You are on page 1of 52

จากใจผูเ้ ขียน

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผูท้ รงเมตตา ผูท้ รงกรุณายิ่ง

ปัญหาซุนนีย-์ ชีอะฮฺ ยังคงถือเป็ นปัญหาที่คอยรังควานสังคมมุสลิมในประเทศไทยมากว่า 30 ปี


แล ้ว นับตัง้ แต่เกิดการปฏิวตั ิอิหร่านภายใต้การนําของระบอบ “โคไมนี่” ในปลายทศวรรษที่ 70 หลักความ
เชื่อในแนวทางชีอะฮฺก็ได้เกิดการ “พลวัติ” ไปทัว่ ดินแดนโลกมุสลิม ประเทศไทยอันเป็ นประเทศที่เคยสงบ
สุขในแนวทางของอะฮฺลุซซุนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ มาก่อนก็ได้รบั ผลกระทบดังกล่าวนี้ไม่นอ้ ยเช่นกัน แม ้ทุกวันนี้
กระแสความขัดแย้งซุนนีย-์ ชีอะฮฺ ดูเหมือนจะซาลงแล ้วบ้าง แต่ก็ยงั คงเป็ นคลืน่ ใต้นาํ้ ที่รอการปะทุข้นึ มาสร้าง
ความเสียหายแก่มนุ ษย์ได้ทุกเมือ่ สืบเนื่องจากความพยายามของสถาบันชีอะฮฺในประเทศไทยที่ยงั คงเผยแพร่
และชักจูงพี่นอ้ งมุสลิมสู่แนวทางชีอะฮฺ ไม่ดว้ ยหลักทางวิชาการก็ดว้ ยการช่วยเหลือด้านเงินทอง ผูเ้ ขียนเองจาก
ประสบการณ์โดยตรงของผูท้ ่เี คยคลังไคล ่ ้หลงใหลในแนวทางชีอะฮฺอย่างมืดบอดก็พอจะมองออกว่า ปัจจัย
อะไรที่ผลักดันให้ผูค้ นในสังคมทุกวันนี้ยงั คงหลังไหลเข ่ ้าสู่แนวทางชีอะฮฺ ปัจจัยดังกล่าวนัน้ ก็คือ “ความไม่รู ้
ในหลักการศาสนาอย่างแตกฉาน” นัน่ เอง ผูเ้ ขียนเชื่อเหลือเกินว่าชีอะฮฺหลายๆรายในบ้านเมืองเรานัน้ เพียงแค่
ได้อ่านหนังสือ 2-3 เล่มที่ถูกเขียนโดย ดร.มุฮมั มัด อัตตีญานีย ์ เช่น “ในทีส่ ดุ ข ้าพเจ้าก็ได้รบั ทางนํา” และ
“ชีอะฮฺ คือซุนนะฮฺ ทีแ่ ท้จริง” ก็สามารถผันตัวเองเข ้าสู่แนวทางชีอะฮฺได้อย่างง่ายดาย ทัง้ ๆที่ในความเป็ นจริง
แล ้วนัน้ ไม่มสี กั คนเลยที่เปลีย่ นตัวเองไปสู่แนวทางชีอะฮฺ จะปรึกษาหรือขอความกระจ่างจากผูร้ ูอ้ ะฮฺลุซซุนนะฮฺ
ที่เชี่ยวชาญเรื่องของชีอะฮฺ เพื่อแสวงหาข ้อเท็จจริงของข ้อมูลที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนัน้ สืบเนื่องจากหนังสือ
เล่มดังกล่าวมีการอ้างอิงตําราของฝ่ ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺ อย่างมหาศาลจนยากที่ใครจะปฏิเสธไว้ได้ อย่างไรก็ตาม
หนังสือเล่มเล็กๆนี้ผูเ้ ขียนไม่ได้มเี ป้ าหมายที่จะเปิ ดโปงถึงข ้อบิดเบือนและหลักฐาน “กํามะลอ” อันมากมายที่
เจ้าของหนังสือดังกล่าวได้นาํ มาหลอกลวงพี่นอ้ งมุสลิมที่ไม่มคี วามรู ้ ทางศาสนาอย่างแตกฉาน เพราะผูเ้ ขียน
คิดว่าเอกสารต่างๆมากมายจากทางฝ่ ายซุนนะฮฺ ก็ได้ตอบโต้หนังสือเล่มดังกล่าวไปบ้างแล ้ว ซึ่งในอนาคตหาก
พระองค์อลั ลอฮฺทรงประสงค์ผูเ้ ขียนอาจจะ เขียนตอบโต้หนังสือเหล่านัน้ ทุกแง่มมุ เองก็ได้ อินชาอัลลอฮฺ
หนังสือชิ้นนี้ผูเ้ ขียนมีเป้ าประสงค์ท่จี ะอธิบายถึงสาเหตุท่ที าํ ให้ผูเ้ ขียนต้องตัดสินใจหันหลังให้กบั
แนวทางชีอะฮฺซ่งึ ถึงแม ้ว่าในช่วงชีวติ หนึ่งผูเ้ ขียนอาจจะยังไม่เป็ นชีอะฮฺอย่างเต็มตัวซึ่งเป็ นปัญหาจากทางด้าน
ครอบครัวก็ตาม แต่ก็รบั ประกันได้ว่าในใจของผูเ้ ขียน ณ เวลานัน้ เป็ นชีอะฮฺอย่างแน่นอน ไม่ได้นอ้ ยหน้าไป
กว่าชีอะฮฺคนอื่นๆเลย อย่างน้อยที่สุด ณ ช่วงเวลานัน้ ความเป็ นชีอะฮฺแอบๆในจิตใจของผูเ้ ขียนก็มากพอที่จะ
ทําให้ผูเ้ ขียนมีทศั นคติท่ไี ม่ดตี ่อ ท่านอบูบกั ร ท่านอุมรั ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ท่านหญิงฮัฟเซาะฮฺ และบรรดาซอ
ฮาบะฮฺ รอฎิยลั ลอฮุอนั ฮุม ยาอัจมาอีน ซึ่งจากความผิดพลาดในครัง้ นี้ผูเ้ ขียนขอวิงวอนต่อพระองค์อลั ลอฮฺได้
โปรดอย่าให้มนั เกิดขึ้นแก่คนหนึ่งคนใดหลังจากนี้อีกเลย
ข ้อมูลต่างๆที่ท่านกําลังจะอ่านต่อไปนี้เป็ นข ้อมูลที่ผลักดันให้ผูเ้ ขียนต้องละทิ้งชีอะฮฺไป ซึ่ง
ในจุดนี้ผูเ้ ขียนอยากจะกล่าวแก่มติ รสหายชีอะฮฺสกั นิดว่าให้ท่านเปิ ดใจกว้างในการอ่านด้วย สืบเนื่องมาจาก
ข ้อมูลที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้นนั้ นํามาจากตํารับตําราของปวงปราชญ์ในแนวทางชีอะฮฺเองทัง้ สิ้น ผูเ้ ขียนขอ
เรียกร้องให้มติ รสหายชีอะฮฺ ได้โปรดพิจารณาตรงที่หลักฐานตามที่ปรากฏในหนังสือเล่มเล็กๆนี้ ให้เสมือนกับ
ที่มติ รสหายชีอะฮฺได้เคยเปิ ดใจเมือ่ ครัง้ ที่ได้อ่านตํารับตําราของ ดร. อัตตีญานี ทัง้ ๆที่ในความเป็ นจริงแล ้วนัน้
หลักฐานที่ถูกประมวลอยู ่ในตําราเหล่านัน้ จะมดเท็จมากแค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็ตามผูเ้ ขียนไม่ได้คาดหวังเลย
แม ้แต่นอ้ ยว่าหนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้จะสามารถทําให้ชาวชีอะฮต้องทอดทิ้งแนวทางของพวกเขาแล ้วหันกลับเข ้า
มาดํารงอยู่บนสายธารแห่งอะฮฺลุซซุนะฮฺ เพราะผูเ้ ขียนตระหนักได้เป็ นอย่างดีว่าการมอบสัจธรรมให้แก่ชี
อะฮฺนนั้ จําต้องใช้การสร้างความเข ้าใจในประเด็นหลายๆด้าน โดยเฉพาะในด้านประวัติศาสตร์ หากแต่เพียงว่า
หนังสือเล่มนี้เป็ นการบอกเล่าเก้าสิบแก่ท่านผูอ้ ่านให้เห็นภาพกว้างๆและรัดกุมทุกแง่มมุ ที่สุดแล ้วถึงเหตุผลที่ทาํ
ให้ผูเ้ ขียนต้องเบือนหน้าไปจากแนวทางชีอะฮฺ
สําหรับมิตรสหายชีอะฮฺบางกลุม่ ที่ ดังเช่นกลุม่ “ตัฟสิลสิ ” หรือ “ซัยดียะฮฺ ” นัน้ ยังคงถือเป็ น
มุสลิมอยู่เช่นกัน สืบเนื่องจากว่าความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺกบั กลุม่ ชีอะฮฺดงั กล่าวนี้นนั้ เป็ นเพียงความ
ขัดแย้งทางด้านความเห็นในตําแหน่งคอลีฟะฮฺ เท่านัน้ โดยที่พวกเขามองว่า ท่านอะลี มีความเหมาะสมที่จะได้
เป็ นคอลีฟะฮฺ มากกว่าท่านอบูบกั ร แต่ถงึ อย่างไรก็ตามกลุม่ ดังกล่าวนี้ก็ยงั คงให้เกียรติแก่บรรดาซอฮาบะฮฺ ดัง
การฟัตวาที่ว่า “พวกเขา(กลุม่ ซัยดียะฮฺ) เคารพและให้เกียรติบรรดาซอฮาบะฮฺทงั้ หมด ” 1 ซึ่งกลุม่ ซัยดียะฮฺ
เหล่านี้นนั่ เองน่าจะเป็ นกลุม่ “ชีอะฮฺ” ของท่านอะลีในบริบททางประวัติศาสตร์ท่แี ท้จริง อย่างไรก็ตามสําหรับ
ชีอะฮฺส่วนมากในทุกวันนี้ เช่นกลุม่ อิษนาอะชะรียะฮฺ,ญะอฺฟะรียะฮ หรืออิมามิยะฮฺนนั้ ถือว่าออกไปนอกกรอบ
ของอิสลามมากนัก
สุดท้ายนี้ผูเ้ ขียนขอขอบคุณท่านอาจารย์หลายท่านที่คอยช่วยเหลือข ้าฯ โดยเฉพาะท่านอาจารย์ชะรีฟ
วงเสงีย่ ม ที่คอยช่วยเหลือในด้านข ้อมูลแก่ข ้าฯ อีกทัง้ ข ้าฯยังอยากบอกกล่าวแก่ชอี ะฮฺในประเทศไทยและทัว่
โลกทุกท่านว่า มันไม่มคี วามหมายและความจําเป็ นใดๆเลยกับการที่ท่านจะมาพรรณน าถึงความประเสริฐ
ของอะฮฺลุลบัยตฺและวิลายัตของท่านอิมามอะลี ตราบใดที่อะกีดะฮฺและหลักการทางศาสนาของแนวทางชีอะฮฺ
ยังคงบิดเบี้ยวห่างไกลจากทางของอะฮฺลุลบัยตฺมาก เพราะในความเป็ นจริงแล ้วนัน้ แนวทางของบรรดามุฮาญี
รีนและอันศอร หรือซอฮาบะฮฺท่พี ระองค์อลั ลอฮฺได้สงั่ ให้เรายึดตาม ตามที่ปรากฏในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอตั
เตาบะฮฺ อายะฮฺท่ี 100 กับแนวทางของอะฮฺลุลบัยตฺ ตามที่ปรากฏในหะดีษซะกอลัยนฺนนั้ ย่อมเป็ นทางเดียวกัน
อย่างไม่ตอ้ งสงสัย เพราะแน่แท้ว่า ท่านนบีย่อมไม่ตรัสสิ่งใดที่เป็ นที่ขดั แย้งกับโองการของอัลกุรอานอย่าง
แน่นอน และที่สาํ คัญบรรดาอิมามของสี่มซั ฮับในฝ่ ายของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ โดยเฉพาะอิมามมาลิกนัน้ ต่างก็เป็ น
สานุศิษย์ชนั้ เอกของท่านอิมามญะอฺฟรั อัซซอดิก หนึ่งในอะฮฺลุลบัยตฺคนสําคัญ ซึ่งเป็ นประจักษ์พยานชี้วดั ได้
ว่า หลักนิติศาสตร์ของแนวทางซุนนะฮฺนนั้ ได้รบั การสัง่ สอนมาจากอะฮฺลุลบัยตฺโดยตรง และแนวทางอะฮฺลุซซุ
นะฮฺก็เป็ นแนวทางของอะฮฺลุลบัยตฺเช่นกัน เพราะแน่แท้คงไม่มอี ะฮฺลุลบัยตฺคนใดที่จะกล่าวด่าประณาม
สาปแช่งบรรดาซอฮาบะฮฺและแม ้กระทัง่ ภรรยานบีว่าเป็ นผูป้ ฏิเสธอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าแนวทางนัน้ จะ

1
“ค็อยรุล ฟัตวา” เล่ม 1 หน้า 374 , คิฟายะตุลมุฟตี เล่ม 1 หน้า 289 ดารุลอิซฮาต.
เป็ นแนวทางของชัยตอนมารร้ายและแนวทางอันหลงผิดอย่างกู่ไม่กลับเท่านัน้ และหน้าที่ของพวกเราบรรดา
ชาวมุสลิมคือการต่อสูก้ บั พวกเขาด้วยชีวติ เท่านัน้ ดังคําดํารัสอันยิ่งใหญ่ของท่านรอซูลศ็อลฯ ที่ว่า

ِ ِ ِ ‫ ﻻَ ﺗَﺴﺒﱡﻮا أﺻﺤ ِﺎﰊ ﻓَـﻠَﻮ أ ﱠن أﺣ َﺪ ُﻛﻢ أﻧْـ َﻔﻖ ِﻣﺜْﻞ أُﺣ ٍﺪ َذﻫﺒﺎ ﻣﺎ ﺑـﻠَﻎ ﻣ ﱠﺪ أ‬,
ُ‫ﺼ َﻔﻪ‬
ْ ‫َﺣﺪﻫ ْﻢ َوﻻَ ﻧ‬
َ ُ َ َ َ ًَ ُ َ َ ْ َ ْ َْ ُ

“พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้ด่าประณามศออาบะห์ของฉัน เพราะหากพวกท่านบริ จาคทอง


ประหนึ่งดังภูเขาอุฮุด ก็จะไม่เท่ากับพวกเขาบริ จาคหนึ่ งมุดหรื อเพียงครึ่ งมุด” รายงานโดยอบีสะอี๊ด
อัลคุรีย ์ บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 3397
จะมีมนุ ษย์กลุม่ ใดที่เลวร้ายยิ่งไปกว่าพวกที่ทาํ ตัวสวนทางกับคําสอนของท่านนบีศ็อลฯอีกเล่า
ขอพระองค์อลั ลอฮฺทรงเป็ นพยานด้วยเถิดว่าข ้าฯและพี่นอ้ งมุสลิมที่ยนื เคียงข ้างได้ต่อสูก้ บั พวกเขา
และและขอพระองค์ทรงเป็ นพยานต่อมุสลิมตลอดจนนักวิชาการบางคนที่ไร้จิตสํานึกต่อกลุม่ ชีอะฮฺและยังคง
เพิกเฉยต่อลัทธิสกปรกนี้!!!

และข ้าฯจะสูต้ ่อไปเพื่อพิทกั ษ์ความจริง


วิภาวี
ม.อ. ปัตตานี
20 เมษายน 2552
๑. ชีอะฮฺกบั ความเชื่อที่ว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์
ความเชื่อที่ว่าอัลกุรอานฉบับปัจจุบนั ที่มสุ ลิมทัง้ โลกยึดถือใช้เป็ นธรรมนู ญในชีวติ นัน้ ไม่สมบูรณ์ ถูก
บิดเบือนต่อเติม ถือเป็ นความเชื่อพื้นฐานของชีอะฮฺอิมามมียะฮฺ อิษนาอะชะรียะฮฺ เกี่ยวกับความศรัทธาของ
ชีอะฮฺในแบบดังกล่าวนี้ผูเ้ ขียนมิได้กล่าวใส่ไคล ้โดยปราศจากจรรยาบรรณทางวิชาการ อีกทัง้ การกล่าวหาว่า
ชีอะฮฺเชื่อหรือศรัทธาว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์หากว่าเป็ นคํากล่าวหาที่เลือ่ นลอยปราศจากหลักฐานแน่นอน
ผูเ้ ขียนคงต้องรับผิดชอบต่อคํากล่าวหาเหล่านี้ แต่หากว่าเราเพียงนําหลักฐานจากตําราของชีอะฮฺมานําเสนอนัน้
เป็ นหน้าที่ของชีอะฮฺท่จี ะต้องชี้แจงแถลงไขต่อสิ่งเหล่านี้ เพราะเรามิได้ใส่รา้ ย เราเพียงแค่นาํ ข ้อมูลมาตีแผ่
เท่านัน้ เกี่ยวกับความเชื่อของชีอะฮฺต่ออัลกุรอานตามที่กล่าวไปนัน้ เราสามารถประมวลหลักฐานจากตํารับตํารา
ชีอะฮฺดงั ต่อไปนี้
‫أﻳﺔ‬1700 ‫ﻋﻦ اﰊ ﻋﺒﺪ اﷲ ﻗﺎل ان اﻟﻘﺮان ﺟﺎء ﺑﻪ ﺟﱪﻳﻞ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻠﻢ اﱄ ﳐﻤﺪ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ‬
อบีอบั ดิลละฮฺ กล่าวว่า “แท้จริง อัลกุรอานฉบับดัง้ เดิมที่ญิบรีล(อัลฮิสลาม)นํามามอบให้แก่ท่านนบีมฮุ มั มัด
(ศ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวสั สลาม) มี 17,000 อายะฮฺ (ซึ่งมากกว่าต้นฉบับปัจจุบนั 3 เท่า)” 21F

อัลกุรอานฉบับปัจจุบนั ที่เราใช้อ่านกันนัน้ ปรากฏอายะฮฺเพียงแค่ 6236 อายะฮฺเท่านัน้ ซึ่งจากหลักฐาน


ของฝ่ ายชีอะฮฺข ้างต้นนัน้ ย่อมบอกแก่เราโดยนัยว่าอัลกุรอานที่เรามีใช้กนั ทุกวันนี้คือเศษ 1 ส่วน 3 ของอัลกุ
รอานที่ถูกนํามาแต่เดิม ซึ่งตามหลักความเชื่อของชีอะฮฺอลั กุรอานฉบับ 1700 อายะฮฺหายสาบสูญไปแล ้ว
ดังนัน้ อัลกุรอานฉบับปัจจุบนั จึงเป็ นเพียงส่วนตกค้างและที่หลงเหลืออยู่เท่านัน้ (นะอูซุบลิ ละฮฺมนิ ซาลิก)
เรื่องราวของอัลกุรอานนี้ยงั ปรากฏหลักฐานต่างๆเพิ่มอีกดังต่อไปนี้
‫وﻣﻦ ﻗﻮل اﻻ ﻣﺎ ﻣﻴﺔ ﻛﻠﻬﺎ ﻗﺪﳝﺎ وﺣﺪﻳﺜﺎ ان اﻟﻘﺮان ﻣﺒﺪ ل زﻳﺪ ﻓﻴﻪ ﻣﺎ ﻟﻴﺲ ﻣﻨﻪ وﻧﻘﺺ ﻣﻨﻪ ﻛﺜﲑوﺑﺪ ل ﻛﺜﲑ‬
“ในทุกๆสมัยนัน้ แนวทางอิมามิยะฮฺทงั้ หมด ศรัทธาว่า อัลกุรอานถูกเปลีย่ นแปลงเพิ่มเติมในส่วนที่ไม่ใช่ของมันเข้าไป
จํานวนมาก(ของอัลกุรอานฉบับปัจจุบนั -ผูเ้ ขียน)ถูกเพิ่มเติมและตัดทอน” 3 2F

‫ان اﻟﻘﺮان ﻻ ﻳﻜﻮن ﺣﺠﺔ اﻻ ﺑﻘﻴﻢ‬


“แท้จริง อัลกุรอานนัน้ ไม่สามารถเป็ นหลักฐานได้ เวน้ แต่กบั “ก็อยยิม” (อิมาม)”4 3F

หลักฐานข้างต้นมีความชัดเจน เพราะถึงกับขนาดป่ าวประกาศว่าอัลกุรอานใช้เป็ นหลักฐานไม่ได้เวน้ แต่กบั อิ


มามก็คงพอจะชี้ให้เห็นถึงสถานะที่แท้จริงของอัลกุรอานในหมู่ชาวชีอะฮฺได้ เพราะหนังสือเล่มดังกล่าวตีพมิ พ์ในอิหร่าน
กันอย่างดาษดื่น นอกจากนี้ ความหนักแน่นของอะกีดะฮฺชีอะฮฺ(ในเรื่องที่ว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์)นัน้ ได้รบั การ บอก
กล่าวแก่เราจากตําราทางศาสนาของพวกเขา ว่า มีมากกว่า 2000 รายงานที่แสดงให้เห็นถึงการถูกบิดเบือนของอัลกุ
รอาน!!!

‫وﻫﻲ ﻛﺜﲑة ﺟﺪاﺣﱵ ﻗﺎل اﻟﺴﻴﺪ ﻧﻌﻤﺔ ااﷲ اﳉﺰاﺋﺮي ان اﻻ ﺧﺒﺎراﻟﺪاﻟﺔ ﻋﻠﻲ ذاﻟﻚ ﺗﺰﻳﺪ ﻋﻠﻲ اﻟﻔﻲ ﺣﺪيث‬

2
อูศูล อัลกะฟี ย ์ หน้า 671 ฉบับตีพมิ พ์ทเ่ี มืองลัคเนา
3
หนังสือ “อัลฟัศลฺ” เล่ม 2 หน้า 287.
4
อัล กาฟี เล่ม 1 หน้า 169. สํานักพิมพ์ ดารฺ อัลกุฏฏบ, ุ เมือง เตหะราน ประเทศอิหร่าน
และ(อายะฮฺอลั กุรอานที่ถกู บิดเบือน)เป็ นจํานวนปริมาณอันมากมายจนกระทัง่ ทําให้ ท่านซัยยิด นิอมฺ าตุลลอฮฺ อัลญา
ซาอีรีย 5์ ต้องให้ความเห็นไวว้ ่า แท้จริง รายงานซึ่งได้ระบุถงึ การบิดเบือนอัลกุรอานนัน้ มีมากกว่า 2000 สายรายงาน”6
4F 5F

นู รีอตั ต็อบรอซีย ์ นักปราชญ์ชนั้ สูงของโลกชีอะฮฺท่โี คไมนี่ยกย่องให้เป็ น “มุสตัดรอกุลวะซาอิล ” และเป็ นต้น


ที่มาของทฤษฎีวลิ าะฮฺตุลฟะฮฺกีฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า
‫ان اﻻﺻﺤﺎب ﻗﺪاﻃﺒﻘﻮاﻋﻠﻲ ﺻﺤﺔ اﻻ ﺧﺒﺎراﳌﺴﺘﻔﻴﻀﺔ ﺑﻞ اﳌﺘﻮا اﺗﺮة اﻟﺪاﻟﺔ ﺑﺼﺮﳛﻬﺎ ﻋﻠﻲ وﻗﻮع اﻟﺘﺤﺮﻳﻒ ﰲ اﻟﻘﺮان‬
แท้จริง บรรดาอุลามะอฺของพวกเรา(ชีอะฮฺ)ได้เห็นพ้องต้องกันว่ารายงานที่ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าได้มี
การเปลีย่ นแปลงขึ้นในอัลกุรอานนัน้ เป็ นสายรายงานที่มฎุ ตะฟี เดาะฮฺ 7 หรืออาจจะถึงขัน้ มุตะวาติร 8
6F 7F

จากหลักฐานที่นาํ มาประมวลให้พอเป็ นพื้นฐานแก่พ่นี อ้ งมุสลิมในประเด็นของอัลกุรอานนี้ สามารถ


กล่าวสรุปได้อย่างมันใจว่
่ าชาวชีอะฮฺไม่ว่าจะในยุคสมัยใดหรือประเทศใดก็ตามแต่ย่อมมีความเชื่อในเรื่องความ
บกพร่องของอัลกุรอานอย่างไม่มขี ้อแก้ตวั อย่างไรก็ตามหากเราเอ่ยถามชาวชีอะฮฺในเรื่องดังกล่าวนี้ไม่ว่าจะ
ระดับอุลามะอฺหรือคนระดับรากหญ้าธรรมดาสามัญ เราจะพบกับคําปฏิเสธเสียงแข็งว่าชาวชีอะฮฺหาได้เชื่อใน
ความบกพร่องของอัลกุรอานไม่ แม ้ว่าเราจะได้ประมวลหลักฐานต่างๆมามากแล ้วก็ตาม สําหรับท่าทีของชีอะฮฺ
ในการปฏิเสธความบกพร่องของอัลกุรอานนัน้ คําตอบไม่ได้อยู่ตรงที่ชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ แต่เราจะขอให้ตาํ รา
ของเขาตอบเองว่าความขัดแย้งระหว่างคําพูดของเขากับตําราของเขาแท้จริงมันคืออะไรกันแน่
‫ﻟﻮ ﺷﺮﺣﺚ ﻟﻚ ﻛﻞ ﻣﺎ اﺳﻘﻂ وﺣﺮف وﺑﺪ ل ﳑﺎ ﳚﺮي هذ اﺠﻤﻟﺮي ﻟﻄﺎل وﻇﻬﺮﻣﺎﲢﻈﺮاﻟﺘﻘﻴﺔ اﻇﻬﺎرﻩ ﻣﻦ ﻣﻨﺎ ﻗﺐ‬
!!!!!‫اﻻؤﻟﻴﺎء وﻣﺜﺎ ﻟﺐ اﻷﻋﺪاء‬
“ถ้าหากว่าฉันต้องชี้แจงแก่เจ้าถึงทัง้ หมด(ของอัลกุรอาน)ที่ถูกตัดทอน,บิดเบือนและเปลีย่ นแปลง นัน่ จะเป็ น
สิ่งที่ตอ้ งใช้เวลาในการอธิบายมาก 9 และสิ่งเหล่านี้ จะเป็ นที่ประจักษ์แจ้ง ซึ่งตะกียะฮฺ(การอําพราง) ปฏิเสธที่จะ
8F

ให้รูข้ ้อเท็จจริงเหล่านี้ตลอดมา 10
9F

หลักฐานที่ยกมาข ้างต้นเป็ นที่ชดั เจนว่าความลึกลับในทฤษฎีทางความเชื่อของชีอะฮฺอิมามียะฮฺต่อ


ความบกพร่องของอัลกุรอานนัน้ ถูกปกปิ ดด้วยกับตะกียะฮฺมาตลอด ดังนัน้ แม ้ทุกวันนี้โลกจะพัฒนาไปไกลแค่
ไหนก็ตาม ชีอะฮฺก็ยงั คงซ่อนเร้นความเชื่อของพวกเขาที่ว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์ต่อไป เพื่อป้ องกันภัยอันตราย
ของชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ ที่อาจจะลุกขึ้นมาเปิ ดโปงหลักความเชื่อดังกล่าว อันจะเป็ นการขัดขวางต่อพัฒนาการ
และความเจริญเติบโตของโลกชีอะฮฺ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวอันเกี่ยวกับการบิดเบือนเพิ่มเติมและความเชื่อ
ที่ว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์นนั้ เป็ นเรื่องที่ถูกบันทึกและกล่าวไว้อย่างมากมายในตําราประมวลหะดีษชิ้นสําคัญ
ของชีอะฮฺ อย่างอูศูลกาฟี ย ์ นับตัง้ แต่หะดีษหมายเลขที่ 260-275 ซึ่งความจริงข ้อนี้นนั้ ท่านสามารถหาอ่านได้
ในอูศูลกาฟี ยฉ์ บับภาษาอาหรับได้ท่ลี งิ ค์ต่อไปนี้ http://www.14masom.com/hdeath_sh/.
5
หนึ่งในผูร้ ูข้ องชีอะฮฺของคนสําคัญ เจ้าของหนังสือ อัล อันวาร อันนัวอฺมานียะฮฺ อันลือลัน่
6
ฟัศลุลคิฏอบ หน้าที่ 251, มัคฏูฏ
7
มุฎตะฟี เดาะฮฺ หมายถึงสายรายงานทีม่ ผี ูร้ ายงาน 3 คนขึ้นไปและน่าเชื่อถือยิง่ กว่าสายรายงานซอเฮีย๊ ฮฺ
8
ฟัศลุลคิฏอ็ บ หน้า 31,มัคฏูต
9
หมายถึงว่า การบิดเบือนและความเสียหายทีเ่ กิดขึ้นกับอัลกุรอานฉบับปัจจุบนั นี้มมี ากสุดคณานัป
10
ิ าจ ต็อบรอซีย ์ หน้า 378 จัดพิมพ์โดย ดารฺอนั นัวอฺมาน เมืองนะญัฟ ประเทศอิรคั
อัลอิฮตฺ ญ
เราได้พสิ ูจน์ให้เห็นกันแล ้วถึงหลักความเชื่อและความศรัทธาของชีอะฮฺท่มี ตี ่อพระมหาคัมภีรอ์ ลั กุ
รอานโดยประมวลหลักฐานมาจากตําราของชาวชีอะฮฺเองทัง้ สิ้น อย่างไรก็ตามจะถือเป็ นความสมบูรณ์ย่งิ กว่า
หากเราได้นาํ เอาผลสะท้อนที่เป็ นรู ปธรรมมาพิสูจน์ให้เราทัง้ หลายได้ประจักษ์จากทฤษฎีทางความเชื่อที่แหวก
แนวดังกล่าว ข ้อพิสูจน์ท่เี ป็ นรู ปธรรมที่ข ้าพเจ้าประสงค์จะนํามาให้เราได้พสิ ูจน์กนั ให้ประจักษ์แจ้ง ณ ที่น้ กี ็คือ
อัลกุรอาน คนละฉบับกับที่มสุ ลิมทัง้ โลกใช้อ่านกันและเป็ นฉบับที่ไม่มที ่ใี ดในโลกเหมือนด้วยเช่นกัน นัน่ ก็คือ
เป็ นคัมภีรอ์ ลั กุรอานที่เพิ่มซูเราะฮฺ “วิลายะฮฺ” และ ซูเราะฮฺ “อันนู ร็อยนฺ ” เข ้าไปซึ่งเป็ นซูเราะฮฺท่เี ราต่างก็ไม่
เคยได้พบได้เห็นได้อ่านกัน และแม ้แต่ชาวชีอะฮฺทวั่ ๆไปก็ไม่เคยได้อ่านมันเช่นกัน เว้นแต่ระดับอุลามะอฺชนั้ สูง
เท่านัน้ ที่จะได้อ่านมัน เพราะสองซูเราะฮฺดงั กล่าวนี้ถูกถือเป็ นความลับที่จะเปิ ดเผยมิได้
อย่างไรก็ตามในความเป็ นจริง ตําราทัง้ หมดของฝ่ ายชีอะฮฺนนั้ เห็นทีจะไม่มตี าํ ราเล่มใดที่จะเป็ นที่รูจ้ กั
เท่ากับหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ” อันเป็ นตําราที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ถงึ ความไม่สมบูรณ์ของอัลกุรอาน(ตาม
ความเชื่อของชีอะฮฺ) ตําราเล่มนี้เขียนโดยอัลลามะฮฺ นู รีย ์ อัฏฏ็อบรอซีย ์ ซึ่งเป็ นตํารา โบราณที่ตน้ ฉบับดัง้ เดิม
เขียนด้วยมือและมีความหนาถึง 400 หน้า ถือเป็ นหลักฐานชิ้นสําคัญที่จะทําให้ประจักษ์แจ้งได้ถงึ ทฤษฎีทาง
ศาสนาของชีอะฮฺในเรื่องเกี่ยวกับการบิดเบือนอัลกุรอานซึ่งสอดคล ้องกับสายรายงานนับพันที่พาดพิงไปถึง
บรรดาอิมามของชีอะฮฺท่ไี ด้รายงานเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของอัลกุรอาน ต่อไปนี้คือตัวอย่างที่จะทําให้เราได้
ประจักษ์ถงึ ข ้อเท็จจริง
ภาพถ่ายจากหนังสือ ฟัศลุลคิฏอ็ บ
ภาพที่ท่านผูอ้ ่านกําลังเห็นอยู ่น้ ีคือภาพถ่ายซูเราะฮฺ “วิลายะฮฺ” ซึ่ง อัลลามะฮฺ นู รีย ์ อัฏฏ็อบรอซีย ์ อู
ลามะอฺนามกระเดื่องของโลกชีอะฮฺ(ซึ่งแม ้แต่โคไมนี่ยงั นับถือ)ได้นาํ มากล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ของเขา สิ่งแรกที่
จักต้องเข ้าใจก่อนก็คือ หนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ” นี้ ต้นฉบับถูกเขียนขึ้นมาเป็ นภาษาเปอร์เซียและถูกตีพมิ พ์ใน
อิหร่านเป็ นเวลาหลายยุคหลายสมัย แม ้กระทัง่ ปัจจุบนั หนังสือเล่มดังกล่าวนี้ก็ยงั มีการตีพมิ พ์อยู ่ มิหนําซํา้
เกียรติภูมอิ นั ยิ่งใหญ่ของอัลกุรอานที่เคยได้ช่อื ว่าเป็ นคัมภีรท์ ่ไี ม่เคยถูกบิดเบือนแก้ไขและเปลีย่ นแปลงที่เหล่า
นักวิชาการมุสลิมสูด้ ้นิ รนปกป้ องกันมากลับมาถูกทําลายย่อยยับจากซูเราะฮฺวลิ ายะฮฺน้ ี นัน่ ก็เพราะว่าซูเราะฮฺวิ
ลายะฮฺน้ ไี ม่ได้จาํ กัดตัวของมันอยู ่แค่ในหมูช่ าวชีอะฮฺเท่านัน้ แต่ซูเราะฮฺดงั กล่าวยังถูกนําไปอ้างว่าเป็ นส่วนที่
หายไปของอัลกุรอานอีกเช่นกัน คนที่ฉวยโอกาสจากความอุตริทางความเชื่อของชีอะฮฺน้ คี ือ มิชชันนารีคน
สําคัญที่ช่อื ว่า โนเอลเดอร์เก (Noeldeke) ซึ่งมิชชันนารี คนนี้ได้นาํ เอาซูเราะฮฺวลิ ายะฮฺน้ ี ไประบุไว้ในหนังสือ
ของเขาที่ช่อื ว่า “History of the Copies of the Qur'an” โดยระบุว่าซูเราะฮฺวลิ ายะฮฺน้ เี ป็ นส่วนที่ขาดหายไป
จากอัลกุรอานฉบับดัง้ เดิม ในความเป็ นจริงนัน้ โนเอลเดอร์เก ได้อดั สําเนาของซูเราะฮฺวลิ ายะฮฺน้ มี าจากหนังสือ
ชิ้นสําคัญอีกเล่มหนึ่งของชีอะฮฺท่ชี ่อื ว่า “ดาบิชตาน อิมสั ฮาฮิบ ” (Dabistaan-e-Madhahib) ของท่านมุหฺซนิ
อัล-กัชมีรีย ์ อุลามะฮฺชาวเปอร์เซีย ซึ่งเป็ นหลักฐานบ่งชี้แก่เราเป็ นอย่างดีว่าซูเราะฮฺวลิ ายะฮฺดงั กล่าวนี้มอี ยู่จริง
ในหมูช่ อี ะฮฺ เพราะนอกจาก โนเอลเดอร์เก แล ้ว มุฮมั มัด อะลี ซาอุดี นักกฎหมายชื่อดังชาวอิยปิ ต์ และ
มิสเตอร์ บราวน์ มิชชันนารีท่เี ข ้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์อยู่ในอิหร่าน(Mr.Brown) ยังได้พบต้นฉบับเดิมของซู
เราะฮฺน้ ใี นอิหร่านเช่นกัน และในเวลาต่อมาซูเราะฮฺวลิ ายะฮฺน้ ไี ด้ถูกนําไปตีแผ่อยู่ในหนังสือพิมพ์ท่ชี ่อื ว่า The
Asian-French Newspaper ฉบับปี ค.ศ. 1842
นี่คือภาพถ่ายซุเราะฮฺวลิ ายะฮฺ ซึ่งนํามาจากหนังสือ ฟัศลุลคิต็อบ ของอัลลามะฮฺ นู รีย ์ ต็อบรอซีย ์
ซูเราะฮฺวลิ ายัตนี้มที งั้ สิ้น 7 อายะฮฺจะขอนําเอาคําแปลมาให้ท่านผูอ้ ่านได้ลองอ่านกัน
“ โอ้บรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลายเอ๋ย พวกเจ้าจงศรัทธาต่อนบีและศรัทธาต่อวะลียเ์ ถิด ซึ่งทัง้ สองนัน้ ได้ถูกส่งมา
เพื่อชี้นาํ พวกเจ้าทัง้ หลายสู่ทางที่เที่ยงตรง * นบีและวลียน์ นั้ ต่างก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และข ้านัน้ เป็ นผูร้ อบรู ้
และตระหนักดีย่งิ * แท้จริงบรรดาผูซ้ ่งึ รักษาพันธสัญญาของอัลลอฮ์นนั้ พวกเขาจะได้เข ้าสวนสวรรค์อนั บรม
สุข * และบรรดาผูซ้ ่งึ ที่โองการต่างๆของเราถูกอ่านปรากฏว่าพวกเขาเป็ นผูป้ ฏิเสธโองการของเรา * แท้จริง
สําหรับพวกเขาจะเข ้าสู่นรกญะฮันนัมโดยมันเป็ นที่พาํ นักอันยิ่งใหญ่ และเมือ่ มีเสียงเรียกพวกเขาในวันกิยา
มะห์ว่า บรรดาผูอ้ ธรรมและผูป้ ฏิเสธรอซูลนัน้ อยู ่ท่ไี หน * รอซูลนัน้ ไม่ได้โต้แย้งกับพวกเขานอกจากที่เป็ นสัจ
ธรรม และที่อลั ลอฮ์จะให้ประจักษ์แก่พวกเขาในเวลาที่ใกล ้เหลือเกิน * ดังนัน้ เจ้าจงสดุดสี รรเสริญองค์อภิบาล
ของเจ้า และอาลีนนั้ เป็ นหนึ่งในบรรดาประจักษ์พยาน” 11

นอกจากซูเราะฮฺวลิ ายะฮฺท่เี รากล่าวมาแล ้วนัน้ ในหนังสือฟัศลุลคต็อบยังปรากฏซูเราะฮฺ อันนู ร็อยนฺ ซึ่ง


เป็ นซูเราะฮฺท่ไี ม่ปรากฏอยู ่ในอัลกุรอานฉบับทัว่ ไปเช่นกัน

11
คําแปลซูเราะฮฺน้ ีนาํ มาจาก
http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=112
สําหรับซูเราะฮฺนูร็อยนฺ นี้ปรากฏอยู ่ในหน้าที่ 181-182 ในต้นสําเนาเดิมของหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ ” ซึ่งมัน
แตกต่างเล็กน้อยกับเวอร์ชนั่ ข ้างบนนี้ โดยมีการเพิ่มเติมและตัดบางส่วนออกไปเพียงเล็กน้อย
สิ่งที่ข ้าพเจ้าได้นาํ มากล่าวไว้ทงั้ หมดนี้คือผลสะท้อนทางความเชื่ออันเป็ นรูปธรรมของชาวชีอะฮฺท่มี ี
ต่ออัลกุรอาน เพราะนอกจากนี้ซูเราะฮฺทงั้ สองยังไปปรากฏอยู่ในตําราอื่นๆที่ได้รบั ผลกระทบมาจากหลักความ
เชื่อเช่นนี้อีกเช่นกัน ซึ่งหนังสือเหล่านี้ก็มี
อัลกุรอาน มะญีด หน้าที่ 60 ของ มุฮมั มัด อะซาต ดัรวะซา
อัชชีอะฮฺ วะ ตะฮฺรีฟ อัลกุรอาน ของ มุฮมั มัด อะฮฺมดั มะอาล อัลลอฮฺ
นอกจากนี้ยงั ปรากฏอยู ่ในหนังสือของนักบูรพาคดีเหล่านี้อีกเช่นกัน
“Geschichte des Qorans” ของ Theodor Noldeke
“Vollig umgearbeitet Von Friedrich Schwally” ของ Zweite Auflage
“Die Sammlung des Qorans” ของ Zweiter Teil
( Dieterich'sche Verlagsbuchhandlung) 1919, Seiten 102-103.

สถานะภาพของหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ”
ปัญหาประการสําคัญที่เราจักต้องทําความเข ้าใจก็คือ สถานะภาพของหนังสือ ฟัศลุลคิฏอ็ บ ในหมู่
นักปราชญ์หรืออุลามะอฺชอี ะฮฺทงั้ หลาย สืบเนื่องจากกว่าเราได้พบตํารับตําราและเว็บไซต์ของชีอะฮฺอนั มากมายที่
พวกเขาได้ปฏิเสธหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ ” อย่างไรก็ตามทัง้ หมดเหล่านี้เป็ นเพียงการกระทําที่วางอยู ่บน
หลักการที่ถูกเรียกกันว่า “ตะกียะฮฺ” (การอําพรางความเชื่อ) ซึ่งจะได้พูดในบทต่อๆไป ดังที่ท่าน ชัยคฺ มุฮิบ
บุดดีน ได้กล่าวไว้ว่า “ถึงแม ้ว่าบรรดาชีอะฮฺจะเสแสร้งปฏิเสธหนังสือของอัตต็อบรอซีย ์ ทัง้ ๆที่มนั เป็ นการ
กระทําของการตะกียะฮฺ แต่สจั ธรรมได้ประจักษ์แจ้งว่า มันมีถงึ หนึ่งร้อยของการอ้างอิงจากผลงานที่เป็ นที่
ยอมรับจากผูร้ ูข้ องพวกเขาที่พสิ ูจน์อย่างชัดเจนถึงหลักยึดมันของพวกเขาต่
่ อความเชื่อในเรื่องการเปลีย่ นแปลง
แก้ไขในอัลกุรอาน พวกเขาไม่ตอ้ งการที่จะเปิ ดเผยถึงความศรัทธาของพวกเขาในข ้อนี้” (อัลกุฏุต อัลอะรีดะฮฺ)
อย่างไรก็ตามอุลามะฮฺชอี ะฮฺรูส้ กึ ไม่สบายใจเป็ นอย่างมากที่เห็น“หะดีษ“และคําพูดของพวกตนจํานวนมากมาย
ก่ายกองถูกนํามาตีพมิ พ์ในรู ปหนังสืออย่างเปิ ดเผย พวกเขาตระหนักดีว่าบัดนี้ลทั ธิความเชื่ออันลึกลับ
เกี่ยวกับอัล-กุรฺอานได้ถูกเปิ ดโปงต่อหน้าอุมมะฮฺมสุ ลิมส่วนอื่นเสียแล ้ว จากนัน้ ก็มอี ุลามะฮฺชอี ะฮฺจาํ นวนหนึ่ง
รีบเร่งเขียนหมายเหตุอธิบายให้กบั หนังสือเล่มนี้ มีอุลามะฮฺไม่ก่คี นประท้วงการพิมพ์หนังสือเล่มนี้อย่าง
เปิ ดเผย ในภายหลังนู รี อัตต็อบรอซีย ์ ผูแ้ ต่งหนังสือดังกล่าวได้ตอบโต้คาํ คัดค้านของบรรดาอุลามะฮฺชอี ะฮฺ
โดยเขียนเป็ นหนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อ “ร็อดดุ บะอฺ ฎชิ ชุบุฮาติ อัน ฟัซลิล คิตอบิ ฟี อิษบาติ ตะหฺ รีฟิ กิตาบิ ร็
อบบิล อัรบาบ “ (ข ้อลบล ้างความสงสัยที่มตี ่อหนังสือ ฟัซลุล คิตอบ ฯ) หนังสือทัง้ สองเล่มนี้ได้รบั การ
ต้อนรับอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตามความพยายามของชีอะฮฺท่จี ะปฏิเสธตําราเล่มนี้ถอื ว่าเป็ นสิ่งที่ขดั กับสถานภาพของ
ผูเ้ ขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะอัลลามะฮฺ นู รี อัตต็อบรอซีย ์ หากพิจารณากันตรงตําแหน่งของเขาแล ้วถือว่าเป็ นอุ
ลามะอฺชอี ะฮฺท่มี สี ถานภาพสูงมากในหมูอ่ ุลามะอฺชอี ะฮฺทงั้ หลาย หลักฐานที่พสิ ูจน์ถงึ ข ้อสันนิษฐานข ้อนี้ก็คือ กุ
บูร ของนู รี อัตตอบรอซีย ์ นัน้ ถูกฝังอยู ่ติดกับ “มัชฮาด มุรตะซะวี” (กุบูรของท่านอะลี ในเมือง นะญัฟ) แล ้ว
เราลองกลับมาพิจารณาดูเถิดว่ามีชอี ะฮฺสกั กี่คนที่ได้รบั เกียรติถงึ เพียงนี้ แม ้กระทัง่ คนอย่างโคไมนี่ท่เี ป็ นที่นบั
ถือจากชีอะฮฺทวั ่ โลกยังมีกูบูรที่ฝงั อยู ่ในอิหร่านเฉกเช่นเดียวกับคนธรรมดาทัว่ ไป แต่อลั ลามะฮฺ นู รี อัตต็อบรอ
ซีย ์ กลับมีกูบูรที่ฝงั ไว้อยู ่ติดกับคนที่เป็ นถึงระดับอิมาม ถ้าไม่มสี ถานภาพที่สูงส่งจริงๆจะมีสทิ ธิ์ได้ฝงั ไว้ท่นี นั้
เชียวฤา ?? อีกทัง้ “มัชฮาด มุรตะซะวี ” ยังถูกถือเป็ นสถานที่ศกั ดิ์ในหมูช่ อี ะฮฺซ่งึ ชีอะฮฺทวั ่ โลกต่างดิ้นรน
พยายามไปแสวงบุญจนดูประหนึ่งเมืองมักกะฮฺไม่มคี วามหมายเลยมิใช่หรือ ? และหากชีอะฮฺคิดจะอาจหาญ
ปฏิเสธหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ ” ข ้าพเจ้าก็อยากจะถามว่า เหตุใดคนอย่างโคไมนี่ ยังได้ตระหนักในความ
ยิ่งใหญ่ของหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ” เล่า เพราะโคไมนี่ยงั ได้ให้ความเห็นถึงความสูงส่งของอัลลามะฮฺ นู รี อัตต็
อบรอซีไว้ในหนังสือของเขา 12 แล ้วชีอะฮฺตามบ้านตามเมืองของเราเป็ นใครหรือที่อาจหาญมาปฏิเสธตําราเล่มนี้
11F

อีกอย่างข ้าฯต้องการทราบจุดยืนของชีอะฮฺต่อผูท้ ่กี ล่าวหาว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์ว่าหลักการศาสนาของพวก


เขามีข ้อตัดสินเยี่ยงไร เพราะข ้าพเจ้าไม่เคยพบชีอะฮฺสกั คนที่จะปฏิเสธหนังสือและศรัทธาของคนอย่างโคไมนี่
ชายผูท้ ่ไี ปยอมรับอัลลามะฮฺ นู รี อัตต็อบรอซีย ์ ถามว่ามีชอี ะฮฺสกั คนไหมที่ฮุก่มุ กุฟุรฺแก่โคไมนี่และอัลลามะฮฺ นู
รีย ์ อัตต็อบรอซีย ์ ในทางตรงกันข ้ามชีอะฮฺกลับให้ความเคารพแก่พวกเขาอย่างสูงยกพวกเขาให้เป็ นอุลามะอฺ
ชัน้ สูงของชีอะฮฺและฟัตวาจากอุลามะอฺชอี ะฮก็ระบุอย่างชัดเจนบุคคลที่กล่าวว่าอัลกุรอานถูกบิดเบือน
เปลีย่ นแปลงและต่อเติมบุคคลเหล่านัน้ ไม่ถอื ว่าตกมุรตัดเป็ นกาเฟร!!!13 ทําไม? 12F

แต่อย่างไรก็ตามแม ้ว่าชีอะฮฺจะยังคงดึงดันจะปฏิเสธหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ” ต่อไปด้วยการตะกียะฮฺ


แต่นนั่ ไม่ใช่ช่องทางที่จะทําให้ชอี ะฮฺซ่อนเร้นความศรัทธาเหล่านี้ได้ เพราะว่าในหนังสืออูศูลกะฟี ยก์ ็มหี ะดีษมาก
มายที่ระบุถงึ ความไม่สมบูรณ์ของอัลกุรอานตามอะกีดะฮฺชอี ะฮฺเพื่อความจริงในเรื่องนี้จะขอนําเอาหลักฐาน
เหล่านัน้ มาพิสูจน์ให้ดู
‫ﻋﻦ ﺟﺎﺑﺮ ﻗﺎل ﲰﻌﺖ أﺑﺎ ﺟﻌﻔﺮ ﻳﻘﻮل ﻣﺎ أدﻋﻰ أﺣﺪ ﻣﻦ اﻟﻨﺎس أﻧﻪ ﲨﻊ اﻟﻘﺮآن ﻛﻠﻪ ﻛﻤﺎ أﻧﺰل اﷲ‬
‫اﻻ ﻛﺬاب وﻣﺎ ﲨﻌﻪ وﺣﻔﻈﻪ ﻛﻤﺎ أﻧﺰل اﷲ اﻻ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ واﻷﺋﻤﺔ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ‬
“รายงานจากญาบิรว่า ฉันเคยได้ยนิ อบาญะอ์ฟรั ได้กล่าวว่า ไม่มผี ูใ้ ดในมวลมนุษย์ท่อี า้ งว่าเขารว บรวมอัลกุ
รอานไว้ทงั้ หมดดังที่อลั ลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากเขาเป็ นคนโกหก และไม่มผี ูใ้ ดรวมและจดจําอัลกุรอาน
ดังที่อลั ลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากอาลี บินอบีตอลิบและบรรดาอิหม่ามหลังจากเขาเท่านัน้ ” จากอุศูลุ ้ล
กาฟี ของอัลกุลยั นี่ 1/284
‫ﻋﻦ ﺟﺎﺑﺮ ﻋﻦ أﰊ ﺟﻌﻔﺮ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم أﻧﻪ ﻗﺎل ﻣﺎ ﻳﺴﺘﻄﻴﻊ أﺣﺪ أن ﻳﺪﻋﻲ أن ﻋﻨﺪﻩ اﻟﻘﺮآن ﻇﺎﻫﺮﻩ وﺑﺎﻃﻨﻪ ﻏﲑ اﻷوﺻﻴﺎء‬

12
กรุ ณาดูหนังสื อ “อัลฮุกุมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ” หน้า 171
13
ฟัตวาดังกล่าวนี้นาํ มาจากการฟัตวาของ อยาตุลลอฮฺ รูฮานี อุลามะอฺช้ นั สูงของชีอะฮฺจากเว็บไซต์ของเจ้าตัว
http://www.imamrohani.com/fatwa-ar/viewtopic.php?t=3546
รายงานจากญาบิร จากอบีญะอ์ฟรั อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า ไม่มผี ูใ้ ดสามารถอ้างว่าเขามีอลั กุรอานทัง้ อักษร
และความหมายนอกจากบรรดาวะซีย ์ (ผูท้ ่ไี ด้รบั การสัง่ เสียให้ดาํ รงตําแหน่งอิหม่ามหลังจากท่านนบีสบื ต่อมา)
เท่านัน้ ” จากอุศูลุ ้ลกาฟี ของอัลกุลยั นี่ 1/285

(ภาพของซัยยิดอับดุลฮุเซน ผูร้ บั รองตําราอูศูลกาฟี )


อย่างไรก็ตามหากชีอะฮฺคิดจะปฏิเสธหะดีษจากอูศูลกะฟี ยโ์ ดยอ้างว่ามันฎออีฟหรือไม่มนี าํ้ หนักนัน่ เป็ นอีกการ
กระทําหนึ่งของการตะกียะฮฺ เพราะเราได้หลักฐานจาก คํากล่าวของ ซัยยิดอับดุลฮุเซน ชะรอฟุดดีน ที่มตี ่อ
หนังสืออูศูลกาฟี ไว้ว่า “อูศลู กาฟี คือหนังสือทีเ่ ก่าแก่ทสี่ ดุ ยิง่ ใหญ่ทสี่ ดุ ดีและถูกต้องมากทีส่ ดุ ” 14

๒. ชีอะฮฺกบั ความเชื่อที่มีต่อบรรดาซอฮาบะฮฺของท่านนบี(ศ็อลฯ)
สิ่งที่ตอ้ งเข ้าใจเกี่ยวกับชีอะฮฺในประเด็นถัดมาก็คือท่าทีและความเชื่อที่พวกเขามีต่อบรรดาซอฮาบะฮฺ
ของท่านนบี(ศ็อลฯ) หรือบุคคลที่มชี วี ติ ร่วมยุคสมัยเดียวกับท่านนบี(ศ็อลฯ)อีกทัง้ ยังเป็ นกลุม่ ชนแห่งยุค
ของการประทานศาสนา หากมองกันในแง่หลักของเหตุผลและสติปญั ญาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล ้วที่
เราจะสามารถเข ้าใจได้ว่าชนยุคนี้เป็ นยุคที่ดที ่สี ุด เพราะถือเป็ นชนที่พระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงให้โอกาสอัน
ยิ่งใหญ่แก่พวกเขาที่จะได้รบั การอบรมสัง่ สอนและตักเตือนโดยตรงจากตัวของท่านนบี(ศ็อลฯ)เอง และ
บางท่านจากหมูพ่ วกเขาก็ได้รบั เกียรติให้เป็ นถึงพ่อตาของท่านนบี(ศ็อลฯ) เช่นท่านอบูบกั รและท่านอุมรั
หากเราจะเปรียบเทียบถึงหน้าที่การงานในการประกาศศาสนาตลอดจนความสําเร็จของท่านนบีมฮุ มั
มัด(ศ็อลฯ)กับท่านบรรดานบีท่านอื่นๆ(อะลัยฯ)เราจะพบเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)
ประสบความสําเร็จในการประกาศศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ มุมมองดังกล่าวนี้เป็ นมุมมองของชาวโลกแทบทุก
ยุคทุกสมัยแม ้กระทัง่ นักบูรพาคดีตะวันตกที่มคี วามเกลียดชังและอาฆาตมาดร้ายต่อท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อล
ฯ)เองก็ยงั ต้องยอมรับกับความสําเร็จทางด้านศาสนาของท่าน แต่เป็ นเรื่องที่น่าเศร้าว่ามุมมองและทัศนคติ
ของชาวชีอะฮฺท่มี ตี ่อการงานหน้าที่ของท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)ถือว่าตํา่ กว่าของนักบูรพาคดีชนิดเทียบกัน
ไม่ได้ และอาจจะตํา่ กว่ากลุม่ ใดๆทัง้ หมดที่เคยมีอยู่บนโลกนี้

14
กิตาบ อัลมุรอญะอาต,มุร็อจญะอะฮฺ หมายเลขที่ 110
หากแม ้นเราลองถามชาวยิวว่าใครคือกลุม่ ชนที่ดที ่สี ุดในสายตาของพวกเขา ชาวยิวจะตอบมาอย่าง
ภาคภูมใิ จว่าคือสาวกของท่านนบีมซู า(อะลัยฯ) และหากแม ้นเราถามชาวคริสต์ว่าใครคือกลุม่ ชนที่ดที ่สี ุด
ในสายตาพวกเขา ชาวคริสต์ก็จะตอบว่าบรรดาสาวกของท่านนบีอีซา(อะลัยฯ) แต่หากเราย้อนถามชีอะฮฺว่า
ใครคือกลุม่ ชนที่เลวที่สุดในสายตาพวกเขา ชีอะฮฺจะตอบออกมาว่าคือสาวกของท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)!!!
อันเป็ นผลสะท้อนทางความเชื่อของพวกเขาเป็ นอย่างดีว่าพวกเขามองการงานของท่านรอซูล(ศ็อลฯ)
ล ้มเหลวไม่เป็ นที่ เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาทีหลังจากการวะฟาตของท่านนบีนนั้ บรรดาซอฮาบะฮฺก็คิดทรยศ
ต่อท่านและภายหลังจากนัน้ ไม่นานบรรดาซอฮาบะฮฺนบั แสนที่ท่านนบีมงุ่ อบรมขัดเกลาให้เป็ นผูศ้ รัทธามา
ตลอดทัง้ ชีวติ ของท่านก็ต่างพากันละทิ้งศาสนาอิสลามและมุง่ หน้าสู่การเป็ นการฟิ ร จากหลักฐานต่อไปนี้
ในตําราอัลกะฟี ยอ์ นั ยิ่งใหญ่ของชาวชีอะฮฺได้บอกกล่าวถึงจํานวนผูศ้ รัทธาที่ยงั คงหลงเหลืออยู่(ไม่ตกมุร
ตัดเป็ นกาฟิ ร)ภายหลังจากท่านนบีไว้ดงั นี้
‫ﻛﺎن اﻟﻨﺲ اﻫﻞ ردة ﺑﻌﺪاﻟﻨﱯ اﻻ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ واﻟﻪ وﺳﻠﻢ اﻻﺛﻼﺛﺔ ﻓﻘﻠﺖ وﻣﻦ اﺛﻼﺛﺔ؟‬
‫ﻓﻘﻞ اﳌﻘﺪاد ﺑﻦ اﻻﺳﻮد واﺑﻮذر اﻟﻐﻔﺎري وﺳﻠﻤﺎن اﻟﻔﺎرﺳﻲ رﲪﺔاﷲ ﻋﻠﻴﻬﻢ وﺑﺮﻛﺎﺗﻪ‬
ผูค้ นพากันหันหลังให้กบั ศรัทธาหลังจากนบีเสียชีวติ ลง ยกเว้นเพียง 3 คนเท่านัน้ ฉันจึงได้ถามท่านเกี่ยวกับ 3
คนนัน้ ท่านตอบว่าคือ มิกดาดอัลอัสวัด,อบูซาร อัลฆีฟารียแ์ ละซัลมาน อัลฟารีซยี 15์ 14F

จากหลักฐานข ้างต้นเป็ นตัวบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่าในมุมมองของชีอะฮฺแล ้วนัน้ การมาเพื่อประกาศ


ศาสนาของท่านนบีมฮุ มั มัดต้องประสบกับความล ้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเพียงแค่ท่านจากไปไม่นานบรรดา
ซอฮาบะฮฺของท่านนบีต่างก็พากันละทิ้งศาสนาของท่านไปเสียหมดเหลือไว้เพียง 3 คน เท่านัน้
ความอาฆาตมาดร้ายของชาวชีอะฮฺต่อบรรดาซอฮาบะฮฺยงั ไม่พอเพียงเท่านัน้ แต่พวกเขายังพุ่งเป้ าไป
ที่คอลีฟะฮฺ 2 ท่านแรกคือ ท่านอบูบกั รและท่านอุมรั บุคคลที่พระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงให้เกียรติท่านเป็ นถึง
พ่อตาท่านนบีและยังคงเก็บกุบูร้ ของท่านให้อยู่เคียงข ้างกุบูร้ ท่านนบีตราบจนทุกวันนี้ สําหรับชาวชีอะฮฺแล ้วนัน้
พวกเขาไม่เพียงแต่จะสาปแช่งพ่อตานบีทงั้ สองท่านนี้แล ้ว หากแต่พวกเขายังตัดสินให้ท่านทัง้ สองเป็ นกาฟิ รอีก
เช่นกันจากหลักฐานต่อไปนี้
‫ﻓﻠﻌﻤﺮي ﻟﻘﺪ ﻧﺎﻓﻘﺎ ﻗﺒﻞ ذاﻟﻚ ورداﻋﻠﻲ اﷲ ﺟﻞ ذﻛﺮﻩ ﻛﻼم ﻣﻪ وﻫﺰﻳﺎ ﺑﺮﺳﻮﷲ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وآﻟﻪ وﳘﺎ‬
‫اﻟﻜﺎﻓﺮان ﻋﻠﻴﻬﻤﺎ ﻟﻌﻨﺔ اﷲ واﳌﻠﺌﻜﺔ واﻟﻨﺎس اﲨﻌﲔ‬
“ขอสาบานด้วยกับชีวติ ของฉัน พวกเขาทัง้ สอง(อบูบกั รและอุมรั รอฎิฯ) กลายเป็ นคนกลับกลอก(นิ
ฟาก) ,ไม่ยอมรับ คําดํารัสของพระองค์อลั ลอฮฺ ‫ ﺟﻞ ذﻛﺮﻩ‬และล ้อเลียนศาสนทูตของพระองค์อลั ลอฮฺ พวกเขา
ทัง้ สองคือกาเฟร ขอคําสาปแช่งจากอัลลอฮฺ,บรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์และมวลมนุษย์ทงั้ หมดจงมีแด่พวก
เขาทัง้ สอง” 16 15F

‫ﻓﻬﺆﻻء ﱂ ﻳﺒﻖ ﻓﻴﻬﻢ ﻣﻦ اﻻﳝﻨﺎ ﺷﻲء‬


15
อัลกาฟี ย์ เล่ม 8 หน้า 345, จัดพิมพ์โดย ดารฺ อลั กุฏฏุบ อัลอิสลามียะฮฺ เตหะราน, บิฮารุ ลอันวาร เล่ม 22 หน้า 333 มุอซั ซะซะฮฺอลั
วะฟาอฺ กรุ งเบรุ ต
16
กิตาบ อัรเราเดาะฮฺ หน้า 62. ของกุลยั นีย ์ ฉบับตีพิมพ์ที่เมือง ลัคเนา
พวกเขา ไม่เหลือความศรัทธาในตัวของพวกเขาเลยแม ้แต่นอ้ ย17 16

โคไมนี่ อุลามะอฺผูศ้ กั สิทธิ์ของชาวชีอะฮฺได้พูดถึงอบูบกั รและท่านอุมรั ไว้ว่า

“คนเหล่านัน้ (อบูบกั รและอุมรั )คือผูท้ ่ไี ม่มคี วามเกี่ยวข ้องใดๆกับอัลกุรอานและศาสนาอิสลามเลย 18 17

นอกจากความปรารถนาทางโลกและอํานาจของพวกเขา พวกเขาได้ทาํ ให้อลั กุรอานเป็ นเครื่องมือในการ


สนับสนุนแผนการของพวกเขา” 19
มันเป็ นเรื่องที่น่าเย้ยหยันและน่าชิงชังเสียนี่กระไรหากเราจะมองประวัติศาสตร์อิสลามผ่าน
“แว่นตา” ของชีอะฮฺ คนต่างศาสนิกที่กาํ ลังศึกษาอิสลามอย่างบริสุทธิ์ใจจะรูส้ กึ อย่างไรหากพวกเขามาได้ยนิ
หรืออ่านเรื่องราวเหล่านี้จากเอกสารหรือตําราของชีอะฮฺ? ผูเ้ ขียนยังจําได้ว่าผูเ้ ขียนเคยเสวนากับเพื่อนต่างศา
สนิกผูห้ นึ่งซึ่งได้หลงทางไปกับการศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามจากตําราที่ถูกเขียนขึ้นมาจากมืออันสกปรกของ
พวกชีอะฮฺ 20ซึ่งเขาสรุปความออกมาแก่ผูเ้ ขียนว่าท่านนบีมฮุ มั มัดนัน้ เป็ นผูป้ ระกาศศาสนาที่ล ้มเหลวอย่าง
19

สิ้นเชิง ซึ่งการมาของท่านนัน้ เป็ นแค่ส่งิ ที่ดาํ เนินไปตามบริบทของการเมืองในคาบสมุทรอารเบียในสมัยนัน้ อีก


ทัง้ การประกาศศาสนาของท่านนบี(ศ็อลฯ)เป็ นไปเพียงเพื่อแสวงหาอํานาจและอาณาจักรโดยมีความประสงค์ใน
การที่จะสถาปนาราชวงศ์ฮาชิมโดยให้ผูส้ บื ทอดราชวงศ์นนั้ มาจากลูกหลานของท่าน ด้วยเหตุน้ ที ่านนบี(ศ็อลฯ)
จึงได้แต่งตัง้ ท่านอะลีบุตรเขยให้เป็ นผูส้ บื ทอดอํานาจอันยิ่งใหญ่ของท่าน อย่างไรก็ตามลูกสมุนตัวเอ้ของท่านน
บีอย่างอบูบกั ร,อุมรั และอุษมานได้คิดการณ์ทรยศหักหลังแก่ท่านนบี(ซ.ล.)โดยการเข ้าแทรกแซงและยึดครอง
อํานาจทางการเมืองจากลูกหลานของท่านนบี(ซ.ล.)จนในที่สุดเมือ่ ความขัดแย้งได้ปะทุข้นึ มาโฉมหน้าที่แท้จริง
ของการประกาศศาสนาของท่านนบี(ซ.ล.)ก็ถูกฉีกออกมาว่าเป็ นเพียงแค่ความต้องการอํานาจในทางการเมือง
การปกครองโดยมีการแต่งตัง้ ผูป้ กครองสืบทอดต่อจากท่านคือลูกหลานของท่านตามระบบราชวงศ์ ด้วยเหตุน้ ี
จึงทําให้ประชาชนเรือนแสนที่เข ้ารับอิสลามในช่วงชีวติ ของท่านจากการได้ฟงั โอวาทของท่านและจากการได้พบ
เห็นจริยะวัตรอันบริสุทธิ์ของท่านได้พากันละทิ้งศาสนาของท่านไปหมดเหลือเพียงแค่ผูจ้ งรักภักดีเพียงสามคน
และคนในตระกูลของท่านเท่านัน้ ผูเ้ ขียนได้พยายามที่จะอธิบายแก่เพื่อนของผูเ้ ขียนถึงความแท้จริงและความ
ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์อิสลามในช่วงชีวติ ของการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี(ศ็อลฯ)ว่าเต็มไปด้วยการ

17
อัลกะฟี ย์ เล่ม 1 หน้า 420 สํานักพิมพ์ ดารุ ลกุฏฏบุ อัลอิสลามียะฮฺ เมืองเตหะราน
18
เป็ นคําพูดในเชิงปฏิเสธคําสําคัญของบุคคลที่มีต่อการบุกเบิกศาสนาอิสลามและยังปฏิเสธอีกว่าคนทั้งสองไม่มีส่วนร่ วมใดๆในการ
รวบรวมอัลกุรอาน
19
หนังสื อ กัชฟุลอัสร็อร หน้า 114 ของ โคไมนี่
20
ตัวอย่างตําราประวัติศาสตร์อนั สกปรกที่ชาวชีอะฮฺเขียนขึ้นเพื่อพิสูจน์ถึงความล้มเหลวของการเผยแพร่ ศาสนาของท่านรอซูลคือ
หนังสื อ “ชําราประวัติศาสตร์อิสลาม”ซึ่งถูกแปลเป็ นไทยโดยสถาบันชีอะฮฺในไทย
เสียสละอันยิ่งใหญ่แม ้กระทัง่ ชีวติ เพื่อวางรากฐานทางศีลธรรมแก่สงั คมอันป่ าเถื่อนของคาบสมุรอารเบียในสมัย
นัน้ ทัง้ ยังบอกว่าประวัติศาสตร์อิสลามที่ท่านได้อ่านไปนัน้ เป็ นผลจากมืออันสกปรกของผูร้ ูฝ้ ่ ายชีอะฮซึ่งถือเป็ น
ลัทธินอกรีตในทัศนะของเรา แต่เขากลับไม่ฟงั ผูเ้ ขียนโดยการตอบผูเ้ ขียนมาว่า เขาไม่อยากจะพิจารณาถึง
ความขัดแย้งทางด้านศาสนาของทัง้ สองฝ่ าย(ซุนนะฮฺกบั ชีอะฮฺ)ซึ่งการที่ทางชีอะฮฺเขียนประวัติศาสตร์ออกมา
อย่างนัน้ ย่อมต้องมีเค้าโครงของความจริงอยู่บา้ ง ถ้าไม่มมี ลู แล ้วจะมีกลิน่ ได้ยงั ไง!!!ผูเ้ ขียนจนปัญญาในการ
ที่จะอธิบายแก่เพื่อนของผูเ้ ขียนถึงข ้อเท็จจริงในตัวของท่านนบี(ศ็อลฯ)และความสําเร็จอย่างสวยงามในการ
ประกาศศาสนาของท่าน แต่ถงึ อย่างไรก็ตามผูเ้ ขียนไม่โกรธเคืองเพื่อนต่างศาสนาคนนี้เพราะผูเ้ ขียนคิดว่าเขา
ไม่ได้รบั ข ้อมูลที่แท้จริงในการทําความเข ้าใจต่อชีวประวัติของท่านรอซูล(ศ็อลฯ)แต่ผูเ้ ขียนโกรธแค้นต่อบรรดา
ชีอะฮฺทงั้ หลายที่บงั อาจที่จะสร้างมนทิรแก่ประวัติศาสตร์อิสลามและแก่ตวั ท่านรอซูลได้ขนาดนี้ พวกเขาบังอาจ
ที่จะยอมรับประวัติศาสตร์ไม่ประเทืองสติปญั ญาแบบนี้ไปได้อย่างไร พวกเขาทําให้ผูค้ นต้องตัดสินความ
ยิ่งใหญ่ในการเผยแพร่ศาสนาของท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ว่าล ้มเหลวเพียงเพราะท่านไม่สามารถล ้างสมองผูค้ นให้มา
สวามิภกั ดิ์ต่อท่านอะลีอย่างสุดโต่งเฉกเช่นเดียวกับพวกเขา ผูเ้ ขียนอยากให้พระผูเ้ ป็ นเจ้าประทานความพินาศ
แก่บุคคลเหล่านี้เสียจริง
อย่างไรก็ตาม พระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงหักล ้างประวัติศาสตร์จอมปลอมเหล่านี้ดว้ ยการกล่าวชื่นชม
บรรดาซอฮาบะฮฺไว้มากมายในอัลกุรอาน ซึ่งเพียงพอแล ้วที่เราจะหยิบยกอัลกุรอานแค่เพียงอายะฮฺเดียวมา
หักล ้างเรื่องมดเท็จของชีอะฮฺ

[3:195]แล ้วพระเจ้าของพวกเขาก็ตอบรับพวกเขาว่า แท้จริงข ้าจะไม่ให้สูญเสียซึ่งงานของผูท้ าํ งานคนหนึ่งคนใด


ในหมูพ่ วกเจ้าไม่ว่าจะเป็ นชายหรือหญิงก็ตาม โดยที่บางส่วนของพวกเจ้านัน้ มาจากอีกบางส่วน บรรดาผูท้ ่ี
อพยพ(มุฮาญีรีน) และที่ถูกขับไล่ให้ออกจากหมูบ่ า้ นของพวกเขา และได้รบั ความเดือดร้อนในทางของข ้า และ
ได้ต่อสูแ้ ละถูกฆ่าตายนัน้ แน่นอนข ้าจะลบล ้างให้พน้ จากพวกเขา ซึ่งบรรดาความผิดของพวกเขา และแน่นอน
ข ้าจะให้พวกเขาเข ้าบรรดาสวนสวรรค์ซ่งึ มีบรรดาแม่นาํ้ ไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านัน้ ทัง้ นี้เป็ น
รางวัลตอบแทนจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นนั้ ณ พระองค์มกี ารตอบแทนอันดีงาม
โองการข ้างต้นนี้พระองค์อลั ลอฮฺทรงยกย่องชาวมุฮาญีรีนและทรงแจ้งข่าวดีแก่พวกเขาด้วยสวนสวรรค์
[9:100] บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมูผ่ ูอ้ พยพ (ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมูผ่ ูใ้ ห้ความช่วยเหลือ (ชาว
อันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผูด้ าํ เนินตามพวกเขาด้วยการทําดีนนั้ อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และ
พวกเขาก็พอใจในพระองค์ดว้ ย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล ้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ท่มี แี ม่นาํ ้
หลายสายไหลผ่านอยู ่เบื้องล่างพวกเขาจะพํานักอยู่ในนัน้ ตลอดกาลนัน่ คือชัยชนะอันใหญ่หลวง

โองการเหล่านี้ถอื ได้ว่ามาล ้มล ้างทฤษฏีทางความเชื่อของชีอะฮฺท่มี ตี ่อบรรดาซอฮาบะฮฺของท่านนบีอย่าง


สิ้นเชิง เพราะบรรดาโองการเหล่านี้ๆได้กล่าวยกย่องและแจ้งข่าวดีแก่ทงั้ บรรดามุฮาญีรีนและอันซอรอย่าง
ชัดเจน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความเชื่อของชีอะฮฺท่เี ราได้อ่านพบในตําราอันน่าเชื่อถือของพวกเขาที่ช่อื “อู
ศูลกาฟี ย”์ ที่ระบุว่าบรรดาซออาบะฮฺของท่านนบีท่ยี งั เป็ นผูศ้ รัทธาหลังจากการวะฟาตของท่านนัน้ เหลือเพียง 3
คน!!!!!!

๓. ชีอะฮฺกบั ความเชื่อที่มีต่อภรรยาของท่านนบี(ศ็อลฯ)
ความอาฆาตมาดร้ายของชีอะฮฺหาได้จาํ กัดขอบเขตอยู่แค่บรรดาซอฮาบะฮฺไม่ หากแต่ยงั จาบจ้วงภรรยา
ของท่านนบี(ศ็อลฯ) ทัง้ ๆที่ภรรยาของท่านนบีนนั้ มีตาํ แหน่งเป็ นถึง “อุมมุลมุอฺมนี ีน ” หรือ มารดาของปวงผู ้
ศรัทธา พวกเขากล่าวหาท่านหญิงอาอีชะฮฺและท่านหญิงฮัฟเศาะฮฺดวยกับการกระทําอันน่าเหยียดหยามชนิดที่
ไม่มผี ูศ้ รัทธาคนใดยอมรับได้ ข ้อกล่าวหาดังกล่าวนัน้ ก็คือการที่ชอี ะฮฺใส่ไคล ้ท่านหญิงทัง้ สองว่าพยายามที่จะ
ฆาตกรรมท่านนบี(ศ็อลฯ) มิหนําซํา้ ยังพิพากษาภรรยาของท่านนบีทงั้ สองว่าเป็ นผูท้ ่หี นั หลังให้กบั ศรัทธา ดังจะ
ยกหลักฐานดังกล่าวมาประมวลให้ดูกนั ต่อไปนี้
อิมามบากิร กล่าวว่า “อาอีชะฮฺ และฮัฟเศาะฮฺ ฆ่าท่านนบี(ศ็อลฯ) โดยการวางยาพิษแก่ท่าน” 21
ดังนัน้ ชายผูก้ ลับกลอกสองคนนี้(หมายถึงอบูบกั รและอุมรั )และผูห้ ญิงกลับกลอกทัง้ สองคนนัน้ (อาอีชะฮฺ
และฮัฟเซาะฮฺ )ตกลงกันทีจ่ ะฆ่าท่านรอซูลโดยการวางยาพิษท่าน 22 21

อย่างไรก็ตามในบรรดาบุคคลอันเป็ นที่เคารพรักของเราทัง้ สี่ท่านเห็นจะไม่มใี ครที่ถูกเกลียดชังและใส่ไคล ้


มากเท่ากับท่านหญิงอาอีชะฮฺอีกแล ้ว จงลองมาพิจารณาหลักฐานต่อไปนี้เถิด
นางอาอีชะฮฺ คือสตรีนอกรีต 23 อิมามมะฮฺ ดีจะลงโทษนางอาอีชะฮฺ โดยการจับนางแก้ผา้ หลายต่อหลาย
22

ครัง้ 24(นาอุซูบลิ ละฮฺมนิ ซาลิก ขอพระองค์อลั ลอฮฺทรงสาปแช่งคนที่มคี วามคิดเยี่ยงนี้ดว้ ยเถิด)


23

21
ฮายาตุลกูลูบ เล่ม 2 หน้า 870 ของ มุฮมั มัดบากิร อัลมัจลีซีย ์
22
เล่มเดียวกัน หน้า 745
23
เล่มเดียวกันหน้า 726
ความระยําตํา่ ทรามเยี่ยงสัตว์นรกของศาสนาชีอะฮฺยงั ไม่หยุดเพียงแค่น้ ี นายมุฮมั มัด ซอดิก ซีรอซี อุลา
มะอฺศาสนาชีอะฮฺคนสําคัญ 25ของประเทศซีเรียในยุคปัจจุบนั ได้กล่าวไว้ว่า
24

“ส่วนหนึ่งจากความผิดของนางอาอีชะฮฺ คือนางได้ ทําซินา และด้วยความสัตย์จริงนางคือ กาฟิ รฺ !!!!!!!!!!!”


คําพูดดังกล่าวนี้ท่านสามารถพิสูจน์ได้ท่คี ลิปวีดโี อเทปบรรยายของเขาได้ท่ลี งิ ค์น้ ี
http://www.youtube.com/watch?v=he6TatcUgkg นอกจากนี้ชอี ะฮฺยงั ได้พยายามที่จะพิสูจน์ถงึ
ประวัติศาสตร์จอมปลอมของพวกเขาว่าท่านหญิงอาอีชะฮฺเป็ นคนสังหารท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ) กรุณาดูท่ลี งิ ค์
นี้
http://www.youtube.com/watch?v=_HiMgW9yd7w&feature=PlayList&p=3DCAF0AAEECCF043&index=0&
playnext=1 เชคยาซิร อัลฮะบีบ อุลามะอฺชอี ะฮฺกาํ ลังบรรยายเรื่องราวการฆาตกรรมท่านนบีโดยท่านหญิงอาอี
ชะฮฺ อย่างไรก็ตามถือเป็ นเรื่องที่เป็ นความเมตตาที่พระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงเปิ ดเผยถึงจุดยืนของพวกชีอะฮฺท่มี ี
ต่อท่านหญิงอาอีชะฮฺ หลักฐานที่ท่านกําลังจะได้อ่านต่อไปนี้มาจากเว็บไซต์ถามตอบปัญหาศาสนาของ อยา
ตุลลอฮฺ มุฮมั มัด ชะฮฺรูดี มัรญิอฺของชีอะฮฺซ่งึ ปัจจุบนั เขาทําหน้าที่เป็ นครูสอนศาสนาชีอะฮฺท่เี มืองกุม มาดู
คําถามที่เขาตอบแก่ผูถ้ ามในเว็บไซต์ของเขาเถิด
‫ ﻫﻞ ﳚﻮز ﻟﻌﻦ ﺑﻌﺾ اُﻣﻬﺎت اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻣﺜﻞ اﻟﺴﻴﺪة ﻋﺎﺋﺸﺔ ﳌﻌﺼﻴﺘﻬﺎ ﻟﻠﺮﺳﻮل وﳋﺮوﺟﻬﺎ ﻋﻠﻰ إﻣﺎم زﻣﺎ�ﺎ‬: 50 ‫ﺳﺆال‬
‫وﻹﻋﻼ�ﺎ اﻟﻌﺪاء ﻷﻣﲑاﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ)ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم( ﺳﻮاء ﺑﺎﻟﺘﺼﺮﻳﺢ ﺑﺎﻻﺳﻢ ﻋﻠﻨﺎً أو‬
คําถามที่ 50: เป็ นที่อนุ มตั ิหรือไม่ท่จี ะทําการสาปแช่งต่อมารดาของผูศ้ รัทธาบางท่าน อย่างเช่น อาอีชะฮฺสาํ หรับ
การดื้อแพ่งของหล่อนต่อท่านนบี,การประกาศสงครามต่อท่านอิมาม,และการแสดงความเป็ นศัตรูอะมีรุลมุอฺ
มีนีน อะลี อิบนฺอะบีฏอลิบและเช่นเดียวกันจะสาปแช่งนางชัดๆด้วยกับชื่อของนางหรือสาปแช่งแบบเป็ นนัยดี
ّ‫ﻛﻞ ﻣﻦ أﻋﻠﻦ اﻟﻌﺪاء ﻷﻣﲑاﳌﺆﻣﻨﲔ أو اﻟﺰﻫﺮاء أو اﻷﺋﻤﺔ)ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم(ﻜﻴﻒ ﲟﻦ ﻇﻠﻤﻬﻢ وﺣﺎرﻬﺑﻢ إﻻ‬ ّ ‫ ﳚﻮز ﻟﻌﻦ‬: ‫اﳉﻮاب‬
‫ﻛﻞ ﺻﻼﺗﻪ )أرﺑﻌﺔ ﻣﻦ اﻟﺮﺟﺎل‬
ّ ‫ﻣﻊ ﺧﻮف ﺗﻠﻒ اﻟﻨﻔﺲ وﻗﺪ ورد أ ّن اﻹﻣﺎم اﻟﺼﺎدق )ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم( ﻛﺎن ﻳﻠﻌﻦ ﲦﺎﻧﻴﺔ ﺑﻌﺪ‬
‫ ) وأرﺑﻌﺔ ﻣﻦ اﻟﻨﺴﺎء‬.
ตอบ: เป็ นที่อนุ มตั ิท่จี ะทําการสาปแช่ง คนเหล่านัน้ ทัง้ หมด ซึ่งแสดงตัวเป็ นศัตรูต่อท่านอมีรรุลมุอฺมนี ีน,ท่าน
หญิงฟะติมะฮฺหรือบรรดาอิมาม แล ้วกระไรเล่ากับบรรดาผูท้ าํ อธรรมกับพวกเขาและทําสงครามกับพวกเขาและ
ยังมีกล่าวไว้อีกว่า อิมาม ซอดิกเคยสาปแช่งทัง้ แปดคนหลังละหมาด(เป็ นชายสี่คน หญิงสี่คน)
คําฟัตวานี้นาํ มาจากลิงค์น้ ี http://www.shahroudi.net/aghayeda/aghayedj1.htm ตรงคําถามหมายเลขที่ 50
ผูเ้ ขียนเองได้ไปพบเจอทัศนะบางอย่างของนักวิชาการเมืองไทยคนสําคัญคือท่าน เชคอะลี อีซา ที่
น่าสนใจเกี่ยวกับภรรยานบีจึงขอนํามาฝากให้เราได้ตระหนักกัน
เชคอาลี อีซา : ถ้าหากว่าเราอ่านหนังสือที่อิมามโคมัยนีให้พรรคพวกทุกวันนี้ใช้เป็ นเครื่องมือและศึกษาเพียง
ประเด็นเดียว เราจะทราบว่าไม่ใช่ศาสนาอิสลามแล ้ว คนละศาสนากัน แต่การที่จะบอกว่าคนละศาสนานัน้ ยัง
เบา เราน่าจะพูดว่าเป็ นอาชญากรรม เพราะอาชญากรรมนัน้ คนเรานี้เวลาผิด ทําอาชญากรรมเพียงอย่างเดียว

24
เล่มเดียวกัน หน้า 901
25
นายคนนี้มีลูกศิษย์ทว่ั บ้านทัว่ เมือง แม้กระทัง่ ผูร้ ู้ชีอะฮฺในไทยหลายๆคนก็เรี ยนกับนายคนนี้
ทําให้พนิ าศ แต่พวกนี้ทาํ อาชญากรรมที่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อา้ งตัวเป็ นมุสลิมจะทํา….. (ชีอะฮ์)ไม่เพียงด่าท่านรซูล
ฯ ยังประณามท่านหญิงอาอิชะฮ์ การด่าท่านรซูลฯ ก็ดี การประณามท่านหญิงอาอิชะฮ์ก็ไม่ต่างกัน …. อายะฮ์ท่ี
12 (ในซูเราะฮ์นูร) และอายะฮ์ถดั มานัน้ เป็ นการประกาศความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ดังนัน้ ผูใ้ ดกล่าวหา
ท่านหญิงอาอิชะฮ์นนั้ ก็(เท่ากับ)เป็ นการปฏิเสธอัลกุรอาน ผูท้ ่ปี ฏิเสธอัลกุรอานนัน้ ถือเป็ นกาเฟร โดยเหตุน้ ี
นักปราชญ์มสุ ลิมบอกว่า ผูท้ ่ใี ส่รา้ ยหญิงคนใดในบรรดาที่เป็ นอุมมะฮาติ้ลมุอม์ นิ ีน หรือเป็ นภรรยาของท่านรซูล
ฯ ถือเป็ นกุฟุร….. เวลาเราพูดถึงชีอะฮ์ เราต้องพูดสองประเด็น ประเด็นแรก พวกนี้ไม่มสี ่วนใดๆ เกี่ยวกับ
ศาสนาอิสลาม …..ประเด็นที่สอง เวลาเราพูดถึงเรื่องชีอะฮ์ ผมพูดถึงว่าเรากําลังหาผูท้ ่ปี ระกอบอาชญากรรม
และผูท้ ่ปี ระกอบอาชญากรรมนัน้ จะต้องถูกลงโทษ และเราไม่ได้วางกฎเกณฑ์การลงโทษ ผูว้ างกฎเกณฑ์การ
ลงโทษ ประเภทการลงโทษสําหรับพวกเหล่านัน้ คืออัลกุรอาน, อัลหะดีษ หรือซุนนะฮ์รซูลฯ 26 25F

โอ้ชอี ะฮฺเอ๋ย จงอ่านและพิจารณาโองการต่อไปนี้


‫اﺟﻪُ أُﱠﻣ َﻬﺎﺗُـ ُﻬ ْﻢ‬
ُ ‫َو ْأزَو‬
“และบรรดาภรรยาของเขา (ท่านนบี) นัน้ คือมารดาแห่งศรัทธาชน” ซูเราะห์อลั อะห์ซาบ อายะห์ท่ี 6
แล ้วเหตุไฉนเล่าเมือ่ พระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงยกนางให้มเี กียรติเป็ นถึงมารดาของผูศ้ รัทธา ชีอะฮฺจึงหยิบบรรดา
ภรรยาของท่านนบีมาด่าและสาปแช่งเยี่ยงนี้ จงพิจารณาเถิดว่าท่านออกห่างจากโองการอัลกุรอานอย่างไร

๔. กะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺและคํากล่าวอะซานของชีอะฮฺ
ความแตกขัน้ มูลฐานระหว่างซุนนียแ์ ละชีอะฮฺคือคํากล่าวกะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺ ซึ่งสําหรับแนวทางชีอะฮฺแล ้ว
นัน้ ความแตกต่างเหล่านี้ถอื เป็ นเรื่องสําคัญและจําเป็ นที่จะต้องมีความแตกต่างกับซุนนีย ์27 ในแนวทางชีอะฮฺคาํ
26F

กล่าวชะฮาดะฮฺของพวกเขามีดงั ต่อไปนี้

“ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ มุฮมั มะดัรรอซูลลุลลอฮฺ อะลียนุ วะลียลุ ลอฮฺ คอไมนีฮจุ ญะตุลลอฮฺ ”


ความว่า:ไม่มพี ระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ มุฮมั มัดคือรอซูลของอัลลอฮฺ อะลีคือวะลีของอัลลอฮฺ โคไมนี่
คือฮุจญะฮฺของอัลลอฮฺ28 27F

26
คัดบางตอนจาก "สารดาริ สสลาม" รายงานการสัมมนาเรื่ อง "ลัทธิชีอะฮฺคืออันตรายของประชาชาติมุสลิม" ของสถาบันเผยแพร่
วัฒนธรรมอิสลาม มัสยิดดาริ สสลาม ฉบับที่ 5 เดือนเมษายน 2544 ซอฟัรฺ ฮ.ศ. 1422 หน้า 4 - 16
27
อุลามะอฺ ชีอะฮฺได้ยอมรับถึงความแตกต่างเหล่านี้ กรุ ณาดูใน ชีอะฮฺมสั ฮับฮักเฮย์ เล่ม 2 หน้า 51 ,ตุฮฺฟาตุนนมาซ ญะอฺ ฟารี ยะฮฺ หน้า
10
28
คัดมาจากหนังสื อ วะฮฺดะฮฺอิสลามีย ์ หน้า 4
นอกจากนี้ในการอะซานชีอะฮฺยงั เพิ่มคํากล่าวพ่วงท้ายชะฮาดะฮฺเข ้าดังนี้
‫اﺷﻬﺪ ان ﻋﻠﻴﺎ وﻟﻲ اﷲ‬
เกี่ยวกับลักษณะของการอะซานในลักษณะนี้ ทัง้ โคไมนี่และซิสตานี ผูร้ ูช้ าวชีอะฮฺในยุคปัจจุบนั ก็
ได้รบั รองว่ามันเป็ นการกระทําที่ถูกต้องในการที่จะเพิ่มคํากล่าวแบบนี้เข ้าไปในการอะซาน ซึ่งเราสามารถที่จะ
ตรวจสอบการฟัตวาในเรื่องดังกล่าวนี้ได้ท่ี ลิงค์ต่อไปนี้
http://www.raoofonline.com/index.php?T=3&id=20
http://www.aqaed.com/shialib/books/all/nadwe28/nadwe28.html.
และเพื่อที่จะให้การกระทําของเขาในลักษณะนี้เป็ นที่ชอบธรรม(ทัง้ ๆที่ในความจริงมันอธรรม) ชีอะฮฺจึงได้
อุปโลกน์เรื่องราวจอมปลอม ดังหะดีษตัวอย่างต่อไปนี้ ซึ่งเราค้นพบโดยบังเอิญในตําราของพวกเขา
‫ان رﺳﻮل اﷲ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ اﻣﺮ اﺑﺎ ذرﺑﺎن ﻳﺆذن ﻳﻮم اﻟﻐﺪﻳﺮ وﻳﻀﺎف ﺷﻬﺎدة ﺑﺎن وﻻﻳﺔ ﻟﻌﻠﻲ‬
‫ﻓﺎﻋﱰض ﻋﻠﻲ ﻧﱯ ﺑﻌﺾ اﻻ ﺻﺤﺎب ﻓﻘﺎل ﻟﻪ ﻓﻔﻴﻬﻢ ﻛﻨﺎ‬
ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้บญั ชาท่านอบูซรั ในวันฆอดีรให้ทาํ การอะซานและกําชับเขาให้กล่าวคําว่า “อะลีคือวะลี ”
แต่ซอฮาบะฮฺบางส่วนได้คดั ค้าน ท่านนบีจึงกล่าวว่า “ไม่มสี ่งิ นี้สาํ หรับพวกเรา(หมายถึงการไม่ใส่คาํ ว่าอะลีคือ
วะลีเป็ นสิ่งที่ผดิ ) 29
28F

อย่างไรก็ตามการกล่าวชะฮะดะฮฺในรู ปแบบนี้ยงั ถือเป็ นวาญิบสําหรับแนวทางชีอะฮฺสบื เนื่องมาจาก


บรรดาผูร้ ูใ้ นแนวทางชีอะฮฺได้เห็นพ้องกับเรื่องดังกล่าวนี้ ซึ่งหากผูอ้ ่านคนใดต้องการรับทราบรายละเอียดใน
เรื่องดังกล่าวนี้กรุณาหาอ่านได้ในหนังสือต่อไปนี้
“ริซาละฮฺ อัลฮิดายะฮฺ” ของ ชัยคฺอบั ดุลนะบี อัลอิรอกีย ์
“ริซาละฮฺ อัลฮิดายะฮฺ” ของ ซัยยิด วาฮิด อัลบะฮฺบะฮานี
“เราดอตุลมุตตะกีน” ของ ชัยคฺมฮุ มั มัด ตะกีย ์ อัลมัจลีซยี ์
“ซิร อัลอีมาน” ของ ชัยคฺมฮุ มั มัด ริฎอ อันนะญาฟี
“ซิร อัลอีมาน” ของ ซัยยิดมิรซา อิบรอฮีม อัลอิสตะฮฺบะนาตี
“ซิร อัลอีมาน” ชัยคฺมฮุ มั มัด ฮะซัน อันนะญาฟี
“ซิร อัลอีมาน” ของ ซัยยิด อะลีมะดัด อัลกออีนีย ์

๕. ชีอะฮฺกบั ความเชื่อที่วา่ บรรดาอิมามสูงส่งกว่าบรรดานบีและบรรดามลาอิกะฮฺ


อีกหนึ่งในความเชื่ออันหลงผิดของชีอะฮฺก็คือการที่พวกเขามีความเชื่อว่ามนุษย์จาํ นวน 12 ท่านซึ่งมี
ตําแหน่งคือ “อิมาม” นัน้ ประเสริฐและสูงส่งกว่ามนุษย์ทงั้ 25 ท่าน ซึ่งมีตาํ แหน่งเป็ นถึงรอซูล และยังประเสริฐ
กว่าบรรดามลาอิกะฮฺผูใ้ กล ้ชิดของพระองค์อลั ลอฮฺ การที่บรรดาอิมามถูกยกย่องให้มตี าํ แหน่งที่สูงกว่ารอซูลนัน้

29
ชะรออฺ อี อัลอิสลาม หน้า 60 ตีพิมพ์ที่กรุ งเบรุ ต เลบานอน
ย่อมต้องบอกแก่เราเป็ นนัยว่าซุนนียซ์ ่งึ เป็ นกลุม่ ที่มไิ ด้ศรัทธาในบรรดาอิมามทัง้ 12 ท่านนัน้ เป็ นกาเฟรผูห้ ลง
ผิดในสายตาของชีอะฮฺอย่างแน่นอน ต่อไปนี้คือหลักฐานในเรื่องดังกล่าวนี้
‫وان ﻣﻦ ﺿﺮورﻳﺎت ﻣﺰﻫﺒﻴﻨﺎ ان ﻻﺋﻤﺘﻨﺎ ﻣﻘﺎ ﻣﺎﻻﻳﺒﻠﻐﻪ ﻣﻠﻚ ﻣﻘﺮب وﻻ ﻧﱯ ﻣﺮﺳﻞ‬
และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากความจําเป็ นในมัสฮับของเราก็คือ สําหรับบรรดาอิมามของเรามีตาํ แหน่งซึ่ง
บรรดามลาอิกะฮฺผูใ้ กล ้ชิดและบรรดานบีผูถ้ ูกแต่งตัง้ มิอาจขึ้นไปถึงได้30 29 F

‫إن أﺋﻤﺔ اﻟﺸﻴﻌﺔ اﻹﺛﲏ ﻋﺸﺮ أﻓﻀﻞ ﻣﻦ اﻷﻧﺒﻴﺎء واﻟﺮﺳﻞ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم‬
แท้จริงบรรดาอิมามทัง้ 12 ของชีอะฮฺนนั้ ประเสริฐกว่าบรรดานบีและบรรดารอซูล31 30F

‫إن ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻳﺪﺧﻞ اﳉﻨﺔ ﻗﺒﻞ اﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ‬
แท้จริงท่านอะลีอิบนฺ อบีตอลิบ จะได้เข ้าสวรรค์ก่อนตัวท่านนบี(ศ็อลฯ)!!! 32 31 F

‫إﻧﻪ ﻻ ﻳﺪﺧﻞ أﺣﺪ اﳉﻨﺔ إﻻ ﲜﻮاز ﻣﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ رﺿﻲ اﷲ ﻋﻨﻪ‬


“จะไม่มใี ครสามารถเข ้าสวรรค์ได้ เว้นแต่จะได้รบั การอนุญาตจาก่านอะลีเสียก่อน!!!33 32F

เป็ นที่ทราบกันดีว่าชีอะฮฺเป็ นกลุม่ ชนที่ความเชื่อว่าพระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงคัดเลือกชาย 12 คนจาก


ลูกหลานของท่านนบีให้มาดํารงตําแหน่งเป็ นผูส้ บื ทอดการปกครองต่อจากท่านนบี แต่เรากลับพบว่ามันเป็ น
เรื่องที่น่าเศร้ามากว่าเพียงเพื่อจะได้ให้หลักความเชื่อดังกล่าวนี้ดูมคี วามน่าเชื่อถือชาวชีอะฮฺถงึ กับอุตริยก
บรรดาอิมามขึ้นไปเหยียบหัวบรรดานบีและบรรดามลาอิกะฮฺได้อย่างไร จงพิจารณาดูเถิดท่านผูอ้ ่าน!!!

‫أ ﱠن اﷲ وﻣﻼﺋﻜﺘﻪ وأﻧﺒﻴﺎﺋﻪ واﳌﺆﻣﻨﻮن ﻳﺰورون ﻗﱪ أﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ رﺿﻲ اﷲ ﻋﻨﻪ‬
แท้จริงพระองค์อลั ลอฮฺและมลาอิกะฮฺและบรรดาผูศ้ รัทธาต่างก็ไปเยี่ยมเยียน(ซียาเราะฮฺ) กุบรุ ้ ของท่านอะ
มีรุลมุอฺมนิ ีน อะลี บิน อบีตอลิบ!!! 34 3F

ชีอะฮฺไม่เพียงแต่จะลดเกียรติบรรดารอซูลและมลาอิกะฮฺให้ตาํ่ กว่าท่านอะลีเท่านัน้ ยังอาจหาญหยิบเอา


พระองค์อลั ลอฮฺมาหมิน่ เกียรติ โดยการอ้างว่าแม ้แต่พระองค์ก็ยงั ต้องไปเยี่ยมเยียนกุบุร้ ของท่านอะลี มีอะไรที่
มันจะงมงาย(ไม่อยากใช้คาํ ว่างีเ่ ง่า) ไปกว่านี้อีก!!!และในขณะเดียวกันการที่ปรากฏรายงานจากตําราของพวก
เขามากมายที่แสดงให้เห็นถึงความชื่นชมในตัวท่านอะลีอย่างสุดโต่ง ก็ปรากฏรายงานมากมายเช่นกันที่บนั่ ทอน
บุคลิกภาพอันงดงามของท่านนบี ศ็อลฯ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
‫ﻋﻦ اﻟﺒﺎﻗﺮ واﻟﺼﺎدق أن اﻟﻨﱯ ﻛﺎن ﻻ ﻳﻨﺎم ﺣﱴ ﻳﻘﺒﻞ ﻋﺮض وﺟﻪ ﻓﺎﻃﻤﺔ ﻳﻀﻊ وﺟﻬﻪ ﺑﲔ ﺛﺪﻳﻲ ﻓﺎﻃﻤﺔ‬

30
หนังสื อ “อัลฮุกุมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ” หน้า 52 โดย โคไมนี่ ฉบับตีพิมพ์ที่ เตหะราน
31
หนังสื อ ‫ ﺍﻷﻧﻮﺍﺭ ﺍﻟﻨﻌﻤﺎﻧﻴﺔ‬ของ นิอฺมาตุลลอฮฺ อัลญะซาออรี เล่ม 3 หน้า 308
32
จากหนังสื อ ‫ ﻋﻠﻞ ﺍﻟﺸﺮﺍﺋﻊ‬ของ อิบนฺ บาบะวิฮฺ อัลกุมมี หน้า 205
33
หนังสื อ ‫ ﻣﻨﺎﻗﺐ ﺃﻣﻴﺮ ﺍﻟﻤﺆﻣﻨﻴﻦ‬ของ อะลี บิน มุฆอ็ สลี หน้า 93
34
หนังสื อ ‫ ﺍﻟﻔﺮﻭﻉ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺎﻓﻲ‬ของ กุลยั นี่ เล่ม 4 หน้า 580
จากอิมามบากิรกล่าวว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)นัน้ จะไม่เข้านอนก่อนจนกว่าท่านจะได้วางใบหน้าของท่าน
ไว้ระหว่างเนิ นอกของท่านหญิงฟาติมะฮฺ !!!35 34F

มุสลิมคนใดที่สามารถเชื่อถือรายงานสมองเสื่อมเหล่านี้ได้บา้ งที่สะท้อนภาพและบุคลิกของท่านรอซูลไปใน
เชิงอารมณ์ใฝ่ ตาํ ่ กับบุตรสาวของตัวเอง รายงานประเภทนี้ยงั มีอีกดังนี้
‫ﻮﺳﻰ َﺣ ﱠﺪﺛـَﻨَﺎ أَِﰊ َﻋ ْﻦ أَﺑِ ِﻴﻪ َﻋ ْﻦ َﺟﺪﱢﻩِ َﺟ ْﻌ َﻔ ِﺮ ﺑْ ِﻦ ُﳏَ ﱠﻤ ٍﺪ َﻋ ْﻦ أَﺑِ ِﻴﻪ َﻋ ْﻦ آﺑَﺎﺋِِﻪ َﻋ ْﻦ‬
َ ‫ﺃ َ◌ ْﺧﺒَـَﺮﻧَﺎ ُﳏَ ﱠﻤ ٌﺪ َﺣ ﱠﺪﺛَِﲏ ُﻣ‬
‫ﺼﻠﱠﻰ ِﻣ ْﻦ َﻏ ِْﲑ‬ ِِ
َ َ‫ﻒ َﻋ ْﻦ أ ُْرﺑِﻴﱠﺘﻪ َو ﻗَ َﺎم ﻓ‬ َ ‫ﺐ ع َﻛ َﺸ‬ ٍ ِ‫ﲔ ﺑْ ِﻦ َﻋﻠِ ﱢﻲ ﺑْ ِﻦ أَِﰊ ﻃَﺎﻟ‬
ِ ْ ‫اﳊُﺴ‬ ‫َﻋﻠ ﱟﻲ ع أَ ﱠن اﻟﻨِ ﱠ‬
ِ
َْ ‫ب‬ ‫ﱠﱯ ص ﻗَـﺒﱠ َﻞ ُز ﱠ‬
َ‫ﺿﺄ‬
‫أَ ْن ﻳَـﺘَـ َﻮ ﱠ‬
มีหะดีษของพวกเขารายงานมาว่า “พวกเราได้รบั การบอกเล่ามาจากมุฮมั มัดว่ามูซาได้กล่าวว่าพ่อของ
ท่านได้รายงานมาจากพ่อของท่านผูซ้ ่ึงได้รบั การรายงานมาจากปู่ ของท่านคือญะฟัร บินมุฮมั มัด จากบิดาท่าน
จากอะลีว่าท่านนบี(ซ.ล.)เคยจูบอวัยวะเพศของอัล ฮุเซนอิบนฺ อะลีอิบนฺ อบีฏอลิบโดยการถลกซึ่งเปิ ดเผยให้
เห็นส่วนสําคัญบางส่วนและจากนัน้ ท่านจึงลุกขึ้นไปละหมาดโดยไม่ได้อาบนํา้ วุดุอฺ” 36 35F

หะดีษอันชัว่ ร้ายเหล่านี้ได้ทาํ ลายเกียรติยศของท่านรอซูล(ซ.ล.)จนป่ นปี้ ไม่มชี ้นิ ดี พวกชีอะฮฺได้คลังไคล ่ ้และ


บูชาท่านฮุเซนเสียจนไม่สนใจว่าเรื่องราวอันอัปลักษณ์เหล่านี้จะทําลายภาพพจน์ของท่านรอซูล(ซ.ล.)อย่างไร
เพียงเพื่อจะได้ยกย่องท่านฮุเซนอุลามะอฺของพวกเขาถึงกับกล ้าที่จะกุรายงานมดเท็จเหล่านี้ออกมา ข ้าฯขอ
สาปแช่งต่อบรรดาผูม้ สี ่วนเกี่ยวข ้องกับหะดีษบทนี้ทงั้ ผูร้ ายงานและผูท้ ่จี ดั พิมพ์หนังสืออันอัปยศเหล่านี้ ยังมี
รายงานอัปยศต่อไปอีกดังนี้
، ‫ ﴰﻲ ﻟﻴﺘﻬﺎ‬: ‫ﻛﺎن اﻟﻨﱯ ) ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وآﻟﻪ ( إذا أراد ﺗﺰوﻳﺞ اﻣﺮأة ﺑﻌﺚ ﻣﻦ ﻳﻨﻈﺮ إﻟﻴﻬﺎ وﻗﺎل ﻟﻠﻤﺒﻌﻮﺛﺔ‬
‫ واﻧﻈﺮي ﻛﻌﺒﻬﺎ ﻓﺈن درم ﻛﻌﺒﻬﺎ ﻋﻈﻢ ﻛﻌﺜﺒﻬﺎ‬، ‫ﻓﺈن ﻃﺎب ﻟﻴﺘﻬﺎ ﻃﺎب ﻋﺮﻓﻬﺎ‬
ยามที่ท่านรอซูล(ซ.ล.)มีความประสงค์ท่จี ะแต่งงานกับผูห้ ญิงนางหนึ่ ง ท่านเคยส่ง(ผูห้ ญิง)บางคนไปดูตวั เธอ
พร้อมกับสําทับแก่หล่อนว่า ให้ดมกลิ่นซอกคอของนางหากมันมีกลิ่นหอม แสดงว่านางยังบริสุทธิ์ และจง
ตรวจสอบดูขอ้ เท้าของนาง ถ้าข้อเท้าของนางใหญ่.ช่องคลอดของนางก็ใหญ่ฉันใดก็น้ัน!!!

มุสลิมคนใดสามารถทําใจเชื่อลงไปได้ว่าศาสดาของพระผูเ้ ป็ นเจ้า อยากจะแต่งงานกับสตรีก็จะพิจารณาจาก


.................. ข ้าฯขอสาปแช่งต่อบรรดาชีอะฮฺท่อี ุตริรายงานหะดีษอันสกปรกแบบนี้ครัง้ แรกตอนที่ข ้าฯเจอหะดีษ
บทนี้ข ้าฯพยายามคิดว่ามันน่าจะเป็ นข ้อผิดพลาดของอุลามะอฺชอี ะฮฺแค่คนเดียวเท่านัน้ ซึ่งข ้าฯไม่ควรที่จะไป
เหมารวมว่าชีอะฮฺเชื่อแบบนี้กนั ทัง้ หมด อาจจะเป็ นความนอกรีตของผูร้ ูช้ อี ะฮฺบางคนก็ได้ แต่ในที่สุดข ้าฯก็ตอ้ ง
เปลีย่ นความคิดใหม่เมือ่ ข ้าฯพบว่ารายงานอันอัปยศเหล่านี้ได้ทะลักออกมาจากตําราของผูร้ ูฝ้ ่ ายชีอะฮฺมากมาย
ดังนี้

35
หนังสื อ “บิฮารรุ ลอันวาร” เล่ม 43 หน้า 44/ 78 โดย อัล มัจลีซีย ์
36
เรื่ องราวอันอัปลักษณ์น้ ีถูกบันทึกอยูใ่ น “มุสตะร็อค อัล-วะซาอิล เล่มที่ 1 หน้า 236 โดย อันนูรีย ์ จัดพิมพ์โดย สํานักพิมพ์อลั -อัลบัยตฺ
, บิฮารรุ ลอันวาร เล่มที่ 43 หน้า 317, เล่มที่ 77 หน้า 224, อัล-อัชอะซัลกูฟีย์ หน้าที่ 19-30 จัดพิมพ์โดย มักตะบะฮฺอลั นินวา อัลหะ
ดีษะฮฺ กรุ งเตหะราน ประเทศอิหร่ าน
อิบนฺ ฟะฮฺดฺ อัล ฮิลลี ในหนังสือ “อัล มุฮศั ศาบ อัลบารีย”์ เล่มที่ 3 หน้า 179 ฉบับพิมพ์ท่เี มืองกุม ฮิจ
เราะฮฺท่ี 1411.
อัล มุฮกั กิก อัล บะฮฺรอนี ใน “อัล ฮะดาอิค อัลนัฎฮิเราะฮฺ” เล่มที่ 23 หน้า 22 ฉบับพิมพ์ท่เี มืองกุม ปี
ฮิจเราะฮฺท่ี 1363.
อิบนฺ บะบะวัยฮฺ ใน “มันลา ยะฎูรู ฮุล ฟะกิฮฺ” เล่มที่ 3 หมายเลขหะดีษที่ 4363.
อัฏ ฏูซีย ์ ใน “ตะฮฺ ศีบ อัล อะฮฺ กาม” เล่ม 7 หมายเลขที่ 1606
อัล ฮัรฺรุล อามีลยี ์ ใน “วาซาอิล อัชชีอะฮฺ”เล่มที่ 20 หมายเลขที่ 25026,เล่มที่14บทที่ 19หมายเลขที่ 1.
อัล มิรซา อันนู รีย ์ ใน “มุสตะร็อคอัลวาซาอิล” หมายเลขที่ 16444
อัฏฏ็อบรอซีย ์ ใน “มุกอ็ รริมุล อัคลาศ” หน้าที่ 199 พิมพ์ครัง้ ที่ 6 ปี 1972,สํานักพิมพ์อชั ชะรีฟ อัรรอฎี
อิบนฺ อบี�ุมฮูร อัลอิฮฺซาอีย ์ ใน “เอาวะลีย ์ อัลละอาลีย”์ เล่ม 3 ในบท “ประโยชน์ของการแต่งงาน”
หมายเลขที่ 84
อัล มัจลีซยี ์ ใน “บิฮารรุ ลอันวาร” เล่มที่ 22 หน้า 194 หมายเลขที่ 6
หนังสืออันมากมายที่ข ้าฯได้นาํ เสนอไปนัน้ เป็ นการเพียงพอแล ้วที่จะพิสูจน์ให้ท่านผูอ้ ่านได้รูว้ ่าพวกเขามองนบี
(ซ.ล.)ของเราอย่างไร ซึ่งรายงานจิตตํา่ เยี่ยงนี้ยงั มีอีกมากในตําราของฝ่ ายชีอะฮฺซ่งึ ข ้าฯไม่ประสงค์จะนํามา
เปิ ดเผยมากกว่านี้อีก

๖. ชีอะฮฺกบั ความเชื่อที่วา่ พระองค์อลั ลอฮฺทรงมีศิฟัต บะดะอฺ


ความหลงผิดและงมงายของชีอะฮฺยงั ล ้วงลํา้ ไปจนถึงพระผูเ้ ป็ นเจ้าจนได้ เพราะในแนวทางชีอะฮฺพวกเขา
เชื่อว่าพระองค์อลั ลอฮฺทรงมีศิฟตั บะดะอฺ ซึ่งหมายถึงว่าการเกิดความรูใ้ หม่หรือการไม่รูล้ ว่ งหน้าเป็ นต้น โดย
ทัง้ นี้มนั ยังมีความหมายในเชิงว่า พระองค์อลั ลอฮฺไม่รูใ้ นบางเรื่องบางสิ่งในช่วงเวลาหนึ่งๆ แต่ในเวลาต่อมา
พระองค์กลับมารูใ้ นเรื่องนัน้ ๆจนก่อให้เกิดความเห็นใหม่ของพระองค์ข้นึ มา อย่างไรก็ตามแนวทางชีอะฮฺนนั้ ได้
ยกย่องและเชิดชูทฤษฎีทางความเชื่ออันหลงผิดเช่นนี้ กรุณาดูหลักฐานต่อไปนี้
‫ﻣﺎ ﻋﺒﺪ اﷲ ﺑﺸﻲء ﻣﺜﻞ اﻟﺒﺪاء‬
และไม่มกี ารอิบาดัตต่ออัลลอฮฺนอกจากอัลบาดะอฺ 37 36F

‫ﻣﺎ ﻋﻈﻢ اﷲ ﻣﺜﻞ اﻟﺒﺪاء‬


และไม่มสี ่งิ ใดที่พระองค์อลั ลอฮฺจะให้การเทิดทูนมากไปกว่าอัลบาดะอฺ38 37F

37
อัลกาฟี ย์เล่ม1หน้า146จัดพิมพ์โดยอัลกุฏุบอัลอิสลามียะฮฺ กรุ งเตหะราน อิหร่ าน,บิฮารรุ ลอันวาร เล่ม 4หน้า10จัดพิมพ์โดยมุอซั ซะ
ซะฮฺ กรุ งเบรุ ต เลบานอน,
38
เล่มเดียวกัน
เราได้เห็นไปแล ้วว่าพวกเขาชีอะฮฺได้มอบคุณลักษณะอันต้องห้ามแก่พระองค์อลั ลอฮฺได้อย่างไร แต่ท่นี ่า
เศร้ายิ่งกว่านัน้ ก็คือชีอะฮฺกลับนําเอาคุณลักษณะที่แท้จริงของพระองค์อลั ลอฮฺไปมอบแด่บรรดาอิมามของพวก
เขาอย่างน่าละอายดังตัวอย่างดังต่อไปนี้
‫ان اﻻﺋﻤﺔ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم ﻳﻌﻠﻤﻮن ﻣﺎ ﻛﺎن وﻣﺎ ﻳﻜﻮن واﻧﻪ ﻻ ﳜﻔﻲ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺷﻲء‬
แท้จริง บรรดาอิมามรูถ้ งึ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและอนาคตและไม่มสี ่งิ ใดจะถูกซ่อนเร้นไปจากพวกเขา39 38F

،‫إن ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ رﺿﻲ اﷲ ﻋﻨﻪ ﻫﻮ ﻗﺴﻴﻢ اﳉﻨﺔ واﻟﻨﺎر‬


แท้จริงอะลี บิน อบีฏอลิบ เขาคือผูค้ วบคุมดูแลสวรรค์และนรก!!40 39F

อย่างไรก็ตามสําหรับเราชาวอะฮฺลุซซุนะฮฺนนั้ เชื่อและศรัทธาไม่มผี ูใ้ ดที่จะมีความรูท้ ่สี มบูรณ์แบบเท่ากับ


พระองค์อลั ลอฮฺอีกแล ้ว พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ว่า

[6:59]และที่พระองค์นนั้ มีบรรดากุญแจแห่งความเร้นลับ โดยที่ไม่มใี ครรูก้ ุญแจเหล่านัน้ นอกจาก


พระองค์เท่านัน้ และพระองค์ทรงรูส้ ่งิ ที่อยู่ในแผ่นดิน และในทะเล และไม่มใี บไม ้ใด ร่วงหล่นลงนอกจาก
พระองค์จะทรงรูม้ นั และไม่มเี มล็ดพืชใดซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดของแผ่นดิน และไม่มสี ่งิ ที่อ่อนนุ่มใด
และสิ่งที่แห้งใด นอกจากจะอยู ่ในบันทึกอันชัดแจ้ง
และเช่นกัน อะฮฺลุซซุนะฮฺ ยังมีความเชื่อว่าแม ้กระทัง่ ตัวท่านบีเองก็ไม่สามารถที่จะไปได้ถงึ ระดับของพระ
ผูเ้ ป็ นเจ้าได้ ดังที่พระองค์ได้กล่าวสัง่ ใช้แก่ท่านนบีว่า

39
อัลกาฟี เล่ม 1 หน้า 260 สํานักพิมพ์ ดารฺ อลั กุฏฏุบ อัลอิสลามียะฮฺ เมืองเตหะราน
40
หนังสื อ ‫ ﺑﺼﺎﺋﺮ ﺍﻟﺪﺭﺟﺎﺕ‬เล่ม 8 หน้าที่ 235
[6:50]จงกล่าวเถิด (มุฮมั มัด) ว่า ฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ที่ฉนั มีบรรดาคลังสมบัติของอัลลอฮ์ และ
ทัง้ ฉันก็ไม่รูส้ ่งิ เร้นลับ และฉันก็จะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันคือมะลัก ฉันจะไม่ปฏิบตั ิตาม นอกจากสิ่งที่ถูก
ให้เป็ นโองการแก่ฉนั เท่านัน้ จงกล่าวเถิด คนตาบอดกับคนตาดีนนั้ จะเท่าเทียมกันหรือ? พวกท่านไม่ใคร่ครวญ
ดอกหรือ?
และเมือ่ ตัวท่านนบีเองยังเป็ นมนุ ษย์ธรรมดาๆที่มไิ ด้ รูใ้ นสิ่งเร้นลับพ้นญาณวิสยั แล ้วเหตุไฉนชีอะฮฺจึงยก
บรรดาอิมามให้เหยียบหัวท่านนบีข้นึ ไปเพื่อเสมอเหมือนกับพระองค์อลั ลอฮฺได้ หรือนี่จะสอดคล ้องกับคํากล่าว
ของโคไมนี่ท่วี ่า
‫وان ﻣﻦ ﺿﺮورﻳﺎت ﻣﺰﻫﺒﻴﻨﺎ ان ﻻﺋﻤﺘﻨﺎ ﻣﻘﺎ ﻣﺎﻻﻳﺒﻠﻐﻪ ﻣﻠﻚ ﻣﻘﺮب وﻻ ﻧﱯ ﻣﺮﺳﻞ‬
และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากความจําเป็ นในมัสฮับของเราก็คือ สําหรับบรรดาอิมามของเรามีตาํ แหน่งซึ่ง
บรรดามลาอิกะฮฺผูใ้ กล ้ชิดและบรรดานบีผูถ้ ูกแต่งตัง้ มิอาจขึ้นไปถึงได้41
40 F

จงพิจารณาดูเถิดว่าชีอะฮฺหนั ห่างออกจากอัลกุรอานอย่างไร

๗. ชีอะฮฺกบั การตะกียะฮฺ
หนึ่งในวิทยายุทธ์อนั สําคัญที่ช่วยเหลือชีอะฮฺให้รอดพ้นจากการสูญพันธ์มาตลอดก็คือหลักการที่ถูกเรียก
กันว่า “ตะกียะฮฺ” ซึ่งหมายถึงการปกปิ ดอําพรางซ่อนเร้นหลักความเชื่อของตน สําหรับพวกเขานัน้ ตะกียะฮฺถอื
เป็ นภาระและหน้าที่ทางศาสนาที่ชอี ะฮฺทุกคนจะต้องยึดถือกระทําและดํารงปฏิบตั ิ ดังหลักฐานที่ปรากฏต่อไปนี้
‫ﻓﻤﻦ ﺗﺮﻛﻬﺎ ﻗﺒﻞ ﺧﺮوﺟﻪ ﻓﻘﺪ ﺧﺮج ﻋﻦ دﻳﻦ اﷲ‬-‫واﻟﺘﻘﻴﺔ واﺟﺒﺔ ﻻ ﳚﻮز ﻓﻌﻬﺎاﱄ ان ﳜﺮج اﻟﻘﺎﺋﻢ‬
‫وﺧﻠﻒ اﷲ ورﺳﻮﻟﻪ واﻻﺋﻤﺔ‬
และตะกียะฮฺคือวาญิบ ไม่เป็ นที่อนุ มตั ิท่จี ะละทิ้งมันจนกว่า “กออิม” (อิมาม) จะปรากฏตัว ผูใ้ ดก็ตามที่
ละทิ้งมันก่อนการปรากฏกายของเขา ถือว่าออกไปจากศาสนาของอัลลอฮฺและต่อต้านพระองค์ ศาสนทูตของ
พระองค์และบรรดาอิมาม 42 41F

‫ان ﺗﺴﻌﺔ اﻋﺸﺎر اﻟﺪﻳﻦ ﰲ اﻟﺘﻘﻴﺔ وﻻدﻳﻦ ﳌﻦ ﻻ ﺗﻘﻴﺔ ﻟﻪ‬


แท้จริงเก้าในสิบของศาสนานัน้ อยู ่ใน ตะกียะฮฺ และไม่ถอื ว่ามีศาสนาสําหรับผูท้ ่ไี ม่มตี ะกียะฮฺ 43
42F

‫ﻗﺎل اﺑﻮﻋﺒﺪاﷲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ﲰﻌﺖ اﰊ ﻳﻘﻮل ﻻ واﷲ ﻣﺎ ﻋﻠﻰ وﺟﻪ اﻷرض ﺷﻲء اﺣﺐ اﱄ‬
‫ﻣﻦ اﻟﺘﻘﻴﺔ ﻳﺎ ﺣﺒﻴﺐ اﻧﻪ ﻣﻦ ﻛﺎﻧﺖ ﻟﻪ ﺗﻘﻴﺔ رﻓﻌﻪ اﷲ ﻳﺎ ﺣﺒﻴﺐ ﻣﻦ ﱂ ﺗﻜﻦ ﻟﻪ ﺗﻘﻴﺔ وﺿﻌﻪ اﷲ‬

41
หนังสื อ “อัลฮุกุมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ” หน้า 52 โดย โคไมนี่ ฉบับตีพิมพ์ที่ เตหะราน
42
หนังสื อ ริ ซาละฮฺ อิอฺติกอดียะฮฺ หน้า 471
43
อัลกาฟี เล่ม 2 หน้า 217 สํานักพิมพ์ ดารอัลกุฏฏุบ อัลอิสลามียะฮฺ เตหะราน
อบูอบั ดุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยนิ บิดาของฉันกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ไม่มสี ่งิ ใดบนหน้าแผ่นดินนี้
จะเป็ นที่รกั ยิ่งของพระองค์อลั ลอฮฺมากไปกว่า ตะกียะฮฺ โอ้ฮะบีบ ใครก็ตามที่กระทําการตะกียะฮฺ อัลลอฮฺจะทํา
ให้เขาสูงส่ง โอ้ฮะบีบ ใครก็ตามที่ละทิ้งการตะกียะฮฺอลั ลอฮฺจะมอบความอับอายแก่เขา 44 43

เป็ นสิ่งที่น่าเศร้าใจเสียเหลือเกินสําหรับศีลธรรมของศาสนาที่ถูกทําลายโดยการตะกียะฮฺ คําสอนใน


ลักษณะดังกล่าวเป็ นเพียงเครื่องสนับสนุ นให้การโกหกของมนุษย์ย่งิ ขึ้นเท่านัน้ มิหนําซํา้ ผลจากคําสอนเรื่อง
ตะกียะฮฺยงั อาจจะส่งผลกระทบทางด้านพฤติกรรมอื่นในตัวของมนุ ษย์ เช่น การคดโกง การตระบัดสัตย์
ตลอดจนความบาปอื่นๆ ซึ่งนี่คือความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างซุนนะฮฺและชีอะฮฺ ที่ไม่เหลือช่องทาง
แม ้แต่นอ้ ยในความพยายามที่จะปรองดองกัน

๘. ชีอะฮฺกบั การเล่นมุตอะฮฺ
เรื่องราวอันแปลกประหลาดอีกประการหนึ่งในแนวทางชีอะฮฺนนั้ ก็คือ ชาวชีอะฮฺมกั จะนิยมการ “เล่น
มุตอะฮฺ” คําว่ามุตอะฮฺน้ คี วามหมายในเชิงภาษา(อาหรับ) หมายถึง ความปิ ติยนิ ดี,ความสนุกสนานและความ
ต้องการก็ได้ แต่ในหมูช่ าวชีอะฮฺคาํ นี้มคี วามหมายว่า “การแต่งงานชัว่ คราว ” ตามหลักนิติศาสตร์ของชาวชี
อะฮฺนนั้ เป็ นที่อนุ มตั ิท่ผี ูช้ ายจะมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยการแต่งงานชัว่ คราว สําหรับการเล่นมุตอะฮฺกนั
ระหว่างชายหญิงนัน้ สามารถกระทําได้ไม่ว่าจะเป็ นเวลาเพียงแค่ หนึ่งชัว่ โมง หนึ่งวัน หรือมากกว่านัน้ โดยทัง้ นี้
ระยะเวลาที่กาํ หนดก็ข้นึ อยู่กบั การตกลงของคนทัง้ สองฝ่ าย 45 44F

อย่างไรก็ตามการเล่นมุตอะฮฺกนั ในแนวทางชีอะฮฺย่อมไม่มอี ะไรกีดขวางเลยแก่คนหนุ่มสาว เพราะ


นอกจากจะเป็ นที่อนุ มตั ิแล ้ว การเล่นมุตอะฮฺยงั เป็ นอิบาดัตที่ประเสริฐยิ่งกว่าการละหมาด การถือศีลอด และ
การทําฮัจญ์ดว้ ยซํา้ จากหลักฐานต่างๆเหล่านี้

‫ﻗﺎل اﺑﻮ ﻋﺒﺪاﷲ ﻣﺎ ﻣﻦ رﺟﻞ ﲤﺘﻊ ﰒ اﻏﺘﺴﻞ اﻻ ﺧﻠﻖ اﷲ ﻛﻞ ﻗﻄﺮة ﺗﻘﻄﺮ ﻣﻨﻪ ﺳﺒﻌﲔ ﻣﻠﻜﺎ‬
‫ﻳﺴﺘﻐﻔﺮون ﻟﻪ اﱄ ﻳﻮم اﻟﻘﻴﻤﺔ‬
“ อบูอบั ดุลลอฮฺได้กล่าวว่า: ไม่มชี ายคนใดที่เขาได้ทาํ การมุตอะฮฺ หลังจากนัน้ เขาได้อาบนํา้ นอกเสียจาก
ว่าอัลลอฮฺจะสร้างมาลาอิกะฮฺข้นึ มา 70 ท่าน จากนํา้ ทุกหยดที่หยดออกมาจากตัวเขา โดยที่มาลาอิกะฮฺเหล่านัน้
จะทําการขออภัยโทษให้แก่เขาจนถึงวันกิยามะฮฺ ” 46 45F

‫ﻗﻞ اﻟﻨﱯ ﺿﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﻣﺮة واﺣﺪة ﻋﺘﻖ ﺛﻠﺜﻪ ﻣﻦ اﻟﻨﺎر وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﻣﺮﺗﲔ ﻋﺘﻖ ﺛﻠﺜﺎﻩ‬
‫ﻣﻦ اﻟﻨﺎر وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﺛﻼث ﻣﺮات ﻋﺘﻖ ﻛﻠﻪ ﻣﻦ اﻟﻨﺎر‬

44
เล่มเดียวกัน
45
รายละเอียดเกีย่ วกับข้อปฏิบตั ิในการเล่นมุตอะฮฺ มีรายละเอียดมากมายกรุ ณาดูใน อัลกะฟี ย์ เล่ม 5 หน้า 449, ฟุรุอุลกาฟี ย์ เล่ม 2 หน้า
189 และ ตะรี ล อัลวะซีละฮฺ เล่ม 2 หน้า 292
46
บุรฮาน อัล- มุตอะฮฺ หน้า 50
ผูใ้ ดก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺเพียงแค่ครัง้ เดียว หนึ่งในสามของเขาจะรอดพ้นจากนรก และผูใ้ ดก็ตามที่เล่น
มุตอะฮฺสองครัง้ สองในสามของเขาจะรอดพ้นจากไฟ และเช่นนัน้ แหละ บุคคลผูซ้ ่งึ เล่นมุตอะฮฺสาํ เร็จ
จนถึงสามครัง้ เขาจะได้รบั การปกป้ องจากไฟนรกทัง้ ปวง 47 46F

‫ﻗﻞ اﻟﻨﱯ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﻣﺮة ﻓﺪ رﺟﺘﻪ ﻛﺪ رﺟﺔ اﳊﺴﲔ وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﻣﺮ ﺗﲔ ﻓﺪ رﺟﺘﻪ ﻛﺪ رﺟﺔ اﳊﺴﻦ‬
‫وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﺛﻼث ﻣﺮات ﻓﺪرﺟﺘﻪ ﻛﺪرﺟﺔ ﺗﺎﻋﻠﻲ وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ارﺑﻊ ﻣﺮات درﺟﺘﻪ ﻛﺪرﺟﱵ‬
ผูใ้ ดก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺจนสําเร็จแม ้แค่ครัง้ เดียว ตําแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับท่านฮุเซน และใครที่เล่น
มุตอะฮฺสองครัง้ ตําแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับฮะซัน และเช่นนัน้ แหละ บุคคลที่เล่นมุตอะฮฺสามครัง้ เขา
ได้ไปถึงตําแหน่งของท่านอะลี และใครก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺครัง้ ที่ส่เี ขาย่อมไปถึงตําแหน่งของท่านนบี 48 47F

‫ﻗﺎل اﺑﻮ ﺟﻌﻔﺮ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ان اﻟﻨﱯ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﱂ اﺳﺮي ﺑﻪ اﱄ اﻟﺴﻤﺎء ﻗﺎل ﳊﻘﻴﲏ ﺟﱪﻳﻞ ﻋﻠﻴﻪ‬
‫اﻟﺴﻼم ﻓﻘﺎل ﻳﺎ ﳏﻤﺪ ان اﷲ ﺗﺒﺎرك وﺗﻌﺎﱄ ﻳﻘﻮل اﱐ ﻗﺪ ﻏﻔﺮت ﻟﻠﻤﺘﻤﺘﻌﲔ ﻣﻦ اﻣﺘﻚ ﻣﻦ اﻟﻨﺴﺎء‬
อบูญะอฺฟรั ได้กล่าวว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึง เหตุการณ์ของการเดินทางสู่ฟากฟ้ าในคํา่ คืน(อิสรออฺ
มิร็อจ) ว่า ญิบรีลได้มาพบฉันและกล่าวแก่ฉนั ว่า โอ้มฮุ มั มัด พระองค์อลั ลอฮฺได้ป่าวประกาศไว้ว่า แท้จริง ข ้า
ได้อภัยแก่สตรีทงั้ หมดเหล่านัน้ จากอุมมะฮฺของเจ้าที่ได้มสี ่วนร่วมในมุตอะฮฺ 49 48F

ชาวชีอะฮฺนนั้ มักจะอ้างเหตุผลง่ายๆเพื่อรองรับการเล่นมุตอะฮฺว่ามันเป็ นการแก้ไขปัญหาสังคม ที่


เกิดขึ้นระหว่างชายหญิง เพราะชายหญิงหากไม่ได้เป็ นคู่ครองกันนัน้ ไปไหนมาไหนด้วยกันย่อมถือว่าหะรอม
ดังนัน้ จึงได้มกี ารอนุ มตั ิมตุ อะฮฺข้นึ มา เกี่ยวกับข ้ออ้างนี้นนั้ ข ้าฯขอตอบว่าเป็ นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี อิสลามถือว่า
ความสุขสําราญทางเพศไม่ใช่เป้ าหมายหลักของการแต่งงานเลย และนัน่ คือเหตุผลที่ว่าทําไมอิสลามจึงไม่เห็น
ด้วยกับการหย่าร้างนอกจากตัวเลือกสุดท้ายแล ้วจริงๆ เพราะมนุ ษย์มใิ ช่จะง่ายดายที่คิดจะสมสู่กบั ใครก็
กระทําและเมือ่ เสร็จกามกิจก็หย่ากัน ลองคิดดูเถิดว่าคู่ท่มี ตุ อะฮฺกนั จะไม่เป็ นเพียงแค่ความรักและชีวติ คู่ท่ลี วง
หลอกและเจ็บปวดดอกหรือ? การที่ฝ่ายชายไม่ตอ้ งมีพนั ธะรับผิดชอบผูห้ ญิงแม ้ว่านางจะท้องขึ้นมาหลังจาก
เสร็จสิ้นการมุตอะฮฺแล ้วนี่คือการแก้ไขปัญหาสังคมตามสติปญั ญาของชีอะฮฺเหรอ เด็กนัน้ ร้อยนับพันจะไม่มพี ่อ
นี่คือทางออกและการแก้ปญั หาหรือ และจงถามลึกๆในใจของพวกเชคชีอะฮฺตนั หากลับทัง้ หลายดูสวิ ่า หากเป็ น
ลูกสาวของมันเองจะยอมให้ชายอื่นๆมามุตอะฮฺไหม? บางครัง้ ความถูกผิดของเรื่องบางเรื่องมันบ่งบอกได้จาก
ความรูส้ กึ จิตใต้สาํ นึก หากแม ้นมุตอะฮฺเป็ นสิ่งที่ถูกจริง เหตุใดเมือ่ ชายมุสลิมหยอกผูห้ ญิงชีอะฮฺดว้ ยคําว่า “มา
มุตอะฮิดว้ ยกันไหม” ทําไมผูห้ ญิงชีอะฮฺตอ้ งโกรธด้วยล่ะ ในเมือ่ มันถูกต้อง ปล่าวเลย ที่โกรธเพราะใจก็รูอ้ ยู ่
ลึกๆว่ามันไม่ถูกต้อง

47
มินฮัจ�ุสซอดิกนี หน้า 256
48
หนังสื อ ตัฟซีร มินฮาจ อัศศอดิกนี หน้าที่ 256
49
หนังสื อ มันลายะฮฺฎุรุ ฮุลฟะกีฮฺ เล่ม 3 หน้า 150
๙. ความแปลกประหลาดทางนิ ติศาสตร์
ในความเป็ นจริงนัน้ ประเด็นความขัดแย้งทางฟิ กฮฺเป็ นสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานมาตลอดในอุมมะฮฺของ
อิสลาม และเป็ นเรื่องธรรมดาที่ความเห็นทางด้านนิติศาสตร์อิสลามจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสํานัก
คิด เฉพาะในฝ่ ายของอะฮฺลุซซุนนะฮฺวลั ญะมะอะฮฺ เองก็มคี วามเห็นทางด้านนิติศาสตร์ท่แี ตกออกเป็ นสํานัก
คิดใหญ่ๆอยู ่ส่สี าํ นักหรือ “มัสฮับทัง้ 4◌” ً หากแต่ว่าสํานักนิติศาสตร์ทงั้ สี่ต่างก็ล ้วนมีความเห็นทางนิติศาสตร์
อิสลามในประเด็นปลีกย่อยและจํากัดขอบเขตอยู ่ในกรอบของอัลกุรอานและอัลหะดีษ แต่ในขณะเดียวกัน
ชีอะฮฺซ่งึ เป็ นกลุม่ ที่อา้ งตัวเองว่าดําเนินรอยตามสํานักนิติศาสตร์ของท่าน ญะอฺฟรั อัศศอดิก ผูเ้ ป็ นส่วนหนึ่ง
จากอะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านนบี(ศ็อลฯ) หรือที่เรียกกันว่า “มัสฮับญะอฺฟะรียะฮฺ ” นัน้ กลับไม่ได้มแี ก่นแท้ใน
แนวคิดของท่านญะอฺฟรั อัศศอดิก เลยแม ้แต่นอ้ ย สืบเนื่องจากว่าในบรรดานักนิติศาสตร์ของฝ่ ายชีอะฮฺนนั้
แทบไม่มแี ม ้แต่คนเดียวที่ราํ ่ เรียนและเคยพบกับตัวของท่านญะอฺฟรั อัศศอดิก หากจะมองถึงอิทธิพลทาง
ความคิดของท่านญะอฺฟรั อัศศอดิก ในด้านนิติศาสตร์อิสลามที่มตี ่อแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ
ก็ดูจะเยอะและมีนาํ ้ หนักกว่าฝ่ ายชีอะฮฺอยู ่มากโข นัน้ ก็เพราะว่าท่านอิมามมาลิก เป็ นหนึ่งในสานุศิษย์คนสําคัญ
ของท่านญะอฺฟรั อัศศอดิก และอิมามชาฟี อียต์ ลอดจนท่านอิมาม อะฮฺมดั อิบนฺ ฮันบัล ก็ล ้วนได้รบั ความรูม้ า
จากท่านอิมามมาลิกลงมาอีกทอดหนึ่งทัง้ สิ้น แต่ในขณะเดียวกันฝ่ ายชีอะฮฺซ่งึ อ้างตัวเองว่าดําเนินแนวทาง
ตามมัสฮับญะอฺฟะรียะฮฺ กลับมีตาํ ราด้านนิติศาสตร์ท่ถี ูกเรียบเรียงขึ้นมาหลังการเสียชีวติ ไปแล ้วของท่านญะอฺ
ฟัร อัศศอดิก เป็ นศตวรรษด้วยซํา้ !! ในบรรดาตําราที่จดั ได้ว่าเก่าแก่ท่สี ุดและเป็ นพื้นฐานแก่ฟิกฮฺของฝ่ ายชี
อะฮฺนนั้ มีทงั้ หมด 4 เล่มดังนี้
๑. อัลกาฟี ย ์ เขียนโดย กุลยั นีย ์ หลังการเสียชีวติ ของท่านญะอฺฟรั เกือบ 130 ไปแล ้ว
๒. มันลายะฮฺฎรุุ ฮุลฟะกีฮฺ เขียนโดย มุฮมั มัด บินอะลี อิบนุ บะบาวัยฮฺ อัลกุมมี หลังการเสียชีวติ ของ
ท่านญะอฺฟรั เกือบ 230 ปี ไปแล ้ว
๓. ตะฮฺซบี อัลอะฮฺกาม
๔. อัลอิสติบศ็อร สองเล่มสุดท้ายนี้เขียนโดย มุฮมั มัด บินฮะซัน หลังการเสียชีวติ ของท่านญะอฺฟรั เกือบ
310 ปี ไปแล ้ว

ด้วยเหตุน้ ีเมือ่ พิจารณาถึงข ้อเท็จจริงเหล่านี้ก็คงเพียงพอแล ้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าระหว่างอะฮฺลุซซุนนะฮฺ


วัลญะมะอะฮฺ กับ ชีอะฮฺ นัน้ ใครกันแน่ท่แี อบอ้างอะฮฺลุลบัยตฺมาเป็ นจุดขาย และใครกันแน่ท่อี ยู่บนแนวทาง
ของอะฮฺลุลบัยตฺท่แี ท้จริง !!! อย่างไรก็ตามในหัวข ้อนี้ผูเ้ ขียนประสงค์ท่จี ะเสนอให้ผูอ้ ่านได้แลเห็นถึงความ
ผิดเพี้ยนในทางนิติศาสตร์ของฝ่ ายชีอะฮฺ โดยเลือกเฉพาะประเด็นที่เห็นว่าขัดแย้งกับตัวบทหลักฐานอย่างชัด
แจ้งและไม่สอดคล ้องกับหลักการของเหตุผลและศีลธรรมอันดีงามของอิสลาม
‫ وﻗﺪ روي أن‬، ‫ ﺑﻞ ﻗﻴﻞ ا�ﺎ أﻓﻀﻞ ﻣﻦ اﳌﺴﺎﺟﺪ‬، ‫ﺗﺴﺘﺤﺐ اﻟﺼﻼة ﰲ ﻣﺸﺎﻫﺪ اﻻﺋﻤﺔ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم‬
‫اﻟﺼﻼة ﻋﻨﺪ ﻋﻠﻲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ﲟﺎﺋﱵ أﻟﻒ‬
ถือเป็ นสิ่งที่สมควรในการที่จะละหมาดในสุสานของบรรดาอิหม่ามต่างๆ ( อะลัยอิสสลาม ) แต่มกี ล่าว
ว่า การละหมาดในสถานที่เช่นนัน้ ถือว่ามีความประเสริฐกว่าบรรดามัสยิดต่างๆ และได้มรี ายงานมาว่า การ
ละหมาด ณ กุบุรของท่านอะลีย(์ อะลัยอิสสลาม ) นัน้ ประเสริฐกว่าสถานที่อ่นื ถึง 2 แสนเท่า” 50

เป็ นเรื่องที่น่าแปลกใจและเสียใจเสียเหลือเกิน ที่มสั ยิดอื่นๆที่นอกเหนือจากมัสยิดทัง้ สาม(มัสยิดฮะรอม


มัสยิดนะบะวี และมัสยิดอัลอักศอ) จะถูกยกขึ้นมาให้มคี วามสําคัญ อีกทัง้ ยังมีผลบุญแก่ผูล้ ะหมาดจน
เทียบเท่าได้กบั มัสยิดทัง้ สามอันเป็ นมัสยิดที่ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน คําฟัตวาดังกล่าวนํามาจากบรรดาหนังสือ
ของนักปราชญ์อาวุโสของโลกชีอะฮฺยุคปัจจุบนั ทัง้ สิ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้นนั้ ข ้าพเจ้าประสงค์อยากจะยกเอา
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อิสลามตอนหนึ่งมาเป็ นอุทาหรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องดังกล่าวก็คือเหตุการณ์ของ
การเปลีย่ นกิบลัตจากมัสยิดอัลอักซอไปเป็ นมัสยิดอัลฮะรอมที่มกั กะฮฺแทน ซึ่งภายหลังจากเหตุการณ์ในการ
เปลีย่ นกิบลัตในครัง้ นี้นนั้ ได้ทาํ ให้บรรดาชาวยิวและคริสต์เตียนเกิดความขัดข ้องหมองใจว่า อะไรเล่าที่ทาํ ให้
พวกมุสลิมหันออกไปจากกิบลัตของพวกเขาที่บยั ตุลมักดิส ที่พวกเขาเคยผินไป อย่างไรก็ตามพระองค์อลั ลอฮฺ
ได้ทรงตอบพวกเขากลับไปว่า
จงกล่าวเถิด(มุอมั มัด) ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้นเป็ นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรง
แนะนํ าผูท้ ่พี ระองค์ทรงประสงค์ไปสูท่ างอันเที่ยงตรง51
50

หากเราพิจารณาโองการนี้อย่างลึกซึ้งเราจะพบว่า แม ้กระทัง่ มัสยิดอัลอักซอและมัสยิดอัลฮะรอมอัน


ยิ่งใหญ่ พระองค์อลั ลอฮฺก็ยงั กล่าวในเชิงที่ทาํ ให้มนุษย์นนั้ ไม่ยดึ ติดกับสถานที่อนั เป็ นวัตถุส่งิ ของในการทําอิ
บาดัตต่อพระองค์ เพราะพระองค์เองยังทรงได้กล่าวว่าพระองค์คือ
พระเจ้าแห่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และสิ่งที่อยูใ่ นระหว่างทัง้ สอง52 51

และพระองค์ยงั ทรงได้กล่าวอีกว่า
หาใช่คุณธรรมไม่ การที่พวกเจ้าผินหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกแต่ทว่า
คุณธรรมนั้นคือผูท้ ่ศี รัทธาต่ออัลลอฮ์…53

50
หนังสื อ ‫اﻟﺼﺎﳊﲔ‬ ‫ ﻣﻨﻬﺎج‬ของ ซัยยิดอะลี อัลซิสตานี เล่มที่ 1 หน้า 187
หนังสื อ ‫ ﻣﻨﻬﺎج اﻟﺼﺎﳊﲔ‬ของ อัลคูอีย ์ เล่มที่ 1 หน้า 147
หนังสื อ ‫ ﻛﺘﺎب اﻟﺼﻼة‬ของ อัลคูอีย ์ เล่มที่ 2 หน้า 233
หนังสื อ ‫اﻟﻌﺮوة‬‫ ﻣﺴﺘﻤﺴﻚ‬ของ ซัยยิด มุฮฺซิน อัลฮะกีม เล่ม 5 หน้า 519
หนังสื อ ‫ ﻣﻨﻬﺎج اﻟﺼﺎﳊﲔ‬ของ ซัยยิด มุฮมั มัด อัรรูฮานีย ์ เล่ม 1 หน้า 159
หนังสื อ ‫ اﻟﻌﺮوة اﻟﻮﺛﻘﻰ‬ของ ซัยยิด อัลยัสดี เล่ม 2 หน้า 402
หนังสื อ ‫ ﻛﻠﻤﺔ اﻟﺘﻘﻮى‬ของ ชัยคฺมุฮมั มัด อะมีน ซัยนุดดีน เล่ม 1 หน้า 356
51
ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ 142
52
ซูเราะฮฺ อัชชุอะรออฺ อายะฮฺ 28
53
ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ 177
จากโองการดังกล่าวข ้างต้นเพื่อที่จะแสดงว่าการมุง่ เน้นแต่ในเรื่องรูปแบบของศาสนาทางด้านภายนอกจน
เกินเหตุนนั้ มิได้ก่อประโยชน์อะไร จึงได้มกี ารชี้ออกมาเป็ นตัวอย่างว่า การที่เราจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
หรือตะวันตกในการนมาซนัน้ ไม่ได้เป็ นเรื่องคุณธรรมแต่ประการใด เพียงแต่ตอ้ งการจะกล่าวว่าการปฏิบตั ิ
พิธีกรรมหรือรู ปแบบทางศาสนานัน้ มิใช่คุณธรรมที่แท้จริงและไม่มคี วามสําคัญหรือมีค่ากับพระองค์อลั ลอฮฺ
เลย ด้วยเหตุน้ เี ราจึงพบเห็นได้จากโองการเหล่านี้ว่าแม ้กระทัง่ มัสยิดอัลอักซอ อันเป็ นมัสยิดหนึ่งในสามมัสยิด
ที่ย่งิ ใหญ่ท่สี ุดของอิสลาม พระองค์อลั ลอฮฺก็ได้กล่าวในเชิงว่าความประเสริฐที่แท้จริงของการละหมาดและ
คุณธรรมนัน้ อยู ่ท่มี นุ ษย์ละหมาดด้วยความศรัทธาต่างหาก อย่างไรก็ตามสําหรับชาวอะฮฺลุซซุนะฮฺ วัลญะ
มะอะฮฺ นัน้ มีความเชื่อว่าการละหมาดในมัสยิดทัง้ สามนัน้ มีความประเสริฐและผลบุญอันยิ่งใหญ่อนั สืบ
เนื่องจากว่ามัสยิดทัง้ สามนัน้ ถูกกล่าวไว้อย่างมีเกียรติในอัลกุรอานและเป็ นมัสยิดที่มคี วามเกี่ยวพันกับบรรดา
รอซูลของพระองค์อลั ลอฮฺมาอย่างยาวนาน ผิดกับสุสานหรือมัสยิดของบรรดาอิมามที่ชอี ะฮฺนบั ถือ นอกจากจะ
ไม่ได้เป็ นมัสยิดที่เกี่ยวพันใดๆกับหลักการของอัลอิสลามแล ้ว ยังเป็ นสถานที่แห่งการเคารพบูชาสุสานและ
พิธีกรรมชิริกมากมาย ดังนัน้ จึงน่าสงสัยอยู ่ท่วี ่าการที่อุลามะอฺชอี ะฮฺตดั สินว่าการละหมาดในมัสยิดของบรรดาอิ
มามนัน้ มีผลบุญอันมหาศาลเทียบเท่ากับมัสยิดอัลอักซอนัน้ เหล่าชีอะฮฺมเี จตนาอะไร ? หรือต้องการลด
ความสําคัญของมัสยิดทัง้ สามอันประดิษฐานอยู่บนผืนแผ่นดินของชาวอะฮฺลุซซุนะฮฺซ่งึ จะเป็ นการนําพาชาว
ชีอะฮฺให้มาจมปลักและเยี่ยมเยียนเฉพาะมัสยิดที่อยู่แต่ในประเทศ อิรคั และอิหร่าน เท่านัน้ ใช่หรือไม่ ?
นอกจากนี้การที่คาํ ฟัตวาดังกล่าวระบุว่า “การละหมาด ณ กุบุรของท่านอะลีย(์ อะลัยอิสสลาม ) นัน้ ประเสริฐ
กว่าสถานที่อ่ืนถึง 2 แสนเท่า” นัน้ ย่อมนําพามาซึ่งข ้อสงสัยที่ว่าประเสริฐกว่ามัสยิดทัง้ สามหรือไม่? เพราะการที่
ไม่มกี ารระบุยกเว้นมัสยิดทัง้ สามย่อมทําให้เข ้าใจไปโดยปริยายว่าการละหมาดในกุบุรของท่านอะลีนนั้ ประเสริฐ
กว่าการละหมาดในทัง้ สาม ข ้าพเจ้ามีความปรารถนาจะขอนําเสนอภาพถ่ายที่ยนื ยันข ้อสันนิษฐานนี้ได้เป็ นอย่าง
ดี
ภาพที่ท่านผูอ้ ่านได้เห็นไปแล ้วนัน้ คือประจักษ์พยานได้เป็ นอย่างดี ในภาพจะปรากฏพบเห็นอาคารจําลอง
ของกะอฺบะฮฺและด้านหลังนัน้ คือ มัสยิดอันโด่งดังของชาวชีอะฮฺ(โดมทอง) ในประเทศอิรคั !! ดังนัน้ การที่ชอี ะฮฺ
ได้สร้างกะบะฮฺเองขึ้นมาใหม่แล ้วนําไปไว้เคียงคู่กบั มัสยิดของบรรดาอิมามชีอะฮฺ เพื่อประกอบการอิบาดัต นัน้
ย่อมหมายถึงอะไร!!!

‫ اذا اﺗﻰ اﻟﺮﺟﻞ اﳌﺮأة ﰲ اﻟﺪﺑﺮ وﻫﻲ ﺻﺎﺋﻤﺔ ﱂ ﻳﻨﻘﺾ ﺻﻮﻣﻬﺎ وﻟﻴﺲ‬:‫ﻋﻦ ا ﰉ ﻋﺒﺪ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ﻗﻞ‬
‫ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻏﺴﻞ‬
จากอบีอบั ดิลละฮฺ กล่าวว่า หากผูช้ ายได้มเี พศสัมพันธ์ทางทวารหนักกับสตรีในขณะที่นางกําลังถือศีลอด มัน
ไม่ทาํ ให้การถือศีลอดของนางเป็ นโมฆะหรือต้องอาบนํา้ ฆุสุล(อาบนํา้ ยกฮะดัษ)54 53F

จากหลักฐานข ้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างกับหลักการของพี่นอ้ งมุสลิมทัว่ โลกถึงสามประการนัน่ คือ


การที่อนุมติในร่วมประเวณี ได้ขณะที่ศีลอด,การอนุ มตั ิให้สงั วาสทางทวารหนักของสตรีได้และการอนุ โลมไม่
ต้องอาบนํา้ ชําระล ้างร่างกายหลังการประกอบกามกิจ!!! นี่คือศาสนาแห่งสัจธรรมหรือ ?

‫ وﻣﻦ ﻛﺎن ﻣﻦ أﻫﻠﻲ ﻓﺎﻧّﻪ‬، ‫وﻋﻠﻲ وﻓﺎﻃﻤﺔ واﳊﺴﻦ واﳊﺴﲔ‬ ّ ‫ﻻ ﳛﻞ ﻻﺣﺪ أن ﳚﻨﺐ ﰲ ﻫﺬا اﳌﺴﺠﺪ اﻻ أﻧﺎ‬
‫ﻣﲏ‬
ّ
ไม่เป็ นที่อนุ มตั ิท่คี นหนึ่งคนใดจะเข ้าไปในมัสยิดนี้ในสภาพที่มญี ะนะบะฮฺ(มลทินทางร่างกายที่เกิดขึ้นจากการ
ร่วมประเวณี )ยกเว้นตัวฉัน อะลี ฟาติมะฮฺ ฮาซัน ฮุเซนและใครก็ตามที่คือส่วนหนึ่งจากครอบครัวของฉัน55 54F

ท่านผูอ้ ่านจงพิจารณาเถิดว่าชาวชีอะฮฺได้ทาํ ให้เรื่องของศาสนากลายเป็ นเรื่องเหลวไหลและไม่กินกับ


สติปญั ญาของพี่นอ้ งมุสลิมทัว่ โลกได้อย่างไร
1 : ‫ﻣﺴﺄﻟﺔ‬
‫ و ﻛﺬا ﻻ ﳛﺮم اﻟﻌﻤﻞ ﰱ اﳋﻨﺜﻰ ﻟﻴﺼﲑ‬، ‫اﻟﻈﺎﻫﺮ ﻋﺪم ﺣﺮﻣﺔ ﺗﻐﻴﲑ ﺟﻨﺲ اﻟﺮﺟﻞ ﺑﺎﳌﺮأة ﺑﺎﻟﻌﻤﻞ و ﺑﺎﻟﻌﻜﺲ‬
‫ و ﻫﻞ ﳚﺐ ذﻟﻚ ﻟﻮ رأت اﳌﺮأة ﰱ ﻧﻔﺴﻬﺎ ﲤﺎﺛﻼت ﻣﻦ ﺳﻨﺦ ﲤﺎﺛﻼت اﻟﺮﺟﻞ أو‬، ‫ﻣﻠﺤﻘﺎ ﺑﺄﺣﺪ اﳉﻨﺴﲔ‬
‫ﺑﻌﺾ آﺛﺎر اﻟﺮﺟﻮﻟﻴﺔ أو رأى اﳌﺮء ﰱ ﻧﻔﺴﻪ ﲤﺎﺛﻼت اﳉﻨﺲ اﳌﺨﺎﻟﻒ أو ﺑﻌﺾ آﺛﺎرﻩ ؟ اﻟﻈﺎﻫﺮ ﻋﺪم وﺟﻮﺑﻪ‬
‫ إذا ﻛﺎن اﻟﺸﺨﺺ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﻣﻦ ﺟﻨﺲ و ﻟﻜﻦ أﻣﻜﻦ ﺗﻐﻴﲑ ﺟﻨﺴﻴﺘﻪ ﲟﺎ ﳜﺎﻟﻔﻪ‬.
เป็ นที่ชดั แจ้งว่า มันไม่ได้เป็ นที่ตอ้ งห้ามในการผ่าตัดแปลงเพศ(ไม่ว่าจะเป็ นจาก)ผูช้ ายเป็ นผูห้ ญิง หรือผูห้ ญิง
เป็ นผูช้ าย นอกจากนัน้ มันยังไม่เป็ นที่ตอ้ งห้าม ในการผ่าตัดบุคคลที่มสี องเพศเพื่อเปลีย่ นแปลงตัวเขาให้เป็ น
อย่างใดอย่างหนึ่ง 56 55F

54
หนังสื อ นิฮายะตุลอิฮฺกาม ฟิ มะอฺรีฟาตุลอะฮฺกาม เล่ม 7 หน้า 460 หมายเลขที่ 1843 ของ อัลลามะฮฺ อัลฮิลลี
55
หนังสื อ ‫ وﺳﺎﺋﻞ اﻟﺸﻴﻌﺔ‬ของ ฮัรรุ ล อามีลี เล่มที่ 20 หน้า 256-257
56
หนังสื อ ‫ ﲢﺮﻳﺮاﻟﻮﺳﻴﻠﺔ‬ของ โคไมนี่ เล่มที่ 2 หน้าที่ 210 และจากเว็บไซต์ศูนย์กลางของโลกชีอะฮฺ
นอกจากนี้ อัรรู ฮานี นักปราชญ์ของชีอะฮฺชาวอิหร่านยังได้ตอบเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ว่ามันเป็ นที่อนุ
มติและไม่มเี หตุผลใดๆในการห้ามการกระทําดังกล่าว57 มันเป็ นไปได้อย่างไรที่เรื่องเหล่านี้เป็ นที่อนุมตั ิน่าเศร้า
56

ใจเหลือเกินว่าเหล่าชีอะฮฺนอกรีตยังคงศรัทธาในคําสอนอันผิดเพี้ยนของเขา
ทัง้ หมดเหล่านี้คือตัวอย่างเพียงน้อยนิดจากความผิดเพี้ยนของลัทธิชอี ะฮฺในเชิงนิติศาสตร์ ซึ่งคง
เพียงพอแล ้วที่จะเป็ นอุทาหรณ์แก่ผูท้ ่คี ิดจะเข ้ารีตเป็ นชีอะฮฺได้อย่างดี

๑๐. ชีอะฮฺกบั ความเชื่อที่มีต่อพี่นอ้ งมุสลิม


ชีอะฮฺเป็ นอีกกลุม่ หนึ่งที่พยายามแสดงตัวว่าเป็ นกลุม่ คนที่รกั สันติและถือความเป็ นเอกภาพและพี่นอ้ ง
ระหว่างมุสลิมด้วยกัน พร้อมกันนี้ก็ได้มคี วามพยายามที่จะยัดเยียดการ “ตักฟิ ร” หรือการตัดสินผูอ้ ่นื ว่าเป็ น
กาฟิ รแก่พ่นี อ้ งมุสลิมกลุม่ อื่นๆ อย่างเช่นกลุม่ สะลาฟี ย ์ หรือที่ชอี ะฮฺพยายามให้ฉายาว่าเป็ นวะฮาบีเป็ นต้น แต่
สําหรับผูท้ ่ศี ึกษาศาสนาชีอะฮฺมาอย่างดีแล ้วนัน้ ก็คงจะทราบดีว่า “คอวาริจญ์” ยุค 2000 หรือญะมาอะฮฺตกั ฟิ ร
ตัวจริงก็คือชีอะฮฺนนั ่ เอง หากแม ้นเราพิจารณากันในจุดตรงที่ว่าบรรดาซอฮาบะฮฺโดยเฉพาะคอลีฟะฮฺสามแท่น
แรกยังถูกตัดสินจากชีอะฮฺว่าเป็ นกาฟิ ร ดังนัน้ พวกเราทัง้ หลายที่ดาํ เนินรอยตามคอลีฟะฮฺทงั้ สามจะรอดพ้นจาก
คําพิพากษาแห่งความอธรรมเยี่ยงนี้หรือ ข ้าฯประสงค์ท่จี ะนําเสนอหลักฐานบางส่วนแด่พ่นี อ้ งมุสลิมเพื่อให้เรา
ได้ตระหนักกันถึงจุดยืนอันแท้จริงของลัทธิชอี ะฮฺท่มี ตี ่อพี่นอ้ งมุสลิม
อัลลามะฮฺ ชัยคฺ อัศศอดูก หนึ่งในผูร้ ูช้ อี ะฮฺคนสําคัญเจ้าของตํารา “มันลายะฮฺฎรุุ ฮุลฟะกีฮฺ” 58 ได้กล่าวไว้
57F

ว่า
‫ أﻧﻪ ﻛﻤﻦ‬:‫واﻋﺘﻘﺎدﻧﺎ ﻓﻴﻤﻦ ﺟﺤﺪ إﻣﺎﻣﺔ أﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻋﻠﻴﻬﻤﺎ اﻟﺴﻼم واﻻﺋﻤﺔ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ‬
‫ﺟﺤﺪ ﻧﺒﻮة ﲨﻴﻊ اﻻﻧﺒﻴﺎء ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم‬.
‫ أﻧﻪ ﲟﻨﺰﻟﺔ‬:‫واﻋﺘﻘﺎدﻧﺎ ﻓﻴﻤﻦ أﻗﺮ ﺑﺄﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم وأﻧﻜﺮ واﺣﺪا ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ ﻣﻦ اﻻﺋﻤﺔ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم‬
‫ﻣﻦ أﻗﺮ ﲜﻤﻴﻊ اﻻﻧﺒﻴﺎء ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم وأﻧﻜﺮ ﻧﺒﻮة ﻧﺒﻴﻨﺎ ﳏﻤﺪ ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وآﻟﻪ‬
และความเชื่อของพวกเรา(ชาวชีอะฮฺ)ต่อบรรดาผูท้ ่ไี ม่ศรัทธาต่ออิมามะฮฺซ่งึ ก็คือท่านอมีรุลมุอฺมนิ ีน อะลี บินอ
บีตอลิบและอิมามคนอื่นๆหลังจากท่านอะลี ก็เป็ นเช่นเดียวกันกับบรรดาผูท้ ่ไี ม่ศรัทธาต่อนุบูวะฮฺ(ตําแหน่งการ
เป็ นนบี)ของบรรดาอัมบิยะอฺอลัยฮิมสุ สลาม และความเชื่อของเราต่อบรรดาผูท้ ่ศี รัทธาในอิมามะฮฺของท่านอะลี
แต่ไม่ศรัทธาในอิมามะฮฺของบรรดาอิมามคนหนึ่งคนใดหลังจากท่าน ก็เป็ นเช่นเดียวกันกับบรรดาผูท้ ่ศี รัทธาใน
นุบูวะฮฺของบรรดาอัมบิยะอฺแต่ไม่ศรัทธาต่อนุบูวะฮฺของท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)!!!59 58F

http://www.al-shia.info/html/ara/boo…r/tahrir2d.htm
57
http://www.imamrohani.com/fatwa-ar/viewtopic.php?t=1497 นอกจากนี้ผลจากการอนุมตั ิเหล่านี้ได้ทาํ ให้กลุ่มเพศที่สาม
พรั่งพรู ข้ นึ ในประเทศอิหร่ าน ท่านสามารถดูได้จากสารคดีน้ ี http://www.youtube.com/watch?v=Pt9oZlOU5UE
58
เป็ นตําราชั้นรองมาจาก อัลกะฟี ย์ เทียบได้กบั ซอเฮี๊ยฮฺมุสลิมของชาวซุนนี
59
อัลอิอฺติกอ็ ด หน้า 78 ของชัยคฺ อัศศอดูก
‫اﺗﻔﻘﺖ اﻻﻣﺎﻣﻴﺔ ﻋﻠﻰ أن ﻣﻦ أﻧﻜﺮ إﻣﺎﻣﺔ أﺣﺪ ﻣﻦ اﻻﺋﻤﺔ وﺟﺤﺪ ﻣﺎ أوﺟﺒﻪ اﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻟﻪ ﻣﻦ ﻓﺮض اﻟﻄﺎﻋﺔ‬
‫ﻓﻬﻮ ﻛﺎﻓﺮ ﺿﺎل ﻣﺴﺘﺤﻖ ﻟﻠﺨﻠﻮد ﰲ اﻟﻨﺎر‬
มีมติเป็ นเอกฉันท์ในหมูผ่ ูร้ ูอ้ ิมามียะฮฺต่อความจริงที่ว่า คนหนึ่งคนใดที่ไม่ศรัทธาต่ออิมามะฮฺแม ้เพียงคนเดียว
ของอิมามและบรรดาผูไ้ ม่ศรัทธาในสิ่งที่อลั ลอฮฺถอื เป็ นหน้าที่ท่จี ะต้องเชื่อฟังพวกเขา(บรรดาอิมาม) บุคคล
เช่นนัน้ คือผูป้ ฏิเสธที่หลง และสมควรพํานักอยู่ในนรกตลอดกาล 60 59F

‫ﺑﻞ أﺧﺒﺎرﻫﻢ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم ﺗﻨﺎدي ﺑﻨﺎ اﻟﻨﺎﺻﺐ ﻫﻮﻣﺎﻳﻘﺎل ﻟﻪ ﻋﻨﺪ ﻫﻢ ﺳﻨﻴﺄ‬
ยิ่งกว่านัน้ บรรดาหะดีษของพวกเขา(บรรดาอิมามของชีอะฮ์) อะลัยฮิมสุ ลาม ได้ป่าวประกาศว่า แท้จริง นา
ซิบ(ปรปักษ์ของอะฮ์ลลิ บัยต์) คือ สิ่งที่ถูกเรียกว่า ซุนนี 61 60F

‫وﻻ ﻛﻼم ﰲ أن اﳌﺮادﺑﺎاﻟﻨﺎ ﺻﺒﺔ ﻓﻴﻪ ﻫﻢ أﻫﻞ اﻟﺘﺴﻨﻦ‬


และไม่มกี ารพูดใดๆแล ้วว่า จุดมุง่ หมายของ นาซิบะฮ์(ผูเ้ ป็ นปรปักษ์ของอะฮ์ลลิ บัยต์) คือ ชาวอะฮ์ลสิ ซุนนะฮ์
62
61 F

‫اﻧﻚ ﻗﺪ ﻋﺮﻓﺖ ﺳﺎﺑﻘﺄ أﻧﻪ ﻟﻴﺲ اﻟﻨﺎ ﺻﺐ اﻵﻋﺒﺎرة ﻋﻦ اﻟﺘﻘﺪﱘ ﻋﻠﻰ ﻋﻠﻲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم‬
แท้จริง ท่านได้ทราบมาก่อนหน้านี้แล ้วว่า เขาจะไม่ใช่นาซิบ(ผูเ้ ป็ นปรปักษ์กบั อะฮ์ลลิ บัยต์) นอกจากเป็ น
สํานวนมาจาก การนํามา(คอลิฟะฮ์ทงั้ สาม)มาอยู่ก่อนท่านอะลี อะลัยฮิสลาม63 62F

Everybody, except us Shi'ites, is illegitimate


ทุกคนคือลูกของหญิงทําซินา(หมายถึงท่านหญิงอาอีชะฮฺ)ยกเว้นพวกเราชีอะฮฺเท่านัน้ 64 63F

อัลมิจลิซยี ์ ผูร้ ูช้ อี ะฮฺนามกระเดื่องได้พูดถึงผูท้ ่ไี ม่ศรัทธาต่ออิมามะฮฺไว้ว่า


‫اﻋﻠﻢ أن إﻃﻼق ﻟﻔﻆ اﻟﺸﺮك واﻟﻜﻔﺮ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﱂ ﻳﻌﺘﻘﺪ إﻣﺎﻣﺔ أﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ واﻻﺋﻤﺔ ﻣﻦ وﻟﺪﻩ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم‬
‫وﻓﻀﻞ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻏﲑﻫﻢ ﻳﺪل ﻋﻠﻰ أ�ﻢ ﻛﻔﺎر ﳐﻠﺪون ﰲ اﻟﻨﺎر‬
พึงทราบเอาไว้เถิดว่า การใช้คาํ ว่า ชิรกฺ ( การตัง้ ภาคี) และ กุฟรฺ ( การปฏิเสธศรัทธา) ต่อผูท้ ่ไี ม่เชื่อในความ
เป็ นอิหม่ามของผูน้ าํ แห่งปวงผูศ้ รัทธา (นัน่ คือ ท่านอาลี) และบรรดาอิหม่ามแห่งทายาทของท่าน ( อิหม่ามอื่นๆ

60
อัลมะซาอิล หน้าที่ 120 ของ ชัยคฺมุฟีด
61
อัลมะหาซิน อัลนัฟซานียะฮ์ ฟี อัจ�ฺวบิ ะฮ์ อัลมะซาอิล อัลคอรอซานียะฮ์ หน้า 147 ของ ชัยค์ หุซยั น์ อาลิ อุซฟูร
62
เล่มเดียวกัน
63
เล่มเดียวกัน หน้า 157
64
Furoo'u Kafi in Kitabul Raudah หน้าที่ 135 ฉบับตีพิมพ์เป็ นภาษาอังกฤษ
อีก 11คน) ,ขอความสันติจงมีแด่ท่านเหล่านัน้ , และอีกทัง้ ยังได้ให้ความประเสริฐของผูอ้ ่นื เหนือท่านเหล่านี้
นัน้ เป็ นสิ่งยืนยันว่าพวกเขาเหล่านัน้ เป็ นผูท้ ่ปี ฏิเสธศรัทธา ซึ่งจะต้องอยู่ในนรกตลอดกาล 65
64

ส่วนโคไมนี่ก็ได้กล่าวไว้ว่า

พวกเรา(ชีอะฮฺ) ไม่เคารพพระเจ้าที่มอบอํานาจการปกครองแก่คนชัว่ อย่าง ยะซีด มุอาวิยะฮฺ และอุ


สมาน!!!! 66 65F

โอ้โคไมนีและชีอะฮฺทงั้ หลายเอ๋ย พวกท่านนัน้ มีแต่ความเกลียดชังจนหลงไปแล ้ว สําหรับชาวซุนนะฮฺ


เชื่ออยู่เสมอว่าทุกๆสิ่งล ้วนเป็ นไปตามตักดีรของพระองค์อลั ลอฮฺทงั้ สิ้น และเช่นกันอํานาจการปกครองในยุค
ปัจจุบนั แม ้จะตกไปอยู ่ในมือของคนชัว่ อันธพาลอย่างอเมริกาแต่เราก็ศรัทธาว่าทัง้ หมดนัน้ อัลลอฮฺทรงตักดีรไว้
หมด แล ้วการที่ท่านมาปฏิเสธว่าพระเจ้าที่มอบอํานาจแก่คนอย่างยะซีดและมุอาวิยะฮฺพระเจ้าแบบนี้ท่านไม่เอา
ก็ถามว่าแล ้วจะเอาพระเจ้าไหน !! คําพูดของท่านส่อเค้าว่าทานเชื่อว่ามีพระเจ้าหลายองค์(อันเป็ นความเชื่อของ
ชนชาติอิหร่านแต่เดิม) ซึ่งองค์หนึ่งเป็ นพระเจ้าที่บนั ดาลความดี กับอีกองค์เป็ นพระเจ้าที่บนั ดาลความชัว่ แล ้ว
ท่านก็ไม่เอาพระเจ้าองค์หลัง อย่างนี้ใช่ไหม !! วัลลอฮุอะอฺลมั

‫ ن رﻬﺑﻢ ﻫﻮ‬:‫ وذﻟﻚ أ�ﻢ ﻳﻘﻮﻟﻮن‬،‫إﻧﺎ ﻻ ﳒﺘﻤﻊ ﻣﻌﻬﻢ )أي ﻣﻊ اﻟﺴﻨﺔ( ﻋﻠﻰ إﻟﻪ وﻻ ﻋﻠﻰ ﻧﱯ وﻻ ﻋﻠﻰ إﻣﺎم‬
‫ إن‬:‫ ﺑﻞ ﻧﻘﻮل‬،‫ وﳓﻦ ﻻ ﻧﻘﻮل ﻬﺑﺬا اﻟﺮب وﻻ ﺑﺬﻟﻚ اﻟﻨﱯ‬،ِ‫ﻟﺬي ﻛﺎن ﳏﻤﺪ ﻧﺒﻴﻪ وﺧﻠﻴﻔﺘﻪ ﻣﻦ ﺑﻌﺪُ أﺑﻮﺑﻜﺮ‬
‫اﻟﺮب اﻟﺬي ﺣﻠﻴﻔﺔ ﻧﺒﻴﻪ أﺑﻮﺑﻜﺮ ﻟﻴﺲ رﺑﻨﺎ وﻻ ذﻟﻚ اﻟﻨﱯ ﻧﺒﻴﻨﺎ‬
พวกเรา(ชีอะฮฺ)ไม่มสี ่วนร่วมใดๆกับพวกเขา(ซุนนีย)์ ในเรื่องของพระเจ้าและนบี รวมถึงเรื่องของอิหม่าม ที่เป็ น
เช่นนี้เพราะพวกเขากล่าวว่า แท้จริงองค์อภิบาลของพวกเขาคือผูท้ ่มี มี ฮู มั หมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
เป็ นนบีและมีอบูบกั ร์เป็ นค่อลีฟะห์หลังจากนัน้ และพวกเราจะไม่กล่าวถึงพระเจ้าองค์น้ แี ละนบีท่านนี้ ทว่าพวก
เราจะกล่าวว่า แท้จริงพระเจ้าผูซ้ ่งึ มีอบูบกั ร์เป็ นค่อลีฟะห์สบื ต่อจากนบีของพระองค์นนั้ ไม่ใช่พระเจ้าของพวก
เรา และนบีคนดังกล่าวนี้ก็ไม่ใช่นบีของพวกเรา 67 66F

65
หนังสื อ บิฮารุ ลอันวาร เล่มที่ 23 เลขที่ 390 ของ อัลมิจลิซีย ์
66
กัชฟุล อัสร็อร หน้า 107
67
หนังสื อ อันวาร อันนัวอฺมานียะฮฺ หน้า 278 โดย ซัยยิด นิอฺมาตุลลอฮฺ อัลญะซาอีรี
เมือ่ เรานําเอาคํากล่าวของซัยยิดนิอฺมาตุลลอฮฺ อัลญะซาอิรีย ์ กับ โคไมนี่มาอ่านด้วยกัน เราก็จะพบจุดยืนที่
คล ้ายกัน ซึ่งโดยสรุปก็คือชีอะฮฺเชื่อว่า พระเจ้าและนบีของชาวซุนนีกบั ชาวชีอะฮฺนนั้ เป็ นคนละองค์และนบีก็คน
ละนบีกนั !!!!! ดังนัน้ เมือ่ เราเห็นถึงจุดยืนอันชัดเจนขนาดนี้แล ้วก็สมควรจะพูดได้อย่างเต็มปากแล ้วว่า ชีอะฮฺ
ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม!!!!
จุดยืนของชีอะฮฺต่อพี่นอ้ งมุสลิมยังคงปรากฏอีกดังว่าบุคคลใดก็ตามที่ไม่ศรัทธาว่าท่านอะลีคือคอลีฟะฮฺท่าน
แรกคือพวกนอกรีต 68และพวกที่สกปรกที่สุดและเป็ นมลพิษจนทําให้นาํ้ ต้องเสียคือพวกซุนนี69อีกทัง้ อยาตุลลอ
67 68

ฮฺรูฮานี นักปราชญ์ชนั้ สูงของชีอะฮฺชาวอิหร่านก็ได้ให้คาํ ฟัตวาว่าชาวซุนนีจะไม่ได้เข ้าสวรรค์และอิบาดัตการงาน


ของพวกเขาจะมลายหายสิ้นเพราะพวกเขาไม่ศรัทธาต่อวิลายัตของท่านอะลี70 69

เมือ่ เราได้เห็นจุดยืนที่ชดั เจนขนาดนี้ของชาวชีอะฮฺแล ้ว จึงไม่มเี หตุผลใดๆอีกแล ้วที่เราจะสร้างความ


สามัคคีจอมปลอมกับพวกเขา และจุดยืนของพวกเราต่อพวกเขาก็คือการปกป้ องอิสลามจากการทําลายล ้างของ
ลัทธิชอี ะฮฺ

๑๑. จุดยืนของนักวิชาการมุสลิมที่มีต่อลัทธิชีอะฮฺ
เราได้ทาํ ความเข ้าใจถึงหลักความเชื่อตลอดจนจุดยืนของพวกเขาที่มตี ่อชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ
กันมาแล ้ว ดังนัน้ เราจึงควรมารับทราบถึงรายชื่อของผูร้ ูท้ ่านต่างๆที่มคี วามเห็นว่าชีอะฮฺเป็ นกลุม่ ที่หลุดไปจาก
กรอบของอิสลาม ซึ่งข ้าฯได้ทาํ การรวบรวมรายชื่ออุลามะอฺท่สี าํ คัญๆมาให้ทราบพอสังเขปดังต่อไปนี้

อุลามะอฺยุคอดีต
๑. อิมาม ซะฮฺบี (ดูใน มินฮัจ อัซซุนนะฮฺ เล่ม 1 หน้า 7)
๒. อิมามมาลิก (ตัฟซีร อิบนฺกะษีร 4/204, รูฮุลมะอานี 26/128)
๓. อิมามชาฟิ อี (มินฮาจ อัซซุนนะฮฺ อันนะบาวียะฮฺ 1/39)
๔. ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บินมุบาร็อก (อัลมุนากออฺ มิน มินฮาจ อัลอิอฺติดาล 480)

68
หนังสื อ อัลอันวาร อันวั อฺมานียะฮฺ เล่ม 3 หน้าที่ 264 ของ ซัยยิดนิอฺมาตุลลอฮฺ อัลญะซาอิรีย ์
69
มันลายะฮฺฎุรุ ฮุลฟะกีฮฺ เล่ม 1 หน้า 8
70
คําฟัตวานี้นาํ มาจากเว็บไซต์ของเจ้าตัวเองที่ http://www.imamrohani.com/fatwa-ar/viewtopic.php?t=1861 ซึ่งปรากฏตัวบทดังนี้
‫ﻫﻮ ﻫﻞ اﻟﺴﻨﺔ ﳛﻜﻢ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺑﺎﻟﻜﻔﺮ‬:‫ ﺳﻮال‬.
‫ ﻫﻞ ﻳﺪﺧﻠﻮن اﻟﺴﻨﺔ اﳉﻨﺔ ﻃﺒﻌﺎ ﻫﻢ ﻻﻳﻮاﻟﻮن ﻋﻠﻲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم وﻟﻜﻨﻬﻢ ﻻ ﻳﻜﺮﻫﻮن اﻫﻞ اﻟﺒﻴﺖ‬.... ‫ﻫﺬا ﻫﻮ اﻻﻫﻢ‬
‫ وﻛﻴﻒ ﻳﺪﺧﻠﻮن اﻟﻨﺎر وﻫﻢ ﻳﺸﻬﺪون اﻟﺸﻬﺎدﺗﲔ وﻳﺼﻠﻮن اﻟﺼﻠﻮات اﳋﻤﺲ وﳛﺠﻮن وﻳﺼﻮﻣﻮن رﻣﻀﺎن‬.... ‫ وﳛﺒﻮ�ﻢ‬...
‫ﺑﺴﻤﻪ ﺟﻠّﺖ اﲰﺎؤﻩ‬:‫ﺟﻮاب‬
‫ ﻓﻤﻊ ﻓﻘﺪ اﻟﺸﺮط ﻻ ﻳﺘﺤﻘﻖ اﳌﺸﺮوط‬،‫ﻳﺸﱰط ﰲ ﺻﺤﺔ اﻟﻌﺒﺎدات اﻟﻮﻻﻳﺔ ﻷﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم‬.
๕. อัลกอดี อบูยะอฺลา (อัซซอวาริม อัลมัสลูม 569)
๖. อิมามบุคอรี (ค็อลกฺ อัฟอาอฺลลิ อิบาด หน้า 13)
๗. อัตตอฮาวี (ชัรฮุลอะกีดะฮฺ อัตตอฮาวียะฮฺ หน้า 528)
๘. อบูซุรอะฮฺ อัรรอซี (อัลอิซอบะฮฺ 1/10)
๙. อัลลามะฮฺ อัลฆอซาลี (อัลมุสตัสฟี 1/110)
๑๐. คอซี อะยาส (กิตาบ อัซซิฟะอฺ 290)
๑๑. อัลลามะฮฺ อิบนฺ ตัยมียะฮฺ (อัซซอวาริม อัลมัสลูม หน้า 592-592)
๑๒. อัลลามะฮฺ อิบนฺ ฮัซมฺ (อัลฟัศลุ ฟิ ลมิลาน 2/78, 3/182)
๑๓. ชัยคฺอบั ดุลกอดิร อัจญีลานี (กุนยาตุนตอลิบนี 156-157)
๑๔. มุญดั ดิด อัลฟะฏอนี
๑๕. ชะฮฺวะลียุลลอฮฺ อัล ดะฮฺละวี (มุสเซาวะอฺ 110)
๑๖. ชะฮฺ อับดุลอะซิส ดะฮฺละวี (ตุฟาอิสนาอะชะรียะฮฺ 130)
๑๗. สภาอุลามะอฺผูเ้ ขียนหนังสือ อะลัมฆีรี (อะลัมฆีรี 2/268)

อุลามะอฺร่วมสมัยแห่งดินแดนอนุ ทวีป
๑. เมาลานา รอชีด อะฮฺมดั กันกูฮี (ฟัตวา รอชีดยี ะฮฺ 2/10-12)
๒. เมาลานาซอฟัร อุสมานี (อิมดาดุลอะฮฺกาม 2/213)
๓. เมาลานารอชีด ลุสวะนี (อะฮฺซานุ ล ฟะตาวา 1/73-106)
๔. เมาลานายู ซุฟ ลุสวะนี (เอป เกอร์ มะซาอิล อุวรั ฺ อุนกา ฮัล 1/49 ภาษาอุรดู)
๕. มุฟตี นิศอมุดดีน (นิศอมุลฟัตวา 1/227)
๖. เมาลานาคาอิร มุฮมั มัด ญะลันดะรี (ค็อยรุลฟะตาวา 1/374)
๗. เมาลานา อันวาร ชะฮฺ กัชมีรี (อิคฟาร อัลมุลฮิดดีน หน้า 51)
๘. เมาลานา ฮะบิบุร เราะฮฺมาน อัสมี (คุมยั นี อุวรั ฺ อิสนาอัชรอ หน้า 99-112)
๙. มุฟตีอบั ดุรรอฮีม ลัจปุรี (เล่มเดียวกัน)
๑๐. มุฟตีมะฮฺมดุ กันกูฮี (ฟะตาวา มะฮฺมดู ยี ะฮฺ 2/1)
๑๑. มุฟตี อะซิส อัรเราะฮฺมาน (ฟัตวา ดารุลอูลูม เดียวบัน หน้า 108)
๑๒. มุฮมั มัด รอชีด ริดอ (อัซซุนนะฮฺ วะอัชชีอะฮฺ)
๑๓. อบูอะลา อัลเมาดูดยี ์ (อัรริดดะฮฺ บัยนัลอัมสฺ วะอัลเยามฺ)
๑๔. มุฟตี ตะกี อุสมานี (ฟัตวาอุสมานี 1/108)
๑๕. อุลามะอฺแห่งสถาบัน ดารุลอูลูม เดียวบัน (ฟัตวาหมายเลขที่ 3632 ในเว็บไซต์ของสถาบัน)
รายละเอียดของการฟัตวาจากกลุม่ อุลามะอฺเหล่านี้ท่านสามารถหาอ่านได้จาก หนังสือ“Khumaini
aur Ithna ashra ke bare me Ulama kiraam ke mutafiqa faisla” ตรวจสอบ
โดย เมาลานา มันซูร นัวอฺมานี

อุลามะอฺร่วมสมัยจากตะวันออกกลาง
๑. ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บินกออูด (ฟัตวาอัลลุจนา อัดดัยมา ลิลบุฮูด วัลอิฟตะ 3/492)
๒. ชัยคฺอบั ดุลลอฮฺ บินกอดิยาน (แหล่งเดียวกัน)
๓. ชัยคฺ อับดุรรอซาก อะฟี ฟีย ์ (แหล่งเดียวกัน)
๔. ชัยคฺ อับดุลอะซิส บินบาซ (แหล่งเดียวกัน)
๕. ชัยคฺ มุฮิบบุดดีน คอตีบ (อัลคุฏคอั
ุ ลอะรีเดาะฮฺ)
๖. ชัยคฺนาศิร อัลกอฟารี (ฟิ ครอตุต ตัฆรีบ)
๗. ชัยคฺ อะลีฮุซยั ฟี (อิหม่ามัสยิดนบี ตรวจสอบได้จาก
http://www.krhcy.com/statichtml/files/104171414283197.shtml
๘. อิบนฺ ญิบรีน (ชัรฮุลอัคศ็อร อัลมุคตะสะร็อต 13/79)
๙. อับดุรเราะฮฺมาน อัลบารัค
(http://www.iht.com/articles/ap/2006/12/29/africa/ME_GEN_Saudi_Shiites.php)
๑๐. ดร. ฮิลาลี อุลามะอฺคนสําคัญของโมร็อคโค
๑๑. ชัยคฺ บะฮฺญา อัลบัยตาร (ซีเรีย) (ใน “อัลอิสลาม วะอัศศอฮาบะฮฺ อัลกิรอม บัยนัซซุนนะฮฺ วะอัช
ชีอะฮฺ)
ภาคผนวก
ชีอะฮฺไม่ได้มีกะลีมะฮฺ ชะฮาดะฮฺท่เี หมือนเรา
ปัญหาความขัดแย้งทัง้ ทางด้านความเชื่อศรัทธาและการปฏิบตั ิศาสนกิจระหว่างซุนนะฮฺและ
ชีอะฮฺ ถือเป็ นเรื่องที่มกี ารขัดแย้งกันมาตลอดประวัติศาสตร์อนั ยาวนาน โดยที่ทงั้ สองฝ่ ายต่างก็พยายามพิสูจน์
ให้เห็นถึงความถูกต้องในแนวทางที่ตนเองยึดถือ สังเกตได้จากหนังสือตํารบตํารานับหมืน่ นับแสนเล่มที่ถูก
เขียนออกมาจากผูร้ ูข้ องทัง้ สองฝ่ ายเพื่อพิสูจน์ถงึ ความถูกต้องในแนวทางที่ตนเองยึดถือ แต่ถงึ กระนัน้ ก็ตาม
ความพยายามของบรรดาผูร้ ูเ้ หล่านี้ต่างก็ยงั ไม่สามารถที่จะขจัดข ้อโต้แย้งต่างๆที่มมี านานร่วมศตวรรษได้
มิหนําซํา้ มันยังก่อให้เกิดช่องว่างขึ้นในหมูป่ ระชาชนของทัง้ สองฝ่ ายจนก่อเกิดสภาพสังคมของซุนนะฮฺและ
ชีอะฮฺในลักษณะแบบ “ตัวใครตัวมัน” ซึ่งเป็ นสภาพสังคมที่เกิดขึ้นมาตลอดจนกระทัง่ เมือ่ โลกเข ้าสู่ทศวรรษที่
80 กระแสความสัมพันธ์ระหว่างซุนนะฮฺและชีอะฮฺก็เริ่มปรากฏให้เห็นเป็ นรูปธรรมอย่างไม่เคยมีมาก่อน
สืบเนื่องจากพลังและกระแสของการปฏิวตั ิการปกครองในประเทศอิหร่านภายใต้การนําของนักปราชญ์ช่อื ดัง
ของชาวชีอะฮฺ รุฮฺฮุลลอฮฺ คอมีนีย ์ และภายใต้คาํ ขวัญแห่งการปฏิวตั ิท่วี ่า “ไม่มซี ุนนียไ์ ม่มชี อี ะฮฺ มีแต่
อิสลาม” ส่งผลให้เกิดการเคลือ่ นไหวของปัญญาชนของทัง้ สองฝ่ ายในความพยายามที่จะเร่งแก้ปญั หาความ
ขัดข ้องบาดหมางใจกันระหว่างแนวทาง อะฮฺลุซซุนนะฮฺ กับชีอะฮฺ จนในที่สุดความพยายามของผูร้ ูฝ้ ่ ายชีอะฮฺก็
บรรลุผลในระดับหนึ่ง กล่าวคือ มีการจับมือปรองดองกันระหว่างซุนนะและชีอะฮฺ โดยทัง้ สองฝ่ ายต่างมี
เป้ าหมายเดียวกันนัน้ คือ การฟื้ นฟูการปกครองแบบ “รัฐอิสลาม” (Islamic State) และการต่อต้านจักรวรรดิ
นิยมตะวันกอย่างอเมริกาและรัฐก่อการร้ายอิสราเอล แต่ภายใต้ภาพอันงดงามของความเป็ นเอกภาพนัน้ มี
อันตรายอันใหญ่หลวงที่ซุกซ่อนตัวของมันเองอยู่ นัน้ ก็คือ ปัญญาชนฝ่ ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺ เรือนแสน ได้สลัด
ตนเองทิ้งจากแนวทางอะฮฺลุซซุนะฮฺพร้อมกับการผันตัวเองเข ้ารีตสู่ อากีดะฮฺของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ อย่างไม่ทนั ตัง้
ตัว จะด้วยเหตุของความไม่รอบคอบหรือความประทับใจในอุดมการณ์ทางการเมืองของชีอะฮฺก็ไม่ทราบได้ แต่
สิ่งหนึ่งที่เป็ นประจักษ์พยานให้เห็นถึงการหลอกลวงของชีอะฮฺและผูน้ าํ แห่งการปฏิวตั ิอิหร่านอย่าง โคไมนี ที่
ออกมาป่ าวประกาศเรียกร้องให้อุมมะฮฺอิสลามหยุดข ้อขัดแย้งระหว่างซุนนียแ์ ละชีอะฮฺ โดยการเลิกพูด เลิก
เรียกร้องโจมตีฝ่ายตรงข ้ามและหันมาปรองดองนัน่ ก็คือ หนังสือโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ ายชีอะฮฺจาํ นวนมากได้
ทะลักเข ้าสู่ประเทศมุสลิมซุนนะฮฺต่างๆอย่างสุดคนานัป ที่เห็นเด่นๆก็คือ หนังสือ “ษุมมะฮฺตะดัยตฺ ” 71ซึ่งเป็ น
ผลงานของ ดร.มุฮมั มัด อัตตีญานี อัสสามาวี ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวการเป็ นมุสลิมซุนนียผ์ ูภ้ กั ดีแต่ไม่สามารถ
ทนต่อความถูกต้องของชีอะอฺได้จึงเปลีย่ นตนเองเข ้ารีตสูแนวทางชีอะฮฺในที่สุด แต่ดว้ ยกับภัยอันรายที่ซุกซ่อน
อยู่เบื้องหลังเยี่ยงนี้ จึงเป็ นแรงผลักดันให้กลุม่ ผูร้ ู (้ ทัน)ของฝ่ ายซุนนะฮฺ เคลือ่ นไหวเพื่อปกป้ องแนวทางของตน
จากภัยมืดที่มองไม่เห็นของชีอะฮฺท่มี าในนามของ “พี่นอ้ งร่วมศาสนา ” จนก่อเกิดแรงต่อต้านจากปัญญาชน

71
หนังสื อเล่มนี้มีแปลเป็ นภาษาไทยในชื่อว่า “ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้รับทางนํา” โดยสถาบันชีอะฮฺของประเทศไทย
ของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ ซึ่งสร้างความลําบากแก่ชาวชีอะฮฺอยู่ไม่นอ้ ย แต่ถงึ แม ้ว่าภาพแห่งความหลอกลวงของชีอะฮฺ
จะชัดเจนแค่ไหนก็ตาม แต่ส่งิ หนึ่งที่ยงั ถือเป็ นป้ อมปราการที่คอยคุม้ กันชีอะอฺได้ดกี ็คือ คํากล่าวแก้ตวั ของฝ่ าย
ชีอะฮฺและคํากล่าวปกป้ องของฝ่ ายอะฮฺลุซซุนะที่ว่า “เราเป็ นพี่นอ้ งกัน เพราะเราต่างมีกะลิมะฮฺชะฮะดะฮฺ ” ที่
เหมือนกัน ซึ่งเป็ นหนึ่งในข ้อแก้ตวั ที่พ้ นื ฐานแต่ใช้ได้ผลมาทุกยุคทุกสมัย สืบเนื่องจาก “กะลิมะฮฺชะฮะดะฮฺ ”
เป็ นหนึ่งในคําที่แสดงถึงความเป็ นมุสลิม และตราบใดที่คนหนึ่งคนใดก็ตามยังคงสภาพเป็ นมุสลิมอยู่ เขาจะ
ได้รบั การปฏิบตั ิดุจดังพี่นอ้ งเสมอ ด้วยเหตุน้ ีกระมังที่ทาํ ให้ข ้อกล่าวอ้างดังกล่าวยังคงใช้ได้ดแี ละไม่ตกยุค
เสมอ
บทความนี้ผูเ้ ขียนเรียบเรียงขึ้นมาเพื่อที่จะเสนอให้เห็นถึงภาพลวงแห่งตวามหลอกลวงใน
ข ้ออ้างเรื่องกะลิมะฮฺชาฮาดะฮฺ เพื่อให้สามัญชนผูม้ ใี จรักในความจริงและอิสลามทัง้ หลายได้ตระหนักให้เห็นว่า
โดยธาตุแท้แล ้วนัน้ ซุนนะฮฺกบั ชีอะฮฺ มิได้แตกต่างกันตรงแค่ประเด็นปลีกย่อยเท่านัน้ แต่ในความเป็ นจริงนัน้
แม ้กระทัง่ คํากล่าวพื้นฐานที่บ่งบอกถึงความเป็ นมุสลิมก็ยงั ไม่เหมือนกัน ดังนัน้ ความเป็ นพี่นอ้ งของทัง้ สองฝ่ าย
จะบรรจบกันได้หรือ? ผูเ้ ขียนไม่ขอนําตัวบทหลักฐานมายืนยันพิสูจน์ให้ผูอ้ ่านได้รบั ทราบว่า เพียงแค่การมีกะลิ
มะฮฺชะฮะดะฮฺ นัน้ ไม่เพียงพอต่อการเป็ นมุสลิมตราบใดที่ส่วนอื่นๆของศาสนายังไม่ตงั้ วางอยู่บนแนวทางของ
อิสลามเพราะไม่ใช่ประเด็นที่ผูเ้ ขียนต้องการจะพูด อีกทัง้ เกี่ยวกับประเด็นนี้ก็มผี ูร้ ูบ้ างท่านจากฝ่ ายซุนนะฮฺได้
เขียนชี้แจงทําความเข ้าใจไปแล ้ว 72สิ่งที่ผูเ้ ขียนต้องการเสนอแก่ผูอ้ ่านให้รบั ทราบในบทความนี้ก็คือ “ความ
71

แตกต่าง” ในคํากล่าวปฏิญาณตนและแม ้กระทัง่ เนื้อหาใจความและสาระในคํากล่าวชะฮะดะฮฺระหว่างซุนนะฮฺ


และชีอะฮฺ ก็ยงั มีความแตกต่างกันอยู ่มาก

คํากล่าวกะลิมะฮฺแห่งอิสลาม

“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่อลั ลอฮฺ มุฮมั มัดคือรอซูลของอัลลอฮฺ”

นี่คือคํากล่าวกะลิมะฮฺ ที่บรรดามุสลิมทัว่ ทุกยุคทุกสมัยทุกมัสฮับถือปฏิบตั ิใช้ในจริยวัตรประจําวัน


และเช่นเดียวกันมันก็เป็ น กะลิมะฮฺ ของบรรดารอซูลและนบีทงั้ หมด(อลัยฮิมสุ สลาม) นับจากยุคสมัยของ
ท่านนบีอะดัม(อลัยฮิสลาม) ตราบจนถึงกระทัง่ สิ้นสุดการมาของบรรดานบีทงั้ หมด ซึ่งก็คือการมาของท่านนบี

72
เกีย่ วกับประเด็นเรื่ องการมีชะฮะดะฮฺเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอต่อการเป็ นมุสลิม ซึ่งหากผูอ้ ่านต้องการทราบตัวบทหลักฐานใน
เรื่ องนี้กรุ ณาสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ “อย่าให้กะลิมะห์ชะฮาดะห์ของผูใ้ ดมาล่อลวงเรา” เขียนโดย อ.ฟารี ด เฟ็ นดี้ หาอ่านได้จาก
หนังสื อรู้ทนั ชีอะฮฺหรื อจากลิงค์ต่อไปนี้
http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=108
มุฮมั มัด(ศ็อลฯ) ในคํากล่าวกะลิมะฮฺ ดังกล่าวนัน้ ประกอบไปด้วยสองส่วนสําคัญ คือ เตาฮีด(ความเป็ นพระเจ้า
เพียงหนึ่งเดียวของพระองค์อลั ลอฮฺ)และริซาละฮฺ(ตําแหน่งของการเป็ นนบี) ในส่วนแรกของคํากะลิมะฮฺนนั้ เป็ น
ที่ทราบกันดีอยู ่แล ้วว่ามุสลิมทุกคนจะต้องปฏิญาณตนเพื่อยืนยันถึงความเชื่อในความเป็ นหนึ่งเดียวของอัลลอ
ฮฺ และในส่วนที่สองนัน้ คือการปฏิญาณตนเพื่อยืนยันถึงความเป็ นนบีแห่งอุมมะฮฺน้ ขี องท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)
นี่คือคํากล่าวกะลิมะฮฺท่มี สุ ลิมทุกยุคทุกสมัยตลอดจนบรรดาอัมบิยะอฺทุกคนถือปฏิบตั ิกนั !!!!!

คํากล่าวกะลิมะฮฺของชาวชีอะฮฺ

“ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ มุฮมั มะดุรรอซูลลุลลอฮฺ อะลีวะลียุลลอฮฺ วะซีรอซูลลุลลอฮฺ วะคอลีฟาตุฮู บะลาฟัซลิน”

หนึ่งในนักปราชญ์ช่อื ดังของชีอะฮฺแห่งประเทศปากีสถาน นามว่า ซัยยิด อะลีฮยั เดอร์ นัควี ได้


อธิบายถึงข ้อความที่ช้ชี ดั ถึงความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺและชีอะฮฺในประเด็นของกะลิมะฮฺชะฮะดะฮฺ ไว้ใน
หนังสือที่เขาประพันธ์ข้นึ ชื่อว่า “อัฎยานนิลอาลัม” ไว้ดงั นี้

ความว่า : “หลังจากการปฏิญาณตนยืนยันถึงความเป็ นหนึ่งของพระองค์อลั ลอฮฺ(ศุบฯ)และริซาละฮฺของท่านน


บีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)แล ้ว คํากล่าวกะลิมะฮฺตามแนวทางชีอะฮฺอิมามมิยะฮฺก็คือ อิมามุล มุตตะกีน อะลีมรุ ฏะฎ
อคือวะลีแห่งพระองค์อลั ลอฮฺ ตะอาลา และวะศียห์ รือตัวแทนของรอซูลลุลลอฮฺ”
การบิดเบือนกะลิมะฮฺของอิสลามที่ปรากฏในเอกสารของประเทศอิหร่าน และการบิดเบือนด้วยการเพิ่มเติม
ชื่อของโคไมนี เข้าไป

หากสังเกตภาพถ่ายคํากะลิมะฮฺดงั กล่าวให้ดี เราจะเห็นชื่อของโคไมนีปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในส่วนท้ายของคํา


กะลิมะฮฺ นี่คือตัวอย่างของความหลงใหลและการบูชาตัวบุคคลที่ปรากฏในหมูช่ าวชีอะฮฺ

การบิดเบือนชะฮะดะฮฺของชาวชีอะฮฺอหิ ร่าน

ภาพที่ท่านกําลังเห็นอยู ่นนั้ คือ ธงที่ชาวชีอะฮฺในอิหร่านชูสะบัดอย่างภาคภูมใิ จเพื่อสรรเสริญเกียรติยศของโคไม


นี่ในปี แรกแห่งการปฏิวตั ิอิหร่าน ซึ่งเราได้คดั ลอกมาจาก หนังสือพิมพ์รายวันของอิหร่านนามว่า “Raulpindi
newspaper 'Jang'” ฉบับวันที่ 22 พฤศจิกายน 1978 ซึ่งปรากฏคํากล่าวในธงดังกล่าวว่า “ลาอิลาฮะอิลลัลลอ
ฮฺ อัลอิมามมุลโคไมนี่”

นี่ กเ็ ป็ นอีกตัวอย่างหนึ่ งของกะลีมะฮฺชะฮะดะฮฺของชาวชีอะฮฺอหิ ร่าน


คําแปล: ฉันขอปฏิญานว่าไม่มพี ระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และฉันขอปฏิญาณว่ามุฮมั มัดคือศาสนทูต
ของอัลลอฮฺและอะลี(อิบนฺอบีฏอลิบ)คือวะลี 73และฉันขอปฏิญาณว่าโคไมนีคือรูฮฺ(ดวงวิญญาณ)ของอัลลอฮฺ
72

และฮุจญะ 74ของพระองค์เหนือสิ่งสิ่งถูกสร้างของพระองค์ !!!!!!!!(ขออัลลอฮฺทรงปกป้ องพี่นอ้ งมุสลิมให้รอด


73

พ้นจากแนวคิดบิดเบือนนี้ดว้ ย)
ภาพถ่ายนี้คดั ลอกมาจากหนังสือ “วะฮฺดะฮฺอสิ ลามีย”์ หน้า 4 ฉบับพิมพ์เดือน มิถนุ ายน ปี 1984 ซึ่ง
เป็ นเอกสารที่ใช้แจกกันในอิหร่าน โดยมีจุดมุง่ หมายในการเรียกร้องสู่ความเป็ นเอกภาพ(จอมปลอม)ระหว่าง
ซุนนียแ์ ละชีอะฮฺภายใต้การเป็ นฮุจญะฮฺของโคไมนี่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลลวงและความงมงายของทฤษฎี
ความเป็ นเอกภาพดังกล่าว
นักปราชญ์ชอี ะฮฺช่อื ดังอีกคนหนึ่งนามว่า ฏอลิบ ฮุเซน กัรปาลวี แห่งปากีสถานได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาที่
ชื่อว่า “วาอีลา อิอมั บียาอฺ” หน้า 179 ดังนี้

แปลได้ความว่า : มันเป็ นที่แจ้งชัดจากประโยคนี้ว่า บรรดาอัมบิยะอฺ(อลัยฮิมสุ สลาม) ได้สารภาพบาปด้วยกับ


ความเป็ นหนึ่งของพระองค์อลั ลอฮฺ,ริซาละฮฺ และวิลายัตของอะลี ดังนัน้ พวกเราเชื่อว่า หากบรรดาอัมบิยะอฺ
ไม่ได้สารภาพบาปด้วยกับสามส่วนดังกล่าว(ความเป็ นหนึ่งของพระองค์อลั ลอฮฺ,ริซาละฮฺ และวิลายัตของอะ
ลี)ดังนัน้ พวกเขาจะไม่ถูกแต่งตัง้ ให้เป็ นศาสดา (นะอูซุบลิ ละฮฺมนิ ซาลิก)

73
คําว่า “วะลี” มีหลายความหมายแต่ตามนัยยะของพวกชีอะฮฺ ย่อมหมายถึงการเป็ นผูป้ กครองของท่านอะลี รอฎิยลั ลอฮูอนั ฮฺ
74
คําว่า หุจญะตุล้ ลอฮฺ มาจากคําดํารัสของอัลลอฮฺในซูเราะฮิ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 149 ความว่า จงกล่าวเถิด (มุหมั หมัด)ว่าอัลลอฮฺน้ นั
ทรงมีหลักฐานอันทัว่ ถึง (กุรอ่านสมาคมศิษย์เก่าอาหรับ) การที่อลั ลอฮฺ ส่ งบรรดาเราะสูลมาเผยแพร่ สัจธรรมสู่มวลมนุษย์ถือเป็ นการยืนยัน
ความเป็ นจริ งโดยมนุษย์ไม่สามารถอ้างได้อีกเลยว่าบรรดาเราะสูลไม่ได้บอกอะไรแก่พวกเขาเกีย่ วกับศาสนาของอัลลอฮฺ เราะสูลทั้งหลาย
จึงเป็ น หุจญะตุลลอฮฺ แต่ผทู้ ี่เป็ นหุจญะตุล้ ลอฮฺที่สมบูรณ์ที่สุดคือ นบีมุฮมั มัดส่ วนการที่ชีอะฮฺ ถือว่าอิหม่ามของพวกเขา เป็ นหุจญะตุล้ ลอฮฺ
ก็แสดงว่า การเป็ นหุจญะต้ลลอฮฺของท่านนบียงั ไม่สมบูรณ์ แต่จะมาสมบูรณ์ในยุคอิหม่ามของพวกเขาเป็ นเรื่ องไม่แปลกที่ชีอะฮฺจะเทิดทูน
อิหม่ามของพวกเขาด้วยสมญานามต่างๆทั้งๆที่ไม่ถึงขั้นที่ควรได้รับ วัลลอฮุอะอฺลมั
มันเป็ นเรื่องที่น่าชิงชังและโศกเศร้าที่เหล่าชีอะฮฺได้นาํ เอาฐานะและเกียรติยศของบรรดาอัมบิยะอฺไป
ยึดติดกับวิลายัตที่ไม่มตี วั ตนของอะลีจนถึงขนาดที่พวกเขาอาจหาญที่จะกล่าวออกมาว่า หากบรรดานบีไม่
ยอมรับในวิลายัตของอะลีบรรดานบีจะไม่ได้รบั การแต่งตัง้ เป็ นนบี ยังไม่เพียงพอเท่านัน้ นักปราชญ์ชอี ะฮฺอีก
คนหนึ่งนามว่า ซุลฏอนุ ล มุตะกัลลิมนี ฮุจญะตุลอิสลามวัลมุสลีมนี อัลลามะฮฺ เชค มุฮมั มัด ฮุเซน ซอฮิบ ซึ่ง
เป็ นมุจตะฮิด ชีอะฮฺของปากีสถาน ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาที่ช่อื ว่า “อุศุลุช ชะรีอะฮฺ ฟี อะกออิดุชชีอะฮฺ ”
หน้า 422 โดยที่เขาได้กล่าวไว้ถงึ ความแตกต่างระหว่างกะลิมะฮฺของอะฮฺลุซซุนะฮฺและชีอะฮฺไว้ว่า

แปลได้ความว่า : พวกเขา(อะฮฺลุซซุนะฮฺ) ไม่ยอมรับในส่วนของวิลายัตของท่านอะลีว่าเป็ นที่อนุมตั ิหรือไม่ก็เป็ น


ส่วนหนึ่งของกะลิมะฮฺ อย่างไรก็ตาม พวกเรา(ชีอะฮฺ)ได้วนิ ิจฉัยอย่างละเอียดแล ้วว่ามันคือส่วนที่จาํ เป็ นของกะ
ลิมะฮิต็อยยิบะฮฺ”

จากข ้อมูลดังกล่าวเป็ นที่ประจักษ์แก่เราแล ้วว่าแท้จริงคํากล่าวอ้างที่ว่า “ชีอะฮฺเป็ นพี่นอ้ งกันเพราะมีกะ


ลิมะฮฺชะฮะดะฮฺเหมือนกัน ” นัน้ เป็ นคําอ้างที่วางอยู่บนความรูไ้ ม่เท่าทัน เพราะในความเป็ นจริงแล ้วนัน้
แม ้กระทัง่ คํากล่าวกะลิมะฮฺก็ยงั มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงซึ่งย่อมต้องส่งผลเสียหายไปสู่ส่วนอื่นๆของ
ศาสนาอย่างแน่นอน และเราได้เห็นแล ้วว่าไม่ว่าจะชีอะฮฺท่อี ยู่ในปากีสถานหรืออิหร่านต่างก็มกี ารอุตริในเรื่องคํา
กะลิมะฮฺท่เี หมือนกัน อันเป็ นข ้อชี้วดั ว่าการกระทําทัง้ หมดเหล่านี้ล ้วนมีท่มี าจากบทบัญญัติทางศาสนาของพวก
เขา ดังนัน้ สภาวะของความเป็ นพี่นอ้ งที่ชอี ะฮฺมกั จะใช้เป็ นกลลวงล่อพี่นอ้ งซุนนีย ์ จึงอยู่ห่างไกลจากความจริงที่
ปรากฏอยู ่มาก

ข้อโต้แย้งของฝ่ ายชีอะฮฺ
เพื่อความสมบูรณ์ของบทความนี้ ผูเ้ ขียนจะขอนําเอาข ้อโต้แย้งของฝ่ ายชีอะฮฺท่มี กั จะนํามาอ้างยืนยันความ
ถูกต้องในการกระทําดังกล่าวของตน และจะขอชี้แจงข ้อตอบโต้เหล่านัน้ ด้วยกับจุดยืนของฝ่ ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺ
ข ้อโต้แย้งที่ 1 “การที่ชอี ะฮฺเพิ่มคําว่า “อัชฮาดุอนั นะอาลียนั วาลียุลลอฮฺ ” นัน้ ก็เพราะว่าท่านอะลีตามทัศนะ
ของอัลกุรอานนัน้ ท่านเป็ นเอาลียะอฺของอัลลอฮฺและมีโองการจากอัลกุรอานมายืนยันว่าท่านอะลีมอี าํ นาจเหนือ
บรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย นัน้ คือ โองการต่อไปนี้

‫اﻟﺼﻼةَ َوﻳـُ ْﺆﺗـُ ْﻮ َن اﻟَﺰَﻛﺎةَ َوُﻫ ْﻢ َراﻛِ ُﻌ ْﻮ َن‬ ِ ِ ِ ِ ِ


َ ‫ﺍ◌ﱠﳕَﺎ َوﻟﻴﱡ ُﻜ ُﻢ اﷲُ َوَر ُﺳ ْﻮﻟُﻪُ َواﻟﱠﺬﻳْ َﻦ‬
َ ‫آﻣﻨُﻮا اﻟﱠﺬﻳْ َﻦ ﻳُﻘْﻴ ُﻤ ْﻮ َن‬
“อันที่จริงผูเ้ ป็ นมิตรของพวกเจ้าคืออัลลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ และบรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย ซึ่งพวกเขา
ดํารงการละหมาด,พวกเขาจ่ายซะกาต และพวกเขาเป็ นผูน้ อบน้อม” ซูเราะห์อลั มาอิดะห์ อายะห์ท่ี 55

และจากโองการดังกล่าวนี้เองที่ได้ปรากฏริวายะฮฺศิหะฮฺ และมุสนัดต่างๆของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ ได้ยนื ยันว่า


โองการดังกล่าวได้ถูกประทานแกท่านอะลีซ่งึ ขณะนัน้ ท่านกําลังรุกูอฺและได้บริจาคแหวนแก่คนยากจน พร้อม
ทัง้ ได้อา้ งหลักฐานเช่น ตัฟซีรฏ็อบรีย ์ เล่มที่ 6 หน้า 186 และตัฟซีรบัยฏอวีย ์ เล่มที่ 1 หน้า 345 ดังนัน้ เมือ่
มีอลั กุรอานมายืนยันถึงอํานาจวิลายัตของท่านอะลี การเรากล่าวยืนยันถึงวิลายัตของท่านเข ้าไปในคํากล่าวกะลิ
มะฮฺชะฮะดะฮฺจึงเป็ นสิ่งที่วางอยู ่บนหลักการของอัลกุรอาน

คําตอบจากฝ่ ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺ
ในความเป็ นจริงแล ้วนัน้ สาเหตุของการประทานโองการดังกล่าวซึ่งทางชีอะฮฺมกั จะอ้างหะดีษเรื่องขอทานที่
ได้รบั การบริจาคจากท่านอะลีในขณะที่ละหมาดและอยู่ในท่ารุก ั ๊วอฺ แต่อย่างไรก็ตามข ้ออ้างดังกล่าวถือว่าไม่มี
นํา้ หนักอันเนื่องมาจากหะดีษที่ได้ถูกหยิบยกมาอ้างในเรื่องเหล่านี้นนั้ ถือเป็ นหะดีษที่อยู่ในระดับอ่อนแอ ตามที่
ท่านคอซินและท่านอิบนฺกะซีร นักอรรถาธิบายอัลกุรอานของอะฮฺลุซซุนนะฮฺได้ให้ความเห็นไว้ ส่วนท่านอิบนฺ
เญาซียแ์ ละท่านอิบนฺตยั มียะฮฺเองก็ได้ตดั สินว่ามีการปลอมหะดีษกันขึ้นมา อีกทัง้ ท่านอิบนฺกะซีรเองได้กล่าวว่า
อายะฮฺน้ ไี ด้ถูกประทานมาเกี่ยวกับท่านอุบาดะฮฺ อิบนฺซอมิต ส่วนท่านฏ็อบรีย(์ ตามการกล่าวอ้างของชีอะฮฺ)เองก็
ได้อรรธาธิบายไว้แตกต่างจากที่ชอี ะอฺได้อา้ งไว้ เช่นในตัฟซีร อัตตอบารีย ์ โดยอิบนุญะรีร “ได้รายงานจาก อิบ
นุอิสหาก จากอิสหากบินยะซารว่า อายะห์น้ ีถูกประทานลงมาด้วยเหตุของท่านอุบาดะห์ บินศอมิต ที่แสดงตน
จะไม่เป็ นมิตรและร่วมมือกับบนีกอยนุ กอ์ โดยไม่ยอมอยู่ในอาณัติของเขาเหล่านัน้ แต่ได้ปลีกตัวมาหาท่านรอ
ซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และเล่าเหตุการณ์น้ ใี ห้ท่านรอซูลฟัง ” (ดูตฟั ซีรอัตตอบารีย ์ เล่มที่ 6 หน้าที่
28สําหรับชีอะฮ์ ยิ่งไปกว่านัน้ ท่านอบีญะอ์ฟรั มูฮมั หมัด บินอาลี หรือรูจ้ กั กันในนามอิหม่ามบากิร ซึ่งเป็ น
อิหม่ามลําดับที่ 5 ของชีอะฮ์ นัน้ เมือ่ ถูกถามเกี่ยวกับอายะห์น้ ีว่า
‫ﻗﻠﻨﺎ ﻣﻦ اﻟﺬﻳﻦ آﻣﻨﻮا ﻗﺎل اﻟﺬﻳﻦ آﻣﻨﻮا ﻗﻠﻨﺎ ﺑﻠﻐﻨﺎ ا�ﺎ ﻧﺰﻟﺖ ﰲ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻗﺎل ﻋﻠﻲ ﻣﻦ اﻟﺬﻳﻦ آﻣﻨﻮا‬
ผูร้ ายงานกล่าวว่า “พวกเราได้กล่าวแก่อิหม่ามบากิรว่า คําว่าบรรดาผูศ้ รัทธาในอายะห์น้ คี ือใคร ท่านตอบว่า ก็
คือบรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย พวกเราถามว่า เราทราบมาว่า อายะห์น้ ถี ูกประทานเกี่ยวกับท่านอาลีอิบนิอบีตอลิบ
ท่านตอบว่า อาลีก็เป็ นหนึ่งในบรรดาผูศ้ รัทธา” (ดูตฟั ซีรอัตตอบารีย ์ เล่มที่ 6 หน้าที่ 288)
ส่วนของท่านบัยฏอวียไ์ ด้หยิบยกรายงานจากท่านอิบนฺอบั บาส อายะฮฺน้ ไี ด้ถูกประทานมาแก่ท่านอุบาดะฮฺ บิน
ศอมิตเช่นกันซึ่งขณะที่เขาออกจากกลุม่ พรรคพวกของเขาที่เป็ นยิว เขากล่าวว่าฉันมอบให้อลั ลอฮฺ รอซูล และ
บรรดาผุศ้ รัทธาเป็ นผูช้ ่วยเหลือฉัน ด้วยเหตุน้ อี ลั ลอฮฺจึงได้ประทานอายะฮฺมาว่า

ٍ ‫ﻀ ُﻬ ْﻢ ْأوﻟِﻴَﺎءُ ﺑِﺒَـ ْﻌ‬


‫ﺾ َوَﻣ ْﻦ ﻳَـﺘَـ َﻮﱠﳍُ ْﻢ ِﻣْﻨ ُﻜ ْﻢ ﻓَﺎِﻧﱠﻪُ ِﻣْﻨـ ُﻬ ْﻢ‬ ِ
ُ ‫ﺼ َﺎرى ْأوﻟﻴَﺎءَ ﺑَـ ْﻌ‬
َ َ‫ﻮد َواﻟﻨ‬
ِ ِ
َ ‫ﻳَﺎﻳﱡـ َﻬﺎ اﻟﱠﺬﻳْ َﻦ‬
َ ‫آﻣﻨُﻮا ﻻَ ﺗَـﺘﱠﺨ ُﺬوا اﻟﻴَـ ُﻬ‬
ِِ ِ ِ
َ ْ ‫ا ﱠن اﷲَ ﻻ ﻳَـ ْﻬﺪى اﻟ َﻘ ْﻮَم اﻟﻈَﺎﻟﻤ‬
‫ﲔ‬

“โอ้บรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย พวกเจ้าอย่าได้เอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็ นมิตร เพราะบางคนของพวกเขาเป็ น


มิตรซึ่งกันและกัน และผูใ้ ดในหมูพ่ วกเจ้าเอาพวกเขามาเป็ นมิตร เขาก็เป็ นหนึ่งในหมูน่ นั้ ด้วย แท้จริงอัลลอฮ์
ไม่ทรงนําทางกลุม่ ชนที่อธรรม” อัลมาอิดะฮฺ : 51
ไปจนถึงอายะฮฺท่วี ่า

‫اﻟﺼﻼ َة َوﻳـُ ْﺆﺗُـ ْﻮ َن اﻟَﺰَﻛﺎ َة َوُﻫ ْﻢ َراﻛِ ُﻌ ْﻮ َن‬ ِ ِ ِ ِ ِ


َ ‫اﱠﳕَﺎ َوﻟﻴﱡ ُﻜ ُﻢ اﷲُ َوَر ُﺳ ْﻮﻟُﻪُ َواﻟﱠﺬﻳْ َﻦ‬
َ ‫آﻣﻨُﻮا اﻟﱠﺬﻳْ َﻦ ﻳُﻘْﻴ ُﻤ ْﻮ َن‬
“อันที่จริงผูเ้ ป็ นมิตรของพวกเจ้าคืออัลลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ และบรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย ซึ่งพวกเขา
ดํารงการละหมาด,พวกเขาจ่ายซะกาต และพวกเขาเป็ นผูน้ อบน้อม” ซูเราะห์อลั มาอิดะห์ อายะห์ท่ี 55
เกี่ยวกับเรื่องนี้มกี ล่าวอีกว่าท่านญาบิรอิบนฺอบั ดิลละฮฺ กล่าวว่าท่านอับดุลลอฮฺ อิบนฺสะลาม มาหาท่านนบี
พร้อมกับกล่าวว่า หมูช่ นของเราคือยิวตระกูลกุร็อยเซาะ ตระกุลนาฎีร ต่างพากันละทิ้งความสัมพันธ์กบั เรา
ด้วยเหตุน้ ีเองอัลลอฮฺจึงประทานโองการข ้างต้นลงมา จากนัน้ ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนฺสะลามจึงกล่าวว่า “เราพอใจ
ให้อลั ลอฮฺ รอซูลและบรรดามุอฺมนิ เป็ นผูช้ ่วยเหลือ”
นี่คือข ้อเท็จจริงของการประทานโองการนี้ตามความเข ้าใจของชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ !!! ซึ่งหากชาวชีอะฮฺยงั คงยืน
หยัดในสาเหตุท่วี ่าโองการนี้ประทานมาแก่ท่านอะลี ดังนัน้ ผูเ้ ขียนอยากขอให้ชอี ะฮฺตอบคําถามต่อไปนี้

ِ
1. คําสรรพนามที่ใช้อยู ่ในอายะฮฺข ้างต้น(5:55) อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น َ ‫ َواﻟﱠﺬﻳْ َﻦ‬บรรดาผูศ้ รัทธา ,
‫آﻣﻨُﻮا‬
‫ اﻟﱠ ِﺬﻳْ َﻦ ﻳُِﻘْﻴ ُﻤ ْﻮ َن‬บรรดาผูด้ าํ รงการละหมาด, ถ้าอัลลอฮฺ ทรงหมายถึงท่านอะลี รอฎิฯ แต่เพียงผูเ้ ดียวแล ้ว อัล-
กุรฺอานจะใช้สรรพนามในรู ปเอกพจน์แทน

2. อิบนุ กะษีร นักอรรถาธิบายอัล-กุรฺอานนามกระเดื่อง เขียนเกี่ยวกับอายะฮฺข ้างต้นเอาไว้ว่า “บางคน


จินตนาการไปว่าความตอนท้ายของอายะฮฺ(ดังกล่าว)นี้อา้ งถึงลักษณะอาการของคนๆ หนึ่งในขณะที่กาํ ลัง
บริจาคซะกาต จึงแปลความตอนนี้ว่า ‫“ َوُﻫ ْﻢ َراﻛِ ُﻌ ْﻮ َن‬บริจาคซะกาตขณะที่พวกเขากําลังโค้งศีรษะ(รุกวั อฺ)อยู่“
เรื่องนี้ช่างน่าขบขันนัก ถ้าเราเห็นด้วยกับข ้อโต้แย้งนี้ก็หมายความว่า การบริจาคซะกาตที่ดที ่ปี ระเสริฐจะต้อง
ทําในขณะที่เรากําลังรุกวั อฺอยู ่อย่างแน่นอน กระนัน้ ไม่เคยมีนกั ปราชญ์ท่านใดสนับสนุนทัศนะดังกล่าวเลย
บรรดาผูท้ ่รี ายงานหะดีษว่าท่านอะลี รอฎิฯ กําลังก้มรุกวั อฺอยู่ในระหว่างละหมาด แล ้วมีขอทานคนหนึ่งเข ้ามา
ร้องขอสิ่งบริจาค สุดท้ายท่านอะลี รอฎิฯ ได้บริจาคแหวนวงหนึ่งให้ขอทานคนนัน้ ไป ในสายรายงานของหะ
ดีษที่ว่านี้ ไม่มใี ครสักคนที่ซ่อื สัตย์และเชื่อถือได้” 75 74F

กล่าวโดยสรุป ผูเ้ ขียนได้แสดงให้เห็นแล ้วทัง้ ตัวบทและหลักฐานว่า โองการดังกล่าวหาได้เป็ นตามคํากล่าวอ้าง


ของชีอะฮฺไม่ ซึ่งไม่ปรากฏว่าผูร้ ูจ้ ากอะฮฺลุซซุนนะฮฺท่านใดเข ้าใจโองการเหล่านี้ว่าหมายถึงการแต่งตัง้ ท่านอะลี
เลย นอกจากสายรายงานหะดีษบางบทที่ปรากฏในตําราของชาวซุนนะอฺ แต่ผรุ ้ ูฝ้ ่ ายซุนนะฮฺก็ได้ให้ความเห็น
แล ้วว่าทัง้ หมดล ้วนเป็ นหะดีษที่ไม่ได้รบั การเชื่อถือหรืออ่อน

ข ้อโต้แย้งที่ 2 ฝ่ ายชีอะฮฺมกั จะอ้างฮะดีษที่ว่า‫“ اﳕﺎ اﻻﻋﻤﺎل ﺑﺎﻟﻨﻴﺎت‬แท้จริงการกระทํานัน้ ขึ้นอยู่กบั เจตนาของ


มนุษย์” ด้วยเหตุน้ ถี า้ ยอมรับวิลายะฮฺของท่านอะลีเป็ นหนึ่งในอูศูลที่อลั กุรอานกล่าวถึง อีกด้านหนึ่งประโยคที่
ได้กล่าวถึงไม่ได้เจตนาให้เป็ นส่วนหนึ่งของอะซานและอิกอมะฮฺฉะนัน้ จะมีปญั หาอะไรหากจะกล่าวถึงความจริง
นี้ไว้เคียงข ้างไว้กบั การปฏิญาณยืนยันถึงการเป็ นรอซูล?

คําตอบ แน่นอนว่าคําพูดดังกล่าว ‫“ اﳕﺎ اﻻﻋﻤﺎل ﺑﺎﻟﻨﻴﺎت‬แท้จริงการกระทํานัน้ ขึ้นอยู่กบั เจตนาของมนุษย์ ”


เป็ นคําพูดของท่านรอซูล แต่ทงั้ นี้ การตัง้ เจตนาของมนุษย์แม ้จะถูกมองว่าดีแค่ไหนแต่หากรูปแบบหรือการ
กระทําเป็ นไม่ได้เป็ นไปตามหลักการศาสนาตลอดจนไม่มแี บบอย่างจากท่านนบีมฮุ มั มัดการกระทําดังกล่าวแม ้
จะตัง้ เจตนาดีจะถูกปัดทิ้งไป และฮูก่มุ ของมันจะเป็ นบิดอะฮฺ(อุตริกรรม)ทันที เฉกเช่นเดียวกับการเพิ่มคํากล่าว
ชะฮะดะฮฺซ่งึ ระบุถงึ อํานาจของท่านอะลีเข ้าไป ซึ่งไม่ปรากฏวิลายะฮฺของท่านอะลีแม ้เพียงจุดเดียวในอัลกุรอาน
ดังนัน้ วิลายะฮฺของท่านอะลีจึงไม่ถอื เป็ นอูศูลในอัลกุรอาน และการปฏิญาณคํากล่าวนี้ไว้เคียงคู่กบั อัลลอฮฺและ
รอซูลแล ้ว จึงถือเป็ นความเท็จที่ถูกอุปโลกน์แก่ท่านอะลี ส่วนข ้ออ้างเรื่องวิลายะฮฺของท่านอะลีในซูเราะฮฺ อัล
มาอิดะฮ โองการที่ 55 นัน้ เราได้ช้ แี จงและแสดงให้เห็นถึงการบิดเบือนอัลกุรอานของชีอะฮฺไปแล ้ว ส่วนข ้ออ้าง
ที่ว่า “อีกด้านหนึ่งประโยคที่ได้กล่าวถึงไม่ได้เจตนาให้เป็ นส่วนหนึ่งของอะซานและอิกอมะฮฺ ” นัน้ เป็ นแค่คาํ
กล่าวแก้ตวั เพราะการปฏิบตั ิของชาวชีอะฮฺทวั่ โลกมักจะใส่คาํ ว่า “อัชฮาดุอนั นะอาลียนั วาลียุลลอฮฺ ” จนดู
เหมือนเป็ นรู กุ่นหนึ่งของการอะซานและอิกอมะฮฺท่ขี าดไม่ได้ และเราไม่พบว่ามีมสั ยิดชีอะฮฺแห่งใดที่ไม่พ่วงใส่
คํานี้เข ้าไป มิหนําซํา้ ตํารานิติศาสตร์(ฟิ กส์)ทางศาสนาของพวกเขากลับยืนยันถึงความจําเป็ นที่ตอ้ งใส่ชาฮาดะฮฺ
ที่สามและการไม่ใส่ชาฮาดะฮฺดงั กล่าวถือว่าการปฏิญาณนัน้ เป็ นโมฆะ 76แต่ถงึ อย่างไรก็ตามแม ้จะมีเจตนาดีแค่
75F

ไหนหากไม่พบแบบอย่างการกระทําดังกล่าวว่ามาจากรอซูลแล ้วไซร้ การกระทําดังกล่าวย่อมถือเป็ นบิดอะฮฺ


หรือการอุตริกรรมอย่างแน่นอน

75
ตัฟซีร อิบนุ กะษีร, เล่ม 1
76
ข้อเท็จจริ งเหล่านี้กรุ ณาดูในหนังสื ออธิบายการละหมาดของชีอะฮฺที่มีชื่อว่า “ตุฮฺฟาตุลนมาซญะอฺฟารี ยะฮฺ ”หน้า10 ฉบับพิมพ์ที่ ลา
โฮร์และหนังสื ออีกเล่มคือ “Shia Mazhab Haq Hai” หน้าที่ 2
แล้วคํากล่าวที่วา่ “อัชฮาดุอนั นะอาลียนั วาลียุลลอฮฺ” หรือชะฮะดะฮฺท่ี 3 นั้นมีท่มี าที่ไปจากไหน?
ตอบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่จาํ เป็ นที่จะต้องนําคําตอบจากผูร้ ูฝ้ ่ ายซุนนะฮฺมาตอบ ผูเ้ ขียนขอนําคําตอบจากอุลามะ
ชีอะอฺร่วมสมัยผูม้ ใี จรักในความจริงมาตอบ ท่านคือ ดร.มูซา อัลมูเซาวีย ์ ซึ่งเป็ นหลานของอิมาม อักบัร ซัยยิด
อบุลฮะซัน อัลมูซาวีย ์ อัลอัสฟาฮานี ซึ่งเกิดในเมือง นะญัฟประเทศอิรคั ท่านถือเป็ นผูท้ รงความรูม้ ากมาย
ความสําเร็จชิ้นสําคัญที่ท่านได้รบั คือ ประกาศนียญ์ บัตรชัน้ สูงทางฟิ กส์อิสลามระดับ “อิจติฮาด” จากผูน้ าํ
ศาสนาคนสําคัญของเมืองนะญัฟ คือเชค มุฮมั มัด อัลฮุเซน อัลกาชิฟ ดร.มูซา อัลมูเซาวีย ์ เป็ นผูท้ ่อี ยู่ใน
แนวทางของชีอะฮฺ ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นเพื่อนําเสนอและแก้ไขทัศนะความเชื่อและการปฏิบตั ิท่ี
คลาดเคลือ่ นอของชาวชีอะฮฺ หนังสือดังกล่าวมีช่อื ว่า “อัชชีอะฮฺ วัตตัศเฮีย๊ ฮฺ ” ซึ่งแปลเป็ นไทยว่า “ชีอะฮฺและ
การแก้ไข” โดยที่ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการเพิ่มเติมชะฮะดะฮฺของชีอะอฺไว้ว่า “ ส่วนหนึ่งจาก
ความแปลกประหลาดของปรากฏการณ์น้ คี ือ บรรดานักนิติบญั ญัติของเรา(ฟูกอฮา) ได้ลงมติเป็ นเอกฉันท์ว่า
การใส่ชะฮะดะฮฺท่สี ามได้ถูกเพิ่มเติมมาใส่ในการอะซานเพื่อการละหมาดในระยะหลัง จากการแฝงกายครัง้
ใหญ่(ฆ็อยบะฮฺกุบรอ)ในสมัยของ ชาอิสมาอีล ซอฟาวีย ์ (ค.ศ. 1487-1524) ทําการปกครองอิหร่าน เขาได้
บัญชาให้มอุ ซั ซินทุกคนใส่ชะฮะดะฮฺท่3ี ในการละหมาดโดยกลายเป็ นสัญลักษณ์ของชีอะฮฺ”
ในความเป็ นจริงนัน้ แนวทางอะฮฺลุซุนนะฮฺ ปฏิบตั ิตามแนวทางที่ถูกกระทําให้เป็ นแบบอย่างโดยท่านรอซูล
บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ตลอดจนบรรดาซอฮาบะฮฺผูไ้ ด้รบั ความเมตตา และกรณีของการอะซานและคําชะฮะดะฮฺก็
ได้ยดึ ถือปฏิบตั ิตามการกระทําที่มมี าในสมัยของท่านรอซูล ซึ่งไม่ปรากฏกะลิมะฮฺชาฮะดะฮฺท่ี 3 ตามการ
กระทําของชีอะฮฺแต่อย่างใด แต่ส่งิ ที่สาํ คัญและกลับกลายเป็ นอุทาหรณ์เตือนสติอนั ยิ่งใหญ่แก่อุมมะฮฺอิสลาม
นัน้ ก็คือ การกล่าวกะลีมะฮฺชะฮะดะฮฺ นัน้ ถือเป็ นสิ่งสําคัญในศาสนาที่จะบ่งชี้วดั ถึงความเข ้าใจในหลักการอัน
ถูกต้องของศาสนา และถือเป็ นเรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายที่ท่านนบีให้ความสําคัญ เพราะหากแม ้นว่าความเข ้าใจ
ในเรื่องชะฮะดะฮฺของบุคคลผูห้ นึ่งยังวางอยู ่บนพื้นฐานของความหลงผิด ทัง้ ๆที่เรื่องของชะฮะดะฮฺเป็ นจุด
เริ่มแรกของศาสนาและความเป็ นมุสลิมของมนุษย์คนหนึ่ง ดังนัน้ แน่นอนทีเดียวว่ามันย่อมส่งผลกระทบและ
ก่อความเสียหายแก่ส่วนอื่นๆอีกมากของศาสนาที่เป็ นผลของการแตกแขนงออกมาจาก ชะฮะดะฮฺ ซึ่งมันจะ
เป็ นเครื่องชี้วดั ให้เห็นว่าแท้จริงแล ้วนัน้ อุปสรรคอันสําคัญที่คอยกีดขวางความปรองดองระหว่างซุนนะฮฺและ
ชีอะฮฺมาโดยตลอดนัน้ คืออะไร และจะเป็ นคําตอบที่สาํ คัญแก่ผูท้ ่สี งสัยมาโดยตลอดว่าเหตุใดซุนนะฮฺและชีอะฮฺ
จึงไปด้วยกันไม่ได้ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงความจําเป็ นของอุมมะฮฺอิสลามที่จะต้องต่อสูก้ บั การแพร่ขยายของลัทธิ
บิดเบือนอิสลามที่มชี ่อื ว่า “ชีอะฮฺ”
วัลลอฮูอะอฺลมั บิศศอวาบ
ระหว่างรอฟิ เดาะฮฺกบั ซุนนี ใครกันแน่ ท่ตี ามอะฮฺลุลบัยตฺ บทพิสูจน์ท่เี ป็ นรูปธรรม
ปุจฉา : ทําไมพวกท่านจึงไม่ยดึ ศาสนาผ่านบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺซ่งึ เป็ นผูท้ ่ไี ด้รบั การสัง่ เสียให้ยดึ ตามหลังจาก
ท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ได้เสียชีวติ ไป แต่พวกท่านกลับไปยึดเอาคนอื่นๆ ดังนัน้ หลักการศาสนาของพวกท่านจึงเป็ น
หลักการที่ข้นึ ตรงกับพวกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺ โดยเฉพาะบนีอุมยั ยะฮฺซ่งึ ในหะดีษของพวกท่านไม่ว่าจะเป็ น บุ
คอรีหรือมุสลิม กลับบรรจุไปด้วยสายรายงานที่ผ่านปากของอบูฮุร็อยเราะฮฺซ่งึ เป็ นผูร้ ายงานหะดีษต่างๆเพื่อเอา
ใจพวกบนีอุมยั ยะฮฺ ดังนัน้ จึงเป็ นข ้อสรุปได้อย่างชัดเจนแล ้วว่าหลักการศาสนาของพวกท่านในทุกๆเรื่องไม่ว่า
จะละหมาดหรือแม ้กระทัง่ เรื่องอากีดะฮฺ ล ้วนแล ้วแต่ถอื ตามคําสอนของพวกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺทงั้ สิ้น ซึ่งถือ
เป็ นคําสอนที่ถูกเปลีย่ นแปลงแก้ไขจากเดิมทัง้ สิ้น

วิสชั นา : เรื่องราวของการยึดมันอยู
่ ่ในหนทางของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺนนั้ แน่นอนบรรดาอะฮฺลุซซุนนะฮฺวลั ญะ
มะอะฮฺ ไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธการยึดตามพวกเขาเลย เพราะมันเป็ นคําสัง่ หนึ่งที่ถูกบัญชาแก่อุมมะฮฺมสุ ลิมทัง้
ปวง แต่ทงั้ นี้และทัง้ นัน้ การยึดมันในหนทางของบรรดาอะฮฺ
่ ลุลบัยตฺ ไม่ได้กลายเป็ น “เครื่องหมายทางการค้า”
หรือ “ป้ ายยี่หอ้ ” สําหรับแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ ดังเช่นที่แนวรอฟิ เดาะฮฺชอบใช้โฆษณากัน
ว่าถือศาสนาผ่าน “อะฮฺลุลบัยตฺ ” จนได้ยนิ ได้เห็นกันอย่างติดตา แต่โดยเนื้อหาสาระเชิงลึกแล ้วนัน้ แนวทาง
ของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ นัน้ ยึดถือศาสนาผ่านอะฮฺลุลบัยตฺอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามภาพที่ออกมา
จากแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ จะเป็ นไปในเชิงของผูย้ ดึ ตามบรรดาซอฮาบะฮฺเสียมากกว่า สาเหตุท่เี ป็ นไปใน
เชิงนัน้ เพราะบรรดาอุลามะอฺอะฮฺลุซซุนนะฮฺถอื ว่าบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺก็เป็ นหนึ่งในบรรดาซอฮาบะฮฺของท่านรอ
ซูลซึ่งการตีวงกว้างเช่นนี้ก็เพราะว่าชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺไม่ได้กีดกันและละเลยต่อคุณงามความดีของบรรพชน
อิสลามยุคแรกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺ ดังนัน้ จึงได้มกี ารสร้างแบรนด์หรือเครื่องหมายทางการค้าว่า ชาวอะฮฺลุซซุน
นะฮฺดาํ เนินศาสนาผ่านบรรดาซอฮาบะฮฺ ซึ่งในที่น้ กี ็ร่วมอะฮฺลุลบัยตฺไว้ดว้ ย มากกว่าการที่จะสร้างภาพว่ายึด
ตามอะฮฺลุลบัยตฺ เพราะถือว่าเป็ นคําที่มคี วามหมายที่จาํ กัดบุคคลจากครอบครัวของท่านนบีไม่ก่คี นเท่านัน้
และนัน้ คือภาพลวงตาง่ายๆที่คนเอาวามมักจะสับสนและหลุดไปเข ้ารีตเป็ นรอฟิ เดาะฮฺเสียมาก เพราะชาวรอฟิ
เดาะฮฺนิยมยัดเยียดภาพลวงตาว่า ซุนนีตามซอฮาบะฮฺ ส่วนชีอะฮฺตามอะฮฺลุลบัยตฺ ซึ่งตามหลักจิตวิทยาพื้นฐาน
แล ้วนัน้ เครดิตหรือความน่าเชื่อถือย่อมตกอยู่กบั ฝ่ ายรอฟิ เดาะฮฺอย่างแน่นอน เพราะบุคคลที่ตามคนใน
ครอบครัวของท่านนบีย่อมน่าเชื่อถือกว่าคนนอกบ้านอยู่แล ้ว แต่!! จะสลักสําคัญอะไรเล่าแม ้นว่าชาวอะฮฺลุซ
ซุนนะฮฺ จะมิได้สร้างเครื่องหมายทางการค้าว่าตามอะฮฺลุลบัยตฺ หากในเมือ่ ความจริงพวกเขาดําเนินตามเป็ น
อย่างยิ่ง อุปมาจุดยืนของชาวซุนนีต่ออะฮฺลุลบัยตฺก็อุปมัยดัง่ จุดยืนของชาวคริสต์เตียนที่มตี ่อนบีอีซา แม ้ว่าคน
ทัง้ โลกจะมองกันว่าชาวคริสต์เตียนคือผูต้ ามนบีอีซาแต่คนที่ศึกษาอย่างแท้จริงย่อมรูด้ วี ่าผูท้ ่ยี ดึ ตามคําสอน
ของนบีอีซาอย่างแท้จริงก็คือชาวมุสลิม เพราะนบีอีซาไม่เคยสอนหลักการเรื่องตรีเอกานุภาพ และเช่นกันอะฮฺ
ลุลบัยตฺก็ไม่เคยสอนว่าอัลกุรอานถูกบิดเบือน บรรดาซอฮาบะฮฺเป็ นกาเฟรเหลือแค่สามคน รูก่นุ อีมานมี 5
ประการ เป็ นต้น!!! สําหรับเรื่องราวของคํากล่าวหาที่ว่าชาวซุนนีถอื ศาสนาผ่านลมปากจากอบูฮุร็อยเราะฮฺซ่งึ
รายงานหะดีษเพื่อประจบสอพลอบนีอุมยั ยะฮฺนนั้ ท่านสามารถอ่านคําตอบโต้เรื่องเหลวไหลพวกนี้ได้ท่ลี งิ ค์น้ ี
คลิก
http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=72

http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=41

สิ่งที่จะหักล ้างข ้อกล่าวหาตื้นๆที่รอฟิ เดาะฮฺมตี ่อท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺนนั้ เราแค่ยกเพียงหะดีษที่ท่านอบูฮุร็อย


เราะฮฺรายงานว่า ท่านฮุซยั นฺคือหัวหน้าชายชาวสวรรค์ (บันทึกโดยบุคอรี) ท่านว่าคนแบบนี้คือผูป้ ระจบสอพลอ
ต่อบนีอุมยั ยะฮฺงนั้ เหรอ ?
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ข ้าพเจ้าจะขอท้าพิสูจน์กบั ผูถ้ ามตลอดจนชีอะฮฺทวั่ โลกก็คือระหว่างรอฟิ เดาะฮฺกบั ซุนนีใครกัน
แน่ท่ยี ดึ ตามอะฮฺลุลบัยตฺ ? แน่นอนการยึดตามอะฮฺลุลบัยตฺไม่ใช่เพียงแค่มาแสดงออกแค่ลมปากว่ายึดตามๆๆ
เท่านัน้ มันจะต้องมีการพิสูจน์ท่เี ป็ นรู ปธรรม กล่าวคือพิสูจน์กนั จากตําราขัน้ มูลฐานระหว่างซุนนีกบั รอฟิ เดาะฮฺ
สาเหตุท่ตี อ้ งพิสูจน์กนั จากตําราก็เพราะว่า ทุกวันนี้นนั้ บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ไม่มแี ม ้แต่ท่านเดียวที่ยงั คง
หลงเหลือและมีชวี ติ ในยุคสมัยเราแล ้ว พวกท่านเหล่านัน้ ล ้วนกลับไปสู่ความเมตตาของพระองค์อลั ลอฮฺ
หมดแล ้ว ดังนัน้ จึงมีแต่เพียงคําสอนของพวกท่านเหล่านัน้ ที่จะให้พวกเรายึดตามไว้ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทําไม
เราต้องพิสูจน์กนั จากตําราขัน้ ปฐมภูมขิ องทัง้ สองแนวทางเพราะตําราคือสิ่งที่คอยบันทึกริวายัตหรือการรายงาน
หะดีษตลอดจนคําสอนของท่านเหล่านัน้ สําหรับตําราขัน้ ปฐมภูมขิ องชาวซุนนีนนั้ คือ ซอเฮีย๊ ฮฺ บุคอรีและมุสลิม
และสุนนั ต่างๆ ส่วนตําราขัน้ ปฐมภูมขิ องรอฟิ เดาะฮฺนนั้ คือ อัลกาฟี ย ์ ของอัลกุลยั นี ซึ่งเป็ นตําราที่ชยั คฺ อับดุลฮุ
เซน กล่าวรับรองไว้ใน กิตาบุลมุรอญะอาต ว่า “ยิ่งใหญ่ เก่าแก่ และถูกต้องมากที่สุดแล ้วสําหรับชีอะฮฺ ”
(กรุณาดู ในมุรอญะอาตที่ 110) หรืออย่างที่เชคมุฟีด อุลามะอฺนามระบือของโลกชีอะฮฺได้กล่าวไว้ว่า “อัล-
กาฟี ยอ์ ยู ่ในฐานะหนังสือที่ดเี ยี่ยมที่สุดของชีอะฮฺและมีประโยชน์มากที่สุด” เมือ่ เราได้ทราบกฎเกณฑ์และกติกา
ในการพิสูจน์แล ้วดังนัน้ เราจึงควรมาสํารวจดูสายรายงานของทัง้ สองแนวจากตําราของทัง้ สองฝ่ ายว่าใครกันแน่
ที่มรี ิวายัตจากอะฮฺลุลบัยตฺมากกว่ากัน

ริวายัต(รายงานหะดีษ) จากท่านอิมามอะลี อิบนฺ อบีฏอลิบ


ซุนนี
ชาวรอฟิ เดาะฮฺมกั จะสร้างแบรนด์แก่ตนเองว่าเป็ นผูด้ าํ เนินตามท่านอิมามอะลีเสมอมาอย่างไรก็ตาม ในทาง
รูปธรรมแล ้วชาวซุนนีต่างหากที่ยดึ มันอยู
่ ่ในคําสอนของอิมามอะลีย่งิ กว่าชาวรอฟิ เดาะฮฺ ในซอเฮีย๊ ฮฺบุคอรี ริ
วายัตจากท่านอิมามอะลีในรู ปแบบที่สะนัดซํา้ กันรวมทัง้ สิ้น มี 98 ริวายัต และแบบที่ไม่ซาํ้ กันมีทงั้ สิ้น 34 ริ
วายัต และริวายัตจากท่านอิมามอะลีในซอเฮีย๊ ฮฺ มุสลิม มีทงั้ สิ้น 38 ริวายัต ดังนัน้ ผลรวมทัง้ สิ้นจากริวายัตของ
ท่านอิมามอะลีในตําราของซุนนีคือ 72 ริวายัต เมือ่ เราพิจารณาดูอตั ราของสายรายงานจากท่านอิมามอะลีใน
ตําราของซุนนีเราจะพบสิ่งที่น่าเหลือเชื่อว่ามันมากกว่าริวายัติของท่านอบูบกั ร อุมรั และอุสมานด้วยซํา้ ไป !!!
ดังนัน้ ข ้อกล่าวหาที่ชาวรอฟิ เดาะฮฺพยายามที่จะยัดเยียดแก่ชาวซุนนีว่าไม่ดาํ เนินตามทางของท่านอิมามอะลี
และอะฮฺลุลบัยตฺ แต่กลับไปยึดตามทางของสามคอลีฟะฮฺ ท่านว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่? และการที่ชาวซุนนี
มีคาํ สอนจากท่านอิมามอะลีมากกว่าท่านอบูบกั ร อุมรั และอุสมาน ชาวรอฟิ เดาะฮฺยงั คิดที่จะยัดเยียดความ
เป็ นศัตรูต่อท่านอิมามอะลีแก่ชาวซุนนีอีกเหรอ? เป็ นไปได้อย่างไร?

รอฟิ เดาะฮฺ
เมือ่ เราทําการตรวจสอบริวายัติท่รี ายงานจากท่านอิมามอะลีในตําราของชาวรอฟิ เดาะฮฺท่ชี ่อื อัลกาฟี ย ์ เราจะ
พบว่ามันมีริวายัติจากท่านอิมามอะลีเพียง 66 ตัวบทเท่านัน้ !!! ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยกว่าจะน้อยกว่าริวายัติจากชาว
ซุนนีท่มี ถี งึ 72 ตัวบทเสียอีก!!! และอย่าลืมว่าริวายัติท่ปี รากฏจากท่านอิมามอะลีท่มี ี 66 ตัวบทในหนังสืออัล
กะฟี ยน์ นั้ ยังไม่ได้นบั แยกจากรายงานฎออีฟ หรือมัวฎอฺุ (ปลอม) ด้วยซํา้ ไป!!! เพราะอย่าลืมว่า 2 ใน 3 ของริ
วายัติเหล่านัน้ ล ้วนแล ้วแต่ขาดความน่าเชื่อถือและถูกอุปโลกน์ทงั้ สิ้น (กรุณาดูหนังสือ มะษอดิรุลหะดีษ อินดัช
ชีอะฮฺอิมามียะฮฺ ของเชคมุฮมั มัด ฮุเซน อันญะลาลีย ์ นักหะดีษของชีอะฮฺท่รี ะบุว่าในอัลกาฟี ยม์ หี ะดีษปลอมถึง
9485 หะดีษ!!) ดังนัน้ หากเราชัง่ ใจและเดาเอาว่าหะดีษที่ซอเฮีย๊ ฮฺและถูกรายงานจากอิมามอะลีในอัลกะฟี ยจ์ ะ
เหลือเพียงกี่บท และชีอะฮฺจะปฏิบตั ิตามท่านอิมามอะลีได้เพียงกี่เปอร์เซ็น!!!!!!! และใครกันแน่ท่ยี ดึ ถือและ
ดําเนินตามท่านอิมามอะลีอย่างแท้จริงและเป็ นรูปธรรมและใครกันแน่ท่แี อบอ้าง และใครกันแน่คือชีอะฮฺ
ของอะลีท่แี ท้จริง!!!!

ริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺ
ซุนนี
เมือ่ เราทําการตรวจสอบถึงริวายัติท่ถี ูกรายงานจากท่านหญิงฟาตีมะฮในตําราของชาวซุนนี เราจะพบว่ามันมี
เพียงแค่ 1 ริวายัติเท่านัน้ ซึ่งปรากฏอยู ่ในซอเฮีย๊ ฮฺบุคอรี หมายเลขหะดีษที่ 4462

รอฟิ เดาะฮฺ
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือเมือ่ เรากลับไปควานหาริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺ ในตําราอัลกะฟี ย ์ ซึ่งมีทงั้ สิ้น 8 เล่ม และมี
หะดีษทัง้ หมด 16,121 หะดีษ เรากลับไม่พบหะดีษจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺเลยแม ้แต่หะดีษเดียว!!!! ผลรวม
ของริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺในตําราของพวกรอฟิ เดาะฮฺคือ 0 ครับ!!! ???? เป็ นที่น่าเศร้าสําหรับกลุม่ ที่
อ้างตนว่ารักในท่านหญิงฟาตีมะฮฺแต่กลับไม่มรี ายงานหะดีษแม ้แต่บทเดียว ดังนัน้ ในกันแน่ท่ลี ะเลยต่อท่าน
หญิงฟาตีมะฮฺอย่างอธรรม

ริวายัติจากท่านอิมามฮุซยั นฺ
ซุนนี
ริวายัตจากท่านอิมามฮุเซน มีทงั้ สิ้นในตําราของฝ่ ายซุนนีคือ 4 ริวายัติ ซึ่งปรากฏอยู่ในซอเฮีย๊ ฮฺบุคอรีและ
มุสลิม ในบุคอรีปรากฏอยู ่ใน หมายเลขที่ 1127 และหมายเลข 3091 ในมุสลิมก็บนั ทึกคล ้ายกัน

รอฟิ เดาะฮฺ
ในตําราอัลกาฟี ย ์ ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามฮุซยั นฺเพียงแค่ 1 ริวายัติเท่านัน้ และของอิมามหะซันก็แค่ 1 ริ
วายัติเช่นกัน รวมแล ้วเป็ น 2 ซึ่งน้อยกว่าของซุนนีดว้ ยซํา้ !!!! ไม่สมกับที่มานัง่ เขกกะบาลจนเลือดไหลในวันอา
ชูรอเลย

เพียงแค่อะฮฺลุลบัยตฺทงั้ สี่ท่านที่เราได้นาํ เสนอมาก็เพียงพอแล ้วที่จะพิสูจน์อย่างเป็ นรูปธรรมว่าใครกันแน่ท่ี


ดําเนินอยู่บนทางของอะฮฺลุลบัยตฺ และใครกันแน่ท่แี อบอ้าง!!!!

เหลือบดูอิมามท่านอื่นๆกันบ้าง
ชาวซุนนีนนั้ มีข ้อบกพร่องอย่างหนึ่งคือไม่ได้สร้างเครื่องหมายทางการค้าว่าตามอะฮฺลุลบัยตฺ ดังที่ชาวรอฟิ
เดาะฮฺมกั จะอ้างกันอยู ่เสมอ ดังนัน้ ชื่อของ อิมามบากิรและอิมามญะอฺฟรั อาจจะไม่ค่อยเป็ นที่รูจ้ กั กันเท่าไหร่
ในหมูค่ นเอาวามชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ แต่สาํ หรับนักหะดีษ ย่อมเคยผ่านตาชื่อของอิมามบากิรอ
ย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเมือ่ เรากลับไปค้นดูริวายัตจากท่านอิมามบากิร เราจะพบว่าริวายัติจากท่านอิมามบา
กิรในตําราของชาวซุนนีปรากฏมากกว่าริวายัติของท่านอบูบกั รด้วยซํา้ !!!! ท่านอบูบกั รแม ้ว่าชาวซุนนีจะมองว่า
เป็ นบุรุษที่ประเสริฐที่สุดในแง่ของคุณธรรมและเกียรติยศรองจากท่านนบี แต่หากเปรียบเทียบริวายัติจากท่า
นอบูบกั รแล ้วกลับมีนอ้ ยกว่าอิมามบากิรเสียอีก ดังนัน้ ภาพลวงตาที่รอฟิ เดาะฮฺมกั จะสร้างว่าชาวซุนนีทอดทิ้ง
อะฮฺลุลบัยตฺ และกลับไปยึดถือเอาอบูบกั รอย่างเดียว ย่อมถือเป็ นคําพูดอันโง่เขลาจากอุลามะอฺของฝ่ ายรอฟิ
เดาะฮฺเอง ในซอเฮีย๊ ฮฺบุคอรีทงั้ 9 เล่ม มีริวายัติท่ปี รากฏชื่ออิมามบากิรในสะนัดมากถึง 240 ริวายัติ !!!!!
ในซอเฮีย๊ ฮฺ มุสลิม ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามบากิรถึง 19 ริวายัติ ในทางตรงกันข ้ามริวายัติของท่านอบูบกั ร
อัศศิกดีก มีแค่ 9 ริวายัติเท่านัน้ !!! นี่ยงั ไม่นบั ในสุนนั อันนาซาอีย ์ ที่ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามบากิรถึง 56 ริ
วายัติ แต่ในทางกลับกันในสุนนั นาซาอีมรี ิวายัติของท่านอบูบกั รเพียงแค่ 22 ริวายัติเท่านัน้ !!!!!! อย่างไรก็ตาม
รอฟิ เดาะฮฺอาจจะอ้างว่า ริวายัติจากอิมามบากิร ในตําราอัลกาฟี ย ์ นัน้ ก็มอี ยู่มาก แต่รอฟิ เดาะฮฺตอ้ งไม่ลมื ว่า
ในอัลกาฟี ย ์ มีหะดีษทัง้ สิ้น 16,121 ฮะดีษ แต่ตามที่ ชัยคฺ ญะอฺฟรั อัศซุบฮานี นักหะดิษคนสําคัญของรอฟิ
เดาะฮฺในยุคปัจจุบนั ตัดสินแล ้วว่า ในอัลกาฟี ยน์ นั้ มีหะดีษปลอมและอ่อนถึง 9,485 ฮะดีษ ซึ่งคิดเป็ น 2 ใน 3
ของอัลกาฟี ยเ์ ลยก็ว่าได้ ดังนัน้ หะดีษที่ริวายัติมาจากอิมามบากิรในอัลกาฟี ย ์ จะเหลือที่ใช้ได้จริงๆเท่าไหร่!!!
เพราะหากท่านไปตรวจค้นดูในอัลกาฟี ย ์ ริวายัติท่รี ายงานจากท่านอิมามบากิรล ้วนเป็ นเรื่องเหลวไหลทัง้ สิ้น
ยกตัวอย่าง

มูฮมั หมัด บินยะอ์กูบ๊ อัลกุลยั นี่ เจ้าของตําราฮะดีษขนานเอกของชีอะฮ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “อุ


ศูลุ ้ลกาฟี ย”์ ภายใต้หวั ข ้อเรื่อง “ไม่มผี ูใ้ ดรวมฮะดีษไว้ทงั้ หมดนอกจากบรรดาอิหม่าม” ว่า
‫ﻋﻦ ﺟﺎﺑﺮ ﻗﺎل ﲰﻌﺖ أﺑﺎ ﺟﻌﻔﺮ ﻳﻘﻮل ﻣﺎ أدﻋﻰ أﺣﺪ ﻣﻦ اﻟﻨﺎس أﻧﻪ ﲨﻊ اﻟﻘﺮآن ﻛﻠﻪ ﻛﻤﺎ أﻧﺰل اﷲ‬
‫اﻻ ﻛﺬاب وﻣﺎ ﲨﻌﻪ وﺣﻔﻈﻪ ﻛﻤﺎ أﻧﺰل اﷲ اﻻ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ واﻷﺋﻤﺔ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ‬

“รายงานจากญาบิรว่า ฉันเคยได้ยนิ อบาญะอ์ฟรั ได้กล่าวว่า ไม่มผี ูใ้ ดในมวลมนุษย์ท่อี า้ งว่าเขารวยรวมอัลกุ


รอานไว้ทงั้ หมดดังที่อลั ลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากเขาเป็ นคนโกหก และไม่มผี ูใ้ ดรวมและจดจําอัลกุรอาน
ดังที่อลั ลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากอาลี บินอบีตอลิบและบรรดาอิหม่ามหลังจากเขาเท่านัน้ ” จากอุศูลุ ้ล
กาฟี ของอัลกุลยั นี่ 1/284

‫ﻋﻦ ﺟﺎﺑﺮ ﻋﻦ أﰊ ﺟﻌﻔﺮ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم أﻧﻪ ﻗﺎل ﻣﺎ ﻳﺴﺘﻄﻴﻊ أﺣﺪ أن ﻳﺪﻋﻲ أن ﻋﻨﺪﻩ اﻟﻘﺮآن ﻇﺎﻫﺮﻩ وﺑﺎﻃﻨﻪ‬
‫ﻏﲑ اﻷوﺻﻴﺎء‬

รายงานจากญาบิร จากอบีญะอ์ฟรั อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า ไม่มผี ูใ้ ดสามารถอ้างว่าเขามีอลั กุรอานทัง้ อักษร


และความหมายนอกจากบรรดาวะซีย ์ (ผูท้ ่ไี ด้รบั การสัง่ เสียให้ดาํ รงตําแหน่งอิหม่ามหลังจากท่านนบีสบื ต่อมา)
เท่านัน้ ” จากอุศูลุ ้ลกาฟี ของอัลกุลยั นี่ 1/285

‫ﻋﻦ ﻫﺸﺎم ﰊ ﺳﺎﱂ ﻋﻦ أﰉ ﻋﺒﺪ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ﻗﺎل ان اﻟﻘﺮآن اﻟﺬي ﺟﺎء ﺑﻪ ﺟﱪﻳﻞ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم‬
‫اﱄ ﳏﻤﺪ ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﺳﺒﻌﺔ ﻋﺸﺮ أﻟﻒ آﻳﺔ‬

“จากฮุซาม บิน ซาเล็ม จากอบีอบั ดิลลาฮ์ อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลกุรอานที่ญิบรีล อลัยฮิสสลาม


ได้นาํ มาให้แก่ท่านนบีมฮู มั หมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนัน้ มีทงั้ หมดหนึ่งหมืน่ เจ็ดพันอายะห์ ” จากอุ
ศูลุ ้ลกาฟี ของอัลกุลยั นี่ 2/634

ในส่วนของอิมามญะอฺฟรั อัศศอดิก นัน้ ในซอเฮีย๊ ฮฺบุคอรีทงั้ 9 เล่ม มีริวายัติท่ปี รากฏชื่ออิมามญะอฺฟรั ในสะ


นัดมากถึง143 ริวายัติ !!!!! นี่ยงั ไม่นบั ถึงการที่อิมามมาลิกเจ้าของมัสฮับมาลีกีย ์ ได้เคยรํา่ เรียนและเป็ นลูก
ศิษย์ของท่านญะอฺฟรั ด้วยซํา้ และอิมามฮัมบาลีและชาฟี อี ต่างก็เป็ นลูกศิษย์ของอิมามมาลิกอีกทอดหนึ่ง
ในขณะที่นกั ฟิ กฮ์ของชีอะฮฺไม่มสี กั คนที่เป็ นลูกศิษย์ของท่านญะอฺฟรั จริงๆ!!!! แม ้กระทัง่ กุลยั นี่เองก็ตาม!!!
จากที่กล่าวมาทัง้ หมดนี้นนั้ ย่อมเป็ นเครื่องพิสูจน์ได้เป็ นอย่างดีว่าชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺต่างหากที่
ดําเนินอยู่บนหลักการของอะฮฺลุลบัยตฺในเปลือกในอย่างแท้จริง หาใช่เหมือนรอฟิ เดาะฮฺท่แี สร้งทําตัวว่า
ตามอะฮฺลุลบัยตฺแต่กลับพิสูจน์อย่างเป็ นรู ปธรรมมิได้ และหาที่ลงไม่เจอ!!!

ชาวซุนนี รูจ้ กั อะฮฺลุลบัยตฺดีกว่าชาวรอฟิ เดาะฮฺ!!!


ชาวรอฟิ เดาะฮฺนนั้ มักจะกีดกันคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข ้องกับท่านอะลีออกไปเสียจากตําแหน่งอะฮฺลุลบัยตฺ หรือ
แม ้แต่ลูกของท่านอะลีท่มี ไิ ด้เกิดจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺชอี ะฮฺก็ตดั ทิ้งไปเสียหมด จนอะฮฺลุลบัยตฺในแบบฉบับ
ชาวชีอะฮฺทงั้ โลกเหลือเพียงไม่ก่คี น เมือ่ เรากล่าวว่าภรรยาของนบีก็คืออะฮฺลุลบัยตฺ ชาวรอฟิ เดาะฮฺก็มกั จะเถียง
หัวชนฝา ทัง้ ๆที่การนับภรรยาของนบีเป็ นอะฮฺลุลบัยตฺนนั้ คือการนับแบบอัลกุรอานด้วยซํา้
เช่น เหตุการณ์ท่พี ระองค์อลั ลอฮ์ได้ทรงกล่าวถึง ซาเราะห์ภรรยาของนบีอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม ที่ตกตะลึงเมือ่
ทราบข่าวว่าจะมีบุตร ขณะที่ตวั นางเองก็อายุมากแล ้ว อีกทัง้ นบีอิบรอฮีมก็แก่หง่อมอีกด้วย แต่มะลาอิกะห์ท่ี
พระองค์อลั ลอฮ์ให้มาแจ้งข่าวได้กล่าวแก่นางว่า

ِ ‫أَﺗَـﻌﺠﺒِﲔ ِﻣﻦ أَﻣ ِﺮ اﷲِ ر ْﲪﺖ اﷲِ وﺑـﺮﻛﺎَﺗُﻪ ﻋﻠﻴ ُﻜﻢ أَﻫﻞ اﻟﺒـﻴ‬
‫ﺖ‬ ْ َ َ ْ ْ ْ َ ُ ََ َ ُ َ َ ْ ْ َْ َ ْ

“เธอแปลกใจต่อบัญชาของอัลลอฮ์หรือ ความเมตตาและความจําเริญของพระองค์จงประสบแด่นางซาเราะฮฺ
อะฮฺลุลบัยตฺของนบี (อิบรอฮีม) ซูเราะห์ฮุด อายะห์ท่ี 73

ในขณะที่หะดีษ อัซซะกอลัยนฺ ที่ปรากฏอยู่ในซอเฮีย๊ ฮฺมสุ ลิมเกี่ยวกับคําสัง่ เสียเรื่องอะฮฺลุลบัยตฺก็ระบุชดั เจนว่า


‫ﻧِ َﺴ ُﺎؤﻩُ ِﻣ ْﻦ ْأﻫ ِﻞ ﺑَـْﻴﺘِ ِﻪ‬
บรรดาภรรยาของท่านนบีก็เป็ นอะฮฺลุลบัยตฺของท่านนบีดว้ ย

บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 4425

อีกทัง้ อะฮฺลุลบัยตฺยงั ประกอบไปด้วย


วงศ์วานของอาลี, วงศ์วานของอะกี้ล, วงศ์วานของญะอ์ฟรั และวงศ์วานของอับบาส ฮุศอยน์ถามว่า คนเหล่านี้
ถูกห้ามรับซะกาตอย่างนัน้ หรือ เขาตอบว่า ถูกต้องแล ้ว” บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 4425
อีกทัง้ ตัวของท่านอะลีเองยังมีลูกอีกมากมาย ที่เกิดจากภรรยาท่านอื่นๆซึ่งบุตรของท่านมีช่อื ทัง้ อบูบกั ร อุมรั
และอุสมานด้วยซํา้ ไป!!! แต่ถามว่าอะฮฺลุลบัยตฺเหล่านี้ ไปอยู่ท่ใี ดในแนวทางของรอฟิ เดาะฮฺ ทําไมท่านเหล่านี้
จึงไม่ได้รบั การยกย่องให้เป็ นอิมาม และสมควรแล ้วที่จะบอกว่ารอฟิ เดาะฮฺอธรรมต่ออะฮฺลุลบัยตฺ อีกทัง้ อะฮฺ
ลุลบัยตฺในมิติท่พี วกรอฟิ เดาะฮฺยกย่องนัน้ หาใช่อะฮฺลุลบัยตฺของท่านนบี แต่เป็ นความคลังไคล
่ ้ในครอบครัว
บางส่วนของท่านอะลีเท่านัน้ !!!! คลังไคล
่ ้ถึงขนาดสอนสัง่ กันว่าท่านนบีมลี ูกสาวคนเดียวคือท่านหญิงฟาตีมะฮฺ
!!! ซึ่งเท่ากับเป็ นการฝังลูกสาวของท่านนบีให้หายไปจากประวัติศาสตร์โลก หรือฆ่าทัง้ เป็ น จะมีความชัว่ ใด
เลวร้ายกว่านี้อีก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

You might also like