Professional Documents
Culture Documents
1
“ค็อยรุล ฟัตวา” เล่ม 1 หน้า 374 , คิฟายะตุลมุฟตี เล่ม 1 หน้า 289 ดารุลอิซฮาต.
เป็ นแนวทางของชัยตอนมารร้ายและแนวทางอันหลงผิดอย่างกู่ไม่กลับเท่านัน้ และหน้าที่ของพวกเราบรรดา
ชาวมุสลิมคือการต่อสูก้ บั พวกเขาด้วยชีวติ เท่านัน้ ดังคําดํารัสอันยิ่งใหญ่ของท่านรอซูลศ็อลฯ ที่ว่า
ِ ِ ِ ﻻَ ﺗَﺴﺒﱡﻮا أﺻﺤ ِﺎﰊ ﻓَـﻠَﻮ أ ﱠن أﺣ َﺪ ُﻛﻢ أﻧْـ َﻔﻖ ِﻣﺜْﻞ أُﺣ ٍﺪ َذﻫﺒﺎ ﻣﺎ ﺑـﻠَﻎ ﻣ ﱠﺪ أ,
ُﺼ َﻔﻪ
ْ َﺣﺪﻫ ْﻢ َوﻻَ ﻧ
َ ُ َ َ َ ًَ ُ َ َ ْ َ ْ َْ ُ
وﻫﻲ ﻛﺜﲑة ﺟﺪاﺣﱵ ﻗﺎل اﻟﺴﻴﺪ ﻧﻌﻤﺔ ااﷲ اﳉﺰاﺋﺮي ان اﻻ ﺧﺒﺎراﻟﺪاﻟﺔ ﻋﻠﻲ ذاﻟﻚ ﺗﺰﻳﺪ ﻋﻠﻲ اﻟﻔﻲ ﺣﺪيث
2
อูศูล อัลกะฟี ย ์ หน้า 671 ฉบับตีพมิ พ์ทเ่ี มืองลัคเนา
3
หนังสือ “อัลฟัศลฺ” เล่ม 2 หน้า 287.
4
อัล กาฟี เล่ม 1 หน้า 169. สํานักพิมพ์ ดารฺ อัลกุฏฏบ, ุ เมือง เตหะราน ประเทศอิหร่าน
และ(อายะฮฺอลั กุรอานที่ถกู บิดเบือน)เป็ นจํานวนปริมาณอันมากมายจนกระทัง่ ทําให้ ท่านซัยยิด นิอมฺ าตุลลอฮฺ อัลญา
ซาอีรีย 5์ ต้องให้ความเห็นไวว้ ่า แท้จริง รายงานซึ่งได้ระบุถงึ การบิดเบือนอัลกุรอานนัน้ มีมากกว่า 2000 สายรายงาน”6
4F 5F
ให้รูข้ ้อเท็จจริงเหล่านี้ตลอดมา 10
9F
11
คําแปลซูเราะฮฺน้ ีนาํ มาจาก
http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=112
สําหรับซูเราะฮฺนูร็อยนฺ นี้ปรากฏอยู ่ในหน้าที่ 181-182 ในต้นสําเนาเดิมของหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ ” ซึ่งมัน
แตกต่างเล็กน้อยกับเวอร์ชนั่ ข ้างบนนี้ โดยมีการเพิ่มเติมและตัดบางส่วนออกไปเพียงเล็กน้อย
สิ่งที่ข ้าพเจ้าได้นาํ มากล่าวไว้ทงั้ หมดนี้คือผลสะท้อนทางความเชื่ออันเป็ นรูปธรรมของชาวชีอะฮฺท่มี ี
ต่ออัลกุรอาน เพราะนอกจากนี้ซูเราะฮฺทงั้ สองยังไปปรากฏอยู่ในตําราอื่นๆที่ได้รบั ผลกระทบมาจากหลักความ
เชื่อเช่นนี้อีกเช่นกัน ซึ่งหนังสือเหล่านี้ก็มี
อัลกุรอาน มะญีด หน้าที่ 60 ของ มุฮมั มัด อะซาต ดัรวะซา
อัชชีอะฮฺ วะ ตะฮฺรีฟ อัลกุรอาน ของ มุฮมั มัด อะฮฺมดั มะอาล อัลลอฮฺ
นอกจากนี้ยงั ปรากฏอยู ่ในหนังสือของนักบูรพาคดีเหล่านี้อีกเช่นกัน
“Geschichte des Qorans” ของ Theodor Noldeke
“Vollig umgearbeitet Von Friedrich Schwally” ของ Zweite Auflage
“Die Sammlung des Qorans” ของ Zweiter Teil
( Dieterich'sche Verlagsbuchhandlung) 1919, Seiten 102-103.
สถานะภาพของหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ”
ปัญหาประการสําคัญที่เราจักต้องทําความเข ้าใจก็คือ สถานะภาพของหนังสือ ฟัศลุลคิฏอ็ บ ในหมู่
นักปราชญ์หรืออุลามะอฺชอี ะฮฺทงั้ หลาย สืบเนื่องจากกว่าเราได้พบตํารับตําราและเว็บไซต์ของชีอะฮฺอนั มากมายที่
พวกเขาได้ปฏิเสธหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ ” อย่างไรก็ตามทัง้ หมดเหล่านี้เป็ นเพียงการกระทําที่วางอยู ่บน
หลักการที่ถูกเรียกกันว่า “ตะกียะฮฺ” (การอําพรางความเชื่อ) ซึ่งจะได้พูดในบทต่อๆไป ดังที่ท่าน ชัยคฺ มุฮิบ
บุดดีน ได้กล่าวไว้ว่า “ถึงแม ้ว่าบรรดาชีอะฮฺจะเสแสร้งปฏิเสธหนังสือของอัตต็อบรอซีย ์ ทัง้ ๆที่มนั เป็ นการ
กระทําของการตะกียะฮฺ แต่สจั ธรรมได้ประจักษ์แจ้งว่า มันมีถงึ หนึ่งร้อยของการอ้างอิงจากผลงานที่เป็ นที่
ยอมรับจากผูร้ ูข้ องพวกเขาที่พสิ ูจน์อย่างชัดเจนถึงหลักยึดมันของพวกเขาต่
่ อความเชื่อในเรื่องการเปลีย่ นแปลง
แก้ไขในอัลกุรอาน พวกเขาไม่ตอ้ งการที่จะเปิ ดเผยถึงความศรัทธาของพวกเขาในข ้อนี้” (อัลกุฏุต อัลอะรีดะฮฺ)
อย่างไรก็ตามอุลามะฮฺชอี ะฮฺรูส้ กึ ไม่สบายใจเป็ นอย่างมากที่เห็น“หะดีษ“และคําพูดของพวกตนจํานวนมากมาย
ก่ายกองถูกนํามาตีพมิ พ์ในรู ปหนังสืออย่างเปิ ดเผย พวกเขาตระหนักดีว่าบัดนี้ลทั ธิความเชื่ออันลึกลับ
เกี่ยวกับอัล-กุรฺอานได้ถูกเปิ ดโปงต่อหน้าอุมมะฮฺมสุ ลิมส่วนอื่นเสียแล ้ว จากนัน้ ก็มอี ุลามะฮฺชอี ะฮฺจาํ นวนหนึ่ง
รีบเร่งเขียนหมายเหตุอธิบายให้กบั หนังสือเล่มนี้ มีอุลามะฮฺไม่ก่คี นประท้วงการพิมพ์หนังสือเล่มนี้อย่าง
เปิ ดเผย ในภายหลังนู รี อัตต็อบรอซีย ์ ผูแ้ ต่งหนังสือดังกล่าวได้ตอบโต้คาํ คัดค้านของบรรดาอุลามะฮฺชอี ะฮฺ
โดยเขียนเป็ นหนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อ “ร็อดดุ บะอฺ ฎชิ ชุบุฮาติ อัน ฟัซลิล คิตอบิ ฟี อิษบาติ ตะหฺ รีฟิ กิตาบิ ร็
อบบิล อัรบาบ “ (ข ้อลบล ้างความสงสัยที่มตี ่อหนังสือ ฟัซลุล คิตอบ ฯ) หนังสือทัง้ สองเล่มนี้ได้รบั การ
ต้อนรับอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตามความพยายามของชีอะฮฺท่จี ะปฏิเสธตําราเล่มนี้ถอื ว่าเป็ นสิ่งที่ขดั กับสถานภาพของ
ผูเ้ ขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะอัลลามะฮฺ นู รี อัตต็อบรอซีย ์ หากพิจารณากันตรงตําแหน่งของเขาแล ้วถือว่าเป็ นอุ
ลามะอฺชอี ะฮฺท่มี สี ถานภาพสูงมากในหมูอ่ ุลามะอฺชอี ะฮฺทงั้ หลาย หลักฐานที่พสิ ูจน์ถงึ ข ้อสันนิษฐานข ้อนี้ก็คือ กุ
บูร ของนู รี อัตตอบรอซีย ์ นัน้ ถูกฝังอยู ่ติดกับ “มัชฮาด มุรตะซะวี” (กุบูรของท่านอะลี ในเมือง นะญัฟ) แล ้ว
เราลองกลับมาพิจารณาดูเถิดว่ามีชอี ะฮฺสกั กี่คนที่ได้รบั เกียรติถงึ เพียงนี้ แม ้กระทัง่ คนอย่างโคไมนี่ท่เี ป็ นที่นบั
ถือจากชีอะฮฺทวั ่ โลกยังมีกูบูรที่ฝงั อยู ่ในอิหร่านเฉกเช่นเดียวกับคนธรรมดาทัว่ ไป แต่อลั ลามะฮฺ นู รี อัตต็อบรอ
ซีย ์ กลับมีกูบูรที่ฝงั ไว้อยู ่ติดกับคนที่เป็ นถึงระดับอิมาม ถ้าไม่มสี ถานภาพที่สูงส่งจริงๆจะมีสทิ ธิ์ได้ฝงั ไว้ท่นี นั้
เชียวฤา ?? อีกทัง้ “มัชฮาด มุรตะซะวี ” ยังถูกถือเป็ นสถานที่ศกั ดิ์ในหมูช่ อี ะฮฺซ่งึ ชีอะฮฺทวั ่ โลกต่างดิ้นรน
พยายามไปแสวงบุญจนดูประหนึ่งเมืองมักกะฮฺไม่มคี วามหมายเลยมิใช่หรือ ? และหากชีอะฮฺคิดจะอาจหาญ
ปฏิเสธหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ ” ข ้าพเจ้าก็อยากจะถามว่า เหตุใดคนอย่างโคไมนี่ ยังได้ตระหนักในความ
ยิ่งใหญ่ของหนังสือ “ฟัศลุลคิฏอ็ บ” เล่า เพราะโคไมนี่ยงั ได้ให้ความเห็นถึงความสูงส่งของอัลลามะฮฺ นู รี อัตต็
อบรอซีไว้ในหนังสือของเขา 12 แล ้วชีอะฮฺตามบ้านตามเมืองของเราเป็ นใครหรือที่อาจหาญมาปฏิเสธตําราเล่มนี้
11F
12
กรุ ณาดูหนังสื อ “อัลฮุกุมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ” หน้า 171
13
ฟัตวาดังกล่าวนี้นาํ มาจากการฟัตวาของ อยาตุลลอฮฺ รูฮานี อุลามะอฺช้ นั สูงของชีอะฮฺจากเว็บไซต์ของเจ้าตัว
http://www.imamrohani.com/fatwa-ar/viewtopic.php?t=3546
รายงานจากญาบิร จากอบีญะอ์ฟรั อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า ไม่มผี ูใ้ ดสามารถอ้างว่าเขามีอลั กุรอานทัง้ อักษร
และความหมายนอกจากบรรดาวะซีย ์ (ผูท้ ่ไี ด้รบั การสัง่ เสียให้ดาํ รงตําแหน่งอิหม่ามหลังจากท่านนบีสบื ต่อมา)
เท่านัน้ ” จากอุศูลุ ้ลกาฟี ของอัลกุลยั นี่ 1/285
๒. ชีอะฮฺกบั ความเชื่อที่มีต่อบรรดาซอฮาบะฮฺของท่านนบี(ศ็อลฯ)
สิ่งที่ตอ้ งเข ้าใจเกี่ยวกับชีอะฮฺในประเด็นถัดมาก็คือท่าทีและความเชื่อที่พวกเขามีต่อบรรดาซอฮาบะฮฺ
ของท่านนบี(ศ็อลฯ) หรือบุคคลที่มชี วี ติ ร่วมยุคสมัยเดียวกับท่านนบี(ศ็อลฯ)อีกทัง้ ยังเป็ นกลุม่ ชนแห่งยุค
ของการประทานศาสนา หากมองกันในแง่หลักของเหตุผลและสติปญั ญาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล ้วที่
เราจะสามารถเข ้าใจได้ว่าชนยุคนี้เป็ นยุคที่ดที ่สี ุด เพราะถือเป็ นชนที่พระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงให้โอกาสอัน
ยิ่งใหญ่แก่พวกเขาที่จะได้รบั การอบรมสัง่ สอนและตักเตือนโดยตรงจากตัวของท่านนบี(ศ็อลฯ)เอง และ
บางท่านจากหมูพ่ วกเขาก็ได้รบั เกียรติให้เป็ นถึงพ่อตาของท่านนบี(ศ็อลฯ) เช่นท่านอบูบกั รและท่านอุมรั
หากเราจะเปรียบเทียบถึงหน้าที่การงานในการประกาศศาสนาตลอดจนความสําเร็จของท่านนบีมฮุ มั
มัด(ศ็อลฯ)กับท่านบรรดานบีท่านอื่นๆ(อะลัยฯ)เราจะพบเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)
ประสบความสําเร็จในการประกาศศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ มุมมองดังกล่าวนี้เป็ นมุมมองของชาวโลกแทบทุก
ยุคทุกสมัยแม ้กระทัง่ นักบูรพาคดีตะวันตกที่มคี วามเกลียดชังและอาฆาตมาดร้ายต่อท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อล
ฯ)เองก็ยงั ต้องยอมรับกับความสําเร็จทางด้านศาสนาของท่าน แต่เป็ นเรื่องที่น่าเศร้าว่ามุมมองและทัศนคติ
ของชาวชีอะฮฺท่มี ตี ่อการงานหน้าที่ของท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)ถือว่าตํา่ กว่าของนักบูรพาคดีชนิดเทียบกัน
ไม่ได้ และอาจจะตํา่ กว่ากลุม่ ใดๆทัง้ หมดที่เคยมีอยู่บนโลกนี้
14
กิตาบ อัลมุรอญะอาต,มุร็อจญะอะฮฺ หมายเลขที่ 110
หากแม ้นเราลองถามชาวยิวว่าใครคือกลุม่ ชนที่ดที ่สี ุดในสายตาของพวกเขา ชาวยิวจะตอบมาอย่าง
ภาคภูมใิ จว่าคือสาวกของท่านนบีมซู า(อะลัยฯ) และหากแม ้นเราถามชาวคริสต์ว่าใครคือกลุม่ ชนที่ดที ่สี ุด
ในสายตาพวกเขา ชาวคริสต์ก็จะตอบว่าบรรดาสาวกของท่านนบีอีซา(อะลัยฯ) แต่หากเราย้อนถามชีอะฮฺว่า
ใครคือกลุม่ ชนที่เลวที่สุดในสายตาพวกเขา ชีอะฮฺจะตอบออกมาว่าคือสาวกของท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)!!!
อันเป็ นผลสะท้อนทางความเชื่อของพวกเขาเป็ นอย่างดีว่าพวกเขามองการงานของท่านรอซูล(ศ็อลฯ)
ล ้มเหลวไม่เป็ นที่ เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาทีหลังจากการวะฟาตของท่านนบีนนั้ บรรดาซอฮาบะฮฺก็คิดทรยศ
ต่อท่านและภายหลังจากนัน้ ไม่นานบรรดาซอฮาบะฮฺนบั แสนที่ท่านนบีมงุ่ อบรมขัดเกลาให้เป็ นผูศ้ รัทธามา
ตลอดทัง้ ชีวติ ของท่านก็ต่างพากันละทิ้งศาสนาอิสลามและมุง่ หน้าสู่การเป็ นการฟิ ร จากหลักฐานต่อไปนี้
ในตําราอัลกะฟี ยอ์ นั ยิ่งใหญ่ของชาวชีอะฮฺได้บอกกล่าวถึงจํานวนผูศ้ รัทธาที่ยงั คงหลงเหลืออยู่(ไม่ตกมุร
ตัดเป็ นกาฟิ ร)ภายหลังจากท่านนบีไว้ดงั นี้
ﻛﺎن اﻟﻨﺲ اﻫﻞ ردة ﺑﻌﺪاﻟﻨﱯ اﻻ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ واﻟﻪ وﺳﻠﻢ اﻻﺛﻼﺛﺔ ﻓﻘﻠﺖ وﻣﻦ اﺛﻼﺛﺔ؟
ﻓﻘﻞ اﳌﻘﺪاد ﺑﻦ اﻻﺳﻮد واﺑﻮذر اﻟﻐﻔﺎري وﺳﻠﻤﺎن اﻟﻔﺎرﺳﻲ رﲪﺔاﷲ ﻋﻠﻴﻬﻢ وﺑﺮﻛﺎﺗﻪ
ผูค้ นพากันหันหลังให้กบั ศรัทธาหลังจากนบีเสียชีวติ ลง ยกเว้นเพียง 3 คนเท่านัน้ ฉันจึงได้ถามท่านเกี่ยวกับ 3
คนนัน้ ท่านตอบว่าคือ มิกดาดอัลอัสวัด,อบูซาร อัลฆีฟารียแ์ ละซัลมาน อัลฟารีซยี 15์ 14F
17
อัลกะฟี ย์ เล่ม 1 หน้า 420 สํานักพิมพ์ ดารุ ลกุฏฏบุ อัลอิสลามียะฮฺ เมืองเตหะราน
18
เป็ นคําพูดในเชิงปฏิเสธคําสําคัญของบุคคลที่มีต่อการบุกเบิกศาสนาอิสลามและยังปฏิเสธอีกว่าคนทั้งสองไม่มีส่วนร่ วมใดๆในการ
รวบรวมอัลกุรอาน
19
หนังสื อ กัชฟุลอัสร็อร หน้า 114 ของ โคไมนี่
20
ตัวอย่างตําราประวัติศาสตร์อนั สกปรกที่ชาวชีอะฮฺเขียนขึ้นเพื่อพิสูจน์ถึงความล้มเหลวของการเผยแพร่ ศาสนาของท่านรอซูลคือ
หนังสื อ “ชําราประวัติศาสตร์อิสลาม”ซึ่งถูกแปลเป็ นไทยโดยสถาบันชีอะฮฺในไทย
เสียสละอันยิ่งใหญ่แม ้กระทัง่ ชีวติ เพื่อวางรากฐานทางศีลธรรมแก่สงั คมอันป่ าเถื่อนของคาบสมุรอารเบียในสมัย
นัน้ ทัง้ ยังบอกว่าประวัติศาสตร์อิสลามที่ท่านได้อ่านไปนัน้ เป็ นผลจากมืออันสกปรกของผูร้ ูฝ้ ่ ายชีอะฮซึ่งถือเป็ น
ลัทธินอกรีตในทัศนะของเรา แต่เขากลับไม่ฟงั ผูเ้ ขียนโดยการตอบผูเ้ ขียนมาว่า เขาไม่อยากจะพิจารณาถึง
ความขัดแย้งทางด้านศาสนาของทัง้ สองฝ่ าย(ซุนนะฮฺกบั ชีอะฮฺ)ซึ่งการที่ทางชีอะฮฺเขียนประวัติศาสตร์ออกมา
อย่างนัน้ ย่อมต้องมีเค้าโครงของความจริงอยู่บา้ ง ถ้าไม่มมี ลู แล ้วจะมีกลิน่ ได้ยงั ไง!!!ผูเ้ ขียนจนปัญญาในการ
ที่จะอธิบายแก่เพื่อนของผูเ้ ขียนถึงข ้อเท็จจริงในตัวของท่านนบี(ศ็อลฯ)และความสําเร็จอย่างสวยงามในการ
ประกาศศาสนาของท่าน แต่ถงึ อย่างไรก็ตามผูเ้ ขียนไม่โกรธเคืองเพื่อนต่างศาสนาคนนี้เพราะผูเ้ ขียนคิดว่าเขา
ไม่ได้รบั ข ้อมูลที่แท้จริงในการทําความเข ้าใจต่อชีวประวัติของท่านรอซูล(ศ็อลฯ)แต่ผูเ้ ขียนโกรธแค้นต่อบรรดา
ชีอะฮฺทงั้ หลายที่บงั อาจที่จะสร้างมนทิรแก่ประวัติศาสตร์อิสลามและแก่ตวั ท่านรอซูลได้ขนาดนี้ พวกเขาบังอาจ
ที่จะยอมรับประวัติศาสตร์ไม่ประเทืองสติปญั ญาแบบนี้ไปได้อย่างไร พวกเขาทําให้ผูค้ นต้องตัดสินความ
ยิ่งใหญ่ในการเผยแพร่ศาสนาของท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ว่าล ้มเหลวเพียงเพราะท่านไม่สามารถล ้างสมองผูค้ นให้มา
สวามิภกั ดิ์ต่อท่านอะลีอย่างสุดโต่งเฉกเช่นเดียวกับพวกเขา ผูเ้ ขียนอยากให้พระผูเ้ ป็ นเจ้าประทานความพินาศ
แก่บุคคลเหล่านี้เสียจริง
อย่างไรก็ตาม พระองค์อลั ลอฮฺได้ทรงหักล ้างประวัติศาสตร์จอมปลอมเหล่านี้ดว้ ยการกล่าวชื่นชม
บรรดาซอฮาบะฮฺไว้มากมายในอัลกุรอาน ซึ่งเพียงพอแล ้วที่เราจะหยิบยกอัลกุรอานแค่เพียงอายะฮฺเดียวมา
หักล ้างเรื่องมดเท็จของชีอะฮฺ
๓. ชีอะฮฺกบั ความเชื่อที่มีต่อภรรยาของท่านนบี(ศ็อลฯ)
ความอาฆาตมาดร้ายของชีอะฮฺหาได้จาํ กัดขอบเขตอยู่แค่บรรดาซอฮาบะฮฺไม่ หากแต่ยงั จาบจ้วงภรรยา
ของท่านนบี(ศ็อลฯ) ทัง้ ๆที่ภรรยาของท่านนบีนนั้ มีตาํ แหน่งเป็ นถึง “อุมมุลมุอฺมนี ีน ” หรือ มารดาของปวงผู ้
ศรัทธา พวกเขากล่าวหาท่านหญิงอาอีชะฮฺและท่านหญิงฮัฟเศาะฮฺดวยกับการกระทําอันน่าเหยียดหยามชนิดที่
ไม่มผี ูศ้ รัทธาคนใดยอมรับได้ ข ้อกล่าวหาดังกล่าวนัน้ ก็คือการที่ชอี ะฮฺใส่ไคล ้ท่านหญิงทัง้ สองว่าพยายามที่จะ
ฆาตกรรมท่านนบี(ศ็อลฯ) มิหนําซํา้ ยังพิพากษาภรรยาของท่านนบีทงั้ สองว่าเป็ นผูท้ ่หี นั หลังให้กบั ศรัทธา ดังจะ
ยกหลักฐานดังกล่าวมาประมวลให้ดูกนั ต่อไปนี้
อิมามบากิร กล่าวว่า “อาอีชะฮฺ และฮัฟเศาะฮฺ ฆ่าท่านนบี(ศ็อลฯ) โดยการวางยาพิษแก่ท่าน” 21
ดังนัน้ ชายผูก้ ลับกลอกสองคนนี้(หมายถึงอบูบกั รและอุมรั )และผูห้ ญิงกลับกลอกทัง้ สองคนนัน้ (อาอีชะฮฺ
และฮัฟเซาะฮฺ )ตกลงกันทีจ่ ะฆ่าท่านรอซูลโดยการวางยาพิษท่าน 22 21
21
ฮายาตุลกูลูบ เล่ม 2 หน้า 870 ของ มุฮมั มัดบากิร อัลมัจลีซีย ์
22
เล่มเดียวกัน หน้า 745
23
เล่มเดียวกันหน้า 726
ความระยําตํา่ ทรามเยี่ยงสัตว์นรกของศาสนาชีอะฮฺยงั ไม่หยุดเพียงแค่น้ ี นายมุฮมั มัด ซอดิก ซีรอซี อุลา
มะอฺศาสนาชีอะฮฺคนสําคัญ 25ของประเทศซีเรียในยุคปัจจุบนั ได้กล่าวไว้ว่า
24
24
เล่มเดียวกัน หน้า 901
25
นายคนนี้มีลูกศิษย์ทว่ั บ้านทัว่ เมือง แม้กระทัง่ ผูร้ ู้ชีอะฮฺในไทยหลายๆคนก็เรี ยนกับนายคนนี้
ทําให้พนิ าศ แต่พวกนี้ทาํ อาชญากรรมที่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อา้ งตัวเป็ นมุสลิมจะทํา….. (ชีอะฮ์)ไม่เพียงด่าท่านรซูล
ฯ ยังประณามท่านหญิงอาอิชะฮ์ การด่าท่านรซูลฯ ก็ดี การประณามท่านหญิงอาอิชะฮ์ก็ไม่ต่างกัน …. อายะฮ์ท่ี
12 (ในซูเราะฮ์นูร) และอายะฮ์ถดั มานัน้ เป็ นการประกาศความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ดังนัน้ ผูใ้ ดกล่าวหา
ท่านหญิงอาอิชะฮ์นนั้ ก็(เท่ากับ)เป็ นการปฏิเสธอัลกุรอาน ผูท้ ่ปี ฏิเสธอัลกุรอานนัน้ ถือเป็ นกาเฟร โดยเหตุน้ ี
นักปราชญ์มสุ ลิมบอกว่า ผูท้ ่ใี ส่รา้ ยหญิงคนใดในบรรดาที่เป็ นอุมมะฮาติ้ลมุอม์ นิ ีน หรือเป็ นภรรยาของท่านรซูล
ฯ ถือเป็ นกุฟุร….. เวลาเราพูดถึงชีอะฮ์ เราต้องพูดสองประเด็น ประเด็นแรก พวกนี้ไม่มสี ่วนใดๆ เกี่ยวกับ
ศาสนาอิสลาม …..ประเด็นที่สอง เวลาเราพูดถึงเรื่องชีอะฮ์ ผมพูดถึงว่าเรากําลังหาผูท้ ่ปี ระกอบอาชญากรรม
และผูท้ ่ปี ระกอบอาชญากรรมนัน้ จะต้องถูกลงโทษ และเราไม่ได้วางกฎเกณฑ์การลงโทษ ผูว้ างกฎเกณฑ์การ
ลงโทษ ประเภทการลงโทษสําหรับพวกเหล่านัน้ คืออัลกุรอาน, อัลหะดีษ หรือซุนนะฮ์รซูลฯ 26 25F
๔. กะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺและคํากล่าวอะซานของชีอะฮฺ
ความแตกขัน้ มูลฐานระหว่างซุนนียแ์ ละชีอะฮฺคือคํากล่าวกะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺ ซึ่งสําหรับแนวทางชีอะฮฺแล ้ว
นัน้ ความแตกต่างเหล่านี้ถอื เป็ นเรื่องสําคัญและจําเป็ นที่จะต้องมีความแตกต่างกับซุนนีย ์27 ในแนวทางชีอะฮฺคาํ
26F
กล่าวชะฮาดะฮฺของพวกเขามีดงั ต่อไปนี้
26
คัดบางตอนจาก "สารดาริ สสลาม" รายงานการสัมมนาเรื่ อง "ลัทธิชีอะฮฺคืออันตรายของประชาชาติมุสลิม" ของสถาบันเผยแพร่
วัฒนธรรมอิสลาม มัสยิดดาริ สสลาม ฉบับที่ 5 เดือนเมษายน 2544 ซอฟัรฺ ฮ.ศ. 1422 หน้า 4 - 16
27
อุลามะอฺ ชีอะฮฺได้ยอมรับถึงความแตกต่างเหล่านี้ กรุ ณาดูใน ชีอะฮฺมสั ฮับฮักเฮย์ เล่ม 2 หน้า 51 ,ตุฮฺฟาตุนนมาซ ญะอฺ ฟารี ยะฮฺ หน้า
10
28
คัดมาจากหนังสื อ วะฮฺดะฮฺอิสลามีย ์ หน้า 4
นอกจากนี้ในการอะซานชีอะฮฺยงั เพิ่มคํากล่าวพ่วงท้ายชะฮาดะฮฺเข ้าดังนี้
اﺷﻬﺪ ان ﻋﻠﻴﺎ وﻟﻲ اﷲ
เกี่ยวกับลักษณะของการอะซานในลักษณะนี้ ทัง้ โคไมนี่และซิสตานี ผูร้ ูช้ าวชีอะฮฺในยุคปัจจุบนั ก็
ได้รบั รองว่ามันเป็ นการกระทําที่ถูกต้องในการที่จะเพิ่มคํากล่าวแบบนี้เข ้าไปในการอะซาน ซึ่งเราสามารถที่จะ
ตรวจสอบการฟัตวาในเรื่องดังกล่าวนี้ได้ท่ี ลิงค์ต่อไปนี้
http://www.raoofonline.com/index.php?T=3&id=20
http://www.aqaed.com/shialib/books/all/nadwe28/nadwe28.html.
และเพื่อที่จะให้การกระทําของเขาในลักษณะนี้เป็ นที่ชอบธรรม(ทัง้ ๆที่ในความจริงมันอธรรม) ชีอะฮฺจึงได้
อุปโลกน์เรื่องราวจอมปลอม ดังหะดีษตัวอย่างต่อไปนี้ ซึ่งเราค้นพบโดยบังเอิญในตําราของพวกเขา
ان رﺳﻮل اﷲ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ اﻣﺮ اﺑﺎ ذرﺑﺎن ﻳﺆذن ﻳﻮم اﻟﻐﺪﻳﺮ وﻳﻀﺎف ﺷﻬﺎدة ﺑﺎن وﻻﻳﺔ ﻟﻌﻠﻲ
ﻓﺎﻋﱰض ﻋﻠﻲ ﻧﱯ ﺑﻌﺾ اﻻ ﺻﺤﺎب ﻓﻘﺎل ﻟﻪ ﻓﻔﻴﻬﻢ ﻛﻨﺎ
ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้บญั ชาท่านอบูซรั ในวันฆอดีรให้ทาํ การอะซานและกําชับเขาให้กล่าวคําว่า “อะลีคือวะลี ”
แต่ซอฮาบะฮฺบางส่วนได้คดั ค้าน ท่านนบีจึงกล่าวว่า “ไม่มสี ่งิ นี้สาํ หรับพวกเรา(หมายถึงการไม่ใส่คาํ ว่าอะลีคือ
วะลีเป็ นสิ่งที่ผดิ ) 29
28F
29
ชะรออฺ อี อัลอิสลาม หน้า 60 ตีพิมพ์ที่กรุ งเบรุ ต เลบานอน
ย่อมต้องบอกแก่เราเป็ นนัยว่าซุนนียซ์ ่งึ เป็ นกลุม่ ที่มไิ ด้ศรัทธาในบรรดาอิมามทัง้ 12 ท่านนัน้ เป็ นกาเฟรผูห้ ลง
ผิดในสายตาของชีอะฮฺอย่างแน่นอน ต่อไปนี้คือหลักฐานในเรื่องดังกล่าวนี้
وان ﻣﻦ ﺿﺮورﻳﺎت ﻣﺰﻫﺒﻴﻨﺎ ان ﻻﺋﻤﺘﻨﺎ ﻣﻘﺎ ﻣﺎﻻﻳﺒﻠﻐﻪ ﻣﻠﻚ ﻣﻘﺮب وﻻ ﻧﱯ ﻣﺮﺳﻞ
และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากความจําเป็ นในมัสฮับของเราก็คือ สําหรับบรรดาอิมามของเรามีตาํ แหน่งซึ่ง
บรรดามลาอิกะฮฺผูใ้ กล ้ชิดและบรรดานบีผูถ้ ูกแต่งตัง้ มิอาจขึ้นไปถึงได้30 29 F
إن أﺋﻤﺔ اﻟﺸﻴﻌﺔ اﻹﺛﲏ ﻋﺸﺮ أﻓﻀﻞ ﻣﻦ اﻷﻧﺒﻴﺎء واﻟﺮﺳﻞ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم
แท้จริงบรรดาอิมามทัง้ 12 ของชีอะฮฺนนั้ ประเสริฐกว่าบรรดานบีและบรรดารอซูล31 30F
إن ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻳﺪﺧﻞ اﳉﻨﺔ ﻗﺒﻞ اﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ
แท้จริงท่านอะลีอิบนฺ อบีตอลิบ จะได้เข ้าสวรรค์ก่อนตัวท่านนบี(ศ็อลฯ)!!! 32 31 F
أ ﱠن اﷲ وﻣﻼﺋﻜﺘﻪ وأﻧﺒﻴﺎﺋﻪ واﳌﺆﻣﻨﻮن ﻳﺰورون ﻗﱪ أﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ رﺿﻲ اﷲ ﻋﻨﻪ
แท้จริงพระองค์อลั ลอฮฺและมลาอิกะฮฺและบรรดาผูศ้ รัทธาต่างก็ไปเยี่ยมเยียน(ซียาเราะฮฺ) กุบรุ ้ ของท่านอะ
มีรุลมุอฺมนิ ีน อะลี บิน อบีตอลิบ!!! 34 3F
30
หนังสื อ “อัลฮุกุมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ” หน้า 52 โดย โคไมนี่ ฉบับตีพิมพ์ที่ เตหะราน
31
หนังสื อ ﺍﻷﻧﻮﺍﺭ ﺍﻟﻨﻌﻤﺎﻧﻴﺔของ นิอฺมาตุลลอฮฺ อัลญะซาออรี เล่ม 3 หน้า 308
32
จากหนังสื อ ﻋﻠﻞ ﺍﻟﺸﺮﺍﺋﻊของ อิบนฺ บาบะวิฮฺ อัลกุมมี หน้า 205
33
หนังสื อ ﻣﻨﺎﻗﺐ ﺃﻣﻴﺮ ﺍﻟﻤﺆﻣﻨﻴﻦของ อะลี บิน มุฆอ็ สลี หน้า 93
34
หนังสื อ ﺍﻟﻔﺮﻭﻉ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺎﻓﻲของ กุลยั นี่ เล่ม 4 หน้า 580
จากอิมามบากิรกล่าวว่า “ท่านนบี(ซ.ล.)นัน้ จะไม่เข้านอนก่อนจนกว่าท่านจะได้วางใบหน้าของท่าน
ไว้ระหว่างเนิ นอกของท่านหญิงฟาติมะฮฺ !!!35 34F
มุสลิมคนใดที่สามารถเชื่อถือรายงานสมองเสื่อมเหล่านี้ได้บา้ งที่สะท้อนภาพและบุคลิกของท่านรอซูลไปใน
เชิงอารมณ์ใฝ่ ตาํ ่ กับบุตรสาวของตัวเอง รายงานประเภทนี้ยงั มีอีกดังนี้
ﻮﺳﻰ َﺣ ﱠﺪﺛـَﻨَﺎ أَِﰊ َﻋ ْﻦ أَﺑِ ِﻴﻪ َﻋ ْﻦ َﺟﺪﱢﻩِ َﺟ ْﻌ َﻔ ِﺮ ﺑْ ِﻦ ُﳏَ ﱠﻤ ٍﺪ َﻋ ْﻦ أَﺑِ ِﻴﻪ َﻋ ْﻦ آﺑَﺎﺋِِﻪ َﻋ ْﻦ
َ ﺃ َ◌ ْﺧﺒَـَﺮﻧَﺎ ُﳏَ ﱠﻤ ٌﺪ َﺣ ﱠﺪﺛَِﲏ ُﻣ
ﺼﻠﱠﻰ ِﻣ ْﻦ َﻏ ِْﲑ ِِ
َ َﻒ َﻋ ْﻦ أ ُْرﺑِﻴﱠﺘﻪ َو ﻗَ َﺎم ﻓ َ ﺐ ع َﻛ َﺸ ٍ ِﲔ ﺑْ ِﻦ َﻋﻠِ ﱢﻲ ﺑْ ِﻦ أَِﰊ ﻃَﺎﻟ
ِ ْ اﳊُﺴ َﻋﻠ ﱟﻲ ع أَ ﱠن اﻟﻨِ ﱠ
ِ
َْ ب ﱠﱯ ص ﻗَـﺒﱠ َﻞ ُز ﱠ
َﺿﺄ
أَ ْن ﻳَـﺘَـ َﻮ ﱠ
มีหะดีษของพวกเขารายงานมาว่า “พวกเราได้รบั การบอกเล่ามาจากมุฮมั มัดว่ามูซาได้กล่าวว่าพ่อของ
ท่านได้รายงานมาจากพ่อของท่านผูซ้ ่ึงได้รบั การรายงานมาจากปู่ ของท่านคือญะฟัร บินมุฮมั มัด จากบิดาท่าน
จากอะลีว่าท่านนบี(ซ.ล.)เคยจูบอวัยวะเพศของอัล ฮุเซนอิบนฺ อะลีอิบนฺ อบีฏอลิบโดยการถลกซึ่งเปิ ดเผยให้
เห็นส่วนสําคัญบางส่วนและจากนัน้ ท่านจึงลุกขึ้นไปละหมาดโดยไม่ได้อาบนํา้ วุดุอฺ” 36 35F
35
หนังสื อ “บิฮารรุ ลอันวาร” เล่ม 43 หน้า 44/ 78 โดย อัล มัจลีซีย ์
36
เรื่ องราวอันอัปลักษณ์น้ ีถูกบันทึกอยูใ่ น “มุสตะร็อค อัล-วะซาอิล เล่มที่ 1 หน้า 236 โดย อันนูรีย ์ จัดพิมพ์โดย สํานักพิมพ์อลั -อัลบัยตฺ
, บิฮารรุ ลอันวาร เล่มที่ 43 หน้า 317, เล่มที่ 77 หน้า 224, อัล-อัชอะซัลกูฟีย์ หน้าที่ 19-30 จัดพิมพ์โดย มักตะบะฮฺอลั นินวา อัลหะ
ดีษะฮฺ กรุ งเตหะราน ประเทศอิหร่ าน
อิบนฺ ฟะฮฺดฺ อัล ฮิลลี ในหนังสือ “อัล มุฮศั ศาบ อัลบารีย”์ เล่มที่ 3 หน้า 179 ฉบับพิมพ์ท่เี มืองกุม ฮิจ
เราะฮฺท่ี 1411.
อัล มุฮกั กิก อัล บะฮฺรอนี ใน “อัล ฮะดาอิค อัลนัฎฮิเราะฮฺ” เล่มที่ 23 หน้า 22 ฉบับพิมพ์ท่เี มืองกุม ปี
ฮิจเราะฮฺท่ี 1363.
อิบนฺ บะบะวัยฮฺ ใน “มันลา ยะฎูรู ฮุล ฟะกิฮฺ” เล่มที่ 3 หมายเลขหะดีษที่ 4363.
อัฏ ฏูซีย ์ ใน “ตะฮฺ ศีบ อัล อะฮฺ กาม” เล่ม 7 หมายเลขที่ 1606
อัล ฮัรฺรุล อามีลยี ์ ใน “วาซาอิล อัชชีอะฮฺ”เล่มที่ 20 หมายเลขที่ 25026,เล่มที่14บทที่ 19หมายเลขที่ 1.
อัล มิรซา อันนู รีย ์ ใน “มุสตะร็อคอัลวาซาอิล” หมายเลขที่ 16444
อัฏฏ็อบรอซีย ์ ใน “มุกอ็ รริมุล อัคลาศ” หน้าที่ 199 พิมพ์ครัง้ ที่ 6 ปี 1972,สํานักพิมพ์อชั ชะรีฟ อัรรอฎี
อิบนฺ อบี�ุมฮูร อัลอิฮฺซาอีย ์ ใน “เอาวะลีย ์ อัลละอาลีย”์ เล่ม 3 ในบท “ประโยชน์ของการแต่งงาน”
หมายเลขที่ 84
อัล มัจลีซยี ์ ใน “บิฮารรุ ลอันวาร” เล่มที่ 22 หน้า 194 หมายเลขที่ 6
หนังสืออันมากมายที่ข ้าฯได้นาํ เสนอไปนัน้ เป็ นการเพียงพอแล ้วที่จะพิสูจน์ให้ท่านผูอ้ ่านได้รูว้ ่าพวกเขามองนบี
(ซ.ล.)ของเราอย่างไร ซึ่งรายงานจิตตํา่ เยี่ยงนี้ยงั มีอีกมากในตําราของฝ่ ายชีอะฮฺซ่งึ ข ้าฯไม่ประสงค์จะนํามา
เปิ ดเผยมากกว่านี้อีก
37
อัลกาฟี ย์เล่ม1หน้า146จัดพิมพ์โดยอัลกุฏุบอัลอิสลามียะฮฺ กรุ งเตหะราน อิหร่ าน,บิฮารรุ ลอันวาร เล่ม 4หน้า10จัดพิมพ์โดยมุอซั ซะ
ซะฮฺ กรุ งเบรุ ต เลบานอน,
38
เล่มเดียวกัน
เราได้เห็นไปแล ้วว่าพวกเขาชีอะฮฺได้มอบคุณลักษณะอันต้องห้ามแก่พระองค์อลั ลอฮฺได้อย่างไร แต่ท่นี ่า
เศร้ายิ่งกว่านัน้ ก็คือชีอะฮฺกลับนําเอาคุณลักษณะที่แท้จริงของพระองค์อลั ลอฮฺไปมอบแด่บรรดาอิมามของพวก
เขาอย่างน่าละอายดังตัวอย่างดังต่อไปนี้
ان اﻻﺋﻤﺔ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم ﻳﻌﻠﻤﻮن ﻣﺎ ﻛﺎن وﻣﺎ ﻳﻜﻮن واﻧﻪ ﻻ ﳜﻔﻲ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺷﻲء
แท้จริง บรรดาอิมามรูถ้ งึ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและอนาคตและไม่มสี ่งิ ใดจะถูกซ่อนเร้นไปจากพวกเขา39 38F
39
อัลกาฟี เล่ม 1 หน้า 260 สํานักพิมพ์ ดารฺ อลั กุฏฏุบ อัลอิสลามียะฮฺ เมืองเตหะราน
40
หนังสื อ ﺑﺼﺎﺋﺮ ﺍﻟﺪﺭﺟﺎﺕเล่ม 8 หน้าที่ 235
[6:50]จงกล่าวเถิด (มุฮมั มัด) ว่า ฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ที่ฉนั มีบรรดาคลังสมบัติของอัลลอฮ์ และ
ทัง้ ฉันก็ไม่รูส้ ่งิ เร้นลับ และฉันก็จะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันคือมะลัก ฉันจะไม่ปฏิบตั ิตาม นอกจากสิ่งที่ถูก
ให้เป็ นโองการแก่ฉนั เท่านัน้ จงกล่าวเถิด คนตาบอดกับคนตาดีนนั้ จะเท่าเทียมกันหรือ? พวกท่านไม่ใคร่ครวญ
ดอกหรือ?
และเมือ่ ตัวท่านนบีเองยังเป็ นมนุ ษย์ธรรมดาๆที่มไิ ด้ รูใ้ นสิ่งเร้นลับพ้นญาณวิสยั แล ้วเหตุไฉนชีอะฮฺจึงยก
บรรดาอิมามให้เหยียบหัวท่านนบีข้นึ ไปเพื่อเสมอเหมือนกับพระองค์อลั ลอฮฺได้ หรือนี่จะสอดคล ้องกับคํากล่าว
ของโคไมนี่ท่วี ่า
وان ﻣﻦ ﺿﺮورﻳﺎت ﻣﺰﻫﺒﻴﻨﺎ ان ﻻﺋﻤﺘﻨﺎ ﻣﻘﺎ ﻣﺎﻻﻳﺒﻠﻐﻪ ﻣﻠﻚ ﻣﻘﺮب وﻻ ﻧﱯ ﻣﺮﺳﻞ
และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากความจําเป็ นในมัสฮับของเราก็คือ สําหรับบรรดาอิมามของเรามีตาํ แหน่งซึ่ง
บรรดามลาอิกะฮฺผูใ้ กล ้ชิดและบรรดานบีผูถ้ ูกแต่งตัง้ มิอาจขึ้นไปถึงได้41
40 F
จงพิจารณาดูเถิดว่าชีอะฮฺหนั ห่างออกจากอัลกุรอานอย่างไร
๗. ชีอะฮฺกบั การตะกียะฮฺ
หนึ่งในวิทยายุทธ์อนั สําคัญที่ช่วยเหลือชีอะฮฺให้รอดพ้นจากการสูญพันธ์มาตลอดก็คือหลักการที่ถูกเรียก
กันว่า “ตะกียะฮฺ” ซึ่งหมายถึงการปกปิ ดอําพรางซ่อนเร้นหลักความเชื่อของตน สําหรับพวกเขานัน้ ตะกียะฮฺถอื
เป็ นภาระและหน้าที่ทางศาสนาที่ชอี ะฮฺทุกคนจะต้องยึดถือกระทําและดํารงปฏิบตั ิ ดังหลักฐานที่ปรากฏต่อไปนี้
ﻓﻤﻦ ﺗﺮﻛﻬﺎ ﻗﺒﻞ ﺧﺮوﺟﻪ ﻓﻘﺪ ﺧﺮج ﻋﻦ دﻳﻦ اﷲ-واﻟﺘﻘﻴﺔ واﺟﺒﺔ ﻻ ﳚﻮز ﻓﻌﻬﺎاﱄ ان ﳜﺮج اﻟﻘﺎﺋﻢ
وﺧﻠﻒ اﷲ ورﺳﻮﻟﻪ واﻻﺋﻤﺔ
และตะกียะฮฺคือวาญิบ ไม่เป็ นที่อนุ มตั ิท่จี ะละทิ้งมันจนกว่า “กออิม” (อิมาม) จะปรากฏตัว ผูใ้ ดก็ตามที่
ละทิ้งมันก่อนการปรากฏกายของเขา ถือว่าออกไปจากศาสนาของอัลลอฮฺและต่อต้านพระองค์ ศาสนทูตของ
พระองค์และบรรดาอิมาม 42 41F
ﻗﺎل اﺑﻮﻋﺒﺪاﷲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ﲰﻌﺖ اﰊ ﻳﻘﻮل ﻻ واﷲ ﻣﺎ ﻋﻠﻰ وﺟﻪ اﻷرض ﺷﻲء اﺣﺐ اﱄ
ﻣﻦ اﻟﺘﻘﻴﺔ ﻳﺎ ﺣﺒﻴﺐ اﻧﻪ ﻣﻦ ﻛﺎﻧﺖ ﻟﻪ ﺗﻘﻴﺔ رﻓﻌﻪ اﷲ ﻳﺎ ﺣﺒﻴﺐ ﻣﻦ ﱂ ﺗﻜﻦ ﻟﻪ ﺗﻘﻴﺔ وﺿﻌﻪ اﷲ
41
หนังสื อ “อัลฮุกุมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ” หน้า 52 โดย โคไมนี่ ฉบับตีพิมพ์ที่ เตหะราน
42
หนังสื อ ริ ซาละฮฺ อิอฺติกอดียะฮฺ หน้า 471
43
อัลกาฟี เล่ม 2 หน้า 217 สํานักพิมพ์ ดารอัลกุฏฏุบ อัลอิสลามียะฮฺ เตหะราน
อบูอบั ดุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยนิ บิดาของฉันกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ไม่มสี ่งิ ใดบนหน้าแผ่นดินนี้
จะเป็ นที่รกั ยิ่งของพระองค์อลั ลอฮฺมากไปกว่า ตะกียะฮฺ โอ้ฮะบีบ ใครก็ตามที่กระทําการตะกียะฮฺ อัลลอฮฺจะทํา
ให้เขาสูงส่ง โอ้ฮะบีบ ใครก็ตามที่ละทิ้งการตะกียะฮฺอลั ลอฮฺจะมอบความอับอายแก่เขา 44 43
๘. ชีอะฮฺกบั การเล่นมุตอะฮฺ
เรื่องราวอันแปลกประหลาดอีกประการหนึ่งในแนวทางชีอะฮฺนนั้ ก็คือ ชาวชีอะฮฺมกั จะนิยมการ “เล่น
มุตอะฮฺ” คําว่ามุตอะฮฺน้ คี วามหมายในเชิงภาษา(อาหรับ) หมายถึง ความปิ ติยนิ ดี,ความสนุกสนานและความ
ต้องการก็ได้ แต่ในหมูช่ าวชีอะฮฺคาํ นี้มคี วามหมายว่า “การแต่งงานชัว่ คราว ” ตามหลักนิติศาสตร์ของชาวชี
อะฮฺนนั้ เป็ นที่อนุ มตั ิท่ผี ูช้ ายจะมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยการแต่งงานชัว่ คราว สําหรับการเล่นมุตอะฮฺกนั
ระหว่างชายหญิงนัน้ สามารถกระทําได้ไม่ว่าจะเป็ นเวลาเพียงแค่ หนึ่งชัว่ โมง หนึ่งวัน หรือมากกว่านัน้ โดยทัง้ นี้
ระยะเวลาที่กาํ หนดก็ข้นึ อยู่กบั การตกลงของคนทัง้ สองฝ่ าย 45 44F
ﻗﺎل اﺑﻮ ﻋﺒﺪاﷲ ﻣﺎ ﻣﻦ رﺟﻞ ﲤﺘﻊ ﰒ اﻏﺘﺴﻞ اﻻ ﺧﻠﻖ اﷲ ﻛﻞ ﻗﻄﺮة ﺗﻘﻄﺮ ﻣﻨﻪ ﺳﺒﻌﲔ ﻣﻠﻜﺎ
ﻳﺴﺘﻐﻔﺮون ﻟﻪ اﱄ ﻳﻮم اﻟﻘﻴﻤﺔ
“ อบูอบั ดุลลอฮฺได้กล่าวว่า: ไม่มชี ายคนใดที่เขาได้ทาํ การมุตอะฮฺ หลังจากนัน้ เขาได้อาบนํา้ นอกเสียจาก
ว่าอัลลอฮฺจะสร้างมาลาอิกะฮฺข้นึ มา 70 ท่าน จากนํา้ ทุกหยดที่หยดออกมาจากตัวเขา โดยที่มาลาอิกะฮฺเหล่านัน้
จะทําการขออภัยโทษให้แก่เขาจนถึงวันกิยามะฮฺ ” 46 45F
ﻗﻞ اﻟﻨﱯ ﺿﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﻣﺮة واﺣﺪة ﻋﺘﻖ ﺛﻠﺜﻪ ﻣﻦ اﻟﻨﺎر وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﻣﺮﺗﲔ ﻋﺘﻖ ﺛﻠﺜﺎﻩ
ﻣﻦ اﻟﻨﺎر وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﺛﻼث ﻣﺮات ﻋﺘﻖ ﻛﻠﻪ ﻣﻦ اﻟﻨﺎر
44
เล่มเดียวกัน
45
รายละเอียดเกีย่ วกับข้อปฏิบตั ิในการเล่นมุตอะฮฺ มีรายละเอียดมากมายกรุ ณาดูใน อัลกะฟี ย์ เล่ม 5 หน้า 449, ฟุรุอุลกาฟี ย์ เล่ม 2 หน้า
189 และ ตะรี ล อัลวะซีละฮฺ เล่ม 2 หน้า 292
46
บุรฮาน อัล- มุตอะฮฺ หน้า 50
ผูใ้ ดก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺเพียงแค่ครัง้ เดียว หนึ่งในสามของเขาจะรอดพ้นจากนรก และผูใ้ ดก็ตามที่เล่น
มุตอะฮฺสองครัง้ สองในสามของเขาจะรอดพ้นจากไฟ และเช่นนัน้ แหละ บุคคลผูซ้ ่งึ เล่นมุตอะฮฺสาํ เร็จ
จนถึงสามครัง้ เขาจะได้รบั การปกป้ องจากไฟนรกทัง้ ปวง 47 46F
ﻗﻞ اﻟﻨﱯ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﻣﺮة ﻓﺪ رﺟﺘﻪ ﻛﺪ رﺟﺔ اﳊﺴﲔ وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﻣﺮ ﺗﲔ ﻓﺪ رﺟﺘﻪ ﻛﺪ رﺟﺔ اﳊﺴﻦ
وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ﺛﻼث ﻣﺮات ﻓﺪرﺟﺘﻪ ﻛﺪرﺟﺔ ﺗﺎﻋﻠﻲ وﻣﻦ ﲤﺘﻊ ارﺑﻊ ﻣﺮات درﺟﺘﻪ ﻛﺪرﺟﱵ
ผูใ้ ดก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺจนสําเร็จแม ้แค่ครัง้ เดียว ตําแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับท่านฮุเซน และใครที่เล่น
มุตอะฮฺสองครัง้ ตําแหน่งของเขาจะเท่าเทียมกับฮะซัน และเช่นนัน้ แหละ บุคคลที่เล่นมุตอะฮฺสามครัง้ เขา
ได้ไปถึงตําแหน่งของท่านอะลี และใครก็ตามที่เล่นมุตอะฮฺครัง้ ที่ส่เี ขาย่อมไปถึงตําแหน่งของท่านนบี 48 47F
ﻗﺎل اﺑﻮ ﺟﻌﻔﺮ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ان اﻟﻨﱯ ﺻﻠﻲ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﱂ اﺳﺮي ﺑﻪ اﱄ اﻟﺴﻤﺎء ﻗﺎل ﳊﻘﻴﲏ ﺟﱪﻳﻞ ﻋﻠﻴﻪ
اﻟﺴﻼم ﻓﻘﺎل ﻳﺎ ﳏﻤﺪ ان اﷲ ﺗﺒﺎرك وﺗﻌﺎﱄ ﻳﻘﻮل اﱐ ﻗﺪ ﻏﻔﺮت ﻟﻠﻤﺘﻤﺘﻌﲔ ﻣﻦ اﻣﺘﻚ ﻣﻦ اﻟﻨﺴﺎء
อบูญะอฺฟรั ได้กล่าวว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึง เหตุการณ์ของการเดินทางสู่ฟากฟ้ าในคํา่ คืน(อิสรออฺ
มิร็อจ) ว่า ญิบรีลได้มาพบฉันและกล่าวแก่ฉนั ว่า โอ้มฮุ มั มัด พระองค์อลั ลอฮฺได้ป่าวประกาศไว้ว่า แท้จริง ข ้า
ได้อภัยแก่สตรีทงั้ หมดเหล่านัน้ จากอุมมะฮฺของเจ้าที่ได้มสี ่วนร่วมในมุตอะฮฺ 49 48F
47
มินฮัจ�ุสซอดิกนี หน้า 256
48
หนังสื อ ตัฟซีร มินฮาจ อัศศอดิกนี หน้าที่ 256
49
หนังสื อ มันลายะฮฺฎุรุ ฮุลฟะกีฮฺ เล่ม 3 หน้า 150
๙. ความแปลกประหลาดทางนิ ติศาสตร์
ในความเป็ นจริงนัน้ ประเด็นความขัดแย้งทางฟิ กฮฺเป็ นสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานมาตลอดในอุมมะฮฺของ
อิสลาม และเป็ นเรื่องธรรมดาที่ความเห็นทางด้านนิติศาสตร์อิสลามจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสํานัก
คิด เฉพาะในฝ่ ายของอะฮฺลุซซุนนะฮฺวลั ญะมะอะฮฺ เองก็มคี วามเห็นทางด้านนิติศาสตร์ท่แี ตกออกเป็ นสํานัก
คิดใหญ่ๆอยู ่ส่สี าํ นักหรือ “มัสฮับทัง้ 4◌” ً หากแต่ว่าสํานักนิติศาสตร์ทงั้ สี่ต่างก็ล ้วนมีความเห็นทางนิติศาสตร์
อิสลามในประเด็นปลีกย่อยและจํากัดขอบเขตอยู ่ในกรอบของอัลกุรอานและอัลหะดีษ แต่ในขณะเดียวกัน
ชีอะฮฺซ่งึ เป็ นกลุม่ ที่อา้ งตัวเองว่าดําเนินรอยตามสํานักนิติศาสตร์ของท่าน ญะอฺฟรั อัศศอดิก ผูเ้ ป็ นส่วนหนึ่ง
จากอะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านนบี(ศ็อลฯ) หรือที่เรียกกันว่า “มัสฮับญะอฺฟะรียะฮฺ ” นัน้ กลับไม่ได้มแี ก่นแท้ใน
แนวคิดของท่านญะอฺฟรั อัศศอดิก เลยแม ้แต่นอ้ ย สืบเนื่องจากว่าในบรรดานักนิติศาสตร์ของฝ่ ายชีอะฮฺนนั้
แทบไม่มแี ม ้แต่คนเดียวที่ราํ ่ เรียนและเคยพบกับตัวของท่านญะอฺฟรั อัศศอดิก หากจะมองถึงอิทธิพลทาง
ความคิดของท่านญะอฺฟรั อัศศอดิก ในด้านนิติศาสตร์อิสลามที่มตี ่อแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ
ก็ดูจะเยอะและมีนาํ ้ หนักกว่าฝ่ ายชีอะฮฺอยู ่มากโข นัน้ ก็เพราะว่าท่านอิมามมาลิก เป็ นหนึ่งในสานุศิษย์คนสําคัญ
ของท่านญะอฺฟรั อัศศอดิก และอิมามชาฟี อียต์ ลอดจนท่านอิมาม อะฮฺมดั อิบนฺ ฮันบัล ก็ล ้วนได้รบั ความรูม้ า
จากท่านอิมามมาลิกลงมาอีกทอดหนึ่งทัง้ สิ้น แต่ในขณะเดียวกันฝ่ ายชีอะฮฺซ่งึ อ้างตัวเองว่าดําเนินแนวทาง
ตามมัสฮับญะอฺฟะรียะฮฺ กลับมีตาํ ราด้านนิติศาสตร์ท่ถี ูกเรียบเรียงขึ้นมาหลังการเสียชีวติ ไปแล ้วของท่านญะอฺ
ฟัร อัศศอดิก เป็ นศตวรรษด้วยซํา้ !! ในบรรดาตําราที่จดั ได้ว่าเก่าแก่ท่สี ุดและเป็ นพื้นฐานแก่ฟิกฮฺของฝ่ ายชี
อะฮฺนนั้ มีทงั้ หมด 4 เล่มดังนี้
๑. อัลกาฟี ย ์ เขียนโดย กุลยั นีย ์ หลังการเสียชีวติ ของท่านญะอฺฟรั เกือบ 130 ไปแล ้ว
๒. มันลายะฮฺฎรุุ ฮุลฟะกีฮฺ เขียนโดย มุฮมั มัด บินอะลี อิบนุ บะบาวัยฮฺ อัลกุมมี หลังการเสียชีวติ ของ
ท่านญะอฺฟรั เกือบ 230 ปี ไปแล ้ว
๓. ตะฮฺซบี อัลอะฮฺกาม
๔. อัลอิสติบศ็อร สองเล่มสุดท้ายนี้เขียนโดย มุฮมั มัด บินฮะซัน หลังการเสียชีวติ ของท่านญะอฺฟรั เกือบ
310 ปี ไปแล ้ว
และพระองค์ยงั ทรงได้กล่าวอีกว่า
หาใช่คุณธรรมไม่ การที่พวกเจ้าผินหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกแต่ทว่า
คุณธรรมนั้นคือผูท้ ่ศี รัทธาต่ออัลลอฮ์…53
50
หนังสื อ اﻟﺼﺎﳊﲔ ﻣﻨﻬﺎجของ ซัยยิดอะลี อัลซิสตานี เล่มที่ 1 หน้า 187
หนังสื อ ﻣﻨﻬﺎج اﻟﺼﺎﳊﲔของ อัลคูอีย ์ เล่มที่ 1 หน้า 147
หนังสื อ ﻛﺘﺎب اﻟﺼﻼةของ อัลคูอีย ์ เล่มที่ 2 หน้า 233
หนังสื อ اﻟﻌﺮوة ﻣﺴﺘﻤﺴﻚของ ซัยยิด มุฮฺซิน อัลฮะกีม เล่ม 5 หน้า 519
หนังสื อ ﻣﻨﻬﺎج اﻟﺼﺎﳊﲔของ ซัยยิด มุฮมั มัด อัรรูฮานีย ์ เล่ม 1 หน้า 159
หนังสื อ اﻟﻌﺮوة اﻟﻮﺛﻘﻰของ ซัยยิด อัลยัสดี เล่ม 2 หน้า 402
หนังสื อ ﻛﻠﻤﺔ اﻟﺘﻘﻮىของ ชัยคฺมุฮมั มัด อะมีน ซัยนุดดีน เล่ม 1 หน้า 356
51
ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ 142
52
ซูเราะฮฺ อัชชุอะรออฺ อายะฮฺ 28
53
ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ 177
จากโองการดังกล่าวข ้างต้นเพื่อที่จะแสดงว่าการมุง่ เน้นแต่ในเรื่องรูปแบบของศาสนาทางด้านภายนอกจน
เกินเหตุนนั้ มิได้ก่อประโยชน์อะไร จึงได้มกี ารชี้ออกมาเป็ นตัวอย่างว่า การที่เราจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
หรือตะวันตกในการนมาซนัน้ ไม่ได้เป็ นเรื่องคุณธรรมแต่ประการใด เพียงแต่ตอ้ งการจะกล่าวว่าการปฏิบตั ิ
พิธีกรรมหรือรู ปแบบทางศาสนานัน้ มิใช่คุณธรรมที่แท้จริงและไม่มคี วามสําคัญหรือมีค่ากับพระองค์อลั ลอฮฺ
เลย ด้วยเหตุน้ เี ราจึงพบเห็นได้จากโองการเหล่านี้ว่าแม ้กระทัง่ มัสยิดอัลอักซอ อันเป็ นมัสยิดหนึ่งในสามมัสยิด
ที่ย่งิ ใหญ่ท่สี ุดของอิสลาม พระองค์อลั ลอฮฺก็ได้กล่าวในเชิงว่าความประเสริฐที่แท้จริงของการละหมาดและ
คุณธรรมนัน้ อยู ่ท่มี นุ ษย์ละหมาดด้วยความศรัทธาต่างหาก อย่างไรก็ตามสําหรับชาวอะฮฺลุซซุนะฮฺ วัลญะ
มะอะฮฺ นัน้ มีความเชื่อว่าการละหมาดในมัสยิดทัง้ สามนัน้ มีความประเสริฐและผลบุญอันยิ่งใหญ่อนั สืบ
เนื่องจากว่ามัสยิดทัง้ สามนัน้ ถูกกล่าวไว้อย่างมีเกียรติในอัลกุรอานและเป็ นมัสยิดที่มคี วามเกี่ยวพันกับบรรดา
รอซูลของพระองค์อลั ลอฮฺมาอย่างยาวนาน ผิดกับสุสานหรือมัสยิดของบรรดาอิมามที่ชอี ะฮฺนบั ถือ นอกจากจะ
ไม่ได้เป็ นมัสยิดที่เกี่ยวพันใดๆกับหลักการของอัลอิสลามแล ้ว ยังเป็ นสถานที่แห่งการเคารพบูชาสุสานและ
พิธีกรรมชิริกมากมาย ดังนัน้ จึงน่าสงสัยอยู ่ท่วี ่าการที่อุลามะอฺชอี ะฮฺตดั สินว่าการละหมาดในมัสยิดของบรรดาอิ
มามนัน้ มีผลบุญอันมหาศาลเทียบเท่ากับมัสยิดอัลอักซอนัน้ เหล่าชีอะฮฺมเี จตนาอะไร ? หรือต้องการลด
ความสําคัญของมัสยิดทัง้ สามอันประดิษฐานอยู่บนผืนแผ่นดินของชาวอะฮฺลุซซุนะฮฺซ่งึ จะเป็ นการนําพาชาว
ชีอะฮฺให้มาจมปลักและเยี่ยมเยียนเฉพาะมัสยิดที่อยู่แต่ในประเทศ อิรคั และอิหร่าน เท่านัน้ ใช่หรือไม่ ?
นอกจากนี้การที่คาํ ฟัตวาดังกล่าวระบุว่า “การละหมาด ณ กุบุรของท่านอะลีย(์ อะลัยอิสสลาม ) นัน้ ประเสริฐ
กว่าสถานที่อ่ืนถึง 2 แสนเท่า” นัน้ ย่อมนําพามาซึ่งข ้อสงสัยที่ว่าประเสริฐกว่ามัสยิดทัง้ สามหรือไม่? เพราะการที่
ไม่มกี ารระบุยกเว้นมัสยิดทัง้ สามย่อมทําให้เข ้าใจไปโดยปริยายว่าการละหมาดในกุบุรของท่านอะลีนนั้ ประเสริฐ
กว่าการละหมาดในทัง้ สาม ข ้าพเจ้ามีความปรารถนาจะขอนําเสนอภาพถ่ายที่ยนื ยันข ้อสันนิษฐานนี้ได้เป็ นอย่าง
ดี
ภาพที่ท่านผูอ้ ่านได้เห็นไปแล ้วนัน้ คือประจักษ์พยานได้เป็ นอย่างดี ในภาพจะปรากฏพบเห็นอาคารจําลอง
ของกะอฺบะฮฺและด้านหลังนัน้ คือ มัสยิดอันโด่งดังของชาวชีอะฮฺ(โดมทอง) ในประเทศอิรคั !! ดังนัน้ การที่ชอี ะฮฺ
ได้สร้างกะบะฮฺเองขึ้นมาใหม่แล ้วนําไปไว้เคียงคู่กบั มัสยิดของบรรดาอิมามชีอะฮฺ เพื่อประกอบการอิบาดัต นัน้
ย่อมหมายถึงอะไร!!!
اذا اﺗﻰ اﻟﺮﺟﻞ اﳌﺮأة ﰲ اﻟﺪﺑﺮ وﻫﻲ ﺻﺎﺋﻤﺔ ﱂ ﻳﻨﻘﺾ ﺻﻮﻣﻬﺎ وﻟﻴﺲ:ﻋﻦ ا ﰉ ﻋﺒﺪ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ﻗﻞ
ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻏﺴﻞ
จากอบีอบั ดิลละฮฺ กล่าวว่า หากผูช้ ายได้มเี พศสัมพันธ์ทางทวารหนักกับสตรีในขณะที่นางกําลังถือศีลอด มัน
ไม่ทาํ ให้การถือศีลอดของนางเป็ นโมฆะหรือต้องอาบนํา้ ฆุสุล(อาบนํา้ ยกฮะดัษ)54 53F
وﻣﻦ ﻛﺎن ﻣﻦ أﻫﻠﻲ ﻓﺎﻧّﻪ، وﻋﻠﻲ وﻓﺎﻃﻤﺔ واﳊﺴﻦ واﳊﺴﲔ ّ ﻻ ﳛﻞ ﻻﺣﺪ أن ﳚﻨﺐ ﰲ ﻫﺬا اﳌﺴﺠﺪ اﻻ أﻧﺎ
ﻣﲏ
ّ
ไม่เป็ นที่อนุ มตั ิท่คี นหนึ่งคนใดจะเข ้าไปในมัสยิดนี้ในสภาพที่มญี ะนะบะฮฺ(มลทินทางร่างกายที่เกิดขึ้นจากการ
ร่วมประเวณี )ยกเว้นตัวฉัน อะลี ฟาติมะฮฺ ฮาซัน ฮุเซนและใครก็ตามที่คือส่วนหนึ่งจากครอบครัวของฉัน55 54F
54
หนังสื อ นิฮายะตุลอิฮฺกาม ฟิ มะอฺรีฟาตุลอะฮฺกาม เล่ม 7 หน้า 460 หมายเลขที่ 1843 ของ อัลลามะฮฺ อัลฮิลลี
55
หนังสื อ وﺳﺎﺋﻞ اﻟﺸﻴﻌﺔของ ฮัรรุ ล อามีลี เล่มที่ 20 หน้า 256-257
56
หนังสื อ ﲢﺮﻳﺮاﻟﻮﺳﻴﻠﺔของ โคไมนี่ เล่มที่ 2 หน้าที่ 210 และจากเว็บไซต์ศูนย์กลางของโลกชีอะฮฺ
นอกจากนี้ อัรรู ฮานี นักปราชญ์ของชีอะฮฺชาวอิหร่านยังได้ตอบเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ว่ามันเป็ นที่อนุ
มติและไม่มเี หตุผลใดๆในการห้ามการกระทําดังกล่าว57 มันเป็ นไปได้อย่างไรที่เรื่องเหล่านี้เป็ นที่อนุมตั ิน่าเศร้า
56
ใจเหลือเกินว่าเหล่าชีอะฮฺนอกรีตยังคงศรัทธาในคําสอนอันผิดเพี้ยนของเขา
ทัง้ หมดเหล่านี้คือตัวอย่างเพียงน้อยนิดจากความผิดเพี้ยนของลัทธิชอี ะฮฺในเชิงนิติศาสตร์ ซึ่งคง
เพียงพอแล ้วที่จะเป็ นอุทาหรณ์แก่ผูท้ ่คี ิดจะเข ้ารีตเป็ นชีอะฮฺได้อย่างดี
ว่า
أﻧﻪ ﻛﻤﻦ:واﻋﺘﻘﺎدﻧﺎ ﻓﻴﻤﻦ ﺟﺤﺪ إﻣﺎﻣﺔ أﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻋﻠﻴﻬﻤﺎ اﻟﺴﻼم واﻻﺋﻤﺔ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ
ﺟﺤﺪ ﻧﺒﻮة ﲨﻴﻊ اﻻﻧﺒﻴﺎء ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم.
أﻧﻪ ﲟﻨﺰﻟﺔ:واﻋﺘﻘﺎدﻧﺎ ﻓﻴﻤﻦ أﻗﺮ ﺑﺄﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم وأﻧﻜﺮ واﺣﺪا ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ ﻣﻦ اﻻﺋﻤﺔ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم
ﻣﻦ أﻗﺮ ﲜﻤﻴﻊ اﻻﻧﺒﻴﺎء ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم وأﻧﻜﺮ ﻧﺒﻮة ﻧﺒﻴﻨﺎ ﳏﻤﺪ ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وآﻟﻪ
และความเชื่อของพวกเรา(ชาวชีอะฮฺ)ต่อบรรดาผูท้ ่ไี ม่ศรัทธาต่ออิมามะฮฺซ่งึ ก็คือท่านอมีรุลมุอฺมนิ ีน อะลี บินอ
บีตอลิบและอิมามคนอื่นๆหลังจากท่านอะลี ก็เป็ นเช่นเดียวกันกับบรรดาผูท้ ่ไี ม่ศรัทธาต่อนุบูวะฮฺ(ตําแหน่งการ
เป็ นนบี)ของบรรดาอัมบิยะอฺอลัยฮิมสุ สลาม และความเชื่อของเราต่อบรรดาผูท้ ่ศี รัทธาในอิมามะฮฺของท่านอะลี
แต่ไม่ศรัทธาในอิมามะฮฺของบรรดาอิมามคนหนึ่งคนใดหลังจากท่าน ก็เป็ นเช่นเดียวกันกับบรรดาผูท้ ่ศี รัทธาใน
นุบูวะฮฺของบรรดาอัมบิยะอฺแต่ไม่ศรัทธาต่อนุบูวะฮฺของท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)!!!59 58F
http://www.al-shia.info/html/ara/boo…r/tahrir2d.htm
57
http://www.imamrohani.com/fatwa-ar/viewtopic.php?t=1497 นอกจากนี้ผลจากการอนุมตั ิเหล่านี้ได้ทาํ ให้กลุ่มเพศที่สาม
พรั่งพรู ข้ นึ ในประเทศอิหร่ าน ท่านสามารถดูได้จากสารคดีน้ ี http://www.youtube.com/watch?v=Pt9oZlOU5UE
58
เป็ นตําราชั้นรองมาจาก อัลกะฟี ย์ เทียบได้กบั ซอเฮี๊ยฮฺมุสลิมของชาวซุนนี
59
อัลอิอฺติกอ็ ด หน้า 78 ของชัยคฺ อัศศอดูก
اﺗﻔﻘﺖ اﻻﻣﺎﻣﻴﺔ ﻋﻠﻰ أن ﻣﻦ أﻧﻜﺮ إﻣﺎﻣﺔ أﺣﺪ ﻣﻦ اﻻﺋﻤﺔ وﺟﺤﺪ ﻣﺎ أوﺟﺒﻪ اﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻟﻪ ﻣﻦ ﻓﺮض اﻟﻄﺎﻋﺔ
ﻓﻬﻮ ﻛﺎﻓﺮ ﺿﺎل ﻣﺴﺘﺤﻖ ﻟﻠﺨﻠﻮد ﰲ اﻟﻨﺎر
มีมติเป็ นเอกฉันท์ในหมูผ่ ูร้ ูอ้ ิมามียะฮฺต่อความจริงที่ว่า คนหนึ่งคนใดที่ไม่ศรัทธาต่ออิมามะฮฺแม ้เพียงคนเดียว
ของอิมามและบรรดาผูไ้ ม่ศรัทธาในสิ่งที่อลั ลอฮฺถอื เป็ นหน้าที่ท่จี ะต้องเชื่อฟังพวกเขา(บรรดาอิมาม) บุคคล
เช่นนัน้ คือผูป้ ฏิเสธที่หลง และสมควรพํานักอยู่ในนรกตลอดกาล 60 59F
ﺑﻞ أﺧﺒﺎرﻫﻢ ﻋﻠﻴﻬﻢ اﻟﺴﻼم ﺗﻨﺎدي ﺑﻨﺎ اﻟﻨﺎﺻﺐ ﻫﻮﻣﺎﻳﻘﺎل ﻟﻪ ﻋﻨﺪ ﻫﻢ ﺳﻨﻴﺄ
ยิ่งกว่านัน้ บรรดาหะดีษของพวกเขา(บรรดาอิมามของชีอะฮ์) อะลัยฮิมสุ ลาม ได้ป่าวประกาศว่า แท้จริง นา
ซิบ(ปรปักษ์ของอะฮ์ลลิ บัยต์) คือ สิ่งที่ถูกเรียกว่า ซุนนี 61 60F
اﻧﻚ ﻗﺪ ﻋﺮﻓﺖ ﺳﺎﺑﻘﺄ أﻧﻪ ﻟﻴﺲ اﻟﻨﺎ ﺻﺐ اﻵﻋﺒﺎرة ﻋﻦ اﻟﺘﻘﺪﱘ ﻋﻠﻰ ﻋﻠﻲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم
แท้จริง ท่านได้ทราบมาก่อนหน้านี้แล ้วว่า เขาจะไม่ใช่นาซิบ(ผูเ้ ป็ นปรปักษ์กบั อะฮ์ลลิ บัยต์) นอกจากเป็ น
สํานวนมาจาก การนํามา(คอลิฟะฮ์ทงั้ สาม)มาอยู่ก่อนท่านอะลี อะลัยฮิสลาม63 62F
60
อัลมะซาอิล หน้าที่ 120 ของ ชัยคฺมุฟีด
61
อัลมะหาซิน อัลนัฟซานียะฮ์ ฟี อัจ�ฺวบิ ะฮ์ อัลมะซาอิล อัลคอรอซานียะฮ์ หน้า 147 ของ ชัยค์ หุซยั น์ อาลิ อุซฟูร
62
เล่มเดียวกัน
63
เล่มเดียวกัน หน้า 157
64
Furoo'u Kafi in Kitabul Raudah หน้าที่ 135 ฉบับตีพิมพ์เป็ นภาษาอังกฤษ
อีก 11คน) ,ขอความสันติจงมีแด่ท่านเหล่านัน้ , และอีกทัง้ ยังได้ให้ความประเสริฐของผูอ้ ่นื เหนือท่านเหล่านี้
นัน้ เป็ นสิ่งยืนยันว่าพวกเขาเหล่านัน้ เป็ นผูท้ ่ปี ฏิเสธศรัทธา ซึ่งจะต้องอยู่ในนรกตลอดกาล 65
64
ส่วนโคไมนี่ก็ได้กล่าวไว้ว่า
ن رﻬﺑﻢ ﻫﻮ: وذﻟﻚ أ�ﻢ ﻳﻘﻮﻟﻮن،إﻧﺎ ﻻ ﳒﺘﻤﻊ ﻣﻌﻬﻢ )أي ﻣﻊ اﻟﺴﻨﺔ( ﻋﻠﻰ إﻟﻪ وﻻ ﻋﻠﻰ ﻧﱯ وﻻ ﻋﻠﻰ إﻣﺎم
إن: ﺑﻞ ﻧﻘﻮل، وﳓﻦ ﻻ ﻧﻘﻮل ﻬﺑﺬا اﻟﺮب وﻻ ﺑﺬﻟﻚ اﻟﻨﱯ،ِﻟﺬي ﻛﺎن ﳏﻤﺪ ﻧﺒﻴﻪ وﺧﻠﻴﻔﺘﻪ ﻣﻦ ﺑﻌﺪُ أﺑﻮﺑﻜﺮ
اﻟﺮب اﻟﺬي ﺣﻠﻴﻔﺔ ﻧﺒﻴﻪ أﺑﻮﺑﻜﺮ ﻟﻴﺲ رﺑﻨﺎ وﻻ ذﻟﻚ اﻟﻨﱯ ﻧﺒﻴﻨﺎ
พวกเรา(ชีอะฮฺ)ไม่มสี ่วนร่วมใดๆกับพวกเขา(ซุนนีย)์ ในเรื่องของพระเจ้าและนบี รวมถึงเรื่องของอิหม่าม ที่เป็ น
เช่นนี้เพราะพวกเขากล่าวว่า แท้จริงองค์อภิบาลของพวกเขาคือผูท้ ่มี มี ฮู มั หมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
เป็ นนบีและมีอบูบกั ร์เป็ นค่อลีฟะห์หลังจากนัน้ และพวกเราจะไม่กล่าวถึงพระเจ้าองค์น้ แี ละนบีท่านนี้ ทว่าพวก
เราจะกล่าวว่า แท้จริงพระเจ้าผูซ้ ่งึ มีอบูบกั ร์เป็ นค่อลีฟะห์สบื ต่อจากนบีของพระองค์นนั้ ไม่ใช่พระเจ้าของพวก
เรา และนบีคนดังกล่าวนี้ก็ไม่ใช่นบีของพวกเรา 67 66F
65
หนังสื อ บิฮารุ ลอันวาร เล่มที่ 23 เลขที่ 390 ของ อัลมิจลิซีย ์
66
กัชฟุล อัสร็อร หน้า 107
67
หนังสื อ อันวาร อันนัวอฺมานียะฮฺ หน้า 278 โดย ซัยยิด นิอฺมาตุลลอฮฺ อัลญะซาอีรี
เมือ่ เรานําเอาคํากล่าวของซัยยิดนิอฺมาตุลลอฮฺ อัลญะซาอิรีย ์ กับ โคไมนี่มาอ่านด้วยกัน เราก็จะพบจุดยืนที่
คล ้ายกัน ซึ่งโดยสรุปก็คือชีอะฮฺเชื่อว่า พระเจ้าและนบีของชาวซุนนีกบั ชาวชีอะฮฺนนั้ เป็ นคนละองค์และนบีก็คน
ละนบีกนั !!!!! ดังนัน้ เมือ่ เราเห็นถึงจุดยืนอันชัดเจนขนาดนี้แล ้วก็สมควรจะพูดได้อย่างเต็มปากแล ้วว่า ชีอะฮฺ
ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม!!!!
จุดยืนของชีอะฮฺต่อพี่นอ้ งมุสลิมยังคงปรากฏอีกดังว่าบุคคลใดก็ตามที่ไม่ศรัทธาว่าท่านอะลีคือคอลีฟะฮฺท่าน
แรกคือพวกนอกรีต 68และพวกที่สกปรกที่สุดและเป็ นมลพิษจนทําให้นาํ้ ต้องเสียคือพวกซุนนี69อีกทัง้ อยาตุลลอ
67 68
๑๑. จุดยืนของนักวิชาการมุสลิมที่มีต่อลัทธิชีอะฮฺ
เราได้ทาํ ความเข ้าใจถึงหลักความเชื่อตลอดจนจุดยืนของพวกเขาที่มตี ่อชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ
กันมาแล ้ว ดังนัน้ เราจึงควรมารับทราบถึงรายชื่อของผูร้ ูท้ ่านต่างๆที่มคี วามเห็นว่าชีอะฮฺเป็ นกลุม่ ที่หลุดไปจาก
กรอบของอิสลาม ซึ่งข ้าฯได้ทาํ การรวบรวมรายชื่ออุลามะอฺท่สี าํ คัญๆมาให้ทราบพอสังเขปดังต่อไปนี้
อุลามะอฺยุคอดีต
๑. อิมาม ซะฮฺบี (ดูใน มินฮัจ อัซซุนนะฮฺ เล่ม 1 หน้า 7)
๒. อิมามมาลิก (ตัฟซีร อิบนฺกะษีร 4/204, รูฮุลมะอานี 26/128)
๓. อิมามชาฟิ อี (มินฮาจ อัซซุนนะฮฺ อันนะบาวียะฮฺ 1/39)
๔. ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บินมุบาร็อก (อัลมุนากออฺ มิน มินฮาจ อัลอิอฺติดาล 480)
68
หนังสื อ อัลอันวาร อันวั อฺมานียะฮฺ เล่ม 3 หน้าที่ 264 ของ ซัยยิดนิอฺมาตุลลอฮฺ อัลญะซาอิรีย ์
69
มันลายะฮฺฎุรุ ฮุลฟะกีฮฺ เล่ม 1 หน้า 8
70
คําฟัตวานี้นาํ มาจากเว็บไซต์ของเจ้าตัวเองที่ http://www.imamrohani.com/fatwa-ar/viewtopic.php?t=1861 ซึ่งปรากฏตัวบทดังนี้
ﻫﻮ ﻫﻞ اﻟﺴﻨﺔ ﳛﻜﻢ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺑﺎﻟﻜﻔﺮ: ﺳﻮال.
ﻫﻞ ﻳﺪﺧﻠﻮن اﻟﺴﻨﺔ اﳉﻨﺔ ﻃﺒﻌﺎ ﻫﻢ ﻻﻳﻮاﻟﻮن ﻋﻠﻲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم وﻟﻜﻨﻬﻢ ﻻ ﻳﻜﺮﻫﻮن اﻫﻞ اﻟﺒﻴﺖ.... ﻫﺬا ﻫﻮ اﻻﻫﻢ
وﻛﻴﻒ ﻳﺪﺧﻠﻮن اﻟﻨﺎر وﻫﻢ ﻳﺸﻬﺪون اﻟﺸﻬﺎدﺗﲔ وﻳﺼﻠﻮن اﻟﺼﻠﻮات اﳋﻤﺲ وﳛﺠﻮن وﻳﺼﻮﻣﻮن رﻣﻀﺎن.... وﳛﺒﻮ�ﻢ...
ﺑﺴﻤﻪ ﺟﻠّﺖ اﲰﺎؤﻩ:ﺟﻮاب
ﻓﻤﻊ ﻓﻘﺪ اﻟﺸﺮط ﻻ ﻳﺘﺤﻘﻖ اﳌﺸﺮوط،ﻳﺸﱰط ﰲ ﺻﺤﺔ اﻟﻌﺒﺎدات اﻟﻮﻻﻳﺔ ﻷﻣﲑ اﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم.
๕. อัลกอดี อบูยะอฺลา (อัซซอวาริม อัลมัสลูม 569)
๖. อิมามบุคอรี (ค็อลกฺ อัฟอาอฺลลิ อิบาด หน้า 13)
๗. อัตตอฮาวี (ชัรฮุลอะกีดะฮฺ อัตตอฮาวียะฮฺ หน้า 528)
๘. อบูซุรอะฮฺ อัรรอซี (อัลอิซอบะฮฺ 1/10)
๙. อัลลามะฮฺ อัลฆอซาลี (อัลมุสตัสฟี 1/110)
๑๐. คอซี อะยาส (กิตาบ อัซซิฟะอฺ 290)
๑๑. อัลลามะฮฺ อิบนฺ ตัยมียะฮฺ (อัซซอวาริม อัลมัสลูม หน้า 592-592)
๑๒. อัลลามะฮฺ อิบนฺ ฮัซมฺ (อัลฟัศลุ ฟิ ลมิลาน 2/78, 3/182)
๑๓. ชัยคฺอบั ดุลกอดิร อัจญีลานี (กุนยาตุนตอลิบนี 156-157)
๑๔. มุญดั ดิด อัลฟะฏอนี
๑๕. ชะฮฺวะลียุลลอฮฺ อัล ดะฮฺละวี (มุสเซาวะอฺ 110)
๑๖. ชะฮฺ อับดุลอะซิส ดะฮฺละวี (ตุฟาอิสนาอะชะรียะฮฺ 130)
๑๗. สภาอุลามะอฺผูเ้ ขียนหนังสือ อะลัมฆีรี (อะลัมฆีรี 2/268)
อุลามะอฺร่วมสมัยแห่งดินแดนอนุ ทวีป
๑. เมาลานา รอชีด อะฮฺมดั กันกูฮี (ฟัตวา รอชีดยี ะฮฺ 2/10-12)
๒. เมาลานาซอฟัร อุสมานี (อิมดาดุลอะฮฺกาม 2/213)
๓. เมาลานารอชีด ลุสวะนี (อะฮฺซานุ ล ฟะตาวา 1/73-106)
๔. เมาลานายู ซุฟ ลุสวะนี (เอป เกอร์ มะซาอิล อุวรั ฺ อุนกา ฮัล 1/49 ภาษาอุรดู)
๕. มุฟตี นิศอมุดดีน (นิศอมุลฟัตวา 1/227)
๖. เมาลานาคาอิร มุฮมั มัด ญะลันดะรี (ค็อยรุลฟะตาวา 1/374)
๗. เมาลานา อันวาร ชะฮฺ กัชมีรี (อิคฟาร อัลมุลฮิดดีน หน้า 51)
๘. เมาลานา ฮะบิบุร เราะฮฺมาน อัสมี (คุมยั นี อุวรั ฺ อิสนาอัชรอ หน้า 99-112)
๙. มุฟตีอบั ดุรรอฮีม ลัจปุรี (เล่มเดียวกัน)
๑๐. มุฟตีมะฮฺมดุ กันกูฮี (ฟะตาวา มะฮฺมดู ยี ะฮฺ 2/1)
๑๑. มุฟตี อะซิส อัรเราะฮฺมาน (ฟัตวา ดารุลอูลูม เดียวบัน หน้า 108)
๑๒. มุฮมั มัด รอชีด ริดอ (อัซซุนนะฮฺ วะอัชชีอะฮฺ)
๑๓. อบูอะลา อัลเมาดูดยี ์ (อัรริดดะฮฺ บัยนัลอัมสฺ วะอัลเยามฺ)
๑๔. มุฟตี ตะกี อุสมานี (ฟัตวาอุสมานี 1/108)
๑๕. อุลามะอฺแห่งสถาบัน ดารุลอูลูม เดียวบัน (ฟัตวาหมายเลขที่ 3632 ในเว็บไซต์ของสถาบัน)
รายละเอียดของการฟัตวาจากกลุม่ อุลามะอฺเหล่านี้ท่านสามารถหาอ่านได้จาก หนังสือ“Khumaini
aur Ithna ashra ke bare me Ulama kiraam ke mutafiqa faisla” ตรวจสอบ
โดย เมาลานา มันซูร นัวอฺมานี
อุลามะอฺร่วมสมัยจากตะวันออกกลาง
๑. ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บินกออูด (ฟัตวาอัลลุจนา อัดดัยมา ลิลบุฮูด วัลอิฟตะ 3/492)
๒. ชัยคฺอบั ดุลลอฮฺ บินกอดิยาน (แหล่งเดียวกัน)
๓. ชัยคฺ อับดุรรอซาก อะฟี ฟีย ์ (แหล่งเดียวกัน)
๔. ชัยคฺ อับดุลอะซิส บินบาซ (แหล่งเดียวกัน)
๕. ชัยคฺ มุฮิบบุดดีน คอตีบ (อัลคุฏคอั
ุ ลอะรีเดาะฮฺ)
๖. ชัยคฺนาศิร อัลกอฟารี (ฟิ ครอตุต ตัฆรีบ)
๗. ชัยคฺ อะลีฮุซยั ฟี (อิหม่ามัสยิดนบี ตรวจสอบได้จาก
http://www.krhcy.com/statichtml/files/104171414283197.shtml
๘. อิบนฺ ญิบรีน (ชัรฮุลอัคศ็อร อัลมุคตะสะร็อต 13/79)
๙. อับดุรเราะฮฺมาน อัลบารัค
(http://www.iht.com/articles/ap/2006/12/29/africa/ME_GEN_Saudi_Shiites.php)
๑๐. ดร. ฮิลาลี อุลามะอฺคนสําคัญของโมร็อคโค
๑๑. ชัยคฺ บะฮฺญา อัลบัยตาร (ซีเรีย) (ใน “อัลอิสลาม วะอัศศอฮาบะฮฺ อัลกิรอม บัยนัซซุนนะฮฺ วะอัช
ชีอะฮฺ)
ภาคผนวก
ชีอะฮฺไม่ได้มีกะลีมะฮฺ ชะฮาดะฮฺท่เี หมือนเรา
ปัญหาความขัดแย้งทัง้ ทางด้านความเชื่อศรัทธาและการปฏิบตั ิศาสนกิจระหว่างซุนนะฮฺและ
ชีอะฮฺ ถือเป็ นเรื่องที่มกี ารขัดแย้งกันมาตลอดประวัติศาสตร์อนั ยาวนาน โดยที่ทงั้ สองฝ่ ายต่างก็พยายามพิสูจน์
ให้เห็นถึงความถูกต้องในแนวทางที่ตนเองยึดถือ สังเกตได้จากหนังสือตํารบตํารานับหมืน่ นับแสนเล่มที่ถูก
เขียนออกมาจากผูร้ ูข้ องทัง้ สองฝ่ ายเพื่อพิสูจน์ถงึ ความถูกต้องในแนวทางที่ตนเองยึดถือ แต่ถงึ กระนัน้ ก็ตาม
ความพยายามของบรรดาผูร้ ูเ้ หล่านี้ต่างก็ยงั ไม่สามารถที่จะขจัดข ้อโต้แย้งต่างๆที่มมี านานร่วมศตวรรษได้
มิหนําซํา้ มันยังก่อให้เกิดช่องว่างขึ้นในหมูป่ ระชาชนของทัง้ สองฝ่ ายจนก่อเกิดสภาพสังคมของซุนนะฮฺและ
ชีอะฮฺในลักษณะแบบ “ตัวใครตัวมัน” ซึ่งเป็ นสภาพสังคมที่เกิดขึ้นมาตลอดจนกระทัง่ เมือ่ โลกเข ้าสู่ทศวรรษที่
80 กระแสความสัมพันธ์ระหว่างซุนนะฮฺและชีอะฮฺก็เริ่มปรากฏให้เห็นเป็ นรูปธรรมอย่างไม่เคยมีมาก่อน
สืบเนื่องจากพลังและกระแสของการปฏิวตั ิการปกครองในประเทศอิหร่านภายใต้การนําของนักปราชญ์ช่อื ดัง
ของชาวชีอะฮฺ รุฮฺฮุลลอฮฺ คอมีนีย ์ และภายใต้คาํ ขวัญแห่งการปฏิวตั ิท่วี ่า “ไม่มซี ุนนียไ์ ม่มชี อี ะฮฺ มีแต่
อิสลาม” ส่งผลให้เกิดการเคลือ่ นไหวของปัญญาชนของทัง้ สองฝ่ ายในความพยายามที่จะเร่งแก้ปญั หาความ
ขัดข ้องบาดหมางใจกันระหว่างแนวทาง อะฮฺลุซซุนนะฮฺ กับชีอะฮฺ จนในที่สุดความพยายามของผูร้ ูฝ้ ่ ายชีอะฮฺก็
บรรลุผลในระดับหนึ่ง กล่าวคือ มีการจับมือปรองดองกันระหว่างซุนนะและชีอะฮฺ โดยทัง้ สองฝ่ ายต่างมี
เป้ าหมายเดียวกันนัน้ คือ การฟื้ นฟูการปกครองแบบ “รัฐอิสลาม” (Islamic State) และการต่อต้านจักรวรรดิ
นิยมตะวันกอย่างอเมริกาและรัฐก่อการร้ายอิสราเอล แต่ภายใต้ภาพอันงดงามของความเป็ นเอกภาพนัน้ มี
อันตรายอันใหญ่หลวงที่ซุกซ่อนตัวของมันเองอยู่ นัน้ ก็คือ ปัญญาชนฝ่ ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺ เรือนแสน ได้สลัด
ตนเองทิ้งจากแนวทางอะฮฺลุซซุนะฮฺพร้อมกับการผันตัวเองเข ้ารีตสู่ อากีดะฮฺของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ อย่างไม่ทนั ตัง้
ตัว จะด้วยเหตุของความไม่รอบคอบหรือความประทับใจในอุดมการณ์ทางการเมืองของชีอะฮฺก็ไม่ทราบได้ แต่
สิ่งหนึ่งที่เป็ นประจักษ์พยานให้เห็นถึงการหลอกลวงของชีอะฮฺและผูน้ าํ แห่งการปฏิวตั ิอิหร่านอย่าง โคไมนี ที่
ออกมาป่ าวประกาศเรียกร้องให้อุมมะฮฺอิสลามหยุดข ้อขัดแย้งระหว่างซุนนียแ์ ละชีอะฮฺ โดยการเลิกพูด เลิก
เรียกร้องโจมตีฝ่ายตรงข ้ามและหันมาปรองดองนัน่ ก็คือ หนังสือโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ ายชีอะฮฺจาํ นวนมากได้
ทะลักเข ้าสู่ประเทศมุสลิมซุนนะฮฺต่างๆอย่างสุดคนานัป ที่เห็นเด่นๆก็คือ หนังสือ “ษุมมะฮฺตะดัยตฺ ” 71ซึ่งเป็ น
ผลงานของ ดร.มุฮมั มัด อัตตีญานี อัสสามาวี ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวการเป็ นมุสลิมซุนนียผ์ ูภ้ กั ดีแต่ไม่สามารถ
ทนต่อความถูกต้องของชีอะอฺได้จึงเปลีย่ นตนเองเข ้ารีตสูแนวทางชีอะฮฺในที่สุด แต่ดว้ ยกับภัยอันรายที่ซุกซ่อน
อยู่เบื้องหลังเยี่ยงนี้ จึงเป็ นแรงผลักดันให้กลุม่ ผูร้ ู (้ ทัน)ของฝ่ ายซุนนะฮฺ เคลือ่ นไหวเพื่อปกป้ องแนวทางของตน
จากภัยมืดที่มองไม่เห็นของชีอะฮฺท่มี าในนามของ “พี่นอ้ งร่วมศาสนา ” จนก่อเกิดแรงต่อต้านจากปัญญาชน
71
หนังสื อเล่มนี้มีแปลเป็ นภาษาไทยในชื่อว่า “ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้รับทางนํา” โดยสถาบันชีอะฮฺของประเทศไทย
ของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ ซึ่งสร้างความลําบากแก่ชาวชีอะฮฺอยู่ไม่นอ้ ย แต่ถงึ แม ้ว่าภาพแห่งความหลอกลวงของชีอะฮฺ
จะชัดเจนแค่ไหนก็ตาม แต่ส่งิ หนึ่งที่ยงั ถือเป็ นป้ อมปราการที่คอยคุม้ กันชีอะอฺได้ดกี ็คือ คํากล่าวแก้ตวั ของฝ่ าย
ชีอะฮฺและคํากล่าวปกป้ องของฝ่ ายอะฮฺลุซซุนะที่ว่า “เราเป็ นพี่นอ้ งกัน เพราะเราต่างมีกะลิมะฮฺชะฮะดะฮฺ ” ที่
เหมือนกัน ซึ่งเป็ นหนึ่งในข ้อแก้ตวั ที่พ้ นื ฐานแต่ใช้ได้ผลมาทุกยุคทุกสมัย สืบเนื่องจาก “กะลิมะฮฺชะฮะดะฮฺ ”
เป็ นหนึ่งในคําที่แสดงถึงความเป็ นมุสลิม และตราบใดที่คนหนึ่งคนใดก็ตามยังคงสภาพเป็ นมุสลิมอยู่ เขาจะ
ได้รบั การปฏิบตั ิดุจดังพี่นอ้ งเสมอ ด้วยเหตุน้ ีกระมังที่ทาํ ให้ข ้อกล่าวอ้างดังกล่าวยังคงใช้ได้ดแี ละไม่ตกยุค
เสมอ
บทความนี้ผูเ้ ขียนเรียบเรียงขึ้นมาเพื่อที่จะเสนอให้เห็นถึงภาพลวงแห่งตวามหลอกลวงใน
ข ้ออ้างเรื่องกะลิมะฮฺชาฮาดะฮฺ เพื่อให้สามัญชนผูม้ ใี จรักในความจริงและอิสลามทัง้ หลายได้ตระหนักให้เห็นว่า
โดยธาตุแท้แล ้วนัน้ ซุนนะฮฺกบั ชีอะฮฺ มิได้แตกต่างกันตรงแค่ประเด็นปลีกย่อยเท่านัน้ แต่ในความเป็ นจริงนัน้
แม ้กระทัง่ คํากล่าวพื้นฐานที่บ่งบอกถึงความเป็ นมุสลิมก็ยงั ไม่เหมือนกัน ดังนัน้ ความเป็ นพี่นอ้ งของทัง้ สองฝ่ าย
จะบรรจบกันได้หรือ? ผูเ้ ขียนไม่ขอนําตัวบทหลักฐานมายืนยันพิสูจน์ให้ผูอ้ ่านได้รบั ทราบว่า เพียงแค่การมีกะลิ
มะฮฺชะฮะดะฮฺ นัน้ ไม่เพียงพอต่อการเป็ นมุสลิมตราบใดที่ส่วนอื่นๆของศาสนายังไม่ตงั้ วางอยู่บนแนวทางของ
อิสลามเพราะไม่ใช่ประเด็นที่ผูเ้ ขียนต้องการจะพูด อีกทัง้ เกี่ยวกับประเด็นนี้ก็มผี ูร้ ูบ้ างท่านจากฝ่ ายซุนนะฮฺได้
เขียนชี้แจงทําความเข ้าใจไปแล ้ว 72สิ่งที่ผูเ้ ขียนต้องการเสนอแก่ผูอ้ ่านให้รบั ทราบในบทความนี้ก็คือ “ความ
71
คํากล่าวกะลิมะฮฺแห่งอิสลาม
72
เกีย่ วกับประเด็นเรื่ องการมีชะฮะดะฮฺเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอต่อการเป็ นมุสลิม ซึ่งหากผูอ้ ่านต้องการทราบตัวบทหลักฐานใน
เรื่ องนี้กรุ ณาสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ “อย่าให้กะลิมะห์ชะฮาดะห์ของผูใ้ ดมาล่อลวงเรา” เขียนโดย อ.ฟารี ด เฟ็ นดี้ หาอ่านได้จาก
หนังสื อรู้ทนั ชีอะฮฺหรื อจากลิงค์ต่อไปนี้
http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=108
มุฮมั มัด(ศ็อลฯ) ในคํากล่าวกะลิมะฮฺ ดังกล่าวนัน้ ประกอบไปด้วยสองส่วนสําคัญ คือ เตาฮีด(ความเป็ นพระเจ้า
เพียงหนึ่งเดียวของพระองค์อลั ลอฮฺ)และริซาละฮฺ(ตําแหน่งของการเป็ นนบี) ในส่วนแรกของคํากะลิมะฮฺนนั้ เป็ น
ที่ทราบกันดีอยู ่แล ้วว่ามุสลิมทุกคนจะต้องปฏิญาณตนเพื่อยืนยันถึงความเชื่อในความเป็ นหนึ่งเดียวของอัลลอ
ฮฺ และในส่วนที่สองนัน้ คือการปฏิญาณตนเพื่อยืนยันถึงความเป็ นนบีแห่งอุมมะฮฺน้ ขี องท่านนบีมฮุ มั มัด(ศ็อลฯ)
นี่คือคํากล่าวกะลิมะฮฺท่มี สุ ลิมทุกยุคทุกสมัยตลอดจนบรรดาอัมบิยะอฺทุกคนถือปฏิบตั ิกนั !!!!!
คํากล่าวกะลิมะฮฺของชาวชีอะฮฺ
การบิดเบือนชะฮะดะฮฺของชาวชีอะฮฺอหิ ร่าน
พ้นจากแนวคิดบิดเบือนนี้ดว้ ย)
ภาพถ่ายนี้คดั ลอกมาจากหนังสือ “วะฮฺดะฮฺอสิ ลามีย”์ หน้า 4 ฉบับพิมพ์เดือน มิถนุ ายน ปี 1984 ซึ่ง
เป็ นเอกสารที่ใช้แจกกันในอิหร่าน โดยมีจุดมุง่ หมายในการเรียกร้องสู่ความเป็ นเอกภาพ(จอมปลอม)ระหว่าง
ซุนนียแ์ ละชีอะฮฺภายใต้การเป็ นฮุจญะฮฺของโคไมนี่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลลวงและความงมงายของทฤษฎี
ความเป็ นเอกภาพดังกล่าว
นักปราชญ์ชอี ะฮฺช่อื ดังอีกคนหนึ่งนามว่า ฏอลิบ ฮุเซน กัรปาลวี แห่งปากีสถานได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาที่
ชื่อว่า “วาอีลา อิอมั บียาอฺ” หน้า 179 ดังนี้
73
คําว่า “วะลี” มีหลายความหมายแต่ตามนัยยะของพวกชีอะฮฺ ย่อมหมายถึงการเป็ นผูป้ กครองของท่านอะลี รอฎิยลั ลอฮูอนั ฮฺ
74
คําว่า หุจญะตุล้ ลอฮฺ มาจากคําดํารัสของอัลลอฮฺในซูเราะฮิ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 149 ความว่า จงกล่าวเถิด (มุหมั หมัด)ว่าอัลลอฮฺน้ นั
ทรงมีหลักฐานอันทัว่ ถึง (กุรอ่านสมาคมศิษย์เก่าอาหรับ) การที่อลั ลอฮฺ ส่ งบรรดาเราะสูลมาเผยแพร่ สัจธรรมสู่มวลมนุษย์ถือเป็ นการยืนยัน
ความเป็ นจริ งโดยมนุษย์ไม่สามารถอ้างได้อีกเลยว่าบรรดาเราะสูลไม่ได้บอกอะไรแก่พวกเขาเกีย่ วกับศาสนาของอัลลอฮฺ เราะสูลทั้งหลาย
จึงเป็ น หุจญะตุลลอฮฺ แต่ผทู้ ี่เป็ นหุจญะตุล้ ลอฮฺที่สมบูรณ์ที่สุดคือ นบีมุฮมั มัดส่ วนการที่ชีอะฮฺ ถือว่าอิหม่ามของพวกเขา เป็ นหุจญะตุล้ ลอฮฺ
ก็แสดงว่า การเป็ นหุจญะต้ลลอฮฺของท่านนบียงั ไม่สมบูรณ์ แต่จะมาสมบูรณ์ในยุคอิหม่ามของพวกเขาเป็ นเรื่ องไม่แปลกที่ชีอะฮฺจะเทิดทูน
อิหม่ามของพวกเขาด้วยสมญานามต่างๆทั้งๆที่ไม่ถึงขั้นที่ควรได้รับ วัลลอฮุอะอฺลมั
มันเป็ นเรื่องที่น่าชิงชังและโศกเศร้าที่เหล่าชีอะฮฺได้นาํ เอาฐานะและเกียรติยศของบรรดาอัมบิยะอฺไป
ยึดติดกับวิลายัตที่ไม่มตี วั ตนของอะลีจนถึงขนาดที่พวกเขาอาจหาญที่จะกล่าวออกมาว่า หากบรรดานบีไม่
ยอมรับในวิลายัตของอะลีบรรดานบีจะไม่ได้รบั การแต่งตัง้ เป็ นนบี ยังไม่เพียงพอเท่านัน้ นักปราชญ์ชอี ะฮฺอีก
คนหนึ่งนามว่า ซุลฏอนุ ล มุตะกัลลิมนี ฮุจญะตุลอิสลามวัลมุสลีมนี อัลลามะฮฺ เชค มุฮมั มัด ฮุเซน ซอฮิบ ซึ่ง
เป็ นมุจตะฮิด ชีอะฮฺของปากีสถาน ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาที่ช่อื ว่า “อุศุลุช ชะรีอะฮฺ ฟี อะกออิดุชชีอะฮฺ ”
หน้า 422 โดยที่เขาได้กล่าวไว้ถงึ ความแตกต่างระหว่างกะลิมะฮฺของอะฮฺลุซซุนะฮฺและชีอะฮฺไว้ว่า
ข้อโต้แย้งของฝ่ ายชีอะฮฺ
เพื่อความสมบูรณ์ของบทความนี้ ผูเ้ ขียนจะขอนําเอาข ้อโต้แย้งของฝ่ ายชีอะฮฺท่มี กั จะนํามาอ้างยืนยันความ
ถูกต้องในการกระทําดังกล่าวของตน และจะขอชี้แจงข ้อตอบโต้เหล่านัน้ ด้วยกับจุดยืนของฝ่ ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺ
ข ้อโต้แย้งที่ 1 “การที่ชอี ะฮฺเพิ่มคําว่า “อัชฮาดุอนั นะอาลียนั วาลียุลลอฮฺ ” นัน้ ก็เพราะว่าท่านอะลีตามทัศนะ
ของอัลกุรอานนัน้ ท่านเป็ นเอาลียะอฺของอัลลอฮฺและมีโองการจากอัลกุรอานมายืนยันว่าท่านอะลีมอี าํ นาจเหนือ
บรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย นัน้ คือ โองการต่อไปนี้
คําตอบจากฝ่ ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺ
ในความเป็ นจริงแล ้วนัน้ สาเหตุของการประทานโองการดังกล่าวซึ่งทางชีอะฮฺมกั จะอ้างหะดีษเรื่องขอทานที่
ได้รบั การบริจาคจากท่านอะลีในขณะที่ละหมาดและอยู่ในท่ารุก ั ๊วอฺ แต่อย่างไรก็ตามข ้ออ้างดังกล่าวถือว่าไม่มี
นํา้ หนักอันเนื่องมาจากหะดีษที่ได้ถูกหยิบยกมาอ้างในเรื่องเหล่านี้นนั้ ถือเป็ นหะดีษที่อยู่ในระดับอ่อนแอ ตามที่
ท่านคอซินและท่านอิบนฺกะซีร นักอรรถาธิบายอัลกุรอานของอะฮฺลุซซุนนะฮฺได้ให้ความเห็นไว้ ส่วนท่านอิบนฺ
เญาซียแ์ ละท่านอิบนฺตยั มียะฮฺเองก็ได้ตดั สินว่ามีการปลอมหะดีษกันขึ้นมา อีกทัง้ ท่านอิบนฺกะซีรเองได้กล่าวว่า
อายะฮฺน้ ไี ด้ถูกประทานมาเกี่ยวกับท่านอุบาดะฮฺ อิบนฺซอมิต ส่วนท่านฏ็อบรีย(์ ตามการกล่าวอ้างของชีอะฮฺ)เองก็
ได้อรรธาธิบายไว้แตกต่างจากที่ชอี ะอฺได้อา้ งไว้ เช่นในตัฟซีร อัตตอบารีย ์ โดยอิบนุญะรีร “ได้รายงานจาก อิบ
นุอิสหาก จากอิสหากบินยะซารว่า อายะห์น้ ีถูกประทานลงมาด้วยเหตุของท่านอุบาดะห์ บินศอมิต ที่แสดงตน
จะไม่เป็ นมิตรและร่วมมือกับบนีกอยนุ กอ์ โดยไม่ยอมอยู่ในอาณัติของเขาเหล่านัน้ แต่ได้ปลีกตัวมาหาท่านรอ
ซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และเล่าเหตุการณ์น้ ใี ห้ท่านรอซูลฟัง ” (ดูตฟั ซีรอัตตอบารีย ์ เล่มที่ 6 หน้าที่
28สําหรับชีอะฮ์ ยิ่งไปกว่านัน้ ท่านอบีญะอ์ฟรั มูฮมั หมัด บินอาลี หรือรูจ้ กั กันในนามอิหม่ามบากิร ซึ่งเป็ น
อิหม่ามลําดับที่ 5 ของชีอะฮ์ นัน้ เมือ่ ถูกถามเกี่ยวกับอายะห์น้ ีว่า
ﻗﻠﻨﺎ ﻣﻦ اﻟﺬﻳﻦ آﻣﻨﻮا ﻗﺎل اﻟﺬﻳﻦ آﻣﻨﻮا ﻗﻠﻨﺎ ﺑﻠﻐﻨﺎ ا�ﺎ ﻧﺰﻟﺖ ﰲ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ أﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻗﺎل ﻋﻠﻲ ﻣﻦ اﻟﺬﻳﻦ آﻣﻨﻮا
ผูร้ ายงานกล่าวว่า “พวกเราได้กล่าวแก่อิหม่ามบากิรว่า คําว่าบรรดาผูศ้ รัทธาในอายะห์น้ คี ือใคร ท่านตอบว่า ก็
คือบรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย พวกเราถามว่า เราทราบมาว่า อายะห์น้ ถี ูกประทานเกี่ยวกับท่านอาลีอิบนิอบีตอลิบ
ท่านตอบว่า อาลีก็เป็ นหนึ่งในบรรดาผูศ้ รัทธา” (ดูตฟั ซีรอัตตอบารีย ์ เล่มที่ 6 หน้าที่ 288)
ส่วนของท่านบัยฏอวียไ์ ด้หยิบยกรายงานจากท่านอิบนฺอบั บาส อายะฮฺน้ ไี ด้ถูกประทานมาแก่ท่านอุบาดะฮฺ บิน
ศอมิตเช่นกันซึ่งขณะที่เขาออกจากกลุม่ พรรคพวกของเขาที่เป็ นยิว เขากล่าวว่าฉันมอบให้อลั ลอฮฺ รอซูล และ
บรรดาผุศ้ รัทธาเป็ นผูช้ ่วยเหลือฉัน ด้วยเหตุน้ อี ลั ลอฮฺจึงได้ประทานอายะฮฺมาว่า
ِ
1. คําสรรพนามที่ใช้อยู ่ในอายะฮฺข ้างต้น(5:55) อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น َ َواﻟﱠﺬﻳْ َﻦบรรดาผูศ้ รัทธา ,
آﻣﻨُﻮا
اﻟﱠ ِﺬﻳْ َﻦ ﻳُِﻘْﻴ ُﻤ ْﻮ َنบรรดาผูด้ าํ รงการละหมาด, ถ้าอัลลอฮฺ ทรงหมายถึงท่านอะลี รอฎิฯ แต่เพียงผูเ้ ดียวแล ้ว อัล-
กุรฺอานจะใช้สรรพนามในรู ปเอกพจน์แทน
75
ตัฟซีร อิบนุ กะษีร, เล่ม 1
76
ข้อเท็จจริ งเหล่านี้กรุ ณาดูในหนังสื ออธิบายการละหมาดของชีอะฮฺที่มีชื่อว่า “ตุฮฺฟาตุลนมาซญะอฺฟารี ยะฮฺ ”หน้า10 ฉบับพิมพ์ที่ ลา
โฮร์และหนังสื ออีกเล่มคือ “Shia Mazhab Haq Hai” หน้าที่ 2
แล้วคํากล่าวที่วา่ “อัชฮาดุอนั นะอาลียนั วาลียุลลอฮฺ” หรือชะฮะดะฮฺท่ี 3 นั้นมีท่มี าที่ไปจากไหน?
ตอบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่จาํ เป็ นที่จะต้องนําคําตอบจากผูร้ ูฝ้ ่ ายซุนนะฮฺมาตอบ ผูเ้ ขียนขอนําคําตอบจากอุลามะ
ชีอะอฺร่วมสมัยผูม้ ใี จรักในความจริงมาตอบ ท่านคือ ดร.มูซา อัลมูเซาวีย ์ ซึ่งเป็ นหลานของอิมาม อักบัร ซัยยิด
อบุลฮะซัน อัลมูซาวีย ์ อัลอัสฟาฮานี ซึ่งเกิดในเมือง นะญัฟประเทศอิรคั ท่านถือเป็ นผูท้ รงความรูม้ ากมาย
ความสําเร็จชิ้นสําคัญที่ท่านได้รบั คือ ประกาศนียญ์ บัตรชัน้ สูงทางฟิ กส์อิสลามระดับ “อิจติฮาด” จากผูน้ าํ
ศาสนาคนสําคัญของเมืองนะญัฟ คือเชค มุฮมั มัด อัลฮุเซน อัลกาชิฟ ดร.มูซา อัลมูเซาวีย ์ เป็ นผูท้ ่อี ยู่ใน
แนวทางของชีอะฮฺ ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นเพื่อนําเสนอและแก้ไขทัศนะความเชื่อและการปฏิบตั ิท่ี
คลาดเคลือ่ นอของชาวชีอะฮฺ หนังสือดังกล่าวมีช่อื ว่า “อัชชีอะฮฺ วัตตัศเฮีย๊ ฮฺ ” ซึ่งแปลเป็ นไทยว่า “ชีอะฮฺและ
การแก้ไข” โดยที่ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการเพิ่มเติมชะฮะดะฮฺของชีอะอฺไว้ว่า “ ส่วนหนึ่งจาก
ความแปลกประหลาดของปรากฏการณ์น้ คี ือ บรรดานักนิติบญั ญัติของเรา(ฟูกอฮา) ได้ลงมติเป็ นเอกฉันท์ว่า
การใส่ชะฮะดะฮฺท่สี ามได้ถูกเพิ่มเติมมาใส่ในการอะซานเพื่อการละหมาดในระยะหลัง จากการแฝงกายครัง้
ใหญ่(ฆ็อยบะฮฺกุบรอ)ในสมัยของ ชาอิสมาอีล ซอฟาวีย ์ (ค.ศ. 1487-1524) ทําการปกครองอิหร่าน เขาได้
บัญชาให้มอุ ซั ซินทุกคนใส่ชะฮะดะฮฺท่3ี ในการละหมาดโดยกลายเป็ นสัญลักษณ์ของชีอะฮฺ”
ในความเป็ นจริงนัน้ แนวทางอะฮฺลุซุนนะฮฺ ปฏิบตั ิตามแนวทางที่ถูกกระทําให้เป็ นแบบอย่างโดยท่านรอซูล
บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ตลอดจนบรรดาซอฮาบะฮฺผูไ้ ด้รบั ความเมตตา และกรณีของการอะซานและคําชะฮะดะฮฺก็
ได้ยดึ ถือปฏิบตั ิตามการกระทําที่มมี าในสมัยของท่านรอซูล ซึ่งไม่ปรากฏกะลิมะฮฺชาฮะดะฮฺท่ี 3 ตามการ
กระทําของชีอะฮฺแต่อย่างใด แต่ส่งิ ที่สาํ คัญและกลับกลายเป็ นอุทาหรณ์เตือนสติอนั ยิ่งใหญ่แก่อุมมะฮฺอิสลาม
นัน้ ก็คือ การกล่าวกะลีมะฮฺชะฮะดะฮฺ นัน้ ถือเป็ นสิ่งสําคัญในศาสนาที่จะบ่งชี้วดั ถึงความเข ้าใจในหลักการอัน
ถูกต้องของศาสนา และถือเป็ นเรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายที่ท่านนบีให้ความสําคัญ เพราะหากแม ้นว่าความเข ้าใจ
ในเรื่องชะฮะดะฮฺของบุคคลผูห้ นึ่งยังวางอยู ่บนพื้นฐานของความหลงผิด ทัง้ ๆที่เรื่องของชะฮะดะฮฺเป็ นจุด
เริ่มแรกของศาสนาและความเป็ นมุสลิมของมนุษย์คนหนึ่ง ดังนัน้ แน่นอนทีเดียวว่ามันย่อมส่งผลกระทบและ
ก่อความเสียหายแก่ส่วนอื่นๆอีกมากของศาสนาที่เป็ นผลของการแตกแขนงออกมาจาก ชะฮะดะฮฺ ซึ่งมันจะ
เป็ นเครื่องชี้วดั ให้เห็นว่าแท้จริงแล ้วนัน้ อุปสรรคอันสําคัญที่คอยกีดขวางความปรองดองระหว่างซุนนะฮฺและ
ชีอะฮฺมาโดยตลอดนัน้ คืออะไร และจะเป็ นคําตอบที่สาํ คัญแก่ผูท้ ่สี งสัยมาโดยตลอดว่าเหตุใดซุนนะฮฺและชีอะฮฺ
จึงไปด้วยกันไม่ได้ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงความจําเป็ นของอุมมะฮฺอิสลามที่จะต้องต่อสูก้ บั การแพร่ขยายของลัทธิ
บิดเบือนอิสลามที่มชี ่อื ว่า “ชีอะฮฺ”
วัลลอฮูอะอฺลมั บิศศอวาบ
ระหว่างรอฟิ เดาะฮฺกบั ซุนนี ใครกันแน่ ท่ตี ามอะฮฺลุลบัยตฺ บทพิสูจน์ท่เี ป็ นรูปธรรม
ปุจฉา : ทําไมพวกท่านจึงไม่ยดึ ศาสนาผ่านบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺซ่งึ เป็ นผูท้ ่ไี ด้รบั การสัง่ เสียให้ยดึ ตามหลังจาก
ท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ได้เสียชีวติ ไป แต่พวกท่านกลับไปยึดเอาคนอื่นๆ ดังนัน้ หลักการศาสนาของพวกท่านจึงเป็ น
หลักการที่ข้นึ ตรงกับพวกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺ โดยเฉพาะบนีอุมยั ยะฮฺซ่งึ ในหะดีษของพวกท่านไม่ว่าจะเป็ น บุ
คอรีหรือมุสลิม กลับบรรจุไปด้วยสายรายงานที่ผ่านปากของอบูฮุร็อยเราะฮฺซ่งึ เป็ นผูร้ ายงานหะดีษต่างๆเพื่อเอา
ใจพวกบนีอุมยั ยะฮฺ ดังนัน้ จึงเป็ นข ้อสรุปได้อย่างชัดเจนแล ้วว่าหลักการศาสนาของพวกท่านในทุกๆเรื่องไม่ว่า
จะละหมาดหรือแม ้กระทัง่ เรื่องอากีดะฮฺ ล ้วนแล ้วแต่ถอื ตามคําสอนของพวกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺทงั้ สิ้น ซึ่งถือ
เป็ นคําสอนที่ถูกเปลีย่ นแปลงแก้ไขจากเดิมทัง้ สิ้น
วิสชั นา : เรื่องราวของการยึดมันอยู
่ ่ในหนทางของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺนนั้ แน่นอนบรรดาอะฮฺลุซซุนนะฮฺวลั ญะ
มะอะฮฺ ไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธการยึดตามพวกเขาเลย เพราะมันเป็ นคําสัง่ หนึ่งที่ถูกบัญชาแก่อุมมะฮฺมสุ ลิมทัง้
ปวง แต่ทงั้ นี้และทัง้ นัน้ การยึดมันในหนทางของบรรดาอะฮฺ
่ ลุลบัยตฺ ไม่ได้กลายเป็ น “เครื่องหมายทางการค้า”
หรือ “ป้ ายยี่หอ้ ” สําหรับแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ ดังเช่นที่แนวรอฟิ เดาะฮฺชอบใช้โฆษณากัน
ว่าถือศาสนาผ่าน “อะฮฺลุลบัยตฺ ” จนได้ยนิ ได้เห็นกันอย่างติดตา แต่โดยเนื้อหาสาระเชิงลึกแล ้วนัน้ แนวทาง
ของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ นัน้ ยึดถือศาสนาผ่านอะฮฺลุลบัยตฺอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามภาพที่ออกมา
จากแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ จะเป็ นไปในเชิงของผูย้ ดึ ตามบรรดาซอฮาบะฮฺเสียมากกว่า สาเหตุท่เี ป็ นไปใน
เชิงนัน้ เพราะบรรดาอุลามะอฺอะฮฺลุซซุนนะฮฺถอื ว่าบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺก็เป็ นหนึ่งในบรรดาซอฮาบะฮฺของท่านรอ
ซูลซึ่งการตีวงกว้างเช่นนี้ก็เพราะว่าชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺไม่ได้กีดกันและละเลยต่อคุณงามความดีของบรรพชน
อิสลามยุคแรกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺ ดังนัน้ จึงได้มกี ารสร้างแบรนด์หรือเครื่องหมายทางการค้าว่า ชาวอะฮฺลุซซุน
นะฮฺดาํ เนินศาสนาผ่านบรรดาซอฮาบะฮฺ ซึ่งในที่น้ กี ็ร่วมอะฮฺลุลบัยตฺไว้ดว้ ย มากกว่าการที่จะสร้างภาพว่ายึด
ตามอะฮฺลุลบัยตฺ เพราะถือว่าเป็ นคําที่มคี วามหมายที่จาํ กัดบุคคลจากครอบครัวของท่านนบีไม่ก่คี นเท่านัน้
และนัน้ คือภาพลวงตาง่ายๆที่คนเอาวามมักจะสับสนและหลุดไปเข ้ารีตเป็ นรอฟิ เดาะฮฺเสียมาก เพราะชาวรอฟิ
เดาะฮฺนิยมยัดเยียดภาพลวงตาว่า ซุนนีตามซอฮาบะฮฺ ส่วนชีอะฮฺตามอะฮฺลุลบัยตฺ ซึ่งตามหลักจิตวิทยาพื้นฐาน
แล ้วนัน้ เครดิตหรือความน่าเชื่อถือย่อมตกอยู่กบั ฝ่ ายรอฟิ เดาะฮฺอย่างแน่นอน เพราะบุคคลที่ตามคนใน
ครอบครัวของท่านนบีย่อมน่าเชื่อถือกว่าคนนอกบ้านอยู่แล ้ว แต่!! จะสลักสําคัญอะไรเล่าแม ้นว่าชาวอะฮฺลุซ
ซุนนะฮฺ จะมิได้สร้างเครื่องหมายทางการค้าว่าตามอะฮฺลุลบัยตฺ หากในเมือ่ ความจริงพวกเขาดําเนินตามเป็ น
อย่างยิ่ง อุปมาจุดยืนของชาวซุนนีต่ออะฮฺลุลบัยตฺก็อุปมัยดัง่ จุดยืนของชาวคริสต์เตียนที่มตี ่อนบีอีซา แม ้ว่าคน
ทัง้ โลกจะมองกันว่าชาวคริสต์เตียนคือผูต้ ามนบีอีซาแต่คนที่ศึกษาอย่างแท้จริงย่อมรูด้ วี ่าผูท้ ่ยี ดึ ตามคําสอน
ของนบีอีซาอย่างแท้จริงก็คือชาวมุสลิม เพราะนบีอีซาไม่เคยสอนหลักการเรื่องตรีเอกานุภาพ และเช่นกันอะฮฺ
ลุลบัยตฺก็ไม่เคยสอนว่าอัลกุรอานถูกบิดเบือน บรรดาซอฮาบะฮฺเป็ นกาเฟรเหลือแค่สามคน รูก่นุ อีมานมี 5
ประการ เป็ นต้น!!! สําหรับเรื่องราวของคํากล่าวหาที่ว่าชาวซุนนีถอื ศาสนาผ่านลมปากจากอบูฮุร็อยเราะฮฺซ่งึ
รายงานหะดีษเพื่อประจบสอพลอบนีอุมยั ยะฮฺนนั้ ท่านสามารถอ่านคําตอบโต้เรื่องเหลวไหลพวกนี้ได้ท่ลี งิ ค์น้ ี
คลิก
http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=72
http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=41
รอฟิ เดาะฮฺ
เมือ่ เราทําการตรวจสอบริวายัติท่รี ายงานจากท่านอิมามอะลีในตําราของชาวรอฟิ เดาะฮฺท่ชี ่อื อัลกาฟี ย ์ เราจะ
พบว่ามันมีริวายัติจากท่านอิมามอะลีเพียง 66 ตัวบทเท่านัน้ !!! ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยกว่าจะน้อยกว่าริวายัติจากชาว
ซุนนีท่มี ถี งึ 72 ตัวบทเสียอีก!!! และอย่าลืมว่าริวายัติท่ปี รากฏจากท่านอิมามอะลีท่มี ี 66 ตัวบทในหนังสืออัล
กะฟี ยน์ นั้ ยังไม่ได้นบั แยกจากรายงานฎออีฟ หรือมัวฎอฺุ (ปลอม) ด้วยซํา้ ไป!!! เพราะอย่าลืมว่า 2 ใน 3 ของริ
วายัติเหล่านัน้ ล ้วนแล ้วแต่ขาดความน่าเชื่อถือและถูกอุปโลกน์ทงั้ สิ้น (กรุณาดูหนังสือ มะษอดิรุลหะดีษ อินดัช
ชีอะฮฺอิมามียะฮฺ ของเชคมุฮมั มัด ฮุเซน อันญะลาลีย ์ นักหะดีษของชีอะฮฺท่รี ะบุว่าในอัลกาฟี ยม์ หี ะดีษปลอมถึง
9485 หะดีษ!!) ดังนัน้ หากเราชัง่ ใจและเดาเอาว่าหะดีษที่ซอเฮีย๊ ฮฺและถูกรายงานจากอิมามอะลีในอัลกะฟี ยจ์ ะ
เหลือเพียงกี่บท และชีอะฮฺจะปฏิบตั ิตามท่านอิมามอะลีได้เพียงกี่เปอร์เซ็น!!!!!!! และใครกันแน่ท่ยี ดึ ถือและ
ดําเนินตามท่านอิมามอะลีอย่างแท้จริงและเป็ นรูปธรรมและใครกันแน่ท่แี อบอ้าง และใครกันแน่คือชีอะฮฺ
ของอะลีท่แี ท้จริง!!!!
ริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺ
ซุนนี
เมือ่ เราทําการตรวจสอบถึงริวายัติท่ถี ูกรายงานจากท่านหญิงฟาตีมะฮในตําราของชาวซุนนี เราจะพบว่ามันมี
เพียงแค่ 1 ริวายัติเท่านัน้ ซึ่งปรากฏอยู ่ในซอเฮีย๊ ฮฺบุคอรี หมายเลขหะดีษที่ 4462
รอฟิ เดาะฮฺ
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือเมือ่ เรากลับไปควานหาริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺ ในตําราอัลกะฟี ย ์ ซึ่งมีทงั้ สิ้น 8 เล่ม และมี
หะดีษทัง้ หมด 16,121 หะดีษ เรากลับไม่พบหะดีษจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺเลยแม ้แต่หะดีษเดียว!!!! ผลรวม
ของริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺในตําราของพวกรอฟิ เดาะฮฺคือ 0 ครับ!!! ???? เป็ นที่น่าเศร้าสําหรับกลุม่ ที่
อ้างตนว่ารักในท่านหญิงฟาตีมะฮฺแต่กลับไม่มรี ายงานหะดีษแม ้แต่บทเดียว ดังนัน้ ในกันแน่ท่ลี ะเลยต่อท่าน
หญิงฟาตีมะฮฺอย่างอธรรม
ริวายัติจากท่านอิมามฮุซยั นฺ
ซุนนี
ริวายัตจากท่านอิมามฮุเซน มีทงั้ สิ้นในตําราของฝ่ ายซุนนีคือ 4 ริวายัติ ซึ่งปรากฏอยู่ในซอเฮีย๊ ฮฺบุคอรีและ
มุสลิม ในบุคอรีปรากฏอยู ่ใน หมายเลขที่ 1127 และหมายเลข 3091 ในมุสลิมก็บนั ทึกคล ้ายกัน
รอฟิ เดาะฮฺ
ในตําราอัลกาฟี ย ์ ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามฮุซยั นฺเพียงแค่ 1 ริวายัติเท่านัน้ และของอิมามหะซันก็แค่ 1 ริ
วายัติเช่นกัน รวมแล ้วเป็ น 2 ซึ่งน้อยกว่าของซุนนีดว้ ยซํา้ !!!! ไม่สมกับที่มานัง่ เขกกะบาลจนเลือดไหลในวันอา
ชูรอเลย
เหลือบดูอิมามท่านอื่นๆกันบ้าง
ชาวซุนนีนนั้ มีข ้อบกพร่องอย่างหนึ่งคือไม่ได้สร้างเครื่องหมายทางการค้าว่าตามอะฮฺลุลบัยตฺ ดังที่ชาวรอฟิ
เดาะฮฺมกั จะอ้างกันอยู ่เสมอ ดังนัน้ ชื่อของ อิมามบากิรและอิมามญะอฺฟรั อาจจะไม่ค่อยเป็ นที่รูจ้ กั กันเท่าไหร่
ในหมูค่ นเอาวามชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ แต่สาํ หรับนักหะดีษ ย่อมเคยผ่านตาชื่อของอิมามบากิรอ
ย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเมือ่ เรากลับไปค้นดูริวายัตจากท่านอิมามบากิร เราจะพบว่าริวายัติจากท่านอิมามบา
กิรในตําราของชาวซุนนีปรากฏมากกว่าริวายัติของท่านอบูบกั รด้วยซํา้ !!!! ท่านอบูบกั รแม ้ว่าชาวซุนนีจะมองว่า
เป็ นบุรุษที่ประเสริฐที่สุดในแง่ของคุณธรรมและเกียรติยศรองจากท่านนบี แต่หากเปรียบเทียบริวายัติจากท่า
นอบูบกั รแล ้วกลับมีนอ้ ยกว่าอิมามบากิรเสียอีก ดังนัน้ ภาพลวงตาที่รอฟิ เดาะฮฺมกั จะสร้างว่าชาวซุนนีทอดทิ้ง
อะฮฺลุลบัยตฺ และกลับไปยึดถือเอาอบูบกั รอย่างเดียว ย่อมถือเป็ นคําพูดอันโง่เขลาจากอุลามะอฺของฝ่ ายรอฟิ
เดาะฮฺเอง ในซอเฮีย๊ ฮฺบุคอรีทงั้ 9 เล่ม มีริวายัติท่ปี รากฏชื่ออิมามบากิรในสะนัดมากถึง 240 ริวายัติ !!!!!
ในซอเฮีย๊ ฮฺ มุสลิม ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามบากิรถึง 19 ริวายัติ ในทางตรงกันข ้ามริวายัติของท่านอบูบกั ร
อัศศิกดีก มีแค่ 9 ริวายัติเท่านัน้ !!! นี่ยงั ไม่นบั ในสุนนั อันนาซาอีย ์ ที่ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามบากิรถึง 56 ริ
วายัติ แต่ในทางกลับกันในสุนนั นาซาอีมรี ิวายัติของท่านอบูบกั รเพียงแค่ 22 ริวายัติเท่านัน้ !!!!!! อย่างไรก็ตาม
รอฟิ เดาะฮฺอาจจะอ้างว่า ริวายัติจากอิมามบากิร ในตําราอัลกาฟี ย ์ นัน้ ก็มอี ยู่มาก แต่รอฟิ เดาะฮฺตอ้ งไม่ลมื ว่า
ในอัลกาฟี ย ์ มีหะดีษทัง้ สิ้น 16,121 ฮะดีษ แต่ตามที่ ชัยคฺ ญะอฺฟรั อัศซุบฮานี นักหะดิษคนสําคัญของรอฟิ
เดาะฮฺในยุคปัจจุบนั ตัดสินแล ้วว่า ในอัลกาฟี ยน์ นั้ มีหะดีษปลอมและอ่อนถึง 9,485 ฮะดีษ ซึ่งคิดเป็ น 2 ใน 3
ของอัลกาฟี ยเ์ ลยก็ว่าได้ ดังนัน้ หะดีษที่ริวายัติมาจากอิมามบากิรในอัลกาฟี ย ์ จะเหลือที่ใช้ได้จริงๆเท่าไหร่!!!
เพราะหากท่านไปตรวจค้นดูในอัลกาฟี ย ์ ริวายัติท่รี ายงานจากท่านอิมามบากิรล ้วนเป็ นเรื่องเหลวไหลทัง้ สิ้น
ยกตัวอย่าง
ﻋﻦ ﺟﺎﺑﺮ ﻋﻦ أﰊ ﺟﻌﻔﺮ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم أﻧﻪ ﻗﺎل ﻣﺎ ﻳﺴﺘﻄﻴﻊ أﺣﺪ أن ﻳﺪﻋﻲ أن ﻋﻨﺪﻩ اﻟﻘﺮآن ﻇﺎﻫﺮﻩ وﺑﺎﻃﻨﻪ
ﻏﲑ اﻷوﺻﻴﺎء
ﻋﻦ ﻫﺸﺎم ﰊ ﺳﺎﱂ ﻋﻦ أﰉ ﻋﺒﺪ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم ﻗﺎل ان اﻟﻘﺮآن اﻟﺬي ﺟﺎء ﺑﻪ ﺟﱪﻳﻞ ﻋﻠﻴﻪ اﻟﺴﻼم
اﱄ ﳏﻤﺪ ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﺳﺒﻌﺔ ﻋﺸﺮ أﻟﻒ آﻳﺔ
ِ أَﺗَـﻌﺠﺒِﲔ ِﻣﻦ أَﻣ ِﺮ اﷲِ ر ْﲪﺖ اﷲِ وﺑـﺮﻛﺎَﺗُﻪ ﻋﻠﻴ ُﻜﻢ أَﻫﻞ اﻟﺒـﻴ
ﺖ ْ َ َ ْ ْ ْ َ ُ ََ َ ُ َ َ ْ ْ َْ َ ْ
“เธอแปลกใจต่อบัญชาของอัลลอฮ์หรือ ความเมตตาและความจําเริญของพระองค์จงประสบแด่นางซาเราะฮฺ
อะฮฺลุลบัยตฺของนบี (อิบรอฮีม) ซูเราะห์ฮุด อายะห์ท่ี 73