You are on page 1of 19

รายงานเชิงวิชาการ

การอ่านและพิจารณาวรรณคดีเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์

โดย

นางสาววิชญาดา วรรณะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6 เลขที่ 22


นางสาวอภิษฎา ฉัตร์ชลบุษย์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6 เลขที่ 3
นางสาวชญาภรณ์ เหล่าวัฒนชัย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6 เลขที่ 8

เสนอ
อ.พนมศักดิ์ มนูญปรัชญาภรณ์

ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560


โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning)


รายวิชาภาษาไทยและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
คำนำ
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมี
จุดประสงค์เพื่อศึกษาหาความรู้จากวรรณคดีเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการอ่านและการ
พิจารณาเนื้อหา รวมถึงกลวิธีในการแต่งและการใช้ภาษา ตลอดจนประโยชน์และคุณค่าด้านต่างๆที่สอดแทรก
อยู่ในวรรณคดีเรื่องนี้ ทั้งนี้จึงต้องอาศัยการอ่านและการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ
อย่างถูกต้องโดยอาศัยกระบวนการวิเคราะห์และตีความ
เนื้อหาต่างๆได้มีการศึกษารวบรวมจากแบบเรียนวรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รวมถึงเนื้อ
เรื่องเต็มของสามัคคีเภทคำฉันท์ จากห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมหนังสือ
ต่างๆในเทศไทยในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ผู้จัดทำต้องขอขอบคุณอาจารย์พนมศักดิ์
มนูญปรัชญาภรณ์ ผู้ให้ความรู้และคำแนะนำเพื่อนำมาแก้ไขรายงานเล่มนี้ให้ออกมาถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด อีกทั้ง
ยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านหรือผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์
หากมีข้อแนะนำ หรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้ และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
5 มิถุนายน 2560
สารบัญ
1. การอ่านและพิจารณาเนื้อหาและกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม
1.1 เนื้อเรื่อง 1
1.2 โครงเรื่อง 1
1.3 ตัวละคร 1-4
1.4 ฉากท้องเรื่อง 4-5
1.5 บทเจรจาหรือรำพึงรำพัน 5-6
1.6 แก่นเรื่องหรือสารัตถะของเรื่อง 6-7
2. การอ่านและพิจารณาการใช้ภาษาในวรรณคดีและวรรณกรรม
2.1 การสรรคำ 7-9
2.2 การเรียบเรียงคำ 9-11
2.3 การใช้โวหาร 11-12
3. การอ่านและพิจารณาประโยชน์หรือคุณค่าในวรรณคดีและวรรณกรรม
3.1 คุณค่าด้านอารมณ์ 12-13
3.2 คุณค่าด้านคุณธรรม 13-14
1

การอ่านและพิจารณาเนื้อหาและกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม
1. เนื้อเรื่อง
พระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นมคธ ที่มีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง ทรงมีพระประสงค์จะขยาย
อาณาจักรให้กว้างขวาง โดยหมายตาแคว้นวัชชีของกษัตริย์ลิจฉวี อันปกครองและตั้งมั่นอยู่ในธรรมที่เรียกว่า
อปริหานิยธรรม คือ ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ซึ่งเน้นความสามัคคีเป็นหลัก ดังนั้นการจะทำสงคราม
จึงต้องใช้ปัญญามิใช่กำลัง อย่างไรก็ตามพระเจ้าอชาตศัตรูทรงมีปุโรหิตที่ปรึกษาคนสนิทชื่อ วัสสการพราหมณ์
เนื่องด้วยวัสสการพราหมณ์ เป็นผู้รอบรู้ด้านศิลปศาสตร์และมีสติปัญญาอันเฉียบแหลม ทั้งสองจึงปรึกษาเพื่อ
หา กลอุบายทำลายความสามัคคีของกษัตริย์ลิจฉวีโดยการเนรเทศวัสสการพราหมณ์ออกจากแคว้นมคธเพื่อ
เดินทางไปยังเมืองเวสาลี ด้วยความเป็นที่เป็นผู้มีวาทศิลป์ รู้จักใช้เหตุผลโน้มน้าวใจ จึงทำให้เหล่ากษัตริย์รับ
วัสสการพราหมณ์ไว้ในราชสำนัก โดยให้ทำหน้าที่พิจารณาคดีความและถวายพระอักษรเหล่าพระกุมาร
ทั้งหลายจนเป็นที่ไว้ใจ ครั้นได้โอกาสคาดคะเนว่าพวกกษัตริย์ไว้วางใจตน ก็เริ่มทำอุบายให้ศิษย์แตกร้าวกัน จน
เกิดการวิวาท แล้วนำความนั้นขึ้นกราบทูลชนกของตน เมื่อเป็นเช่นนั้นความร้าวรานก็ลามไปถึงบรรดากษัตริย์
ที่เชื่อถ้อยคำโอรสของตนโดยปราศจากการไตร่ตรองใดๆ จนกระทั่งผ่านไป ๓ ปี สามัคคีธรรมในหมู่กษัตริย์
ลิจฉวีก็สูญสิ้นไป เมื่อนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจึงได้กรีธาทัพสู่เมืองเวสาลี สามารถปราบแคว้นวัชชีลงได้อย่าง
ง่ายดาย

2. โครงเรื่อง
ในครั้งโบราณกาล กษัตริย์องค์หนึ่งมีพระประสงค์จะขยายอาณาจักรออกไปยังแคว้นที่มีความเข้มแข็ง
เพราะมีคุณธรรมในความสามัคคี พระองค์จึงส่งปุโรหิตคนสนิทเข้าไปยุแหย่ให้เหล่ากษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นเกิด
ความแตกแยกและขัดแย้งกัน ท้ายที่สุดแล้วแผนการก็สำเร็จ

3. ตัวละคร

พระเจ้าอชาตศัตรู
จากเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว้นวัชชี ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงมี
ความเฉลียวฉลาด มีความแข็งแกร่ง รู้จักใช้คนที่ทำให้ความต้องการที่จะแผ่พระบรมเดชานุภาพของตนเอง
สำเร็จผล
“จอมทัพมาคธราษฎร์ ธ ยาตรพยุหกรี
ธาสูวิสาลี นคร
โดยทางอันพระทวารเปิดนรนิกร
ฤๅรอจะต่อรอน อะไร”

บทประพันธ์นี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อจอมทัพแห่งแคว้นมคธกรีฑาทัพเข้าเมืองเวสาลี ประตูเมืองนั้นก็เปิด
อยู่โดยไม่มีผู้คนหรือทหารต่อสู้ประการใด
2

เพราะความละเอียดรอบคอบเช่นนี้ ทำให้การยึดแคว้นวัชชีเป็นไปอย่างง่ายดาย โดยที่ทัพของตนไม่


ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ หรือเปลืองแรงในการต่อสู้ พระองค์มีความสามารถในการนำรบ เมื่อปราบปรามแล้วก็
เสด็จยังเมืองราชคฤห์อันยิ่งใหญ่ดังเดิม

“ไป่พักต้องจะกะเกณฑ์นิกายพหลโรย
แรงเปลืองระดมโปรย ประยุทธ์
ราบคาบเสร็จ ธ เสด็จลุราชคฤหอุต
ดมเขตบุเรศดุจ ณ เดิม”

วัสสการพราหมณ์
เป็นผู้ที่ยอมเสียสละ ออกจากบ้านเมืองมายาวนานและเสี่ยงไปอยู่ในหมู่ศัตรู ต้องใช้ความอดทนและ
รักษาความลับเพื่อให้อุบายสัมฤทธิ์ผล เพราะจากคำประพันธ์ข้างต้นแผนการนี้ยาวนานถึง ๓ ปี

“ครั่นล่วงสามปีประมาณมา สหกรณประดา
ลิจฉวีรา ชทั้งหลาย
สามัคคีธรรมทำลาย มิตรภิทนะกระจาย
สรรพเสื่อมหายน์ ก็เป็นไป”

เป็นผู้ที่มีความรอบคอบไม่ประมาท เมื่อแผนการคาดว่าจะสัมฤทธิ์ผล เพราะสังเกตเห็นความแตกแยก


และต้องการตรวจสอบว่ากษัตริย์ลิจฉวีแตกสามัคคีกันอย่าแท้จริง จึงลองตีกลองนัดประชุม ปรากฏว่าไม่มี
กษัตริย์องค์ใดเข้ามาประชุมเลย จึงทำให้มั่นใจได้ว่าแต่เหล่ากษัตริย์ต่างมีความขุ่นเคืองให้อีกฝ่ายอย่างแท้จริง

“วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไป่เอาภาร ณ กิจเพื่อเสด็จไป
ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย
เราใช่คนใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัวบกล้าหาญ”

จากนั้นรีบกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู แสดงให้เห็นว่ามีคุณสมบัติที่น่ายกย่องด้านการจงรักภักดีต่อ
พระเจ้าอชาตศัตรูและบ้านเมือง

“เห็นเชิงพิเคราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม
พราหมณ์เวทอุดม ธ ก็ลอบแถลงการณ์
ให้วัลลภ ชน คม ดลประเทศฐาน
กราบทูลนฤบาล อภิเผ้า มคธไกร”

นอกจากนี้ยังเป็นเลิศและน่าชื่นชมในด้านการทำอุบาย ดังคำประพันธ์ที่กล่าวไว้หลังจากพระเจ้าอชาต
ศัตรูได้แผ่นดินวัชชีอย่างง่ายดาย
3

“ควรชมนิยมจัด คุรุวัสสการพราหมณ์
เป็นเอกอุบายงาม กลงำกระทำมา”

เหล่าโอรสของกษัตริย์ลิจฉวี
ไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน และสามารถถูกยุแหย่ได้ง่าย สามารถเห็นได้จากการที่พระโอรสองค์อื่นๆ
ไม่เชื่อสิ่งที่พระโอรสองค์หนึ่งที่ถูกเรียกเข้าไปคุยกับวัสสการพราหมณ์พูด แม้สิ่งที่ตรัสมาเหล่านั้นจะเป็น
เรื่องจริงทุกประการ
“กุมารนั้นสนองสา รวากย์วาทตามเลา
เฉลยพจน์กะครูเสา วภาพโดยคดีมา
กุมารอื่นสงสัย มิเชื่อในพระวาจา
สหายราช ธ พรรณนา และต่างองค์ก็พาที
ไฉนเลยพระครูเรา จะพูดเปล่าประโยชน์มี
เลอะเหลวนักละล้วนนี รผลเห็น บ เป็นไป”

เหล่าโอรสถูกวัสสการพราหมณ์เรียกไปคุยเรื่องที่ไร้สาระไม่มีประโยชน์ เมื่อซักถามก็ไม่เชื่อใจซึ่ง
กันและกัน จึงทำให้แตกความสามัคคี

กษัตริย์ลิจฉวี
เป็นตัวอย่างของหมู่เหล่าที่มีความสามัคคีและตั้งมั่นในอปริหานิยธรรม ประดุจกิ่งไม้ที่รวมกันเป็นกำ
ซึ่งยากที่ใครจะหักทำลายลงได้ ดังคำประพันธ์ที่ว่า

“แม้มากผิกิ่งไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง
มัดกำกระนั้นปอง พลหักก็เต็มทน”

เหล่ากษัตริย์ร่วมกันปกครองแคว้นวัชชีมานาน ทรงมีฐานะเสมอกันและยกย่องให้เกียรติกันเสมอ
ก่อนกระทำกิจใดๆย่อมต้องมีการปรึกษาหารือ จนมีพละกำลังดั่ง “มัดกำกิ่งไม้”

ถึงแม้จะรักษาความสามัคคีมาช้านาน เมื่อวัสสการพราหมณ์ดำเนินการยุยงเหล่าโอรส

“ขุ่นมนเคือง เรื่องนฤสาร
เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระดม
เลิกสละแยก แตกคณะกลม
เกลียว บ นิยม คบดุจเดิม”

จากบทประพันธ์ข้างต้น เป็นฉากหลังเสร็จสิ้นการเรียนกับวัสสการพราหมณ์ เหล่ากุมารก็


ปรึกษาหารือ ถามไถ่ว่าพระอาจารย์พูดเรื่องอะไรบ้าง ต่างตอบตามความจริง แต่ไม่เชื่อกันเพราะคิดแล้วไม่
สมเหตุสมผล แต่ละองค์เริ่มขุ่นเคืองใจซึ่งกันและกัน และไม่สนิทสนมกลมเกลียวกันเหมือนแต่ก่อน ทั้งนี้เกิด
เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง จนกระทั่ง
4

“ต่างองค์นำความมิงามทูล พระชนกอดิศูร
แห่ง ธ โดยมูล ปวัตติ์ความ
แตกร้าวกร้าวร้ายก็ป้ายปาม ลุวรบิดรลาม
ทีละน้อยตาม ณ เหตุผล
ฟั่นเฝือเชื่อนัยดนัยตน นฤวิเคราะหเสาะสน
สืบจะหมองมล เพราะหมายใด”

โอรสแต่ละองค์นำเรื่องกราบทูลชนกของตน ความแตกสามัคคีค่อยๆลามไปถึงบรรดากษัตริย์ ที่ต่าง


ขาดวิจารณญาณและเชื่อในคำของโอรสอย่างไร้ข้อกังขา

จนท้ายที่สุดเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมา เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีก็มาถึงซึ่งความล่มจม เหตุเพราะความ


แตกแยก ยึดมั่นในความคิดและทิฐิของตน จนขาดปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรอง ดังคำประพันธ์เมื่อตอนที่พระ
เจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว้นวัชชี กล่าวว่า

“เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก คณะแตกและต่างมา
ถือทิฐิมานสา หสโทษพิโรธจอง
แยกพรรคสมรรคภิน ทนสิ้น บ ปรองดอง
ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมลักประจักษ์เจือ”

4. ฉากท้องเรื่อง
สามัคคีเภทคำฉันท์เป็นเรื่องราวจากอินเดีย ซึ่งมีเค้าโครงเรื่องจากพระไตรปิฎกในสมัยพระเจ้าอชาต
ศัตรูแห่งแคว้นมคธ กวีของอินเดียจึงพรรณนาฉากให้เข้ากับบ้านเมืองในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อไทยรับ
วรรณคดีเรื่องนี้เข้ามา นายชิต บุรทัต ผู้ซึ่งเป็นกวีไทย ได้ปรับแต่งฉาก ให้มีความเป็นไทย ตัวอย่างฉากจาก
วสันตดิลก ฉันท์ ๑๔
“ภาพเทพพนมวิจิตระยิ่ง นรสิงหะลำยอง
ครุฑยุตภุชงค์วิยะผยอง และเผยอขยับผัน”

บทร้อยกรองข้างต้นพรรรณนาถึงความสวยงามของภาพบนผนัง มีการกล่าวถึงนรสิงห์และครุฑยุด
นาคที่ประหนึ่งว่ากำลังขยับบินอย่างองอาจ

“โดยรอบมหานคระเล่ หะสิเนรุปราการ
มั่นคงอรินทระจะราญ ก็ระย่อแล้วท้อหนี”

โดยรอบมหานครมีกำแพงเมืองที่มั่นคงดั่งเขาพระสุเมรุล้อมรอบอยู่

“เนืองแน่นขนัดอัศวะพา หนะชาติกุญชร
ชาญศึกสมรรถะณสมร ชยะเพิกริปูภินทร์”
5

เมืองเนืองแน่นไปด้วยม้าศึก และช้างศึกที่ชำนาญสงคราม เผยให้เห็นถึงความสนุกสนานในแผ่นดินอัน


รุ่งเรืองและงดงาม

“สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร”

มีการกล่าวถึง “ช่อฟ้า” ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่บริเวณยอดสุดของหน้าบันในสถาปัตยกรรมไทย เนื่องจากช่อ


ฟ้าเป็นนัยที่หมายถึงการบูชาพระรัตนตรัย และทวยเทพบนสวรรค์ เหตุนี้พญานาคจึงถูกใช้เป็นส่วนต่างๆใน
ศิลปะการก่อสร้างของไทย เนื่องจากมีความเชื่อที่ว่าเป็นสัตว์ที่คุ้มครองพระพุทธศาสนา

“บานบัฏพระบัญชรสลัก ฉลุลักษณ์เฉลาลาย
เพดานก็ดารกะประกา ระกะดาษประดิษฐ์ดี”

มีการกล่าวถึงหน้าต่างไทยที่ได้รับการสลักอย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีดวงดาวต่างๆบนเพดานเหมือนใน
วัดไทย
นอกจากนี้ยังมีการบรรยายฉากถึงความวุ่นวายเมื่อแคว้นของพระเจ้าอชาตศัตรูเดินทางมาถึงเมือง
เวสาลี ประชาชนต่างแตกตื่นและหลบเข้าป่า มีส่วนทำให้ผู้อ่านคล้อยตามและสัมผัสถึงความหวาดกลัวที่แผ่
กระจายไปทั่วทั้งเมือง ชาวบ้านต่างพากันอพยพครอบครัวเพื่อหนีภัย ทิ้งบ้านเรือนเข้าไปหลบหนีในป่า
“ข่าวเศิกเอกอึง ทราบถึงบัดดล
ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี
แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี
อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป
ตื่นตาหน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย
หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ
ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย
เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน”

5. บทเจรจาหรือรำพึงรำพัน
“เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร
ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน ก็มาเป็น
ศึกบ่ถึงและมึงก็ยังมิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด
อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
ขยาดขยั้นมิทันอะไร ก็หมิ่นกู”
6

จากตัวอย่างข้างต้น ซึ่งเป็นฉากจากอีทิสังฉันท์ ๒๐ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้ที่มี


ความเฉลียวฉลาด ท่านทรงรับฟังกลอุบายตามคำกราบทูลของวัสสการพราหมณ์ ทรงกระทำเหมือนว่าทรงขัด
เคืองพระราชหฤทัยได้สมจริง ทรงเกรี้ยวกราดเเละตวาดด้วยเสียงที่น่าเกรงขาม ทำใหัคนเชื่อได้ง่าย

“ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย
เราใช่เป็นใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัว บ กล้าหาญ
ท่านใดที่เป็นใหญ่ และกล้าใครมิเปรียบปาน
พอใจใคร่ในการ ประชุมชอบก็เชิญเขา
ปรึกษาหารือกัน ไฉนนั้นก็ทำเนา
จักเรียกประชุมเรา บ แลเห็นประโยชน์เลย”

บทร้อยกรองข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการตัดพ้อ และการประชดประชันของเหล่ากษัตริย์ที่แตกความ
สามัคคีกัน ทุกพระองค์ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกประชุมเพื่ออะไรในเมื่อเราไม่ได้เป็นใหญ่ ใครคิดว่าตัวเอง
ใหญ่ไม่มีใครเปรียบเทียบได้ก็จงประชุมไป ถึงตัวเราจะไปก็ไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์ใดๆ

6. แก่นเรื่อง
เเก่นหลักของเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์คือโทษของการเเตกความสามัคคีซึ่งทำให้เกิดความหายนะในหมู่
คณะ
แก่นเรื่องรอง อื่นๆที่สนับสนุนเเก่นเรื่องหลักให้เด่นชัดมีหลายประการ ได้เเก่

การรู้จักเลือกใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงานจะทำให้งานสำเร็จด้วยดี
“ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ
กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย
เหมาะแก่การณ์จะเสกสรร ปวัตน์วัญจโนบาย
มล้างเหตุพิเฉทสาย สมัครสนธิ์สโมสร”

บทประพันธ์ข้างต้นเเสดงให้เห็นว่าวัสสการพราหมณ์เป็นผู้ที่มีสติปัญญาหลักเเหลมเเละสามารถคิดกล
อุบายได้เเยบยล ซึ่งเเสดงให้เห็นว่าพระเจ้าอชาตศัตรูเลือกใช้บุคคลได้เหมาะสมกับงานทำให้สุดท้ายเเล้วประ
สบผลสำเร็จ

การใช้สติปัญญาเอาชนะฝ่ายศัตรูโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
“ไป่พักต้องจะกะเกณฑ์นิกายพหลโรย
แรงเปลืองระดมโปรย ประยุทธ์
ราบคาบเสร็จ ธ เสด็จลุราชคฤหอุต
ดมเขตบุเรศดุจ ณ เดิม”
7

จากบทประพันธ์ข้างต้นเเสดงให้เห็นว่ากลอุบายของวัสสการพราหมณ์ ทำให้ฝ่ายกษัตริย์ลิจฉวีแตก
ความสามัคคีกัน เมื่อกองทัพของพระเจ้าอชาตศัตรูมาถึงก็สามารถยึดครองแคว้นได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้อง
เสียเลือดเสียเนื้อ

การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่นย่อมทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม
“เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก คณะแตกและต่างม
ถือทิฐิมานสา หสโทษพิโรธจอง
แยกพรรคสมรรคภิน ทนสิ้นบปรองดอง
ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมลักประจักษ์เจือ”

จากบทประพันธ์ข้างต้นเเสดงให้เห็นถึงการเเตกสามัคคี ต่างคนต่างยึดมั่นในความคิดของตน ซึ่งนำมา


ซึ่งความพินาศของบ้านเมือง

การใช้วิจารณญาณใคร่ครวญก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใดย่อมเป็นการดี
“เชื่ออรรถยุบลเอา รสเล่าก็ง่ายเหลือ
เหตุหากธมากเมือ คติโมหเป็นมูล
จึ่งดาลประการหา ยนภาวอาดูร
เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิเสื่อมนาม”

บทประพันธ์ข้างต้นเเสดงให้เห็นว่าการเชื่อคนง่าย ไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนจะเชื่อ หรือปฏิบัติตามคำพูด


ของผู้อื่น จะนำมาซึ่งความฉิบหาย เสียเเผ่นดิน ชื่อเสียง เเละเกียรติยศ

การอ่านและพิจารณาการใช้ภาษาในวรรณคดีและวรรณกรรม
1. การสรรคำ
เลือกใช้คำให้เหมาะสมกับเรื่องและฐานะของบุคคลในเรื่อง
“ราชาลิจฉวี ไป่มีสักองค์
อันนึกจำนง เพื่อจักเสด็จไป
ต่างองค์ดำรัส เรียกนัดทำไม
ใครเป็นใหญ่ใคร กล้าหาญเห็นดี”

จากคำประพันธ์ข้างต้น มีการใช้คำราชาศัพท์ ซึ่งก็คือคำว่า “ดำรัส”ที่แปลว่าการพูดของกษัตริย์ และ


คำว่า “เสด็จ”ที่หมายถึง ไป ซึ่งเป็นฉากที่กษัตริย์ลิจฉวีแสดงความคิดเห็นว่าเหตุใดพระองค์จึงต้องไปรวมตัว
ประชุม แม้ว่าเสียงกลองนัดจะดังขึ้น ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้แต่งใช้คำราชาศัพท์ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
กับฐานะและสถานภาพของกษัตริย์ เนื่องจากเป็นชนชั้นที่มีคำศัพท์เฉพาะตน
8

เลือกใช้คำให้เหมาะสมแก่ลักษณะของคำประพันธ์
“เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร
ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน ก็มาเป็น
ศึกบ่ถึงและมึงก็ยังมิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด
อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
ขยาดขยั้นมิทันอะไร ก็หมิ่นกู”

จากตัวอย่างข้างต้น ซึ่งเป็นฉากจากอีทิสังฉันท์ ๒๐ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าพระเจ้าอชาตศัตรูทรงกระทำ


เหมือนว่าทรงขัดเคืองพระราชหฤทัยได้สมจริง ทรงเกรี้ยวกราดเเละตวาดด้วยเสียงที่น่าเกรงขาม ทำให้คนเชื่อ
ได้ง่าย มีการใช้คำที่กระแทกกระทั้นเหมาะสมกับบทประพันธ์ที่กำลังดุเดือด

“อำพนพระมนทิรพระราช สุนิวาสน์วโรฬาร์
อัพภันตรไพจิตรและพา หิรภาคก็พึงชม
เล่ห์เลื่อนชะลอดุสิตฐา นมหาพิมานรมย์
มารังสฤษฏ์พิศนิยม ผิจะเทียบก็เทียมทัน
สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร
บราลีพิลาศศุภจรูญ นภศูลประภัสสร
หางหงส์ผจงพิจิตรงอน ดุจกวักนภาลัย”

มีการใช้คำที่มีลีลานุ่มนวลในการแต่งบทชมต่างๆเพื่อพรรณนาภาพอันงดงาม ดังเช่น บทชมเมืองรา


ชคฤห์ในแคว้นมคธของพระเจ้าอชาตศัตรูข้างต้น

เลือกใช้โดยคำนึงถึงเสียง
- คำเลียนเสียงธรรมชาติ
“วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไป่เอาภาร ณ กิจเพื่อเสด็จไป”
จากบทประพันธ์ข้างต้น มีการใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ ซึ่งก็คือเสียง “กระหึม” ตอนตีกลองเรียก
ประชุมเป็นคำที่ก่อให้เกิดความรู้สึกฮึกเหิม

- คำที่เล่นเสียงสัมผัส
ผู้ประพันธ์เลือกสรรถ้อยคำแล้วนำมาเรียงร้อยอย่างดี ทั้งนี้ทำให้เกิดเสียงอันไพเราะเนื่องจากการเล่นเสียง
สัมผัสใน อีกทั้งเสียงสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระ เช่น
9

“แตกร้าวกร้าวร้ายก็ป้ายปา ลุวรบิดรลาม
ทีละน้อยตาม ณ เหตุผล
ฟั่นเฝือเชื่อนัยดนัยตน นฤวิเคราะหเสาะสน
สืบจะหมองมล เพราะหมายใด”

สัมผัสสระ ร้าว-กร้าว-ร้าย-ป้าย วร-ดร


ฟั่น-นัย เฝือ-เชื่อ เคราะห-เสาะ
สัมผัสพยัญชนะ
ร้าว-ร้าย ป้าย-ปา ลุ-ลาม
นัย-ดนัย เสาะ-สน
หมอง-มล
- คำที่เล่นเสียงหนักเบา
ในการแต่งกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ นายชิต บุรทัต ได้เพิ่มลักษณะบังคับ ใช้คำครุ แต่งสลับกับคำลหุ ทำให้มี
เสียงสั้นยาวเป็นจังหวะคล้ายฉันท์ ตัวอย่างเช่น

“สะพรึบสะพรั่ง ณ หน้าและหลัง
ณ ซ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด
ก็ตรวจก็ตรา ประมวลกะมา
สิมากประมาณ”

- คำพ้องเสียงและคำซ้ำ
“สามยอดตลอดระยับระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร”
มีการใช้สัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระรวมถึงการใช้คำซ้ำว่าระยับระยับ

2. การเรียบเรียงคำ
1. เรียงข้อความที่บรรจุสารสำคัญไว้ท้ายสุด
ผู้เขียนต้องการเน้นย้ำถึงใจความสำคัญของเรื่องที่ว่า ความหวาดระแวงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้แผนการยึด
ครองแคว้นวัชชีของพระเจ้าอชาตศัตรูสำเร็จ จึงขึ้นต้นด้วยแผนอันชาญฉลาดของวัสสการพราหมณ์เพราะเป็น
สิ่งที่จะส่งผลให้ความสามัคคีนั้นเหือดหายไป
“ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ
กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย”
10

2. เรียงคำ วลี หรือประโยคที่มีความสำคัญเท่าๆกัน เคียงขนานกันไป

“ต่างทรงสำแดง ความแขงอำนาจ
สามัคคีขาด แก่งแย่งโดยมาน
ภูมิศลิจฉวี วัชชีรัฐบาล
บ่ ชุมนุมสมาน แม้แต่สักองค์”

ผู้ประพันธ์ใช้คำว่า “สำแดง” “ความแขงอำนาจ” และ “สามัคคีขาด” ตามลำดับ เนื่องจากทุกคำ


ส่งผลไปในเชิงลบ และมีความหมายเท่ากันๆ เพราะคำว่าสำแดงหมายถึง การแสดง หรือทำให้เห็นฤทธิ์ของตน
เป็นการไม่ยอมกันเหมือนความแขงอำนาจ หรือถืออำนาจที่ตนเองเป็นใหญ่ไม่ผ่อนปรนให้กัน เหล่ากษัตริย์ต่าง
แสดงความเพิกเฉย ปราศจากความสามัคคี ปรองดองในจิตใจ
3. เรียบเรียงประโยคให้เนื้อหาเข้มข้นขึ้นไปตามลำดับดุจขั้นบันไดจนถึงขั้นสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

“เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก คณะแตกและต่างมา
ถือทิฐิมานสา หสโทษพิโรธจอง
แยกพรรคสมรรคภิน ทนสิ้น บ ปรองดอง
ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมหลักประจักษ์เจือ
เชื่ออรรถยุบลเอา รสเล่าก็ง่ายเหลือ
เหตุหาก ธ มากเมือ คติโมหเป็นมูล
จึ่งดาลประการหา ยนภาวอาดูร
เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิเสื่อมนาม”

บทประพันธ์ข้างต้นเป็นส่วนขอคติธรรม ที่แสดงลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ โดยเริ่มการที่กษัตริย์แต่ละ


องค์ยึดมั่นใจความคิดของตน ขาดปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรองและเชื่อถ้อยคำของพระโอรสอย่างง่ายดาย
เมื่อความโกรธเข้าควบคุม ก็นำมาซึ่งความฉิบหาย เสียทั้งแผ่นดิน และชื่อเสียงเกียรติยศที่เคยมีมา โดยสรุป
แล้วเป็นการสรุปเนื้อหาจากตอนต้นซึ่งเป็นต้นเหตุของความโกรธเคือง จนถึงตอนจบที่พ่ายแพ้ให้กับกรุง
ราชคฤห์

4.เรียบเรียงประโยคให้เนื้อหาเข้มข้นขึ้นไปตามลำดับแต่คลายความเข้มข้นลงในช่วงหรือประโยค
สุดท้ายอย่างฉับพลัน

นายชิต บุรทัต ประพันธ์โดยใช้การเรียบเรียงประโยคไปตามลำดับ เพื่อให้ผู้อ่านติดตามลำดับของ


เหตุการณ์ และเข้าใจเนื้อเรื่องได้ดีมากขึ้นแต่ทว่าผู้เขียนได้มีการตัดบทหรือคลายความเข้มข้นของเรื่องใน
ตอนท้ายอย่างฉับพลัน ดังที่ปรากฏในบทประพันธ์นี้ โดยตอนแรกกล่าวถึงการที่วัสสาการพราหมณ์นั้นน่า
ชื่มชนในด้านการทำอุบายครอบครองแคว้นวัชชีซึ่งเกิดความวุ่นวายในเมืองเป็นอย่างมาก หากแต่บรรทัดต่อมา
ได้คลายความเข้มข้นลงโดยกล่าวถึงพระพุทธเจ้าและผลของความพร้อมเพรียงกัน

“ควรชมนิยมจัด คุรุวัสสการพราหมณ์
11

เป็นเอกอุบายงาม กลงำกระทำมา
พุทธาทิบัณฑิต คิดพินิจปรา
รภสรรเสริญสา ธุสมัครภาพผล
ว่าอาจจะอวยผา สุกภาวมาดล
ดีสู่ห ณ หมู่ตน บ นิราศนิรันดร
หมู่ใดผิสามัค คยพรรคสโมสร
ไปปราศนิราศรอน คุณไร้ไฉนดล”
5. เรียบเรียงถ้อยคำให้เป็นประโยคคำถามเชิงวาทศิลป์
“ลุห้องหับรโหฐาน ก็ถามการณ์ ณ ทันใด
มิลี้ลับอะไรใน กถาเช่น ธ ปุจฉา
จะถูกผิดกระไรอยู่ มนุษย์ผู้กระทำนา
และคู่โคก็จูงมา ประเทียบไถมิใช่หรือ”

“อย่าติและหลู่ ครูจะเฉลย
เธอน่ะเสวย ภัตกะอะไร
ในทินนี่ ดี ฤ ไฉน
พอหฤทัย ยิ่งละกระมัง”

บทเจรจานี้เป็นบทที่วัสสการพราหมณ์ถามเหล่ากุมาร ซึ่งเป็นบทเจรจาที่ไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่าง
ใด วัสสาการพราหมณ์ใช้ความสามารถทางวาทศิลป์ของตนเองในการเสนอแนวคิดของเรื่องทั่วไปให้กับ
พระกุมารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุบายดังปรากฎในตัวอย่างข้างต้น

3. การใช้โวหาร
อุปมาโวหาร
“กุมารลิจฉวีขัตติย์ ก็รับอรรถอออือ
กสิกเขากระทำคือ ประดุจคำพระอาจารย์”

จากบทร้อยกรองข้างต้นเป็นฉากที่พระกุมารลิจฉวีก็รับสั่งเห็นด้วยว่าชาวนาก็คงจะกระทำดังคำของ
พระอาจารย์ซึ่งก็คือวัสสาการพราหมณ์ ในที่นี้เป็นการเปรียบเทียบว่าการกระทำประดุจดังคำพระอาจารย์

“ขุ่นมนเคือง เรื่องนฤสาร
เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระดม
เลิกสละแยก แตกคณะกลม
เกลียว บ นิยม คบดุจเดิม”

จากบทร้อยกรองข้างต้นพระกุมารลิจฉวีต่างระแวงใจในกันและกัน ต่อมาก็แตกความสามัคคีและไม่มี
เป็นน้ำหนึ่งน้ำใจเดียวกันเหมือนแต่ก่อน ในที่นี้เป็นการเปรียบเทียบว่าความสามัคคีนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
12

บุคคลวัต
“วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไปเอาภาร ณ กิจเพื่อเสด็จไป”

กริยา “ขาน” นั้นหมายถึง การกล่าวเรียก ซึ่งเป็นกริยาของมนุษย์ โดยบทประพันธ์ได้นำกริยานี้มาใช้


กับกลองซึ่งเป็นสิ่งของ ที่ไม่มีชีวิตแต่หากทำกริยาดังเช่นมนุษย์เพื่อสร้างจินตภาพให้เห็นว่าเสียงของกลอง
สามารถใช้เรียกหรือพูดให้ผู้ฟังได้ยินอย่างชัดเจน

สัญลักษณ์
“แม้มากผิกิ่งไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง
มัดกำกระนั้นปอง พลหักก็เต็มทน
เหล่าไหนผิไมตรี สละลี้ ณ หมู่ตน
กิจใดจะขวายขวน บ มิพร้อมมิเพียงกัน”

โดยธรรมชาติแล้วกิ่งไม้กิ่งเดียวสามารถหักได้ง่ายด้วยมือเปล่า หากแต่มัดรวมกันแล้ว การใช้กำลัง


มหาศาลก็มิอาจทำลายได้ ดั่งเช่นในบรรทัดที่กล่าวว่า “มัดกำกระนั้นปอง พลหักก็เต็มทน” ในที่นี้ผู้เขียนได้นำ
กิ่งไม้มาใช้เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ช่วยอธิบายให้เห็นว่า หากมีความสามัคคีในหมู่คณะ เมื่อร่วมมือกัน
ก็จะแข็งแกร่ง แม้แต่กำลังภายนอกก็ไม่สามารถทำลายความเป็นน้ำหนึ่งน้ำใจเดียวกันนี้ลงได้

อติพจน์
“ตื่นตาหน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย
หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ
ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย
เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน”

บทประพันธ์ข้างต้นมาจากตอนที่พระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว้นวัชชี โดยวรรคที่กล่าวว่า “ตื่นตา


หน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย” หมายความว่า ชาววัชชีตื่นตกใจกับการรุกรานของพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นอย่าง
มากจนหน้าซีดเหมือนเลือดหมดตัว ซึ่งเป็นการกล่าวเกินจริง แต่หากช่วยทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนและเข้าถึง
อารมณ์ของเนื้อเรื่องมากขึ้น

การอ่านและพิจารณาประโยชน์หรือคุณค่าในวรรณคดีและวรรณกรรม

1. คุณค่าด้านอารมณ์
“พวกราชมัลโดย พลโบยมิใช่เบา
ดหัตถแห่งเขา ขณะหวดสิพึงกลัว
บงเนื้อก็เนื้อเต้น พิศเส้นสรีร์รัว
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว
แลหลังละลามโล หิตโอ้เลอะหลั่งไป
13

เพ่งผาดอนาถใจ ระกะร่อยเพราะรอยหวาย
เนื่องนับอเนกแนว ระยะแถวตลอดลาย
เฆี่ยนครบสยบกาย สิริพับพะกับคา”

บทประพันธ์ข้างต้นมีการใช้คำหนักเบาของฉันท์ลักษณ์ได้เข้ากันกับอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยดึงอารมณ์ของ
ผู้อ่านให้เข้ากับสถานการณ์ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นตอนที่วัสสการพราหมณ์โดนสั่งโบย ทำให้เกิดภาพของแผ่น
หลังที่โดนโบย มองเห็นเนื้อเต้นระริก เลือดไหลเปรอะไปทั่วจนเป็นริ้วรอยน่าอนาถใจ จึงทำให้ผู้อ่านเห็นภาพ
แล้วก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดและสงสารในสิ่งที่วัสสการพราหมณ์โดนกระทำ

2. คุณค่าด้านคุณธรรม

คุณค่าทางด้านสามัคคี ซึ่งเป็นคุณค่าหลักของวรรณคดีเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเมืองหรือผู้คนในสังคม หาก


สูญเสียคุณค่าด้านนี้ไปก็ยากประสบความสำเร็จ เพราะการจะทำการใดในชีวิตนั้นไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคน
เดียว ตัวอย่างเช่น คำประพันธ์ต่อไปนี้ ซึ่งเป็นฉากที่กองทัพของพระเจ้าอชาตศัตรูเอาชนะแคว้นวัชชีได้โดยไม่
ต้องเปลืองแรง และทำให้กษัตริย์ลิจฉวีเสียบ้านเมืองไปอย่างง่ายดาย เนื่องจากสูญเสียความสามัคคีที่รักษาไว้
มานาน
“ไป่พักต้องจะกะเกณฑ์นิกายพหลโรย
แรงเปลืองระดมโปรย ประยุทธ์
ราบคาบเสร็จ ธ เสด็จลุราชคฤตอุต
ดมเขตบุเรศดุจ ณ เดิม”

มีความหนักแน่ไม่เชื่อคนง่าย เช่น กษัตริย์ถูกวัสสการพรามหณ์ใช้อุบายยุแหย่ให้แตกความสามัคคี


ก็พ่ายแพ้ศัตรูได้โดยง่ายดาย

“ครูวัสสการแส่ กลแหย่ยุดีพอ
ปั่นป่วน บ เหลือหลอ จะมิร้าวมิรานกัน”

ความแตกสามัคคี ทำให้บ้านเมืองไม่สงบสุขเเม้ว่าจะทำกิจอันใดก็ย่อมไม่ประสบผลสำเร็จ เช่น ความแตก


สามัคคีกันในราชวงศ์ทำให้บ้านเมืองไม่สงบและทำให้ข้าศึกโจมตีได้ง่าย

“เหล่าไหนผิไมตรี สละลี้ ณ หมู่ตน


กิจใดจะขวายขวน บ มิพร้อมมิเพรียงกัน
อย่าปรารถนาหวัง สุขทั้งเจริญอัน
มวลมาอุบัติบรร ลุไฉน บ ได้มี”
14

หลักธรรมอปริหานิยธรรม 7 ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ส่งผล ให้เกิดความเจริญของหมู่คณะ ปราศจากความเสื่อมได้


เช่น การเข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้ทราบข้อมูลที่เหมือนและตรงกัน และไม่ทำให้เกิดการความ
เข้าใจผิดกัน

“ควรชนประชุมเช่น คณะเป็นสมาคม
สามัคคิปรารม ภนิพัทธรำพึง”
15

บรรณานุกรม

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย.


วรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว, 2557. 169 หน้า
ห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ. สามัคคีเภทคำฉันท์ [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561. สืบค้นได้จาก
http://vajirayana.org/สามัคคีเภทคำฉันท์

You might also like