You are on page 1of 16

บ ท ที่ ๑ ...

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล


1. ความหมายของเทววิทยาเรื่องอนันตกาล (Eschatology)
ตามความหมายดั้งเดิมในวิชาเทววิทยา คำว่า Eschatology หมายถึง วิชาแขนงหนึ่งของ
เทววิทยาว่าด้วยพระสัจธรรมเกี่ยวกับสิ่งหรือเหตุการณ์สุดท้าย (Last Things) ซึ่งได้แก่
- เหตุการณ์สุดท้ายของมนุษย์ส่วนบุคคล คือ ข้อความจริงต่างๆ ตามหลักความเชื่อ
ในเรื่องความตาย การพิพากษาส่วนบุคคล การชำระตนให้บริสุทธิ์ สวรรค์ และนรก
- เหตุการณ์สุดท้ายทั้งของมนุษยชาติและของโลก คือ การอวสานของโลก การเสด็จ
มาอย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้า การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย การพิพากษาประมวลพร้อม และ
การที่โลกจะเป็นพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
ดังนั้น คำว่า “สิ่งสุดท้าย” จึงหมายถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์ทั้งส่วนบุคคลและส่วน
รวมจะได้รับความรอดพ้นอย่างสมบูรณ์ หรือจะพินาศไปอย่างสิ้นเชิง
คำว่า Eschatology มาจากคำภาษากรีก 2 คำ คือ Logos (คำพูด/วิทยา/ความรู้/การไตร่
ตรอง) และ Eschata (สิ่งหรือเหตุการณ์สุดท้าย) แปลเป็นภาษาไทยได้หลายคำ เช่น เทววิทยาเรื่อง
อนันตกาล อันตวิทยา อนันตวิทยา ในบทเรียนนี้เราจะใช้คำจำกัดความสั้นๆ ว่า อนันตวิทยา

2
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

วิชาอนันตวิทยาโดยทั่วไปจึงหมายถึง วิชาที่ศึกษาจุดมุ่งหมายสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ เพื่อ


มนุษย์จะเรียนรู้วิธีดำเนินชีวิตที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น อนันตวิทยาศึกษาอนาคต คือ สิ่งที่ยังไม่เป็น
อยู่จริง แต่มนุษย์กำลังมุ่งไปสู่สิ่งนั้น อนันตวิทยาทำให้มนุษย์มีความหวังเกี่ยวกับอนาคต
ในตำราภาษาลาติน วิชานี้เคยมีชื่อว่า De Novissimis เพราะคำ Novissima หมายถึงบั้น
ปลายชีวิต หรือสิ่งสุดท้าย เราพบคำนี้ในสำนวนแปลพระคัมภีร์ภาษาลาตินว่า “recordare novissima
tua et in aeternum non peccabis” แปลว่า “จะทำสิ่งใด จงระลึกถึงบั้นปลายของชีวิต แล้วท่าน
จะไม่ทำบาปเลย” (บสร 7:36)
ตั้งแต่สมัยอัสมาจารย์ (Scholastics) ที่ปรับปรุงวิชาเทววิทยาว่าด้วย พระสัจธรรม ให้เป็น
ระบบตามหลักวิชาการ อนันตวิทยา ถูกจัดให้เป็นวิชาสุดท้ายที่จะต้องศึกษา การจัดเช่นนี้สอดคล้อง
ตามเนื้อหาของบท “ข้าพเจ้าเชื่อฯ” ซึ่งในตอนท้ายกล่าวถึง “การกลับคืนชีพและชีวิตนิรันดร” ยิ่งกว่า
นั้น การศึกษาสิ่งสุดท้ายก็สมควรที่จะศึกษาเป็นวิชาสุดท้ายในหมวดวิชาเทววิทยา
อนันตวิทยาได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากบรรดานักเทววิทยาร่วมสมัย ซึ่งขยายทรรศนะ
และเข้าใจเนื้อหาของอนันตวิทยาตามความหมายดั้งเดิมมากยิ่งขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน บรรดานัก
เทววิทยาสำนึกว่า วิชาอนันตวิทยายังไม่สมบูรณ์ ขาดความเข้าใจเรื่องการเปิดเผยของพระเจ้าใน
พันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ว่าเป็นประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น คือ พระเจ้าทรงสำแดง
พระเมตตาในชีวิตมนุษย์ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม เพื่อมนุษย์จะได้รับความสุขแท้จริง
เหตุการณ์สุดท้ายจึงเป็นกระบวนการที่เริ่มในอดีต เมื่อพระเจ้าทรงสำแดงพระเมตตาแก่ชาว
อิสราเอล ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยความหมายของเหตุการณ์สดุ ท้ายอย่างสมบูรณ์ และเหตุการณ์
สุดท้ายของอวสานกาลจะเป็นความจริงอย่างสมบูรณ์ เมือ่ พระคริสตเจ้าเสด็จมาอย่างรุง่ โรจน์ในวันสิน้
พิภพ ดังนั้น อนันตวิทยาจึงเป็นวิชาที่มีเนื้อหามากกว่าเหตุการณ์ในบั้นปลายของชีวิต มีเนื้อหา
เหตุการณ์ของการเปิดเผยที่ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนปลาย รวมทั้งทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างปฐมกาลและ
อวสานกาล คือ เหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งรวมเป็นกระบวนการหนึ่งเดียวที่เคลื่อน
ไปสู่เป้าหมายสุดท้าย เป็นเป้าหมายของพระเจ้าเมื่อทรงสร้างโลก นั่นคือความรอดพ้นของมวลมนุษย์
และของโลก

3
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

ดังนั้น อนันตวิทยา (Eschatology) เป็นวิชาที่ศึกษาความรอดพ้นในขั้นสมบูรณ์สุดท้าย เป็น


เรื่องความรอดพ้นนิรันดรของแต่ละบุคคล และเป็นสถานภาพสมบูรณ์ในยุคสุดท้ายของมนุษยชาติ
และของโลก

2. เนื้อหาเฉพาะของเทววิทยาเรื่องอนันตกาล
นักเทววิทยาปัจจุบนั มีความเห็นไม่ตรงกันเกีย่ วกับเนือ้ หาเฉพาะของอนันตวิทยา ซึง่ สรุปได้ใน
ทรรศนะ 4 ประการ ดังต่อไปนี้
2.1 นักเทววิทยาบางคน เช่น คานดิโด โปโซ (Candido Pozo) ยังคงรักษาทรรศนะดั้งเดิม
ว่า อนันตวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษา “เหตุการณ์สุดท้าย” ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว
2.2 นักเทววิทยาบางคน เช่น รูอีซ เด ลา เปญา (Ruiz de la Pen­a) คิดว่าเนื้อหาเฉพาะ
ของอนันตวิทยาคือ “อนาคตทั่วไป” อนันตวิทยาจึงเป็นการไตร่ตรองของผู้มีความเชื่อเกี่ยวกับอนาคต
ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ และคริสตชนกำลังรอคอยด้วยความหวัง
2.3 นักเทววิทยาบางคน เช่น คริสเตียน ชืตซ์ (Christian Schutz) คิดว่าเนื้อหาเฉพาะของ
อนันตวิทยา คือ “สภาพสมบูรณ์ที่สุด” ของมนุษย์และโลก เป็นลักษณะแน่วแน่และไม่มีเงื่อนไขของ
ทุกสิ่ง
2.4 นักเทววิทยาบางคน เช่น ยืรเกน โมลต์มันน์ (Jurgen Moltmann) และคาร์ล ราเนอร์
(Karl Rahner) คิดว่าอนันตวิทยา ไม่เป็นเพียงวิชาเทววิทยาแขนงหนึ่ง แต่เป็นเทววิทยาทุกแขนงในมิติ
ที่ “มองภาพในอนาคต” คือมุ่งสู่พระเจ้าและพระอาณาจักรของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นความ
สมบูรณ์ไร้ขอบเขต ทรงเป็นอนาคตสมบูรณ์และถาวรของมนุษย์ ในบริบทของเทววิทยาการปลดปล่อย
ทรรศนะนี้เชิญชวนคริสตชนให้มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมและโลก
ปัญหามีอยู่ว่า อนันตวิทยาจะต้องใช้เพียงทรรศนะใดทรรศนะหนึ่ง หรือจะต้องใช้ทั้ง 4
ทรรศนะโดยชี้แจงความสัมพันธ์กัน และรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละทรรศนะไว้ คำตอบก็คือ อนันต-
วิทยา สามารถรวมทรรศนะที่กล่าวมานี้ให้ประสานกัน ซึ่งอธิบายได้ถ้าเรารวมความหมาย 3 ประการ
ของคำภาษากรีกที่ว่า Eschaton คือ

4
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

• Eschaton (คำนามที่ไม่มีเพศในรูปเอกพจน์) หมายถึง เหตุการณ์หนึ่งเดียว


สุดท้าย เป็นจุดจบของโลกและมนุษยชาติ ไม่ใช่ในแง่ที่จะถูกทำลาย แต่ใน
แง่ที่บรรลุความสมบูรณ์ตลอดไป เหตุการณ์นี้ทำให้เราผ่านจากกาลเวลา
ปัจจุบันในโลกไปสู่นิรันดรภาพในอนาคต ทำให้มนุษย์และโลกบรรลุความ
สมบูรณ์ และเข้าสู่มิติใหม่ เข้าสู่การเป็นอยู่และวิถีชีวิตใหม่
ในประวัติศาสต์แห่งความรอดพ้น การดำนินชีวิตในกาลเวลามี 2 รูปแบบที่สัมพันธ์กัน เวลา
ปัจจุบันต้องไม่ปิดหรือลดอนาคตลง และอนาคตต้องไม่ทำลาย หรือลดความสำคัญของกาลเวลา
ปัจจุบัน อนันตวิทยาสอนเราให้รักษาลักษณะทั้งสองนี้ ให้ต่อเนื่องกัน และไม่แยกจากกันแม้จะ
แตกต่างกัน พูดอีกนัยหนึ่ง กาลเวลามีความหมายสองประการตามคำภาษากรีกว่า chronos และ
kairos คำว่า chronos หมายถึงกาลเวลาที่ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอในโลกนี้ที่นับได้เป็นระยะเวลา ส่วน
คำว่า kairos หมายถึง เวลาเฉพาะเจาะจงที่นำความรอดพ้นมาในชีวิตมนุษย์และเปลี่ยนแปลงชีวิต
โดยอาศัยพระหรรษทาน ดังนั้น kairos จึงเป็นกาลเวลาใหม่และไม่ต่อเนื่อง แผนการความรอดพ้น
จะสมบูรณ์เมื่อ chronos จะกลายเป็น kairos อย่างเต็มเปี่ยม
• Eschatos (คำนามเพศชาย) หมายถึง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จุด-
มุ่งหมายสุดท้ายที่ทำให้ชีวิตมนุษย์และโลกสมบูรณ์ก็คือ พระบุคคลของ
พระเจ้า ความสุขของมนุษย์อยู่ในการพบปะกับพระเจ้าอย่างถาวร ซึ่งก่อ
ให้ เ กิ ด ความสนิ ท สั ม พั น ธ์ ข องความรั ก ซึ่ ง กั น และกั น เป็ น ความรั ก ที่
พระเจ้าประทานแก่มนุษย์อย่างอิสระ และมนุษย์ยอมรับหรือปฏิเสธไม่ยอม
รับความรักนี้โดยรู้ตัวและปิดตนเองเพราะความเห็นแก่ตัว
พระเจ้าที่มนุษย์จะพบอย่างสมบูรณ์คือพระตรีเอกภาพ จะไม่มีสิ่งใดเลยที่แยกมนุษย์จาก
ความรักของพระบิดาและพระบุตรในการรวมเป็นหนึ่งเดียวของพระจิตเจ้าได้ พระบิดาเจ้าทรง
วางแผนประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นสำหรับมนุษย์ และทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์บรรลุ
ความสมบูรณ์ พระบิดาทรงเป็นหลักเกณฑ์ ทรงเป็นปฐมเหตุและทรงเป็นจุดมุ่งหมายของทุกสิ่ง

5
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

ส่วนพระบุตรทรงรับธรรมชาติมนุษย์และทรงปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา
จนถึงที่สุด จนกว่าจะทรงมอบมนุษยชาติและโลกแด่พระบิดา เพื่อพระบิดาจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ใน
พระอานุภาพของพระบุตร ผู้ทรงมีชัยชนะเหนือความชั่วร้ายและความตาย
ทีส่ ดุ พระจิตเจ้าทรงเปิดเผยและจะทรงบันดาลให้พระบุตรเสด็จมาอย่างรุง่ โรจน์ พระจิตเจ้า
ทรงเปิดเผยพระบิดาอาศัยพระบุตรเพื่อมนุษย์จะเข้าใจความจริงอย่างเต็มเปี่ยม และจะได้รับความ
รักที่นำสุขแท้จริงของพระเจ้า
• Eschata (คำนามที่ไม่มีเพศในรูปพหูพจน์) หมายถึงสิ่งของหรือการกระทำ
ต่างๆ ที่นำไปสู่เหตุการณ์สุดท้าย คือ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระ-
คริสตเจ้าจะเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ในวันสิ้นพิภพ เหตุการณ์หนึ่งเดียวสุดท้าย
(Eschaton) เป็นรูปธรรมในการที่มนุษย์พบปะกับพระตรีเอกภาพในปฏิ-
สัมพันธ์ (Eschatos) ซึ่งทำให้มนุษย์บรรลุความสมบูรณ์ตลอดไป คำถาม
ก็คือ การพบปะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไรและอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้นในเวลานั้น
เราอยากรู้ว่าเหตุการณ์และการกระทำสุดท้าย (Eschata) เป็นอย่างไร เรา
อาจวิเคราะห์เหตุการณ์เหล่านี้ในลักษณะพื้นฐาน 3 ประการคือ
1) อนันตวิทยาโดยทั่วไป (General Eschatology) ศึกษาเหตุการณ์ 3 เรื่อง คือ
เรื่องการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้า รวมทั้งเครื่องหมายก่อนหน้านั้น แม้เราไม่รู้วันเวลา
ที่จะเกิดขึ้นอย่างเจาะจง เรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย ซึ่งจะมีส่วนร่วมกับสภาพของพระ-
คริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ เพื่อมนุษย์จะละม้ายคล้ายกับพระองค์ เรื่องการพิพากษาประมวล
พร้อม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการพิพากษาส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นทันทีหลังความตาย ในเหตุการณ์นี้
พระบิดาจะทรงสำแดงความรักไร้ขอบเขต ผ่านทางความรุ่งโรจน์แห่งไม้กางเขนของพระบุตร เดชะ
พระหรรษทานของพระจิตเจ้า
2) อนันตวิทยาสมบูรณ์ (Consummate Eschatology) สะท้อนเหตุการณ์ที่จะเกิด
หลังการพิพากษา เมื่อความรักของพระเจ้าจะเกิดผลอย่างสมบูรณ์ในผู้ที่ยอมรับ และจะไม่เกิดผลใน

6
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับความรักของพระองค์เลย ผลตามมาของเหตุการณ์นี้จึงมี 2 สภาพคือ ผู้ที่ยอม


รับความรักของพระเจ้าจะมีชีวิตที่มีความสุขแท้จริงในสวรรค์ พร้อมกับชมพระพักตร์ของพระบิดาโดย
อาศัยพระบุตรผู้ทรงรับธรรมชาติมนุษย์และในแสงสว่างของพระจิตเจ้า ส่วนผู้ที่จงใจปฏิเสธไม่ยอม
รับความรักของพระเจ้า จะได้รับโทษนิรันดรในนรก เขาปิดตัวต่อพระเจ้าไม่ยอมชมพระพักตร์ของ
พระองค์ จะมีแต่ความเห็นแก่ตัว โดยไม่มีความสนิทสัมพันธ์ใดกับพระเจ้า กับตนเอง และผู้อื่น
3) อนันตวิทยาระดับกลาง (Intermediate Eschatology) ศึกษาเหตุการณ์ที่เกิด
ขึ้นในช่วงเวลาระหว่างความตายของแต่ละคนกับการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้าเมื่อสิ้น
พิภพ จะศึกษาความหมายของความตายส่วนบุคคล ในฐานะที่เป็นจุดจบของชีวิตบนแผ่นดินนี้ และ
การพบกับพระเจ้าโดยตรง เป็นการผ่านจากวิถีชีวิตในโลก เข้าสู่ชีวิตใหม่ในนิรันดรภาพผู้ตายบาง
คนยังต้องการชำระมลทินของตนต่อไปอีก เขาจึงผ่าน “ไฟชำระ” คือสภาพและสถานที่ชั่วคราว ซึ่ง
ช่วยเขาให้ชำระตนจากทุกอย่าง ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวอย่างแน่น
แฟ้นกับพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์

3. อนาคตสัมบูรณ์ (Absolute future) และอนาคตสัมพัทธ์ (Relative future)


มนุษย์ทกุ คนต่างมีความหวังหรือมีจดุ หมายปลายทางในชีวติ ไม่วา่ เขาจะเป็นคนมีศาสนาหรือ
ไม่มีศาสนา กระนั้นก็ดี ความหวังของผู้มีทรรศนะมองเพียงสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ แตกต่างจากความหวัง
ของผู้มีความเชื่อที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์
อนันตวิทยาของคริสตชนศึกษาอนาคตสัมบูรณ์ หมายถึง อนาคตสุดท้ายหลังจากความตาย
ของมนุษย์และอวสานของโลก แต่ยังมีอนันตวิทยาของลัทธิอื่นๆ ซึ่งศึกษาเพียงอนาคตสัมพัทธ์ คือ
อนาคตของมนุษย์ในโลกนี้เท่านั้น แท้จริงแล้ว วิชาที่ศึกษาอนาคตสัมพัทธ์น่าจะได้ชื่อว่า Futurology
คือ วิชาการทำนายอย่างเป็นระบบโดยดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน วิชานี้ศึกษาสิ่งที่คาดคะเนว่ามนุษย์
สามารถทำได้ในอนาคต ส่วนอนันตวิทยาไม่ศกึ ษาอนาคตทีม่ นุษย์สร้างขึน้ ด้วยตนเอง แต่ศกึ ษาอนาคต
ที่เป็นของประทานจากพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งเป็น Adventus คือ การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของ
พระคริสตเจ้า

7
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

นักปราชญ์บางคนใช้คำว่า Eschatology สำหรับวิชาที่ศึกษาเพียงอนาคตของมนุษย์บนแผ่น


ดินนี้เท่านั้น เพราะคิดว่าชีวิตอนันตกาลและชีวิตนิรันดรไม่มีอยู่จริง เช่น
• ฟอยเออร์บาค (Feuerbach) คิดว่า อนันตกาลเป็นเพียงความปรารถนาของมนุษย์ที่
อยากให้เป็นจริงเท่านั้น
• มากซ์ (Marx) คิดว่า อนันตกาลเป็นเพียงคำพูดให้กำลังใจคนที่ถูกข่มเหงเท่านั้น
• ฟรอยด์ (Freud) คิดว่า อนันตกาลเป็นแต่ความเพ้อฝันของบุคคลที่กลับมาคิดเหมือน
เด็กๆ ส่วนศาสนาใหญ่ในโลกทุกศาสนาสอนว่า มีอนันตกาลและอนันตวิทยาที่
แท้จริง คือ ยืนยันว่ามีอนาคตสัมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นอุตรภาพ (Transcendent)
3.1 อนาคตสัมบูรณ์มีอยู่จริงหรือ
มนุษย์หลายคนไม่เชื่อว่ามีอนาคตสัมบูรณ์ ให้เรามาพิจารณาเหตุผลทั้งในด้านปรัชญา
และด้านเทววิทยา ที่พิสูจน์ว่าอนาคตสัมบูรณ์มีอยู่จริง เราจะเริ่มโดยอ้างเหตุผลที่มนุษย์คิดขึ้นเอง
และประเมินคุณค่าของเหตุผลดังกล่าว แล้วจะอ้างเหตุผลทางเทววิทยา
3.1.1 เหตุผลที่มนุษย์คิดขึ้นเอง
ก) เหตุผลจากประสบการณ์มนุษย์
มนุษย์ทุกชาติทุกภาษามักจะมีการรับรู้ว่า ชีวิตมนุษย์ยังคงอยู่ในรูปแบบใดรูป
หนึ่งหลังจากความตาย เพราะมนุษย์มีจิตสำนึกว่า
• บนแผ่นดินนี้ ชีวิตมีความสำคัญ เป็นสิ่งประเสริฐที่ต้องทะนุ-
ถนอม และความตายไม่ทำลายชีวิตทั้งหมด
• ชีวิตของตนมีความหมายและมีจุดมุ่งหมาย
• ชีวติ มีความจำกัดจึงเกิดความทุกข์ เพราะขาดบางอย่างทีท่ ำให้
ไม่สมบูรณ์
• ความรักเป็นพลัง “ถ้าท่านรักผู้ใด เท่ากับบอกผู้นั้นว่า เขาจะ
ไม่ตาย” (Gabriel Marcel)

8
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

ข) เหตุผลจากปรัชญา
นักปราชญ์มักจะยกเหตุผลเพื่อพิสูจน์ว่ามนุษย์จะมีชีวิตอยู่หลังจากความตาย
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
• วิญญาณเป็นจิตและอมตะ
• มนุษย์เรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งมักจะไม่ได้รับในโลกนี้ จึง
หวังว่าจะได้รับหลังจากความตาย
• ความหวังเป็นหลักยึดเหนี่ยวของชีวิต ความหวังจึงไม่มีขอบเขต
• วิวัฒนาการของโลกมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์มนุษย์
ค) เหตุผลจากปรจิตวิทยา (Parapsychology) และการทรงเจ้าเข้าผี (Spiritualism)
ปรากฏการณ์บางประการทำให้มนุษย์อาจสรุปว่า มีชวี ติ หลังจากความตายอย่าง
แน่นอน เช่น
• ประสบการณ์ของผู้ที่อยู่ในอาการขั้นโคม่า และฟื้นขึ้นมาใหม่
(Near Death Experiences = N.D.E.) เช่น เรื่องต่างๆ ใน
หนังสือของจิตแพทย์ อี คืบละ-รอสซ์ E. Kuebler- Ross
• ลัทธิที่เชื่อว่าวิญญาณของผู้ล่วงลับไปแล้วติดต่อกับบุคคลได้
โดยการทรงเจ้าเข้าผี หรือโดยขบวนการยุคใหม่ New Age
ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งสอนว่า ผู้มี
ชีวิตสามารถติดต่อกับบรรดาผู้ตายโดยวิธีการเชื่อม (จูน)
คลื่นของจิตให้ตรงกัน Channeling
ง) ประเมินคุณค่าของเหตุผลที่มนุษย์คิดขึ้นเอง
เหตุผลจากประสบการณ์มนุษย์เป็นเพียงการคาดคะเนและการเสนอแนะ
ไม่สามารถพิสูจน์ว่า ต้องมีอนาคตสัมบูรณ์อย่างแท้จริง แต่เมื่อได้พิสูจน์โดยวิธีอื่นๆ ว่าอนาคตสมบูรณ์
มีอยู่จริง เหตุผลดังกล่าวจะสนับสนุนความคิดนี้และจะช่วยมนุษย์ให้มีท่าทีที่ถูกต้องต่อชีวิตหน้า

9
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

เหตุผลจากปรัชญาไม่เป็นที่ยอมรับของนักปราชญ์ทุกคน เช่น การที่วิญญาณ


เป็นจิตและอมตะนั้นขึ้นกับแนวความคิดที่ว่า วิญญาณและร่างกายเป็นสิ่งที่จะต้องแยกจากกัน ความ
หวังซึ่งเป็นหลักยึดเหนี่ยวของชีวิตขัดแย้งกับประสบการณ์ที่ว่า ในโลกนี้มีความเลวร้าย
เหตุผลจากปรจิตวิทยา (Parapsychology) อธิบายเพียงสภาพจิตก่อนจะตาย
ซึ่งคล้ายกับภาพลวงตาของผู้ติดยา ความเชื่อเรื่องการทรงเจ้าเข้าผี (Spiritualism) ก็ไม่มีหลักฐาน
ที่แน่นอน เพราะหลายครั้งเป็นเรื่องหลอกลวง หรือเป็นเพียงความรู้สึกที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว
3.1.2 เหตุผลทางเทววิทยา
เหตุผลที่แน่นอนว่ามีอนาคตสัมบูรณ์ ก็คือ พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงหลายข้อให้
เรารู้ เช่น อำนาจของพระวจนาตถ์ผู้ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ
ความตายจึงไม่เป็นจุดจบของชีวิตมนุษย์ ชีวิตหลังความตายปรากฏชัดในพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืน
พระชนมชีพ เพราะการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ไม่เป็นการฟื้นคืนชีพของผู้ตายที่มีชีวิต
เหมือนเดิม แต่เป็นการรับชีวิตรุ่งโรจน์ไม่เหมือนเดิม เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ตลอดไป พระคริสตเจ้าเป็น
พระบุคคลผู้นำมนุษย์ไปพบกับพระบิดาเจ้าอย่างถาวร พระองค์จึงทรงเป็น Eschatos แท้จริง ส่วน
เหตุผลอื่นๆ สนับสนุนการเปิดเผยความจริงนี้ การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าจึงเป็น
พื้นฐานความหวังของคริสตชน

4. เอกลักษณ์อนันตวิทยา (Eschatology) ของคริสตชน


อนันตวิทยาของคริสตชนมีความคิดบางอย่างคล้ายกับหลักคำสอนของศาสนาใหญ่อื่นๆ
ในโลก เช่น เรื่องจิตสำนึกที่ว่ามนุษย์เป็นผู้อ่อนแอต้องการความรอดพ้น เขาจึงหาวิธีเพื่อจะบรรลุ
ความสัมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีการติดต่อกับพระเจ้า มนุษย์จะบรรลุความสัมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อ
ผ่านความตาย กระนัน้ ก็ดี คำสอนเรือ่ งอนันตกาลของคริสต์ศาสนาต่างจากคำสอนของศาสนาอืน่ หลาย
ประเด็นดังนี้

10
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

4.1 ศาสนาอื่นมักจะมองโลกในแง่ลบ คือ โลกเป็นเพียงภาพมายา เป็นความหลอกลวง


ความรอดพ้นจึงหมายถึงการหลุดพ้นจากโลกนี้ แต่คริสต์ศาสนามองโลกและชีวิตบนแผ่นดินในแง่
บวก เพราะโลกเป็นสิง่ ดีทพี่ ระเจ้าทรงสร้าง และมนุษย์เริม่ ได้รบั ความรอดพ้นตัง้ แต่ในโลกนี้ แต่มนุษย์
และโลกจะสมบูรณ์ในโลกหน้า
4.2 ศาสนาอื่นมักจะมองว่ามนุษย์ในสภาพสุดท้ายนั้นจะสูญเสียลักษณะเฉพาะของตน คือ
จะเป็นอนัตตา แต่คริสต์ศาสนามองสภาพสุดท้ายของมนุษย์ว่า เป็นปัจเจกบุคคลอย่างสมบูรณ์
คำสอนหลักของพุทธศาสนา คือ มนุษย์จะต้องดับความปรารถนาต่างๆ แม้ความปรารถนาที่จะมีชีวิต
เพราะความปรารถนาต่างๆ เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ คริสต์ศาสนาสอนตรงกันข้ามว่า ความปรารถนา
ทีจ่ ะมีชวี ติ เป็นสัญชาตญาณทีพ่ ระเจ้าทรงปลูกฝังไว้ในจิตใจมนุษย์ ความปรารถนานีเ้ ป็นความกระหาย
หาพระเจ้า และพระองค์จะทรงตอบสนองความปรารถนานีอ้ ย่างเต็มเปีย่ ม โดยประทานความรอดพ้น
4.3 ศาสนาอื่นมักจะเชื่อในกระบวนการเวียนว่ายตายเกิด แต่คริสต์ศาสนาเชื่อว่า การกลับ
คืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่า ชีวิตบนแผ่นดินนี้มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และ
การกระทำของมนุษย์บนแผ่นดินมีผลถาวรในโลกหน้าตลอดไป
4.4 คริสต์ศาสนามองอนาคตสัมบูรณ์ในหลายมิติมากกว่าศาสนาอื่น เพราะเชื่อว่ามนุษย์ใน
โลกหน้ามีร่างกาย มีความสัมพันธ์กับมนุษย์อื่น ๆ กับโลกวัตถุ โดยรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
4.5 ความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคริสต์ศาสนา คือข้อความเชื่อสำคัญ
สองประการดังต่อไปนี้
• ศาสนาอื่นมักจะสอนว่า อนาคตสัมบูรณ์เป็นสิ่งที่มนุษย์จะบรรลุด้วยตนเอง
หลังจากความตาย แต่คริสต์ศาสนาสอนว่า มนุษย์จะได้รับอนาคตสัมบูรณ์
จากพระบุคคลของพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ทรงพระอานุ-
ภาพ ทรงเป็นทั้งจุดมุ่งหมายและต้นเหตุของมนุษย์ทุกคน สรุปว่า อนาคต
สัมบูรณ์คือพระคริสตเจ้านั่นเอง

11
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

• ศาสนาอื่ น มั ก จะสอนว่ า อนาคตสั ม บู ร ณ์ เ ป็ น เหตุ การณ์ ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ใน


อนาคตเท่านั้น แต่คริสต์ศาสนาประกาศความจริงที่ดูเหมือนขัดแย้งใน
ตัวเองว่า อนาคตเริ่มแล้วในปัจจุบัน เพราะพระบุตรผู้ทรงรับธรรมชาติ
มนุ ษ ย์ แ ละทรงดำเนิ น ชี วิ ต บนแผ่ น ดิ น นี้ ทรงกลั บ คื น พระชนมชี พ แล้ ว
คริสตชนประกาศว่า มนุษย์จะกลับคืนชีพกับพระคริสตเจ้า อาศัยพระคริสต-
เจ้า และตามพระฉบับของพระคริสตเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้น คริสตชนจึง
มองอนาคตสัมบูรณ์ในแง่ที่เป็นความจริงแล้วในปัจจุบันสำหรับพระคริสตเจ้า
แต่ยังไม่สมบูรณ์ในตัวเรา

5. วิธีการศึกษาอนันตวิทยา (Eschatology)
เอกลักษณ์ของอนันตวิทยาสำหรับคริสตชนกำหนดทัง้ แหล่งทีม่ า วิธกี าร จุดมุง่ หมายและภาษา
ที่ใช้ในการศึกษาวิชานี้
5.1 แหล่งที่มาของอนันตวิทยา (Eschatology)
• พระคัมภีร์ เราพบคำสอนเรื่องอนันตวิทยาทั้งในพันธสัญญาเดิมและพันธ-
สัญญาใหม่ ตามทีพ่ ระศาสนจักรอธิบายและเข้าใจข้อความเหล่านัน้ พระเจ้า
ทรงเปิดเผยว่า อนาคตสัมบูรณ์ของมนุษย์เป็นความจริงแล้วในพระสิริ-
รุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ดังนั้น อนันตวิทยาขึ้น
กับพระสัจธรรมเรื่องพระคริสตเจ้า (Christology)
• การวิเคราะห์ประสบการณ์ของผู้มีความเชื่อ อนันตวิทยาศึกษาความรอดพ้น
ในขั้นสมบูรณ์ ซึ่งเริ่มแล้วในผู้มีความเชื่อโดยอาศัยพระหรรษทาน และจะ
พัฒนาในกาลเวลาจนบรรลุความสมบูรณ์ในโลกหน้า ดังนั้น อนันตวิทยา
ยังขึ้นกับพระสัจธรรมเรื่องมานุษยวิทยาอีกด้วย (Christian Anthropology)

12
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

5.2 วิธีการศึกษาอนันตวิทยา (Eschatology)


การศึกษาอนันตวิทยาไม่ใช่วิธีการรายงานสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะใช้การ
ทำนาย หรือการประเมินแนวโน้มของอนาคต แต่เป็นวิธกี ารศึกษาอนาคตของมนุษย์ที่ได้รบั การกอบกู้
จากพระคริสตเจ้าแล้ว เพื่อช่วยมนุษย์ตัดสินใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับอนาคต อนาคตที่มนุษย์กำลัง
รอคอยด้วยความหวังเริ่มต้นแล้วในปัจจุบันอย่างแน่นอนแม้ยังไม่เปิดเผย เพราะคำสอนทั้งหมดของ
อนันตวิทยาเป็นความจริงที่พระเจ้าเท่านั้นทรงกำหนด ไม่ขึ้นกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
5.3 จุดมุ่งหมายของการศึกษาอนันตวิทยา (Eschatology)
จุดมุ่งหมายของการศึกษาวิชานี้ คือ ช่วยคริสตชนให้มีจิตสำนึกในการกระทำปัจจุบัน
ของตน เพื่อเขารู้จักแยกแยะสิ่งที่จำเป็นของชีวิตกับสิ่งที่สำคัญแต่สละได้ พระอาณาจักรของพระเจ้า
และชีวิตนิรันดรเป็นสิ่งที่จำเป็น ส่วนสิ่งอื่น ๆ สละได้
แม้อนันตวิทยาไม่สามารถทีจ่ ะให้รายงานสิง่ ทีจ่ ะเกิดขึน้ ในอนาคตแบบนักข่าว แต่กช็ แี้ จง
ความจริงบางประการเกี่ยวกับอนาคตให้เรารู้ เราจะได้ดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างถูกต้อง เพื่อมุ่งสู่
อนาคตสัมบูรณ์ ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมล้ำลึกเรื่องความตายที่เป็นประสบการณ์ของมนุษย์
ทุกคน จะช่วยเราให้เข้าใจว่า ความตายมีส่วนร่วมในธรรมล้ำลึกการสิ้นพระชนม์และการกลับคืน
พระชนมชีพของพระคริสตเจ้า
5.4 ภาษาที่ใช้ในอนันตวิทยา (Eschatology)
หลักเกณฑ์สำหรับอธิบายความหมายของข้อความที่เกี่ยวกับอนันตวิทยาทั้งในพระคัมภีร์
และในเทววิทยา ต้องยึดความหมายที่เป็นแก่นแท้ซึ่งมีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์ เช่น ประวัติศาสตร์
ของมนุษยชาติเป็นกระบวนการหนึ่งเดียวที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ธรรมล้ำลึกเรื่องพระเจ้ายากที่
จะเข้าใจได้ เอกภาพของมนุษย์ที่มีทั้งกายและวิญญาณ ความรอดพ้นเป็นความสมบูรณ์ของมนุษย์
ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม ฯลฯ
พระคัมภีร์ใช้ภาษาสัญลักษณ์ อุปลักษณ์ และรูปแบบอื่นๆ ของความหมายเชิงอุปมา
ของภาษาเพื่อให้เกิดภาพพจน์ เราต้องรู้จักตระหนักว่า อะไรเป็นสัญลักษณ์หรืออุปลักษณ์ และอะไร

13
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

เป็นความจริงที่สัญลักษณ์และอุปลักษณ์ต้องการบ่งชี้ เช่น วันสิ้นพิภพจะเป็นวันที่มีไฟเผาผลาญโลก


จะเป็นวันพิพากษาประมวลพร้อม จะเป็นชัยชนะของบรรดานักบุญที่ออกไปต้อนรับพระคริสตเจ้า
เราจะตีความหมายของสัญลักษณ์และอุปลักษณ์เหล่านี้ในแง่เดียวไม่ได้ เช่น จะอธิบาย
ว่า เป็นเพียงการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามตัวอักษร หรือจะอธิบายว่าเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือ
อุปลักษณ์ที่ไม่มอี ะไรลึกซึง้ กว่านัน้ หรือจะอธิบายข้อความเหล่านี้โดยประยุกต์กบั ปัจจุบนั ซึง่ เป็นวิธกี าร
ของบุลทมันน์ (Bultmann) วิธีการนี้มีข้อบกพร่อง เพราะเขามองข้ามความจริงที่ว่า มนุษย์ไม่มีชีวิต
อยู่เพื่อปัจจุบันเท่านั้น แต่มุ่งสู่อนาคตที่ยังมาไม่ถึง โลกที่มนุษย์อาศัยอยู่ไม่เป็นโลกของมนุษย์อย่าง
เดียว แต่เป็นโลกของสรรพสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ความรอดพ้นของมนุษย์ต้องครอบคลุมความ
สมบูรณ์ในทุกแง่ รวมทั้งแง่โลกวัตถุด้วย

6. อนันตวิทยาทางการเมือง (Political Theology)


ในอดีตพระศาสนจักรเน้นอนันตวิทยาส่วนบุคคล คือความรอดพ้นนิรันดรของแต่ละคน ใน
ปัจจุบนั เราอยูใ่ นยุคโลกาภิวฒ
ั น์ เป็นยุคทีม่ นุษยชาติถกู หลอมรวมให้กลายเป็นสังคมเดียว กระบวนการ
นี้เกิดจากแรงของอิทธิพลร่วมทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม วัฒนธรรมและการเมือง ทำให้มนุษย์
สามารถชนะธรรมชาติ ควบคุมธรรมชาติ และกำหนดอนาคตของโลกได้มากขึ้น ดังนั้น ในด้าน
วิทยาศาสตร์วาระสุดท้ายของโลกดูเหมือนอยู่ในมือของมนุษย์ มนุษย์มีความตื่นตัวและสนใจอนาคต
เพราะทุกคนร่วมในชะตากรรมของโลก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การศึกษาอนันตวิทยาในเชิงเทววิทยาเป็น
สิ่งสำคัญ และจำเป็นเพื่อทำให้คนยุคใหม่เข้าใจความหมายแท้จริงของอนันตวิทยาทางพระคัมภีร์ ไม่
ปะปนกับอนันตวิทยาทางวิทยาศาสตร์
อนันตวิทยาทางโลก (Secular Eschatology) แตกต่างกับอนันตวิทยาทางพระคัมภีร์
(Biblical Eschatology) อนันตวิทยาทางโลกหมายถึงความหวังในอนาคตของโลกนี้เท่านั้น (Purely
Immanent) เป็นความหวังที่มาจากเหตุผลทางสติปัญญาที่คาดว่า วันหนึ่งมนุษย์จะมีความดีพร้อม
จนสามารถร่วมงานกันได้เพื่อพัฒนาโลก ความหวังนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะขึ้นอยู่กับ
วิวัฒนาการของโลกเท่านั้น เป็นความหวังในอนาคตสัมพัทธ์ (Relative Future)

14
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

อนันตวิทยาทางพระคัมภีรห์ มายถึงความหวังในอนาคตสัมบูรณ์ หรือความหวังในอนาคต


สุดท้ายแท้จริง (Absolute Future) ซึ่งเป็นการกระทำของพระเจ้าผู้ทรงเรียกร้องการกระทำของ
มนุษย์อีกด้วย อนาคตของโลกเป็นผลการพัฒนาของมนุษย์ในลักษณะอัพภันตรภาพ (Immanent)
และเป็นผลการกระทำของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสิ่งใหม่ในลักษณะอุตรภาพ (Transcendent)
อนันตวิทยาทางโลก (Secular Eschatology) และอนันตวิทยาทางพระคัมภีร์ (Biblical
Eschatology) มีความสัมพันธ์กันในแง่ที่เป็นความหวังในอนาคตของทั้งมนุษยชาติและโลก จึงต้อง
ช่วยเกื้อกูลซึ่งกันและกันโดยรักษาเอกลักษณ์ของตน ความหวังในอนาคตของโลกนี้เป็นขั้นตอนแรก
ของความหวังสัมบูรณ์ที่มาจากศาสนา คริสตชนจึงต้องมีความหวังทางการเมือง (Politics) เพื่อจะ
ร่วมมือกับมนุษย์ทกุ คน แม้เขาว่าการกระทำของมนุษย์รว่ มกันนัน้ ไม่สามารถทำให้เกิดอนาคตสัมบูรณ์
ยิ่งกว่านั้น โลกมีความเป็นอยู่ด้วยตนเอง คือ มีกฎเกณฑ์เฉพาะของตน แต่ในเวลาเดียวกัน โลกยัง
ต้องขึ้นกับพระผู้สร้างอยู่เสมอ พระอาณาจักรของพระเจ้าและอาณาจักรของมนุษย์ในโลกนี้ ไม่เป็น
สิ่งเดียวกันในทุกแง่ทุกมุม เพราะเราต้องแยกการเมืองกับศาสนาออกจากกัน เราไม่ควรนำมาปะปน
กันเหมือนกับชาวอิสราเอลในพันธสัญญาเดิม
เทววิทยาทางการเมืองพยายามวิเคราะห์และตัดสินว่า ระบบการเมืองสอดคล้องกับแผน
การของพระเจ้าหรือไม่ ทำให้เกิดผลดีหรือผลเสียในการสร้างอนาคตสัมบูรณ์ของมนุษย์ เทววิทยาไม่
สามารถบอกได้ว่า ระบบการเมืองใดดีที่สุด หรือจะต้องปกครองอย่างไรเพื่อจะปฏิบัติตามพระประสงค์
ของพระเจ้า แต่เพียงมองดูสังคมมนุษย์ วัฒนธรรม การกระทำต่างๆ ของมนุษย์ แล้วตัดสินว่า สิ่ง
เหล่านี้สอดคล้องกับคำสอนของพระวรสารหรือไม่ เทววิทยาเพียงวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมือง เพื่อ
แก้ไขข้อบกพร่องในสังคมโดยวางกฎเกณฑ์ไว้กว้างๆ

15
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๑ ... ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล

16
อ นั น ต วิ ท ย า

You might also like