Professional Documents
Culture Documents
CH3 PDF
CH3 PDF
การรออกแบบโครงสร้างเเหล็ก
ผศ.ดดร.อานนท์ วงษ์
ว แก้ว
มหาวิทยาลัยบูรพา
รศ.ดร.สุทศั น์ ลีลาทวี
า วฒ ั น์
มหาวิทยาาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
3.1 บทนํา
3.1.1 พื้ นฐานการออกแบบด้วยโครงสร้างเหล็ก
เหล็ กจัดเป็ นวัสดุ โครงสร้า งที่ สํา คัญประเภทหนึ่ ง วิศวกรโครงสร้างใช้เหล็ กในการก่ อสร้า ง
อาคาร สะพาน โครงถั ก โครงหลั ง คา เสาส่ ง สายไฟแรงสู ง ป้ ายโฆษณาและโครงสร้า งอื่ น ๆ
อีกมากมาย คุณสมบัติเด่นที่เหล็กมีเหนื อวัสดุโครงสร้างอื่น คือ
1. มีกาํ ลังสูงโครงสร้างที่ทาํ ด้วยเหล็กจึงมีน้ําหนักเบากว่าโครงสร้างที่ทาํ ด้วยวัสดุอื่น
2. มีความเหนี ยว(Ductility)มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างก่อนการวิบตั ิได้มาก
เหมาะกับการรับแรงแผ่นดินไหวหรือแรงกระแทก
3. สามารถนํ าเหล็กรูปต่างๆมาประกอบขึ้ นเป็ นโครงสร้างที่มีรูปร่าง และขนาดตามต้องการ
การก่อสร้างทําได้รวดเร็ว และเป็ นการลดเวลาในการก่อสร้างได้เป็ นอย่างมาก
ั น์ | หน้าที่ 3 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
E
G
21
(3.1-1)
ตารางที่ 3.1-1คุ ณสมบัติ และกํา ลังของเหล็ ก โครงสร้า ง (มาตรฐานผลิ ต ภัณ ฑ์อุต สาหกรรม มอก
1227-2539)
ชนิ ด ชื่อ หน่ วยแรง กําลังดึง* ความยืด คุณสมบัติ
คราก* (MPa). ตํา่ สุด*
(MPa) ร้อยละ
เหล็กกล้า SM400 235-245 400- 18-23
คาร์บอน SM490 315-325 510 17-22
SM520 355-365 490- 15-19
SM570 450-469 610 19-26
SS400 235-245 520- 17-21
SS490 275-285 640 15-19
SS540 390-400 570- 13-17
720
400-
510
490-
610
540
ตํา่ สุด
* ขึ้ นกับความหนาของเหล็ก
ั น์ | หน้าที่ 5 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
A570
Gr.40 2750 3800 เหล็ กแผ่ นสํ า หรั บ ขึ้ นรู ป แบบเย็ น
Gr.45 3100 4150 (ความหนามากสุด 6 มม.)
Gr.50 3450 4500
A611 2300-5550 3330-5650 เหล็กแผ่นรีดเย็นสําหรับขึ้ นรูปแบบเย็น
(Gr.C,D และ E)
เหล็กกล้า A242 2900-3450 4350-4800 ใช้ในงานโครงสร้างสะพานทนการกัด
กําลังสูง กร่อนได้ดี
โลหะผสมตํา่
(ผสม A572
โคลัมเบียน Gr.42 2900 4150 เหล็กโครงสร้างทัว่ ไปเหล็กรูปพรรณ
หรือแว
นาเดียม) Gr.50 3450 เหล็กแผ่นเหล็กเส้นสําหรับงานสะพาน
4500
จะใช้เฉพาะGr.42และ50เท่านั้น
Gr.60 4150 5200 เหล็ ก รู ป พรรณ เหล็ ก แผ่ น เหล็ ก เส้น
Gr.65 4500 5500 สํา หรับ งานโครงสร้า งแบบเชื่ อ ม ทน
A588 2900-3450 4350-4850 การกัดกร่อนเป็ น 4 เท่าของ A36
ั น์ | หน้าที่ 7 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
3.1.4 รูปร่างของเหล็กที่ใช้ในงานโครงสร้าง
เหล็กที่ใช้ในงานโครงสร้างอาจได้แก่ เหล็กรูปพรรณ ซึ่งเป็ นเหล็กที่ผลิตสําเร็จรูป มีท้งั ประเภท
รีดร้อน (Hot-rolled) และรีดเย็น (Cold-rolled) หรือเหล็กรูปอื่นๆซึ่งได้จากการนําเอาเหล็กรูปพรรณ
หรือแผ่นเหล็กมาประกอบกันขึ้ นเพื่อให้มีรปู ร่างและคุณสมบัติในการรับนํ้าหนักตามต้องการ รูปร่างของ
เหล็กเป็ นรูปพรรณที่ใช้กนั อย่างแพร่หลายได้แสดงไว้ในรูปที่3.1-2 ตารางคุณสมบัติหน้าตัดต่างๆที่มี
ขายในประเทศไทยสามารถหาได้จากผูผ้ ลิตในประเทศ
W หรือ H S C L WT, ST
ก. ข. ค. ง. จ.
เหล็กรูปพรรณจําแนกตามรูปร่าง ดังนี้
1. เหล็กประเภท W (Wide-flange Shape) ตาม ASTM เหล็กรูป H ตาม มอก สําหรับ
ประเทศไทย) ดูรูปที่ 3.1-2 ก.เป็ นเหล็กที่นิยมใช้กนั อย่างแพร่หลาย มีแกนสมมาตรสองแกน การ
กําหนดชนิ ดของเหล็ กจะเขียนด้วยอักษร W หรือ Hตามด้วยความลึ กx กับนํ้ าหนั กเป็ น กก./ม. เช่น
H400 66 ได้แก่ เหล็ก H มีความลึก 400 มม. และมีน้ําหนัก 66 กก./ม. เหล็กประเภท H หรือ W
จะมีความหนาของปี กคงที่
2. เหล็ก S (S Shape) หรือ Iตาม มอก ดูรูปที่ 3.1-2ข. เป็ นเหล็กที่มีแกนสมมาตรสองแกน
เดิมมีชื่อเรียกว่า I-Beam เหล็กประเภทนี้ มีความกว้างของปี กน้อยกว่า เหล็ก W หรือ H และจะมีความ
หนาปี กที่ไม่คงที่
3. เ ห ล็ ก M(MShape)มี อ ยู่ ป ร ะ ม า ณ 20ช นิ ด ข น า ด ที่ ใ ห ญ่ ที่ สุ ด ข อ ง เ ห ล็ ก Mไ ด้ แ ก่
M360 25.6 ซึ่งมีความลึก 360 มม. และนํ้าหนัก 25.6 กก./ม.
4. เหล็ก C (C Shape) ดูรูปที่ 3.1-2ค. เป็ นเหล็กที่มีรปู ร่างเหมือนตัว C หรือเรียกว่าเหล็ก
รูปรางนํ้ามีแกนสมมาตรเพียงแกนเดียว เดิมมีชื่อเรียกว่า American Standard Channels C150 18.6
ได้แก่เหล็กรูปรางนํ้าที่มีความลึก 150 มม. และนํ้าหนัก 18.6 กก./ม.
5. เหล็ ก MC(MCShape)มี รู ป ร่ า งเหมื อ นเหล็ ก รู ป รางนํ้ า มี ชื่ อ เรี ย กว่ า Miscellaneous
Channels
6. เหล็ก L (L Shape) ดูรูปที่ 3.1-2 ง. มีรปู ร่างเหมือนตัว L หรือเรียกว่าเหล็กฉาก มีท้งั
ชนิ ดขาเท่ าและขาไม่เท่ า L50 50 4 ได้แก่เหล็ กฉากขาเท่ ากัน มีขายาวข้างละ 50มม. และ
ความหนา 4มม. ส่ ว น L75 50 6 ได้แ ก่ เ หล็ ก ฉากขาไม่ เ ท่ า กัน มี ข ายาว 75 มม.และ50มม.
ตามลําดับ ความหนาของขาเท่ากับ6มม.
7. เหล็ก T (T Shape) ดูรูปที่ 3.1-2 จ. มีรปู ร่างเหมือนเหล็กตัว T ได้จากการตัดเหล็ก W,S
และM ออกเป็ นสองส่วน ซึ่งปกติแล้วจะแบ่งออกเป็ นสองส่วนเท่าๆกัน ตัดออกจากเหล็ก W เรียกว่า WT
ั น์ | หน้าที่ 9 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
3.1.5 การออกแบบโครงสร้างเหล็กด้วยวิธีตา่ งๆ
1. วิธีหน่วยแรงที่ยอมให้ Allowable Stress Design (ASD)
การออกแบบโครงสร้างเหล็กโดยวิธีหน่ วยแรงที่ยอมให้ มีการใช้กนั ตั้งแต่ในยุคแรกเริ่มที่มี
การใช้โครงสร้างเหล็กจนถึงในปั จจุบนั วิธีหน่ วยแรงใช้งาน หรือ Allowable Stress Design (ASD)
มีหลักการคือการจํากัดหน่ วยแรงที่ เกิดขึ้ นในภาวะใช้งาน (Service Level)ไม่ให้เกินค่าที่ ยอมให้
โดยค่าที่ยอมให้จะหาจากการลดค่าหน่ วยแรงที่จุดครากหรือที่ภาวะขีดสุด (Limit Stress) ของเหล็กลง
โดยอาศัยตัวประกอบความปลอดภัย (Factorof Safety)การออกแบบจะตั้งอยูบ่ นพื้ นฐานการวิเคราะห์
Flim (3.1-2)
fa
FS
ั น์ | หน้าที่ 11 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
LF
= 1.7 สําหรับนํ้าหนักบรรทุกที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง เช่น Dead Load หรือ Live Load
LF = 1.3 สําหรับนํ้าหนักบรรทุกที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง ร่วมกับแรงด้านข้างเช่น แรงลม หรือ
แรงแผ่นดินไหว
n
i Qi Rn (3.1-4)
i 1
ตามที่ Prof. Lynn S. Beedle (1986) ได้กล่าวไว้ในวารสาร “Modern Steel Construction” ถึง
ประโยชน์ของวิธีการออกแบบโดยวิธี LRFD(Load & Resistance Factor Design) ไว้ดงั นี้
1. LRFD เป็ นวิธีการออกแบบที่ใช้ค่าตัวคูณนํ้าหนักบรรทุกเพิ่ม (Load Factor) โดยใช้หลัก
วิธีการประมาณทางสถิติในการประมาณความไม่แน่ นอนของนํ้าหนักบรรทุกให้มีเหตุผลสอดคล้องกับ
นํ้าหนักบรรทุกจริงชนิ ดต่างๆ
2. LRFDเป็ นวิธีออกแบบที่ อาํ นวยความสะดวกต่อการรับข้อมูลใหม่ๆที่อาจจะมีขึ้น หรือ
ความรูใ้ หม่ๆเอามาประยุ กต์ใช้ได้ง่าย โดยเฉพาะข้อมูลความน่ าจะเป็ นที่ น้ํ าหนั กบรรทุ กจะเกิดขึ้ น
รวมถึงวิวฒั นาการทางด้านวัสดุศาสตร์
3. LRFDการแก้ ไ ขค่ า ตั ว คู ณ นํ้ าหนั กบรรทุ ก เพิ่ ม (Load Factor, )และค่ า ตั ว คู ณ
ความต้านทาน(Resistance Factor, )เพื่อให้เข้ากับข้อมูลใหม่ๆ หรือความรูใ้ หม่ๆ ที่จะมีขึ้นได้ใน
อนาคตทําได้ง่าย จึงทําให้เป็ นการออกแบบที่ทนั สมัยตลอดเวลา
และในกรณีที่ใช้ LRFD
n
i Qi Rn (3.1-6)
i1
ั น์ | หน้าที่ 13 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
จะมีก ารกํา หนดค่ า ตัวประกอบความปลอดภัย ค่ า ตัวคูณเพิ่ มนํ้ า หนั ก บรรทุ ก i และค่ า ตัวคูณ
ความต้านทาน ให้สอดคล้องกันสําหรับการออกแบบแต่ละกรณี
ในส่ ว นมาตรฐานการออกแบบโครงสร้า งเหล็ ก ของวิ ศ วกรรมสถานแห่ ง ประเทศไทยนั้ น
ในปั จจุบันได้จดั ทํามาตรฐานสําหรับการออกแบบด้วยวิธี วิธีหน่ วยแรงใช้งาน และวิธี LRFDไว้แล้ว
แต่ปัจจุบนั ยังไม่มีมาตรฐานแบบ Unified Method ซึ่งกําลังอยูใ่ นระหว่างการจัดทําของวิศวกรรมสถาน
แห่งประเทศไทย
1.4 Dn (3.1-7)
1.2 Dn 1.6 Ln 0.5 ( Lnr หรือ Sn หรือ Rn ) (3.1-8)
1.2 Dn 1.6 ( Lnr หรือ S n หรือ Rn )+( 0.5Ln หรือ 0.8Wn ) (3.1-9)
1.2 Dn 1.3Wn 0.5 Ln 0.5 ( Lnr หรือ S n หรือ Rn ) (3.1-10)
1.2 Dn 1.0 En 0.5Ln 0.2 S n (3.1-11)
0.9 Dn ( 1.3Wn หรือ 1.0 En ) (3.1-12)
3.2 องค์อาคารรับแรงดึง
3.2.1 คํานํา
แรงดึงคือแรงที่พยายามทําให้จุดสองจุดบนชิ้ นส่วนแยกห่างออกจากกันมากขึ้ นรูปร่างหน้าตัด
ขององค์อาคารรับแรงดึงที่ใช้กนั อยูท่ วั ่ ไป ได้แสดงไว้ในรูปที่ 3.2-1
ั น์ | หน้าที่ 15 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
ลวดพันเกลี ยว
เชือกลวดสลิง
รูปที่ 3.2-3ลวดพันเกลียว (Wires Strand) และเชือกลวดสลิง (Wires Rope)
ั น์ | หน้าที่ 17 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
รูปที่ 3.2-4สายเคเบิลยึดเสาไฟฟ้ า
Tn Fy Ag (3.2-1)
ั น์ | หน้าที่ 19 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
An Ag Ah (3.2-3)
Ah = พื้ นที่หน้าตัดของรูเจาะ
มาตรฐานว.ส.ท./AISC-LRFDสําหรับการหาพื้ นที่หน้าตัดสุทธิของแผ่นเหล็กที่เจาะรูแบบเฉียง
ไปมาเป็ นดังนี้
2
An = (ความกว้างทั้งหมด – ความกว้างรูเจาะ + s ) (ความหนา) (3.2-5)
4g
รูปที่ 3.2-7หน้าตัดวิกฤตของแผ่นเหล็กที่เจาะรู
ั น์ | หน้าที่ 21 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
Ae UAg (3.2-6)
เหล็ ก ฉาก เหล็ ก รูป รางนํ้ า เหล็ ก รูป ตัว Iเหล็ ก ที่ ก ลมฯลฯหรื อ อาจได้แ ก่ ชิ้ นส่ ว นประกอบ(Built-up
Members) ซึ่งประกอบขึ้ นจากเหล็กมาตรฐานดังกล่าวข้างต้นรูปร่างหน้าตัดของชิ้ นส่วนรับแรงอัดที่ใช้
กันอยูท่ วั ่ ไปได้แสดงไว้ในรูปที่ 3.3-1
วิธีก ารออกแบบชิ้ นส่ว นรับ แรงอัด ค่ อ นข้า งจะยุ่ง ยากกว่า วิธี ก ารออกแบบชิ้ นส่วนรับ แรงดึ ง
เนื่ อ งจากเสาจะเกิ ด การโก่ ง เดาะภายใต้แ รงอัด ตามแกน ซึ่ ง กํา ลัง ของเสาจะขึ้ นอยู่กับ ค่ า สัด ส่ ว น
ความชะลูด (Effective Slenderness Ratio = kL r ) ของเสานั้น
ั น์ | หน้าที่ 23 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
เสาที่ชะลูดภายใต้แรงอัดตามแกนจะเกิดการโก่งเดาะ ทั้งๆที่ไม่มีโมเมนต์กระทําจากภายนอก
การโก่งเดาะนี้ ทําให้เสาสูญเสียเสถียรภาพ นํ้ าหนั กตามแกนตํา่ สุดที่ ทําให้เกิดการโก่งเดาะ เรียกว่า
นํ้าหนักบรรทุกโก่งเดาะ (Buckling Load) ซึ่งจะเป็ นค่าที่กาํ หนดความสามารถในการรับนํ้าหนักของเสา
การศึกษาพบว่า นํ้าหนักบรรทุกโก่งเดาะจะแปรผันกลับกับความยาวของเสา
Leonhard Euler ในปี ค.ศ. 1757 ได้เสนอทฤษฎีการโก่งเดาะของเสาตรงยาวในช่วงอิลาสติก
โดยพบว่าค่าแรงที่ภาวะวิกฤตซึ่งเป็ นจุดที่เสาเกิดการโก่งเดาะ
EI
2
Pe 2
(3.3-1)
L
เมื่อเขียนในเทอมของหน่ วยแรงอัดจะได้
EI E
2 2
Pe
Fe (3.3-2)
A AL
2
L r 2
E
2
Fcr 2
k L (3.3-3)
r
รูปการโก่งตัว
ของเสาที่มีจุด
รองรับแบบ
ต่างๆ
ต้านการหมุน ต้านการเคลื่อนที่
หมุนอิสระ ต้านการเคลื่อนที่
สภาวะการต้าน
ของจุดรองรับ ต้านการหมุน เคลื่อนที่ได้
หมุนอิสระ เคลื่อนที่ได้
ั น์ | หน้าที่ 25 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
ในการเลือกใช้หน้าตัดรูปต่างๆ จะต้องพิจารณาอัตราส่วนระหว่างความกว้างและความหนาของ
ชิ้ นส่วนหน้าตัดให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการโก่งเดาะเฉพาะที่ของหน้าตัด
b
b b b t
t t
Welds
ั น์ | หน้าที่ 27 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
AISC-LRFD
b
t
p = 0.38 E / Fy r = 0.83 E /( Fy 700)
h,b tw
p = 3.76 E / Fy r = 5.70 E / Fy
b (เจาะรู) p= - r = 1.86 E / Fy
b
t (ตัน) p= 1.12 E / Fy r= 1.40 E / Fy
t
hc
t p = 0.38 E / Fy r=0.95 k c /( Fyf 1150)
h,b b
hc p = - r = 0.56 E / Fy
p = 3.76 E / Fy r = 5.70 E / Fy
b p= 1.12 E / Fy r = 1.40 E / Fy
h,b t
p = 3.76 E / Fy r = 5.70 E / Fy
AISC-LRFD
b
t
p = - r = 0.56 E / Fy
p r
b = - = 0.45 E / Fy
b
p = - r = 0.75 E / Fy
h t
b
t p = - r = 0.56 E / Fy
h t
p = - r = 1.49 E / Fy
ั น์ | หน้าที่ 29 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
Average
axial
stress
Variable strengths
depending on shape,
geometric irregularities,
and residual stress.
kL/r
Short columns Intermediate columns Long columns
รูปที่ 3.3-5กราฟการรับกําลังของเสา
kL r
รูปที่ 3.3-6กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหน่ วยแรงของเสาและค่าอัตราส่วนความชะลูดตาม
AISC
0.877
Fcr = 2 Fy เมื่อ c >1.5 (3.3-4)
c
= 0.658 c Fy
2
Fcr เมื่อ c 1.5 (3.3-5)
ั น์ | หน้าที่ 31 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
Ic
Lc
G A, B (3.3-5)
Ig
L
g A, B
1. ค่า k จาก
จ Chart กก.เมื่อโครงข้อ้ แข็งไม่มีการเคลื่อนที่ดานข้
า้ าง (Sideesway Inhibbited or
Braced Frame)
2. ค่า k จาก
จ Chart ข.เมื่อโครงข้อ้ แข็งมีการเคลื่อนที่ดา้ นข้
น าง (Sideswway Uninhibbited or
Unbraceed Frame)
เมื่อเปรียบเททียบค่า k ระหว่
ร างเสาต้น้ เดียวตามตตารางที่ 3.33-1กับเสาที่ออยูใ่ นโครงข้อแข็ อ งจะมี
ความคลล้ายคลึงกันดังั นี้ คือเมื่อเสาไม่มีการเคลืลื่อนที่ดา้ นข้าง
า ค่า k ของเสาต้นเดียวจจะอยูร่ ะหว่าง 0.5 ถึง
1.0 ส่วนค่
น า k ของเสสาในโครงข้อแข็งก็จะอยูร่ ะหว่าง 0.5 ถึง 1.0 ตามรูรูปที่ 3.3-77 ก ส่วนค่า k ของเสา
ต้นเดียว เมื่อมีการเคคลื่อนที่ดา้ นขข้างจากตาราางที่ 3.3-1คค่า k จะอยูร่ ะหว่าง 1.0 ถึง 2.0 เมื่อเสาอยูใ่ น
โครงข้อแข็ 1 ถึง ดูจากรูปที่ 3.3-7ข
แ งที่มีการเคคลื่อนที่ดา้ นขข้าง ค่า k จะอยูร่ ะหว่าง 1.0
3.4 คาน
3.4.1 พฤติกรรมการรับแรงของคาน
คาน หมายถึ งองค์อ าคารที่ รับนํ้ า หนั กบรรทุ กซึ่ งมี ทิ ศ ทางขวางกับทิ ศทางตามยาวขององค์
อาคารนั้ นๆทั้งนี้ รวมถึงโมเมนต์ที่กระทําที่ปลายด้วย ดังนั้นแรงที่กระทําต่อคานจึงมีท้งั แรงดัดและแรง
เฉื อ น ตัว อย่า งขององค์อ าคารที่ อยู่ใ นโครงสร้า งที่ จัด อยู่ใ นจํา พวกคานได้แ ก่ ตง จันทัน แป อกไก่
เป็ นต้นรูปที่ 3.4-1แสดงรูปร่างหน้าตัดคานที่ใช้กนั ทัว่ ไป
สํา หรับ คานที่ มีค วามหนาของแผ่ นปี กและแผ่ นเอวเพี ย งพอ ไม่มี ก ารโก่ง เดาะเฉพาะที่ แ ล้ว
พฤติ กรรมการรับแรงจะขึ้ นกับระยะระหว่างคํ้ายันทางด้านข้าง หรื อที่ เรียกว่า ระยะปราศจากคํ้ายัน
(Unbraced Length)รูปที่ 3.4-2แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกําลังรับโมเมนต์(Mn)และระยะปราศจาก
คํ้า ยันด้า นข้า ง (Lb)ของคานภายใต้โมเมนต์ดัด ที่ มีค่า คงที่ ต ลอดระยะที่ พิจ ารณา โดยสามารถแบ่ง
พฤติกรรมของคานออกเป็ น 4 โซนดังนี้
1. โซน 1Pคือ กรณีที่ระยะปราศจากคํ้ายันมีค่าน้อยมาก (มีการคํ้ายันเกือบตลอดความยาว)
คานจะสามารถรับแรงดัดโดยไม่สูญเสียเสถี ยรภาพจนกระทัง่ เกิดการครากขึ้ นทั้งหน้าตัด ซึ่งจะเป็ น
โมเมนต์สูง ที่ สุ ด ที่ ค านจะรับ ได้ เรี ย กว่า โมเมนต์พ ลาสติ ก Mpและยัง สามารถเกิ ด การเสี ย รูป หลัง
การคราก (Inelastic Deformation) ได้อีกอย่างมาก กล่าวคือ มีค่าความสามารถของการหมุนได้สงู
2. โซน 1Eคื อกรณี ที่ ร ะยะปราศจากคํ้า ยัน มีค่ า น้อ ย (มีก ารคํ้า ยันด้า นข้า งอย่า งเพี ย งพอ)
คานสามารถรับ แรงดัด ได้จ นกระทัง่ เกิ ด การครากขึ้ นทั้ง หน้า ตัด ภายใต้โ มเมนต์พ ลาสติ ก Mpแต่ จ ะ
สามารถเสียรูปในช่วงหลักการครากได้อย่างจํากัด
3. โซน 2คื อกรณี ที่ระยะปราศจากคํ้ายันมีค่าค่อนข้างมาก คานจะไม่สามารถรับแรงดัดได้
จนกระทัง่ เกิดการครากขึ้ นทั้งหน้าตัด (โมเมนต์ที่รบั ได้มีค่าน้อยกว่าโมเมนต์พลาสติก) แต่จะเกิดการ
โก่งตัวและบิดตัวออกทางด้านข้างเสียก่อน โดยอาจจะมีหน่ วยแรงในบางจุดที่มีค่าถึงหน่ วยแรงที่จุดคราก
(Inelastic Lateral-Torsional Buckling)
4. โซน3คื อ กรณี ที่ ร ะยะปราศจากคํ้า ยันมี ค่ า สูง (คํ้า ยันด้า นข้า งห่ า งกัน มาก) คานจะเกิ ด
การโก่งตัวและบิดตัวออกทางด้านข้าง ตั้งแต่ค่าโมเมนต์ดดั ที่ไม่สงู มาก โดยจะไม่มีจุดใดบนหน้าตัดคาน
ที่มีหน่ วยแรงถึงหน่ วยแรงที่จุดคราก (Elastic Lateral-Torsional Buckling)
โมเมนต์ระบุ (M)
n
M p
M
r
Zone Zone
1P 1E Zone 2 C = 1.0
b
Zone 3
0 L L L L b(Unbracing
pd p r
Length)
ั น์ | หน้าที่ 35 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
M n M p 1 .5 M y (3.4-1)
L pd 0.12 0.076 M 1 / M 2 E / Fy ry (3.4-2)
ดัดกลับเกิดขึ้ นหรือ อีกนัยหนึ่ งคือ ชิ้ นส่วนมีการดัดแบบสองโค้ง Double curvature และจะมีค่าเป็ นลบ
เมื่อโมเมนต์ M 1 และ M 2 มีทิศทางตรงกันข้ามซึ่งจะทําให้ชิ้นส่วนไม่มีจุดดัดกลับหรือมีเพียง Single
Curvature
M n M p 1 .5 M y (3.4-3)
สําหรับหน้าตัด Iและ C
L p 1.76 ry E Fy (3.4-4)
L p
LL
M n Cb M p M p M r
b
M p
L p
(3.4-5)
r
Lr = ความยาวไร้การยึดด้านข้างสูงสุดซึ่งคานยังคงมีพฤติกรรมการโก่งเดาะด้านข้างเนื่ อง
จากการบิดในช่วงอินอิลาสติก ซม.
ั น์ | หน้าที่ 37 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
สําหรับความสามารถในด้านกําลังรับนํ้าหนักสูงสุด กําหนดให้
M u b M n และ (3.4-7)
Vu vVn (3.4-8)
โดยที่ Mu = โมเมนต์ใช้งานที่เพิ่มค่าแล้ว กก.ซม.
M n = กําลังโมเมนต์ระบุ กก.ซม.
b = ตัวคูณความต้านทานสําหรับแรงดัด = 0.90
Vu = แรงเฉือนใช้งานที่เพิ่มค่าแล้ว กก.
Vn = กําลังแรงเฉือนระบุ กก.
v= ตัวคูณความต้านทานสําหรับแรงเฉือน = 0.90
Vn 0.6 Fy dt w (3.4-9)
โดยที่
Vn = กําลังแรงเฉือนระบุ กก.
d = ความลึกของคาน ซม.
t w = ความหนาระบุของแผ่นเอว ซม.
3.5.1 คํานํา
ในโครงสร้า งประเภทโครงอาคาร (BuildingFrame)องค์อ าคารส่ ว นมากจะมี แ รงกระทํา ทั้ง
แรงอัดหรือแรงดึงในแนวแกนร่วมกับแรงดัดในเวลาเดียวกัน อาทิเช่น เสาในโครงข้อแข็งของอาคารสูง
เนื่ องจากจุดต่อในโครงข้อแข็งจะเป็ นแบบที่สามารถถ่ายโมเมนต์ได้ เสาดังกล่าวจะต้องรับแรงทั้งใน
แนวแกนอันเกิดจากนํ้าหนักบรรทุกในแนวดิ่งและแรงดัดที่ถ่ายมาจากคาน องค์อาคารประเภทนี้ จะถูก
เรียกว่า คาน-เสา (Beam-Column)
Pu
c Pn
1.0
(AISC-LRFD): H1-1a)
Pu
1. เมื่อ 0.2
c Pn
8 M ux M uy
1 .0
Pu
(3.5-1)
c Pn 9 b M nx b M ny
Pu
2. เมื่อ 0 .2
c Pn
Pu M ux M uy
1 .0 (3.5-2)
2c Pn M
b nx b M ny
เมื่อ Pu = แรงตามแนวแกนที่ได้จากการวิเคราะห์โครงสร้างที่เกิดจากแรงภายนอกที่คิด
คํานวณการเพิ่มค่าแล้วอาจเป็ นได้ท้งั แรงดึงและแรงอัด (กก.)
Pn = แรงอัดระบุตามแนวแกนอย่างเดียวไม่รวมค่าของแรงดัด หาได้จากบทที่กล่าว
มาก่อนหน้านี้ (กก.)
c = 0.85 ในกรณีเสารับแรงอัด
0.9 ในกรณีเสารับแรงดึง
b = 0.9 สําหรับแรงดัด
M nx , M ny = โมเมนต์ระบุรอบแกน x และรอบแกน y ตามลําดับ
M ux , M uy = โมเมนต์ที่ได้จากการวิเคราะห์โครงสร้างที่ถกู กระทําด้วยนํ้าหนักที่เพิ่มค่าแล้ว
รอบแกน x และ y ตามลําดับ ค่าโมเมนต์นี้จะต้องคิดรวมผลของ P. ใดๆ
ที่อาจจะเกิดขึ้ นไว้แล้ง
ั น์ | หน้าที่ 41 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
Thread length
A325
F H Bolt length H W
รูปที่ 3.6-1 ส่วนประกอบสลักเกลียวกําลังสูงหัวหกเหลี่ยม
P
P
Bearing
stress
Bearing stress
Bearing P
stress
P
Bearing stress
ในกรณี ข องรอยต่ อ ที่ ใ ช้ส ลัก เกลี ย วกํา ลัง สูง เพื่ อ รับ แรงดึ ง และในรอยต่ อ ชนิ ด เลื่ อ นวิ ก ฤต
เมื่อเวลาติดตั้งจะต้องขันให้เกิดแรงดึงขึ้ นในสลักเกลียวไม่น้อยกว่าค่าที่กาํ หนดไว้ในตารางที่ 4.6-1
ซึ่งแรงดึงนี้ จะมีค่าเท่ากับร้อยละ 70 ของกําลังรับแรงดึงของสลักเกลียวนั้น
ั น์ | หน้าที่ 43 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
ั น์ | หน้าที่ 45 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
ในมาตรฐานการออกแบบ จะมีการกําหนดสมการสําหรับคํานวณกําลังของจุดต่อตามลักษณะ
การวิบัติ รูป แบบต่ า งๆ ในการออกแบบจะต้อ งทํา ให้ร อยต่ อมีกํา ลัง รับแรงมี ค่ า สูง กว่า แรงที่ ก ระทํา
ตั ว อย่ า งกํ า ลั ง รั บ แรงดึ ง และแรงเฉื อ นประลั ย สํ า หรั บ การออกแบบ LRFD ในรอยต่ อ ประเภท
แรงแบกทาน แสดงในตารางที่ 3.6-3
(ก) (ข)
(ค) (ง)
(จ)
(ช)
(ซ)
(ฉ)
Shear plane Shear plane
Tension plane
Tension plane
ั น์ | หน้าที่ 47 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
ั น์ | หน้าที่ 49 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
ข้อดีของการต่อโดยวิธีการเชื่อมเทียบกับการต่อโดยวิธีสลักเกลียวพอสรุปได้ดงั นี้
1. เป็ นการต่อที่ มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ ง ออกแบบรายละเอียดได้ง่ายกว่า ข้อต่อไม่มีส่วนที่ มี
นํ้าหนักเพิ่มขึ้ นจากตัวยึดเช่นการต่อโดยสลักเกลียวจะมีน้ําหนักของตัวยึดเพิ่มขึ้ น
2. ราคาจะถูกกว่าเพราะไม่ตอ้ งเสียค่าใช้จ่ายในการชื้ อตัวยึดต่อ ชื้ ออุปกรณ์เจาะ (Drilling)
ชื้ ออุปกรณ์คว้าน (Rearning) เพื่อตัดแต่งรูเจาะเป็ นต้น
3. ลดขนาดของชิ้ นส่วนหลักที่รบั แรงเพราะไม่ตอ้ งเจาะรูที่ทาํ ให้พื้นที่รบั แรงลดลง
4. วิธีการเชื่อมสามารถลดการรัว่ ซึมของอากาศหรือของเหลวที่จะรัว่ ผ่านรอยต่อได้จึงนํ้าไปใช้
กับอุตสาหกรรมการต่อเรือ การก่อสร้าง ถังเก็บนํ้ า ถังเก็บนํ้ ามัน โดยวิธีการเชื่อมแบบจมใต้ฟลักซ์
(Submerged Arc Process)
5. วิ ธี ก ารเชื่ อ มทํ า ให้ข ้อ ต่ อ ของโครงสร้า งดู เ รี ย บร้อ ยในเชิ ง ความสวยงามของงานด้า น
สถาปั ตยกรรม เพราะลักษณะของรอยเชื่อมจะมีขนาดเล็ก ลักษณะเป็ นแนวเส้นคล้ายของเหลวกําลังไหล
บนผิวพื้ นเรียบ
6. วิธีการเชื่อมสามารถต่อข้อต่อให้ถ่ายแรงเต็มพื้ นที่หน้าตัดของเหล็กที่นํามาต่อได้ลดผลของ
หน่ วยแรงสูงมากที่จะเกิดในบางจุด (Local Stress Concentrations)
7. การต่ อ โดยวิธีก ารเชื่ อ มสามารถต่ อข้อต่ อ ของโครงสร้า งที่ มีลักษณะเอี ย งหรื อ โค้งอย่า ง
สะดวกและง่ า ยกว่า เช่ น การเชื่ อ มต่ อ โครงสร้า งของถัง กลม การเชื่ อ มโครงสร้า งลวดลายงานทาง
สถาปั ตยกรรมเป็ นต้น
8. การเชื่อมเพื่อซ่อมบํารุงโครงสร้างเดิมที่เกิดปั ญหาที่จะต้องเพิ่มการรับกําลังให้มีสงู มากขึ้ น
เพราะการเชื่อมทําให้โครงสร้างใหม่และเก่ารับแรงสอดคล้องกันได้ดีกว่าและวิธีการปฏิบตั ิก็ไม่ได้ยุง่ ยาก
มาก
ข้อเสียของการต่อโดยวิธีการเชื่อมพอสรุปได้ดงั นี้
1. การต่อโดยวิธีการเชื่อมจะทําได้ชา้ โดยเฉพาะการต่อที่หน้างาน (Field Connection)
2. การควบคุมคุณภาพได้ยากโดยเฉพาะการใช้แรงงานคนเชื่อมที่จะขึ้ นกับฝี มือการเชื่อมของ
ช่างแต่ละคน
ั น์ | หน้าที่ 51 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
Butt Joint
Tee Joint
Lap Joint
Corner Joint
Edge Joint
รูปที่ 3.7-5รูปแบบของการเชื่อมต่อ (Type of Joint)
การจะระบุ ข นาด ชนิ ด ของรอยเชื่ อ ม ความยาวรอยเชื่ อ ม ฯลฯ จะอาศัย การใช้สัญ ลัก ษณ์
มาตรฐาน ตัวอย่างสัญลักษณ์ตามมาตรฐาน AWS (American Welding Society) สามารถสรุปได้ในรูป
ที่ 3.7-6
Throat
(te = 0.707a)
a (weld size)
t
Root of fillet weld
Te
te 0.707 a (3.7-1)
ั น์ | หน้าที่ 55 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
t e
t 1 a
t2
L l a
5tmin
ั น์ | หน้าที่ 57 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางกการเลื่อนระดับเป็
บ นสามัญวิศวกร
ว | สภาวิศวกร
ศ
___________________________________________________________________
ตารางทีที่ 3.7-3ขนาาดของรอยเชืชื่อมน้อยสุดและมากสุ
แ ดสําหรับการเชื่อมแบบเซาะะร่อง (Minim
mum and
Maximum Effective Throat Thicckness of Partial
P Peneetration Grooove Welds) (AISC-LRFFD Table
J2.4)
te
t max t min
ความหนาของเหล็กที่นํามาเชื่อมต่อ ขนาดคอประสิทธิผลของรอยเชื่อม
ที่มีความหนามากที่สุด, tmax (Effective Throat Thickness)
te(น้อยที่สุด) te(มากที่สุดไม่เกิน)
3.2 มม.< tmax 4.8 มม. 2.0 มม. tmin
4.8 มม.< tmax 6.4 มม. 3.0 มม. tmin
6.4 มม.< tmax 12.7 มม. 5.0 มม. tmin
12.7 มม.< tmax 19.0 มม. 6.0 มม. tmin
19.0 มม.< tmax 38.0 มม. 8.0 มม. tmin
38.0 มม.< tmax 57.0 มม. 10.0มม. tmin
57.0 มม.< tmax 152.0 มม. 13.0 มม. tmin
tmax> 152.0 มม. 16.0 มม. tmin
กําลังของรอยเชื่อมแบบเซาะร่องจะหาได้จากกําลังที่น้อยกว่าระหว่างกําลังของวัสดุเชื่อมกับกําลังของ
แผ่นเหล็ก สําหรับมาตรฐาน LRFDสามารถคํานวณกําลังของรอยเชื่อมแบบเซาะร่องสําหรับรับแรงต่างๆ
ดังนี้
1. ภายใต้แรงดึงและแรงอัด กําลังระบุของรอยเชื่อมต่อหน่ วยความยาว มีค่า
Rnw t e FM t e Fy กก./ซม. (3.7-6)
Rnw te Fw te FEXX กก./ซม. (3.7-7)
2. ภายใต้แรงเฉือน
Rnw t e max t e (0.6 Fy ) กก./ซม.บนวัสดุชิ้นงาน (3.7-8)
Rnw te Fw te 0.6 FEXX กก./ซม. บนลวดเชื่อม (3.7-9)
ั น์ | หน้าที่ 59 ของบทที่ 3
อานนท์ วงศ์แก้ว และ สุทศั น์ ลีลาทวีวฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________