Professional Documents
Culture Documents
คุณสมบัติ•ชิง กล
และ การทดสอบ
จุดประสงค์การเรียนรู้
1) อธิบายคุณสมบัติทางกลของวัสดุ
2) เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างผลึกกับสมบัติทางกลการแปรรูปแบบ
Plastic deformation)
หัวเรื่อง แรง
2. แรงกด
<5N 3. แรงเนียน
1. สมบัติทางกล คืออะไร
• ความเค้น, ความเครียด
3. ความเหนียว (Ductility)
4. ความต้านทานต่อแรงกระแทก (Toughness)
5. ความแข็ง (Hardness)
4
ก
พื้น
หมายถึงแรงต้านทานภายในเนื้อวัสดุที่พยายามต้านทาน
แรงภายนอกที่มากระทํา เพื่อไม่ให้วัสดุเกิดการเปลี่ยนรูปไปจากเดิม
×ย การ2
ดัง ซืยนstress, τ:
Tensile stress, σ: กด
Compressive stress, σ: _6
Shear
$% $( *+
σ! # σ' # τ)) #
กล่าวคือเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างและขนาด ที่เกิดขึ้นกับเนื้อวัสดุภายใต้แรงกระทํา
สอ ตน
การยืดตัว
หา
ไม่มี หน่วย
10
ความแข็ง
Hardness
Tensile Mechanical
Ductility
Strength properties
Impact
แรงบิด
กด
Resistance
แรงต้าน 11
ชนิด_
โลหะ เซรามิก
_ โพลึ6มอร์
เซรามิก
อัสรี สา แม
compasite
โลหะ เซรามิก
12
ดัน
๔ ก point
โลหะ เหนี่ยว
yield ×
=> fracture
ญู้ญั๋น
e
6=÷
แกะ
รื้
พื้นที่ใต้กระบ
Lo l
E
an เกรง Ducitrity
ไม่สามารถกลับ สภาพ
สามารถกลับได้
66รวง
13
พฤติกรรมของวัสดุภายใต้แรงทางกล
14
ต้านทานต่อการผิดรูปไป
Polymer
15
Elastic deformation
(การเปลี่ยนรูปแบบยืดหยุ่น)
เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ที่ ผั น ก ลั บ ไ ด้
(Reversible) กล่าวคือ
ระยะระหว่างอะตอมเพิ่มขึ้น
(2) แต่ถ้าแรงดึงดังกล่าวน้อยกว่าแรง
หรือพันธะระหว่างอะตอม ถ้าเราปลด
แรงออก อะตอมจะกลับสู่ภาวะสมดุล
ทําให้ชิ้นงานกลับมีขนาดและรูปร่า ง
เหมือนเดิม
16
ในลักษณะปกติ พันธะระหว่างอะตอมที่ยึดกันจะ
พันธะระหว่างอะตอมยืด รูปร่างเดิม
ออก ทําให้วัสดุมีการยืดตัว
17
Anelasticity
• Anelasticity คือปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนรูปแบบยืดหยุ่นซึ่งขึ้นอยู่กับ
เวลา คือ
! เกิดขึ้นกับวัสดุวิศวกรรมส่วนใหญ่
18
Exercise 1
นักศึกษาทําการทดลองดึงแท่งอะลูมิเนียมทรงกระบอกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 mm ยาว
จงคํานวณ
19
Exercise I
1. • =
EA E =
อ้
3
😐?
=
เอเอ
= 1500×9.81
| 0.012
e ยาย =
OTC3 อ × เอั 3 2
6
= 5.2× เอ Pa
= 5.2 MPa
E =
433.33× cอํ่Pa
ยู้
2. = EZXCOGT =
0.012
= 433.33 MPa
20
= =37. ค 5h N
หั้
•
ฐ >
โ กแ ×.
03 MPa
ฐ
I. 0 = = 25.3× เ =322.13
_ 2
TC 5× c อั3g
2. 37.95× 03
เ
6
=§
=
=483.1๑ Mpa
7J
5× เอั
3 2
3 E 63.5 50
=
E ×. อ = ×100 E 27
Lo อาบ
5
2. การเปลี่ยนรูปแบบถาวร (Plastic Deformation)
• เมื่อชิ้นงานได้รับแรงดึงที่สูงขึ้น และเกิดการเปลี่ยนรูปแบบยืดหยุ่นจนถึง
จุดสิ้นสุดช่วงยืดหยุ่น แรงดึงจะสามารถเอาชนะแรงระหว่างอะตอม ทํา
ให้ ชิ้ น งานเกิ ด การเปลี่ ย นรู ป แบบถาวร ส่ ง ผลให้ ข นาดและรู ป ร่ า ง
เปลี่ยนไป
• เมื่อวัสดุ เกิดการเปลี่ยนรูปแบบถาวร ความสัมพันธ์ระหว่าง Stress-
Strain จะไม่เป็นเส้นตรง
21
กลไกการเกิดการเปลี่ยนรูปแบบถาวร
• เมื่อผลึกได้รับแรงดึง (Tensile force, P) จะทําให้เกิดมีแรงเฉือน (shear
forces, PS) ขึ้นภายในผลึก
• ระนาบอะตอมที่ขนานกับทิศทางของ PS และทํามุม φ 45 ° กับแรง P จะ
เกิดการเลื่อนไหล (slip) เนื่องจากแรงเฉือน
22
กลไกการเปลี่ยนรูปถาวร (Plastic Deformation)
1. เริ่มต้น อะตอมจะเรียงตัว
ในลักษณะปกติ
3. เมื่อปล่อยแรงที่กระทํา พันธะ
2. เมื่อได้รับแรงกระทํา พันธะ ของอะตอมที่ยึดติดกัน จะหดกลับสู่
ระหว่างอะตอมยืดออกและ สภาพเดิม
เฉือนอะตอมให้เคลื่อนที่ทั้ง ส่วนที่เคลื่อนที่ทั้งแถบไม่กลับที่
แถบ ทําให้วัสดุมีการยืดตัว เดิม ทําให้วัสดุไม่คืนสู่ร่างเดิม
23
สมบัติเกี่ยวกับการต้านแรงดึง (Tensile Properties)
24
ความเค้นจุดคราก (Yield Strength)
• Stress at which noticeable plastic deformation has occurred.
when εp = 0.002
25
หลังจากจุด Yield แล้ว แรงที่ใช้จะยังคงสูงขึ้นเรือ่ ยๆ เนื่องจากเกิดการ Interaction
กันระหว่าง Dislocations ซึ่งอาจเกิดการหักล้างกัน หรือขัดขวางการไหลซึ่งกันและ
กัน ทําให้ต้องใช้แรงมากขึ้น ในการที่จะทําให้ชิ้นงานมีความยาวเพิ่มขึ้น
26
ความต้านแรงดึง (Tensile Strength)
• Maximum possible engineering stress in tension.
การเสียรูปของวัสดุเหนียวเป็นลักษณะคอคอด
27
ลักษณะการเปลี,ยนรูปของวัสดุ ในกรณีเกิดคอคอด
28
ในกรณีที่ไม่มีจุด Yield point ที่ชัดเจน จะใช้ 0.2% yield stress
29
3. ความเหนียว (Ductility)
30
• Percent elongation at fracture, %ELเป็นค่าความสามารถในการ
ยืดได้ของวัสดุภายใต้แรงดึง คํานวณได้จาก
/0 1/2
• %-. # 3 100
/2
• Percent reduction in area at fracture, %RA เป็นการวัดค่าความ
เหนียวของวัสดุอีกวิธีหนึ่ง รวมทั้งสามารถชี้ถึงคุณภาพของวัสดุนั้นๆ
ด้วย กล่าวคือ ถ้าชิ้นงานมีจุดบกพร่องเช่น รูโพรง, สิ่งปลอมปน จะทํา
ให้ค่า %RA น้อยลง
72 170
• %6& # 3 100
72
31
ความเหนียว (Ductility)
32
วัสดุเหนียวกับวัสดุเปราะ
รอยแตกแบบเปราะ
รอยแตกแบบเหนียว
เป็น Cup and
Cone
33
จงใช้ข้อมูลจากกราฟตอบคําถามต่อไปนี้
• วัสดุที่มีความเหนียวที่สุด คือ____
c
• วัสดุที่มีความเปราะที่สุดคือ___
B
• วัสดุที่มีความความแข็งแรงที่สุด คือ___
A
• วัสดุที่มีค่าโมดูลัสสูงสุด คือ____
A
• วัสดุที่มีค่าโมดูลัสต่ําสุด คือ____
D
34
4. ความแกร่ง (Toughness)
35
การทดสอบ Toughness (การทดสอบความต้านทานต่อการแตกหัก)
การวัด toughness ทําได้โดยการทดสอบ Impact test (การทดสอบ
ด้วยแรงกระแทก) โดยมีขั้นตอนดังนี้
• ชิ้นงานจะเป็นแท่งหน้าตัดจัตุรัส และมีบากรูปตัว V อยู่ตรงกลาง
มีอยู่ 2 แบบ คือ Charpy impact test และ iZod impact test
36
ผิวหน้ารอยแตกของชิ้นงาน (Fracture surface of specimens)
• ผิวหักของชิ้นงานที่หักแบบเปราะ จะสว่าง และแวววาว (แสงสะท้อนได้ดี)
• ผิวหักของชิ้นงานที่หักแบบเหนียว จะมีสีเข้ม ไม่แวววาว (มีความลึกมากกว่า
แสงสะท้อนไม่ดี)
เปราะ เหนียว
37
5. ความแข็ง (Hardness)
• ความแข็ง คือ ความต้ านทานต่อแรงกด การขัดสีและแรงกลของวัสดุ ไม่มีหน่วย
• การทดสอบความแข็งแบบหัวกด ในเชิงโลหะวิทยาจะเป็ นการทดสอบความ
ต้ านทานต่อการแปรรู ปถาวร เมืGอถูกแรงกดจากหัวกดกระทําลงบนชินI งาน
ทดสอบ
38
Hardness Testing Techniques
39
การวัดความแข็งแบบร็อคเวลล์
ใช้ในอู มา หก ร รม
(Rockwell Hardness Test: HR)
MR บอก เชน ส6กล
• เป็นวิธีวัดความแข็งของโลหะที่นิยมใช้มากที่สุด ไม่มีหน่วย
•
• โดยจะวัดความแข็งจากความลึกของรอยกดที่ถูกหัวกดกดด้วยแรงคงที่ ซึ่งจะ
แตกต่างจากแบบ Brinell และ Vickers ที่วัดจากแรงกดต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่
• วิ ธี นี้ จึ ง มี ก ารวั ด ด้ ว ยกั น หลายสเกล เพื่ อ ให้ ส ามารถเลื อ กใช้ วั ด ความแข็ ง ได้
เหมาะสมที่สุด
40
ตัวอย่างการทดสอบโดยใช้หัวกดเพชร, HRC
2 หัว กับ หัว บอล
มุม 120o
3💔 KF เอ hf
41
หน่วยเป็น HRx เมื่อ x Rockwell
แทนด้วย A C D B F G
Rockwell Hardness Scales
42
Superficial Rockwell Hardness Scales
43
การทดสอบความแข็งแบบร็อคเวลล์ มีข้อพิจารณาดังนี้
1. ก่อนทดสอบชิ้นงาน จะต้องตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องทดสอบ หรือเทียบค่า
มาตรฐานจากแผ่นความแข็งมาตรฐาน (test block) ทุกครั้ง
2. การทดสอบความแข็งแบบธรรมดา ระยะห่างระหว่างรอยกดแต่ละจุดและระยะห่าง
จากขอบชิ้นงานควรมีระยะอย่างน้อย 3 mm
3. ผิวชิ้นงานต้องเรียบสะอาดและขนานกัน
4. ชิ้นงานทดสอบควรมีความหนาอย่างน้อย 10 เท่าของรอยกด
5. ควรกระทําการทดสอบความแข็งชิ้นงานอย่างน้อย 3 ครั้งต่อ 1 ชิ้น
44
การวัดความแข็งแบบบริเนลล์
(Brinell Hardness Test: HB หรือ BHN)
89
การวัดขนาดรอยกด BHN =
:;<;1 ;= 1>= ?
เมื่อ P = น้ําหนักที่ใช้กดหัวกด
D = ความโตของหัวกด
d = ความโตของรอยกด
45
การทดสอบความแข็งแบบบริเนล มีข้อพิจารณาดังนี้
1. ชิ้นงานต้องมีความหนาอย่างน้อย 8 เท่าของความลึกรอยกด
2. ระยะห่างระหว่างจุดกึ่งกลางรอยกดแต่ละจุดและระยะห่างจากขอบชิ้นงานควรมีระยะ
อย่างน้อย 4 เท่าของขนาดความโตของรอยกด
3. ผิวชิ้นงานต้องเรียบสะอาดและขนาน
4. ไม่เหมาะกับการวัดงานที่มีความแข็งเกิน 550 BHN
5. หัวกดชนิดลูกบอลเหล็กกล้า ควรใช้กับชิ้นงานที่มีความแข็งไม่เกิน 450 BHN
6. หัวกดชนิดลูกบอลทังสเตนคาร์ไบด์ ควรใช้กับชิ้นงานที่มีความแข็งไม่เกิน 650 BHN
46
ข้อดีของ Brinell hardness
1. ความขรุขระและรอยขีดข่วนมีผลต่อค่าความแข็งที่ได้ค่อนข้างน้อย
2. พื้นที่ทดสอบขนาดใหญ่ ค่าที่ได้เป็นการเฉลี่ยความแข็งของหลายเฟสในบริเวณทดสอบ
47
การทดสอบความแข็งแบบวิกเกอร์ ใช้บ่อย สด
(Vicker Hardness Test: HV)
@.BCD9
HV =
;=
เมื่อ P = แรงหรือน้ําหนักกด
D = ค่าเฉลี่ยความยาวของเส้นทแยงมุมรอยกด
48
การทดสอบความแข็งแบบนูพ
(Knoop Hardness Test: HK หรือ KHN)
@D.88E9
HK =
>=
เมื่อ P = แรงที่ใช้กด
d = ความยาวของรอยกดตามแนวยาว
49
Fest • แบบ
ออก สอบ