Professional Documents
Culture Documents
บทที่ ๑
๑.๑. ความเป็นมาและความสำาคัญของปัญหาการวิจัย
ปัจจุบันนี้ทุกคนรู้สึกคุ้นหูกับคำำว่ำโลกำภิวัตน์ (Globalization) เพรำะว่ำคำำนี้สำมำรถพบได้ในทุกสำขำ
วิชำกำร แม้แต่ในวงกำรปรัชญำยังมีคำำว่ำปรัชญำโลกำภิวัตน์ปรำกฏอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน อรรถปริวรรตศำสตร์
(Hermeneutics) หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่ำ ทฤษฎีกำรตีควำม เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของปรัชญำโลกำภิวัตน์
หรือปรัชญำหลังสมัยใหม่ (Post-Modernism)1 อำจกล่ำวได้ว่ำวิชำอรรถปริวรรตศำสตร์ทั่ว ไปเป็นเรื่องใหม่
สำำหรับวงวิชำกำรในเมืองไทย และอรรถปริวรรตศำสตร์เชิงพุทธนั้นยังไม่มีนักวิชำกำรท่ำนใดได้ค้นคว้ำไว้
อย่ำงเป็นระบบ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะค้นคว้ำวิจัยให้เกิดองค์ควำมรู้ใหม่ขึ้นมำ โดยจะทำำกำรวิจัยเฉพำะ “
อรรถปริวรรตศำสตร์” ในพระพุทธศำสนำเถรวำทในเชิงวิเครำะห์เทียบเคียงกับแนวควำมคิดอรรถปริวรรต
ศำสตร์ตะวันตก โดยมีวัตถุประสงค์ให้เข้ำใจอรรถปริวรรตศำสตร์ในพระพุทธศำสนำมำกขึ้น ตำมแนวทัศนะ
ของพระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตโต) ที่ว่ำ งำนวิจัยทำงพระพุทธศำสนำในยุคปัจจุบันนี้ มีทำงเลือกอยู่อย่ำง
หนึ่งคือกำรค้นหำศำสตร์สมัยใหม่ที่มีปรำกฏในพระไตรปิฎกโดยอำศัยกรอบแนวควำมคิดแบบตะวันตกเป็น
แนวค้ น คว้ ำ เที ย บเคี ย ง เพื่ อ ปรั บ ประยุ ก ต์ ใ ช้ ท ฤษฎี แ นวพุ ท ธในสั ง คมปั จ จุ บั น ให้ สำำ เร็ จ เป็ น รู ป ธรรม (
มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา. ๒๕๒๔, หน้ำ ๘๑-๘๔)
ต่อปัญหำว่ำ “ในพระพุทธศำสนำมีอรรถปริวรรตศำสตร์หรือ กำรตีควำมที่เรีย กว่ำ เฮอร์เมนิ วติ กส์
(Hermeneutics) หรือไม่ ?” มีผู้ให้ทัศนะแตกต่ำงกั นไป กลุ่มที่หนึ่งตอบว่ำ "ไม่มี กำรตี ควำม" ในพระพุทธ
ศำสนำ เพรำะพระพุทธเจ้ำไม่ได้ตรัสสอนให้เชื่อและปฏิบัติตำมธรรมะด้วยกำรตีควำม ในพระพุทธศำสนำมีแต่
กำรอรรถำธิบำยธรรมเช่นที่พระอรรถกถำจำรย์และพระฏีกำจำรย์ทำำไว้ กลุ่มที่สองตอบว่ำ “มีกำรตีควำมใน
พระพุทธศำสนำ แต่ไม่เรียกว่ำเฮอร์เมนิวติกส์” เพรำะคำำนีเ้ พิ่งเกิดขึ้นและพัฒนำเต็มรูปแบบเมือ่ ศตวรรษที่ 19 นี้
เอง และที่สำำคัญคำำนี้เป็นภำษำอังกฤษ ส่วนกลุ่มที่สำมตอบว่ำ “มีกำรตีควำมที่เรียกว่ำเฮอร์เมนิวติกส์” เพรำะ
กำรตีควำมในพระพุทธศำสนำมีลักษณะเหมือนกับสิ่งที่เฮอร์เมนิวติกส์กำำลังปฏิบัติอยู่
ตำมทัศนะของผู้วิจัย ในเบื้องต้นนี้ขอตอบว่ำ “มีอรรถปริวรรตศำสตร์หรือกำรตีควำมหลักธรรมะใน
พระพุทธศำสนำไม่ว่ำกำรตีควำมนั้นจะมีชื่อเรียกเป็นคำำ ไทยหรือคำำ อังกฤษว่ำอย่ำงไร” เพรำะมีเหตุผลว่ำกำร
ตี ค วำมที่ ช ำวพุท ธเข้ ำ ใจกั น คื อ กำรแปลควำม และกำรอธิบ ำยควำม เป็ น ต้ น ปรำชญ์ บ ำงท่ ำ นอำจใช้ คำำ ว่ ำ
อรรถำธิบำย นัยวิเครำะห์ อรรถวิเครำะห์ เป็นต้น ซึ่งตรงกับภำษำอังกฤษว่ำ Interpretation และ Hermeneutics ผู้
(Continental Philosophy) ที่ เน้ น หนั ก ในเรื่ อ งคุ ณ ค่ ำ และกำรตี ค วำม ซึ่ ง ต่ ำ งจำกปรั ช ญำวิ เครำะห์
(Analytic Philosophy) ที่เน้นหนักในเรื่องของควำมรัดกุมและควำมชัดเจนเชิงประจักษ์ (วรยุทธ ศรี
วรกุล, หน้ำ 1) ปรัชญำหลังสมัยใหม่เกิดขึ้นจำกกำรที่นักปรัชญำหลังสมัยใหม่พยำยำมวิพำกย์วิจำรณ์
ปรัชญำสมัยใหม่ โดยเสนอว่ำเหตุผลไม่ใช่เป็นสิ่งที่เรำควรไปชื่นชมเท่ำไรนัก และในสิ่งต่ำงๆ ที่เรำทำำ
ไม่ควรยึดเหตุผลเป็นตัวตัดสิน (มำรค ตำมไทย, 2540, หน้ำ 51)
บทนำำ
2
openhauer 1788-1860) ออกุส ค็ อ ง (Auguste comte 1798-1857) ฟอยเออร์ บั ค (Feuerbach 1804-72) ยั งมี กำร
ตีควำมอีกสำยหนึ่งที่เรียกว่ำ กำรตีควำมเชิงวิจำรณญำน (Critical Hermeneutics) ซึ่งมีควำมสัมพันธ์กับสำยที่
สองที่กล่ำวมำแล้ว ตัวแทนที่สำำคัญคือ ฮำเบอร์มัส (Juergen Habermas 1929-)และจะต้องศึกษำย้อนไปถึง มำร์
กซ์ (Carl Marx 1818-83) กำรจัดกลุ่มยังไม่ได้แยกสำยให้ครอบคลุมถึงว่ำนักคิดท่ำนใดสังกัดกลุ่มเทวนิยมหรือ
กลุ่มนักปรัชญำแต่ละสมัย ดูเพิ่มเติมได้ใน Mautner (Ed.), 1996, pp.1187-188 และ Audi (Ed.), 1995, pp.323-32
4. กีรติ บุญเจือ, 2541, เล่ม 1 หน้ำ 63-72 และ เล่ม 3 หน้ำ 23-37.
ศำสตร์แห่งกำรตีควำมนอกจำกเป็นประโยชน์ในแง่ญำณวิทยำแล้ว นักปรัชญำหลังสมัยใหม่ถือว่ำเฮอร์
เมนิ ว ติ ก ส์ยั งสำมำรถนำำ มำประยุ ก ต์ ใ ช้ กั บ ไดอะล็ อ กเพื่อ ควำมเข้ ำ ใจที่ ดี ร ะหว่ ำ งศำสนำอี ก ด้ ว ย (Interfaith
Dialogue) เพรำะเขำถือว่ำกำรเสวนำที่มีกำรตีควำมเป็นแกนนำำจะทำำให้ปรำศจำกอคติใดๆ ทั้งสิ้น เหตุที่เฮอร์เม
นิวติกส์เป็นแนวควำมคิดและทฤษฏีที่พัฒนำเป็นรูปแบบเฉพำะขึ้นมำใหม่ จึงมีนักคิดไทยให้ชื่อเป็นไทยว่ำ นัย
วิเครำะห์ ศำสตรำจำรย์กีรติ บุญเจือเป็นผู้บัญญัติขึ้นมำใช้เป็นท่ำนแรก (กีรติ บุญเจือ,2540,หน้ำ 4). โดยท่ำน
อธิบำยว่ำ:
“เฮอเมนิวติ กส์ (Hermeneutics) วิธีนัยวิเครำะห์ คือวิธีรวมทั้งกฎเกณฑ์ ต่ำงๆที่ใช้ ใ นกำร
ตี ค วำมหมำยหรื อ วิ เ ครำะห์ ค วำมหมำยของภำษำ คำำ ภำษำอั ง กฤษมำจำกคำำ ภำษำกรี ก ว่ ำ
Hermes ซึ่งเป็นชื่อของเทพแห่ง กำรสื่อสำร ชำวโรมันเรียกว่ำ Mercurius ซึ่งกลำยเป็นภำษำ
อังกฤษว่ำ Mercury ที่รู้จักกันดีในนำมของปรอทเพรำะมีควำมไวเป็นพิเศษ เพรำะเทพองค์นี้มี
เท้ำติดปีก ที่เอำมำตั้งเป็นชื่อวิธีตีควำมก็เพรำะว่ำเวลำเทพเฮอร์เมสนำำสำสน์ไปสือ่ ให้ใครก็ตำม
ท่ำนต้องจดจำำแล้วไปสื่อโดยกำรตีควำม เพรำะในตำำนำนของเทพองค์นี้ไม่ปรำกฏว่ำเจ้ำของ
สำสน์เขียนสำสน์ให้นำำไป และไม่ปรำกฏว่ำเทพองค์นี้ทำำกำรจดบันทึกแต่ประกำรใด ทั้งไม่มี
ประวัติว่ำเป็นผู้มีควำมจำำเป็นพิเศษ จึงหมำยควำมว่ำเมื่อรับสำสน์จนเข้ำใจแล้วก็นำำไปถ่ำยทอด
ตำมควำมเข้ำใจของตน ไม่ใช่ตำมที่จำำได้เป็นประโยคๆ จึงจำำเป็นต้องตีควำมจำกควำมเข้ำใจ
นั้นสื่อต่อด้วยคำำ พูดที่ตนเองแต่งขึ้นเฉพำะหน้ำ วิธีหรือเทคนิคกำรตีควำมด้วยประกำรฉะนี้
ชื่อของเทพนี้จึงถูกแผลงมำเป็นชื่อ”
“นัยวิเครำะห์” ดูจะยังเป็นเรื่องใหม่ในวงกำรหนังสือภำษำไทย ในทำงตะวันตก เดิม
ก็เป็น เรื่องของพวกแก่วัดแก่วำ พวก นักกำรศำสนำ นักเทววิทยำ นักเทศน์ในคริสตศำสนำที่
สนใจตีควำมหมำยคัมภีร์ไบเบิล จึงสนใจพูดถึงนัยวิเครำะห์ ทั้งนี้ก็ เพรำะคัมภีร์ไบเบิลโดย
เฉพำะอย่ำงยิ่ง ภำคพันธสัญญำเดิม ถือเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์กันหลำยฝ่ำย แต่ละฝ่ำยก็ตีควำมเข้ำ
ข้ำงตน เรียกว่ำต่ำงฝ่ำยต่ำงก็ลำกเข้ำวัดของตน และตำมนิสัยของชำวตะวันตก ไม่เห็นด้วย
อย่ำงไรก็ต้องพูดออกมำ มิฉะนั้น นอนไม่หลับ เมื่อถกเถียงกั นก็ ต้องหำหลัก กำร จึงได้ “นัย
วิเครำะห์” ซึง่ เป็นทั้งหลักกำรและวิธีกำรตีควำมหมำยคัมภีร์ไบเบิล.
หลังสงครำมโลกครั้งที่ 2 เกิดมีผู้เห็นด้วยกับปรัชญำของอีสปเอำมำกๆว่ำ ภำษำเป็น
ดำบ 2 คมที่คมกริบรำวระเบิดปรมำณู ภำษำ จะเป็นเครื่องมือให้เกิดสงครำมหรือสันติภำพก็ได้
บทนำำ
4
2
กตโม นยสำคโร เตปิฏกำ พุทฺธวจนำ. (อฏฺฐสำลินี).
บทนำำ
5
3
เปฏโกปเทเส มหำกจฺจำยเนน ภำสิเต ... ตำ ชีวิตำ ภควตำ มำทิเสน สมุทฺเทนนตถำตเตน (เปฏโกปเทสปกรณ์,2533,28) จำำเนียน แก้ว
ภู่ (2539,หน้ำ 19) วิจำรณ์ว่ำ พระมหำกัจจำยนะที่ระบุในคำถำนั้นน่ำจะไม่ใช่รูปเดียวกับพระมหำกัจจำยนะในสมัยพระพุทธเจ้ำ เพรำะในคัมภีร์
ปรมัตถมัญชุสำ ซึ่งแต่งโดยพระมหำธรรมปำละ อินเดียใต้กล่ำวว่ำเป็นคนละรูปกัน นอกจำกนั้นเขำยังให้ทรรศนะต่อไปว่ำ ชื่อกัจจำยนะน่ำจะมิได้
หมำยถึงพระมหำกัจจำยนะที่เป็นบุคคล แต่หมำยถึงสำำนักของพระมหำกัจจำยนะซึ่งตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยพุทธกำลที่เมืองอุชเชนี แคว้นอวันตี
เหมือนอย่ำงที่คัมภีร์นิทเทส ปฏิสัมภิทำมรรคและพระอภิธรรมเป็นผลงำนของพระสำรีบุตร
บทนำำ
6
๒. ทำำให้ทรำบอรรถปริวรรตศำสตร์เชิงพุทธที่ปรำกฏอยู่ในคัมภีร์ต่ำงๆ ทั้งที่เป็นปฐมภูมิและทุติยภูมิ
๓. ทำำให้ได้องค์ควำมรู้ของอรรถปริวรรตศำสตร์เชิงพุทธและสำมำรถนำำไปประยุกต์ใช้ในกำรตีควำม
คำำสอนของพระพุทธศำสนำสืบต่อไป
๑.๔. กรอบแนวความคิด (Conceptual Framework) ของโครงการวิจัย
ผู้วิจัยจะได้ยึดกรอบควำมคิดตำมแนวทรรศนะของพระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตโต) ซึ่งท่ำนได้กล่ำว
ไว้ว่ำ กำรวิจัยทำงพระพุทธศำสนำในปัจจุบัน สำมำรถดำำเนินตำมแนวดังนี้
ขั้นที่หนึ่ง ยึดกรอบแนวควำมคิดตะวันตกไว้เพื่อแสวงหำทรรศนะของพระพุทธศำสนำในเนือ้ หำวิชำเฉ
พำะนั้นๆ
ขั้นที่สอง ทำำกำรเปรียบทั้งควำมเหมือนและควำมต่ำงระหว่ำงศำสตร์ทั่วไปนั้นกับพระพุทธศำสนำอย่ำง
ละเอียด
และขั้นที่สำม นำำ เอำทรรศนะทำงพระพุทธศำสนำไปประยุกต์ ใช้ให้เกิ ดประโยชน์ (พระธรรมปิฎ ก
(ประยุทธ ปยุตโต), มหาวิทยาลัยกับงานวิจัยทางพระพุทธศาสนา. กรุ งเทพฯ มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย,
๒๕๒๔, หน้ำ ๘๑-๘๔)
๑.๕. ระเบียบวิธีวิจัย
กำรวิจัยครั้งนี้เป็นกำรวิจัยเชิงคุณภำพ เน้นกำรวิจัยที่อิงอำศัยเอกสำร หนังสือ ตำำ รำทั้งที่เป็นปฐมภูมิ
และทุติยภูมิเป็นสำำคัญ ผู้วิจัยจะได้ทำำกำรวิเครำะห์วิจำรณ์ข้อมูลที่ได้ตำมระเบียบวิธีวิจัย โดยเน้นกำรวิเครำะห์
วิจำรณ์ และทำำกำรเปรียบเทียบ เพื่อให้ได้ผลกำรวิจัยที่ชัดเจนและเชื่อถือได้อย่ำงแท้จริง โดยมีกรอบควำมคิด
ตำมแนวทรรศนะของพระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตโต) ดังกล่ำวแล้ว
๑.๖. ขอบเขตในการวิจัย
กำรวิจัยครั้งนี้ต้องกำรทรำบถึงทฤษฎีกำรตีควำมในพระพุทธศำสนำทั้งเถรวำทและมหำยำน โดยจะ
เจำะลึกพระพุทธศำสนำเถรวำทเป็นสำำคัญ โดยศึกษำเจำะลึกลงไปในคัมภีร์ต่ำงๆ โดยเฉพำะคัมภีร์เนตติปกรณ์
และเปฏโกปเทสะ ที่นักนักวิชำกำรยอมรับว่ำเป็นหลักกำรตีควำมของพระพุทธศำสนำเถรวำท เพื่อเปรียบเทียบ
กั บทฤษฎีกำรตีควำมตะวั นตกหรือ กำรตี ควำมทั่ วไป โดยเน้นนั ก กำรตี ค วำมที่เด่นๆ เช่น ชไลเออร์มำเคอร์
(Schleiermacher) จนถึงเดอริดำ (Derrida) ดังกล่ำวแล้ว