Professional Documents
Culture Documents
จัดทาโดย
เสนอ
อาจารย์นภดล แช่มช้อย
DNA
ดีเอ็นเอ (Deoxyribonucleic acid, DNA) เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสารพันธุกรรม
ของมนุษย์และเป็นตัวกาหนดลักษณะต่าง ๆ ของบุคคล รูปแบบลายพิมพ์ดีเอ็นเอในบุคคลที่มี
ลักษณะจาเพาะ รูปแบบลายพิมพ์ดีเอ็นเอของแต่ละบุคคลไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เกิดจนตาย
ดีเอ็นเอเป็นสารพันธุกรรมที่เกิดจากการเรียงตัวกันของนิวคลีโอไทด์ 4 ชนิด นิวคลีโอไทด์
ประกอบด้วยน้าตาลดีออกซีไรโบส เบสและหมู่ฟอสเฟต นิวคลีโอไทด์แต่ละชนิดแตกต่างกันที่ชนิด
ของเบสที่เป็นองค์ประกอบ ได้แก่อะดีนีน (adenine, A), ไทมีน (thymine, T), ไซโทซีน
(cytosine, C) และกัวนีน(guanine, G)
ดีเอ็นเอทาหน้าที่บรรจุข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตโดยบรรจุอยู่ในนิวเคลียสของทุก
เซลล์ ยกเว้นเซลล์เม็ดเลือดแดง ในมนุษย์มีการจัดเรียงดีเอ็นเอให้อยู่ในรูปโครโมโซม จานวน 23 คู่
รวม 46 แท่ง แบ่งเป็นโครโมโซมร่างกาย 22 คู่ (autosome) และโครโมโซมเพศ 1 คู่(sex
chromosome)
จากการศึกษาองคประกอบของเบสในดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด พบวามีปริมาณ
เบสตาง ๆ แตกตางกัน และวิเคราะหโครงสรางดีเอ็นเอดวยวิธีการหักเหกระจายของรังสีเอ็กซ (X-
ray diffraction) ของ James Watson และ Francis Crick พบวาอะดีนีนจะจับคูกับไธมีน และ
กวานีนจะจับคูกับไซโตซีน (complementary base pairing) การจับคูกันอยางจาเพาะนี้อาศัย
พันธะไฮโดรเจน นอกจากนี้ยังพบวาโครงสรางดีเอ็นในธรรมชาติมีลักษณะเปนเกลียวคู (double
helix) ประกอบดวยสายดีเอ็นเอ 2 สาย ที่กลับทิศทางกัน (anti parallel) ดีเอ็นเอทั้ง 2 สาย จะ
พันเปนเกลียววนขวาในลักษณะรอบแกนร่วมเดียวกัน ถาสายหนึ่งวางตัวจากปลาย 5’ ไป 3’ (5’ -
3’) อีกสายหนึ่งจะวางตัวจากปลาย 3’ ไปปลาย 5’ (3’-5’) การพันเปนเกลียวคูเชนนี้จะกอให
เกิดรอง (groove) ในสายของดีเอ็นเอซึ่งมี 2 ขนาด คือ รองขนาดเล็ก (minor groove) และรอง
ขนาดใหญ (major groove) ทั้ง 2 สายจะเอาสวนที่เปนแกนหลักไวดานนอก และหันสวนที่เป
นเบสเขาไปไวตรงกลาง โดยเบสแตละตัวจะยึดกันดวยพันธะไฮโดรเจนในปจจุบันเปนที่ยอมรับ
กันวา DNA เกลียวคูตามที่เสนอโดย Watson และ Crick นี้เปนโครงสรางตามธรรมชาติของดีเอ็น
3
เอ และเปนโครงสรางที่เสถียรที่สุดที่ไมสลายไดงาย ดังนั้นการอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณและ
การทางานของ DNA สวนใหญจะใชโครงสรางเกลียวคูเปนหลัก
คุณสมบัติของดีเอ็นเอ
ดีเอ็นเอมีสมบัติเฉพาะตัวหลายอยาง เชน
1.การเปนกรดดีเอ็นเอ แสดงสมบัติเปนกรดเนื่องจากมีหมูฟอสเฟตเปนจานวนมาก
2.ความหนืดของดีเอ็นเอจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อรูปรางของมันเปลี่ยนแปลงไป ถาแยกเป็น
สายเดี่ยวความหนืดก็ลดลง
3.การเสียสภาพและการกลับคืนสูสภาพธรรมชาติ การเสียสภาพธรรมชาติ หมายถึง
การทาใหดีเอ็นเอสองสายแยกออกเปนสายเดี่ยว ปจจัยที่ทาใหเสียสภาพธรรมชาติ คือ
ความรอน กรดดาง รังสีเอกซและสารเคมีบางชนิด ถาปรับสภาพแวดลอมเสียใหม ดีเอ็นเอ
สายเดี่ยวจะสามารถกลับเขาคูก่ ันและประกอบกันขึน้ เปนเกลียวคูใหมอีกครั้งได
4. สมบัติในการดูดกลืนแสงของดีเอ็นเอ เนื่องจากเบสในดีเอ็นเอจะสามารถดูดกลืนแสง
ในชวงคลื่นแสงอัลตราไวโอเลตไดดีที่สุดที่ความยาวคลื่น 260 นาโนเมตร
วิธีวัดดีเอ็นเอปริมาณต่า
1.Ultraviolet (UV) spectrophotometer
เป็นเทคนิคใช้ในการตรวจวัดปริมาณดีเอ็นเอโดยวัดค่าการดูดกลืนแสง UV ของดีเอ็นเอที่
ส่วนใหญ่เกิดจากการดูดกลืนแสง UV ของ aromatic ring ของเบสพิวรีนและไพริมิดีน UV
spectroscopy มีหลักการในการวัดพลังงานที่ดูดกลืนเข้าไปเมื่ออิเล็กตรอนเปลี่ยนชั้น ระดับ
พลังงานไปอยู่ในระดับชั้นพลังงานที่สูงขึ้น (electronic transition) โดยปกติช่วงแสงช่วง UV จะ
มีความยาวคลื่นประมาณ 10-380 nm การวัดความเข้มข้นหรือปริมาณของดีเอ็นเอวัดจากค่าแสง
ที่ส่องผ่านตัวอย่าง (I) เปรียบเทียบกับค่าการดูดกลืนแสงก่อนผ่านตัวอย่าง (I0) ค่าการส่องผ่าน
ของแสงคานวณจากอัตราส่วนระหว่าง I/I0 และคานวณเป็นค่าร้อยละ (%Transmittance, %T)
ซึ่งค่าการดูดกลืนแสง (Absorbance, A) ได้จากการคานวณตามสมการของเบียร์แลมเบอร์ก
(Beer lamborg Thery) ดังสมการที่ (1) แล้วนาค่าที่ได้มาคานวณความเข้มข้น (Concentration)
และปริมาณ (Yield) ของดีเอ็นเอ ดังสมการ(2-3)
A = -log(%T/100%) (1)
DNAconcentration(µg/ml) = OD260×50 µg/ml (2)
DNA yield (µg) = Concentration (µg/ml)×Total volumn (µl) (3)
ส่วนประกอบที่สาคัญของเครื่อง UV spectrophotometer มีดังนี้
1.แหล่งกาเนิดรังสี(Source): ที่นิยมใช้กันแพร่หลายมีดังนี้
ก. หลอดไฮโดรเจนและหลอดดิวทีเรียมความดันต่า เป็นแหล่งกาเนิดรังสีต่อเนื่องที่ดีที่สุด
ตั้งแต่ช่วงความยาว คลื่นประมาณ 160-360 nm
ข. หลอดทังสเตนหลอดชนิดนี้มีราคาถูก ประกอบด้วย ลวดทังสเตนอยู่ในหลอด
สูญญากาศ ซึ่งให้รังสีที่มี ความยาวคลื่นตั้งแต่ช่วง UV จนถึงช่วง IR (infrared)
2.โมโนโครเมเตอร์ (Monochromator) : เป็นชิ้นส่วนสาคัญในการกาหนดคุณภาพของสเปคโตร-
โฟโตมิเตอร์ ทาหน้าที่แยกลารังสีที่มีความยาวคลื่นต่อเนื่องออกเป็นลารังสีความยาวคลื่นเดียว
6
ข้อดีของเทคนิค UV spectrophotometer
(1) วัดค่าดีเอ็นเอได้ง่าย
(2) ใช้ปริมาณดีเอ็นเอในการวัดต่าเพียง 1μl (ถ้าความเข้มข้นเพียงพอ)
ข้อเสียของเทคนิค UV spectrophotometer
(1) ความไวต่าโดยวัดได้ต่าที่สุดที่ 0.15 μg/ml
(2) ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ทาให้เคลื่อนย้ายหรือนา ไปใช้ในภาคสนามได้ยาก
7
2.Nanodrop®
เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดดีเอ็นเอปริมาณต่า ซึ่งเกิดจากการดูดซับเบสพิวรีนและไพริมิดีนที่เป็น
องค์ประกอบ หลักของดีเอ็นเอที่ความยาวคลื่น 260nm ซึ่งบริเวณแท่นหยดสารจะมีเส้นใยแก้ว 2
เส้นติดอยู่คือ fiber optic cable (the receiving fiber) ที่ติดอยู่ที่ตัวเครื่อง และ second fiber
optic cable (the source fiber) ที่สัมผัสกับสารตัวอย่าง ดังนั้น เมื่อหยดสารตัวอย่างลงบนแท่น
หยดสารทาให้สารละลายดีเอ็นเอเกิดการเชื่อมกันระหว่างช่องว่างโดย อาศัยแรงตึงผิวของ
สารละลายเมื่อ Xenon flash lamp ให้แสง UV ผ่านไปยังตัวอย่างดีเอ็นเอจะมีการดูดซับพลังงาน
แสงไว้จานวนหนึ่งซึ่งค่าที่ได้จะถูกส่งไปประมวลผลที่อุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณชนิด CCD array
และ คานวณค่าความเข้มข้นของดีเอ็นเอเทียบกับค่าการดูดกลืนแสงของ blank ดังสมการ (4)
−log (𝐼𝑛𝑡𝑒𝑛𝑠𝑖𝑡𝑦𝑠𝑎𝑚𝑝𝑙𝑒 )
Absorbance of DNA = (4)
(𝑖𝑛𝑡𝑒𝑛𝑠𝑖𝑡𝑦𝑏𝑙𝑎𝑛𝑘 )
ข้อดีของเทคนิค Nanodrop®
(1) ความไวตามทฤษฏีในระดับ 2ng/μl
(2) วิเคราะห์ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ
(3) ใช้ปริมาณตัวอย่างน้อย 0.5 ถึง 5 µl
(4) วิเคราะห์ตัวอย่างในช่วงความยาวคลื่นกว้างจาก200 ถึง 900 nm
(5) วิเคราะห์ตัวอย่างได้รวดเร็วโดยใช้เวลาน้อยกว่า 5 min ต่อตัวอย่าง
(6) สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน โดยหน้าจอเป็นระบบสัมผัส
ข้อเสียของเทคนิค Nanodrop®
(1) ความไวในการตรวจวัดต่า
(2) ราคาแพง
3.Qubit® Fluorometer
PCR ชั้นสูงที่ได้มีการพัฒนาดัดแปลงเฉพาะเทคนิคพื้นฐานดังต่อไปนี้
1.Multiplex PCR
2. Nested PCR
15
3. PCR cloning
4. PCR-SSCP
16
5. RT-PCR
การเตรียมและขั้นตอนการ PCR
1. การเก็บสิ่งส่งตรวจหรือตัวอย่างเพื่อสกัดดีเอ็นเอ
ตัวอย่างที่ส่งตรวจอาจเป็นเนื้อเยื่อจากพืช สัตว์ หรือสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยเช่น เลือด สาร
น้าต่าง ๆ ชิ้นเนื้อ อาจเป็น Fixed paraffin-embedded tissue สามารถเอามาสกัดสาร
พันธุกรรมที่เป็น DNA หรือ RNA ก็ได้โดยใช้วิธีง่ายๆ และรวดเร็ว ซึ่งมีหลายวิธีซึ่งสามารถสกัดเอา
DNA ปริมาณน้อยๆ ได้เนื่องจากเทคนิค PCR มีความไวสูง และอาศัย DNA ปริมาณน้อยๆ ได้ ทั้ง
สามารถเลือกเพิ่มจานวน DNA ช่วงสั้นๆ ได้ดี จึงสามารถใช้กับสิ่งส่งตรวจที่เป็นตัวอย่างที่เก็บไว้
เป็นระยะเวลานาน ทาให้มีประโยชน์นาไปใช้กับงานทางด้านโบราณคดีหรืองานนิติเวชได้
2. ดีเอ็นเอต้นแบบ (Template DNA)
DNA ต้นแบบที่มีลาดับเบสเป้าหมายหรือดีเอ็นเอเป้าหมาย (DNA Target) สามารถจะใช้
ในปฏิกิริยาของ PCR ในลักษณะ DNA สายเดี่ยวหรือ DNA สายคู่ก็ได้ แม้ว่าขนาดของดีเอ็นเอ
ไม่ใช่จุดที่มีปัญหามากนัก แต่การเพิ่มจานวนดีเอ็นเอโดยดีเอ็นเอมีขนาดสั้นๆอยู่ในรูปปลายเปิดจะ
มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเพราะ primer จะเข้าไปจับ ซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการเพิ่มจานวนและลดผลผลิต
DNA ที่ไม่จาเพาะลง โดยทั่วไปควรทดสอบปริมาณ DNA ต้นแบบที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ปริมาณ
DNA ที่ต้องการเพียงพอและมีความไวที่เหมาะสม
3. นิวคลีโอไทด์ตั้งต้น (Primer)
การเลือกออกแบบ Primer ที่จะใช้ต้องเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละงานโดยอาศยหลักการ
จับคู่กันแบบจาเพาะของสายดีเอ็นเอที่ต้องการตรวจหากับ primer โดยลาดับนิวคลิโอไทด์ของ
primer เป็นตัวกาหนดความจาเพาะในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ ดังนั้นจึงต้องทราบลาดับเบสที่
นามาสังเคราะห์ primer
ข้อแนะนาในการเลือกและออกแบบ Primer ได้แก่
1). ความยาวของ Primer : ควรมีความยาวประมาณ 18-30 นิวคลีโอไทด์ ขึ้นอยู่
กับงานที่ใช้
2). ควรเลือก Primer ที่มีการกรายของเบสอย่างสม่าเสมอ
19
6. บัฟเฟอร์ (Buffer)
ส่วนประกอบของบัฟเฟอร์ประกอบด้วย Tris-HCL, KCL, MgCL2 และ Glycerol ความ
เข้มข้นและภาวะที่เหมาะสมของส่วนประกอบต่างๆ ในบัฟเฟอร์มีดังนี้
6.1.ความเข้มข้นของ Magnesium ion (Mg 2+ )
Taq DNA polymerase ต้องการ magnesium ion เพื่อช่วยส่งเสริมให้ปฏิกิริยา
การขยายสายดีเอ็นเอดาเนินต่อไปได้ โดย magnesium ion จะทาหน้าที่เป็น co-factor
นอกจากนั้น magnesium ion ยังมีผลต่อการ ทางานของเอนไซมด้วย (enzyme
fidelity) และมีผลต่อการ anneal ของ primer ความเข้มข้นของ Magnesium ion ต้อง
ปรับเปลี่ยนให้พอเหมาะกับความเข้มข้นของ dNTPs โดยทั่วไปความเข้มข้นที่พอเหมาะ
ของ magnesium ion คือต้องเหลือ magnesium ในรูปอิสระประมาณ 0.5-1.0 mM
โดยทั่วไปมักใช้ magnesium ความเข้มข้นทั้งหมดเป็น 1.5 mM ความเข้มข้นของ
mahnesium ion ที่มากเกินไป ทาให้เกิดผลผลิตดีเอ็นเอที่ไม่จาเพาะ และพบว่าการปรับ
ค่า magnesium ion ก็ช่วยให้ primer มีการanneal ที่มีความจาเพาะขึ้นเช่นเดียวกับ
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
6.2) pH
pH ที่เหมาะสมในการทางานสาหรับ Taq DNA polymerase คือที่ pH 7-7.5 ที่
อุณหภูมิ 72 องศาเซลเซียส แต่ปกติ Taq DNA polymerase จะอยู่ใน Tris buffer ซึ่งมี
pH 8.5-9.0 ที่ 25 องศาเซลเซียส เนื่องจาก pH ของ Tris- buffer จะลดลงประมาณ
0.03 ของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นแต่ละองศา ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 72 องศาเซลเซียส
จะได้ pH 7.3
7. องค์ประกอบอื่นในปฏิกิริยา PCR
โดยทั่วไปส่วนประกอบของบัฟเฟอร์ที่ใช้ใน PCR คือ 10-15 mM Tris-HCL muj pH8.4
ที่ 25 องศา เซลเซียส, 50 mMKCL, 1.5 mM MgCL2 0.01% gelatin (W/V) หรืออาจใช้
non-ionic detergent อื่นแทน gelatin ได้ เช่น 0.01% NP40 และ 0.01% Tween 20 การ
22
Temperature cycling
1. ขั้นตอน Denaturation อุณหภูมิที่ใช้ส่วนใหญ่ประมาณ 94-95 องศาเซลเซียส เป็น
เวลานาน 30-60 วินาที อย่างไรกการใช้เวลานานและอุณหภูมิที่สูงเกินไป จะทาให้เอนไซมและนิ
วคลีโอไทดฺสูญเสียคุณสมบัติได้ แต่ถ้า ใช้เวลาน้อยและอุณหภูมิที่ต่าเกินไป จะทาให้สายดีเอ็นเอ
แยกออกจากันได้ไม่ดี ทาให้ผลผลิต PCR ลดลง กรณีที่ DNA ต้นแบบมีปริมาณ G+C content ที่
สูงมาก ต้องเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นด้วย
2. ขั้นตอน Primer annealing โดยทั่วไปใช้อุณหภูมิในขั้นตอนนี้ประมาณ 55-72 องศา
เซลเซียสซึ่งใช้อุณหภูมิ annealing temperature ที่ต่ากว่า Tm ของ Primer ประมาณ 5 องศา
เซลเซียสการใช้อุณหภูมิที่สูงในขั้นตอนนี้จะช่วยในการเพิ่มความจาเพาะในการจับคู่ เวลาที่ใช้ใน
ขั้นตอนนี้ประมาณ 30 วินาที
3. ขั้นตอน Primer extension เวลาที่ใช้ในขั้นตอนนี้ขึ้นกับความยาว ความเข้มข้น และ
ลาดับเบสของ DNA ต้นแบบ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1 นาที ที่อุณหภูมิ 72 องศาเซลเซียส
โดยปกติ Taq DNA polymerase สามารถเพิ่มความยาวของสาย DNA ได้ประมาณ 6,000 นิวคลี
โอไทด์ต่อนาทีที่อุณหภูมิ 72 อาศาเซลเซียส การใช้เวลาที่มากในขั้นตอนแรกจะมีประโยชน์สาหรับ
ดีเอ็นเอต้นแบบทีมี่จานวนน้อย
23
ข้อควรระวังในการทา PCR
การปนเปื้อน (Contamination)
ถึงแม้ว่าเทคนิค PCR นี้จะเป็นวิธีทสามารถเพิ่มจานวนดีเอ็นเอได้มากหลายล้านเท่า แต่ก็
สามารถเพิ่ม จานวนดีเอ็นเอที่ปนเปื้อนเพียงเล็กน้อยได้มากเช่นกัน ทาให้เกิดผลบวกปลอมได้ การ
ปนเปื้อนอาจเกิดได้จาก หลายสาเหตุเช่น การสกัดแยกดีเอ็นเอ หรือจากการปนเปื้อนของผลผลิต
PCR ครั้งก่อน (carry over contamination) ซึ่งมักจะอยู่ในรูปละอองลอย (aerosol) ที่มัก
เกิดขึ้นขณะการเปิด-ปิดฝาหลอด และการปนตกตะกอน ละอองลอยนี้สามารถปนเปื้อนกับสิ่ง
ตางๆ ในห้องปฏิบัติการทั้งอุปกรณ์เครื่องมือและวัสดุต่างๆ รวมทั้งผิวหนัง ผม และมือผู้
ปฏิบัติการได้ ดังนั้น จึงควรมีการระวังการปนเปื่อนให้มากโดยเฉพาะการปนเปื้อนชนิด carry-
over contamination
วิธีการที่จะป้องกันการปนเปื้อนมีด้วยกันหลายอย่างเช่น
1.ควรแบ่งพื้นหรือห้องทางานในช่วงก่อนและหลังทา PCR (separate workspace)
2.แบ่งสารเคมีหรือน้ายาลงในหลอดเล็ก ๆ (Aliquot) เพื่อให้การนามาใช้แต่ละครั้งไม่ปนกัน
3.ใช้ Micropipette และ Filter tip ซึ่งเป็นทิปชนิดพิเศษที่ป้องกันการแพร่กระจายของละออง
ลอย โดยมีลักษณะ สาคัญคือมีไส้กรอง (membrane) อยู่ภายใน
4.มีตัวควบคุมที่เหมาะสมในการทา PCR โดยตัวควบคุมจะมีด้วยกัน 3 แบบ คือ แบบแรกเป็นตัว
ควบคุมที่ไม่มีดีเอ็นเอ (no template) เพื่อเป็นการควบคุมการปนเปื้อนของสารที่ใช้ (negative
control) แบบที่สองเป็นตัวควบคุมที่มี DNA ชนิดที่ไม่มีลาดับเบสเป้าหมายอยู่ (negative
control) และแบบที่สามเป็นตัวควบคุมที่มีดีเอ็นเอต้นแบบที่ต้องควบคุม(positive control)
5.การปฏิบัติงานด้วยขบวนการปราศจากเชื้อ (Sterile technique) และด้วยความระมัดระวังเช่น
การสวมถุงมือและ เปลี่ยนถุงมือบ่อยๆ
6.ลดขั้นตอนย้ายถ่ายสารละลาย (Minimize handling of the solutions ) เช่นลดขั้นตอนการ
ใช้ปิเปต โดยการทา master mix เมื่อต้องทา PCR หลายตัวอย่าง
25
ข้อจากัดทางด้านเทคนิคของวิธี PCR
แม้ว่าเทคนิค PCR จะมีประสิทธิภาพสูง แต่มีข้อจากัดบางอย่างเช่น
1. ข้อผิดพลาดในการทางานของเอนไซม taq DNA polymerase มีความผิดพลาดในการ
นาเบสที่ไม่ใช่คู่สมมาต่อกับดีเอ็นเอที่กาลังสร้างขึ้นมาเท่ากับ 10-5 error/base เมื่อทา PCR ไป
30 รอบ โอกาสที่จะผิดพลาดจะพบ 1 ใน 3000 bp ของผลผลิต PCR
2. ความยาวของขนาด PCR ถึงแม้ว่า PCR จะสามารถทาให้ได้ผลผลิตที่มีขนาดยาว 10
kb ได้แต่ส่วนใหญ่จะ ได้ผลดีทีสุดเมื่อขนาดของ PCR ไม่มากกว่า 2 kb เพราะถ้ายาวกว่านี้ความ
ผิดพลาดจะมากขึ้น เนื่องจาก primer และ taq DNA polymerase ทางานไม่สมบูรณ โดยจะมี
การจับ dNTPs ที่ไม่ถูกต้องมาต่อเข้าภายในสาย DNA มากขึ้น
ปัจจุบันพบว่า PCR เป็นเทคนิคที่นาไปใช้ประโยชน์ได้หลายสาขาทั้งการแพทย์, การเกษตร,
โบราณคดี, อุตสาหกรรม และอื่นๆอีกมากมาย จึงนับว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มหาศาล
ปัจจุบัน PCR มีเทคนิคใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมากมายจึงเรียกว่า Advanced PCR อันได้ก่ Nested
PCR, Reverse transcriptase PCR (RT-PCR-SSCP, Multiplex PCR, Random Amplified
Polymorphism of DNA (PAPD) และ Realtime PCR เป็นต้น ทาให้มีความ หลากหลายในการ
เลือกใช้ให้เหมาะสมกับงานและได้ประโยชน์ยิ่งขึ้น
1. Multiplex PCR
เป็นเทคนิคการทา PCR ซึ่งทาการเพิ่มขยายดีเอ็นเอเป้าหมายโดยใช้ primer หลายคู่
พร้อมกันในปฏิกิริยาเดียวกันโดย primer แต่ละคู่ที่นามาต้องออกแบบให้ดี ไม่มี
complementary กัน และเมื่อนาไปทา PCR จะให้ผลผลิตที่มีขนาดความยาวที่แตกตางกัน การ
ทา multiplex PCR ต้องปรับสภาวะพอเหมาะของปฏิกิริยา เพื่อให้สามารถเพิ่มขยายจานวนดี
เอ็นเอจากทุก Primer ที่ใส่ลงไปได้เท่ากัน และเนื่องจากในปฏิกิริยานี้จะมี primer หลายคู่
2. Nested PCR
เป็นเทคนิค PCR ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ได้ผลผลิต PCR ที่มากขึ้น เทคนิคนี้ทาได้
โดยอาศัย PCR 2 ขั้นตอนด้วย Primer 2 คู่ โดย primer คู่แรกจะใช้ในตอน PCR ขั้นตอนแรก
และPrimer คู่แรกจะอยู่รอบนอกของดีเอ็นเอที่มีขนาดใหญ่กว่าดีเอ็นเอเป้าหมายแต่มีดีเอน
เป้าหมายอยู่ภายในลาดับเบสของผลผลิตของดีเอ็นเอ หลังจากนั้นนาเอาผลผลิตของ PCR ขั้นตอน
แรกไปทา PCR ขั้นตอนที่สองโดยใช้ primer คูท่ ี่ 2 ซึ่งออกแบบให้สาหรับเพิ่มขยายได้เฉพาะดีเอ็น
เอเป้าหมาย ซึ่งอยู่ถัดเข้าไปจาก primer คู่แรก การทา PCR ขั้นตอนที่สองนั้นอาจทาปฏิกิริยา
25-30 รอบ ในที่สุดก็ได้ผลผลิตดีเอ็นเอเป้าหมายที่เพิ่มขยายจานวนมากตามที่ต้องการเทคนิคนี้
นิยมนาไปใช้ในการประยุกต์เรือ่ งชันสูตรโรค
3. PCR cloning
คุณสมบัติของ PCR ทาให้เราสามารถสร้างดีเอ็นเอที่ต้องการออกมาได้เป็นจานวนมาก ดี
เอ็นเอดังกล่าวนี้สามารถนาไปทา cloning เข้าไปใน plasmid vector, M13 vector หรือ
vector ชนิดอื่นๆได้อาศัยคุณสมบัติการออกแบบ primer ที่เหมาะสม เช่นเพิ่มส่วนที่เป็น
restriction site ก็ทาให้เราสามารถนาเอา PCR นั้นมาตัดด้วย restriction enzyme แล้ว clone
เขาสู่ vector ที่ต้องการได้ การ cloning อาจจะอาศัย primer ที่ออกแบบเป็น blunt end หรือ
sticky end ก็ได้ข้อดีของการใช้ PCR ในการ cloning ก็คือสามารถ clone ได้อย่างรวดเร็วใน
ระยะเวลาอันสั้น โดยได้ fragment ที่ต้องการประหยัดเวลาในการเตรียมดีเอ็นเอตั้งต้นโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเมื่อต้องการ clone gene ที่มีดีเอ็นเอตั้งต้นปริมาณน้อยๆ ส่วนข้อเสียนั้นการโคลน ด้วย
วิธีนี้ และจาเป็นต้องรู้ลาดับหัว-ท้ายของยีนที่ เรากาลังจะโคลน
27
4. PCR-SSCP
เป็นเทคนิคที่ผสมเอาหลักการของ Single-strand conformation polymorphism
(SSCP) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ในการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอเพียง 1 bp (base pair) ในสาย
ของดีเอ็นเอสั้นๆ เข้ากับวิธีของ PCR ดังนั้นการทา PCR-SSCP นั้นจะเริ่มจากการเพิ่มขยายดีเอ็น
เอเป้าหมายต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของลาดับเบสเพียง 1 bp ในสายของดีเอ็นเอประมาณ
100-500 bp ด้วยวิธี Simple PCR จากนั้นนาเอา PCR product มาทา SSCP นั้นจะอาศัย
หลักการที่ว่า denature PCR product ให้เป็น single strand แล้วจึงนาเอาดีเอ็นเอ นี้ไปแยก
ด้วย non-denaturing gel เพื่อดูการเคลื่อนที่ของดีเอ็นเอ ถ้าดีเอ็นเอสายนั้นมีการเปลี่ยนแปลง
ลาดับเบสไปเพียง 1 bp ก็จะทาใหการเคลื่อนที่ของดีเอ็นเอในเจลแตกตางไปจากเดิม ส่วนใหญ่
ของการทา SSCP นั้นมักจะใช้วิธีการ labeled labeled PCR product ด้วย และแยกบน5%
non-denaturing polyacrylamide gel แล้วทา 32P autoradiography
5. RT-PCR
เป็นเทคนิคการเพิ่มขยายยีนที่สนใจจากอาร์เอ็นเอแม่แบบ โดยหลักการคือ ทาการสกัด
อาร์เอ็นเอใหม่ ความบริสุทธิ์ จากนั้นเขาสู่ขั้นตอนการสังเคราะห์ cDNA โดยกระบวนการ reverse
transcription โดย อาศัย enzyme reverse transcriptase (RT) เอนไซมนี้ทางานโดยสร้างสาย
ดีเอ็นเอได้ทั้งจากแม่พิมพ์ที่เป็นดีเอ็นเอและอาร์เอนเอโดยทั่วไป RT ที่ใช้ในงาน cDNA เป็น
เอนไซม์ที่ได้มาจาก retroviruses สองตัว Avian myeloblastosis (AMV) และ Moloney
murine leukemia virus (MMIV) ซึ่ง RT จากไวรัสทั้งสองตัวมประสิทธิภาพในการสร้าง cDNA
ไม่แตกต่างกัน โดยขั้นตอนนี้อาจใช้ primer ที่เป็นgene specific primer (GSP) ซึ่งเป็น Primers
ที่สามารถใช้ในการสร้างสาย cDNA ที่จาเพาะที่สุด หรือจะใช้ Oligo (Dt) primer ซึ่งการใช้
primer ประเภทนี้จะมีอาร์เอ็นเอจาเพาะที่เป็น Poly (A)+ RNA เท่านั้นที่ถูกนามาใช้เป็นแม่แบบ
ในการสร้างสาย cDNA หรือการใช้ Random primer เป็น primer ที่ไม่มีความจาเพาะ จึง
สามารถเข้าจับกับอาร์เอ็นเอทุกชนิด ดังนั้น cDNA ที่เกิดขึ้นจึงมีความหลากหลายมากที่สุด
28
อ้างอิง
http://research.police.go.th/index.php/datacenter/research/2558/-2552-1/78--2552-
1/file
http://dmsc2.dmsc.moph.go.th/brdfiles/PCR%20%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B
8%9A%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.pdf
http://qsds.go.th/newqsds/file_upload/2014-07-04-7.pdf
https://home.kku.ac.th/uac/journal/year_10_2_2545/01_10_2_2545.pdf