Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 5
งานและพลังงาน
5.1 งาน
ในทางฟิสิกส์ งาน หมายถึง ผลของแรงที่กระทาให้วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรง หาค่าได้โดยผลคูณ
ระหว่างขนาดของแรงกับระยะที่วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรง งานมีหน่วยเป็นนิวตัน-เมตร หรือจูล
งานเป็นปริมาณสเกลาร์ และหาได้จากสูตร
W = FS ………………….(5.1)
เมื่อ W คือ งานที่ทาโดยแรง F มีหน่วยเป็นจูล
S คือ ระยะที่วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวทาง มีหน่วยเป็นเมตร
ในกรณีที่มีแรงคงตัว F กระทาต่อวัตถุเคลื่อนที่ไปในระยะทาง S ตามแนวแรง ดังรูป 5.1 ได้งานที่ทาโดย
แรง F เป็น FS
F F
F sin
F cos
จึงพอสรุปได้ว่า งานที่เกิดจากแรงกระทาซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุจะ
หางานได้ จ ากผลคู ณ ระหว่ า งขนาดของแรงองค์ ป ระกอบในการเคลื่ อ นที่ กั บ ระยะทางที่ วั ต ถุ เ คลื่ อ นที่
ดังสมการ
W = FScos ………………….. (5.2)
เมื่อ เป็นมุมระหว่างทิศของแรงที่กระทากับทิศการเคลื่อนที่ของวัตถุ
งานเนื่องจากแรงชนิดต่าง ๆ
กาหนดมวล m ถูกทาให้เคลื่อนที่บนพื้นผิวขรุขระด้วยแรง F ได้ระยะทาง S ดังรูปที่ 5.3
ทิศการเคลื่อนที่
F
f
S
รูปที่ 5.3
จะเห็นว่าแรงกระทาต่อวัตถุ 2 แรง คือ
แรง F ในแนวระดับ
งานที่กระทาโดยแรง F คือ WF = FS
แรงเสียดทาน f เนื่องจากแรง f มีทิศตรงข้ามกับการเคลื่อนที่ ดังนั้นงานที่ทาโดยแรง
f คือ Wf = - f S
ดังนั้น งานทั้งหมดคือ W = WF - Wf
= FS + (- f S)
= FS - f S
= (F - f ) S
W = FS …………………(5.3)
10 N F
f=1 5m
4
การหางานด้วยวิธีคานวณจากพื้นที่ใต้กราฟ
1. ถ้าแรงที่กระทาต่อวัตถุคงที่ จะเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรง F กับระยะทาง S
ดังรูป
F(N)
D C
A B S (m)
จากรูป AD = F
AB = S
พื้นที่ของสี่เหลี่ยม ABCD = AD AB
= FS
5
2. ถ้าแรงกระทาต่อวัตถุเพิ่มขึ้นอย่างสม่าเสมอ จะเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
F กับระยะทาง S ดังรูป
F(N)
C
A B S(m)
พื้นที่ใต้กราฟ ABC = ½ BC AB
= ½ FS
3. ถ้าแรงที่กระทาต่อวัตถุไม่สม่าเสมอ สามารถหางานได้โดยการหาพื้นที่ใต้กราฟ
ระหว่างแรงกับระยะทาง S โดยใช้วิธีแบ่งหาพื้นที่ย่อย ๆ แล้วนามารวมกัน
แรง(N)
F2
F1 F3
ระยะทาง(m)
0 S1, S2, S3
F(N)
100
0 3 6 9 S(m)
6
F u F v
S
รูปที่ 5.4 การเคลื่อนที่ของวัตถุโดยแรง
ในกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วต้น ( u ) เป็นศูนย์จะได้ว่า
FS = ½ mv2 ………………..(5.6)
หมายความว่า วัตถุมวล m เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว v สามารถทางานได้เท่ากับ 1/2mv2
หรือกล่าวได้ว่า งานที่กระทาต่อวัตถุจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานจลน์ของวัตถุ จะได้ว่า
EK = ½ mv2………………..(5.7)
ถ้าวัตถุเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วต้นไม่เท่ากับศูนย์ (u 0 )
จากสมการ (5.5)
FS = ½ m (v2 – u2)
= ½ mv2 – ½ mu2
หรือ w = ½ mv2 – ½ mu2 ……..(5.8)
ให้ EK1 = ½ mu2
EK2 = ½ mv2
ดังนั้น w = EK2 - EK1 …………………(5.9)
หรือ W = EK …………………..(5.10)
นั่นคือ งานเนื่องจากแรงที่กระทาต่อวัตถุจะเท่ากับพลังงานจลน์ที่เปลี่ยนไป พลังงานจลน์
ของวัตถุที่เปลี่ยนไป อาจลดหรือเพิ่มก็ได้ขึ้นอยู่กับทิศของแรงที่กระทา คือ ถ้างานของแรงที่มีทิศ
เดียวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุจะเป็นบวก แต่ถ้างานของแรงมีทิศต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุจะเป็นลบ
mg h
ระดับอ้างอิง
F
mg h1 h2
จะเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
EP1 = mgh1
EP2 = mgh2
ดังนั้น EP = mgh2 - mgh1 ………………….. (5.12)
ซึ่งสรุปได้ว่า งานที่ทาในการยกวัตถุให้สูงจากเดิมจะเท่ากับพลังงานศักย์โน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงพลังงานศักย์โน้มถ่วงของวัตถุไม่ขึ้นอยู่กับเส้นทางการเคลื่อนที่ แต่จะ
ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงระดับอย่างเดียว คือขึ้นอยู่กับความสูงของวัตถุจากระดับอ้างอิงเท่านั้น
12
5.3.2.2 พลังงานศักย์ยืดหยุ่น
พลังงานศักย์ยืดหยุ่น หมายถึง พลังงานศักย์ที่สะสมอยู่ในสปริงหรือวัตถุที่ยืดหยุ่นอื่น ๆ
ขณะที่ยืดออกหรือหดเข้าจากตาแหน่งสมดุล
ตาแหน่งสมดุล
S
แรงดึงกลับ
m F
รูป 5.5 การดึงให้ยืดออก
m
ตาแหน่งสมดุล
S
m F
รูป 5.6 การกดสปริงให้หดเข้า
เมื่อสปริงยืดหรือหด จะทาให้เกิดแรง F ในสปริง โดยขนาดของแรงในสปริงจะแปรผันตรงกับ
ระยะที่สปริงยืดหรือหด
FS
F = -kS
เครื่องหมาย (-) หมายถึงทิศของแรง F กับทิศของแรง S มีทิศตรงข้ามกันเสมอ
ขนาดของแรง F = kS
เมื่อ k เป็นค่าคงตัวเรียกว่าค่าคงตัวของสปริง
งานที่ทาให้สปริงยืด หรือหดระยะ S จากตาแหน่งสมดุ หาได้จากผลคูณระหว่างขนาด
ของแรงดึงกลับเฉลี่ยของสปริงยืดหรือหด
จาก W = FS
กาหนดให้ F = แรงเฉลี่ยดึงกลับของสปริง
S = ระยะทางที่สปริงยืดหรือหด
0 kS
ดังนั้น F=
2
13
5.4 กฎการอนุรักษ์พลังาน
กฎการอนุรักษ์พลังงาน หมายถึง พลังงานกลรวมของระบบ ณ ตาแหน่งใด ๆ ย่อมมีค่าคงเดิมเสมอ
สูตรคานวณกฎการอนุรักษ์พลังงาน
E สท. เคือผลรวมของพลังงานทั้งหมดที่ตาแหน่งสุดท้าย
14
สรุปเป็นสูตรได้ดังนี้
Wf คือ งานของแรงที่มาต้าน
F (N)
15
10
0 2 4 6 8 10 s ( cm )
. 2.5 m
(1)
2.5 m
(2)
22
1m
A
1m
5.5 การใช้พลังงาน
จากกฎการอนุรักษ์พลังงานจะเห็นได้ว่า พลังงานเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานอีกรูปหนึ่งได้ ดังนั้น
ปัญหาการขาดแคลนพลังงานจึงไม่น่าจะมีแต่ในทางปฏิบัติแล้วเทคโนโลยีการเปลี่ยนรูปพลังงานที่ใช้กันทา
ได้เฉพาะพลังงานบางรูปเท่านั้น และประสิทธิภาพการเปลี่ยนรูปพลังงานยังต่าอยู่ เช่น พลังงานจาก
เชื้อเพลิงจากน้ามันเปลี่ยนเป็นพลังงานกลของเครื่องยนต์ไม่หมดเพราะเกิดพลังงานความร้อนขึ้นด้วย
ปริมาณการใช้พลังงานจากน้ามันเชื้อเพลิงมีสูงขึ้นในขณะที่ปริมาณน้ามันในโลกมีจากัด จึงจาเป็นที่
จะต้องประหยัดน้ามันและใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ามากที่สุด ทั้งค้นคว้าหาทางนาพลังงานอื่น เช่น พลังงาน
แสงอาทิตย์ พลังงานน้า พลังงานลม พลังงานความร้อนจากใต้พิภพ มาใช้ทดแทน
23
15 --
10 --
5 --
2 2 2
0 2 4 6 8 v (m /s )
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ว่าข้อใดผิด
ก. งานที่ทาเพิ่มขึ้นทาให้พลังงานจลน์เพิ่มขึ้น
ข. แรงเสียดทานทาให้เส้นกราฟไม่ผ่านจุดกาเนิด
ค. ค่าความชันของกราฟมีหน่วยเดียวกับหน่วยของมวล
ง. ค่าความชันของกราฟมีขนาดเท่ากับขนาดของมวล
30 ก. 3.5 วัตต์
ข. 9.0 วัตต์
20 ค. 70.0 วัตต์
ง. 90.0 วัตต์
10
0 2 4 6 S(m)
50 ก. 25 จูล
40 ข. 50 จูล
30 ค. 75 จูล
20 ง. 90 จูล
10
ก. 15 เซนติเมตร
ข. 20 เซนติเมตร
ค. 25 เซนติเมตร
26
ง. 30 เซนติเมตร
30
F (N)
6
5
4
3
2
1
0
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 S(m)
แรงที่กระทา ( N )
6
0 2 4 6 8 ระยะทาง ( m )
40
20
0 5 10 S ( เมตร )
m
ก. 5 เท่า
ข. 4 เท่า
ค. 3 เท่า
ง. 1 เท่า
27. ( Ent 45 ) สปริงเบาตัวหนึ่งถูกอัดไว้ ระหว่างรถทดลอง A กับ B ซึ่งมีมวล 1.0 กิโลกรัม และ 2.0 กิโลกรัม
ตามลาดับ โดยสปริงไม่ได้ผูกติดไว้กับรถทดลองทัง้ สอง เมื่อปล่อยให้รถทดลองทั้งสองเคลื่อนที่ออกจากกันด้วย
แรงดัน
ของสปริง พบว่าสุดท้ายรถ B มีอัตราเร็ว 0.5 เมตรต่อวินาที จงหางานที่สปริงกระทาต่อระบบ
ก. 0.25 J ข. 0.50 J ค. 0.75 J ง. 0.85 J
A B
พื้นระดับ
28. ( Ent 45 ) คานไม้ส่าเสมอมวล 4.0 กิโลกรัม ยาว 2.0 เมตร วางอยู่บนพื้นระดับ จงหากาลังเฉลี่ยที่น้อยที่สุด
ในการออกแรงในแนวดิ่งเพือ่ ยกปลายคานด้านหนึง่ ให้สูงจากพื้นเป็นระยะ 1.0 เมตร ในเวลา 2.0 วินาที
ก. 5.0 W แรงยก
ข. 10.0 W
ค. 20.0 W
ง. 40.0 W
h
ข. mg ( 1 )
R
h
ค. mg ( 1 ) h
R
2h
ง. mg ( 1 )
R
40
20
31
0 2 4 6 8 10 12 X (m)
-20