Professional Documents
Culture Documents
Power 1
Power 1
Week/LAB L1 L2 L3 L4 L5 L6 L7 L8-L9
1 Empty
2
3 G1 G2 G3 G4 G5 G6 - G8-G9
4 G9 G1 G2 G3 G4 G5 G6/G7
5 G8 G9 G1 G2 G3 G4 - G6-G7
6 G7 G8 G5 G1 G2 G3 G4/G9
7 G6 G7 G8 G9 G1 G2 - G4-G5
8 G5 G6 G7 G8 G9 G1 G2/G3
9 G4 G5 G6 G7 G8 G9 - G2-G3
10 G3 G4 G5 G6 G7 G8 G9/G1
11 G2 G3 G4 G5 G6 G7 - G1
G5/G8 ชดเชย
12 Examination
วัตถุประสงค์การทดลอง
รายละเอียดทัวไปเกี
่ ่ยวกับอุปกรณ์ และเครื่องมือวัด
โดยที่ ϕ คือฟลักซ์แม่เหล็กรวม
ω คือความเร็วของโรเตอร์
k คือค่าคงทีอ่ าร์เมเจอร์
Ea
G
Ea
If
If
โดยที่ Ra คือค่าความต้านทานของวงจรอาร์เมเจอร์
Ia คือกระแสอาร์เมเจอร์
ลักษณะสมบัติโหลด (External/Load /Terminal Characteristics)
คือ ความสัมพัน ธ์ร ะหว่า งแรงดัน ขาออกกับ กระแสโหลด ซึ่ง จะแตกต่ างจาก Internal Characteristics
เนื่องจากผลของปฏิกริ ยิ าอาร์เมเจอร์และความต้านทานของขดลวดอาร์เมเจอร์ เครือ่ งกําเนิดไฟฟ้ าชนิดต่าง ๆ มี
External Characteristics ต่างกันดังแสดงในรูปที่ 1-2
Va
OVER
RATED
FLAT
UNDER
SEPARATE
SHUNT
IL
0 RATED
Voltage Regulation
เป็ นค่าที่บ่งบอกถึงลักษณะสมบัติของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ า ว่าแรงดันขาออกเปลี่ยนแปลงเพียงใดเมื่อมี
โหลด โดยที่
(1-3)
Ea
Ia
G If
Ea
n
If
Ia
Rf
G
Ea
If
n
Rf
If
AC/DC AC DC
V1
L1 N min MAX
0-260V AC 3A 0-230V DC 3A
LOAD
A2
S1 S2
V1
47Ω
min MAX
RFIELD C1
0% 100%
UNIVERSAL
DC GENERATOR
MACHINE
A1
0-230V DC 1.6A
V2
G
A2
POWER
U V W SUPPLY
E2 E1
SHUNT SW F2 F1
B2
1800
A1
47Ω
V1
2. จ่ายไฟให้กบั Universal Machine โดยปรับ Main Switch ไปที่ตําแหน่ ง “ON(I)” แล้วค่อย ๆ ปรับ
Variac เพื่อเพิม่ ระดับแรงดันทีจ่ ่ายให้แก่ Universal Machine จะเห็นว่า Machine มีความเร็วเพิม่ ขึน้
3. ค่อย ๆ ทําการเพิม่ ความเร็ว จนกระทังได้ ่ ความเร็วพิกดั ของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรง 3000
RPM (วัดด้วยแทโคมิเตอร์)
วิ ธีวดั ลักษณะการกระตุ้น
4. ปรับค่าความต้านทานภายนอก Rfield ทีต่ ่ออนุกรมกับขดลวดสนาม ให้เป็ น “0”
5. ปรับ สวิต ช์ของแหล่ งจ่า ยไฟตรง S1 อยู่ใ นตํ า แหน่ ง “OFF” และ ปรับ ปุ่ มหมุน S2 (สํา หรับ ปรับ
แรงดันวงจรสนาม) ให้อยู่ทต่ี ําแหน่ง 0% บันทึกค่ากระแสสนาม If (วัดด้วยแอมมิเตอร์ A1) และแรงดันอาร์เมเจอร์
Va (วัดด้วยโวลท์มเิ ตอร์ V2)
6. ON สวิตช์ S1
7. ค่อย ๆ ปรับแรงดันสนามด้วยปุ่ม S2 ให้กระแสสนามมีค่าเพิม่ ขึน้ ประมาณ 8 ค่า (ถ้าปรับเลยค่าที่
ต้องการไปแล้วก็หา้ มปรับย้อนกลับ) ในช่วง 0 ถึงค่าพิกดั ที่ 0.21 A (ให้ระวังไม่ให้เข็มของโวลต์มเิ ตอร์ V1, V2
และแอมป์ มิเตอร์ A1 ตีกลับทิศ ถ้าทิศผิดให้สลับให้ถูกต้อง) บันทึกค่ากระแสสนาม (A1) และ แรงดันอาร์เมเจอร์
(V2) ทีไ่ ด้ ทัง้ นี้ให้รกั ษาความเร็วโรเตอร์ไว้ทค่ี ่าพิกดั 3000 RPM ตลอดเวลาด้วยการปรับ Variac ทีจ่ ่ายแรงดัน
ให้กบั Universal Machine
8. ปรับลดกระแสสนามลงไปทางเดียวจาก 0.21-0 A รวมค่าที่ 0 A ด้วย โดยอาศัยการปรับแรงดัน
สนามด้วยปุ่ม S2 บันทึกค่ากระแสสนาม (A1) และแรงดันอาร์เมเจอร์ (V2) ทัง้ นี้ ให้รกั ษาความเร็วโรเตอร์ไว้ทค่ี ่า
พิกดั 3000 RPM ตลอดเวลาด้วยการปรับ Variac ทีจ่ ่ายแรงดันให้กบั Universal Machine ตามจําเป็ น
9. เขียนกราฟ (Y-X) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนํ าภายใน Ea ต่ อกระแส
สนาม If (Magnetization Curve หรือ Internal Characteristics)
หมายเหตุ ในกรณีทย่ี งั ไม่ต่อโหลดให้กบั หม้อแปลง แรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําภายใน Ea จะมีค่าเท่ากับ
แรงดันอาร์เมเจอร์ Va (ซึง่ ถูกวัดโดยโวลท์มเิ ตอร์ V2)
ผลการทดลอง
N =______________
ปรับ กระแสสนาม (A1) [ ]
ขึน้ แรงดันอาร์เมเจอร์ (V2) [ ]
ปรับ กระแสสนาม (A1) [ ]
ลง แรงดันอาร์เมเจอร์ (V2) [ ]
ตารางที ่ 1-1 ความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันอาร์เมเจอร์และกระแสสนาม
ผลการทดลอง
A1 =_______________
ความเร็วรอบ (N) [ ]
แรงดันอาร์เมเจอร์ (V2) [ ]
ตารางที ่ 1-2 ความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันอาร์เมเจอร์และความเร็วรอบ
ตอนที่ 1-3 ลักษณะสมบัติโหลดของเครื่องกําเนิ ดไฟฟ้ าแบบแยกกระตุ้น
ลําดับขัน้ การทดลอง
1. ใช้วงจรเดิมในรูปที่ 1-6 หมุนเครื่องกําเนิดไฟฟ้ าให้ได้ความเร็วพิกดั โดยยังไม่จ่ายกระแสสนาม
2. จากนัน้ ปรับความต้านทานภายนอก Rfield ให้เป็ น “0” แล้วจ่ายกระแสสนามโดยปรับแหล่งจ่ายไฟ
ตรงทีป่ ่ ุม S2 ให้ได้ค่าแรงดันอาร์เมเจอร์ (V2) เป็ นค่าพิกดั ที่ 220 V
3. ปรับค่าความต้านทานโหลด RL ให้มคี ่าสูงสุด (100%)
4. “ON” สวิตช์ SL เชื่อมต่ อโหลดเข้ากับวงจรอาร์เมเจอร์ ตรวจสอบทิศของแอมป์ มิเตอร์ A2 ที่วดั
กระแสโหลด (กระแสอาร์เมเจอร์) ให้ถูกต้อง
5. ค่อย ๆ เพิม่ (กระแส) โหลดโดยการปรับลดความต้านทานโหลดและปรับกระแสสนามด้วยปุ่ม S2
ไปพร้อม ๆ กันจนได้แรงดันขาออกและกระแสโหลดเป็ นค่าพิกดั (220 V 1.5 A) โดยรักษาความเร็วให้คงทีท่ ค่ี ่า
พิกดั ตลอดเวลา บันทึกค่ากระแสสนาม (A1)
[Hint: เทคนิคการปรับจุดทํางานให้ได้ค่าพิกดั ให้แบ่งความรับผิดชอบแยกกันอย่างเด็ดขาด โดยนักศึกษา
คนที่ 1 คอยปรับ Variac ให้ความเร็วคงที่ นักศึกษาคนที่ 2 คอยปรับกระแสสนามให้ได้แ รงดันขาออกคงที่
นักศึกษาคนที่ 3 คอยปรับลดความต้านทานโหลดเพิม่ กระแสโหลดไปช้า ๆ จนได้ค่ากระแสพิกดั ]
6. ปรับความต้านทานโหลดเพิม่ ขึน้ ให้คา่ กระแสโหลดลดลงประมาณ 8 ค่าในช่วงศูนย์ถงึ ค่ากระแสพิกดั
1.5 A และให้วดั ค่าที่ No Load ด้วย (โดยการเปิ ดวงจรสวิตช์ SL) บันทึกค่าแรงดันอาร์เมเจอร์ (V2) และกระแส
โหลด (A2) ทีไ่ ด้ และในการทดลองนี้ให้รกั ษาความเร็วและกระแสสนามให้คงทีท่ ค่ี ่าในข้อ 5 ตลอดเวลา
7. คํานวณหาค่าแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําภายใน Ea ตามสมการที่ 3-2 บันทึกผลในตารางที่ 1-3
8. คํานวณ Voltage Regulation โดยใช้สมการที่ 3-3
หมายเหตุ ในการทดลองตอนที่ 1-3 และ 1-4 นี้ ในขณะที่ทําการทดลองที่ค่ากระแสสูง (1-1.5 A) ให้
กระทําโดยเร็ว เพราะหากใช้เวลานานจะทําให้ความต้านทานโหลดร้อนจัด
ผลการทดลอง
A1 =_______________ N =_______________
กระแสโหลด (A2) [ ]
แรงดันอาร์เมเจอร์ (V2) [ ]
RaIa [ ]
Ea=Va+RaIa [ ]
ตารางที ่ 1-3 ลักษณะสมบัตโิ หลดของเครือ่ งกําเนิดกระแสไฟฟ้ าแบบแยกกระตุน้
การคํานวณหาค่า %V.R:
ตอนที่ 1-4 เครื่องกําเนิ ดไฟฟ้ าแบบขนาน
ลําดับขัน้ การทดลอง
1. ต่อวงจรตามรูปที่ 1-7 (ให้ใช้วงจรเดิมในรูปที่ 3-6 เพียงแต่แก้ไขส่วนทีแ่ ตกต่างจากวงจรเดิมตรงที่
ขัว้ ของวงจรสนามจะเชื่อมต่อกับขดลวดอาร์เมเจอร์แทนทีจ่ ะต่อกับแหล่งจ่ายไฟตรง)
SHUNT SW
SL
LOAD
A2
RFIELD
0% 100%
C1
UNIVERSAL
DC GENERATOR
MACHINE
A1
SHUNT SW V2
G
A2
POWER
U V W SUPPLY
V1 E2 E1
A1 F2 F1
B2
1800
47
รูปที ่ 1-7 วงจรประกอบการทดลองเครือ่ งกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบขนาน
ผลการทดลอง
A1 =_______________ N =_______________
กระแสโหลด (A2) [ ]
แรงดันอาร์เมเจอร์ (V2) [ ]
ตารางที ่ 1-4 ลักษณะสมบัตโิ หลดของเครือ่ งกําเนิดกระแสไฟฟ้ าแบบขนาน
ผลการทดลอง
ความต้านทานของขดลวดอาร์เมเจอร์ [ ]
ความต้านทานของขดลวดสนาม [ ]
ตารางที ่ 1-5 ค่าความต้านทานของขดลวดอาร์เมเจอร์และขดลวดสนาม
วิ เคราะห์ผลการทดลอง
1. จากผลการทดลองที่ 1-1 และ 1-2 อยากทราบว่า แรงดันขาออกของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ า ขึ้น กับ
กระแสสนามและความเร็วอย่างไร และมีลกั ษณะเป็ นเชิงเส้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ____________________________________________________________________
2. กราฟ External Characteristics ของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ าแบบแยกกระตุน้ ทีว่ ดั ได้ มีลกั ษณะเป็ นเชิง
เส้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ____________________________________________________________________
3. จากผลการทดลองที่ 1-3 และ 1-4 Voltage Regulation ของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบแยก
กระตุน้ ดีกว่าแบบขนานหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ____________________________________________________________________
4. อื่นๆ
ตอบ____________________________________________________________________
สรุปผลการทดลอง
ปฏิ บตั ิ การที่ 2 ลักษณะสมบัติของหม้อแปลงและแกนเหล็ก
วัตถุประสงค์การทดลอง
1.เพื่อเรียนรูล้ กั ษณะทางแม่เหล็กของแกนเหล็ก
2.เพื่อเรียนรูล้ กั ษณะการทํางานของหม้อแปลง
3.เพื่อเรียนรูว้ ธิ กี ารวัดค่าทางไฟฟ้ าของหม้อแปลง
4.เพื่อเข้าใจถึงกําลังสูญต่าง ๆ ในหม้อแปลง
รายละเอียดทัวไปเกี
่ ่ยวกับอุปกรณ์ และเครื่องมือวัด
e
H
O
f g
b g b g
= �𝑝𝑝2 + 𝑞𝑞 2 (3-10)
โดยที่ z = r+jx: อิมพีแดนซ์สมมูลของหม้อแปลง
IN: กระแสพิกดั
VN: แรงดันพิกดั
S: Impedance voltage (%)
p: resistance voltage (%)
q: reactance voltage (%)
2. Voltage regulation ε
เป็ นค่าทีบ่ อกถึงการเปลีย่ นแปลงของแรงดันขาออกของหม้อแปลงเปรียบเทียบระหว่างสภาวะไร้โหลดกับ
สภาวะทีม่ โี หลดเป็ นค่าพิกดั โดยคิดเป็ น % เทียบกับแรงดันพิกดั สามารถหาได้จากสมการที่ (3-11)
หมายเหตุ : ในกรณีท่ี แรงดันอิมพีแดนซ์มคี ่าตํ่า เราอาจประมาณได้จากสมการที่ (3-12)
𝑉𝑉noload −𝑉𝑉𝑁𝑁
𝜀𝜀 = 𝑉𝑉𝑁𝑁
× 100 (3-11)
𝜀𝜀 ≈ 𝑝𝑝cos𝜙𝜙 + 𝑞𝑞sin𝜙𝜙 (3-12)
SHUNT SW
VARIAC 220V, 1.36A
TRANSFORMER
V A
U1 U2 U3 U4
V1 A1
u1 u2 u3 u4
V1
W
L1 N min MAX
110V, 2.73A
0-260V AC 3A 0-230V DC 3A
V2
ผลการทดลอง
แรงดันปฐมภูมิ (V1) [ ]
แรงดันทุติยภูมิ (V2) [ ]
กระแสปฐมภูมิ (A1) [ ]
กําลังขาเข้า (W) [ ]
ตารางที ่ 3-1 ผลการทดลองของวงจร Open Circuit Test
ตอนที่ 3-2 Short circuit test
ลําดับขัน้ การทดลอง
1.ต่อวงจรตามรูปที่ 3-4 ปรับวาริแอคของแหล่งจ่ายให้อยู่ทต่ี ําแหน่ง “MIN”
2.จ่ายแรงดันให้กบั หม้อแปลงทางด้านปฐมภูมทิ ลี ะน้ อย (แรงดันที่ใช้จะไม่เกิน 20 V) พร้อมทัง้ สังเกต
ค่ากระแสทางด้านทุตยิ ภูมิ (วัดโดยแอมมิเตอร์ A2) ให้ได้ค่ากระแสทุตยิ ภูมเิ ป็ นค่าพิกดั 2.73 A
3.บันทึกค่าแรงดันปฐมภูมิ (V1), กระแสปฐมภูมิ (A1),กระแสทุตยิ ภูมิ (A2) และกําลังขาเข้า (W)
4.ลดค่ากระแสทุตยิ ภูมใิ ห้ได้ค่าประมาณ 7 ค่าในช่วง 2.73-0 แอมป์ แล้วบันทึกค่าตามข้อ 3
5.เขียนกราฟ (Y-X) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกําลังขาเข้าและกระแสปฐมภูมิ (W-A1), กระแสทุตยิ ภูมิ
และกระแสปฐมภูมิ (A3-A1) จากผลการทดลอง
6.คํานวณหาและเขียนวงจรสมมูลโดยประมาณของหม้อแปลงอ้างอิงทางด้านแรงสูง โดยอาศัยข้อมูลจาก
การทํา Open Circuit และ Short Circuit Test (เราทําการทดลองทางด้านแรงสูงตลอด)
7.คํานวณหาค่าแรงดันอิมพีแดนซ์ S ตามสมการที่ (3-8)
หมายเหตุ เนื่องอิมพีแดนซ์ของหม้อแปลงในขณะลัดวงจรมีค่าน้อย ตัองระวังไม่จ่ายแรงดันทางด้านปฐม
ภูมมิ ากจนเกินไป เพราะจะทําให้เกิดกระแสเกินและหม้อแปลงอาจเสียหายได้
SHUNT SW
VARIAC 220V, 1.36A
TRANSFORMER
V A
U1 U2 U3 U4
V1 A1
u1 u2 u3 u4
V1
W
L1 N min MAX
110V, 2.73A
A2
แรงดันปฐมภูมิ (V1) [ ]
กระแสปฐมภูมิ (A1) [ ]
กระแสทุติยภูมิ (A2) [ ]
กําลังขาเข้า (W) [ ]
ตารางที ่ 3-2 ผลการทดลองของวงจร Short Circuit Test
แสดงการคํานวณหาวงจรสมมูล:
b=______ g=______
LOAD
VARIAC
TRANSFORMER
V A
U1 U2 U3 U4
V1 A1
u1 u2 u3 u4
V1
W
min MAX 110V, 2.73A
L1 N
V2
0-260V AC 3A 0-230V DC 3A
SHUNT SW U V W
SL
A2
แรงดันปฐมภูมิ (V1) [ ]
แรงดันทุติยภูมิ (V2) [ ]
กระแสปฐมภูมิ (A1) [ ]
กระแสทุติภมู ิ (A2) [ ]
กําลังด้านเข้า (W) [ ]
กําลังด้านออก (คํานวณ) [ ]
ประสิ ทธิ ภาพ η (คํานวณ) [ ]
ตารางที ่ 3-3 ลักษณะสมบัตโิ หลด
ผลการทดลอง
ความต้านทานของขดลวดปฐมภูมิ [ ]
ความต้านทานของขดลวดทุติยภูมิ [ ]
ตารางที ่ 3-4 ความต้านทานของขดลวด
วิ เคราะห์ผลการทดลอง
1. จงเปรียบเทียบค่าแรงดันอิมพีแดนซ์ S กับค่า Voltage regulation ทีค่ าํ นวณได้
ตอบ____________________________________________________________________
2. จงเปรียบเทียบค่า Measured efficiency กับค่า Conventional efficiency ที่ Full Load
ตอบ____________________________________________________________________
3. อื่นๆ
ตอบ____________________________________________________________________
สรุปผลการทดลอง
ปฏิ บตั ิ การที่ 3 การควบคุมคุณสมบัติโหลดของมอเตอร์กระแสตรงด้วยวิ ธีต่างๆ
วัตถุประสงค์การทดลอง
1. เพื่อทดลองหาลักษณะสมบัตโิ หลด (แรงบิด-ความเร็ว) ของมอเตอร์กระแสตรงแบบแยกกระตุ้น ที่
แรงดันอาร์เมเจอร์ค่าต่างๆ
2. เพื่อทดลองหาลักษณะสมบัตโิ หลด (แรงบิด-ความเร็ว) ของมอเตอร์กระแสตรงแบบแยกกระตุ้น ที่
ความต้านทานอาร์เมเจอร์ค่าต่างๆ
3. เพื่อทดลองหาลักษณะสมบัตโิ หลด (แรงบิด-ความเร็ว) ของมอเตอร์กระแสตรงแบบแยกกระตุ้น ที่
กระแสสนามค่าต่างๆ
รายละเอียดทัวไปเกี
่ ่ยวกับอุปกรณ์ และเครื่องมือวัด
เครือ่ งมือวัด
1. แทโคมิเตอร์ ชนิดแสง
2. โวลต์มเิ ตอร์ V1 ชนิด Moving coil พิสยั …………………………
3. โวลต์มเิ ตอร์ V2 ชนิด Moving coil พิสยั …………………………
4. แอมป์ มิเตอร์ A1 ชนิด Moving coil พิสยั …………………………
5. แอมป์ มิเตอร์ A2 ชนิด Moving coil พิสยั …………………………
เนื้ อหาและหลักการทํางาน
มอเตอร์กระแสตรงแบบแยกกระตุ้นเป็ นมอเตอร์กระแสตรงที่มใี ช้กนั มากที่สุดในงานอุตสาหกรรม และ
โดยทัวไปแล้
่ วเรามักจะต้องทําการควบคุมหรือปรับเปลีย่ นความเร็วของมอเตอร์ให้มคี ่าตามความต้องการของ
ระบบ การทีจ่ ะปรับเปลีย่ นความเร็วรอบของมอเตอร์มอี ยู่ดว้ ยกันหลายวิธี ในการทดลองนี้เราจะทําการศึกษาการ
ปรับเปลีย่ นลักษณะสมบัตโิ หลด (ความสัมพันธ์ระหว่างแรงบิดกับความเร็ว) โดยการ
1. ปรับแรงดันอาร์เมเจอร์ (Armature Voltage Control)
2. ปรับความต้านทานอาร์เมเจอร์ดว้ ยการต่อความต้านทานภายนอก (Armature Resistance Control)
3. ปรับกระแสสนาม (Field Control) ซึ่งในแต่ละวิธกี จ็ ะทําให้เราได้ลกั ษณะสมบัตโิ หลดของมอเตอร์ท่ี
เปลีย่ นไป ทําให้จุดทํางานของระบบมอเตอร์และโหลดเปลีย่ นไปนันเอง
่
สมการทางไฟฟ้ าและสมการแรงบิดของมอเตอร์กระแสตรงแสดงดังนี้คอื
𝑉𝑉 𝑅𝑅
𝑎𝑎
= 𝑘𝑘𝑘𝑘 (𝑖𝑖 )
− [𝑘𝑘𝑘𝑘 (𝑖𝑖𝑎𝑎 )]2 ⋅ 𝜏𝜏 (3-3)
𝑓𝑓 𝑓𝑓
DC MOTOR
C1
ELECTRO
MAGNETIC
S1 S2 S3 S4 A1 BRAKE
V1 V1 M
min MAX min MAX SHUNT SW A2
POWER
SUPPLY
E2 E1
L1 N F1
F2
B2
0-260V AC 3A 0-230V DC 3A 0-230V DC 1.6A
A2 V2
SHUNT SW
V1
A1
หมายเหตุ การที่เ ราต้อ งลดโหลดให้มีค่า ตํ่า ก่อ น “OFF” Variac ก็เ พื่อ มิใ ห้เ กิดการเปลี่ยนแปลงของ
กระแสอาร์เมเจอร์อย่างกระทันหัน ซึง่ อาจทําให้เกิดประกายไฟทีแ่ ปรงถ่านได้
หมายเหตุ การที่เ ราต้อ งลดโหลดให้มีค่า ตํ่า ก่อ น “OFF” Variac ก็เ พื่อ มิใ ห้เ กิดการเปลี่ยนแปลงของ
กระแสอาร์เมเจอร์อย่างกระทันหัน ซึง่ อาจทําให้เกิดประกายไฟทีแ่ ปรงถ่านได้
DC MOTOR
LOAD
C1
A1
S1 S2 S3 S4
ELECTRO
V1 V1
M
MAGNETIC
SHUNT SW A2 BRAKE
min MAX min MAX
E2 E1
L1 N F2 F1
B2
POWER
SUPPLY
0-260V AC 3A 0-230V DC 3A 0-230V DC 1.6A
A2
V2
U V W
SHUNT SW
V1
A1
สรุปผลการทดลอง
ปฏิ บตั ิ การที่ 4 ลักษณะสมบัติของมอเตอร์เหนี่ ยวนําหนึ่ งเฟส
วัตถุประสงค์การทดลอง
1. เรียนรูล้ กั ษณะโครงสร้างของมอเตอร์เหนี่ยวนําหนึ่งเฟสแบบใช้ขดลวดช่วยสตาร์ทและแบบคาปาซิ
เตอร์สตาร์ท
2.
3. เรียนรูก้ ารทํางาน, วิธกี ารสตาร์ทและการกลับทิศการหมุนของมอเตอร์เหนี่ยวนําหนึ่งเฟส
4. เรียนรูค้ ุณสมบัตขิ ณะสตาร์ทและคุณสมบัตโิ หลดของมอเตอร์เหนี่ยวนําหนึ่งเฟส
รายละเอียดทัวไปเกี
่ ่ยวกับอุปกรณ์ และเครื่องมือวัด
U1 U2
S1 S2
ELECTRO MAGNETIC
Z1 Z2
V1 V1 A1 BRAKE
min MAX
(a)
L1 N W A2
U1 U2
0-260V AC 3A 0-230V DC 3A
POWER
Z1 Z2 SUPPLY
(b)
ผลการทดลอง
แรงดันขดลวด (V1) [ ]
กระแสขดลวด (A1) [ ]
กระแสของ Elector. B (A2) [ ]
กําลังขาเข้า (W1) [ ]
แรงบิ ด (T) [ ]
ความเร็วรอบ (N) [ ]
ความเร็ว (ω = 2πN/60) [ ]
กําลังขาออก (Pout = Tω) [ ]
ตัวประกอบกําลัง (Pin/VI) [ ]
ประสิ ทธิ ภาพ (Pin/Pout) [ ]
ตารางที ่ 4-1 การหาลักษณะสมบัตขิ องมอเตอร์เหนีย่ วนําหนึง่ เฟสแบบขดลวดช่วยสตาร์ท
ตอนที่ 4-3 การทดลองสตาร์ทและกลับทิ ศการหมุนของมอเตอร์เหนี่ ยวนําหนึ่ งเฟสแบบคา
ปาซิ เตอร์สตาร์ท
ลําดับขัน้ การทดลอง
1. ต่อวงจรตามรูปที่ 4-6 (a) ปรับแวริแอคให้อยู่ในตําแหน่งศูนย์ ยังไม่ตอ้ งจ่ายไฟให้กบั มอเตอร์
2. ทําการทดลองเหมือนกับข้อ 6-7 ของตอนที่ 4-1
3. ต่อคาร์ปาซิเตอร์ช่วยสตาร์ทตามรูปที่ 4-6 (b) แล้วทําการทดลองเหมือนกับข้อ 6-7 ของตอนที่ 4-1
เปรียบเทียบทิศทางการหมุนทีเ่ กิดขึน้ ในข้อ 2
VARIAC
SHUNT SW
V A
U1 U2
S1 S2
ELECTRO MAGNETIC
Z1 Z2
V1 V1 A1 BRAKE
min MAX
C1 C2
L1 N W A2
(a)
0-260V AC 3A 0-230V DC 3A
POWER
U1 U2 SUPPLY
Z1 Z2
วิ เคราะห์ผลการทดลอง
1. แรงบิดกับกระแสของมอเตอร์ทงั ้ สองชนิดมีความสัมพันธ์ในลักษณะอย่างไร น่าจะเป็ นเพราะเหตุใด
ตอบ____________________________________________________________________
2. แรงบิดกับความเร็วของมอเตอร์ทงั ้ สองชนิด มีความสัมพันธ์เป็ นเชิงเส้นหรือไม่อย่างไร เพราะเหตุใด
ตอบ____________________________________________________________________
3. มอเตอร์ชนิดใดมีตวั ประกอบกําลังสูงกว่า เป็ นเพราะเหตุใด
ตอบ____________________________________________________________________
4. จากผลการทดลองลักษณะสมบัติของมอเตอร์ คํา กล่ า วที่ว่า “ค่ า ตัว ประกอบกํา ลังของมอเตอร์
เหนี่ยวนํามีคา่ ค่อนข้างตํ่าเมือ่ เปรียบกับหม้อแปลง” จริงหรือไม่ และน่าจะเป็ นเพราะเหตุใด
ตอบ____________________________________________________________________
5. อื่นๆ
ตอบ____________________________________________________________________
สรุปผลการทดลอง
ปฏิ บตั ิ การที่ 5 การควบคุมมอเตอร์ด้วยคอนแทกเตอร์แม่เหล็กไฟฟ้ า
วัตถุประสงค์การทดลอง
1. เพื่อเรียนรูถ้ งึ วงจรพืน้ ฐานเกีย่ วกับคอนแทกเตอร์
2. เพื่อศึกษาการใช้คอนแทกเตอร์แม่เหล็กควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสสลับ
3. เพื่อศึกษาถึงหลักการทํางานของอุปกรณ์ควบคุมพืน้ ฐานชนิดต่างๆ
รายละเอียดทัวไปเกี
่ ่ยวกับอุปกรณ์ และเครื่องมือวัด
ในการควบคุมการทํางานของมอเตอร์โดยทัวไปเราสามารถกระทํ
่ าได้ 2 วิธี คือ
1. การควบคุมด้วยมือ (Manual Control) การควบคุมแบบนี้กระทําได้โดยใช้อุปกรณ์ควบคุมทีต่ ้องใช้
คนคอยควบคุมอยู่ตลอดเวลา เช่น สวิทช์จาํ พวก ON-Off, Drum, Cutout เป็ นต้น
2. การควบคุ ม แบบอัต โนมัติ (Automatic Control) การควบคุ ม แบบนี้ จะใช้อุ ป กรณ์ ค วบคุ ม พวก
Magnetic Contactor, Control Relay, Time Delay Relay, Programmable Logic controller เป็ นต้น
ส่วนใหญ่การควบคุมของระบบขนาดใหญ่จะใช้การควบคุมแบบอัตโนมัติ เพราะทํางานได้รวดเร็วถูกต้อง
แน่ นอน สามารถควบคุมได้จากระยะไกล เช่น การควบคุมการเริม่ ต้นเดินเครื่อง การหยุดเดินเครื่อง การหมุน
กลับทิศทาง ทําให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบตั งิ าน และสามารถติดตัง้ อุปกรณ์พเิ ศษต่างๆ ได้มากมาย เช่น
อุปกรณ์ป้องกันการทํางานผิดปกติต่างๆ เพื่อป้ องกันมอเตอร์จากความเสียหายสัญญาณทีใ่ ช้ในการควบคุมการ
ทํางานของมอเตอร์ได้จาก อุปกรณ์วดั สภาพต่างๆ ของโหลด เช่นวัดความดัน วัดความร้อน วัดกระแส ฯลฯ
การทดลองนี้ต้องการให้นักศึกษาทดลองและทําความเข้าใจการทํางานของวงจรควบคุมเบือ้ งต้น 4 แบบ
คือ
1. การควบคุมการเริม่ เดินเครื่องมอเตอร์แบบต่อเข้ากับสายโดยตรง( DOL ;Direct On Line)
2. การควบคุมมอเตอร์ให้เดินหน้าและถอยหลัง
3. การควบคุมมอเตอร์แบบ Jogging
4. การควบคุมมอเตอร์ให้ทาํ งานแบบ Duty Cycle
วงจรควบคุมทัง้ 4 แบบนี้ประกอบด้วยอุปกรณ์ควบคุมพืน้ ฐานดังนี้คอื
1. สวิตช์ป่ ุมกด (Push Button Switch) คืออุปกรณ์ท่มี หี น้าสัมผัสอยู่ภายใน เราสามารถควบคุมการ
เปิ ดหรือปิ ดของหน้ าสัมผัสนัน้ ได้โดยกดปุ่ม เมื่อกดปุ่ม แรงจากการกดจะทําให้กลไกที่อยู่ภายในบัง คับ ให้
หน้ า สัม ผัส เปิ ด หรือ ปิ ด แต่ เ มื่อ เราปล่ อ ยจากการกดหน้ า สัมผัส จะคืน สู่ส ภาพเดิมโดยแรงสปริง เราเรีย ก
หน้าสัมผัสทีจ่ ะทํางานเมื่อถูกกดและหน้าสัมผัสจะคืนสภาพเมื่อปล่อยมือว่า หน้าสัมผัสชนิดทํางานด้วยมือคืน
สภาพโดยอัตโนมัต(ิ manual operated automatic released contact) โดยทัวๆไป ่ หน้าสัมผัสของสวิทช์ป่ มุ กดจะ
มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบปกติเปิ ด (normally open N/O) และแบบปกติปิด (normally closed N/C)
2. หลอดไฟแสดงสภาพการทํางาน (Pilot Lamp) เป็ นอุปกรณ์ทใ่ี ช้แสดงสภาพการทํางานของอุปกรณ์
ต่างๆ เช่น แสดงว่ามอเตอร์กาํ ลังทํางาน หรือหยุดทํางาน ฯลฯ
3. คอนแทกเตอร์ (Magnetic Contacter) เป็ นอุปกรณ์ทอ่ี าศัยหลักการของแรงดูดแม่เหล็กในการเปิ ด
หรือปิ ดหน้าสัมผัส มีส่วนประกอบใหญ่ๆ 2 ส่วน คือ ส่วนขดลวดซึง่ ทําให้เกิดแม่เหล็กไฟฟ้ า และส่วนหน้าสัมผัส
ซึง่ จะทําหน้าทีเ่ ปิ ดหรือปิ ดวงจร การทํางานจะคล้ายกับรีเลย์ทวไป ั ่ เพียงแต่จะใช้ในการตัดต่อวงจรไฟฟ้ ากําลังทีม่ ี
กระแสขนาดสูง ไหลผ่ า นเท่ า นัน้ โครงการสร้า งภายในจึง แข็ง แรงกว่ า รีเ ลย์ธ รรมดา เพื่อ ให้ส ามารถตัด ต่ อ
วงจรไฟฟ้ ากําลังได้ คอนแทกเตอร์ทวๆไปจะมี ั่ หน้าสัมผัสอยู่ 2 ชนิด คือหน้าสัมผัสหลัก (Main Contact) ซึง่ ใช้ใน
วงจรไฟฟ้ ากําลัง และหน้าสัมผัสช่วย (Auxiliary Contact) จะใช้ในวงจรควบคุม
4. เทอร์ม ัล รีเลย์ (Thermal Overload Relay) เป็ น รีเ ลย์ชนิ ดหนึ่ งที่ภ ายในประกอบด้วยอุ ป กรณ์ ท่มี ี
เคลื่อนทีเ่ มื่อได้รบั ความร้อน ดึงลวดความร้อน (heater) และไบเมทตัล(bi-metal) กับกลไกควบคุมหน้าสัมผัสซึง่
จะทําหน้าทีเ่ ปิ ดปิ ดวงจรอย่างรวดเร็ว ใช้สาํ หรับตัดวงจรควบคุม เมื่อมีกระแสไฟฟ้ าไหลมากเกินไป เช่นในวงจร
ของมอเตอร์ขณะเกิดโหลดเกินพิกดั (overload)
5. รี เ ลย์ ห น่ วงเวลา (Time Delay Relay) คื อ รี เ ลย์ ท่ี เ มื่ อ ได้ ร ั บ สั ญ ญาณไฟฟ้ า (Time delay on
energisation ) หรือสัญญาณไฟฟ้ าหายไป (Time delay on de-energisation) หน้าสัมผัสภายในจะไม่เปิ ดหรือ
ปิ ดทันที แต่จะหน่วงเวลาออกไปตามเวลาทีไ่ ด้ตงั ้ ไว้ เมื่อครบเวลานัน้ หน้าสัมผัสก็จะเปิ ดหรือปิ ด
ฟิ วส์ (Fuse) เป็ นอุปกรณ์ทใ่ี ช้ป้องกันการลัดวงจรของระบบ โดยใช้ร่วมกับเทอร์มลั รีเลย์ เพื่อป้ องกันความ
เสียหายทีอ่ าจเกิดกับหน้าสัมผัสของคอนแทรคเตอร์และอุปกรณ์อ่นื ๆ
สําหรับสัญลักษณ์ของอุปกรณ์ต่างๆ ทีใ่ ช้ในการควบคุมได้แสดงไว้ในตารางที่ 6-1
A1 1 3 5 X1
Main Contact Pilot lamp
A2 2 4 6
X2
13 21
Auxiliary
Contact Push Button
14 22
95 97 1 3 5
Thermal
Overload Relay Fuse
96 98 2 3 6
Timer delay
Relay
Delay on energisation Delay on de-energisation
b0
b1 C1 C1
C2 C1
C1 C1 C2 C1
e2 C1
b0 C1 C1
b1 C1 e2
U V W
C1 h1 h2
M
3
N
1 2 3 4
รูปที� 1 วงจรควบคุมการเริ�มต้นเดินเครื� องมอเตอร์แบบต่อ
รูปที ่ 5.3 วงจรควบคุมการเริม่ ต้นเดิ นเครือ่ งมอเตอร์แบบต่อตรง
ผลการทดลอง
ตอนที่ 6-2 วงจรควบคุมการเริ่มต้นเดิ นเครื่องมอเตอร์เดิ นหน้ าและถอยหลัง
ลําดับขัน้ การทดลอง
1. ต่อวงจรตามรูปที่ 6-4 โดยยังไม่ต่อสาย 1,2,3 เพื่อไม่ให้จ่ายแรงดันให้กบั วงจรด้านกําลัง
2. ทดสอบการทํางานของวงจรควบคุม ว่าถูกต้องโดย
a. กดสวิทช์ b1 จนสุดแล้วปล่อยมือ
b. กดสวิทช์ b2 จนสุดแล้วปล่อยมือ
c. กดสวิทช์ b0 แล้วปล่อยมือ
d. เมื่อวงจรควบคุมทํางานถูกต้องแล้ว ให้ต่อสาย 1,2,3 เข้ากับวงจร เพื่อทําการทดลองจริง
e. ทดลองทําซํ้าดู 3-3 ครัง้ แล้วบันทึกผลทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ หมด
R
S
T
N
1 2 3
e0
e1
b0
e2 C1 C2
b2
C1 C2
b1 e2
U V W
C2 C 1 C1 C2 M
3
C1 C2
h1 h2
N
1 2 3 4 5 6
รูปที� 2 วงจรควบคุมการมอเตอร์แบบเดินหน้าและถอยหลัง
รูปที ่ 6-4 วงจรควบคุมการเริม่ ต้นเดินเครือ่ งมอเตอร์แบบเดินหน้าและถอยหลัง
ผลการทดลอง
e0 e1
e2 C2 C1
b0
b1 e2
U V W
b2 M
3
b3 C2
C1 b4
C2 C1 C1 C2
C1 C2 h1 h2
N
1 2 3 4 5 6 7 8
รูปที� 3 วงจรควบคุมการมอเตอร์แบบ Jogging (Inching)
รูปที ่ 6-5 วงจรควบคุมมอเตอร์แบบ Jogging (Inching)
ผลการทดลอง
ตอนที่ 6-4 วงจรควบคุมมอเตอร์แบบ Duty Cycle
ลําดับขัน้ การทดลอง
1. ต่อวงจรตามรูปที่ 6-5 โดยยังไม่ต่อสาย 1,2,3 เพื่อไม่ให้จ่ายแรงดันให้กบั วงจรด้านกําลัง
2. ตัง้ ช่วงเวลาในตําแหน่งการทํางานของรีเลย์ d1,d2 ตามต้องการ แต่ควรใช้ค่าให้เหมาะสมทีไ่ ม่สนั ้
หรือยาวเกินไป ( ~ 5 วินาที)
3. เมื่อวงจรควบคุมทํางานถูกต้องแล้ว ให้ต่อสาย 1,2,3 เข้ากับวงจร เพื่อทําการทดลองจริง
4. บันทึกผลทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ หมด
R
S
T
N
1 2 3
e0 e1
e2 C1
C2 d1 C2
d2 e2
C2 d2 U V W
d1 C1 M
3
N
1 2 3 4
รูปที� 4 วงจรควบคุมมอเตอร์ให้ทํางานแบบ Duty Cycle
รูปที ่ 6-6 วงจรควบคุมมอเตอร์ให้ทาํ งานแบบ Duty Cycle
ผลการทดลอง
สรุปผลการทดลอง
ปฏิ บตั ิ การที่ 6 การใช้งาน Programmable Logic Controller (PLC) เบือ้ งต้ น
วัตถุประสงค์การทดลอง
1. เพื่อเรียนรูก้ ารควบคุมลําดับการทํางานของอุปกรณ์แบบมีเงื่อนไข
2. เพื่อเรียนรูถ้ งึ โครงสร้างและการใช้งานของ PLC
3. เพื่อศึกษาวิธกี ารเขียนโปรแกรมบน PLC
อุปกรณ์ การทดลอง
1. ชุดทดลอง PLC
2. แผงควบคุมไฟจราจร
3. มอเตอร์เหนี่ยวนํา
4. ดิจติ อลมัลติมเิ ตอร์
5. คอมพิวเตอร์พร้อมซอฟแวร์ทใ่ี ช้เขียนโปรแกรม PLC
อธิ บายการทํางานของวงจร
1. เมื่อกดสวิตซ์ PB1 จะทําให้อนิ พุทรีเลย์ X001 ทํางาน
2. หน้าสัมผัส X001 ของรีเลย์ X001 จะปิ ดทําให้เอาท์พุทรีเลย์ Y000 ทํางาน
3. หน้าสัมผัส Y000 ของรีเลย์ Y000 จะขับหลอดไฟ PL ซึง่ ต่อกับขัว้ ออกให้สว่าง
4. ถ้าปล่อยมือจากการกดสวิทซ์ PB1 อินพุทรีเลย์ X001 จะหยุดทํางาน และหน้าสัมผัสจะเปิ ดออก แต่
หน้าสัมผัสของรีเลย์ Y000 ทีต่ ่อกับหน้าสัมผัสของรีเลย์ X001 ยังคงปิ ดอยู่ ทําให้รเี ลย์ Y000 ยังสามารถทํางาน
อยู่ได้ (วงจรเซลฟ์ โฮลด์)
5. ถ้าหน้าสัมผัสของลิมติ สวิตซ์ LS1 ปิ ดจะทําให้รเี ลย X003 ทํางาน หน้าสัมผัส b ของรีเลย์ X003 จะ
เปิ ด ทําให้รเี ลย์ Y000 หยุดทํางาน (ถูกรีเซท) จะมีผลให้หลอดไฟ PL ดับ
วงจรพืน้ ฐาน
1. วงจร Self-Hold เป็ นวงจรที่ใช้หน้าสัมผัสช่วยของคอนเทกเตอร์ ช่วยให้การทํางานของคอนแทก
เตอร์คงสภาพเดิมไว้หลังจากทีม่ กี ารจ่ายไฟ ให้กบั ขดลวดของคอนแทกเตอร์ในช่วงเวลาสัน้ ๆ เช่น โดยการกด
สวิตซ์ป่ มุ กด b1 ถ้าต้องการ reset ให้วงจรเปิ ดก็ทาํ ได้โดยกดปุ่ม b0 ตัวอย่างวงจร Self-Hold แสดงดังรูปที่ 6-3
2. วงจร Interlock เป็ นวงจรเกีย่ วข้องกับการทํางานหลายอย่างไม่ได้เกิดขึน้ พร้อมกัน กล่าวคือ ในขณะ
ที่ วงจรทํางานอย่างหนึ่งอยู่ วงจรจะป้ องกัน ไม่ได้เกิดการทํางานในลักษณะอื่นเกิดขึน้ ตัวอย่างวงจร Interlock
แสดงดังรูปที่ 6-4
b0
b1 C1
C2 C1
C1 C1 C2
ลําดับขัน้ การทดลอง
3. เขียนโปรแกรมควบคุมการเปิ ด/ปิ ดหลอด LED 1 ดวง (ใช้หลอดไฟของแผงควบคุมไฟจราจร) ด้วย
สวิทซ์ SW1 ถ้าเปิ ดสวิทซ์ SW1 หลอด LED จะติด ถ้าปิ ดสวิทซ์ SW1 หลอด LED จะดับ
4. เขียนโปรแกรมควบคุมการเปิ ด/ปิ ดหลอด LED 1 ดวง (ใช้หลอดไฟของแผงควบคุมไฟจราจร) ด้วย
สวิทซ์ SW1 และ SW2 ถ้าเปิ ดสวิทซ์ SW1 หลอด LED จะติด ถ้าเปิ ดสวิทซ์ SW2 หลอด LED จะดับ หรือ ถ้า
เปิ ดสวิทซ์ SW2 หลอด LED จะติด ถ้าเปิ ดสวิทซ์ SW1 หลอด LED จะดับ (ควบคุม LED ด้วยสวิทซ์สองทาง)
5. เขียนโปรแกรมควบคุมให้หลอด LED 1 ดวง (ใช้หลอดไฟของแผงควบคุมไฟจราจร) ติด 6 วินาที
และดับ 3 วินาที สลับไปมาภายหลังเปิ ดสวิทซ์ SW1 และหลอดไฟจะดับเมื่อปิ ดสวิทซ์ SW1
6. เขียนโปรแกรมควบคุมหลอดไฟสัญญาณจราจรเพียงชุดเดียว โดยให้ไฟเขียวติดนาน 6 วินาที ไฟ
เหลือง 2 วินาที ไฟแดง 6 วินาที แล้วกลับเป็ นไฟเขียวอีกครัง้ หนึ่งภายหลังเปิ ดสวิทซ์ SW1 และสัญญาณจราจร
จะหยุดทํางานเมือ่ ปิ ดสวิทซ์ SW1
หมายเหตุ หลังจากที่เขียนโปรแกรมและทําการตรวจสอบว่าโปรแกรมทีเ่ ขียนถูกต้องแล้ว ให้นักศึกษา
เรียกอาจารย์หรือผูค้ วบคุมตรวจสอบอีกครัง้ เพื่อบันทึกคะแนนปฏิบตั กิ าร
7. บันทึกเบอร์อนิ พุท/เอาท์พุท วงจรซีเคว้นซ์ภายใน และคําสังทั่ ง้ หมดในรายงานการทดลอง
รูปที ่ 6-6 ชุดควบคุมไฟจราจร
ผลการทดลอง
1. ควบคุมหลอด LED 1 ดวงด้วยสวิทซ์ SW1
Ladder Diagram
ผลการทดลองที่ได้
2. ควบคุมหลอด LED 1 ดวง ด้วยสวิทซ์ SW1 และ SW2
Ladder Diagram
ผลการทดลองที่ได้
ผลการทดลองที่ได้
4. ควบคุมหลอดไฟสัญญาณจราจร
Ladder Diagram
ผลการทดลองที่ได้
สรุปผลการทดลอง
ตอนที่ 6-2 การเขียนโปรแกรม PLC ในการควบคุมเครือ่ งจักร
ลําดับขัน้ การทดลอง
1. ให้นักศึกษาเขียนโปรแกรมควบคุมการทํางานของสายพาน ซึ่งขัน้ ตอนในการทํางานของสายพาน
แสดงด้วยแผนภาพตามรูปที่ 6-7
ผลการทดลองที่ได้
สรุปผลการทดลอง
ปฏิ บตั ิ การที่ 7 Ground Impedance
ปฏิ บตั ิ การที่ 8 ลักษณะสมบัติของตัวควบคุม PID และระบบควบคุมป้ อนกลับ-1
วัตถุประสงค์การทดลอง
เพื่อศึกษาผลตอบสนองของระบบ และลักษณะสมบัตขิ องตัวควบคุม PID
อุปกรณ์ การทดลอง
1. ชุ ด ทดลอง PID การควบคุ ม แกนใบพัด
2. บอร์ด Arduino Mega
3. คอมพิวเตอร์พร้อมซอฟแวร์ทใ่ี ช้เขียนโปรแกรม
เทอมสัด ส่ว น, ปริพ ัน ธ์, และอนุ พ ัน ธ์ จะนํ า มารวมกัน เป็ น สัญญาณขาออกของการควบคุ มแบบ PID
กําหนดให้ 𝑢𝑢(𝑡𝑡) เป็ นสัญญาณขาออก สมการสุดท้ายของวิธี PID คือ:
𝑡𝑡 𝑑𝑑
𝑢𝑢(𝑡𝑡) = 𝑃𝑃𝑃𝑃𝑃𝑃𝑂𝑂𝑂𝑂𝑂𝑂 (𝑡𝑡) = 𝑃𝑃𝑜𝑜𝑜𝑜𝑜𝑜 + 𝐼𝐼𝑜𝑜𝑜𝑜𝑜𝑜 + 𝐷𝐷𝑜𝑜𝑜𝑜𝑜𝑜 = 𝐾𝐾𝑝𝑝 𝑒𝑒(𝑡𝑡) + 𝐾𝐾𝑖𝑖 ∫0 𝑒𝑒(𝜏𝜏) 𝑑𝑑𝑑𝑑 + 𝐾𝐾𝑑𝑑
𝑑𝑑𝑑𝑑
�𝑒𝑒(𝑡𝑡)� (8-5)
การปรับจูนด้วยมือ
ถ้าระบบยังคงทํางาน ขัน้ แรกให้ตงั ้ ค่า 𝐾𝐾𝑖𝑖 และ 𝐾𝐾𝑑𝑑 เป็ นศูนย์ เพิม่ ค่า 𝐾𝐾𝑝𝑝 จนกระทังสั
่ ญญาณขาออกเกิด
การแกว่ง (oscillate) แล้วตัง้ ค่า 𝐾𝐾𝑝𝑝 ให้เหลือครึ่งหนึ่งของค่าที่ทําให้เกิดการแกว่งสําหรับการตอบสนองชนิด
"quarter amplitude decay" แล้วเพิม่ 𝐾𝐾𝑖𝑖 จนกระทังออฟเซตถู
่ กต้องในเวลาที่พอเพียงของกระบวนการ แต่ถ้า
𝐾𝐾𝑖𝑖 มากไปจะทําให้ไม่เสถียร สุดท้ายถ้าต้องการ ให้เพิม่ ค่า 𝐾𝐾𝑑𝑑 จนกระทังลู ่ ปอยู่ในระดับทีย่ อมรับได้ แต่ถ้า 𝐾𝐾𝑑𝑑
มากเกินไปจะเป็ นเหตุให้การตอบสนองและโอเวอร์ชูตเกินยอมรับได้ ปกติการปรับจูน PID ถ้าเกิดโอเวอร์ชูต
เล็กน้อยจะช่วยให้เข้าสู่จุดทีต่ ้องการเร็วขึน้ แต่ในบางระบบไม่สามารถยอมให้เกิดโอเวอร์ชูตได้ และถ้าค่า 𝐾𝐾𝑝𝑝
น้อยเกินไปก็จะทําให้เกิดการแกว่ง
ชุดทดลองแกนใบพัด
ชุดทดลองแกนใบพัดนี้จะช่วยให้ผู้ทดลองได้เข้าใจการควบคุม PID สําหรับการควบคุมตําแหน่ งของ
แกนใบพัด หมุ น โปรแกรมควบคุ ม จะทํา ผ่ า นโปรแกรม Arduino และสามารถแสดงผลเป็ น กราฟ เพื่อ ใช้ดู
ผลตอบสนองของระบบซึ่งจะช่วยให้ผู้ทดลองสามารถปรับปรุ งตัวควบคุม PID ให้เหมาะสมและลู่เข้า สู่ค่ า ที่
ต้องการโดยทดลองจะแบ่งเป็ นใบงานดังนี้
1. การควบคุม Open loop
2. การควบคุมแบบ P
3. การควบคุมแบบ PI
4. การควบคุมแบบ PID
5. การควบคุมแบบ PID โดยใช้ไลเบอรี่
สําหรับองค์ประกอบของชุดทดลองแกนใบพัดประกอบด้วย ปุ่มปรับ (Set point), นํ้าหนักถ่วง, มอเตอร์
ดีซี (DC Motor), ใบพัด และ บอร์ดอินเตอร์เฟส ดังรูปที่ 6-5
รูปที ่ 8-5 คู่มอื การควบคุมชุดทดลองแกนใบพัด
สรุปผลการทดลอง
สรุปผลการทดลอง
สรุปผลการทดลอง
ปฏิ บตั ิ การที่ 9 ลักษณะสมบัติของตัวควบคุม PID และระบบควบคุมป้ อนกลับ-2
วัตถุประสงค์การทดลอง
เพื่อศึกษาผลตอบสนองของระบบ และลักษณะสมบัตขิ องตัวควบคุม PID
อุปกรณ์ การทดลอง
1. ชุ ด ทดลอง PID การควบคุ ม แกนใบพัด
2. บอร์ด Arduino Mega
3. คอมพิวเตอร์พร้อมซอฟแวร์ทใ่ี ช้เขียนโปรแกรม
สรุปผลการทดลอง
ตอนที่ 6-3 การควบคุมแบบ PIDโดยใช้ไลเบอรี่ PID
ที่ผ่ า นมาเป็ นการใช้ตัว ควบคุ ม PID ที่เ ขีย นขึ้น มาเองซึ่ง จริง ๆ แล้ ว ตัว ควบคุ ม PID ที่ใ ช้ ง านใน
อุตสาหกรรม หรือในผลิตภัณฑ์ตวั ควบคุม PID สําเร็จรูป ได้เพิม่ ขึน้ ฟั งชัน่ ตัวป้ องกัน และอัลกอริทม่ึ ใหม่ๆ เข้า
ไปเพื่อแก้ปัญหาตัวควบคุม PID แบบพืน้ ฐาน เพื่อเป็ นการรับประกันว่าปั ญหาของตัวควบคุม PID แบบพืน้ ฐานที่
อาจเกิดขึน้ กับโค้ดทีเ่ ขียนขึน้ เองจะได้รบั การแก้ไขและป้ องกันไว้แล้ว การเลือกใช้ไลเบอรี่ PID ก็เป็ นทางเลือก
หนึ่งทีน่าสนใจ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถมุ่งไปการจูนค่าเกน PID และดูผลตอบสนองของระบบ ให้ได้อย่างที่
ต้องการ โดยไม่ตอ้ งกังวลกับปั ญหาทีอ่ าจเกิดกับโค้ดทีเ่ ขียนขึน้ เอง สําหรับไลเบอรี PID ผูใ้ ช้งานสามารถไปโหลด
มาใช้งานได้ตามรูปที่ 9-6
สรุปผลการทดลอง
ตอนที่ 6-3 ขัน้ ตอนในการออกแบบการควบคุมPID
มีหลักการง่ายๆ 4 ขัน้ ตอนดังนี้
1. ต้องมีค่าพารามิเตอร์เหล่านี้ของระบบในใจว่าต้องการมากน้อยขนาดไหน ซึง่ แต่ละงานจะแตกต่างกันออกไป
Rise Time ช่วงเวลาขาขึน้ ต้องการเร็วมากหรือไม่ หรือยอมรับค่ามากๆได้ รอได้
Overshoot ยอมให้มโี อเวอร์หรือไม่ หรือยอมได้มากน้อยขนาดไหน
Settling Time ช่วงเวลาตัง้ แต่มกี ารเปลีย่ นค่าตําแหน่ งเก่าไปตําแหน่ งใหม่ตอ้ งเร็วขนาดไหน หรือรอได้
ขอให้ได้ตรงตําแหน่งเป็ นพอ
Steady-state Error ยอมให้มีค่ า Error ตอนระบบนิ่ งแล้ว หรือ ไม่ ยอมได้ห รือ ยอมไม่ไ ด้ ต้อ งไม่ เ กิน
เท่าไร
2. ถ้าต้องการลด rise time ให้เพิม่ ค่า Kp
3. ถ้าต้องการลด over shoot และ settling time ให้เพิม่ ค่า Kd
4. ถ้าต้องการให้ค่า error เป็ น 0 ให้เพิม่ ค่า Ki มากกว่า 0
สรุปผลการทดลอง
ตอนที่ 6-4 การจูน PID โดยใช้วิธีการ Ziegler-Nichols
แนวคิด ง่ า ยๆ ของวิธีน้ี คือ เราจะหาค่ า เกน Kp, Ki, Kd ด้ว ยการให้ step response แก่ ร ะบบ แล้ว
คํา นวณจากกราฟที่ไ ด้ ซึ่ง กราฟที่ไ ด้น้ีเ กิด จากใช้อ อสซิโ ลสโคปจับวัด สัญญาณ Feed back ในกรณี ท่ีระบบ
ตอบสนองรวดเร็ว เช่น ความเร็ว ตําแหน่ งแขนกล กลไกต่างๆ ส่วนระบบช้าๆ เช่นอุณหภูมคิ วามชืน้ อาจต้อง
เก็บค่าด้วย Data logger แล้วนํามาพล็อตกราฟ
รูปที ่ 9-11 ค่าเกน Kp, Ki, Kd ทีไ่ ด้จากการให้ step response แก่ระบบและพล็อตกราฟ
ผลการทดลอง
สรุปผลการทดลอง