Professional Documents
Culture Documents
สมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมในนิสิตนักศึกษาครู ระดับปริญญาตรี
สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
THE INTERCULTURAL COMMUNICATIVE COMPETENCE (ICC) OF ENGLISH
MAJOR UNDERGRADUATE STUDENTS IN THE FACULTY OF EDUCATION
ภัทรพร สุทธิรัตน์*
Pattaraporn Sutthirat*
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
Faculty of Education, Naresuan University
Received: September 05, 2023; Revised: October 20, 2023; Accepted: October 30, 2023
บทคัดย่อ
การวิจัยในครัง้ นี ้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมของนิสิตนักศึกษาครู ระดับ
ปริญญาตรี รวมถึงศึกษาความสนใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู ท้ ี่สง่ เสริมสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม โดยการ
วิจยั สารวจ (Survey Research) มีกลุม่ ตัวอย่างในการศึกษา คือ นิสติ นักศึกษาครู สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ระดับปริญญาตรี
ชัน้ ปี ที่ 1 จากเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาภาคเหนือตอนล่าง 5 แห่ง จานวน 140 คน ดาเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบวัด
สมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม และวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและ
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจยั พบว่า นิสิตนักศึกษาครู มีสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมมีคา่ เฉลี่ยอยู่ในระดับ
มาก (ค่าเฉลี่ย 2.88) และเมื่อพิจารณาแต่ละด้านของสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม พบว่า นิสิตนักศึกษามีความรู ้
ทักษะ และเจตคติ อยู่ในระดับมาก โดยมีระดับค่าเฉลี่ย 3.13 2.95 และ 2.65 ตามลาดับ ในขณะที่ดา้ นความตระหนักทาง
วัฒนธรรมเชิงวิพากษ์มีคา่ เฉลีย่ อยูท่ ี่ 2.09 ซึง่ อยูใ่ นระดับปานกลาง ในด้านความสนใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ ี่สง่ เสริม
สมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม นิสิตนักศึกษาต้องการพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมไปใช้ใน
ชีวิตประจาวันมากที่สดุ คิดเป็ นร้อยละ 55.71 โดยถึงแม้ว่านิสิตนักศึกษาร้อยละ 37.14 เห็นว่าเจตคติคือส่วนที่สาคัญที่สดุ
แต่ในด้านการพัฒนา นิสิตนักศึกษาทุกคนต่างเห็นว่าควรต้องพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมให้ครบทุกด้าน
โดยจากการสารวจ พบว่า ร้อยละ 61.43 ต้องการพัฒนาสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรมจากการการสนทนากับผูท้ ี่มี
ประสบการณ์ หรือผูท้ ี่มีวฒ ั นธรรมแตกต่างจากตนมากที่สดุ
คาสาคัญ: สมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม, การสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม
106 | วารสารวิจยั ทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี ที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2566
ABSTRACT
The primary objectives of this survey research were to investigate intercultural communicative competence
of undergraduate students and examine the students' level of interest in intercultural communicative competence
learning. A survey was administered to a sample of 140 first-year undergraduate students majoring in English who
were from five universities. The research instrument was the intercultural communicative competence
questionnaire. The data collected were subjected to analysis using descriptive statistics, including measures such
as mean, percentage, and standard deviation. The results of the study are as follows: In general, the participants
in the study exhibit a high degree of intercultural communicative competence, with an average score of 2.88. This
competence encompasses various aspects, including knowledge (mean 3.13), skills (mean 2.95), attitudes (mean
2.65), and critical cultural awareness (mean 2.09). According to the participants' critiques, a majority of 55.71
percent expressed a high level of interest in intercultural communicative competency learning, particularly
emphasizing its practical applicability in daily life. Additionally, it is imperative to enhance all aspects of
intercultural communicative competence, despite the majority of participants (37.14 percent) concurring that the
attitude component holds the utmost significance. Furthermore, in order to enhance their intercultural
communicative ability, individuals should engage in conversations with specialists or people from foreign
countries who possess diverse cultural backgrounds.
Keywords: Intercultural Communicative Competence; Intercultural Communication
บทนา
ในยุคศตวรรษที่ 21 ภาษาอังกฤษถือเป็ นเครือ่ งมือที่ใช้ในการติดต่อสือ่ สารที่สาคัญ เป็ นภาษาที่นิยมและแพร่หลาย
ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ภาษาอังกฤษถูกใช้เป็ นภาษาต่างประเทศเป็ นเวลายาวนาน ทัง้ ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
ใช้ทางการศึกษา การประกอบอาชีพ การขยายธุรกิจ รวมไปถึงการใช้เพื่อสร้างความเข้าใจต่อประเพณีวฒ ั นธรรม ด้วยเหตุนี ้
ประเทศไทยจึงมองเห็นอนาคตของเด็กไทยกับการใช้ภาษาอังกฤษในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนิสิตนักศึกษาครู ที่สอน
ภาษาอังกฤษเป็ นภาษาต่างประเทศ ที่จาเป็ นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการประกอบอาชีพในฐานะครู สอนภาษาเมื่อสาเร็จ
การศึกษา
อย่ า งไรก็ ต าม ถึ ง แม้ว่ า เด็ ก ไทยจะได้ร ับ การศึ ก ษาภาษาอัง กฤษและถูก ปลูก ฝั ง ถึ ง ความส าคัญ ต่ อ การใช้
ภาษาอังกฤษมาตัง้ แต่เยาว์วยั และประไทยได้ตระหนักถึงความสาคัญของการใช้ภาษาอังกฤษมาโดยตลอด เห็นได้จาก
ข้อกาหนดของการศึกษาของชาติ ที่กาหนดให้นกั เรียน ต้องเรียนภาษาอังกฤษ ทัง้ ด้าน ฟั ง พูด อ่าน และเขียน (อารีรกั ษ์
มีแจ้ง และ สิริพร ปาณาวงษ์, 2553) ทว่า การเรียนการสอนภาษาอังกฤษยังคงมีปัญหามาโดยตลอด เนื่องจากผูเ้ รียนไม่
สามารถน าภาษาอัง กฤษไปใช้ใ นการสื่ อ สารกับ ชาวต่ า งชาติ ไ ด้อ ย่ า งถูก ต้อ ง (บุบ ผา อยู่ท รัพ ย์, 2555) และการใช้
ภาษาอังกฤษของผูเ้ รียนก็คงยังอยูใ่ นเกณฑ์ต่ากว่ามาตรฐาน (Prapphal, 2001) โดยเฉพาะในปั จจุบนั ที่ประเทศไทยเข้าร่วม
เป็ นสมาชิกของประชาคมอาเซียน ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายกาลังคน องค์ความรู ้ ภาษาและวัฒนธรรมระหว่างกัน ทาให้
เกิ ดการการสื่อสารกับชาวต่างชาติ หรือ การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม (Asean Thailand, 2019) ซึ่งถื อเป็ นสิ่งที่ทา้ ทาย
สาหรับเด็กไทย โดยในปั จจุบนั การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็ นภาษาต่างประเทศในประเทศไทยยึดความสามารถ
ทางด้านภาษาของเจ้าของภาษาเป็ นเกณฑ์มาตรฐาน โดยมีจุดเน้นทางด้านไวยากรณ์ คาศัพท์ และทักษะในการสื่อสารต่าง ๆ
วารสารวิจยั ทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี ที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2566 | 107
ไม่ ว่ า จะเป็ น การฟั ง การพูด การอ่ า น และการเขี ย น (Britishcouncil, 2020 ) ทว่ า เนื อ้ หาและความส าคัญ ต่อ ความ
หลากหลายเชิงวัฒนธรรมและสังคมซึง่ ถือเป็ นปั จจัยสาคัญที่สง่ ผลต่อการใช้ภาษาอังกฤษในการสือ่ สารนั้นยังคงไม่ปรากฏใน
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ สาหรับนิสิตนักศึกษาครู ที่ใน
อนาคตจ าเป็ น ที่ ต ้อ งมี ค วามสามารถทั้ง ในด้า นของความรู ้ ความเข้า ใจทางภาษา การน าภาษาอัง กฤษไปใช้ใ นการ
ติดต่อสื่อสาร และความสามารถในการถ่ายทอดให้ผูเ้ รียนสามารถนาภาษาอังกฤษไปใช้ได้จริงในชีวิต ในขณะที่ประเทศมี
การพัฒนาให้กา้ วทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อรองรับภาวะการค้า การลงทุน การเชื่อมโยงระหว่างประเทศ และการเข้า
ร่วมเป็ นสมาชิกของประชาคมอาเซียน ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็ นภาษากลางหรือภาษาที่ใช้ในการทางาน จึงมีค วามจาเป็ นอย่าง
ยิ่งที่ตอ้ งพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็ นหลักสูตร บุคลากร และโดยเฉพาะนิสิตนักศึกษา ให้มีความพร้อม
สาหรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และเพื่อให้เกิ ดการพัฒนาสมรรถนะในการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม ( Intercultural
Communicative Competence; ICC) เพื่อใช้ในการติดต่อสารและใช้เป็ นเครือ่ งมือในการแสวงหาองค์ความรูเ้ พื่อการพัฒนา
ตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนัน้ ควรมีการสารวจสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมในนิสิตนักศึกษาครู สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ระดับ
ปริญญาตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชัน้ ปี ที่ 1 เนื่องจากข้อมูลในการสารวจสามารถนาไปใช้เป็ นแนวทางในการพัฒนาผูเ้ รียนให้
มีสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรมได้ โดยการสารวจและพัฒนาสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรมตัง้ แต่ชนั้ ปี ที่ 1
ทาให้ผเู้ รียนมีเวลาในการฝึ กฝนและพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมของตนเองตลอดเส้นทางการเรียนรูด้ า้ น
ภาษา
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อศึกษาสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรมของนิสติ นักศึกษาครู ระดับปริญญาตรี
2. เพือ่ ศึกษาความสนใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ ี่สง่ เสริมสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม
กรอบแนวคิดในการวิจัย
การวิจัยเรื่อง การศึกษาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมในนิสิตนักศึกษาครู ระดับปริญญาตรี สาขาวิชา
ภาษาอังกฤษเป็ นงานวิจยั เชิงสารวจ (Survey research) ที่ม่งุ ศึกษาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมและความสนใจ
ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ ี่สง่ เสริมสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม
วิธีดาเนินการวิจัย
การวิจัยเรื่อง การศึกษาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมในนิสิตนักศึกษาครู ระดับปริญญาตรี สาขาวิชา
ภาษาอังกฤษมีการกาหนดแนวทาง/ขัน้ ตอนการดาเนินงาน ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการวางแผนการดาเนินงานรวมทัง้
วิธีดาเนินการวิจยั (Research methodology) ดังนี ้
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร ได้แก่ นิสติ นักศึกษาครู สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ระดับปริญญาตรี ชัน้ ปี ที่ 1 จากเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษา
ภาคเหนือตอนล่าง 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบลู สงคราม และ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จานวน 220 คน
108 | วารสารวิจยั ทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี ที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2566
กลุ่ ม ตั ว อย่ า ง ได้แ ก่ นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษาครู สาขาวิ ช าภาษาอั ง กฤษ ระดั บ ปริ ญ ญาตรี ชั้ น ปี ที่ 1 จากเครื อ ข่ า ย
สถาบันอุดมศึกษาภาคเหนือตอนล่าง 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยราช
ภัฏนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบลู สงคราม และ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จานวน 140 คน ที่ได้จากการสุม่ แบบ
แบ่ง ชั้น ภูมิ ต ามสัด ส่ว น (Proportionate stratified random sampling) ได้ก ลุ่ม ตัว อย่า งผู้เ รีย นใน มหาวิ ท ยาลัย นเรศวร
มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบลู สงคราม และ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
อุตรดิตถ์ เป็ นจานวน 33, 20, 35, 18 และ 34 ตามลาดับ
ตัวแปรที่ศึกษา
1. สมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรมของนิสติ นักศึกษาครู ระดับปริญญาตรี
2. ความสนใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ ี่สง่ เสริมสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
ผูว้ ิจัยได้ทาการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบวัดสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม ของนิสิตนักศึกษาครู ระดับ
ปริญญาตรี เป็ นรายบุคคล มีขนั้ ตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี ้
1. สร้างแบบวัดสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรมที่ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ใน google form
2. ตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือโดยผูเ้ ชี่ยวชาญและปรับปรุ งให้เป็ นฉบับสมบูรณ์
3. ผูว้ ิจัยดาเนินการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังอาจารย์ผส ู้ อนคณะศึกษาศาสตร์และครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัย
นเรศวร มหาวิ ท ยาลัย ราชภัฏ เพชรบูร ณ์ มหาวิ ท ยาลัย ราชภัฏ นครสวรรค์ มหาวิ ท ยาลัย ราชภัฏ พิ บูล สงคราม และ
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เพื่อดาเนินการเก็บข้อมูลกับนิสติ นักศึกษา โดยเริม่ เก็บข้อมูลตัง้ แต่วนั ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2566
ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2566 รวมระยะเวลาทัง้ สิน้ 15 วัน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบวัดสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมที่ผวู้ ิจยั ได้ทาการดัดแปลงมาจาก
แบบวัด Assessment of Intercultural Competence (AIC) ของ Fantini (2006) โดยมีการแปลภาษาจากภาษาอังกฤษเป็ น
ภาษาไทย และปรับเปลี่ยนเนือ้ หาให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย ทัง้ นี ้ แบบวัดสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมที่ใช้
ในงานวิจยั นี ้ ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ
ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผูต้ อบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ ระยะเวลาในการเรียนภาษาอังกฤษ
และ ประสบการณ์ในการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม โดยมีลกั ษณะเป็ นแบบเลือกตอบ (Check list) จานวน 3 ข้อ
ตอนที่ 2 แบบวัดสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม มีลกั ษณะเป็ นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale)
4 ระดับ แบ่งออกเป็ น 4 มิติ คือ 1. ด้านความรู ้ 2. เจตคติ 3. ความตระหนักทางวัฒนธรรมเชิงวิพากษ์ และ 4. ทักษะ จานวน
32 ข้อ
ตอนที่ 3 แบบสอบถามความสนใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู ท้ ี่ส่งเสริมสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม
จานวน 4 ข้อ
เครือ่ งมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล มีขนั้ ตอนสร้างและหาคุณภาพ ดังนี ้
1. ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบวัดสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม และแบบวัด
Assessment of Intercultural Competence (AIC) ของ Fantini (2006)
วารสารวิจยั ทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี ที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2566 | 109
2. กาหนดจุดประสงค์ของแบบวัดสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรมที่สร้างขึน้
3. กาหนดลักษณะของเครื่องมือ ซึ่งมีลกั ษณะเป็ นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 4 ระดับ ที่มีดา้ นบวก
และด้านลบ (บุญชม ศรีสะอาด. 2546)
4. ร่างแบบประเมินสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมที่มีลกั ษณะเป็ นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 4 ระดับ
แบ่งออกเป็ น 4 มิติ คือ 1. ด้านความรู ้ 2. เจตคติ 3. ความตระหนักทางวัฒนธรรมเชิงวิพากษ์ และ 4. ทักษะ จานวน 37 ข้อ
5. นาเครื่องมือที่สร้างขึน้ มาตรวจสอบความตรงเชิ งเนื ้อหา โดยวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC (Item
Objective Congruence) จากผูเ้ ชี่ ยวชาญ 3 ท่าน ได้แก่ ผูเ้ ชี่ ยวชาญทางด้านภาษาและวัฒนธรรม จานวน 2 ท่าน และ
ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านการวิจยั และประเมินผล จานวน 1 ท่าน ซึง่ ในการพิจารณาของผูเ้ ชี่ยวชาญมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี ้
ให้คะแนน +1 เมื่อผูเ้ ชี่ยวชาญแน่ใจว่าข้อคาถามสอดคล้องกับเนือ้ หา
ให้คะแนน 0 เมื่อผูเ้ ชี่ยวชาญไม่แน่ใจว่าข้อคาถามสอดคล้องกับเนือ้ หา
ให้คะแนน -1 เมื่อผูเ้ ชี่ยวชาญแน่ใจว่าข้อคาถามไม่สอดคล้องกับเนือ้ หา
คัดเลือกข้อคาถามที่มีค่าความสอดคล้องตัง้ แต่ 0.50 ขึน้ ไป (อนุวัติ คูณแก้ว , 2558, หน้า 199) พร้อมกับปรับปรุ งตาม
ข้อเสนอแนะของผูเ้ ชี่ยวชาญ
6. ผลการประเมินความสอดคล้องของผูเ้ ชี่ยวชาญทัง้ 3 ท่าน พบว่าข้อคาถามที่สอดคล้องกับเนือ้ หาตัง้ แต่ 0.5 ขึน้ ไป
และมีความเหมาะสมที่จะนาไปใช้ได้มจี านวน 32 ข้อ โดยแบบประเมินสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรมที่ใช้ในการวิจยั
ในครัง้ นี ้ มีคา่ ดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60 – 1.00
7. ผูว้ ิจยั นาข้อเสนอแนะมาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์
8. จัดทาแบบวัดสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม เพื่อนามาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยครัง้ นี ้ ผูว้ ิจัยได้ใช้การวิเคราะห์โดยใช้สถิ ติเชิ งพรรณนา (Descriptive statistics) ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
วิเคราะห์โดยใช้ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลีย่ (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation) โดยแบ่งเป็ นหัวข้อต่อไปนี ้
ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผูต้ อบแบบสอบถาม วิเคราะห์โดยการหาค่าร้อยละ (Percentage)
และค่าความถี่ (Frequency)
ตอนที่ 2 แบบวัดสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม วิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (Standard Deviation) โดยมีเกณฑ์พิจารณา ดังนี ้
3.26 - 4.00 หมายถึง ระดับมากที่สดุ
2.51 - 3.25 หมายถึง ระดับมาก
1.76 - 2.50 หมายถึง ระดับปานกลาง
1.00 - 1.75 หมายถึง ระดับน้อย
ตอนที่ 3 แบบสอบถามความสนใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียน วิเคราะห์โดยการหาค่าร้อยละ (Percentage)
และค่าความถี่ (Frequency)
110 | วารสารวิจยั ทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี ที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2566
สรุปผลการวิจัย
การวิจัย เรื่อง การศึกษาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมในนิสิตนักศึกษาครู ระดับปริญญาตรี สาขาวิชา
ภาษาอังกฤษ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมของนิสิตนักศึกษาครู ระดับปริญญาตรี
ทัง้ 4 ด้าน คือ ด้านความรู ้ ด้านเจตคติ ด้านความตระหนักทางวัฒนธรรมเชิงวิพากษ์ และด้านทักษะ และศึกษาความสนใจ
ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ ี่สง่ เสริมสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม ผลการวิจยั สามารถสรุปได้ ดังนี ้
1. โดยภาพรวมองค์ประกอบทัง้ 4 ด้าน ผูต้ อบแบบสอบถามมีสมรรถนะอยูใ่ นระดับมาก X̅ = 2.88 โดยมีคะแนนเฉลีย่
ด้า นความรู ้ X̅ = 3.13 ด้า นทัก ษะ X̅ = 2.95 ด้า นเจตคติ X̅ = 2.65 และด้า นความตระหนัก ทางวัฒ นธรรมเชิ ง วิ พ ากษ์
X̅ = 2.09 ตามลาดับ
อภิปรายผล
ผลสารวจวัต ถุป ระสงค์ด ้านสมรรถนะการสื่อ สารระหว่างวัฒนธรรมในนิ สิต นักศึกษาครู ระดับ ปริญ ญาตรี
สาขาวิ ช าภาษาอังกฤษ พบว่า สมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒ นธรรมของนิ สิตนักศึกษาครู สาขาวิ ชาภาษาอังกฤษ
ระดับปริญญาตรีชนั้ ปี ที่ 1 จากเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาภาคเหนือตอนล่าง 5 แห่ง อยู่ระดับมาก โดยเมื่อศึกษาในแต่ละ
วารสารวิจยั ทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี ที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2566 | 111
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะทั่วไป
สมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมถือเป็ นสมรรถนะที่สาคัญสาหรับผูเ้ รียนภาษาอังกฤษเป็ นภาษาต่างประเทศ
ดังนัน้ จึงควรมีการศึกษา สารวจ และให้ความสาคัญต่อการพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมของผูเ้ รียนทัง้ ใน
ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
1. เนื่องจากสมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ ความรู ้ เจตคติ ความ
ตระหนักทางวัฒนธรรมเชิงวิพากษ์ และทักษะ จึงควรมีการพัฒนาเครือ่ งมือที่ใช้วดั สมรรถนะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมที่
หลากหลาย
2. ควรมีการขยายขอบเขตของประชากรในการวิจยั ครัง้ ต่อไป
3. ควรมีการศึกษาปั จจัยต่าง ๆ ที่ทาให้เกิดสมรรถนะการสือ่ สารระหว่างวัฒนธรรม
บรรณานุกรม
กมลชนก ชานาญ และ อวยพร เรืองตระกูล. (2557). การพัฒนาแบบวัดและการวิเคราะห์ระดับความสามารถทางวัฒนธรรม
ของครู. An Online Journal of Education, 9(2), 534–548.สืบค้นจาก https://so01.tci-
thaijo.org/index.php/OJED/article/view/43786
ชุตินนั ท์ จันทรเสนานนท์. (2553). การพัฒนาแบบวัดสมรรถนะเชิงวัฒนธรรม (A Development of Cultural Competence
Scale). วารสารครุศาสตร์ 1(40). หน้า 43 – 58.
ธนิฏฐา บุษบก. (2556) ความตระหนักต่ออันตรายจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ประเภทซากโทรศัพท์เคลือ่ นที่ของ ประชาชนในเขต
กรุงเทพมหานคร . มหาวิทยาลัยมหิดล/กรุงเทพฯ.
DOI: https://doi.nrct.go.th/ListDoi/listDetail?Resolve_DOI=10.14457/MU.the.2013.32
นพวรรณ ยอดธรรม. (2558). “การจัดประสบการณ์การเรียนรู ต้ ามแนววิถปี ระมงพืน้ บ้านเพือ่ ส่งเสริมความตระหนักทาง
วัฒนธรรมในเด็กปฐมวัย.” วิทยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต (ปฐมวัยศึกษา) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
วารสารวิจยั ทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี ที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2566 | 113