้าที่ของเอนไซม์ คือ เร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์และในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
เรื่อง ปจจัยที่มีผลตอการทํางานของเอนไซม • กลไกการท�างานของเอนไซม์
4. ครู วั ด และประเมิ น การออกแบบปฏิ บั ติ ก าร
เรื่อง ปจจัยที่มีผลตอการทํางานของเอนไซม
5. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด ภาพที่ 2.70 ทฤษฎีแม่กุญแจและลูกกุญแจ ภาพที่ 2.71 ทฤษฎีการเหนี่ยวน�า
• ปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการท�างานของเอนไซม์ ได้แก่ ความเข้มข้นของเอนไซม์และสารตัง้ ต้น ความเป็นกรด-เบส
และอุณหภูมิ
• สารที่ช่วยในการท�างานของเอนไซม์ ได้แก่ โคแฟกเตอร์ และโคเอนไซม์
• การยับยั้งการท�างานของเอนไซม์
- การยับยั้งแบบไม่ทวนกลับ : เกิดจากตัวยับยั้งจะเข้าจับกับเอนไซม์ด้วยพันธะโคเวเลนต์ แล้วเกิด
สารประกอบที่เสถียร ท�าให้เอนไซม์ไม่สามารถท�างานได้และไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้
- การยับยัง้ แบบทวนกลับได้ : เกิดจากตัวยับยัง้ เข้าจับกับเอนไซม์ดว้ ยพันธะทีไ่ ม่แข็งแรง จึงท�าให้สามารถ
หลุดออกจากกันได้ ซึ่งหลังจากนั้นเอนไซม์จะสามารถกลับมาท�างานได้เช่นเดิม
Self Check
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ
1. สารเคมีที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ คือ โปรตีน 1.
2. ด้วยสมบัตขิ องน�า้ ทีส่ ามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ จึงท�าให้นา�้ มีคณุ สมบัติ 2.
เป็นตัวท�าละลายที่ดี
3. สารอินทรียเ์ ป็นสารประกอบทีม่ ธี าตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน 3.
ุด
เป็นองค์ประกอบหลัก ใน
สม
ลง
หมู่คาร์บอกซิลกับหมู่อะมิโน
5. เอนไซม์ท�าหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ โดยไปช่วยเพิ่ม 4.2
พลังงานก่อกัมมันต์ในการเกิดปฏิกิริยา
แนวตอบ Self Check
68
1. ผิด 2. ถูก 3. ผิด
4. ถูก 5. ผิด
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรุง
T74
นํา สอน สรุป ประเมิน
U nit
ค�าชี้แจง :
Question 2
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
1. พิจารณาจากผลงานของนักเรียน โดยอยูใน
ดุลยพินิจของครูผูสอน
1. ให้นักเรียนเขียนผังมโนทัศน์เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต โดยในผังนั้นต้องประกอบด้วย 2. สารอนินทรีย เปนสารประกอบทีไ่ มมธี าตุคารบอน
ค�าต่าง ๆ ที่ก�าหนดให้ในกรอบด้านล่าง เปนองคประกอบ ซึง่ เปนองคประกอบเพียงสวน
สารอนินทรีย์ น�้า แร่ธาตุ สารอินทรีย์ นอยในเซลล แตมคี วามสําคัญตอการทํางานของ
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิพิด กรดนิวคลีอิก ระบบตาง ๆ ในรางกายของสิง่ มีชวี ติ เชน
วิตามิน ปฏิกิริยาเคมี เอนไซม์ •ï นํ้า ทําหนาที่ชวยรักษาสมดุลอุณหภูมิใน
รางกาย เปนตัวทําละลายที่ดี ชวยลําเลียง
2. จงอธิบายว่าสารอนินทรีย์ และสารอินทรียแ์ ต่ละชนิด มีความส�าคัญต่อร่างกายของสิง่ มีชวี ติ อย่างไร สารเคมีตา ง ๆ รวมทัง้ มีสว นรวมในปฏิกริ ยิ า
3. จากภาพ ก และ ข คือน�้าตาลชนิดใด และจงอธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมีของการสร้างน�้าตาล เคมีทชี่ ว ยใหสงิ่ มีชวี ติ สามารถดํารงชีวติ อยูไ ด
ไดแซ็กคาไรด์จากน�้าตาล ก และ ข นี้ พร้อมทั้งบอกแหล่งที่พบของน�้าตาลไดแซ็กคาไรด์ที่ได้ ï• แรธาตุ เปนสวนประกอบของสารอินทรีย
CH2OH CH2OH
หลายชนิดในรางกายสิ่งมีชีวิต ซึ่งแรธาตุ
H C O H OH C O OH
มีความสําคัญตอกระบวนการทํางานของ
C HOH H C C HOH H C
รางกาย
HO C C OH H C C H สารอินทรีย เปนสารประกอบทีม่ ธี าตุคารบอน
H OH H OH
ภาพ ก ภาพ ข และธาตุไฮโดรเจนเปนองคประกอบหลัก และยัง
ภาพที่ 2.72 อาจมีธาตุอนื่ ๆ เปนองคประกอบรวม เชน
4. เซลลูโลสและไกลโคเจนแตกต่างกันอย่างไร ï• คาร โ บไฮเดรต เป น แหล ง พลั ง งานและ
5. หากนักเรียนจะทดสอบโปรตีน นักเรียนสามารถทดสอบได้อย่างไร เปนวัตถุดิบสําหรับสรางโครงรางและสวน
6. เพปไทด์ต่อไปนี้ประกอบด้วยกรดอะมิโนกี่โมเลกุล และมีพันธะเพปไทด์กี่พันธะ ประกอบของเซลล
O O O O ï• โปรตีน มีความสําคัญตอการเจริญเติบโต
H2NCHCNHCHCNHCHCNHCH2COH
ของรางกาย ชวยซอมแซมสวนทีส่ กึ หรอ เปน
CH2SH CH3 CH2CH2OH
ภาพที่ 2.73
ตัวกระตุนปฏิกิริยาเคมีในรางกาย
ï• ลิพดิ เปนแหลงพลังงานทีส่ าํ คัญของรางกาย
7. จงเขียนปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของไตรกลีเซอไรด์ โดยมีเอนไซม์ไลเปสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
เพราะเปนสารทีใ่ หพลังงานสูง และทําหนาที่
8. จากภาพนักเรียนคิดว่าเป็นโครงสร้างของลิพิดประเภทใด เพราะเหตุใด
H3C เปนตัวทําละลายวิตามินเอ ดี อี และเค
CH3
CH3
C CH3 ï• กรดนิวคลีอิก ทําหนาที่เก็บและถายทอด
ขอมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจากรุน
CH3
หนึ่งไปยังรุนตอไป ควบคุมการเจริญเติบโต
ภาพที่ 2.74
และกระบวนการตางๆ ของสิ่งมีชีวิต
HO เคมีที่เป็นพื้นฐาน 69
ของสิ่งมีชีวิต ï• วิตามิน ทําหนาที่ควบคุมการทํางานของ
ระบบตาง ๆ ในรางกายใหอยูใ นสภาวะปกติ
ซึ่งรางกายตองไดรับวิตามินจากอาหาร
3. ภาพ ก คือ กลูโคส (glucose) ภาพ ข คือ กาแล็กโทส (galactose) และไดแซ็กคาไรดที่ได คือ แล็กโทส (lactose) ซึ่งเกิดจากการเชื่อมตอกันดวยพันธะ
ไกลโคซิดิกบริเวณหมูไฮดรอกซิลของกลูโคส 1 โมเลกุล กับหมูไฮดรอกซิลของกาแล็กโทส 1 โมเลกุล และไดนํ้าออกมา 1 โมเลกุล ซึ่งแล็กโทสพบมากในนํ้านม
ของมนุษยและของสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านม
CH2OH CH2OH CH2OH CH2OH
C O
H H OH C O OH H
O
H
O
OH
H H H H
C C + C OH C O
OH H H OH H OH H
H C H HO H H
HO C C OH C
H OH H OH H OH H OH
กลูโคส กาแล็กโทส แล็กโทส
6. เพปไทดนี้ประกอบดวยกรดอะมิโน 4 โมเลกุล
และมีพีพันธะเพปไทด 3 พันธะ
9. อธิบายและเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของดีเอ็นเอกับอาร์เอ็นเอ
8. จากภาพเป น โครงสร า งของคอเลสเตอรอล
ซึ่งเปนลิพิดอนุพันธเพราะมีโครงสรางทั่วไป 10. ให้นักเรียนบอกความส�าคัญของวิตามินที่ละลายในน�้าและที่ละลายในไขมันมาพอสังเขป
เปนวง 4 วง และมีหมูไฮดรอกซิลอยูดวย 11. จากการตรวจสอบสาร A B และ C ได้ผลดังตาราง
10. วิตามินทีล่ ะลายในนํา้ มีคณ
ุ สมบัตลิ ะลายในนํา้ ผลที่สังเกตได้
และสลายตัวงาย หากรางกายไดรบั ปริมาณมาก สารที่ใช้ทดลอง สาร C
สาร A สาร B สาร C หลังจากต้มกับกรด
จะขับออกทางปสสาวะ แตหากรางกายขาดจะ
แสดงอาการผิดปกติอยางรวดเร็ว สวนวิตามิน สารละลายเบเนดิกต์ ไม่เปลี่ยนสี ไม่เปลี่ยนสี ไม่เปลี่ยนสี ตะกอนสีส้มแดง
ที่ละลายในไขมัน มีคุณสมบัติละลายในไขมัน สารละลายไอโอดีน ไม่เปลี่ยนสี เปลี่ยนเป็น ไม่เปลี่ยนสี ไม่เปลี่ยนสี
หรือนํ้ามัน สามารถคงสภาพอยูไดเปนเวลา สีน�้าเงิน
นาน ซึ่งรางกายจะเก็บสะสมไวที่ตับ และหาก สารละลาย CuSO4 เปลี่ยนเป็น ไม่เปลี่ยนสี ไม่เปลี่ยนสี ไม่เปลี่ยนสี
รางกายไดรับในปริมาณมากเกินความตองการ สีม่วง
จะมีอาการแพเกิดขึ้น
ให้นักเรียนวิเคราะห์ผลจากตารางว่า สาร A B และ C น่าจะเป็นสารชีวโมเลกุลชนิดใด
11. สาร A คือ โปรตีน เพราะโปรตีนทําปฏิกิริยากับ เพราะอะไร
สารละลาย CuSO4 แลวเปลีย่ นสีของสารละลาย 12. เอนไซม์มีความส�าคัญต่อปฏิกิริยาเคมีในร่างกายสิ่งมีชีวิตอย่างไร และเอนไซม์มีหลักการท�างาน
จากสีฟาเปนสีมวง อย่างไร
สาร B คือ แปง เพราะแปงทําปฏิกิริยากับ 13. จงอธิบายภาพทั้ง 2 ภาพ ว่าเกี่ยวข้องกับการท�างานของเอนไซม์อย่างไร
สารละลายไอโอดีนแลวไดตะกอนที่เปนสาร
อุณหภูมิที่เหมาะสม อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อ
เชิงซอนสีนํ้าเงิน ต่อการท�างานของ การท�างานของเอนไซม์
เพปซิน อะไมเลส ทริปซิน
สาร C คือ นํ้าตาลโมเลกุลใหญ เชน เซลลูโลส การท�างานของเอนไซม์ เอนไซม์ในมนุษย์ ในแบคทีเรียบางชนิด
การท�างานของเอนไซม์
12. เอนไซม เ ป น โปรตี น ชนิ ด หนึ่ ง ทํ า หน า ที่ เ ร ง ภาพที่ 2.75 ภาพที่ 2.76
ปฏิกิริยาเคมีภายในเซลลและในรางกายของ 14. ความเข้มข้นของสารตั้งต้นมีผลต่อการท�างานของเอนไซม์อย่างไร
สิ่งมีชีวิต มีหลักการทํางาน คือ การเขาไปลด
พลั ง งานก อ กั ม มั น ต ห รื อ พลั ง งานกระตุ น ใน
70
การเกิดปฏิกิริยา และทําใหอนุภาคสารตั้งตน
เข า ชนกั น ในทิ ศ ทางที่ เ หมาะสม ส ง ผลให
ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น
7. ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของไตรกลีเซอไรดโดยมีเอนไซมไลเปสเปนตัวเรงปฏิกิริยา มีดังนี้
O O
H2C O C R HO C R
O H2C OH O
ไลเปส
HC O C R + 3H2O HC OH + HO C R
O H2C OH O
H2C O C R HO C R
ไตรกลีเซอไรด นํา้ กลีเซอรอล กรดไขมัน
9. ความเหมือนและความแตกตางระหวางดีเอ็นเอกับอารเอ็นเอ มีดังนี้
สิ่งเปรียบเทียบ DNA RNA
โครงสรางของโมเลกุล สายพอลินิวคลีโอไทด 2 สาย พันกันเปนเกลียว สายพอลินิวคลีโอไทดสายเดี่ยว
ชนิดของเบส A˜Â C G T A˜Â C G U
ชนิดของนํ้าตาล ดีออกซีไรโบส ไรโบส
ขนาดโมเลกุล ใหญ เล็ก
บริเวณที่พบ ในนิวเคลียส (อาจพบในไมโทคอนเดรีย) ในนิวเคลียสและไซโทพลาซึม
หนาที่ เปนสารพันธุกรรม เปนสารพันธุกรรมและสังเคราะหโปรตีน
T76
นํา สอน สรุป ประเมิน
T77
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. บอกวิธีการและเตรียมตัวอย่าง แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
เซลล์และ ม.4 เล่ม 1 สิ่งมีชีวิตเพื่อศึกษาภายใต้ หาความรู้ (5Es ก่อนเรียน - ทกั ษะการตัง้ - ใฝ่เรียนรู้
ทฤษฎีเซลล์ - แบบฝึกหัดชีววิทยา กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงได้ (K) Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด สมมติฐาน - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 1 2. วัดขนาดโดยประมาณและ Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง การ - ทกั ษะการตรวจ การท�ำงาน
4 - PowerPoint ประกอบ วาดภาพที่ปรากฏภายใต้ ไหลของไซโทพลาซึม สอบสมมติฐาน
การสอน กล้องจุลทรรศน์ได้ (K) - ประเมินการปฏิบัติการ - ทกั ษะการส�ำรวจ
ชั่วโมง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 3. บอกวิธกี ารใช้และดูแลรักษา - สังเกตพฤติกรรมการ ค้นหา
TWIG กล้องจุลทรรศน์ที่ถูกต้องได้ ทำ�งานรายบุคคล - ทักษะการระบุ
(K) - สังเกตพฤติกรรมการ - ทกั ษะการ
4. ท�ำกิจกรรมเพื่อศึกษา ทำ�งานกลุ่ม เปรียบเทียบ
โครงสร้างและขนาดของเซลล์ - สังเกตพฤติกรรม
ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ได้ (P) การนำ�เสนอ
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา และ - สังเกตความมีวินัย และ
สามารถท�ำงานร่วมกับผู้อื่น มุ่งมั่นในการทำ�งาน
ได้อย่างสร้างสรรค์ (A)
T78
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายวิธีการสื่อสารของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การสื่อสาร ม.4 เล่ม 1 เซลล์ที่อยู่ใกล้กันและเซลล์ หาความรู้ (5Es - ต รวจใบงาน เรื่อง การ - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
ระหว่างเซลล์ - แบบฝึกหัดชีววิทยา ที่อยู่ไกลกันได้ (K) Instructional สือ่ สารระหว่างเซลล์ ค้นหา - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 1 2. ใช้กระบวนการสืบเสาะ Model) - ประเมินการปฏิบัติการ - ทกั ษะการสรุป การท�ำงาน
2 - PowerPoint ประกอบ หาความรู้ในการศึกษาได้ - สังเกตพฤติกรรมการ ลงความเห็น
การสอน (P) ทำ�งานรายบุคคล
ชั่วโมง
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น 3. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา และ - สังเกตพฤติกรรมการ
TWIG สามารถท�ำงานร่วมกับผู้อื่น ทำ�งานกลุ่ม
ได้อย่างสร้างสรรค์ (A) - สังเกตความมีวินัย และ
มุ่งมั่นในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 5 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. สังเกตการแบ่งนิวเคลียส แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การแบ่งเซลล์ ม.4 เล่ม 1 แบบไมโทซิสและแบบ หาความรู้ (5Es - ต รวจใบงาน เรื่อง - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา ไมโอซิสจากตัวอย่างภายใต้ Instructional การแบ่งเซลล์ ค้นหา - มุ่งมั่นใน
8 ม.4 เล่ม 1 กล้องจุลทรรศน์ได้ (K)
- PowerPoint ประกอบ 2. อธิบายและเปรียบเทียบการ
Model) - ประเมินการปฏิบัติการ
- สังเกตพฤติกรรมการ
- ทกั ษะการ
เปรียบเทียบ
การท�ำงาน
ชั่วโมง
การสอน แบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส ทำ�งานรายบุคคล - ทกั ษะการตรวจ
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น และแบบไมโอซิสได้ (K) - สังเกตพฤติกรรมการ สอบสมมติฐาน
TWIG 3. ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อศึกษา ทำ�งานกลุ่ม - ทกั ษะการสรุป
การแบ่งเซลล์ได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม ลงความเห็น
4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา และ การนำ�เสนอ
สามารถท�ำงานร่วมกับผู้อื่น - สังเกตความมีวินัย และ
ได้อย่างสร้างสรรค์ (A) มุ่งมั่นในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 6 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการเปลี่ยนสภาพ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การเปลี่ยน ม.4 เล่ม 1 ของเซลล์เพื่อไปท�ำหน้าที่ หาความรู้ (5Es - ต รวจใบงาน เรื่อง การ - ท กั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
สภาพของเซลล์ - แบบฝึกหัดชีววิทยา เฉพาะอย่างได้ (K) Instructional เปลีย่ นสภาพของเซลล์ ค้นหา - มุ่งมั่นใน
และการชราภาพ ม.4 เล่ม 1 2. อธิบายสาเหตุของการ Model) และการชราภาพของ - ทกั ษะการสรุป การท�ำงาน
ของเซลล์ - PowerPoint ประกอบ ชราภาพของเซลล์ได้ (K) เซลล์ ลงความเห็น
การสอน 3. ใช้กระบวนการสืบเสาะ - สังเกตพฤติกรรมการ
2 - ภาพยนตร์สารคดีสั้น หาความรู้เพื่อศึกษาได้ (P) ทำ�งานรายบุคคล
ชั่วโมง TWIG 4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา และ - สังเกตพฤติกรรมการ
มีความมุ่งมั่น (A) ทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน
การทำ�งาน
แผนฯ ที่ 7 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายและสรุปขั้นตอนการ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การหายใจ ม.4 เล่ม 1 หายใจระดับเซลล์ได้ (K) หาความรู้ (5Es หลังเรียน - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
ระดับเซลล์ - แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. เปรียบเทียบขั้นตอนการ Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด ค้นหา - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 1 หายใจระดับเซลล์ในภาวะ Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทกั ษะการ การท�ำงาน
10 - PowerPoint ประกอบ ที่มีออกซิเจนเพียงพอ และ การหายใจระดับเซลล์ เปรียบเทียบ
ชั่วโมง การสอน ภาวะที่มีออกซิเจน - ประเมินการปฏิบัติการ - ทกั ษะการน�ำ
- ภาพยนตร์สารคดีสั้น ไม่เพียงพอ (K) - สังเกตพฤติกรรมการ ความรูไ้ ปใช้
TWIG 3. ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อศึกษา ทำ�งานรายบุคคล
กระบวนการหมักได้ (P) - สังเกตพฤติกรรมการ
4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) ทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย และ
มุ่งมั่นในการทำ�งาน
T79
Chapter Concept Overview
เซลล์และทฤษฎีเซลล์
ทฤษฎีเซลล์ กล้องจุลทรรศน์
1. สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อาจมีเซลล์เดียวหรือ ประเภท วัตถุที่ศึกษา ภาพ
หลายเซลล์ โดยภายในเซลล์มีสาร
ใช้แสงแบบธรรมดา ขนาดเล็ก ไม่เห็นด้วยตาเปล่า เสมือนหัวกลับ 2 มิติ
พันธุกรรมและมีเมแทบอลิซึม ท�าให้
สิ่งมีชีวิตสามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ ใช้แสงแบบสเตอริโอ ขนาดเล็ก ไม่เห็นรายละเอียด เสมือนหัวตั้ง 3 มิติ
2. เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุด อิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน โครงสร้างภายใน ภาพ 2 มิติ
ของสิ่งมีชีวิต ที่มีการจัดระบบการ อิเล็กตรอนแบบส่องกราด โครงสร้างภายนอก ภาพ 3 มิติ
ท�างานภายในเซลล์และโครงสร้าง
ของเซลล์ ก�าลังขยายของกล้องจุลทรรศน์ = ก�าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา × ก�าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ
3. เซลล์ต่าง ๆ ก�าเนิดมาจากเซลล์เริ่ม
แรกโดยการแบ่งเซลล์ของเซลล์เดิม ก�าลังขยายของกล้องจุลทรรศน์ = ขนาดของภาพ
ขนาดของวัตถุ
โครงสร้างของเซลล์ที่ศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
โครงสร้างของเซลล์สัตว์และเซลล์พืช
เมื่อศึกษาโครงสร้างของเซลล์สัตว์และเซลล์พืชด้วย นิวเคลียส
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน พบโครงสร้างพื้นฐานส�าคัญ ลักษณะเป็นทรงกลมอยูต่ รงกลางหรือค่อนไปข้างใดข้างหนึง่ ของเซลล์ เมือ่ ย้อมสี
ดังนี้ จะติดสีเข้มทึบ โดยทัว่ ไปเซลล์จะมี 1 นิวเคลียส แต่บางเซลล์อาจมีหลายนิวเคลียส
นิวเคลียส : ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ
ไซโทพลาซึม ภายในเซลล์
มี ส ่ ว นประกอบที่ ส� า คั ญ 2 ส่ ว น
คื อ ออร์ แ กเนลล์ (organelle) ไลโซโซม : ขนส่งเอนไซม์
และไซโทซอล (cytosol) แวคิวโอล : ถุงบรรจุสาร
ไรโบโซม : แหล่งสร้างโปรตีน
กอลจิคอมเพล็กซ์ :
โครงสร้าง รวบรวม บรรจุ และขนส่งสาร โครงสร้าง
ของ ของ
เซลลสต
ั ว เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม : เซลลพช
ื
ผลิตและล�าเลียงสาร
ไมโทคอนเดรีย :
เซนทริโอล : สร้างพลังงานให้แก่เซลล์ คลอโรพลาสต์ :
ท�าให้โครมาทิดแยกออกจากกัน เกี่ยวข้องกับกระบวนการ
ในขณะที่มีการแบ่งเซลล์ สังเคราะห์ด้วยแสง
ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล
เป็นโครงสร้างที่ห่อหุ้มไซโทพลาซึม และ เยื่อหุ้มเซลล์ :
แสดงขอบเขตของเซลล์ ซึง่ ได้แก่ ผนังเซลล์ ห่อหุ้มเซลล์ และควบคุม ผนังเซลล์ :
การผ่านเข้าออกของสาร ค� า
้ จุ น โครงร่ าง ปกปองเซลล์
และเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยให้เซลล์คงรูปร่างอยู่ได้
T80
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
การลําเลียงสารผานเซลล์
การล�าเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
การแพร่แบบธรรมดา ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต การล�าเลียงแบบใช้พลังงาน
• อนุ ภ าคสารเคลื่อ นที่จ าก • การแพร่ โ มเลกุ ล น�้ า จาก • อนุ ภ าคสารเคลื่ อ นที่ จ าก • อนุ ภ าคสารเคลื่ อ นที่ จาก
ความเข้มข้นสูงไปยังความ บริเวณน�า้ มาก (สารละลาย ความเข้มข้นสูงไปยังความ ความเข้มข้นต�า่ ไปยังความ
เข้มข้นต�่า มีความเข้มข้นต�่า) ไปยัง เข้ ม ข้ น ต�่ า โดยอาศั ย เข้มข้นสูงโดยใช้พลังงาน
บริเวณน�า้ น้อย (สารละลาย โปรตีนตัวพา ในรูป ATP
มีความเข้มข้นสูง)
การล�าเลียงสารโดยการสร้างถุงจากเยื่อหุ้มเซลล์
เอกโซไซโทซิส เอนโดไซโทซิส
• ล�าเลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ เช่น เอนไซม์ ฮอร์โมน • ล�าเลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์
การสื่อสารระหวางเซลล์ สารสื่อประสาท
หน่วยรับความรู้สึก
เจ็บปวดที่บริเวณ
ผิวหนัง
พลาสโมเดสมาตา เดนไดรต์
ที่ผนังเซลล์ แอกซอน
ไขสันหลัง
เซลล์ประสาทสั่งการ
เซลล์สัตว์
กระแสประสาท เซลล์ประสาทรับความรู้สึก
จากหน่วยรับ กล้ามเนื้อหดตัว
แกป จังก์ชันที่เยื่อหุ้มเซลล์ ความรู้สึก
T81
การแบงเซลล์
ไมโทซิส
1 อินเตอร์เฟส 6 การแบ่งไซโทพลาซึม
เห็นนิวคลีโอลัสชัดเจน แบ่งไซโทพลาซึมท�าให้
ได้เซลล์ลูก 2 เซลล์
2 โพรเฟส 5 เทโลเฟส
เห็นโครโมโซมสั้นลง มีการ เส้นใยสปนเดิลสลายไป
สร้างเส้นใยสปนเดิล มีการสร้างเยื่อหุ้ม
4 แอนาเฟส
นิวเคลียส
3 เมทาเฟส เส้นใยสปนเดิลหดสั้น
เยื่อหุ้มนิวเคลียสสลายไป ดึงโครมาทิดให้แยกกัน
โครโมโซมอยู่กลางเซลล์
ไมโอซิส การแบ่งไซโทพลาซึม
แบ่งไซโทพลาซึมท�าให้ได้
เซลล์ลูก 4 เซลล์
1 อินเตอร์เฟส
มีการจ�าลองโครโมโซม ท�าให้
แต่ละโครโมโซมมี 2 โครมาทิด
2 โพรเฟส I
ฮอมอโลกัสโครโมโซมอยู่กันเป็นคู่
อาจเกิดครอสซิงโอเวอร์
3 เมทาเฟส I 9 เทโลเฟส II
เส้นใยสปนเดินดึงฮอมอโลกัสโครโมโซมมาเรียงกลางเซลล์ โครโมโซมคลายออก
มีการสร้างเยื่อหุ้มนิวเคลียส
4 แอนาเฟส I
เส้นใยสปนเดิลดึงฮอมอโลกัสโครโมโซมให้แยกกัน 8 แอนาเฟส II
แต่ละโครโมโซมมี 2 โครมาทิด เส้นใยสปนเดิลหดสั้นดึงโครมาทิดให้แยก
จากกัน แต่ละโครโมโซมมี 1 โครมาทิด
5 เทโลเฟส I
7 เมทาเฟส II
สร้างเยื่อหุ้มนิวเคลียส เส้นใยสปนเดินดึงให้โครโมโซม
แต่ละนิวเคลียสมีโครโมโซม มาเรียงอยู่กลางเซลล์
ลดลงครึ่งหนึ่ง 6 โพรเฟส II
เยื่อหุ้มนิวเคลียสสลายไป
โครโมโซมสั้นลง
T82
การหายใจระดับเซลล์
อาหาร ภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ
กลูโคส
ไกลโคลิซิส (glycolysis)
การสลายกลูโคส 1 โมเลกุล จะได้กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล ATP 2 โมเลกุล และ
ไกลโคลิซิส 2 ATP NADH 2 โมเลกุล
NAD+
กรดไพรูวิก การสร้างแอซิทิลโคเอนไซม์เอ (acetyl Coenzyme A production)
ไซโทพลาซึม NADH + H+ การสลายกรดไพรูวิก 1 โมเลกุล จะได้แอซิทิลโคเอนไซม์เอ 1 โมเลกุล แก๊ส
กระบวนการหมัก คาร์บอนไดออกไซด์ 1 โมเลกุล และ NADH 1 โมเลกุล
แอซิทิลโคเอนไซม์เอ วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle)
เมือ่ กลูโคส 1 โมเลกุล เข้าสูว่ ฏั จักรเครบส์ จะได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 4 โมเลกุล
NADH 6 โมเลกุล FADH2 2 โมเลกุล และ ATP 2 โมเลกุล
วัฏจักร 2 ATP
เครบส์
กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน (electron transport system)
O2
กระบวนการ
32-34
เป็นปฏิกิริยาที่น�ำอิเล็กตรอนและโปรตอน (ในรูปของอะตอมไฮโดรเจน) จาก
ถ่ายทอด ATP NADH + H+ และ FADH2 ส่งไปยังตัวรับอิเล็กตรอนต่าง ๆ โดยตัวรับอิเล็กตรอน
อิเล็กตรอน
H2O ตัวสุดท้าย คือ ออกซิเจน
ไมโทคอนเดรีย
อาหาร
กลูโคส
ภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ
ไกลโคลิซิส
T83
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
เซลล
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูน�าภาพที่แสดงโครงสร้างร่างกายสิ่งมีชีวิต
3
หนวยการเรียนรู้ที่
ซึ่งประกอบด้วยระบบอวัยวะ อวัยวะ เนื้อเยื่อ
และเซลล์ โดยอาจหาภาพจากอินเทอร์เน็ต
หรือสื่อต่างๆ มาให้นักเรียนพิจารณา จากนั้น
ครูน�าอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เซลล์เป็น
ของสิง่ มีชวี ติ
หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ผลการเรียนรู้
สิ่ ง มี ชี วิ ต แต่ ล ะชนิ ด มี ลั ก ษณะเฉพาะแตกต่ า งกั น
บางชนิด
2. ครูนา� ภาพสิง่ มีชวี ติ เซลล์เดียวทีด่ า� รงชีวติ อย่าง 10. บอกวิ ธี ก ารและเตรี ย มตั ว อย่ า ง มีขนาดเล็กมาก แต่บางชนิดอาจมีขนาดใหญ่มาก บางชนิด
อิสระ โดยอาจหาภาพจากอินเทอร์เน็ต หรือ สิ่ ง มี ชี วิ ต เ พื่ อ ศึ ก ษ า ภ า ย ใ ต ้ สามารถสร้ า งอาหารได้ เ อง แต่ บ างชนิ ด ไม่ ส ามารถสร้ า ง
กล้องจุลทรรศน์ ใช้แสง วัดขนาด
อาหารได้เอง จึงต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร แล้วนักเรียน
สื่อต่างๆ มาให้นักเรียนพิจารณา จากนั้นตั้ง โดยประมาณและวาดภาพที่ปรากฏ
ภายใต้ กล้อ ง บอกวิธี การใช้ และ ทราบหรือไม่ว่า สิ่งมีชีวิตที่กล่าวถึงนั้นมีลักษณะอย่างไร
ค�าถาม เช่น จากภาพมีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว การดู แ ลรั ก ษากล้ อ งจุ ล ทรรศน์ ที่
ถูกต้องได้
กี่ชนิด อะไรบ้าง 11. อธิ บ ายโครงสร้ า งและหน้ า ที่ ข อง
ส่วนห่อหุ้มเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
ได้
12. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปชนิด
และหน้าที่ของออร์แกเนลล์ ได้
13. อธิ บ ายโครงสร้ า งและหน้ า ที่ ข อง
นิวเคลียสได้
14. อธิบายและเปรียบเทียบการแพร่
ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลเิ ทต
และแอกทีฟทรานสปอร์ตได้
15. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียน
แผนภาพการล�าเลียงสารโมเลกุล
ใหญ่ออกจากเซลล์ดว้ ยกระบวนการ
เอกโซไซโทซิส และการล�าเลียง
สารโมเลกุ ล ใหญ่ เ ข้ า สู ่ เ ซลล์ ด ้ ว ย
กระบวนการเอนโดไซโทซิสได้
16. สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส
และแบบไมโอซิสจากตัวอย่างภายใต้
กล้องจุลทรรศน์ พร้อมทัง้ อธิบายและ
เปรียบเทียบการแบ่งนิวเคลียสแบบ
ไมโทซิสและแบบไมโอซิสได้
17. อธิบาย เปรียบเทียบ และสรุปขัน้ ตอน
การหายใจระดับเซลล์ ในภาวะที่มี
ออกซิเจนเพียงพอ และภาวะทีม่ ี
ออกซิเจนไม่เพียงพอได้ ÊÔ觷ÕèàÅç¡·ÕèÊØ´
ã¹Ã‹Ò§¡ÒÂ
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¤×ÍÍÐäÃ
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนเรื่อง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต ครูควรใช้ภาพ คลิปวิดีโอ หรือ
โมเดลประกอบการสอน เพือ่ ช่วยให้นกั เรียนเห็นภาพโครงสร้าง และกระบวนการ
ต่างๆ ภายในเซลล์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และควรเน้นทักษะการปฏิบัติการในการท�า
กิจกรรมการทดลอง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการศึกษาในระดับต่อไปได้
T84
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
สิ่งมีชีวิตแตละชนิดมี 1. เซลล์และทฤษฎีเซลล์ 1. ครู อ าจกระตุ ้ น การเรี ย นรู ้ ข องนั ก เรี ย นโดย
การเป ด ภาพยนตร์ ส ารคดี สั้ น TWIG เรื่ อ ง
โครงสรางของเซลล เซลล์ 1(cell) คือ หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดย
เหมือนกันหรือไม
เซลล์แต่ละชนิดจะมีรปู ร่าง ขนาด และหน้าทีแ่ ตกต่างกัน ส่วนใหญ่ เซลล์ https://www.twig-aksorn.com/fifilm/
จะมีขนาดเล็กจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การศึกษา glossary/cell-6639/ ให้นักเรียนดู
เกี่ยวกับเซลล์นั้นจึงต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์เพื่อช่วยท�าให้สามารถศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้าง 2. ครูน�าอภิปรายว่า จากภาพและภาพยนตร์ที่
ของเซลล์ ตลอดจนหน้าที่ของโครงสร้างต่าง ๆ นั้นได้ ให้นักเรียนพิจารณา จะเห็นได้ว่า เซลล์ของ
สิ่งมีชีวิตอาจด�ารงชีวิตอยู่อย่างอิสระ หรือเป็น
1.1 ทฤษฎีเซลล์ องค์ประกอบของร่างกายสิ่งมีชีวิต จากนั้นให้
เทโอดอร์ ชวันน์ (Theodor Schwann) นักสัตววิทยาชาวเยอรมัน และมัตทิอัส ชไลเดน นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพือ่ ให้เกิดความเข้าใจ
(Matthias Schleiden) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ศึกษาเกี่ยวกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ ด้วย เกี่ยวกับความหมายของเซลล์
กล้องจุลทรรศน์ พบว่า เนื้อเยื่อของพืชและสัตว์ประกอบด้วยเซลล์จ�านวนมาก และเซลล์เหล่านั้น 3. ให้นกั เรียนจับคูก่ นั ศึกษาเรือ่ ง ทฤษฎีเซลล์ จาก
ไม่สามารถอยู่เดี่ยว ๆ ได้ หลังจากนั้นทั้งสองจึงร่วมกันตั้งทฤษฎีเซลล์ (cell theory) โดยมีใจความ หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 จากนัน้ ร่วมกัน
ส�าคัญว่า “สิ่งมีชีวิตทั้งหลายประกอบด้วยเซลล์ และเซลล์คือหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด” แลกเปลี่ยนความรู้เพื่อให้ได้ข้อสรุป
ซึ่งทฤษฎีเซลล์ในปัจจุบันครอบคลุมใจความส�าคัญ 3 ประการ ดังนี้
1. สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อาจมีเซลล์เดียวหรือมีหลายเซลล์ โดยภายในเซลล์มีสารพันธุกรรมและ
มีกระบวนการเมแทบอลิซึม ท�าให้สิ่งมีชีวิตสามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้
2. เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต ที่มีการจัดระบบการท�างานภายในเซลล์
และโครงสร้างของเซลล์
3. เซลล์ต่าง ๆ มีก�าเนิดมาจากเซลล์เริ่มแรกโดยการแบ่งเซลล์ของเซลล์เดิม
มองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ระดับนาโน
มองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบอิเล็กตรอน
มองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
มองเห็นด้วยตาเปล่า
T85
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
4. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ 1.2 กล้องจุลทรรศน์
นักเรียน เช่น กล้องจุลทรรศน์ (microscope) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขยายขอบเขตการมองด้วยนัยน์ตาปกติ
•ï เซลลคืออะไร ท�าให้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ได้
(แนวตอบ เซลล คือ หนวยโครงสรางพื้นฐาน
ที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต) กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง Light microscope
5. ครูตั้งค�าถามเพื่อน�าเข้าสู่การศึกษาเรื่อง
สร้างขึ้นจากเลนส์นูน 2 ชิ้นมาประกอบกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ
กล้องจุลทรรศน์ เช่น
กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง
•ï นักเรียนเคยเห็นเซลลดวยตาเปลาหรือไม 1 แบบธรรมดา
เลนส์ใกล้ตา
(แนวตอบ นักเรียนสวนมากอาจตอบวาไมเคย (bright field microscope)
(eyepiece lens)
เพราะเซลลสว นใหญนนั้ มีขนาดเล็กมาก ซึง่ ใช้ ศึ ก ษาวั ต ถุ ที่ มี ข นาดเล็ ก มากจนไม่
สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งจะท�าให้ โดยทั่วไปจะมีก�าลังขยาย 10x
ตองศึกษาดวยกลองจุลทรรศน แตนักเรียน เกิดภาพเสมือนหัวกลับ ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ ท�าหน้าที่ขยายภาพที่ได้จาก
เลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
บางคนอาจตอบวา เคย เชน เซลลไขของไก
ปุมปรับภำพหยำบ : ใช้หมุนเพื่อ
ไขนก ไขเตา เปนตน) เลื่อนต�าแหน่งแท่นวางวัตถุ
6. ให้นกั เรียนจับคูก่ นั ศึกษาเรือ่ ง กล้องจุลทรรศน์
ปุมปรับภำพละเอียด : ใช้หมุนเพื่อ
ใช้แสง และกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน จาก ท�าให้เห็นภาพได้ชัดยิ่งขึ้น มีก�าลังขยายต่าง ๆ ได้แก่
หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 จากนัน้ ร่วมกัน แขนกล้อง : ใช้จับขณะเคลื่อนย้าย
4x 10x 40x และ 100x
ท�าหน้าที่ขยายภาพของวัตถุ
แลกเปลี่ยนความรู้เพื่อให้ได้ข้อสรุป กล้องจุลทรรศน์
ฐาน
แทนวำงวัตถุ : ใช้วางสไลด์ทตี่ อ้ งการ (base)
ศึกษา
วิธใี ช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง ภาพที่ได้จากการมองผ่านกล้อง
แบบธรรมดา จุลทรรศน์ใช้แสงแบบธรรมดา
1 วางกล้ อ งบนพื้ น ที่ เ รี ย บ หมุ น 2 ปรับกระจกเงาหรือเปิดสวิตช์ไฟ
เลนส์ใกล้วัตถุที่มีก�าลังขยายต�่า ให้แสงเข้าสู่กล้อง จากนั้นน�า
สุดมาอยู่ตรงกับล�ากล้อง สไลด์วางบนแท่นวางวัตถุ
3 หมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้แท่น 4 หมุ น ปุ ่ ม ปรั บ ภาพหยาบช้ า ๆ
วางวัตถุเลื่อนมาอยู่ใกล้กับเลนส์ จนมองเห็นวัตถุค่อนข้างชัดเจน
ใกล้วัตถุมากที่สุด แล้วมองวัตถุ จากนัน้ หมุนปุม่ ปรับภาพละเอียด
ผ่านเลนส์ใกล้ตา
5 ถ้าต้องการเห็นภาพใหญ่ขึ้น ให้
หมุนเลนส์ใกล้วตั ถุทมี่ กี า� ลังขยาย
สูงเข้าในแนวล�ากล้อง แล้วหมุน
ปุ่มปรับภาพละเอียด
74 ภาพที่ 3.2 กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง
T86
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
นักเรียนเรื่อง กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง เช่น
•ï กล อ งจุ ล ทรรศน ใ ช แ สงแบบธรรมดากั บ
กล อ งจุ ล ทรรศน ใ ช แ สงแบบสเตอริ โ อใช
ศึ ก ษาวั ต ถุ ที่ มี ลั ก ษณะเหมื อ นกั น หรื อ ไม
อยางไร
(แนวตอบ ไมเหมือนกัน โดยกลองจุลทรรศน
ส่วนประกอบ กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง
2 แบบสเตอริโอ ใชแสงแบบธรรมดา ใชศึกษาวัตถุที่มีขนาด
(stereoscopic microscope) เล็กมากจนไมสามารถมองเห็นไดดวยตา
ใช้ศึกษาวัตถุที่มีขนาดเล็กที่มองเห็นได้ เปล า ส ว นกล อ งจุ ล ทรรศน ใ ช แ สงแบบ
สามารถปรับระยะห่างของ ด้วยตาเปล่า แต่เห็นรายละเอียดได้ไม่
นัยน์ตาทั้งสองข้างได้ และมี เพียงพอ ท�าให้เกิดภาพเสมือนหัวตั้ง สเตอริโอ ใชศึกษาวัตถุที่มีขนาดเล็กที่ยัง
สเกลบอกก�าลังขยายของเลนส์
อยู่บริเวณรอบกระบอกตา
ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ และเป็นภาพ 3 มิติ สามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา แตเห็น
ปุมปรับขยำยภำพ : ใช้หมุนเพื่อ รายละเอียดไมเพียงพอ)
เลนส์ใกล้วัตถุ ขยายภาพให้มีขนาดตามต้องการ
(objective lens) •ï หากใชกลองจุลทรรศนใชแสงแบบธรรมดา
ปุมปรับควำมคมชัดของภำพ : ใช้
มีก�าลังขยาย หมุนเพื่อให้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้น ศึกษาเซลลชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อมองผานลํา
น้อยกว่า 10x ไฟสองบน : ใช้ส่องไฟลงบนแผ่น กลองเห็นภาพเซลลแลว แตเห็นไมชัดเจน
รองรับวัตถุ นักเรียนควรปฏิบัติอยางไร
แผนรองรับวัตถุ : ใช้วางวัตถุที่ (แนวตอบ หมุนปุมปรับภาพละเอียด)
ต้องการศึกษา •ï หากตองการเคลื่อนยายกลองจุลทรรศน
วิธใี ช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง ภาพที่ได้จากการมองผ่านกล้อง นักเรียนควรปฏิบัติอยางไร
แบบสเตอริโอ
จุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอ ( แนวตอบ ใช มื อ ข า งหนึ่ ง จั บ ที่ แ ขนกล อ ง
1 วางกล้องบนพื้นที่เรียบ เพื่อให้ 2 น�าวัตถุวางบนแผ่นรองรับวัตถุ สวนมืออีกขางหนึ่งสอดไวใตตัวกลอง แลว
ล�ากล้องตั้งตรงและมั่นคง แล้ว
เปิดสวิตช์ไฟส่องบน และไฟฐาน เคลื่อนยายอยางระมัดระวัง)
3 ตั้ ง ระยะห่ า งของเลนส์ ใ กล้ ต า 4 ปรับโฟกัสเลนส์ใกล้ตาทีละข้าง
ให้มีระยะพอเหมาะกับนัยน์ตา จนชัดเจน
ซึ่งจะท�าให้เห็นจอภาพอยู่ในวง
เดียวกัน
5 หากต้องการศึกษาจุดใดจุดหนึ่ง
ของตัวอย่าง ให้ปรับโฟกัสของ
เลนส์ใกล้วัตถุที่มีก�าลังขยายสูง
ก่อน
เซลล์ 75
ของสิ่งมีชีวิต
ขัน้ สอน
อธิบายความรู (ตอ)
2. ครูตั้งคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน Electron microscope
นักเรียนเรื่อง กลองจุลทรรศนอิเล็กตรอน เชน
กล้องจุลทรศน์อิเล็กตรอน เป็นกล้อง
•ï กลองจุลทรรศนอเิ ล็กตรอนมีหลักการทํางาน จุ ล ทรรศน์ ที่ ใ ช้ ล� า อนุ ภ าคอิ เ ล็ ก ตรอน ส่วนประกอบ
ตางจากกลองจุลทรรศนใชแสง อยางไร พลั ง งานสู ง ในการตรวจสอบวั ต ถุ แ ทน
( แนวตอบ กล อ งจุ ล ทรรศน อิ เ ล็ ก ตรอนใช การใช้แสง และใช้เลนส์สนามแม่เหล็ก ล�าอิเล็กตรอน
ลํ า อนุ ภ าคอิ เ ล็ ก ตรอนพลั ง งานสู ง ในการ ไฟฟ้า (electromagnetic lens) ซึง่ เลนส์นี้
ประกอบด้วยขดลวดพันอยูร่ อบแท่งเหล็ก
ตรวจสอบวัตถุแทนการใชแสง และใชเลนส เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าไป จะท�าให้
สนามแมเหล็กไฟฟา) เกิดสนามแม่เหล็กขึน้ โดยสนามแม่เหล็ก
•ï กลองจุลทรรศนอเิ ล็กตรอนแบบสองผานกับ จะควบคุ ม แนวทางเดิ น ของล� า อนุ ภ าค วัตถุที่ศึกษา
กลองจุลทรรศนอิเล็กตรอนแบบสองกราด อิเล็กตรอนให้ไปตกกระทบกับวัตถุที่จะ
ศึกษา โดยจะได้ภาพเสมือนบนฉากรับที่ เลนส์สนามแมเหล็กไฟฟา
ใชศึกษาวัตถุที่มีลักษณะเหมือนกันหรือไม ฉาบด้วยสารเรืองแสง ซึง่ กล้องจุลทรรศน์ (เลนส์ใกลวัตถุ)
T88
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน เพื่อท�า
กิจกรรม เรื่อง การศึกษาเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
ด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง ในหนังสือเรียน
แหลงก�าเนิด ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 โดยให้นักเรียนร่วมกัน
อิเล็กตรอน
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
ตั้งปญหาและสมมติฐานของกิจกรรม
2 แบบส่องกราด ปญหา : เซลล์ของสิง่ มีชวี ติ มีลกั ษณะเหมือนกัน
เลนส์สนามแมเหล็กไฟฟา (scanning electron microscope)
(เลนส์รวมลําอิเล็กตรอน) หรือไม่
ใช้ศกึ ษาโครงสร้างภายนอกของวัตถุ ซึง่ วัตถุ
ทีศ่ กึ ษาต้องเคลือบด้วยโลหะ แล้วใช้ลา� อิเล็กตรอน สมมติ ฐ าน : เซลล์ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต มี ลั ก ษณะ
ขนาดเล็กส่องกราดไปตามผิวตัวอย่าง ซึ่งท�าให้ แตกต่างกัน โดยสามารถศึกษาได้โดยอาศัย
เกิดภาพที่มีความเข้มของเงาต่างกัน กล้องจุลทรรศน์
การเตรียมตัวอย่างเพือ่ น�ามาศึกษาด้วยกล้อง
ขดลวดส่องกราด จุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนแบบส่องกราด หากตัวอย่าง ปญหา : เซลล์ของสิ่งมีชีวิตด�ารงอยู่อย่างอิสระ
นั้ น เป็ น พื ช สั ต ว์ หรื อ แบคที เ รี บ ต้ อ งผ่ า น หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
กระบวนการเตรียมตัวอย่างก่อน แต่หากตัวอย่าง
นั้นเป็นผง เช่น แป้ง ถ่าน กระดูก เป็นต้น จะต้อง สมมติฐาน : เซลล์ของสิ่งมีชีวิตอาจด�ารงอยู่
1 า 6% และ
อบไล่ความชืน้ ในตัวอย่างให้มคี า่ น้อยกว่ อย่ า งอิ ส ระ หรื อ อยู ่ ร วมกั น เป็ น กลุ ่ ม โดย
น�าส่งตัวอย่างโดยใส่โถเดซิกเคเตอร์ ((desiccator)
หรือกล่องที่มีฝาปิดและใส่สารดูดความชื้นไว้ด้วย สามารถศึกษาได้โดยอาศัยกล้องจุลทรรศน์
อิเล็กตรอนที่กระจายจากวัตถุ
วัตถุที่ศaึกษา
ฉากรับภาพ
หลักการท�างานของกล้องจุลทรรศน์
อิเล็กตรอนแบบสองกราด
ล�าอิเล็กตรอนชุดแรก (primary electron) จะเคลื่อนที่ไปกระทบ
วัตถุ ท�าให้มกี ารสะท้อนกลับของล�าอิเล็กตรอนชุดที่ 2 (secondary
electron) จากนั้นล�าอิเล็กตรอนชุดที่ 2 ก็จะถูกเปลี่ยนเป็น
สัญญาณอิเล็กตรอน (electrical signal) แล้วส่งสัญญาณไปยัง
จอภาพ โดยแสดงภาพออกมาในลักษณะ 3 มิติ
ตัวอยางภาพ 3 มิติ
เซลล์ 77
ของสิ่งมีชีวิต
T89
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
2. ใหนักเรียนแตละกลุมกําหนดใหสมาชิกแตละ • การสังเกต
การศึกษาเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
คนภายในกลุ ม มี บ ทบาทหน า ที่ ข องตนเอง ด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง
• การทดลอง
• การลงความเห็นจากข้อมูล
ตัวอยางเชน จิตวิทยำศำสตร์
สมาชิกคนที่ 1 และ 2 : ทําหนาทีเ่ ตรียมวัสดุ วัสดุอปุ กรณ์และสำรเคมี • ความสนใจใฝ่รู้
• ความรับผิดชอบ
อุปกรณ 1. เข็มเขี่ย 7. สไลด์และกระจกปิดสไลด์
สมาชิกคนที่ 3 และ 4 : ทําหนาทีอ่ า นวิธกี าร 2. ไม้จิ้มฟัน 8. น�้ากลั่น 13. สารละลายไอโอดีน
3. ใบมีดโกน 9. หัวหอม ความเข้มข้น 2%
ทํากิจกรรม และอธิบายใหสมาชิกในกลุมฟง 4. หลอดหยด 10. เยื่อบุข้างแก้ม 14. สารละลายโซเดียมคลอไรด์
สมาชิกคนที่ 5 และ 6 : ทําหนาที่บันทึกผล 5. กระดาษเยื่อ 11. สาหร่ายหางกระรอก (NaCl) ความเข้มข้น 0.85%
6. กล้องจุลทรรศน์ 12. เอทิลแอลกอฮอลล์ และ 2%
การทํากิจกรรม (C2H5OH) 70%
สมาชิกคนที่ 7 และ 8 : ทําหนาที่นําเสนอ วิธปี ฏิบตั ิ
ผลการทํากิจกรรม
ตอนที่ 1 ศึกษาโครงสร้างภายในเซลล์
ศึกษำเซลล์พืช (เซลล์เยื่อหอม) มีขั้นตอน ดังนี้ ศึกษำเซลล์สตั ว์ (เซลล์เยือ่ บุขา้ งแก้ม) มีขนั้ ตอน ดังนี้
1. หยดน�้ากลั่นลงบนสไลด์ 1-2 หยด ลอกเยื่อ 1. หยด NaCl เข้มข้น 0.85% ลงบนสไลด์ จากนั้น
ด้านในของกลีบหัวหอม วางลงบนหยดน�้านั้น ใช้ไม้จมิ้ ฟันจุม่ C2H5OH 70% ทิง้ ให้แห้งแล้วน�า
ไปขูดที่เยื่อบุข้างแก้มและน�ามาเกลี่ยบนสไลด์
2. ย้อมสีเยื่อหอมโดยหยดสารละลายไอโอดีน 1
หยด แล้วปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ 2. ย้อมสีเยื่อบุข้างแก้มโดยหยดสารละลายไอโอดีน
1 หยด แล้วปิดด้วยกระจกปิดสไลด์
3. น�าสไลด์ไปศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ โดยใช้
ก�าลังขยายต่าง ๆ สังเกตลักษณะและส่วนประกอบ 3. น�าสไลด์ไปศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ โดยใช้
ของเซลล์ วาดภาพเซลล์และบันทึกก�าลังขยาย ก�าลังขยายต่าง ๆ สังเกตลักษณะและส่วนประกอบ
ของกล้องจุลทรรศน์ ของเซลล์ วาดภาพเซลล์และบันทึกก�าลังขยาย
ของกล้องจุลทรรศน์
78 ภาพที่ 3.4
ภาพที่ 3.5
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ร ว มกั น อภิ ป รายผล
ตอนที่ 2 ศึกษาลักษณะของเซลล์ในสภาพแวดล้อมตางกัน
การทํากิจกรรม และตอบคําถามทายกิจกรรม
1. หยดน�้ากลั่น 1 หยด บนสไลด์ 2. ลอกเยื่ อ หั ว หอมด้ า นในออก 3. น�าสไลด์ไปศึกษาภายใต้กล้อง
แผ่นที่หนึ่ง และหยด NaCl ตัดแบ่งเป็น 2 ชิน้ วางบนสไลด์ จุลทรรศน์ สังเกตเปรียบเทียบ
ความเข้มข้น 2% 1 หยด บน ในข้อ 1. สไลด์ละ 1 ชิ้น ทิ้งไว้ ลักษณะของเซลล์
สไลด์แผ่นที่สอง ประมาณ 3-5 นาที
ภาพที่ 3.6
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
?
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. ตางกัน โดยเซลลพชื มีรปู รางเปนเหลีย่ มและมี
1. โครงสร้างภายในของเซลล์ที่นักเรียนศึกษาในตอนที่ 1 เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
2. จากกิจกรรม เมื่อน�าสไลด์ตัวอย่างไปศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ หากใช้ก�าลังขยายต่างกัน จะท�าให้เห็น
ผนังเซลล สวนเซลลสตั วมรี ปู รางคอนขางกลม
ภาพลักษณะแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร และไมมีผนังเซลล
3. เซลล์เยื่อหอมในสไลด์ทั้งสองแผ่นในกิจกรรมตอนที่ 2 มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร 2. ตางกัน โดยหากใชกําลังขยายตํ่า จะเห็น
4. ในกิจกรรมตอนที่ 2 หากศึกษาเซลล์ชนิดอื่น ๆ นักเรียนคิดว่าจะได้ผลเช่นเดียวกันหรือไม่อย่างไร เซลลจาํ นวนมากแตเห็นรายละเอียดภายในไม
ชัดเจน แตเมื่อใชกําลังขยายสูง จะเห็นเซลล
จํานวนนอย แตเห็นรายละเอียดของเซลลได
อภิปรายผลกิจกรรม
ชัดเจนมากขึ้น
จากกิจกรรมจะเห็นได้ว่า กิจกรรมตอนที่ 1 หากใช้ก�าลังขยายต�่าจะเห็นเซลล์จ�านวนมากแต่เห็น 3. เซลลเยือ่ หอมในสไลดทหี่ ยดนํา้ กลัน่ มีลกั ษณะ
รายละเอียดภายในได้ไม่ชัดเจน แต่เมื่อใช้ก�าลังขยายสูงจะเห็นเซลล์จ�านวนน้อยลง แต่สามารถเห็น ปกติ สวนเซลลเยื่อหอมในสไลดที่หยด NaCl
รายละเอียดของเซลล์ได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในกิจกรรมตอนที่ 1 ยังพบว่า เซลล์พืชกับเซลล์สัตว์จะมี
จะเห็นเยื่อหุมเซลลแยกออกจากผนังเซลล
ลั ก ษณะและส่ ว นประกอบบางอย่ า งแตกต่ า งกั น โดยเซลล์ พื ช มี รู ป ร่ า งเป็ น เหลี่ ย มและมี ผ นั ง เซลล์
ส่วนเซลล์สัตว์มีรูปร่างค่อนข้างกลมและไม่มีผนังเซลล์ เนื่องจากเซลลสูญเสียนํ้าออกสูภายนอก
ส่วนกิจกรรมตอนที่ 2 เป็นการศึกษาถึงกระบวนการรักษาดุลยภาพของน�้าในเซลล์ จะเห็นได้ว่า 4. ไดผลเชนเดียวกัน เนื่องจากเมื่อเซลลอยูใน
หากภายนอกเซลล์ มี ค วามเข้ ม ข้ น ของสารละลายสู ง น�้ า จากภายในเซลล์ จ ะออสโมซิ ส ออกจากเซลล์ สภาพแวดลอมทีม่ คี วามเขมขนของสารละลาย
เป็นผลท�าให้เซลล์เหี่ยวลง สูงกวาภายในเซลล นํา้ จากภายในเซลลนนั้ จะ
เซลล์ 79
ออสโมซิสสูภ ายนอกเซลล จึงทําใหเซลลเหีย่ ว
ของสิ่งมีชีวิต
T91
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
ให้นักเรียนกลุ่มเดิมจากการท�ากิจกรรมที่แล้ว • การสังเกต
การหากําลังขยายของภาพและขนาดของวัตถุ
ท�ากิจกรรม เรื่อง การหาก�าลังขยายของภาพและ จากกล้องจุลทรรศน์
• การวัด
• การค�านวณ
ขนาดของวัตถุจากกล้องจุลทรรศน์ ในหนังสือ จิตวิทยำศำสตร์
ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 วัสดุอปุ กรณ์ • ความสนใจใฝ่รู้
• ความรอบคอบ
1. กล้องจุลทรรศน์
อธิบายความรู้ 2. ไม้บรรทัดพลาสติกใสอย่างบาง
ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันตอบค�าถามใน
วิธปี ฎิบตั ิ
กิจกรรมตอนที่ 2 โดยมีแนวการตอบ ดังนี้
•ï ถ า ขนาดจริ ง ขอ ง ยู กลี นา วั ดได 50 ตอนที่ 1 การค�านวณหาก�าลังขยายของภาพจากกล้องจุลทรรศน์
ไมโครเมตร (µm) หากนักเรียนนําไปศึกษา
ภายใตกลองจุลทรรศนกาํ ลังขยายของเลนส
1. อ่านค่าก�าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา และเลนส์
ใกลตา 10X และกําลังขยายของเลนสใกล ใกล้วัตถุ
วัตถุ 10X นักเรียนจะเห็นภาพยูกลีนามี
ความยาวเพิม่ ขึน้ กีเ่ ทา และภาพของยูกลีนา
มีความยาวเทาใด 10×
(แนวตอบ เห็นภาพยูกลีนามีความยาวเพิม่ ขึน้ 2. ค� า นวณก� า ลั ง ขยายของกล้ อ งจุ ล ทรรศน์ โ ดย
10 × 10 = 100 เทา และภาพของยูกลีนามี คิดจาก ก�ำลังขยำยของกล้องจุลทรรศน์ = ก�ำลัง
ความยาว 0.5 cm) ขยำยของเลนส์ใกล้ตำ × ก�ำลังขยำยของเลนส์
•ï ถาวัตถุมีความยาว 7 ไมโครเมตร (μµm) 4× ใกล้วัตถุ
เมื่อนํามาศึกษาภายใตกลองจุลทรรศน จะ
มีความยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร จงหาวา
3. วางไม้บรรทัดพลาสติกใสอย่างบางโดยให้ด้าน
กลองนี้มีกําลังขยายเทาใด เซนติเมตร (cm) อยู่ตรงกับบริเวณช่องกลมของ
(แนวตอบ กลองนี้มีกําลังขยาย 1,000 เทา) แท่นวางวัตถุ
4. ปรับกล้องจุลทรรศน์ให้มีก�าลังขยายต�่า เพื่อ
1 cm
ให้ ม องเห็ น สเกลของไม้ บ รรทั ด จากนั้ น วั ด
1 cm
ความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางของจอภาพจาก
กล้องจุลทรรศน์ โดยการนับจ�านวนมิลลิเมตร
1 mm 1 mm จากขอบด้านหนึง่ จนถึงขอบอีกด้านหนึง่ จากภาพ
ที่มองเห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์
80 ภาพที่ 3.7
แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
1. สวนใหญเซลลของสิ่งมีชีวิตมีขนาดเล็กมากจนไมสามารถมองเห็นดวยตาเปลา จึงตองอาศัยกลองจุลทรรศนในการศึกษาเซลล
เสนผานศูนยกลางของภาพ (ขณะที่ศึกษา) = กําลังขยายของเลนสตํ่าสุด เสนผานศูนยกลางของจอภาพที่กําลังขยายตํ่าสุด
×
2. จากสูตร
กําลังขยายของเลนส
เสนผานศูนยกลางของภาพ ที่กําลังขยาย 100X = 40 × 25,000 μm
= 100 μm
100
เสนผานศูนยกลางของภาพ ที่กําลังขยาย 400X = 40 25,000 μm
×
400 = 250 μm
T92
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
ตอนที่ 2 การค�านวณหาขนาดของวัตถุ หรือขนาดของภาพจากกล้องจุลทรรศน์ 1. ครูอาจให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ
ไหลของไซโทพลาซึมในเซลล์ โดยปฏิบัติตาม
1. การหาขนาดของวัตถุจากก�าลังขยายของภาพ
ขัน้ ตอน ดังนี้
ก�าลังขยายของภาพ = ขนาดของภาพ 1) หยดน�า้ 1 หยด ลงบนสไลด์ จ�านวน 2 สไลด์
ขนาดของวัตถุ
2) น�าใบสาหร่ายหางกระรอก ใบอ่อน 1 ใบ และ
• ถ้าขนาดจริงของยูกลีนาวัดได้ 50 ไมโครเมตร (µm) หากนักเรียนน�าไปศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ใบแก่ 1 ใบ วางลงบนสไลด์ ใบละ 1 สไลด์
ก�าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา 10x และก�าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ 10x นักเรียนจะเห็นภาพยูกลีนา แล้วปดด้วยกระจกปดสไลด์
มีความยาวเพิ่มขึ้นกี่เท่า และภาพของยูกลีนามีความยาวเท่าใด 3) น� า สไลด์ ไ ปศึ ก ษาด้ ว ยกล้ อ งจุ ล ทรรศน์
• ถ้าวัตถุมีความยาว 7 ไมโครเมตร (µm) เมื่อน�ามาศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ จะมีความยาวประมาณ
7 มิลลิเมตร จงหาว่ากล้องนี้มีก�าลังขยายเท่าใด สั ง เกตเปรี ย บเที ย บลั ก ษณะการไหลของ
2. การหาขนาดของวัตถุจากเส้นผ่านศูนย์กลางของภาพ ไซโทพลาซึมในใบทัง้ สอง
4) อภิปรายผลกิจกรรม
เส้นผ่านศูนย์กลางของภาพ (ขณะที่ศึกษา) 2. ครูถามนักเรียนว่า จากการศึกษาโครงสร้าง
= ก�าลังขยายของเลนส์ต�่าสุด × เส้นผ่านศูนย์กลางของจอภาพที่ก�าลังขยายต�่าสุด ภายใน ขนาดของเซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ และ
ก�าลังขยายของเลนส์
จากประจักษ์พยานทีไ่ ด้คน้ พบ ความรูน้ นั้ ตรง
กับทฤษฎีเซลล์ทศี่ กึ ษาไปแล้วหรือไม่
3. ครูมอบหมายการบ้านให้นกั เรียนท�าแบบฝกหัด
?
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เล่ม 1
1. เพราะเหตุใดจึงต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ในการศึกษาเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
2. ถ้ากล้องจุลทรรศน์มีก�าลังขยายเป็น 40x 100x และ 400x เมื่อใช้ไม้บรรทัดวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง ขัน้ ประเมิน
ที่ก�าลังขยายต�่า (40x) ได้ 2.5 มิลลิเมตร (2,500 ไมโครเมตร) อยากทราบว่าเส้นผ่านศูนย์กลาง ตรวจสอบผล
ของจอภาพเมื่อก�าลังขยายของเลนส์เป็น 100x และ 400x มีค่าเท่าใด
3. ถ้าน�าสาหร่ายหางกระรอกไปศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ทมี่ ขี นาดเส้นผ่านศูนย์กลางของจอภาพประมาณ 1. ครูตรวจสอบผลการท�าแบบทดสอบก่อนเรียน
2.0 มิลลิเมตร หรือ 2,000 ไมโครเมตร พบว่าเซลล์เรียงต่อกัน 10 เซลล์ จงค�านวณหาความยาวของเซลล์ 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบค�าถาม
สาหร่ายหางกระรอก 1 เซลล์ และการร่วมกันท�างาน
3. ครูวดั และประเมินการปฏิบตั กิ าร จากกิจกรรม
อภิปรายผลการทดลอง เรื่อง การศึกษาเซลล์ของสิ่งมีชีวิตด้วยกล้อง
จากกิจกรรม นักเรียนสามารถค�านวณหาก�าลังขยายของภาพจากกล้องจุลทรรศน์ โดยคิดจากผลคูณ
จุลทรรศน์ และเรื่อง การหาก�าลังขยายของ
ระหว่างก�าลังขยายของเลนส์ใกล้ตากับก�าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ และสามารถค�านวณหาขนาดของวัตถุ ภาพและขนาดของวัตถุจากกล้องจุลทรรศน์
หรือขนาดของภาพ โดยค�านวณจากก�าลังขยายของภาพ และสูตรการหาเส้นผ่านศูนย์กลางของภาพ 4. ครูตรวจสอบผลการท�าแบบฝกหัด
เซลล์ 81
ของสิ่งมีชีวิต
ระดับคะแนน
กําลังขยายของภาพ = 5 101,000 μm
4 3 2 1
ระดับคะแนน
× ลาดับที่ รายการประเมิน
ระดับคะแนน
1. การปฏิบัติการ
ทดลอง
ทาการทดลองตาม ทาการทดลองตาม ต้องให้ความช่วยเหลือ
ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ บ้างในการทาการ
ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ทดลอง และการใช้
ต้องให้ความช่วยเหลือ
อย่างมากในการทาการ
ทดลอง และการใช้
μm
4 3 2 1 ได้อย่างถูกต้อง
ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์ อุปกรณ์
1 การปฏิบัติการทดลอง
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ 2. ความ มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคล่องแคล่ว ทาการทดลองเสร็จไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ทันเวลา และทา
3 การนาเสนอ ในขณะ แต่ต้องได้รับคาแนะนา จึงทาการทดลองเสร็จ อุปกรณ์เสียหาย
รวม โดยไม่ต้องได้รับคา
10 μm
.............../................/................ และนาเสนอผล ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม ทดลองได้ถูกต้อง แต่ บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก
การทดลอง นาเสนอผลการทดลอง การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทดลอง สรุป และนาเสนอผล
เป็นขั้นตอนชัดเจน ทดลองยังไม่เป็น การทดลอง
ขั้นตอน
T93
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูนาํ สนทนาเกีย่ วกับกิจกรรม เรือ่ ง การศึกษา เซลลทุกชนิดมีโครงสราง 2. โครงสร้างของเซลล์ที่ศึกษาด้วย
เซลลของสิ่งมีชีวิตดวยกลองจุลทรรศนใชแสง พืน
้ ฐานใดบางทีเ่ หมือนกัน กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
ที่นักเรียนไดปฏิบัติไปแลว โดยอาจตั้งคําถาม
ใหนักเรียนรวมกันตอบ ดังนี้ เซลล์จะมีขนาด รูปร่าง และหน้าทีแ่ ตกต่างกัน แต่อย่างไร
ก็ตามเซลล์ทุกชนิดจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ส�าคัญ 3 ส่วน ได้แก่
ï• เมื่อศึกษาเซลลดวยกลองจุลทรรศนใชแสง
นิวเคลียส ไซโทพลาซึม และส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์
นักเรียนสังเกตเห็นโครงสรางใดบาง
(แนวตอบ นิวเคลียส ไซโทพลาซึม โครงสร้างของเซลล์สัตว์และเซลล์พืช
เยื่อหุมเซลล คลอโรพลาสต แวคิวโอล)
ï• กล อ งจุ ล ทรรศน ใ ช แ สงที่ ใ ช อ ยู ทั่ ว ไปใน
โรงเรียนมีกําลังขยายสูงสุดเทาใด
(แนวตอบ 1,000 เทา)
•ï หากใชกลองจุลทรรศนอิเล็กตรอนศึกษา
โครงสรางของเซลล นักเรียนคิดวาจะไดผล ไซโทพลาซึม
อยางไร มีส่วนประกอบที่ส�าคัญ 2 ส่วน
(แนวตอบ พบโครงสรางอืน่ ๆ ทีน่ อกเหนือจาก คือ ออร์แกเนลล์ (organelle)
และไซโทซอล (cytosol) ไลโซโซม : ขนส่งเอนไซม์ ไรโบโซม :
ที่สังเกตไดจากลองจุลทรรศนใชแสง และ แหล่งสร้างโปรตีน
เห็นรายละเอียดของโครงสรางตางๆ มากขึน้ )
โครงสร้าง
ของ
เซลล์สต
ั ว์
เอนโดพลำสมิกเรติคูลัม :
ผลิตและล�าเลียงสาร
เซนทริโอล : ท�าให้โครมาทิดแยกออก
จากกันในขณะที่มีการแบ่งเซลล์
ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์
เป็นโครงสร้างที่ห่อหุ้มไซโทพลาซึม และแสดงขอบเขต
ของเซลล์ ซึ่งได้แก่ ผนังเซลล์ และเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ : ห่อหุ้มเซลล์ และควบคุม
การผ่านเข้าออกของสาร
แนวตอบ Prior Knowledge ภาพที่ 3.8 โครงสร้างของเซลล์สัตว์และเซลล์พืช
82
สวนที่หอหุมเซลล ไซโทพลาซึม และ
นิวเคลียส
สื่อ Digital
ศึกษาเพิ่มเติมไดจาก QR Code เรื่อง เซลลพืช และเซลลสัตว
เซลลพืช เซลลสัตว
www.aksorn.com/interactive3D/RKA3E www.aksorn.com/interactive3D/RKA3F
T94
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
2. ให้นกั เรียนดูภาพโครงสร้างของเซลล์ในหนังสือ
ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 หรือจาก PowerPoint
นิวเคลียส
มีลักษณะเป็นทรงกลมอยู่ตรงกลางหรือค่อนไปข้างใดข้างหนึ่งของเซลล์
เมื่อย้อมสีจะติดสีเข้มทึบ โดยทั่วไปเซลล์จะมี 1 นิวเคลียส แต่บางเซลล์
อาจมีหลายนิวเคลียส
จากนั้ น ครู ตั้ ง ค� า ถามว่ า นั ก เรี ย นเห็ น
นิวเคลียส : ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ โครงสร้างใดบ้าง และคิดว่าโครงสร้างต่างๆ
ภายในเซลล์ มีหน้าที่อย่างไร
3. ครูเปดภาพยนตร์สารคดีสั้น TWIG เรื่อง เซลล์
คืออะไร https://www.twig-aksorn.com/
แวคิวโอล : ถุงบรรจุสาร
fifilm/what-is-a-cell-7924/ ให้นักเรียนดูเพื่อ
น�าเข้าสู่เนื้อหาในบทเรียน
T95
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ให้นักเรียนกลุ่มที่ศึกษาเรื่อง ผนังเซลล์ ออก 2.1 ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์
มาอธิบายให้เพือ่ นฟง จากนัน้ ครูตงั้ ค�าถามเพือ่ ส่วนทีห่ อ่ หุม้ เซลล์เป็นโครงสร้างทีห่ อ่ หุม้ ไซโทพลาซึม และแสดงขอบเขตของเซลล์ ซึง่ ได้แก่
ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนทัง้ ห้อง เช่น ผนังเซลล์ และเยื่อหุ้มเซลล์
•ï สามารถพบผนังเซลลไดในเซลลทุกชนิด 1. 1ผนังเซลล์ (cell wall) เป็นโครงสร้างทีอ่ ยูด่ า้ นนอกสุดของเซลล์พชื สาหร่าย โพรโทซัว
หรือไม อยางไร แบคทีเรีย และเห็ดรา ซึ่งท�าหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้แก่เซลล์และท�าให้เซลล์สามารถคงรูปร่าง
(แนวตอบ พบผนังเซลลไดในเซลลบางชนิด อยู่ได้ มิดเดิลลาเมลลา
ไดแก พืช สาหราย โพรโทซัว แบคทีเรีย (middle lamella)
และเห็ดรา) เป็นชั้นที่ท�าให้ผนังเซลล์เชื่อมติดกัน
เซลลูโลส ไมโครไฟบริล
ï• ผนังเซลลมีความสําคัญตอเซลลอยางไร (cellulose microfibril)
(แนวตอบ ผนังเซลลทําหนาที่ชวยเพิ่มความ เรียงตัวไขว้กันและยึดเข้าด้วยกันโดยเฮมิเซลลูโลส
แข็งแรงใหแกเซลล ทําใหเซลลคงรูปราง (hemicellulose)
อยูได) อาจมีสารอื่น ๆ เช่นเพกทิน (pectin)
ซูเบอริน (suberin) คิวทิน (cutin)
ï• พลาสโมเดสมาตา คืออะไร ลิกนิน (lignin) เป็นต้น สะสมอยู่ด้วย
ภาพที่ 3.9 โครงสร้างของผนังเซลล์
(แนวตอบ ชองเล็กๆ บนผนังเซลล ซึง่ เปนทาง
สําหรับใหไซโทพลาซึมของเซลลหนึ่งเชื่อม บางบริเวณของผนังเซลล์มีช่องเล็ก ๆ อยู่ ซึ่งเป็นทางส�าหรับให้ไซโทพลาซึมของเซลล์หนึ่ง
ตอกับไซโทพลาซึมของอีกเซลลหนึ่ง) เชื่อมต่อกับไซโทพลาซึมของอีกเซลล์หนึ่งที่อยู่ข้างเคียง โดยเรียกบริเวณนี้ว่า พลำสโมเดสมำตำ
(plasmodesmata)
ผนังเซลล์ของแบคทีเรียมักประกอบด้วยสารเพปทิโดไกลแคน (peptidoglycan) ซึง่ มีนา�้ ตาล
เอ็น - แอซิทิลกลูโคซามีน (N - acetyl glucosamine : NAG) และกรดเอ็น - แอซิทิลมิวรามิก
(N - acetylmuramic acid : NAM) ต่อเชื่อมกันเป็นแกนหลัก และในแบคทีเรียแกรมลบจะพบ
ลิโพพอลิแซ็กคาไรด์ (lipopolysaccharide : LPS)
ผนังเซลล์ของสาหร่ายสีน�้าตาลแกมเหลือง เช่น ไดอะตอม นอกจากมีเซลลูโลสแล้ว
ยังมีซิลิกา (silica) เป็นส่วนประกอบ ส่วนผนังเซลล์ของเห็ดราจะเป็นสารประกอบไคทิน (chitin)
ซึ่งเป็นสารประกอบชนิดเดียวกันกับเปลือกกุ้ง
เพปทิโดไกลแคน
ผนังเซลล์
เยื่อหุ้มเซลล์
ภาพที่ 3.10 ผนังเซลล์ของแบคทีเรียแกรมบวก
84
T96
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1
2. เยือ่ หุม้ เซลล์ (cell membrane) เป็นโครงสร้างทีพ่ บในเซลล์สงิ่ มีชวี ติ ทุกชนิด มีลกั ษณะ 2. ให้นกั เรียนกลุม่ ทีศ่ กึ ษาเรือ่ ง เยือ่ หุม้ เซลล์ ออก
เป็นเยื่อบาง ๆ ประกอบด้วยฟอสโฟลิพิด (phospholipid) และมีโมเลกุลของโปรตีนแทรกกระจาย มาอธิบายให้เพือ่ นฟง จากนัน้ ครูตงั้ ค�าถามเพือ่
อยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีคอเลสเตอรอล ไกลโคลิพิด และไกลโคโปรตีนเป็นส่วนประกอบด้วย ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนทัง้ ห้อง เช่น
เยื่อหุ้มเซลล์มีหน้าที่ห่อหุ้มไซโทพลาซึม แสดงขอบเขตของเซลล์และช่วยควบคุมการ • สามารถพบเยื่อหุมเซลลไดในเซลลทุกชนิด
เข้าออกของสารต่าง ๆ ระหว่างเซลล์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยมีคุณสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน หรือไม อยางไร
(semipermeable membrane) (แนวตอบ สามารถพบเยือ่ หุม เซลลไดในเซลล
ทุกชนิด)
ไกลโคลิพิด โปรตีน ไกลโคโปรตีน
(glycolipid) (protein) (glycoprotein)
ï• โครงสรางของเยื่อหุมเซลลมีลักษระอยางไร
ลิพิดที่จับกับคาร์โบไฮเดรต โปรตีนแทรกกระจายอยู่ โปรตีนที่จับกับคาร์โบไฮเดรต (แนวตอบ ประกอบดวยฟอสโฟลิพิด และมี
ทั่วไปในเยื่อหุ้มเซลล์ โมเลกุลโปรตีนแทรกกระจายอยู อีกทั้งยัง
ฟอสโฟลิพิด
(phospholipid)
มีคอเลสเตอรอล ไกลโคลิพิด และไกลโค-
เรียงตัว 2 ชัน้ หันด้านทีม่ ขี วั้ (polar head)
ซึง่ มีสมบัตชิ อบน�า้ ออกด้านนอก หันด้าน โปรตีนดวย)
ที่ไม่มีขั้ว (nonpolar tail) ซึ่งมีสมบัติ ï• เยื่อหุมเซลลมีความสําคัญตอเซลลอยางไร
ไม่ชอบน�้าเข้าด้านใน
คอเลสเตอรอล
( แนวตอบ เยื่ อ หุ ม เซลล ทํ า หน า ที่ แ สดง
(cholesterol) ขอบเขตของเซลล และควบคุมการเขาออก
อนุพันธ์ของลิพิด มีโครงสร้างแตกต่างจาก
ภาพที่ 3.11 โครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์ที่มีลักษณะการ ลิพิดทั่วไป แต่มีสมบัติคล้ายลิพิด ของสารตางๆ)
จัดเรียงตัวแบบฟลูอดิ โมเซอิกโมเดล (fluid mosaic model)
B iology
Focus ฟอสโฟลิพิด (phospholipid)
CH2 N+(CH2)3
ฟอสโฟลิพิดเป็นลิพิดที่จัดอยู่ในกลุ่ม CH2 โคลีน
O
ของลิพิดเชิงซ้อน ในโมเลกุลประกอบไปด้วย
สวนที่มีขั้ว
O P O ฟอสเฟต ไนโตรเจน
O ฟอสฟอรัส
กลีเซอรอล กรดไขมัน ฟอสเฟต และแอลกอฮอล์ CH2 CH CH2
กลีเซอรอล
ออกซิเจน
O O
ซึ่งเป็นส่วนประกอบส�าคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ที่ C OC O คำร์บอน
CH2 CH2
พบได้ทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ ไฮโดรเจน
สวนที่ไมมีขั้ว
CH2 CH2
กรดไขมัน
เมือ่ เรียงตัว 2 ชัน้ (bilayer) ฟอสโฟลิพดิ CH
CH
จะหันด้านที่มีขั้ว คือ ส่วนที่เป็นหมู่ฟอสเฟต CH2
CH2
และสารประกอบไนโตรเจนทีม่ ปี ระจุออกจากกัน CH3 CH3
ส่วนด้านทีไ่ ม่มขี วั้ คือ กรดไขมัน จะหันเข้าหากัน ภาพที่ 3.12 โครงสร้างของฟอสโพลิพิดชนิด
ฟอสฟาทิลิลโคลีน
เซลล์ 85
ของสิ่งมีชีวิต
T97
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. ให้นักเรียนที่ศึกษาเรื่อง ร่างแหเอนโดพลาซึม 2.2 ไซโทพลาซึม
ออกมาอธิบายให้เพื่อนฟง จากนั้นให้ครูตั้ง ไซโทพลำซึม (cytoplasm) เป็นของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ มีลักษณะข้นและโปร่งแสง
ค�าถามเพือ่ ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน ประกอบด้วยน�้าและสารอื่น เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และสารอนินทรีย์ที่ละลายน�้า
ทั้งห้อง เช่น มีหน้าที่เป็นแหล่งเก็บสะสมวัตถุดิบที่จะใช้ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีของเซลล์ เป็นบริเวณที่เกิด
ï• รางแหเอนโดพลาซึมมีลักษณะอยางไร การสังเคราะห์สาร และขับถ่ายของเสียของเซลล์ ซึ่งไซโทพลาซึม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
(แนวตอบ ลักษณะเปนทอแบนที่มีบางสวน • เอกโทพลำซึม (ectoplasm) เป็นไซโทพลาซึมที่อยู่บริเวณด้านนอกติดกับเยื่อหุ้มเซลล์
โปงออกเปนถุง แตละทอเรียงซอนกันเปน มีลักษณะค่อนข้างหนืดซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีออร์แกเนลล์อยู่
• เอนโดพลำซึม (endoplasm) เป็นไซโทพลาซึมที่อยู่ด้านในใกล้กับนิวเคลียส มีลักษณะ
ชั้นๆ และเชื่อมตอกัน อีกทั้งยังเชื่อมตอกับ
ค่อนข้างเหลว เป็นบริเวณที่มีออร์แกเนลล์และอนุภาคของสารต่าง ๆ อยู่มาก จึงเป็นบริเวณที่มี
เยื่อหุมนิวเคลียสดวย) การเกิดปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ของเซลล์
ï• รางแหเอนโดพลาซึมแบบผิวขรุขระกับแบบ ไซโทพลาซึมมีส่วนประกอบส�าคัญ 2 ส่วน คือ ออร์แกเนลล์ (organelle) และไซโทซอล
ผิวเรียบมีความแตกตางกันอยางไร (cytosol)
(แนวตอบ รางแหเอนโดพลาซึมแบบผิวขรุขระ ออร์แกเนลล์ต่าง ๆ จะกระจายอยู่ทั่วไปในไซโทพลาซึม ซึ่งแต่ละชนิดมีโครงสร้างและหน้าที่
จะมีไรโบโซมเกาะอยู มีหนาที่สังเคราะห แตกต่างกัน
โปรตีน สวนแบบผิวเรียบจะไมมีไรโบโซม 1. รำงแหเอนโดพลำซึม (endoplasmic reticulum: ER) ท�าหน้าที่เสมือนกับโรงงาน
เกาะอยู ทําหนาที่สังเคราะหสารพวกไขมัน ผลิตและล�าเลียงสารภายในเซลล์ ประกอบด้วยโครงสร้างทีเ่ ป็นท่อแบนและมีบางส่วนโป่งพองออก
และสเตอรอยดฮอรโมน) เป็นถุง ซึ่งแต่ละท่อจะเรียงขนานซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และเชื่อมต่อกัน อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับเยื่อหุ้ม
นิวเคลียสด้วย ซึ่งร่างแหเอนโดพลาซึมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ร่างแหเอนโดพลาซึมแบบ
ผิวขรุขระ (rough endoplasmic reticulum: RER) และร่างแหเอนโดพลาซึมแบบผิวเรียบ (smooth
endoplasmic reticulum: SER)
ร่างแหเอนโดพลาซึมแบบผิวขรุขระ (RER)
บริเวณที่มีไรโบโซมเกาะอยู่ที่ผิว มีหน้าที่สังเคราะห์โปรตีน โดยโปรตีนที่สังเคราะห์ขึ้นจะบรรจุอยู่ในเวสิเคิล แล้ว
ถูกส่งไปยังกอลจิคอมเพล็กซ์ จากนั้นจะล�าเลียงไปนอกเซลล์ หรือไปเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ตัวอย่าง
เซลล์ที่มี RER อยู่มาก เช่น เซลล์ตับอ่อน
ร่างแหเอนโดพลาซึม
แบบผิวเรียบ (SER)
บริเวณที่ไม่มีไรโบโซมเกาะอยู่ที่ผิว
มีหน้าทีส่ งั เคราะห์สารพวกไขมัน และ
สเตอรอยด์ฮอร์โมน พบมากในเซลล์
ทีม่ กี ารสังเคราะห์สเตอรอยด์ฮอร์โมน
เช่น เลย์ดิกเซลล์ (Leydig’s cell)
นอกจากนี้ SER ในเซลล์ตับ ยังช่วย
ก�าจัดสารพิษบางชนิดด้วย
86 ภาพที่ 3.13 ร่างแหเอนโดพลาซึมแบบผิวขรุขระ
T98
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2. ไรโบโซม (ribosome) เป็นออร์แกเนลล์ขนาดเล็กที่ไม่มีเยื่อหุ้ม ซึ่งกระจายตัวอยู่ 4. ให้นักเรียนกลุ่มที่ศึกษาเรื่อง ไรโบโซม ออกมา
อย่างอิสระในไซโทพลาซึม หรือเกาะอยูบ่ นร่างแหเอนโดพลาซึม โดยไรโบโซมทีอ่ ยูใ่ นไซโทพลาซึม อธิบายให้เพื่อนฟง จากนั้นครูตั้งค�าถามเพื่อ
จะสร้างโปรตีนส�าหรับใช้ภายในเซลล์ ส่วนไรโบโซมที่เกาะอยู่ที่ร่างแหเอนโดพลาซึมจะสร้าง ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนทัง้ ห้อง เช่น
โปรตีนและเอนไซม์ทจี่ ะน�าไปใช้ภายนอกเซลล์ หรือบริเวณเยือ่ หุม้ เซลล์และบริเวณออร์แกเนลต่าง ๆ ï• พบไรโบโซมไดในบริเวณใดของเซลล
ไรโบโซมประกอบด้วยสารเคมี 2 ชนิด คือ โปรตีนและกรดไรโบนิวคลีอิก (ribonucleic (แนวตอบ พบกระจายตัวอยูอยางอิสระใน
acid: RNA) ซึ่งไรโบโซมแต่ละหน่วยประกอบด้วย 2 หน่วยย่อย (subunit) ที่สามารถจะแยกขนาด 1 ไซโทพลาซึม และบนรางแหเอนโดพลาซึม)
ออกจากกันได้จากอัตราการตกตะกอนของการหมุนเหวี่ยง เมื่อน�าเข้าเครื่องหมุนเหวี่ยงโดยการ •ï ไรโบโซมมีความสําคัญตอเซลลอยางไร
ใช้ความเร็วที่ 60S และ 40S (S คือ Svedberg unit of sedimentation coefficient) โดยหน่วยย่อย (แนวตอบ ไรโบโซมทําหนาที่สรางโปรตีน
ทัง้ สองหน่วยนีจ้ ะรวมกันเป็นหน่วยใหญ่ในขณะทีม่ กี ารสังเคราะห์โปรตีน ซึง่ ไรโบโซมทีพ่ บในเซลล์ สําหรับใชภายในเซลล และภายนอกเซลล)
ยูแคริโอต มีขนาดตามค่าความเร็วในการตกตะกอนเป็น 80S ส่วนในเซลล์โพรแคริโอต ไรโบโซม 5. ให้นกั เรียนกลุม่ ทีศ่ กึ ษาเรือ่ ง กอลจิคอมเพล็กซ์
จะมีขนาดเล็กกว่า คือ ขนาด 50S และ 30S ซึ่งเมื่อรวมกันจะได้เป็น 70S ออกมาอธิบายให้เพือ่ นฟง จากนัน้ ครูตงั้ ค�าถาม
เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนทั้งห้อง
ï• กอลจิคอมเพล็กซมีลักษณะอยางไร
(แนวตอบ ลักษณะเปนถุงกลมแบนขนาดใหญ
ที่บริเวณขอบจะโปงออก เรียกวา เวสิเคิล
แตละถุงจะเรียงซอนกันเปนชั้นๆ เรียกวา
ภาพที่ 3.14 ไรโบโซมประกอบขึ้นจาก 2 หน่วยย่อยรวมกัน
ซีสเทอรนา)
ï• กอลจิคอมเพล็กซกับรางแหเอนโดพลาซึม
มีความสัมพันธกันอยางไร
3. กอลจิคอมเพล็กซ์ (Golgi complex) หรือกอลจิบอดี (Golgi body) หรือกอลจิ- (แนวตอบ กอลจิคอมเพล็กซทาํ หนาทีจ่ าํ แนก
แอพพาราตัส (Golgi apparatus) หรือดิกไทโอโซม (dictyosome) ลักษณะเป็นถุงกลมแบนขนาดใหญ่ สารที่ผลิตจากรางแหเอนโดพลาซึม บรรจุ
ที่บริเวณขอบจะโป่งพอง เรียกว่า เวสิเคิล (vesicle) โดยแต่ละถุงนั้นจะเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ สารไว ใ นเวสิ เ คิ ล แล ว จั ด ส ง ไปยั ง บริ เ วณ
เรียกว่า ซิสเทอร์นา (cisterna) ซึง่ กอลจิคอมเพล็กซ์จะพบอยูใ่ นบริเวณใกล้เคียงกับร่างแหเอนโดพลาซึม ตางๆ ของเซลลหรือภายนอกเซลล และ
เนื่องจากออร์แกเนลล์ทั้งสองชนิดนี้ท�างานประสานกัน จั ด การกั บ เวสิ เ คิ ล ที่ ถู ก ส ง มาจากบริ เ วณ
กอลจิ ค อมเพล็ ก ซ์ ท� า หน้ า ที่ จั ด จ� า แนกสารต่ า ง ๆ เยื่อหุมเซลลเพื่อยอยสลายโดยไลโซโซม)
ที่ผลิตจากร่างแหเอนโดพลาซึม บรรจุไว้ในเวสิเคิลส�าหรับจัด
ส่งไปยังบริเวณต่าง ๆ ของเซลล์หรือภายนอกเซลล์ และจัดการ
กับเวสิเคิลทีส่ ง่ มาจากบริเวณเยือ่ หุม้ เซลล์หรือบริเวณอืน่ ๆ เพือ่
ย่อยสลายโดยไลโซโซม ทั้งนี้เพื่อน�าสารที่มีประโยชน์กลับ ภาพที่ 3.15 กอลจิคอมเพล็กซ์
เป็นแหล่งรวบรวม บรรจุ และ
มาใช้ใหม่ ขนส่งสาร
เซลล์ 87
ของสิ่งมีชีวิต
T99
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
6. ให้นกั เรียนกลุม่ ทีศ่ กึ ษาเรือ่ ง ไลโซโซม ออกมา 4. ไลโซโซม (lysosome) เป็นเวสิเคิลที่สร้างมาจากกอลจิคอมเพล็กซ์ ภายในมีเอนไซม์
อธิบายให้เพื่อนฟง จากนั้นครูตั้งค�าถามเพื่อ มากกว่า 50 ชนิด ท�าหน้าที่ย่อยสารและสลายโครงสร้างของเซลล์เมื่อเซลล์ตาย พบได้เฉพาะ
ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนทัง้ ห้อง เช่น ในเซลล์สัตว์เท่านั้น (ยกเว้นในเซลล์เม็ดเลือดแดง) มีลักษณะเป็นถุงกลมหรือกลมรี พบมากใน
• ไลโซโซมมีลักษณะอยางไร ฟาโกไซทิกเซลล์ (phagocytic cell) เซลล์เม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล (neutrophil) และเซลล์ในระบบ
( แนวตอบ ลั ก ษณะเป น ถุ ง กลมหรื อ กลมรี เรติคูโลเอนโดทีเลียม (reticuloendothelial system) เช่น ตับ ม้าม เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบ
สรางมาจากกอลจิคอมเพล็กซ) ไลโซโซมจ�านวนมากในเซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีการสลายตัวเอง เช่น เซลล์ส่วนหางลูกออด
• ไลโซโซมมีความสําคัญตอเซลลอยางไร เป็นต้น
(แนวตอบ ไลโซโซมทําหนาที่ยอยสารและ
สลายโครงสรางของเซลลเมื่อเซลลตาย) หน้าทีส
่ า� คัญของไลโซโซม
ไลโซโซม
(Lysosome)
สร้างจากกอลจิคอมเพล็กซ์
ไมโทคอนเดรียที่
เสื่อมสภาพ
เอนไซม์ในไลโซโซม
เอนไซม์ในไลโซโซมก�าลัง
ย่อยสลายไมโทคอนเดรีย
ที่เสื่อมสภาพ
ภาพที่ 3.16 ไลโซโซมที่สร้างจากกอลจิคอมเพล็กซ์ก�าลังย่อยสลายไมโทคอนเดรียที่เสื่อมสภาพ
88
T100
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1 7. ใหนกั เรียนกลุม ทีศ่ กึ ษาเรือ่ ง แวคิวโอล ออกมา
5. แวคิวโอล (vacuole) มีลักษณะเป็นถุงที่มีเยื่อหุ้มชั้นเดียว เรียกว่า โทโนพลำสต์
(tonoplast) และภายในจะมีสารต่าง ๆ บรรจุอยู่ โดยแวคิวโอล มีหลายชนิดเพื่อท�าหน้าที่ต่างกัน อธิบายใหเพื่อนฟง จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อ
ตัวอย่างเช่น ตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนทัง้ หอง เชน
ï• แวคิวโอลมีลักษณะอยางไร
แซบแวคิวโอล
(sap vacuole) (แนวตอบ ลักษณะเปนถุงทีม่ เี ยือ่ หุม ชัน้ เดียว)
พบได้เฉพาะในเซลล์พืชเท่านั้น โดยในเซลล์พืชที่อายุ ï• จงอธิ บ ายความแตกต า งของแวคิ ว โอล
น้อยจะมีแซบแวคิวโอลขนาดเล็กอยู่จ�านวนมาก แต่เมื่อ แตละชนิด
เซลล์มอี ายุมากขึน้ แวคิวโอลจะรวมตัวกันจนมีขนาดใหญ่
เกือบเต็มเซลล์ ซึ่งท�าหน้าที่สะสมสารต่าง ๆ เช่น สารสี (แนวตอบ
ไอออน น�้าตาล สารพิษ เป็นต้น แซบแวคิวโอล พบเฉพาะในเซลลพชื ทํา
คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล หนาที่สะสมสารตางๆ เชน สารสี ไอออน
ภาพที่ 3.17 แซบแวคิวโอลในเซลล์พืชมีขนาดใหญ่
ท�าให้นิวเคลียสไปอยู่ด้านข้างของเซลล์ (contractile vacuole) คอนแทร็กไทลแวคิวโอล พบในโพรโทซัว
พบในโพรโทซัวน�า้ จืดหลายชนิด เช่น อะมีบา พารามีเซียม
ซึ่งท�าหน้าที่รักษาสมดุลน�้าในเซลล์ และก�าจัดของเสียที่ นํ้าจืดหลายชนิด เชน อะมีบา พารามีเซียม
ละลายน�้าออกจากเซลล์ ทําหนาที่รักษาสมดุลนํ้าและกําจัดของเสีย
ออกจากเซลล
ฟูดแวคิวโอล
1 (food vacuole) ฟู ด แวคิ ว โอล พบในโพรโทซั ว พวก
พบในโพรโทซัวพวกอะมีบาและพารามีเซียม นอกจากนี้ อะมี บ าและพารามี เ ซี ย ม อี ก ทั้ ง ยั ง พบใน
ยั ง พบในเซลล์ เ ม็ ด เลื อ ดขาวและฟาโกไซทิ ก เซลล์
(phagocytic cell) ชนิดอื่น ๆ ด้วย ซึ่งฟูดแวคิวโอล เซลล เ ม็ ด เลื อ ดขาวและฟาโกไซติ ก เซลล
เกิดจากการน�าอาหารเข้าสู่เซลล์โดยการใช้เท้าเทียม ภายในฟูดแวคิวโอลมีอาหารอยู ซึ่งจะถูก
ภาพที่ 3.18 ฟูดเวคิวโอล และคอนแทร็กไทล์แวคิวโอล (pseudopodium) ซึง่ เรียกการกินแบบนีว้ า่ ฟาโกไซโทซิส
ในพารามีเซียม ยอยโดยเอนไซมจากไลโซโซม)
(phagocytosis) แล้วอาหารจะถูกย่อยโดยเอนไซม์จาก
ไลโซโซม
2
6. ไมโทคอนเดรีย (mitochondria) เป็นแหล่งสร้างพลังงานในเซลล์ มี DNA ของตัวเอง
เป็นโครงสร้างเกลียวคู่รูปวงแหวน ส่วนใหญ่มีการสืบทอดพันธุกรรมจากแม่สู่ลูก ไมโทคอนเดรีย
มีรูปร่างหลายแบบขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์ โดยในเซลล์ต่อมหมวกไตจะมีรูปร่างกลม ในเซลล์ตับ
จะมีรูปร่างเป็นแท่งสั้น ๆ ส่วนในเซลล์บุผิวของล�าไส้เล็กจะมีรูปร่างค่อนข้างยาว
ไมโทคอนเดรียโดยทั่วไปจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 0.5 -1 ไมครอน ยาว
ประมาณ 5 -7 ไมครอน มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น (double unit membrane) เยื่อชั้นนอก (outer membrane)
มีลักษณะผิวเรียบ ท�าหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสาร ส่วนเยื่อชั้นใน (inner membrane)
จะพับทบไปมายื่นเข้าไปด้านใน เรียกว่า คริสตี (cristae) เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวส�าหรับเป็นแหล่งสร้าง
พลังงาน
เซลล์ 89
ของสิ่งมีชีวิต
T101
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
8. ให้นักเรียนกลุ่มที่ศึกษาเรื่อง ไมโทคอนเดรีย ภายในไมโทคอนเดรียมีของเหลว เรียกว่า เมทริกซ์ (matrix) ซึ่งมีสารประกอบเคมี
ออกมาอธิบายให้เพือ่ นฟง จากนัน้ ครูตงั้ ค�าถาม และเอนไซม์ที่ส�าคัญหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์พลังงาน
เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนทั้งห้อง ในกระบวนการหายใจระดับเซลล์ และกระบวนการจ�าลองตัวของไมโทคอนเดรีย
ï•ï ไมโทคอนเดรียมีลักษณะอยางไร เซลล์แต่ละชนิดนั้นจะมีจ�านวนไมโทคอนเดรียไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับชนิดและกิจกรรม
(แนวตอบ มีรปู รางหลายแบบ มีเยือ่ หุม 2 ชัน้ ของเซลล์ โดยเซลล์ทมี่ กี ระบวนการเมแทบอลิซมึ สูงจะมีไมโทคอนเดรียจ�านวนมาก เช่น เซลล์ตบั
โดยชั้นนอกผิวเรียบ ทําหนาที่ควบคุมการ เซลล์กล้ามเนือ้ หัวใจ เซลล์ไต เป็นต้น ส่วนเซลล์ทมี่ กี ระบวนการเมแทบอลิซมึ ต�า่ จะมีไมโทคอนเดรีย
ผานเขาออกของสาร สวนชั้นพับทบไปมา จ�านวนน้อย เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อเกี่ยวพัน เป็นต้น
ยื่นเขาดานในเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสําหรับสราง เยื่อหุ้มชั้นนอก (outer membrane)
พลังงาน) มีผวิ เรียบ ท�าหน้าทีค่ วบคุมการผ่านเข้าออก
ของสาร
ï•ï ไมโทคอนเดรียมีความสําคัญตอเซลล
อยางไร เยื่อหุ้มชั้นใน (inner membrane)
(แนวตอบ ไมโทคอนเดรียทําหนาทีเ่ ปนแหลง พับทบไปมายื่นเข้าด้านใน เพื่อเพิ่มพื้นที่
ผิวส�าหรับสร้างพลังงาน
สรางพลังงานของเซลล)
เมทริกซ์ (matrix)
ของเหลวภายในไมโทคอนเดรีย ซึ่งมี
สารประกอบเคมีและเอนไซม์หลายชนิด
B iology
Focus ไมโทคอนเดรีย
เบสอะดีนีน
NH2 ไมโทคอนเดรียท�าหน้าที่สร้างสารให้พลังงานสูงซึ่งก็คือ
N
C
C N ATP (adenosine triphosphate) โดยปฏิกริ ยิ าการสร้าง ATP ใน
C N
H C C
N
ไมโทคอนเดรียนัน้ แยกเป็น 2 ส่วน คือ บริเวณเยือ่ หุม้ ด้านนอกจะ
O O O N
-O P O P O P O CH
2
O ท�าหน้าทีเ่ กีย่ วกับการสร้างสารประกอบฟอสโฟลิพดิ ส่วนเยือ่ หุม้
O- O-
หมู่ฟอสเฟต
O- C
H
H H
C
H
ด้านในนั้นจะมีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ ATP และ
C C
OH OH
ภายในเมทริกซ์มขี องเหลวทีท่ า� หน้าทีเ่ ป็นเอนไซม์ ซึง่ เกีย่ วข้อง
น�้าตาลไรโบส กับปฏิกิริยาเคมีในวัฏจักรเครบส์
ภาพที่ 3.20 โครงสร้างของ ATP
90
T102
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
7. พลำสติด (plastid) เป็นออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น (double membrane) 9. ใหนกั เรียนกลุม ทีศ่ กึ ษาเรือ่ ง พลาสติด ออกมา
พบในเซลล์พืชและโพรทิสต์บางชนิด ท�าหน้าที่สังเคราะห์สารบางชนิดและเป็นที่เก็บเม็ดสีหรือ อธิบายใหเพื่อนฟง จากนั้นครูตั้งคําถามเพื่อ
รงควัตถุ ซึ่งภายในพลาสติดมีรงควัตถุต่างกัน จ�าแนกได้ 3 ชนิด ดังนี้ ตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนทัง้ หอง เชน
1) คลอโรพลำสต์ (chloroplast) เป็นพลาสติดที่มีสีเขียว มีสารสี คือ คลอโรฟิลล์ ï• พลาสติดมีลักษณะอยางไร และมีหนาที่
(chlorophyll) เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ มี DNA รูปวงแหวน มี RNA และไรโบโซมจึงสามารถ อยางไร
แบ่งตัวได้ คลอโรพลาสต์ทา� หน้าทีส่ ร้างอาหารให้แก่เซลล์พชื และโพรทิสต์บางชนิดจากกระบวนการ (แนวตอบ มีเยือ่ หุม 2 ชัน้ พบในเซลลพชื และ
สังเคราะห์ดว้ ยแสง ภายในมีโครงสร้างทีม่ ลี กั ษณะคล้ายถุงแบน ๆ เรียกว่า ไทลำคอยด์ (thylakoid) โพรทิสตบางชนิด ทําหนาที่สังเคราะหสาร
บนไทลาคอยด์มสี ารสีทใี่ ช้ในกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ซึง่ ไทลาคอยด์จะเรียงซ้อนกันเป็นตัง้ ๆ บางชนิดและเปนทีเ่ ก็บเม็ดสีหรือรงควัตถุ)
เรียกว่า กรานุม (granum พหูพจน์ grana) และบริเวณรอบ ๆ ไทลาคอยด์จะมีของเหลว เรียกว่า ï• จงอธิบายความแตกตางของพลาสติก
สโตรมำ (stroma) ซึ่งมีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงอยู่ แตละชนิด
กรานุม (granum) (แนวตอบ
ไทลาคอยด์ที่เรียงซ้อนกันเป็นตั้ง
เยื่อหุ้มชั้นนอก คลอโรพลาสต มีสีเขียว มีสารสี คือ
(outer membrane)
คลอโรฟลล ทําหนาที่สรางอาหารใหแกพืช
และโพรทิสตบางชนิดไดจากการบวนการ
เยื่อหุ้มชั้นใน สังเคราะหดว ยแสง
(inner membrane)
ไทลาคอยด์ (thylakoid)
โครโมพลาสต ทําหนาทีส่ งั เคราะหและ
ลักษณะเป็นถุงแบน ๆ สะสมสารสี เชน แคโรทีนอยด แซนโทฟลล
สโตรมา (stroma) มีเยื่อหุ้ม มีสารสีที่ใช้ใน
ของเหลวที่อยู่รอบ ๆ ซึง่ ทําใหสว นตางๆ ของพืชมีสสี นั ตางกัน
กระบวนการสังเคราะห์
ไทลาคอยด์ ด้วยแสง ลิวโคพลาสต ไมมสี ี ทําหนาทีเ่ ก็บสะสม
ภาพที่ 3.21 คลอโรพาสต์ท�าหน้าที่สร้างอาหารให้แก่เซลล์ แปงทีไ่ ดจากกระบวนการสังเคราะหดว ยแสง
2) โครโมพลำสต์ (chromoplast) เป็นพลาสติดที่ท�าหน้าที่สังเคราะห์และสะสมสารสี พบในเซลลรากทีม่ กี ารสะสมอาหาร เชน มัน
เช่น แคโรทีนอยด์ จะให้สสี ม้ และแดง แซนโทฟิลล์ (xanthophyll) จะให้สเี หลืองน�า้ ตาล ซึง่ ท�าให้ราก เผือก แหว)
ใบ ดอก ผลของพืชมีสีสันต่าง ๆ โดยโครโมพลาสต์พบมากในผลไม้สุก เช่น มะละกอ มะเขือเทศ ï• จงอธิบายโครงสรางของคลอโรพลาสต
กลีบดอกของดอกไม้ เป็นต้น (แนวตอบ ภายในคลอโรพลาสตมีลักษณะ
3) ลิวโคพลำสต์ (leucoplast) เป็นพลาสติดที่ไม่มีสี มีหน้าที่สะสมเม็ดแป้งที่ได้จากการ คลายถุงแบนๆ เรียกวา ไทลาคอยด ซึ่ง
สังเคราะห์ด้วยแสง พบในเซลล์ของรากพืชที่มีการสะสมอาหาร เช่น มัน เผือก แห้ว หัวไชเท้า ไทลาคอยดเรียงซอนกันเปนตั้งๆ เรียกวา
ถั่วงอก เป็นต้น กรานุม บริเวณรอบไทลาคอยดมีของเหลว
พลาสติดทุกชนิดพัฒนามาจากโปรโตพลาสติด (protoplastid) และสามารถเปลี่ยน เรียกวา สโตมา)
จากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งได้
เซลล์ 91
ของสิ่งมีชีวิต
T103
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
10. ให้นกั เรียนกลุม่ ทีศ่ กึ ษาเรือ่ ง เซนทริโอล ออกมา 8. เซนทริโอล (centriole) มีลักษณะคล้ายกับท่อทรง
อธิบายให้เพื่อนฟง จากนั้นครูตั้งค�าถามเพื่อ กระบอก 2 อัน วางตั้งฉากกัน แต่ละอันประกอบด้วยชุดของ
ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนทัง้ ห้อง เช่น ไมโครทิวบูล (microtubule) ซึ่งเป็นหลอดเล็ก ๆ 9 ชุด แต่ละชุด
ï•ï เซนทริโอลมีลักษณะอยางไร มี 3 ท่อ พบในเซลล์ยแู คริโอต ยกเว้นในพวกเชือ้ ราและพืชชัน้ สูง
(แนวตอบ ลักษณะคลายทอทรงกระบอก 2 อัน เซนทริโอลอยู่ในไซโทพลาซึมในบริเวณที่เรียกว่า
วางตัง้ ฉากกัน ทอแตละอันประกอบดวยชุด เซนโทรโซม (centrosome) ซึง่ จะเพิม่ ปริมาณเป็น 2 ชุด ก่อนการ
ของไมโครทูบลู 9 ชุด แตละชุดมี 3 ทอ) แบ่งเซลล์ และเคลือ่ นทีไ่ ปอยูต่ รงข้ามกัน โดยเซนทริโอลแต่ละอัน
ï•ï เซนทริโอลมีความสําคัญตอเซลลอยางไร เป็นต้นก�าเนิดของกลุม่ ไมโครทิวบูลปริมาณมาก เรียกว่า เส้นใย
ภาพที่ 3.22 เซนทริโอลท�าหน้าที่ สปินเดิล ซึ่งท�าหน้าที่แยกโครมาทิดออกจากกันในระหว่างการ
(แนวตอบ เซนทริโอลทําหนาที่สรางเสนใย เกีย่ วข้องกับการเเบ่งเซลล์ในเซลล์
สปนเดิล ซึง่ จะแยกโครมทิดออกจากกันใน สัตว์และโพรทิสต์บางชนิด แบ่งเซลล์
ระหวางการแบงเซลล) 9. ไซโทสเกเลตอน (cytoskeleton) มีลกั ษณะเป็นเส้นใยโปรตีนทีเ่ ชือ่ มโยงกันเป็นร่างแห
ท�าหน้าที่ค�้าจุนเซลล์ ซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นโครงกระดูกของเซลล์ โดยเป็นที่ยึดเกาะของออร์แกเนลล์
ให้คงอยู่ในต�าแหน่งต่าง ๆ และยังท�าหน้าที่ล�าเลียงออร์แกเนลล์ให้เคลื่อนที่ภายในเซลล์ ที่เรียกว่า
ไซโคลซิส (cyclosis)
เยื้อหุ้มเซลล์
ไรโบโซม
ร่างแหเอนโดพลาซึม
92
T104
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
ไซโทสเกเลตอนแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ตามชนิดของหน่วยย่อยทีเ่ ป็นองค์ประกอบ ดังนี้ 11. ให้นักเรียนกลุ่มที่ศึกษาเรื่อง ไซโทสเกเลตอน
1) ไมโครฟิลำเมนท์ (microfilament) เป็นเส้นใยโปรตีนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ออกมาอธิ บ ายให้ เ พื่ อ นฟ ง จากนั้ น ครู
ประมาณ 7 นาโนเมตร เกิดจากโปรตีนแอกทิน (actin) ต่อกันเป็นสาย 2 สาย พันและบิดตัว ตั้ ง ค� า ถามเพื่ อ ตรวจสอบความเข้ า ใจของ
เป็นเกลียวคล้ายกับสายสร้อยไข่มุก จึงเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า แอกทินฟิลำเมนท์ (actin นักเรียนทั้งห้อง เช่น
filament) ซึ่งท�าหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของเซลล์ เช่น อะมีบา (amoeboid movement) ï•ï ไซโทสเกเลตอนมีลักษณะอยางไร
เซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งกินแบคทีเรียแบบฟาโกไซโทซิส เป็นต้น นอกจากนี้ยังท�าหน้าที่ค�้าจุน (แนวตอบ ลักษณะเปนเสนใยโปรตีนที่เชื่อม
โครงสร้างของเซลล์ โดยพบได้ในไมโครวิลไล ( microvilli) ที่เป็นส่วนหนึ่งของเซลล์เยื่อบุผิว โยงกันเปนรางแห)
ในล�าไส้เล็ก และช่วยในการแบ่งไซโทพลาสซึมในกระบวนการแบ่งเซลล์ ï•ï ไซโทสเกเลตอนมี ค วามสํ า คั ญ ต อ เซลล
2) ไมโครทิวบูล (microtubule) เกิดจากโปรตีนทิวบูลิน (tubulin) เรียงต่อกันเป็นสาย อยางไร
มีลกั ษณะเป็นท่อกลวง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 นาโนเมตร เป็นโครงสร้างของเส้นใย (แนวตอบ ไซโทสเกเลตอนทําหนาที่คํ้าจุน
สปินเดิล เป็นส่วนประกอบของขนเซลล์ แส้เซลล์ นอกจากนี้ยังท�าหน้าที่ล�าเลียงออร์แกเนลล์ เซลล เปนที่ยึดเกาะของออรแกเนลล และ
ภายในเซลล์ด้วย ลําเลียงออรแกเนลลใหเคลือ่ นทีภ่ ายในเซลล)
3) อินเทอร์มเี ดียทฟิลำเมนท์ (intermediate filaments) เป็นเส้นใยทีป่ ระกอบด้วยโปรตีนที่
มีลกั ษณะเป็นเส้นหลายหน่วย ซึง่ เรียงตัวเป็นสายยาว 8 ชุด ชุดละ 4 สาย พันบิดกันเป็นเกลียว มีขนาด
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 81-10 นาโนเมตร จัดเรียงตัวเป็นร่างแหตามลักษณะรูปร่างของเซลล์
ตัวอย่างเช่น โปรตีนเคอราทิน (keratin) ที่พบมากในผม ขน และเล็บของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม
ไซโทสเกเลตอนที่พบในบางเซลล์จะมีีการเรียงตัวเป็นระเบียบ คงรูปเป็นเส้นหรือท่อ
ตลอดเวลา เช่น ไมโครฟิลาเมนท์ในเซลล์กล้ามเนื้อโครงร่าง ไมโครทิวบูลที่เป็นแกนซิเลียและ
แฟลกเจลลัม แต่ไซโทสเกเลตอนในเซลล์ทวั่ ไป พบว่าไมโครฟิลาเมนท์และไมโครทิวบูลจะเรียงตัว
ไม่เป็นระเบียบ อีกทั้งยังมีการสลายและสร้างใหม่ได้ตลอดเวลา
B iology
Focus ไซโทซอล
ไซโทซอล (cytosol) เป็นส่วนของของเหลวในไซโทพลาซึม
ที่ไม่รวมออร์แกเนลล์ หรือน�าออร์แกเนลล์ออกไปแล้ว มีลักษณะ
กึ่งแข็งกึ่งเหลว มีอยู่ประมาณร้อยละ 50 - 60 ของปริมาตรเซลล์
ทั้งหมด และเซลล์ส่วนใหญ่มักมีปริมาตรของไซโทซอลเป็น 3 เท่า
ของปริมาตรนิวเคลียส
ภาพที่ 3.24
เซลล์ 93
ของสิ่งมีชีวิต
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
12. ใหนักเรียนกลุมที่ศึกษาเรื่อง นิวเคลียส ออก 2.3 นิวเคลียส
มาอธิบายใหเพื่อนฟง จากนั้นครูตั้งคําถาม นิวเคลียส (nucleus) มีลักษณะเป็นทรงกลมอยู่บริเวณกลางเซลล์ หรือค่อนไปทางข้างใด
เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนทัง้ หอง ข้างหนึ่งของเซลล์ เมื่อย้อมสีจะติดสีเข้มทึบ โดยทั่วไปแล้วเซลล์จะมี 1 นิวเคลียส แต่บางเซลล์
เชน อาจมีหลายนิวเคลียส เช่น เซลล์พารามีเซียมจะมี 2 นิวเคลียส เซลล์กล้ามเนื้อลาย เซลล์ของ
ï•ï นิวเคลียสมีความสําคัญตอเซลลอยางไร เวสเซลในพืชและเซลล์ราทีเ่ ส้นใยไม่มผี นังกัน้ จะมีหลายนิวเคลียส เป็นต้น นอกจากนีย้ งั พบว่า เซลล์
( แนวตอบ นิ ว เคลี ย สเป น ที่ อ ยู ข องสาร เม็ดเลือดแดงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม และเซลล์ซีฟทิวปของโฟลเอ็มที่แก่เต็มที่แล้วจะไม่มี
พันธุกรรม ซึง่ มีหนาทีค่ วบคุมการแบงเซลล นิวเคลียส
และกระบวนการเมแทบอลิซมึ ของเซลล) นิวเคลียสเป็นที่อยู่ของสารพันธุกรรม ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการแบ่งเซลล์และกระบวนการ
เมแทบอลิซึมของเซลล์ โดยโครงสร้างของนิวเคลียสประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้
ขยายความเขาใจ 1. เยื่อหุ้มนิวเคลียส (nuclear membrane / nuclear envelope) เป็นเยื่อบาง ๆ
ครูและนักเรียนรวมกันสรุปหนาทีอ่ อรแกเนลล 2 ชั้น เรียงซ้อนกัน ประกอบด้วยสารพวกลิพิดและโปรตีน บริเวณโดยรอบของเยื่อหุ้มนิวเคลียส
แตละขนิด โดยครูอาจใชขอความตางๆ เพื่อให มีช่องเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป เรียกว่า นิวเคลียร์พอร์ (nuclear pore) หรือ แอนนูลัส (annulus)
นักเรียนรวมกันระบุวา ขอความนั้นเกี่ยวของกับ
ออรแกเนลลใด ดังนี้
- ถุงบรรจุอาหาร (ฟูดแวคิวโอล)
- แหลงสารพันธุกรรม (นิวเคลียส)
- แหลงสังเคราะหโปรตีน (ไรโบโซม)
- ผลิตอาหารใหแกพชื (คลอโรพลาสต)
- แยกโครมาทิดออกจากกัน (เซนทริโอล) เซลล์เยื่อหอม
- คํา้ จุนรูปรางของเซลล (ไซโทสเกเลตอน)
นิวเคลียร์พอร์
- แหลงพลังงานของเซลล (ไมโทคอนเดรีย)
- รวบรวมและขนสงสาร (กอลจิคอมเพล็กซ) ภาพที่ 3.26 บริเวณโดยรอบของเยื่อหุ้มนิวเคลียสมีช่องเล็ก ๆ กระจายอยู่
- ทําลายออรแกเนลล (ไลโซโซม)
H. O. T. S.
คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
หากไม่มี
เซลล์เยื่อบุข้างแก้ม นิวเคลียส
ภาพที่ 3.25 เมื่อย้อมเซลล์เพื่อ
กระบวนการ
แนวตอบ H.O.T.S. ศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็น ต่าง ๆ ภายในเซลล์จะ
สามารถเกิดขึ้นได้ปกติ
ในเซลล ส ว นใหญ หากไม มี นิ ว เคลี ย ส นิวเคลียสติดสีเข้มชัดเจน
หรือไม่ อย่างไร
กระบวนการตางๆ ภายในเซลลจะไมสามารถ 94
เกิดขึ้นได แตเซลลบางชนิดเมื่อโตเต็มที่จะไมมี
นิวเคลียส เชน เซลลเม็ดเลือดแดง
T106
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
2. นิวคลีโอพลำซึม (nucleoplasm) เป็นส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเยื่อหุ้มนิวเคลียส มี 1. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปความรู้ที่ศึกษามา
ลักษณะเป็นของเหลวข้น ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างต่าง ๆ ดังนี้ ทั้งหมดให้หัวข้อนี้ แล้วท�าผังมโนทัศน์ เรื่อง
1) นิวคลีโอลัส (nucleolus) เป็นบริเวณทีท่ บึ แสง เห็นได้อย่างชัดเจนเมือ่ ย้อมสีนวิ เคลียส โครงสร้างของเซลล์ทศี่ กึ ษาด้วยกล้องจุลทรรศน์
ประกอบด้วยโปรตีนและกรดนิวคลีอิกชนิด RNA เป็นส่วนใหญ่ พบเฉพาะเซลล์ยูแคริโอตเท่านั้น อิเล็กตรอน
แต่ในเซลล์อสุจิ เซลล์เม็ดเลือดแดงที่เจริญเต็มที่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม และเซลล์ไฟเบอร์ 2. ให้แต่ละกลุม่ น�าเสนอผลงานหน้าชัน้ เรียน และ
ของกล้ามเนื้อจะไม่มีนิวคลีโอลัส ติดบอร์ดภายในห้องเรียนเพื่อใช้เป็นแหล่ง
นิวคลีโอลัสท�าหน้าที่สังเคราะห์อาร์อาร์เอ็นเอ ( rRNA) เพื่อประกอบเข้ากับ ทบทวนความรูข้ องเพือ่ นๆ
ไรโบโซมอลโปรตีน (ribosomal protein) ซึ่งไรโบโซมอลโปรตีนที่ประกอบเสร็จแล้วจะถูกน�าออก
จากนิวเคลียสทางนิวเคลียร์พอร์ เพื่อท�าหน้าที่สร้างโปรตีนต่อไป ดังนั้น นิวคลีโอลัสจึงมีความ ขัน้ ประเมิน
ส�าคัญต่อการสร้างโปรตีนเป็นอย่างมาก ตรวจสอบผล
2) โครมำทิน (chromatin) เป็นเส้นใยของ DNA ที่พันอยู่รอบโปรตีนอย่างมีระเบียบ
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบค�าถาม
ในขณะทีม่ กี ารแบ่งเซลล์โครมาทินจะหดสัน้ ลงมีลกั ษณะเป็นแท่ง เรียกว่า โครโมโซม (chromosome)
ซึ่งโครโมโซมมีหน้าที่ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลล์ และควบคุมการถ่ายทอดลักษณะทาง การร่วมกันท�างาน และการน�าเสนอผลงาน
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 2. ครูตรวจผังมโนทัศน์ เรือ่ ง โครงสร้างของเซลล์
เส้นใยโครมาทินจะติดสีย้อมต่างกัน โดยส่วนที่ติดสีย้อมเข้มมาก เรียกว่า เฮเทอโร- ที่ศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
โครมาทิน (heterochromatin) ซึ่งเป็นส่วนของโครมาทินที่อัดกันแน่นมาก เป็นบริเวณที่มียีน 3. ครูตรวจสอบผลการท�าแบบฝกหัด
น้อยมาก หรือเป็นยีนที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ส่วนที่ติดสีย้อมจาง ๆ หรือไม่ติดสีเรียกว่า ยูโครมาทิน
(euchromatin) เป็นบริเวณที่โครมาทินคลายตัวออก ซึ่งมักอยู่ในช่วงของการจ�าลองตัวเอง หรือ
แปรรหัส
นิวคลีโอลัส นิวเคลียส
โครมาทิน
เยื่อหุ้มชั้นใน
เยื่อหุ้มชั้นนอก ร่างแหเอนโดพลาซึม
นิวเคลียร์พอร์
เซลล์ 95
ของสิ่งมีชีวิต
5. อาจเป็นไปได้ทั้งพืชและสัตว์ แบบประเมินผังมโนทัศน์
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผังมโนทัศน์ตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
เปนออรแกเนลลที่พบในเซลลยูแคริโอตทั้งพืชและสัตว ดังนั้น
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้องกับ
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์
2. ความถูกต้อง เนือ้ หาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก น่าสนใจ และไม่แสดงถึง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ ใหม่ แนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
T107
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูตั้งค�าถามที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจ�าวันเพื่อ โครงสร า งใดของเซลล ที่ 3. การล�าเลียงสารผ่านเซลล์
กระตุ้นความสนใจของนักเรียน ตัวอย่างเช่น เกีย่ วกับการลําเลียงสารเขา การล� า เลี ย งสารเข้ า และออกจากเซลล์ มี ค วามส� า คั ญ
ï• เพราะเหตุใดจึงต้องแช่ดอกไม้ในแจกันที่มี และออกจากเซลล
ต่อเซลล์เป็นอย่างมาก เนือ่ งจากเซลล์ทมี่ ชี วี ติ ต้องการสารอาหาร
น�้าอยู่ เพื่อผลิตเป็นพลังงานส�าหรับใช้ในเซลล์ และในขณะเดียวกัน
ï• เพราะเหตุใดแม้คา้ ผักสดจึงมักพรมน�า้ ลงบน ก็ตอ้ งมีการขับของเสียออกจากเซลล์ สารต่าง ๆ เหล่านีส้ ามารถผ่านเข้าและออกจากเซลล์โดยผ่าน
ผักและใช้ผ้าคลุมไว้ เยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งเป็นเยื่อเลือกผ่านที่ยอมให้น�้าและสารขนาดเล็กบางชนิดผ่านเข้าออกจากเซลล์ได้
2. ครูกล่าวน�าเข้าสูก่ จิ กรรม เรือ่ ง การล�าเลียงสาร ส่วนสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ จะใช้กลไกพิเศษบางอย่างในการน�าสารเข้าและออกจากเซลล์
ผ่านเซลล์พืช ซึ่งเป็นกิจกรรมน�าเข้าสู่บทเรียน
แล้วให้นักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 การล�าเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
1) หยดน�้าลงบนสไลด์ 1 หยด ลอกเยื่อด้านใน สารที่สามารถล�าเลียงผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้นั้น มีทั้งสารที่เป็นของแข็ง ของเหลว และแกส
ของกลีบหอมแดงวางลงบนสไลด์ ซึ่งมีวิธีการล�าเลียงที่แตกต่างกัน 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การล�าเลียงแบบไม่ใช้พลังงาน (การแพร่
2) ปดด้วยกระจกปดสไลด์ แล้วน�าไปศึกษา แบบธรรมดา การออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต) และการล�าเลียงแบบใช้พลังงานหรือ
ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ บันทึกลักษณะของ แอกทีฟทรานสปอร์ต
เซลล์
3) น� า สไลด์ เ ดิ ม มาหยดสารละลายกลู โ คส
ความเข้มข้น 10% ลงไปบริเวณขอบของ
กระจกปดสไลด์ด้านใดด้านหนึ่ง ในขณะ
เดี ย วกั น ใช้ ก ระดาษเยื่ อ แตะบริ เ วณขอบ
อี ก ด้ า นหนึ่ ง ของกระจกป ด สไลด์ เ พื่ อ ให้ ภายนอกเซลล์
สารละลายกลูโคสไหลเข้าไปแทนที่น�้าใน
สไลด์ เยื่อหุ้มเซลล์
4) น�าสไลด์ไปศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ภายในเซลล์
บันทึกลักษณะของเซลล์
ATP
T108
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. กำรแพร แ บบธรรมดำ (diffusion ) เป็ น การ 1. ครูน�าเข้าสู่เรื่อง การแพร่ โดยอ้างถึงผลจาก
เคลื่อนที่ของอนุภาคของสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไป การท�ากิจกรรม เรื่อง การล�าเลียงสารผ่าน
ยังบริเวณที่มีความเข้1มข้นต�่า ซึ่งการเคลื่อนที่ของอนุภาคนั้น เซลล์ พื ช ที่ เ ซลล์ มี ลั ก ษณะเปลี่ ย นแปลงไป
เกิดจากพลังงานจลน์ (kinetic energy) ในอนุภาค ท�าให้อนุภาค เนือ่ งมาจากมีการล�าเลียงสารเข้าและออกจาก
เคลือ่ นทีช่ นกันโดยบังเอิญและกระจายไปทุกทิศทุกทาง จนท�าให้ เซลล์ จากนัน้ ตัง้ ค�าถามเพือ่ ให้นกั เรียนร่วมกัน
ทุกบริเวณมีความเข้มข้นของอนุภาคเท่ากัน เรียกว่า ภำวะสมดุล วิเคราะห์ว่า เซลล์มีการล�าเลียงสารเข้าและ
ของกำรแพร (diffusion equilibrium) ออกจากเซลล์อย่างไรบ้าง
สารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ละลายในไขมันได้ดี และ 2. ครูเตรียมเกล็ดด่างทับทิมเพือ่ ให้นกั เรียนใส่ลง
ไม่มีขั้ว จะเคลื่อนที่เข้าสู่เซลล์โดยกระบวนการแพร่ได้ดี และมี ในบีกเกอร์ที่มีน�้าอยู่ แล้วสังเกตการแพร่ของ
อัตราการแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ดีด้วย ด่างทับทิม จากนั้นครูตั้งค�าถามให้นักเรียน
1) กำรแพรของสำรที่พบในชีวิตประจ�ำวัน เช่น ร่วมกันตอบ เช่น
• การแพร่ของเกลือในน�้า เมื่อใส่เกลือลงในน�้า ï• การแพรของสาร โมเลกุลสารมีทิศทางการ
เม็ดเกลือจะจมอยูท่ กี่ น้ ภาชนะ ซึง่ ต่อมาเม็ดเกลือจะค่อย ๆ ละลาย
เคลื่อนที่อยางไร
และมีขนาดเล็กลง โดยในช่วงแรกหากลองชิมน�้าที่อยู่บริเวณ
(แนวตอบ โมเลกุลของสารจะเคลื่อนที่จาก
ด้านบนของภาชนะ จะไม่มรี สเค็ม ส่วนน�า้ บริเวณด้านล่างภาชนะ
จะมีรสเค็ม ต่อมาเมื่อเกลือละลายมากขึ้น น�้าบริเวณด้านบน บริเวณที่มีความเขมขนสูงไปยังบริเวณที่มี
จะเริ่มมีรสเค็มขึ้น และถ้าปล่อยให้เกลือละลายจนหมด แล้วทิ้ง ความเขมขนตํา่ จนกระทัง่ ทุกบริเวณมีความ
ไว้สักครู่ น�้าในภาชนะนั้นจะมีรสเค็มเท่ากันทุกส่วน เป็นเช่นนี้ ภาพที่ 3.29 การแพร่เป็น
เขมขนของสารเทากัน)
เนือ่ งจากไอออนของเกลือ คือ โซเดียมไอออน (Na+) และคลอไรด์- การเคลื่อนที่ของอนุภาคของสาร ï• สารที่จะเกิดการแพรนั้นอยูในสถานะใด
จากบริเวณที่มีความเข้มข้นมาก (แนวตอบ ของแข็ง ของเหลว และแกส)
ไอออน (Cl-) จากก้นภาชนะจะแพร่ขนึ้ สูด่ า้ นบน ท�าให้ทงั้ ภาชนะ ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นน้อย
มีอนุภาคของเกลือเท่ากัน
Biology
• การแพร่ของน�้าหอมในอากาศ เมื่อเปิดขวด in real life
น�้าหอมแล้ววางไว้ในห้องที่ปิดสนิท หากเรายืนอยู่ห่างจากขวด การแพร่ที่พบใน
น�้าหอมในช่วงแรกจะไม่ได้กลิ่นน�้าหอมเลย แต่เมื่อเวลาผ่าน ชีวิตประจ�าวัน ตัวอย่างเช่น
ไประยะหนึ่ง จะได้กลิ่นน�้าหอมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อวาง - การแพร่ของสารฆ่าแมลง
- การแพร่ของกลิ่นอาหาร
น�้าหอมไว้สักระยะหนึ่ง จะพบว่า ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่จุดใดของห้อง - การใช้ลูกเหม็นในตู้เสื้อผ้า
ก็จะได้กลิ่นน�้าหอมเท่ากันทุกจุด ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากโมเลกุล - การเติมน�้าตาลลงในถ้วย
ของน�า้ หอมเคลือ่ นทีจ่ ากขวดน�า้ หอมทีเ่ ปิดฝาไปยังบริเวณต่าง ๆ กาแฟ
ของห้อง ซึง่ มีความเข้มข้นของโมเลกุลน�า้ หอมน้อยกว่า จนท�าให้ - การแพร่ของควันจาก
ท่อไอเสียรถยนต์
ทุกบริเวณของห้องมีความหนาแน่นของโมเลกุลน�้าหอมเท่ากัน
เซลล์ 97
ของสิ่งมีชีวิต
T109
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให้นกั เรียนร่วมกันค้นคว้าเพิม่ เติมเกีย่ วกับการ 2) ปจจัยที่มีผลตออัตรำกำรแพร มีดังนี้
แพร่ แล้วสรุปความรู้ โดยมีแนวทางการสรุป
ดังนี้ 1. ความเข้มข้นของสาร 2. อุณหภูมิ
98
T110
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. ออสโมซิส (osmosis) เป็นการแพร่ของโมเลกุลน�้าจากบริเวณที่มีน�้ามาก (ความเข้ม 1. ครูน�าเข้าสู่เรื่อง ออสโมซิส โดยอ้างถึงผลจาก
ข้นของสารต�่า) ไปบริเวณที่มีน�้าน้อยกว่า (ความเข้มข้นของสารสูง) โดยผ่านเยื่อบาง ๆ ที่เรียกว่า การท�ากิจกรรม เรือ่ ง การล�าเลียงสารผ่านเซลล์
เยื่อเลือกผ่าน พืช ที่เซลล์มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปเนื่องมา
จากการศึกษาเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารละลายภายในเซลล์กับความเข้มข้นของ จากมีการล�าเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
สารละลายภายนอกเซลล์ โดยการน�าเซลล์เม็ดเลือดแดงใส่ลงในสารละลายทีม่ คี วามเข้มข้นต่างกัน หรือเปดภาพยนตร์สารคดีสั้น TWIG เรื่อง
แล้วสังเกตลักษณะเซลล์เม็ดเลือดแดง ท�าให้สามารถจ�าแนกสารละลายออกเป็น 3 แบบ ดังนี้ ออสโมซิ ส https://www.twig-aksorn.
1) สำรละลำยไอโซโทนิก (isotonic solution) หมายถึง com/fifilm/glossary/osmosis-6767/ จากนั้น
สารละลายภายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นเท่ากับสารละลาย ตั้งค�าถามให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ว่า
ภายในเซลล์ ดังนั้น เมื่อใส่เซลล์เม็ดเลือดแดงลงในสารละลาย ï• หากเซลลอยูใ นสภาวะทีส่ ารละลายภายนอก
ชนิดนี้ เซลล์จะไม่เปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่าง เนื่องจากน�้า เซลล มี ค วามเข ม ข น ตํ่ า กว า ภายในเซลล
ภายนอกเซลล์ และน�้าจากภายในเซลล์จะออสโมซิสเข้าและ เซลลพชื และเซลลสตั วจะมีการเปลีย่ นแปลง
ออกจากเซลล์ในอัตราที่เท่ากัน สารละลายที่เป็นไอโซโทนิกกับ เหมือนกันหรือไม อยางไร
เซลล์เม็ดเลือดแดง ได้แก่ น�้าเกลือ 0.85% สารละลายไอโซโทนิก (แนวตอบ ทั้งเซลลพืชและเซลลสัตวจะเตง
2) สำรละลำยไฮเพอร์โทนิก (hypertonic solution) มากขึ้น เนื่องจากนํ้าออสโมซิสเขาสูเซลล
หมายถึง สารละลายภายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นมากกว่า แตเซลลพืชยังคงรูปรางอยูได เนื่องจากมี
สารละลายภายในเซลล์ ดังนั้น เมื่อใส่เซลล์เม็ดเลือดแดงลง ผนังเซลล สวนเซลลสัตวอาจแตกได)
ในสารละลายชนิดนี้ เซลล์จะเหี่ยว เนื่องจากน�้าภายในเซลล์ 2. ให้นักเรียนศึกษาภาพเซลล์เม็ดเลือดแดงใน
จะออสโมซิสออกจากเซลล์มากกว่าน�้าที่ออสโมซิสเข้าสู่เซลล์ หนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 โดยที่ยัง
โดยการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้หากเกิดในเซลล์พืช เรียกว่า ไม่อา่ นรายละเอียด
พลาสโมไลซิส (plasmolysis) และหากเกิดในเซลล์สัตว์ เรียกว่า สารละลายไฮเพอร์โทนิก
ครีเนชัน (crenation)
3) สำรละลำยไฮโพโทนิก (hypotonic solution)
หมายถึง สารละลายภายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า
สารละลายภายในเซลล์ ดังนั้น เมื่อใส่เซลล์เม็ดเลือดแดง
ลงในสารละลายชนิดนี้ จะท�าให้เซลล์เต่งขึ้น เนื่องจากน�้า
ภายนอกเซลล์ออสโมซิสเข้าสู่เซลล์มากกว่าน�้าที่ออสโมซิส
ออกจากเซลล์ ซึ่งหากน�้าออสโมซิสเข้าสู่เซลล์ปริมาณมาก สารละลายไฮโพโทนิก
เกินไปอาจส่งผลท�าให้เซลล์แตกได้ ภาพที่ 3.31 เมื่อน�าเซลล์เม็ดเลือดแดง
ใส่ลงในสารละลายที่มีความเข้มข้น
ต่างกัน เซลล์จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ต่างกัน
เซลล์ 99
ของสิ่งมีชีวิต
T111
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูตงั้ ค�าถามเกีย่ วกับภาพเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ แรงดันออสโมติก (osmotic pressure) คือ แรงดันที่จะต้านการเคลื่อนที่ของน�้าผ่าน
นักเรียนศึกษา เยื่อเลือกผ่าน ซึ่งแปรผันตามความเข้มข้นของสารละลาย โดยสรุปได้ ดังนี้
ï• เซลลเม็ดเลือดแดงทั้ง 3 ภาพ มีลักษณะ • น�้าบริสุทธิ์มีแรงดันออสโมติกต�่าสุด
อยางไร • สารละลายทีม่ คี วามเข้มข้นสูงจะมีแรงดันออสโมติกสูง สารละลายทีม่ คี วามเข้มข้นต�า่
(แนวตอบ ภาพแรก เซลลเปนปกติ ภาพทีส่ อง จะมีแรงดันออสโมติกต�่า
เซลลเหีย่ ว ภาพทีส่ าม เซลลเตงจนแตก) การออสโมซิสของน�า้ นัน้ จะเกิดจากบริเวณทีม่ แี รงดันออสโมติกต�า่ ไปยังบริเวณทีม่ แี รงดัน
ï• ในแตละภาพ นักเรียนคิดวาความเขมขน ออสโมติกสูง
ของสารละลายภายนอกเซลลเปนอยางไร ออสโมมิเตอร์ (osmometer) คือ เครือ่ งมือทีใ่ ช้แสดงการเกิดออสโมซิส และใช้วดั แรงดัน
( แนวตอบ ภาพแรก ความเข ม ข น ของ ที่เกิดจากการออสโมซิส มีส่วนประกอบที่ส�าคัญ ได้แก่ ภาชนะที่บรรจุน�้าบริสุทธิ์กับภาชนะที่มี
สารละลายภายนอกเทากับภายในเซลล ภาพ ลักษณะเป็นถุงซึ่งมีเยื่อบางๆ อยู่ ภายในถุงบรรจุสารละลายที่มีตัวท�าละลายเป็นน�้าบริสุทธิ์ เช่น
ทีส่ อง ความเขมขนของสารละลายภายนอก น�้าเกลือ 5% เมื่อน�าถุงดังกล่าวใส่ลงในภาชนะที่บรรจุน�้าบริสุทธิ์แล้วทิ้งไว้สักครู่ พบว่าระดับน�้า
มากกวาภายในเซลล ภาพทีส่ าม ความเขม ในภาชนะที่เป็นถุงนั้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแสดงว่าเกิดการออสโมซิสของน�้า
ขนของสารละลายภายนอกนอยกวาภายใน
เซลล)
น�้าเกลือ 5%
2. ให้นักเรียนศึกษารายละเอียดของสารละลาย เยิื่อเลือกผ่าน น�้าออสโมซิส
เข้าสู่หลอดแก้ว
แต่ละประเภทจากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4
เล่ม 1 จากนัน้ ร่วมกันสรุปความรูเ้ รือ่ ง ออสโมซิส
โดยมีแนวทางการสรุป ดังนี้
ภายนอกเซลล์
ï• การออสโมซิสเป็นการแพร่โมเลกุลของน�้า น�้า
จากบริเวณที่มีน�้ามาก (ความเข้มข้นของ
สารละลายต�่ า ) ไปยั ง บริ เ วณที่ มี น�้ า น้ อ ย ภาพที่ 3.32 หลักการท�างานของออสโมมิเตอร์
(ความเข้มข้นของสารละลายสูง) โดยผ่าน 3. กำรแพรแบบฟำซิลิเทต (facilitate diffusion)
เยื่อเลือกผ่าน การเคลื่อนที่ของสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยอาศัยโปรตีนตัวพา โปรตีนตัวพา
ï• การออสโมซิสจะเกิดจากบริเวณที่มีแรงดัน (carrier protein) มีทิศทางการเคลื่อนที่ของสารจากบริเวณที่มี
ภายในเซลล์
ออสโมติกต�่าไปยังบริเวณที่มีแรงดัน ความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต�่า โดยไม่อาศัย
ออสโมติกสูง พลังงาน ซึ่งมีอัตราการแพร่เร็วกว่าการแพร่แบบธรรมดา เช่น
การล�าเลียงไอออนบางชนิด การแพร่ของกลูโคสเข้าไปยัง
เซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งปกติกลูโคสซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ยาก
เนื่องจากมีโมเลกุลขนาดใหญ่ และไม่ละลายในไขมัน ภาพที่ 3.33 การแพร่แบบฟาซิลิเทต
100
กิจกรรม ทาทาย
ครูอาจจัดกิจรรมเพื่อศึกษาการออสโมซิส ดังนี้
วัสดุอุปกรณ
1. ไข่ไก่ 2. บีกเกอร์ขนาด 50 มิลลิลิตร 3. หลอดพลาสติก 4. เทียนไข 5. ไฟแช็ค
วิธีปฏิบัติ
1. ใส่น�้าใบบีกเกอร์ขนาด 50 มิลลิลิตร จนเต็ม
2. กะเทาะเปลือกไข่ไก่ด้านป้านเบาๆ แล้วแกะเปลือกไข่ให้เหลือเฉพาะเยื่อหุ้มบางๆ โดยให้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร
3. เจาะไข่ด้านแหลมแล้วใส่หลอดพลาสติกลงไปลึกประมาณ 1 เซนติเมตร หยดน�้าตาเทียนลงไปรอบๆ หลอด เพื่อยึดหลอดให้ติดกับเปลือกไข่
4. น�าไข่ไปตั้งบนบีกเกอร์ในข้อ 1. โดยให้ด้านป้านของไข่จุ่มลงในน�้า
5. ตั้งชุดทดลองทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง สังเกตและบันทึกผล
อภิปรายผลกิจกรรม
เมื่อตั้งชุดทดลองทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง ของเหลวในหลอดจะสูงขึ้น เนื่องจากน�้าออสโมซิสจากในบีเกอร์ผ่านเยื่อบางๆ เข้าไปในไข่ ซึ่งจากกิจกรรม
ช่วยท�าให้เข้าใจหลักการของออสโมซิสได้ชัดเจนขึ้น
T112
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
4. กำรล� ำ เลี ย งแบบใช้ พ ลั ง งำน หรื อ แอกที ฟ - 3. ให้นักเรียนแต่ละคนศึกษาเรื่อง การแพร่แบบ
ทรำนสปอร์ต (active transport) เป็นการล�าเลียงสารจาก ฟาซิลเิ ทต จากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม
บริเวณที่มีความเข้มข้นต�่าไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นสูง โดย ภายนอกเซลล์ 1 หรือจากแหล่งเรียนรู้อื่นๆ จากนั้นครูถาม
1
ใช้พลังงานในรูป ATP ที่ได้จากกระบวนการเมแทบอลิซึม และ ค�าถามเพือ่ ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน
อาศัยโปรตีนตัวพาเช่นเดียวกับการแพร่แบบฟาซิลิเทต ï• การแพรแบบฟาซิลเิ ทตตางจากการแพรแบบ
ตัวอยำงกำรล�ำเลียงสำรแบบใช้พลังงำน เช่น ธรรมดาอยางไร
ภายในเซลล์
• การดูดซึมสารอาหาร เป็นกระบวนการที่มีทั้งการแพร่ (แนวตอบ เปนการแพรที่ตองอาศัยโปรตีน
แบบไม่ใช้พลังงาน และการล�าเลียงแบบใช้พลังงาน การดูดซึม ตัวพาซึง่ แทรกตัวอยูใ นเยือ่ หุม เซลล)
ATP ADP + Pi
สารอาหารจะเกิดขึ้นที่ผนังล�าไส้เพื่อน�าสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ï• อัตราการการแพรแบบฟาซิลิเทตตางจาก
โดยปกติสารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก จะแพร่เข้าสู่ร่างกาย อัตราการแพรแบบธรรมดาอยางไร
ได้ทันที ส่วนสารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ จ�าเป็นต้องใช้ ภาพที่ 3.34 การแพร่แบบใช้พลังงาน (แนวตอบ มีอตั ราเร็วสูงกวา เพราะมีโปรตีน
พลังงานช่วยในการล�าเลียง เปนตัวชวยพาสารในการแพร)
• การดูดกลับสารทีท่ อ่ หน่วยไต สารต่าง ๆ ทีล่ ะลายอยูใ่ นเลือดจะถูกกรองทีไ่ ต ซึง่ เป็นสารที่ 4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปว่า ทั้งการแพร่
มีความจ�าเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ กลูโคส กรดอะมิโน โซเดียมไอออน ซึ่งจะมีการดูดซึมสารเหล่านี้
การออสโมซิส และการแพร่แบบฟาซิลิเทต
กลับเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้งโดยการล�าเลียงแบบใช้พลังงาน
• ปัมโซเดียม โพแทสเซียม (sodium potassium pump) เกิดขึ้นในเซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ เป็นการล�าเลียงสารแบบไม่ใช้พลังงาน
ประสาท โดยเซลล์จะน�าโซเดียมไอออน (Na+) ออกจากเซลล์ได้ตลอดเวลา ทั้งที่โซเดียมไอออน 5. ให้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาวิ ดี โ อเรื่ อ ง ป ม โซเดี ย ม-
ภายนอกเซลล์มีความเข้มข้นสูงกว่าภายในเซลล์ ขณะเดียวกันเซลล์ก็สามารถน�าโพแทสเซียม โพแทสเซียม แล้วสังเกตการล�าเลียงโซเดียม
ไอออน (K+) ทีอ่ ยูภ่ ายนอกเซลล์เข้าสูเ่ ซลล์ได้ดว้ ย ทัง้ ทีโ่ พแทสเซียมไอออนภายในเซลล์นนั้ มีความ และโพแทสเซียมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ จากนั้นครู
เข้มข้นสูงกว่าภายนอกเซลล์หลายเท่า การน�าโซเดียมไอออนออกนอกเซลล์และน�าโพแทสเซียม ถามค�าถามเพือ่ ตรวจสอบความเข้าใจ
ไอออนเข้าภายในเซลล์ จะต้องใช้พลังงานในการล�าเลียง ï• การลําเลียงสารแบบใชพลังงานมีทิศทาง
การลําเลียงตางจากการแพรแบบธรรมดา
ภายนอกเซลล์ อยางไร
(แนวตอบ ทิศทางการลําเลียงตรงขามกัน โดย
การลําเลียงแบบใชพลังงานเปนการเคลือ่ นที่
Pi
ของสารจากบริเวณทีม่ คี วามเขมขนตํา่ ไปยัง
ภายในเซลล์ ATP ADP
Pi
Pi
บริเวณทีม่ คี วามเขมขนสูง)
โซเดียมจับกับ ใช้พลังงานจาก ATP โซเดียมล�าเลียง โพแทสเซียมจับ โพแทสเซียมล�าเลียง ï• หากเปรี ย บเที ย บการแพร เ ป น การปล อ ย
โปรตีนตัวพา ออกนอกเซลล์ กับโปรตีนตัวพา เข้าสู่เซลล์ นํ้าลงจากถังบนที่สูง การลําเลียงแบบใช
ภาพที่ 3.35 กระบวนการโซเดียม โพแทสเซียมปัม พลังงานจะเปรียบไดกับอะไร
เซลล์ 101
(แนวตอบ การใชพลังงานไฟฟาสูบนํ้าขึ้นไป
ของสิ่งมีชีวิต
เก็บในถังนํา้ บนทีส่ งู )
T113
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูทบทวนเกีย่ วกับการน�าสารผ่านเยือ่ หุม้ เซลล์ 3.2 การล�าเลียงสารโดยการสร้างถุงจากเยื่อหุ้มเซลล์
ว่า สารที่สามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้มักมี
กรณีที่มีการล�าเลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าหรือออกจากเซลล์ สารเหล่านี้จะไม่สามารถผ่าน
ขนาดเล็ก เช่น น�้า กลูโคส ไอออนบางชนิด เยื่อหุ้มเซลล์ได้โดยตรง จึงไม่สามารถใช้กระบวนการแพร่แบบฟาซิลิเทตหรือการล�าเลียงแบบ
จากนัน้ กระตุน้ ความสนใจของนักเรียนโดยการ ใช้พลังงานได้ แต่เซลล์สามารถล�าเลียงสารเหล่านี้ได้ด้วยกลไกการล�าเลียงสารโดยการสร้างถุง
ตั้งค�าถาม เช่น จากเยื่อหุ้มเซลล์
ï• นั ก เรี ย นคิ ด ว า สารขนาดใหญ ส ามารถ การล�าเลียงสารโดยการสร้างถุงจากเยือ่ หุม้ เซลล์ เป็นกระบวนการล�าเลียงสารขนาดใหญ่เข้า
ลําเลียงเขา-ออกจากเซลลไดอยางไร สูเ่ ซลล์หรือออกจากเซลล์ โดยอาศัยคุณสมบัตขิ องเยือ่ หุม้ เซลล์ทสี่ ามารถเปลีย่ นแปลงรูปร่างไปได้
(แนวตอบ พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน รวมตัวกับเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์ หรือแยกตัวเพื่อสร้างเวสิเคิลได้ การล�าเลียงสารโดยการสร้างถุง
จากนัน้ ครูแจงวานักเรียนจะทราบคําตอบได จากเยื่อหุ้มเซลล์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ การล�าเลียงสารออกจากเซลล์ เรียกว่า เอกโซไซโทซิส
จากการศึกษาตอไป) และการล�าเลียงสารเข้าสู่เซลล์ เรียกว่า เอนโดไซโทซิส
2. ให้นกั เรียนจับคูก่ นั ศึกษาเรือ่ ง การล�าเลียงสาร 1. เอกโซไซโทซิส (exocytosis) เป็นการล�าเลียงสารโมเลกุลขนาดใหญ่ออกจากเซลล์
1
โดยการสร้างถุงจากเยื่อหุ้มเซลล์ จากหนังสือ ซึ่งสารดังกล่าว ได้แก่ เอนไซม์หรือฮอร์โมน ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นจากเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
เรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 และครูอาจเปด แบบผิวขรุขระ สารที่สังเคราะห์ขึ้นจะส่งไปยังกอลจิคอมเพล็กซ์เพื่อเก็บรวบรวมและสร้างเป็นถุง
ภาพยนตร์สารคดีสนั้ TWIG เรือ่ ง เอนโดไซโทซิส ขนาดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า เวสิเคิล (vesicle) ซึ่งเวสิเคิลจะเคลื่อนที่ไปสัมผัสกับเยื่อหุ้มเซลล์ จากนั้น
https://www.twig-aksorn.com/film/glossary เยื่อหุ้มเวสิเคิลจะรวมตัวเข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์ ท�าให้สารที่อยู่ภายในเวสิเคิลถูกปลดปล่อยออกไปยัง
/endocytosis-6664/ ให้นักเรียนดูประกอบ นอกเซลล์
ด้วย ตัวอย่างการล�าเลียงสารออกนอกเซลล์โดยวิธีเอกโซไซโทซิส เช่น การหลั่งเอนไซม์จาก
เยื่อบุผนังกระเพาะอาหารและล�าไส้ การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ การก�าจัดของเสียที่ย่อยไม่ได้
ออกจากเซลล์ เป็นต้น
ภายนอกเซลล์
ภายในเซลล์
102
T114
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
2. เอนโดไซโทซิส (endocytosis) เป็นกระบวนการที่เกิดตรงกันข้ามกับเอกโซไซโทซีส 1. ครูตั้งคําถามเกี่ยวกับการลําเลียงสารโดยการ
ซึ่งเป็นการล�าเลียงสารโมเลกุลขนาดใหญ่เข้าสู่เซลล์ เอนโดไซโทซิสมีกลไกการล�าเลียงแตกต่าง สรางถุงจากเยือ่ หุม เซลล เพือ่ ตรวจสอบความ
กันออกไป แบ่งออกได้ 3 วิธี คือ ฟาโกไซโทซิส พิโนไซโทซิส และการล�าเลียงสารเข้าสู่เซลล์โดย เขาใจของนักเรียน
อาศัยตัวรับ ï• การลําเลียงสารแบบเอกโซไซโทซิส มีวธิ กี าร
1) ฟำโกไซโทซิส (phagocytosis) เป็นการล�าเลียง อยางไร
สารในรูปของแข็งเข้าสู่เซลล์ โดยเซลล์สามารถยื่นไซโทพลาซึม (แนวตอบ เวสิเคิลทีบ่ รรจุสารอยูจ ะเคลือ่ นทีไ่ ป
หรือขาเทียม (pseudopodium) ออกมาโอบล้อมสารที่จะน�าเข้า ยังเยือ่ หุม เซลล แลวเยือ่ หุม เวสิเคิลจะรวมตัว
สู่เซลล์ เกิดเป็นถุงเวสิเคิลและหลุดเข้าไปภายในเซลล์ จากนั้น กับเยือ่ หุม เซลล ทําใหสารทีอ่ ยูภ ายในเวสิเคิล
เวสิเคิลนี้อาจไปรวมตัวกับไลโซโซมเพื่อย่อยสลายสารนั้นต่อไป ถูกปลอยออกไปนอกเซลล)
กระบวนการนีพ้ บได้ในเซลล์พวกอะมีบา และเซลล์เม็ดเลือดขาว ï• เวสิเคิลที่นําสารออกนอกเซลล ถูกสรางมา
บางชนิ ด ที่ ท� า หน้ า ที่ จั บ กิ น แบคที เ รี ย และสิ่ ง แปลกปลอมที่ ภาพที่ 3.37 การล�าเลียงสารเข้าสู่
เซลล์อะมีบาโดยกระบวนการ จากออรแกเนลลใด
เข้าสู่ร่างกาย ฟาโกไซโทซิส (แนวตอบ กอลจิคอมเพล็กซ)
2) พิโนไซโทซิส (pinocytosis) เป็นการล�าเลียงสารที่อยู่ในรูปสารละลายเข้าสู่เซลล์
ï• การลําเลียงสารแบบเอนโดไซโทซิส จําแนก
เกิดขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงลักษณะของเยื่อหุ้มเซลล์บริเวณที่โมเลกุลของสารเข้าสัมผัส ด้วย
ไดเปนกี่แบบ อะไรบาง
การเว้าตัวเข้าและโอบล้อมโมเลกุลสารนั้น ท�าให้เกิดเป็นเวสิเคิลแล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่ด้านในเซลล์
กระบวนการนี้พบได้ในเซลล์ของไตและล�าไส้ ( แนวตอบ 3 แบบ ได แ ก ฟาโกไซโทซิ ส
พิโนไซโทซิส และการลําเลียงสารเขาสูเ ซลล
โดยอาศัยตัวรับ)
ภายนอกเซลล์
ภายในเซลล์
เซลล์ 103
ของสิ่งมีชีวิต
T115
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเขาใจ
1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเรื่อง 3) กำรล�ำเลียงสำรเข้ำสูเ ซลล์โดยอำศัยตัวรับ (receptormediated endocytosis) เป็นการ
การลําเลียงสารผานเซลล ล�าเลียงสารเข้าสู่เซลล์โดยอาศัยโปรตีนตัวรับ (receptor) ที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ โดยเยื่อหุ้มเซลล์จะ
2. ใหนกั เรียนชวยกันสืบคนขอมูลวา กระบวนการ มีลักษณะเว้าตื้น ๆ ซึ่งเมื่อสารเข้ามาจับกับโปรตีนตัวรับแล้ว เยื่อหุ้มเซลล์จะเว้ามากขึ้นจนเป็น
ลํ า เลี ย งสารของเซลล จ ะมี ก ารลํ า เลี ย งด ว ย ถุงเวสิเคิลและหลุดเข้าไปในเซลล์ โดยโปรตีนตัวรับแต่ละชนิดจะมีความจ�าเพาะต่อสารต่างกันไป
วิธีใดนั้น ขึ้นอยูกับปจจัยใดบาง แลวสรุปเปน การน�าสารเข้าสู่เซลล์โดยอาศัยตัวรับนี้พบได้ในการล�าเลียงสารจ�าพวกลิโพโปรตีนเข้าสู่เซลล์ไข่ไก่
องคความรูรวมกัน ที่ยังเจริญไม่เต็มที่ การน�าคอเลสเตอรอลเข้าสู่เซลล์ตับ
3. ให นั ก เรี ย นร ว มกั น แสดงความคิ ด เห็ น ว า
สามารถนําความรูเรื่อง การลําเลียงสารผาน
เซลล ไปประยุ ก ต ใ ช ใ นชี วิ ต ประจํ า วั น ได
โปรตีนตัวรับ
อยางไร
4. ครู ม อบหมายให นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ภายในเซลล์
ในแบบฝกหัด ชีววิทยา ม.4 เลม 1 ภายนอกเซลล์
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม
และการรวมกันทําผลงาน
2. ครูวัดและประเมินการปฏิบัติการจากการทํา ภาพที่ 3.39 การล�าเลียงสารเข้าสู่เซลล์โดยอาศัยตัวรับ
กิจกรรม เรื่อง การลําเลียงสารผานเซลลพืช B iology
3. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด Focus กระบวนการลําเลียงสารของเซลล์
กระบวนการล�าเลียงสารของเซลล์จะมีการล�าเลียงด้วยวิธีใดนั้นขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. ขนำดของสำร สารทีม่ โี มเลกุลขนาดเล็กจะสามารถผ่านเยือ่ หุม้ เซลล์ได้ดกี ว่าสารทีม่ โี มเลกุล
ใหญ่
2. ควำมสำมำรถในกำรละลำยในไขมัน สารที่ละลายในไขมันได้ดีจะผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ง่าย
กว่าสารที่ไม่ละลายในไขมัน
3. สภำพขั้วของสำร สารที่ไม่มีขั้ว (nonpolar compound) จะผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ดีกว่าสาร
ที่มีขั้ว (polar compound) เพราะสารที่ไม่มีขั้วจะละลายได้ดีในไขมันที่เป็นองค์ประกอบ
ของเยื่อหุ้มเซลล์
4. สำรอิเล็กโทรไลต์ สารละลายที่เป็นอิเล็กโทรไลต์ (electrolyte) จะแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้
ช้ากว่าสารที่ไม่เป็นอิเล็กโทรไลต์
5. จ�ำนวนโปรตีนตัวพำและพลังงำนในเซลล์ หากเยื่อหุ้มเซลล์มีโปรตีนตัวพาจ�านวนมากและ
มีพลังงานในเซลล์สูง เซลล์นั้นจะสามารถล�าเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ดี
104
5 เม็ดเลือดขาว เอนโดไซโทซิส
จุดประสงค์ จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางส่วน วางแผนดาเนินการ
4 3 2 1
1 การออกแบบ 2. การเลือกใช้ เลือกใช้วัสดุได้ เลือกใช้วัสดุได้ เลือกใช้วัสดุได้ เลือกใช้วัสดุไม่
2 การเลือกใช้วัสดุ วัสดุ เหมาะสม และใช้ เหมาะสม แต่ใช้ เหมาะสมพอสมควร เหมาะสม และใช้
งบประมาณอย่าง งบประมาณสูง และใช้งบประมาณสูง งบประมาณสูงมาก
3 ความสมบูรณ์ ประหยัด
4 ความตรงต่อเวลา
3. ความสมบูรณ์ ชิ้นงานมีความถูกต้อง ชิ้นงานมีความถูกต้อง ชิ้นงานมีความถูกต้อง ชิ้นงานมีความถูกต้อง
รวม
(วิเคราะหคําตอบ หากรางกายไดรับเชื้อโรคชนิดหนึ่งทางผิวหนัง
แข็งแรง ทนทาน และ เป็นส่วนใหญ่ แข็งแรง เป็นส่วนน้อย แข็งแรง น้อย และไม่แข็งแรง
สวยงาม ทนทาน ทนทาน
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน 4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
................./................../.................. เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
เซลลเม็ดเลือดขาวจะมีหนาที่กําจัดเชื้อโรคนั้น โดยกระบวนการ
ฟาโกไซโทซิส ดวยการยื่นไซโทพลาสซึมออกไปลอมรอบเชื้อโรค
แลวนําเขาสูเซลลเพื่อใหเกิดการยอยสลายภายในเซลล ดังนั้น
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
ตอบขอ 3.)
T116
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
เซลลตา ง ๆ ของสิง่ มีชวี ติ 4. การสื่อสารระหว่างเซลล์ 1. ครูอาจเปดคลิปวีดิโอเกี่ยวกับเรื่อง การสื่อสาร
มีการสือ่ สารกันอยางไร ระหว่างเซลล์ ให้นักเรียนศึกษาเพื่อกระตุ้นให้
เซลล์แต่ละเซลล์จะมีความสามารถสื่อสารกันได้ โดยผ่าน
ระบบที่แตกต่างกัน 2 แบบ คือ การสื่อสารโดยใช้สารเคมีหรือ เกิดความสนใจ เช่น https://www.youtube.
ฮอร์โมน และการสื่อสารโดยผ่านกระแสประสาท ซึ่งเซลล์แต่ละเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจะมีการ com/watch?v=E-guax1Nk0E&t=318s
ตอบสนองที่ต่างกัน1 โดยเป็นผลมาจากการรับสัญญาณและการส่งสัญญาณที่ต่างกัน 2. ครูตงั้ ค�าถามกระตุน้ ความคิดของนักเรียนก่อน
ยีสต์ขนมปัง (Saccharomyces cerevisiae) เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่มนุษย์ยังไม่สามารถ เข้าสู่บทเรียน ตัวอย่างเช่น
จ�าแนกเพศได้ แต่พบว่ายีสต์สามารถจับคู่กับเพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์กันได้ ซึ่งเซลล์ยีสต์ จะ ï• เซลลตางๆ มีการสื่อสารกันอยางไร
หลั่งสารเคมีบางชนิดออกมาเพื่อสื่อสารให้อีกเซลล์หนึ่งรับรู้ได้ว่าต้องการจะจับคู่กัน (แนวตอบ : เซลลมีการสื่อสารกันโดยใชสาร
ตัวรับสาร α สาร α เคมี และกระแสประสาท)
ï• เพราะเหตุ ใ ดเซลล จึ ง ต อ งมี ก ารสื่ อ สาร
ระหวางกัน
(แนวตอบ : เซลลมกี ารสือ่ สารระหวางกันเพือ่
ตัวรับสาร a
ยีสต์เซลล์ a สาร a ยีสต์เซลล์ α
การทํางานรวมกันและประสานกันได)
เกิดการรวมตัวกันของเซลล์ยีสต์ a และเซลล์ยีสต์ α
ได้เซลล์ใหม่ที่มีนิวเคลียสของเซลล์ยีสต์ a และเซลล์ยีสต์ α
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให้นกั เรียนศึกษาเรือ่ ง การสือ่ สารระหว่างเซลล์ เซลล์ของสัตว์จะรวมกลุ่มกันเป็นเนื้อเยื่อเช่นกัน โดยที่
ยีสต์ เซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ จากหนังสือเรียน เยื่อหุ้มเซลล์จะมีโปรตีนอยู่ ซึ่งโปรตีนนี้มีช่องเล็ก ๆ เชื่อมกับ
ชีววิทยา ม. 4 เล่ม 1 เซลล์ข้างเคียง เรียกว่า แกป จังก์ชัน (gap junction) เป็นช่องที่
2. ครูอาจเปดคลิปวิดโี อเกีย่ วกับเรือ่ ง การสือ่ สาร สารเคมีโมเลกุลขนาดเล็ก เช่น กรดอะมิโน มอโนแซ็กคาไรด์
ระหว่างเซลล์ การสือ่ สารระยะไกล ให้นกั เรียน แกป จังก์ชัน ไอออนต่าง ๆ เป็นต้น สามารถเคลื่อนผ่านจากเซลล์หนึ่งไปยัง
ศึกษาเพือ่ เพิม่ เติมความรูจ้ ากเนือ้ หาในบทเรียน ที่เยื่อหุ้มเซลล์ เซลล์ข้างเคียงได้
เช่น https://www.youtube.com/watch? ภาพที่ 3.42 การสื่อสารระหว่าง เซลล์ประสาท (nerve cell) ของสัตว์สามารถสื่อสารและ
เซลล์สัตว์ น�ากระแสประสาทได้ โดยเซลล์ประสาททีเ่ ชือ่ มต่อกันจะหลัง่ สาร
v=th5qAUhnXYU ออกมาเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ประสาทอีกเซลล์หนึ่งท�างานต่อไป
เดนไดรต์
แอกซอน
ไขสันหลัง
เซลล์ประสาทสั่งการ
เซลล์ประสาทรับความรู้สึก
กระแสประสาท
จากหน่วยรับ กล้ามเนื้อหดตัว
ความรู้สึก ภาพที่ 3.44 การสื่อสารระหว่างเซลล์ที่อยู่ไกลกันโดยผ่านทางเซลล์ประสาท
106
T118
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
นอกจากนี้ เซลล์ยังมีการสื่อสารกันโดยใช้การหลั่งฮอร์โมน ซึ่งต่อมไร้ท่อจะสร้างและหลั่ง 1. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
ฮอร์โมนส่งไปตามกระแสเลือด เมื่อไปยังเซลล์ของอวัยวะเป้าหมายก็จะสามารถตอบสนองการ นักเรียน โดยให้นักเรียนทั้งห้องร่วมกันตอบ
กระตุน้ นัน้ ได้ เช่น การท�างานของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าทีไ่ ปกระตุน้ การเจริญของไข่ใน เช่น
1
รังไข่ หรือกรณีที่ร่างกายขาดน�้า สมองส่วนไฮโพทาลามัสจะกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนท้าย ให้หลั่ง ï• เซลลของสิ่งมีชีวิตหลายเซลลที่อยูไกลกัน
2
แอนติไดยูเรติกฮอร์โมนเพื่อให้มีการดูดกลับน�้าที่บริเวณท่อหน่วยไตมากขึ้น เป็นต้น มีการสื่อสารกันอยางไร
( แนวตอบ สื่ อ สารกั น โดยใช ส ารเคมี ห รื อ
ฮอรโมน และผานกระแสประสาท)
ï• การสื่อสารระหวางเซลลพืชโดยฮอรโมนนั้น
ฮอรโมนพืชลําเลียงไปยังสวนตางๆ ของพืช
ไดอยางไร
ไฮโพทาลามัส (แนวตอบ ลําเลียงไปตามทอลําเลียงนํ้าหรือ
ทอลําเลียงอาหาร หรือลําเลียงจากเซลลหนึง่
เมื่อร่างกายขาดน�้า เมื่อร่างกายได้รับน�้ามาก ผานไปยังเซลลหนึง่ โดยตรง หรือลําเลียงโดย
การแพรผา นไปทางอากาศ)
กระตุ้น ยับยั้ง 2. ให้นักเรียนศึกษาขั้นตอนการสื่อสารระหว่าง
ต่อมใต้สมองส่วนท้าย เซลล์ จากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม. 4 เล่ม 1
หลั่ง ไม่หลั่ง 3. ครู ตั้ ง ค� า ถามเกี่ ย วกั บ ขั้ น ตอนการสื่ อ สาร
แอนติไดยูเรติกฮอร์โมน (ADH) ระหว่างเซลล์ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
นักเรียน
•ï การสือ่ สารระหวางเซลลมกี ขี่ นั้ ตอน อะไรบาง
(แนวตอบ 3 ขัน้ ตอน ไดแก 1. การรับสัญญาณ
2. การสงสัญญาณ 3. การตอบสนอง)
ï• เซลล ทุ ก ชนิ ด มี ก ารตอบสนองเหมื อ นกั น
หน่วยไตดูดน�้ากลับมาก ปัสสาวะน้อย หน่วยไตดูดน�้ากลับน้อย ปัสสาวะมาก
หรือไม อยางไร
(แนวตอบ ไมเหมือนกัน โดยขึน้ อยูก บั การรับ
ภาพที่ 3.45 กลไกการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนท้าย
สัญญาณและการสงสัญญาณ ซึง่ เซลลแตละ
เซลล์พืชก็มีการสื่อสารโดยใช้ฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนพืชจะล�าเลียงจากต�าแหน่งที่ถูกสร้างขึ้น ชนิดมีโปรตีนตัวรับตางชนิดกัน จึงตอบสนอง
ผ่านไปทางท่อล�าเลียงน�า้ หรือท่อล�าเลียงอาหาร แต่สว่ นใหญ่แล้วฮอร์โมนจะล�าเลียงจากเซลล์หนึง่ ตอสารตางชนิดกัน)
ไปยังอีกเซลล์หนึ่งโดยตรง หรืออาจแพร่ผ่านไปทางอากาศ
เซลล์ 107
ของสิ่งมีชีวิต
T119
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
1. ครู ตั้ ง ค� า ถามเพื่ อ ให้ นั ก เรี ย นได้ ร ่ ว มกั น คิ ด จะเห็นได้ว่าเซลล์ของสิ่งมีชีวิตสามารถสื่อสารกันได้ ซึ่ง
ตอบสนอง
วิเคราะห์ ดังนี้ การสื่อสารระหว่างเซลล์นี้สามารถสรุปได้ 3 ขั้นตอน ดังนี้
ï• การสื่อสารระหวางเซลลมีบทบาทตอการ 1) กำรรับสัญญำณ (reception) เป็นการที่เซลล์ของ
ดํารงชีวิตของสิ่งมีวิตอยางไร อวัยวะเป้าหมายรับสัญญาณจากภายนอกเซลล์ โดยโปรตีนที่
(แนวตอบ การสือ่ สารระหวางเซลลเปนกลไก เซลล์ที่มีตัวรับ เยื่อหุ้มเซลล์รับสัมผัสสารที่มากระตุ้น หรือโปรตีนในเซลล์รับ
ที่สิ่งมีชีวิตตอบสนองตอการเปลี่ยนแปลง สัญญาณการกระตุ้น เพื่อท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
สภาพแวดลอม และตอบสนองความตองการ 2) กำรสงสัญญำณ (signal transduction) เมื่อเซลล์
ในการดํารงชีวติ ) ได้รับสัญญาณการกระตุ้นแล้ว จะแปลผลสัญญาณแล้วส่งต่อไป
เซลล์ที่ไม่มีตัวรับ
2. ให้นักเรียนเขียนผังมโนทัศน์ เรื่อง การสื่อสาร ยังเซลล์อื่น ๆ ซึ่งการส่งสัญญาณอาจมีเพียงขั้นตอนเดียวหรือ
หลอดเลือด
ระหว่างเซลล์ ฮอร์โมน
หลายขั้นตอนที่สลับซับซ้อนก็ได้
3. ครูอาจให้นักเรียนที่มีความสนใจเรื่องนี้เป็น 3) กำรตอบสนอง (response) เป็นขัน้ ตอนทีเ่ ซลล์ของ
พิเศษ แบ่งกลุ่มเพื่อสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการ อวัยวะเป้าหมายตอบสนองต่อสัญญาณทีไ่ ด้รบั เช่น การสังเคราะห์
โปรตีน การน�ากลูโคสเข้าสู่เซลล์ การแบ่งเซลล์ เป็นต้น
สือ่ สารระหว่างเซลล์ แล้วสรุปความรูใ้ นรูปแบบ
เซลล์ของต่อมไร้ท่อ จะเห็นได้ว่าเซลล์แต่ละเซลล์จะมีการตอบสนองที่ต่างกัน
ที่น่าสนใจ
ซึ่งเป็นผลจากการรับสัญญาณและการส่งสัญญาณที่ต่างกัน
4. ครูมอบหมายให้นักเรียนท�าแบบฝกหัด ใน ภาพที่ 3.46 การสือ่ สารระหว่าง โดยเซลล์ชนิดหนึ่งจะตอบสนองต่อสารที่มากระตุ้นอย่างหนึ่ง
แบบฝกหัด ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 เซลล์โดยใช้ฮอร์โมน
แต่จะไม่ตอบสนองต่อสารตัวอื่น ๆ ทั้งนี้เนื่องมาจากแต่ละเซลล์
มีโปรตีนตัวรับที่แตกต่างกัน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบค�าถาม ภายนอกเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม
และการร่วมกันท�าผลงาน
1. การรับสัญญาณ 2. การส่งสัญญาณ 3. การตอบสนอง
2. ครูตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง การสื่อสารระหว่าง
เซลล์
เซลล์มีการ
3. ครูตรวจสอบผลการท�าแบบฝกหัด เซลล์เปาหมาย
ตอบสนอง
โมเลกุลของสารเคมีหลายชนิดเกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณ
โมเลกุลสัญญาณ
108
2. การสงสัญญาณ เปนการที่เซลลเปลี่ยนรูปสัญญาณแลวสง
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
ไปยังเซลลอื่นๆ
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
ประเด็นที่
ประเมิน
1. ความ
4
ผลงานสอดคล้องกับ
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์
3
ผลงานสอดคล้องกับ
ระดับคะแนน
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้องกับ
3.การตอบสนอง เปนขัน้ ทีเ่ ซลลของอวัยวะเปาหมายแสดงออก
เพือ่ ตอบสนองตอสัญญาณทีไ่ ดรบั เชน การหลัง่ สารออกจากเซลล
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
การเปลี่ยนแปลงรูปรางของเซลล)
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก น่าสนใจ และไม่แสดงถึง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ ใหม่ แนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T120
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
ทําไมเซลลจงึ ตองมีการ 5. การแบ่งเซลล์ 1. ครู ก ระตุ ้ น ความสนใจของนั ก เรี ย นเพื่ อ เข้ า
แบงเซลล สู่เนื้อหา โดยการเปดภาพยนตร์สารคดีสั้น
กำรแบงเซลล์ (cell division) เป็นกระบวนการเพิม่ จ�านวน
เซลล์ ซึง่ ท�าให้สงิ่ มีชวี ติ มีการเจริญเติบโต หรือเป็นการแบ่งเซลล์ TWIG เรื่อง การแบ่งเซลล์ : ไมโทซิส https://
เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งในเซลล์โพรแคริโอต เช่น แบคทีเรีย มีการแบ่งเซลล์ออกเป็นสองส่วน www.twig-aksorn.com/film/cell-division-
(binary fission) ส่วนเซลล์พวกยูแคริโอต การแบ่งเซลล์จะประกอบด้วยกระบวนการ 2 ขั้นตอน mitosis-7926/ จากนั้นตั้งค�าถามให้นักเรียน
คือ การแบ่งนิวเคลียส และการแบ่งไซโทพลาซึม ร่วมกันอภิปราย
กำรแบงนิวเคลียส (karyokinesis) มี 2 แบบ ดังนี้ ï• การแบ่งเซลล์มปี ระโยชน์ตอ่ สิง่ มีชวี ติ อย่างไร
1) กำรแบงนิวเคลียสแบบไมโทซิส (mitosis) เรียกการแบ่งเซลล์แบบนี้ว่า การแบ่งเซลล์ ï• เซลล์ ทุ ก ชนิ ด มี ก ารแบ่ ง เซลล์ ใ นลั ก ษณะ
แบบไมโทซิส ซึ่งจะได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ที่มีโครโมโซมเท่ากับเซลล์เดิม เดียวกันหรือไม่ อย่างไร
2) กำรแบงนิวเคลียสแบบไมโอซิส (meiosis) เรียกการแบ่งเซลล์แบบนี้ว่า การแบ่งเซลล์ ï• การแบ่งเซลล์เกิดขึ้นเมื่อใด
แบบไมโอซิส ซึ่งจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม 2. ครูอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับการแบ่งเซลล์ว่า
กำรแบงไซโทพลำซึม (cytokinesis) มี 2 แบบ ดังนี้ ประกอบด้วย 2 ขัน้ ตอน คือ การแบ่งนิวเคลียส
1) แบบกำรเกิดรองหรือกำรคอด (furrow type) เป็นการที่เยื่อหุ้มเซลล์คอดเข้าหากันจาก และการแบ่งไซโทพลาซึม ซึง่ การแบ่งนิวเคลียส
ทั้ง 2 ด้าน เข้าสู่กลางเซลล์ซึ่งพบในเซลล์สัตว์ มี 2 แบบ คือ การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส
2) แบบกำรเกิดแผนเยื่อเซลล์ (cell plate type) จะมีการสร้างแผ่นเยื่อเซลล์ โดยก่อตัวที่ กับการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโอซิส ซึ่งการแบ่ง
กลางเซลล์และขยายออกไปทั้ง 2 ด้านของเซลล์ ซึ่งพบในเซลล์พืช นิวเคลียสใช้เวลานานกว่าการแบ่งไซโทพลาซึม
การแบ่ ง เซลล์ เ ป็ น กระบวนการที่ เ กิ ด ขึ้ น โดย
มีขนั้ ตอนต่อเนือ่ งกัน ก่อนจะเกิดการแบ่งเซลล์นนั้
เซลล์จะมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อน โดย
ระยะจี 2
ระยะเวลาตั้งแต่การเตรียมตัวของเซลล์ G2 เฟส
ร ะย ะ
เมทำ
อินเตอร์เฟส
T121
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเพื่อท�ากิจกรรม เรื่อง การ การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของเซลล์ปลายรากหอม
ในหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 โดยให้ การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต
นักเรียนแต่ละกลุม่ ก�าหนดให้สมาชิกแต่ละคน ซึ่งจะเกิดขึ้นในเซลล์ร่างกาย (somatic cell)
มีบทบาทหน้าที่ของตนเอง ตัวอย่างเช่น
สมาชิกคนที่ 1 : ท�าหน้าทีเ่ ตรียมวัสดุอปุ กรณ์ 1 อินเตอร์เฟส (interphase)
เป็นระยะเตรียมตัวก่อนแบ่งเซลล์ เซลล์จะมีนิวเคลียส เซนทริโอล
สมาชิกคนที่ 2 : ท�าหน้าที่อ่านวิธีการท�า ขนาดใหญ่ เมื่อย้อมสีจะเห็นนิวคลีโอลัสชัดเจน ซึ่งแบ่ง
กิจกรรม และน�ามาอธิบายให้สมาชิกในกลุม่ ฟง ย่อยเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1
สมาชิกคนที่ 3 : ท�าหน้าที่บันทึกผลการท�า 1) ระยะจี 1 (G1 phase) หรือระยะก่อนสร้าง DNA
ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง เป็นระยะที่มีการสร้าง
กิจกรรม อาร์เอ็นเอและโปรตีน
สมาชิกคนที่ 4 : ท�าหน้าที่หาแหล่งข้อมูล 2) ระยะเอส (S phase) หรือระยะที่มีการสร้าง DNA ใช้
เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งมีการจ�าลองโครโมโซม
อ้างอิงเพื่อสนับสนุนผลการท�ากิจกรรม เพิ่มเป็น 2 เท่า 2
สมาชิกคนที่ 5 : ท�าหน้าทีน่ า� เสนอผลการท�า 3) ระยะจี 2 (G2 phase) หรือระยะหลังสร้าง DNA ใช้
เวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง เป็นระยะที่ยังคงมีการสร้าง
กิจกรรม RNA และโปรตีน
2. ในระหว่างท�ากิจกรรมครูควรชีแ้ นะให้นกั เรียน 3
2 โพรเฟส (prophase)
เปรี ย บเที ย บภาพเซลล์ ที่ เ ห็ น ได้ จ ากกล้ อ ง
เป็นระยะที่เห็นนิวเคลียสได้ชัดเจน นิวคลีโอลัสสลายไป เส้นใยสปินเดิล
จุลทรรศน์กับภาพในหนังสือเรียน หรือจาก เห็นโครโมโซมสั้นลง มีการสร้างเส้นใยสปินเดิล (spindle
แหล่งเรียนรู้ต่างๆ จากนั้นให้นักเรียนวาด fiber) โดยในเซลล์สตั ว์สร้างมาจากเซนทริโอล (centriole)
ภาพที่สังเกตได้และเขียนก�าลังขยายของภาพ ส่วนในเซลล์พืชสร้างมาจากขั้วเซลล์ (polar cap)
ก�ากับไว้ด้วย
3. ให้นกั เรียนแต่ละกลุม่ ศึกษาเรือ่ ง การแบ่งเซลล์
แบบไมโทซิส จากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 ภาพที่ 3.49 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
เล่ม 1 และอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุป 3 เมทาเฟส (metaphase) 4 แอนาเฟส (anaphase)
เป็นระยะที่เยื่อหุ้มนิวเคลียสสลายไป เส้นใยสปินเดิลจะ ระยะนีเ้ ส้นใยสปินเดิลจะหดตัวสัน้ และดึงโครมาทิดให้
จับโครโมโซมที่ไคนีโทคอร์ 1(kinetochore) ซึ่งเป็นโปรตีน แยกออกจากกันไปยังขั้วของเซลล์แต่ละด้าน ท�าให้
ที่อยู่บริเวณเซนโทรเมียร์ ((centromere) เซนทริโอล โครโมโซมแยกออกเป็น 2 กลุ่ม โดยโครโมโซมที่เกิด
เคลื่อนที่ไปยังขั้วเซลล์ที่อยู่ตรงข้ามกัน จากนั้นเส้นใย ใหม่หรือโครโมโซมลูก (daughter chromosome)
สปินเดิลดึงให้โครโมโซมเคลือ่ นทีม่ าเรียงตัวกันกลางเซลล์ แต่ละโครโมโซมจะประกอบด้วยโครมาทิด 1 เส้น
แต่ละโครโมโซมประกอบด้วย 2 โครมาทิด ซึ่งโครมาทิด
หดตัวสั้นมากขึ้น ท�าให้เห็นโครโมโซมมีขนาดใหญ่และ
ชัดเจน
110
การแบงเซลลแบบไมโทซิส
T122
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
1. ครูตั้งคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ
นักเรียน โดยใหนักเรียนรวมกันตอบ ดังนี้
เมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสแล้ว จะได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ที่มีจ�านวนโครโมโซม ï• เซลลทมี่ กี ารเปลีย่ นแปลงรูปรางไปทําหนาที่
เท่ากับเซลล์เดิม เฉพาะแลว สามารถแบงเซลลไดหรือไม
(แนวตอบ โดยปกติเซลลทมี่ กี ารเปลีย่ นแปลง
รูปรางไปทําหนาทีเ่ ฉพาะ จะไมแบงเซลลอกี
แต เ ซลล บ างชนิ ด สามารถแบ ง เซลล ใ หม
เพื่อทดแทนเซลลไดตลอดเวลา เชน เซลล
6
ผิวหนัง เซลลเยือ่ บุทางเดินอาหาร)
ï• การแบงเซลลของรากหอมในระยะเทโลเฟส
พบการเปลีย่ นแปลงใดเกิดขึน้ กับไซโทพลาซึม
(แนวตอบ ชวงปลายของระยะเทโลเฟสจะมี
การสรางแผนกั้นเซลลคั่นตรงกลางระหวาง
5
นิวเคลียสใหมทงั้ สอง)
ï• การแบงเซลลแบบไมโทซิสมีกระบวนการใด
4
ทีท่ าํ ใหนวิ เคลียสทีเ่ กิดใหมทงั้ 2 นิวเคลียส มี
ปริมาณสารพันธุกรรมหรือจํานวนโครโมโซม
เทากับเซลลเดิม
(แนวตอบ มีการสราง DNA เปน 2 เทา ทําให
แตละโครโมโซมประกอบดวย 2 โครมาทิด
ซึ่งการขดตัวของโครโมโซมและการเรียงตัว
ตรงกึ่งกลางเซลลในระยะเมทาเฟสทําใหมี
การแบงโครโมโซมเปน 2 กลุม งายขึน้ การ
ขดตัวของเสนใยสปนเดิลทําใหโครโมโซม
5 เทโลเฟส (anaphase) 6 การแบ่งไซโทพลาซึม (cytokinesis)
แตละนิวเคลียสมีจาํ นวนเทากัน)
เมื่อโครมาทิดถูกดึงแยกออกจากกันมาที่ขั้วของเซลล์แล้ว เมื่อมีการแบ่งนิวเคลียสเรียบร้อยแล้วจะมีการแบ่ง
เส้นใยสปินเดิลจะสลายไป โครมาทิดจะคลายตัวออกเป็น ไซโทพลาซึม ซึ่งจะแตกต่างกันในเซลล์พืช และ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปความรู
เส้นใยโครมาทิน มีการสังเคราะหนิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้ม- เซลล์สัตว์ จากการทํากิจกรรมและการศึกษาเพิม่ เติมจาก
นิวเคลียส ท�าให้เห็นเหมือนว่าเซลล์มี 2 นิวเคลียส • เซลล์สตั ว์ เยือ่ หุม้ เซลล์จะคอดเข้าหากัน ท�าให้ แหลงตางๆ เกี่ยวกับเรื่อง การแบงเซลลแบบ
เซลล์แยกออกเป็น 2 เซลล์ 1
• เซลล์พืช จะสร้างแผ่นกันเซลล์ ((cell plate) ไมโทซิส โดยมีแนวการสรุป ดังนี้
โดยเริ่ ม ต้ น จากกลางเซลล์ แ ล้ ว ขยายไปยั ง “การแบงเซลลแบบไมโอซิสเปนการแบงเซลล
ผนังเซลล์ จากนั้นจะสร้างเซลลูโลสสะสมที่ เพื่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเกิดขึ้น
แผ่นกั้นเซลล์ เกิดเป็นผนังเซลล์ใหม่
เซลล์ 111
ในเซลลรา งกาย ประกอบไปดวยระยะโพรเฟส
ของสิ่งมีชีวิต เมทาเฟส แอนาเฟส และเทโลเฟส เมื่อสิ้น
สุดการแบงเซลลจะไดเซลลใหม 2 เซลล ทีม่ ี
จํานวนโครโมโซมเทากับเซลลเดิม”
ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการแบงเซลลแบบไมโทซิส 1 แผนกั้นเซลล เกิดขึ้นจากการเชื่อมรวมกันของเวสิเคิลที่สรางมาจาก
1. ไดเซลลใหม 2 เซลล กอลจิคอมเพล็กซ จนเกิดเปนโครงสรางลักษณะคลายแผนสานกันไปมาอยู
2. ไมมีการเกิดครอสซิงโอเวอร ระหวางนิวเคลียสใหมท้ังสอง และจะคอยๆ ขยายไปเชื่อมติดกับเยื่อหุมเซลล
3. เปนการแบงเซลลเพื่อเพิ่มจํานวนเซลลสืบพันธุ ของเซลลตงั้ ตน ในขณะเดียวกันจะมีการสังเคราะหเพกทิน (pectin) เพิม่ ขึน้ และ
4. นิวเคลียสของเซลลใหมมีจํานวนโครโมโซมเทาเซลลเดิม ลําเลียงมาสะสมตามแนวแผนกัน้ เซลล จนกระทัง่ เกิดเปนผนังชัน้ มิดเดิลลาเมลลา
5. ทําใหสิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโตและเพิ่มขนาดของรางกาย (middle lamella) และจากนั้ น จะมี ก ารสร า งผนั ง เซลล ทั้ ง สองข า งของ
(วิเคราะหคําตอบ การแบงเซลลแบบไมโทซิสเปนการแบงเซลล มิดเดิลลาเมลลา
รางกาย ซึง่ ไมมกี ารเกิดครอสซิงโอเวอร เมือ่ สิน้ สุดการแบงเซลลได
เซลลใหม 2 เซลล ที่นิวเคลียสมีจํานวนโครโมโซมเทากับเซลลเดิม
โดยการแบงเซลลแบบนี้จะมีผลทําใหสิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโต
เพิ่มขนาดของรางกาย ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ใหนักเรียนกลุมเดิมจากการทํากิจกรรมเมื่อ การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
ชั่วโมงที่แลว รวมกันศึกษาเรื่อง การแบงเซลล
แบบไมโอซิส ในหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เลม การแบงเซลลแบบไมโอซิส (meiosis) เปนการแบงเซลลเพื่อสรางเซลลสืบพันธุ ซึ่งหลังการ
1 หรือจากแหลงเรียนรูตางๆ แลวแลกเปลี่ยน แบงเซลลสิ้นสุดลง จะไดเซลลใหม 4 เซลล โดยแตละเซลลจะมีจํานวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง
ความรูซึ่งกันและกัน ของเซลลเดิม
2. ครูอาจเสริมสรางความเขาใจของนักเรียนดวย
การเปดคลิปวิดีโอสารคดีสั้น TWIG เรื่อง การ ไมโอซิส I (meiosis I)
อินเตอร์เฟส I (interphase I) 1
แบงเซลล : ไมโอซิส https://www.twig-ak- จะสงผลใหมีจํานวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง หรือแยกโครโมโซม
เซลลจะเตรียมพรอมกอนเขาสู คูเหมือนออกจากกัน ซึ่งอาจเรียกขั้นตอนนี้วา ระยะการลดลงของ
sorn.com/fifilm/cell-division-meiosis-8077/ กระบวนการแบงเซลล โดยการจําลอง โครโมโซม (reductional division)
3. ใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรม เรื่อง การ โครโมโซม ทําใหแตละโครโมโซม
แบงเซลลแบบไมโอซิสของเซลลดอกกุยชาย มี 2 โครมาทิด
โพรเฟส I (prophase I) 2
ในหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เลม 1 โดยให เยื่อหุมนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสสลายไป
นักเรียนแตละกลุม กําหนดใหสมาชิกแตละคน มีการสรางเสนใยสปนเดิล โครโมโซม 1
หดสั้นลง ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะ 1
มี บ ทบาทหน า ที่ ข องตนเอง (ไม ค วรซํ้ า กั บ อยูกันเปนคู อาจเกิดครอสซิงโอเวอร 2
กิจกรรมที่ผานมา) ตัวอยางเชน (crossing over)) ซึ่งบริเวณที่เกิดการ
ไขวกัน เรียกวา ไคแอสมา (chiasma)
สมาชิกคนที่ 5 : ทําหนาทีเ่ ตรียมวัสดุอปุ กรณ
สมาชิกคนที่ 4 : ทําหนาที่อานวิธีการทํา เมทาเฟส I (metaphase I) 3 3
เซนทริโอลเคลื่อนที่ไปยังขั้วเซลลที่อยู
กิจกรรม และนํามาอธิบายใหสมาชิกในกลุม ฟง ตรงขามกัน เสนใยสปนเดิลที่จับกับ
สมาชิกคนที่ 3 : ทําหนาที่บันทึกผลการทํา ฮอมอโลกัสโครโมโซมหดตัว จึงดึงให
ฮอมอโลกัสโครโมโซมเคลื่อนที่มา 4
กิจกรรม
เรียงตัวกันกลางเซลล
สมาชิกคนที่ 2 : ทําหนาที่หาแหลงขอมูล 5
แอนาเฟส I (anaphase I) 4
อางอิงเพื่อสนับสนุนผลการทํากิจกรรม ฮอมอโลกัสโครโมโซมแยกออกจากกัน 6
สมาชิกคนที่ 1 : ทําหนาทีน่ าํ เสนอผลการทํา ไปสูขั้วของเซลลทั้ง 2 ดาน โดยแตละ
กิจกรรม โครโมโซมยังคงมี 2 โครมาทิด
4. ใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรมตามขั้นตอน
ที่กําหนด เทโลเฟส I (telophase I) 5
โครโมโซมที่แยกออกจากกันไปอยูที่
5. ในระหว า งทํ า กิ จ กรรมครู ค วรชี้ แ นะให ขั้วเซลลจะสรางเยื่อหุมนิวเคลียสขึ้น แตละ
นั ก เรี ย นเปรี ย บเที ย บภาพเซลล ที่ เ ห็ น จาก นิวเคลียสมีโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง (n) ภาพที่ 3.50 การแบงเซลลแบบไมโอซิส
กลองจุลทรรศนกับภาพในหนังสือเรียน หรือ เกิดการแบงไซโทพลาซึม
จากแหลงเรียนรูตางๆ จากนั้นใหนักเรียนวาด 112
ภาพที่สังเกตไดและเขียนกําลังขยายของภาพ การแบงเซลลแบบไมโอซิส
กํากับไวดวย
T124
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
นักเรียน โดยให้นักเรียนร่วมกันตอบ ดังนี้
โครโมโซมทีเ่ ป็นคูก่ นั เรียกว่า ฮอมอโลกั1สโครโมโซม (homologous chromosome) โดยเซลล์ ï• การแบงเซลลแบบไมโอซิส เซลลใหมที่เกิด
ที่มีโครโมโซมเข้าคู่กัน เรียกว่า เซลล์ดิพลอยด์ (diploid) ซึ่งมีโครโมโซม 2 ชุด หรือ 2n ส่วนเซลล์ ขึน้ มีจาํ นวนโครโมโซมเปนอยางไรเมือ่ เทียบ
สืบพันธุ์ที่มีจ�านวนโครโมโซมเพียง 1 ชุด หรือ n เรียกว่าเซลล์แฮพลอยด์ (haploid) กับเซลลเดิม
(แนวตอบ เซลลใหมจะมีจาํ นวนโครโมโซมลด
ลงครึง่ หนึง่ เมือ่ เทียบกับเซลลเดิม)
ï• การแบงเซลลแบบไมโอซิส พบไดที่ไดบาง
(แนวตอบ บริเวณเนือ้ เยือ่ ทีเ่ จริญไปเพือ่ สราง
เซลลสบื พันธุ)
ï• ฮอมอโลกัสโครโมโซมคืออะไร และพบใน
6 โพรเฟส II (prophase II)
เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสเริ่ม
เซลลชนิดใด
สลายไป โครโมโซมหดสั้นลง มีการ (แนวตอบ เปนโครโมโซมที่ทีรูปรางลักษณะ
สร้างเส้นใยสปินเดิล เพื่อจับกับโครโมโซม เหมื อ นกั น และมี ยี น ที่ ค วบคุ ม ลั ก ษณะ
ที่บริเวณเซนโทรเมียร์
เดียวกันอยูในตําแหนงตรงกัน พบในเซลล
7 เมทาเฟส II (metaphase II)
ดิพลอยด หรือเซลลรา งกาย)
9 เซนทริโอลเคลื่อนที่ไปยังขั้วเซลล์ที่อยู่ ï• เซลล ดิ พ ลอยด ต า งจากเซลล แ ฮพลอยด
ตรงข้ามกัน เส้นใยสปินเดิลที่จับกับ อยางไร
โครโมโซมหดตัว จึงดึงให้โครโมโซม
เคลื่อนที่มาเรียงตัวกันกลางเซลล์ (แนวตอบ เซลลดพิ ลอยดมโี ครโมโซม 2 ชุด
8 หรือ 2n สวนเซลลแฮพลอยดมโี ครโมโซม 1
8 แอนาเฟส II (anaphase II) ชุด หรือ n)
7 เส้นใยสปินเดิลหดสั้น ดึงให้โครมาทิด ï• การเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสในการแบง
แยกออกจากกันไปยังขั้วของเซลล์
ซึ่งโครโมโซมที่แยกออกจากกันนี้ เซลลแบบไมโอซิสมีความแตกตางจากใน
ประกอบด้วย 1 โครมาทิด การแบงเซลลแบบไมโทซิสอยางไร
(แนวตอบ นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลง 2
9 เทโลเฟส II (telophase II) รอบ เมือ่ สิน้ สุดการแบงเซลลจงึ ไดเซลลใหม
โครโมโซมคลายเกลียวออกกลายเป็น
ไมโอซิส II (meiosis II) เส้นยาว มีนิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้มนิวเคลียส 4 เซลล)
เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากสิ้นสุดการแบ่งนิวเคลียส ï• การแบงเซลลแบบไมโอซิสเกิดขึ้นอยางเปน
เป็นระยะที่ต่อจากเทโลเฟส I ซึ่งในระยะ แบบไมโอซิสจะมีการแบ่งไซโทพลาซึมต่อไป
อินเตอร์เฟส II จะไม่มีการจ�าลองโครโมโซม เนื่องจาก วัฏจักรหรือไม
แต่ละเซลล์มีโครโมโซมที่ประกอบด้วย 2 โครมาทิดอยู่แล้ว
เซลล์ 113
(แนวตอบ ไมเปนวัฏจักร เพราะเซลลใหมที่
ของสิ่งมีชีวิต
ไดจากการแบงเซลลจะเจริญตอไปเปนเซลล
สืบพันธุ ซึง่ เซลลสบื พันธุจ ะไมแบงเซลลอกี )
T125
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
2. ให้นักเรียนศึกษาเปรียบเทียบการแบ่งเซลล์ ตารางที่ 3.1 : เปรียบเทียบการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส
แบบไมโทซิสกับแบบไมโอซิส โดยอาจศึกษา ไมโทซิส ไมโอซิส
จากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 หรือ เป็นการแบ่งเซลล์ร่างกาย เพื่อเพิ่มจ�านวนเซลล์ เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์
จากแหล่งเรียนรู้อื่นๆ แล้วอภิปรายเพื่อให้ได้ ซึ่งท�าให้สิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโต
ข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งมีแนวการสรุป ดังนี้ ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ที่มีจ�านวนโครโมโซม ได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีจ�านวนโครโมโซม
“การแบงเซลลแบบไมโทซิส เปนการแบง เท่าเดิม (2n) ลดลงครึ่งหนึ่ง (n)
เซลลรางกายเพื่อเพิ่มจํานวนเซลล ทั้งนี้เพื่อ เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งตัวแบบไมโทซิส เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นไม่สามารถแบ่งตัวแบบ
การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ไดเซลลใหม 2 ได้อีก ไมโอซิสได้ แต่แบ่งตัวแบบไมโทซิสได้
เซลล ที่มีจํานวนโครโมโซมเทากับเซลลเดิม เกิดขึ้นตั้งแต่ระยะไซโกต จนกระทั่งสิ่งมีชีวิตตายลง เกิดขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
สวนการแบงเซลลแบบไมโอซิส เปนการแบง ไม่มีการเกิดไซแนปส์ มีการเกิดไซแนปส์
เซลลเพื่อสรางเซลลสืบพันธุ ไดเซลลใหม 4 ไม่มีการเกิดไคแอสมา มีการเกิดไคแอสมา
เซลล ที่มีจํานวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อ ไม่มีการเกิดครอสซิงโอเวอร์ มีการเกิดครอสซิงโอเวอร์
เทียบกับเซลลเดิม ”
B iology 1
Focus โพรเฟส I
โพรเฟส I แบ่งออกเป็น 5 ระยะย่อย ดังนี้
1. เลปโททีน (leptotene) เป็นระยะที่มองเห็นนิวคลีโอลัสชัดเจน โครโมโซมจะมีลักษณะเป็น
สายยาวและสานกันไปมาไม่สม�่าเสมอ เมื่อย้อมสีบริเวณนี้จะติดสีเข้ม ซึ่งเรียกบริเวณนี้ว่า
โครโมนีมา (chromonema) ท�าให้เห็นโครโมโซมเป็นแท่งชัดเจน
2. ไซโกทีน (zygotene) โครโมโซมทีเ่ ป็นโครโมโซมคูเ่ หมือน (ฮอมอโลกัสโครโมโซม) จะจับคูก่ นั
เรียกว่า ไซแนปส์ (synapsis) เมื่อโครโมโซมไซแนปส์กันแล้วจะมีโครมาทิดทั้งหมด 4
โครมาทิด ซึ่งเรียกโครโมโซมที่ไซแนปส์กันแล้วว่า ไบวาเลนท์ (bivalent)
3. แพคีทีน (pachytene) โครโมโซมจะหดสัน้ และหนาขึน้ ท�าให้มองเห็นได้ชดั เจน จะมองเห็น
โครโมโซมแต่ละไบวาเลนท์ประกอบด้วย 4 โครมาทิด เรียกว่า เทแทรด (tetrad) โครมาทิด
ของโครโมโซมเดียวกัน เรียกว่า ซิสเตอร์โครมาทิด (sister chromotid) ส่วนโครมาทิดของ
โครโมโซมอืน่ ทีเ่ ป็นฮอมอโลกัสโครโมโซมกัน เรียกว่า นอนซิสเตอร์โครมาทิด (nonsister
chromotid)
4. ดิโพลนีมำ (diplonema) นิวคลีโอลัสจะลดขนาดลง ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกตัวออกจากกัน
แต่มบี างส่วนยังคงติดกันอยู่ โดยเรียกส่วนทีต่ ดิ กันนีว้ า่ ไคแอสมา (chiasma) ซึง่ เป็นบริเวณ
ที่อาจจะเกิดการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนของนอนซิสเตอร์โครมาทิดที่เรียกว่า ครอสซิงโอเวอร์
(crossing over)
5. ไดอะคิเนซิส (diakinesis) ไคแอสมาจะเคลื่อนที่ไปอยู่ที่ส่วนปลายของโครโมโซม เนื่องมา
จากการหดตัวของโครโมโซม นิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้มเซลล์เริ่มสลายไป
114
T126
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
• การสังเกต 1. ให นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม สร า งโมเดลแทนระยะ
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของเซลล์ปลายรากหอม • การลงความเห็นจากข้อมูล
ตางๆ ของการแบงเซลล โดยเลือกอุปกรณตาม
จิตวิทยำศำสตร์ ความเหมาะสม จากนั้นวางโมเดลไวโดยไม
วัสดุอปุ กรณ์และสำรเคมี • ความสนใจใฝ่รู้ เรียงลําดับระยะ แลวใหนักเรียนกลุมอื่นๆ มา
• ความรับผิดชอบ
จัดเรียงโมเดลใหเปนไปตามระยะตางๆ ของ
1. ใบมีดโกน 6. คีมคีบ (forcep) 10. น�้ากลั่น
2. หลอดหยด 7. ตะเกียงแอลกอฮอล์ 11. กระดาษทิชชู การแบงเซลลใหถูกตอง
3. หัวหอมแดง 8. ดินสอไม้ชนิดที่มียางลบ 12. สีอะซีโทคาร์มีน เข้มข้น 0.5% 2. ให นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม นํ า เสนอผลงานของ
4. บีกเกอร์ขนาด 50 ml 9. สไลด์และกระจกปิดสไลด์ 13. กรดไฮโดรคลอริก เข้มข้น 1 โมล/ลิตร ตนเองโดยการใชเทคโนโลยีเขามาเกี่ยวของ
5. กล้องจุลทรรศน์
เชน อาจถายภาพผลงานแลวนําเสนอในรูป
วิธปี ฏิบตั ิ แบบ PowerPoint จัดทําคลิปวิดีโอ หรือใน
1. เพาะหอมแดงโดยวางบนบีกเกอร์ที่มีน�้าอยู่ จนรากงอกยาวประมาณ 1- 2 ซม. รูปแบบแอนิเมชันที่นาสนใจ
2. ตัดปลายรากหอมยาวประมาณ 0.5 ซม. วางบนสไลด์ หยดกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 1 โมล/ลิตร ให้ท่วม
ผ่านสไลด์บนเปลวไฟ 3- 4 ครั้ง (ระวังอย่าให้กรดไฮโดรคลอริกแห้ง) แล้วล้างกรดไฮโดรคลอริกออกโดย
หยดน�้ากลั่นลงบนสไลด์และเทออก 2- 3 ครั้ง
3. ใช้กระดาษทิชชูซับน�้าให้แห้ง แล้วหยดสีอะซีโทคาร์มีนเข้มข้น 0.5% ให้ท่วม ผ่านสไลด์บนเปลวไฟ
(ระวังอย่าให้สีเดือดและแห้ง) แล้วปิดด้วยกระจกปิดสไลด์
4. ใช้ดินสอด้านที่มียางลบอยู่เคาะเบา ๆ บนกระจกปิดสไลด์ เพื่อให้เซลล์กระจาย แล้วใช้กระดาษทิชชูซับ
บริเวณข้าง ๆ กระจกปิดสไลด์ให้แห้ง
5. น�าสไลด์ไปศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ สังเกตความแตกต่างของเซลล์แต่ละเซลล์ แล้วบันทึกภาพหรือ
วาดภาพเซลล์ที่มีการแบ่งเซลล์ในระยะต่าง ๆ
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
?
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยขึ้นอยู
1. จากการศึกษาเซลล์ปลายรากหอมด้วยกล้องจุลทรรศน์ นักเรียนพบเซลล์ในระยะใดมากที่สุด กับผลการทํากิจกรรม
2. การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์แตกต่างกันอย่างไร 2. ในเซลล พื ช ไม มี เ ซนทริ โ อลแต มี เ ส น ใย
3. หากเซลล์ชนิดหนึง่ มีโครโมโซม 6 โครโมโซม หลังจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส จะได้เซลล์ใหม่กี่เซลล์ สป น เดิ ล กระจายออกจากขั้ ว เซลล ทั้ ง สอง
และเซลล์ใหม่มีจ�านวนโครโมโซมเท่าใด
ข า ง และในระยะเทโลเฟส เซลล พื ช จะมี
อภิปรายผลกิจกรรม แผนกั้นเซลลเกิดขึ้นบริเวณตรงกลางระหวาง
บริเวณปลายรากหอมเป็นบริเวณทีม่ กี ารแบ่งเซลล์ตลอดเวลา จึงเหมาะทีจ่ ะใช้ในการศึกษาเซลล์ ซึง่ จาก โครโมโซม 2 กลุม ซึ่งตอมาจะกลายเปน
กิจกรรมที่มีการล้างเซลล์ด้วยกรดไฮโดรคลอริกนั้น เพื่อท�าให้ผนังเซลล์อ่อนตัวและเซลล์แยกจากกันได้ง่าย ผนังเซลล สวนในเซลลสัตวจะมีเซนทริโอล
การหยดสีอะซีโตนคาร์มีนลงไปบนเซลล์ เพื่อช่วยให้เห็นโครโมโซมได้ชัดเจนขึ้น การผ่านสไลด์บนเปลวไฟ
จะช่วยให้สีย้อมติดได้ดีขึ้น ที่สรางเสนใยสปนเดิล และในระยะเทโลเฟส
การสังเกตเซลล์ปลายรากหอมภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พบว่า เซลล์มีขนาดแตกต่างกัน และนิวเคลียส ไซโทพลาซึมจะคอดเขาหากันบริเวณตรงกลาง
ของแต่ละเซลลล์มีลักษณะแตกต่างกัน ซึ่งลักษณะดังกล่าวนั้นเนื่องมาจากการแบ่งเซลล์ ระหวางโครโมโซม 2 กลุม
เซลล์ 115
ของสิ่งมีชีวิต
3. ไดเซลลใหม 2 เซลล แตละเซลลมี 6 โครโมโซม
T127
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
1. ใหนกั เรียนรวมกันสรุปความรูว า การแบงเซลล • การสังเกต
วิธปี ฏิบตั ิ
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล 1. วางอับเรณูของดอกกุยช่าย 1- 2 อัน ลงบนสไลด์ที่สะอาด ใช้ปลายแท่งแก้วคนสาร (ด้านทู่) บดอับเรณู
ของดอกกุยช่ายให้เซลล์กระจายออกจากกัน
1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบคําถาม 2. หยดสีอะซีโทคาร์มนี เข้มข้น 0.5% 1 หยด บนอับเรณู อุน่ สไลด์ให้รอ้ นเหนือเปลวไฟบนตะเกียงแอลกอฮอล์
การรวมกันทําผลงาน และการนําเสนอผลงาน (ระวังอย่าให้เดือด และสังเกตจนกระทั่งฟองอากาศเริ่มเคลื่อนมาที่ขอบ) แล้วปิดด้วยกระจกปิดสไลด์
2. ครูวัดและประเมินการปฏิบัติการ จากการทํา 3. พับกระดาษทิชชูให้ซ้อนกันหนา ๆ วางสไลด์ลงไประหว่างกระดาษทิชชูที่พับ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือกดบน
กิจกรรม เรือ่ ง การแบงเซลลแบบไมโทซิสของ บริเวณกระจกปิดสไลด์ที่มีกระดาษทิชชูหุ้มอยู่ (ระวังอย่าให้กระจกปิดสไลด์เลื่อน)
4. ใช้กระดาษทิชชูเช็ดขอบสไลด์ แล้วน�าสไลด์ไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ สังเกตความแตกต่างของเซลล์
เซลลปลายรากหอม และการแบงเซลลแบบ แต่ละเซลล์ แล้วบันทึกภาพหรือวาดภาพเซลล์ที่มีการแบ่งเซลล์ในระยะต่าง ๆ
ไมโอซิสของเซลลดอกกุยชาย
3. ครูตรวจผลงานจากการทําโมเดลการแบงเซลล ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
4. ครูตรวจสอบผลการทําแบบฝกหัด ?
1. จากการศึกษาการแบ่งเซลล์ของเซลล์ดอกกุยช่าย แตกต่างจากการแบ่งเซลล์ของเซลล์ปลายรากหอมอย่างไร
2. เหตุใดเซลล์ที่เกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจึงมีจ�านวนโครโมโซมต่างจากเซลล์เดิม
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 3. หากเซลล์ชนิดหนึ่งมีโครโมโซมเป็น 2 n = 8 เมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส จะได้เซลล์ที่มีจ�านวน
โครโมโซมเท่าใด จงอธิบายพร้อมเขียนแผนภาพประกอบ
1. การแบงเซลลของเซลลดอกกุยชาย จะเกิดการ
แบงนิวเคลียส 2 รอบ จึงไดเซลลลูก 4 เซลล อภิปรายผลกิจกรรม
2. เพราะมีการแบงนิวเคลียส 2 ครัง้ โดยครัง้ แรก
เซลล์ที่เกิดจาการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจะมีจ�านวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม เพราะมีการ
แบงฮอมอโลกัสโครโมโซม สวนครั้งที่สองแบง แบ่งนิวเคลียส 2 ครั้ง แต่เนื่องจากกล้องจุลทรรศน์บางตัวอาจมีก�าลังขยายไม่สูงนัก จึงท�าให้ไม่อาจนับจ�านวน
โครมาทิดของแตละโครโมโซม 4 n โครโมโซมในนิวเคลียสของแต่ละเซลล์ได้ ดังนัน้ การศึกษาการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจึงควรเปรียบเทียบภาพที่
3. ไดเซลลใหม 4 เซลล 4 เห็นจากกล้องจุลทรรศน์กับภาพประกอบในหนังสือเรียน เพื่อให้ทราบได้ว่าเป็นการแบ่งเซลล์ในระยะใด
n 4 n
แตละเซลลมี 4 8
2n 4 n 116
โครโมโซม ดังภาพ 4
n 4 n
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-12 ดีมาก 14-16 ดีมาก
9-10 ดี 11-13 ดี
6-8 พอใช้ 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T128
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
หลังจากแบงเซลล เซลล 6. การเปลี่ยนสภาพของเซลล์และ ครูใช้ค�าถามกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียน
ใหมจะมีการเปลีย่ นแปลง การชราภาพของเซลล์ ï• เซลลทุกชนิดมีลักษณะเหมือนกันหรือไม
อีกหรือไม อยางไร
สิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เมื่อไข่และอสุจิ (แนวตอบ ไมเหมือนกัน เซลลแตละชนิดจะ
ปฏิสนธิกันจะได้เซลล์ใหม่ คือ ไซโกต (zygote) ซึ่งมีเพียง
มีลกั ษณะรูปรางแตกตางกัน เพราะมีหนาที่
เซลล์เดียว ต่อมาไซโกตจะแบ่งตัวเพิ่มจ�านวนเซลล์มากขึ้น หลังจากนั้นเซลล์ใหม่ที่ได้แต่ละเซลล์
ตางกัน)
จะเปลี่ยนสภาพเพื่อไปท�าหน้าที่ต่าง ๆ และเมื่อเซลล์มีอายุมากขึ้นก็จะเกิดการชราภาพของเซลล์
ï• การเปลี่ยนสภาพของเซลลเกิดขึ้นเมื่อใด
6.1 การเปลี่ยนสภาพของเซลล์ (แนวตอบ หลังการแบงเซลล)
เมื่อผ่านกระบวนการแบ่งเซลล์แล้ว เซลล์แต่ละชนิดจะมีการเปลี่ยนสภาพไป สิ่งมีชีวิต
เซลล์เดียวมีก1ารเปลี่ยนสภาพของเซลล์ไปเพื่อท�าหน้าที่ต่าง ๆ เช่น ในเซลล์แบคทีเรียมีการสร้าง ขัน้ สอน
เอนโดสปอร์ (endospore) ที่ช่วยท�าให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ในสาหร่าย สํารวจค้นหา
สีเขียวแกมน�า้ เงินจะสร้างเซลล์พเิ ศษทีเ่ รียกว่า เฮเทอโรซิสต์ (heterocyst) ซึง่ มีผนังหนาและสามารถ 1. ให้นักเรียนศึกษาเรื่อง การเปลี่ยนสภาพของ
จับแกสไนโตรเจนในอากาศแล้วเปลีย่ นเป็นสารประกอบไนโตรเจนทีม่ ปี ระโยชน์ตอ่ เซลล์ได้ ในสัตว์ เซลล์และการชราภาพของเซลล์ จากหนังสือ
มีเซลล์เม็ดเลือดแดงซึ่งท�าหน้าที่น�าส่งออกซิเจน เซลล์ประสาทท�าหน้าที่น�าส่งกระแสประสาท เรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1
ส่วนในพืช มีกลุ่มเซลล์ที่ท�าหน้าที่ล�าเลียงน�้าและอาหาร เป็นต้น
2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลที่
จะเห็นได้ว่า เซลล์ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว ซึ่งจะมี
เกิดขึน้ กับร่างกายเมือ่ เซลล์มกี ารเปลีย่ นสภาพ
การเปลี่ยนสภาพไปท�าหน้าที่ต่าง ๆ กัน เพื่อท�าให้สิ่งมีชีวิตนั้นสามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ภายใน
สภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุป
ข
อธิบายความรู้
ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
นักเรียน
เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือดขาว ï• การชราภาพของเซลลเกิดขึ้นไดอยางไร
(แนวตอบ มีการขาดหายไปของสวนปลาย
โครโมโซมทุกครั้งที่มีการแบงเซลล ซึ่งสวน
ทีข่ าดหายไปนีอ้ าจจะเปนสวนทีค่ วบคุมการ
เปลีย่ นสภาพของเซลล)
เซลล์ประสาท เซลล์เยื่อบุผิว
ภาพที่ 3.51 ตัวอย่างเซลล์ที่เปลี่ยนสภาพไปเพื่อท�าหน้าที่เฉพาะ
แนวตอบ Prior Knowledge
เซลล์ 117
ของสิ่งมีชีวิต
เซลลจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อทําหนาที่
เฉพาะ
T129
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
1. ครูอธิบายเพิม่ เติมเกีย่ วกับความชราในเด็กหรือ 6.2 การชราภาพของเซลล์
กลุม่ อาการโปรเจเรียว่า เกิดจากการกลายของ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีอายุขัยจ�ากัด บางชนิดอายุสั้น บางชนิดอายุยืน โดยจากการศึกษาพบว่า
ยีน ซึ่งท�าให้เซลล์ชราภาพเร็วกว่าปกติ อายุขัยที่จ�ากัดนั้นเป็นผลเนื่องจากการชราภาพของเซลล์ ซึ่งเซลล์ที่มีอายุมากขึ้น จะมีการสะสม
2. ให้นกั เรียนแบ่งกลุม่ ศึกษาเพิม่ เติมเกีย่ วกับกลุม่ ของเสียมากขึ้น ท�าให้เซลล์เสื่อมสภาพ ประสิทธิภาพในการท�างานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
อาการโปรเจเรีย จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ แล้ว ลดลงและตายในที่สุด นักวิทยาศาสตร์พบว่า เซลล์ชราภาพจะมีบริเวณส่วนปลายของโครโมโซม
สรุปความรู้มาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน สั้นลงทุกครั้งเมื่อมีการแบ่งเซลล์ จึงเป็นไปได้ว่า บริเวณส่วนปลายที่สั้นลงนี้ เป็นส่วนที่ท�าหน้าที่
ควบคุมการปรับสภาพของเซลล์
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
การชราภาพของเซลล์ ประสิทธิภาพการ
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มร่วมกันสรุปความรู้เรื่อง ทีเ่ กีย
่ วกับปจจัยภายนอก ท�างานของเซลล์ลดลง
การเปลี่ยนสภาพของเซลล์ และการชราภาพ
การได้รับสารพิษต่าง ๆ เช่น 1. การสังเคราะห์โปรตีนลดลง ท�าให้
ของเซลล์ ในรูปแบบผังมโนทัศน์ แอลกอฮอล์ ควัน บุหรี่ อนุมลู อิสระ ซึง่ กิจกรรมต่างๆ ภายในเซลล์ที่
2. ครูมอบหมายให้นักเรียนท�าแบบฝกหัด ใน ท�าให้ DNA เกิดมิวเทชัน รวมทั้งการ เกี่ยวข้องกับโปรตีนลดลง
เปลี่ยนแปลงของโปรตีนบางชนิดใน 2. ความว่องไวในการท�างานต�่าลง
แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 เซลล์ ท�าให้สมบัติของเซลล์เปลี่ยนไป เนื่องจากประสิทธิภาพในการ
3. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบค�าถาม ท�างานของไมโทคอนเดรียลดลง
และการร่วมกันท�าผลงาน ดังนั้น การสังเคราะห์สารพลังงาน
(ATP) จึงลดลงไปด้วย
4. ครูตรวจสอบผลการท�าแบบฝกหัด การชราภาพของเซลล์
ที่เกี่ยวข้องกับยีน
มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน
เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคโปรเจเรีย
(Progeria) หรือเวอร์เนอร์ซินโดรม
(Werner Syndrome) ภาพที่ 3.52 การชราภาพของเซลล์
B iology
Focus ความชราในเด็ก
ความชราในเด็ก หรือกลุม่ อาการโปรเจเรีย พบได้ทงั้ ในเพศหญิงและเพศชาย มีโอกาสพบเพียง 1
ใน 8 ล้านคน ซึง่ เกิดจากการกลายแบบด้อยของยีน ท�าให้เซลล์ชราภาพเร็วกว่าคนปกติ ผูป้ ว่ ยมีลกั ษณะ
เหมือนคนปกติในช่วง 10-24 เดือนแรก หลังจากนัน้ จะเริม่ มีการเจริญเติบโตช้ามาก รูปร่างแคระแกรน
เตี้ย น�้าหนักน้อย ผิวหนังเหี่ยวย่นคล้ายคนแก่ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ ท�าได้
เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น ผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตในช่วงอายุ 8-21 ป หรือเฉลี่ยอายุประมาณ 13 ป
118
5. เซลล์ที่ชราภาพมีบริเวณส่วนปลายของโครโมโซมยาวขึ้น
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
ทุกครั้งที่มีการแบ่งเซลล์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์
(วิเคราะหคําตอบ เซลลที่ชราภาพจะมีบริเวณสวนปลายของ
ประเด็นที่ ระดับคะแนน
ประเมิน 4 3 2 1
1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วนใหญ่ จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์
โครโมโซมสั้นลงทุกครั้งที่มีการแบงเซลล จึงอาจเปนไปไดวา
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก น่าสนใจ และไม่แสดงถึง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ ใหม่ แนวคิดแปลกใหม่
บริเวณสวนปลายที่สั้นลง เปนสวนที่ทําหนาที่ควบคุมการเปลี่ยน
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
T130
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
การสลายสารอาหาร 7 การหายใจระดับเซลล์ 1. ครู ก ล่ า วน� า เข้ า สู ่ บ ทเรี ย นว่ า เซลล์ จ ะน� า
ถือเปนการเกิดปฏิกริ ยิ า พลังงานจากสารอาหารมาใช้ในกิจกรรมต่างๆ
สิ่งมีชีวิตจ�าเป็นต้องใช้พลังงานในการท�ากิจกรรมต่าง ๆ
เคมีหรือไม
ของร่างกาย เช่น การเคลื่อนไหว การท�างานของระบบต่าง ๆ ของเซลล์ แล้วนักเรียนสงสัยหรือไม่ว่า เซลล์มี
การเกิดปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เป็นต้น ซึ่งพลังงานดังกล่าวนั้น วิธกี ารอย่างไรจึงสามารถน�าพลังงานทีม่ อี ยูใ่ น
ได้มาจากสารอาหารที่ถูกล�าเลียงเข้าสู่เซลล์ โดยภายในเซลล์จะมีกระบวนการสลายโมเลกุลของ สารอาหารมาใช้ได้
สารอาหารเหล่านี้ให้ได้เป็นสารพลังงานสูง 2. ครู เ ป ด ภาพยนตร์ ส ารคดี สั้ น TWIG เรื่ อ ง
กระบวนการสลายสารอาหารระดับเซลล์ หรือการหายใจระดับเซลล์ (cellular respiration) กระบวนการสลายสารชีวโมเลกุล https://
จะท�าให้ได้สารพลังงานสูง คือ อะดีโนซีนไตรฟอสเฟส (adenosine triphosphate ; ATP) ซึ่งเป็น www.twig-aksorn.com/film/glossary/
กระบวนการทีเ่ กิดขึน้ ตลอดเวลา ดังนัน้ ภายในเซลล์จงึ มีกระบวนการสลาย ATP ตลอดเวลาเช่นกัน catabolism-6598/ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการ
ซึ่งจะได้อะดีโนซีนไดฟอสเฟต (adenosine diphosphate ; ADP) หมู่ฟอสเฟต และพลังงาน เรียนรู้
7.3 กิโลแคลอรีต่อโมล ดังสมการ 3. ครูยกตัวอย่างสถานการณ์ให้นักเรียนร่วมกัน
พิจารณา ดังนี้
ATP + H2O ADP + Pi + พลังงาน
ï• เมื่อน�าน�้าตาลทรายมาเผา นักเรียนคิดว่า
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
7.1 การหายใจระดับเซลล์ในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ ï• การเผาไหม้น�้าตาลทรายต้องการออกซิเจน
การสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน (aerobic respira- อำหำร หรือไม่
tion) เป็นกระบวนการสลายสารอินทรีย์ที่มีพลังงานสูงโดยใช้ กลูโคส ﺕ ผลที่ได้จากการเผาไหม้น�้าตาลทรายมีอะไร
ออกซิเจน ให้ได้เป็นสารอนินทรีย์ที่มีพลังงานต�่า ซึ่งจะกล่าวถึง บ้าง
การสลายกลูโคส การสลายลิพดิ และการสลายโปรตีน ตามล�าดับ ไกลโคลิซิส 2 ATP
จากสถานการณ์ข้างต้น นักเรียนควรสรุป
1. กำรสลำยกลูโคส กลูโคสเป็นสารอาหารที่เมื่อสลาย NAD+
กรดไพรูวิก ได้ว่า
ตัวแล้วจะให้พลังงานสูง ซึ่งการปลดปล่อยพลังงานจากกลูโคส ไซโทพลำซึม NADH
กระบวนกำรหมัก
“การเผาไหมนาํ้ ตาลทรายตองการออกซิเจน
เพียงครั้งเดียวจะได้พลังงานสูงมากจนอาจเป็นอันตรายต่อ ซึ่งหากนํากระจกไปอังเหนือบริเวณที่เผาไหม
เซลล์ ดังนั้น เพื่อให้มีการปลดปล่อยพลังงานออกมาทีละน้อย ๆ แอซิทิลโคเอนไซม์เอ
จะสังเกตเห็นละอองนํ้า แสดงวาผลจาการ
กระบวนการสลายกลูโคส จึงประกอบด้วยหลายกระบวนการ เผาไหมจะไดนํ้า และพลังงาน ซึ่งพลังงานจะ
วัฏจักร 2 ATP
ได้แก่ ไกลโคลิซิส (glycolysis) การสร้างแอซิทิลโคเอนไซม์เอ เครบส์
อยูในรูปของพลังงานความรอน นอกจากนี้ยัง
(acetyl Co A production) วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) และ กระบวนกำร
O2 ถำยทอด 32-34 ATP ไดแกสคารบอนไดออกไซดอีกดวย ซึ่งสังเกต
กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน (electron transport system) อิเล็กตรอน
ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดของแต่ละกระบวนการต่อไป
H2O
ไมโทคอนเดรีย
ไดจากคราบสีดําของคารบอน ”
ภาพที่ 3.53 กระบวนการสลายกลูโคส
T131
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูกล่าวเชื่อมโยงความรู้จากสถานการณ์การ 1) ไกลโคลิซิส (glycolysis) เป็นกระบวนการสลายน�้าตาลกลูโคส (C6H12O6) 1 โมเลกุล
เผาน�้าตาลทรายว่า การสลายสารอาหารใน ได้กรดไพรูวิก (C3H4O3) 2 โมเลกุล ซึ่งกระบวนการมีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
เซลล์หรือการหายใจระดับเซลล์ มีลกั ษณะเช่น
เดียวกับการเผาไหม้นา�้ ตาลทราย โดยต้องการ ไกลโคลิซิส Glycolysis
แกสออกซิเจน และได้แกสคาร์บอนไดออกไซด์
น�้า และพลังงาน อะตอมของคาร์บอน
2. ครูตั้งค�าถามเพื่อน�าสู่การอภิปราย P หมู่ฟอสเฟต
E เอนไซม์
•ï หากปฏิ กิ ริ ย าเช น เดี ย วกั บ การเผาไหม
นํา้ ตาลทรายเกิดขึน้ ภายในเซลล จะมีผลตอ
เซลลอยางไร 1 เติมหมู่ฟอสเฟตให้กลูโคส โดยใช้ ATP
1 โมเลกุล ซึ่งอาศัยเอนไซม์เฮกโซไคเนส
(แนวตอบ ปฏิกริ ยิ าเผาไหมนาํ้ ตาลทรายตอง (hexokinase) ท�าให้ได้กลูโคส 6 ฟอสเฟต ฟอสโฟ
P กลีเซอรอลดีไฮด์
ใชพลังงานกระตุน ซึ่งพลังงานนั้นอาจทํา (glucose-6-phosphate : G6P) 5
อันตรายแกเซลลได อีกทัง้ พลังงานทีเ่ กิดจาก P NAD+
ปฏิกริ ยิ าอาจทําอันตรายแกเซลลไดเชนกัน) 2 เปลี่ยนกลูโคส 6 ฟอสเฟต ไปเป็นฟรักโทส
6 ฟอสเฟต (fructose-6-phoshate : F6P) E NADH + H+
3. จากการอภิปราย ครูควรชีแ้ จงเพิม่ เติมว่า เซลล์ โดยอาศัยเอนไซม์ฟอสโฟกลูโคไอโซเมอเรส
มีกลไกเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานกระตุ้น (phosphoglucoisomerase) P P 1, 3 ไดฟอสโฟ
6 ADP กลีเซอริก แอซิด
ที่สูงเกินกว่าความต้านทานของเซลล์ และมี E
3 เติมหมู่ฟอสเฟตให้แก่ฟรักโทส 6 ฟอสเฟต ATP
กลไกควบคุมการปลดปล่อยพลังงานออกมา P 3 ฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด
โดยใช้ ATP 1 โมเลกุล ซึ่งอาศัยเอนไซม์
ไม่ให้สูงมากจนเป็นอันตรายต่อเซลล์ได้ ฟอสโฟฟรักโทไคเนส (phosphofructokinase) E
7
ท�าให้ได้ฟรักโทส 1, 6 ไดฟอสเฟต (fructose-1, P
6-diphosphate : F1, 6BP) 2 ฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด
8
E H2O
4 ฟรักโทส 1, 6 ไดฟอสเฟตแตกตัว โดย
อาศัยเอนไซม์อัลโดเลส (aldolase) ได้เป็น ฟอสโฟอีนอลไพรูวิก แอซิด
ฟอสโฟกลีเซอรอลดีไฮด์ (phosphoglyceral P ADP
E 9
dehydes : PGAL) และไดไฮดรอกซีอะซิโตน
ฟอสเฟต (dihydroxyacetone phosphate : ATP
DHAP)
กรดไพรูวิก
ภาพที่ 3.54 ไกลโคลิซิส
120
T132
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
กลูโคส 1. ครูกล่าวน�าเข้าสูก่ ารศึกษาว่า การหายใจระดับ
1 ATP 5 เติ ม หมู ่ ฟ อสเฟตให้ ฟ อสโฟกลี เ ซอรอลดี ไ ฮด์
E โดยอาศัยเอนไซม์กลีเซอรอลดีไฮด์ ฟอสเฟต เซลล์มีทั้งในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ และ
ADP ดี ไ ฮโดรจิ เ นส(glyceraldehydes phosphate
P กลูโคส 6 ฟอสเฟต dehydrogenase) ท�าให้ได้ 1, 3 ไดฟอสโฟกลี
ภาวะทีม่ อี อกซิเจนไม่เพียงพอ ซึง่ มีกลไกต่างกัน
E 2 เซอริก แอซิด (1, 3 - diphosphoglyceric acid : โดยนักเรียนจะได้ศึกษาในล�าดับต่อไป
P ฟรักโทส 6 ฟอสเฟต
1, 3DPG) ได้ไฮโดรเจนไอออน 2 อะตอม 2. ครู เ ป ด ภาพยนตร์ ส ารคดี สั้ น TWIG เรื่ อ ง
ซึ่ ง มี นิ โ คติ น าไมด์ อะดี นี น ไดนิ ว คลี โ อไทด์
3 ATP (nicotinamide adenine dinucleotide ; NAD+) การหายใจแบบใช้ออกซิเจน https://www.
E
ADP มารับไฮโดรเจนไอออน (H+) แล้วกลายเป็นรีดวิ ซ์ twig-aksorn.com/fifilm/glossary/aerobic-
P P นิโคตินาไมด์ อะดีนีน ได นิวคลีโอไทด์ (NADH)
ฟรักโทส 1, 6 ไดฟอสเฟต respiration-6969/ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้
E 4
3. ให้นกั เรียนศึกษาเรือ่ ง การหายใจระดับเซลล์ใน
6 1, 3 ไดฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด เปลี่ยนเป็น 3 ภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ จากหนังสือเรียน
ฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด (3 - phosphoglyceric
P
ไดไฮดรอกซีอะซิโตนฟอสเฟต
acid :3PG) โดยอาศัยเอนไซม์ฟอสโฟกลีเซอเรท ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1
ไคเนส (phosphoglycerate kinase) ซึ่งจะปล่อย
หมู่ฟอสเฟตออกมา 1 หมู่ ให้กับ ADP ท�าให้ได้
P ฟอสโฟกลีเซอรอลดีไฮด์ ATP 1 โมเลกุล
P 5 NAD+
E
NADH + H+ 7 3 ฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด เปลี่ยนไปเป็น 2
P P 1, 3 ไดฟอสโฟ ฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด (2 - phosphoglyceric
6 ADP กลีเซอริก แอซิด acid :2PG) โดยอาศัยเอนไซม์ฟอสโฟกลีเซอโร
E
ATP มิวเทส (phosphoglyceromutase)
P 3 ฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด
7
E 8 2 ฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด เปลีย่ นไปเป็น ฟอสโฟ-
อีนอลไพรูวิก แอซิด (phosphoenolpyruvic
P acid : PEP) โดยอาศัยเอนไซม์อโี นเลส (enolase)
2 ฟอสโฟกลีเซอริก แอซิด
8 ซึ่งท�าให้ได้น�้า 1 โมเลกุล
E H2O
ฟอสโฟอีนอลไพรูวิก แอซิด 9 ฟอสโฟอีนอลไพรูวิก แอซิด เปลี่ยนเป็นกรด
P ADP
9
ไพรูวกิ (pyruvic acid) โดยอาศัยเอนไซม์ไพรูเวท
E ไคเนส (pyruvate kinase) ซึ่งจะปล่อยหมู่
ATP
ฟอสเฟตออกมา 1 หมู่ ให้กับ ADP ท�าให้ได้
ATP 1 โมเลกุล
กรดไพรูวิก
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการไกลโคลิซิสจะได้ ATP 2 โมเลกุล NADH 2 โมเลกุล และกรดไพรูวิก 2 โมเลกุล ดังสมการ
C6H12O6 + 2NAD+ + 2ADP + 2Pi 2CH3COCOOH + 2NADH + 2ATP
กลูโคส กรดไพรูวิก
เซลล์ 121
ของสิ่งมีชีวิต
T133
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
2) กำรสร้ำงแอซิทิลโคเอนไซม์เอ (acetyl Coenzyme A production) ขั้นตอนนี้เป็น
นักเรียนเรื่อง ไกลโคลิซิส โดยให้นักเรียนร่วม จุดเชื่อมต่อระหว่างไกลโคลิซิสกับวัฏจักรเครบส์ มีกรดไพรูวิกเป็นสารตั้งต้น โดยจะเกิดขึ้นบริเวณ
กันตอบ ดังนี้ ของเหลวภายในไมโทคอนเดรีย (matrix)
ï• ไกลโคลิซิสเกิดขึ้นที่บริเวณใดของเซลล กรดไพรูวิกที่ได้จากกระบวนการไกลโคลิซิสจะเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย แล้วท�าปฏิกิริยา
(แนวตอบ ไซโทพลาซึม) กับโคเอนไซม์เอ (coenzyme A ; CoA) บริเวณของเหลวภายในไมโทคอนเดรีย (matrix) เกิดเป็น
ï• ผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการไกลโคลิซิสซึ่ง แอซิทลิ โคเอนไซม์เอ (acetyl coenzyme A ; acetyl CoA) ซึง่ เป็นสารประกอบทีม่ คี าร์บอน 2 อะตอม
สลายกลูโคส 1 โมเลกุล มีสารใดเกิดขึน้ และ โดยมีขั้นตอน ดังนี้
มีการปลดปลอยพลังงานจากปฏิกริ ยิ าตางๆ
ไกลโคลิซิส ไซโทพลาซึม
หรือไม อยางไร
(แนวตอบ จากกระบวนการไกลโคลิซิสซึ่ง 1 หมูค่ าร์บอกซิลของกรดไพรูวกิ หลุด
กรดไพรูวิก ออกเกิดคาร์บอนไดออกไซด์
สลายกลูโคส 1 โมเลกุล จะไดกรดไพรูวิก
2 โมเลกุล มีการปลดปลอยพลังงานจาก ไมโทคอนเดรีย 2 ส่วนที่เหลือของกรดไพรูวิกซึ่งมี
ปฏิกิริยาในรูปของ ATP 4 โมเลกุล และ CO2 NAD+ คาร์บอนเหลืออยู่สองอะตอมจะ
+ ถูกออกซิไดส์ด้วย NAD+ ได้เป็น
NADH 2 โมเลกุล แตเนือ่ งจากในชวงตนของ NADH +H
สารประกอบแอซิเตต ซึ่งปฏิกิริยา
กระบวนการมีการใชพลังงานจาก ATP ไป 2 แอซิเตต นี้จะได้สารพลังงานสูงในรูปของ
โคเอนไซม์เอ
โมเลกุล ดังนัน้ เมือ่ สิน้ สุดปฏิกริ ยิ าจึงได ATP NADH
2 โมเลกุล) ~CoA
แอซิทิลโคเอนไซม์เอ
3 โคเอนไซม์เอ ซึ่งเป็นสารที่มีหมู่
ซั ล เฟอร์ แ ละเป็ น อนุ พั น ธ์ ข อง
วิตามินบีจะถูกน�าไปติดกับแอซิเตต
วัฏจักรเครบส์ ได้เป็นแอซิติลโคเอนไซม์เอ
T134
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3) วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) มีขั้นตอน ดังนี้ 2. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
นักเรียนเรื่อง การสร้างแอซิทิลโคเอนไซม์เอ
วัฏจักรเครบส์ Krebs cycle โดยให้นักเรียนร่วมกันตอบ ดังนี้
ï• การสร า งแอซิ ทิ ล โคเอนไซม เ อเกิ ด ขึ้ น ที่
1 แอซิทลิ โคเอนไซม์เอรวมตัวกับ บริเวณใดของเซลล
~CoA
แอซิทิลโคเอนไซม์เอ
กรดออกซาโลแอซิติก (oxalo (แนวตอบ เมทริกซของไมโทคอนเดรีย)
acetic acid) ได้กรดซิตริก
1
CoA (citric acid) และจะปลดปล่อย ï• ผลที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการสลายกรดไพรู วิ ก 1
9 โคเอนไซม์เอให้เป็นอิสระ โมเลกุล จะไดสารใด และมีการปลดปลอย
กรดออกซาโลแอซิติก กรดซิตริก 2 กรดซิ ต ริ ก จะเปลี่ ย นไปเป็ น พลังงานจากปฏิกิริยาหรือไม อยางไร
8 NADH +H+ 2 กรดไอโซซิ ต ริ ก (isocitric (แนวตอบ การสลายกรดไพรวิก 1 โมเลกุล
NAD + acid) จะไดแอซิทลิ โคเอนไซมเอ 1 โมเลกุล และ
กรดมาลิก กรดไอโซซิตริก มีการปลดปลอยพลังงานจากปฏิกริ ยิ าในรูป
NAD+ 3 3 กรดไอโซซิตริกเปลี่ยนไปเป็น
7 H2O NADH +H+ CO2
กรดแอลฟาคี โ ตกลู ต าริ ก NADH 1 โมเลกุล
(α - ketoglutaric acid) โดย
มี NAD + มารั บ ไฮโดรเจน
กรดฟูมาริก FADH2 NAD+ กรดแอลฟาคีโตกลูตาริก
แล้วได้เป็น NADH
6 FAD NADH +H+ 4 CoA
ATP 4 กรดแอลฟาคี โ ตกลู ต าริ ก จะ
ADP+ P CO ถูกออกซิไดซ์ และมารวมตัว
กรดซักซินิก 5 -CoA 2 กับโคเอนไซม์เอ กลายเป็น
ซักซินิลโคเอนไซม์เอ ซักซินลิ โคเอนไซม์เอ (succinyl
CoA CoA) โดยมี NAD+ มารับ
ไฮโดรเจนแล้วได้เป็น NADH
ภาพที่ 3.56 วัฏจักรเครบส์
5 ซักซินลิ โคเอนไซม์เอจะแตกตัว 6 กรดซักซินิกถูกออกซิไดซ์เป็น 7 กรดฟูมาริกจะรวมตัวกับน�้า
ได้เป็นกรดซักซินิก (succinic กรดฟูมาริก (fumaric acid) ซึง่ (H2O) กลายเป็นกรดมาลิก
acid) และโคเอนไซม์เอ โดยมี เฟลวินอะดีนีนไดนิวคลีโอไทด์ (malic acid)
พลังงานออกมามากพอที่จะ (FAD) จะมารับไฮโดรเจนแล้ว
รวม ADP และหมู่ฟอสเฟต ได้เป็น FADH2
ให้เป็น ATP ได้
8 กรดมาลิกถูกออกซิไดซ์เป็น 9 กรดออกซาโลแอซิติกจะเข้าสู่
กรดออกซาโลแอซิติก (oxalo วัฏจักรอีกครั้ง
acetic acid) โดยมี NAD+
มารับไฮโดรเจน แล้วได้เป็น
NADH
เซลล์ 123
ของสิ่งมีชีวิต
T135
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้ (ตอ)
3. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ ผลผลิตจากวัฏจักรเครบส์ เมื่อเริ่มต้นจากแอซิทิลโคเอนไซม์เอ 2 โมเลกุล จะได้
นักเรียนเรื่อง วัฏจักรเครบส์ โดยให้นักเรียน คาร์บอนไดออกไซด์ 4 โมเลกุล NADH 6 โมเลกุล ไฮโดรเจนไอออน 6 อะตอม FADH2 2 โมเลกุล
ร่วมกันตอบ ดังนี้ และ ATP 2 โมเลกุล ดังสมการ
ï• วัฏจักรเครบสเกิดขึ้นที่บริเวณใดของเซลล
(แนวตอบ เมทริกซของไมโทคอนเดรีย) 2acetyl CoA 4CO2 + 6NADH + 6H+ + 2FADH2 + 2ATP
ï• แอซิทิลโคเอนไซมเอ 1 โมเลกุล เมื่อเขา เมื่อค�านวณจาก 1 NADH = 3 ATP และ 1 FADH2 = 2 ATP จะได้พลังงานรวม
สู วั ฏ จั ก รเครบส แ ล ว จะมี ก ารปลดปล อ ย ในการสลายกลูโคสเมื่อผ่านวัฏจักรเครบส์ มีค่าเท่ากับ (3 × 6) + (2 × 2) + 2 = 24 ATP
พลังงานจากปฏิกริ ยิ าตางๆ หรือไม อยางไร 4) กระบวนกำรถำยทอดอิเล็กตรอน (electron transport system) เป็นปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดเป็น
(แนวตอบ มีการปลดปลอยพลังงานในรูป ATP ลูกโซ่อย่างต่อเนือ่ ง เพือ่ น�าอิเล็กตรอนและโปรตอน (ในรูปของอะตอมไฮโดรเจน) จาก NADH + H+
NADH และ FADH2) และ FADH2 ส่งไปยังตัวรับอิเล็กตรอนต่าง ๆ โดยตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย คือ ออกซิเจน
ในขณะเดียวกันจะมีพลังงานเกิดขึ้น ซึ่งบางปฏิกิริยามีพลังงานสูงพอที่จะสร้าง ATP ได้
กระบวนการขนส่งอิเล็กตรอนประกอบด้วยเอนไซม์ และโคเอนไซม์หลายชนิดที่
ท�าหน้าที่รับส่งอิเล็กตรอนและโปรตอน ดังนี้
• นิโคตินามายด์ อะดินีน ไดนิวคลีโอไทด์ (nicotinamide adenine dinucleotide ;
NAD) เป็นโคเอนไซม์ของเอนไซม์ดีไฮโดรจีเนส (dehydrogenase) ซึ่งท�าหน้าที่ดึงอิเล็กตรอนและ
ไฮโดรเจนไอออนออกจากสารประกอบรีดิวซ์
• เฟลวิน อะดินีน ไดนิวคลีโอไทด์ (flavin adenine dinucleotide ; FAD) เป็น
โคเอนไซม์ของเอนไซม์ดีไฮโดรจีเนส ที่เรียกว่า เฟลโวโปรตีน (flavoprotein)
• โคเอนไซม์ คิว (coenzyme Q ; CoQ) หรือยูบิควินโนน (ubiquinone)
• ไซโตโครม (cytochrome) เป็นสารที่ท�าหน้าที่ถ่ายทอดอิเล็กตรอนต่อจากตัวรับ
ไฮโดรเจน
B iology
Focus NAD+ & FAD
NAD+ เป็นสารประกอบไพริดนี นิวคลีโอไทด์ ซึง่ จะต้องใช้อเิ ล็กตรอนถึง 2 อิเล็กตรอนมารีดวิ ซ์
แต่โมเลกุลของ NAD+ สามารถรับไฮโดรเจนได้เพียงอะตอมเดียว ดังนัน้ จึงมีไฮโดรเจนไอออน (H+)
เหลือ 1 อนุภาค ดังสมการ
NAD+ + 2H+ + 2e- NADH + H+
FAD เป็นสารไรโบเฟลวินทีจ่ ะต้องใช้อเิ ล็กตรอน 2 อิเล็กตรอน และไฮโดรเจนไอออน 2 โมเลกุล
ในการรีดิวซ์ ดังนั้น จึงไม่มีไฮโดรเจนไอออนเหลืออยู่เหมือนกับการรีดิวซ์ NAD+ ดังสมการ
FAD + 2H+ + 2e- FADH2
124
T136
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กระบวนการถ่ า ยทอดอิ เ ล็ ก ตรอนจะเกิ ด ขึ้ น ใน Red. = รีดิวซ์ 4. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
2H Ox. = ออกซิไดซ์
ไมโทคอนเดรีย ดังนัน้ ไฮโดรเจน 4 อะตอมทีเ่ กิดจากกระบวนการ Cyt. = ไซโทโครม นักเรียนเรือ่ ง กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
ไกลโคลิซิส (เกิดในไซโทพลาซึมของเซลล์) จะต้องผ่านเข้า โดยให้นักเรียนร่วมกันตอบ ดังนี้
NAD+ NADH + H+ ï• กระบวนการถายทอดอิเล็กตรอนเกิดขึ้นที่
กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนในไมโทคอนเดรีย โดยไฮโดรเจน
ADP
4 อะตอมนี้ จะถูก 2 NAD+ รับไว้ แล้วรวมตัวกลายเป็น NADH ATP
2H บริเวณใดของเซลล
2 โมเลกุล และไฮโดรเจนไอออน จากนั้นจึงถ่ายทอดไฮโดรเจน FADH2 FAD (แนวตอบ เยือ่ หุม ชัน้ ในของไมโทคอนเดรีย)
ให้กับ NAD+ ภายในไมโทคอนเดรียแล้วจึงค่อยถ่ายทอดต่อไป 2e- + 2H+
ï• เพราะเหตุ ใ ด กระบวนการถ า ยทอด
จนถึงออกซิเจน ซึ่งเกิดขึ้นในเซลล์ของตับ หัวใจ ไต แต่ในเซลล์ อิ เ ล็ ก ตรอนจึ ง เกิ ด ที่ เ ยื่ อ หุ ม ชั้ น ในของ
Ox. Cyt.b Red. Cyt.b
ของกล้ามเนื้อลายและสมองจะมี FAD มารับไฮโดรเจน แล้วจึง ไมโทคอนเดรีย
ADP
ถ่ายทอดต่อ ๆ ไปจนถึงออกซิเจนเช่นเดียวกัน ATP
2e- (แนวตอบ เยื่อหุมชั้นในของไมโทคอนเดรีย
นอกจากนัน้ ไฮโดรเจน 4 อะตอมทีเ่ กิดมาจากกรด Red. Cyt.c
เปนบริเวณที่มีสารประกอบที่เกี่ยวของกับ
Ox. Cyt.c
ซักซินิกในวัฏจักรเครบส์ จะเข้าสู่ FAD โดยไม่ผ่าน NAD+ กระบวนการถายทอดอิเล็กตรอน ซึ่งมีทั้ง
2e-
การถ่ า ยทอดอิ เ ล็ ก ตรอนของไฮโดรเจน หาก
Ox. Cyt.a
Red. Cyt.a สารประกอบที่เปนตัวนําอิเล็กตรอนหลาย
ถ่ายทอดไปทาง NAD+ จะได้พลังงาน 3 ATP แต่ถ้าหาก ADP ชนิด เชน NAD+ FAD และสารประกอบอืน่ ๆ
ถ่ายทอดไปทาง FAD จะได้พลังงาน 2 ATP ATP 2e-
ออกซิเจนท�าหน้าทีเ่ ป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย Ox. Cyt.
ทีเ่ กีย่ วของ)
Red. Cyt.
(final electron accepter) ซึ่งจะเกิดการรวมตัวกับโปรตอนหรือ
oxidase oxidase ï• จากการสลายกลูโคสโดยผานกระบวนการ
ไฮโดรเจนไอออนภายในไมโทคอนเดรีย ได้เป็นน�้า (H2O) ไกลโคลิซสิ และวัฏจักรเครบสตามลําดับ ได
2e- + 2H+ + 12 O2 H2O
ภาพที่ 3.57 กระบวนการถ่ายทอด NADH 10 โมเลกุล และ FADH2 2 โมเลกุล
อิเล็กตรอน เมือ่ เกิดกระบวนการถายทอดอิเล็กตรอนจะ
ตารางที่ 3.2 : พลังงานที่ได้จากการสลายกลูโคสในเซลล์แต่ละชนิด ได ATP เทาใด
กระบวนกำร
พลังงำนที่ได้ (ATP) (แนวตอบ 34 ATP)
เซลล์กล้ำมเนื้อลำย เซลล์สมอง เซลล์กล้ำมเนื้อหัวใจ ไต ตับ ï• แก ส ออกซิ เ จนมี บ ทบาทอย า งไรในการ
ไกลโคลิซิส 2 2 หายใจระดับเซลล
วัฏจักรเครบส์ 2 2 (แนวตอบ เปนตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดทาย
ถ่ายทอดอิเล็กตรอน 32 34 แลวไปรวมตัวกับ H+ ไดเปนนํา้ )
รวม 36 38
T137
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้ (ตอ)
5. ให้นกั เรียนศึกษาเรือ่ ง การสลายลิพดิ และการ 2. กำรสลำยลิพดิ เมือ่ ผ่านการย่อยอาหารแล้ว ลิพดิ จะถูกย่อยเป็นกรดไขมัน (fatty acid)
สลายโปรตีน จากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 และกลีเซอรอล (glycerol) ซึง่ กรดไขมันจะถูกล�าเลียงเข้าสูเ่ ซลล์เพือ่ เก็บไว้เป็นแหล่งพลังงานส�ารอง
เล่ม 1 ส่วนกลีเซอรอลจะถูกดูดซึมเข้าสูเ่ ซลล์ตบั เมือ่ ร่างกายจ�าเป็นต้องใช้พลังงาน กลีเซอรอลจะเปลีย่ น
6. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ ไปเป็นฟอสโฟกลีเซอรอลดีไฮด์ (phosphoglyceraldehyde : PGAL) ซึง่ ปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ นีจ้ ะมีการ
นักเรียนเรื่อง การสลายลิพิด โดยให้นักเรียน ใช้สารพลังงานสูง คือ ATP 1 โมเลกุล และมี NADH เกิดขึ้น 1 โมเลกุล ส่วน PGAL ที่เกิดขึ้น
ร่วมกันตอบ ดังนี้ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามขั้นตอนของกระบวนการไกลโคลิซิสต่อไป
ï• เมือ่ ผานกระบวนการยอยอาหาร ลิพดิ จะถูก
ยอยเปนสารใดบาง NAD+ NADH
(แนวตอบ กรดไขมัน และกลีเซอรอล) กลีเซอรอล PGAL
ï• การสลายกลีเซอรอลมีกระบวนการอยางไร ATP ADP+Pi
(แนวตอบ กลีเซอรอลจะเปลีย่ นเปนฟอสโฟ- กรดไพรูวิก วัฏจักรเครบส์
กลีเซอรอลดีไฮด ซึง่ ปกิกริ ยิ านีต้ อ งใช ATP
1 โมเลกุ ล แล ว ได NADH 1 โมเลกุ ล กระบวนการถ่ายทอด
อิเล็กตรอน
จากนั้ น ฟอสโฟกลี เ ซอรอลดี ไ ฮด จ ะเข า สู
ภาพที่ 3.58 การสลายกลีเซอรอล
กระบวนการไกลโคลิซสิ ตอไป)
ï• การสลายกรดไขมันมีกระบวนการอยางไร กรดไขมันที่อยู่ในไซโทซอลจะถูกน�าเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย จากนั้นจึงมีการสลายกรด
1
( แนวตอบ สลายโดยกระบวนการบี ต า ไขมันเกิดขึน้ โดยกระบวนการบีตาออกซิเดชัน (β-oxidation) มีการตัดโมเลกุลของกรดไขมันออก
ออกซิเดชัน ซึ่งมีการตัดโมเลกุลกรดไขมัน ครั้งละ 2 คาร์บอนอะตอม เกิดเป็นแอซิทิลโคเอนไซม์เอ NADH และ FADH2 อย่างละ 1 โมเลกุล
ออกครั้งละ 2 คารบอนอะตอม เกิดเปน หลังจากนั้นแอซิทิลโคเอนไซม์เอจะเข้าสู่วัฏจักรเครบส์ และมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปตามขั้นตอน
แอซิทิลโอเอนไซมเอ NADH และ FADH2 การสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน
อยางละ 1 โมเลกุล แลวแอซิทลิ โคเอนไซมเอ กระบวนการบีตาออกซิเดชัน
จะเขาสูว ฏั จักรเครบสตอ ไป) CoA-SH
NAD+ NADH
กรดไขมัน fatty acyl CoA
FAD FADH2 CoA-SH
แอซิทิลโคเอนไซม์เอ วัฏจักรเครบส์
กระบวนการถ่ายทอด
อิเล็กตรอน
ภาพที่ 3.59 การสลายกรดไขมัน
126
T138
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
3. กำรสลำยโปรตีน โปรตีนเมื่อผ่านกระบวนการย่อยอาหาร จะถูกย่อยให้เป็นกรด 7. ครูตั้งค�าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
อะมิโน (amino acid) ซึ่งร่างกายสามารถน�าไปใช้ผลิตโปรตีนหรือเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนอื่น นักเรียนเรือ่ ง การสลายโปรตีน โดยให้นกั เรียน
และเมื่อร่างกายขาดแคลนพลังงานจะสามารถสลายกรดอะมิโนได้ โดยกรดอะมิโนจะถูกดึงหมู่ ร่วมกันตอบ ดังนี้
อะมิโน (-NH2) ออกจากโมเลกุล แล้วไปรวมกับไฮโดรเจนกลายเป็นแอมโมเนีย (NH3) ซึ่งเป็น ï• เมื่อผานกระบวนการยอยอาหาร โปรตีนจะ
1
สารพิษที่ร่างกายต้องก�าจัดทิ้ง โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ไปอยู่ในรูปของยูเรียหรือกรดยูริกก่อน ถูกยอยเปนสารใด
ส่วนที่เหลือของกรดอะมิโนหลังจากที่ถูกดึงหมู่อะมิโนออกแล้วจะเข้าสู่วัฏจักรเครบส์ได้หลายทาง (แนวตอบ กรดอมิโน)
โดยอาจเปลี่ยนไปเป็นกรดไพรูวิก หรือแอซิทิลโคเอนไซม์เอ หรือสารบางตัวในวัฏจักรเครบส์ ï• การสลายกรดอะมิโนมีกระบวนการอยางไร
กรด
(แนวตอบ กรดอะมิโนจะถูกดึงหมูอะมิโน
คีโทกลู อออกจากโมเลกุลแลวไปรวมกับไฮโดรเจน
แอมโมเนีย ทาริก
กรด กรด
กลายเปนแอมโมเนีย สวนที่เหลือของกรด
กรดยูริก ยูเรีย ซิตริก ซักซินิก อะมิโนจะเขาสูว ฏั จักรเครบส)
กรด
ออกซาโล
แอซิติก
กรด ดึงหมู่อะมิโน
อะมิโน สารตัวกลาง กรดไพรูวิก แอซิทิลโคเอนไซม์เอ
B iology
Focus กระบวนการมีตาออกซิเดชันในการสลายกรดไขมัน
กระบวนการบีตาออกซิเดชัน ประกอบด้วย 4 ปฏิกิริยา ดังนี้
1. ปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ท�าให้เกิดพันธะคู่ระหว่าง C และ C ของ fatty acyl CoA โดยมี
FAD เป็นโคเอนไซม์ ซึ่งจะได้ fatty acyl CoA
2. ปฏิกิริยาไฮเดรชัน (hydration) ท�าให้ได้ L-3 - Hydroxyacyl CoA
3. ปฏิกิริยาออกซิเดชัน ท�าให้หมู่ - OH กลายเป็นหมู่ - C=O โดยมี NAD+ เป็นโคเอนไซม์
ท�าให้ได้ 3-keto fatty acyl CoA ซึ่งจะท�าปฏิกิริยากับโคเอนไซม์เอ
4. ปฏิกิริยาที่ท�าให้โมเลกุลแตกออกเป็นกรดไขมัน และ acetyl CoA ซึ่งกรดไขมันที่เหลือ
จึงเป็นกรดไขมันที่มีจ�านวนคาร์บอนน้อยกว่าเดิม 2 อะตอม และสามารถท�าปฏิกิริยากับ
โคเอนไซม์เออิสระ แล้วให้ fatty acyl CoA เข้าสู่ปฏิกิริยาที่ 1 ต่อไปได้อีก
เซลล์ 127
ของสิ่งมีชีวิต
T139
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเข้าใจ
1. ให้นักเรียนศึกษาแผนภาพกระบวนการสลาย
โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกรดไขมัน จาก
หนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 เพื่อทบทวน
ความรู้ที่ได้ศึกษามาแล้ว
2. ครู อ าจให้ นั ก เรี ย นศึ ก ษาโครงสร้ า งของ
สารประกอบ ATP โดยอาจเปดภาพยนตร์
สารคดีสั้น TWIG เรื่อง เอทีพี (ATP) https:// โปรตีน คำร์โบไฮเดรต ไขมัน
www.twig-aksorn.com/fifilm/glossary/atp-
6591/ จากนั้นให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันว่า กรดอะมิโน กลูโคส กลีเซอรอล กรดไขมัน
เพราะเหตุใด ATP จึงเป็นสารที่มีพลังงานสูง
ไกลโคลิซิส ATP
กรดไพรูวิก
สร้ำงแอซิทิล
โคเอนไซม์เอ
วัฏจักร CO2
เครบส์
ATP
NADH หรือ FADH2
กระบวนกำร
O2 ถำยทอด ATP
อิเล็กตรอน
NH3 CO2
H2O
ของเสีย
128
T140
น�า น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
7.2 การหายใจระดับเซลล์ ในภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ 1. ครู น� า เข้ า สู ่ บ ทเรี ย นเรื่ อ ง การหายใจระดั บ
เซลล์ในภาวะทีม่ อี อกซิเจนไม่เพียงพอ โดยการ
การสลายสารอาหารไม่จ�าเป็นต้องใช้ออกซิเจนเสมอไป สิ่งมีชีวิตบางชนิดได้พลังงานจาก
การสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic respiration ทบทวนบทบาทของออกซิเจนในการหายใจ
1 ) เช่น แบคทีเรียบางชนิด ยีสต์ ระดั บ เซลล์ จากนั้ น ตั้ ง ประเด็ น ให้ นั ก เรี ย น
เป็นต้น และเซลล์ในเนือ้ เยือ่ บางชนิด เช่น เนือ้ เยือ่ กล้ามเนือ้ ลาย
ก็สามารถสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนเช่นกัน
อาหาร ร่วมกันวิเคราะห์ว่า
ในสภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจน จะท�าให้ NADH และ กลูโคส ï• หากภาวะที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจน
FADH2 ไม่สามารถถ่ายทอดอิเล็กตรอนได้ จึงมีการสะสม NADH ไม่เพียงพอ จะยังคงมีการหายใจระดับเซลล์
ไกลโคลิซิส
และ FADH2 มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มี NAD+ และ FAD ลดลง หรือไม่
NAD+
กระบวนการไกลโคลิซสิ วัฏจักรเครบส์ และกระบวนการถ่ายทอด กรดไพรูวิก
NADH + H+
2. ครู เ ป ด วี ดิ โ อสารคดี สั้ น TWIG เรื่ อ ง การ
อิเล็กตรอนจึงไม่สามารถด�าเนินต่อไปได้ เซลล์จงึ ขาดแคลน ATP กระบวนการหมัก หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน https://www.
ทีจ่ ะน�าไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ดังนัน้ เซลล์จา� เป็นต้องมีกระบวน twig-aksorn.com/film/glossary/anaerobic-
การสร้าง ATP โดยการท�าให้ NADH เปลีย่ นกลับไปเป็น NAD+ เพือ่ แอซิทลิ โคเอนไซม์เอ respiration-6624/ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้
ท�าให้กระบวนการไกลโคลิซิสด�าเนินต่อไปได้ ซึ่งกระบวนการนี้ ไซโทพลาซึม
เรียกว่า กระบวนกำรหมัก (fermentation) วัฏจักร
เครบส์
1. กระบวนกำรหมักแอลกอฮอล์ (alcoholic fermen-
กระบวนการ
tation) เป็นกระบวนการสลายกลูโคส ในสภาวะทีไ่ ม่มอี อกซิเจน ถ่ายทอด
อิเล็กตรอน
พบได้ในเซลล์ของยีสต์ โดยเริ่มต้นจากกระบวนการไกลโคลิซิส ไมโทคอนเดรีย
ซึ่งจะได้กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล ATP 2 โมเลกุลและ NADH
ภาพที่ 3.62 กระบวนการหมักใน
2 โมเลกุล ดังสมการ การหายใจระดับเซลล์แบบไม่ใช้
ออกซิเจน
C6H12O6 + 2ATP + 2ADP + 2Pi + 2NAD+ 2C3H4O3 + 4ATP + 2NADH + 2H+
กลูโคส กรดไพรูวิก
เซลล์ 129
ของสิ่งมีชีวิต
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ให้นักเรียนศึกษาเรื่อง การหายใจระดับเซลล์ แอซิทัลดีไฮด์จะถูกออกซิไดซ์ด้วย NADH และ H+ กลายเป็นเอทิลแอลกอฮอล์ หรือ
ในภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ จากหนังสือ เอทานอล (ethanol) โดยมีเอนไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส (alcohol dehydrogenase) เป็นตัวเร่ง
เรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม 1 ปฏิกิริยา ดังสมการ
2. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มท�ากิจกรรมเรื่อง การหมัก
2C2H4O + 2NADH + 2H+ 2C2H5OH + 2NAD+ + 2CO2
ของยีสต์ จากหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เล่ม แอซิทัลดีไฮด์ เอทิลแอลกอฮอล์
1 แล้วร่วมกันอภิปรายและสรุปผลกิจกรรม
กลูโคส กระบวนการหมักแอลกอฮอล์จะมีเฉพาะกระบวนการ
2 ATP
ไกลโคลิซิสเท่านั้น ท�าให้ได้ ATP เพียง 2 โมเลกุลซึ่งน้อยกว่า
ไกลโคลิซิส การสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน 18-19 เท่า
2 NAD+
2 ความรูเ้ กีย่ วกับกระบวนการหมักถูกน�าไปใช้ประโยชน์
กรดไพรูวิก 2 NADH + H+
ในการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ได้แก่ เบียร์ สุรา และไวน์
2 2
แอซิทัลดีไฮด์ เอทานอล อีกทัง้ มีการใช้กระบวนการหมักแป้งของยีสต์ ในการผลิตขนมปัง
2
คาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้ยีสต์ Saccharomyces cerevisiae ซึ่งในระหว่างการหมัก
ภาพที่ 3.63 กระบวนการหมัก จะได้แอลกอฮอล์และแกสคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึน้ ท�าให้แป้ง
แอลกอฮอล์ เกิดการพองตัวฟูขึ้น
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการน�าความรู้เรื่องการหมักไปใช้ในการผลิตแอลกอฮอล์
จากของเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น การผลิตแอลกอฮอล์จากกากน�้าตาล ซึ่งนับเป็นวิธีการลด
ปัญหามลภาวะจากกากน�า้ ตาลได้อย่างมาก ซึง่ จะผลิตแอลกอฮอล์ได้สงู ถึงประมาณร้อยละ 12 และ
สามารถน�ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เนื่องจากมีพลังงานแฝงอยู่มาก
B iology
Focus ประเภทของการหมัก
การหมักแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. การหมักที่ให้ผลผลิตเป็นตัวเซลล์ ได้แก่ การผลิตเซลล์ยีสต์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมขนมอบ
2. การหมักที่ให้ผลผลิตเป็นเอนไซม์ โดยการใช้จุลินทรีย์ในการหมัก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ใน
อุตสาหกรรมอาหาร
3. การหมักที่ให้ผลผลิตเป็นสารเมทาบอไลท์ เช่น เอทานอล กรดกลูตามิก บิวทานอล ไลซีน
วิตามิน เป็นต้น
4. การหมักที่ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปของสารประกอบที่เติมลงไป เช่น การผลิต
น�้าส้มสายชู สารปฏิชีวนะ สารสเตอรอยด์ เป็นต้น
130
T142
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
• การสังเกต ใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกันตอบคําถามทาย
การหมักของยีสต์ (1) • การทดลอง
• การก�าหนดและควบคุมตัวแปร
กิจกรรมเรือ่ ง การหมักของยีสต (1) และการหมัก
จิตวิทยำศำสตร์ ของยีสต (2) และครูอาจตัง้ คําถามเพิม่ เติมดวย
• ความสนใจใฝ่รู้
วัสดุอปุ กรณ์และสำรเคมี • การท�างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง
1. ยีสต์แห้ง 6. จุกยาง สร้างสรรค์
2. สับปะรด 7. น�้ามันพืช
3. หลอดทดลอง 8. กระบอกตวง
4. ที่วางหลอดทดลอง 9. เครื่องชั่งสาร
5. สารละลายบรอมไทมอลบลู 10. สายยางขนาดเล็ก
วิธปี ฏิบตั ิ
ศึกษาการหมักของยีสต์โดยสังเกตจากการเปลี่ยนสีของบรอมไทมอลบลู
ซึ่งปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้
1. น�าน�้าสับปะรดประมาณ 2 มิลลิลิตร ใส่ลงในหลอดทดลอง และ
ใส่ยสี ต์แห้ง 1 กรัม ผสมให้เข้ากัน แล้วค่อย ๆ เติมน�า้ มันพืช 1 มิลลิลติ ร
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
ให้ลอยอยู่บนผิวหน้าของสารละลาย จากนั้นปิดจุกยางที่ต่อสายยาง
ไปยังหลอดทดลองอีกหลอดหนึ่งที่บรรจุสารละลายบรอมไทมอลบลู 1. แก ส คาร บ อนไดออกไซด ซึ่ ง มี คุ ณ สมบั ติ
ปริมาตร 3 มิลลิลิตร สารละลาย ไมมสี ี ไมมกี ลิน่ ไมตดิ ไฟ มีความเปนกรดออน
2. ตั้งหลอดทดลองทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที สังเกตการเปลี่ยนสีของ บรอมไทมอลบลู
น�้ามันพืช น�้าสับปะรด
ละลายไดในนํ้า ดังนั้น จึงทําใหสารละลาย
บรอมไทมอลบลู
และยีสต์ บรอมไทมอลบลู เ ปลี่ ย นจากมี นํ้ า เงิ น เป น สี
ภาพที่ 3.64 เหลืองอมสม
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
? 2. เพือ่ ปองกันแกสออกซิเจนจากอากาศ ทัง้ นีเ้ พือ่
1. แกสที่เกิดขึ้นในการทดลองคือแกสใด และพิสูจน์ ได้อย่างไร ใหเกิดกระบวนการหมักของยีสต
2. เพราะเหตุใดจึงต้องใส่น�้ามันพืชลงไปในหลอดทดลองที่มียีสต์และน�้าสับปะรดอยู่
3. หากท�าการทดลองเช่นเดียวกัน แต่เปลี่ยนเป็นน�้าผลไม้ชนิดอื่น ๆ นักเรียนคิดว่าจะได้ผลการทดลอง
3. นาจะไดผลเชนเดียวกัน แตทั้งนี้ขึ้นอยูกับ
เช่นเดียวกันหรือไม่ อย่างไร สภาพความเปนกรด-เบสของสารละลาย และ
4. หากต้องการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการหมักของยีสต์ นักเรียนจะออกแบบการทดลองอย่างไร ปริมาณนํ้าตาลในนํ้าผลไมนั้นๆ
4. พิจารณาจากคําตอบของนักเรียน โดยอยูใน
อภิปรายผลกิจกรรม ดุลยพินิจของผูสอน เชน
จากกิจกรรมพบว่า สารละลายบรอมไทมอลบลูเกิดการเปลีย่ นสี โดยสารละลายบรอมไทมอลบลูจะเปลีย่ น - ศึกษาผลของปริมาณนํา้ ตาลในนํา้ ผลไมตอ
จากสีฟ้าเป็นสีเหลือง (บรอมไทมอลบลูจะเปลี่ยนสีเมื่อสารละลายมี pH น้อยกว่า 7) แสดงว่าสารละลายนั้น การหมักของยีสต
อยูใ่ นสภาพทีเ่ ป็นกรด โดยสภาพดังกล่าวเกิดจากแกสคาร์บอนไดออกไซด์ทถี่ กู ปล่อยออกมาจากกรดไพรูวกิ ใน - ศึกษาผลของอุณหภูมิตอการหมักของยีสต
กระบวนการหมักของยีสต์ และผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้จากการหมักของยีสต์ คือ แอลกอฮอล์
เซลล์ 131
โดยออกแบบการทดลองให มี ตั ว แปรต น
ของสิ่งมีชีวิต
ตัวแปรตาม ตัวแปรควบคุม และมีกลุม ทดลอง
และกลุมควบคุมดวย
บันทึก กิจกรรม
เมื่อตั้งหลอดทดลองทิ้งไว 30 นาที จะเกิดแกสคารบอนไดออกไซด ซึ่งทําให
สารละลายบรอมไทมอลบลูเปลี่ยนจากสีนํ้าเงินเปนสีเหลืองอมสม
T143
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ขยายความเขาใจ
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
1. ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา สามารถนํา • การสังเกต
ภาพที่ 3.65
?
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. หลังจากที่ตั้งขวดพลาสติกทิ้งไว้ 30 นาที มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นบ้าง
2. แกสที่เกิดขึ้นในการทดลองคือแกสใด
3. หากท�าการทดลองเช่นเดียวกัน แต่เปลี่ยนเป็นน�้าผลไม้ชนิดอื่น ๆ นักเรียนคิดว่าจะได้ผลการทดลอง
เช่นเดียวกันหรือไม่ อย่างไร
แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม
อภิปรายผลกิจกรรม
1. สังเกตเห็นฟองอากาศผุดขึ้นในขวดที่ใสยีสต
กับนํ้าสับปะรด และลูกโปงพองขึ้น จากกิจกรรมพบว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดของลูกโป่ง โดยจะสังเกตเห็นว่าลูกโป่งพองออก ซึ่งแกส
ที่ท�าให้ลูกโป่งพองออกนี้ คือ แกสคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากหมักของยีสต์ โดยกรดไพรูวิกจะเป็นตัวปล่อย
2. แกสคารบอนไดออกไซด แกสคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา และผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้จากการหมักของยีสต์ คือ แอลกอฮอล์
3. นาจะไดผลเชนเดียวกัน แตทั้งนี้ขึ้นอยูกับ
132
สภาพความเปนกรด-เบสของสารละลาย และ
ปริมาณนํ้าตาลในนํ้าผลไมนั้นๆ
บันทึก กิจกรรม
เมื่อตั้งขวดทิ้งไว 30 นาที จะเกิดแกสคารบอนไดออกไซด ซึ่งทําใหลูกโปงที่
ปากขวดพองขึ้น
T144
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ตรวจสอบผล
2. กระบวนกำรหมักกรดแลกติก (lactic acid fermentation) เป็นกระบวนการสลาย 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน สรุป
กลูโคสแบบไม่ใช้ออกซิเจนที่พบในเซลล์กล้ามเนื้อลายของสัตว์ เซลล์ของพยาธิตัวตืด และเซลล์ ความรู้เรื่อง การหายใจระดับเซลล์ทั้งในภาวะ
แบคทีเรียบางชนิด โดยกลูโคสจะเข้าสู่กระบวนการไกลโคลิซิส ที่มีออกซิเจนเพียงพอ และภาวะที่มีออกซิเจน
แล้วจึงจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นกรดไพรูวิกเช่นเดียวกับการหมัก กลูโคส ไม่เพียงพอ โดยจัดท�าในรูปแบบผังมโนทัศน์
แอลกอฮอล์ แต่ต่อมากรดไพรูวิกนั้นจะเปลี่ยนเป็นกรดแลกติก 2 ATP 2. ครูมอบหมายให้นักเรียนท�าแบบฝกหัด
(lactic acid) โดยจะมีเอนไซม์แลกเตตดีโฮโดรจีเนส (lactate ไกลโคลิซิส 2 NAD+ ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เล่ม 1
dehydrogenase) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา 2 NADH + H+
2
ในภาวะทีร่ า่ งกายขาดออกซิเจน หรือได้รบั ออกซิเจน กรดไพรูวิก ขัน้ ประเมิน
ไม่เพียงพอ การสลายกลูโคสในเซลล์กล้ามเนือ้ นัน้ จะไม่สมบูรณ์ ตรวจสอบผล
และไม่เข้าสู่วัฏจักรเครบส์และกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน 2 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบค�าถาม
แต่จะสลายไปเป็นกรดแลกติก ท�าให้ได้พลังงานเพียง 2 ATP กรดแลกติ ก
การร่วมกันท�าผลงาน และการน�าเสนอผลงาน
ต่อกลูโคส 1 โมเลกุลเท่านั้น ดังสมการ ภาพที่ 3.66 กระบวนการหมัก
กรดแลกติก 2. ครูวัดและประเมินการปฏิบัติการ จากการท�า
C6H12O6 + 2ADP + 2Pi 2C3H6O3 + 2ATP กิจกรรม เรื่อง การหมักของยีสต์
กลูโคส กรดแลกติก 3. ครูตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง การหายใจระดับ
เซลล์
กรดแลกติกที่เกิดขึ้นจากกระบวนการหมัก จะมีการล�าเลียงออกจากเซลล์กล้ามเนื้อ 4. ครูตรวจสอบผลการท�าแบบฝกหัด
ไปยังตับ เพื่อสังเคราะห์กลับเป็นกลูโคส ซึ่งร่างกายสามารถน�าไปใช้ต่อได้
หากมีกรดแลกติกปริมาณมากสะสมในกล้ามเนื้อ จะท�าให้กล้ามเนื้อล้าและอ่อนแรง
จนกระทั่งไม่สามารถท�ากิจกรรมได้เป็นปกติ ดังนั้น ร่างกายจึงจ�าเป็นต้องได้รับแกสออกซิเจน
มาชดเชย เพื่อให้กรดแลกติกสลายตัวไป ได้เป็นน�้าและแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะถูกก�าจัด
ออกนอกร่างกาย
ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการหมักสามารถน�าไปใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรมและ
อุตสาหกรรม เช่น ใช้กระบวนการหมักแป้งของยีสต์ในการผลิตขนมปัง ใช้ยสี ต์หมักเพือ่ ผลิตเครือ่ ง
ดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงการผลิตแอลกอฮอล์จากของเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งสามารถน�า
แอลกอฮอล์นั้นมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังใช้ประโยชน์จากกระบวนการหมักกรด
แลกติกของแบคทีเรียบางชนิดในการผลิตอาหาร เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ผัก
และผลไม้ดอง เป็นต้น
เซลล์ 133
ของสิ่งมีชีวิต
เซลลในภาวะที่มีออกซิเจนพียงพอ จะไดแกสคารบอนไดออกไซด
ทดลองเสร็จทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทึกและสรุปผลการ บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คาแนะนาในการ ต้องให้ความช่วยเหลือ ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
และนาเสนอผล ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม ทดลองได้ถูกต้อง แต่ บันทึก สรุป และ อย่างมากในการบันทึก ................./................../..................
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน การทดลอง นาเสนอผลการทดลอง การนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทดลอง สรุป และนาเสนอผล
.............../................/................ เป็นขั้นตอนชัดเจน ทดลองยังไม่เป็น การทดลอง
ขั้นตอน เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-12 ดีมาก 14-16 ดีมาก
9-10 ดี 11-13 ดี
6-8 พอใช้ 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T145
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายตวามเข้าใจ
1. ให้นักเรียนแต่ละคนทบทวนความรู้หน่วยการ
Summary
เรียนรู้ที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต จาก Summary เซลล์ของสิง่ มีชวี ติ
ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เล่ม 1
2. ให้นักเรียนแต่ละคนตรวจสอบความรู้ความ เซลล์และทฤฎีเซลล์
เข้าใจของตนเอง โดยพิจารณาข้อความใน ทฤษฎีเซลล์
กรอบ Self Check ซึ่งหากยังเข้าใจไม่ถูกต้อง มีใจความส�าคัญว่า “สิ่งมีชีวิตทั้งหลายประกอบด้วยเซลล์ และเซลล์คือหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด”
ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาในหัวข้อนั้นๆ กล้องจุลทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบธรรมดำ
3. ให้นักเรียนท�าแบบทดสอบหลังเรียน ใช้ศึกษาวัตถุขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ซึ่งให้ภาพ 2 มิติ
4. ให้นักเรียนท�าแบบฝกหัดใน Unit Question 3 กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอ
ใช้ศึกษาวัตถุขนาดเล็กที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ไม่เห็น
รายละเอียดเพียงพอซึ่งให้ภาพ 3 มิติ
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบสองผำน
ใช้ศึกษาส่วนประกอบภายในของวัตถุซึ่งให้ภาพ 2 มิติ
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบสองกรำด
ใช้ศึกษาส่วนประกอบภายนอกของวัตถุซึ่งให้ภาพ 3 มิติ
ภาพที่ 3.67
โครงสร้างของเซลล์ที่ศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
สวนที่หอหุ้มเซลล์
• ผนังเซลล์ : เพิ่มความแข็งแรงให้แก่เซลล์ ท�าให้เซลล์คงรูปอยู่ได้
• เยื่อหุ้มเซลล์ : ห่อหุ้มไซโทพลาซึม แสดงขอบเขตของเซลล์ ควบคุม
การเข้าออกของสารต่าง ๆ ระหว่างเซลล์กับสิ่งแวดล้อม
ไซโทพลำซึม
• ออร์แกเนลล์ : กระจายตัวอยู่ในไซโทพลาซึม ซึ่งออร์แกเนลล์
แต่ละชนิดจะมีโครงสร้างและหน้าที่แตกต่างกัน
• ไซโทซอล : ส่วนของไซโทพลาซึมที่มีลักษณะเป็นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลว
นิวเคลียส
ภาพที่ 3.68 • เยื่อหุ้มนิวเคลียส : เยื่อหุ้มบาง ๆ 2 ชั้น มีช่องเล็ก ๆ กระจายอยู่
ทั่วไปเรียกว่า นิวเคลียร์พอร์
• นิวคลีโอพลำซึม : ประกอบด้วยนิวคลีโอลัส และโครมาทิน
การลําเลียงสารผ่านเซลล์
กำรล�ำเลียงสำรผำนเยื่อหุ้มเซลล์
• การแพร่แบบธรรมดา : การล�าเลียงสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต�่า
• การออสโมซิส : การแพร่ของโมเลกุลน�้าจากบริเวณที่มีน�้ามากไปยังบริเวณที่มีน�้าน้อย
• การแพร่แบบฟาซิลิเทต : การล�าเลียงสารโดยอาศัยโปรตีนตัวพา
• การล�าเลียงแบบใช้พลังงาน : การล�าเลียงสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นต�่าไปยังบริเวณความเข้มข้นสูง
โดยใช้พลังงาน
134
กิจกรรม ทาทาย
ให้นกั เรียนรวมกลุม่ กัน ศึกษาค้นคว้าเพิม่ เติมเกีย่ วกับเซลล์ของ
สิง่ มีชวี ติ แล้วเลือกหัวข้อทีส่ นใจเป็นพิเศษ จากนัน้ สรุปองค์ความรู้
หัวข้อนัน้ ๆ ในรูปแบบทีน่ า่ สนใจ โดยใช้เทคโนโลยีชว่ ยในการสืบค้น
จัดกระท�าข้อมูล และน�าเสนอข้อมูล
T146
น�า สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
กำรล�ำเลียงสำรโดยกำรสร้ำงถุงจำกเยื่อหุ้มเซลล์ 1. ครูประเมินผล โดยการสังเกตการตอบค�าถาม
• เอกโซไซโทซิส : การล�าเลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ การร่วมกันท�าผลงาน และการน�าเสนอผลงาน
• เอนโดไซโทซิส : การล�าเลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์
• ฟาโกไซโทซิส : การล�าเลียงสารในรูปของแข็ง 2. ครูตรวจแบบทดสอบหลังเรียน
• พิโนไซโทซิส : การล�าเลียงสารในรูปสารละลาย 3. ครูตรวจแบบฝกหัดใน Unit Question 3
• การล�าเลียงสารโดยอาศัยตัวรับ : การล�าเลียงสารโดยอาศัยโปรตีนตัวรับที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์
การสื่อสารระหว่างเซลล์
กระบวนกำรสื่อสำรระหวำงเซลล์
• กำรสื่อสำรโดยใช้กระแสประสำท : เซลล์ประสาทของสัตว์สามารถสื่อสารและน�ากระแสประสาทได้ โดย
เซลล์ประสาทที่เชื่อมต่อกันจะหลั่งสารออกมากระตุ้นให้เซลล์ประสาทอีกเซลล์หนึ่งท�างานต่อไป
• กำรสือ่ สำรโดยใช้สำรเคมีหรือฮอร์โมน : ในสัตว์ฮอร์โมนจะถูกหลัง่ จากต่อมไร้ทอ่ แล้วส่งไปตามกระแสเลือด
เพื่อไปยังเซลล์ของอวัยวะเป้าหมาย ส่วนในพืชส่วนใหญ่แล้วฮอร์โมนจะถูกล�าเลียงจากเซลล์หนึ่งไปยัง
อีกเซลล์หนึ่งโดยตรง หรือแพร่ผ่านไปทางอากาศ
การเปลี่ยนสภาพของเซลล์และการชราภาพของเซลล์
กำรเปลี่ยนสภำพของเซลล์ กำรชรำภำพของเซลล์
• หลังจากการแบ่งเซลล์แล้ว เซลล์แต่ละชนิดจะมี • เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น จ�านวนซ�้าของการ
การเปลี่ยนสภาพไปท�าหน้าที่ต่าง ๆ แบ่งเซลล์ท�าให้ความยาวเทโลเมียร์ลดลง เซลล์
มี ก ารสะสมของเสี ย มากขึ้ น หรื อ จากปั จ จั ย
ภายนอก ซึง่ การชราภาพของเซลล์จะท�าให้เซลล์
มีประสิทธิภาพในการท�างานลดลง
เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน รังสี
เซลล์กระดูก
บุหรี่
DNA
เซลล์กล้ามเนื้อ เกิดความ สารพิษ
เสียหาย จากโรงงาน
เซลล์ผิวหนัง
ภาพที่ 3.69 การแบ่งเซลล์ ไมโทคอนเดรียเสื่อมสภาพ
การหายใจระดับเซลล์ ภาพที่ 3.70
กำรหำยใจระดับเซลล์ในภำวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ
กำรสลำยกลูโคส
• กระบวนการสลายน�้าตาลกลูโคส 1 โมเลกุล ซึ่งมีเอนไซม์ต่าง ๆ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
• ได้ ATP 2 โมเลกุล NADH 2 โมเลกุล และกรดไพรูวิก 2 โมเลกุล
NAD+ NADH 2 ADP 2 ATP
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี 14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้ 8-10 พอใช้ 11-13 ดี
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง ต่ากว่า 8 ปรับปรุง 8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T147
น�า สอน สรุป ประเมิน
ุด
3. หลังจากการแบ่งเซลล์ เซลล์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งมีการ 6
สม
ชราภาพของเซลล์ ใน
ลง
เยื่อหุ้มเซลล์
ทึ ก
บั น
T148
น�ำ สอน สรุป ประเมิน
U nit
ค�าชี้แจง :
Question 3
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� ำ ถำมต อ ไปนี้
ปลอดภัย เพราะท�ำหน้าที่ห่อหุ้มไซโทพลาซึมที่
อยูภ่ ายใน แสดงขอบเขตของเซลล์ และควบคุม
การผ่านเข้าออกของสารบางชนิดระหว่างเซลล์
1. เมื่อต้องการเคลื่อนย้ายกล้องจุลทรรศน์ควรปฏิบัติอย่างไร กับสิ่งแวดล้อม
2. ถ้าพยัญชนะ ง มีขนาดความสูง 1 มิลลิเมตร เมื่อน�ามาส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีก�าลังขยาย 5. ไรโบโซมท�ำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีน ถ้าไม่มี
ของเลนส์ใกล้ตา 10x และก�าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ 10x จะเห็นภาพพยัญชนะ ง มีความสูง ไรโบโซมจะไม่มีการสังเคราะห์โปรตีนในเซลล์
เท่าใด ซึ่งจะส่งผลให้ไม่เกิดการจ�ำลองตัวเองเพื่อเพิ่ม
3. ให้นักเรียนถ่ายเอกสารภาพเซลล์ที่ก�าหนดให้ด้านล่าง หรือหาภาพเซลล์จากหนังสือหรือ จ�ำนวนเซลล์ และท�ำให้เกิดความผิดปกติกับ
อินเทอร์เน็ต แล้วชี้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของเซลล์ พร้อมทั้งบอกหน้าที่ของส่วนประกอบนั้น ๆ ร่างกายได้
6. แวคิวโอลของเซลล์พืช ท�ำหน้าที่เก็บสะสมสาร
ต่าง ๆ เช่น รงควัตถุ น�้ำตาล สารพิษ และสาร
ต่าง ๆ ทีล่ ะลายน�ำ ้ ส่วนของเซลล์สตั ว์ทำ� หน้าที่
รักษาสมดุลน�้ำในเซลล์ และก�ำจัดของเสียที่
ละลายน�ำ้ ออกจากเซลล์
7. แ ตกต่ า งกั น โดยการทดลองที่ 1 เมื่ อ น� ำ
นิ ว เคลี ย สออก อะมี บ าจะไม่ ส ามารถแบ่ ง
ภาพที่ 3.72 เซลล์ได้ ซึ่งจะท�ำให้อะมีบาตายในที่สุด ส่วน
4. ถ้าเปรียบเทียบเซลล์เป็นโรงงาน เยื่อหุ้มเซลล์จะเทียบได้กับส่วนใดของโรงงาน เพราะเหตุใด การทดลองที่ 2 เมื่อน�ำนิวเคลียสออก แล้ว
5. ถ้าในเซลล์ไม่มีไรโบโซมอยู่เลย จะมีผลอย่างไร น�ำนิวเคลียสของอะมีบาอีกตัวหนึ่งมาใส่แทน
6. แวคิวโอลที่อยู่ในเซลล์พืชกับในเซลล์สัตว์ ท�าหน้าที่เหมือนกันหรือไม่ อย่างไร อะมีบาจะยังมีชีวิตและสามารถแบ่งเซลล์ต่อ
7. นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งศึกษาหน้าที่ของนิวเคลียส ดังนี้ ไปได้ ซึ่งจากผลการทดลองสามารถสรุปได้ว่า
นิวเคลียสท�ำหน้าทีค่ วบคุมการท�ำงานของเซลล์
การทดลองที่ 1 น�านิวเคลียสออกจากเซลล์อะมีบา
และเกี่ยวกับการแบ่งเซลล์
การทดลองที่ 2 น�านิวเคลียสออกจากเซลล์อะมีบาตัวที่ 1 แล้วน�านิวเคลียสของเซลล์อะมีบา
ตัวที่ 2 มาใส่แทน 8. ส ารต่างๆ ที่มีโมเลกุลเล็กจะล�ำเลียงเข้าออก
จากเซลล์โดยผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ส่วนสารที่มี
นักเรียนคิดว่าผลการทดลองทั้ง 2 การทดลอง จะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
โมเลกุลใหญ่จะมีกลไกพิเศษบางอย่างในการ
8. จงอธิบายถึงกระบวนการล�าเลียงสารผ่านเซลล์ และบอกความส�าคัญของการล�าเลียงสารผ่านเซลล์
ล�ำเลียงสาร ซึ่งการล�ำเลียงสารเข้าและออก
9. จงเปรียบเทียบปริมาณน�า้ ทีเ่ ข้าและออกจากเซลล์เม็ดเลือดแดงทีน่ า� ไปใส่ในสารละลายไอโซโทนิก จากเซลล์มีความส�ำคัญต่อเซลล์เป็นอย่างมาก
ไฮเพอร์โทนิก และไฮโพโทนิก และบอกลักษณะของเซลล์เม็ดเลือดแดงในสารละลายนั้น ๆ
เนื่ อ งจากเซลล์ ต ้ อ งการสารอาหารเพื่ อ สร้ า ง
10. สารสื่อประสาทและฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างเซลล์อย่างไร
พลังงาน และในขณะเดียวกันก็ต้องมีการขับ
เซลล์ 137 ของเสียออกจากเซลล์ด้วย
ของสิ่งมีชีวิต
T149
น�า สอน สรุป ประเมิน
11. A ระยะอินเตอร์เฟส
B ระยะเมทาเฟส
C ระยะแอนนาเฟส 11. จากภาพการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสที่ก�าหนดให้ จงระบุว่าเซลล์ A B และ C อยู่ในระยะใด
12. 12.1 เซลล์ C อยู่ในระยะแอนาเฟส II เพราะมี ของการแบ่งเซลล์
การแยกโครมาทิดของแต่ละโครโมโซม
12.2 เซลล์ A และ B เพราะมีโครโมโซม 3
โครโมโซม
A
13. การชราภาพของเซลล์เกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. เซลล์มกี ารสะสมของเสีย ท�าให้เกิดผลกระทบ B
ต่อความอยู่รอดของเซลล์
2. ยีนที่มีบทบาทก�าหนดการตายตามอายุขัย
เมื่อมีการแบ่งเซลล์ทุกๆ ครั้งส่วนปลายของ
โครโมโซมจะสั้นลง จึงอาจจะเป็นไปได้ว่าที่ C
ส่วนปลายของโครโมโซมมียีนที่ควบคุมการ
ปรับสภาพของเซลล์
ภาพที่ 3.73
3. ปจจัยภายนอกเซลล์ เช่น อนุมูลอิสระ (free
radical) ส่งผลให้ดีเอ็นเอเกิดการกลาย เกิด 12. พิจารณาภาพที่ก�าหนดให้แล้วตอบค�าถาม
12.1 เซลล์ใดแบ่งเซลล์อยู่ในระยะแอนาเฟส II
การสร้างโปรตีนที่ผิดปกติ 12.2 เซลล์ใดมาจากสิ่งมีชีวิต n = 3
เซลล์ที่อยู่ในช่วงชราภาพหรือแก่ตัว จะมี
ประสิทธิภาพการท�างานลดลงในด้านต่างๆ
ดังนี้
1. การสังเคราะห์โปรตีนลดลง ท�าให้กจิ กรรม
ต่างๆ ภายในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับโปรตีน
ลดลง เช่น การสังเคราะห์เอนไซม์ ฮอร์โมน
สารสื่อประสาท A B C
ภาพที่ 3.74
2. ความว่องไวในการท�างานต�่าลง เนื่องจาก
ไมโทคอนเดรียมีประสิทธิภาพการท�างาน 13. การชราภาพของเซลล์เกิดจากสาเหตุใด และส่งผลอย่างไรต่อการท�างานของเซลล์
ลดลง การสังเคราะห์สารพลังงานสูง (ATP) 14. หากกระบวนการสลายกลูโคสปลดปล่อยพลังงานออกมาปริมาณมากในครัง้ เดียว จะส่งผลต่อเซลล์
จึงลดลงไปด้วย อย่างไร
14. การสลายกลูโคส หากมีการปลดปล่อยพลังงาน 15. เมือ่ เซลล์อยูใ่ นภาวะทีม่ แี กสออกซิเจนไม่เพียงพอหรือไม่มแี กสออกซิเจนเลย เซลล์จะยังคงด�าเนิน
ออกมาปริมาณมากในครั้งเดียวจะได้พลังงาน กิจกรรมต่าง ๆ ต่อไปได้หรือไม่ อย่างไร
สูงมาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเซลล์ได้ 138
15. ในภาวะขาดแก ส ออกซิ เ จน เซลล์ จ ะยั ง คง
ด�าเนินกิจกรรมต่างๆ ต่อไปได้ ซึ่งเซลล์จะ
มี ก ระบวนการสร้ า ง ATP โดยวิ ธีก ารท� า ให้
NADH เปลี่ยนกลับไปเป็น NAD+ เพื่อท�าให้
กระบวนการไกลโคลิซิสสามารถด�าเนินต่อไป
เรียกกระบวนการดังกล่าวว่า กระบวนการหมัก
(fermentation)
T150
S T E M Project
ความเร็วลมกับการเลี้ยงผึ้ง
การเลี้ยงผึ้งในสวนผลไม้เป็นแนวทางหนึ่งในการเพิ่ม
รายได้ให้กบั เกษตรกร ซึง่ เกษตรกรต้องศึกษาพฤติกรรมของผึง้
ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการด�ารงชีวิตของผึ้ง
ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ แสง ทิศทางลม และความเร็วลม และ
เนื่องด้วยเครื่องมือตรวจวัดความเร็วลมมีราคาค่อนข้างสูง
ดังนั้น หากประดิษฐ์เครื่องมือตรวจวัดความเร็วลมได้เองจะ
ช่วยลดต้นทุนในการเลี้ยงผึ้งได้
สถานการณ
เกษตรกรต้องการประดิษฐ์เครื่องมือตรวจวัดความเร็วลมใช้เอง เพื่อลดต้นทุนในการเลี้ยงผึ้ง นักเรียนจะช่วยเกษตรกร
ออกแบบและประดิษฐ์เครื่องตรวจวัดความเร็วลมได้อย่างไร
ขอจํากัด
เครื่องวัดความเร็วลมที่ประดิษฐ์ขึ้นต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
• แอนีมอมิเตอร์ที่วัดความเร็วลมได้อย่างแม่นย�า มีความ เชื่อมโยงสูไอเดีย
แข็งแรง สวยงาม มีขนาดเหมาะสมกับสถานที่
• เลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่เหมาะสม Science ผึ้ ง บิ น ในทิ ศ ทางทวนลม ความเร็ ว ลมที่
เหมาะสมต่อการบินของผึ้ง คือ ประมาณ
25 กิโลเมตร/ชั่วโมง
วัสดุและอุปกรณ แอนีมอมิเตอร์ประกอบด้วยถ้วยที่อยู่บริเวณ
ปลายก้ า นซึ่ ง หมุ น ได้ อ ย่ า งอิ ส ระ เมื่ อ ลม
1. พัดลม ปะทะด้านเว้าของถ้วย ถ้วยนั้นจะหมุนรอบ
2. กรรไกร แกนกลาง
3. ดินน�้ามัน Technology แอนีมอมิเตอร์ท�ามือ
4. ปากกาเมจิก
5. ตะเกียบ 1 อัน Engineering ออกแบบเครื่องแอนีมอมิเตอร์ให้ตรงตาม
6. แก้วพลาสติก 4 ใบ เงื่อนไข และใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม
7. แอนีมอมิเตอร์ดิจิทัล
8. หลอดพลาสติก 1 อัน
Mathematics การค�านวณอัตราเร็วในการหมุนของแอนีมอ
มิเตอร์ที่ประดิษฐ์ขึ้น เทียบกับความเร็วลมที่
9. ฟวเจอร์บอร์ด 1 แผ่น วัดได้จากแอนีมอมิเตอร์ดิจิทัล
10. ขวดน�้าพลาสติก 1 ขวด
T151
1 ระบุปญหา
วิเคราะห์สถานการณ์ และระบุ
แนวทางการแก้ปญหา เพื่อเป็น
แนวทางในการสร้างสรรค์ชนิ้ งาน
6 นําเสนอวิธีการแกปญหา 2 รวบรวมขอมูลและแนวคิด
รวบรวมแนวคิดที่ได้ และปญหา สืบค้นความรู้ และรวบรวม
ที่พบในกิจกรรม เพื่อน�าเสนอวิธี ข้อมูลที่น�าไปแก้ปญหา แล้ว
การแก้ปญหา สรุปข้อมูลความรู้ที่ได้มาโดย
สังเขป
ขั้นตอน
การท�ากิจกรรม
ร่วมกันวางแผนการสร้างสรรค์
ชิ้นงานอย่างเป็นล�าดับขั้นตอน
แล้ ว ตรวจสอบการด� า เนิ น การ
หากไม่ตรงตามแผนจะมีวิธีการ
แก้ไขอย่างไร
การประเมินผลงาน
ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การประเมิน
1 2 3 4 5
• สามารถวัดความเร็วลมได้อย่างแม่นย�า
• ใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่เหมาะสม
• ความแข็งแรงและสวยงาม
• ความคิดสร้างสรรค์
T152
บรรณานุ ก รม
เกล็ดแก้ว ด่านวิวัฒน์. 2553. เซลล์ชีววิทยา. กรุงเทพมหานคร : ไอกรุ๊ป เพรส.
จารุณี ควรพิบลู ย์ และประกานต์ ฤดีกลุ ธ�ำรง. 2555. ชีวเคมีระดับเซลล์. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
เชาว์ ชิโนรักษ์ และพรรณี ชิโนรักษ์. 2552. ชีววิทยา 1. กรุงเทพมหานคร : ศิลปาบรรณาคาร.
ณิชกานต์ กลิ่นกุสุม. 2552. ชีววิทยาของเซลล์. ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยรังสิต.
ดาวัลย์ ฉิมภู่. 2555. ชีวเคมี. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พงศธร นันทธเนศ และสุนทร ภูรีปรีชาเลิศ. 2555. สารและสมบัติของสาร. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ. 2555. สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการด�ำรงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์.
วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2544. การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สถาบัน
พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (ม.ป.ป.). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. ม.ป.ท. : ม.ป.พ.
ศุภณัฐ ไพโรหกุล. 2555. Essential Biology. กรุงเทพมหานคร : ธนาเพรส.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ม.ป.ป. คู่มือการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส�ำหรับหลักสูตร
อนาคต ระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
สตาร์, ซีซาย. 2551. ชีววิทยา เล่ม 1. แปลโดย คณาจารย์ภาควิชาชีววิทยา. กรุงเทพมหานคร : เซนเกจ เลินนิง่ (ประเทศไทย).
สตาร์, ซีซาย. 2553. ชีววิทยา เล่ม 2. แปลโดย คณาจารย์ภาควิชาชีววิทยา. กรุงเทพมหานคร : เซนเกจ เลินนิง่ (ประเทศไทย).
Campbell, Neil A., Reece, Jane B. 2005. Biology. San Francisco : Pearson, Benjamin Cummings.
Grimm, A. et al. 2008. Science & Technology. United Kingdom: Parragon Publishing.
Joan, Fong. et.al. 2008. Science Matters volume A. Singapore : Marshall Cavendish Education.
Karp, Gerald. 2008. Cell and molecular biology. Chichester : John Wiley.
Kim, Sandra, Glucksman, Marc J, and Marks, Dawn B. 2007. Biochemistry and molecular biology. Philadelphia :
Lippincott Williams & Wilkins.
Knee, Boone. 2007. Biology Expression. Singapore : EPB Pan Pacific.
Kwan, Lam Peng and Lam, Eric Y K. 2010. Discover Biology. Singapore : Marshall Cavendish Education.
Pollard, Thomas D. et.al. 2008. Cell biology. Philadelphia : Saunders/Elsevier.
Schomburg, D. and Michal Gerhard. 2012. Biochemical pathways. Hoboken, N.J. : John Wiley & Sons.
Tay, B. 2007. Biology Insights. Singapore : Pearson Education.
T153
บั น ทึ ก
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
T154
สร้างอนาคตเด็กไทย
ด้วยนวัตกรรมการเรี ย นรู ร
้ ะดั
ĔïðøąÖĆîÙčèõćóÿČęĂÖćøđøĊ÷îøĎšøć÷üĉßćđóĉęöđêĉö
บโลก
ĀîĆÜÿČĂđøĊ÷îøć÷üĉßćđóĉęöđêĉöüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ßĊüüĉì÷ćǰ ßĆĚîöĆí÷öýċÖþćðŘìĊęǰ đúŠöǰ
คู่มือครู
êćöñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰÖúŠčöÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ÞïĆïðøĆïðøčÜǰóýǰ ǰêćöĀúĆÖÿĎêø
ĒÖîÖúćÜÖćøýċÖþć×ĆĚîóČĚîåćîǰóčìíýĆÖøćßǰǰđúŠöîĊĚǰïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆéǰđðŨîñĎšÝĆéóĉöóŤ
đñ÷ĒóøŠǰĒúąÝĞćĀîŠć÷ǰēé÷ĕéšÝĆéìĞćÙĞćĂíĉïć÷øć÷üĉßćđóĉęöđêĉöìĊęöĊìĆĚÜñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšđóĉęöđêĉö
ĒúąĂÜÙŤ ð øąÖĂïÿĞ ć ÙĆ â ĂČę î ìĊę ÿĞ ć îĆ Ö óĉ ö óŤ ÝĆ é ìĞ ć ×ċĚ î ǰ đóČę Ă ĔĀš ÿ ëćîýċ Ö þćĕéš đ ìĊ ÷ ïđÙĊ ÷ ÜÖĆ ï ĀúĆ Ö ÿĎ ê ø×ĂÜ
ÿëćîýċÖþćǰĒúąóĉÝćøèćđúČĂÖĔßšĀîĆÜÿČĂîĊĚðøąÖĂïÖćøÝĆéÖćøđøĊ÷îøĎšǰĔĀšÿĂéÙúšĂÜÖĆïĀúĆÖÿĎêøÿëćîýċÖþć
ǰ ǰ
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ îć÷ßĆ÷èøÜÙŤ úĉöðşÖĉêêĉÿĉî
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ÖøøöÖćøñĎšÝĆéÖćøǰïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆé
>> ราคาเล่มนักเรียนโปรดดูจากใบสัง
่ ซือ
้ ของ อจท.
คู่มือครู นร. ชีววิทยา ม.4 ล.1
บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 8 858649 138088
โทร. 0 2622 2999 (อัตโนมัติ 20 คูส
่ าย) 350.-
ID Line : @aksornkrumattayom www.aksorn.com อักษรเจริญทัศน์ อจท.
ราคานีเ้ ป็นของฉบับคูม
่ อ
ื ครูเท่านัน
้