Professional Documents
Culture Documents
• ปัญญารู้เห็นทุกข์โทษของ
รูปนามโดยถ่ายเดียว ไม่มี
ที่พึ่ง ไม่มีที่หลบหลีก ไม่มี
ส่ ว นใดน่ า ปรารถนาเลย
เป็นเหมือนฝี เหมือนโรค
เหมื อ นอาศั ย อยู ่ ใ นป่ า ชั ฏ
อันตรายจากสัตว์ร้าย เป็น
ของน่ า กลั ว ไม่ ป ลอดภั ย
เป็ น สิ ่ ง ที ่ ม ี ค วามบกพร่ อ ง
ระคนอยู่ด ้วยทุกข์ ไม่ว่า
กำหนดครั้งใดพบแต่ของไม่
ดีเป็นโทษทั้งสิ้น
• ๑. พอง ยุบ หายไปทีละนิดๆ ปรากฏมัวๆ ลางๆ ไม่
ชัดเจน
• ๒. ไม่ดี น่าเกลียด น่าเบื่อ
• ๓. รูปนามปรากฏเร็ว แต่กำหนดได้ดีอยู่
• ๔. มีแต่สภาพการณ์ที่มีโทษ คือเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์
และโทษ เพราะความเกิดขึ้นแห่งรูปนาม ความสลาย
แห่งรูปนาม รูปนามเป็นไตรลักษณ์
• ๕. กำหนดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่ได้ดี สู้วัน
ก่อนๆไม่ได้
นิ พ พิ ท าญาณ
• ปัญญารู้รูปนามโดยอาการเบื่อ
หน่าย เพราะมีแต่ความแตก
สลายไป ไม่ น ่ า อภิ ร มย์ ย ิ น ดี
เลย เห็ น รู ป นามเป็ น โทษ ไม่
เพลิดเพลินติดใจไม่อยากไปสู่
ภพใดๆ ไม่ อ ยากกำหนดแต่
ยินดีพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุก
ขั ง อนั ต ตาหรื อ กำหนดได้
ญาณที ่ เ ป็ น อย่ า งเดี ย วกั น
อย่างอ่อนเป็นภยญาณ อย่าง
กลางเป็นอาทีนวญาณ อย่าง
แก่เป็นนิพพิทาญาณ
• ๑. น่าเบื่อหน่ายขยะแขยงในอารมณ์นั้นๆ
• ๒. รู้สึกแห้งแล้งคล้ายกับขี้เกียจ แต่ยังกำหนดได้ดีอยู่
• ๓. ไม่เบิกบาน เบื่อๆ เศร้าๆ โศกๆ ดุจพลัดพรากจากของรักของชอบใจฉะนั้น
• ๔. เมื่อก่อนได้ยินเขาพูดกันว่า เบื่อ เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าเบื่อจริงๆ
• ๕. เมื่อก่อนเห็นว่าอบายภูมิเท่านั้นที่ไม่ดี ส่วนมนุษย์ สวรรค์ ยังเห็นว่าดีอยู่ แต่บัดนี้รู้สึกว่านิพพาน
เท่านั้นที่ดี นอกนั้นไม่เห็นมีอะไรดีเลย ใจน้อมเอียงไปสู่พระนิพพาน
• ๖. กำหนดรูปนามไม่เพลิดเพลินเลย
• ๗. ทุกสิ่งทุกอย่างรู้สึกว่าเป็นของไม่ดีทั้งสิ้น และไม่เห็นว่าจะสนุกสนานที่ตรงไหน
• ๘. ไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากเห็นใคร อยากอยู่ในห้องเท่านั้น
• ๙. รู้สึกแห้งแล้งคล้ายกับอยู่ในสนามหญ้ากว้างๆ ซึ่งมีแดดเผามาให้หญ้าเหี่ยวแห้งฉะนั้น
• ๑๐. รู้สึกหงอย เศร้าๆ ไม่เบิกบาน
• ๑๑. บางคนเห็นว่าลาภยศที่ตนต้องการเมื่อก่อนๆโน้นไม่มีอะไรที่น่ายินดีเลยแล้วก็เกิดเบื่อหน่าย เห็น
ว่า คำว่าคนก็เกิดเสื่อมอย่างนี้ ทุกชาติ ทุกภาษา แม้เทวดา พรหมก็เป็นอย่างนี้ ที่ได้ลาภยศเป็นเศรษฐี
เจ้านาย คุณหญิง คุณนายก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย มีเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นเดียวกัน จึงไม่รู้สึก
เพลิดเพลิน ไม่ทะเยอทะยาน เกิดความเบื่อหน่าย เห็นว่าถ้าถึงนิพพานได้เป็นสุขแน่ ใจก็โน้มโอนไปสู่
นิพพาน
มุ ญ จิ ตุ กั ม มยตาญาณ
• ปัญญารู้อยากจะพ้นไปจากรูป-
นาม อันน่าเบื่อหน่ายเต็มทน
นั้นเสีย อาการเวทนาไม่รุนแรง
มีคันหน้าคันตา ซู่ซ่าตามกาย
เจ็บคันใบหู หรือ แมลงไต่
• พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์
ศัพท์, หน้า ๒๓๕.
• ๑. คันตามตัวเหมือนมดกัน เหมือนมีสัตว์ไต่ตามใบหน้า
ตามร่างกาย
• ๒. ลุกลี้ลุกลนผุดลุกผุดนั่ง ยืนกำหนดไม่ได้ดี นั่งกำหนด
ไม่ได้ดี นอนกำหนดไม่ได้ดี เดินกำหนดไม่ได้ดี
• ๓. กำหนดอิริยาบทน้อยใหญ่ไม่ได้ดี
• ๔. ใจคอหงุดหงิดเอือมๆ เบื่อๆ
• ๕. อยากออก อยากหนี อยากหลุด อยากพ้น
• ๖. บางคนคิดกลับบ้าน นึกว่าตนหมดบุญวาสนาบารมีเสีย
แล้ว เตรียมเก็บเสื่อ เก็บหมอนกลับบ้าน โบราณเรียกว่า
“ญาณม้วนเสื่อ” อย่างนี้เป็นลักษณะของปฏิจจสมุปบาท
มุ ญ จิ ตุ กั ม มยตาญาณ
เหมื อ นปลาติ ด ข่ า ย ไก่ ป่ า ถู ก
ขั ง ในกรงอยากจะพ้ น ไปจาก
ข่ า ยจากกรงขั ง
ปฏิ สั ง ขาญาณ
• ปั ญ ญารู ้ ท างพ้ น ไป หรื อ
ญาณที่คำนึง หาทางจะพ้น
จึงหันกลับไปพิจารณาไตร
ลักษณ์ ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น
อีกครั้งหนึ่ง ทุกขเวทนามี
น้อยแต่รุนแรง การกำหนด
ไม่ ส ะดวก ไม่ ค ่ อ ยทั น
ปั จ จุ บ ั น ต้ อ งพยายาม
มากกว่าที่ญาณผ่านมา
• ฝ่ายวิชาการอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย,
วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๑๕๗.
๑. ปรากฏดุจเข็มแทง ดุจเอาไม้เล็กๆมาจี้ตามร่างกาย
๒. เวทนามีมากแต่หายเร็ว กำหนด ๒-๓ ครั้งก็หาย
๓. มีอาการซึมๆ
๔. ตัวแข็งดุจเข้าผลสมาบัติ แต่ใจรู้อยู่ หูยังได้ยินเสียงอยู่
๕. ตึงๆ หนักๆ เหมือนเอาหินหรือท่อนไม้มาทับลง
๖. รู้สึกร้อนทั่วสรรพางค์กาย
๗. รู้สึกอึดอัดแน่นๆ
สั ง ขารุ เ ปกขาญาณ
• ปั ญ ญารู ้ ร ู ป นามโดยอาการวาง
เฉย เป็ น กลาง รู ้ เ ห็ น รู ป นาม
ตามเป็นจริงจนเบื่อหน่าย และ
ปรารถนาจะหนีไปเสียให้พ้นแต่
ไปไม่ได้ จึงเกิดความรู้สึกพะอึด
พะอม แต่ ส ติ ก ำหนดรู ้ เ ฉยอยู่
ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีข้อขัดข้อง
กำหนดได้ง่ายที่สุดไม่หวาดกลัว
ไม่ เ บื ่ อ หน่ า ย เห็ น รู ป นามว่ า ง
เปล่า ละวางรูปนามลงได้จิตนิ่ง
เฉยไม่ ฟ ุ ้ ง ซ่ า นกระวนกระวาย
สมาธิ ต ั ้ ง อยู ่ น าน กำหนดรู ้ ร ู ป
นามสุ ข ุ ม ละเอี ย ดลออ ญาณ
แล่นสู่นิพพาน
• ฝ่ า ยวิ ช าการอภิ ธ รรมโชติ ก ะวิ ท ยาลั ย ,
วิปัสสนากรรมฐาน , หน้า ๑๖๕.
• ๑. ฉฬังคุเปกขา ในอุเบกขา ๑๐ ประการนั้น อุเบกขาของพระขีณาสพอันใด คืออาการที่ไม่ละปกติ ภาวะอันบริสุทธิ์ ในคลองแห่งอารมณ์
๖ ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ในทวารทั้ง ๖ ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพในศาสนานี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว
ย่อมไม่ดีใจ ย่อมไม่เสียใจ เป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะเห็นเสมอกันอยู่ อุเบกขานี้ชื่อว่า ฉฬังคุเปกขา
• ๒. พรหมวิหารุเปกขา อุเบกขาอันใด คืออาการอันเป็นกลาง ๆ ในสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุมีจิตประกอบด้วยอุเบกขาแผ่ไป
ทางทิศหนึ่งอยู่ อุเบกขานี้ชื่อว่า พรหมวิหารุเปกขา
• ๓. โพชฌังคุเปกขา อุเบกขาอันใด คืออาการอันเป็นกลาง ๆ ในสหชาตธรรมทั้งหลาย ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุย่อมยังอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยนิพพานให้เกิดขึ้น อุเบกขานี้ชื่อว่า โพชฌังคุเปกขา
• ๔. วีริยุเปกขา อุเบกขาอันใด กล่าวคือความเพียรที่ไม่ตึงเครียดเกินไป และที่ไม่หย่อนยานเกินไป ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้โยคีบุคคล
ย่อมมนสิการถึงอุเบกขานิมิตตลอดกาลโดยกาล อุเบกขานี้ชื่อว่า วีริยุเปกขา
• ๕. สังขารุเปกขา อุเบกขาอันใด ที่พิจารณาข้าศึกมีนิวรณ์เป็นต้นโดยสภาวะแล้วจึงลงความเห็น ซึ่งมีอาการเป็นกลาง ๆ ในการยึดถือ
สังขาร อันมาแล้วอย่างนี้ว่า สังขารุเปกขา ทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยอํานาจแห่งสมถะมีเท่าไร? สังขารุเปกขาทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยอํานาจมี
วิปัสสนามีเท่าไร? สังขารุเปกขาเกิดขึน้ ด้วยอํานาจสมถะมี ๘ สังขารุเปกขาเกิดขึน้ ด้วยอํานาจวิปัสสนามี ๑๐ อุเบกขานี้ชื่อว่า สังขารุเปกขา
• ๖. เวทนุเปกขา อุเบกขาอันใด ที่รู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข (คือเฉย ๆ) ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า สมัยใดกามาวจรกุสลจิตอันประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา
เกิดขึ้น อุเบกขานี้ชื่อว่า เวทนุเปกขา
• ๗. วิปสั สนุเปกขา อุเบกขาอันใด คือความเป็นกลาง ๆ ในการพิจารณา ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า ขันธ์ ๕ ใดมีอยู่ ขันธ์ ๕ ใดปรากฏชัด โยคี
บุคคลย่อมละขันธ์ ๕ นั้น ย่อมได้ อุเบกขาในขันธ์ ๕ นั้น อุเบกขานี่ชื่อว่า วิปสั สนุเปกขา
• ๘. ตัตรมัชฌัตตุเปกขา อุเบกขาอันใด ที่ยังสหชาตธรรมทั้งหลายให้เป็นไปเสมอกัน ซึ่งมาแล้วในเยวาปนกธรรมทั้งหลายมีฉันทะเป็นต้น
อุเบกขานี้ชื่อว่า ตัตรมัชฌัตตุเปกขา
• ๙. ฌานุเปกขา อุเบกขาอันใด ที่ไม่ให้เกิดความเอนเอียงไปในฝ่าย แม้ในฝ่ายสุขอันเลิศนั้นก็ตาม ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า และเป็นผู้มี
สัมปชัญญะเห็นเสมอกันอยู่ อุเบกขานี้ ชื่อว่า ฌานุเปกขา
• ๑๐. ปาริสุทธุเปกขา แหละอุเบกขาอันใดที่บริสุทธิ์จากข้าศึกทั้งปวงมีนิวรณ์และวิตกวิจารเป็นต้น มีอันไม่ขวนขวายแม้ในการสงบแห่งธรรม
อันเป็นข้าศึก เพราะธรรมอันเป็นข้าศึกเหล่านั้นสงบไปแล้ว ซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า จตุตถฌาน อันมีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา อุเบกขานีช้ อื่ ว่า
ปาริสุทธุเปกขา
องค์ ป ระกอบของ
สั ง ขารุ เ ปกขาญาณ
• ไม่มีความกลัว ไม่มีความยินดี ยินร้าย กำหนดได้
สม่ำเสมอ (วิสุทธิมรรค)
• ดีใจ เสียใจก็ไม่มี (วิภังคบาลี)
• วางเฉยในสังขารทั้งปวงเหมือนคนขับรถใหม่บนถนน
เรียบ (วิสุทธิมรรค)
• สมาธิตั้งได้อยู่นาน เพราะใจสงบ (ปฏิสัมภิทามรรค)
• กำหนดรู้รปูนามสังขารได้ละเอียดสุขุม (วิสุทธิมรรค)
• จิตกำหนดอารมณ์กรรมฐานแคบเข้ามา (วิสุทธิ
มรรค)
อุปมา
สภาวะที่ป รากฏ
• วางเฉย
• พองยุบเปลี่ยน
• หมุนวนตามร่างกาย
• ทุกขเวทนามาก
• ฤษีดัดตน
• เป็นซ้ำ ๆ เดิม ๆ วนไปวนมา
• สาเหตุเพราะจิตดิ้นรน
ผู้ ไ ม่ ส ามารถผ่ า น
สั ง ขารุ เ ปกขาญาณได้
ปรารถนาพุทธภูมิ
อริยูปวาท
ล่วงเกินบุพพการี ครูบา
อาจารย์
อนันตริยกรรม
ศีลไม่บริสุทธิ
สัจจานุโลมิก ญาณ
• อนุโลมญาณ ปัญญารู้รูปนามครั้งสุดท้ายโดย
อนุโลมไปตามลำดับ เมื่อสำเร็จกิจในวิปัสสนา
ญาณ ๘ ตั้งแต่อุทยัพพยญาณถึงสังขารุเปกขา
ญาณ หรือ กำหนดไปตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗
หรือญาณอันเป็นไปต่อการตรัสรู้อริยสัจ เมื่อใจ
เป็ น กลางต่ อ รู ป นาม การตรั ส รู ้ อ ริ ย สั จ ย่ อ ม
เกิดขึ้น ถึงจุดหมายปลายทางสู่ความดับ ปล่อย
ความเป็ น ไปของรู ป นามตรงสู ่ พ ระนิ พ พาน
เป็นสังขารุเปกขาญาณชั้นสุดยอด ท่านพระอนุ
รุทธาจารย์ เรียกยอดของสังขารุเปกขาญาณ
และ อนุโลมญาณ ว่า วุฏฐานคามินีวิปัสสนา
ญาณวิปัสสนาญาณตั้งแต่อทุ ยัพพยญาณถึงสัจจา
นุ โ ลมิ ก ญาณ เรี ย กว่ า ปฏิ ป ทาญาณทั ส สน
วิสุทธิ คือความบริสุทธิ์หมดจดจากข้อปฏิบัติจะ
นำไปสู่มรรคผลนิพพาน ข้อที่ ๖ ในวิสุทธิ ๗
• พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ศัพท์, หน้า ๓๑๘.
บริก รรม อุป จาร อนุโลม
ทบทวนญาณ
• อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณตามเห็นความเกิดและ
ความดับแห่งนามรูป เห็นพลวอุทยัพพยญาณหรืออุทยัพพยญาณ
อย่างแก่ จัดว่าจิตเริ่มเข้าสู่วิปัสสนาญาณที่แท้จริง (ระหว่างเกิดถึง
ดับ เห็นเป็นดุจกระแสน้ำที่ไหล)
• ภังคานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณตามเห็นจำเพาะความดับเด่น
ขึ้นมาอย่างเดียว
• ภยตูปัฏฐานญาณ หมายถึง ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็น
ของน่ากลัว ไม่แน่นอน ดุจกลัวต่อมรณะที่จะเกิด
• อาทีนวานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณคำนึงเห็นโทษภัยของสิ่ง
ทั้งปวง ผันผวนแปรปรวน พึ่งพิงมิได้
• นิพพิทานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณคำนึงเห็นด้วยความเบื่อ
หน่าย
• มุจจิตุกัมยตาญาณ หมายถึง ญาณหยั่งรู้อันใคร่จะพ้นไปเสีย
• ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อ
จะหาทางหนี
• สังขารุเบกขาญาณ หมายถึง ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลาง
วางเฉยต่อสังขาร
อุป มาอนุโลมญาณ
ความดั บ
๕ ประการ
• ดับด้วย ปีติ
• ดับด้วย ปัสสัทธิ
• ดับด้วย สมาธิ
• ดับด้วย ถีนมิทธะ
• ดับด้วย อุเปกขา
ดับ โดยมรรค
โคตรภู ญ าณ
• ความหยั ่ ง รู ้ ท ี ่ เป็ น ภาวะแห่ ง การข้ า มพ้ น จาก
ปุ ถ ุ ช นเข้ า สู ่ อ ริ ย บุ ค คล โดยโคตรภู จ ิ ต หน่ ว ง
นิพพานเป็นอารมณ์ ละปุถุชนโคตรทันที เป็น
จิตทำลายชาติเชื้อปุถุชน การกำหนดรู้อนุโลม
ญาณ เข้าโคตรภูญาณ ตัดอารมณ์โลกีย์ ตัด
โคตรปุถุชนไม่มีเหลือ เป็นโลกียญาณ ปล่อยวาง
ขันธ์ ๕ ก่อนที่อริยมรรค ได้นิพพานเป็นอารมณ์
ครั้งแรก คำว่า โคตรภู แยกได้ ๒ บท คือ
โคตร แปลว่าชาติหรือเชื้อสาย บทหนึ่ง ภู มา
จากบาลี ว ่ า อภิ ภ ุ ย ฺ ย แปลว่ า ทำลาย เพราะ
โคตรภู มี ๒ อย่า ง คือมหัคคตโคตรภู การ
ทำลายชาติ กาม และโลกุ ต ตรโคตรภู การ
ทำลายเชื้อสายของปุถุชน
• วิ ส ุ ท ธิ ม ั ค คอรรถกถา ว่ า ปริ ก รรม อุ ป จาร
อนุโลม ทั้ง ๓ นี้ มีหน้าที่ขจัดความมืด คือ
โมหะ แต่ยังไม่เห็นนิพพาน โคตรภูสามารถเห็น
พระนิพพานได้ แต่ประหาณโมหะไม่ได้
ครอบงำความเกิ ด
เห็ น ความดั บ เห็ น ฝั่ ง คื อ พระนิ พ พาน
ความมื ด คื อ อวิ ช ชา
เมฆหมอก คื อ กิ เ ลส
อนุ โ ลมจิ ต ๓ ดวง เปรี ย บลม ๓ ระลอก
พระจั น ทร์ คื อ พระนิ พ พาน
มรรคญาณ
• ความหยั่งรู้ที่ให้สำเร็จภาวะอริยบุคคล
เมื่อโคตรภูจิตดับ อริยมรรคจิตเสวย
นิพพานต่อชั่วขณะจิตหนึ่ง ญาณปัญญา
ที่เกิดร่วมกับมรรคจิต เรียกว่า มรรค
ญาณ เห็นนิโรธสัจ ส่วนทุกข์ สมุทัย
มรรค เกิดพร้อมกัน
• พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หน้า
๒๒๗.
เข้าสู่มรรคทางอนิจจัง
อนิมิตตวิโมกข์
ลักษณะที่ ๑ สังขารสุขุมละเอียดอย่างยิ่ง ดับไป เรียกว่า ดับทางอนิจจัง
ยทิ วุฏฺฐานคามินี วิปสฺสนา ทุกฺขโต วิปสฺสติ อปฺปณิหิโต วิโมกฺโข
นาม โหติฯ
เข้ า สู่ ม รรค
ทางทุ ก ขั ง
อัปปณิหิตตวิโมกข์
• ทุ ก ขเวทนาเกิ ด ขึ ้ น อย่
ลักษณะที่ ๒ างแรง ใน
ที่ส ุดดับ ไป เรียกว่า ดับ
ทางทุกขัง
• ย ท ิ ว ุ ฏ ฐ า น ค า ม ิ นี
วิ ป สฺ ส นา อนิ จ ฺ จ าโต
วิปสฺสติ อนิมิตฺโต วิโมกฺ
โข นาม โหติฯ
• ลักษณะที่ ๓ สังขารละเอียดอย่างยิ่ง ค่อยๆ หายดับไป เรียกว่า ดับทางอนัตตา
• ยทิ วุฏฐานคามินี วิปสฺสนา อนตฺตโต วิปสฺสติ สุญญ ฺ โต วิโมกฺโข นาม โหติ
อุป มามรรคญาณ
อุ. อนุ. ค. ม. ผ. ผ. ผ.
ผลญาณ
๒ ประการ
• มัณฑบุคคล ปัญญาไม่แก่กล้า ผล
ญาณปรากฏ ๒ ครั้ง จึงมีภวังค์มาคั่น
• ติกขบุคคล ปัญญาแก่กล้า ผลญาณ
ปรากฏ ๓ ครั้ง จึงมีภวังค์มาคั่น
• ดับเงียบตอนแรกเป็นโคตรภูญาณ
• ดับเงียบตอนกลางเป็นมรรคญาณ
• ดับเงียบตอนสุดท้ายเป็นผลญาณ
ปหาน ๒ การ
• สมุจเฉทปหาน
การประหาณกิเลสในมรรคญาณ
• ปฏิสปัสสัมภนปหาน
การประหาณกิเลสในผลญาณ
กิ เ ลสที่ ล ะ
ในปฐมมรรค หรือโสดาปัตติมรรค ได้ประหารกิเลส ๕ อย่าง
วิสุทธิมัคคอรรถกถา ว่า สํโยชเนสุ ตาว สกฺกายทิฏฺฐิวิจิกิจฺ
ฉาสีลพฺพตปรามาโส อปายคมนียา จ กามราคปฏิฆาติ เอ
เต ปญฺจ ธมฺมา ปฐมญาณวชฺฌาฯ
๑) ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
๒) ความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ
๓) ความยึดถือว่าบุคคลบริสุทธิ์ด้วยศีล และวัตรเท่านั้น
๔) การนำไปสู่อบายภพโดยกามราคะ
๕) การนำไปสู่อบายภพโดยปฏิฆะ
• สักกายทิฏฐิคือความเห็นว่าเป็นตัวของตนเป็นเหตุถือตัวตน
เช่นเห็นรูปเป็นตนเห็นนามเป็นตน
• วิจิกิจฉา คือความลังเลไม่ตกลงได้,ความไม่แน่ใจ, ความ
สงสัย เป็นต้น
• สีลัพพตปรามาส คือความยึดถือว่าบุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วย
ศีลและวัตรเท่านั้น
• อปายคมนียกามราคะ คือการนำไปสู่อบายภพได้โดยกาม
ราคะ
• อปายคมนียปฏิฆะ คือการนำไปสู่อบายภพได้โดยปฏิฆะ
ปั จ จเวกขณญาณ
• ญาณหยั ่ ง รู ้ ก ารพิ จ ารณาทบทวน
กิเลสที่ละ หรือที่เหลือ และนิพพาน
เว้นแต่พระอรหันต์ไม่มีกิเลสที่เหลือ
ลักษณะญาณครั้นผลจิตดับ ภวังคจิต
เกิ ด สื บ ต่ อ แล้ ว กามาวจรกุ ศ ลจิ ต
ญาณสัมปยุต เกิดขึ้นพิจารณามรรค
ผลเป็ น ต้ น หรื อ กลั บ ไปพิ จ ารณา
สภาวะที่เข้าสู่ความดับ ว่าเป็นอะไรไป
ในอรรถกถา ว่ า อริ ย บุ ค คลที ่ ไ ม่ ไ ด้
พิจารณาก็มี ในอภิธัมมัตถสังคหอรรถ
กถา ว่ า อริ ย บั ณ ฑิ ต พหุ ส ู ต ย่ อ ม
พิจารณากิเลสที่ละ และกิเลสที่เหลือ
บุคคลไม่มีปริยัติไม่ได้พิจารณา แต่ก็
กำหนดต่อไป
• พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หน้า ๑๖๑.
ย้ อ นกลั บ มาดู
มรรค
ผล
นิพพาน
กิเลสที่ละ
กิเลสที่เหลือ
• ๑. การปรับอินทรีย์โดยการกำหนดให้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นภายในกาย ใจ ณ ปัจจุบันขณะนั้น
ดังเมื่อสันตติอำมาตย์ฟังธรรมพร้อมทั้งเจริญสติปัฏฐานโดยกำหนดรูปนามปัจจุบันที่ปรากฏชัด จึงไม่เกิดกิเลสที่หวน
คิดถึงอดีต หรือใฝ่ฝันอนาคต และหยั่งเห็นสภาวธรรมรูปนามที่เกิดดับตามความเป็นจริง จนกระทั่งบรรลุมรรค
ญาณทั้ง ๔ ตามลำดับ ในที่สุดได้บรรลุอรหัตตผล ไม่ยึดมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัส
ข้อความว่า “อุปสนฺโต จริสฺสสิ (ก็จักเป็นผู้สงบไปได้)”
• ๒. การปรับอินทรีย์โดยการกำหนดเวลา ในการเดินจงกรม และการนั่งสมาธิ เช่น การเพิ่มเวลาในการ
เดินจงกรม และการนั่งสมาธิ จาก ๑๕ นาที เป็น ๒๐ นาที ๒๕ นาที ๓๐ นาที ไปจนถึง ๖๐ นาที เป็นต้น
• ๓. การปรับอินทรีย์โดยการเพิ่มระยะในการเดินจงกรม และการกำหนดจุดในขณะนั่งสมาธิ เช่น การ
เดินจงกรมตั้งแต่ระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ ระยะที่ ๓ ไปจนถึงระยะที่ ๖ หรือการเพิ่มการกำหนดถี่ ๆ ๆ ในการก้าว
แต่ละระยะ เป็นต้น
• ๔. การปรับอินทรีย์โดยการเพิ่มการกำหนดอิริยาบถย่อย เช่น การคู้ กำหนดว่า คู้หนอ ๆ ๆ การเหยียด
กำหนดว่า เหยียดหนอ ๆ ๆ การเหลียวหน้า แลหลัง กำหนดว่า เหลียวหนอ ๆ ๆ เป็นต้น
• ๕. การปรับอินทรีย์โดยการเพิ่มการกำหนดต้นจิต หมายถึง การกำหนดอารมณ์ต่างที่เกิดขึ้นที่ใจ เช่น
ก่อนเดินจงกรมกำหนดว่า อยากเดินหนอ ๆ ๆ ถ้าฟุ้งซ่าน กำหนดว่า ฟุ้งหนอ ๆ ๆ ถ้าง่วงกำหนดว่า ง่วงหนอ
ๆ ๆ เป็นต้น
• ๖. การปรับอินทรีย์โดยการสำรวมอินทรีย์ ๖ หมายถึง การกำหนดอารมณ์ต่าง ๆ ที่กระทบทางทวารทั้ง
๖ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ เช่น ถ้าเห็น กำหนดว่า “เห็นหนอ” ถ้าได้ยิน กำหนดว่า “ได้ยิน
หนอ” ถ้าได้กลิ่น กำหนดว่า “กลิ่นหนอ” ถ้ารู้รส กำหนดว่า “รสหนอ” ถ้าถูกต้องสัมผัส กำหนดว่า “ถูก
หนอ” ถ้ารับสิ่งต่าง ๆ กำหนดว่า “รู้หนอ” เป็นต้น
• ๗ เพิ่มความถี่ในการกำหนดสภาวะรูป สภาวะนามให้มากขึ้น
- วิธีเพิ่มปัญญา - รู้รูปนาม รู้ปัจจุบัน รู้ไตรลักษณ์
รู้วิปัสสนา ปัญญา รู้มรรค ผล นิพพาน
• - วิธีเพิ่มวิริยะ - เพียรตั้งใจทำจริง กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย
• - วิธีเพิ่มสมาธิ - ผูกจิตไว้กับองค์คุณ ๓ จิตจับในอารมณ์ใด
ให้กำหนดมั่นในอารมณ์นั้น จิตหลุดในอาการใด
ให้กำหนดรู้ในอาการนั้น
• - วิธีเพิ่มสติ - ระลึกรู้อยู่ที่รูปนามและการกำหนดตลอดเวลา
• - วิธีเพิ่มศรัทธา - ทรงใจให้อยู่กับรูปนาม ศีล สมาธิ ปัญญา