Professional Documents
Culture Documents
พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2471
พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2471
พุทธศักราช 2471
-------------
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกลาเจาอยูหวั ทรงพระราชปรารภ
ประชาราษฎรผูประกอบการเพาะปลูกและจําพวกอื่น ๆ ที่มีกําลังทรัพยนอยแตมีความตองการ
อยางเดียวกัน ทรงพระราชดําริวาหมูชนนัน้ ๆ ควรไดรบั อุดหนุนใหตงั้ สหกรณขึ้นอีก เพื่อยังใหเกิด
การประหยัดทรัพย การชวยซึ่งกันและกันและการชวยตนเอง เปนทางอีกทางหนึ่งซึ่งเผยแผความ
จําเริญทรัพยและจําเริญธรรมในบานเมืองใหยิ่งขึน้ อนึ่งทรงพระราชดําริวา การจัดสหกรณทไี่ ด
โปรดเกลา ฯ ใหทํามาแลวเปนการทดลอง นั้น อาศัยพระราชบัญญัติสมาคมเพิ่มเติม พ.ศ. 2459 ซึ่ง
ไดโปรดเกลา ฯ ใหตราขึ้นใชชั่วคราวระหวางทดลองขอความยังไมพอแกการที่จะขยายสหกรณให
แผกวางออกไปจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกลา ฯ ใหตราพระราชบัญญัติขึ้นไว ดั่งตอไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้ใหมีนามวาพระราชบัญญัติสหกรณ พุทธศักราช 2471
มาตรา 2 ใหใชพระราชบัญญัตินี้เปนกฎหมายเริ่มตั้งแตวนั ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เปนตนไป
มาตรา 3 พระราชบัญญัติสมาคมเพิ่มเติม พ.ศ. 2459 นั้นใหยกเลิก
มาตรา 4 เวนแตเมื่อใชในที่ซงึ่ บงใหเห็นความเปนอยางอืน่
(1) เสนาบดี ใหหมายความวา เสนาบดีผูมีหนาที่รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
(2) สหกรณ ใหหมายความวา สมาคมซึ่งไดจดทะเบียนแลวตามพระราชบัญญัตินี้ ฤาพึ่งถือ
ไดวาไดจดทะเบียนแลวตามพระราชบัญญัตินี้
(3) ขอบังคับ ใหหมายความวา ขอบังคับสหกรณและขอแกไขเพิ่มเติม ขอบังคับสหกรณซึ่ง
นายทะเบียนไดรับจดทะเบียนไว
(4) กรรมการดําเนินการ ใหหมายความวา กรรมการซึ่งสหกรณไดเลือกตั้งขึ้นตามขอบังคับ
เพื่อใหดําเนินการของสหกรณ
(5) สมาชิก หมายความรวมทั้งผูเขาชื่อขอจดทะเบียนสหกรณ และผูท ี่ไดรับเลือกตาม
ขอบังคับใหเขาเปนสมาชิก
(6) จํากัดสินใช ใหหมายความวา สมาชิกแหงสหกรณอนั ไดจดทะเบียนแลวนั้น ตองรับใช
หนี้สิ้นของสหกรณจํากัด เพียงไมเกินราคาหุนของตนที่ยังสงไมครบ
(7) ไมจํากัดสินใชใหหมายความวา สมาชิกแหงสหกรณอันไดจดทะเบียนแลวนั้นทุกคน
ตองรับ ใชหนีส้ ินของสหกรณรวมกันและแทนกันไมมีจาํ กัด
มาตรา 5 สมาคมซึ่งอาจจดทะเบียนเปนสหกรณไดนั้น คือ สมาคมซึ่งตั้งขึ้นเพื่อดําเนินกิจ
ธุระรวมกันเปน ประโยชนสามัญแกสมาชิกทั้งปวงในทางทรัพยมีชนิด ดังตอไปนี้
(1) สมาคมซึ่งหามมิใหเฉลี่ยกําไร
(2) สมาคมซึ่งเฉลี่ยกําไรไดแตในหมูสมาชิกตามสวนราคาแหงการกูยืม และคาขาย ซึ่ง
สมาชิกนั้น ๆ ไดกระทํากับสมาคม
(3) สมาคมซึ่งตั้งขึ้นเพื่อยังความสะดวกใหเกิดแกกจิ การของสมาคม เชนที่กลาวใน (1)
ฤา (2) ฤาชุมนุมแหงสมาคมเชนนั้น
(4) สมาคมชนิด (2) ฤา (3) ซึ่งมีขอบังคับยอมใหเฉลี่ยเงินปนผลตามหุน ได โดยอัตรา
ไมเกิน รอยละ 6 ตอปนั้น จะจดทะเบียนก็ได แตตองไดรับอนุมัติเสนาบดีทุกราย
มาตรา 6 เพื่อใชพระราชบัญญัตินี้ใหไดผลตามความมุงหมาย ใหเสนาบดีมีอํานาจภายใน
บังคับแหงมาตรการกอนที่จะกําหนดตามซึ่งเห็นสมควร และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเปน
คราว ๆ วา จะยอมรับจดทะเบียนสหกรณชนิดใดและประเภทใดบาง และทั้งใหมีอํานาจกําหนดวา
บุคคลจําพวกใดบางอาจรวมกันตั้งสหกรณ และในเขตใดบางที่จะตั้งสหกรณ ขึ้นได
มาตรา 7 สหกรณซึ่งตั้งและกอนวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ และไดจดทะเบียนตาม
พระราชบัญญัติสมาคมเพิ่มเติม พ.ศ. 2459 นั้น ใหถือวาไดจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 8 ใหเสนาบดีมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตั้งเจาพนักงานนายหนึ่งเปน
นายทะเบียนสหกรณ มีหนาที่รับจดทะเบียนสหกรณ และกระทําการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้
เมื่อไดรับอนุญาตเปนหนังสือจากเสนาบดีแลว นายทะเบียนจะมอบอํานาจหรือแบงมอบสวนแหง
อํานาจตามพระราชบัญญัตินี้ ใหแกผูหนึ่งผูใ ดในบังคับของตนก็ได แตตองเขียนเปนหนังสือ
มาตรา 9 สมาคมซึ่งมีประสงคจะจดทะเบียนเปนสหกรณนั้น ถาเปนสมาคมซึ่งเอกชนเปน
สมาชิกตองมีจํานวนคนอยางนอยสิบคนอายุครบยี่สิบปหรือกวานั้นขึน้ ไป และถาความมุงหมาย
ของสมาคม คือการจัดใหทนุ ใหสมาชิกกูไ ซร คนทั้งหลายนั้นตองมีสํานัก อยูในหมูบ านเดียวกัน
หรือหมูบานซึง่ ใกลเคียงกันหรืออยูในจํากัดแดน ดั่งซึ่งนายทะเบียนเห็นชอบ
มาตรา 10 หนังสือขอจดทะเบียนนัน้ ตองยืน่ ตอนายทะเบียน โดยแบบซึง่ นายทะเบียนจัด
ขึ้นไว หนังสือขอจดทะเบียนนั้นตองลงนามดั่งนี้
(1) ถาเปนสมาคมซึ่งไมมีสหกรณเปนสมาชิก ตองมีคนดัง่ บัญญัติไวในมาตรา 9 ลงนาม
อยางนอยสิบคน
(2) ถาเปนสมาคมซึ่งเปนชุมนุมสหกรณ ตองมีผูไดรับตั้งแตงใหเปนผูแทนสหกรณนนั้ ๆ
ลงนาม แทนทุกสหกรณ ถาสมาชิกมิใชสหกรณทั้งหมดก็ใหมีเอกชนที่เปนสมาชิกลงนามอีกสิบคน
หรือถามีไมถึงสิบคน ก็ใหลงนามทั้งหมดคําขอจดทะเบียนทุกรายใหระบุวา สมาคมนั้นจะ
จดทะเบียนจํากัดสินใชหรือไมจํากัดสินใช คําวา"จํากัดสินใช" หรือ "ไมจํากัดสินใช" นี้ ใหเปน
คําสุดทายแหงนามของสหกรณ แตสมาคมซึ่งมีสหกรณเปน สมาชิกนัน้ ใหจดทะเบียนไดแตจํากัด
สินใชเทานั้น คําขอจดทะเบียนนัน้ ตองมีขอบังคับซึ่งจะขอจดทะเบียนยื่นมาดวยฉบับหนึ่งขอบังคับ
นั้นตองมี รายการเหลานี้อยูด วย คือ
(ก) นามของสมาคม
(ข) สํานักของสมาคม
(ค) ความมุงหมายของสมาคม ถานายทะเบียนตองการทราบขอความใด ๆ ในเรื่องสมาคม
นั้นไซร ผูขอจดทะเบียนหรือผูซึ่งแตงตั้งใหผูอื่นมาขอจดทะเบียนแทนนั้น ตองแสดงขอความให
นายทะเบียนทราบตามประสงค
มาตรา 11 เมื่อนายทะเบียนพอใจวาขอบังคับนั้นไมขัดกับพระราชบัญญัตินี้ และกฎ
เสนาบดี ซึ่งออกตามพระราชบัญญัตนิ ี้ และทั้งสมาคมนั้นเปนสมาคมซึ่งควรจดทะเบียนเปน
สหกรณได ตามพระราชบัญญัตินี้ดวยประการทั้งปวงแลว ใหนายทะเบียนรับจดทะเบียนและสง
ขอบังคับลงชื่อทะเบียนเปนสําคัญ ใหแกสหกรณฉบับหนึ่งถาสหกรณแกไขฤาเพิ่มเติมขอบังคับ
ทานวาขอแกไขเพิ่มเติมนั้นยังไมสมบูรณ เวนไวและจดกวาจะไดจดทะเบียนโดยวิธีทกี่ ลาวไวใน
วรรคกอน
มาตรา 12 สมาชิกสหกรณคนหนึ่งใหออกเสียงในกิจการของสหกรณไดแตเสียงเดียว
สมาชิกเอกชนจะมอบใหผูอื่นออกเสียงแทนตนไมไดเปนอันขาด แตในสหกรณซึ่งมีสหกรณอื่น
เปนสมาชิกนัน้ ใหสหกรณซึ่งเปนสมาชิกตั้งสมาชิกของตนคนหนึ่งเปนผูออกเสียงแทนได
มาตรา 13 สมาชิกแหงสหกรณ ซึ่งจดทะเบียนไมจํากัดสินใชนั้นจะโอนหุนซึ่งตนเปน
เจาของฤาประโยชน ซึ่งตนพึงไดรับในทุนของสหกรณทงั้ หมดฤาแตสว นใดสวนหนึง่ ไมได เวนแต
(1) สมาชิกนั้นจะไดเปนเจาของหุนฤาประโยชนนนั้ มาแลวอยางนอยปหนึ่ง และ
(2) การโอนนั้นเปนการโอนใหแกสหกรณนั้นเอง ฤาใหสมาชิกอื่นในสหกรณเดียวกัน
มาตรา 14 สมาชิกซึ่งออกจากสหกรณไปนัน้ ตองมีสวนรับแบกหนี้สหกรณตามจํานวนเงิน
ที่ สหกรณเปนหนี้อยูเมื่อวันซึ่งตนออกมีกําหนดสองป นับแตวนั ที่ออกจากสมาชิก
มาตรา 15 ถาสหกรณเปลี่ยนสํานัก ตองรีบแจงใหนายทะเบียนทราบโดยเร็ว สหกรณตองมี
พระราชบัญญัตินี้ไวฉบับหนึง่ กฎเสนาบดีซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ฉบับหนึ่งขอบังคับสหกรณ
ฉบับหนึ่ง หนังสือสําคัญเหลานี้บุคคลผูใสใจในการสหกรณ อาจตรวจดูไดที่สํานักของสหกรณ ทุก
เวลาอันควร โดยไมตองเสียคาธรรมเนียม
มาตรา 16 ในขอบังคับสหกรณใหวางระเบียนการเลือกกรรมการดําเนินการไวกรรมการนี้
เมื่อ ไดรับตั้งแตงตามระเบียบแลว ใหเปนผูจัดทํากิจการทั้งปวงของสหกรณ และใหเปนผูแทน
สหกรณในกิจทั้งปวง อันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ใหสหกรณมีทะเบียนสมาชิกไวทุกสหกรณ และ
สหกรณซึ่งจํากัดสินใชนั้นใหมีทะเบียนหุน แสดงนามเจาของหุน ที่อยู อายุ อาชีพ ของเจาของหุน
นั้น ๆ ไวดวยสําเนาแหงรายการอันไดลงทะเบียน ฤา บัญชีของสหกรณไวโดยลักษณะกิจการปกติ
ตามพระราชบัญญัตินี้ก็ดี ฤา ตามกฎเสนาบดี ซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ก็ดี ถาไดมีผูลงนาม
รับรองตามซึ่งวางระเบียบไวในกฎเสนาบดีแลวใหถือเปนพยานหลักฐานขอความซึ่งไดลงไวใน
สําเนานั้นทุกอยางที่รายการเดิม จะเปนหลักฐานไดและใหถือวาเสมอกัน
มาตรา 17 บัญชีของสหกรณนั้น ใหนายทะเบียนตรวจอยางนอยปละครัง้ ทุกสหกรณฤาถา
จะมี หนังสืออนุญาตใหผูอื่นทําแทนก็ไดนายทะเบียนและผูตรวจบัญชี ฤาผูตรวจการสหกรณ ซึ่ง
นายทะเบียนตัง้ แตงไวนั้นอาจเรียกสมุด บัญชี หนังสือสําคัญ และหนังสือหลักทรัพยของสหกรณ
ตรวจไดทกุ เมือ่ และใหเจาหนาที่ใน สหกรณ แจง ขอความในเรื่องกิจการของสหกรณใหผูทําการ
ตรวจบัญชี ฤาตรวจการทราบตามประสงค
มาตรา 18 เมื่อสหกรณไดจดทะเบียนแลว ทานวาเปนนิตบิ ุคคล
มาตรา 19 หามมิใหสหกรณใหผูมิไดเปนสมาชิกกูเงินเปนอันขาด แตถานายทะเบียน
อนุญาตแลวสหกรณหนึ่งจะใหอีกสหกรณหนึ่งกูเงินก็ไดใหสหกรณกูเงินและรับฝากเงินจากผูมิได
เปนสมาชิกไดแตตามกําหนดซึ่งอนุญาตไวในกฎเสนาบดีซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ และตาม
ขอบังคับเทานั้น พ.ร.บ. สหกรณแกไขเพิม่ เติม พ.ศ. 2477 มาตรา 3 ใหเพิ่มความตอไปนี้เปนมาตรา
19 ทวิมาตรา 19 ตรี และมาตรา 19 จัตวา คือ"มาตรา 19 ทวิ ในกรณีรัฐบาล ใหสหกรณกูเงินดี หรือ
ในกรณีสหกรณกูเงินจากผูอนื่ แตรัฐบาลค้ําประกันการชําระดอกเบีย้ หรือตนเงินหรือทั้งดอกเบี้ย
และตนเงินก็ดี ทานวาอันจะอนุญาตใหสมาชิกกูเงิน ที่ไดมานี้ไมวาจะเปนการกูในระยะเวลายาว
หรือสั้น สหกรณจะตองปฏิบัติตามเงื่อนไขเกี่ยวกับตนเงิน ดอกเบีย้ การผอนใชหนี้ หลักประกัน
และการตีราคาที่ดิน ซึ่งจะไดกําหนดไวในกฎกระทรวง
มาตรา 19 ตรี เมื่อสิ้นขวบปหนึ่ง ๆ ใหสหกรณที่กูเงินจากรัฐบาลหรือที่กูเงินจากผูอื่นโดย
รัฐบาลเปนผูค้ําประกันการชําระดอกเบีย้ หรือตนเงินหรือทั้งดอกเบี้ย ตนเงิน ทุกสหกรณจําหนาย
เงินกําไรสุทธิของ สหกรณ ตามกฎเกณฑดั่งตอไปนี้
(1) หักเงินกําไรสุทธิไวรอยละเกาสิบ เพื่อเปนทุนสํารอง เงินสํารองที่ไดหักไวจากเงินกําไร
สุทธิในขวบปหนึ่ง ๆ สหกรณจะตองจัดการรักษาตอทุน โดยอาจเรียกไดเปนตัวเงินทันที และจะ
จําหนายเพื่อประโยชนอยางใด ๆ ไมได นอกจากเพื่อไถถอนเงินกู ซึ่งจะถึงกําหนดชําระ เงินสํารอง
นี้ใหอยูในความควบคุมดูแลของกรมสหกรณ
(2) หักเงินกําไรสุทธิไวรอยละหา เพื่อจายเขาสมทบในทุนสหกรณกลางของกรมสหกรณ
ทุนสหกรณกลางนี้ ใหกรมสหกรณเก็บรักษาไว หากสหกรณใดในจําพวกทีก่ ลาวไวนี้เกิดมีหนี้สิน
ลนพนตัวขึน้ กรมสหกรณมอี ํานาจที่จะถอนเงินสวนหนึง่ สวนใด จากทุนสหกรณกลาง
เพื่อชําระหนี้สินของสหกรณนั้น ๆ แกเจาหนี้ได แตตองไดรับอนุญาตจากกระทรวงการคลังกอน
(3) หักเงินกําไรสุทธิไวรอยละหา เพื่อสมทบทุนสาธารณะของสหกรณ เงินทุนสาธารณะนี้
จะ ตองรักษาสะสมไว เพื่อใชจายในกิจการอันเปนสาธารณูปโภคในทองที่ การเบิกจายเงินรายนี้
จะตองไดรับอนุญาตจากนายทะเบียนเปนราย ๆ ไป
มาตรา 19 จัตวา ถาสหกรณเปนสหกรณซงึ่ ยอมใหเฉลี่ยผลกําไรไดในหมูสมาชิก ทานให
สหกรณ นั้นตัง้ บัญชีไวตางหาก สําหรับเงินกูที่รัฐบาลใหกูหรือที่รัฐบาลค้ําประกันการชําระดอกเบีย้
หรือตนเงิน หรือทั้ง ดอกเบี้ยและตนเงิน"
มาตรา 20 เงินสหกรณนนั้ ใหฝากฤาจัดการตอทุนไดดั่งนี้ คือ
(1) ฝากในคลังออกสินของรัฐบาล
(2) จัดการอยางอื่นตามที่อนุญาตไวในกฎเสนาบดีซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 21 ในสหกรณซึ่งไมจํากัดสินใช และไมมีหุนนั้น หามมิใหเฉลี่ยกําไรเปนอันขาด
ในสหกรณซึ่งไมจํากัดสินใชและมีหนุ สวนนั้น ตราบใดสหกรณยังกูเงินจากผูมิไดเปนสมาชิก
ู ตราบนั้นหามมิใหเฉลี่ยกําไรในสหกรณซึ่งจํากัดสินใชนนั้ กําไรที่ไดในปหนึ่ง ๆ อาจจําแนกได
ดังนี้
(1) โอนไปเพิม่ เงินสํารองตามที่กําหนดไวในขอบังคับ
(2) ใชเปนเงินปนผลตามหุน
(3) เฉลี่ยใหแกสมาชิกตามราคาแหงการกูย มื ฤาซื้อขายซึ่งสมาชิกนั้น ๆ ไดกระทํากับ
สหกรณ ในระหวางป
มาตรา 22 ถามีเหตุใดเหตุหนึ่งดั่งตอไปนี้ สหกรณตองเลิก
(1) เมื่อสมาชิกกวาครึ่งแหงจํานวนสมาชิกทั้งหมดรองขอใหเลิก และนายทะเบียนเห็นชอบ
ดวย
(2) เมื่อศาลพิพากษาใหลมละลายฤาปรากฏวาไมสามารถที่จะใชหนีส้ ินได
(3) เมื่อนายทะเบียนสั่งใหเลิก
มาตรา 23 เมื่อมีเหตุใดเหตุหนึ่งดั่งตอไปนีใ้ หนายทะเบียนสั่งเลิกสหกรณ
(1) ถาเปนสมาคมซึ่งเอกชนเปนสมาชิกทั้งหมด เมื่อจํานวนสมาชิกมีเหลือนอยกวาสิบ
(2) เมื่อมีเหตุสมควรซึ่งนายทะเบียนเห็นวาสหกรณนนั้ จะอยูตอไปไมได เมื่อนายทะเบียน
ไดมีคําสั่งใหเลิกสหกรณ โดยอาศัยความในขอนี้แลว ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแตวันที่สหกรณ
ไดรับคําสั่ง สหกรณจะยื่นคํารองตอเสนาบดีขอใหเสนาบดีสั่งเพิกถอนคําสั่งของนายทะเบียนเสียก็
ได ถาแหละสหกรณไดยนื่ คํารองตอเสนาบดีดั่งวามานี้แลวคําสั่งใหเลิกสหกรณของนายทะเบียน
นั้นตองงดไวจนกวาเสนาบดีจะวินิจฉัยถึงที่สุดเห็นชอบดวยคําสั่งนั้น
มาตรา 24 ถาสหกรณใดตองเลิกเพราะลมละลาย ใหใชบทในพระราชบัญญัติลมละลายซึ่ง
ใชอยู ในเวลานั้นเปนกฎหมายบังคับ
มาตรา 25 ถาสหกรณใดเลิกเพราะเหตุอน่ื นอกจากลมละลาย ใหสมาชิกมีประชุมตาม
ลักษณะ ที่กําหนดไวในกฎเสนาบดี ตั้งผูชําระบัญชีขึ้นทําการชําระบัญชี การเลือกผูชําระบัญชีนี้ตอง
ไดรับความเห็นชอบของนายทะเบียนดวย ถาสมาชิกมิไดพรอมกัน ตั้งผูชําระบัญชีดั่งที่กลาวมา
ขางตนภายในเดือนหนึ่งตั้งแตวันเลิก สหกรณไป ใหนายทะเบียนตั้งผูชําระบัญชีขึ้นภายในบังคับ
แหงบทมาตรา 23 (2)
มาตรา 26 สหกรณซึ่งเลิกนัน้ ใหถือวายังคงตั้งอยูจนกวาผูชําระบัญชีจะไดรายงานตอ
นายทะเบียนวา ไดจัดการชําระบัญชีสําเร็จแลว และนายทะเบียนตัดชื่อสหกรณออกจากทะเบียน
มาตรา 27 ผูชําระบัญชีซึ่งตั้งขึ้นตามมาตรา 25 มีหนาที่ดั่งนี้
(1) จัดการสหกรณตอไป เพือ่ ชําระหนี้สินและจัดทรัพยของสหกรณตามพระราชบัญญัตินี้
ตามกฎเสนาบดีซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้และตามขอบังคับ
(2) ผูชําระบัญชีตองทําดั่งตอไปนี้ ภายในสิบสี่วนั นับแตวนั ที่รับตั้ง
(ก) ประกาศในหนังสือพิมพรายวันและโดยวิธีอื่น ใหเจาหนี้ทราบการชําระบัญชี และ
ใหยนื่ คําทวงหนี้ตอผูชําระบัญชี
(ข) ขอจดทะเบียนการชําระบัญชีตอนายทะเบียนสหกรณและบอกนามผูชําระบัญชี
(3) ทํางบดุลยื่นตอนายทะเบียนและที่ประชุมใหญของสหกรณในเวลาเร็วที่สุดที่จะทําได
มาตรา 28 ผูชําระบัญชีซึ่งตั้งขึ้นตามมาตรา 25 มีอํานาจทําการดั่งกลาวตอไปนี้
(1) เรียกประชุมสมาชิกสหกรณ
(2) ฟองฤาแกฟองในคดีทั้งแพงและอาญา และทําปราณีประนอมในเรื่องใด ๆ ในนามของ
สหกรณ
(3) ยื่นคํารองตอศาลขอใหพิพากษาใหสหกรณลมละลาย
(4) ขายทรัพยของสหกรณ
(5) เรียกใหลูกหนี้และเจาหนีข้ องสหกรณใชหนี้ฤารับเงินใชหนี้
(6) กระทํากิจการอยางอื่นทุกประการที่จําเปน เพื่อใหการชําระบัญชีสําเร็จไป
มาตรา 29 ในการชําระบัญชีของสหกรณนนั้ ใหจายสินทรัพยโดยลําดับกอนหลัง
ดังตอไปนี้
(1) ใชคาใชจายตาง ๆ ที่ผูชําระบัญชีไดจายฤาทดลองไปในการชําระบัญชี
(2) ชําระหนี้สนิ ที่คางแกผูมิไดเปนสมาชิก
(3) ใชเงินซึ่งสมาชิกไดออกทดลองไปในการจัดสหกรณ
มาตรา 30 สินทรัพยของสหกรณซึ่งชําระบัญชีแลวนั้น จะแบงปนใหแกสมาชิก ฤาจะจัด
ตอไป ประการใดตามขอบังคับตองเปนทรัพยสินเหลือจากจําหนายตามมาตรา 29
มาตรา 31 เมื่อการชําระบัญชีเสร็จแลว ผูมีอรรถคดีจะฟองรอง
(1) สหกรณกด็ ี
(2) สมาชิกคนใดคนหนึ่งก็ดี
(3) ผูชําระบัญชีก็ดี
ใหฟองรองไดภายในกําหนดสองปนับแตวนั ที่รายงานของผูชําระบัญชีซึ่งไดยื่นตอนาย
ทะเบียนขอใหตัดชื่อสหกรณออกจากทะเบียนตามมาตรา 26
มาตรา 32 ตั้งแตวันทีป่ ระกาศพระราชบัญญัตินี้เปนตนไป ผูใดใชคําวา "สหกรณ" เปนนาม
หรือ สวนหนึง่ แหงนามการคาขายหรือกิจธุระะของตน ทานวามีความผิดตองระวางโทษปรับไม
เกินพันบาท แตถากิจการคาขายหรือกิจธุระรายใด ซึ่งตั้งอยูกอนวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ มีนาม
ดั่งที่กลาวมาขางตนนั้นทานอนุญาตใหเวลาหนึ่งปที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติในวรรคกอน
มาตรา 33 ใหเสนาบดีมีอํานาจออกกฏเสนาบดีกําหนดคาธรรมเนียมที่จะตองเสียในการ
จดทะเบียน และเพื่อจัดการทั้งปวงใหเปนไปตามประสงคของพระราชบัญญัตินี้ เมื่อกฎนั้นได
ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาแลว ใหเปนอันใชบังคับได
มาตรา 34 ใหเสนาบดีกระทรวงพาณิชยและคมนาคมมีหนาที่รักษาการตามพระราชบัญญัติ
นี้ ประกาศมา ณ วันที่ 19 พฤษภาคม พุทธศักราช 2471 เปนปที่ 4 ในรัชกาลปจจุบัน (45 ร.จ. 60
ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2471)