Professional Documents
Culture Documents
01 Katoo PDF
01 Katoo PDF
ความหมายของคาว่า “เรียงความแก้กระทู้ธรรม”
คาว่า “เรียงความแก้กระทู้ธรรม” ตัดบทเป็ นเรี ยงความ/แก้/กระทูธ้ รรม
“เรียงความ” หมายถึง การกล่าวพรรณนาเนื้อความหรื ออธิบายเนื้อความแล้ว
นาเอาเนื้อความมาต่อเชื่อมกัน โดยลาดับหน้าหลังให้ผอู ้ ่านได้อ่านรู ้เรื่ อง
“แก้” หมายถึง การตอบหรื อการเฉลยให้ตรงจุดของคาถามนั้น หรื อการเปิ ดเผย
สิ่ งที่ปกปิ ดออกมาให้เห็น
“กระทู้ธรรม” หมายถึง ปั ญหาหรื อคาถามที่เกี่ยวกับธรรมะ
ทาไมจึงต้ องเรียนวิชากระทู้ธรรม
การเรี ยนวิชานี้จาเป็ นอย่างยิง่ เพราะการเรี ยนวิชานี้เป็ นการแสดงออกซึ่ งทัศนคติ
ของแต่ละบุคคลอย่างมีประสิ ทธิภาพโดยทางการเขียน อันเป็ นการแสดงออกแทนคาพูด
ถือเป็ นการสร้างบุคลากรใหม่ในด้านการเป็ นนักพูด นักเขียน ในวงการพระพุทธศาสนา
ในโอกาสต่อไป
ประโยชน์ ของวิชากระทู้ธรรม
๑.เป็ นการแสดงออกซึ่งทัศนคติของตนเอง
๒.เป็ นการแสดงออกซึ่งความรู ้เกี่ยวกับธรรมะ
๓.เป็ นการแสดงออกซึ่งวาทะและสานวนของผูท้ ี่ได้รับการศึกษา
๔.เป็ นการถ่ายทอดวิชาการไปสู่ อีกคนหนึ่งให้รู้และเข้าใจความ
๕.เป็ นการพัฒนาด้านความรู ้และปัญญาของตนให้กา้ วหน้าอยูเ่ สมอ
๖.เป็ นการสร้างบุคลากรในด้านศาสนาขั้นพื้นฐาน ซึ่งกลายมาเป็ นผูเ้ ผยแผ่ศาสนา
ต่อไป
ประเภทของกระทู้ธรรม
กระทูธ้ รรมของศึกษาชั้นตรี -โท-เอก นั้นแบ่งออกเป็ น ๔ ประเภท คือ
๑.พุทธภาษิต เป็ นดารัสของพระพุทธเจ้าโดยตรง
๒.สาวกภาษิต เป็ นคาพูดของพระสาวก มี ๒ ประเภท คือ เถรคาถา (พระภิกษุ)
และเถรี คาถา (พระภิกษุณี)
๓.เทวตาภาษิต เป็ นคาพูดของเทวดา
๔.อิสีภาษิต เป็ นคาพูดของพวกฤาษี
ภาษิตทั้ง ๔ ประเภทนี้รวมเป็ นคากลาง ๆ ว่า “ธรรมภาษิต” คือเป็ นคาพูดที่
ประกอบด้วยธรรมะนัน่ เอง
กระทู้ธรรม ๒ ประเภท
๑.กระทู้ธรรมที่เป็ นบุคลาธิษฐาน หมายถึง กระทูธ้ รรมที่อา้ งบุคคลเป็ นที่ต้ งั หรื อ
ยกเอาเรื่ องราวที่เกี่ยวกับบุคคลขึ้นมากล่าวเพื่อให้เข้าใจในธรรมะนั้น เช่น กัมมุนา วัตตะ
ตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็ นไปตามกรรม เป็ นต้น
๒.กระทู้ธรรมทีเ่ ป็ นธรรมาธิษฐาน หมายถึง กระทูธ้ รรมที่อา้ งธรรมะโดยตรง
เป็ นที่ต้ งั ไม่อา้ งบุคคลคือยกเอาธรรมล้วน ๆ ขึ้นกล่าว เช่น ปะมาโท มัจจุโน ปะทัง ความ
ประมาทเป็ นหนทางแห่งความตายหรื อ ทุกโข ปาปั สสะ อุจจะโย การสัง่ สมบาป เป็ น
เหตุนาความทุกข์มาให้
โครงสร้ างของกระทู้ธรรม
๑.กระทู้ต้งั คือ กระทูธ้ รรมที่เป็ นปัญหาที่ยกขึ้นมาก่อน สาหรับให้แต่งแก้ เช่น
สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ท้ งั ปวง
๒.คานา คือ คาขึ้นต้นหรื อคาชี้แจงก่อนจะแต่งต่อไป กล่าวคือ เมื่อยกคาถาบทตั้ง
ไว้แล้ว เวลาจะแต่งต้องขึ้นอารัมภบทก่อนว่า “บัดนี้จกั ได้บรรยายขยายความตามธรรม
ภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็ นแนวทางแห่งการศึกษาและประพฤติปฏิบตั ิของ
สาธุชนผูใ้ คร่ ในธรรมสื บไป”
๓.เนือ้ เรื่อง ต้องมีเนื้อหาสาระสาคัญ ลาดับเนื้อหาสาระให้ต่อเนื่องกันเป็ นเหตุ
เป็ นผล เมื่ออธิบายเนื้อเรื่ องมาพอสมควรก็นาเอาข้อธรรม (กระทูธ้ รรม) มาอ้างรับรองไว้
เป็ นหลักฐาน
๔.กระทู้รับ หมายถึง การยกเอาธรรมภาษิตขึ้นมารับรองให้สมเหตุสมผลกับ
กระทูต้ ้ งั เพราะการแต่งเรี ยงความนั้นต้องมีกระทูร้ ับอ้างให้สมจริ งกับเนื้อความที่ได้แต่ง
ไป มิใช่เขียนไปแบบลอย ๆ
๕.บทสรุป หมายถึง รวบรวมใจความสาคัญของเรื่ องที่ได้อธิบายมาแต่ตน้ แล้ว
กล่าวสรุ ปลงสั้น ๆ หรื อย่อ ๆ ให้ได้ความหมายที่ครอบคุลมถึงเนื้อหาที่กล่าวมาทั้งหมด
แนวทางการบรรยายของเรียงความกระทู้โดยปกติมี ๔ โวหาร
๑.พรรณาโวหาร โวหารบรรยายให้เกิดความเพลิดเพลิน
๒.บรรยายโวหาร อธิบายแจกแจงกระทูธ้ รรมชี้เหตุผลให้เกิดวิริยะอุตสาหะใน
การนาไปปฏิบตั ิ
๓.เทศนาโวหาร ชี้แจงแสดงแนะนาให้เห็นผลดีผลเสี ย และสอนให้ละการทา
ความชัว่ ทาแต่ความดี
๔.สาธกโวหาร การยกเรื่ องราวต่าง ๆ มาเป็ นข้อเปรี ยบเทียบ อุปมาอุปมัยโดยมี
หลักว่า
ก.ไม่ยกเรื่ องของคนอื่นที่มีชีวติ อยูใ่ นปัจจุบนั
ข.ไม่ยกเรื่ องของตนเองมาเป็ นข้อเปรี ยบเทียบ
หลักการแต่ งกระทู้ ๓ ประการ
๑.การตีความหมายกระทู้ต้งั ว่าหมายถึงอะไร กว้างแคบแค่ไหน ในกระทูน้ ้ นั มี
ความหมายที่ตอ้ งอธิบายกี่อย่าง เช่น อัตตา หะเว ชิตงั เสยโย ชนะตนนั้นแล ประเสริ ฐ
ในกระทูน้ ้ ีตอ้ งมีความหมายดังนี้
ก.คาว่า “ตน” คืออะไร ตนในที่น้ ีได้แก่อตั ภาพร่ างกายที่สมมติกนั ว่าเป็ นคน
ได้แก่ กายกับจิต
ข.คาว่า “ชนะตน” ได้แก่อะไร คือชนะใจตนเองไม่ให้ใจตกอยูก่ บั อานาจกิเลส
หรื ออารมณ์ฝ่ายต่าที่มาชักนาหรื อครอบคลุมจิตใจของตนเองให้ได้นนั่ เอง ถ้าใครชนะ
จิตใจของตนเองได้กช็ ื่อว่าชนะตน
ค.คาว่า “ประเสริ ฐ” แปลว่า ดีกว่า เลิศกว่า เมื่อคนเราเอาชนะจิตใจของตนเองได้
ชื่อว่าได้รับความชนะที่ประเสริ ฐกว่าการชนะสงคราม หรื อศัตรู ภายนอก
๒.การขยายความให้ ชัดเจน หมายถึง การขยายความให้ชดั เจนและแจ่มแจ้ง
ออกไป เช่น ความชนะใจตนเองคืออะไรก็ขยายให้แจ่มแจ้งออกไปว่า ไม่ให้จิตใจของ
ตนเองตกอยูภ่ ายใต้อานาจของกิเลส คือความโลภ ความโกรธและความหลง ซึ่งจะเป็ น
สิ่ งสนับสนุนให้จิตใจตนคิดไปในทางชัว่ ทางบาป ทางทุจริ ต และที่วา่ ประเสริ ฐนั้น ก็คือ
การชนะจิตใจตนเองประเสริ ฐกว่าอย่างอื่น เพราะการชนะคนอื่นแม้ ๑๐๐ คน ก็ไม่
ประเสริ ฐเท่ากับการชนะตนเพียงครั้งเดียว
๓.ตั้งเกณฑ์ อธิบาย หมายถึง การอธิบายจะต้องมีหลักเกณฑ์อธิ บายถึงผลดีผลเสี ย
ซึ่งจะเป็ นเครื่ องชี้ชดั ลงไปให้เห็นว่า การชนะภายนอก เช่น ชนะคนตั้ง ๑๐๐ คน นั้นเป็ น
ของไม่แน่นอน ภายหลังอาจจะกลับเป็ นคนแพ้ได้ ส่ วนการชนะตนเองนั้นเป็ นการชนะ
โดยเด็ดขาด ชนะแล้วไม่กลับแพ้อีก
การใช้ ภาษา
ในการเขียนภาษาเรี ยงความ ผูเ้ ขียนจะต้องพิถีพิถนั การใช้ภาษาให้มาก ภาษาที่จะ
ใช้ตอ้ งเป็ นภาษาเขียนเท่านั้นไม่เขียนด้วยภาษาพูด ซึ่งพอสรุ ปเพื่อจาง่าย ๆ คือ
๑.ต้องใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้อง
๒.ไม่ใช้ภาษาตลาด ภาษาแสลง ภาษาคาผวน
๓.ไม่ใช้ภาษาพื้นเมือง หรื อภาษาถิ่น
๔.ไม่ใช้ภาษาต่างประเทศปนภาษาไทย
พุทธศาสนสุ ภาษิต
อัตตวรรค คือ หมวดตน
๑.อตฺ ตทตฺ ถ ปรตฺ เถน พหุนาปิ น หาปเย
อตฺ ตทตฺ ถมภิญฺ าย สทตฺ ถปสุ โต สิ ยา.
บุคคลไม่ควรพล่าประโยชน์ของตน เพราะประโยชน์ผอู ้ ื่นแม้มาก รู ้จกั ประโยชน์ของตน
แล้ว พึงขวนขวายในประโยชน์ของตน.
(ขุททกนิกาย
ธรรมบท)
๒.อตฺ ตานญฺ เจ ตถา กยิรา ยถญฺ มนุสาสติ
สุ ทนฺ โต วต ทเมถ อตฺ ตา หิ กิร ทุทฺทโม.
ถ้าสอนผูอ้ ื่นฉันใด พึงทาตนฉันนั้น ผูฝ้ ึ กตนดีแล้ว ควรฝึ กผูอ้ ื่น ได้ยนิ ว่าตนแลฝึ กยาก.
(ขุททกนิกาย
ธรรมบท)
๓.อตฺ ตานเมว ป ม ปฏิรูเป นิเวสเย
อถญฺ มนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺ ฑิโต.
บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน สอนผูอ้ ื่นภายหลังจึงไม่มวั หมอง.
(ขุททกนิกาย
ธรรมบท)