Professional Documents
Culture Documents
สุนทรียภาพกับการรียนรู้
สุนทรียภาพกับการรียนรู้
สุนทรียภาพกับการรียนรู้
เรื่อง
สุนทรียภาพกับการเรียนรู
เสนอ
ดร. ชฎาภรณ โฆษิตานนท สงวนแกว
โดย
นางนันทิกาญจน ธนากรวัจน
5351600027
รายงานนี้เปนสวนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอรสําหรับบัณฑิต
สาขาการบริหารการศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
1
สุนทรียภาพกับการเรียนรู
ความเปนมาและความหมายของสุนทรีศาสตร
นิยามแหงความงามนั้น ไดถูกตั้งเปนประเด็นทางการศึกษามายาวนานนับศตวรรษ
จนในที่สุดไดถูกจัดใหเปนการศึกษาในรูปแบบของทฤษฎีแหงคุณคาหรือคุณวิทยา(Axiology)
ซึ่งเปนพื้นฐานสําคัญของศักยภาพแหงความเปนมนุษย อันเปนประกอบดวย ความจริง
(ตรรกศาสตร) ความดี (จริยศาสตร) และความงาม (สุนทรียศาสตร)
ในทํานองเดียวกันการทําความเขาใจถึงความหมายของความงามนั้น จําเปนตองเขาใจ
ถึงหลักปรัชญาของสุนทรียศาสตร ซึ่งประกอบดวยแนวคิดของนักปรัชญาสองกลุม โดยกลุมแรก
2
แมวาความงามไดถูกกําหนดใหเกิดมาตรฐานทางการศึกษา โดยจัดใหอยูในศาสตร
แขนงอภิปรัชญา ภายใตกรอบความคิดของทฤษฎีคณ ุ วิทยา อยางไรก็ตามการทําความเขาใจ
เรื่องความงามนั้นกลาวไดวา สุนทรียศาสตรยังคงเปนเพียงแนวทางหนึ่งในการสัมผัส ซึ่งความ
งาม เพราะความงดงามที่บังเกิดขึ้นภายในจิตใจของมนุษยแตละคนนัน้ แทจริงแลวตางถูกกลั่น
กรองออกมาจากความรูสึกอันละเอียดออน ซึ่งจําเปนตองเปดโอกาสใหใจไดสัมผัสกับสรรพสิง่
บนโลก ดวยการสะสมประสบการณทางการรับรูความงาม จากความรึคิดและการกระทําทั้งมวล
ของมนุษยเอง
ความหมายของสุนทรียภาพ
ดังที่ไดกลาวมาในเบื้องตนวาสุนทรียศาสตร หมายถึง ศาสตรทมี่ ีเนื้อหาในเรื่องของ
การศึกษามาตรฐานแหงความงาม ซึ่งมาจากการรับรูทางประสาทสัมผัส เปนผลเกิดสภาวะทาง
ใจในเรื่องของความรูสึกปติ อิ่มเอม และสะเทือนอารมณ ดวยความรูดังกลาวนี้ แมมีความ
แตกตางกันไปในแตละบุคคล แตก็สามารถพัฒนาใหเกิดเปนความคุนเคย และสงผลใหกลายเปน
ความซาบซึ้งตอความงามของสรรพสิ่งได อยางไรก็ตามดวยภาวะที่เปนนามธรรมเชนนี้ลวนยาก
ตอการทําความเขาใจ ดังนั้นสรรพสิ่งที่เปนสาระแหงความงามจึงถูกกําหนดดวย คําวา สุนทรียะ
และคําวาสุนทรียะ ในภาษาบาลีนั้นหมายถึง สุนทรียศาสตร
อยางไรก็ตาม ภาวะแหงความซาบซึ้งตอความงามของสรรพสิ่ง คือ การรูถึงคุณคา
ในความงามโดยปราศจากการหวังผลตอบแทนใดๆ เหตุดังกลาวนีถ้ ือไดวาเปนความรูสึกบริสทุ ธิ์
ดังเชน เอมมานูเอล คานท (Immanuel Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมันนี กลาวไดวา “บางครั้ง
เราก็มีความรูส ึกมีความสุขเพื่อความสุขเทานั้น”
การเรียนรู ( Learning )
การเรียนรู เปนกระบวนการที่มีความสําคัญและจําเปนในการดํารงชีวติ สิ่งมีชีวิตไมวา
มนุษยหรือสัตวเริ่มเรียนรูต ั้งแตแรกเกิดจนตาย สําหรับมนุษยการเรียนรูเปนสิ่งที่ชว ยพัฒนาให
มนุษยแตกตางไปจากสัตวโลกอื่นๆ ดังพระราชนิพนธบทความของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ที่วา "สิ่งที่ทําใหคนเราแตกตางจากสัตวอื่นๆ ก็เพราะวา คนยอมมีปญญา
ที่จะนึกคิดและปฏิบตั ิสิ่งดีมีประโยชนและถูกตองได" การเรียนรูชวยใหมนุษยรูจักวิธีดําเนินชีวติ
อยางเปนสุข ปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมและสภาพการตาง ๆ ได ความสามารถในการ
เรียนรูของมนุษยจะมีอิทธิพลตอความสําเร็จและความพึงพอใจในชีวติ ของมนุษยดว ย
ความหมายของการเรียนรู
ความหมายของคําวา “การเรียนรู” มีนักจิตวิทยาไดใหความหมายของการเรียนรูไว
หลายทานในที่นี้จะสรุปพอเปนแนวทางใหเขาใจดังนี้คือ
การเรียนรู หมายถึง การที่มนุษยไดรับรูถึงสิ่งแวดลอมที่อยูรอบตัวเขา โดยเริ่มตนตั้งแต
การมีปฏิสนธิอยูในครรภมารดาเรื่อยไป จนกระทั่งคลอดมาเปนทารกแลวอยูรอด ซึ่งบุคคลก็ตอง
ปรับตัวเพื่อใหตนเองอยูรอดกับสิ่งแวดลอมทั้งภายในครรภมารดา และเมื่อออกมาอยูภายนอก
เพื่อใหชีวติ ดํารงอยูรอดทั้งนี้ก็เพราะการเรียนรูทั้งสิ้น
การเรียนรู มีความหมายลึกซึ้งมากกวาการสั่งสอน หรือการบอกเลาใหเขาใจ และจําได
เทานั้น ไมใชเรื่องของการทําตามแบบไมไดมีความหมายตอการเรียนในวิชาตาง ๆ เทานั้น
แตความหมายคลุมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม อันเปนผลจากการสังเกตพิจารณา
ไตรตรอง แกปญหาทั้งปวง และไมชี้ชัดวาการเปลี่ยนแปลงนั้นเปนไปในทางที่สังคมยอมรับ
เทานั้น การเรียนรูเปนการปรับตัวใหเขากับสิ่งแวดลอม การเรียนรูเปนความเจริญงอกงามเนน
วาการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมที่เปนการเรียนรูตองเนื่องมาจากประสบการณ หรือการฝกหัด
7
ธรรมชาติของการเรียนรู
ธรรมชาติของการเรียนรูโดยทั่วไปนักจิตวิทยา เชื่อวามนุษยจะมีการเรียนรูไดก็ ตอเมื่อ
มนุษยไดทํากิจกรรมใดๆ แลวเกิดประสบการณ ประสบการณที่สะสมมามากๆ และหลายๆ ครัง้
ทําใหมนุษยเกิดการเรียนรูขึ้นและเกิดการพัฒนาสิ่งที่เรียนรูจนเกิดเปนทักษะ และเกิดเปนความ
ชํานาญ ดังนั้นการเรียนรูของมนุษยก็จะอยูกับตัวของมนุษยเรียกวาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ที่คอนขางถาวร ดังนั้นหัวขอที่นา ศึกษาตอไปคือธรรมชาติของการเรียนรูของมนุษยมีอะไรบาง
ในที่นี้ขออธิบายเปนขอๆ คือ
1. การเรียนรูคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคอนขางถาวร
2. การเรียนรูยอมมีการแกไข ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนแปลงนัน้ ๆ จะตอง
เนื่องมาจากประสบการณ
3. การเปลี่ยนแปลงชั่วครัง้ ชั่วคราวไมนับวาเปนการเรียนรู
4. การเรียนรูใ นสิ่งใดสิ่งหนึ่งยอมตองอาศัยการสังเกตพฤติกรรม
5. การเรียนรูเ ปนกระบวนการที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และกระบวนการ
เรียนรูเกิดขึ้นตลอดเวลาทีบ่ ุคคลมีชีวติ อยู โดยอาศัยประสบการณในชีวติ
6. การเรียนรูไ มใชวุฒิภาวะแตอาศัยวุฒิภาวะ วุฒิภาวะคือระดับความเจริญเติบโตสูงสุดของ
พัฒนาการทางดานรางกาย อารมณ สังคมและสติปญ ญาของบุคคลในแตละชวงวัยที่
เปนไปตามธรรมชาติ แตการเรียนรูไมใชวฒ ุ ิภาวะแตตองอาศัยวุฒิภาวะประกอบกัน
7. การเรียนรูเ กิดไดงายถาสิ่งที่เรียนเปนสิ่งที่มีความหมายตอผูเรียน
8. การเรียนรูข องแตละคนแตกตางกัน
9. การเรียนรูย อมเปนผลใหเกิดการสรางแบบแผนของพฤติกรรมใหม
10. การเรียนรูอาจจะเกิดขึ้นโดยการตั้งใจหรือเกิดโดยบังเอิญก็ได
จุดมุงหมายของการเรียนรู
พฤติกรรมการเรียนรูตามจุดมุงหมายของนักการศึกษาซึ่งกําหนดโดย บลูม และคณะ
(Bloom and Others ) มุงพัฒนาผูเรียนใน 3 ดาน ดังนี้
1. ดานพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) คือ ผลของการเรียนรูที่เปนความสามารถ
ทางสมอง ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท ความจํา ความเขาใจ การนําไปใชการวิเคราะห
การสังเคราะห และประเมินผล
2. ดานเจตพิสัย (Affective Domain) คือ ผลของการเรียนรูที่เปลีย่ นแปลงดานความรูสึก
ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท ความรูสึก ความสนใจ ทัศนคติ การประเมินคาและคานิยม
3. ดานทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ผลของการเรียนรูที่เปนความสามารถ
ดานการปฏิบัติ ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท การเคลื่อนไหว การกระทํา การปฏิบัติงาน การ
มีทักษะและความชํานาญ
10
องคประกอบสําคัญของการเรียนรู
ดอลลารด และมิลเลอร (Dallard and Miller) เสนอวาการเรียนรู มีองคประกอบสําคัญ
4 ประการ คือ
1. แรงขับ (Drive) เปนความตองการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เปนความพรอมที่จะ
เรียนรูของบุคคลทั้งสมอง ระบบประสาทสัมผัสและกลามเนื้อ แรงขับและความพรอมเหลานี้จะ
กอใหเกิดปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมที่จะชักนําไปสูการเรียนรูตอไป
2. สิ่งเรา (Stimulus) เปนสิ่งแวดลอมที่เกิดขึ้นในสถานการณตาง ๆ ซึ่งเปนตัวการที่
ทําใหบุคคลมีปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมตอบสนองออกมา ในสภาพการเรียนการสอน สิ่งเราจะ
หมายถึงครู กิจกรรมการสอน และอุปกรณการสอนตางๆ ที่ครูนํามาใช
3. การตอบสนอง (Response) เปนปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมตาง ๆ ที่แสดงออกมา
เมื่อบุคคลไดรบั การกระตุนจากสิ่งเรา ทั้งสวนที่สังเกตเห็นไดและสวนที่ไมสามารถสังเกตเห็นได
เชน การเคลื่อนไหว ทาทาง คําพูด การคิด การรับรู ความสนใจ และความรูสึก เปนตน
4. การเสริมแรง (Reinforcement) เปนการใหสิ่งที่มีอิทธิพลตอบุคคลอันมีผลในการเพิ่ม
พลังใหเกิดการเชื่อมโยง ระหวางสิ่งเรากับการตอบสนองเพิ่มขึ้น การเสริมแรงมีทั้งทางบวกและ
ทางลบ ซึ่งมีผลตอการเรียนรูของบุคคลเปนอันมาก
ธรรมชาติของการเรียนรู
การเรียนรูมีลกั ษณะสําคัญดังตอไปนี้
1. การเรียนรูเปนกระบวนการ การเกิดการเรียนรูของบุคคลจะมีกระบวนการของการ
เรียนรูจากการไมรูไปสูการเรียนรู 5 ขั้นตอน คือ
1.1 มีสิ่งเรามากระตุนบุคคล
1.2 บุคคลสัมผัสสิ่งเราดวยประสาททั้ง 5
1.3 บุคคลแปลความหมายหรือรับรูสิ่งเรา
1.4 บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองอยางใดอยางหนึ่งตอสิ่งเราตามที่รับรู
1.5 บุคคลประเมินผลที่เกิดจากการตอบสนองตอสิ่งเรา
11
Sensation Perception
Stimulus
ประสาทรับสัมผัส การรับรู
สิ่งเรา
เกิดการเรียนรู
Response Concept
Learning ปฏิกิริยาตอบสนอง ความคิดรวบยอด
การเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม
การถายโยงการเรียนรู
การถายโยงการเรียนรูเกิดขึ้นได 2 ลักษณะ คือ การถายโยงการเรียนรูทางบวก
(Positive Transfer) และการถายโยงการเรียนรูทางลบ (Negative Transfer)
การถายโยงการเรียนรูทางบวก (Positive Transfer) คือ การถายโยงการเรียนรูชนิดที่
ผลของการเรียนรูงานหนึ่งชวยใหผเู รียนเกิดการเรียนรูอีกงานหนึ่งไดเร็วขึ้น งายขึ้น หรือดีขึ้น
การถายโยงการเรียนรูทางบวก มักเกิดจาก
1. เมื่องานหนึ่ง มีความคลายคลึงกับอีกงานหนึ่ง และผูเรียนเกิดการเรียนรูงานแรก
อยางแจมแจงแลว
2. เมื่อผูเรียนมองเห็นความสัมพันธระหวางงานหนึ่งกับอีกงานหนึ่ง
3. เมื่อผูเรียนมีความตั้งใจที่จะนําผลการเรียนรูจากงานหนึ่งไปใชใหเปนประโยชนกับ
การเรียนรูอีกงานหนึ่ง และสามารถจําวิธีเรียนหรือผลของการเรียนรูงานแรกไดอยางแมนยํา
4. เมื่อผูเรียนเปนผูที่มีความคิดริเริ่มสรางสรรค โดยชอบที่จะนําความรูตางๆ ทีเ่ คย
เรียนรูมากอนมาลองคิดทดลองจนเกิดความรูใหมๆ
การถายโยงการเรียนรูทางลบ (Negative Transfer) คือการถายโยงการเรียนรูชนิดที่
ผลการเรียนรูง านหนึ่งไปขัดขวางทําใหผเู รียนเกิดการเรียนรูอีกงานหนึ่งไดชาลง หรือยากขึ้น
และไมไดดีเทาที่ควร การถายโยงการเรียนรูทางลบ อาจเกิดขึ้นได 2 แบบ คือ
1. แบบตามรบกวน (Proactive Inhibition) ผลของการเรียนรูงานแรกไปขัดขวางการ
เรียนรูงานที่ 2
2. แบบยอนรบกวน (Retroactive Inhibition) ผลการเรียนรูงานที่ 2 ทําใหการเรียนรู
งานแรกนอยลง
การเกิดการเรียนรูทางลบมักเกิดจาก
- เมื่องาน 2 อยางคลายกันมาก แตผูเรียนยังไมเกิดการเรียนรูงานใดงานหนึ่งอยาง
แทจริงกอนที่จะเรียนอีกงานหนึ่ง ทําใหการเรียนงาน 2 อยางในเวลาใกลเคียงกันเกิดความ
สับสน
- เมื่อผูเรียนตองเรียนรูงานหลายๆ อยางในเวลาติดตอกัน ผลของการเรียนรูงานหนึ่ง
อาจไปทําใหผูเรียนเกิดความสับสนในการเรียนรูอีกงานหนึ่งได
13
การนําความรูไปใช
1. กอนที่จะใหผูเรียนเกิดความรูใหม ตองแนใจวา ผูเรียนมีความรูพ ื้นฐานที่เกี่ยวของ
กับความรูใหมมาแลว
2. พยายามสอน หรือบอกใหผูเรียนเขาใจถึงจุดมุงหมายของการเรียน ที่กอใหเกิด
ประโยชนแกตนเอง
3. ไมลงโทษผูที่เรียนเร็วหรือชากวาคนอื่นๆ และไมมุงหวังวาผูเรียนทุกคนจะตองเกิด
การเรียนรูที่เทากันในเวลาเทากัน
4. ถาสอนบทเรียนที่คลายกัน ตองแนใจวาผูเรียนเขาใจบทเรียนแรกไดดีแลวจึงจะสอน
บทเรียนตอไป
5. พยายามชี้แนะใหผูเรียนมองเห็นความสัมพันธของบทเรียนที่มีความสัมพันธกัน
ทฤษฎีการเรียนรูกลุมสัมพันธตอเนื่อง
ทฤษฎีนี้เห็นวาการเรียนรูเกิดจากการเชื่อมโยงระหวางสิ่งเรา (Stimulus) และการ
ตอบสนอง (Response) ปจจุบันเรียกนักทฤษฎีกลุมนี้วา "พฤติกรรมนิยม" (Behaviorism)
ซึ่งเนนเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มองเห็น และสังเกตไดมากกวากระบวน
การคิด และปฏิกิริยาภายในของผูเรียน ทฤษฎีการเรียนรูกลุมนี้แบงเปนกลุมยอยได ดังนี้
1. ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theories)
1.1 ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning Theories)
1.2 ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขแบบการกระทํา (Operant Conditioning Theory)
2. ทฤษฎีสมั พันธเชื่อมโยง (Connectionism Theories)
2.1 ทฤษฎีสัมพันธเชือ่ มโยง (Connectionism Theory)
2.2 ทฤษฎีสัมพันธตอ เนื่อง (S-R Contiguity Theory)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
อธิบายถึงการเรียนรูที่เกิดจากการเชื่อมโยงระหวางสิ่งเราตามธรรมชาติ และสิ่งเราที่
วางเงื่อนไขกับการ ตอบสนอง พฤติกรรมหรือการตอบสนองที่เกี่ยวของมักจะเปนพฤติกรรมที่
เปนปฏิกิริยาสะทอน (Reflex) หรือ พฤติกรรมทีเ่ กีย่ วของอารมณ ความรูสึก บุคคลสําคัญของ
ทฤษฎีนี้ ไดแก Pavlov, Watson, Wolpe etc.
Ivan P. Pavlov
นักสรีรวิทยาชาวรัสเซีย (1849-1936) ไดทําการทดลองเพื่อศึกษาการเรียนรูที่เกิดขึน้
จากการเชื่อมโยงระหวางการตอบสนองตอสิ่งเราตามธรรมชาติที่ไมไดวางเงื่อนไข
(Unconditioned Stimulus = UCS) และสิ่งเรา ที่เปนกลาง (Neutral Stimulus) จนเกิดการ
เปลี่ยนแปลงสิ่งเราที่เปนกลางใหกลายเปนสิ่งเราที่วางเงื่อนไข (Conditioned Stimulus = CS)
และการตอบสนองที่ไมมีเงื่อนไข (Unconditioned Response = UCR) เปนการตอบสนองที่
มีเงื่อนไข (Conditioned Response = CR) ลําดับขัน้ ตอนการเรียนรูที่เกิดขึ้นดังนี้
1. กอนการวางเงื่อนไข
UCS (อาหาร) UCR (น้ําลายไหล)
สิ่งเราที่เปนกลาง (เสียงกระดิ่ง) น้ําลายไมไหล
2. ขณะวางเงื่อนไข
CS (เสียงกระดิ่ง) + UCS (อาหาร) UCR (น้ําลายไหล)
3. หลังการวางเงื่อนไข
CS (เสียงกระดิ่ง) CR (น้ําลายไหล)
15
การนําหลักการมาประยุกตใชในการสอน
1. ครูสามารถนําหลักการเรียนรูของทฤษฎีนี้มาทําความเขาใจพฤติกรรมของผูเรียนที่
แสดงออกถึงอารมณ ความรูสึกทั้งดานดีและไมดี รวมทั้งเจตคติตอ สิ่งแวดลอมตางๆ เชน วิชา
ที่เรียน กิจกรรม หรือครูผูสอน เพราะเขาอาจไดรับการวางเงื่อนไขอยางใดอยางหนึ่งอยูก็เปนได
2. ครูควรใชหลักการเรียนรูจากทฤษฎีปลูกฝงความรูสึกและเจตคติที่ดีตอเนื้อหาวิชา
กิจกรรมนักเรียน ครูผสู อนและสิ่งแวดลอมอื่นๆ ที่เกี่ยวของใหเกิดในตัวผูเ รียน
3. ครูสามารถปองกันความรูสึกลมเหลว ผิดหวัง และวิตกกังวลของผูเรียนไดโดยการ
สงเสริมใหกําลังใจในการเรียนและการทํากิจกรรม ไมคาดหวังผลเลิศจากผูเรียน และหลีกเลี่ยง
การใชอารมณหรือลงโทษผูเรียนอยางรุนแรงจนเกิดการวางเงื่อนไขขึน้ กรณีที่ผูเรียนเกิด
ความเครียด และวิตกกังวลมาก ครูควรเปดโอกาสใหผูเรียนไดผอนคลายความรูสกึ ไดบางตาม
ขอบเขตที่เหมาะสม
ทฤษฎีการวางเขื่อนไขแบบการกระทําของสกินเนอร (Skinner's Operant Conditioning
Theory)
B.F. Skinner (1904 - 1990) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ไดทําการทดลองดานจิตวิทยา
การศึกษาและวิเคราะหสถานการณการเรียนรูที่มีการตอบสนองแบบแสดงการกระทํา (Operant
Behavior) สกินเนอรไดแบง พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตไว 2 แบบ คือ
1. Respondent Behavior พฤติกรรมหรือการตอบสนองที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
หรือเปนปฏิกิริยาสะทอน (Reflex) ซึ่งสิ่งมีชีวิตไมสามารถควบคุมตัวเองได เชน การกระพริบ
ตา น้ําลายไหล หรือการเกิดอารมณ ความรูสึกตางๆ
2. Operant Behavior พฤติกรรมที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเปนผูกําหนด หรือเลือกที่จะ
แสดงออกมา สวนใหญจะเปนพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกในชีวิตประจําวัน เชน กิน นอน
พูด เดิน ทํางาน ขับรถ ฯลฯ.
การเรียนรูตามแนวคิดของสกินเนอร เกิดจากการเชื่อมโยงระหวางสิ่งเรากับการ
ตอบสนองเชนเดียวกัน แตสกินเนอรใหความสําคัญตอการตอบสนองมากกวาสิ่งเรา จึงมีคน
เรียกวาเปนทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบ Type R นอกจากนี้สกินเนอรใหความสําคัญตอการ
เสริมแรง (Reinforcement) วามีผลทําใหเกิดการเรียนรูที่คงทนถาวร ยิ่งขึ้นดวย สกินเนอรได
สรุปไววา อัตราการเกิดพฤติกรรมหรือการตอบสนองขึ้นอยูกับผลของการกระทํา คือ การ
เสริมแรง หรือการลงโทษ ทั้งทางบวกและทางลบ
17
พฤติกรรม
การเสริม การลงโทษแรง
ความถี่ของพฤติกรรมเพิ่มขึ้น ความถี่ของพฤติกรรมลดลง
การนําหลักการมาประยุกตใช
1. การเสริมแรง และ การลงโทษ
2. การปรับพฤติกรรม และ การแตงพฤติกรรม
3. การสรางบทเรียนสําเร็จรูป
การเสริมแรงและการลงโทษ
การเสริมแรง (Reinforcement) คือการทําใหอัตราการตอบสนองหรือความถี่ของการ
แสดงพฤติกรรมเพิ่มขึ้นอันเปนผลจากการไดรับสิ่งเสริมแรง (Reinforce) ที่เหมาะสม การ
เสริมแรงมี 2 ทาง ไดแก
1. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement ) เปนการใหสงิ่ เสริมแรงที่บคุ คล
พึงพอใจ มีผลทําใหบุคคลแสดงพฤติกรรมถี่ขึ้น
2. การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) เปนการนําเอาสิ่งที่บุคคลไมพึง
พอใจออกไป มีผลทําใหบคุ คลแสดงพฤติกรรมถี่ขึ้น
การลงโทษ (Punishment) คือ การทําใหอัตราการตอบสนองหรือความถี่ของการ
แสดงพฤติกรรมลดลง การลงโทษมี 2 ทาง ไดแก
1. การลงโทษทางบวก (Positive Punishment) เปนการใหสิ่งเราทีบ่ ุคคลที่ไมพึงพอใจ
มีผลทําใหบคุ คลแสดงพฤติกรรมลดลง
2. การลงโทษทางลบ (Negative Punishment) เปนการนําสิ่งเราที่บุคคลพึงพอใจ หรือ
สิ่งเสริมแรงออกไป มีผลทําใหบุคคลแสดงพฤติกรรมลดลง
18
การปรับพฤติกรรมและการแตงพฤติกรรม
การปรับพฤติกรรม (Behavior Modification) เปนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม
พึงประสงค มาเปนพฤติกรรมที่พึงประสงค โดยใชหลักการเสริมแรงและการลงโทษ
การแตงพฤติกรรม (Shaping Behavior ) เปนการเสริมสรางใหเกิดพฤติกรรม
ใหม โดยใชวิธีการเสริมแรงกระตุนใหเกิดพฤติกรรมทีละเล็กทีละนอย จนกระทั่งเกิด
พฤติกรรมตามตองการ
ทฤษฎีการเรียนรูกลุมความรูความเขาใจ
ทฤษฎีการเรียนรูที่มองเห็นความสําคัญของกระบวนการคิดซึ่งเกิดขึ้นภายในตัวบุคคล
ในระหวางการเรียนรูมากกวาสิ่งเราและการตอบสนอง นักทฤษฎีกลุมนี้เชื่อวา พฤติกรรมหรือ
การตอบสนองใดๆ ที่บุคคลแสดงออกมานั้นตองผานกระบวนการคิดที่เกิดขึ้นระหวางที่มีสิ่งเรา
20
หลักของการหยั่งเห็นสรุปไดดังนี้
2.1 การหยั่งเห็นขึ้นอยูกับสภาพปญหา การหยั่งเห็นจะเกิดขึ้นไดงายถามีการ
รับรูองคประกอบของปญหาที่สัมพันธกัน บุคคลสามารถสรางภาพในใจเกี่ยวกับขั้นตอน
เหตุการณ หรือสภาพการณที่เกี่ยวของเพื่อพยายามหาคําตอบ
2.2 คําตอบที่เกิดขึ้นในใจถือวาเปนการหยั่งเห็น ถาสามารถแกปญหาไดบุคคลจะ
นํามาใชในโอกาสตอไปอีก
2.3 คําตอบหรือการหยั่งเห็นที่เกิดขึ้นสามารถนําไปประยุกต ใชในสถานการณ
ใหมได
21
ขั้นตอนของการเรียนรูโดยการสังเกต
1. ขั้นใหความสนใจ (Attention Phase) ถาไมมีขั้นตอนนี้ การเรียนรูอาจจะไมเกิดขึ้น
เปนขั้นตอน ที่ผูเรียนใหความสนใจตอตัวแบบ (Modeling) ความสามารถ ความมีชื่อเสียง
และคุณลักษณะเดนของตัวแบบจะเปนสิ่งดึงดูดใหผูเรียนสนใจ
2. ขั้นจํา (Retention Phase) เมื่อผูเรียนสนใจพฤติกรรมของตัวแบบ จะบันทึกสิง่ ที่
สังเกตไดไวในระบบความจําของตนเอง ซึ่งมักจะจดจําไวเปนจินตภาพเกี่ยวกับขั้นตอนการ
แสดงพฤติกรรม
3. ขั้นปฏิบัติ (Reproduction Phase) เปนขั้นตอนทีผ่ ูเรียนลองแสดงพฤติกรรมตามตัว
แบบ ซึ่งจะสงผลใหมีการตรวจสอบการเรียนรูที่ไดจดจําไว
4. ขั้นจูงใจ (Motivation Phase) ขั้นตอนนี้เปนขั้นแสดงผลของการกระทํา
(Consequence) จากการแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบ ถาผลที่ตวั แบบเคยไดรับ (Vicarious
Consequence) เปนไปในทางบวก (Vicarious Reinforcement) ก็จะจูงใจใหผูเรียนอยากแสดง
พฤติกรรมตามแบบ ถาเปนไปในทางลบ (Vicarious Punishment) ผูเรียนก็มักจะงดเวนการ
แสดงพฤติกรรมนั้นๆ
23
B E
3. ผลของการเรียนรูกับการแสดงออกอาจจะแตกตางกัน สิ่งที่เรียนรูแลวอาจไมมีการ
แสดงออกก็ได เชน ผลของการกระทํา (Consequence) ดานบวก เมื่อเรียนรูแลวจะเกิดการ
แสดงพฤติกรรมเลียนแบบ แตผลการกระทําดานลบ อาจมีการเรียนรูแตไมมีการเลียนแบบ
การนําหลักการมาประยุกตใช
1. ในหองเรียนครูจะเปนตัวแบบที่มีอิทธิพลมากที่สุด ครูควรคํานึงอยูเสมอวา การ
เรียนรูโดยการสังเกตและเลียนแบบจะเกิดขึ้นไดเสมอ แมวาครูจะไมไดตั้งวัตถุประสงคไวกต็ าม
2. การสอนแบบสาธิตปฏิบตั ิเปนการสอนโดยใชหลักการและขั้นตอนของทฤษฎีปญญา
สังคมทั้งสิ้น ครูตองแสดงตัวอยางพฤติกรรมทีถ่ ูกตองที่สุดเทานั้น จึงจะมีประสิทธิภาพใน
การแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ ความผิดพลาดของครูแมไมตั้งใจ ไมวาครูจะพร่ําบอกผูเรียน
วาไมตองสนใจจดจํา แตก็ผานการสังเกตและการรับรูข องผูเรียนไปแลว
3. ตัวแบบในชั้นเรียนไมควรจํากัดไวที่ครูเทานั้น ควรใชผูเรียนดวยกันเปนตัวแบบไดใน
บางกรณี โดยธรรมชาติเพื่อนในชั้นเรียนยอมมีอิทธิพลตอการเลียนแบบสูงอยูแ ลว ครูควร
พยายามใชทกั ษะจูงใจใหผเู รียนสนใจและเลียนแบบเพือ่ นที่มีพฤติกรรมที่ดี มากกวาผูที่มี
พฤติกรรมไมดี
บทสรุป
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ครู คือผูสั่งสอนศิษย ผูถายทอดความรูใหแก
ศิษย ดวยเหตุนี้ครูจึงเปนบุคคลสําคัญในชีวติ ของเรา คอยประสิทธิป์ ระสาทวิชาความรูให อบรม
สั่งสอน สรางสรรคและพัฒนาภูมิปญญาและเปนปูชนียบุคคล ควรอยางยิ่งที่จะไดรับการนอม
เคารพจากใจศิษยทั้งปวง
24
เอกสารอางอิง
www.ais.rtaf.mi.th
http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=15154