Professional Documents
Culture Documents
8 บทที่1-5 PDF
8 บทที่1-5 PDF
บทที่ 1
บทนา
ฟั ซ ซี ล อจิ ก เป็ นศาสตร์ ด้า นการค านวณที่ เ ข้า มามี บ ทบาทมากขึ้ น ในวงการวิ จ ัย ด้า น
คอมพิ วเตอร์ และได้นาไปประยุก ต์ใช้ในงานต่า งๆ มี ค วามจาเป็ นอย่างยิ่ง สาหรั บ นัก ศึ กษาด้า น
วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้องควร
จะได้ศึกษาเพื่อทาความเข้าใจในศาสตร์ ฟัซซี ลอจิกและโครงข่ายประสาทเทียมให้ลึกซึ้ ง ทั้งนี้ เพื่อ
น าไปประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นงานด้า นต่ า งๆ ซึ่ งนั บ วัน จะยิ่ ง มี ค วามต้อ งการระบบคอมพิ ว เตอร์ ที่ มี
ความสามารถในการปรั บ เปลี่ ย นระบบได้โดยอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมที่ เปลี่ ย นไป มี ก าร
ตัดสิ นใจแบบชาญฉลาดเยีย่ งมนุษย์ได้มากขึ้น ซึ่ งมนุษย์สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่เคยพบได้โดย
ความรู ้เก่าที่ได้เรี ยนรู ้มาประยุกต์ในการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
ด้วยเหตุ น้ ี ผูท้ าโครงงานจึงทาการศึกษาโครงงานการควบคุ มการท างานของพัดลมเพื่ อ
ประหยัดพลังงาน ด้วยตัวควบคุมฟัชซี โดยอาศัยหลักการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิห้อง เพื่อนาไป
ควบคุมความเร็ วมอเตอร์ของพัดลม
1.1วัตถุประสงค์ โครงงาน
1.เพื่อสร้างตัวควบคุมการทางานของพัดลม
2.เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความเร็ วของมอเตอร์ พดั ลม
3.เพื่อประยุกต์หลักการของระบบควบคุม และเครื่ องจักรกลไฟฟ้ า
4.เพื่อวิเคราะห์ การประหยัดพลังงาน ระหว่าอุณหภูมิกบั ความเร็ วของมอเตอร์พดั ลม
5.เพื่อให้เกิดทักษะและประสบการณ์ทางด้านวิศวกรรม
1.2 ขอบเขตของโครงงาน
1.ควบคุมพัดลมจานวน 1ตัว
2.พัดลมขนาด 18 นิ้ว 78 วัตต์
3.ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ ATmega328 สร้างตัวควบคุมฟั ชซี่ เพื่อควบคุมความเร็ วของ
มอเตอร์พดั ลม
2
ตัววัดอุณหภูมิ อุณหภูมิของ
อุณหภูมิ ห้ อง ห้ อง
ภาพที่ 1.1 โครงสร้างของโครงงาน
1.เข้าใจการทางานของมอเตอร์พดั ลม
2.เข้าใจหลักการทางานการเปลี่ยนแปลงความเร็ วของมอเตอร์พดั ลม
3.เข้าใจหลักการออกแบบวงจรควบคุมความเร็ วของมอเตอร์พดั ลม
4.เข้าใจหลักการทางานของตัวรับรู้อุณหภูมิและสามารถนาไปใช้งานได้
3
บทที่ 2
ทฤษฎีที่เกีย่ วข้ อง
เซต (Fuzzy Set) เป็ นเครื่ องมือทางคณิ ตศาสตร์ ที่สื่อถึง “ความไม่แน่นอน (Uncertainty)” สามารถที่
จะสร้างและกาหนดรู ปแบบ (Modeling) ของลักษณะความไม่แน่นอนที่เป็ นความคลุมเครื อ ความ
ไม่ตายตัว รวมถึงความขาดข้อมูลบางส่ วน โดยทฤษฎีของฟัซซีเซตจะใช้ลกั ษณะความหมายตัวแปร
(Linguistic) มากกว่าปริ มาณ (Quantitative) ของตัวแปร เช่น การหาความหมายของ “คนที่อว้ น” เรา
ไม่สามารถนิ ยามค่าความอ้วนที่ตรงกันและระบุเป็ นหนึ่ งเดียว (Identical) สาหรับคนที่อว้ น นาย ก.
จะให้ความหมายของ “คนอ้วน” หมายถึงคนที่มีน้ าหนักมากกว่า 70 กิโลกรัม นาย ข. ให้ความหมาย
ว่าเป็ นคนที่มีน้ าหนักมากกว่า 75 กิ โลกรัม ซึ่ งทั้งสองคนต่างแสดงความหมายของคาว่าคนที่อว้ น
โดยเปรี ยบเที ยบและในมุมมองของตัวเองตามน้ าหนักของตน ในการทางานในมุ มมองแบบฐาน
สอง(Binary Sense) จะได้ผลเป็ น ใช่ หรื อ ไม่ใช่ เพียง 2 กรณี ซึ่ งหากกาหนดว่า คนที่อว้ นคือคนที่มี
น้ าหนักมากกว่า 75 กิโลกรัม คอมพิวเตอร์ จะให้ผลว่าคนที่มีน้ าหนัก 74.50 กิโลกรัม ไม่จดั เป็ นคนที่
อ้วน แต่ จะเห็ นว่า บุ ค คลนี้ เ ป็ นคนอ้วนน้ า หนัก เกื อบจะ 75 กิ โลกรั ม และถึ ง แม้ว่า บุ ค คลนี้ จะมี
น้ าหนัก 75 กิโลกรัมแต่หากพิจารณาจากกลุ่มคนที่มีน้ าหนักเฉลี่ย 90 กิโลกรัม บุคคลนี้ ก็จะไม่จดั อยู่
ในกลุ่มคนที่อว้ น แสดงให้เห็นว่า ความอ้วนไม่ได้มีลกั ษณะความไม่แน่นอนแบบสุ่ ม จากการศึกษา
ปั ญหาทัว่ ๆ ไปจะแสดงถึงรู ปแบบลักษณะการกระจายของปั ญหา
ภาพที่ 2.2 เป็ นการแสดงให้เห็นว่าแนวทางในการตัดสิ นใจของปั ญหาทั้งหมดมีเพียงส่ วน
น้อยที่เป็ นสิ่ งที่แน่นอน (Certainty) ที่เหลือคือสิ่ งที่ไม่แน่นอนซึ่ งประกอบด้วยความไม่แน่นอนที่มี
ลักษณะแบบสุ่ ม และความไม่แน่นอนที่มีลกั ษณะเป็ นฟั ซซี หรื อคลุมเครื อ ซึ่ งมีมากกว่าร้อยละ 40
เพราะปั ญหา ส่ วนมากเกี่ยวข้องกับการตัดสิ นใจของมนุ ษย์ซ่ ึ งจะตัดสิ นใจตามพื้นฐานความคิดของ
ตนเป็ นหลัก
2.1.2 เซตแบบฉบับ
ในเซตแบบฉบับ (Classical Set) หรื อเซตทวินยั (Crisp Set) เป็ นเซตที่มีค่าความเป็ นสมาชิ ก
เป็ น 0 หรื อ 1 {0, 1} เท่านั้น เซตในทฤษฎีเซตแบบฉบับจะมีขอบเขตแบบแข็ง (Sharp Boundary)
ซึ่ งเป็ นขอบเขตที่ตดั ขาดจากกันแบบทันทีทนั ใด เซตแบบฉบับมี การกาหนดค่าความเป็ นสมาชิ ก
ตามแนวคิ ดเลขฐานสอง โดยที่ตวั แปรหนึ่ ง ๆ จะมีค่าความเป็ นสมาชิ กเพียงสองค่า คือ 0 ไม่เป็ น
สมาชิ ก และ1 เป็ นสมาชิ ก ตัวอย่างเช่น เซตของคู่แต่งงาน จะสามารถบอกได้วา่ อย่างแน่ชดั ว่าเป็ น
กลุ่มผูแ้ ต่งงานหรื อไม่แต่งงาน
{ (2.1)
2.1.3 ฟัซซีเซต
ฟัซซีเซต (Fuzzy Set) เป็ นเซตที่มีขอบเขตที่ราบเรี ยบ ทฤษฎีฟัซซี เซตจะครอบคลุมทฤษฎี
เซตแบบฉบับ โดยฟัซซี เซตยอมให้มีค่าความเป็ นสมาชิกของเซตระหว่าง 0 และ 1 ในโลกแห่ งความ
เป็ นจริ งเซตไม่ใช่ มีเฉพาะเซตแบบฉบับเท่านั้น จะมีเซตแบบฟั ซซี ดว้ ย ฟั ซซี เซตจะมีขอบเขตแบบ
ฟั ซซี ไม่ใช่ เปลี่ ยนแปลงทันทีทนั ใดจากขาวเป็ นดา ตัวอย่างเช่ น เซตของคู่แต่งงานที่มีความสุ ข จะ
เห็ น ได้ว่า สมาชิ ก ในเซตนี้ จะไม่ มี เ ฉพาะคู่ แ ต่ ง งานที่ มี ค วามสุ ข ระดับ เดี ย วกันหมด บางคู่ จ ะมี
ความสุ ขมาก บางคู่มีความสุ ขน้อย แตกต่างกันไป การใช้เซตแบบดั้งเดิมจึงไม่เหมาะสมยกตัวอย่าง
เกี่ยวกับความอ้วน นิ ยามคาว่าคนอ้วนในเซตทวินยั อาจกาหนดเป็ นคนที่มีน้ าหนักตั้งแต่ 70 ถึง 120
กิโลกรัม โดยนิยามแบบฟัซซี เซตอาจกาหนดเป็ นคนที่มีความอ้วนประมาณ 80 กิโลกรัม ซึ่ งเป็ นการ
ให้นิยามที่ไม่แสดงถึงขอบเขตที่แน่นอน
{ (2.2)
(2.3)
{
นิยาม - Cut เซตของฟัซซี เซต (-Cut Set of Fuzzy Set) - Cut เซตของฟัซซี เซตคือ
คลิปเซตของสมาชิก x ทั้งหมด ที่มีอตั ราความเป็ นสมาชิกมากกว่าหรื อเท่ากับเขียนแทนด้วย
A a = { x U/A x a } (2.5)
2.1.7 ตัวปฏิบัติการฟัซซี
การเท่ากันของฟั ซซี เซต (Equality) ฟัซซี เซต A และ B จะเท่ากันก็ต่อเมื่อฟั ซซี เซตทั้งสอง
ถูกนิยามบนเอกภพสัมพัทธ์เดียวกันและมีฟังก์ชนั การเป็ นสมาชิกเหมือนกันดังสมการ(2.6)
(x) =
A (x) x U
B
(2.6)
การเป็ นสับเซตของฟัซซี เซต (Contain) ฟั ซซี่ เซต A จะบรรจุอยูใ่ นฟั ซซี่ เซต B ก็ต่อเมื่อ
สมาชิก x ทุกตัวในเอกภพสัมพัทธ์ U มีอตั ราความเป็ นสมาชิกของฟัซซี่ เซต A น้อยกว่าหรื อ เท่ากับ
อัตราความเป็ นสมาชิกของเซต B เขียนแทนด้วย
A B ก็ต่อเมื่อ (x) (x) x U
A B
อินเตอร์ เซคชัน ( Intersection ) ถ้า A และ B เป็ นฟั ซซี เซตใน U การรวมสมชิกที่เป็ น
สมาชิกทั้ง 2 เซต จะเขียนได้ดงั สมการ(2.9)
A B โดย
(x) = min [ (x), (x)]
AB A B
(2.9)
แบบฟั ซ ซี ตัวแปรภาษาช่ วยก าหนดค่ า ของสิ่ ง ที่ จะอธิ บ ายทั้ง ในรู ป คุ ณภาพ โดยใช้พ จน์ ภาษา
(Linguistic Term) และในรู ปปริ มาณ โดยใช้ฟังก์ชนั ความเป็ นสมาชิ ก (Membership Function) ซึ่ ง
แสดงความของของเซตแบบฟั ซซี พจน์ภาษาใช้สาหรับการแสดงแนวคิดและองค์ความรู้ในการ
สื่ อสารของมนุษย์ ส่ วนฟังก์ชนั ความเป็ นสมาชิกมีประโยชน์ในการจัดการกับอินพุตที่เป็ นข้อมูลเชิ ง
ตัวเลข
Normalization Denormalization
Inference
Engine
Fuzzification Defuzzification
Rulebase
Fuzzification module Defuzzification module
Rulebase
Database
โดย
A, A, B, B = เป็ นฟัซซี เซต
x, y = ตัวแปรลิงค์จีสติค
(x,y)
R = ค่าความเป็ นสมาชิกของความสัมพันธ์ของ A และ B
(x), (y)
A B = ค่าความเป็ นสมาชิกของตัวแปร x, y
fimp = ฟั งก์ชนั การอิ มพลิ เคชัน (Implication) หรื อฟั งก์ชันการเชื่ อมโยงค่า
ความเป็ นสมาชิกของความสัมพันธ์ฟัซซี
R (x,y) = fimp( (x), (y) )
A B xU, y V
กาหนดให้
A1, B1, A2, B2 = ฟังก์ชนั ความเป็ นสมาชิกของอินพุท
C1, C2 = ฟังก์ชนั ความเป็ นสมาชิกของเอาท์พุท
R1, R2 = กฏความสัมพันธ์ฟัซซี่
z = ตัวแปรลิงค์จีสติก ในเอกภพสัมพัทธ์ U, V, W ตามลาดับ
,
1 2
= ระดับความเป็ นสมชิกของ 2 อินพุท (Fire Strength)
จะได้ค่าความเป็ นสมาชิกของผลสรุ ป ( c )
1
= min( (x ), (y ))
A1 0 B1 0
2
= min(B1 (x ), B1 (y ))
o o
c z = max( , ) c1 c2
U V z1 z2 W
A2 B2 C2
A2 B2 C2
1
x U y V z3 z4 W
c
W
Z
ภาพที่ 2.14 การอนุมานโดยวิธีของ Mamdani (นิมิต บุญภิรมย์,2540)
c (z) * z i
z0 i 1
n
(2.11)
i 1
c (z i )
2.1.10 ขั้นตอนการประมวลผลแบบฟัซซีลอจิก
ขั้นตอนการประมวลผลแบบฟัซซีลอจิกมีรูปแบบการทางานเป็ น 4 ส่ วนจะแสดงดัง ภาพ
ที่ 2.15
แสดงในรู ปกฏของฟัซซี
If e(k) is (Antecedent) then u(k) is (Consequent)
ตัวควบคุมแบบ Proportional-Deriative (PD)
จากสมการ
u = K P e K d ce (2.14)
โดย Kp = Proportional Gain
Kd = Deriative Gain
แสดงในรู ปกฏของฟัซซี
If e (k) is (Antecedent) and ce (k) is (Antecedent) then u(k) is (Consequent)
ตัวควบคุมแบบ Proportional-Intergral (PI)
จากสมการ
u = K p e K I edt
.
โดย Du K p e K I e
แสดงในรู ปกฏของฟัซซี
If e (k) is (Antecedent) and ce (k) is (Antecedent) then u (k) is (Aonsequent)
ตัวควบคุมแบบ Proportional-Integral-Derivative (PID)
จากสมการ
u K e K e K edt
P d I (2.17)
กาหนด e = ผลรวมของค่าผิดพลาด
e =
k 1
e(i) (2.18)
i 1
21
แสดงด้วยกฏของฟัซซี
If e(k) is (Antecedent) and ce (k) is (Antecedent) and e is (Antecedent) then u(k) is
(Consequent)
left right
X
d1 d2
PM
PB
PM E
PS
PM
PB
PM PS E
2.1.16 ฐานของกฏ
กฏเป็ นส่ วนประกอบที่ ส าคัญ ในการควบคุ ม แบบฟั ซ ซี กฏจะเป็ นส่ วนที่ โ ยงถึ ง
ความสัมพันธ์ของตัวแปรลิงค์จีสติคในส่ วนของอินพุทและเอาท์พุทและใช้ในการประเมินผลลัพธ์
ของฟัซซี รูปแบบของฐานกฏที่นิยมใช้ แบ่งเป็ น 2 ชนิด
1. แบบอันดับระบบที่มี 1 อินพุท 1 เอาท์พุท จะอยูใ่ นรู ป
กฏที่ 1 : IF x is A1 THEN y is B1
กฏที่ 2 : IF x is A2 THEN y is B2
กฏที่ N : IF x is AN THEN y is BN
โดยให้ x = ตัวแปรลิงค์จีสติคของอินพุท
y = ตัวแปรลิงค์จีสติคของเอาท์พุท
A1, B1 = ลิงค์จีสติคฟังก์ชนั หรื อ ฟังก์ชนั ความเป็ นสมาชิกของอินพุทและเอาท์พุท
ตามลาดับ
N = จานวนกฏ
จานวน N จะมากหรื อน้อยขึ้นอยูก่ บั การออกแบบแต่โดยทัว่ ไปจะใช้จานวนกฏเท่ากับฟั งก์ชนั ความ
เป็ นสมาชิก
2. แบบอันดับระบบที่มี 2 อินพุท 1 เอาท์พุท จะอยูใ่ นรู ป
กฏที่ 1 : IF x is A1 AND y is B1 THEN z is C1
กฏที่ 2 : IF x is A2 AND y is B2 THEN z is C2
กฏที่ N : IF x is AN AND y is BN THEN z is CN
3.1.17 แนวทางการออกแบบฐานกฎ
แนวทางการออกแบบกฎแบบได้เป็ น 2 วิธีคือ
1. วิธีเฮอร์ ริสติค (Heuristic Approach ) วิธีเฮอร์ รีสติค เป็ นการออกแบบกฎจาก
พฤติกรรมการตอบสนองของระบบที่ได้จากประสบการณ์หรื อจากการทดสอบและค่าสมรรถนะที่
ต้องการนามาออกแบบกฏโดยประมาณได้โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ของอินพุทและผลการ
ตอบสนอง
สมมุติว่าพิจารณาระบบควบคุ มฟั ซซี่ แบบปิ ด มีค่าอินพุท 2 ตัวคือ ค่าผิดพลาด (e) และ
อัตราการผิดพลาด (ce) ค่าเอาท์พุท ( u )การตอบสนองของการเปลี่ยนแปลงระดับ (Step Responce )
สามารถสร้างระบบฟัซซี่ที่มี Phase Plant ระหว่าง ค่าอินพุททั้งสอง ค่าสมรรถนะที่เราต้องการคือค่า
เวลาการเข้าถึงสั้น (Short Rise Time ) และ เปอร์ เซนต์การพุ่งเกินต่า (Overshoot) เราสามารถแบ่ง
25
yref e
u y
+ FLC Plant
-
y ce
y c
g
yref b d f h j k l
e i
a t
e + - - + + - - + + -
ce - - + + - - ++ - -
1 P Z P points a,e,i
2 Z N N points b,f,j
3 N Z N points c,g,k
4 Z P P points d,h,l
5 Z N Z set points
6 P N P range A,E
2.2.1 ความหมายของไมโครคอนโทรลเลอร์
ไมโครคอนโทรลเลอร์ คือ อุปกรณ์ที่สามารถสร้างระบบควบคุมได้ โดยอุปกรณ์น้ ี มีขนาด
เล็ก และเป็ นอุปกรณ์ประเภทสารกึ่งตัวนาที่มีการรวมเอาฟังก์ชนั การทางานต่างๆไว้ในตัวมันเอง ซึ่ ง
มีลกั ษณะคล้ายกับคอมพิวเตอร์ ซึ่ งในที่น้ ีหมายถึงอุปกรณ์ภายในที่ประกอบด้วย หน่วยประมวลผล
กลาง, พอร์ ตในการเชื่อมต่อแบบต่างๆ
ไมโครคอนโทรลเลอร์ แต่ละเบอร์ ดว้ ย เช่ น A/D (Analog to Digital), PWM (Pulse Width
Modulator) เป็ นต้น
2.2.3 ระบบไมโครคอนโทรลเลอร์
ไมโครคอนโทรลเลอร์ เป็ นระบบที่รวบรวมอุปกรณ์ต่างๆ อยูภ่ ายใน เช่น Ram, Rom และ
อื่นๆ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ชิฟ ไมโครคอนโทรลเลอร์ น้ นั มีขนาดเล็กที่มีความสามารถสู ง
แต่บางอุปกรณ์ที่ตอ้ งการคาปาซิ สเตอร์ ที่มีความจุสูงๆ ไม่สามารถบรรจุได้ในชิ ฟเพียงตัวเดียว อีก
ทั้งการรวบรวมอุ ป กรณ์ ไม่ สามารถรวบรวมได้ทุกชนิ ด ระบบไมโครคนโทรลเลอร์ จึงแบ่ง เป็ น
อนุกรม กากับด้วยหมายเลขลาดับที่บรรจุความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆไว้ภายใน
2.2.4ไมโครคอนโทรลเลอร์ AVR
ไมโครคอนโทรลเลอร์ AVR เป็ นไอซี ไ มโครคอนโทรลเลอร์ ของบริ ษทั Atmel มี
สถาปัตยกรรมภายในเป็ นแบบ RISC ( Reduced Instruction Set Computer) โดยใช้สัญญาณนาฬิกา
เพียง 1 ลูกในการปฏิบตั ิงานใน 1 คาสั่ง โดยจะประกอบด้วยหน่วยความจาโปรแกรมภายในที่เป็ น
แบบแฟลช์ โปรแกรมข้อมูลได้แบบ In-System Programmable และในบางเบอร์ ยงั สามารถมีการ
กาหนดตาแหน่ งของหน่ วยความจาที่ สร้ างเป็ นบูตโหลดเดอร์ (เขี ยนโปรแกรมเพื่อติ ดต่อกับ PC
หรื อไอซี ตวั อื่นๆ และยังสามารถโปรแกรมให้กบั ตัวเองได้) มีขนาดของหน่วยความจาตามเบอร์ ของ
ไอซี แต่ละตัว ยกตัวอย่างคุณสมบัติเบื้องต้นของไอซี เบอร์ Atmega8A ได้ดงั ต่อไปนี้
- เป็ นไอซีขนาด 8-bit ใช้พลังงานต่า
- มีโครงสร้างภายในแบบ RISC
- มีคาสั่งควบคุมการทางานไมโครคอนโทรลเลอร์ 130 คาสั่ง คาสั่งส่ วนมากจะทาสาเร็ จ
ในรอบสัญญาณนาฬิกาเดี่ยว
- มีจานวนรี จิสเตอร์ ทวั่ ไปขนาด 32 x 8
- มีหน่วยความจาโปรแกรมภายในแบบ Flash ขนาด 8K Bytes มีการโปรแกรมได้แบบ
In-System Self-Programmable
- มีหน่วยความจาภายในแบบ EEPROM ขนาด 512 Bytes
- มีหน่วยความจาภายในแบบ SRAM ขนาด 1K Byte
- เขียน /ลบ ได้ถึง 10,000 ครัง สาหรับหน่วยความจาแบบ Flash และ 100,000 สาหรับ
หน่วยความจาแบบ EEPROM
- กาหนดการ Boot Code Section ในตาแหน่งต่างๆ และ Lock Bits ได้ (ทา boot loadder)
28
ทางด้านอิเล็กทรอนิ กส์ กาลังจาพวกไทริ สเตอร์ เช่น SCR หรื อ TRIAC มาทาการตัดบางส่ วนของ
รู ปคลื่นไซน์ออกไป ซึ่ งสามารถปรับเปลี่ ยนระดับแรงดันไฟสลับได้โดยการควบคุมมุมเฟสในการ
จุดชนวนให้กบั ไทริ สเตอร์ให้นากระแสไฟฟ้ า และตัดบางส่ วนของรู ปคลื่นไซน์ออกไป ดังแสดงใน
ภาพที่ 2.28
ภาพที่ 2.28 เป็ นการนาเอา SCR (Silicon Control Rectifier) มาใช้ในการตัดบางส่ วนของ
รู ปคลื่ นไซน์ออกไปส่ งผลให้ค่าประสิ ทธิ ผลของแรงดันไฟฟ้ า (Rms Voltage Value)ที่ตกคร่ อม
ภาระเปลี่ยนแปลงไปตามค่าของมุมในการจุดชนวน(Firing Angle, ) อย่างไรก็แล้วแต่วิธีการนี้ ส่งผล
เสี ยที่รูปคลื่นของแรงดันไฟฟ้ าจะเกิดการผิดเพี้ยนไปจากรู ปคลื่นไซน์เป็ นอย่างมาก โดยเฉพาะที่มุม
ในการจุดชนวนมีค่าสู งๆ และขนาดของแรงดันจะแปรผกผันกับมุมที่ใช้ในการควบคุมแรงดันไฟ
สลับทางด้านเอาท์พุต
2.3.1 การควบคุมแรงดันไฟสลับ
ดังที่กล่ าวมาแล้วว่าการควบคุ มแรงดันไฟสลับมีด้วยกันหลาย ๆ วิธีการ สาหรับใน
บทความนี้ จะนาเสนอวิธีการควบคุมในสองรู ปแบบคือ โดยวิธีการควบคุมมุมเฟสในการจุดชนวน
ให้กบั ไทรสเตอร์ และวิธีการสับซอยรู ปคลื่นไฟสลับและนาผลที่ได้มาเปรี ยบเทียบกันดังนี้
1.วิธีการควบคุมมุมเฟส จากรู ปคลื่นของแรงดันไฟฟ้ าที่ตกคร่ อมภาระดังในภาพที่ 2.28
สามารถคานวณหาค่าประสิ ทธิ ผลของแรงดันไฟฟ้ าที่ตก คร่ อมภาระได้จากสมการที่ (2.19) ดัง
ต่อไปนี
32
√ ∫
(2.19)
√ [ ]
{ [ ]} (2.20)
เนื่ องจาก Vs2 / R เป็ นค่าคงที่ และเป็ นค่ากาลังไฟฟ้ าสู งสุ ดที่มุมเฟส α มีค่าเท่ากับศูนย์
(Po(α-0) ) ดังนั้นสมการที่ (2.20) สามารถที่จะเขียนขึ้นใหม่เป็ นดังสมการที่ (2.21) ดังนี้
[ ] (2.21)
√ [∫ ∫ ]
(2.22)
√ [∫ ∫ ]
ในภาพที่ 2.30 จะได้วา่ α=π /8 และ D=2α/4α หรื อD=1/2 ดังนั้นสมการที่ (2.22) จะ
สามารถเขียนใหม่ได้เป็ นสมการที่ (2.23) ดังต่อไปนี้
√
√
√
√ (2.23)
(2.25)
ไตรแอค (Triac) เป็ นอุ ป กรณ์ จาพวกสารกึ่ ง ตัวน าในกลุ่ ม ของไทริ ส เตอร์ มี ล ัก ษณะ
โครงสร้างภายในคล้ายกับไดแอค แต่มีขาเกตเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ขา ไตรแอคถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ไข
ข้อบกพร่ องของ SCR ซึ่ งไม่สามารถนากระแสในซี กลบของไฟฟ้ าสลับได้ การนาไตรแอคไปใช้
งานส่ วนใหญ่จะใช้ทาเป็ นวงจรควบคุมการทางานเป็ นสวิตซ์ต่อแรงดันไฟสลับ ไตรแอคถูกสร้าง
35
2.4.1 การทางานของไตรแอค
ไตรแอคมีคุณสมบัติ ทางานได้ท้ งั แรงดันช่วงบวกและแรงดันช่วงลบ การนากระแสของ
ไตรแอคจะขึ้นอยูก่ บั แรงดันที่ป้อนกระตุน้ ขา G และแรงดันที่จ่ายให้ขา A2 และ A1 การจ่ายไบอัส
ให้ตวั ไตรแอคสามารถแบ่งได้เป็ น 4 สภาวะคือ
สภาวะที่ 1 หรื อควอนแดรนด์ที่ 1 จ่ายแรงดันบวกให้ขา A2 จ่ายแรงดันลบให้ขา A1 และจ่ายแรงดัน
บวกกระตุน้ ขา G จะเกิดการนากระแสในตัวไตรแอคดังภาพที่ 2.34 ทิศทางการไหลของกระแสทั้ง
สองจะไหลในทิศทางเดียวกัน หรื อกระแสไหลเสริ มกัน ทาให้ IA ไหลมากขึ้น
36
กราฟคุณสมบัติของไตรแอค
2.4.2 การหยุดการนากระแสของไตรแอค
ไตรแอคเมื่อนากระแสแล้วจะไม่จาเป็ นต้องคงค้างแรงดันที่จ่ายกระตุน้ ขา G เพราะไตรแอค
จะนากระแสต่อเนื่ องได้เหมือนกับ SCR จะหยุดนากระแสทาได้ 2 วิธีเหมือน SCR คือ
1. ตัดแหล่งจ่ายแรงดัน V ที่ป้อนให้ขา A และขา A ของไตรแอคออกชัว่ ขณะ
AA 2 1
2. ลดแรงดันไบอัสตรงที่จ่ายให้ขา A และ A ลงจนทาให้มีกระแสไหลผ่านตัวไตรแอค
2 1
ต่ากว่ากระแสโฮลดิ้ง (holding current) ของไตรแอค
2.4.3 รายละเอียดและขีดจากัดของไตรแอค
1. แรงดันบล๊อกกิ้งสู งสุ ดซ้ า (Repetitive Peak Blocking Voltage) ใช้ตวั ย่อเป็ น V หรื อ
DRM
V คือแรงดันสู งสุ ดที่ป้อนเฉพาะขา A และ A ที่ตวั ไตรแอคยังไม่นากระแส โดยไม่มีแรงดัน
RPM 2 1
กระตุน้ ที่ขา G
2. กระแสไบอัสตรงสู งสุ ดเป็ น Rms (RMS Max Forward Current) ใช้ตวั ย่อ I คือ
T(MAX)
ค่ากระแสสู งสุ ดเป็ น Rms ที่ไตรแอคทนได้ เมื่อมีกระแสไบอัสตรงไหลผ่าน ถ้ากระแสไหลผ่านไตร
แอคเกินกว่าค่านี้ไตรแอคจะชารุ ดเสี ยหาย
3. กระแสโฮลดิ้ง (Holding Current) ใช้ตวั ย่อ I คือกระแสต่าสุ ดที่ไหลผ่านตัวไตรแอ
H
คระหว่างขา A และ A แล้วไตรแอคยังคงนากระแสได้
2 1
4. กระแสกระตุน้ เกท (Gate Trigger Current) ใช้ตวั ย่อ I คือกระแสที่ใช้กระตุน้ ขา G
GT
ของไตรแอค เพื่อทาให้ไตรแอคทางาน มักบอกค่ากระแสไว้ที่ต่าสุ ด
5. แรงดันกระตุน้ เกท (Gate Trigger Voltage) ใช้ตวั ย่อ V คือแรงดันที่ป้อนให้ขา G
GT
เทียบกับขา A เพื่อกระตุน้ ให้ไตรแอคนากระแส มักบอกค่าสู งสุ ด
1
41
6. กระแสกระตุน้ เกทสู งสุ ด (Peak Gate Trigger Current) ใช้ตวั ย่อ I คือค่ากระแส
GTM
กระตุน้ ที่ไหลผ่านเกทค่าสู งสุ ดยังคงทาให้ไตรแอคทางานได้
7. ย่านอุณหภูมิในการทางาน (Operating Junction Temperature) ใช้ตวั ย่อ Ti คือย่าน
อุณหภูมิตรงรอยต่อที่ไตรแอค ทางานได้โดยไม่ชารุ ดเสี ยหาย บอกค่าตั้งแต่ต่าสุ ด (-) จนถึงสู งสุ ด
เป็ นค่าบวก (+)
2.4.1 หลักการทางานของมอเตอร์
เมื่อมีกระแสไหลในขดลวดตัวนาที่พนั อยูบ่ นแกนอาร์ เมเจอร์ จะเกิดสันแรงแม่เหล็กรอบ
ๆ ตัวนา และทาปฏิกิริยากับเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดจากขั้วแม่เหล็กของมอเตอร์ ทาให้เกิดแรงผลักขึ้น
บนตัวนาทาให้อาร์เมเจอร์หมุนไปได้
ขดลวดที่ มีก ระแสไฟฟ้ าไหลและวางอยู่บนแกนของอาร์ เมเจอร์ โดยวางห่ างจากจุ ด
ศูนย์กลางเป็ นระยะ r กาหนดให้กระแสไฟฟ้ าไหลเข้าขดลวดที่ปลาย A และไหลออกที่ปลาย B จาก
คุณสมบัติของเส้นแรงแม่เหล็กจะไม่ตดั ผ่านซึ่ งกันและกัน ดังนั้นปริ มาณของเส้นแรงแม่เหล็กจะมี
จานวนมากที่ดา้ นบนของปลาย A จึงทาให้เกิดแรง F1 กดตัวนา A ลงด้านล่างและขณะเดียวกันที่
ปลาย B นั้น เส้นแรงแม่เหล็กจะมีปริ มาณมากที่ดา้ นหน้าทาให้เกิดแรง F2 ดันให้ตวั นา B เคลื่อนที่
ด้านบนของแรง F1 และ F2 นี้เองทาให้อาร์ เมเจอร์ ของมอเตอร์ เกิดการเคลื่อนที่ไปได้
ดังนั้นการทางานของมอเตอร์ จึงขึ้นอยูก่ บั หลักการที่วา่ เมื่อเอาตัวนาที่มีกระแสไฟฟ้ าไหล
ผ่า นไปวางในสนามแม่ เ หล็ ก มันจึ ง พยายามท าให้ ตวั น าเคลื่ อนที่ ไ ปในทิ ศ ทางที่ ต้ งั ฉากกับ
สนามแม่เหล็ก
2.4.2 คุณสมบัติของมอเตอร์
คุณสมบัติของมอเตอร์ ไฟฟ้ าสามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ คุณสมบัติทวั่ ไปและ
คุณสมบัติทางเทคนิ ค ดังนี้ คุณสมบัติทวั่ ไป เป็ นคุณสมบัติประจาตัวของมอเตอร์ ไฟฟ้ าแต่ละ
ประเภทที่ควรจะทราบอย่างกว้าง ๆ โดยมิได้เจาะลึ กเข้าไปในเนื้ อหาเชิ งวิชาการแต่อย่างใด ได้แก่
ลักษณะโครงสร้าง ลักษณะงาน ลักษณะของวงจรเช่นคุณสมบัติ ของมอเตอร์ อนุ กรม คือ ลักษณะ
โครงสร้าง ประกอบด้วยลวดหนามแม่เหล็กที่มีความต้านทานต่ ามาก (พันด้วยลวดทองแดงเส้น
ใหญ่ น้อยรอบแกนขั้วแม่ เหล็ ก ) ต่ อเป็ นอนุ ก รมกับ อาร์ เมเจอร์ และต่ อโดยตรงกับ แรงดันเมน
ลักษณะวงจร A1 – A2 เป็ นอาร์ เมเจอร์ ต่อเป็ นอนุ กรมกับขดลวดสนามแม่เหล็กชุ ดอนุ กรม D1 – D2
47
บทที่ 3
การออกแบบวงจรทางาน
การออกแบบวงจร
3.1 การออกแบบวงจรการทางานชุดควบคุมการทางานของพัดลม
LM35 เป็ นความแม่นยา IC เซ็นเซอร์ อุณหภูมิ ที่ มีสัดส่ วนการส่ งออกของอุณหภูมิ (Co)
วงจรเซ็ นเซอร์ จะปิ ดผนึ กและดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ภายใต้การออกซิ เดชันและกระบวนการอื่นๆ ด้วย
LM35 อุณหภูมิสามารถวัดได้ถูกต้องมากขึ้นกว่าที่มีเทอร์ มิสเตอร์ นอกจากนี้ ยงั มีการให้ความร้อน
ในตัวเองต่า และไม่ก่อให้เกิ ดมากขึ้นกว่า 0.1 องศาเซลเซี ยส อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นยังคงอยู่ในอากาศ
ช่วงอุณหภูมิในการทางานจาก -55 Co ถึง 150 Co แรงดันขาออกจะแตกต่างกันโดย 10 mV ในการ
ตอบสนองต่อทุกองศาเซลเซี ยสที่เพิ่มขึ้ น ลดลงของอุณหภูมิโดยรอบคือปั จจัยที่ขนาดของมันจะ
0.01V/องศาเซลเซียส
3.3 ออกแบบชุดควบคุมการทางานของฟัซซีลอจิก
เงื่อนไขที่จะนามาใช้ในการควบคุมของตัวควบคุมฟัซซีลอจิกเพื่อสามารถควบคุมความเร็ วของพัด
ลมได้ตามจุดประสงค์
3.3.1 ขั้นตอนการประมวลผลแบบฟัซซีลอจิก
ขั้นตอนการประมวลผลแบบฟัซซี ลอจิกมีรูปแบบการทางานเป็ น 4 ส่ วนจะแสดงดังภาพ
ที่ 3.6
มนุษย์ หรื อค่าจากการทดลอง โดยเขียนเป็ นกฎการควบคุมระบบ ซึ่ งจะมีลกั ษณะอยูใ่ นรู ปแบบ ถ้า
(If) และ (And) หรื อ (Or) ซึ่งเป็ นภาษาสามัญ นากฎทั้งหมดมาประมวลผลรวมกัน เพื่อการหา
ตัดสิ นใจที่เหมาะสม ดังภาพที่ 3.8
3.4.1 การควบคุมแรงดันไฟสลับ
ดัง ที่ ก ล่ า วมาแล้วว่า การควบคุ ม แรงดันไฟสลับ มี ด้ว ยกัน หลาย ๆ วิธี ก าร ส าหรั บ ใน
บทความนี้จะนาเสนอวิธีการควบคุม โดยวิธีการควบคุมมุมเฟสในการจุดชนวนให้กบั TRIAC
วิธีการควบคุมมุมเฟส ในการทดลองนี้ใช้อุปกรณ์ควบคุมแรงดันไฟสลับด้วยวิธีการควบคุมมุมเฟส
ในการจุดชนวนให้กบั TRIAC โดยภาระที่ใช้จะเป็ นพัดลมขนาด 18 นิ้ว 54 W ที่แรงดันไฟฟ้ า 220V
58
บทที่ 4
การทดลองและผลการทดลอง
ในบทนี้จะกล่าวถึงการทดลองการทางานของตัวควบคุมการทางานของพัดลมเพื่อประหยัด
พลังงานด้วยตัวควบคุ มฟั ชซี เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงความของพัดลมตามอุณหภูมิที่กาหนดไว้และ
ตรวจวัดค่าทางไฟฟ้ า ค่าแรงดันที่ได้ โดยในการทดลองประกอบด้วย 2 ส่ วนด้วยกัน
1. การทดลองการควบคุมมุมเฟส
2. การทดลองการทางานของตัวควบคุมฟัซซี
4.1 การทดลองการควบคุมมุมเฟส
4.1.1 วัตถุประสงค์
- เพื่อใช้เป็ นวงจรจ่ายไฟให้กบั พัดลม
- เพื่อปรับปรุ งและแก้ไขวงจรเพื่อให้มีประสิ ทธิ ภาพ
59
4.1.2 อุปกรณ์
- ออสซิลโลสโคป 1 ตัว
- ชุดควบคุมมุมเฟส(เฟสคอนโทรล)
- ดิจิตอลมัลติมิเตอร์ 1 ตัว
- หลอดไฟฟ้ าแบบไส้ ขนาดทน 100 W / 220V 1 ตัว
4.1.3 ขั้นตอนการทดลอง
ทาการทดลองต่อวงจรทดสอบของชุดควบคุมมุมเฟส (เฟสคอนโทรล) ในการทดลองนี้ใช้
อุปกรณ์ควบคุมแรงดันไฟสลับด้วยวิธีการควบคุมมุมเฟสในการจุดชนวนให้กบั TRIAC โดยภาระ
ที่ใช้จะเป็ นโดยภาระที่ใช้จะเป็ นหลอดไฟฟ้ าแบบไส้ (Incandescent Lamp) ขนาดทนกาลังไฟฟ้ า
100 W ที่แรงดันไฟฟ้ า 220V โดยภาพที 4.3 และภาพที่ 4.4 แสดงถึงการตัดรู ปคลื่นไซน์ที่มุมเฟสใน
การจุดชนวน α=60 และ α=120 ตามลาดับ
4.1.4 ผลการทดลอง
ตารางที่ 3.1 ผลการทดลองจากการปรับค่ามุมเฟส
α Power
degree (V) (A) (W)
18.15 221.8 0.418 92.71
35.93 216.5 0.413 89.41
54.07 205.7 0.403 82.9
72.22 186.2 0.382 71.13
90.00 161.7 0.355 57.4
108.15 130.3 0.318 41.44
125.93 96.75 0.271 26.22
144.07 67.32 0.224 15.08
162.22 44.26 0.178 7.88
60
4.1.4สรุ ป
ผลของแรงดันไฟฟ้ า, กระแสไฟฟ้ า และกาลังไฟฟ้ าที่ภาระ อันเนื่ องมาจากการปรับค่ามุม
เฟสในการจุดชนวนให้กบั TRIAC แสดงในตารางที 4.1 ผลการทดลองที่ได้จากตารางที่ 4.1 นามา
เขียนกราฟแสดงความพันธ์ของกาลังไฟฟ้ าที่ภาระเทียบกับมุมควบคุมในการตัดรู ปคลื่น Power = f
(α) ดังแสดงในภาพที่ 4.2 ซึ่ งจะเห็นว่ากาลังไฟฟ้ าที่ภาระมิได้แปรเปลี่ยนไปตามมุมเฟสที่ใช้
4.2 การทดลองการทางานของตัวควบคุมฟัซซี
4.2.1วัตถุประสงค์
1. เพื่อเปรี ยบเทียบการเปลี่ยนแปลงการทางานของพัดลม
2. เพื่อปรับปรุ งและแก้ไขวงจรเพื่อให้มีประสิ ทธิ ภาพ
4.2.3 ขั้นตอนของการทดลอง
1. ทาการเลือกห้องนอนขนาด 4x 5 ตารางเมตรเสี ยก่อน
2. นาอุปกรณ์ ตัวควบคุมการทางานของพัดลมเพื่อประหยัดพลังงานด้วยตัวควบคุมฟัชซี มา
วางไว้ในห้องนอน
3. ทาการตรวจวัดค่าทางไฟฟ้ า ค่าแรงดันที่ใช้ได้ค่ากระแส และค่ากาลังทางไฟฟ้ าจากตัว
พัดลมตั้งโต๊ะ
4. จากนั้นทาการจดบันทึกผลการทดลองของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามเวลากาหนด
จากเวลา 21.00 – 05.00 น
62
SPEED 3 0.051 0.102 0.153 0.204 0.255 0.306 0.357 0.448 0.459
เวลำ
4.2.8 สรุ ป
ตัวควบคุมการทางานของพัดลมเพื่อประหยัดพลังงานด้วยระบบฟั ซซี ลอจิกนื้ สามารถ เพิ่ม
– ลด ความเร็ วได้ตามเงื่อนไขที่ได้ออกแบบไว้นนั่ คือ เมื่ออุณหภูมิภายในห้องมีการเปลี่ ยนแปลง
ความเร็ วของมอเตอร์ พดั ลมก็จะเปลี่ยนแปลงตาม เช่น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ความเร็ วของมอเตอร์ พดั
ลมก็จะหมุนเร็ วขึ้น และเมื่ออุณหภูมิลดลงความเร็ วของมอเตอร์ ก็จะลดลง ตามเงื่อนไขที่กาหนดไว้
65
บทที่ 5
บทสรุปและข้ อเสนอแนะ
จากการทดลองโครงงานนี้ สรุ ป ได้ว่า ตัว ควบคุ ม การท างานของพัด ลมเพื่ อ ประหยัด
พลังงานด้วยระบบฟั ซซี ลอจิกนื้ สามารถ เพิ่ม – ลด ความเร็ วได้ตามเงื่อนไขที่ได้ออกแบบไว้นนั่ คือ
เมื่ออุณหภูมิภายในห้องมีการเปลี่ ยนแปลงความเร็ วของมอเตอร์ พดั ลมก็จะเปลี่ ยนแปลงตาม เช่ น
เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ความเร็ วของมอเตอร์ พดั ลมก็จะหมุนเร็ วขึ้น และเมื่ออุณหภูมิลดลงความเร็ ว
ของมอเตอร์ ก็จะลดลง ตามเงื่อนไขที่กาหนดไว้ อนาคตควรมีการพัฒนาและสามารถนาโครงงานนี้
ไปประยุกต์ในรู ปแบบอื่น ๆ อาทิ เช่น รถสารวจ รถอัฉริ ยะ ที่สามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ตอ้ งมี
คนขับ และสามารถนาไปใช้ในการเรี ยนการสอนเกี่ยวกับการทางานแบบระบบฟั ซซี ได้เป็ นอย่างดี
เพราะปัจจุบนั โลกในด้านเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ วมากและมีแนวโน้มความเจริ ญ
อย่างไม่มีที่สิ้นสุ ด