Professional Documents
Culture Documents
อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
อรรถกถา ทีฆนิกาย สล
สามัญญผลสูตร
หน ้าต่างที่ ๔ / ๗.
ก็อริยมรรคทีต
่ รัสไว ้อย่างนีว้ า่ ดูกอ
่ นภิกษุ ทงั ้ หลาย
มัชฌิมาปฏิปทาทีต ่ ถาคตตรัสรู ้ด ้วยปั ญญาอันยิง่ แล ้วมีอยู่๒- ดังนี้
ชอื่ ว่าเป็ นท่ามกลาง.
____________________________
๒- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข ้อ ๑๓
____________________________
๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข ้อ ๓๖๐ ๔- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข ้อ ๕๑๒
ในทีน ่ ท
ี้ รงประสงค์เบือ ้ งต ้น ท่ามกลาง ทีส ่ ดุ แห่งเทศนา.
จริงอยู่ พระผู ้มีพระภาคเจ ้า เมือ ่ ทรงแสดงธรรม ทรงแสดงศล ี ในเบือ
้ งต ้น
ทรงแสดงมรรคในท่ามกลาง ทรงแสดงนิพพานในทีส ่ ด ุ . ฉะนัน้
พระธรรมสงั คาหกาจารย์จงึ กล่าวว่า พระผู ้มีพระภาคเจ ้านัน ้ ทรงแสดงธรรม
งามในเบือ
้ งต ้น งามในท่ามกลาง งามในทีส ่ ดุ ดังนี.้
เพราะฉะนัน้ ธรรมกถึกแม ้อืน ่ เมือ ่ แสดงธรรม
พึงแสดงศล ี ในเบือ
้ งต ้น แสดงธรรมในท่ามกลาง
และแสดงนิพพานในทีส ่ ดุ นีเ้ ป็ นหลักของธรรมกถึก.
____________________________
๙- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข ้อ ๑๐๔
สทารสนั โดษ ท่านกล่าวว่า พรหมจรรย์ ในมหาธรรมปาลชาดกว่า๑๐-
เราทัง้ หลายไม่นอกใจภริยาทัง้ หลาย
และภริยาทัง้ หลายก็ไม่นอกใจพวกเรา
เว ้นภริยาเหล่านัน
้ พวกเราประพฤติพรหมจรรย์
เพราะเหตุนัน้ แหละ พวกเราจึงไม่ตายแต่หนุ่มๆ.
____________________________
๑๐- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข ้อ ๑๔๑๓
อินฺทฺรย
ิ สวรกถาวณฺ ณนา
ในการจาแนกทวารทีค ่ ุ ้มครองแล ้วในอินทรียท ์ ัง้ หลาย มีวน ิ จ
ิ ฉั ยดังต่อไปนี้
จกฺขศุ ัพท์ในบทว่า จกฺขน ุ า รูป นี้ ในทีบ
่ างแห่งเป็ นไปในพุทธจักษุ .
เหมือนอย่างทีก ่ ล่าวว่า ทรงตรวจดูโลกด ้วยพุทธจักษุ .
ในทีบ ่ างแห่งเป็ นไปในสมันตจักษุ กล่าวคือพระสพ ั พัญญุตญาณ.
เหมือนอย่างทีก ่ ล่าวว่า ดูกอ ่ นสุเมธะพระพุทธเจ ้าผู ้มีสมันตจักษุ
เสด็จขึน ้ ปราสาททีล ่ ้วนแล ้วด ้วยพระธรรมมีอป ุ มาอย่างนัน้ .๑-
ในทีบ ่ างแห่งเป็ นไปในธรรมจักษุ เหมือนอย่างทีก ่ ล่าวว่า ธรรมจักษุ ปราศจากธุล ี
ไม่มม ี ลทินเกิดขึน ้ แล ้ว. ๒-
____________________________
๑- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข ้อ ๘ ๒- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข ้อ ๑๑๒
อ่านเนือ
้ ความในพระไตรปิ ฎก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=9&A=1072&Z=1919
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=4&A=3185
The Pali Atthakatha in Roman
http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=4&A=3185
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิ ฎก
บันทึก ๘ มิถน ุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๙
หากพบข ้อผิดพลาด กรุณาแจ ้งได ้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com
ื้
สีพนหลั
ง:
ั
สมเด็จพระญาณสงวร
ั
สมเด็จพระสงฆราช ั
สกลมหาสงฆปริ
ณายก
ว ัดบวรนิเวศวิหารฒ
ค ัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ธรรมะอ ันพระผูม
้ พ
ี ระภาคเจ้าตร ัสดีแล้ว
พระธรรมนีไ้ ด ้มีบทสวดสรรเสริญคุณ
อันเรียกว่า พระธรรมคุณ ว่า สวากขาโต ภควตา ธัมโม เป็ นต ้น ดังทีไ่ ด ้กล่าวแล ้ว
จะได ้จับอธิบายพระธรรมคุณบทที่ ๑ นี้ ทีแ
่ ปลว่า
ธรรมะอันพระผู ้มีพระภาคเจ ้าตรัสดีแล ้ว
และได ้มีบทสวดสรรเสริญขยายความออกไป ว่าทรงแสดงธรรม งามในเบือ
้ งต ้น
งามในท่ามกลาง งามในทีส ุ ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือพระศาสนาคาสงั่ สอน
่ ด
หรือพระธรรมวินัย พร ้อมทัง้ อรรถะ พร ้อมทัง้ พยัญชนะ บริบรู ณ์ บริสท
ุ ธิส ิ้ เชงิ
์ น
ดั่งนี้
บทว่างามในเบือ
้ งต ้น งามในท่ามกลาง งามในทีส
่ ด
ุ
ื พระศาสนา คาสงั่ สอนคือพระธรรมวินัยนี้
และบททีว่ า่ ทรงประกาศพรหมจรรย์คอ
พร ้อมทัง้ อรรถ พร ้อมทัง้ พยัญชนะ บริบรู ณ์บริสท
ุ ธิส ิ้ เชงิ
์ น
ก็เป็ นคาอธิบายของคาว่า งามในเบือ
้ งต ้น งามในท่ามกลาง งามในทีส
่ ด
ุ
้ ปลมาจากคาว่า อาทิกล
คานีแ ั ยาณัง มัชเฌกัลยาณัง
ปริโยสานกัลยาณั ง คาว่า กัลยาณะ ก็เป็ นคาทีใ่ ชพู
้ ดในภาษาไทย แปลกันว่างาม
้
และสาหรับทีใ่ ชในพระธรรมคุ
ณนี้ มีแปลเป็ นอย่างอืน ่ แปลว่าไพเราะ
่ ก็มี เชน
ไพเราะในเบือ
้ งต ้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในทีส
่ ด
ุ
ธรรมะทีพ
่ ระพุทธเจ ้าตรัสอันมีลักษณะดังกล่าวนี้
พระอาจารย์ก็ได ้แสดงความหมายไว ้ เป็ นต ้นว่า
ทีว่ า่ งามในเบือ
้ งต ้น ก็คอ ี
ื ทรงแสดง ศล
ื ทรงแสดง สมาธิ
งามในท่ามกลาง ก็คอ
งามในทีส
่ ด ื ทรงแสดง ปั ญญา
ุ ก็คอ
เพราะฉะนัน
้ ถ ้อยคาทีท
่ รงแสดงนัน
้
จึงสมบูรณ์ด ้วยเนือ
้ ความหรือใจความ อันนาให ้เกิดความเข ้าใจ ให ้เกิดความรู ้
่ รงสงั่ สอนได ้
ทัง้ เหตุทงั ้ ผล และให ้ปฏิบัตไิ ด ้ บรรลุถงึ ผลตามทีท
เป็ นการแสดงทีท
่ าให ้เข ้าใจ และให ้ปฏิบต
ั ไิ ด ้ไปโดยลาดับ
เพือ
่ ผลทีป ่ รงสงั่ สอน ไม่มข
่ ระสงค์ตามทีท ี าดตกบกพร่อง
่ าไปสูเ่ ป้ าหมายทีจ
เหมือนอย่างเป็ นทางทีน ่ ะไปถึง ติดต่อกันไปโดยตลอด
ตัง้ แต่ต ้นทางจนถึงปลายทาง หรือว่าถ ้าเปรียบด ้วยบันได
ก็เปรียบเหมือนอย่างว่าเป็ นบันไดทีเ่ ป็ นขัน
้ ๆ ขึน
้ ไป ตัง้ แต่ต ้นจนถึงปลาย
ไม่มข
ี าดตกบกพร่อง เพราะฉะนัน
้
จึงเป็ นธรรมะทีบ
่ ริสท
ุ ธิบ
์ ริบรู ณ์ดังกล่าวโดยตลอด
ตัง้ แต่เบือ
้ งต ้นท่ามกลางจนถึงทีส
่ ด
ุ ไม่มบ
ี กพร่อง ไม่มข
ี าดตก
และธรรมะทีท
่ รงแสดงนัน ั ทัสสน
้ เป็ นธรรมะทีเ่ ข ้าในลักษณะทีเ่ รียกว่า สน
า คือทาให ้เกิดความรู ้แจ ้งเห็นจริงได ้ สมาทปนา ทาให ้เกิดความคิดสมาทานคือรั
บมาปฏิบัต ิ สมุตเตชนา เตือนใจให ้เกิดความอุตสาหะขะมักเขม ้นในอันทีจ
่ ะปฏิบต
ั ิ
ั ปหังสนา ทาให ้บังเกิดความรืน
สม ่ เริงในการฟั งในการปฏิบัต ิ
แต่ทงั ้ นีก
้ ต
็ ้องหมายความว่า ผู ้ฟั งจะต ้องมีความตัง้ ใจฟั ง
และธรรมะทีฟ ้ ก็เหมาะสมกับอัธยาศัยจิตใจ เหมาะสมแก่พน
่ ั งนัน ื้ ภูมข
ิ องจิตใจ
ทีเ่ รียกว่าเหมาะสมแก่อน
ิ ทรียข
์ องบุคคล
อิทธิปาฏิหาริย ์
่ เมือ
ดังเชน ่ พระพุทธเจ ้าเสด็จไปโปรดภิกษุ เบญจวัคคียเ์ พือ
่ แสดงปฐมเท
ศนา ในครัง้ แรกท่านทัง้ ๕ นัน ื่ ว่าพระองค์ได ้ตรัสรู ้พระธรรมแล ้ว
้ ไม่ยอมเชอ
เพราะว่าพระองค์ได ้ทรงเลิกทุกรกิรย
ิ าทีท
่ า่ นทัง้ ๕ นัน
้ นับถือ ท่านทัง้ ๕
ี แล ้ว
จึงคิดว่าได ้ทรงท ้อถอยเสย
เวียนมาเพือ
่ ความมักมากคือเพือ ี แล ้ว
่ ความสุขสาราญเสย
ิ ตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณส ี
จึงได ้หลีกออกไปพักอยูใ่ นป่ าอิสป
ครัน ี ไม่ได ้
้ เห็นพระองค์เสด็จมา ก็ได ้เพียงต ้อนรับอย่างเสย
พระองค์กต ้
็ ้องใชพระวาจาตรั สแก่ทา่ นทัง้ ๕ นัน
้ ให ้ท่านทัง้ ๕
้ ละทิฏฐิมานะ ยอมฟั งคาสงั่ สอนของพระองค์ และเมือ
นัน ่ ท่านทัง้ ๕
้ ยอมฟั งคาสงั่ สอนของพระองค์ พระองค์จงึ ได ้ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรด
นัน
อาเทสนาปาฏิหาริย ์
อนุสาสนีปาฏิหาริย ์
แต่ทงั ้ นีก
้ ต
็ ้องหมายถึงว่าผู ้ฟั งต ้องมีความตัง้ ใจฟั ง
เป็ นผู ้ทีล
่ ะทิฏฐิมานะยอมรับฟั ง ยอมรับพิจารณาไตร่ตรองไปตาม
และเมือ
่ เป็ นดั่งนีจ
้ งึ จะได ้ความรู ้ได ้ความเห็นในธรรม ได ้ความรับปฏิบัต ิ
ได ้อุตสาหะในอันทีป
่ ฏิบัต ิ และได ้ความรืน
่ เริงในการฟั ง และในการปฏิบัต ิ
พระพุทธเจ ้าได ้ทรงแสดงธรรมอันประกอบด ้วยลักษณะอาการ
และประกอบด ้วยปาฏิหาริยท
์ งั ้ ๓ ดังทีก
่ ล่าวมานี้ เพราะฉะนัน
้
่ รัสจึงเป็ น สวากขาโต ตรัสดีแล ้ว
ธรรมะทีต
ธรรมรส
แต่พระพุทธเจ ้านัน
้ ได ้ทรงเป็ นผู ้ประกอบด ้วยปาฏิหาริยใ์ นการแสดง
ด ้วยลักษณะอาการทีแ ่ นัน
่ สดงดังกล่าว แต่แม ้เชน ้
ธรรมะทีพ
่ ระพุทธเจ ้าได ้ทรงแสดง ก็ยอ ั จะคือความจริง
่ มเป็ นสจ
ทีม
่ อ
ี ยูใ่ นบุคคลทุกๆ คนนีเ้ อง ไม่วา่ จะในสมัยไหน
เพราะฉะนัน
้ หากได ้ตัง้ ใจฟั ง ตัง้ ใจพินจ
ิ พิจารณา
ขบเจาะด ้วยทิฏฐิคอ
ื ความเห็น ให ้มีความเข ้าใจแล ้ว ก็ยอ
่ มจะได ้ธรรมรส
รสของธรรม น ้อยหรือมาก
หล ักปฏิบ ัติในสติปฏ
ั ฐาน
สติปัฏฐานอันเป็ นหลักปฏิบัตน
ิ ัน
้ ก็คอ
ื การทีต
่ งั ้ สติในกาย ในเวทนา
ในจิต ในธรรม กายนัน
้ ก็ได ้แก่กายนีท
้ ท
ี่ ก
ุ ๆ คนมีอยู่ ในบัดนีก
้ ็กาลังนั่งกันอยู่
เบือ
้ งบนแต่พน
ื้ เท ้าขึน
้ มา เบือ
้ งตา่ แต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ ้มอยูโ่ ดยรอบ
เป็ นร่างกายทีห
่ ายใจเข ้า หายใจออกอยู่
เป็ นร่างกายทีต
่ ้องอยูใ่ นอิรย
ิ าบถใดอิรย
ิ าบถหนึง่
่ ในบัดนีก
เชน ้ าลังอยูก
่ น
ั ในอิรย
ิ าบถนั่ง และประกอบด ้วยอิรย
ิ าบถเล็กน ้อย
่ นั่งในลักษณะนี้ พับเท ้าอย่างนี้ วางมืออย่างนี้ ตัง้ กายตัง้ ศรี ษะอย่างนี้
เชน
หันหน ้าอย่างนี้ ดั่งนีเ้ ป็ นต ้น
กาย
และเป็ นร่างกายทีป
่ ระกอบด ้วยอาการทัง้ หลาย มี ผม ขน เล็บ ฟั น หนัง
เป็ นต ้น และเมือ
่ รวมเข ้าแล ้วก็เป็ นร่างกายทีป
่ ระกอบด ้วยธาตุทงั ้ ๔
่ ข ้นแข็งก็เรียกว่า ปฐวีธาตุ ธาตุดน
คือสว่ นทีแ ิ
สว่ นทีเ่ อิบอาบเหลวไหลก็เรียกว่า อาโปธาตุ ธาตุน้ า
สว่ นทีอ ่ ก็เรียกว่า เตโชธาตุ ธาตุไฟ สว่ นทีพ
่ บอุน ่ ัดไหวก็เรียกว่า วาโยธาตุ ธาตุลม
เมือ ้ ระกอบกันอยู่ ชวี ต
่ ธาตุเหล่านีป ิ ก็ยังดารงอยู่
่ ชวี ต
และเมือ ิ ยังดารงอยูร่ า่ งกายอันนีก
้ ็ผลัดเปลีย
่ นอิรย
ิ าบถต่างๆ ได ้
หายใจเข ้าออกอยูไ่ ด ้โดยปรกติ แต่เมือ ้ ตกสลาย ชวี ต
่ ธาตุทงั ้ ๔ นีแ ิ้
ิ ก็สน
ร่างกายนีก
้ ็กลายเป็ นศพ ก็จะเป็ นศพทีผ
่ เุ ปื่ อยไปโดยลาดับ จนถึงเหลือแต่กระดูก
และในทีส
่ ด
ุ กระดูกทีเ่ หลืออยูน
่ ก
ี้ ็จะผุกร่อนไปหมด นีก
้ ค
็ อ
ื กาย
เวทนา จิต
ธรรม
ทาไมจึงต้องปฏิบ ัติในสติปฏ
ั ฐาน
ทุกคนก็ยอ
่ มมีกาย ย่อมมีเวทนา ย่อมมีจต
ิ ย่อมมีธรรมะในจิต
อยูด
่ ั่งนีด
้ ้วยกัน แต่วา่ โดยปรกตินัน
้ ทุกคนไม่ได ้ตัง้ จิตมากาหนดดูกาย ดูเวทนา
ิ ดูธรรมะในจิตของตน แต่วา่ สง่ จิตไปกาหนดในเรือ
ดูจต ่ งนัน
้ บ ้างในเรือ
่ งนีบ
้ ้าง
และก็เกิดยินดีบ ้างยินร ้ายบ ้างกันอยู่ เพราะฉะนัน
้ จึงได ้บังเกิดอกุศลกรรมต่างๆ
บังเกิดความทุกข์เดือดร ้อนต่างๆ
พระพุทธเจ ้าจึงได ้ตรัสสอนให ้มาตัง้ จิตกาหนดดูกายเวทนาจิตธรรมของตน
นีแ
่ หละคือสติปัฏฐาน
ต่อจากนีก ื ต่อไป
้ ็ขอให ้ตัง้ ใจฟั งสวดและตัง้ ใจทาความสงบสบ