Professional Documents
Culture Documents
Basics of Spaceflight
Basics of Spaceflight
ตองไปอวกาศ?
ในปี ค.ศ. 1961 นักบินอวกาศชาวรัสเซียคนแรกสามารถพิชิตอวกาศได้
และต่อมาในปี ค.ศ. 1969 สหรัฐอเมริ กาก็ส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์
ได้ สําเร็ จ แม้ ว่าจะผ่านมาแล้ วกว่า 60 ปี แต่อวกาศก็ยงั คงเป็ นสถานที�ที�
ท้ าทายต่อมนุษย์เสมอ การพิชิตห้ วงอวกาศนอกจากจะเป็ นการตอบสนอง
ความอยากรู้ อยากเห็นและความท้ าทายของมนุษย์แล้ ว ทุกครัง� ที�มนุษย์
พยายามพิชิตธรรมชาติ จะเกิดการพัฒนาเทคโนโลยีระหว่างทางขึ �นมาเสมอ
ทําให้ เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกมากมายเกินกว่าจะประเมินมูลค่าได้ ตัวอย่าง
เช่น เตาอบไมโครเวฟ สัญญาณไวไฟ เตียงนอนเมมโมรี โฟม อาหารแช่แข็ง
แบบฟรี ซดราย เครื� องช่วยฟั ง กล้ องดิจิตอล ฯลฯ ล้ วนแล้ วแต่มาจากเทคโนโลยี
อวกาศทังสิ � �น
หากสหรัฐอเมริ กาไม่พยายามส่งมนุษย์คนแรกขึ �นไปเหยียบดวงจันทร์
เมื�อครึ� งศตวรรษที�แล้ ว ปั จจุบันสหรั ฐฯ ก็อาจไม่ใช่หนึ�งในประเทศผู้นํา
ด้ านเทคโนโลยีของโลก เฉกเช่นทุกวันนี �
ปั จจุ บัน โจทย์ ปั ญหาทางอวกาศลํ า� หน้ าไปไกลกว่ า แค่ ก ารส่ ง
นักบินอวกาศไปยังดวงจันทร์ เรามองไปยังเป้าหมายที�ไกลกว่านัน� นัน� คือ
“ดาวอังคาร” เป้าหมายถัดไปที�มนุษย์ตงใจจะไปเหยี
ั� ยบให้ ได้ ซึง� ในครัง� นี �
แตกต่างออกไปจากการไปเหยียบดวงจันทร์ ครัง� แรกอย่างมาก ทังระยะห่
� าง
จากโลก ระยะเวลาภารกิจ หรื อวิธีการที�จะเดินทางกลับมายังโลก
หัวจรวด SATURN V
(Nose Cone)
สวนลําตัวจรวจ
สัมภาระ (Rocket Body)
(Payload)
ครีบ
(Fins)
เครื่องยนต
(Engines)
องคประกอบหลักของจรวด
1. หัวจรวด (Nose cone) มีลกั ษณะโค้ งมนเพื�อลดแรงเสียดทานกับอากาศ ส่วนนี �จะเป็ น
ที�ติดตังสั
� มภาระ (Payload) นักบินอวกาศ ระบบนําวิถี (Guidance system) และอุปกรณ์ทาง
วิทยาศาสตร์ อื�น ๆ ที�เป็ นจุดประสงค์หลักของภารกิจ
2. ส่ วนลําตัวจรวด (Rocket body) เป็ นส่วนกักเก็บเชื �อเพลิงสําหรับการขับเคลื�อนจรวด
ประเภทเครื่องยนตจรวด
1. จรวดขับเคลื�อนเชือ� เพลิงแข็ง (Solid-propellant rocket) ประกอบไปด้ วยเชื �อเพลิง
และตัวออกซิไดส์ (สารที�ทําให้ เชื �อเพลิงเกิดการระเบิดและสร้ างแรงขับออกมา) ที�เป็ นของแข็ง
เมื� อ จรวดชนิ ด นี ถ� ู ก จุ ด ขึ น� มาแล้ ว
เชื อ� เพลิ ง จะเผาไหม้ ต่ อ ไปเรื� อ ย ๆ
จรวดขับเคลื่อนเชื้อเพลิงแข็ง
จรวดขับเคลื่อนเชื้อเพลิงเหลว
คล้ า ยกับ พลุที� ไ ม่ ส ามารถหยุด หรื อ
ตัวจุดเชื้อเพลิง
สารออกซิไดส
แต่เนื�องจากโครงสร้ างของจรวดที�ไม่
ซับซ้ อนจึงทําให้ จรวดชนิดนี �สามารถ
สร้ างแรงขับดันได้ สงู กว่าเมื�อเทียบกับ
นํ �าหนัก
เชื้อเพลิงเหลว
และสารออกซิไดส
เชื้อเพลิงแข็ง
2. จรวดขับเคลื�อนเชือ� เพลิง
เหลว (Liquid-propellant rocket)
ปมเชื้อเพลิง
ชนิดแข็งมาก โดยจะเก็บสารออกซิไดส์
หองเผาไหม
และเชื �อเพลิงในรูปของเหลวแยกออก
จากกัน เมื� อ จรวดทํ า งานของเหลว
สารออกซิไดส
ทอไอพน
ลองหยิบก้ อนหินขึ �นมาก้ อนหนึง� แล้ วโยนขึ �นไปบนฟ้า ก้ อนหินก้ อนนี �จะใช้ เวลาสักพักหนึง�
ก่อนที�จะตกกลับลงมา ถ้ าหากเราโยนก้ อนหินนี �อีกครัง� ด้ วยความเร็ วต้ นที�มากขึ �น เราจะพบว่า
ก้ อนหินก้ อนนี �ลอยขึ �นไปสูงกว่าเดิม และใช้ เวลานานขึ �นก่อนที�จะตกลงมาใหม่ และถ้ าเราโยน
ก้ อนหินให้ เร็วขึ �นเรื� อย ๆ ก็จะใช้ เวลานานขึ �นไปอีก จนกระทัง� ถึงความเร็วค่าหนึง� ก้ อนหินนี �ก็จะลอย
ออกไปและไม่ตกกลับลงมาอีกเลย เราเรี ยกความเร็วนี �ว่า “ความเร็วหลุดพ้ น”
สํ า หรั บ บนพื น� โลกนัน� ความเร็ ว หลุด พ้ น
อยูท่ ี� 11.2 กิโลเมตรต่อวินาที เทียบเท่าถึง 40,000
กิโลเมตรต่อชัว� โมง ซึง� เป็ นความเร็ วเกินกว่ายาน-
พาหนะใดที�มนุษย์เคยสร้ างมาทังหมด � ความเร็ ว
หลุดพ้ นนันเป็ � นเพียงขอบเขตทางทฤษฎีที�จะระบุว่า
เราจะต้ องมีความสามารถในการเร่ งวัตถุได้ เร็ ว
ถึงเท่าใด ก่อนที�เราจะสามารถนํามันออกไปจาก
แรงโน้ ม ถ่ ว งของโลกได้ แต่ ใ นการส่ ง จรวดนัน�
เราไม่จําเป็ นต้ องเร่ งจรวดให้ ถึงความเร็ วหลุดพ้ น
ภาพถ่ายจากท้ ายจรวด Saturn V ด้ วยเหตุผลสองประการด้ วยกัน
ขณะออกสูอ่ วกาศ (Credit : NASA)
แผนภาพอธิบายวงโคจรรูปแบบต่าง ๆ
การเดินทางเปนเสนตรง
วงโคจรดวงจันทร
จะตองจุดไอพนอยางตอเนื่อง
และใชพลังงานมากเกินไป
1. จรวจนํายานอวกาศ
เขาสูวงโคจรรอบโลก
2. จุดไอพนเพื่อเปลี่ยนความเร็ว
เขาสู Transfer Orbit
วงโคจรรอบโลก
NARIT
National Astronomical Research
Institute of Thailand
แผนภาพอธิบาย Launch Window ของดาวอังคาร (Credit : NASA) (Public Organization)
ในอวกาศยังมีแรงตานอากาศอยู
เราไม่สามารถระบุขอบเขตที�ชดั เจนของชันบรรยากาศโลกได้
� เราทราบเพียงว่ายิ�งสูงขึ �นไป
จากพื �นโลกมากเท่าใด แก๊ สของชันบรรยากาศก็
� จะยิ�งเบาบางลงเรื� อย ๆ แม้ กระทัง� ระดับความสูง
ที�เราเรี ยกว่า “อวกาศ” นันก็
� ไม่ได้ เป็ นสุญญากาศอย่างแท้ จริ ง ด้ วยเหตุนี �ดาวเทียมเกือบทุกดวง
จะต้ องเคลื�อนที�ปะทะกับโมเลกุลของชันบรรยากาศโลกอยู
� เ่ สมอ โดยเฉพาะดาวเทียมที�มีวงโคจร
ตํ�ากว่า 600 กิโลเมตร ยิ�งดาวเทียมมีวงโคจรตํ�ามากเท่าใด จะยิ�งพบกับแรงต้ านอากาศที�คอยชะลอ
ความเร็ วมากขึ �นเท่านัน� ดาวเทียมวงโคจรตํ�าจึงต้ องมีเชื �อเพลิงและเครื� องยนต์จรวดที�คอยปรับ
ชดเชยวงโคจรอยูเ่ สมอ
ยาน New Horizons ที�ถกู ห่อหุ้มด้ วยวัสดุสีทองป้ องกันความร้ อนจากดวงอาทิตย์ (Credit : NASA)
ชันบรรยากาศของโลกมี
� สว่ นช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกเอาไว้ ให้ คงที�อยูเ่ สมอ
ในเวลากลางวัน ชันบรรยากาศจะช่
� วยกรองรังสีจากดวงอาทิตย์ให้ ไม่ต้องรับรังสี
โดยตรง ส่วนในเวลากลางคืนนัน� ชันบรรยากาศจะคอยกั
� กการแผ่รังสีความร้ อน
ไม่ให้ ออกไป ทําให้ อณ ุ หภูมิไม่เย็นลงโดยทันที แต่ในอวกาศนันไม่ � มีชนบรรยากาศ
ั�
จึงได้ รับและสูญเสียความร้ อนอย่างรวดเร็ ว อุณหภูมิของยานอวกาศด้ านที�รับแสง
และด้ านเงาจึงมีอณ ุ หภูมิที�สดุ ขัวเป็
� นอย่างมาก เช่น พื �นผิวของสถานีอวกาศนานาชาติ
(ISS) ด้ านที�หนั เข้ าหาดวงอาทิตย์มีอณ ุ หภูมิสงู ได้ ถงึ 121 องศาเซลเซียส ในขณะที�
ด้ านที�อยูใ่ นเงามืดอาจมีอณ ุ หภูมิตํ�าได้ ถงึ -157 องศาเซลเซียส
นอกจากนี � ยานอวกาศที�ไปสํารวจระบบสุริยะชันในหรื� อสังเกตการณ์ใกล้ กบั
ดวงอาทิตย์ จะต้ องพบกับรังสีความร้ อนจากดวงอาทิตย์ในปริ มาณที�สงู กว่ายาน
ทัว� ๆ ไป จึงจําเป็ นต้ องมีฉนวนกันความร้ อน (วัสดุสีทองที�ใช้ หอ่ หุ้มยานอวกาศ) และ
ภาพบานเกล็ดที�ติดตังบนยาน
� Rosetta
ใช้ ในการระบายความร้ อน
ขณะอยูใ่ นอวกาศ (Credit : ESA)
ภาพจําลองยานสํารวจดวงจันทร์ LADEE ขณะกําลังใช้ เครื� องยนต์ขบั ดันปรับวงโคจร (Credit : Dana Berry / NASA)
การควบคุมทิศทางในอวกาศ
2. ส ว นขั บ ดั น ยานอวกาศ
(Spacecraft Propulsion) การ
ปรั บ ความเร็ ว ในการโคจรของยาน
อวกาศสามารถนําระบบ Reaction
Control System ที� ใช้ ในการหมุน
มาประยุก ต์ ไ ด้ โดยใช้ เ ครื� อ งยนต์
จรวดเล็ก ๆ ที�ติดอยู่รอบยานปล่อย
เชื อ� เพลิ ง ไปในทิ ศ ทางเดี ย วกั น
และสมมาตรอยู่รอบ ๆ ศูน ย์ ก ลาง
มวลของยาน เชื อ� เพลิ ง ที� ถูก ทิ ง� ไป
ด้ า นหลัง นี จ� ะขับ ดัน ให้ ย านอวกาศ ภาพถ่าย R-4D เครื� องยนต์ขบั ดันเคมีที�ใช้ ในภารกิจ Apollo
เคลื�อนที�ไปด้ านหน้ า (Credit : Adam Kaningher / flickr)
เราติดตอสื่อสารกับยานอวกาศ
ไดอยางไร ?
การรั บส่งสัญญาณระหว่างยานอวกาศกับสถานีภาคพืน� ดิน จําเป็ นต้ องมีอุปกรณ์ รับส่ง
สัญญาณวิทยุขนาดใหญ่ กระจายตัวอยู่ทวั� โลก เพื�อจะมัน� ใจได้ ว่าจะสามารถติดต่อสื�อสารกับ
ยานอวกาศได้ ตลอดเวลา
แผนภาพแสดงจานรับสัญญาณที�ควบคุมยานอวกาศแต่ละลํา
NARIT
National Astronomical Research
ภาพจานรับ-ส่งสัญญาณขนาดใหญ่ ณ แคนเบอร์ รา ออสเตรเลีย Institute of Thailand
(Public Organization)
เป็ นหนึง� ในเครื อข่าย DSN ของนาซา Credit : NASA
Madrid 1
2
Goldstone
Canberra
2. ยานโคจรรอบดาว (Orbiter)
เป็ นยานที�มีวตั ถุประสงค์เพื�อส่งไป
โคจรรอบวัตถุเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น
ยานลูนาร์ ออร์ บิเตอร์ (Lunar Orbiter)
ยานกาลิเ ลโอ (Galileo) ยานแคสสินี
(Cassini) ยานจูโน (Juno) เป็ นต้ น ซึง�
ยานประเภทนี �อาจบรรทุกยานลําลูกไป
ด้ วย เพื�อส่งลงสูพ่ ื �นผิวดาวเคราะห์ เช่น ภาพจําลองขณะที�ยานแคสสินีโคจรอยูเ่ หนือ
ยานไวกิง และยานเทียนเวิ�น-1 ขัวเหนื
� อของดาวเสาร์ (Credit : NASA)
4.ยานลงจอด (Lander)
เป็ นยานที�ไม่สามารถเคลื�อนที�ได้ มีภารกิจเพื�อสํารวจพื �นผิวดาว เช่น การถ่ายภาพ สํารวจ
สภาพอากาศ เก็บและวิเคราะห์ตวั อย่างดินและหิน เช่น ยานฟี นิกซ์ (Phoenix) ยานอินไซต์ (InSight)
เป็ นต้ น บางครั ง� ก็ใช้ เป็ นฐานปล่อยรถสํารวจลงสู่พืน� ผิว เช่น ยานไวกิ ง (Viking) ยานมาร์ ส
พาทไฟน์เดอร์ (Mars Pathfinder) หรื อฉางเอ๋อ (Chang’e) เป็ นต้ น
6. ยานสํารวจประเภทอื่น ๆ
อินเจนูอิตี (Ingenuity) เป็ นเฮลิคอปเตอร์ ขนาดเล็กที�ใช้ สํารวจพืน� ที�สามารถออกสํารวจ
พื �นผิวดาวอังคารเป็ นระยะไกลได้
ดาวเทียมดวงแรกของโลก
สปุต นิ ก -1 (Sputnik-1)
ดาวเทียมดวงแรกที�ส่งไปโคจร
รอบโลกได้ สําเร็จในปี ค.ศ. 1957
ของสหภาพโซเวียตหรื อประเทศ
รัสเซีย
ดาวเทียมดวงแรกของไทย
ไทยคม 1 (Thaicom 1)
ส่ ง ขึ น� สู่ ว งโคจรรอบโลกในปี
ค.ศ. 1993 มีอายุการใช้ งานถึง
ปี ค.ศ. 2008
สัตวชนิดแรกที่สงไปยังอวกาศ
ยานอวกาศที่ใหญและมีนํ้าหนักมากที่สุด
ยานอวกาศที่เคลื่อนที่เร็วที่สุด
เฮลิคอปเตอรลําแรกบนดาวเคราะหดวงอื่น