Professional Documents
Culture Documents
แปดทศวรรษมิ่งมงคลสมัย
เสมอภูมิแผ่นไผทพิชัยเฉลิม
ฉลองราชชาติประชาปรีดาประเดิม
ประดับพรขจรเจิมพระจริยา
จริยวัตรฉัตรธรรมธำรงราษฎร์
ธำรงรัฐฉัตรชาติพระศาสนา
พระศาสนูปถัมภกยกบูชา
บูชิตฝ่าบาทบงสุ์ทรงพระเจริญ
(๔)
พระพุทธนวราชบพิตร
ดังจะเห็นได้จากการพัฒนาชีวิตที่ดีจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกที่ต่างกล่าวขานถึงพระองค์ว่า
ทรงเป็น “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” ทรงมีพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาต่อประชาชนผู้ยากไร้
ผู้ด้อยโอกาส โดยไม่ทรงแบ่งแยกสถานะ ศาสนา ชาติพันธ์ุหรือหมู่เหล่า ทรงสดับตรับฟังปัญหาความทุกข์
ยากของราษฎรและพระราชทานแนวทางดำรงชีวิต เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็ง
และยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในห้วงที่ผ่านมา เป็นเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็วและกว้าง
ไกลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ สำหรับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับพระราชทานตราตั้งให้เป็น
ธนาคารพาณิชย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ นับเป็นศิริมงคล
อย่างยิ่ง ยังผลให้การประกอบธุรกิจของธนาคารเจริญรุ่งเรืองรอดพ้นจากวิบัตินานาจนเป็นธนาคารชั้นนำ
และดำรงอยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ และด้วยเดชะพระบารมีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง
เป็นผู้นำในการพัฒนาระดับคุณภาพชีวิตผู้ยากไร้ในชนบทดังกล่าว ตลอดจนเป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดทุกด้าน
ด้วยเหตุนี้ พสกนิกรไทยจึงจงรักภักดีและเทิดทูนพระองค์ไว้เหนือเกล้าฯ ในฐานะที่ทรงเป็นศูนย์รวมแห่ง
ความรัก ความภักดีและทรงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งมวลมาช้านาน และนี่คือมูลเหตุที่ธนาคาร
กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ดำริจัดพิมพ์หนังสือชุด ลักษณะไทย อันเป็นผลงานที่ศาสตราจารย์ พลตรี
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี และศิลปินแห่งชาติ ร่วมกับนักวิชาการชั้นนำของเมืองไทย
ร่วมกันคิดและเขียนขึ้นไว้ทั้งชุด (๔ เล่ม) เพื่อให้เป็นบรรณานุสรณ์ของบรรพชนไทยเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย
ในโอกาสอันเป็นมหามิ่งมงคลในครั้งนี้
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ธันวาคม ๒๕๕๑
(๗)
คำนำของหนังสือชุด ลักษณะไทย
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
คำว่าวัฒนธรรมนั้นเป็นศัพท์ที่แสดงความหมายด้วยคำพูดอันเป็นนามธรรมได้ยาก อย่างดีที่สุดก็
พอจะอธิบายได้ว่าวัฒนธรรมเป็นธรรมที่มนุษย์ได้ปลูกฝังลงไว้ แล้วได้เจริญงอกงามเติบโตขึ้นมากับ
อารยธรรมหรือความเจริญของมนุษย์ แต่เมื่อได้อธิบายอย่างนี้ปัญหาก็เกิดขึ้นมาอีกว่าอารยธรรมนั้นคือ
อะไร แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเราได้แลเห็นวัฒนธรรม เราก็รู้ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นวัฒนธรรม ตลอดจนเป็นอารยธรรม
และศิลปะของคนแต่ละสมัย
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช
คนที่เข้าไปนั่งอยู่ในโบสถ์พระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลก จะได้เห็นด้วยตาของตนเองว่า
ภาพวาดสีน้ำมันโดย พิริยะ ไกรฤกษ์
อารยธรรมของสุโขทัยตอนปลายคืออะไร การสร้างโบสถ์วิหารและเทคโนโลยีในการหล่อพระพุทธรูป
พ.ศ. ๒๕๐๖ / ค.ศ. 1963
สำริดขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นได้ทั้งองค์เป็นอารยธรรม ความประณีตงดงามในการปั้นองค์พระพุทธรูปนั้น
ชนชาติอื่นได้ปลูกฝังลงไว้ในแผ่นดินนี้ก็ได้เจริญงอกเงยต่อมา และได้รับการอุปถัมภ์บำรุงจากคนไทย
จนคงเหลือยั่งยืนสืบมาจนทุกวันนี้
วัฒนธรรมของชนชาติอื่นที่คนไทยรับมาอุปถัมภ์นั้น น่าจะได้ผ่านการเลือกเฟ้นของคนไทยมาแล้ว
ในอดีต สิ่งใดที่เห็นว่าดีงามหรือเห็นชอบหรือตรงกับความเชื่อถือที่เป็นพื้นฐานดั้งเดิมก็รับเอาไว้แล้วทำให้
(๙)
ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของจีนและวัฒนธรรมของอินเดียขั้นพื้นฐานนั้นเห็นได้ชัดจาก
วิธีการรับประทานอาหาร คนที่ตกอยู่ใต้วัฒนธรรมของจีนนั้นกินด้วยตะเกียบ ส่วนคนที่ตกอยู่ใต้วัฒนธรรม
ของอินเดียนั้นเปิบข้าวด้วยมือเป็นพื้น จากความแตกต่างขั้นพื้นฐานนี้ก็บังเกิดความแตกต่างในขั้นอื่นๆ ขึ้นไป
โดยตลอด และยังฝังอยู่ในจิตใจของคนมาจนทุกวันนี้ คนจีน คนญี่ปุ่น ตลอดจนเกาหลีและเวียดนามนั้น
หากไม่ได้กินข้าวด้วยตะเกียบก็คงกินไม่อร่อย ส่วนทางประเทศอินเดียนั้นเคยมีคนถามท่านศรี ยาวหราล
เนห์รู รัฐบุรุษคนสำคัญของอินเดียว่า เหตุใดท่านจึงชอบเปิบข้าวด้วยมือมากกว่ารับประทานด้วยช้อนส้อม
ท่านก็ตอบว่า “การกินข้าวด้วยช้อนส้อมนั้นเปรียบเสมือนการเกี้ยวผู้หญิงโดยต้องใช้ล่าม ที่ไหนจะมีรสชาติ
เหมือนกับการเกี้ยวผู้หญิงด้วยวาจาของตนเอง ซึ่งเหมือนกับการเปิบข้าวด้วยมือ ?”
คนไทยนั้นเปิบข้าวด้วยมือมาแต่โบราณกาล เพิ่งจะมากินข้าวด้วยช้อนส้อมในรัชกาลที่ ๕ แห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นเวลาที่วัฒนธรรมจากตะวันตกที่ไกลออกไปอีก คือ ยุโรปเริ่มจะไหลบ่าเข้ามาสู่
เมืองไทย ความจำเป็นในทางการเมืองทำให้เราต้องรับวัฒนธรรมจากยุโรปหลายอย่าง ตลอดลงมาจน
ถึงชีวิตส่วนตัว เช่น การอยู่กิน การแต่งกาย และการไว้เผ้าผมการใช้ช้อนส้อมในการรับประทานอาหาร
นั้นเป็นตัวอย่างอันดีในการเลือกเฟ้นวัฒนธรรมของเมืองไทย เพราะเครื่องโต๊ะฝรั่งสำหรับแต่ละคนต่อ
พระรัตนตรัยเป็นที่เคารพบูชาแต่อย่างเดียว นอกจากนั้นในความเชื่อถือของคนจีนก็มีพระภูมิเจ้าที ่
(๑๐)
วัฒนธรรมของทั้งสองศาสนานี้ก็เข้ามาปลูกฝังลงในเมืองไทยได้ เพราะพระพุทธศาสนาให้สิ่งที่ศาสนาฮินดูยังหย่อน
อยู่แก่คนที่นับถือได้ และศาสนาฮินดูนั้นก็ให้คนที่นับถือศาสนาพุทธ สิ่งที่ศาสนาพุทธขาดอยู่ได้คือพิธีกรรมต่างๆ
เมื่อมารวมกันเข้าเป็นวัฒนธรรมไทยแล้ววัฒนธรรมนั้นก็เต็มบริบูรณ์ดีไม่ขาดไม่เกิน
วัฒนธรรมไทยที่ได้มาจากศาสนาพุทธก็คือวัฒนธรรมในการครองชีพ ได้แก่ ชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาหากิน
ความสัมพันธ์กับคนอื่นในสังคมเดียวกัน ความเคารพต่อบิดามารดา การอุปการะญาติและบุคคลในครอบครัวเดียวกัน
ตลอดไปจนถึงการแต่งกายที่สำรวมและมารยาทในการปฏิบัติตน ไปจนถึงมารยาทในการเสพอาหาร มารยาท
เหล่านี้ศาสนาพุทธได้กำหนดไว้ให้พระภิกษุปฏิบัติค่อนข้างจะละเอียดลออมากในพระวินัยหมวดเสขียวัตร์ และคนไทย
ซึ่งได้บวชเรียนแล้วได้จดจำออกมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของตนและสอนคนอื่นๆ ให้ปฏิบัติต่อๆ มาจนเกิดเป็น
ธรรมเนียมประเพณีอันแน่นอนอันเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมไทย ชีวิตของคนไทยทั่วไปตามปกติสามัญจึงอยู่ใต้
วัฒนธรรมที่ได้มาจากศาสนาพุทธเป็นพื้น คนไทยไม่ยอมรับวัฒนธรรมของฮินดูเข้ามาใช้ในทางด้านสังคมทั่วไป
ดังจะเห็นได้อย่างประจักษ์ชัดว่าสังคมไทยมิได้มีวรรณาศรมธรรมของฮินดู กล่าวคือไม่มีวรรณะเป็นประการแรก
และในประการที่สอง ชีวิตคนไทยมิได้ถูกแบ่งออกเป็นอาศรมต่างๆ ตามวัย ได้แก่อาศรมพรหมจรรย์ คือวัยเล่าเรียน
ไม่มีครอบครัวในวัยเด็ก และวัยรุ่นอาศรมคฤหัศ คือวัยครองเรือน มีครอบครัวทำมาหากินเป็นหลักฐานในยามที่
เป็นผู้ใหญ่ และอาศรมวนปรัสถ์ คือการสละละทิ้งครอบครัว และทรัพย์สินทั้งปวงออกป่า ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการขอ
เพื่อแสวงหาโมกขธรรมในบั้นท้ายของชีวิต
แต่วัฒนธรรมของฮินดูก็ยังมีความสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับองค์
(คึกฤทธิ์ ปราโมช)
๑๑ กันยายน ๒๕๒๔
(๑๑)
คำชี้แจง
(๑๓)
ดร. พิริยะ อาศัยพระพุทธปฏิมารูปแบบต่างๆ เป็นเครื่องแสดงความเป็นสากลของพระพุทธศาสนา
ปรัชญาของพระพุทธศาสนาเป็นพลังสากลที่ครอบคลุมดินแดนกว้างใหญ่หลายทวีป อย่างไรก็ดีในแต่ละยุคสมัย
และแต่ละท้องถิ่นก็มีค่านิยมที่แตกต่างกันออกไปที่แสดงให้เห็นจากพระพุทธปฏิมารูปแบบต่างๆ ซึ่งในความคิดเห็น
ของ ดร. พิริยะ มิได้เป็นความแตกต่างภายนอกทางศิลปะเท่านั้น แต่พุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาแต่ละองค์
เช่น การครองไตรจีวร อิริยาบถ และปางต่างๆ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาและความเชื่อถือศรัทธาของแต่ละ
ท้องถิ่นในแต่ละยุคสมัย
เนื่องจากพระพุทธศาสนาถือกำเนิดในประเทศอินเดีย การกล่าวถึงพระพุทธปฏิมาก็มักจะต้องโยงไปถึง
ต้นแบบของอินเดีย จึงทำให้หนังสือเล่มนี้มีความซับซ้อนยากแก่การเข้าใจของผู้ที่มิได้ศึกษาในเรื่องนี้มาโดยเฉพาะ
อาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือ ๒ มิติ สำหรับนักวิชาการและผู้ที่สนใจในเรื่องของพระพุทธศาสนาและ
ประเพณีการสร้างพระพุทธรูป หนังสือเล่มนี้อาจถือเป็นหนังสือค้นคว้า (reference) ซึ่งแม้ข้อคิดและเนื้อหาบาง
เรื่องอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับทั่วไป แต่รูปภาพและอภิธานศัพท์ต่างๆ ที่รวบรวมไว้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับ
การแสวงหาข้อมูล อีกมิติหนึ่งเป็นหนังสือคนทั่วไปที่นับตนเองเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ยังไม่มีความเข้าใจแม้ในเบื้อง
ต้นทั้งที่เกี่ยวกับปรัชญาและหลักธรรมของพระพุทธศาสนาตลอดไปถึงประเพณีเกี่ยวกับพุทธศาสนาในชีวิตประจำ
วันซึ่งได้ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย สำหรับผู้อ่านกลุ่มหลังนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความท้อแท้ขอแนะนำให้อ่าน
หนังสือเล่มนี้จากข้างหลังคือบทสรุป เพื่อให้ทราบแนวความคิดหลักของผู้เขียนแล้วจึงจับเรื่องที่แต่ละคนสนใจเป็น
พิเศษมาศึกษาเป็นเรื่องๆ ไป โดยอาศัยสารบัญที่ได้ลงไว้อย่างละเอียด คำอภิธานศัพท์ท้ายเล่มและแผนผังตาราง
ต่างๆ ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้มากมายเพื่อจะให้การอ่านหนังสือเล่มนี้ง่ายขึ้น
จุดประสงค์สำคัญอีกข้อหนึ่งในการเลือกนำเสนอหนังสือเล่มนี้โดยอาศัยบารมีของพระพุทธปฏิมาซึ่งเป็น
สมบัติล้ำค่าของคนไทย ก็เพราะพระพุทธปฏิมาที่สำคัญหลายองค์นั้น บุคคลทั่วไปไม่อาจจะได้สักการะเพราะเป็นสมบัติ
ของเอกชนบ้าง อยู่ในที่รโหฐานของพระราชวังต่างๆ บ้าง อยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่างชาติบ้าง อยู่ในประเทศอื่นๆ บ้าง
และแม้องค์ที่อยู่ในประเทศไทยเองก็กระจายอยู่ในท้องถิ่นทั่วประเทศยากแก่การที่ผู้มีความสนใจศรัทธาจะไป
คารวะได้ ทั่ ว ถึ ง และการนำพระพุ ท ธปฏิ ม ามารวบรวมไว้ อ ย่ า งงดงามเป็ น เครื่ อ งย้ ำ ถึ ง ความสำคั ญ ของพระ
พุทธศาสนาว่าเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยทุกระดับ ต้องขอขอบคุณ ดร. พิริยะที่มีความวิริยะ
อุตสาหะซอกซอนไปในท้องถิ่นห่างไกลทำให้เห็นว่า วัดบางวัดในชนบทที่มิได้ร่ำรวยหรืออาจกล่าวได้ว่ายากจนด้วยซ้ำ
กลับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่มีคุณค่าทั้งด้านที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้มั่นอยู่ในพุทธธรรมและในด้านที่
เป็นพุทธศิลป์ชั้นยอดที่สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของชุมชนล้วนๆ และขอบคุณธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่มี
สายตายาวไกลจัดสรรงบประมาณจำนวนสูงมากในการผลิตหนังสือเล่มนี้เพื่อเป็นตำราที่สำคัญเล่มหนึ่งในการ
ศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนา
แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีทั้งข้อดีและปัญหาในวิธีการนำเสนอ แต่ในเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุด
นับได้ว่าผู้เขียนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี คือ ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือเล่มนี้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเป็นมิ่งมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา โดยแสดง
พระราชกรณียกิจด้านพระพุทธศาสนาซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างพระพุทธศาสนาและ
สถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งในด้านพื้นฐานทางศีลธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาและในทางการเมือง
การปกครอง ก็เป็นเครื่องเชื่อมโยงสถาบันหลักทั้งสองกับประชาชนเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของชาติไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันมิได้ทรงมีแต่ความยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
เท่านั้น แต่ทรงเป็นศิลปินอีกด้วย ดังนั้นพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านในด้านนี้จึงทรงคุณค่ามหาศาล ในการ
สร้างพระพุทธรูปที่สำคัญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงถือเป็นพระราชภาระไม่เฉพาะในเรื่องพระพุทธคุณ
เท่านั้น แต่ในเรื่องมาตรฐานความงดงามในทางด้านศิลปะอีกด้วย
(๑๔)
ท้ายที่สุดนี้ ขออัญเชิญพระราชดำรัสในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไป
พระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรให้กับจังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ความว่า
พระพุทธองค์นี้ข้าพเจ้าสร้างขึ้นมอบไว้ เป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัด ที่ฐานบัวหงาย
ข้าพเจ้าได้บรรจุพระพิมพ์องค์หนึ่งซึ่งได้ทำขึ้นด้วยผงศักดิ์สิทธิ์อันได้มาจากจังหวัดต่างๆ
ทั่วพระราชอาณาจักร มีผงดินทรายและเกสรดอกไม้ที่บูชาหลวงพ่อนาควัดมัชฌิมมาวาส
ผงดินทราย ผงธูป และเกสรดอกไม้จากศาลหลักเมือง กับผงดินทราย ผงธูป และเกสร
ดอกไม้ จากที่บูชาศาลเทพารักษ์ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานีนี้รวมอยู่ด้วย
พระพุทธนวราชบพิตรนี้ นอกจากจะถือเป็นนิมิตรหมายแห่งคุณพระรัตนตรัยอันเป็นที่
เคารพสูงสุดแล้ว ข้าพเจ้ายังถือเสมือนเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ของประชาชาติไทย และความสามัคคีกลมเกลียวกันของประชาชนชาวไทยอีกด้วย ข้าพเจ้า
จึงได้บรรจุพระพิมพ์ ซึ่งทำด้วยผงศักดิ์สิทธิ์จากทุกจังหวัดดังกล่าวแล้ว และนำมามอบให้
แก่ท่านด้วยตนเอง (สมบัติ ๒๕๒๐, ๑๗)
พันเอกหญิง คุณนิออน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
บรรณาธิการ
ธันวาคม ๒๕๕๑
(๑๕)
พระพุทธนวราชบพิตร (รูปที่ ๓.๑๐๑)
วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
(๑๖)
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทาน
พระบรมราชานุญาต และพระราชทานพระราชานุญาต
ให้บันทึกภาพศิลปวัตถุ และโบราณวัตถุในเขต
พระราชฐาน กับพระราชทานพระบรมราชานุญาต
ให้ น ำภาพศิ ล ปวั ต ถุ ใ นเขตพระราชฐานที่ มี ผ
ู้
(๑๗)
กิตติกรรมประกาศ
(๑๘)
คำปรารภ
พสกนิกรเป็นระยะเวลาที่ยาวนานถึง ๖๐ ปี
โดยเฉพาะที่พระองค์ท่านทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องของพระพุทธรูปปางต่างๆ ดังที่ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ (ป่วน อินทุวงศ์) และเกษม บุญศรี รวบรวมเรื่องราวเกี่ยว
กับพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้ในหนังสือเรื่อง พระพุทธรูปปางต่างๆ ขึ้น เพื่อพระราชทานในงานพระราช
กุศลราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ. 1957) โดย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภว่า ปางของพระพุทธเจ้า ซึ่ง
แสดงพระพุทธจริยาวัตรตามพุทธประวัติ และที่มีผู้คิดสร้างขึ้นในภายหลังอยู่
หลายปางด้ ว ยกั น ถ้ า ได้ ร วบรวมขึ้ น เรี ย งตามลำดั บ ในพุ ท ธประวั ติ ให้ มี ค ำ
อธิบายลักษณะของปางนั้นๆ ตลอดจนที่มาและความนิยมในการสร้าง รวมทั้ง
ปางต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ ให้มีปางมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็จะเป็นคุณประโยชน์
แก่การศึกษาของพุทธศาสนิกชน และบรรดาผู้ที่สนใจ (บริบาลบุรีภัณฑ์ และ
เกษม ๒๕๐๐, คำนำ)
บัดนี้กาลเวลาได้ล่วงไปแล้ว ๕๐ ปี ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธรูปปางต่างๆ ก็พัฒนาก้าวไกลไปกว่า
เมื่อกึ่งศตวรรษที่แล้วมาก จึงเห็นสมควรที่จะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูปปางต่างๆ ขึ้นอีกครั้ง
หนึ่งเป็นราชพลี ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของประชาชน
ชาวไทย ในโอกาสมหามงคลนี้
พิริยะ ไกรฤกษ์
ธันวาคม ๒๕๕๑
(๑๙)
ประวัติผู้เขียน
ร
องศาสตราจารย์ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์
เมธีวิจัยอาวุโสสาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ
ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้รับประกาศนียบัตรวิชาจิตรกรรมจาก Oskar Kokoschha’s School of
Vision เมืองซาลสเบอร์ก ประเทศออสเตรีย และประกาศนียบัตรวิชาประติมากรรมจาก Royal College
of Art กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร หลังจากนั้นได้หันความสนใจไปในการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์-
ศิลปะ และเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้รับปริญญา
ดุษฎีบัณฑิตทางประวัติศาสตร์ศิลปะ
ดร. พิริยะ ได้เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะที่คณะโบราณดคี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ต่อมาได้ย้ายมาเป็นอาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ และ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว จึงทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนั้นยังได้รับเลือกเป็นนายกสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ในช่วง
ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ – ๒๕๓๕ และได้รับเกียรติให้เป็นเมธีวิจัยอาวุโสในสาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ ของสำนักงาน
กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒
ดร. พิริยะ เป็นที่รู้จักกันดีในวงวิชาการทั้งในประเทศและนานาชาติ ในเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
ศิลปะของเอเชีย และยังเป็นผู้จัดตั้งแผนกศิลปะแห่งเอเชียที่ National Gallery of Australia ณ
กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ อีกทั้งยังเขียนบทความเป็นประจำเกี่ยวกับ
ศิลปะและโบราณคดีทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ พิมพ์ลงในวารสารนานาชาติหลายฉบับ
เช่น Artibus Asiae, Art of Asia และ Oriental Art เป็นต้น
งานเขียนภาษาอังกฤษชิ้นสำคัญคือหนังสือ The Sacred Image: Sculpture from Thailand จัด
พิมพ์โดย Museum füür Ostasiatische Kunst, Kööln เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษา
ฝรั่ ง เศส เยอรมั น และญี่ ปุ่ น ส่ ว นหนั ง สื อ เรื่ อ ง Art of Peninsular Thailand Prior to the
Fourteenth Century A.D. ซึ่งกรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๕๒๓ และได้รับการแปลเป็นภาษาจีน
นอกจากนั้นแล้ว ดร. พิริยะ ยังแต่งตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ เช่น ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ในประเทศไทย ฉบับคู่มือนักศึกษา (พ.ศ. ๒๕๒๘) ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย
(พ.ศ. ๒๕๓๓) และ อารยธรรมไทย พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะ (พ.ศ. ๒๕๔๔) ฯลฯ
งานวิจัยค้นคว้าในระยะหลังที่ได้รับการกล่าวอ้างมากที่สุดได้แก่เรื่อง จารึกพ่อขุนรามคำแหง
วรรณคดีประวัติศาสตร์การเมืองแห่งกรุงสยาม (พ.ศ. ๒๕๓๒) และ ศิลปะสุโขทัยและอยุธยา ภาพลักษณ์
ที่ ต้ อ งเปลี่ ย นแปลง (พ.ศ. ๒๕๔๕) ซึ่ ง เป็ น การทบทวนองค์ ค วามรู้ เ ดิ ม ทางด้ า นประวั ติ ศ าสตร์ แ ละ
ประวัติศาสตร์ศิลปะของไทย
ผลงานวิจัยล่าสุดซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานได้แก่ “ศิลปะแห่งชาติในรอบหกทศวรรษ: พุทธศิลป์
ในสมัยรัชกาลที่ ๙”
(๒๐)
การใช้หนังสือ
เนื่องจากหนังสือ ลักษณะไทย เล่ม ๑ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งถึง
ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมไทย ผ่านการศึกษาพระพุทธปฏิมาและรูปเคารพจำนวนมาก
มีข้อมูลและภาพประกอบที่หลากหลายและซับซ้อน แบ่งเป็นหมวดหมู่หลายประเภทด้วยกัน เพื่อให้
สะดวกแก่ผู้ใช้หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนจึงได้มีวางรูปแบบแนวทางการนำเสนอเนื้อหา ๒ วิธีการ คือ
๑. นำเสนอเรื่องราวของเนื้อหาเรียงลำดับเป็นรูปแบบเฉพาะของผู้เขียน โดยกำหนดให้
ใช้สีสำหรับข้อความพิเศษ ซึ่งแต่ละสีจะมีความหมายถึงเนื้อหาดังต่อไปนี้
สีแดง หมายถึง การระบุหมายเลขรูปที่ไปพร้อมกับเนื้อหาปรกติ เช่น (รูปที่ ๓.๒๗)
สีน้ำเงิน หมายถึง การอ้างอิงเอกสารระบบนามปี เช่น (ส. พลายน้อย และภาวาส ๒๕๒๒, ๑๔)
สีส้ม หมายถึง การอ้างอิงรูปที่อยู่ที่อื่นๆ (ถอยหลัง-ไปข้างหน้า) เช่น (ดูรูปที่ ๓.๗๖)
สีเทา หมายถึง การอ้างอิงเนื้อหาที่อยู่ที่อื่นๆ (ถอยหลัง-ไปข้างหน้า) เช่น (ดูบทที่ ๕ หน้า ๑๗๓)
สีแดง (รูปที่)
สีน้ำเงิน (อ้างอิง)
สีส้ม (ดูรูปที่)
สีเทา (ดูบทที่)
๒. ลำดับการเรียงหัวข้อ ไล่เรียงตามนี้
ภาคที่
บทที่
หมวด
ตอนที่ ปาง หรือกลุ่มพระพุทธรูป
สมัย
ช่วง
ยุค
(๒๑)
สารบัญ วัตถุประสงค์
คำนำหนังสือชุด ลักษณะไทย
(๗)
(๙)
คำชี้แจง (๑๒)
คำนำ (๑๓)
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ (๑๗)
กิติกรรมประกาศ (๑๘)
คำปรารภ (๑๙)
ประวัติผู้เขียน (๒๐)
การใช้หนังสือ (๒๑)
บทนำ ๑
พระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา ๑
พระพุทธปฏิมาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ๔
- ภาคกลาง - หลวงพ่อโบสถ์น้อย วัดอมรินทราราม ๔
- หลวงพ่อปู่ วัดโกรกกราก
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - พระติ้ว - พระเทียม วัดโอกาส
๕
๕
- ภาคเหนือ - พระเจ้าทองทิพย์ วัดพระเจ้าทองทิพย์ ๖
- หลวงพ่อพุทธรังสี วัดพระยืนพุทธบาทยุคล ๖
- ภาคใต้ - พระผุด วัดพระทอง ๗
การศึกษาพระพุทธปฏิมา ๗
ภาค พุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์
บทที่ ๑ กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา ๑๕
บทที่ ๒ พระพุทธลักษณะ พระอิริยาบถ และปาง ๒๓
๑. พระพุทธลักษณะ ๒๓
- มหาบุรุษลักษณะ ๒๓
๒. พระอิริยาบถ ๒๘
๓. ปาง และที่มาของปาง ๒๙
๔. ปางซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศไทย ๓๖
๔.๑ พระพุทธปฏิมาประจำวัน ๓๖
๔.๒ พระพุทธปฏิมาปางอื่นๆ ๔๑
บทที่ ๓ สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๔๕
หมวด ก. ความสัมพันธ์ระหว่าง
พระมหากษัตริย์กับพระพุทธศาสนา ๔๕
หมวด ข. พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น
เพื่องานพระราชพิธี ๕๑
ตอนที่ ๑ พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ๕๑
๑.๑ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ๕๑
(๒๒)
๑.๒ พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ๕๔
๑.๓ พระพุทธรูปประจำรัชกาล ๕๖
๑.๔ พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล ๖๗
ตอนที่ ๒ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒
๒.๑ พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษารัชกาลที่ ๑ - ๗ ๗๒
๒.๒ พระพุทธรูปที่ทรงสร้างขึ้นในโอกาสสำคัญต่างๆ ๗๖
(๑) พระพุทธสยามาภิวัฒนบพิตร
ภูมิพลนริศทสสหัสสทิวัสวัชการี
ปัณณาสวรรษศรีอุภัยมหามงคล ๗๖
(๒) พระพุทธสกลสันติกรบพิตร บรมจักริศรสถิตมงคล ๗๘
(๓) พระพุทธรูปปางนาคปรก ๗๘
(๔) พระพุทธรูปปางสมาธิ ๗๙
(๕) พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษามหามงคล ๕ รอบ ๗๙
(๖) พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรมหามงคล
เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๗๙
ตอนที่ ๓ พระราชพิธีฉัตรมงคล และ
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ๘๐
- พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ๘๐
ตอนที่ ๔ พระราชพิธีพืชมงคลและพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ๘๘
๔.๑ พระคันธารราษฎร์ ๘๘
๔.๒ พระเสกรวงข้าว ๙๑
หมวด ค. พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็น
พระเกียรติยศและฉลองพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ๙๒
ตอนที่ ๕ พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นแทนองค์พระมหากษัตริย์
และพระราชวงศ์ ๙๒
- พระพุทธปฏิมาทรงเครื่องฉลองพระองค์ ๙๒
ตอนที่ ๖ พระพุทธปฏิมาที่ทรงสร้างเมื่อครั้งทรงผนวช ๑๐๔
๖.๑ พระพุทธนินนาท ๑๐๔
๖.๒ พระพุทธนาคชินนะ ๑๐๔
๖.๓ พระพุทธธรรมาธิปกบพิตร ๑๐๔
๖.๔ พระพุทธนาราวันตบพิตร ๑๐๔
หมวด ง. พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อกิจการพิเศษ ๑๐๖
ตอนที่ ๗ พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อกิจการพิเศษ ๑๐๖
๗.๑ พระสัมพุทธพรรณี ๑๐๖
๗.๒ พระพุทธปริตร ๑๐๙
๗.๓ พระสัมพุทธพรรณโณพาศ ปรมินทรมหาราชนมัสมัย ๑๐๙
หมวด จ. พระพุทธรูปที่มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์
เพื่อเสริมพระเกียรติยศและสิริมงคล ๑๑๑
ตอนที่ ๘ พระพุทธรูปที่มีบุคคลทูลเกล้าฯ ถวาย ๑๑๑
๘.๑ พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ๑๑๑
๘.๒ พระนากสวาดิเรือนแก้ว ๑๑๒
๘.๓ พระแก้วองค์น้อยนาคปรก ๑๑๒
๘.๔ พระแก้วเชียงแสน ๑๑๒
๘.๕ พระพุทธบุษยรัตนน้อย ๑๑๓
(๒๓)
๘.๖ พระพุทธเพชรญาณ ๑๑๔
๘.๗ พระพุทธรูปหยก ๑๑๔
๘.๘ พระพุทธรูปยืนอุ้มบาตร ๑๑๔
๘.๙ พระไพรีพินาศ ๑๑๕
๘.๑๐ พระนิรันตราย ๑๑๖
๘.๑๑ พระพุทธรูปงาลังกา ๑๑๗
๘.๑๒ พระพุทธรูปของแกรนด์ ดยุก เฮส ๑๑๙
๘.๑๓ พระอมิตาภพุทธะ ทองคำ ๑๑๙
ตอนที่ ๙ พระพุทธรูปที่ประชาชนร่วมใจสร้างเพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย ๑๒๐
๙.๑ พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ๑๒๐
๙.๒ พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติฑีฆายุมงคล ๑๒๓
๙.๓ พระพุทธศรีสงขลานครินทร์ ๑๒๓
๙.๔ พระพุทธนิรโรคันตราย ๑๒๕
๙.๕ พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๑๒๕
หมวด ฉ. พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง
เพื่อชาติและพุทธศาสนา ๑๒๖
ตอนที่ ๑๐ พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อชาติและพุทธศาสนา ๑๒๖
๑๐.๑ พระนิรันตรายเรือนแก้ว ๑๒๖
๑๐.๒ พระชัยวัฒนมงคลวราภรณ์ ๑๒๖
๑๐.๓ พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) ๑๒๘
๑๐.๔ พระนิรโรคันตราย ๑๒๙
๑๐.๕ พระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. ๑๓๑
๑๐.๖ พระพุทธนวราชบพิตร ๑๓๓
(๒๔)
ภาค ๒ พระพุทธปฏิมาในประเทศไทย
ตามพระอิริยาบถ
บทที่ ๔ พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๓๙
ตอนที่ ๑ พระพุทธปฏิมาในประเทศไทยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13) ๑๔๑
๑.๑ ลัทธิศราวกยาน ๑๔๑
- นิกายมูลสรรวาสติวาส ๑๔๑
- นิกายมหาสังฆิกะ ๑๔๒
- นิกายสัมมิตียะ ๑๔๔
- นิกายเถรวาท ๑๔๔
๑.๒ ลัทธิมหายาน ๑๔๗
- นิกายสุขาวดี ๑๔๗
๑.๓ ลัทธิวัชรยาน หรือตันตระยาน ๑๔๘
ตอนที่ ๒ ประวัติการเผยแผ่พุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13) ๑๕๑
๒.๑ ภาคกลาง ๑๕๒
(๑) สมัยอาณาจักรมอญโบราณ (“ทวารวดี”)
พ.ศ. ๙๕๐ – ๑๕๐๐ (ค.ศ. 407 - 957) ๑๕๒
(๒) สมัยอาณาจักรกัมโพช
พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) ๑๕๓
(๓) สมัยสุโขทัย ๑๕๖
- ช่วงก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย
พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๘๔๒ (ค.ศ. 1257 – 1299) ๑๕๖
- ช่วงอาณาจักรสุโขทัย
พ.ศ. ๑๘๔๒ – ๑๙๒๑ (ค.ศ. 1299 – 1378) ๑๕๖
- ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา
พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463) ๑๕๘
(๔) สมัยอยุธยา ๑๕๙
- ช่วงเมืองพระยามหานคร
พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448) ๑๕๙
- ช่วงเมืองลูกหลวง
พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) ๑๖๐
- ช่วงวงราชธานี
พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) ๑๖๑
๒.๒ ภาคเหนือ ๑๖๔
(๑) สมัยอาณาจักรมอญหริภุญไชย
พ.ศ. ๑๗๐๐ – ๑๘๓๕ (ค.ศ. 1157 – 1292) ๑๖๔
(๒) สมัยล้านนา ๑๖๔
- ช่วงก่อตั้งอาณาจักรล้านนา
พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๙๘ (ค.ศ. 1296 – 1355) ๑๖๔
(๒๕)
- ช่วงอาณาจักรล้านนา
พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1355 – 1558) ๑๖๕
(ก) ยุครุ่งเรืองของล้านนา
พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) ๑๖๕
(ข) ยุคเสื่อม
พ.ศ. ๒๐๖๘ - ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1525 - 1558) ๑๖๗
- ช่วงพม่าปกครอง
พ.ศ. ๒๑๐๑ – ๒๓๑๗ (ค.ศ. 1558 – 1774) ๑๖๗
- ช่วงประเทศราชของสยาม
พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899) ๑๖๗
๒.๓ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑๖๘
- สมัยล้านช้าง ๑๖๘
- ช่วงก่อตั้งอาณาจักร
พ.ศ. ๑๘๓๔ – ๑๙๓๖ (ค.ศ. 1291 – 1393) ๑๖๘
- ช่วงอาณาจักรล้านช้าง
พ.ศ. ๑๙๓๖ – ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1393 – 1703) ๑๖๘
- ช่วง ๓ นครรัฐ
พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ (ค.ศ. 1703 – 1789) ๑๖๙
- ช่วงประเทศราชอาณาจักรสยาม
พ.ศ. ๒๓๓๒ – ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1789 – 1893) ๑๖๙
(๒๖)
หมวด ข. ปางสมาธิ นาคปรก ๒๐๐
๓. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก ๒๐๐
๓.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก สมัยอยุธยา ๒๐๐
- ช่วงวงราชธานี ๒๐๐
๓.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก
สมัยรัตนโกสินทร์ ๒๐๑
หมวด ค. ปางสมาธิ ทรงเครื่อง ๒๐๒
๔. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเครื่อง ๒๐๔
๔.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเครื่อง
สมัยอยุธยา ๒๐๔
(๑) ช่วงเมืองลูกหลวง ๒๐๔
(๒) ช่วงวงราชธานี ๒๐๕
๔.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเครื่อง
สมัยรัตนโกสินทร์ ๒๐๖
หมวด ง. ปางมารวิชัย ๒๐๘
๕. พระพุทธกัมโพชปฏิมา ๒๐๘
๕.๑ พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง สมัยอาณาจักรกัมโพช ๒๐๙
- หลวงพ่อพนัญเชิง ๒๐๙
๕.๒ พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง สมัยอยุธยา ๒๑๒
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๒๑๒
(๒) ช่วงเมืองลูกหลวง ๒๑๔
(๓) ช่วงวงราชธานี ๒๑๔
๕.๓ พระพุทธกัมโพชปฏิมา สมัยรัตนโกสินทร์ ๒๑๕
๕.๔ พระพุทธกัมโพชปฏิมา สมัยล้านนา ๒๑๗
- ช่วงอาณาจักรล้านนา ๒๑๗
- ยุครุ่งเรือง ๒๑๗
๖. พระพุทธชินราช ๒๑๙
๖.๑ พระพุทธชินราช สมัยอยุธยา ๒๒๓
- ช่วงวงราชธานี ๒๒๓
๖.๒ พระพุทธชินราชจำลอง สมัยรัตนโกสินทร์ ๒๒๔
๗. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ๒๓๓
๗.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย ๒๓๓
(๑) ช่วงอาณาจักรสุโขทัย ๒๓๓
(๒) ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา ๒๓๔
๗.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยล้านนา ๒๓๖
(๑) ช่วงก่อตั้งอาณาจักรล้านนา ๒๓๖
(๒) ช่วงอาณาจักรล้านนา ๒๓๖
- ยุครุ่งเรือง ๒๓๖
- ยุคเสื่อม ๒๔๒
(๓) ช่วงพม่าปกครอง ๒๔๔
(๔) ช่วงประเทศราชของสยาม ๒๔๕
๗.๓ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยล้านช้าง ๒๔๖
(๑) ช่วงอาณาจักรล้านช้าง ๒๔๖
(๒) ช่วง ๓ นครรัฐ ๒๕๒
(๒๗)
(๓) ช่วงประเทศราชอาณาจักรสยาม ๒๕๓
๗.๔ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
สมัยอาณาจักรกัมโพช ๒๕๔
๗.๕ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยอยุธยา ๒๕๕
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๒๕๕
(๒) ช่วงเมืองลูกหลวง ๒๕๖
- พระมงคลบพิตร ๒๕๘
- แบบสุโขทัย ๒๖๐
- แบบกำแพงเพชร ๒๖๑
(๓) ช่วงวงราชธานี ๒๖๒
- แบบสุโขทัย ๒๖๔
- แบบกำแพงเพชร ๒๖๖
- แบบสวรรคโลก ๒๖๖
- แบบพิษณุโลก ๒๖๘
๗.๖ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยรัตนโกสินทร์ ๒๗๐
- พระศรีศากยมุนี ๒๗๑
หมวด จ. ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร ๒๘๖
๘. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร ๒๘๖
๘.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร
สมัยอาณาจักรกัมโพช ๒๘๖
๘.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร
สมัยอยุธยา ๒๘๗
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๒๘๗
(๒) ช่วงวงราชธานี ๒๘๘
๘.๓ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร
สมัยรัตนโกสินทร์ ๒๘๙
หมวด ฉ. ปางมารวิชัย นาคปรก ๒๙๒
๙. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก ๒๙๒
๙.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก
สมัยอาณาจักรกัมโพช ๒๙๒
๙.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก
สมัยรัตนโกสินทร์ ๒๙๓
หมวด ช. ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง ๒๙๔
๑๐. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง ๒๙๔
๑๐.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง
สมัยอาณาจักรกัมโพช ๒๙๔
๑๐.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง
สมัยล้านนา ๒๙๖
(๑) ช่วงก่อตั้งอาณาจักร ๒๙๖
(๒) ช่วงอาณาจักรล้านนา ๒๙๗
- ยุครุ่งเรือง ๒๙๗
๑๐.๓ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง
สมัยอยุธยา ๒๙๙
(๒๘)
(๑) ช่วงเมืองลูกหลวง ๒๙๙
(๒) ช่วงวงราชธานี ๓๐๐
๑๐.๔ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง
สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๐๔
หมวด ซ. ปางพระศรีอาริยเมตไตรย ๓๐๖
๑๑. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางพระศรีอาริยเมตไตรย ๓๐๖
- พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางพระศรีอาริยเมตไตรย
สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๐๖
หมวด ฌ. ปางขอฝน ๓๐๘
๑๒. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางขอฝน ๓๐๘
- พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางขอฝน สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๐๘
หมวด ญ. ปางประทานพร ๓๐๙
๑๓. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางประทานพร ๓๐๙
- พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางประทานพร สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๐๙
บทที่ ๖ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ๓๑๕
หมวด ก. ปางมารวิชัย ๓๑๕
๑. พระพุทธสิหิงค์ ๓๑๕
๑.๑ พระพุทธสิหิงค์จำลอง สมัยล้านนา ๓๑๘
(๑) ช่วงอาณาจักรล้านนา ๓๑๘
- ยุครุ่งเรือง ๓๑๘
- พระพุทธนรสีห์ ๓๒๓
(๒) ช่วงพม่าปกครอง ๓๒๔
๑.๒ พระพุทธสิหิงค์จำลอง สมัยล้านช้าง ๓๒๕
- ช่วงอาณาจักรล้านช้าง ๓๒๕
๑.๓ พระพุทธสิหิงค์จำลอง สมัยสุโขทัย ๓๒๖
- ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา ๓๒๖
๑.๔ พระพุทธสิหิงค์จำลอง สมัยอยุธยา ๓๒๘
(๑) ช่วงเมืองลูกหลวง ๓๒๘
- แบบนครศรีธรรมราช ๓๒๙
- แบบสุโขทัย ๓๓๐
(๒) ช่วงวงราชธานี ๓๓๑
- แบบนครศรีธรรมราช ๓๓๓
๑.๕ พระพุทธสิหิงค์จำลอง สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๓๔
๒. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ๓๔๐
สมาธิเพชร ปางมารวิชัย สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๔๐
หมวด ข. ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร ๓๔๒
๓. พระชัยวัฒน์ (พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชรปางมารวิชัย ถือตาลปัตร) ๓๔๒
- พระชัยวัฒน์ สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๔๒
(๒๙)
หมวด ค. ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง ๓๔๓
๔. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง ๓๔๓
๔.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง
สมัยอาณาจักรกัมโพช ๓๔๓
๔.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง สมัยล้านนา ๓๔๔
- ช่วงอาณาจักรล้านนา ๓๔๔
- ยุครุ่งเรือง ๓๔๔
หมวด ง. ปางสมาธิ ๓๔๙
๕. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ ๓๔๙
๕.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ สมัยอยุธยา ๓๔๙
- ช่วงเมืองลูกหลวง ๓๔๙
๕.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๕๐
หมวด จ. ปางสมาธิ นาคปรก ๓๕๕
๖. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ นาคปรก ๓๕๕
- พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ นาคปรก
สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๕๕
(๓๐)
หมวด ค. ปางป่าเลไลยก์ ๓๖๘
๓. พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางป่าเลไลยก์ ๓๖๘
๓.๑ พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางป่าเลไลยก์ สมัยอยุธยา ๓๖๘
(๑) ช่วงเมืองลูกหลวง ๓๖๘
(๒) ช่วงวงราชธานี ๓๗๐
๓.๒ พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางป่าเลไลยก์
สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๗๑
หมวด ง. ปางขอฝน ๓๗๓
๔. พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางขอฝน ๓๗๓
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางขอฝน สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๗๓
(๓๑)
หมวด จ. ปางห้ามญาติ ๓๘๕
๕. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ๓๘๕
๕.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ สมัยอาณาจักรกัมโพช ๓๘๕
๕.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ สมัยสุโขทัย ๓๘๗
- ช่วงก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย ๓๘๗
๕.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ สมัยอยุธยา ๓๘๘
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๓๘๘
(๒) ช่วงเมืองลูกหลวง ๓๙๐
- แบบสุโขทัย ๓๙๐
(๓) ช่วงวงราชธานี ๓๙๒
- พระศรีสรรเพชญ์ ๓๙๒
๕.๔ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ สมัยรัตนโกสินทร์ ๓๙๗
- พระร่วงโรจนฤทธิ์ ๓๙๘
๕.๕ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ สมัยล้านนา ๔๐๐
- ช่วงประเทศราชของสยาม ๔๐๐
หมวด ฉ. ปางห้ามญาติ ทรงเครื่อง ๔๐๑
๖. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ทรงเครื่อง ๔๐๑
- พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ทรงเครื่อง สมัยอยุธยา ๔๐๑
(๑) ช่วงเมืองลูกหลวง ๔๐๑
(๒) ช่วงวงราชธานี ๔๐๖
หมวด ช. ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร ๔๐๘
๗. พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร ๔๐๘
- พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย
พระหัตถ์ขวาประทานพร สมัยอาณาจักรกัมโพช ๔๐๘
หมวด ซ. ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร
ทรงเครื่อง ๔๐๙
๘. พระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร
ทรงเครื่อง ๔๐๙
- พระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย
พระหัตถ์ขวาประทานพร ทรงเครื่อง สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๐๙
หมวด ฌ. ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ๔๑๐
๙. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ๔๑๐
๙.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์
สมัยอาณาจักรกัมโพช ๔๑๐
๙.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ สมัยอยุธยา ๔๑๑
- ช่วงวงราชธานี ๔๑๑
๙.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๑๔
หมวด ญ. ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ทรงเครื่อง ๔๑๕
๑๐. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ทรงเครื่อง ๔๑๕
- พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ทรงเครื่อง สมัยอยุธยา ๔๑๕
- ช่วงเมืองพระยามหานคร ๔๑๕
(๓๒)
หมวด ฎ. ปางห้ามสมุทร ๔๑๖
๑๑. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ๔๑๖
๑๑.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร สมัยอาณาจักรกัมโพช ๔๑๖
๑๑.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร สมัยสุโขทัย ๔๑๘
- ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา ๔๑๘
๑๑.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร สมัยล้านนา ๔๑๘
- ช่วงอาณาจักรล้านนา ๔๑๘
- ยุครุ่งเรือง ๔๑๘
๑๑.๔ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร สมัยอยุธยา ๔๑๙
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๔๑๙
(๒) ช่วงวงราชธานี ๔๑๙
๑๑.๕ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๒๐
๑๒. พระบางเจ้า ๔๒๔
๑๒.๑ พระบางเจ้าจำลอง สมัยล้านช้าง ๔๒๖
- ช่วง ๓ นครรัฐ ๔๒๖
๑๒.๒ พระบางเจ้าจำลอง สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๒๗
หมวด ฏ. ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง ๔๒๘
๑๓. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง ๔๒๘
๑๓.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง
สมัยอาณาจักรกัมโพช ๔๒๘
๑๓.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางสมุทรห้าม ทรงเครื่อง สมัยอยุธยา ๔๓๐
(๑) ช่วงเมืองลูกหลวง ๔๓๐
(๒) ช่วงวงราชธานี ๔๓๒
- แบบกำแพงเพชร ๔๓๓
- แบบนครศรีธรรมราช ๔๓๓
๑๓.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๓๔
หมวด ฐ. ปางอุ้มบาตร ๔๓๗
๑๔. พระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร ๔๓๗
๑๔.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร สมัยล้านนา ๔๓๗
(๑) ช่วงอาณาจักรล้านนา ๔๓๗
- ยุครุ่งเรือง ๔๓๗
(๒) ช่วงประเทศราชของสยาม ๔๓๗
๑๔.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร สมัยอยุธยา ๔๓๘
- ช่วงวงราชธานี ๔๓๘
๑๔.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๔๐
- หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม ๔๔๑
หมวด ฑ. ปางรำพึง ๔๔๓
๑๕. พระพุทธปฏิมายืน ปางรำพึง ๔๔๓
- พระพุทธปฏิมายืน ปางรำพึง สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๔๓
หมวด ฒ. ปางถวายเนตร ๔๔๖
๑๖. พระพุทธปฏิมายืน ปางถวายเนตร ๔๔๖
(๓๓)
๑๖.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางถวายเนตร สมัยอยุธยา ๔๔๖
- ช่วงวงราชธานี ๔๔๖
๑๖.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางถวายเนตร สมัยล้านนา ๔๔๙
- ช่วงประเทศราชของสยาม ๔๔๙
๑๖.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางถวายเนตร สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๕๑
หมวด ด. ปางเปิดโลก ๔๕๔
๑๗. พระพุทธปฏิมายืน ปางเปิดโลก ๔๕๔
หมวด ต. ปางขอฝน ๔๕๕
๑๘. พระพุทธปฏิมายืน ปางขอฝน ๔๕๕
ภาคผนวก ๕๔๖
ก. อภิธานศัพท์ ๕๔๘
ข. ภาพอธิบาย ๕๖๙
๑. ราชาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ๕๖๙
๒. องค์ประกอบพระพุทธปฏิมา ๕๗๐
๓. เครื่องทรงของพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ ๕๗๑
๔. พระพุทธรูปแบบเชียงแสน ๕๗๒
๕. พระพุทธรูปอู่ทอง ๕๗๓
ค. รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย ๕๗๔
(สุโขทัย - อยุธยา - ธนบุรี - รัตนโกสินทร์ - ล้านนา)
ง. แผนที่ ๕๗๖
๑. แผนที่ประเทศอินเดีย ๕๗๖
๒. แผนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๕๗๗
๓. แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงเมืองพระยามหานคร ๕๗๘
๔. แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงเมืองลูกหลวง ๕๗๙
๕. แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงวงราชธานี ๕๘๐
จ. ศักราชสำคัญของพุทธศาสนาและพุทธศิลป์ ๕๘๑
ดรรชนี ๕๙๒
(๓๕)
พระพุทธรูปประจำวัน พิพรรธน์ ไกรฤกษ์ (รูปที่ ๘.๙๐)
พิริยะ ไกรฤกษ์ ปั้นหุ่น
บทนำ
บทนำ ๑
ใช่แต่ว่าพระพุทธรูปเป็นงานศิลปะ ซึ่งหมายถึงงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่ผู้สร้างจงใจให้เกิด
ความประทับใจ แต่พระพุทธรูปซึ่งได้แก่รูปของพระพุทธเจ้า ยังเป็นปูชนียวัตถุซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะ
มีความสัมพันธ์กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงสิ่งที่ระลึกในพระพุทธองค์ก็ตาม ดังที่
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงจำแนกไว้ในหมวดอุเทสิกเจดีย์ ว่า
อุเทสิกะเจดีย์นั้น เป็นของสร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศต่อพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ
ไม่กำหนดว่าจะต้องเป็นอย่างไร เพราะฉนั้นบันดาพุทธเจดีย์ที่สร้างขึ้น ถ้ามิได้
เป็นธาตุเจดีย์ หรือบริโภคเจดีย์ หรือธรรมเจดีย์แล้ว ก็นับว่าเป็นอุเทสิกะเจดีย์
ทั้งสิ้น (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๙, ๘ – ๙)
เมื่อมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา ก็มีความมุ่งหมายที่จะให้มีความเหมือนองค์พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าเท่าที่จะทำได้ จึงได้สร้างประวัติให้กับพระพุทธรูปสำคัญว่าเป็นรูปจำลองมาจากองค์พระพุทธเจ้า
เช่นพระพุทธรูปพระเจ้าแก่นจันทน์ (ดูบทที่ ๑ หน้า ๑๘) และพระพุทธสิหิงค์ (ดูบทที่ ๖ หน้า ๓๑๕) และ
เพื่อที่จะธำรงรักษาความเหมือนและความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธองค์ไว้ จึงมีการจำลองสืบต่อกันมา
จนเรียกรูปของพระพุทธองค์ว่า พระ ปฏิมา (บาลี) หรือ ปฺรติมา (สันสกฤต) ซึ่งแปลว่า “รูปเปรียบ”
(จันทบุรีนฤนาถ ๒๕๑๕, ๔๕๓) หรือ “รูปจำลอง” ดังนั้น พระพุทธปฏิมาจึงหมายถึงรูปจำลองของ
พระพุทธเจ้า ซึ่งเลียนแบบสืบต่อกันมาจนมีเอกลักษณ์เฉพาะประจำแต่ละหมวดหมู่ จนเรียกได้ว่าหมวด
พระเจ้าแก่นจันทน์จำลอง หรือหมวดพระพุทธสิหิงค์จำลอง เป็นต้น
ค่านิยมของการจำลองหรือเลียนแบบดังกล่าว นำไปสู่กฎเกณฑ์ทางสุนทรียภาพของพระพุทธ
รูป ที่มีส่วนสัดและขนาดที่ได้รับการกำหนดไว้อย่างแม่นยำ โดยใช้ความยาวและความกว้างของพระ
พักตร์เป็นเกณฑ์ ดังเช่น ตำราการก่อสร้างพระพุทธรูป ที่เขียนขึ้นที่ล้านนาประมาณกลางพุทธศตวรรษที่
๒๐ – กลาง ๒๑ (คริสต์ศตวรรษที่ 15)
หากจะสร้างพระพุทธปฏิมา ขนาดเท่าพระพุทธองค์ ให้วัดจากพระชานุ (เข่า)
ถึงพระชานุ เมื่อประทับขัดสมาธิแล้วหารด้วย ๔ ๑ ส่วนเท่ากับฐานถึงพระนาภี
(สะดือ) ๑ ส่วนจากพระนาภีถึงพระอุระ (หน้าอก) ๑ ส่วนจากพระอุระถึง
พระหนุ (คาง) ๑ ส่วนจากพระหนุถึงไรพระศก (ตีนผม) พระพาหา (แขนท่อน
บน) ยาวเท่าพระพักตร์ พระกร (แขนท่อนล่าง) ยาวเท่าพระพักตร์ พระกรถึง
ปลายพระองคุลียาวเท่าพระพักตร์ พระองคุลี (นิ้วมือ) ยาวเท่ากับครึ่งหนึ่ง
ของความยาวพระพักตร์ ข้อพระองคุลี (ข้อนิ้ว) แต่ละข้อเท่ากับ ๑/๓ ของครึ่ง
หนึ่งของความกว้างพระพักตร์ ฝ่าพระหัตถ์เท่ากับครึ่งหนึ่งของความกว้าง
พระพักตร์ พระนลาฏ (หน้าผาก) กว้างเท่ากับครึ่งหนึ่งของความยาวพระ
พักตร์ ความยาวของพระเพลา (ต้นขา) และพระชงฆ์ (ขาท่อนล่าง) เท่ากับ
ความยาวของพระพั ก ตร์ ฝ่ า พระบาทเท่ า กั บ ความยาวของพระพั ก ตร์ นิ้ ว
พระบาทยาวเท่ากับ ๑/๓ ของความยาวพระพักตร์ ข้อนิ้วพระบาทยาวเท่ากับ
ครึ่งหนึ่งของนิ้วพระบาท พระอุระถึงพระอังสา (ไหล่) ยาวเท่าพระพักตร์ พระ
อังสากว้างเท่ากับสองเท่าของความยาวพระพักตร์ ยอดพระถัน (หัวนม) ซ้าย
ขวาห่างกันเท่ากับ ๓/๔ ของความยาวพระพักตร์ พระโอษฐ์ (ปาก) กว้าง
เท่ากับ ๑/๓ ของความยาวพระพักตร์ พระเนตรถึงพระนลาฏ (หน้าผากกว้าง)
เท่ากับ ๑/๓ ของความยาวพระพักตร์ ดวงพระเนตรดำกลมเหมือนสีกีบเท้าโค
และมี แ ววคล้ า ยผลกระเที ย ม พระขนง (คิ้ ว ) โก่ ง เหมื อ นคั น ศรพระอิ นทร์
พระกรรณ (หู) ยาวเท่ากับพระพักตร์ ขอบพระกรรณด้านบนเสมอด้วยพระ
ขนง พระพักตร์ของพระพุทธปฏิมาจะสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของหน้าทั้ง ๓
ได้แก่ หน้าไทย หน้าขอม และหน้าโจร (หน้ากษัตริย์) หน้าไทยเหมือนกับพระ
พักตร์ของพระจักรพรรดิราช การผสมผสานของ ๓ หน้านี้ เป็นลักษณะเฉพาะ
ของพุทธปฏิมา เรียกว่า “ราชสิงห์” (Swearer 2004, 54 – 55)
๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
เหตุ ที่ เ ปรี ย บโจรกั บ พระมหากษั ต ริ ย์ นั้ น ก็ เ พราะว่ า ถึ ง แม้ พ ระมหากษั ต ริ ย์ จ ะทรงมี
หน้าที่ปกป้องประชากรของพระองค์ แต่ก็ทรงมีพระราชอำนาจที่จะขูดรีดทรัพย์สินเช่นเดียวกับโจร
จึงได้รับการกล่าวในพระไตรปิฎก รวมกับกลุ่มที่นำมาซึ่งความหายนะ อาทิ “พระมหากษัตริย์ โจร
เสนาบดี สงคราม ความหวาดกลัว และการยุทธ” ดังที่ปรากฏอยู่ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย และ
อังคุตตรนิกาย (Gombrich 2003, 78 – 81) จึงแสดงให้เห็นว่า ตำราการก่อสร้างพระพุทธรูป นี้ แต่งขึ้น
ในช่วงที่นิกายเถรวาท คณะสีหฬภิกขุ มีอิทธิพลอย่างมากต่อธรรมเนียมการสร้างพระพุทธรูปในล้านนา
พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นจาก ตำราการก่อสร้างพระพุทธรูป นี้ (รูป ก.) มีลักษณะใกล้เคียงกับ
พระพุทธรูปในหมวดพระพุทธสิหิงค์ของล้านนา (ดูรูปที่ ๖.๑)
ส่ ว นพระพุ ท ธปฏิ ม าที่ ส ร้ า งในรั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระนั่ ง เกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว โดยอ้ า งอิ ง
จาก ตำราสร้างพระพุทธรูป ซึ่งเขียนขึ้นในรัชกาลเดียวกัน ได้ให้สูตรการสร้างสัดส่วนพระพุทธรูป
โดยเริ่มต้นจากขนาดความกว้างของหน้าตัก ที่มีผลกับการกำหนดความสูง และขนาดของพระพักตร์จะ
ใช้เป็นตัวตั้งในการกำหนดสัดส่วนอื่นๆ ของพระพุทธรูป (รูป ข.) ซึ่งผลที่ปรากฏเห็นได้ว่าสอดคล้องกับ
พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในรัชกาลนั้นเป็นส่วนใหญ่
ถ้ า จะสร้ า งพระพุ ท ธรู ป น่ า ตั ก แต่ ส ามศอกขึ้ น ไป ให้ เ อาส่ ว นนั้ นตั้ ง ขึ้ น แต่
พระบาทล่าง ถึงพระจุไรเป็นกำหนด ถ้าจะไขขึ้นหน่อยหนึ่งให้เอาจดหว่าง
พระขนง แม้นพระเจ้าองค์ย่อมให้เอาจดปลายพระนาสิก จึงจะเห็นทรงสูง แล้ว
ให้เอาส่วนพระภักตร์ ขวางพระอุระให้จดปลายนมทั้งซ้ายขวาแล้ว ให้เอาส่วน
พระภักตร์สอบแต่บั้นพระองค์ถึงพระสอเปนสามส่วน ไขออกส่วนละนิ้ว แล้วให้
เอาส่วนพระภักตร์สองส่วนกึ่งขวางเปนพระพาหา แล้วให้เอาส่วนพระภักตร์ใส่
โดยหนาเสมอหลังมาจดนมจงได้ แล้วให้ปันส่วนพระหัตถ์พระกรทั้งสามท่อน
เอาส่วนพระภักตร์เข้าสอบส่วนต่อส่วน แล้วให้เอาส่วนพระภักตร์วางแต่สดือ
ออกไปจงได้เสมอพระบาท แล้วให้เอาส่วนพระภักตร์ ตั้งแต่พระบาทขึ้นมาจงได้
เสมอพระหัตถ์ อนึ่งให้สอบเอาแต่พระนาสิกมาเสมอพระหนุ ขวางลงเปนผ้า
รูป ก. พระพุทธปฏิมาสร้างขึ้นตามสัดส่วนจาก
สังฆาฏิ แล้วให้ทำพระภักตร์เปนสามส่วน เอาส่วนหนึ่งตั้งขึ้นแต่พระจุไรสูง
ตำราสร้างพระพุทธรูป แต่งขึ้นที่ล้านนา
เสมอเส้นพระศก แล้วให้เอาส่วนนั้นหยั่งแต่พระเกษมาลาออกมาตรงพระจุไร
ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - กลาง ๒๑
(คริสต์ศตวรรษที่ 15)
แล้วให้เอาส่วนนั้นตั้งขึ้นไปเปนวงทรึก [เป็นวงโค้งนูน] แล้วให้เอาดวงพระภักตร์
ไขสน่อย [ปรับเล็กน้อย] เปนพระรัศมี อนึ่งให้ปันคลองพระเนตรเปนสี่ส่วนไว้หัว
ตาส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเปนตาดำ สองส่วนเปนหางตา ถ้าจะทำพระบาทแต่ส้น
ตลอดปลายนิ้ว ให้เอาส่วนพระภักตร์ พระกรรณก็เอาส่วนพระภักตร์ แต่ลดเสีย
พอสมควร (ตำราสร้างพระพุทธรูป ๒๔๖๓, ๑๒ – ๑๓)
รูป ข. พระพุทธปฏิมาสร้างขึ้นตามสัดส่วนจาก
ตำราสร้างพระพุทธรูป
แต่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔ (ค.ศ. 1824 - 1851)
บทนำ ๓
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีการสร้างพระพุทธรูปตาม ตำราสร้างพระพุทธรูป อีกต่อไป แต่ก็ยัง
มีการสร้าง “พระพุทธปฏิมา” หรือการจำลองพระพุทธรูปสำคัญในอดีตอยู่เรื่อยมา ทว่าส่วนที่ถือได้ว่า
เป็นค่านิยมของยุคปัจจุบันก็คือ การสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาใหม่ตามอุดมคติของประติมากร โดยมิได้
เป็นการจำลองรูปแบบของพระพุทธรูปองค์ใดเลย เช่น พระพุทธรูปยืนปางถวายเนตร ซึ่งอัลฟอนโซ
ทอร์นาเรลลี (Alfanso Tornarelli) ปั้นถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. ๒๔๕๓
(ค.ศ. 1910) (ดูรูปที่ ๘.๑๐๐) และพระประธานพุทธมณฑล ซึ่งศิลป์ พีระศรี ออกแบบในปี พ.ศ. ๒๔๙๘
(ค.ศ. 1955) (ดูรูปที่ ๙.๓๐ ข.) ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พระพุทธปฏิมา ในความหมายของรูปจำลอง แต่ก็เป็น
พระพุทธรูปแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหมวดอุเทสิกเจดีย์เช่นกัน หนังสือเล่มนี้จึงจะใช้คำว่า
“พระพุทธรูป” เมื่อหมายถึงองค์แรก หรือองค์ต้นแบบ เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างพระพุทธรูป
องค์ต้นแบบ กับ “พระพุทธปฏิมา” อันเป็นองค์ที่จำลองหรือสร้างเลียนแบบสืบต่อมา อย่างไรก็ดี
คำว่า “พระพุทธรูป” กับ “พระพุทธปฏิมา” นั้นเป็นคำที่อนุโลมใช้แทนกันได้ในภาษาไทยแต่เดิมอยู่
แล้ว เพื่อความเหมาะสม หนังสือเล่มนี้อาจจะเลือกใช้ตามการเรียกขานที่มีแต่เดิมมาหรือตามความ
คุ้นชินของคนไทย ทั้งนี้ หนังสือเล่มนี้จะยังคงยึดประเด็นการจำลองหรือเลียนแบบพระพุทธรูปเป็น
หลัก ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของพุทธศิลป์ในประเทศไทย อันหาที่อื่นใดมาเทียบเคียงได้ยาก
เมื่อความหมายของพระพุทธปฏิมาเปลี่ยนไป ความหมายของความศักดิ์สิทธิ์ย่อมเปลี่ยนไป
ด้วย เพราะในการจำลองพระพุทธปฏิมาหาใช่แต่ลอกเลียนเพียงความเหมือนของพระพุทธรูปต้นแบบ
เท่านั้น แต่เป็นการธำรงรักษาอำนาจและฤทธานุภาพขององค์ต้นแบบไว้ด้วยพิธีกรรมที่มีความศักดิสิทธิ์
เช่น พิธีพุทธาภิเษกโลหะที่จะนำไปหล่อพระ พิธีสงฆ์สวดมนต์และนั่งภาวนาปลุกเสกตลอดคืน พิธีสังเวย
เทวดา และเมื่อเททองหล่อพระพุทธรูปแล้ว ยังมีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถ พิธีเบิกเนตร และสิ้นสุดลง
ด้วยพิธีสมโภชพระพุทธรูป อนึ่ง ในภาคเหนือยังมีการ “บวชพระเจ้า” อันหมายถึง การทำอุปสมบทให้กับ
พระพุทธรูป สวดมนต์ทั้งคืน และทำพิธีใส่หัวใจพระเจ้า รวมทั้งกวนข้าวมธุปายาสถวายพระพุทธรูปด้วย
(ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๒๗) เพราะฉะนั้นพระพุทธปฏิมาทุกองค์จึงมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในพระองค์อยู่แล้ว
ส่วนพระพุทธปฏิมาที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ ได้แก่ พระพุทธปฏิมาที่มีประวัติยาวนาน เช่น พระพุทธ-
สิหิงค์ (ดูรูปที่ ๖.๑) พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) (ดูรูปที่ ๓.๖ ก.) และพระบางเจ้า (ดู
รูปที่ ๘.๖๖) เป็นต้น จนมีความพยายามที่จะสร้างประวัติศาสตร์ ให้กับพระพุทธปฏิมาบางองค์ เพื่อให้เกิด
ความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ดังเช่น พระพุทธชินราช (ดูรูปที่ ๕.๖) และพระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิง
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ดูรูปที่ ๕.๔๘) เป็นต้น
นอกจากพระพุทธปฏิมาที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีประวัติที่ยาวนานเช่นพระพุทธปฏิมาที่กล่าวถึง
ข้างต้น ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในระดับชาติ และประวัติศาสตร์ของ
ชาติไทยแล้ว ยังมีพระพุทธปฏิมาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นอีกมากมาย เช่น
พระพุทธปฏิมาที่มีความศักดิ์สิทธิ์
ภาคกลาง
หลวงพ่อโบสถ์น้อย
วั ด อมริ นทราราม เขตบางกอกน้ อ ย กรุ ง เทพมหานคร (รู ป ค.) ซึ่ ง เมื่ อ ปี พ.ศ. ๒๔๔๑
(ค.ศ. 1898) ช่างฝรั่งมาส่องกล้องเพื่อวางรางรถไฟสายบางกอกน้อย – นครปฐม ปรากฏว่า เส้นทางพุ่ง
รูป ค. หลวงพ่อโบสถ์น้อย
ตรงไปโดนองค์พระพุทธรูปพอดี แต่หลวงพ่อแสดงปาฏิหาริย์ โดยให้เกิดอาเพศต่างๆ จนช่างฝรั่งต้อง
โต ขำเดช ปั้นพระเศียร
พ.ศ. ๒๕๐๔ (ค.ศ. 1961) สัมฤทธิ์
เปลี่ยนเส้นทางให้อ้อมหลวงพ่อไป (เรื่องเดียวกัน, ๓๗๓) และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ วัดอมรินทราราม
หน้าตักกว้าง ๒.๔๔ เมตร สูง ๓.๙๒ เซนติเมตร โดนระเบิด แรงระเบิดทำให้พระเศียรหลวงพ่อหักลงมา และแตกร้าวจนต้องให้ช่างโต ขำเดช ปั้นพระ
พระอุโบสถน้อย วัดอมรินทราราม
เศียรขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ (ค.ศ. 1961) (เรื่องเดียวกัน, ๓๗๔) แต่ถึงกระนั้น หลวงพ่อก็ยังคงไว้ซึ่ง
กรุงเทพมหานคร
ความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดขอสิ่งที่ปรารถนา หลวงพ่อจะบันดาลให้สำเร็จสมความประสงค์ (ทศพล ๒๕๔๕, ๙๗)
๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
หลวงพ่อปู่
วัดโกรกกราก อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร (รูป ง.) ซึ่งเมื่อครั้งลอยแพตามแม่น้ำท่าจีน
จะไปปากอ่าวนั้น เกิดพายุฝนขึ้น ชาวบ้านจึงอัญเชิญขึ้นไปไว้บนฝั่ง พายุฝนจึงหายเป็นปลิดทิ้ง ต่อมาเมื่อ
เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ เพลิงได้โหมลุกไหม้ทั่วทั้งพระอาราม เหลือแต่อุโบสถที่ประดิษฐานหลวงพ่อปู่เพียง
หลังเดียวเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร และเมื่อเกิดโรคตาระบาดขึ้น ชาวบ้านจึงบนบานว่า หากหายเจ็บตาจะ
ถวายแว่นตาหลวงปู่ จึงเป็นประเพณีที่จะบนบานหลวงปู่ด้วยแว่นตาจนทุกวันนี้ (หลวงพ่อปู่วัดโกรกกราก
[ม.ป.ป.], เอกสารแผ่นพับ)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พระติ้ว – พระเทียม
เป็นพระพุทธปฏิมาคู่บ้านคู่เมือง จังหวัดนครพนม ประดิษฐานอยู่ที่วัดโอกาส อำเภอเมืองฯ
จังหวัดนครพนม (รูป จ.) เล่ากันว่าเมื่อปี พ.ศ. ๑๓๒๘ (ค.ศ. 785) พญาศรีโคตรบูรหลวง โปรดให้ช่างนำ
ไม้ติ้วมาสร้างเป็นพระพุทธปฏิมา ซึ่งก่อนที่จะนำมาสลักเป็นพระพุทธปฏิมานั้น ไม้ท่อนนี้ถูกใช้เป็นหมอน
หนุนรองรับโกลนเรือที่จะลากลงสู่น้ำโขง แต่หมอนไม้ติ้วท่อนนี้ไม่ยอมให้โกลนเรือมาทับ กระเด็นออกมา
รูป ง. หลวงพ่อปู่
ทำให้คนลากเรือบาดเจ็บฟกช้ำไปตามๆ กัน เมื่อสลักเป็นพระพุทธรูปแล้ว จึงนำไปประดิษฐานที่วัด
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓
พระธาตุบ้านสำราญ ต่อมาเกิดเพลิงไหม้หอพระ พระติ้วจึงไหม้ไปพร้อมกับหอพระ ความทราบถึง
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18) ศิลา
พระเจ้าขัตติยวงศาฯ ผู้ครองนครศรีโคตรบูร จึงทรงให้สลักพระติ้วขึ้นใหม่ให้เหมือนพระติ้วองค์เดิมทุก
อุโบสถวัดโกรกกราก อำเภอเมืองฯ
จังหวัดสมุทรสาคร
ประการ สองสามปีต่อมา ชาวบ้านไปจับปลากลางน้ำโขง เกิดพายุหมุนขึ้น เห็นพระติ้วองค์ที่ถูกไฟไหม้
ลอยขึ้ น มาจากน้ ำ โขง เมื่ อ พายุ ส งบลงจึ ง อั ญ เชิ ญ ขึ้ น มาประดิ ษ ฐานไว้ ที่ พ ระธาตุ บ้ า นสำราญ พระ
เจ้าขัตติยวงศาฯ ทรงทราบจึงพระราชทานพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระติ้ว” และองค์ที่จำลองขึ้น
ใหม่ว่า “พระเทียม” ประดิษฐานคู่กันตั้งแต่นั้นมา และเมื่อได้มีการสร้างวัดโอกาสขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๘๑
(ค.ศ. 1738) จึงอัญเชิญพระติ้ว – พระเทียม มาประดิษฐาน ณ พระอารามแห่งนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๘
(ค.ศ. 1995) จึงได้จำลองพระติ้ว – พระเทียมขึ้นใหม่เพื่อสรงน้ำปิดทองแทนองค์เดิม (ประวัติพระติ้ว –
พระเทียม [ม.ป.ป.], เอกสารแผ่นพับ)
บทนำ ๕
ภาคเหนือ
พระเจ้าทองทิพย์
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าทองทิพย์ วัดพระเจ้าทองทิพย์ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
(รูป ฉ.) เป็นที่ประจักษ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๘๙ (ค.ศ. 1546) ในรัชกาลพระเจ้าโพธิสาร (พ.ศ. ๒๐๖๓ – ๒๐๙๓ /
ค.ศ. 1520 – 1550) ปกครองอาณาจักรล้านช้าง เมื่อพระองค์ทรงส่งพระเจ้าไชยเชษฐา พระราช-
โอรส ไปครองอาณาจักรล้านนา แทนพญาเกตุ พระสสุระ (พ่อตา) ของพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ พร้อม
ด้วยพระพุทธรูปพระเจ้าทองทิพย์ ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดพระราชโอรส สืบเนื่องมาจากเมื่อ
ครั้งพระองค์ยังไม่มีพระโอรส จึงเสด็จไปทรงขอพรจากพระเจ้าทองทิพย์ ซึ่งก็ได้ประทานมาสมดังพระ
ราชประสงค์ ครั้นเมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาเสด็จทวนแม่น้ำโขงขึ้นมาตามลำน้ำกกและน้ำลาวพอมาถึง
หน้าวัดพระเจ้าทองทิพย์ในปัจจุบัน เรือพระที่นั่งก็มาติดไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ได้ พระเจ้าไชยเชษฐา
จึงอัญเชิญพระเจ้าทองทิพย์ขึ้นประดิษฐานไว้ที่นั่น และทรงสร้างมณฑปถวาย แล้วจึงเสด็จไปครองนคร
รูป ฉ. พระเจ้าทองทิพย์ กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑
เชียงใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ (ค.ศ. 1825) จึงได้สร้างพระวิหารขึ้น และได้บอกเล่าให้ชาวบ้านทราบ
(ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16) สัมฤทธิ์
หน้าตักกว้าง ๘๐ เซนติเมตร สูง ๑.๒๐ เมตร
ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าทองทิพย์ จนเป็นที่เลื่อมใสกันจนทุกวันนี้ (ประยุทธ ๒๕๔๙) และเมื่อมีการ
วิหารวัดพระเจ้าทองทิพย์
สร้างเหรียญพระเจ้าทองทิพย์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ (ค.ศ. 1998) ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าทองทิพย์ยัง
อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
คุ้มครองผู้ที่บูชาเหรียญด้วย ดังที่ปรากฏว่าผู้สวมใส่เหรียญมิได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ
๓ ตลบ แล้วตกลงไปในแม่น้ำลาวที่กำลังแห้งขอดในช่วงนั้น อีกทั้งรถก็ยังสามารถวิ่งต่อไปได้ (โลกลี้ลับ
๒๕๔๙, ๓๗)
หลวงพ่อพุทธรังสี
ปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้น เมื่อแม่ชี ๔ ท่าน เดินทางจากนครศรีธรรมราชไปนมัสการ
พระพุทธรูปปูนปั้นองค์หนึ่งในมณฑปวัดพระยืนพุทธบาทยุคล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างที่
แม่ชีสำรวมจิตเจริญภาวนาอยู่นั้น เกิดมีปาฏิหาริย์เป็นแสงรัศมีหกสี หรือฉัพพรรณรังสี พวยพุ่งออกมา
จากพระนลาฏและพระเกตุ ม าลาของพระพุ ท ธรู ป องค์ นั้ น แม่ ชี จึ ง นำความไปเล่ า ให้ เจ้ า อาวาสฟั ง
เจ้าอาวาสจึงไปเคาะที่องค์พระพุทธรูป ปูนที่พอกไว้ก็หลุดออกมา เห็นว่าภายในเป็นทองสัมฤทธิ์ (รูป ช.)
จึงอัญเชิญมาประดิษฐานในพระอุโบสถที่ผู้มีจิตศรัทธาสร้างขึ้นก่อนหน้านี้ (วิบูลย์ [ม.ป.ป.], ไม่มีเลขหน้า)
หลวงพ่อพุทธรังสี จึงเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของละแวกนั้น นับจากนั้นก็มีผู้มาบูชามิได้ขาด
๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ภาคใต้
พระผุด
วัดพระทอง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต (รูป ซ.) เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัด ถูกพบ
เมื่อมีเด็กผู้หนึ่งเอากระบือไปผูกไว้กับพระเกตุมาลาที่มีโคลนตมพอกอยู่ ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน เมื่อเด็ก
กลับไปถึงบ้านก็ล้มตายลง และเมื่อบิดาของเด็กไปเอากระบือ ก็เห็นกระบือตายเช่นกัน ตกกลางคืนฝัน
ว่าที่ลูกตายก็เพราะเอากระบือไปผูกกับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำที่จมอยู่ในดิน รุ่งเช้าจึงพา
กันไปล้างโคลนตมออกเห็นเป็นพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำ ความทราบถึงเจ้าเมือง จึงสั่งให้ขุด
พระพุทธรูปขึ้นมาบูชา แต่ปรากฏว่ามีตัวต่อตัวแตนบินขึ้นมาต่อยผู้ที่ขุด จนล้มตายกันไปหลายคน แต่ต่อ
แตนเหล่านั้นไม่ทำร้ายผู้ที่มากราบไหว้บูชา ต่อมามีชีปะขาวมาโบกปูนปิดทับพระพุทธรูปทองคำไว้ ครั้ง
เมื่อศึกถลาง พม่ามากะเทาะปูนออก และเริ่มขุดพระพุทธรูปทองคำ แต่มีมดขึ้นมากัดต่อยพม่าจนล้ม
ตายไปหลายร้อยคน แต่พม่าก็ยังขุดต่อไปจนถึงพระศอ จนกระทั่งได้ยินเสียงคลื่นลมดังสนั่นหวั่นไหว
คล้ายเสียงปืน จึงตกใจกลัวพากันหนีขึ้นเรือกลับไป หลังจากนั้นชาวบ้านจึงก่อพระพุทธรูปขึ้นมาครึ่งองค์
สวมทับพระพุทธรูปทองคำ และสร้างพระอุโบสถครอบพระพุทธรูปไว้ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897)
ช่างจากปีนัง ก่อพระผุดองค์ปัจจุบัน และสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. 1909)
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
รูป ซ. พระผุด สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897)
ก่ออิฐถือปูน สูง ๒.๔๔ เมตร
สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมานมัสการพระผุด และในโอกาสนี้ได้พระราชทานนามวัดใหม่
อุโบสถวัดพระทอง
ว่า “วัดพระทอง” และในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ (ค.ศ. 1959) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมา
อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
นมัสการหลวงพ่อวัดพระทอง และทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. (รูป ฌ.)
(วัดพระทอง ๒๕๔๗, ๔ – ๑๐)
การศึกษาพระพุทธปฏิมา
พระพุทธปฏิมาจึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใด
แล้ว พระพุทธปฏิมาเป็นที่ยึดมั่นของชาวไทย และเป็นศูนย์รวมของจิตใจตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนาน
ฉะนั้น หากจะทำความรู้จักกับคนไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนิยามว่า ประกอบด้วย
ร่างกายและจิตใจ อันได้แก่ ศิลปวิทยา ธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อถือ ซึ่งรวมเรียกว่า “ความเป็น
ไทย” นั้น (สำนักราชเลขาธิการ ๒๕๓๑, ๙๖) ก็ควรที่จะทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมาและลักษณะ
เฉพาะของพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นนับแต่ที่ชาวไทย ซึ่งก็คือกลุ่มชนผู้ที่ใช้ภาษาไทย ได้เข้ามาปกครอง
ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน อันเป็นช่วงเวลาที่นับย้อนไปตั้งแต่ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลาง
คริสต์ศตวรรษที่ 13) เป็นต้นมา ทั้งนี้ จะย้อนหลังเพื่อให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัติพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้อง
กับพุทธศาสนาในประเทศไทย เพื่อที่จะได้เห็นภาพที่สะท้อนทั้งความสืบเนื่องและความเปลี่ยนแปลงทาง
ด้านศาสนา ความเชื่อ เศรษฐกิจ และสังคมที่ร่วมกันหล่อหลอมผ่านกาลเวลาเรื่อยมาจนมาเป็นอัตลักษณ์
ของความเป็นไทยในปัจจุบัน
หนั ง สื อ เล่ ม นี้ จึ ง ใช้ ข้ อ มู ล ที่ เป็ น พระพุ ท ธปฏิ ม าที่ มี ค วามศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ มี ค วามสำคั ญ ทาง
ประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางวิชาการ และมีความโดดเด่นทางสุนทรียภาพ ที่สร้างขึ้นในขอบข่ายของวัด
และวัง ทั้งที่เป็นพระประธานในอุโบสถ วิหาร และพระพุทธรูปบูชาของพระมหากษัตริย์แ ละประชาชน
แบ่งได้เป็นขอบเขตทางด้านเวลา คือ ศึกษาพระพุทธปฏิมาในประเทศไทยนับตั้งแต่ชาวไทยหรือกลุ่มชนที่
ใช้ภาษาไทยเริ่มเข้ามามีบทบาทในแผ่นดินนี้ เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13)
จนถึงปัจจุบัน และขอบเขตทางด้านพื้นที่ ได้แก่ บริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน
บทนำ ๗
พระพุทธปฏิมาจึงเป็นหลักฐานทางโบราณวัตถุ และทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสไว้ว่า
เป็นที่ทราบกันอยู่ว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของประเทศของเราที่เป็น
เอกสารมีอยู่โดยจำกัด การศึกษาประวัติศาสตร์จำเป็นต้องอาศัยหลักฐานทาง
โบราณวัตถุเทียบเคียงสันนิษฐานด้วยอย่างมาก ดังนั้น จึงถือได้ว่าโบราณสถาน
และโบราณวัตถุทุกแห่งทุกชิ้นเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างสำคัญ ซึ่ง
ควรสำรวจและพิจารณาศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน (สำนักราชเลขาธิการ ๒๕๒๗, ๓๑๖)
ด้วยเหตุที่ว่าชาวไทยเพิ่งเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพระพุทธปฏิมา หลัง
จากที่ชาวตะวันตกเห็นความสำคัญของพระพุทธปฏิมาในฐานะที่เป็นศิลปะโบราณวัตถุที่มีราคาซื้อขายใน
ท้องตลาด และได้พยายามที่จะจำแนกยุคสมัยให้กับพระพุทธปฏิมา ดังเช่นงานของอัลเฟรด ซัลโมนี
(Alfred Salmony) เรื่อง Sculpture in Siam ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ (ค.ศ. 1925) (Salmony 1972) แต่
ความรู้ที่รับทราบกันในปัจจุบันเริ่มจากพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือเรื่อง
ตำนานพุทธเจดีย์สยาม (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๙) พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าจอมมารดาชุ่ม ใน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมารดาของพระองค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ (ค.ศ. 1926) ตามด้วย
งานของยอร์ช เซเดส์ (George Coedèès) เรื่อง โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร (ยอช
เซเดส์ ๒๔๗๑) ในอีกสองปีต่อมา ซึ่งหนังสือทั้งสองเล่มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาวิชา
ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี เพราะได้จัดจำแนกแยกแยะพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในประเทศไทย
เป็นยุคสมัยต่างๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก
๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
แม้แต่เซเดส์เองก็ยังตระหนักถึงความสับสนที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเขียนถึง “สมัยศรี
วิชัย” เซเดส์จึงเน้นด้วยการขีดเส้นใต้ว่า ชื่อ “ศรีวิชัย ซึ่งพิพิธภัณฑสถานฯ ใช้เป็นเครื่องหมายนั้น หาเป็น
ชื่อแบบอย่างช่างไม่ เปนแต่ชื่อ สมัย อันหนึ่ง คือสมัยเมื่อกรุงศรีวิชัยมีอำนาจเหนือนานาประเทศบน
แหลมมาลายูเท่านั้น” (เรื่องเดียวกัน, ๓๓ – ๓๔, เน้นตามต้นฉบับ) ทั้งนี้เพราะเซเดส์เข้าใจดีว่า “สมัยศรี
วิชัย” นั้นไม่มีแบบเฉพาะของตนเอง เพราะมีทั้งแบบของชวา แบบของอินเดีย แบบทวารวดี และแบบ
จาม รวมอยู่ใน “สมัยศรีวิชัย” เดียวกัน
แต่พอมาถึง “สมัยลพบุรี ซึ่งหมายความว่าเปนของฝีมือขอมที่สร้างขึ้นในสมัยเมื่อพวกขอม
มาปกครองเมืองลพบุรีอยู่ บรรดาโบราณวัตถุที่จัดรวบรวมไว้ในสมัยลพบุรี... จะเป็นของที่พบที่เมือง
ลพบุรีหรือที่เมืองอื่นๆ ก็ตาม ถ้ามีลักษณะเป็นฝีมือขอมอย่างเดียวกันแล้ว จัดเข้าในสมัยลพบุรีทั้งสิ้น”
(เรื่องเดียวกัน, ๓๕, เน้นตามต้นฉบับ) แทนที่จะเรียกว่า “สมัย” เซเดส์กลับเน้นไปที่แบบ “ฝีมือขอม” หรือ
“สกุลช่างลพบุรี” (É cole de Labapurī) (Coedèès 1928, 26) ซึ่งก็คือรูปแบบที่มีลักษณะร่วมกันของฝีมือ
ช่างขอมนั่นเอง เพราะฉะนั้น “แบบ” และ “สมัย” ณ ที่นี้จึงมีความหมายเดียวกัน
เซเดส์ใช้ “แบบ” และ “สมัย” ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับพระพุทธปฏิมาของไทย
“สมัยเชียงแสนรุ่นเก่า... คือแบบช่างเมืองเชียงแสน... มีลักษณะดังนี้...
มักจะเปนพระนั่งขัดสมาธิเพ็ชร์ มีดอกบัวรอง พระองค์อวบอ้วน และพระอุระ
นูน ชายจีวรสั้น พระพักตร์สั้น พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เล็ก
พระหนุเป็นปม เส้นพระเกศใหญ่ไม่มีไร พระศกเป็นต่อมกลม พระรัสมีเหมือน
ดอกบัวตูม” (ยอช เซเดส์ ๒๔๗๑, ๓๗)
“สมัยสุโขทัย คือบรรดาพระพุทธรูปซึ่งโดยมากได้มาจากเมืองสุโขทัย เมือง
สวรรคโลก เมืองพิษณุโลก และเมืองกำแพงเพชร... ถ้าเปนพระนั่งก็นั่งขัดสมาธิ
ราบทั้งนั้น ไม่มีขัดสมาธิเพชร์ นอกจากนั้นยังมีลักษณะอื่นๆ ที่ผิดกับพระพุทธ
รูปเชียงแสนรุ่นเก่า อีกเปนต้นว่า ชายจีวรยาว และพระรัสมีเปนรูปเปลว”
(เรื่องเดียวกัน, ๓๘, เน้นตามต้นฉบับ)
จากข้อความข้างต้น เห็นได้ว่า เซเดส์ใช้ “แบบ” กับ “สมัย” ในความหมายเดียวกัน คือ
กลุ่มพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะร่วมกัน (แบบ) สร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาเดียวกัน (สมัย)
บทนำ ๙
ต่อมามหาวิทยาลัยในประเทศทางแถบตะวันตกได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาพุทธศิลป์ของ
ไทย ถึงกับให้ปริญญาระดับดุษฎีบัณฑิตและระดับมหาบัณฑิต เช่น วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิตของเรจินัลด์
เลอ เมย์ (Reginald le May) A Concise History of Buddhist Art in Siam (Le May 1962
(1st ed. 1938)) การศึกษาศิลปะในภาคกลางของสยามระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๒๐ (กลางคริสต์
ศตวรรษที่ ๑๐ - กลาง ๑๔) ของไฮรัม วูดวาร์ด (Woodward 1975) ศิลปะและสถาปัตยกรรมในสมัย
สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ของฟอร์เรสต์ แมคกิลล์ (McGill 1977) รวมทั้ง ศิลปะและสถาปัตยกรรมสมัย
สมเด็จพระนารายณ์ ของจอห์น ลิสโตแพด (Listopad 1995) ในงานวิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต เช่น
เรื่องพระพุทธรูปสกุลช่างล้านนา ของศักดิ์ชัย สายสิงห์ (Saisingha 1999) เป็นต้น
นอกจากการศึกษาเพื่อกำหนดอายุเวลาตามยุคสมัยที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีประมวลภาพ
พระพุทธปฏิมาจำแนกออกเป็นยุคสมัย เช่น ผลงานของสมเกียรติ โล่ห์เพชรรัตน์ เรื่อง พระพุทธรูปศิลปะ
สมัยอยุธยา (สมเกียรติ ๒๕๓๙) พระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ (สมเกียรติ ๒๕๔๐) ประวัติศาสตร์การ
สร้างพระพุทธรูปล้านช้าง (สมเกียรติ ๒๕๔๓) และ ศิลปะสุโขทัย (สมเกียรติ ๒๕๔๙) และที่เป็นหนังสือ
ภาพเกี่ยวกับประวัติของพระพุทธรูปสำคัญ เช่น พระพุทธรูปสำคัญ (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก) พระพุทธรูป
คู่บ้านคู่เมือง (วรนันทน์ ๒๕๔๓) และ พระพุทธรูปมรดกล้ำค่าของเมืองไทย (ทศพล ๒๕๔๕) เป็นต้น แต่
หนังสือภาพพระพุทธรูปและประวัติพระพุทธรูปสำคัญก็มิได้กล่าวถึงความเป็นมาของพระพุทธรูปอายุ
เวลา หรือสถานภาพของพระพุทธรูปในวัฒนธรรมไทยแต่อย่างใด
หนังสือเล่มนี้จึงมีจุดประสงค์ที่จะศึกษาพื้นฐานหรือเบื้องหลังของการสร้างพระพุทธปฏิมาใน
ประเทศไทย เพื่อคลี่คลายความสับสนอันเป็นผลที่เกิดจากการวิเคราะห์ในอดีต โดยจะใช้ระบบที่
สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีและคตินิยมของการสร้างพระพุทธปฏิมาในประเทศไทยเป็น
สำคัญ อันแตกต่างจากบริบทการสร้างงานศิลปะในตะวันตก ซึ่งในการอธิบายของประวัติศาสตร์ศิลปะ
ตะวันตกจะใช้ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ให้มีความหมายเดียวกันกับยุคสมัยทางรูปแบบศิลปะ อันไม่
สอดคล้ อ งกั บ บริ บ ทการสร้ า งพระพุ ท ธปฏิ ม า ด้ ว ยเหตุ ที่ ว่ า พระพุ ท ธปฏิ ม านั้ น เป็ น รู ป จำลองของ
พระพุทธรูปองค์ต้นแบบ โดยจะจำลองสืบต่อกันเรื่อยมา ซึ่งมิได้ขึ้นกับยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แต่
อย่างใด แต่หากขึ้นอยู่กับกระแสความนิยมของพุทธศาสนิกชนที่การจำลองหรือสร้างพระพุทธปฏิมา
มากกว่า ทั้งนี้การจำลองดังกล่าวจะมุ่งธำรงพุทธลักษณะของพระพุทธรูปองค์ต้นแบบไว้ให้มากที่สุด
ดังเช่นในกรณีของพระพุทธปฏิมา “แบบสุโขทัย” ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรือง
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 – กลาง 15) จึงจะเรียกว่า “สมัย สุโขทัย”
ได้ แต่เมื่ออาณาจักรอยุธยาเข้าครอบครองสุโขทัย พระพุทธปฏิมา “แบบ สุโขทัย” ก็ยังคงสร้างกันอยู่
จึงควรจะเรียกว่า “สมัย อยุธยา แบบ สุโขทัย” ตลอดจน “สมัย รัตนโกสินทร์ แบบ สุโขทัย” เพื่อความ
ถูกต้องและชัดเจน นอกจากนั้นแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์ที่จะจำแนกแยกแยะว่าพระพุทธปฏิมาปางใด เป็นที่
นิยมในยุคสมัยใด และเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพื่อที่จะได้เห็นว่าพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในประเทศไทย
นั้นมีทั้งด้านเนื้อหาสาระและพัฒนาการทางรูปแบบควบคู่กันไปตามกาลเวลา
การศึกษาพระพุทธปฏิมา ณ ที่นี้จะไม่ใช้ยุคสมัยเป็นหลัก แต่จะจำแนกพระพุทธปฏิมาออกเป็น
หมวดหมู่ตามพระอิริยาบถและพระกิริยาต่างๆ ของพระหัตถ์ ซึ่งเรียกว่า “ปาง” ไม่ใช้เรียกว่า “ท่า” ทั้งนี้
เพราะสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานพระวินิจฉัยไว้ว่า “คำว่า “ท่า” เป็นคำเลวและ
อาจจะใช้ไปทางข้างหยาบช้า จะเอามาใช้สำหรับพระพุทธปฏิมาว่าท่านั้น ท่านี้ หาควรไม่” (บริบาลบุรีภัณฑ์
๒๕๓๑, ๕๓) การแบ่งแยกหมวดหมู่พระพุทธปฏิมาไทยตามปางต่างๆ ที่สร้างขึ้นนั้น มีจุดประสงค์ที่จะ
แสดงให้เห็นว่า พระพุทธปฏิมาเป็นรูปจำลองของพระพุทธรูปองค์ต้นแบบ และมีการเลียนแบบสืบต่อกันมา
ซึ่งมิใช่แต่เพียงพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของพุทธ-
ศาสนิกชนทุกชาติ ทุกภาษา หากแต่ว่าการศึกษาตามแนวทางนี้เพิ่งนำมาใช้ในหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรก
๑๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
เมื่อพระพุทธปฏิมาเป็นรูปจำลอง การศึกษาจึงต้องดำเนินตามพุทธลักษณะของแต่ละหมวด
หมู่ เช่น การสืบสาวพัฒนาการของพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ที่สร้างขึ้นในแต่ละ
ภูมิภาค ตามช่วงระยะเวลาต่างๆ กัน โดยใช้พระพุทธปฏิมาที่มีจารึกหรือที่สามารถจะกำหนดอายุเวลาได้
จากเอกสารที่เกี่ยวเนื่องเป็นตัวกำหนด เช่น พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ได้แก่
พระพุทธสิหิงค์จำลอง (ดูบทที่ ๖ หน้า ๓๑๕) ซึ่งเป็นพระพุทธปฏิมาสำคัญของนิกายเถรวาท คณะ
สีหฬภิกขุ ซึ่งนำเข้ามาสถาปนาในปี พ.ศ. ๑๙๖๗ (ค.ศ. 1424) ทั้งที่ล้านนา สุโขทัย และอยุธยา แต่เป็นที่
นิยมแพร่หลายที่สุดในอาณาจักรล้านนา ช่วงรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชถึงพญาแก้ว (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๖๘ /
ค.ศ. 1441 - 1525) และในอาณาจักรอยุธยา นับจากรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ถึงการเสีย
กรุงครั้งที่สอง (พ.ศ. ๒๐๓๔ – ๒๓๑๐ / ค.ศ. 1491 - 1767)
แต่พระพุทธรูปบางหมวด เช่น พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา ไม่ปรากฏว่า
มีการสร้างขึ้นในประเทศไทย จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน โปรดเกล้าฯ ให้
สร้างพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๙
(ค.ศ. 1956) หรือพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางประทานพร ซึ่งพระธรรมจินดาภรณ์ (ทองเจือ
จินฺตากโร) เป็นผู้คิดแบบขึ้น เมื่อครั้งศิริราชพยาบาลฉลอง ๗๒ ปีของการก่อตั้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕
(ค.ศ. 1962) ซึ่งเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธรูปประทานพร ภ.ป.ร. ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ (ค.ศ. 1965) เห็นได้ว่าในบริบทของพุทธศาสนาในประเทศไทย
นั้น พระพุทธปฏิมาใช่แต่จะเป็นเพียงสิ่งที่ระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหมวดของอุเทสิกเจดีย์
เท่านั้น แต่เป็นรูปสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์อีกด้วย
ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะตั้งปณิธานให้หนังสือเล่มนี้มีความผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่ความสามารถจะ
ทำได้ แต่เนื่องด้วยการวินิจฉัยข้อมูลที่มีข้อจำกัดทางปริมาณและเวลา จึงอาจเป็นตัวแปรที่ก่อให้เกิด
ความผิดพลาดขึ้นได้ โดยเฉพาะการตีความหมายที่มาจากมุมมองในยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงอาจมีข้อบกพร่อง ซึ่งต้องปรับปรุงแก้ไขในโอกาสต่อไป
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ ลักษณะไทย เล่ม ๑ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์
ไทย เล่มนี้เป็นความพยายามหนึ่งที่จะศึกษาและรวบรวมทั้งข้อมูลและรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธ-
ปฏิมาที่สำคัญอันถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนและบอกเล่าความเป็น ลักษณะไทย จากแง่มุม
ทางด้านพุทธศิลป์ อันจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้สนใจ ตลอดจนเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงสำหรับ
ผู้ที่ประสงค์จะศึกษาค้นคว้าต่อไป ตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทาน
ไว้ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ว่า
งานด้านการศึกษา ศิลปะและวัฒนธรรมนั้น คืองานสร้างสรรค์ความเจริญทาง
ปัญญาและจิตใจ ซึ่งเป็นต้นเหตุทั้งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของความเจริญด้าน
อื่นๆ ทั้งหมด และเป็นปัจจัยที่ช่วยให้เรารักษาและดำรงความเป็นไทยไว้ได้
สืบไป (สำนักราชเลขาธิการ ๒๕๑๕, ๓๔๔)
บทนำ ๑๑
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ภาค
พุทธศาสนา
๑
กับพระมหากษัตริย์
หน้า
๑๕ บทที่ ๑ กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา
๒๓ บทที่ ๒ พระพุทธลักษณะ พระอิริยาบถ และปาง
๔๕ บทที่ ๓ พระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา
กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา ๑๓
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที
่ ๑
กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา
น่าจะเป็นไปได้ว่าประเทศไทยมีพระพุทธรูปมากกว่าประเทศอื่นๆ
ในโลก มีทั้งขนาดจิ๋วถึงขนาดใหญ่โต และสร้างจากวัสดุต่างๆ เช่น
ศิลา ปูน ดินเผา แก้วผลึกหรือหยก ไม้ งาช้าง สัมฤทธิ์ เป็นต้น
โดยธรรมเนียมการสร้างพระพุทธรูปเริ่มตั้งแต่เมื่อคนไทยเข้ามา
อาศั ย อยู่ ใ นประเทศไทย วั ส ดุ ที่ นิ ย มกั น มากที่ สุ ด คื อ สั ม ฤทธิ์
ซึ่งได้แก่ส่วนผสมของทองแดง ดีบุก และโลหะอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็
มีเงินและทองคำเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย...
มากกว่า ๑,๓๐๐ ปีมาแล้วที่ศิลปินมุ่งสร้างพระพุทธรูป จวบจนทุก
วันนี้ (พ.ศ. ๒๕๐๑) ประเทศไทยมีพระพุทธรูปมากเกินกว่าประชากร
ของประเทศเสียอีก (Boribal Buribhand and Griswold 1969, 3)
พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเชื่อว่าการสร้างพระพุทธรูปนั้นส่งผลในทางกุศลบุญอย่างมาก ด้วย
อานิสงส์แห่งการสร้างพระพุทธรูปไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ด้วยวัตถุใดก็ตาม ผู้สร้างจะเป็นผู้มีทรงงาม รูปงาม
มีฤทธิ์เดชมาก มียศมีศักดิ์ มีความสุข ไม่มีโรค อายุยืน ไม่มีเวรไม่มีภัย เกิดในตระกูลกษัตริย์ หรือตระกูล
พราหมณ์ มีทรัพย์มาก มีทาสชายหญิงบริวารห้อมล้อมทุกเมื่อ และจะบรรลุนิพพาน (เชียงใหม่ปัณณาส-
ชาดก ๒๕๔๑, ๕๑๗ – ๕๑๘) นอกจากการสร้างพระพุทธรูปแล้ว การซ่อมพระพุทธรูปให้คงอยู่ในสภาพที่
สมบูรณ์ ก็จะนำมาซึ่งชัยชนะเหนือศัตรู มีทรัพย์มีสินไม่มีวันสิ้นสุด ดังเช่น พระเจ้าวัฎฎังคุลี ผู้รบชนะ
เหล่าพระราชาหนึ่งร้อยเอ็ดพระองค์ผู้มารุกรานด้วย “ทรงยกพระองคุลีของพระองค์ขึ้นนิ้วหนึ่ง ทรงชี้
พระราชาเหล่านั้นไปรอบๆ ขณะนั้นเทียว พระราชาทั้งปวงพร้อมทั้งเสนามีช้างเป็นต้น หนีไป” (เรื่อง
เดียวกัน, ๕๑๐ – ๕๑๕) ทั้งนี้ด้วยอานิสงส์ที่พระเจ้าวัฎฎังคุลีได้ไปซ่อมพระองคุลีของพระพุทธรูปที่ขาดไป
ให้สมบูรณ์
ชาดกเรื่องเดียวกันนี้ยังให้สาเหตุของการสร้างพระพุทธรูปว่า เมื่อครั้งพระเจ้าปเสนทิ กษัตริย์แห่ง
แคว้นโกศล เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร แต่พระพุทธองค์มิได้ประทับอยู่ ณ ที่นั้น
พระเจ้าปเสนทิเกิดความสลดพระทัย จึงตรัสว่า “โลกนี้เว้นจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ชื่อว่าว่างเปล่า
ไม่มีที่พำนัก ไม่มีที่พึ่งพิง” ต่อมาในวันรุ่งขึ้นพระเจ้าปเสนทิไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จกลับมาแล้ว และทูลว่า
เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่เสด็จไปที่อื่น ข้าพระองค์เมื่อไม่เห็นพระรูป
พระองค์ย่อมเป็นผู้ไม่มีที่พึ่ง มีทุกข์ ก็เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว... สัตว์โลกนี้
จะพึงมีความสุขแต่ที่ไหนหามิได้... เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงอนุญาตเพื่อทำ
พระรูปอันประเสริฐของพระองค์ เพื่อประโยชน์แก่การบูชา สักการะของนระ
และเทวดาแก่ข้าพระองค์นั่นเทียว (เรื่องเดียวกัน, ๕๐๗)
กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา ๑๕
เมื่อได้ทรงสดับพระดำรัสของพระราชาแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า
บุคคลใดบุคคลหนึ่งถึงพร้อมด้วยศรัทธา ทำรูปของเราเล็กก็ตาม ใหญ่ก็ตาม
ด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง มีดินเหนียวเป็นต้น ตามกำลังฯ... ย่อมเสวยสุขอัน
ไพบูลย์ ได้เป็นผู้ชื่อว่ามีเดชานุภาพมาก (เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน)
เมื่อพระเจ้าปเสนทิได้ทรงรับอนุญาตแล้ว จึงโปรดให้ช่างสร้างพระพุทธรูปด้วยไม้แก่นจันทน์
และประดิ ษ ฐานพระพุ ท ธรู ป นั้ น ไว้ บ นอาสนะภายในมณฑป แล้ ว ทรงนิ ม นต์ พ ระพุ ท ธเจ้ า ให้ ไปทอด
พระเนตรรูปของพระองค์ เมื่อพระพุทธรูปที่ทำด้วยไม้แก่นจันทน์ เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่มณฑป จึง
“ทรงยกพระบาทข้างหนึ่งจากอาสนะที่พระองค์ประทับนั่ง แสดงอาการต้อนรับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้
เสด็จมาที่นั้น” พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งว่า
อาวุโส พระองค์จงทรงหยุดเถิด เราจักนิพพานโดยกาลของเราเทียว และพระองค์
จะพึงดำรงอยู่ในศาสนาของเราโดยกาลนาน ตลอดห้าพันปีในอนาคตกาล...
วันนั้นเทียว เราขอมอบพระศาสนาของเราแก่พระองค์ ขอพระองค์ จงทรง
ดำรงอยู่ในศาสนาของเรา เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกทั้งปวง (เรื่อง
เดียวกัน, ๕๑๓)
ถึงแม้ว่าต้นฉบับของ เชียงใหม่ปัณณาสชาดก จะมาจากประเทศพม่า (Skilling 2006, 155–
158) แต่หนังสือ ปิฎกมาลา ของล้านนา ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ (ค.ศ. 1824) ปรากฏว่ามีเนื้อหาใกล้
เคียงกัน (เรื่องเดียวกัน, 158) แสดงให้เห็นว่า ความรู้เกี่ยวกับ วัฎฎังคุลิราชชาดก ซึ่งเป็นที่มาของคติที่
เกี่ยวกับอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปอันเป็นที่แพร่หลายในล้านนา ดังเห็นได้จากการที่ชาดกเรื่องนี้ได้
รับการกล่าวถึงใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ว่า มหากัสปเถระได้เทศน์เรื่องพระเจ้าวัฎฎังคุลีต่อนิ้ว
พระพุทธรูปถวายพญาเม็งราย (ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ๒๕๓๘, ๒๗) ดังนั้นเรื่องของพระเจ้าวัฎฎังคุลี
และพระเจ้าปเสนทิสร้างพระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์ รวมทั้งคติที่เกี่ยวกับอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป
น่าจะอยู่ในการรับรู้ของผู้คนในประเทศไทยมาแล้ว ตั้งแต่พญาสววาธิสิทธิกษัตริย์มอญโบราณที่ปกครอง
นครหริภุญไชย แรกรับพุทธศาสนานิกายเถรวาทมา เมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ (ต้นคริสต์
ศตวรรษที่ 13) (Coedèès 1925, 189) ทั้งนี้เพราะว่า เรื่องพระเจ้าปเสนทิสร้างพระพุทธรูปแก่นจันทน์
ปรากฏในหนั ง สื อ ภาษาบาลี เรื่ อ ง โกสล พิ ม พ์ วั ณ ณนา แต่ ง ขึ้ นที่ ลั ง กาในช่ ว งระยะเวลาเดี ย วกั น
(Swearer 2004, 15)
อย่างไรก็ตาม ตำนานการสร้างพระพุทธรูปแก่นจันทน์นั้นมีมานานก่อนหน้านั้นหลายศตวรรษแล้ว
ดังกรณีพระภิกษุจีนนามว่า ฟาเหียน ผู้ที่เดินทางไปนครสาวัตถี แคว้นโกศล ระหว่างปี พ.ศ. ๙๔๒ – ๙๕๗
(ค.ศ. 399 – 414) เล่าว่า เมื่อพระเจ้าปเสนทิเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปโปรด
พระพุทธมารดาบนสวรรค์เป็นเวลา ๙๐ วัน พระองค์จึงให้สร้างพระพุทธปฏิมาแกะสลักด้วยไม้จันทน์ขึ้น
มาแทนพระพุทธองค์ ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ พระพุทธรูปก็เสด็จเข้าไปเฝ้า พระพุทธองค์ตรัสว่า
ให้กลับไปยังที่นั่งเดิม, ภายหลังเมื่อเราบัลลุปรินิพพานแล้ว, จะเป็นตัวอย่างแก่
บริษัท ๔ ซึ่งเป็นศิษย์ของเรา, ดังนั้นแล้ว พระปฏิมาก็เลื่อนกลับไปสู่ที่นั่งเดิม,
พระปฏิมาองค์นั้นเป็นพระพุทธปฏิมาองค์แรกของพระพุทธปฏิมาทั้งหมด และ
ซึ่งบุคคลสืบต่อมาได้ถือเอาเป็นตัวอย่าง. (ฟาเหียน ๒๔๘๗, ๑๐๑ – ๑๐๒)
ในคัมภีร์ชื่อ เอโกตตราคม แปลจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนเมื่อปี พ.ศ. ๙๒๗ – ๙๒๘
(ค.ศ. 384 – 385) กล่าวว่า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น
พระเจ้าปเสนทิ พร้อมด้วยพระเจ้าอุเทน แห่งนครโกสัมพีเสด็จไปเฝ้า ในเรื่องนี้เป็นพระเจ้าอุเทนต่างหากที่
ทรงเป็นผู้สลดพระทัยเมื่อไม่ได้เฝ้าพระพุทธองค์ และทรงรับสั่งว่า หากมิได้เฝ้าพระพุทธองค์จะต้อง
๑๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
สิ้นพระชนม์แน่ พระเจ้าอุเทนจึงเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปแก่นจันทน์ อันเป็นเหตุให้พระเจ้าปเสนทิต้องสร้าง
พระพุ ท ธรู ป ทองคำที่ มี ข นาดเดี ย วกั นกั บ พระพุ ท ธรู ป แก่ นจั นทน์ “พระพุ ท ธรู ป ทั้ ง สององค์ นี้ จึ ง เป็ น
พระพุทธรูปของพระตถาคตสององค์แรกที่สร้างขึ้นในชมพูทวีป” เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์
พระองค์ตรัสแก่พระเจ้าอุเทนว่า อานิสงส์แห่งการสร้างพระพุทธรูปนี้จะส่งให้พระองค์มีสุขภาพที่
แข็งแรงและเมื่อประสูติใหม่จะเป็นโลกบาล (Soper 1959, 259)
สำหรับคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวว่าพระเจ้าอุเทนทรงสร้างพระพุทธรูปแก่นจันทน์ น่าจะได้แก่
คัมภีร์จีน เกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูปสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (พ.ศ. ๕๖๘ – ๗๖๓ / ค.ศ. 25 – 220) ซึ่งมี
ลักษณะใกล้เคียงกับเรื่อง โกสล พิมพ์ วัณณนา ของลังกา แตกต่างกันตรงที่พระเจ้าอุเทนแห่งนครโกสัมพี
มิใช่พระเจ้าปเสนทิ เป็นผู้เฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปที่โกสัมพี (Swearer 2004, 21 – 22)
รูปที่ ๑.๑ ก. เหรียญพระเจ้าจักรพรรดิกนิษกะที่ ๑
พ.ศ. ๖๖๓ - ๖๘๘ (ค.ศ. 120 - 145)
นอกจากนั้น พระภิกษุจีน เสวียนจั้ง (พระถังซำจั๋ง) ผู้ที่เดินทางไปแสวงบุญที่อินเดีย ได้บันทึก
พบที่สถูป อหีน พอช
เรื่องจดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตก แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๑๑๘๙ (ค.ศ. 646) ท่านได้กล่าวถึง
ใกล้เมืองจลาลาบาท
พระพุทธรูปจำหลักด้วยไม้จันทน์ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงประมาณ ๖๐ ฟุตว่าเป็นพระพุทธรูปที่
ประเทศอัฟกานิสถาน ทองคำ
เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ เซนติเมตร
พระเจ้าอุเทนทรงสร้างไว้ แม้ว่าจะมีพระราชาจากหลายแคว้นประสงค์ที่จะอัญเชิญไปยังแว่นแคว้นของ
บริติช มิวเซียม กรุงลอนดอน
พระองค์ แต่ไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนองค์พระพุทธรูปได้ จึงต้องนำรูปจำลองไปสักการะแทน ทั้งนี้ต่าง
ก็เชื่อกันว่า พระพุทธรูปแก่นจันทน์เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะเหมือนพระพุทธองค์ทุกประการ และ
เป็นต้นแบบของพระพุทธรูปในลักษณะนี้ (Hiuen Tsiang 1969, 235)
พระพุทธรูปแก่นจันทน์แบบพระเจ้าอุเทนจำลอง จึงเป็นหมวดพระพุทธรูปที่เก่าแก่ที่สุด โดยมี
หลักฐานยืนยันคือ เหรียญทองคำของพระเจ้าจักรพรรดิกนิษกะที่ ๑ (พ.ศ. ๖๖๓ – ๖๘๘ / ค.ศ. 120 – 145)
ของราชวงศ์กุษาณะ ประเทศอินเดีย ซึ่งด้านหนึ่งเป็นพระบรมรูปของพระเจ้ากนิษกะ (รูปที่ ๑.๑ ก.) อีก
ด้านหนึ่งเป็นพระพุทธรูปยืน ปางประทานอภัย มีจารึกภาษาแบคเตรียน เขียนว่า “BODDO” (พุทโธ)
อยู่ทางด้านขวาข้างประภามณฑล (รูปที่ ๑.๑ ข.) (Zwalf 1985, 92 – 93) ปางประทานอภัยจึงเป็นปาง
ดั้งเดิมของพระพุทธรูป และมีความหมายว่า ภัยอันตรายจะไม่บังเกิดกับผู้ที่มีพุทธะเป็นสรณะ นอก
จากนั้นแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้ยังมีพระเมาลีทรงสูง ซึ่งสอดคล้องกับมหาบุรุษลักษณะประการที่ ๑ จาก
มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งให้ไว้ในคัมภีร์ ลลิตวิสตระ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เรียบเรียงจากคัมภีร์ของ
รูปที่ ๑.๑ ข. เหรียญพระพุทธรูปมีคำจารึก “พุทโธ” นิกายสรรวาสติวาส ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๖ – กลาง ๗ (คริสต์ศตวรรษที่ 1) คือช่วงระยะเวลา
ประดิษฐานอยู่อีกด้านหนึ่ง
เดียวกันกับเหรียญทองคำของพระเจ้ากนิษกะ โดยคัมภีร์ ลลิตวิสตระ กล่าวถึงลักษณะประการที่ ๑ ของ
ของเหรียญรูป
มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ว่า
พระเจ้าจักรพรรดิกนิษกะที่ ๑
(รูปที่ ๑.๑ ก.)
๑) อุษฺณีษศีรฺษะ มีพระเศียรเหมือนโพกผ้า หรือเหมือนสวมมกุฎ (เมาลี) คือ
พระเศียรสูง ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธประกอบด้วยมหาบุรุษ
ลักษณะนี้เป็นข้อต้น (ลลิตวิสตระ ๒๕๑๒, ๕๙๘)
พระพุทธรูปองค์นี้ยังครองจีวรห่มคลุม ทรงถือลูกบวบของชายจีวรไว้ในพระหัตถ์ซ้าย ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้
รับอิทธิพลมาจากรูปแบบการห่มผ้าพัลลิอุม (Pallium) ของจักรพรรดิโรมันในประติมากรรมที่สร้างขึ้นใน
รัชสมัยของจักรพรรดิ์ออกัสตุส (Augustus) (พ.ศ. ๕๒๑ – ๕๕๗ / ก่อนคริสต์กาล 23 – ค.ศ. 14)
(Rowland 1970, 127)
กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา ๑๗
ส่วนพระพุทธรูปที่มีจารึกว่า “พระภิกษุพล” สร้างถวายในปีที่ ๓ ของรัชกาลพระเจ้ากนิษกะ
(พ.ศ. ๖๖๖ / ค.ศ. 123) (Huntington 1985, 150 – 151) พบที่สารนาถ รัฐอุตตรประเทศ (รูปที่ ๑.๒ ก.)
เป็นพระพุทธรูปยืนแบบสกุลช่างมถุรา ซึ่งจากพุทธลักษณะ ปาง และครองจีวรห่มดอง มิได้เป็นพระพุทธ
ปฏิมาไม้แก่นจันทน์จำลอง หากแต่จำลองมาจากพระพุทธรูปต้นแบบองค์อื่น พระหัตถ์ขวาหักหายไป แต่
หากคงอยู่น่าจะแสดงปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายกำอยู่ที่พระโสณี ทรงครองจีวรห่มดอง จีวรด้าน
ซ้ายยกพาดที่พระกร จีวรเป็นริ้วบางมองเห็นขอบสบงด้านบนซึ่งคาดด้วยรัดประคด และจีบหน้านางของ
สบงระหว่างพระชงฆ์มีสิงห์นั่ง ซึ่งหมายถึง สิงห์แห่งราชวงศ์ศากยะ หรือพระศากยสิงห์ ซึ่งเป็น
พระนามที่เรียกพระพุทธเจ้าอีกพระนามหนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้ยังมีฉัตรกั้น ซึ่งด้านในของฉัตรสลักเป็น
รูปกลีบบัวที่ประกอบด้วยลายมงคลต่างๆ (รูปที่ ๑.๒ ข.)
อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่าของพระภิกษุเสวียนจั้ง ท่านได้เห็นพระพุทธปฏิมาไม้แก่นจันทน์
สามองค์ ซึ่งเป็นที่นิยมเคารพบูชาอย่างแพร่หลาย องค์หนึ่งในวิหารที่โกสัมพี ซึ่งพระเจ้าอุเทนเป็นผู้สร้าง
จำลองเพื่อเผยแผ่พระศาสนา องค์ที่สองอยู่ในเชตวันมหาวิหารที่สาวัตถี อันเป็นองค์ที่พระเจ้าปเสนทิ
ทรงสร้าง และองค์ที่สามอยู่ที่หันโม แคว้นโคฐาน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นองค์ดั้งเดิมที่แท้จริง (Soper 1959,
262) สันนิษฐานว่าพระพุทธปฏิมาเหล่านี้น่าจะมีพุทธลักษณะคล้ายกันหมด คือเป็นพระพุทธปฏิมายืน
พระหัตถ์ขวาหงายออกในท่าประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายทรงถือชายจีวร ครองจีวรคลุมพระอังสาทั้งสอง
รูปที่ ๑.๒ ก. พระพุทธรูป พระภิกษุพลสร้างในปีที่ ๓
ข้าง สบงจีบเป็นริ้วทั้งซ้ายขวา ดังเช่นพระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์ที่พบที่ ธเนสร์ เขระ (Dhanesar Khera) ใน
ของรัชกาลพระเจ้าจักรพรรดิกนิษกะที่ ๑
จังหวัดบันทะ (Banda) รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) (Middleton
(พ.ศ. ๖๖๖ / ค.ศ. 123)
2002, 67 – 72) ต่อมาจึงได้มีการขายทอดตลาดประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๓ (ค.ศ. 1920) และปรากฏว่าได้
ศิลาทรายสีแดง สูง ๒.๘๙ เมตร
Archaeological Museum Sa-rna-th
ไปเป็นสมบัติส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ท่านได้พระราชทานให้กับ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ (ค.ศ. 1928) (รูปที่ ๑.๓) (ศิลปากร ๒๕๓๖ ก, ๑๐๑)
จึงเป็นหนึ่งในไม่ถึง ๒๐ องค์ของพระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์จากสมัยราชวงศ์คุปตะ (พ.ศ. ๘๖๓ – ๑๐๙๓ /
ค.ศ. 320 – 550) ที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
พระพุทธปฏิมาจาก ธเนสร์ เขระ องค์นี้มีพุทธลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มพระพุทธปฏิมาศิลาที่
สลักขึ้นที่มถุรา (รูปที่ ๑.๔) ซึ่งน่าจะเป็นพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์จำลองเช่นกัน นอกจากนั้นแล้ว ความ
สำคัญของพระเจ้าแก่นจันทน์ที่พระเจ้าอุเทนทรงสร้างขึ้นที่โกสัมพีสะท้อนให้เห็นว่า นครโกสัมพีมีบทบาท
สำคัญในการเผยแพร่ความคิดนี้ภายใต้อิทธิพลของมถุรา (Soper 1959, 263) อันเป็นศูนย์กลางของ
นิกายสรรวาสติวาส ต่อมาในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – กลาง ๑๒ (คริสต์ศตวรรษที่ 6) นิกายนี้เป็น
ที่รู้จักกันในนามของ “มูลสรรวาสติวาส” และกลุ่มพระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์ของจีนที่หล่อขึ้นในช่วงปลาย
พุทธศตวรรษที่ ๑๐ ถึงต้น ๑๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 5) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแบบที่พระเจ้าอุเทนโปรดให้
สร้างขึ้น (รูปที่ ๑.๕) และจำลองมาจากพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ (Munsterberg 1967, 31) ถึงแม้ว่า
พระพุทธปฏิมาองค์ที่มีจารึกว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๐๒๐ (ค.ศ. 477) จะจารว่าเป็นพระไมเตรยะ
แต่พุทธลักษณะก็ยังเป็นพระศากยมุนีอยู่ดี (Snellgrove 1978, 209)
รูปที่ ๑.๒ ข. ฉัตรของพระพุทธรูปที่พระภิกษุพลสร้าง
ศิลาทรายสีแดง สูง ๓.๕๐ เมตร
Archaeological Museum Sa-rna-th
๑๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๑.๓ พระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์จำลอง
อินเดียสมัยราชวงศ์คุปตะ
พบที่ ธเนสร์ เขระ รัฐอุตตรประเทศ
ประเทศอินเดีย ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5)
สัมฤทธิ์ สูง ๑๐.๕ เซนติเมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา ๑๙
พระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ซึ่งพระเจ้าอุเทนทรงสร้างนั้น ใช่แต่จะมีความสำคัญในประเทศอินเดีย
และประเทศจีนเท่านั้น หากยังเป็นที่เคารพบูชาแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย และมีประวัติศาสตร์ที่
ยาวนานอีกเช่นกัน (Henderson and Hurvitz 1956, 5 - 55) อนึ่ง องค์ของจีนเคยประดิษฐานอยู่ที่กรุง
ปักกิ่งในวัด จัน ตัน ซู (Chan T’an Ssŭ) ที่จักรพรรดิกังไสสร้างถวาย จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๔๓
(ค.ศ.1900) จึงได้นำไปซ่อนไว้ที่วัดอีเกตุย (Egetui) ในเมืองอูลาน–อูเด (Ulan–Ude) ในสาธารณรัฐ
ปกครองตนเองบูเรียตียา (Buryatiya) ในประเทศรัสเซียจนถึงทุกวันนี้ (Terentyev 2007, [n.p.n.])
พระพุทธปฏิมาที่อาจจะจำลองมาจากพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ของพระเจ้าอุเทนที่สร้างขึ้นใน
ประเทศไทยพบน้อยมาก ตัวอย่างได้แก่ พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ยืน พระหัตถ์ขวาประทานอภัย พระหัตถ์ซ้าย
ถือชายจีวร ครองจีวรคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง (รูปที่ ๑.๖) ซึ่งพุทธลักษณะดังกล่าวสอดคล้องกับ
พระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ของพระเจ้าอุเทนทุกประการ เพียงแต่รูปแบบของพระพุทธปฏิมาองค์นี้ได้
วิวัฒนาการไปตามยุคสมัยและค่านิยมของท้องถิ่น ที่เน้นความสมดุลของจีวรที่แนบตามพระวรกาย และ
พระเมาลีเป็นทรงกรวย เป็นต้น พระพุทธรูปองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ปลาย
คริสต์ศตวรรษที่ 13) เมื่อคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะเป็นที่แพร่หลายในแคว้นกัมโพช และมีศูนย์กลางอยู่ที่
ละโว้หรือลพบุรีในปัจจุบัน (พิริยะ, กำลังจัดพิมพ์) เนื่องด้วยว่านิกายกัมโพชสงฆ์ปักขะนี้ ได้รับเอาคติ
ธรรมและความเชื่อจากมหายาน วัชรยาน และเถรวาทมาผสมกับขนบทางบาลี ก็เป็นไปได้ว่าพระ
พุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ของพระเจ้าอุเทนอันเป็นที่นิยมในลัทธิมหายาน จะนำมาสร้าง
ขึ้นในประเทศไทย
ส่วนพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสร้างที่สาวัตถีนั้น พระรัตนปัญญาเถระ
ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งแต่งขึ้นเป็นภาษาบาลี ที่นครเชียงใหม่ แล้วเสร็จใน
ปี พ.ศ. ๒o๗๑ (ค.ศ. 1528) ความว่า พระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์นั้นสร้างขึ้น ๗ ปีก่อนที่พระพุทธเจ้าจะ
เสด็จปรินิพพาน นอกจากนั้นแล้วยังกล่าวว่า กษัตริย์เมืองสุวรรณภูมิ ซึ่งน่าจะได้แก่ รามัญญเทศ หรือ
พม่าตอนใต้ (Jayawickrama 1968, 3) ได้อัญเชิญพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์มาบูชาในดินแดนของพระองค์
ต่อมาพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ยังได้ถูกอัญเชิญไปบูชาอีกหลายเมืองในล้านนา เช่น พะเยาและเชียงใหม่
ก่ อ นที่ จ ะนำมาประดิ ษ ฐานในอุ โบสถวั ด เจ็ ด ยอดที่ นครเชี ย งใหม่ ในปี พ.ศ. ๒o๖๘ (ค.ศ. 1525)
(รัตนปัญญาเถระ ๒๕o๑, ๑๔๕ - ๑๔๗)
พระรัตนปัญญาเถระมิได้ให้รายละเอียดว่า พระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์องค์นี้เป็นพระพุทธปฏิมา
ประทับหรือพระพุทธปฏิมายืน แต่ ตำนานพระแก่นจันทน์ กล่าวว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่สลักขึ้นจาก
ไม้แก่นจันทน์แดง โดยให้สัดส่วนของพระพุทธปฏิมาซึ่งคาดคะเนได้ว่าน่าจะเป็นพระพุทธปฏิมาแบบ
ประทับ (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๗๑) เช่น แท่นสูง ๖ องคุลี (๑๒ เซนติเมตร) พระองค์สูง ๒๒ องคุลี
(๔๔ เซนติเมตร) หน้าตักกว้าง ๒๒ องคุลี (๔๔ เซนติเมตร) พระอังสากว้าง ๒๓ องคุลี (๔๗ เซนติเมตร)
(Penth 1994, 169) แต่ พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) กลับระบุว่า “เป็น
พระพุทธรูปยืน มีแท่นสูง ๖ นิ้ว พระองค์สูง ๒๒ นิ้ว วัดรอบพระองค์ได้ ๒๓ นิ้วกึ่ง” (ประชากิจกรจักร์
๒๔๗๘, ๓๕๑) เป็นไปได้ว่ามีการสับสนระหว่างพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล กับ
พระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ที่พระเจ้าแสนพู กษัตริย์ล้านนาทรงสร้างขึ้นที่เวียงแสนน้อย ใกล้สบกก ซึ่งเป็น
พระพุทธปฏิมายืน (รัตนปัญญาเถระ ๒๕o๑, ๙๖) อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ที่
กล่าวถึงข้างต้นทั้งสององค์นี้มีพุทธลักษณะเป็นอย่างไรและปัจจุบันอยู่ที่ใด
ดังนั้น พระพุทธปฏิมา ซึ่งหมายถึงรูปเปรียบหรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า พระพุทธปฏิมา
จึงเป็นรูปจำลองของพระพุทธรูป และก็เป็นรูปจำลองของพระพุทธปฏิมาที่จำลองสืบต่อๆ กันมา ดัง
เห็นได้จากการที่พระพุทธปฏิมาจำนวนมากมีพุทธลักษณะที่คล้ายกัน โดยมูลเหตุที่ทำให้คล้ายกันนั้น
มิได้มาจากการสร้างพระพุทธรูปในแต่ละยุคสมัย แต่ทว่ามาจากความต้องการของพุทธศาสนิกชนที่จะ
จำลองพุทธลักษณะของพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และมุ่งสืบทอดพุทธลักษณะของพระพุทธรูป
ซึ่งเป็นต้นแบบไว้ให้ได้มากที่สุด ดังเช่นการจำลองพระพุทธรูปแก่นจันทน์ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
๒๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๑.๖ พระพุทธปฏิมาแบบพระเจ้าอุเทน
ไม่ทราบที่มา ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13)
สัมฤทธิ์ สูง ๒๘ เซนติเมตร
สมบัติส่วนบุคคล
กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏิมา ๒๑
แผ่นศิลาภาพพระพุทธเจ้า ๘ ปาง (รูปที่ ๒.๑๗ ก.)
Archaeological Museum, Sa-rna-th
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที่
๒
พระพุทธลักษณะ พระอิริยาบถ และปาง
๑. พระพุทธลักษณะ
มหาบุรุษลักษณะ
คัมภีร์ ลลิตวิสตระ พระพุทธประวัติภาษาสันสกฤตซึ่งเรียบเรียงจากคัมภีร์ของ
นิกายสรรวาสติวาส (Keown 2003, 153) แปลเป็นภาษาจีนเมื่อประมาณกลางพุทธ
ศตวรรษที่ ๖ – กลาง ๗ (คริสต์ศตวรรษที่ 1) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับมหาปุริสลักษณะ
หรือมหาบุรุษลักษณะ ซึ่งหมายถึงลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ
(อวัยวะส่วนปลีกย่อย) อีก ๘๐ ประการ ที่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้านั้นแตกต่างจาก
บุคคลทั่วไป แม้แต่พระจักรพรรดิราช เช่นใด
มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ได้แก่
(๑) อุษฺณีษศีรฺษะ พระเศียรรูปเหมือนโพกผ้า หรือเหมือนสวมมกุฎ (เมาลี)
คือพระเศียรสูง
(๒) ภินฺนาญฺชนมยูรกลาปาภินีลวลฺลิตปฺรทกฺษิณาวรฺตเกศะ
พระเกศาแยกเส้นกันสีเขียวเข้มเหมือนสียาป้ายขอบตาหรือสีดอกอัญชัน
หรือสีโคนหางนกยูง ขมวดเวียนขวา
(๓) สมวิปุลลลาฏะ พระนลาฏ (หน้าผาก) กว้างเรียบ
(๔) อูรฺณาภฺรุโวมเธฺยชาตาหิมรชตปฺรกาศา ขนอ่อนเกิดที่หว่างคิ้ว (อุณาโลม)
สีขาวเหมือนน้ำค้างหรือเงินยวง
(๕) โคเปกฺษมเนตระ พระเนตรมีขอบเหมือนขอบตาวัว
(๖) อภินีลเนตฺระ พระเนตรสีเขียวเข้ม
(๗) สมจตฺวารึศทฺทนฺตะ มีพระทนต์ (ฟัน) ๔๐ ซี่ เท่าๆ กัน
(๘) อวิรลทนฺตะ ซี่พระทนต์ชิดกัน
(๙) ศุกฺลทนฺตะ พระทนต์ขาวสะอาด
(๑๐) พฺรหฺมสฺวร มีเสียงไพเราะเหมือนเสียงแห่งพรหม
(๑๑) รสรสาคฺรวานฺ ปลายพระชิวหารู้รสไว
(๑๒) ปฺรภูตตนุชิหฺวะ พระชิวหาแผ่ออกได้มาก
(๑๓) สีหหนุ พระหนุ (คาง) เหมือนคางราชสีห์
(๑๔) สุสํวฺฤตฺตสฺกนฺธะ มีพระวรกายสำรวมอินทรีย์เป็นอย่างดี
(๑๕) สปฺโตตฺสทะ มีพระมังสา (กล้ามเนื้อ) อูมนูน ๗ แห่ง
(๑๖) จิตานฺตรำสะ พระอังสา (ไหปลาร้า) มีเนื้อเต็ม
(๑๗) สูกฺษม สุวรฺณรฺณจฺฉวิ พระฉวี (ผิว) ละเอียดมีสีเหมือนสีทอง
(๑๘) สฺถิโต’ นวนตปฺรลมฺพพาหุ พระวรกายยืนตรงไม่คดค้อม
พระพาหา (แขน) ยาว
(๑๙) สึหปูรฺวารฺธกายะ พระวรกายท่อนบนเหมือนท่อนบนของราชสีห์
(๒๐) นฺยโครธปริมณฺฑโล มีปริมณฑลเหมือนปริมณฑลของต้นไทร
(๒๑) เอไกกโรมา มีพระโลมา (ขน) ขุมละเส้น
๒๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
(๒๘) สุวิภกฺตคาตฺระ พระวรกายได้ส่วนสัดดี
(๒๙) ปฺฤถุวิปุลสุปริปูรฺณชานุมณฺฑละ พระชานุมณฑล (ตัก) หนา กว้าง เต็ม
เป็นอันดี
(๓๐) วฺฤตฺตคาตฺระ พระวรกายกลม
(๓๑) สุปริมฺฤษฺฏคาตฺระ พระวรกายเกลี้ยงเกลาดี
(๓๒) อชิหฺมวฺฤษภคาตฺระ พระวรกายเหมือนโคเพศผู้
(๓๓) อนุปูรฺวคาตฺระ พระวรกายเรียวไปเป็นลำดับ
(๓๔) คมฺภีรนาภิ พระนาภีลึก
(๓๕) อชิหฺมนาภิ พระนาภีไม่บิดเบี้ยว
(๓๖) อนุปูรฺวนาภิ พระนาภีมีกลีบเป็นชั้น ๆ ลึกลงไปโดยลำดับ
(๓๗) ศุจฺยาจาระ พระจริยาวัตรเป็นระเบียบและพระมารยาทงดงาม
(๓๘) ฤษภวตฺสมนฺตปฺราสาทิกะ พระจริยาวัตรงามเหมือนโคเพศผู้
(๓๙) ปรมสุวิศุทฺธวิติมิราโลกสมนฺตปฺรภะ พระวรกายบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือน
ดวงอาทิตย์ฉายแสงในที่มืด
(๔๐) นาควิลมฺพิตคติ ทรงพระดำเนินแช่มช้อยเหมือนช้างเดิน
(๔๑) สึหวิกฺรานฺตคติ ทรงย่างกรายองอาจเหมือนสิงห์
(๔๒) ฤษภวิกฺรานฺตคติ ทรงย่างกรายองอาจเหมือนโคเพศผู้
(๔๓) หํสวิกฺรานฺตคติ ทรงย่างกรายละมุนละม่อมเหมือนหงส์ย่างก้าว
(๔๔) อภิปฺรทกฺษิณาวรฺตคติ ทรงพระดำเนินมีมรรยาทแสดงท่าเคารพอย่างดียิ่ง
(๔๕) วฺฤตฺตกุกฺษิ พระอุทร (ท้อง) กลม
(๔๖) มฺฤษฺฏกุกฺษิ พระอุทรเกลี้ยงเกลา
(๔๗) อชิหฺมกุกฺษิ พระอุทรไม่คดค้อม
(๔๘) จาโปทระ พระอุทรนูนโค้งเหมือนคันธนู
(๔๙) วฺยปคตฉนฺทโทษะนีลกาลกาทุษฺฏศรีระ พระวรกายปราศจากเครื่อง
ทำให้รัก และเครื่องทำให้ชัง (คือปราศจากเครื่องประทินโฉมเสริมสวย
และสิ่งเปรอะเปื้อน) และปราศจากเครื่องประทุษร้ายผิว คือ ปานและไฝ
(๕๐) วฺฤตฺตทํษฺฏระ พระทาฐะ (เขี้ยว) ซี่กลม
(๕๑) ตีกฺษณทํษฺฏฺระ พระทาฐะคม
(๕๒) อนุปูรฺวทํษฺฏระ พระทาฐะเรียวเป็นลำดับ
(๕๓) ตุงคนาสะ พระนาสิก (จมูก) โด่ง
(๕๔) ศุจินยนะ พระเนตรแจ่มใสสะอาด
(๕๕) วิมลนยนะ พระเนตรไม่ขุ่นมัว
(๕๖) ปฺรหสิตนยนะ พระเนตรยิ้มแย้มร่าเริง
(๕๗) อายตนยนะ พระเนตรยาว
(๕๘) วิศาลยนะ พระเนตรกว้าง
(๕๙) นีลกุวลยทลสทฺฤศนยนะ พระเนตรเหมือนกลีบบัวเขียว
(๖๐) สหิตภฺรู พระขนง (คิ้ว) ดก
(๖๑) จิตฺรภฺรู พระขนงงาม
(๖๒) อสิตภฺรู พระขนงดำ
(๖๓) สํคตภฺรู พระขนงต่อกัน
(๖๔) อนุปูรวภฺรู พระขนงเรียวเป็นลำดับ
(๖๕) ปีนคณฺฑะ พระกโปล (แก้ม) เต็ม
(๖๖) อวิษมคณฺฑะ พระกโปลเท่ากันทั้งสองข้าง
(๖๗) วฺยปคตคณฺฑโทษะ พระกโปลปราศจากโทษ (คือไม่เป็นริ้วรอยสิวฝ้า)
(๖๘) อนุปหตกฺรุษฺฏะ ไม่แสดงพระพักตร์เหี้ยมเกรียม
๒๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
(๑๓) เอเกกโลโม พระโลมชาติขุมละเส้นๆ เสมอไปทุกขุมขน
(๑๔) อุทฺธคฺคโลโม พระโลมชาติล้วนมีปลายขึ้นเบื้องบนทุกเส้น
สีเขียวประหนึ่งสีดอกอัญชัญขดเป็นกุณฑลทักขิณาวัฏเวียนขวา
(๑๕) พฺรหฺมุชุคตฺโต พระวรกายตรงดังกายพรหม
(๑๖) สตฺตุสฺสโท พระมังสะในที่ ๗ สถาน คือหลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ หลังพระบาท
ทั้ง ๒ จะงอยพระอังสาทั้ง ๒ และพระศอฟูบริบูรณ์เต็มด้วยดี
(๑๗) สีหปุพฺพฑฺฒกาโย ส่วนพระวรกายเบื้องหน้าดังกึ่งกายเบื้องหน้าแห่งราชสีห์
(๑๘) ปีตนฺตรํโส ระหว่างแห่งพระปฤษฎางค์ (แผ่นหลัง) อันเต็มไม่เป็นร่อง
ดังทางไถดังมีในกายแห่งสามัญชน
(๑๙) นิโครธปริมณฑโล ปริมณฑล (วงรอบ) ดังไม้นิโครธพฤกษ์
พระวรกาย (ความสูง) กับวา (ช่วงระยะกางแขน) ของพระองค์เท่ากัน
(๒๐) สมวฏฺฎกฺขนฺโธ มีลำพระศอกลมเสมอ
(๒๑) รสคฺคสคฺคี เอ็น ๗๐๐ ที่ สำหรับนำไปซึ่งรสอาหารมาสวมรวมประชุม
ณ พระศอ
(๒๒) สีหหนุ พระหนุ (คาง) ดั่งคางราชสีห์บริบูรณ์ดีประหนึ่งวงพระจันทร์
ในวัน ๑๒ ค่ำ
(๒๓) จตฺตาฬีสทนฺโต พระทนต์ (ฟัน) ครบ ๔๐ ทัศ (ซี่)
(๒๔) สมทนฺโต พระทนต์เสมอ ไม่ลักลั่น ยาวสั้นดังสามัญมนุษย์
(๒๕) อวิรฬทนฺโต พระทนต์ไม่ห่าง ชิดสนิทเป็นอันดี
(๒๖) สุสุกฺกทาโฐ พระทาฐะ คือพระเขี้ยวอันขาวงาม
(๒๗) ปหุตชิวฺโห พระชิวหา (ลิ้น) อันพอ คือ อ่อนและกว้างใหญ่ อาจแผ่ปก
พระนลาฏมิดและจะห่อให้เล็กสอดในช่องพระนาสิกและช่องพระโสตได้
(๒๘) พฺรหฺมสฺสโร กรวิกภาณี พระสุรเสียงก้องกังวานดังเสียงพรหม
เมื่อจะตรัสมีสำเนียงดังนกการวิก
(๒๙) อภินีลเนตฺโต พระเนตรเขียวสนิทในที่ควรจะเขียว
(๓๐) โคปมุโข ดวงพระเนตรดังตาแห่งโค
(๓๑) อุณฺณา ภมุกนฺตเร ชาตา พระอุณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างแห่งพระขนง
(๓๒) อุณหิสสีโส พระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์เจ้ามีพระเศียรได้มีรูปทรงงดงาม
ดุจประดับด้วยอุณหิสกรอบพระพักตร์
(ปฐมสมโพธิ ๒๕๐๘, ๑๘ – ๒๑)
มหาปุริสลักษณะ หรือมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ที่กล่าวถึงใน ลักขณสูตร นั้นมีความสำคัญ
ต่อพระพุทธปฏิมาไทยเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อชาวไทยรับนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกาเข้ามา
เมื่อกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14) ก็ได้ปรับเปลี่ยนมหาบุรุษลักษณะบางประการที่มี
มาแต่อดีต ให้สอดคล้องกับมหาปุริสลักขณะของบาลี จนกลายเป็นอัตลักษณ์ของพระพุทธปฏิมาไทย
๒๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๒.๗ พระอิริยาบถไสยาสน์
๓๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ปางสมาธิ (ธยานมุทรา)
พระหัตถ์ทั้งสองข้างหงายขึ้นวางซ้อนกันบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาซ้อนบนพระหัตถ์ซ้าย (รูป
ที่ ๒.๑๐ ก.) ประทับขัดสมาธิเพชร ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย และประทับขัดสมาธิราบทางภาค
ใต้ของอินเดีย ลังกา และไทย เป็นสัญลักษณ์ของการทำสมาธิ เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงทำสมาธิ
ก่อนตรัสรู้ โดยทรงบรรลุญาณ ๓ ประการ ตามลำดับ คือ ระลึกชาติได้ รู้เรื่องเกิดและตายทั้งของ
พระองค์เองและของผู้อื่นได้ และรู้แจ้งในสัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และทรงตรัสรู้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ไขศรี 1996, ๗๖)
ในรัฐอานธรประเทศ ทางตอนใต้ของอินเดียและลังกา นิยมสร้างรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประทับขัดสมาธิราบบนขนดลำตัวของพระยานาคที่กำลังแผ่พังพานอยู่เหนือพระเศียร ซึ่งอาจจะหมายถึง
มุจลินทนาคราช ที่กำลังแผ่พังพานเพื่อป้องกันพายุฝนให้กับพระพุทธองค์ ในระหว่างที่ทรงทำสมาธิเสวย
วิมุตติสุข ในสัปดาห์ที่ ๖ หลังจากทรงตรัสรู้แล้ว
รูปที่ ๒.๑๐ ก. ปางสมาธิ คันธาราษฎร์
ภายใต้ลัทธิวัชรยาน พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ เป็นรูปจำลองของพระ
อมิตาภพุทธะ (รูปที่ ๒.๑๐ ข.) พระชินพุทธะประจำทิศตะวันตก
ปางประทานพร (วรมุทรา)
พระกรขวาทอดลงข้างพระปรัศว์ หงายฝ่าพระหัตถ์ออกไปทางด้านหน้า (รูปที่ ๒.๑๑ ก.) เป็น
ปางที่นิยมในสมัยราชวงศ์คุปตะ และมักจะพบอยู่ภายในศาสนสถานที่สลักเป็นถ้ำ ในรัฐมหาราษฎร์ นิยม
สร้างปางประทานพรทั้งในพระอิริยาบถแบบยืนตรง (สมภังค์) หรือยืนเอียงพระวรกาย (ตริภังค์)
แต่ที่สร้างขึ้นภายใต้ลัทธิวัชรยาน จะปรากฏเป็นพระอิริยาบถแบบประทับขัดสมาธิเพชร เป็น
รูปจำลองของพระรัตนสัมภวะ (รูปที่ ๒.๑๑ ข.) พระชินพุทธะประจำทิศใต้
รูปที่ ๒.๑๓ ปางอุ้มบาตร ปาละ - เสนะ พุทธคยา
รูปที่ ๒.๑๔ ปางปรินิพาน คุปตะ อชัญฏา ถ้ำหมายเลข ๒๖
๓๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๒.๑๕ ก. ปางแสดงธรรม ลังกาสมัยอนุราธปุระ
รูปที่ ๒.๑๕ ข. ปางแสดงธรรมด้วยสองพระหัตถ์
พระอมิตาภพุทธะ
ปางแสดงธรรม (วิตรรกมุทรา)
พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ จีบพระอังคุฐกับพระดัชนีเข้าด้วยกัน (รูปที่ ๒.๑๕ ก.) อัน
เป็นสัญลักษณ์ของคาถาอริยสัจ “เย ธมฺมาฯ” ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ความว่า
เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต (อาห)
เตสํ จ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณติ.
แปลได้ความดังต่อไปนี้
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น
และความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้
(ยอร์ช เซเดส์ ๒๕๐๗, ๓๙ – ๔๐)
ปางแสดงธรรมเป็นที่นิยมในรัฐอานธรประเทศ และที่ลังกาสมัยอนุราธปุระ ในช่วงกลางพุทธ
ศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๓ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 – กลาง 8)
เมื่อลัทธิมหายานนิกายสุขาวดีเป็นที่แพร่หลายขึ้นในประเทศจีน ซึ่งส่งอิทธิพลมายังประเทศ
ไทย จึงนิยมสร้างพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างแสดงธรรม (รูปที่ ๒.๑๕ ข.) อันเป็นลักษณะ
เฉพาะของพระอมิตาภพุทธะ
ปางรำพึง
พระกรทั้งสองข้างไขว้กันหน้าพระอุระ พระหัตถ์ขวาแตะพระพาหา (ต้นแขน) ซ้าย พระหัตถ์
ซ้ายแตะพระพาหาขวา อยู่ในพระอิริยาบถยืน ปางนี้เกิดขึ้นที่ลังกา เมื่อครั้งกรุงโปโลนนารุวะเป็นราชธานี
อันมีตัวอย่างคือ พระพุทธรูปปางรำพึงศิลาสลักขนาดใหญ่ (รูปที่ ๒.๑๖) ที่วัดอุตตราราม หรือคัลวิหาร
รูปที่ ๒.๑๖ ปางรำพึง ลังกาสมัยโปโลนนารุวะ
ในปัจจุบัน ซึ่งพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ ทรงสร้างขึ้น (พ.ศ. ๑๖๙๖ – ๑๗๒๙ / ค.ศ. 1153 – 1186)
กัลวิหาร โปโลนนารุวะ
(ปรีชา ๒๕๔๑, ๑๖๒ – ๑๖๓)
๓๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๒.๑๗ ก. แผ่นศิลาภาพพระพุทธเจ้า ๘ ปาง
กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5)
Archaeological Museum, Sa-rna-th
๓๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ดังนั้นการบูชาพระเคราะห์ที่เสวยอายุโดยนำเอาพระพุทธรูปปางต่างๆ มาผสม
ผสานกับความเชื่อถือทางโหราศาสตร์จึงเป็นการประยุกต์ขึ้นใหม่ ทำให้ได้มี
โอกาสบูชาพระพุทธรูปไปด้วย เป็นอุบายอันชาญฉลาดที่จะชักนำพุทธศาสนิกชน
ไม่ให้หลงใหลในทางไสยศาสตร์จนเกินไป (ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๑, ๙)
พระพุทธปฏิมาปางที่นิยมในประเทศไทย ได้แก่ ปางพระพุทธปฏิมาประจำวันชะตา ซึ่งโหรได้
กำหนดไว้ตามดาวนพเคราะห์ หรือดาวพระเคราะห์ทั้ง ๙ สำหรับบูชาดาวพระเคราะห์ประจำวันเกิด เพื่อ
เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และดลบันดาลในสิ่งที่ตนปรารถนา ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ
ปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ดังนี้
• พระอาทิตย์ พระถวายเนตร์
• พระจันทร์ พระห้ามสมุท
• พระอังคาร พระไสยาศน์
• พระพุทธ พระอุ้มบาตร
• พระพฤหัสบดี พระสมาธิ
• พระสุกร พระรำพึง
• พระเสาร์ พระนาคปรก
• พระราหู พระป่าเลไลย
• พระเกษ พระสมาธิเพชร์
(ตำราพระพุทธรูปปางต่างๆ ๒๕๓๔, ๓๙)
ปางถวายเนตร
เป็นปางพระพุทธปฏิมาประจำวันอาทิตย์ ได้แก่ พระพุทธปฏิมาในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์
รูปที่ ๒.๑๘ ปางถวายเนตร วันอาทิตย์
ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้าย ประสานพระหัตถ์ที่หน้าพระเพลา (รูปที่ ๒.๑๘) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงบัญญัตินามพระพุทธรูปยืนพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายหน้าพระเพลาว่า
“ปางถวายเนตร” เป็นปางที่ ๖ ใน ๓๒ ปาง ของ ตำนานพระปางต่างๆ (ปรมานุชิตชิโนรส ๒๕๑๐, ๒)
โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติตอนที่กล่าวว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้บรรลุโพธิญาณ ทรง
เสด็จมายืนอยู่ ณ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์และรัตนบัลลังก์พอสมควร
พระองค์ทรงลืมพระเนตรทั้งสองข้างเพ่งมองอยู่มิได้กะพริบ ทรงพิจารณาสถานที่แห่งนั้น อันเป็นเหตุให้
พระองค์ได้ตรัสรู้
ปางห้ามสมุทร
เป็นปางพระพุทธปฏิมาประจำวันจันทร์ ได้แก่ พระพุทธปฏิมาในพระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์
ทั้งสองข้างเสมอพระอุระ หงายฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองไปทางด้านหน้า (รูปที่ ๒.๑๙) เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อ
ปี พ.ศ. ๒๓๗๔ (ค.ศ. 1831) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นยังไม่มีข้อยุติว่าปาง
“ที่ยกพระหัตถ์เดียวหรือสองพระหัตถ์เป็นปางห้ามสมุทรกันแน่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
[เมื่อครั้งทรงผนวชเป็นพระวชิรญาณเถระ] ได้ทรงตัดสินไว้ว่ายกสองพระหัตถ์” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๔๙๖, ๖๖) “ปางห้ามสมุทร” จึงหมายถึง พระพุทธรูปยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างประทานอภัยตั้งแต่นั้นมา
โดยความในพระพุทธประวัติเล่าว่า เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์เพื่อทำลายทิฐิมานะของ
พวกชฎิล ในคืนที่ฝนตกหนักและน้ำท่วมสูง พระพุทธองค์เสด็จเดินจงกรมในกลางแจ้ง โดยที่น้ำไม่ท่วม
พระวรกาย และไม่ทรงเปียกฝนแต่อย่างใด
ปางไสยาสน์ หรือปางปรินิพพาน
เป็นปางพระพุทธปฏิมาประจำวันอังคาร (รูปที่ ๒.๒๐) ด้วยเหตุว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จปรินิพพาน “ที่พระแท่นศิลา ระหว่างนางรังทั้งคู่ ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ในวันอังคาร
ปีมะเส็ง เพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๑ ปี” (อริยกวี ๒๕๐๔, ๑๕ – ๑๖) แต่ไทยไม่ถือว่าปางนี้เป็นปาง
ปรินิพพาน เป็นแค่ทรงบรรทมคอยอสุรินทราหู เมื่อเกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคา ดังโคลงพระ
พุทธไสยาสน์ วัดป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ปี พ.ศ. ๒๒๗๐
(ค.ศ. 1727) ว่า
ขอพรพุทธภาคย์ให้ ไสยา
อสุรินทรจินตยามา ไฝ่เฝ้า
ขอจงองค์จักรา สุรภาพ
เกษมสานต์บานจิตตเช้า ค่ำคล้อย นิจการ
(Griswold and Nฺa Nagara 1970, 195)
แสดงให้เห็นว่า พระพุทธไสยาสน์นั้นเป็นที่นิยมชมชื่นในสมัยอยุธยาตอนปลาย และรู้จักกันใน
ชื่อ “ปางอสุรินทรราหู” ความว่า เมื่อพระพุทธองค์ประทับในเวฬุวันมหาวิหาร อสุรินทรราหู อุปราชของ
ท้าวเวปฐิตติสุรบดินทร์ ผู้ครองอสุรพิภพ คุกคามพระจันทร์ (จันทรุปราคา) และพระอาทิตย์ (สุริยุปราคา)
พระพุทธองค์จึงต้องตรัสพระคาถาโปรดอสุรินทราหู อสุรินทราหูจึงยอมปล่อยพระอาทิตย์และพระจันทร์
(ไขศรี 1996, ๙๕ – ๙๖)
ปางคันธารราษฎร์ หรือปางขอฝน
อนุโลมให้เป็นปางของพระพุทธปฏิมาประจำวันอังคาร สืบเนื่องจากที่พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกพระพุทธปฏิมาปางคันธารราษฎร์ ให้เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
(พระพุทธรูปประจำวันเกิด) คือ วันอังคาร แทนพระไสยาสน์
ปางคันธารราษฎร์ ได้แก่ พระพุทธปฏิมาในพระอิริยาบถประทับ หรือยืนก็ได้ พระหัตถ์ขวายก
ขึ้นแสดงกิริยาอาการกวัก พระหัตถ์ซ้ายหงายออกประหนึ่งว่ารองรับน้ำฝน (รูปที่ ๒.๒๑)
๓๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ปางอุ้มบาตร
เป็นปางพระพุทธปฏิมาประจำวันพุธกลางวัน (รูปที่ ๒.๒๒) ไทยนิยมทำเป็นพระพุทธปฏิมายืน
พระหัตถ์ทั้งสองข้างถือบาตร สืบเนื่องจากเมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ พระประยูรญาติ
มิได้กราบทูลให้ไปรับบิณฑบาต พระพุทธองค์จึงเสด็จบิณฑบาตด้วยพระองค์เอง เป็นปางที่ ๑๘ ใน
ตำนานพระปางต่างๆ ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์ขึ้น (ปรมานุชิตชิโนรส
๒๕๑๐, ๓)
ปางสมาธิ
เป็นปางพระพุทธปฏิมาประจำวันพฤหัสบดี ได้แก่ พระพุทธปฏิมาในพระอิริยาบถประทับ
ขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายบนพระเพลา (รูปที่ ๒.๒๓)
ปางรำพึง
เป็นปางพระพุทธปฏิมาประจำวันศุกร์ ได้แก่ พระพุทธปฏิมาในพระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์
ทั้งสองข้างประสานกันที่หน้าพระอุระ พระหัตถ์ขวาทับบนพระหัตถ์ซ้าย (รูปที่ ๒.๒๔) พระพุทธปฏิมา
ปางรำพึง เป็นปางที่ ๑๓ ใน ๓๒ ปางของ ตำนานพระปางต่างๆ ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ
ปรมานุชิตชิโนรสทรงพระนิพนธ์ไว้ มีใจความว่า หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
ทรงประทับเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นไทร ทรงรำพึงปริวิตกว่าพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นละเอียดอ่อนลึกซึ้ง
ยากที่ผู้คนทั่วไปจะเข้าใจได้ จึงทรงท้อแท้พระทัยถึงกับทรงดำริว่าจะไม่แสดงธรรมนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม
และเทพยดาทั้งหลาย จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ณ ที่ประทับ และกราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดง
ธรรมโปรดสัตว์โลกทั้งหลาย (เรื่องเดียวกัน, ๓)
รูปที่ ๒.๒๒ ปางอุ้มบาตร วันพุธกลางวัน
๔๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๒.๒๘ ปางพิจารณาชราธรรม
รูปที่ ๒.๒๙ ปางประดิษฐานรอยพระบาท
๔.๒ พระพุทธปฏิมาปางอื่นๆ
ปางพิจารณาชราธรรม
เป็นพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางอยู่ที่พระชานุทั้งสอง (รูปที่
๒.๒๘) ซึ่งเป็นปางที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงคิดประดิษฐ์ขึ้นในชื่อ “พระ
สำแดงชราธรรม” (ตำราพระพุทธรูปปางต่างๆ ๒๕๓๔, ๗๒) ซึ่งเป็นปางที่ ๓๐ ในจำนวน ๓๒ ปาง ที่
กล่าวถึงในตำนานพระปางต่างๆ ทรงมีพระวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นตอนที่ พระพุทธองค์ทรงเจริญชันษาล่วง
ได้ ๘๐ บริบูรณ์ ทรงพระประชวรหนัก แต่พยายามขับไล่อาพาธนั้นให้สงบด้วยความเพียรอิทธิบาท ครั้น
ออกจากอาการประชวร แล้ว จึงทรงแสดงชราธรรมแก่พระอานนท์ให้เห็นสัจธรรมแห่งสังขารมนุษย์
(เรื่องเดียวกัน, ๖)
ปางประดิษฐานรอยพระบาท
เป็ น พระพุ ท ธปฏิ ม ายื น พระบาทซ้ า ยเหยี ย บหลั ง พระบาทขวาในท่ า ประทั บ รอยพระบาท
พระกรและพระหัตถ์ทั้งสองข้างทอดขนานกับพระอูรุ (โคนขา) (รูปที่ ๒.๒๙) เรียกว่าปางประดิษฐาน
รอยพระบาท ตาม ตำนานพระปางต่างๆ ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรง
พระนิพนธ์ไว้ใน (ปรมานุชิตชิโนรส ๒๕๑๐, ๕) สืบเนื่องจากที่พระยานาคทูลขอให้เหยียบรอยพระบาทไว้
ริมฝั่งแม่น้ำที่ชื่อ นัมนา จึงทรงเหยียบรอยพระบาทไว้บนแท่นศิลา ประหนึ่งกดลงบนดินเปียก
ปางประทานพร
พระพุทธรูปยืน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย ห้อยพระหัตถ์ซ้ายแนบข้างพระชงฆ์ หงายฝ่า
พระหัตถ์ออก ได้แก่ ปางประทานพรของไทย (รูปที่ ๒.๓๐) (เรื่องเดียวกัน, ไม่มีเลขหน้า)
๔๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
อนึ่ง หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ สันนิษฐานว่าพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายหงายฝ่าพระหัตถ์
ออกด้านหน้า น่าจะเรียกว่า “ปางห้ามญาติ” เช่นเดียวกับพระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ขวา (บริบาลบุรีภัณฑ์
๒๕๓๑, ๒๕๕) โดยให้เหตุผลว่า จิตรกรรมฝาผนังภาพพุทธประวัติ ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติ พระนคร (รูปที่ ๒.๓๓) ซึ่งเขียนขึ้นมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตอนที่
พระองค์ทรงห้ามพระญาติฝ่ายศากยะและฝ่ายโกสิยะ ที่กำลังแย่งน้ำในแม่น้ำโรหินี ในภาพแสดง
พระพุทธองค์ยืนตรงกลางของพระญาติทั้งสองฝ่าย พระหัตถ์ซ้ายแสดงปางประทานอภัย พระหัตถ์ขวา
ทอดข้างพระเพลา อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าปางนี้น่าจะเรียกว่า ปางห้ามพระแก่นจันทน์
ปางเปิดโลก
พระพุทธปฏิมายืนห้อยพระกรลงข้างพระปรัศว์ (สีข้าง) กางพระหัตถ์ทั้งสองออกทางด้านข้าง
(รูปที่ ๒.๓๔) เป็นปางที่ ๒๑ จาก ๓๒ ปางของ ตำนานพระปางต่างๆ ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงอธิบายไว้ว่า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจาก
รูปที่ ๒.๓๓ พระพุทธองค์ทรงห้ามพระญาติฝ่ายศากยะ
เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาแล้ว “ทรงยืนกางพระหัตถ์ทั้งสองเปิดโลก” (ปรมานุชิตชิโนรส ๒๕๑๐, ๔)
และฝ่ายโกสิยะ แย่งน้ำในแม่น้ำโรหินี
เขียน พ.ศ. ๒๓๓๘ - ๒๓๔๐
(ค.ศ. 1795 - 1797)
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
ส่วนพระพุทธรูป ๓๗ ปาง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส “ทรงตรวจพระอิริยาบถของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีปรากฏมาใน
พระคัมภีร์ต่างๆ จะมีสักกี่อย่างกี่ปาง ในเวลานั้นตรวจกันได้ว่ามี ๓๗ ปาง เป็นเวลาเดียวกับที่พบ
แหล่งแร่ทองแดงที่เมืองจันทึก จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูปปางต่างๆ นั้นไว้ทั้ง ๓๗ ปาง”
(จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๒๓๖) ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จ พระพุทธรูปทั้ง ๓๗ ปางจะถูกอัญเชิญไป
ประดิษฐานในงานพระราชพิธีต่างๆ นั้น (ดูรูปที่ ๓.๙ (๑) – (๓๔), ต. ๑๐ - ต. ๑๒) เป็นการสร้างพระ
พุทธรูปางต่างๆ ให้เข้ากับเหตุการณ์ในพุทธประวัติ ซึ่งก็คือการสร้างภาพให้สอดคล้องกับท้องเรื่อง
ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรณีพิเศษในประวัติของพระพุทธปฏิมาปางต่างๆ ในประเทศไทย
ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมาปางต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น จะไม่ครอบคลุมทุกปางที่สร้างขึ้นใน
ประเทศไทย แต่ก็เป็นปางหลักที่สืบทอดกันลงมาจากอดีตถึงปัจจุบัน และปางที่มิได้กล่าวถึงในบทนี้ส่วน
ใหญ่เป็นปางที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งมีผู้ศึกษาไว้โดยละเอียดแล้ว (ไขศรี 1969) ฉะนั้น
จึงจะไม่กล่าวถึง ณ ที่นี้
การศึกษาพระพุทธปฏิมาแต่ละปางจะศึกษาตามพระอิริยาบถหลักทั้ง ๖ อันได้แก่
บทที่ ๕ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
บทที่ ๖ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
บทที่ ๗ พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท
บทที่ ๘ พระพุทธปฏิมายืน
บทที่ ๙ พระพุทธปฏิมาลีลา
บทที่ ๑๐ พระพุทธปฏิมาไสยาสน์
บทที่ ๑๑ พระพุทธปฏิมาปางอื่น ๆ
รูปที่ ๒.๓๔ ปางเปิดโลก
ซึ่งในแต่ละพระอิริยาบถ ยกเว้นไสยาสน์ ก็มีหลายปาง โดยที่ทุกบทจะเริ่มขึ้นที่พระพุทธรูป
สำคัญ ซึ่งเป็นต้นแบบของแต่ละหมวด เท่าที่จะสามารถระบุได้ในปัจจุบัน ตามด้วยการศึกษาพัฒนาการ
ของพระพุทธปฏิมาแต่ละปาง ในแต่ละหมวด ตามช่วงอายุเวลาทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีการแบ่งแยกไว้
อย่างชัดเจนแล้ว เช่น สมัยกัมโพช สมัยล้านนา สมัยล้านช้าง สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัย
รัตนโกสินทร์
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๔๕
พระพุทธพจนภาษิตข้างต้นมีที่มาต้นตอจาก เอกปุคคลปาลิ อังคุตตรนิกาย สุตตันตปิฎก ในพระ
ไตรปิฎก (สุชีพ ๒๕๓๕, ๔๙๓) ซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อว่า พระมหากษัตริย์กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น
องค์หนึ่งองค์เดียวกัน แม้แต่พระราชกุมารประสูติด้วยพระอัครมเหสียังมีพระนามว่า สมเด็จหน่อ
พระพุทธเจ้า (เรื่องกฎหมายตราสามดวง ๒๕๒๑, ๓๔) ดังนั้น ความเชื่อดังกล่าวที่สืบเนื่องมาจากสมัย
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๐๓๑ / ค.ศ. 1448 – 1488) จึงเป็นเหตุให้มีการสร้าง
พระพุทธรูปจำนวนหนึ่ง ครองเครื่องทรงและอาภรณ์ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ปรากฏในประเทศใดที่
นับถือพุทธศาสนา ยกเว้นแต่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า กัมพูชา และลาว ซึ่งรับคตินี้จากประเทศไทย
เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
๔๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๘. ควรทรงมิให้ประชาชนทำธุรกิจที่ไม่ชอบธรรม
และทรงชักนำให้เลี้ยงชีพด้วยความสุจริต
๙. ควรทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ให้ผู้ขัดสนได้มีพอเลี้ยงชีพ
๑๐. ควรทรงตรัสถามสมณพราหมณ์ ถึงบุญบาป กุศล อกุศล ให้ประจักษ์ชัด
๑๑. ควรทรงห้ามจิตไม่ให้เกิด อธรรมราคะ
๑๒. ควรทรงห้ามจิตมิให้ปรารถนาลาภที่มิควรจะได้
(เรื่องเดียวกัน, ๓๕ – ๓๘)
นอกจากนั้นแล้วพระมหากษัตริย์ยังต้องรักษาพระพละกำลังอีก ๕ ประการ คือ
๑. กายพลํ กำลังคือพระกายที่แข็งแรง ทรงรักษาพระพลานามัยให้สมบูรณ์
๒. โภคพลํ กำลังคือพระราชสมบัติ ทรงขวนขวายหาทางให้เกิดพระราชทรัพย์
๓. อมจฺจพลํ กำลังคืออมาตย์ ที่จะต้องยกย่องและปราบปรามตามควรแก่เหตุ
๔. อภิชจฺจพลํ กำลังคือพระชาติสูง เป็นผู้ประเสริฐในหมู่ชนเพราะเป็นผลที่ได้
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมาแต่กาลก่อน
๕. ปญฺญาพลํ กำลังคือปัญญา ที่ต้องทรงมีพระราชปรีชาญาณที่จะแสวงหาปัญญา
เพื่อให้พระราโชบายลุล่วงปราศจากอุปสรรค
(เรื่องเดียวกัน, ๓๘ – ๔๑)
พระโอวาทที่กล่าวถึงข้างต้นแสดงให้เห็นว่า พระมหากษัตริย์ในพุทธศาสนาใช่แต่ว่าเป็นแค่องค์
เอกอัครศาสนูปถัมภก ที่ทรงสละพระราชทรัพย์สร้างปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน พระราชทานให้กับวัดวาอาราม
ก็พอเพียงแล้ว แต่ยังต้องทรงเป็นพุทธมามกะที่จะต้องทรงประพฤติตามทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ
ทรงปฏิบัติตามพระราชจรรยานุวัตร ๕ ประการ พระราชจรรยานุวัตรสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑๒
ประการ และพระพละกำลังของพระมหากษัตริย์อีก ๕ ประการ ซึ่งทั้งหมดนี้มิใช่เป็นเพียงแค่ทฤษฎี แต่
เป็นสิ่งที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรของพระองค์ วันเวลาที่ผ่านพ้นไปเป็นสักขีพยานว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจตามที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระราชอุปัชฌายาจารย์ได้ถวายไว้ในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ ๖๐ ปี
ที่แล้วอย่างเคร่งครัดทุกข้อ สมกับที่ทรงเป็นพระมหาธรรมราชาอย่างแท้จริง อันเป็นลักษณะส่วน
พระองค์อันโดดเด่น ยากที่จะมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดจะเทียบเคียงได้
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศ-
วิหาร เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระญาณสังวร ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะทรง
บรรยายเกี่ยวกับเรื่องพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ว่า
พระมหากษัตริย์เมื่อเป็นพระมหากษัตริย์ขึ้นแล้ว ก็เหมือนอย่างเป็นพระโพธิสัตว์
องค์หนึ่ง ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณ... เพราะฉะนั้นจึงได้มีถ้อยคำ
ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น มีคำว่า พุทธ พุทธ ประกอบอยู่ด้วย เช่นคำ
กราบบังคมทูล ที่หมายถึงบุคคลผู้กราบบังคมทูลเองก็ใช้ว่า ข้าพระพุทธเจ้า
คำรับก็เป็นพระพุทธเจ้าข้า... คนไทยเราที่ได้เทิดทูนยกย่ององค์พระมหากษัตริย์
มาตั้งแต่เก่าก่อน และก็เป็นประโยชน์ที่ทำให้องค์พระมหากษัตริย์ได้สำนึก
พระองค์ว่า เมื่อทรงเป็นพระโพธิสัตว์ หรือเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ ก็จะต้อง
ทรงบำเพ็ญพระบารมี มีทานศีลเป็นต้น แก่ประชาชน และโดยเฉพาะก็จะต้อง
ทรงยกย่องรักษาพระพุทธศาสนา อุปถัมภ์บำรุงรักษาพระสงฆ์ ตลอดจนถึง
วั ด วาอารามทั้ ง หลาย ว่ า เมื่ อ ทรงเป็ น พระโพธิ สั ต ว์ แ ล้ ว ก็ จ ะต้ อ งทรงทิ้ ง
พระพุทธศาสนาไม่ได้... จึงปรากฏว่าวัดวาอารามที่เป็นหลักฐาน มีความมั่นคง
งดงามในพุทธศาสนา ย่อมเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง หรือทรงอุปถัมภ์
บำรุงเป็นส่วนใหญ่ (วัดบวรนิเวศวิหาร ๒๕๓๑, ๘๐ – ๘๑, เน้นตามต้นฉบับ)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๔๗
นอกจากพระอารามที่เป็นศรีของแผ่นดิน เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดที่มีสถานะเป็น
พระอารามหลวงชั้ น เอก ชนิ ด ราชวรมหาวิ ห าร เช่ น วั ด อรุ ณ ราชวราราม วั ด สุ ทั ศ นเทพวราราม
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดพระปฐมเจดีย์ และพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร
อย่างเช่นวัดสระเกศแล้ว พระมหากษัตริย์ยังโปรดให้สร้างพระพุทธรูปเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
และพระวิหารในพระอารามที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น อันมีตัวอย่างคือ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงปั้นหุ่นพระพุทธธรรมิศรราชโลกธาตุดิลก วัดอรุณ-
ราชวราราม (ดูรูปที่ ๕.๑๕๓) และพระพักตร์ พระพุทธจุฬารักษ์ วัดราชสิทธาราม (รูปที่ ๓.๑) ด้วยพระหัตถ์
ของพระองค์เอง
พระบาทสมเด็ จ พระนั่ ง เกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว โปรดเกล้ า ฯ ให้ ส ร้ า ง พระพุ ท ธอนั น ตคุ ณ อดุ ล ยบพิ ต ร
วัดราชโอรสาราม (ดูรูปที่ ๕.๒๖) พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ วัดสุทัศนเทพวราราม (ดูรูปที่ ๕.๑๕๕) พระพุทธ
มหาโลกาภินันทปฏิมา วัดเฉลิมพระเกียรติ (รูปที่ ๓.๒) พระเสฏฐตมมุนี วัดราชนัดดาราม (ดูรูปที่
๕.๑๕๖) เป็นต้น
๔๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระพุทธอังคีรส วัดราชบพิธสถิต-
มหาสีมาราม (ดูรูปที่ ๕.๒๙) พระพุทธนฤมลธรรโมภาส วัดนิเวศธรรมประวัติ (รูปที่ ๓.๔) และ พระ
พุทธชินราชจำลอง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (ดูรูปที่ ๕.๖๗)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันโปรดเกล้าฯ เลือกแบบและพระราชทานพระราชวินิจฉัย
แก้ไขแบบพระพุทธกาญจนธรรมสถิต วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ด้วยพระองค์เอง (รูปที่ ๓.๕)
ในด้านหนึ่งพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นและสืบเนื่องมา
อย่างยาวนาน พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยพระมหากษัตริย์จึงมิได้เพียงมุ่งเพื่อการฉลองพระราชศรัทธา
ที่มีต่อพระพุทธศาสนาและเพื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลทั้งส่วนพระองค์และพระราชวงศ์เท่านั้น
แต่ทว่าการสร้างพระพุทธรูปโดยพระมหากษัตริย์ก็ยังมีความมุ่งหมายทางการเมืองการปกครอง
ตลอดจนการสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติเป็นสำคัญอีกด้วย อันไม่ต่างไปจากความผูกพัน
อีกด้านหนึ่งระหว่างพสกนิกรในชาติกับองค์พระมหากษัตริย์ของพวกเขา ที่พระพุทธรูปเป็นเครื่อง
เชื่อมโยงความรักและภักดีได้เป็นอย่างดี
ในบทนี้จะกล่าวถึงพระพุทธรูปที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในด้านต่างๆ อันได้แก่
พระพุทธรูปในส่วนที่ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานในงานพระราชพิธีสำคัญต่างๆ (หมวด ข.) พระพุทธรูปที่
พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระเกียรติยศและฉลองพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา (หมวด ค.)
พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อกิจการพิเศษ (หมวด ง.) พระพุทธรูปที่มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย
พระมหากษัตริย์เพื่อเสริมพระเกียรติยศและสิริมงคล (หมวด จ.) โดยมีทั้งกรณีที่มีบุคคลทูลเกล้าฯ ถวาย
(ตอนที่ ๘) และกรณีที่ประชาชนทั้งประเทศร่วมใจสร้างเพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย (ตอนที่ ๙) และพระพุทธรูป
รูปที่ ๓.๔ พระพุทธนฤมลธรรโมภาส
ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อชาติและพุทธศาสนา (หมวด ช.)
พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ทรงปั้นหุ่น
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๒๐ (ค.ศ. 1877)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๕๗ เซนติเมตร
สูง ๙๒.๗ เซนติเมตร
พระอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ
อำเภอบางปะอิน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๔๙
รูปที่ ๓.๖ ก. พระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากร “พระแก้วมรกต”
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐
(ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15)
หยกสีเขียว สูง ๕๖ เซนติเมตร
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
๕๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
หมวด ข.
พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่องานพระราชพิธี
ในหนังสือเรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖) ได้พระราชทานรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นมาและความสำคัญของ
พระราชพิธี รวมทั้งประวัติของพระพุทธรูปที่เกี่ยวเนื่องไว้อย่างถี่ถ้วน ทั้งพระราชพิธีที่เลิกไปแล้ว และที่
ยังกระทำกันในรัชสมัยของพระองค์ ซึ่งพระราชพิธีส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงในหนังสือ พระราชพิธีสิบสอง
เดือน ก็เลิกลาขาดช่วงไปเกือบหมดแล้ว ฉะนั้นจึงจะกล่าวเฉพาะพระราชพิธีที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาจน
ปัจจุบัน
ตอนที่ ๑ พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่
สำคัญที่สุดรองลงมาจาก พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะเป็นพระราชพิธีที่ “ระงับยุคเข็ญของบ้าน
เมือง” (เรื่องเดียวกัน, ๒๒๒)
สาระสำคั ญ ของพระราชพิ ธี นี้ คื อ การปลู ก ฝั ง ความรู้ สึ ก จงรั ก ภั ก ดี ต่ อ พระ
มหากษัตริย์ โดยผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดื่มน้ำแช่ศัตราวุธที่
พราหมณ์พิธีและพระสงฆ์ได้เตรียมไว้ พร้อมทั้งคำประกาศสาปแช่งให้ข้าทูล
ละอองฝ่ายในและฝ่ายหน้าผู้เข้าร่วมพิธี ที่คิดคดทรยศต่อพระมหากษัตริย์
ประสบกับความหายนะ และคำอำนวยพรให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
ประสบความเจริญ (ธัญญ์พิชา ๒๕๕๐, ๑๕๓)
ข้าราชการจะดื่มน้ำที่แทงด้วยพระแสงราชศัสตรา ๑๓ องค์ ประกอบกับการอ่านประกาศโองการ
แช่งน้ำ สาบานตนแสดงความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ กระทำสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งกรุง
ศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบพิธีในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เฉพาะพระพักตร์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)
๑.๑ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)
พระรัตนปัญญาเถระ กล่าวถึงตำนานของการสร้างพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรไว้ในเรื่องของ
พระรัตนปฎิมา หรือพระแก้วมรกต (รูปที่ ๓.๖ ก.) ในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ โดยเกริ่นนำว่า
ศาสนาจักรุ่งเรืองได้ด้วยรูปจำลองของพระพุทธโดยแท้
(รัตนปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๑๕)
พระเถระนาคเสนแห่งเมืองปาตลีบุตรในประเทศอินเดีย จึงจำลองพระพุทธรูปขึ้นมาด้วยฤทธิ์และ
มนตร์ โดยมีวิสสุกรรมเทวบุตร แปลงตัวเป็นช่างทำรูป ได้พุทธปฏิมาองค์หนึ่ง สูง ๑ ศอก กับ ๑ นิ้ว
ส่วนพระเถระนาคเสนนั้นได้
อธิฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ๗ องค์เข้าไปในองค์พระรตนปฏิมา องค์ที่ ๑
อยู่ที่พระเมาลี องค์ ๑ อยู่ที่พระนลาต องค์ ๑ อยู่ที่พระอุระ ๒ องค์อยู่ที่
พระหัตถ์ทั้งสอง และอีก ๒ องค์อยู่ที่พระชานุ (เข่า) ทั้งสอง พร้อมกับคำ
อธิษฐาน (เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๕๑
ดังนั้นพระรัตนปฏิมา จึงมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ เพราะเป็นองค์รวมของพระบรมสารีริกธาตุ
ถึงเจ็ดองค์
หลังจากที่เกิดสงครามขึ้นในอินเดีย จึงมีผู้อัญเชิญพระรัตนปฏิมาไปไว้ที่ลังกา และเมื่อพุทธศาสนา
ล่วงไปแล้ว ๑,๒๐๐ ปี พระเจ้าอนุรุทธ แห่งเมืองพุกามจึงอัญเชิญไปที่พุกาม แต่ปรากฏว่าพายุพัดเรือไป
ที่เมืองนครธม จึงประทับอยู่ที่นั่นจนกษัตริย์อยุธยาพระองค์หนึ่งอัญเชิญไปบูชาที่อยุธยา ต่อจากนั้นพระราชา
จากกำแพงเพชรก็มาอัญเชิญไป จนกระทั่งท้าวมหาพรหม พระอนุชาของพระเจ้ากือนากษัตริย์ล้านนา
ยกพลไปกำแพงเพชร และอัญเชิญพระรัตนปฏิมาไปบูชาที่เชียงราย
พระรัตนปฏิมาเสด็จจากตำนานสู่ประวัติศาสตร์ เมื่อพระเจ้าติโลกราชอัญเชิญไปเชียงใหม่โดย
ผ่านทางลำปาง และเมื่อทรงสร้างเจดีย์หลวงที่เชียงใหม่แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482) จึง
อัญเชิญ “พระรตนปฏิมา ซึ่งมีฤทธิ์เดชหาประมาณมิได้” มาประดิษฐานไว้ ณ ที่นั้น (เรื่องเดียวกัน, ๑๑๔)
พระรั ต นปฏิ ม าประดิ ษ ฐานอยู่ ที่ เ จดี ย์ ห ลวงจนถึ ง ปี พ.ศ. ๒๐๙๐ (ค.ศ. 1547) เมื่ อ พระเจ้ า
ไชยเชษฐา (พ.ศ. ๒๐๙๓ – ๒๑๑๕ / ค.ศ. 1550 – 1572) ซึ่งปกครองล้านนาอยู่ เสด็จกลับไปนครหลวงพระบาง
ไปครองล้านช้าง และนำพระรัตนปฏิมาไปด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1558) ทรงย้ายราชธานีมา
ที่เวียงจันท์ พร้อมกับอัญเชิญพระรัตนปฏิมาลงมาด้วย (เติม ๒๕๓๐, ๓๖ – ๓๙)
พระรัตนปฏิมาประดิษฐานอยู่ในนครเวียงจันท์จนถึงปี พ.ศ. ๒๓๒๒ (ค.ศ. 1779) เมื่อพระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครั้งทรงบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พร้อมด้วยบุตรชาย
ซึ่งต่อมาเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (จดหมายเหตุการบูรณะ
ปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง ๒๕๒๕, ๔) เสด็จไปตีเวียงจันท์ได้ชัยชนะ
จึงอัญเชิญพระรัตนปฏิมาจากเวียงจันท์ มาประดิษฐานในพลับพลาชั่วคราว บริเวณพระราชวังกรุงธนบุรี
เมื่อเสด็จผ่านพิภพแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อประดิษฐานพระรัตนปฏิมา ทรงขนานนามพระราชธานีที่สร้างขึ้นใหม่ในปี
พ.ศ. ๒๓๒๕ (ค.ศ. 1782) ว่า กรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจาก
ทรงพระราชดำริเห็นว่า พระมหามณีรัตนปฏิมากรองค์นี้เป็นสิริแก่พระองค์และ
พระนคร จึงได้ขนานนามกรุงใหม่ว่ากรุงรัตนโกสินทร์มหินทรายุธยา เพราะเป็น
ที่ประดิษฐาน และเป็นที่เก็บพระมหามณีรัตนปฏิมากรพระองค์นี้ (จุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๒๓๕)
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจึงเป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า-
จุฬาโลก เพราะเป็นพระพุทธปฏิมาคู่บารมีของพระองค์
๕๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๖ ข. พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
รูปที่ ๓.๖ ค. พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
รูปที่ ๓.๖ ง. พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
คิมหันตฤดู
วสันตฤดู
เหมันตฤดู
เปลี่ยนเครื่องทรง วันแรม ๑ ค่ำ
เปลี่ยนเครื่องทรง วันแรม ๑ ค่ำ
เปลี่ยนเครื่องทรง วันแรม ๑ ค่ำ
เดือนมีนาคม
เดือนกรกฎาคม
เดือนพฤศจิกายน
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง
ในพระบรมมหาราชวัง)
ในพระบรมมหาราชวัง)
ของสำนักราชเลขาธิการ)
สืบเนื่องจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสร้างเครื่องทรงเป็นเครื่องต้น
อย่างพระมหากษัตริย์ ถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ทำด้วยทองคำลงยาประดับอัญมณี
สำหรับคิมหันตฤดู (ฤดูร้อน) (รูปที่ ๓.๖ ข.) และเครื่องทรงจีวรอย่างห่มดอง ทองคำจำหลัก
ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระศกและพระรัศมีทองคำลงยา สำหรับวสันตฤดู (ฤดูฝน) (รูปที่ ๓.๖ ค.)
และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรปีละ ๒ ครั้ง
ต่ อ มา พระบาทสมเด็ จ พระนั่ ง เกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ทรงสร้ า งเครื่ อ งทรงสำหรั บ เหมั น ตฤดู
(ฤดูหนาว) เป็นผ้าคลุมพระองค์ทองคำลงยาราชาวดี ประดับอัญมณี พระศกและพระรัศมี
ทองคำลงยาฝังเพชร (รูปที่ ๓.๖ ง.) พระมหากษัตริย์จึงเสด็จฯ เพิ่มขึ้นเป็นปีละ ๓ ครั้ง คือทรง
เปลี่ยนเครื่องทรงสำหรับคิมหันตฤดูวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ (ราวเดือนมีนาคม) วสันตฤดู วันแรม
๑ ค่ำ เดือน ๘ (ราวเดือนกรกฎาคม) และเหมันตฤดู วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (ราวเดือน
พฤศจิกายน) พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นพระราชพิธีที่พระ
มหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินเอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ไป
ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๕๓
เนื่องในโอกาสปีมหามงคลเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัว (พระราชพิธีกาญจนาภิเษก) ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ – ๒๕๓๙ (ค.ศ. 1995 – 1996) กรมธนารักษ์ได้จัด
ทำเครื่องทรงถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรขึ้นใหม่ทั้ง ๓ ฤดู โดยคงรูปแบบชุดเดิมไว้ทุกประการ
ยกเว้นใช้เทคโนโลยีใหม่ในการสร้าง เช่น เครื่องทรงเดิมใช้เพชรซีก แต่ชุดใหม่เป็นการเจียระไนแบบ
“April Cut” และใช้แสงเลเซอร์ในการเชื่อมต่อส่วนต่างๆ (กรมธนารักษ์ ๒๕๔๐, ๑๖๖) ในการนี้รัฐบาล
ได้สนับสนุนงบประมาณส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งรวมทั้งทองคำหรือวัสดุมีค่าเช่นเพชรพลอยอัญมณีนานา
ชนิดนั้นภาคเอกชนรวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมใจกันบริจาค เครื่องทรงฤดูร้อนใช้งบประมาณราว ๗๐
ล้านบาท เครื่องทรงฤดูหนาว ๓๐ ล้านบาท และเครื่องทรงฤดูฝน ๒๐ ล้านบาท (เรื่องเดียวกัน, ๑๔๖,
๑๖๖) งบประมาณและวัสดุมีค่าส่วนที่เหลือกรมธนารักษ์ได้มอบให้สำนักงานวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เก็บรักษาไว้เพื่อการซ่อมบำรุงครั้งต่อไป ส่วนเครื่องทรงชุดเดิมนั้นถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดพระ-
ศรีรัตนศาสดาราม
๑.๒ พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อข้าราชการไปถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้ว
จะไปถวายบังคมพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แทนพระเชษฐบิดร ซึ่งเป็นพระรูป
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง ครั้งกรุงศรีอยุธยา และพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ที่
สวรรคตไปแล้ ว เช่ น พระบาทสมเด็ จ พระพุ ท ธยอดฟ้ า จุ ฬ าโลก ต่ อ มาในรั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปพระราชพิธีนี้โดยพระองค์จะเสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย ซึ่งยึดถือ
เป็นประเพณีสืบต่อกันจนทุกวันนี้ โดยประกอบพระราชพิธีเฉพาะพระพักตร์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
พระพุ ท ธยอดฟ้ า จุ ฬ าโลก และพระพุ ท ธเลิ ศ หล้ า นภาลั ย ซึ่ ง เป็ น พระพุ ท ธรู ป ทรงเครื่ อ งอย่ า งพระ
จักรพรรดิราชที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างถวายแด่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช
รัชกาลที่ ๑ และสมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ ๒ (รูปที่ ๓.๗ – ๓.๘)
พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ทั้งสององค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๘๖ (ค.ศ. 1843) แล้วเสร็จและสมโภชในปี พ.ศ. ๒๓๙๑ (ค.ศ. 1848) (ราชบัณฑิตยสภา
๒๔๗๒, ๓๖) พระนามของพระพุทธรูปนั้น มีที่มาสืบเนื่องจากการที่ประชาชนเรียกรัชกาลสมเด็จพระบรม
อัยกาธิราช รัชกาลที่ ๑ ว่า “แผ่นดินต้น” และรัชกาลสมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ ๒ ว่า “แผ่นดินกลาง”
พระบาทสมเด็ จ พระนั่ ง เกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ได้ ท รงทราบไม่ ท รงพระกรุ ณ าโปรด
ดำรัสว่ามีแผ่นดินต้นแผ่นดินกลางแล้วแผ่นดินปัจจุบันก็ต้องเป็นแผ่นดินปลาย
เป็นคำอัปมงคลอยู่ ในขณะนั้นพอทรงพระราชศรัทธา สร้างพระพุทธปฏิมากร
ห้ามสมุทรหุ้มทองคำทรงเครื่องต้นด้วยเนาวรัตน์ สองพระองค์ ตั้งไว้ในวัดพระ
ศรีรัตนศาสดาราม ทรงพระราชอุทิศถวายเป็นพระฉลองพระองค์ ในสมเด็จ
พระบรมอัยกาธิราชองค์หนึ่ง สมเด็จพระบรมชนกนาถองค์หนึ่ง จารึกพระนาม
ว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกองค์หนึ่ง จารึกพระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
องค์หนึ่ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศ ฉลองพระเดชพระคุณในพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ จึงโปรดให้ออกพระนามเปลี่ยนคำคนที่
เรียกว่าแผ่นดินต้นแผ่นดินกลางนั้นเสีย ให้เรียกพระนามตามพระนามพระพุทธรูป
ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า-
นภาลัยดังนี้ (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๗, ๔๗)
๕๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระนามพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ที่ปรากฏในหน้าพระราชพงศาวดารและประวัติศาสตร์
ไทย จึงมิใช่พระนามที่ทั้งสองพระองค์ทรงใช้หรือทรงคุ้นเคยเมื่อยังมีพระชนม์ชีพ แต่เป็นพระนามของ
พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ที่ประดิษฐานอยู่หน้าชุกชีพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร โดย
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกประดิษฐานอยู่ทางด้านซ้ายของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (รูปที่ ๓.๗) และ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัยอยู่ด้านขวา (รูปที่ ๓.๘)
พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ทั้งสององค์นี้มีความสำคัญต่อพระราชพิธี และแสดงถึง
ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพุทธศาสนา (ดูตอนที่ ๕ หน้า ๙๒)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๕๕
๑.๓ พระพุทธรูปประจำรัชกาล
ต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพุทธรูปที่อัญเชิญเพิ่มเพื่อร่วมประดิษฐาน
ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้แก่ พระพุทธรูปประจำ
รัชกาล และพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล
พระพุทธรูปประจำรัชกาล ได้แก่ พระพุทธรูปปางต่างๆ ๓๗ ปาง ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจารึกพระนามอุทิศถวายพระราช
กุศลแด่พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓๔ องค์ (รูปที่ ๓.๙ (๑) – (๓๔))
พระอิริยาบถและปางต่างๆ ของพระพุทธรูปทั้ง ๓๔ องค์นั้น เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในพุทธประวัติ
ส่วนพระพุทธรูปอีก ๓ องค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจารึกพระนามอุทิศเป็นพระราชกุศล
แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช พระบาทสมเด็จพระพุทธ-
เลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถ และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระ
บรมเชษฐาธิราช พระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย (รูปที่ ๓.๑๐, ๓.๑๑)
ส่วนพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ
ปางสมาธิ (รูปที่ ๓.๑๒)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปประจำรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รูปที่ ๓.๑๓) ทรงเลือกแบบพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงประดิษฐ์คิดขึ้น อันได้แก่พระพุทธรูปประทับ
ขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ ครองจีวรห่มดอง พาดสังฆาฏิแบบพระภิกษุในคณะธรรมยุติกนิกาย จีวรเป็น
ริ้วตามธรรมชาติ และไม่มีพระเมาลี
๕๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ-
เกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสร้างพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้น
(รูปที่ ๓.๑๔) โดยทรงจำลองพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งก็คือพระพุทธรูปปางขอฝน ตามพุทธลักษณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชทรงประดิษฐ์ขึ้น อุทิศถวายแด่พระองค์เพื่อเป็นพระราชกุศล
จนกลายเป็นพระราชประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ที่พระมหากษัตริย์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว
จะสร้างพระพุทธรูปประจำรัชกาลอุทิศถวายพระมหากษัตริย์องค์ก่อน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงสร้างพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาท
สมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก (รูปที่ ๓.๑๖) ทรงจำลองจากพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา
ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิตุลาธิราช คือ พระพุทธรูปประทับห้อยพระบาท
แบบคันธารราษฎร์ ปางขอฝน ครองจีวรห่มดอง และพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ
ปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รูปที่ ๓.๑๗) เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา
ครองจีวรห่มดอง
พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาได้ยกเลิกไปหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ (ค.ศ. 1932) ต่อมาพระบาทสมเด็จ
พระเจ้ า อยู่ หั ว ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า ฯ ให้ รื้ อ ฟื้ น พระราชพิ ธี ถื อ น้ ำ พระพิ พั ฒ น์ สั ต ยาขึ้ น เมื่ อ ปี
พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) โปรดเกล้าฯ ให้ทำร่วมกับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมี
ศักดิ์รามาธิบดี โดยผู้ที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีเท่านั้นที่ต้องดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
(ศิลปากร ๒๕๔๓ ข, ๒๔๓ – ๒๔๗)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง
ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๑ (ค.ศ. 1918) เพื่อพระราชทานแก่ข้าราชการทหาร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาปกป้อง
แผ่นดินไทย ทั้งในเวลาสงครามและเวลาสงบศึก และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
มีพระราชดำริให้พระราชทานแก่ชาวต่างประเทศ และผู้ที่ทำความดีความชอบเป็นพิเศษด้วย โดยเริ่ม
พระราชทานในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ (ค.ศ. 1962)
ปัจจุบันพระพุทธรูปที่ทรงอุทิศพระราชกุศลถวายแด่พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี
๓๔ องค์นั้น ประดิษฐานอยู่ในหอพระราชกรมานุสร พระพุทธรูปประจำรัชกาลในพระบรมราชจักรีวงศ์
ทุกองค์ ประดิษฐานในหอพระราชพงศานุสร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่มิได้อัญเชิญเข้าร่วมใน
พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๕๗
พระพุทธรูปประจำรัชกาล
รูปที่ ๓.๙ (๒) ปางทรงพิจารณาชราธรรม
รูปที่ ๓.๙ (๓) ปางนาคปรก
รูปที่ ๓.๙ (๔) ปางพระเกศธาตุ
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑
เจ้าทองจันทร์
สมเด็จพระราเมศวรที่๑
(ขุนหลวงพะงัว)
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๐.๙๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๒๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๒๐ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงยอดเศียรนาค
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๒๐ เซนติเมตร
๒๒.๕๐ เซนติเมตร
๒๓.๒๕ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
๕๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๙ (๕) ปางขับพระวักกลิ
รูปที่ ๓.๙ (๖) ปางทรงรับผลมะม่วง
รูปที่ ๓.๙ (๗) ปางภัตกิจ
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
สมเด็จพระรามราชาธิราช
สมเด็จพระมหานครินทราธิราช
สมเด็จพระเจ้าสามพระยา
(พระยาราม)
(อินทราชาที่ ๑)
(พระบรมราชาธิราชที่ ๒)
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๕๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๕๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๐.๔๕ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๒๓.๗๐ เซนติเมตร
๒๓.๒๕ เซนติเมตร
๒๓.๕๐ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
รูปที่ ๓.๙ (๘) ปางชี้อัครสาวก
รูปที่ ๓.๙ (๙) ปางอธิษฐานบาตร
รูปที่ ๓.๙ (๑๐) ปางห้ามมาร
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
สมเด็จพระอินทรราชาธิราช (ที่ ๒)
สมเด็จพระรามาธิบดีที่สอง
หน้าตักกว้าง ๒๒.๖๕ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๐.๙๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๒๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๓๕ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี ๒๓ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๒๒.๖๕ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
๒๓ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๕๙
รูปที่ ๓.๙ (๑๑) ปางทรงรับอุทกัง
รูปที่ ๓.๙ (๑๒) ปางเสวยมธุปายาส
รูปที่ ๓.๙ (๑๓) ปางฉันสมอ
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
สมเด็จพระบรมราชามหาพุทธางกูร
พระเจษฎาราชกุมาร
สมเด็จพระไชยราชาธิราช
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
(พระรัษฎาธิราชกุมาร)
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๕๐ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๘.๒๕ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๐.๙๐ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๒๓ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๒๒.๘๐ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
๒๒.๕๐ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
รูปที่ ๓.๙ (๑๔) ปางปลงอายุสังขาร
รูปที่ ๓.๙ (๑๕) ปางโอฬาริกนิมิต
รูปที่ ๓.๙ (๑๖) ปางสนเข็ม
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระยอดฟ้า
พระมหาจักรพรรดิราชาธิราช
สมเด็จพระมหินทราธิราช
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘.๒๕ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๕๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๒๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๐.๕๐ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๒๓.๒๕ เซนติเมตร
๒๒.๕๐ เซนติเมตร
๒๒.๕๐ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
๖๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๙ (๑๗) ปางนาคาวโลก
รูปที่ ๓.๙ (๑๘) ปางห้ามสมุทร
รูปที่ ๓.๙ (๑๙) ปางถวายเนตร
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระเอกาทศรถมหาราช
(สรรเพชญที่ ๑)
(สรรเพชญที่ ๒) สูงเฉพาะองค์พระ
(สรรเพชญที่ ๓)
สูงเฉพาะองค์พระ
๒๑.๐๕ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๒๑ เซนติเมตร
๒๑.๕๐ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๓๒.๘๐ เซนติเมตร
๓๓ เซนติเมตร
๓๓ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
รูปที่ ๓.๙ (๒๐) ปางห้ามพระแก่นจันทน์
รูปที่ ๓.๙ (๒๑) ปางประทับเรือ
รูปที่ ๓.๙ (๒๒) ปางป่าเลไลยก์
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงธรรม
พระเชษฐาธิราช (บรมราชาที่ ๒)
(สรรเพชญที่ ๔)
(บรมไตรโลกนาถที่ ๒ หรือบรมราชาที่ ๑)
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๘.๔๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๒๑.๘๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๘ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๒๗.๕๐ เซนติเมตร
๓๓.๗๐ เซนติเมตร
๒๖.๕๐ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๖๑
รูปที่ ๓.๙ (๒๓) ปางทรงรับมธุปายาส
รูปที่ ๓.๙ (๒๔) ปางลอยถาด
รูปที่ ๓.๙ (๒๕) ปางทรงรับหญ้าคา
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระอาทิตยวงศ์
สมเด็จพระรามาธิเบศร์ปราสาททอง
เจ้าฟ้าไชย (สรรเพชญที่ ๖)
สูงเฉพาะองค์พระ
(สรรเพชญที่ ๕)
สูงเฉพาะองค์พระ ๒๑.๕๐ เซนติเมตร
๑๗.๑๕ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๓ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๓๓.๗๐ เซนติเมตร
๒๖.๕๐ เซนติเมตร
๒๔.๓๐ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
รูปที่ ๓.๙ (๒๖) ปางรำพึง
รูปที่ ๓.๙ (๒๗) ปางจงกรมแก้ว
รูปที่ ๓.๙ (๒๘) ปางปลงกรรมฐาน
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระศรีสุธรรมราชา (สรรเพชญที่ ๗)
สมเด็จพระนารายณ์
พระธาดาธิเบศร์
สูงเฉพาะองค์พระ
มหาเอกาทศรถราช (รามาธิบดีที่ ๓)
(พระมหาบุรุษเพทราชา)
๒๑.๓๕ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๒๐.๖๐ เซนติเมตร สูงเฉพาะองค์พระ ๒๑ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
๓๔ เซนติเมตร
๓๒.๕๐ เซนติเมตร
๓๓ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
๖๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๙ (๒๙) ปางสรงน้ำฝน
รูปที่ ๓.๙ (๓๐) ปางอุ้มบาตร
รูปที่ ๓.๙ (๓๑) ปางประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
สมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี
สมเด็จพระภูมินทรมหาราชา
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓
(สรรเพชญที่ ๘ พระพุทธเจ้าเสือ)
(สรรเพชญที่ ๙ พระเจ้าท้ายสระ)
(พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)
สูงเฉพาะองค์พระ ๒๑.๒๐ เซนติเมตร สูงเฉพาะองค์พระ ๒๑.๒๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๒๑ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี ๒๖ เซนติเมตร
๓๓ เซนติเมตร
๒๔.๒๐ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
รูปที่ ๓.๙ (๓๒) ปางเปิดโลก
รูปที่ ๓.๙ (๓๓) ปางลีลา
รูปที่ ๓.๙ (๓๔) ปางทุกรกิริยา
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
พระพุทธรูปอุทิศพระราชกุศลถวาย
สมเด็จพระอุทุมพรมหาพรพินิตราช
พระบรมเอกทัศอนุรักษ์มนตรีราช
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
(บรมราชาธิราชที่ ๔)
(บรมราชาที่ ๓ สุริยามรินทร์)
(บรมราชาที่ ๔ ขุนหลวงตาก)
(เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ)
สูงเฉพาะองค์พระ
หน้าตักกว้าง ๘ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๒๑.๕๐ เซนติเมตร ๒๒.๕๐ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๑.๘๐ เซนติเมตร
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
สูงจากฐานถึงพระรัศมี
วัสดุ : ทองแดง
๓๓.๗๐ เซนติเมตร
๓๔.๓๐ เซนติเมตร
วัสดุ : ทองแดง
วัสดุ : ทองแดง
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๖๓
รูปที่ ๓.๑๐ พระพุทธรูปประจำรัชกาล
รูปที่ ๓.๑๑ พระพุทธรูปประจำรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔
(ค.ศ. 1824 – 1851)
(ค.ศ. 1824 – 1851)
หน้าตักกว้าง ๘.๓ เซนติเมตร
หน้าตักกว้าง ๘.๕ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๒.๕ เซนติเมตร
สูงเฉพาะองค์พระ ๑๒ เซนติเมตร
สูงรวม ๔๖.๕ เซนติเมตร
สูงรวม ๔๖.๘ เซนติเมตร
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๖๙
พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๑๒
(ค.ศ. 1869) (รูปที่ ๓.๒๓) มีพุทธลักษณะคล้ายพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่แล้วทุกประการ รวมทั้งฐาน
แปดเหลี่ยมและจารึกยันต์อริยสัจจ์ที่ฐานหน้ากระดาน แตกต่างกันที่ริ้วจีวรเป็นธรรมชาติมากขึ้นและ
ตาลปัตรรูปพัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ทองคำลงยาราชาวดี นอกจากนั้นแล้วภายในฐานหน้ากระดานยังมี
คูหาประดิษฐานพระกริ่ง ซึ่งได้แก่พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ถือหม้อน้ำอมฤต
ในพระหัตถ์ซ้ายที่วางหงายอยู่ในพระเพลา ซึ่งถอดแบบมาจากพระกริ่งของกัมพูชา (ดำรงราชานุภาพ
๒๔๖๘, ๘๕ – ๘๖) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๕๗? / ค.ศ. 1181 – 1214?)
และเป็นพระบุคลาธิษฐานของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา พระพุทธะผู้รักษาโรคทั้งมวล
พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวหล่อขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๔
(ค.ศ. 1911) (รูปที่ ๓.๒๔) มีวัชระในกรอบรูปข้าวบิณฑ์ที่ผ้าทิพย์เหนือฐานบัวคว่ำบัวหงาย พระเศียรแบบ
พระพุทธรูปสุโขทัย พระวรกาย พระหัตถ์ พระบาทรวมทั้งไตรจีวรปั้นแบบเหมือนจริงดูเป็นธรรมชาติ
มากกว่าพระชัยวัฒน์รัชกาลที่แล้ว ที่ฐานจารึกยันต์อริยสัจจ์ ตาลปัตรรูปพัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ลงยา
ตรงกลางมีเลข ๖ อยู่ใต้มงกุฎ
พระชั ย วั ฒ น์ ป ระจำรั ช กาลพระบาทสมเด็ จ พระปกเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว สร้ า งขึ้ น ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙
(ค.ศ. 1926) (รูปที่ ๓.๒๕) มีพระพักตร์แบบพระพุทธรูปไทย พระเกศาแบบพระพุทธรูปอินเดียแบบ
คันธารราษฎร์ ครองจีวรแบบเหมือนจริง ไม่พาดสังฆาฏิประทับเหนือกลีบบัวหงาย รองรับด้วยฐานหน้า
กระดาน และมีศร ๓ เล่มอยู่ในซุ้มหน้าฐาน ศรสามเล่มนี้ มีความหมายว่า “ศักดิเดชน์” ซึ่งเป็นพระนาม
เดิมของสมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปก ศักดิเดชน์ “คำว่า ‘เดช’ หมายถึงลูกศร ที่เป็นสามนั้นมาแต่
พระแสงศรที่สำหรับชุบน้ำวันถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา คือ ศรพระอิศวร ๑ ศรพระนารายณ์ ๑ ศรพระพรหม ๑”
(ศรพรหมาสตร์ ศรปราลัยวาต ศรอัคนิวาต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นไว้
สำหรับใช้ในการพระราชพิธีถือน้ำ) (ส. พลายน้อย ๒๕๒๗, ๒๙) ซึ่งเป็นเครื่องหมายประจำพระองค์
ที่หน้ากระดานทั้งสี่ด้านมีจารึกคาถาธรรมบท คาถาทศบารมี และคาถาอริยสัจจ์ (เรื่องเดียวกัน, ๕๗ – ๖๐)
ตาลปัตรออกแบบแปลกกว่ารัชกาลก่อนๆ ภายในรูปพัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นแก้วใสเขียนรูปธรรมจักร
รอบนอกเป็นแฉกรูปแววขนหางนกยูง
พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลปัจจุบันสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ (ค.ศ. 1963) (รูปที่ ๓.๒๖) โดยมีพิมาน
มูลประมุข เป็นผู้ปั้นหุ่นพระพุทธรูป โดยเป็นพระพุทธรูป “แบบสุโขทัยประยุกต์” คือเลียนแบบจาก
พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ประทับเหนือฐานสิงห์แบบอยุธยาตอนปลาย - รัตนโกสินทร์ตอนต้น มีผ้าทิพย์
ขนาดใหญ่จำหลักลายลงยาอยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นการประยุกต์พระพุทธรูปแบบประเพณี ซึ่งเป็นพระราชนิยม
ของรัชกาลปัจจุบัน ตาลปัตรรูปพัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์คล้ายพัดแฉกงาพัดยศ พระราชาคณะ ตำแหน่ง
เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย (ณัฎฐภัทร ๒๕๓๘, ๕๙)
ที่ฐานพระพุทธรูปด้านหน้า มีจารึกเป็นคาถาที่สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ผูกถวายว่า
ความตั้งใจมุ่งมั่น ความเพียร ความมีขันติ เป็นพลังที่เป็นเหตุให้ประสบความ
สำเร็จโดยแท้ ผู้บรรลุถึงความสำเร็จนั้น เป็นบัณฑิต ได้รับความชนะมาก ย่อม
ให้เกิดความสุขยินดี (เรื่องเดียวกัน, ๖๐)
๗๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
นอกจากพระพุทธรูปที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยังอัญเชิญพระชัยวัฒน์องค์อื่นๆ มาในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา อันได้แก่ พระชัยวัฒน์ประจำ
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ดูรูปที่ ๓.๑๙) พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลพระบาท
สมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว (ดู รู ป ที่ ๓.๒๓) และพระชั ย วั ฒ น์ เ นาวโลหะ ที่ พ ระบาทสมเด็ จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น (รูปที่ ๓.๒๗) เมื่อครั้งปฏิสังขรณ์หลักเมืองขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. ๒๓๙๖
(ค.ศ. 1853) และเมื่อทรงเสด็จแปรพระราชฐานนอกพระนครทรงอัญเชิญไปแทนพระชัยวัฒน์ประจำ
รัชกาล ครั้นเมื่อจะเสด็จสวรรคตจึงพระราชทานแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ส. พลายน้อย
และ ภาวาส ๒๕๒๒, ๑๔)
อนึ่ง พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ เดิมมีพระอิสริยยศเป็นหม่อมเจ้าดิศ ในกรมหมื่นณรงค์-
หริรักษ์ (โชติ ๒๕๒๐, ๑๐๓) ซึ่งเป็นพระโอรสองค์ที่ ๓๖ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกำกับกรมช่างหล่อ (ราชสกุลวงศ์ ๒๔๖๓, ๑๗)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งหม่อมเจ้าดิศ ให้เป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า
ประดิษฐวรการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๒ (ค.ศ. 1869) และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บังคับบัญชากรมช่าง ๑๐ หมู่
โดยทรงรับสั่งว่า “หม่อมเจ้าดิศได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณในการช่างมาช้านาน แต่ในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจนบัดนี้” (จดหมายเหตุเรื่องทรงตั้งพระบรมวงษานุวงษ์ ๒๔๕๗,
๑๖๕)
ในรัชกาลปัจจุบันพระพุทธปฏิมาที่อัญเชิญมาในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ได้แก่ พระ
ชัยวัฒน์ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ดูรูปที่ ๓.๑๙) และพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว (ดูรูปที่ ๓.๒๖) พระชัยวัฒน์เนาวโลหะของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ดูรูปที่
รูปที่ ๓.๒๗ พระชัยวัฒน์เนาวโลหะ
๓.๒๗) และพระชัยวัฒน์เนาว โลหะที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง (รูปที่ ๓.๒๘)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สร้างปี พ.ศ. ๒๓๙๖ (ค.ศ. 1853)
พระชั ย วั ฒ น์ ที่ ก ล่ า วถึ ง ข้ า งต้ น ปั จ จุ บั น ประดิ ษ ฐานอยู่ ใ นหอพระสุ ล าลั ย พิ ม าน เดิ ม เรี ย กว่ า
เนาวโลหะ ตาลปัตรทองคำประดับเพชร
“หอพระเจ้า” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นทางทิศตะวันออกของ
หน้าตักกว้าง ๗.๕๐ เซนติเมตร
สูงฐานถึงพระรัศมี ๑๓.๗๕ เซนติเมตร
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในเขตพระราชฐานชั้นใน เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธ-
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
รูปสำคัญของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๗๑
ตอนที่ ๒ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา
พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นพระราชพิธีที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
ริเริ่มขึ้น โดยมีพระราชดำริว่า
การซึ่งมีอายุมาถึงบรรจุครบรอบปีไม่ตายไปเสียก่อนเป็นลาภอันอุดมอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นที่ควรยินดี... และควรที่จะทำให้เป็นที่ตั้งแห่งความไม่ประมาท ด้วยไม่
สามารถที่จะรู้ได้ว่า จะอยู่ไปบรรจบรอบปีเช่นนี้อีกหรือไม่ ควรที่จะบำเพ็ญการ
รูปที่ ๓.๒๙ พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
กุศล และประพฤติหันหาสุจริตธรรม (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๖๖๖)
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔
(ค.ศ. 1824 - 1851) สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานประวัติของพระราชพิธีนี้ว่า พระบาท
หน้าตักกว้าง ๗.๕๐ เซนติเมตร
สูงฐานถึงพระรัศมี ๑๕ เซนติเมตร
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มการสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาขึ้น และทรงบำเพ็ญ
หอพระธาตุมณเฑียร พระบรมมหาราชวัง
พระราชกุศลเป็นการส่วนพระองค์ เป็นการฝ่ายใน และ “เรียกว่าฉลองพระชนมพรรษา เพราะฉลอง
พระพุทธรูปพระชนมพรรษา” (เรื่องเดียวกัน, ๖๘๓) แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถือว่า
เป็นวันนักขัตฤกษ์ และฝรั่ง “ถือกันว่าเป็นวันเกิดเจ้าแผ่นดินเป็นแนชันนัลฮอลิเดย์” (เรื่องเดียวกัน,
๖๗๙) จึงเรียกว่า “วันเฉลิมพระชนมพรรษา”
๒.๑ พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษารัชกาลที่ ๑ – ๗
พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นนั้น สร้าง
ปีละองค์ตามจำนวนปีที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ปีที่ยังมิได้เสด็จเสวยราชสมบัตินั้นไม่มีฉัตรกั้น แต่เมื่อ
ได้เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้ว มีฉัตรสามชั้นกั้น ทรงสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถ
รูปที่ ๓.๓๐ พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา
รวมทั้งที่เป็นพระราชกุศลส่วนพระองค์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
(ค.ศ. 1824 - 1851) สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย (รูปที่ ๓.๒๙)
หน้าตักกว้าง ๗.๕๐ เซนติเมตร
สูงฐานถึงพระรัศมี ๑๕ เซนติเมตร
จำนวน ๗๖ องค์ ไม่มีฉัตร ๔๕ องค์ มีฉัตร ๒๘ องค์
หอพระธาตุมณเฑียร พระบรมมหาราชวัง
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย (รูปที่ ๓.๓๐)
จำนวน ๕๙ องค์ ไม่มีฉัตร ๔๓ องค์ มีฉัตร ๑๖ องค์
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ (รูปที่ ๓.๓๑)
จำนวน ๖๕ องค์ ไม่มีฉัตร ๓๗ องค์ มีฉัตร ๒๘ องค์
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๗๓
รูปที่ ๓.๓๓ ก. พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา
รูปที่ ๓.๓๓ ข. พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๑๓ (ค.ศ. 1870)
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง
ในพระบรมมหาราชวัง)
หน้าตักกว้าง ๗.๑๐ เซนติเมตร
(รูปที่ ๓.๓๓ ก.)
สูงรวมฐาน ๑๔.๖๐ เซนติเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน
พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
๗๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๓๔ พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๓ – ๒๔๖๘
(ค.ศ. 1910 - 1925) กะไหล่ทอง
รูปที่ ๓.๓๕ พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา
สูง ฐานถึงพระรัศมี ๑๕.๓๐ เซนติเมตร
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๖๙ – ๒๔๗๗
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
(ค.ศ. 1926 - 1934)
ในพระบรมมหาราชวัง)
สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง
สูงจากฐานถึงพระรัศมี ๑๙.๕๐ เซนติเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๗๕
๒.๒ พระพุทธรูปที่ทรงสร้างขึ้นในโอกาสสำคัญต่างๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน มิได้ทรงสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาเป็น
ประจำทุกปี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปขึ้นในโอกาสที่สำคัญ
(๑) พระพุทธสยามาภิวัฒนบพิตร ภูมิพลนริศทสสหัสสทิวัสรัชการี
ปัณณาสวรรษศรีอุภัยมหามงคล (รูปที่ ๓.๓๖ ก.)
เป็นพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อ
ขึ้นในมหามงคลสมัยที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕๐ พรรษา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ (ค.ศ. 1977)
เป็นพระพุทธรูปปางลีลา สูงเท่าพระองค์ คือ ๑๗๒ เซนติเมตร พระราชทานพระนามว่า “พระพุทธ
สยามาภิวัฒนบพิตร ภูมิพลนริศทสสหัสสทิวัสรัชการี ปัณณาสวรรษศรีอุภัยมหามงคล” ซึ่งมีความหมายว่า
พระ (พุทธเจ้า) บพิตร ผู้ยังสยามรัฐให้เจริญยิ่ง เป็นมหามงคลแห่งศรี คือ
มิ่ ง มงคล ๒ อย่ า งคื อ สมเด็ จ พระภู มิ พ ลผู้ ท รงเป็ น ใหญ่ แ ห่ ง นรชนเสด็ จ
เถลิ ง ถวั ล ยราชสมบั ติ ม าได้ ห มื่ น วั น เศษและเจริ ญ พระชนมพรรษาครบ ๕๐
(เพลินพิศ ๒๕๓๓, ๓๖)
ประดิษฐานไว้ที่พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร พระพุทธปฏิมาองค์นี้ แก้ว หนองบัว เป็นผู้ปั้นหุ่น โดยมี
ภาวาส บุนนาค รองราชเลขาธิการเป็นผู้ควบคุมตามพระราชประสงค์ ถึงแม้ว่าพุทธลักษณะโดยรวมจะ
จำลองมาจากพระพุทธปฏิมาลีลาแบบสุโขทัย แต่พระพักตร์แสดงความเป็นคน (รูปที่ ๓.๓๖ ข.) สมกับที่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช มีพระราชปรารภไว้ว่า “อยากเห็น
พระเปนคน อยากให้เห็นหน้าเปนคนฉลาดอดทนมีความคิดมาก” (พระราชหัตถเลขา ๒๕๑๔, ๑๓๔) จึง
อาจจะกล่ า วได้ ว่ า พระพุ ท ธปฏิ ม าตามพระราชนิ ย มรั ช กาลปั จ จุ บั น เป็ น พระพุ ท ธปฏิ ม าแบบสุ โ ขทั ย
ประยุกต์
รูปที่ ๓.๔๑
พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ
สร้างปี พ.ศ. ๒๕๔๒ (ค.ศ. 1999)
ทองเหลือง กะไหล่ทอง สูง ๑.๗๒ เมตร
หอพระมณเฑียรธรรม
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
ในรัชกาลปัจจุบัน พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานจัดขึ้นร่วมกับพระราชพิธี
ฉัตรมงคล โดยวันแรกเป็นพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน วันที่สองเป็นพระราชพิธี
เฉลิมฉลองพระมหาเศวตฉัตร เครื่องราชกกุธภัณฑ์ และพระแสงสำคัญประจำรัชกาล วันที่สามซึ่งตรง
กับวันที่ ๕ พฤษภาคม เป็นพระราชพิธีคล้ายวันที่ทรงรับนพปฎลมหาเศวตฉัตร เครื่องราชกกุธภัณฑ์ และ
พระมหามงกุฎในการบรมราชาภิเษก ซึ่งพระราชพิธีในสองวันหลังนั้นจัดขึ้นในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
(ศิลปากร ๒๕๔๖, ๗๒)
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ซึ่งปัจจุบัน
พระราชพิธีนี้จัดขึ้นที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย โดยอัญเชิญพระบรมอัฐิของสมเด็จพระมหากษัตริย์และ
พระอัฐิของพระอัครมเหสีทุกพระองค์ประดิษฐานบนพระแท่นราชบัลลังก์ใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร รวมทั้ง
พระพุทธรูปประจำพระชนมวารมาประดิษฐานในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเหนือพระที่นั่งบุษบกมาลา
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
พระพุทธรูปประจำพระชนมวารเริ่มสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยที่พระองค์ทรงสร้างพระพุทธรูปตามวันพระราชสมภพ เพื่อทรงถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช และสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี สมเด็จ
พระบรมมไหยิกาเธอ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จ
พระศรีสุริเยนทราบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง อันได้แก่
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก วันพุธ พระพุทธรูปยืน ปางอุ้มบาตร (รูปที่ ๓.๔๒)
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี วันอาทิตย์ พระพุทธรูปยืน ปางถวายเนตร (รูปที่ ๓.๔๓)
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วันพุธ พระพุทธรูปยืน ปางอุ้มบาตร (รูปที่ ๓.๔๔)
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี วันอาทิตย์ พระพุทธรูปยืน ปางถวายเนตร (รูปที่ ๓.๔๕)
๘๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๔๒ พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๐ – ๒๔๑๑
(ค.ศ. 1867 – 1868)
ทองคำ บาตรลงยา
องค์พระสูง ๒๙.๕๐ เซนติเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
รูปที่ ๓.๔๓ พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๐ - ๒๔๑๑
(ค.ศ. 1867 - 1868)
ทองคำ ฐานเงินกะไหล่ทอง
องค์พระสูง ๒๒.๓๐ เซนติเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
รูปที่ ๓.๔๔
รูปที่ ๓.๔๕
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๘๑
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ถวายเป็น
พระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิตุลาธิราช สมเด็จพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี สมเด็จพระบรมราช-
ชนนีพันปีหลวง ได้แก่
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วันจันทร์ พระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร (รูปที่ ๓.๔๖)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันพฤหัสบดี พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ
ปางสมาธิ (รูปที่ ๓.๔๗)
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี วันพฤหัสบดี พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ
อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า “พระพุทธรูปสมาธิทรง
หล่อด้วยทองคำในรัชกาลปัจจุบันนี้ ทรงพระราชอุทิศถวายกรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์” (จุลจอม-
เกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๔๗) ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานในหนังสือ ราชสกุลวงศ์ (ศิลปากร ๒๕๓๖ ข,
๑๕๕) ว่าพระองค์ประสูติในวันพฤหัสบดี แต่ปรากฏว่าพระพุทธรูปที่พิมพ์ในหนังสือเรื่อง พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๓๔๓ – ๓๔๕)
๘๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
นอกจากพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ๓ องค์ที่ได้กล่าวถึงข้างต้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสำหรับพระองค์เอง และโปรด
เกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแด่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และ
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็นพระพุทธรูปดังต่อไปนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันอังคาร พระพุทธรูปยืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์
(รูปที่ ๓.๔๘) แทนพระพุทธไสยาสน์
สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า วันพุธ พระพุทธรูปยืน
ปางอุ้มบาตร (รูปที่ ๓.๔๙)
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ วันศุกร์ พระพุทธรูปยืน ปางรำพึง (รูปที่ ๓.๕๐)
รูปที่ ๓.๔๘
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๑ – ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1868 - 1910)
ทองคำ สูงรวมฐาน ๓๔.๖๐ เซนติเมตร
หอพระบรมอัฐิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
รูปที่ ๓.๔๙
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี
พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๒๔ (ค.ศ. 1881)
สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง บาตรหยก
องค์พระสูง ๒๑.๒๐ เซนติเมตร
หอพระบรมอัฐิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
รูปที่ ๓.๕๐
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๓๘? (ค.ศ. 1875?)
สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง
องค์พระสูง ๒๑.๓๕ เซนติเมตร
หอพระบรมอัฐิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๘๓
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสำหรับ
พระองค์เอง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว วันเสาร์ พระพุทธรูปปางนาคปรก (รูปที่ ๓.๕๑)
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสำหรับพระองค์
เอง และพระราชทานแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันพุธ พระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร (รูปที่ ๓.๕๒)
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี วันอังคาร พระพุทธรูปยืนปางห้ามพระแก่นจันทน์
(รูปที่ ๓.๕๓) แทนพระพุทธไสยาสน์
ในพระบรมมหาราชวัง)
๘๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารถวาย
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช และทรงอุทิศพระพุทธรูป
ถวายสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราช-
ชนนี รวมทั้งทรงสร้างสำหรับพระองค์เอง เมื่อทรงฉลองพระชนมพรรษามหามงคล ๕ รอบ ในปี พ.ศ.
๒๕๓๐ (ค.ศ. 1987)
สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล วันอาทิตย์ พระพุทธรูปยืน ปางถวายเนตร (รูปที่ ๓.๕๔)
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม วันศุกร์ พระพุทธรูปยืน ปางรำพึง (รูปที่ ๓.๕๕)
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี วันอาทิตย์ พระพุทธรูปยืน ปางถวายเนตร (รูปที่ ๓.๕๖)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันจันทร์ พระพุทธรูปยืน ปางห้ามญาติ (รูปที่ ๓.๕๗)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๘๕
รูปที่ ๓.๕๗
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ปั้นและหล่อ โดย แก้ว หนองบัว
พ.ศ. ๒๕๓๐ (ค.ศ. 1987)
เงิน กะไหล่ทอง
สูงรวมฐาน ๓๑.๙๕ เซนติเมตรเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
๘๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
นอกจากนั้น ยังมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานวันปิยมหาราช พระราช
พิธีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
จัดขึ้นในวันที่ ๒๓ ตุลาคมของทุกๆ ปี โดยอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม-
เกล้าเจ้าอยู่หัว ออกประดิษฐานบนพระแท่นราชบัลลังก์ใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตรในพระที่นั่งอมรินทรา-
วินิจฉัย เคียงข้างด้วยพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา
บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบรมอัฐิและพระอัฐิ
ประดิษฐานเหนือพระที่นั่งบุษบกมาลา
ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีทรง
บำเพ็ญพระราชกุศลวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามา-
ธิบดินทร์ และพระราชกุศลทักษิณานุประทาน พระบรมอัฐิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม
พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยเริ่มจัดพระราชพิธีบำเพ็ญพระราช
กุศลคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เป็น
ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) ต่อมาจึงรวมเป็นวันเดียวกันกับพระราชพิธีทรง
บำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม
พระบรมราชชนก และเมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต จึงจัดพระราชพิธีดัง
กล่าวขึ้นในคราวเดียวกันเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ (ค.ศ. 1997) พร้อมกับอัญเชิญพระพุทธรูปประจำ
พระชนมวารมาตั้งเป็นองค์ประธานอีกด้วย
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๘๗
ตอนที่ ๔ พระราชพิธีพืชมงคลและพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม ในอดีตจึงมีพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร
กรรมมากมาย เพื่อสวัสดิภาพ และความอุดมสมบูรณ์ เช่น เดือนธันวาคม พระราชพิธีไล่เรือ หรือไล่น้ำ
เพื่อให้น้ำลดลงเร็วๆ เมล็ดข้าวในนาจะได้ไม่เสียหาย เดือนมกราคม พระราชพิธีตรียัมปวาย หรือ
โล้ชิงช้า ซึ่งแต่เดิมเป็นพิธีที่จะให้พระสูรยะหรือพระอาทิตย์โคจรโดยปกติ (Quaritch Wales 1931, 244)
เดือนกุมภาพันธ์ พิธีธานยเทาะห์ หรือเผาข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว เดือนพฤษภาคม พระราชพิธี
พืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เดือนสิงหาคม พระราชพิธีพรุณศาสตร์ หรือพิธีขอฝน เดือน
กันยายน พระราชพิธีสารท กวนข้าวทิพย์
ปัจจุบันพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรคงเหลือแต่ พระราชพิธีพืชมงคลและพระราชพิธี
จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมเพื่อประกาศว่าถึงช่วงเวลาเริ่มต้นฤดูเพาะปลูก
ทำนา และเพื่อความเป็นสิริมงคล
แต่เดิมมีแต่พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่ง
ตั้งพระยาแรกนา ทำการไถนาและหว่านธัญพืช มีเทพี ๔ นางหาบกระบุงพันธุ์พืชเดินตามพระยาแรกนา
ขณะไถและหว่าน มีการเสี่ยงทายผ้านุ่งที่พระยาแรกนาเลือก และพืชพันธุ์ที่พระโคเลือกกิน ต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเพิ่มพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีทางพุทธศาสนา ๑ วัน
ก่อนหน้า เพื่อเป็นสิริมงคลหรือทำขวัญแก่พืชพันธุ์ธัญญาหารที่จะนำไปหว่านในวันรุ่งขึ้น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชพิธีพืชมงคล จัดขึ้นที่ท้องสนามหลวง
โดยการสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระคันธารราษฎร์องค์ใหญ่ เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ
ปางขอฝน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น (ดูรูปที่ ๓.๕๘) พร้อมกับ
พระพุทธคันธารราษฎร์จีน (ดูรูปที่ ๓.๕๙) พระคันธารราษฎร์ยืนซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวทรงสร้าง (ดูรูปที่ ๓.๖๐) อันมีลักษณะเดียวกันกับพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาของ
พระองค์ (ดูรูปที่ ๓.๓๓) และพระเสกรวงข้าว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง (ดูรูปที่
๓.๖๑) รวมทั้งพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล และพระชัยวัฒน์เนาวโลหะ (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๔๑๒)
๔.๑ พระคันธารราษฎร์
พระคันธารราษฎร์เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ครองจีวรห่มดอง พระหัตถ์ขวายกขึ้นใน
ท่ากวัก พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้นที่พระเพลา (รูปที่ ๓.๕๘) สร้างขึ้นพร้อมกับกรุงรัตนโกสินทร์ ดังที่พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
พระพุทธคันธารราษฎร์พระองค์ใหญ่ซึ่งอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น เป็น
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างขึ้น ตามในประกาศที่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไว้ ว่าสำเร็จ ณ ปีเถาะเบญจศก
รูปที่ ๓.๕๘ พระคันธารราษฎร์
จุลศักราช ๑๑๔๕ [พ.ศ. ๒๓๒๖ / ค.ศ. 1783 – 1784] เดิมลงรักปิดทอง แต่
สร้างปี พ.ศ. ๒๓๒๖ (ค.ศ. 1783)
ภายหลังมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ทรงก้าไหล่ทองขึ้นใหม่
สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง
และติดเพชรเม็ดใหญ่เป็นพระอุณาโลม พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระนั่งผ้าทรง
หน้าตักกว้าง ๕๗.๔๐ เซนติเมตร
เป็นอย่างที่พาดสังฆาฏิตามธรรมเนียม ดวงพระพักตร์และทรวดทรงสัณฐาน
สูงรวมฐาน ๘๗.๕๐ เซนติเมตร
หอพระคันธารราษฎร์
เป็นอย่างพระโบราณ พระรัศมีกลมเป็นรูปดอกบัวตูมเกลี้ยงๆ ด้วยพระบาท
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทอดพระเนตรเห็นพระโบราณ จึงให้ช่างถ่าย
ในพระบรมมหาราชวัง
อย่างหล่อให้เหมือนพระพุทธรูปตัวอย่าง (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๕๕๗)
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
๘๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระคั น ธารราษฎร์ อ งค์ ใ หญ่ ยั ง อั ญ เชิ ญ ไปประดิ ษ ฐานในพระราชพิ ธี ไ ล่ น้ ำ และพระราชพิ ธี
พรุณศาสตร์ (เรื่องเดียวกัน, ๖๖, ๕๖๙)
นอกจากพระคันธารราษฎร์องค์ใหญ่นี้แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระคันธารราษฎร์แบบจีนขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง (รูปที่ ๓.๕๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวได้พระราชทานความรู้เกี่ยวกับพระคันธารราษฎร์จีนว่า
ดวงพระพักตร์เป็นอย่างจีน มีแต่พระเมาฬีไม่มีพระรัศมี ผ้าที่ทรงจะว่าเป็นจีวร
ก็ใช่ เป็นผ้าอุทกสาฎกก็ใช่ ใช้คลุมสองพระพาหา แหวกที่พระอุระกว้าง ทำนอง
เป็นเสื้อหลวงญวน อย่างเช่นพระจีนทั้งปวง พระหัตถ์ที่ยกนั้นน่าสงสัยว่าบางที
จะเป็นใช้บทอย่างทำกงเต๊ก แต่ไม่ถึงกรีดนิ้วออกท่า เป็นกวักตรงๆ แต่รูปร่าง
หมดจดงดงามดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนับถือโปรดปราน
มาก โปรดให้ทำจอกน้ำมนต์วางในพระหัตถ์ซ้าย ช้อนสำหรับตักน้ำมนต์ลงยันต์
สอดในหว่างนิ้วพระหัตถ์ขวา มีจงกลติดเทียนทองอยู่ที่ฐานตรงพระพักตร์ แล้ว
โปรดให้ก้าไหล่ทองทั้งพระองค์และเครื่องประดับสำหรับตั้งพระราชพิธีพืชมงคล
และพรุณศาสตร์ (เรื่องเดียวกัน, ๕๕๘)
รูปที่ ๓.๕๙ พระคันธารราษฎร์จีน
พระคันธารราษฎร์จีนองค์นี้ อัญเชิญไปตั้งในพระราชพิธีพรุณศาสตร์อีกด้วย (เรื่องเดียวกัน, ๕๖๘)
สร้างปี พ.ศ. ๒๓๒๖? (ค.ศ. 1783?)
การสร้างพระคันธารราษฎร์จีนขึ้นใหม่นี้ แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทองคำ
มีพระราชดำริที่มุ่งรื้อฟื้นและสืบทอดพระราชประเพณีที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้วเพื่อใช้ในพระราช
หน้าตักกว้าง ๒๙.๓๐ เซนติเมตร
สูงรวมฐาน ๔๘.๑๐ เซนติเมตร
พิธีพืชมงคลและพรุณศาสตร์ พระคันธารราษฎร์จึงเป็นพระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อ
หอพระคันธารราษฎร์
ประโยชน์สุขของประชาชน และเป็นการแสดงออกของหน้าที่ความรับผิดชอบที่พระมหากษัตริย์ทรงมีต่อ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พสกนิกรของพระองค์ คือทรงนำความชุ่มชื้นมาสู่แผ่นดิน ซึ่งเป็นหน้าที่หลักหน้าที่หนึ่งของพระมหากษัตริย์
ในพระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา มาแต่ดึกดำบรรพ์
ในพระบรมมหาราชวัง)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๘๙
พระคันธารราษฎร์ยืน พระหัตถ์ขวายกในกิริยากวัก พระหัตถ์ซ้ายหงายรองรับน้ำฝนที่บั้นพระองค์
(รูปที่ ๓.๖๐) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพระปางคันธารราษฎร์ หรือปางขอฝน ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์คิดค้นขึ้นตามเนื้อหาในพุทธประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
พระราชนิพนธ์ว่า
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริตามเรื่องพระคันธารราษฎร์
ในท้องเรื่องนั้น เวลาที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงสรงในสระโบกขรณีนั้น ว่าเสด็จ
ยืนอยู่ที่ปากสระ จึงโปรดให้หล่อองค์ย่อมอีกองค์หนึ่ง ทรงผ้าอุทกสาฎก ตวัด
ชายคลุมพระพาหาข้างหนึ่ง เสด็จยืนอยู่บนบัวกลุ่ม ที่ฐานมีคั่นอัฒจันทร์ลงไป
สามคั่น ให้เป็นที่หมายว่าเป็นคั่นอัฒจันทร์ลงในสระ (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๔๙๖, ๕๕๗ – ๕๕๘)
ดังนั้นพระพุทธรูปยืนปางขอฝน จึงเป็นภาพที่ช่างปั้นจินตนาการขึ้นให้รับกับเหตุการณ์ฝนแล้ง
ที่เกิดขึ้นเมื่อพระพุทธองค์ประทับที่กรุงสาวัตถี จนสระบัวที่พระองค์ทรงใช้ก็แห้งด้วย จึงเสด็จไปยืนที่
ขอบสระ และทรงกวักเรียกฝน ด้วยพุทธานุภาพฝนจึงตกลงมา
๙๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๔.๒ พระเสกรวงข้าว
พระเสกรวงข้าว (รูปที่ ๓.๖๑) หรือ “พระทรมานข้าว” คำว่าทรมานคือการให้ข้าวลดทิฐิมานะ
ออกดอกผลเป็นเมล็ดพันธุ์อันอุดมสมบูรณ์ตามฤดูกาล พระเสกรวงข้าวเป็นพระพุทธรูปสลักจากศิลา
สีแดงประทับขัดสมาธิราบบนฐานสิงห์ที่มีผ้าทิพย์ ใต้ฉัตรสามชั้น แสดงปางมารวิชัย ด้านหลังมีต้นไม้
สองต้นเต็มไปด้วยพืชผล ด้านหน้าฐานพระพุทธรูปมีคนยืนใส่หมวกสองคน คนหนึ่งน่าจะเป็นเจ้านาย
กำลังเจรจากับบ่าวซึ่งนั่งพนมมืออยู่ด้านหน้าของแปลงข้าว ภายในแปลงข้าวมีคนกำลังไล่นก กังหันลม
และกระบือคู่หนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่า
ยังมีที่เป็นคู่กัน (กับพระทรมานมิจฉาทิฐิ) คือทรมานข้าว พระพุทธเจ้านั่งอยู่บน
ฐานในครอบแก้ว ตรงหน้าออกมาเป็นท้องนามีข้าวกำลังเป็นรวง ตามครอบแก้ว
ก็เขียนเป็นรูปห้างคนขับนก และฝูงนกที่บิน พระพุทธรูปครอบแก้วที่เรียกว่า
ทรมานข้าวนี้ ก็ใช้ตั้งในพระราชพิธีแรกนา (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖,
๕๕๖ – ๕๕๗)
หากพิจารณาจากการใช้วัสดุที่มีค่าและหายาก เช่น ศิลาสีแดง ทองคำ พลอย และการลงยาราชาวดี
รูปที่ ๓.๖๑ พระเสกรวงข้าว
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า-
แล้ว ยังสามารถสะท้อนให้เห็นค่านิยมร่วมสมัยจากจีน ซึ่งนิยมสร้างประติมากรรมขนาดเล็กด้วยอัญมณี
เจ้าอยู่หัว
เช่น ทิวทัศน์เกาะเพ็งไหล ซึ่งเป็นดินแดนอมตะของเหล่าเซียน (Evelyn et al. 2005, 360)
พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔
(ค.ศ. 1824 – 1851)
พระเสกรวงข้าวเป็นตัวอย่างหนึ่งของงานประติมากรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า-
ศิลาแดง
องค์พระสูง ๘.๗๐ เซนติเมตร
เจ้าอยู่หัวที่แสดงให้เห็นค่านิยมในงานศิลปะของยุคนั้นที่เน้นความเหมือนจริงในงานสร้างสรรค์ เฉกเช่น
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
งานวรรณกรรมร่วมสมัย ที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
อาจจะกล่าวได้ว่า ความสนใจต่อสัจจนิยมในวรรณกรรมและการกล่าวถึงความ
จริงเชิงประสบการณ์เป็นลักษณะสำคัญของวรรณกรรมในต้นรัตนโกสินทร์
(นิธิ ๒๕๒๗, ๒๐๓)
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีที่กระทำสืบทอดกันมาจนถึง
พ.ศ. ๒๔๗๗ (ค.ศ. 1934) เมื่อหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎรก็ยกเลิก
พระราชพิธีนี้ไป จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๘๓ (ค.ศ. 1940) รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้รื้อฟื้น
พระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีก แต่เป็นการรื้อฟื้นเพียงพระราชพิธีพืชมงคลเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๓
(ค.ศ. 1960) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นพระราชพิธีจรด-
พระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นมา เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
และเพื่อให้บังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธ์ธัญญาหาร
ในรัชกาลปัจจุบัน พระราชพิธีพืชมงคลจัดในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และอัญเชิญ
พระคันธารราษฎร์ไปประดิษฐานร่วมในพิธีด้วย
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๙๑
หมวด ค.
พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระเกียรติยศและ
ฉลองพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา
พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นพระเกียรติยศของพระองค์
ที่สำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาทรงเครื่องฉลองพระองค์
ตอนที่ ๕ พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นแทนองค์พระมหากษัตริย์
และพระราชวงศ์
พระพุทธปฏิมาทรงเครื่องฉลองพระองค์
อาจจะกล่าวได้ว่า พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ที่พระมหากษัตริย์สามพระองค์แรกของ
กรุงรัตนโกสินทร์ทรงสร้างขึ้นด้วยพระราชศรัทธาในพระบวรศาสนานั้น เป็นพระพุทธรูปที่สะท้อนให้เห็น
ค่านิยมของคณะสยามนิกายซึ่งเป็นนิกายที่สืบทอดมาจากคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะที่ในปัจจุบันเรียกว่าคณะ
มหานิกายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด เพราะพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ได้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน โดยไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้ อันเห็นได้จากที่พระพุทธรูปคือพระมหากษัตริย์ และ
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระพุทธเจ้า และจากการที่คณะสยามนิกายนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลอง
พระองค์ของพระจักรพรรดิราช ตามที่กล่าวถึงใน มหาชมพูปติสูตร จาก พระสุตตันตปิฎก ลักขณสูตร-
ทีฆนิกาย (สุชีพ ๒๕๓๕, ๓๖๑) และใน เอกปุคคลปาสิ อังคุตตรนิกาย ในพระไตรปิฎกที่กล่าวว่า
ทั้งพระพุทธเจ้า และพระจักรพรรดิราช ต่างก็เป็นอัจฉริยมนุษย์ ประสูติขึ้นมาเพื่อประโยชน์สุขของ
มวลมนุษย์ชาติเช่นกัน (เรื่องเดียวกัน, ๔๙๓) และตามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระ
ราชดำรัสให้ พระศรีสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ เรียบเรียงประวัติของพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิ-
พิมลมณีมัยในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ (ค.ศ. 1861) และทรงแทรกเรื่องราวของการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง
ฉลองพระองค์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช พระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถ และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จ
พระบรมเชษฐาธิราช ทรงสร้างขึ้นว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช
ทรงดำเนินตามประเพณีในราชตระกูลว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและกรมพระราชวังบวร ต้อง
สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์เป็นพระพุทธรูปยืนห้ามสมุทรสูงเสมอพระองค์ ทรงเครื่องต้น คือ พระ
มหามงกุฎ กรรเจียกจร ฉลองพระศอ ทับพระทรวง พระสังวาล ตาบหน้าตาบหลัง เฟื่องข้าง ผ้าทิพย์
พระสุพรรณกระถอบชายไหวสามชั้น พระสุพรรณภูษา พระเกยูร พระพาหุรัด พระสุพรรณมาลัยกนกเหน็บ
พระธำมรงค์ทั้งสิบนิ้ว ยอดรังแตนใจกลางพระหัตถ์ ฉลองพระบาทเชิงงอน พระพุทธรูปฉลองพระองค์
เช่นนี้ พระเจ้าอยู่หัวและกรมพระราชวังบวรเมื่อเวลาเสวยราชสมบัติ “รีบร้อนเร่งซงส้างขึ้นไว้เพื่อจะให้
เป็นพระเกียรติยส สืบไปพายหน้าทุกพระองค์” (จอมเกล้าเจ้าหยู่หัว ๒๔๘๕, ๙๘ – ๙๘, อักขรวิธีสมัย
จอมพล ป. พิบูลสงคราม)
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลอง
พระองค์ขึ้นสามองค์ ได้แก่ พระพุทธจักรพรรดิ พระพุทธเพชรัตน์ และพระพุทธเนาวรัตน์ พระพุทธ-
จักรพรรดินั้น เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (พระบรมราชชนกใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
๙๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๙๓
แล้วซงส้างพระฉลองพระองค์อีกคู่หนึ่งโดยหย่างไหม่ ไม่มีปีกแลครีบพระกร
หย่างโบราณ ยักหย่างไห้มีอาการพระพุทธรูปซงจีวรแต่พระอังสาเดียว มีผ้า
พาดสังเขป เพื่อจะซงเครื่องต้นให้แนบเนียนสนิธเรียบร้อยเต็มตามที่พระฉลอง
พระองค์ทั้งสองนั้น ก็ซงเครื่องต้นลงยาราชาวดีเต็มบริบูรน์แลมีถานมีฉัตร
โดยหย่างดังว่ามาแล้วเหมือนกัน พระพุทธรูปสองพระองค์นั้นพระองค์หนึ่ง
เครื่องประดับนั้นมีพลอยแต่ล้วนเพชร จึงได้ถวายพระนามว่า พระพุทธเพชรรัตน
อีกพระองค์ ซงเครื่องประบัตฝังพลอยต่าง ๆ ทั้ง 9 หย่าง จึงได้ถวายพระนาม
ว่ า พระพุ ท ธเนาวรั ต น... (เรื่ อ งเดี ย วกั น , ๙๙, อั ก ขรวิ ธี ส มั ย จอมพล ป.
พิบูลสงคราม)
พระพุทธจักรพรรดินั้น “มีปีกแลครีบพระกรอย่างโบราณ” คือเป็นพระพุทธรูปห่มคลุม (รูปที่
๓.๖๒ ก.) ตามประเพณีที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยา ทับทรวงประดับด้วยทับทิมล้วน ๆ เช่นเดียวกันกับ
ทับทรวงเครื่องทรงฤดูร้อนของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงสร้างถวาย และชายแครงทำเป็นกนกสามตัวนกคาบ (รูปที่ ๓.๖๒ ข.) ซึ่งเป็นลายที่นิยมสมัยอยุธยา
ตอนปลาย (พิชญา ๒๕๕๐, ๙๒)
๙๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงริเริ่มสร้างขึ้นเป็นพระพุทธรูป “อย่าง
ใหม่” คือห่มดอง มีสังฆาฏิพาดพระอังสา ได้แก่ พระพุทธเพชรรัตน์ ซึ่งตกแต่งด้วยเพชรที่ทับทรวง
สังวาล และพระธำมรงค์ทุกนิ้วพระหัตถ์ (รูปที่ ๓.๖๓ ก.) และพระพุทธเนาวรัตน์ ซึ่งประดับด้วยพลอย
ทั้ง ๙ ชนิด (รูปที่ ๓.๖๔ ก.) แต่ทั้งสององค์มีลักษณะร่วมกันคือ กรรเจียกจร (รูปที่ ๓.๖๓ ข.) และ
ชายไหวชายแครง (รูปที่ ๓.๖๔ ข.) ประดิษฐ์เป็นช่อกนกหางโตใบเทศ
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๙๕
ส่วนพระพุทธรูปฉลองพระองค์ที่สมเด็จพระอนุชาธิราช สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
(พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๔๖ / ค.ศ. 1782 – 1803) ทรงสร้างขึ้นนั้นเป็นแบบที่ “มีปีกแลครีบพระกรอย่าง
โบราณ” มงกุฎมีครอบหลังพระเศียร (รูปที่ ๓.๖๕ ก.) กุณฑลเป็นลูกตุ้ม ชายไหวชายแครงเป็นช่อหางโต
ใบเทศ และลงยาราชาวดี (ลงยาสีฟ้า) (รูปที่ ๓.๖๕ ข.) (เรื่องเดียวกัน, ๑๐๘ – ๑๐๙)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้อมูลเกี่ยวกับพระพุทธรูปฉลองพระองค์ที่
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสร้างขึ้นว่า
ซงพระอุสาหะสเด็ดพระราชดำเนินไปยังโรงการ ซงติเตียนแก้ไขพระพักตร์แล
ส่วนพระองค ด้วยพระราชประสงค์จะไห้ดีไห้งาม ไห้วิเสสกว่าพระฉลองพระองค์
ของพระเจ้าหยู่หัวไนพระบรมมหาราชวัง ไนพระบวรราชวัง แลเจ้านายอื่นๆ
ไม่มีที่สู้ได้ ซงพระราชดำหริตริตรองไห้ช่างเขียนลายตัวหย่าง ยัก ๆ เยื้อง ๆ ไป
แล้วไห้จัดซื้อหาเพชรแลพลอยดีๆ สีต่างกัน ล้วนพลอยสีลามาไห้ช่างเจียระไน
ได้ที่ไนหลุมพลอยเครื่องประดับ ไห้เปนเครื่องกุดั่นล้วนทั้งพระองค์ ไม่มีลาย
ลงยาข้างด้านหน้า มีลายลงยาแต่หลังตัวกนกแลพื้นผ้าทิพ แล้วประดับประดา
เพิ่มเติมด้วยเครื่องเพชรเรือนนอกต่างๆ มากมายยิ่งนัก เพลิดเพลินพระหรึทัย
ไปแต่ไนที่จะประดับฉลองพระองค์ เพราะเปนของไหย่จะคิดประดับประดาเพิ่ม
เติมไห้ดีไห้งามไปตามพระราชประสงค์ การไนฉลองพระองค์นั้นเปนอันเส็ดลงไน
ปลายปีมะเมียนักสัตรจัตวาสก (แผ่นดินพระบาทสมเด็ดพระพุทธเลิสหล้านภาลัย)
สักราช 1184 ตรงกับปีมีคริสตสักราช 1822… (เรื่องเดียวกัน, ๙๙ – ๑๐๐,
อักขรวิธีสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม)
๙๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
เครื่องประดับพระพุทธนฤมิตร (รูปที่ ๓.๖๖ ก.) นี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างทำ
หลุมฝังอัญมณีแทนวิธีการเขียนลายลงยา ส่วนชายไหวชายแครงทำเป็นกนกใบเทศโปร่ง (รูปที่ ๓.๖๖ ข.)
ทรงพระราชทานพระนามพระพุทธรูปว่า
พระพุทธนิมิต เพราะเหตุที่ซงพระราชดำหริว่าพระพุทธเจ้าที่จะซงเครื่องประดับ
หย่างนี้ไม่มี เปนแต่เวลาที่พระองค์จะซงทรมานผู้หนึ่งผู้ใด แล้วจะซงนิรมิตโดย
พระพุทธริทธิ์วิสัยไห้เป็นดังนี้เท่านั้น (เรื่องเดียวกัน, ๑๐๓, อักขรวิธีสมัย
จอมพล ป. พิบูลสงคราม)
พระพุทธรูปฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ “พระพุทธรังสรรค์”
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงให้เปลี่ยนเป็น “พระพุทธรังสฤษดิ์” เพื่อให้สัมผัสคล้องจองกับ
พระนามของ “พระพุทธนฤมิตร” (ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ๒๕๔๑, ๒๐) สร้างขึ้นและสมโภชในปี
พ.ศ. ๒๓๗๔ (ค.ศ. 1831) พระพุทธรังสฤษดิ์ (รูปที่ ๓.๖๗ ก.) มีชายไหวชายแครงเป็นกนกสามตัว
ใบเทศ และไม่มีการลงยาราชาวดี หรือลงยาด้วยสีฟ้า (รูปที่ ๓.๖๗ ข.)
รูปที่ ๓.๖๖ ข. ชายไหวชายแครง พระพุทธนฤมิตร
รูปที่ ๓.๖๗ ก. พระพุทธรังสฤษดิ์
รูปที่ ๓.๖๗ ข. ชายไหวชายแครง
(รูปที่ ๓.๖๖ ก.)
(องค์หน้า ด้านทิศตะวันตก)
พระพุทธรังสฤษดิ
์
สร้างปี พ.ศ. ๒๓๗๔ (ค.ศ. 1831)
(รูปที่ ๓.๖๗ ก.)
สัมฤทธิ์ หุ้มทองคำลงยา ประดับอัญมณี
สูง ๒.๑๐ เมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๙๗
๙๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ เห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อครั้ง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ขึ้นอีก ๒ องค์ในปี
พ.ศ. ๒๓๘๖ (ค.ศ. 1843) ประดิษฐานหน้าฐานชุกชีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถวาย
พระนามองค์ด้านซ้ายของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ดูรูปที่ ๓.๗) และ
องค์ด้านขวาว่าพระพุทธเลิศหล้าสุลาลัย (ดูรูปที่ ๓.๘) ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตร
อลังการด้วยเนาวรัตน์สุดเท่าที่จะเนรมิตรประดิษฐ์คิดขึ้นมาได้ (ดูหัวข้อที่ ๑.๒ หน้า ๕๔)
นอกจากพระพุทธรูป ๒ องค์นี้แล้ว บนชุกชีของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรยังประดิษฐาน
พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์อีก ๑๐ องค์ ซึ่ง ๔ องค์สร้างขึ้นในรัชกาลของพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ๑ องค์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และ ๕ องค์สร้างขึ้น
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พิชญา ๒๕๕๐, ๔๑ – ๑๔๒) ทั้ง ๑๐ องค์ มีความวิจิตร
ตระการตาไม่แพ้กัน สอดคล้องกับพระราโชบายที่จะเสริมสร้างพระเกียรติยศด้วยพระราชศรัทธา
แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชดำริที่จะสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลอง
พระองค์ของพระองค์เอง และพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะประดิษฐานไว้ภายในบุษบกยอดปรางค์ที่ผนังด้านหลังพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
แต่ก็มิได้ทรงสร้าง (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๔, ๗๐) เพราะตอนหลังอาจจะเปลี่ยนพระทัยไปสร้าง
พระบรมรูปแทนก็เป็นได้ ส่วนบุษบกด้านหน้านั้นพระองค์ทรงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รูปที่ ๓.๖๘) ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จำลองจากพระพุทธนฤมิตร พระพุทธรูป
ทรงเครื่องฉลองพระองค์ในหอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง (ศิลปากร ๒๕๒๑ ข, ๖๔) (ดูรูปที่
๓.๖๖ ก.) แต่งานยังคงค้างอยู่เมื่อเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้
หล่อพระพุทธรูปให้แล้วเสร็จ และนำขึ้นประดิษฐานในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ (ค.ศ. 1883) (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๑๖๕)
รูปที่ ๓.๖๘ พระพุทธนฤมิตรจำลอง
หล่อปี พ.ศ. ๒๔๒๖ (ค.ศ. 1883)
สัมฤทธิ์ สูง ๒.๔๙ เมตร
พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
กรุงเทพมหานคร
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๙๙
๑๐๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้
สร้างขึ้นได้แก่ พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จ
พระบรมชนกนาถ (รูปที่ ๓.๖๙) ประดิษฐานในวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร (วัดบวรนิเวศวิหาร ๒๕๐๔, ๗๗)
ซึ่งเลียนแบบพระพุทธนฤมิตรจำลอง วัดอรุณราชวราราม และพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (รูปที่ ๓.๗๐) ประดิษฐานในพระอุโบสถ
วัดเทพศิรินทราวาส เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ครองจีวรห่มดอง เฉกเช่นพระพุทธรูปทรงเครื่อง
ฉลองพระองค์ที่พระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรีทรงสร้าง ทรงพระมหามงกุฎยอดสูง ชายแครงมี
ขนาดลดหลั่นกัน ตอนบนมีขนาดของตัวกนกเล็กกว่าตอนล่าง ซึ่งเป็นแบบที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาใหม่
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๐๑
รูปที่ ๓.๗๑ ก.
พระบรมรูป
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ
ทรงปั้นหล่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ (ค.ศ.1871)
ปราสาทพระเทพบิดร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง
รูปที่ ๓.๗๑ ข.
พระบรมรูป
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ
ทรงปั้นหล่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ (ค.ศ.1871)
ปราสาทพระเทพบิดร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง
รูปที่ ๓.๗๑ ค.
พระบรมรูป
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ
ทรงปั้นหล่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ (ค.ศ. 1871)
ปราสาทพระเทพบิดร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง
รูปที่ ๓.๗๑ ง.
พระบรมรูป
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ
ทรงปั้นหล่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ (ค.ศ. 1871)
ปราสาทพระเทพบิดร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๐๓
ตอนที่ ๖ พระพุทธปฏิมาที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเมื่อครั้งทรงผนวช
พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างซึ่งแสดงถึงพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง
ได้แก่ พระพุทธรูปที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อเมื่อครั้งทรงผนวช แล้วโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ
มาประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ ด้วยเพราะพระมหากษัตริย์ทุก
พระองค์ นับจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงผนวช ล้วนทรงจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้
๖.๑ พระพุทธนินนาท (รูปที่ ๓.๗๒)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ (ค.ศ. 1873) และเสด็จมาประทับที่พระตำหนักปั้นหยา ซึ่ง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชทานสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ-
สมมุติเทววงศ์ เมื่อครั้งดำรงพระสมณศักดิ์เป็น พระวชิรญาณมหาเถร เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร
(เพลินพิศ ๒๕๓๓, ๕) ครั้นทรงลาผนวชแล้วจึงทรงสร้างพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร ทรงครองจีวร
ห่มคลุม ทำเป็นริ้วตามธรรมชาติ และไม่มีพระเมาลี อันเป็นพระราชนิยมที่สืบเนื่องมาจากสมัยพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถ
๖.๒ พระพุทธนาคชินะ (รูปที่ ๓.๗๓)
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ (ค.ศ. 1904) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธมกุฎราชกุมาร
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จไปประทับพระตำหนักปั้นหยา วัดบวร-
นิ เ วศวิ ห าร พร้ อ มกั น นั้ น สมเด็ จ พระเจ้ า ลู ก ยาเธอ เจ้ า ฟ้ ามหิ ด ลอดุ ล ยเดช กรมขุ น สงขลานคริ น ทร์
ทรงผนวชเป็นสามเณร (วัดบวรนิเวศวิหาร ๒๕๐๔, ๑๐๒ – ๑๐๓) ในคราวนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระพุทธนาคชินะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปนาคปรก ประจำวันเสาร์ วันพระบรมราชสมภพ เป็นพระ
บรมราชานุสรณ์
๖.๓ พระพุทธธรรมาธิปกบพิตร (รูปที่ ๓.๗๔)
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ (ค.ศ. 1917) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช กรมขุน
ศุโขไทยธรรมราชา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จไปประทับที่พระ
ตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร (เรื่องเดียวกัน, ๑๓๓ – ๑๓๔) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ (ค.ศ. 1973)
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระพุทธธรรมาธิปกบพิตร เป็นพระบรมราชานุสรณ์ (สำนักราชเลขาธิการ ๒๕๒๘ ข, ๑๔๓)
พระพุทธธรรมาธิปกบพิตร เป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำวันพุธ วันพระ
บรมราชสมภพ
๖.๔ พระพุทธนาราวันตบพิตร (รูปที่ ๓.๗๕)
เป็นพระพุทธรูปซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
สร้างขึ้นเป็นพระบรมราชานุสรณ์ เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) เป็น
พระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร จำลองพุทธลักษณะจากพระพุทธนินนาท (ดูรูปที่ ๓.๗๒) ซึ่งพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชทรงสร้างขึ้นเมื่อครั้งทรงผนวช ซึ่งเป็น
พระพุทธรูปประจำวันจันทร์ วันพระบรมราชสมภพ
รูปที่ ๓.๗๓
พระพุทธนาคชินะ
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๔๗ (ค.ศ. 1904)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑๒.๗ เซนติเมตร
วัดบวรนิเวศวิหาร
กรุงเทพมหานคร
รูปที่ ๓.๗๔
พระพุทธธรรมาธิปกบพิตร
สร้างปี พ.ศ. ๒๕๑๖ (ค.ศ. 1973)
สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง
สูง ๕๐ เซนติเมตร
วัดบวรนิเวศวิหาร
กรุงเทพมหานคร
(ภาพจากสำนักราชเลขาธิการ)
รูปที่ ๓.๗๕
พระพุทธนาราวันตบพิตร
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956)
สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง
สูง ๓๖.๕ เซนติเมตร
วัดบวรนิเวศวิหาร
กรุงเทพมหานคร
(ภาพจากสำนักราชเลขาธิการ)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๐๕
หมวด ง.
พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อกิจการพิเศษ
ตอนที่ ๗ พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อกิจการพิเศษ
เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ถึง ๒๗ พรรษาก่อนที่จะเสด็จขึ้น
ครองราชย์ จึงทรงมีความผูกพันกับพุทธศาสนามากเป็นพิเศษ พระพุทธรูปที่ทรงสร้างขึ้นเพื่อกิจการ
พิเศษนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับการสถาปนาคณะธรรมยุติกนิกาย โดยพระสัมพุทธพรรณีเป็นพระพุทธรูปองค์
แรกที่สร้างขึ้นในคณะธรรมยุติกนิกาย และพระพุทธปริตร ที่สร้างขึ้นตามเกณฑ์ของส่วนสัดตามขนาด
ของเมล็ดข้าวเปลือก ที่ทรงเชื่อว่าเป็นเกณฑ์ที่ใช้ครั้งสมัยพุทธกาล และเป็นเกณฑ์ที่ทรงใช้กับพระพุทธรูป
ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในรัชกาลของพระองค์
๗.๑ พระสัมพุทธพรรณี (รูปที่ ๓.๗๖)
พระพุทธรูปองค์แรกของธรรมยุติกนิกาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น
ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ (ค.ศ. 1830) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์
และประทับอยู่ที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาสวิหาร) มีพระฉายาว่า พระวชิรญาณเถระ ได้ทรงสถาปนาคณะ
ธรรมยุติกนิกายขึ้น พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงหล่อพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบปางสมาธิ ถวายพระนาม
ว่า “พระสัมพุทธพรรณี” ซึ่งบรรจุดวงพระชนมพรรษาและพระสุพรรณบัฏเดิม แต่ที่เป็นพิเศษคือ
พระพุทธรูปองค์นี้ไม่มีพระเมาลี หรือพระเกตุมาลา ซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ
ช่างเอกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าประทานสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า
ทูลกระหม่อม (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ไม่โปรดจะให้มีพระ
เกตุมาลา ด้วยพระอรรถกถาจารย์หรืออะไรอธิบายไว้ว่า พระเกตุมาลานั้นเกิด
ขึ้นด้วยอำนาจทรงสมาธิ อาจจะกลั้นหายใจลมจึงดันขึ้นเบื้องบนทำให้มีพระ
เกตุมาลา ทูลกระหม่อมตรัสว่าหัวเป็นปุ่มก็ไปเข้าลักษณะบุรุษโทษ ไม่ควรแก่จะ
เป็ น พุ ท ธลั ก ษณะเลย ... จนถึ ง ทรงอธิ ษ ฐาน ให้ ท รงพระสุ บิ น เห็ น พระรู ป
พระพุทธเจ้าอันแท้จริง ก็ได้ทรงพระสุบินเห็นจริงๆ แต่ก็เห็นพระเศียรมีปุ่มดุจ
พระพุทธรูปที่ทำกันอยู่นั้นเอง ทั้งนี้ไปเข้ารูปอย่างที่ฝ่าพระบาทตรัสประทาน
วินิจฉัยไว้ด้วยความเคยเห็นนั้นเอง ที่สุดทูลกระหม่อมก็ทรงหักหัวหักหางเอาว่า
พระเศียรมีปุ่มไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๔ จึงไม่มี
พระเกตุมาลา (สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๗ ๒๕๑๕, ๒๗๗ – ๒๗๘)
ภายหลังได้ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุภายในองค์พระด้วย พระสัมพุทธพรรณีประดิษฐานที่วัด
สมอรายเรื่ อ ยมาจนกระทั่ ง เมื่ อ พระบาทสมเด็ จ พระจอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ทรงประกอบพระราชพิ ธี
บรมราชาภิเษก ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระสัมพุทธพรรณีไปประดิษฐานในพระราชพิธีด้วย หลังจาก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงได้อัญเชิญพระสัมพุทธพรรณีไปประดิษฐานที่ฐานชุกชีในพระอุโบสถ
วั ด พระศรี รั ต นศาสดารามแทนที่ พ ระพุ ท ธสิ หิ ง ค์ ที่ ไ ด้ อั ญ เชิ ญ ไปไว้ ที่ พ ระที่ นั่ ง พุ ท ไธสวรรย์ ใ นพระ
บวรราชวัง อันเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๓๒๖)
นอกจากนั้นแล้ว พระสัมพุทธพรรณียังครองจีวรตามแบบพระภิกษุในธรรมยุติกนิกาย พาดสังฆาฏิ
จีวรทำเป็นริ้วตามธรรมชาติอีกด้วย เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าประดิษฐวรการทำพระรัศมีขึ้น ๔ องค์ ด้วยทอง นาก แก้วสีขาว และแก้วสีน้ำเงิน ทอง
สำหรับฤดูร้อน นากหรือแก้วสีขาวสำหรับฤดูหนาว และแก้วสีน้ำเงินสำหรับฤดูฝน ซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์จะเสด็จฯ ไปทรงเปลี่ยนพระรัศมีของพระสัมพุทธพรรณี ในคราวเดียว
กับการเปลี่ยนเครื่องทรงของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน)
๑๐๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๗๖ พระสัมพุทธพรรณี
ขุนอินทรพินิจ ปั้นหล่อ ปี พ.ศ. ๒๓๗๓ (ค.ศ. 1830)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๔๙ เซนติเมตร สูง ๖๗.๕๐ เซนติเมตร
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา ในพระบรมมหาราชวัง)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๐๗
รูปที่ ๓.๗๗
พระพุทธปริตร
สร้าง พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑
(ค.ศ. 1851 – 1868)
ไม้ไผ่สาน ปูนน้ำมัน
หน้าตักกว้าง ๑.๓๓ เมตร
สูง ๑.๙๐ เมตร
หอศาสตราคม
พระบรมมหาราชวัง
๑๐๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๗.๒ พระพุทธปริตร (รูปที่ ๓.๗๗)
พระพุทธปริตรเป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตามสัดส่วนที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ทรงค้นคว้าจากพระไตรปิฎก และพบว่าเกณฑ์ของส่วนสัดในสมัยพุทธกาลที่ใช้ขนาดของเมล็ดข้าวเปลือก
เป็นหลัก ที่เรียกว่าคืบพระสุคต ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาใช้กับพระพุทธรูปที่
พระองค์ทรงสร้าง เป็นพระประธานในพระอารามต่างๆ เช่น วัดมกุฏกษัตริยาราม (ดูรูปที่ ๓.๓) วัด
โสมนัสวิหาร (ดูรูปที่ ๕.๒๘) วัดเทพศิรินทราวาส (ดูรูปที่ ๖.๔๑) ซึ่งทรงสร้างค้างไว้ รวมทั้งพระอังคีรส
พระประธานวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (ดูรูปที่ ๕.๒๙) ซึ่งสร้างต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัว สำหรับพระพุทธปริตรนั้นสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่สาน พอกด้วยปูนน้ำมันทาสี ขนาดเท่ากับองค์
พระพุทธเจ้าตามเกณฑ์ใหม่ เพราะว่าเกณฑ์เดิมเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้านั้น สูง ๑๘ ศอก อันได้แก่ พระ
อัฏฐารส (สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๙ ๒๕๐๕, ๑๘ – ๑๙)
พระพุทธปริตรทรงเป็นพระประธานในหอศาสตราคม พระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่ที่
พระสงฆ์รามัญนิกายมาสวดพระปริตรทุกวัน ในเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา และทำน้ำพระพุทธมนต์ สำหรับ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้สรงพระพักตร์ และใช้ประพรมพระราชฐานอีกด้วย (เทวาธิราช ป.
มาลากุล ๒๔๙๕, ๒๙)
การสวดพระปริตรหรือ “รักษาสูตร” มีจุดประสงค์ที่จะปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากโรคันตรายและ
ภัยพิบัติ รวมทั้งให้เกิดความเจริญทางกายและใจ โดยเป็นประเพณีพุทธศาสนาที่ไม่เฉพาะเจาะจงแต่
นิกายเถรวาทเท่านั้น เพราะนิกายอื่นๆ ในลัทธิศราวกยานและมหายานก็มีการสวดพระปริตรเช่นกัน
(Skilling 1992, 168 – 169) สำหรับพระปริตรที่สวดในประเทศไทยนั้น รวบรวมขึ้นจากพระไตรปิฎก
โดยคณะมหาวิหารในศรีลังกา และนำมาเผยแพร่ในเอเชียอาคเนย์ พร้อมกับพระธรรมคำสั่งสอนของ
คณะมหาวิหาร ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12) (Swearer 2004, 116) พระ
ปริตรส่วนใหญ่จะมีบทสวด มงคลสูตร รัตนสูตร และ กรณียเมตตสูตร จาก ขุททกปาฐะ ขุททกนิกาย
สุตตันตปิฎก มีความหมายเช่น รัตนสูตร เพื่อขับไล่ภูติผีปิศาจที่นำเอาความเจ็บไข้ให้พ้นไปเป็นต้น (เรื่อง
เดียวกัน, หน้าเดียวกัน) การสวดพระปริตรในปัจจุบันมี สัตตปริต เจ็ดตำนาน ซึ่งใช้สวดในงานบุญทั่วไป
และ ทวาทสปริต หรือ มหาราชปริต สิบสองตำนาน ซึ่งใช้ในราชสำนักและสวดในพระอุโบสถวัด
พระศรีรัตนศาสดาราม (Ishii 1986, 21) การสวดพระปริตรมักจะนิยมทำน้ำพระพุทธมนต์ประกอบแล้ว
นำมาประพรมเพื่อปกป้องจากภัยพิบัติและความเป็นสิริมงคล
๗.๓ พระสัมพุทธพรรณโณพาศ ปรมินทรมหาราชนมัสมัย (รูปที่ ๓.๗๘)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร
ปางสมาธิขึ้น เพื่อเป็นพระประธานในหอพระบรมอัฐิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง
(จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๓๘๓) เป็นพระพุทธปฏิมาที่มีพระพุทธลักษณะคล้ายกับที่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงสร้างทุกประการ
รูปที่ ๓.๗๘ พระสัมพุทธพรรณโณพาศ
ปรมินทรมหาราชนมัสมัย
พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1868 - 1910)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๕๐ เซนติเตร
องค์พระสูง ๘๕ เซนติเมตร
หอพระบรมอัฐิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ในพระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๐๙
๑๑๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
หมวด จ.
พระพุทธรูปที่มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์
เพื่อเสริมพระเกียรติยศและสิริมงคล
นอกจากพระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น เพื่อใช้ในพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบัน
พระมหากษัตริย์แล้ว ยังมีพระพุทธปฏิมาที่ถือว่าเป็นสิริมงคลของพระมหากษัตริย์และเสริมพระเกียรติยศ
มีทั้งที่เป็นพระพุทธปฏิมาที่มีผู้นำมาถวาย และพระพุทธรูปที่ทรงสร้างขึ้นใหม่
พระพุทธปฏิมาที่มีผู้นำมาถวาย สร้างด้วยวัสดุมีค่าหายาก เช่น แก้วผลึก ซึ่งนอกเหนือจาก
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตแล้ว ก็ยังมีพระพุทธรูปที่สำคัญอีกได้แก่พระพุทธปฏิมา
ที่พระมหากษัตริย์ทรงยกย่องให้เป็นพระแก้วประจำรัชกาล เช่น พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย
พระนากสวาดิเรือนแก้ว พระแก้วเชียงแสน และพระพุทธบุษยรัตนน้อย เป็นต้น (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๔๙๖, ๑๖๙)
ตอนที่ ๘ พระพุทธรูปที่มีบุคคลทูลเกล้าฯ ถวาย
๘.๑ พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย (รูปที่ ๓.๗๙)
พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัยนั้น มีนายพรานไปพบในถ้ำเขาส้มป่อย นายอน เมือง
จำปาศั ก ดิ์ เจ้ า เมื อ งจำปาศั ก ดิ์ น ำมาถวายพระบาทสมเด็ จ พระพุ ท ธเลิ ศ หล้ า นภาลั ย พระองค์ จึ ง
พระราชทานพระราชดำริแบบให้ช่างทำฐาน
แล้วซงพระราชดำหริพระราชทานหย่างไห้ช่างปั้นถานมีหน้ากะดาน ชั้นสิงห์
บัวหงายแลหน้ากะดานบนลวดทับหลัง ย่อเก๊ดเปนหลั่น แลมีหน้ากะดานท้องไม้
ชั้นรองรับบัวกลุ่มหุ้มรับทับกเสตรแก้วต่อองค์พระพุทธปติมา โดยซวดซงสันถาน
ที่พึงพอพระราชหรึไทย แล้วก็ไห้หล่อด้วยทองสำริดแต่งไห้เกลี้ยงเกลาสนิธแล้ว
หุ้มด้วยทองคำ ทำให้เกลี้ยงกวดขึ้นเงางามด้วยชอบพระราชหรึทัย ว่าเนื้อแก้ว
เกลี้ยงไสสอาดต่อติดกับเครื่องทองอันเกลี้ยงนั้นงามยิ่งนัก... (จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๔๘๕, ๙๓,
อักขรวิธีสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม)
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย
ในหอพระสุลาลัยพิมาน และทรงสักการบูชาวันละ ๒ เวลา เช้าค่ำมิได้ขาด แล้วถวายพระนามว่า
พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย เป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า-
นภาลัย ถือว่ามีความสำคัญรองลงมาจากพระแก้วมรกต เพราะหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า-
เจ้าอยู่หัวทรงยกฐานชุกชีของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรให้สูงขึ้นแล้ว ก็มิได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไป
เป็นประธานในพระราชพิธีนอกพระอุโบสถอีกต่อไป “จึงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตน ออกมาตั้งเป็น
ประธานในการพระราชพิธีแทนพระแก้วมรกต” (เรื่องเดียวกัน, ๑๖๘ - ๑๖๙)
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๙๖ (ค.ศ. 1853) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสร้างพระวิหาร
พระพุทธรัตนสถานในพระบรมมหาราชวังถวาย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลง
พระวิหารเป็นพระอุโบสถเพื่อทรงพระผนวชในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ (ค.ศ. 1873) เมื่อพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๔๙
รูปที่ ๓.๗๙ พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย
(ค.ศ. 1906) จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตน์ฯ ไปประดิษฐานไว้บนชั้นที่ ๓ ของพระที่นั่ง
พบที่ถ้ำเขาส้มป่อย แคว้นจำปาศักดิ์ ประเทศลาว
จวบจนทุกวันนี้ (เรื่องเดียวกัน, ๑๗)
พุทธศตวรรษที่ ๒๑
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 - กลาง16)
แก้วผลึก สูง ๒๔ เซนติเมตร
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๑๑
พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย นอกจากจะมีเนื้อแก้วผลึกสีขาวใสบริสุทธิ์แล้ว ยังมี
พระกฤษฎาภินิหารดลบันดาลให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ช้างเผือกมาเพิ่มขึ้นอีกเป็น
๓ ช้าง นอกจากนั้นแล้วยังมีชาวเมืองเมาะตะมะเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอีกมากกว่าสามหมื่นคน
รวมทั้งพ่อค้าวานิชต่างประเทศที่ไม่เคยเข้ามาค้าขายก็มีเครื่องบรรณาการมาทูลเกล้าฯ ถวาย “ตั้งแต่
พระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกพระองค์นี้มาอยู่ในพระนคร” (ศิลปากร ๒๕๔๘ ก, ๒๖ – ๒๗)
๘.๒ พระนากสวาดิเรือนแก้ว (รูปที่ ๓.๘๐)
พระนากสวาดิเรือนแก้วเป็นพระรัตนปฏิมาจำลอง สลักจากหยกสีเขียว เจ้าพระยาบดินทรเดชา
(สิงห์) อัญเชิญลงมาจากเวียงจันท์ เมื่อครั้งไปปราบเจ้าอนุวงศ์ (ส. พลายน้อย และภาวาส ๒๕๒๒,
๗๘ – ๗๙) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเรือนแก้วทองคำลงยาราชาวดีถวาย ถือว่า
เป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
๘.๓ พระแก้วองค์น้อยนาคปรก (รูปที่ ๓.๘๑)
นอกจากพระนากสวาดิเรือนแก้ว ที่ถือว่าเป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า-
เจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีพระรัตนปฏิมาจำลองแก้วผลึกที่สำคัญอีก อาทิ พระพุทธรูปแก้วองค์น้อยนาคปรก
รูปที่ ๓.๘๐ พระนากสวาดิเรือนแก้ว
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเศียรและขนดนาคเป็นฐาน ตั้งอยู่เหนือ
พุทธศตวรรษที่ ๒๑
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 – กลาง 16)
ภูเขาจำลอง ตกแต่งด้วยอัญมณี ประดิษฐานในหอพระสุลาลัย พระบรมมหาราชวัง
แก้วผลึก องค์พระสูง ๑๑.๘๐ เซนติเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
๘.๔ พระแก้วเชียงแสน (รูปที่ ๓.๘๒)
เป็นพระแก้วประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เรื่องเดียวกัน, ๗๙) และ
เป็นพระรัตนปฏิมาจำลองที่สร้างขึ้นในอาณาจักรล้านนา
รูปที่ ๓.๘๓
พระพุทธบุษยรัตน์น้อย
แก้พระพักตร์ พ.ศ. ๒๔๒๓ (ค.ศ. 1880)
แก้วผลึก หน้าตักกว้าง ๑๐ เซนติเมตร
องค์พระสูง ๑๐.๔๕ เซนติเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๑๓
๘.๖ พระพุทธเพชรญาณ (รูปที่ ๓.๘๔)
เป็นพระพุทธปฏิมาที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระราชอุปัชฌายา
จารย์ ได้ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างฉัตรและฐาน
ถวายพระพุทธปฏิมา
๘.๗ พระพุทธรูปหยก (รูปที่ ๓.๘๕)
เป็นพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสร้างเรือนแก้ว ฉัตร และฐานเลียนแบบพระที่นั่งบุษบกมาลา
๘.๘ พระพุทธรูปยืนอุ้มบาตร (รูปที่ ๓.๘๖)
เป็นพระพุทธรูปแก้วผลึกประจำวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ
วันพุธ ซึ่งอาจจะสร้างขึ้นในอาณาจักรล้านนาในช่วงครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (ครึ่งหลังคริสต์
ศตวรรษที่ 16)
รูปที่ ๓.๘๔ พระพุทธเพชรญาณ
นอกจากพระพุทธปฏิมาที่สลักจากแก้วผลึกแล้ว ยังมีพระพุทธปฏิมาที่ประชาชนนำมาถวายที่หล่อ
พุทธศตวรรษที่ ๒๑
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 – กลาง 16)
ด้วยสัมฤทธิ์หรือทองคำ ที่สำคัญได้แก่
แก้วผลึก องค์พระสูง ๗.๕ เซนติเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
๑๑๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๘.๙ พระไพรีพินาศ (รูปที่ ๓.๘๗)
เป็นพระพุทธปฏิมาศิลาที่มีผู้นำมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงผนวช
เป็นเจ้าอาวาสที่วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า
เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ (ปีที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสมภพ) ความใน
ประกาศ (พระราชพิธีจรบำเพ็ญพระราชกุศล “ผ่องพ้นไพรี”) นั้น กับ พระนาม
พระพุทธรูป บ่งชัดว่าบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยพ้นภัยจากหม่อมไกรสร พระพุทธรูป
องค์นี้ทูลกระหม่อม (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เห็นจะทรงได้ไว้
แต่ ยั ง ทรงผนวช ใกล้ ๆ กั บ เวลากำจั ด หม่ อ มไกรสร จึ ง ทรงถื อ เป็ น นิ มิ ต ร
(สาส์นสมเด็จ เล่ม ๕ ๒๕๑๓, ๗๔)
หม่อมไกรสร ตามความข้างต้นนั้น ถูกถอดจากกรมหลวงรักษรณเรศรด้วยโทษฐานความผิดที่เป็น
ผู้ “มักใหญ่ใฝ่สูงคิดจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง” จึงโดนลงพระราชอาญาให้สำเร็จโทษด้วย
ท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๑ (ค.ศ. 1848) (ทิพากรวงศ์ เล่ม ๒ ๒๕๐๔, ๑๓๒ – ๑๓๖)
พระไพรีพินาศองค์นี้เป็นพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชรปางประทานพรมีพุทธลักษณะคล้าย
กับพระรัตนสัมภวะ พระชินพุทธะประจำทิศใต้ที่สร้างขึ้นที่จันทิเสวุ (Candi Sewu) ในชวาภาคกลาง
ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อประมาณครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๔ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 9) ดังนั้นเมื่อ
แรกสร้างจึงเป็นพระรัตนสัมภวพุทธะจำลอง ๑ ใน ๕ พระชินพุทธะ หรือพระปาญจสุคตในลัทธิวัชรยาน
รูปที่ ๓.๘๗
พระไพรีพินาศ
ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๔
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 9)
ศิลา วัดบวรนิเวศวิหาร
กรุงเทพมหานคร
(ภาพจากสำนักราชเลขาธิการ)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๑๕
๘.๑๐ พระนิรันตราย (รูปที่ ๓.๘๘ ก.)
เป็นพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ หล่อด้วยทองคำ พบที่อำเภอดงศรีมหาโพธิ์
จังหวัดปราจีนบุรี พระเกรียงไกรกระบวนยุทธ์ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า-
อยู่หัว “ทรงพระราชดำริว่าเป็นพระมีอภินิหาร เพราะผู้ขุดได้ไม่เอาไปทำลายขายเนื้อทองคำเอาเป็น
ประโยชน์ จึงทรงขนานนามว่า พระนิรันตราย” ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ “ให้หล่อพระพุทธรูป
ตามแบบรัชกาลที่ ๔ ครอบไว้อีกองค์ ๑ แต่ไม่มีเรือนแก้ว คงเอาชื่อองค์ในมาเรียกรวมกับองค์นอก
จึงเรียกว่าพระนิรันตราย” (รูปที่ ๓.๘๘ ข.) (สาส์นสมเด็จ เล่ม ๔ ๒๕๑๕, ๗๓ – ๗๔)
รูปที่ ๓.๘๘ ข.
พระนิรันตรายทองคำ (องค์ครอบ)
พ.ศ. ๒๓๖๔ - ๒๔๑๑ (ค.ศ. 1851 - 1868)
ทองคำ หน้าตักกว้าง ๑๑.๖๕ เซนติเมตร
องค์พระสูง ๒๐.๓๐ เซนติเมตร
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
(รูปที่ ๓.๘๘ ก.)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๑๗
๓๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๘.๑๒ พระพุทธรูปของแกรนด์ ดยุก เฮส (รูปที่ ๓.๙๐)
พระพุทธรูปองค์นี้ประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ ไม่ครองจีวร แต่มีพระเวฐนะ (ผ้าโพก)
พันพระเศียร แกรนด์ ดยุก เอิรนสท์ ลุดวิก (Ernst Ludwig) ผู้ครองรัฐเฮส (Hess) ประเทศเยอรมนี
ส่งมาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมต-
อมรพันธ์ุ ทรงเปรียบเทียบพระพุทธรูปองค์นี้กับ “รูปตุ๊กตา” แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทั้งสองพระองค์ ทรงรับว่าเป็นพระพุทธรูป
(ดูบทที่ ๖ หน้า ๓๕๒)
๘.๑๓ พระอมิตาภพุทธะ ทองคำ (รูปที่ ๓.๙๑)
พระพุทธปฏิมาองค์นี้ราษฎรได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
เมื่อคราวพระองค์เสด็จประพาสภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ทั้งสอง
ข้างขึ้นในปางประทานอภัย ซึ่งเป็นปางประจำพระอมิตาภพุทธะ พระพุทธเจ้าที่สร้างขึ้นในลัทธิมหายาน
นิกายสุขาวดี อันเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – กลาง ๑๔ (คริสต์
ศตวรรษที่ 7 – 9) (พิริยะ ๒๕๔๔ ข, ๗๑ – ๗๒) จากพุทธลักษณะของพระอมิตาพุทธะองค์นี้ เห็นได้ว่า
สร้างขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พระพุทธรูปที่กล่าวถึงข้างต้นทุกองค์ประดิษฐานในหอพระสุลาลัยพิมานในพระบรมมหาราชวัง
ยกเว้ น แต่ พ ระพุ ท ธบุ ษ ยรั ต นจั ก รพรรดิ พิ ม ลมณี มั ย และพระพุ ท ธรู ป ของ แกรนด์ ดยุ ก เฮส ซึ่ ง
ประดิษฐานในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ส่วนพระอมิตาภพุทธะทองคำ ประดิษฐานในพระ
ตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต
รูปที่ ๓.๙๑
พระอมิตาภพุทธะ
ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 8)
ทองคำ องค์พระสูง ๑๑.๕ เซนติเมตร
พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต
กรุงเทพมหานคร
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๑๙
ตอนที่ ๙ พระพุทธรูปที่ประชาชนร่วมใจสร้างทูลเกล้าฯ ถวาย
ในระบอบประชาธิปไตย มิใช่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่ทรงสร้างพระพุทธรูปเพื่อความเป็นสิริมงคล
ขององค์พระมหากษัตริย์ และความผาสุกของแผ่นดิน แต่ประชาชนก็มีส่วนร่วมในการสร้างพระพุทธรูป
ด้ ว ย เช่ น พระนิ ร โรคั น ตรายชั ย วั ฒ น์ จ ตุ ร ทิ ศ ที่ พ ระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู่ หั ว ได้ พ ระราชทานไป
ประดิษฐานในสี่มุมเมืองของพระราชอาณาจักร
๙.๑ พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (รูปที่ ๓.๙๒ ก. – ง.)
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ (ค.ศ. 1968) กรมการรักษาดินแดน กระทรวงกลาโหม จัดสร้างพระพุทธรูปขึ้น
๔ องค์ เพื่อที่จะนำไปประดิษฐานไว้ ณ สี่มุมเมืองของราชอาณาจักร เพื่อให้คุ้มครองรักษาบ้านเมืองให้
รอดพ้นจากภยันตรายทั้งมวล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเททองหล่อ
พระพุทธรูป ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์โดยเสด็จในการ
นี้ ด้ ว ย และพระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู่ หั ว พระราชทานนามพระพุ ท ธรู ป ทั้ ง ๔ องค์ ว่ า “พระพุ ท ธ-
นิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ” (อรวรรณ ๒๕๓๙, ๗๘ – ๗๙) ประดิษฐานไว้
ทิศตะวันตก บนยอดเขาแก่นจันทร์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดราชบุรี (รูปที่ ๓.๙๒ ก.)
ทิศเหนือ ข้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำปาง (รูปที่ ๓.๙๒ ข.)
ทิศตะวันออก วัดศาลาแดง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสระบุรี (รูปที่ ๓.๙๒ ค.)
ทิศใต้ หน้าศาลากลางจังหวัด อำเภอเมืองฯ จังหวัดพัทลุง (รูปที่ ๓.๙๒ ง.)
พระพุทธรูปทั้ง ๔ องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ พุทธลักษณะคล้าย
พระพุทธรูปสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีพระเมาลีทรงโอคว่ำ และพระรัศมีเป็นเปลวสูง
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๒๑
๓๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๙๓ พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติทีฆายุมงคล
๙.๒ พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติฑีฆายุมงคล (รูปที่ ๓.๙๓)
ปั้นโดย วิชัย สิทธิรัตน์
พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ. 1991)
สืบเนื่องมาจากกองบัญชาการทหารสูงสุด โดยพลเอก สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
สัมฤทธิ์
สูงจากพระบาทถึงพระเกตุ ๑.๖๓ เมตร
ในขณะนั้น ได้กราบทูลสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆ-
พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ปรินายก ให้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอพระราชทานให้ทรงสร้าง
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระพุทธปฏิมายืนทรงเครื่อง พระหัตถ์ขวาประทานพร พระหัตถ์ซ้ายปางห้ามพระแก่นจันทน์ เพื่อการ
บำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระสุริโยทัย ผู้ที่ทรงสละพระชนม์ชีพ เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน
และอาณาประชาราษฎร์ เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔
(ค.ศ. 1991) เป็นพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์สมเด็จพระสุริโยทัย ขนาดสูงเท่าพระองค์สมเด็จ
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระนามาภิไธยย่อ “สก” ที่ด้านหลังของกรองศอ และได้พระราชทาน
พระนามว่า “พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติฑีฆายุมงคล” มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าเป็นมงคลแห่งสมเด็จ
พระสุริโยทัย และทรงเจริญพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ”
ในการดำเนินการสร้างพระพุทธสุริโยทัยสิริกิติฑีฆายุมงคลนี้ ได้มีพิธีสำคัญหลายครั้ง เช่น พิธี
บวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระสุริโยทัย เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างพระ
พุทธปฏิมา พิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายแด่ดวงพระวิญญาณสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทุก
พระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน
ไปทรงประกอบพระราชพิธีมังคลาภิเษก เสกดิน เสกน้ำพระพุทธมนต์ปั้นหุ่นองค์พระพุทธปฏิมา และ
พระราชพิธีมังคลาภิเษกองค์พระพุทธปฏิมา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งในโอกาสนี้
กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้ทูลขอให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก
ทรงมีพระบัญชาให้กรมศาสนา สั่งให้พระสงฆ์ในพระอารามทั่วพระราชอาณาจักรเจริญพระพุทธมนต์
ถวายพระพรในโอกาสมหามงคลสมัยพระราชพิธีมังคลาภิเษกนี้ ในวันและเวลาเดียวกันด้วย (กอง
บัญชาการทหารสูงสุด ๒๕๓๕, ๘๔)
พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติฑีฆายุมงคล ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย พระนครศรีอยุธยา
ซึ่งถือได้ว่าเป็นพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นตัวอย่าง
ของ “พุทธศาสนาแบบชาตินิยม” ซึ่งเป็นพุทธศาสนากระแสหลักในรัชกาลปัจจุบัน
๙.๓ พระพุทธศรีสงขลานครินทร์ (รูปที่ ๓.๙๔)
เนื่องด้วยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็น
ที่รักและห่วงใยของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อทรงพระประชวร พสกนิกรจึงรวมใจกัน
สร้างพระพุทธรูป เพื่อให้คุ้มครองพระองค์ ให้มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ แข็งแรง และให้ทรงเจริญ
พระชนมายุยิ่งยืนนาน
เมื่ อ สมเด็ จ พระศรี น คริ น ทราบรมราชชนนี ท รงพระประชวรในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995)
พระภิ ก ษุ ข้ า ราชการ พ่ อ ค้ า ประชาชนในจั ง หวั ด สงขลา ร่ ว มใจสร้ า งพระพุ ท ธรู ป ให้ ทั น การต่ อ
พระชนมายุถวายพระองค์ท่าน ในปีต่อมาเป็นปีกาญจนภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิง
ถวัลยราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพระพุทธรูปว่า “พระพุทธศรี-
สงขลานครินทร์” (ทศพล ๒๕๔๕, ๓๗๗) นอกจากจะเป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสมเด็จพระ
ศรี น คริ น ทราบรมราชชนนี แ ล้ ว พระพุ ท ธรู ป องค์ นี้ ซึ่ ง มี พุ ท ธลั ก ษณะของพระพุ ท ธสิ หิ ง ค์ จ ำลอง
มีพระนามาภิไธย “สว” อยู่ที่ผ้าทิพย์ ยังเป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดสงขลาอีกด้วย โดยปัจจุบัน
ประดิษฐานอยู่ที่วิหารพระพุทธศรีสงขลานครินทร์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสงขลา
รูปที่ ๓.๙๔ พระพุทธศรีสงขลานครินทร์
พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๗๘ เซนติเมตร
วิหารพระพุทธศรีสงขลานครินทร์
อำเภอเมืองฯ จังหวัดสงขลา
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๒๓
๑๒๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๙.๔ พระพุทธนิรโรคันตราย (รูปที่ ๓.๙๕)
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ซึ่งสร้างความวิตก
กังวลให้กับพสกนิกร และเมื่อพระอาการดีขึ้น จึงนำมาซึ่งความปิติยินดีเป็นล้นพ้น สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก จึงมีพระดำริให้สร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อถวายความจงรัก
ภักดีของเหล่าพสกนิกรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้พระองค์ทรงพ้นจากโรคภัยทั้งปวง และ
มีพระพลานามัยแข็งแรง โดยมีกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ประสานงานรวบรวมเงินทองที่ประชาชน
บริจาคในการสร้างพระพุทธรูป และให้ เศวต เทศน์ธรรม เป็นผู้ปั้นโดย “จำลองรูปแบบและแนวความ
คิดมาจากการสร้าง พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ” (อรวรรณ ๒๕๓๙, ๗๗ – ๘๒) พระพุทธรูป
องค์นี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง ภายในองค์
พระบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๙ องค์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน และสมเด็จ
พระญาณสังวรประทานพระพุทธรูปทองคำน้ำหนัก ๙๐๐ กรัม เพื่อบรรจุในองค์พระพุทธรูป พระ
พุทธนิรโรคันตรายองค์นี้ หล่อด้วยทองคำ ๑๐๙ กิโลกรัม นับเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดที่หล่อขึ้น
ในกรุงรัตนโกสินทร์ พร้อมด้วยฉัตรทองคำ ๙ ชั้น ฝังเพชรและพลอยนพเก้าจำนวน ๓,๔๒๗ เม็ด ทั้งนี้
เพราะเชื่อกันว่าเลข ๙ เป็นเลขมงคล และเป็นการบูชาโลกุตรธรรม ๙ อีกด้วย พระพุทธรูปองค์นี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานบนฐานชุกชี พระ
พุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
๙.๕ พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ (ดูรูปที่ ๓.๔๑)
รายละเอียดของพระพุทธรูปองค์นี้ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา
(ดูหัวข้อ ๒.๒ หน้า ๗๙) พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ถือเป็น
พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ องค์เดียวที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน มีความแตกต่างจาก
พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตรงที่
พระมหากษั ต ริ ย์ มิ ไ ด้ เ ป็ น ผู้ ส ร้ า งพระพุ ท ธรู ป องค์ นี้ เ องแต่ ส ร้ า งขึ้ นโดยรั ฐ บาล ซึ่ ง เป็ น ตั ว แทนของ
ประชาชนชาวไทย ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงนับได้ว่าเป็นพระพุทธรูป
ทรงเครื่องฉลองพระองค์องค์แรกในระบอบประชาธิปไตย เป็นสัญลักษณ์ของความรักและเทิดทูนที่
พสกนิกรถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๒๕
หมวด ฉ.
พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อชาติ และพุทธศาสนา
พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อชาติ และศาสนา เริ่มขึ้นในรัชสมัยของพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อมาก็ทรงดำเนินรอยตามพระยุคลบาท
จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
ตอนที่ ๑๐ พระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อชาติ
และพุทธศาสนา
๑๐.๑ พระนิรันตรายเรือนแก้ว (รูปที่ ๓.๙๖)
ในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ (ค.ศ. 1868) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล่อ
พระพุทธรูปขึ้นจากพิมพ์ของพระนิรันตราย (องค์ครอบ) ๑๘ องค์ เท่ากับจำนวนปีที่เสวยสิริราชสมบัติ
โดยเพิ่มเรือนแก้วเป็นพุ่ม มีจารึกอักษรขอมจำหลักคาถาแสดงพระพุทธคุณ อรหํ สมฺมาสมฺพุทโธ จนถึง
ภควา ภายในบัวหงาย ด้านหน้า ๙ ดอก ด้านหลัง ๙ ดอก ตรงกลางมีตรามงกุฎ มีพระราชดำริว่าจะ
ทรงหล่อขึ้นปีละองค์ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา แต่เสด็จสวรรคตก่อนที่จะกะไหล่ทองพระพุทธรูป
ทั้ง ๑๘ องค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างกะไหล่ทองจนแล้วเสร็จ
และพระราชทานไปยังพระอารามในคณะธรรมยุติกนิกาย เช่น วัดบวรนิเวศวิหาร และวัดราชประดิษฐ-
สถิตมหาสีมาราม เป็นต้น ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จ
พระบรมชนกนาถ (สุทธาสินีนาฎ ๒๔๗๒, ๓๖ – ๔๑)
๑๐.๒ พระชัยวัฒนมงคลวราภรณ์ (พระชัยศิริวัฒน์)
เป็นพระชัยวัฒน์ขนาดเล็กที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ
ปี พ.ศ. ๒๔๒๘ (ค.ศ. 1885) เพื่อพระราชทานแก่พระเจ้าลูกยาเธอ ๔ พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสักการบูชา
เมื่อเสด็จไปทรงศึกษาในภาคพื้นยุโรป พระชัยวัฒน์มงคลวราภรณ์นี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปั้นขึ้น
ที่วัดไชโย และหล่อขึ้นที่หน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม รวมทั้งสิ้น ๕๕ องค์ ซึ่งนอกจากพระเจ้าลูกยาเธอ
ทั้ง ๔ พระองค์ที่จะเสด็จไปต่างประเทศแล้ว ยังพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงอีกด้วย
พระชัยวัฒน์มงคลวราภรณ์ ไม่ถือตาลปัตร เพียงแต่พระหัตถ์อยู่ในกิริยากำ พระราชทานพร้อมด้วยตลับ
รูปอุณาโลม สูงไม่เกิน ๒ เซนติเมตร มีสายสร้อยสำหรับคล้องพระศอได้ ต่อมาจึงพระราชทานแก่ผู้ที่ได้
รั บ ตรามหาจั ก รี ก่ อ นที่ จ ะพระราชทานพระชั ย วั ฒ น์ ม งคลวราภรณ์ แ ก่ ผู้ ใ ด จะพระราชทานพระ
บรมราโชวาท ๓ ข้อ
จะต้องทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ถาวร
จะต้องบำรุงรักษาพระราชอาณาจักร และราษฎรให้เจริญยิ่งขึ้น
จะต้องมีความซื่อสัตย์กตัญญูต่อพระมหากษัตริย์
ดั ง นั้ น พระชั ย วั ฒ น์ ม งคลวราภรณ์ จึ ง แสดงให้ เ ห็ น ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งพุ ท ธศาสนากั บ พระ
มหากษัตริย์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของไทย ซึ่งไม่มีชาติใดมี
และในการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราโชวาท
ก่อนพระราชทานพระชัยวัฒน์มงคลวราภรณ์ ให้ผู้รับยึดมั่นอยู่ในเรื่องชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น ก็เป็นพระราโชบายเพื่อความอยู่รอดของชาติไทย
นั่นเอง (ส. พลายน้อย และภาวาส ๒๕๒๒, ๕๕)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๒๙
๑๓๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๓.๙๙ ก. พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ
๑๐.๕ พระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. (รูปที่ ๓.๙๙ ก.)
ปางประทานพร ภ.ป.ร.
พ.ศ. ๒๕๐๖ (ค.ศ. 1963)
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ (ค.ศ. 1963) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๔๐.๙ เซนติเมตร
พระอุโบสถวัดเทวสังฆาราม
(เจริญ สุวฑฺฒโน) ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็นพระสาสนโสภณ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี
อัญเชิญพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ไปประดิษฐานเหนือผ้าทิพย์ของพระพุทธรูปแบบสุโขทัยปางประทานพร
ที่ทางวัดจัดสร้างขึ้นในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทอดพระกฐินต้น ณ วัดเทวสังฆาราม อำเภอ
เมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี ขนาดหน้าตักกว้าง ๒๔ นิ้ว สำหรับประดิษฐานในพระอุโบสถวัดเทวสังฆาราม
๑ องค์ และขนาดหน้าตักกว้าง ๙ นิ้ว จำนวน ๙,๙๙๙ องค์เพื่อให้ประชาชนบูชา (สรพล 2006,
ออนไลน์)โดยใช้แบบของพระพุทธรูปที่สร้างในโอกาส ๗๒ ปีศิริราช ซึ่งพระธรรมจินดาภรณ์ (ทองเจือ
จินฺตากโร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นผู้คิดประดิษฐ์แบบขึ้น แต่ได้เพิ่มผ้าทิพย์ประดับพระ
ปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และแก้ไขให้นิ้วพระหัตถ์ขวาที่ทอดลงให้กระดกมากขึ้น (รูปที่ ๓.๙๙ ข.) พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุแผ่น
ทอง นาก เงิน ลงในเบ้าหล่อพระพุทธรูปที่วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี พระพุทธรูปที่หล่อที่
วัดเทวสังฆารามนี้ จึงเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้พระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ประดับที่
ผ้าทิพย์ขึ้นเป็นครั้งแรก (จาตุรงคมงคล ๒๕๐๘, ๑๖๘ – ๑๖๙)
พระพุทธรูปประทานพร ภ.ป.ร. รุ่นวัดเทวสังฆาราม เป็นที่แพร่หลายทั่วทุกภาคของประเทศ เนื่อง
ด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงนำไปพระราชทานแด่เหล่าทหาร ตำรวจ และหน่วย
ราชการที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยม และทรงนำไปถวายแด่ปูชนียสถานสำคัญ เป็นที่
ซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริที่จะ
หล่อพระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. ขึ้นเป็นครั้งที่สองที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทางวัดจึงขอพระราชทาน
พระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ประดิษฐานที่ผ้าทิพย์ โดยมีเหตุผลว่า
พระมหากษัตริย์ แห่งประเทศไทย และพระพุทธศาสนาได้มีความสัมพันธ์กันอยู่
อย่างยิ่ง ทั้ง ๒ ได้เป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของประชาชนคนไทยทั้งปวง และ
ความดำรงอยู่ได้แห่งประเทศชาติประชาชนชาวไทย กล่าวได้ว่าอาศัยพระพุทธา-
นุภาพ และพระราชานุภาพ ประกอบกันอยู่อย่างแยกจากกันมิได้จึงได้ดำริ
สร้างปูชนียวัตถุสำหรับประชาชนคนไทยทั้งปวงให้มีสิ่งที่เคารพทั้งสองอย่าง
รวมกันอยู่ (ประวัติพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ๒๕๐๘, ไม่มีเลขหน้า)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๓๑
พระพุทธรูปประทานพร ภ.ป.ร. รุ่นวัดบวรนิเวศวิหารนี้ (รูปที่ ๓.๑๐๐) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำริพระพุทธลักษณะ ให้ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์
ปั้นหุ่นพระพุทธรูปขึ้นใหม่ และพระราชทานพระราชดำริแก้ไข เช่น พระหัตถ์ขวาหงายออก โดยที่พระ
อังคุฐและพระดรรชนีมิได้มาบรรจบกันเช่นองค์รุ่น “พระกฐินต้นวัดเทวสังฆาราม” (ดูรูปที่ ๓.๙๙ ข.)
จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย
จึงกล่าวได้ว่าพระพุทธรูป ภ.ป.ร. วัดบวรนิเวศวิหารนี้เป็นพระพุทธรูปศิลปะ
กรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลปัจจุบัน (เพราะเป็นไปตามพระราชนิยม ในรัชกาล
ปัจจุบันดังกล่าว มิได้ลอกแบบแห่งพระพุทธรูปตามศิลปะยุคก่อนๆ โดยตรง)
(เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน)
นอกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้พระราชทานภาษิตสำหรับจารึกที่ฐานขององค์พระ
เป็นสัญลักษณ์ของชาติว่า
ทยฺยชาติยา สามคฺคิยํ สติสญฺชานเนน โภชิสิยํ รกฺขนฺติ
คนชาติไทยจะรักษาความเป็นไทอยู่ได้ด้วยมีสติสำนึกอยู่ในความสามัคคี
(เพลินพิศ ๒๕๓๓, ๑๓)
และเสด็จพระราชดำเนินในพิธีหล่อ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ (ค.ศ. 1965)
ฉะนั้ น พระพุ ท ธรู ป ปางประทานพรนี้ จึ ง เป็ น สั ญ ลั ก ษณ์ แ ห่ ง ชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ ครบไตรรงค์ กล่าวคือ องค์พระพุทธรูป ซึ่งเป็นอุทเทสิกเจดีย์
แห่งพระพุทธเจ้า ย่อมหมายถึงพระพุทธศาสนารวมอยู่ด้วย พระปรมาภิไธย
ภ.ป.ร. เหนื อ ผ้ า ทิ พ ย์ ย่ อ มหมายถึ ง องค์ พ ระมหากษั ต ริ ย์ อ งค์ พ ระประมุ ข
แห่งชาติ และองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก พระราชภาษิตซึ่งจารึกอยู่ที่ฐานภายใต้
ผ้าทิพย์ ย่อมหมายถึงชาติไทยพร้อมทั้งธรรมะ ที่รักษาความเป็นไทยให้คงอยู่
พระพุทธรูปนี้จึงมีคุณค่าทางศิลปะ ปฏิมากรรม ประวัติศาสตร์ และทางคุณธรรม
แห่งจิตใจ (สำนักราชเลขาธิการ ๒๕๒๘ ก, ๑๒๔ – ๑๒๕)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๓๓
รูปที่ ๓.๑๐๑ พระพุทธนวราชบพิตร
ปั้นโดย ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์
พ.ศ. ๒๕๐๙ (ค.ศ. 1966)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒๓ เซนติเมตร
สูง ๔๐ เซนติเมตร
วัดบวรนิเวศวิหาร
กรุงเทพมหานคร
ด้านหน้า ด้านหลัง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตร ให้กับ
จังหวัดอุดรธานี เป็นจังหวัดแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ (ค.ศ. 1967) และพระราชทานพระราชดำรัสว่า
พระพุ ท ธองค์ นี้ ข้ า พเจ้ า สร้ า งขึ้ น มอบไว้ เป็ น พระพุ ท ธรู ป ประจำ
จังหวัด ที่ฐานบัวหงาย ข้าพเจ้าได้บรรจุพระพิมพ์องค์หนึ่งซึ่งได้ทำ
ขึ้นด้วยผงศักดิ์สิทธิ์อันได้มาจากจังหวัดต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักร
มีผงดินทรายและเกสรดอกไม้ที่บูชาหลวงพ่อนาควัดมัชฌิมมาวาส
ผงดิ น ทราย ผงธู ป และเกสรดอกไม้ จ ากศาลหลั ก เมื อ ง กั บ ผง
ดินทราย ผงธูป และเกสรดอกไม้ จากที่บูชาศาลเทพารักษ์ กรมหลวง
ประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานีนี้รวมอยู่ด้วย
พระพุทธนวราชบพิตรนี้ นอกจากจะถือเป็นนิมิตรหมายแห่งคุณพระ
รั ต นตรั ย อั น เป็ น ที่ เ คารพสู ง สุ ด แล้ ว ข้ า พเจ้ า ยั ง ถื อ เสมื อ นเป็ น
เครื่องหมายแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชาติไทย
และความสามัคคีกลมเกลียวกันของประชาชนชาวไทยอีกด้วย ข้าพเจ้า
จึงได้บรรจุพระพิมพ์ ซึ่งทำด้วยผงศักดิ์สิทธิ์จาก ทุกจังหวัดดังกล่าว
แล้ว และนำมามอบให้แก่ท่านด้วยตนเอง (สมบัติ ๒๕๒๐, ๑๗)
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธปฏิมา ๑๓๕
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๒
ภาค
พุทธศาสนา
กับพระพุทธปฏิมา
ในประเทศไทย
ตามพระอิริยาบถ
หน้า
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย
พระพุทธปฏิมาแปดปาง (รูปที่ ๔.๑๔ ก.)
พบในกรุปรางค์วัดราชบูรณะ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที่
๔
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย
พุทธศาสนามีพัฒนาการที่ต่อเนื่องและยาวนานมาก จากประวัติศาสตร์พุทธศาสนา
ที่เป็นองค์ความรู้ใหม่นั้น ได้จำแนกพุทธศาสนาออกเป็น “ลัทธิ” ซึ่งประกอบด้วย ๓
ลัทธิหลัก ได้แก่
๑. ลัทธิศราวกยาน
๒. ลัทธิมหายาน
๓. ลัทธิวัชรยาน หรือลัทธิตันตระยาน
โดยในแต่ละลัทธิก็แบ่งออกเป็น “นิกาย” ย่อยลงมาอีกหลายนิกาย และในแต่ละนิกายก็จะมี
“คณะ” เป็นกลุ่มย่อยลงมาอีกหลายคณะ และภายในคณะเอง ก็จะแบ่งออกเป็น “ฝ่าย” อย่างน้อยที่สุด
อีก ๒ ฝ่าย
อาจสรุปภาพรวมการจัดจำแนกกลุ่มสงฆ์โดยไล่เรียงลำดับจากกลุ่มใหญ่ไปเป็นกลุ่มย่อย ได้แก่
(ก) พุทธศาสนา
(ข) ลัทธิ
(ค) นิกาย
(ง) คณะ
(จ) ฝ่าย
การจัดจำแนกดังกล่าว เป็นไปตามความแตกต่างในด้านการตีความพุทธธรรม แบบธรรมเนียม
วัตรปฏิบัติและวินัยสงฆ์ ตลอดจนกระบวนการบรรลุอุตรธรรม ซึ่งล้วนส่งผลให้เกิดการแยกแยะ
ความแตกต่างออกเป็นลัทธิ นิกาย คณะ และฝ่าย ของกลุ่มสงฆ์ต่างๆ มากมายด้วยกัน ซึ่งความ
หลากหลายบนความซับซ้อนดังกล่าวก็ปรากฏให้เห็นในประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนที่เป็น
ประเทศไทยในปัจจุบัน อันสะท้อนได้จากพระพุทธปฏิมาที่พุทธศาสนิกชนได้สร้างและจำลองสืบต่อกันมา
โดยบทนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๒ ตอน ดังต่อไปนี้
ตอนที่ ๑ พระพุทธปฏิมาในประเทศไทยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13)
ซึ่งประกอบด้วยพระพุทธปฏิมาที่สร้างและจำลองขึ้นในคติลัทธิศราวกยาน ลัทธิมหายาน และลัทธิวัชร
ยานหรือตันตระยาน
ตอนที่ ๒ ประวัติการเผยแผ่พุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลาง
คริสต์ศตวรรษที่ 13) อันได้แก่ อาณาจักรมอญโบราณ (“ทวารวดี”) อาณาจักรกัมโพช อาณาจักรสุโขทัย
อาณาจักรอยุธยา อาณาจักรมอญหริภุญไชย อาณาจักรล้านนา อาณาจักรล้านช้าง
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๓๙
ลำดับเวลาการเผยแผพุทธศาสนาลัทธิและนิกายตางๆ ในดินแดนประเทศไทยปจจุบัน
พ.ศ. ค.ศ. ลัทธิศวราวกยาน ลัทธิมหายาน ลัทธิวัชรยาน / ตันตระยาน พ.ศ. ค.ศ.
๑๐๐๐ มูลสรรวาสติวาส มหาสังฆิกะ สัมมิตียะ ๑๐๐๐
นิกายเถรวาท
500 คณะอริยารหันตปกขะ ลัทธิมหายาน 500
๑๑๐๐ ๑๑๐๐
700 700
800 800
900 900
ลัทธิตันตระยาน
๑๕๐๐ ในกัมพูชา ๑๕๐๐
1000 1000
๑๖๐๐ ๑๖๐๐
1100 1100
1200 1200
1400 1400
(รูปที่ ๕.๔๙) คณะสีหฬภิกขุ
๒๐๐๐ (รูปที่ ๘.๒๐) ๒๐๐๐
คณะสยามนิกาย
1500 1500
(รูปที่ ๕.๘๒)
(รูปที่ ๓.๖ ก.)
๒๑๐๐ ๒๑๐๐
1600 1600
๒๒๐๐ ๒๒๐๐
๒๓๐๐ ๒๓๐๐
1800 1800
คณะมหานิกาย คณะธรรมยุติกนิกาย
๒๔๐๐ ๒๔๐๐
1900 1900
(รูปที่ ๓.๖๒ ก.)
๒๕๐๐ ๒๕๐๐
2000 2000
(รูปที่ ๘.๑๐๐)
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๔๑
ที่เสนอปรัชญาบารมีของพระโพธิสัตว์ ๖ ประการ อันได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน และปัญญา
(Thomas 1971, 169 – 171) และใช้นิทานชาดกและอวทาน ซึ่งได้แก่ชีวประวัติของพระพุทธเจ้าและ
พระสาวกในชาติก่อนๆ อันเป็นพุทธศาสนนิทานของนิกายมูลสรรวาสติวาส (พิริยะ ๒๕๑๗) ในการ
เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอน (Dutt 1978, 248)
นิกายมหาสังฆิกะ
นอกจากพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในภาคเหนือของประเทศอินเดียแล้ว ยังมีพระพุทธปฏิมาที่
สร้างขึ้นในภาคใต้ของอินเดีย เช่น พระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ขวาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายถือชายจีวร
ครองจีวรห่มดอง ชายสบงพับทบมาทางด้านซ้ายเป็นริ้ว พระเมาลีเตี้ยกลมกลืนไปกับเม็ดพระศก พบที่
อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส (รูปที่ ๔.๑) มีลักษณะใกล้เคียงกับที่พบที่อมราวดี (รูปที่ ๔.๒) จึง
น่าจะสร้างขึ้นในนิกายมหาสังฆิกะ ซึ่งแพร่หลายที่อมราวดี (Sarkar and Nainar 1972, 17 – 19)
กำหนดอายุอยู่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5) เช่นเดียวกันกับพระพุทธปฏิมา
ประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ขวาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายถือชายจีวร (รูปที่ ๔.๓) โดยมีต้นแบบที่
นาคารชุนโกณฑะ (รูปที่ ๔.๔) ซึ่งอยู่ในเครือของมหาสังฆิกะเช่นกัน (Stone 1994, 14) พระพุทธปฏิมาทั้ง
สองแบบนี้จำลองมาจากพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในรัฐอานธรประเทศ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของ
อินเดีย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มีหลักฐานใดที่จะระบุได้ว่า พระพุทธปฏิมาในกลุ่มนี้เป็น
พระปฏิมาจำลองของพระพุทธรูปองค์ใด ทั้งนี้นิกายมหาสังฆิกะเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเป็นเพียงการสร้าง
ปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์ที่สถิตอยู่เหนือโลกอันเป็นอนันตกาล และสภาวะที่แท้จริงคือ “ศูนฺยตา” หรือ
ความว่างเปล่า
รูปที่ ๔.๑ พระพุทธปฏิมายืนแสดงธรรม
อินเดียตอนใต้
กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5)
สัมฤทธิ์ สูง ๔๓.๕ เซนติเมตร (ไม่รวมฐาน)
พบที่อำเภอสุไหงโก-ลก
จังหวัดนราธิวาส
สมบัติของเอกชน
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๔๓
นิกายสัมมิตียะ
พระพุทธปฏิมายืนครองจีวรบางแนบพระวรกาย ห่มคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง พระหัตถ์ขวา
ประทานพร พระหัตถ์ซ้ายถือชายจีวร (รูปที่ ๔.๕) เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาที่น่าจะสร้างขึ้นที่สารนาถ
(รูปที่ ๔.๖) ในนิกายสัมมิตียะ ที่เจริญรุ่งเรืองที่สารนาถ (Mitra 1971, 67 – 68) ทางภาคตะวันออก-
เฉียงเหนือของอินเดีย นิกายนี้เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน
นิกายเถรวาท
จารึกบทย่อจากพระไตรปิฎก และพระสูตรภาษาบาลีบนธรรมจักร และเสาธรรมจักร อีกทั้ง
พระพิมพ์ดินเผา เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ลัทธิศราวกยาน นิกายเถรวาทเป็นที่แพร่หลายใน
ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – กลาง ๑๓ (คริสต์ศตวรรษที่ 6 – 7) (Skilling
1997, 94) นิกายนี้อ้างว่าเป็นนิกายเดียวกันกับนิกายสถวีรวาท และเป็นนิกายดั้งเดิมซึ่งพระพุทธเจ้า
สถาปนาขึ้น โดยมีแนวความคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งผู้สถาปนาพุทธศาสนา และดำเนิน
ตามอริยสัจ ๔ และมรรค ๘ เพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ (กลางคริสต์ศตวรรษที่
7 – กลาง 8) นิกายเถรวาทเป็นที่แพร่หลายที่นครปฐม ซึ่งเมื่อพิจารณาจากรูปแบบของพระพุทธปฏิมาใน
นิกายนี้แล้วแสดงให้เห็นว่า นิกายนี้มิได้รับอิทธิพลรูปแบบจากพระพุทธปฏิมาลังกาดังที่เคยเชื่อกันมา
รูปที่ ๔.๕ พระพุทธปฏิมายืนประทานพร
(พิริยะ ๒๕๔๕, ๒๐๗) แต่รูปแบบพระพุทธปฏิมาดังกล่าวของนิกายนี้ได้พัฒนาการขึ้นเองในประเทศ โดย
พบที่วัดรอ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาสายตรงจากประเทศอินเดีย อย่างเช่นการปรับเปลี่ยนพระพุทธปฏิมาประทับ
ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๒
ห้อยพระบาท พระหัตถ์ขวาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายถือชายจีวร ตามแบบฉบับของนิกายมหาสังฆิกะ
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 7)
ศิลา สูง ๑.๔๗ เมตร
(ดูรูปที่ ๔.๓) ให้กลายเป็นพระหัตถ์ขวาแสดงธรรม แต่พระหัตถ์ซ้ายวางอยู่ที่พระชานุ เช่น พระพุทธปฏิมา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ของพระอดีตพุทธะ (รูปที่ ๔.๗)
กรุงเทพมหานคร
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๔๗
๑.๓ ลัทธิวัชรยาน หรือตันตระยาน
ลัทธิวัชรยาน หรือตันตระยานเป็นลัทธิที่เกิดขึ้นจากหลักปรัชญามนตรยานของลัทธิมหายาน
ที่ใช้มนตร์เป็นเครื่องมือของการหลุดพ้น แต่ลัทธิวัชรยานใช้คัมภีร์ ตันตระ ร่วมกับเวทมนตร์คาถาและการ
บำเพ็ญโยคะ ในการแสวงหาโพธิจิตและความสำเร็จในทางโลก ซึ่งอยู่ในจิตของมนุษย์ แต่ถูกปิดบังด้วย
อวิชชาและโมหะ โดยการไขไตรรหัส คือ กาย วาจา และใจ ด้วยการแสดงมุทราหรือปาง การร่ายมนตร์
และการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ลัทธิวัชรยานหรือตันตระยานมีถิ่นกำเนิดที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่นาลัณฑาในรัฐพิหาร ประเทศ
อินเดีย ถูกนำเข้ามาเผยแผ่และเป็นที่นิยมอย่างมาก ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ถึง ๑๖ (กลางคริสต์
ศตวรรษที่ 8 – กลาง 11) จึงมีการนำเอาพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นที่นาลัณฑามาเป็นแม่แบบให้กับ
พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในท้องถิ่น พระพุทธปฏิมาที่นำเข้ามาได้แก่ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
ปางมารวิชัย ครองจีวรห่มดอง ชายสังฆาฏิอยู่เหนือพระถัน พระเมาลีทรงกรวย เม็ดพระศกเป็นก้นหอย
ขนาดใหญ่ รัศมีเป็นลูกแก้ว (รูปที่ ๔.๑๔) แต่ในบริบทของลัทธิวัชรยาน เช่นที่พระมหาสถูปบุโรพุทโธ
ประเทศอินโดนีเซีย
ปางมารวิชัย ได้แก่ พระอักโษภยะ พระชินพุทธะประจำทิศตะวันออก (ดูรูปที่ ๒.๙ ข.)
ปางประทานอภัย ได้แก่ พระอโมฆสิทธิ พระชินพุทธะประจำทิศเหนือ (ดูรูปที่ ๒.๘ ข.)
ปางสมาธิ ได้แก่ พระอมิตาภะ พระชินพุทธะประจำทิศตะวันตก (ดูรูปที่ ๒.๑๐ ข.)
ปางประทานพร ได้แก่ พระรัตนสัมภวะ พระชินพุทธะประจำทิศใต้ (ดูรูปที่ ๒.๑๑ ข.)
ปางปฐมเทศนา ได้แก่ พระไวโรจนะ พระชินพุทธะประจำทิศเบื้องบน (ดูรูปที่ ๒.๑๒ ข.)
รูปที่ ๔.๑๔ ก. พระพุทธปฏิมาแปดปาง
พบในกรุปรางค์วัดราชบูรณะ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ซึ่งรวมแล้วเรียกว่า “พระปาญจสุคต” อันเป็นพระชินพุทธะห้าพระองค์ของลัทธิวัชรยาน
กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – กลาง ๑๖
(คริสต์ศตวรรษที่ 10)
ศิลา สูง ๑๕.๕ เซนติเมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๔๙
เมื่อลัทธิตันตระยานเป็นที่แพร่หลายในอาณาจักรกัมพูชา ในระหว่างต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๖ –
ปลาย ๑๘ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 10 – กลาง 13) จึงสร้างพระพุทธปฏิมาที่สอดคล้องกับค่านิยมและ
ลัทธิความเชื่อของท้องถิ่น เช่น การสร้างพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเครื่อง
นาคปรก (รูปที่ ๔.๑๘) ที่ศิลาจารึกกัมพูชาเรียกว่า พระวัชรสัตว์พุทธะ ซึ่งก็คือองค์เดียวกับ พระมหาไวโรจนะ
หรือพระอาทิพุทธะ (พระปฐมพุทธเจ้า) อันได้แก่พระพุทธะที่ประทานกำเนิดแก่พระปาญจสุคตอีกต่อ
หนึ่ง และเมื่อลัทธิตันตระยานในกัมพูชาสิ้นสลายไปในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ (กลางคริสต์
ศตวรรษที่ 13) ความนิยมในการสร้างพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องนาคปรกจึงสิ้นสุดลงไปพร้อมๆ กัน
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๕๑
๒.๑ ภาคกลาง
(๑) สมัยอาณาจักรมอญโบราณ (“ทวารวดี”)
พ.ศ. ๙๕๐ – ๑๕๐๐ (ค.ศ. 407 – 957)
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และยอร์ช เซเดส์ เป็นผู้นำเอาชื่ออาณาจักรทวารวดี
(ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๙, ๘๘ – ๙๑; ยอช เซเดส์ ๒๔๗๑, ๒๙ – ๓๓) เพื่อกำหนดอายุเวลาให้กับรูปแบบของ
กลุ่มพระพุทธปฏิมาศิลาที่พบในบริเวณตอนบนของอ่าวไทยโดยมีพุทธลักษณะพ้องกัน คือ พระพุทธปฏิมายืน
จี ว รห่ ม คลุ ม พระหั ต ถ์ ทั้ ง สองข้ า งยกขึ้ น แสดงธรรมในระดั บ พระอุ ร ะ และพระพุ ท ธปฏิ ม าประทั บ
ห้อยพระบาทบนบัลลังก์ พระหัตถ์ขวาแสดงธรรม (ดูรูปที่ ๔.๗) โดยเทียบเคียงกับพระพุทธรูปอินเดีย
สมัยราชวงศ์คุปตะ และกำหนดอายุอยู่ในช่วง พ.ศ. ๑๑๐๐ – ๑๒๐๐ (ค.ศ. 557 – 657) ส่วนหนึ่งของชื่อ
อาณาจักรนั้น เซเดส์ได้มาจากเอกสารของพระภิกษุจีน ฮ่วน จั๋ง ซึ่งเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย
ในช่วงปี พ.ศ. ๑๑๗๒ – ๑๑๘๘ (ค.ศ. 629 – 645) (Hiuen Tsiang 1969, 200) และพระภิกษุอี้จิง ในปี
พ.ศ. ๑๒๑๔ – ๑๒๓๘ (ค.ศ. 671 – 695) (I - Tsing 1966, 9 – 10) ซึ่งกล่าวถึงอาณาจักรที่มีชื่อว่า “โต โล
รูปที่ ๔.๗ หนึ่งในพระอดีตพุทธะสี่พระองค์
โป ติ” และ “ตู โห โล โป ติ” ซึ่งถอดเป็นภาษาสันสกฤตว่า “ทวารวดี” ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอาณาจักร
เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดพระเมรุ
ศรีเกษตรในประเทศพม่า และอีสานปุระในประเทศกัมพูชา นอกจากนั้นแล้ว ชาวกรุงทวารวดี ยังเป็นผู้ที่
จังหวัดนครปฐม
ใช้ภาษามอญ ดังปรากฏบนจารึกภาษามอญที่พบที่จังหวัดลพบุรีและราชบุรี (ยอช เซเดส์ ๒๔๗๒, ๕)
ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 8)
ศิลาขาว สูง ๓.๗๐ เมตร
ต่อมามีการค้นพบเหรียญเงินที่มีจารึกภาษาสันสกฤตว่า “ศรี ทวารวตี ศฺวรปุญ” ซึ่งแปลว่า “บุญ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ของผู้เป็นเจ้าแห่งทวารวดี” ที่ จังหวัดนครปฐม (Boeles 1964, 99 – 102) อำเภออู่ทอง จังหวัด
สุพรรณบุรี (Boisselier 1972, 52) และจังหวัดสิงห์บุรี (ศิลปากร ๒๕๒๔, ๔๘ – ๕๐) ซึ่งสนับสนุนข้อ
สันนิษฐานเบื้องต้นของยอร์ช เซเดส์ ว่า อาณาจักรทวารวดีนั้น เคยตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย
นอกจากนั้นแล้ว ยังพบเหรียญเงินที่จารึกภาษาสันสกฤตว่า “ลวปุร” (ละโว้หรือลพบุรีในปัจจุบัน) (Boeles
1967, 113 – 114) ซึ่งเซเดส์ เคยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเมืองหนึ่งในอาณาจักรทวารวดี
ส่วนประชากรของทวารวดีนั้นเป็นชาวมอญที่ใช้ภาษา “มอญโบราณ” อันได้แก่ภาษามอญที่พบใน
ภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งกำหนดอายุเวลาได้จากวิวัฒนาการของตัวอักษรว่าอยู่ในช่วง พ.ศ. ๑๐๔๓ –
๑๔๔๓ (ค.ศ. 500 – 900) และมีความแตกต่างจากภาษา “มอญกลาง” ซึ่งพบที่เมืองพุกามตอนบนของ
ประเทศพม่า (พ.ศ. ๑๕๔๓ – ๑๘๔๓ / ค.ศ. 1000 – 1300) และภาษา “มอญปัจจุบัน” ที่ใช้ในหงสาวดีใน
รามัญญเทศ ตอนกลางของประเทศพม่า (พ.ศ. ๑๘๔๓ – ๒๑๔๓ / ค.ศ. 1300 – 1600) (Bauer 1991,
34) อนึ่ง ภาษา “มอญโบราณ” ยังปรากฏในลุ่มแม่น้ำชีของภาคอีสานในช่วง พ.ศ. ๑๒๙๓ – ๑๕๔๓ (ค.ศ.
750 – 1000) อีกด้วย (เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน)
นอกจากภาษา “มอญโบราณ” แล้ว ยังพบจารึกภาษาสันสกฤตและภาษาบาลีควบคู่ไปกับภาษา
“มอญโบราณ” ในภาคกลาง (เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พุทธศาสนาที่ชาวมอญโบราณ
นับถือนั้น ได้แก่ ลัทธิศราวกยานที่ใช้ภาษาสันสกฤต เช่น นิกายมหาสังฆิกะ และนิกายมูลสรรวาสติวาส
รวมทั้งลัทธิมหายาน และลัทธิตันตระยาน ส่วนภาษาบาลีนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนิกายเถรวาท
ส่วนในภาคอีสานนั้น พบจารึกภาษาสันสกฤตเท่านั้นในช่วงระยะเวลานี้
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๕๓
นิกายเถรวาทซึ่งคงอยู่ควบคู่ไปกับลัทธิตันตระยานของกัมพูชา ในช่วงที่ตันตระยานรุ่งเรือง
กลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าขนบธรรมเนียมของการใช้พระไตรปิฎกและอรรถกถาภาษาบาลี
จะเป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นเถรวาท แต่ทว่านิกายเถรวาทของกัมโพชก็ได้รับคติธรรมและความเชื่อมา
จากลัทธิมหายานและตันตระยานของกัมพูชาเข้ามาผสมผสานกันอีกด้วย และเมื่อเป็นนิกายซึ่งเป็นที่
นิยมแพร่หลายในแคว้นกัมโพช จึงเป็นนิกายเดียวกับที่ศิลาจารึกกัลยาณี ที่พระเจ้าธรรมเจดีย์ กษัตริย์
มอญที่ปกครองหงสาวดี (พ.ศ. ๒๐๑๕ – ๒๐๓๕ / ค.ศ. 1472 – 1492) จารขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๑๘ (ค.ศ.
1475) เรียกว่า “กัมโพชสงฆ์ปักขะ” หรือคณะสงฆ์กัมโพช
ศิ ล าจารึ ก กั ล ยาณี ให้ ร ายละเอี ย ดเกี่ ย วกั บ กั ม โพชสงฆ์ ปั ก ขะนี้ ว่ า เป็ น นิ ก ายดั้ ง เดิ ม ที่ พ ระ
มหาเถระสององค์ คือ พระโสณะ และพระอุตตระ นำมาจากอินเดีย มาประดิษฐานในรามัญญเทศ หรือ
รัฐมอญในปัจจุบัน และมีชื่อว่า “อริยารหันตปักขภิกขุสงฆ์” ต่อมาจึงเรียกว่า “กัมโพชสงฆ์ปักขะ” เพราะ
ว่าพระอารามของนิกายนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับค่ายของเชลยศึกชาวกัมโพช (Taw Sein Ko 1892, 57)
กัมโพชสงฆ์ปักขะ ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า อริยารหันตปักขภิกขุสงฆ์ หรือเรียกโดยย่อว่า “อริยะ”
จึงน่าจะเป็นนิกายดั้งเดิมของชาวมอญ และมีหลักฐานปรากฏในจารึกภาษาบาลีสนับสนุนว่า ได้เข้ามาใน
ลุ่มแม่น้ำอิระวดีและเจ้าพระยา เมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6) เป็นต้นมา
และพัฒนาการขึ้นโดยมิได้รับอิทธิพลจากลังกาแต่อย่างใด (Skilling 1997, 101)
เนื่องด้วยว่าคณะสงฆ์กัมโพชที่ได้ขึ้นไปแพร่หลายที่นครหริภุญไชย เป็นคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี
หรือฝ่ายคันถธุระ จึงทำให้สันนิษฐานได้ว่า คณะสงฆ์กัมโพชที่ละโว้หรือลพบุรีก็น่าจะเป็นคณะสงฆ์
ฝ่ายคามวาสี เช่นกัน
พุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นตามคติของคณะสงฆ์กัมโพชมีรูปแบบที่จำกัด คือ นิยมสร้างพระพุทธปฏิมา
ซึ่งได้แก่ พระสมณโคดมในแบบประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ซึ่งมีทั้งนาคปรก ทรงเครื่อง และ
แบบยืน พระหัตถ์ขวาประทานอภัย แนบหน้าพระอุระ พระกรซ้ายทอดลงมาที่พระปรัศว์ หรือแบบยืน
ครองจี ว รห่ ม คลุ ม พระหั ต ถ์ ทั้ ง สองข้ า งประทานอภั ย ดั ง ที่ ขุ ด พบรวมกั น ในหม้ อ ดิ น เผาที่ จั ง หวั ด
สมุทรสาคร (รูปที่ ๔.๑๙) ซึ่งในหม้อดินใบนี้ ยังพบด้ามจับของกระดิ่งที่พระภิกษุในลัทธิวัชรยานหรือ
ตันตระยานจะถือในมือซ้าย และวัชระในมือขวา เมื่อเวลาทำวัตรอีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว ยังนิยมสร้าง
พระพุทธปฏิมายืน ทรงเครื่อง สองพระหัตถ์ประทานอภัย อันได้แก่ พระสมณโคดมในแบบของพระ
จักรพรรดิราช (รูปที่ ๔.๒๐) รวมทั้งรูปพระสมณโคดมสัมฤทธิ์ยืน พระหัตถ์ขวาประทานอภัย พระหัตถ์
ซ้ายประทานพร สวมอุณหิสห้ายอด (รูปที่ ๔.๒๑) พบที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งดัดแปลงมา
จากรูปพระศากยมุนี ยืนประทานพร สวมอุณหิสห้ายอดที่สร้างขึ้นในราชวงศ์ปาละ - เสนะของอินเดีย
ในรัชสมัยของพระเจ้าวิครหปาละที่ ๓ (พ.ศ. ๑๕๘๔ - ๑๖๑๐ / ค.ศ. 1041 - 1067) (Ray et al. 1986,
61 - 62) โดยดัดแปลงพระหัตถ์ซ้ายที่ถือชายจีวรมาเป็นปางประทานพร และปรับเปลี่ยนรายละเอียด
ของอาภรณ์ให้เข้ากับค่านิยมของท้องถิ่น พร้อมกับจารึกภาษาบาลีไว้ที่ด้านหลังของพระพุทธรูปอีกด้วย
และในที่สุดแล้ว พระพุทธปฏิมาที่คณะสงฆ์กัมโพชได้สร้างขึ้นนี้ ได้กลายเป็นแม่แบบให้กับพระพุทธปฏิมา
ที่สร้างขึ้นในราชอาณาจักรอยุธยา และสืบทอดลงมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ภายใต้นิกายสยามวงศ์ หรือที่
เรียกว่าคณะมหานิกายในปัจจุบัน
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๕๕
(๓) สมัยสุโขทัย
สมัยสุโขทัยอาจจะแยกได้เป็น ๓ ช่วง โดยใช้เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์ในการ
แบ่ง ได้แก่
- ช่วงก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๘๔๒ (ค.ศ. 1257 – 1299)
- ช่วงอาณาจักรสุโขทัย พ.ศ. ๑๘๔๒ – ๑๙๒๑ (ค.ศ. 1299 – 1378)
- ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463)
ช่วงก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๘๔๒ (ค.ศ. 1257 – 1299)
สุโขทัยเป็นอาณาจักรของชาวไทย ซึ่งชาวไทยในที่นี้หมายถึง กลุ่มชนที่ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร
เมื่อแรกเริ่มก่อตั้งขึ้นนั้น ชาวไทยที่สุโขทัยอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เขมรแห่งอาณาจักรกัมพูชา
ที่มีราชธานีอยู่ที่เมืองพระนคร หรือยโศธรปุระ โดยมีพ่อขุนศรีนาวนำถม ปฐมกษัตริย์สุโขทัยครองราชย์
ในกรุงสุโขทัยและศรีสัชนาลัย เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๐ (ค.ศ. 1257) ตรงกับรัชสมัยพระเจ้า
ชัยวรมันที่ ๘ แห่งอาณาจักรกัมพูชา (พ.ศ. ๑๗๘๖ – ๑๘๓๘ / ค.ศ. 1243 – 1295) (Jacques 1990, 160)
ต่อมา ขอมสบาดโขลญลำพงได้เข้าโจมตีสุโขทัย ทางด้านชาวไทยโดยการนำของพระโอรสของ
พรญา (พญา) ศรีนาวนำถมองค์หนึ่งพระนามว่า พ่อขุนผาเมือง พร้อมด้วยพระสหาย พ่อขุนบางกลางหาว
ร่วมกันขับไล่ชาวขอม ซึ่งได้แก่กลุ่มชนชาวมอญ หรือมอญ – เขมร ที่อาศัยอยู่ในบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี
และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (สยาม) และจังหวัดลพบุรี (กัมโพช) (วินัย ๒๕๕๐, ๘ – ๑๐) เมื่อได้รับ
ชัยชนะแล้วพ่อขุนผาเมืองจึงยกเมืองสุโขทัยให้กับพ่อขุนบางกลางหาว พร้อมกับถวายพระนามที่ได้รับ
พระราชทานมาจากกษัตริย์เมืองยโศธรปุระ
... พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เมืองสุโขทัย ให้ทั้งชื่อตนแก่
พระสหายเรี ย กชื่ อ ศรี อิ น ทรบดิ น ทราทิ ต ย์ นามเดิ ม กมรแดงอั ญ ผาเมื อ ง
เมื่อก่อนผีฟ้า เจ้าเมืองศรีโสธรปุระ ให้ลูกสาวชื่อนางสุขรมหาเทวีกับขรรค์ชัยศรี
ให้นามเกียรติ์แก่พ่อขุนผาเมือง เหียม พ่อขุนบางหลางหาวได้ชื่อศรีอินทรา-
บดินทราทิตย์...
(ศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๒ ๒๕๒๗, ๑๔)
ชาวไทยซึ่งอาศัยอยู่บริเวณสุโขทัย มีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์เขมรแห่งอาณาจักรกัมพูชา จึง
ช่วยกันต่อสู้กับศัตรูชาวขอม (Vickery 1977 A, 373 (20)) อันประกอบด้วยชาวสยาม (สุพรรณบุรี) และ
ชาวกัมโพช (ลพบุรี) ซึ่งราชทูตจีนชื่อ โจว ต๋า กวาน ที่เดินทางไปเมืองพระนครระหว่างปี พ.ศ. ๑๘๓๙ –
๑๘๔๐ (ค.ศ. 1296 – 1297) ในรัชสมัยของพระเจ้าศรีอินทรวรมัน เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง บันทึก
ภูมิประเทศและจารีตประเพณีของเจินล่า ว่า “เดินทาง [จากกัมพูชา] ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ สิบห้า
วั น ก็ ใ กล้ ถึ ง สยาม” (Chou Ta - Kuan 1992, XVIII) ในบริ เ วณจั ง หวั ด สุ พ รรณบุ รี แ ละจั ง หวั ด
พระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน (เรื่องเดียวกัน, 372) ซึ่งสามารถสันนิษฐานได้ว่า การศึกครั้งนี้ ชาวขอม
อันได้แก่ ชาวกัมโพชหรือชาวสยามน่าจะขึ้นมารุกรานสุโขทัยเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี ศิลาจารึกหลักที่ ๒ มิได้
กล่าวว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีใด แต่น่าจะเป็นช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13)
ช่วงอาณาจักรสุโขทัย พ.ศ. ๑๘๔๒ – ๑๙๒๑ (ค.ศ. 1299 – 1378)
ช่วงอาณาจักรสุโขทัยเป็นยุคที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองโดย “สู้กู่ไถ่” ส่งเครื่องราชบรรณาการ
ไปจีนในปี พ.ศ. ๑๘๔๒ (ค.ศ. 1299) (Flood 1969, 226) ในรัชสมัยของพระเจ้าเลอไทย (พ.ศ. ๑๘๔๑ /
ค.ศ. 1298 – ปีใดไม่ปรากฏ) (ประเสริฐ ๒๕๓๔, ๓๓) แต่อาณาจักรสยามที่อยู่บริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี
และพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน ยังไม่เลิกราความต้องการที่จะผนวกเอาสุโขทัย จนกระทั่งประสบ
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๕๗
๑๙๐๕ (ค.ศ. 1361) จึงโปรดให้ไปอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชจากเมืองพัน มาเป็นพระราชอุปัชฌยาจารย์
เสด็จออกผนวช “ทรงอธิษฐานอย่างนี้ว่า ผลบุญที่อาตมาบวชในศาสนาของพระพุทธ พระผู้เป็นเจ้าครั้ง
นี้ อาตมาไม่อยากได้จักรพรรดิ์สมบัติ อินทรสมบัติ พรหมสมบัติ อาตมาอยากขอมอบอาตมา ปรารถนา
เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อนำสัตว์ทั้งปวงข้ามไตรภพนี้” (เรื่องเดียวกัน, ๒๓๗) แล้วจึงเสด็จไปจำพรรษาที่วัด
ป่ามะม่วง ซึ่งเดิมเป็นสวนมะม่วงที่พระอัยกาธิราช พระเจ้ารามราชได้ทรงปลูกไว้ (เรื่องเดียวกัน, ๔๓)
ในปีเดียวกันพระมหากัลยณเถระ เจ้าอาวาสวัดป่าแดงที่ศรีสัชนาลัยมรณภาพ พระเจ้าลิไทจึงเสด็จ
มาสักการะพระศพ และทรงแต่งตั้งพระบรมครูติโลกดิลกะติรัตนศีลคันธวันวาสีธรรมกิตติ สังฆราช-
มหาสามีเจ้า เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแดง และเป็นเจ้าคณะฝ่ายอรัญวาสีด้วย (เรื่องเดียวกัน, ๒๕๕) ซึ่ง
แสดงให้เห็นว่า กษัตริย์สุโขทัยมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมณศักดิ์และการปกครองคณะสงฆ์
ช่วงเมืองประเทศราชอยุธยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463)
หลังจากพระเจ้าลิไทสิ้นพระชนม์ ระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๑๑ – ๑๙๑๗ (ค.ศ. 1368 – 1374)
(Vickery 1978, 241) สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ กษัตริย์อยุธยา ทรงยกทัพไปตีเมืองกำแพงเพชร
ซึ่งขึ้นกับสุโขทัย พระมหาธรรมราชาที่ ๒ หรือพระเจ้าลือไทแห่งสุโขทัยได้เสด็จป้องกันเมืองด้วย
พระองค์เอง แต่เมื่อทรงเห็นว่าจะป้องกันไว้ไม่ได้ จึงเสด็จ “ออกถวายบังคม” ยอมอ่อนน้อมต่อ
อาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ. ๑๙๒๑ (ค.ศ. 1378) (ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑ ๒๕๐๖, ๑๓๒)
เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๒ สิ้นพระชนม์ราวปี พ.ศ. ๑๙๒๖ – ๑๙๒๗ (ค.ศ. 1383 – 1384)
(Vickery 1978, 241) พระเจ้าไสลือไท (พระมหาธรรมราชาที่ ๓) จึงเสด็จขึ้นครองราชย์ และในปี พ.ศ.
๑๙๖๐ (ค.ศ. 1417) นายอินทรสรศักดิ์ ซึ่งน่าจะเป็นขุนนางระดับสูงของสุโขทัย ได้ทูลขอประทานที่ดิน
สร้างพระอารามถวายแด่ “พ่ออยู่หัวเจ้า ธ ออกญาธรรมราชา” (จารึกสมัยสุโขทัย ๒๕๒๖, ๑๓๐) อัน
แสดงให้เห็นว่า หัวเมืองเหนือภายใต้การปกครองของอยุธยา ที่พระมหาธรรมราชา กษัตริย์สุโขทัยถูกลด
ฐานะลงมาเป็น “ออกญาธรรมราชา” นั่นหมายความได้ว่าเป็นการลดสถานะจาก “พระราชา” มาเป็น
“ขุนนาง” ซึ่งปกครองหัวเมืองอันเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา (มานพ ๒๕๓๖, ๗๑, ๘๑) ศิลาจารึก
หลักนี้ยังกล่าวถึงนายสังฆการี ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างพระเจ้าไสลือไทกับนายอินทรสรศักดิ์
(จารึกสมัยสุโขทัย ๒๕๒๖, ๑๓๐ – ๑๓๑) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มีการจัดตั้งเจ้าหน้าที่ดูแลกิจการสงฆ์แทน
พระองค์พระมหากษัตริย์อีกด้วย
แม้ว่าจะถูกลดฐานะลงเป็น “ออกญาธรรมราชา” แต่ทว่า พระเจ้าไสลือไทก็ยังได้รับการยกย่อง
จากนายอินทรสรศักดิ์ว่าทรงเป็น “พระบรมราชาธิบดี ศรีมหาจักรพรรดิราช” อยู่ดี (จารึกสมัยสุโขทัย
๒๕๒๖, ๑๓๒) ในปี พ.ศ. ๑๙๔๓ (ค.ศ. 1400) สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ อัครราชมเหสีของ
พระองค์ (Vickery 1978, 235 – 239) ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมธาตุซึ่งทรงได้มาจากลังกาขึ้น
๒ องค์ พร้อมด้วยวิหาร มณฑป เจดีย์ และปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ในพระอารามด้วย โดยพระราชทาน
นามว่า “อโสการาม” (จารึกสมัยสุโขทัย ๒๕๒๖, ๓๓๒ – ๓๓๓) นอกจากนั้นแล้ว พระองค์ยังทรงสร้างวัด
ทักษิณารามอีกด้วย (เรื่องเดียวกัน, ๓๒๓) พระเจ้าไสลือไททรงทำนุบำรุงพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี โดยแต่ง
ตั้งพระบรมครูติโลกดิลกฯ เป็นสังฆปรินายก มีอำนาจสิทธิขาดในการปกครองสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี โดยที่
พระมหากษัตริย์จะละเมิดมิได้เลย ในปี พ.ศ. ๑๙๕๐ (ค.ศ. 1407) (เรื่องเดียวกัน, ๒๖๓)
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๕๙
เขียนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๑๑ (ค.ศ. 1468) (Wyatt 1967, 281) ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.
๑๙๙๑ – ๒๐๓๑ / ค.ศ. 1448 – 1488) ระบุว่ามีเมืองพระยามหานคร ๘ เมือง ได้แก่ พิษณุโลก
ศรีสัชนาลัย สุโขทัย กำแพงเพชร นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรี และทวาย (เรื่องกฎหมาย
ตราสามดวง ๒๕๒๑, ๓๔) ซึ่ง ๔ เมืองแรกน่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๒๑ (ค.ศ.
1378) เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งสุโขทัย ยอมอ่อนน้อมต่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ แห่ง
กรุงศรีอยุธยา
นอกจากเมืองพระยามหานครแล้ว อาณาจักรอยุธยายังมีเมืองประเทศราชที่ “ได้ถวายดอกไม้
ทองเงิน” เป็นเครื่องบรรณาการอีก ๒๐ เมือง (เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน) ประกอบด้วยหัวเมืองทาง
เหนือ ๑๖ เมือง ซึ่งแยกเป็นเมืองในภาคเหนือ ๑๒ เมือง และเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๔ เมือง
หัวเมืองทางภาคใต้ ๔ เมือง (ดูภาคผนวก: แผนที่ ๓ แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงเมืองพระยามหานคร)
เมืองในภาคเหนือนั้นน่าจะได้มาเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๑๔ (ค.ศ. 1371) เมื่อ “สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า
เสด็จไปเมืองเหนือ และได้เมืองเหนือทั้งปวง” (ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑ ๒๕๐๖, ๑๓๑) และปี พ.ศ.
๑๙๒๙ (ค.ศ. 1386) เมื่อ “เสด็จไปเอาเมืองเชียงใหม่” (เรื่องเดียวกัน, ๑๓๒) ส่วนเมืองในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ เช่น เมืองนครหลวง หรือนครธม ราชธานีของกัมพูชา ได้มาเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๗๔ (ค.ศ. 1431)
เมื่อ “สมเด็จพระบรมราชาเจ้าเสด็จไปเอาเมืองนครหลวงได้” (เรื่องเดียวกัน, ๑๓๔) ส่วนเมืองใต้ เช่น
เมืองมะละกา คงจะได้มาในปี พ.ศ. ๑๙๙๘ (ค.ศ. 1455) เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรง “แต่งทัพ
ให้ไปเอาเมืองมะละกา” (เรื่องเดียวกัน, ๑๓๕)
ทางด้านศาสนานั้น คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ ซึ่งเป็นฝ่ายคามวาสีน่าจะเป็นที่แพร่หลายที่อยุธยาใน
ช่วงก่อตั้งราชอาณาจักร อันเห็นได้จากที่พระสุมนเถระและพระอโนมทัสสีชาวสุโขทัย ได้ไปเล่าเรียน
ธรรมะในหลายสำนักที่อยุธยา (ตำนานมูลศาสนา ๒๕๑๘, ๑๙๒) ก่อนที่จะไปอุปสมบทใหม่ในสำนัก
อุทุมพรบุปผามหาสามีที่เมืองพัน ซึ่งเป็นฝ่ายอรัญวาสี
ต่อมาในปี พ.ศ. ๑๙๖๙ (ค.ศ. 1426) รัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา)
(พ.ศ. ๑๙๖๗ – ๑๙๙๑ / ค.ศ. 1424 – 1448) พระภิกษุจากเชียงใหม่และลพบุรีรวม ๓๓ รูป ซึ่งเดินทาง
ไปอุปสมบทใหม่ในฝ่ายอรัญวาสี คณะมหาวิหารของลังกา เมื่อเดินทางกลับมาถึงอยุธยา จึงมาอุปสมบท
ให้กับพระมหาเถระสีลวิสุทธิ ผู้เป็นพระอาจารย์ของพระมเหสีของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (รัตน-
ปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๐๘) และจาก ตำนานมูลศาสนา ฝ่ายวัดป่าแดง เชียงตุง ได้เพิ่มเติมรายละเอียด
ในปีเดียวกันนั้นว่า พระมหาธัมมสารท พระเถระผู้ใหญ่แต่งตั้งพระญาณคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระรูปเดียวกันกับ
ที่ ชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวถึงว่า พระธัมมคัมภีร์ ให้เป็นประมุขของสงฆ์ และให้พระภิกษุหนุ่มลาสิกขา
บทจากคณะเดิม ซึ่งน่าจะได้แก่คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะฝ่ายคามวาสี ซึ่งแพร่หลายในแถบอยุธยาอยู่ใน
ช่วงเวลานั้น แล้วให้พระที่สึกเหล่านั้นเข้าอุปสมบทใหม่ในคณะสีหฬภิกขุ ฝ่ายอรัญวาสีของพระญาณ-
คัมภีร์นั่นเอง ส่งผลให้พระอารามจำนวนกว่า ๓๐๐ แห่งที่อยุธยา สังกัดอยู่ภายใต้คณะสีหฬภิกขุด้วย
(Mangra- i 1981, 111)
ช่วงเมืองลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590)
ช่วงเมืองลูกหลวงเป็นระยะเวลาที่นับตั้งแต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสถาปนาระบบการ
ปกครองแบบระบบเมืองลูกหลวงขึ้นเพื่อปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ (Tambiah 1977, 134 – 135)
จนถึงสมเด็จพระนเรศวรทรงยกเลิกระบบนี้โดยทรงแต่งตั้งขุนนางไปปกครองแทนเชื้อพระวงศ์ ใน กฎ-
มณเฑียรบาล ระบุไว้ว่า เมืองพิษณุโลก สวรรคโลก กำแพงเพชร ลพบุรี และสิงห์บุรี มีฐานะเป็นเมือง
ลูกหลวง เมืองอินทร์บุรี และพรหมบุรีเป็นเมืองหลานหลวง ซึ่งปกครองโดยพระราชโอรสและพระราช-
นัดดา เช่น “ฝ่ายพระราชกุมารเกิดด้วยพระอัครมเหษีคือสมเดจ์หน่อพระพุทธเจ้า อันเกิดด้วยแม่หยัว
เมืองเป็นพระมหาอุปราช เกิดด้วยลูกหลวง กินเมืองเอก เกิดด้วยหลานหลวง กินเมืองโท” (เรื่อง
กฎหมายตราสามดวง ๒๕๒๑, ๓๔ – ๓๕) (ดูภาคผนวก: แผนที่ ๔ แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงเมืองลูกหลวง)
๑๖๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกของพุทธศาสนา ทรงฉลอง
๒ สหัสวรรษพุทธศาสนาด้วยการให้หล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๐๐ ชาติ (ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑ ๒๕๐๖,
๑๓๖) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1463) จึงเสด็จไปประทับที่เมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ. ๒๐๐๗ (ค.ศ.
1464) ทรงสร้างพระวิหารวัดจุฬามณี ที่พิษณุโลก ในปีต่อมาเสด็จออกผนวช ณ พระอารามแห่งนั้น ซึ่ง
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัดในคณะสีหฬภิกขุ ฝ่ายอรัญวาสี (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๖, ๑๓) ในปี พ.ศ.
๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482) ทรงฉลองพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งน่าจะขึ้นกับคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ ฝ่ายคามวาสี
“แล้วจึงพระราชนิพนธ์มหาชาติคำหลวงจบบริบูรณ์” ในปี พ.ศ. ๒๐๓๑ (ค.ศ. 1488) ดังความที่ระบุไว้ว่า
“สมเด็จพระบรมไตรโลกเสด็จนฤพาน ณ เมืองพิษณุโลก” (ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑ ๒๕๐๖, ๑๓๗ – ๑๓๙)
เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พ.ศ. ๒๐๓๔ – ๒๐๗๒ / ค.ศ. 1491 – 1529) เสด็จขึ้นเสวยราชย์
พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เมืองราชธานี และทรงแต่งตั้งสมเด็จหน่อพุทธางกูร ซึ่งประสูติจาก
พระอัครมเหสี เป็นพระมหาอุปราช ให้เสด็จขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก
ในรัชสมัยสมเด็จพระชัยราชา (พ.ศ. ๒๐๗๗ – ๒๐๙๐ / ค.ศ. 1534 – 1547) ทรงให้สร้าง
วัดชีเชียงใส “แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าและพระเจดีย์” ในพระอารามนั้น (เรื่องเดียวกัน, ๑๔๒)
ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ต้น ๒๒ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 – ปลาย 16) อาณาจักร
อยุ ธ ยาได้ ก ลายเป็ น ศู น ย์ ก ลางทางการค้ า ที่ ส ำคั ญ มี ก ารติ ด ต่ อ ค้ า ขายกั บ หลายประเทศ เพราะ
ครอบครองเมืองท่าชายฝั่งทะเลด้านอ่าวเบงกอล เช่น ตะนาวศรี ตรัง ไทรบุรี (รัฐเกดะห์ ประเทศ
มาเลเซีย) ซึ่งทำการค้ากับพ่อค้าชาวอินเดียจากคุชราต และเบงกอล ส่วนด้านอ่าวไทย ได้แก่ เพชรบุรี
นครศรีธรรมราช ปัตตานี สายบุรี กลันตัน และตรังกานู นั้น ทำการค้ากับพวกพ่อค้าชาวจีน โดยที่
อยุธยาเป็นศูนย์รวมสินค้าจำพวกของป่า และเป็นคนกลางในการนำสินค้าจากมหาสมุทรอินเดียไปจีน
และสินค้าจากจีนไปยังภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้นแล้ว อยุธยายังหล่อปืนใหญ่ขนาด
เล็กโดยรับเอาเทคโนโลยีจากจีน (อาคม และ นิธิ ๒๕๔๕, ๑๘๕) เช่นเดียวกับเครื่องถ้วยสังคโลกที่ผลิต
จากเตาสวรรคโลกออกไปขายในช่วงระยะเวลานี้อีกด้วย (พิริยะ ๒๕๒๘, ๒๐๔ – ๒๐๕)
สงครามกับพม่าในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ (พ.ศ. ๒๐๙๑ – ๒๑๑๑ / ค.ศ. 1548 –
1569) น่าจะเกิดขึ้นจากการที่อยุธยามีความประสงค์ที่จะขยายเมืองท่าด้านอ่าวเบงกอลไปที่เมืองทวาย
ของพม่า โดยที่พระองค์ทรงแต่งทัพไปตีเมืองทวาย ซึ่งเป็นผลให้พระเจ้าตะเบงชเวตี้กษัตริย์พม่าต้องส่ง
กองทัพมายึดกลับคืนไป (สุเนตร ๒๕๓๙, ๑๔๙ – ๑๕๐) และเป็นข้ออ้างที่พม่าจะเข้ามาโจมตีกรุง
ศรีอยุธยา ต่อมาหลังจากที่พระเจ้าตะเบงชเวตี้ถูกลอบปลงพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๐๙๓ (ค.ศ. 1550)
อาณาจักรพม่าแตกแยก จนกระทั่งพระเจ้าบุเรงนองทรงกอบกู้อาณาจักรพม่าขึ้นใหม่ แล้วจึงโจมตีกรุง
ศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ยอมจำนนในปี พ.ศ. ๒๑๐๖ (ค.ศ. 1563) ต่อมา พระมหาจักรพรรดิ์
คิดแยกตัวเป็นอิสระ พระเจ้าบุเรงนองจึงยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา และใช้ออกญาจักรีเป็นไส้ศึกลอบ
เปิดประตูพระนคร พม่าจึงบุกเข้าตีและยึดพระนครได้ในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ (ค.ศ. 1569) (อูซานเยง ๒๕๔๒,
๓๕ – ๖๘)
ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
สมัยวงราชธานีเริ่มขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร (พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๑๔๘ / ค.ศ. 1590 –
1605) (Tambiah 1977, 136 – 137) เมื่อพระองค์ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นศูนย์กลางของ
วงราชธานี และทรงแต่งตั้งขุนนางให้ไปปกครองหัวเมืองแทนเชื้อพระวงศ์ โดยแบ่งชั้นหัวเมืองออกเป็น
เอก โท ตรี และจัตวา ดังที่ปรากฏใน พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง (เรื่องกฎหมายตราสาม
ดวง ๒๕๒๑, ๑๗๓ – ๑๗๘) แม้ว่ากฎหมายนี้อาจจะตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็ตาม
(โยนิโอะ ๒๕๒๒, ๑๕๐) และเมื่อสมเด็จพระนเรศวร ทรงยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง จึงทรงนำเอา
ระบบการแบ่งชั้นหัวเมืองมาใช้อย่างจริงจัง (Tambiah 1977, 136 – 137)
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๖๑
หั ว เมื อ งชั้ น เอก มี ๒ เมื อ ง ได้ แ ก่ พิ ษ ณุ โ ลก ควบคุ ม หั ว เมื อ งด้ า นทิ ศ เหนื อ
นครศรีธรรมราช ดูแลหัวเมืองด้านทิศใต้
หั ว เมื อ งชั้ น โท มี ๖ เมื อ ง ได้ แ ก่ สวรรคโลก สุ โ ขทั ย กำแพงเพชร เพชรบู ร ณ์
นครราชสีมา และตะนาวศรีในทิศตะวันตก
หัวเมืองชั้นตรี มี ๗ เมือง ได้แก่ พิชัย พิจิตร นครสวรรค์ จันทบูรณ์ ไชยา พัทลุง
ชุมพร
หัวเมืองชั้นจัตวา มี ๓๓ เมือง ได้แก่ เมืองซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายสำคัญในภาคกลาง
และเขตชายฝั่งทะเลรอบอ่าวไทยตอนบน
ลุ่มแม่น้ำป่าสัก ได้แก่ สระบุรี กำพราน ชัยบาดาล บัวชุม ท่าโรง
ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ อ่างทอง พรหมบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี มโนรมย์
อ่างทอง สรรคบุรี นนทบุรี ปากน้ำ
ลุ่มแม่น้ำลพบุรี ได้แก่ ลพบุรี
ลุ่มแม่น้ำท่าจีน ได้แก่ ท่าจีน นครชัยศรี สุพรรณบุรี
ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ได้แก่ แม่กลอง ราชบุรี กาญจนบุรี ศรีสวัสดิ์ ไทรโยค
ลุ่มแม่น้ำปางปะกง ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก
เขตชายทะเลอ่าวไทย ได้แก่ ปากน้ำชลบุรี บางละมุง ระยอง เพชรบุรี ปราณบุรี กุย
เมืองชั้นจัตวาทั้ง ๓๓ เมือง อยู่ในความดูแลของหน่วยราชการ ๓ หน่วย คือ มหาดไทย ดูแลหัวเมือง
ฝ่ายเหนือ กลาโหม ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ และกรมท่า ดูแลเมืองชายทะเล
โดยสรุป เขตวงราชธานี คืออาณาบริเวณรอบกรุงศรีอยุธยาอันเป็นศูนย์กลาง มีอาณาเขต
กว้างขวาง (โยนิโอะ ๒๕๒๒, ๑๕๑ – ๑๕๓) ดังนั้น อยุธยาจึงเป็นศูนย์กลางของพระราชอาณาจักรทั้งใน
ด้านการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ซึ่งขยายไปยังหัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ในเขต
วงราชธานี (ดูภาคผนวก: แผนที่ ๕ แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงวงราชธานี)
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๓ – ๒๑๙๙ / ค.ศ. 1630 – 1656) และ
สมัยสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688) ชาวต่างประเทศบันทึกไว้ว่า
“สมุหนายกควบคุมหัวเมืองและกิจการพลเรือนทั่วราชอาณาจักร สมุหกลาโหมควบคุมกิจการเกี่ยวกับ
กองทัพ มิได้กล่าวว่าควบคุมหัวเมือง” (มานพ ๒๕๓๖, ๑๐๑) หลังจากสมัยสมเด็จพระนารายณ์แล้ว
สมุหนายกควบคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือ สมุหกลาโหมควบคุมกิจการทั้งทหารและพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายใต้
อาณาจักรอยุธยายังวางระบบปกครองคณะสงฆ์ ใน พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน ให้เป็น
๑ ใน ๖ กรม ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงควบคุม มีหลวงธรรมรักษา เป็นเจ้ากรมสังกะรี หรือ สังฆการี
(เรื่องกฎหมายตราสามดวง ๒๕๒๑, ๑๒๒) ซึ่งน่าจะทำหน้าที่แทนกรมการศาสนาในปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้ว
ยังมีการแบ่งแยกคณะสงฆ์ออกเป็น ๓ คณะ ได้แก่ คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย ซึ่งน่าจะได้แก่คณะกัมโพชสงฆ์-
ปักขะเดิม คณะอรัญวาสี ซึ่งอาจจะได้แก่คณะสีหฬภิกขุ และคณะคามวาสีฝ่ายขวา ซึ่งสมเด็จฯ กรม
พระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าคงจะเป็นคณะที่ตั้งขึ้นทีหลัง (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๖, ๑๕)
โดยเจ้าคณะองค์ไหนมีอายุพรรษามาก องค์นั้นก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช (เรื่องเดียวกัน, ๒๑)
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๖๓
๒.๒ ภาคเหนือ
(๑) สมัยอาณาจักรมอญหริภุญไชย พ.ศ. ๑๗๐๐ – ๑๘๓๕ (ค.ศ. 1157 – 1292)
ถึงแม้ว่าตำนานเมืองลำพูนจะกล่าวว่า ฤษีวาสุเทพได้ทูลเชิญพระนางจามเทวีให้เสด็จจาก ลวรัฐ
หรือละโว้ไปครองเมืองหริภุญไชย (Notton 1930, 17) ในปี พ.ศ. ๑๓๑๐ – ๑๓๑๑ (ค.ศ. 767 – 1768)
แต่ศิลาจารึกภาษามอญที่เก่าที่สุดพบในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ กำหนดอายุเวลาได้แค่ประมาณ
กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12) (Griswold and Nฺa Nagara 1971, 154) ซึ่งเป็น
หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าอารยธรรมมอญโบราณได้เจริญขึ้นในภาคเหนือในช่วงระยะเวลานั้น นอกจาก
นั้นแล้วหลักฐานทางเอกสารและโบราณคดีล้านนาแสดงให้เห็นว่า พุทธศาสนาที่ได้ขึ้นไปแพร่หลายใน
ภาคเหนือ ในช่วงที่ราชวงศ์มอญปกครองนครหริภุญชัย (ลำพูน) เป็นคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี หรือสงฆ์
ฝ่ายคันถธุระ ซึ่งเป็นฝ่ายที่ทำการศึกษาพระธรรมวินัยควบคู่ไปกับการปฏิบัติวิปัสสนาที่อยู่ในเขตชุมชน
(Swearer and Premchit 1978, 22)
หริภุญไชยเจริญรุ่งเรืองสูงสุดระหว่างปี พ.ศ. ๑๗๐๐ – ๑๘๑๘ (ค.ศ. 1157 – 1275) ซึ่งตรงกับ
รัชสมัยของพระเจ้าอาทิตตราช ผู้สร้างพระมหาธาตุหริภุญไชยขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๖๙๓ (ค.ศ.
1150) และรัชสมัยของพระเจ้าสววาธิสิทธิ (สรรพสิทธิ์) ผู้ทรงจารึกไว้ว่า ทรงสร้างวัดเชตวัน และเมื่อ
ทรงมีพระชันษาได้ ๓๒ ปี จึงเสด็จออกผนวชพร้อมด้วยพระโอรสอีก ๒ พระองค์ ในพระอารามแห่งนี้
(ศิลปากร ๒๕๒๒, ๑๐ – ๑๒) นอกจากนั้นแล้ว พระองค์ยังได้ปฏิสังขรณ์พระรัตนเจดีย์ที่พังทลายจาก
เหตุแผ่นดินไหวขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. ๑๗๖๑ (ค.ศ. 1218) (เรื่องเดียวกัน, ๑๔ – ๑๕)
อาณาจักรหริภุญไชยสิ้นสลายลงในปี พ.ศ. ๑๘๓๕ (ค.ศ. 1292) เมื่อพระเจ้ายี่บา กษัตริย์มอญ
องค์สุดท้ายพ่ายแพ้แก่พระเจ้ามังราย ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรล้านนา
(๒) สมัยล้านนา
สมัยล้านนาอาจจะแยกออกเป็น ๔ ช่วง โดยใช้เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์
ในการแบ่ง
- ช่วงก่อตั้งอาณาจักรล้านนา พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๙๘ (ค.ศ. 1296 – 1355)
- ช่วงอาณาจักรล้านนา พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1355 – 1558)
- ยุครุ่งเรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525)
- ยุคเสื่อม พ.ศ. ๒๐๖๘ - ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1525 - 1558)
- ช่วงพม่าปกครอง พ.ศ. ๒๑๐๑ – ๒๓๑๗ (ค.ศ. 1558 – 1774)
- ช่วงประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899)
ช่วงก่อตั้งอาณาจักรล้านนา พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๙๘ (ค.ศ. 1296 – 1355)
สมัยสร้างอาณาจักรล้านนา นับเวลาตั้งแต่เมื่อพระเจ้ามังรายทรงสถาปนานครเชียงใหม่ขึ้น
เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านนา ในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ (ค.ศ. 1296) และในปี พ.ศ. ๑๘๗๐ (ค.ศ. 1327)
พระเจ้าแสนพูทรงสร้างเมืองเชียงแสน และต่อมาพระเจ้าผายูทรงสร้างวัดลีเชียงพระ และเมื่อพระองค์
ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน ณ ที่นั้น จึงทรงขนานนามวัดนั้นว่าวัดพระสิงห์เป็นต้นมา
(ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ๒๕๓๘, ๕๐) ในช่วงระยะเวลานี้นครหริภุญไชยยังคงเป็นศูนย์กลางทางศิลปะ
และวัฒนธรรมของล้านนา โดยรับพุทธศาสนาคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะแบบคามวาสีสืบต่อจากสมัยที่มอญ
ปกครองหริภุญไชย
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๖๕
สันสกฤต และประธานแห่งสำนักคือพระมหาเถระอุทุมพรบุปผามหาสามีแห่งเมืองพัน ได้อุปสมบทโดย
ไม่ครบองค์ประชุม จึงถือว่าไม่เป็นพระภิกษุที่สมบูรณ์ และลูกศิษย์ที่บวชจากพระมหาเถระอุทุมพร-
บุปผามหาสามีจึงไม่ถือเป็นพระภิกษุที่ถูกต้องสักรูปเดียว ข้างฝ่ายคณะวัดสวนดอกก็กล่าวหากลับไปว่า
พระมหาธัมมคัมภีร์เถระ ประธานของคณะสีหฬภิกขุทะเลาะกับพระอุปัชฌาย์ ไปเรียนเวทมนตร์จาก
พ่อค้าและชีเปลือยที่ลังกา ซ้ำกล่าวหาว่าในล้านนาไม่มีพระภิกษุสักรูปเดียว เพราะสวดสำเนียงไม่ถูกต้อง
จึงเกิดการวิวาททุบตีกัน พระเจ้าสามฝั่งแกนจึงขับไล่คณะสีหฬภิกขุออกจากเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๑๙๗๗
(ค.ศ. 1434) ในข้อที่ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน ซึ่งส่งผลให้คณะสีหฬภิกขุไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่เชียงราย
เชียงแสน พะเยา ลำปาง และเชียงตุง (ประเสริฐ และปวงคำ ๒๕๓๗, ๔ – ๗)
แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐ / ค.ศ. 1441 – 1487) เสด็จขึ้นครองราชย์
พระองค์ก็ทรงเป็นพระราชูปถัมภกของคณะสีหฬภิกขุ ส่งผลให้สงฆ์คณะสีหฬภิกขุกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
ที่เชียงใหม่ และเนื่องด้วยว่าคณะสีหฬภิกขุมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดป่าแดง เชียงใหม่ คณะนี้จึงมีชื่อเรียกอีก
อย่างว่า “คณะวัดป่าแดง” พระภิกษุรัตนปัญญาเถระ ผู้แต่งหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ ในช่วงปี พ.ศ.
๒๐๕๙ – ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1516 – 1517) ซึ่งเล่าประวัติการสถาปนาคณะ “สีหฬภิกขุ” ในล้านนา ก็เป็นพระ
ภิกษุในคณะวัดป่าแดง พระเจ้าติโลกราชทรงสร้างพระอารามขึ้นใหม่พระราชทานให้กับคณะวัดป่าแดง
ถึง ๕๐๐ แห่ง (Mangrai 1981, 112) และในปี พ.ศ. ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1448) จึงทรงผนวช ณ วัดป่าแดง
โดยมีพระเมธังกรเป็นพระอุปัชฌายาจารย์ นอกจากนั้นแล้ว พระองค์ยังสถาปนาตำแหน่งพระสังฆราชขึ้น
ให้เป็นผู้ที่ปกครองคณะสีหฬภิกขุ ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกของพุทธศาสนา
ชินกาลมาลีปกรณ์ จึงยกย่องและถวายพระนามพระเจ้าติโลกราชว่า “พระเจ้าสิริธรรมจักรพรรดิพิลก-
ราชาธิราช”
ในปี พ.ศ. ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1448) พระเจ้าติโลกราชโปรดให้สร้างพระมหาธาตุหริภุญไชยขึ้นใหม่
และปี พ.ศ. ๒๐๒๐ (ค.ศ. 1477) สร้างวัดมหาโพธาราม (ปัจจุบันคือวัดเจ็ดยอด) โดยเลียนแบบพระเจดีย์
ศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ทรงได้มาจากอนุราธปุระ ประเทศ
ศรีลังกา และสร้างสัตตมหาสถาน อันได้แก่ปูชนียสถาน ๗ แห่ง รอบต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ซึ่ง
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับแห่งละ ๑ สัปดาห์ หลังจากทรงตรัสรู้ ตามความเชื่อใน
พุทธประวัติ และในปีเดียวกันนั้น ยังทรงให้ชำระพระไตรปิฎกขึ้น ณ พระอารามแห่งนี้ (Jayawickrama
1968, 164 (5)) และสองปีต่อมา จึงโปรดให้ก่อเสริมเจดีย์หลวง “เป็นจุดเด่นแห่งราชธานีเชียงใหม่ ให้
งามเพียงดั่งพระธาตุจุฬามณีเจดีย์ในสวรรค์” (รัตนปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๑๑ – ๑๑๔) และในปี พ.ศ.
๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482) จึงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากนครลำปาง มาประดิษฐานไว้ที่เจดีย์หลวง
พระรัตนปัญญาเถระยกย่องรัชสมัยของพญาแก้ว (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๙ / ค.ศ. 1495 – 1526)
ว่าเป็น “กาลแห่งพุทธศาสนาสิงหลรุ่งเรือง” (เรื่องเดียวกัน, ๑๓๐ – ๑๔๐) ทั้งนี้เพราะพระองค์ท่านทรง
อุ้มชูคณะสีหฬภิกขุ แต่ในช่วงระยะเวลาเดียวกันก็ยังทรงทำนุบำรุงฝ่ายคามวาสีดั้งเดิม ทั้งฝ่ายอรัญวาสี
คณะวัดสวนดอก และคณะวัดป่าแดง (สีหฬภิกขุ) เท่าเทียมกัน พระองค์และพระราชชนนีสิริยสวดี
ทรงช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างวัดขึ้นใหม่ทั่วพระราชอาณาจักร
นอกจากนั้นแล้ว ในรัชกาลนี้ยังถือว่าเป็นยุคทองของการแต่งวรรณกรรมพุทธศาสนาภาษาบาลี และ
ภาษาพื้นเมือง ที่สำคัญได้แก่
- พระโพธิรังสี แต่ง จามเทวีวงศ์ และ สิหิงคนิทาน
- พระรัตนปัญญาเถระ แต่ง ชินกาลมาลีปกรณ์
- พระสิริมงคลาจารย์ แต่ง เวสสันตรทิปนี จักรวาลทิปนี และ มังคลัตถทิปนี อธิบายความใน
มงคลสูตร และเป็นวรรณกรรมภาษาบาลีที่แต่งขึ้นในประเทศไทยที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด
- พระพุทธพุกามและพระพุทธญาณเจ้า แต่ง ตำนานมูลศาสนา เป็นภาษาคำเมือง รวมทั้ง
ปัญญาสชาดก หรือ ปัณณาสชาดก ก็เชื่อกันว่าแต่งขึ้นในรัชกาลนี้เช่นกัน
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๖๗
๒.๓ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(๑) สมัยล้านช้าง
ล้านช้าง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “ศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว” แยกออกได้เป็น ๔ ช่วง โดยใช้
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ได้แก่
- ช่วงก่อตั้งอาณาจักร พ.ศ. ๑๘๓๔ – ๑๙๓๖ (ค.ศ. 1291 – 1393)
- ช่วงอาณาจักรล้านช้าง พ.ศ. ๑๙๓๖ – ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1393 – 1703)
- ช่วง ๓ นครรัฐ พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ (ค.ศ. 1703 – 1789)
- ช่วงประเทศราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๓๓๒ – ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1789 – 1893)
ช่วงก่อตั้งอาณาจักร พ.ศ. ๑๘๓๔ – ๑๙๓๖ (ค.ศ. 1291 – 1393)
ถึงแม้ว่าตำนานพื้นเมืองจะกล่าวถึงพระนามกษัตริย์ที่ก่อตั้งอาณาจักรถึง ๒๐ พระองค์ ก่อนถึง
ท้าวลัง หรือพระยาลังอธิราช (พ.ศ. ๑๘๓๔ – ๑๘๕๙ / ค.ศ. 1291 – 1316) และพระยาสุวรรณคำผง
(พ.ศ. ๑๘๕๙ – ๑๘๙๖ / ค.ศ. 1316 – 1353) (สุรศักดิ์ ๒๕๔๖, ๔๐) แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดียืนยันจนถึงรัชสมัยของพระเจ้าฟ้างุ่มแหล่งหล้าธรณี (พ.ศ. ๑๘๙๖ –
๑๙๓๖ / ค.ศ. 1353 – 1393) (เรื่องเดียวกัน, ๔๒) ซึ่งรวบรวมดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขงไว้ด้วยกันโดยมี
ราชธานีอยู่ที่เมืองเชียงดง – เชียงทอง (หลวงพระบาง)
พระเจ้าฟ้างุ่มทรงเติบโตขึ้นมาในราชสำนักของพระเจ้ากรุงอินฐะปัต (นครธม) ของกัมพูชา และ
ได้พระราชธิดาของพระเจ้ากรุงอินฐะปัตเป็นพระมเหสี และเมื่อเสด็จกลับไปครองล้านช้างจึงทรงนำ
พุ ท ธศาสนานิ ก ายเถรวาทจากกั ม พู ช าขึ้ น ไปประดิ ษ ฐานในล้ า นช้ า ง พร้ อ มทั้ ง อั ญ เชิ ญ พระพุ ท ธรู ป
“พระบางเจ้า” ไปด้วย ต่อมาพระเจ้าฟ้างุ่มถูกพวกขุนนางปลดออกจากราชบังลังก์ จึงเสด็จไปประทับที่
เมืองน่าน และสิ้นพระชนม์ ณ ที่นั้น
สมัยอาณาจักรล้านช้าง พ.ศ. ๑๙๓๖ – ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1393 – 1703)
เมื่อพระเจ้าฟ้างุ่มแหล่งหล้าธรณีสิ้นพระชนม์แล้ว เหล่าขุนนางจึงแต่งตั้งท้าวอุ่นเฮือน โอรสของ
พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ หลังจากครองราชย์ได้ ๓ ปี จึงโปรดให้มีการสำรวจครัวเรือนในพระราช-
อาณาจักร ซึ่งมีจำนวนถึงสามแสนครัวเรือน พระองค์จึงได้พระนามว่า “พระเจ้าสามแสนไทไตรภูวนาถ”
(เติม ๒๕๔๐, ๒๗) พระองค์ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาโดยการสร้างวัดในเมืองห้วยหลวง (ปัจจุบันอยู่
ในอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย) (สุรศักดิ์ ๒๕๔๖, ๔๓) และทรงสร้างพระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์ขนาด
ใหญ่ เป็นพระประธานของวัดมโนรม นครหลวงพระบาง
กษัตริย์อาณาจักรล้านช้างที่ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองได้แก่
พระเจ้าวิชุลราช (พ.ศ. ๒๐๔๔ – ๒๐๖๓ / ค.ศ. 1501 – 1520) ทรงสร้างวัดวิชุลราช และ
พระธาตุหมากโม ที่นครเชียงทอง (หลวงพระบาง)
พระเจ้าโพธิสารธรรมิกราช (พ.ศ. ๒๐๖๓ – ๒๐๙๐ / ค.ศ. 1520 – 1547) ในปี พ.ศ. ๒๐๖๖
(ค.ศ. 1523) ทรงขอคณะสงฆ์และพระไตรปิฎกจากพญาแก้วแห่งอาณาจักรล้านนา เพื่อไปเผยแผ่
พุทธศาสนาในล้านช้าง และในปี พ.ศ. ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1525) ทรงเสด็จออกผนวช ณ วัดวิชุลราช
๑ พรรษา และอีก ๒ ปีต่อมาจึงมีพระราชอาชญาให้ประชาชนเลิกนับถือผี ให้นับถือแต่พุทธศาสนา
๑๖๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ต่อมาศิลาจารึกพบที่วัดแดนเมือง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย จารขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๗๘
(ค.ศ. 1535) กล่าวถึง “จันทบุรีราชธานี” ซึ่งน่าจะหมายความว่า พระเจ้าโพธิสารธรรมิกราช ได้สถาปนา
นครเวียงจันท์ขึ้นเป็นราชธานีก่อนหน้านั้น (ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๔ ๒๕๑๓, ๒๓) และในปี พ.ศ.
๒๐๘๒ (ค.ศ. 1539) เสด็จไปสักการะพระธาตุพนม ซึ่งบรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธองค์ และทรง
ปฏิสังขรณ์ให้สมบูรณ์ จึงถือเป็นพระราชประเพณีของกษัตริย์ลาวที่จะต้องเสด็จมานมัสการพระธาตุพนม
สืบต่อมา จนถึงเจ้าอนุวงศ์เป็นองค์สุดท้าย (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๗๘) นอกจากนั้นแล้ว ยังทรง
กัลปนาที่ดินและข้าวัดแก่พระอารามต่างๆ ในจังหวัดหนองคาย เลย และสกลนคร อีกด้วย (สุรศักดิ์
๒๕๔๖, ๔๗ – ๔๘)
เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐา ทรงเจริญพระชนมพรรษาได้ ๑๒ พรรษา พระเจ้าโพธิสาร พระราชบิดา
ส่งพระองค์มาครองนครเชียงใหม่ ราชธานีของพญาเกศ พระอัยกาธิราชฝ่ายพระมารดา อีก ๒ ปีต่อมา
พระองค์จึงเสด็จกลับนครเชียงทอง และทรงสร้างวัดเชียงทองขึ้นในปี พ.ศ. ๒๑๐๒ (ค.ศ. 1559) ต่อมา
ในปี พ.ศ. ๒๑๐๓ (ค.ศ. 1560) ทรงย้ายราชธานีจากนครเชียงทอง ซึ่งพระราชทานนามใหม่ว่า “เมือง
หลวงพระบางราชธานีศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว” (เรื่องเดียวกัน, ๕๔) ไปยังเมืองเวียงจันท์ซึ่งทรง
ขนานนามว่า “กรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวเวียงจันท์” ในปีเดียวกัน ทรงสร้างพระธาตุศรีสองรัก
อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๘๘) ในปี พ.ศ. ๒๑๐๙ (ค.ศ. 1566) ทรงสร้าง
“พระธาตุเจดียโลกจุลามนี” หรือ “พระธาตุหลวง” เพื่อเป็นศรีของนคร นอกจากนั้นยังทรงสร้าง
พระธาตุเชิงชุม สกลนคร พระธาตุสีโคตบูน ท่าแขก และพระธาตุบังพวน หนองคาย เป็นต้น (เรื่อง
เดียวกัน, ๘๖ – ๘๗)
ช่วงปลายรัชกาลของพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาโจมตีกรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง-
ร่มขาวเวียงจันท์ ในปี พ.ศ. ๒๑๑๓ (ค.ศ. 1570) หลังจากตีกรุงศรีอยุธยาได้ในปีก่อนหน้านั้น แต่ทางพม่า
ต้องพ่ายแพ้กลับไป ส่วนพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงหายสาบสูญไปในปีต่อมา
กษัตริย์ลาวอีกพระองค์หนึ่งที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก คือ พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช
(พ.ศ. ๒๑๗๖ – ๒๒๓๓ / ค.ศ. 1633 – 1690) ทรงครองราชสมบัติยาวนานถึง ๕๗ ปี ในรัชสมัยของ
พระองค์ พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากจนพ่อค้าชาวดัชท์ชื่อ ฟาน วูสทอฟ (van Wuysthoff) ผู้เข้ามา
เยือนในปี พ.ศ. ๒๑๘๔ (ค.ศ. 1641) และบันทึกไว้ว่า “ทุกๆ ปี จะมีพระสงฆ์จากประเทศเขมร และ
ประเทศสยามเดินทางมาศึกษาประมาณ ๑๐ ปี หรือ ๑๒ ปี กว่าจะสำเร็จในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่ง...
การศึกษาในด้านพระพุทธศาสนาที่นครเวียงจันท์ เป็นไปอย่างเสรีสะดวกสบาย และความสำคัญของ
พระพุทธศาสนามีมากกว่าแห่งอื่นๆ” (เรื่องเดียวกัน, ๙๓)
ช่วง ๓ นครรัฐ พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๒๑ (ค.ศ. 1703 – 1778)
หลังจากพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชสิ้นพระชนม์แล้ว เกิดการจลาจลแย่งชิงราชสมบัติ ซึ่งเป็น
เหตุให้นครหลวงพระบางในภาคเหนือของประเทศ แยกตัวออกจากการปกครองของเวียงจันท์ในภาค
กลาง ในปี พ.ศ. ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1703) และนครจำปาสักในภาคใต้ของลาวแยกตัวเป็นอิสระจากเวียงจันท์
ในปี พ.ศ. ๒๒๕๗ (ค.ศ. 1714) พุทธศาสนาจึงทรุดโทรมลงในช่วงระยะเวลานี้
ช่วงประเทศราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๓๒๑ – ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1778 – 1893)
การแตกแยกของอาณาจักรล้านช้าง ส่งผลให้เวียดนาม พม่า และสยามหรือไทย ถือโอกาส
เข้าไปโจมตี โดยในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ – ๒๓๒๒ (ค.ศ. 1778 – 1779) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งต่อมาจะปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
กับน้องชายคือ เจ้าพระยาสุรสีห์ ซึ่งต่อมาก็คือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ยกทัพขึ้นไปตี
พุทธศาสนากับพระพุทธปฏิมาในประเทศไทย ๑๖๙
เมืองเวียงจันท์ ครั้งนั้นนครจำปาสักขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เข้าเป็นประเทศราชของสยาม นครหลวง
พระบางเห็นว่าสยามต่อต้านพม่าได้ จึงเข้าช่วยกองทัพไทยโจมตีนครเวียงจันท์ และเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อ
พระเจ้ากรุงธนบุรี หลังจากตีได้นครเวียงจันท์ในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ (ค.ศ. 1778) เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ก็ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) และพระบางเจ้ามาประดิษฐานในกรุงธนบุรี
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๓ (ค.ศ. 1780) นครเวียงจันท์จึงขอเป็นประเทศราชขึ้นกับกรุงสยาม (เติม ๒๕๔๐,
๑๐๒ – ๑๐๓)
ในช่วงที่เป็นประเทศราชของสยามนั้น ทั้ง ๓ นครรัฐ ต่างก็ทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้เจริญ
รุ่งเรือง เช่น ที่นครหลวงพระบาง พระเจ้าอนุรุท (พ.ศ. ๒๓๓๔ – ๒๓๖๐ / ค.ศ. 1791 – 1871) ทรง
สร้างพระธาตุพูสี และในปี พ.ศ. ๒๓๓๗ (ค.ศ. 1794) ทรงสร้างวัดสุวันนะพุมมาราม (วัดใหม่) ส่วนที่นคร
เวียงจันท์ สมเด็จพระราชเชษฐา (พระเจ้าอนุวงศ์) (พ.ศ. ๒๓๔๕ – ๒๓๗๒ / ค.ศ. 1802 – 1829) ทรง
สร้าง “วัดสีบุนเฮือง” ที่เมืองหนองคาย ในปี พ.ศ. ๒๓๕๑ (ค.ศ. 1808) และวัด “สีสะเกด” ที่นครเวียงจันท์
ในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ (ค.ศ. 1824)
ในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ (ค.ศ. 1824) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชบรมโองการให้
ทำการ “สักเลก” ประชากรลาวทั้งหมด ทั้งล้านนา ล้านช้าง และบนที่ราบสูงโคราช “เพื่อขึ้นทะเบียน
เป็น “คนสยาม” ให้หมด” (สุรสวัสดิ์ ๒๕๓๕, ๑๒๕) สมเด็จพระราชเชษฐาแห่งล้านช้างจึงมีพระราชสาส์น
กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับปัญหาในเรื่องสักเลกดังกล่าว ในปี พ.ศ.
๒๓๗๐ (ค.ศ. 1827) และเมื่อไม่ได้รับคำตอบ จึงโปรดให้ “ดับสูญ” เจ้าหน้าที่สยามที่ไปทำการสักเลก
และยกทั พ มาตี เ มื อ งนครราชสี ม า ซึ่ ง ส่ ง ผลให้ พ ระองค์ ถู ก จั บ ขั ง กรงเหล็ ก และสิ้ น พระชนม์ ก ลาง
ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร (Farrington 2001, 40 – 41)
นั บ ตั้ ง แต่ ปี พ.ศ. ๒๓๒๑ (ค.ศ. 1778) ในรั ช สมั ย ของสมเด็ จ พระเจ้ า กรุ ง ธนบุ รี เ ป็ น ต้ น มา
อาณาจักรล้านช้างตกเป็นประเทศราชของสยาม และในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1893) ดินแดนด้านทิศ
ตะวันออกของแม่น้ำโขงจึงเปลี่ยนไปเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศส และ ๑๐ ปีต่อมาจึงตามด้วย
ดินแดนด้านทิศตะวันตก ฝั่งตรงข้ามกับนครหลวงพระบางทางทิศเหนือ และแคว้นจำปาสักทางทิศใต้
พระพุทธปฏิมายืนแสดงธรรม
(รูปที่ ๔.๑) อินเดียตอนใต้
พบที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๑๗๓
พระพุ ท ธมหามณี รั ต นปฏิ ม ากรมี ต้ น แบบมาจากพระพุ ท ธปฏิ ม าของลั ง กา เช่ น ที่ พ บในกรุ วั ด
ราชบูรณะพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๕.๑) ซึ่งเมื่อเป็นพระปฏิมาขนาดเล็กก็สามารถที่จะนำมาโดยง่าย
และน่าจะสร้างขึ้นในสมัยโปโลนนารุวะตอนปลาย ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – กลาง ๑๘
(คริสต์ศตวรรษที่ 12) (von Schroeder 1990, 386 – 387) หรือที่สร้างขึ้นในประเทศไทยโดยจำลองแบบ
มาจากลังกา เช่นพระพุทธปฏิมาที่พบในพระเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา
(รูปที่ ๕.๒) ซึ่งก็เลียนแบบมาจากพระพุทธปฏิมาสมัยโปโลนนารุวะ เช่นกัน (เรื่องเดียวกัน, 374 – 375)
ตามตำนานประวัติของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรนั้น สร้างขึ้นโดยพระเถระนาคเสนแห่งเมือง
ปาตลีบุตรในประเทศอินเดีย ซึ่งจำลองพระพุทธรูปขึ้นมาด้วยฤทธิ์และมนตร์ เมื่อพระเจ้าติโลกราช
อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482) และในสมัยพระเจ้า
ไชยเชษฐา ก็ได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่นครหลวงพระบาง และนครเวียงจันท์ตามลำดับ จนเมื่อ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งสร้าง
รูปที่ ๕.๑ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ
ปางสมาธิพบในกรุวัดราชบูรณะ
ขึ้นใหม่ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อประดิษฐานพระรัตนปฏิมาโดยเฉพาะ และทรงขนานนามพระราชธานี
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ที่สร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ว่า กรุงรัตนโกสินทร์ อันหมายถึงเมืองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณี-
ลังกาสมัยโปโลนนารุวะ
รัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตนั่นเอง (ดู บทที่ ๓, หน้า ๕๑)
กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – กลาง ๑๘
(คริสต์ศตวรรษที่ 12) สัมฤทธิ์
สูง ๓.๗ เซนติเมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎพระจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม มีพระบรมราช-
โองการให้จำลองพระพุทธสิหิงค์ใหญ่ ทรงสถาปนาการไว้ในพระพุทธศาสนา
หล่อวันศุกร์ แรม ๑๑ เดือน ๑๒ ปีวอกนักษัตรโทศก พุทธศาสนกาล ๒๔๐๓
พรรษา (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๗, ๑๐๒)
อนึ่ง นอกจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชสมภพในวันพฤหัสบดีแล้ว ยัง
ทรงบรมราชาภิเษก และเสด็จสวรรคตในวันพฤหัสบดีอีกด้วย (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๓๓๙)
ในรัชกาลปัจจุบันได้มีการจำลอง “พระพุทธสิหิงค์” จากต้นแบบองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่ง
พุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ขึ้นหลายครั้ง เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ. 1960) ได้
จำลองด้วยโลหะเงิน ขนาดเท่าพระองค์จริง เพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดชลบุรี ถวายพระนามว่า
“พระพุทธสิหิงค์มิ่งมงคลสิรินาถ” (รูปที่ ๕.๘) ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ (ค.ศ. 1965) จังหวัดระยองได้จำลองขึ้น
เป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัด ถวายพระนามว่า “พระพุทธอังคีรส ธรรมราชา สิหิงคปฏิมาบรมโลกนาถ”
รูปที่ ๕.๙ พระพุทธธรรมฐิติศาสดา
สร้างในโอกาสที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(ทศพล ๒๕๔๕, ๒๖๒ – ๒๖๓) และในวาระที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการสถาปนาครบ ๕o ปี เมื่อ
ได้รับการสถาปนาครบ ๕๐ ปี
พ.ศ. ๒๕๒๗ (ค.ศ.1984) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเททองหล่อ
พ.ศ. ๒๕๒๗ (ค.ศ. 1984)
พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถวายนามว่า “พระพุทธธรรมฐิติศาสดา” (รูปที่ ๕.๙) ซึ่ง
สัมฤทธิ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
จำลองมาจาก “พระพุทธสิหิงค์” หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลองในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
กรุงเทพมหานคร
นั่นเอง
๑๗๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลองที่สำคัญองค์หนึ่งในรัชกาลปัจจุบันได้แก่ พระพุทธรูปเซรามิค
เคลือบสีเขียว ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงปั้น (รูปที่ ๕.๑๐) โดยมีแบบเป็นพระพุทธรูป
แก้วสีเขียว ที่มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (กัลยาณิวัฒนา ๒๕๒๗,
๙๑) ซึ่งพระพุทธลักษณะขององค์ต้นแบบน่าจะเป็นพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง พระพุทธรูป
๒๐ องค์แรกนั้น ทรงปั้นด้วยพระหัตถ์จึงมีขนาดไม่เท่ากัน ต่อมามาทรงใช้แม่พิมพ์ จึงทำให้มีขนาดเท่ากัน
มีหน้าตักกว้างประมาณ ๕ เซนติเมตร ยกเว้นองค์ที่มีขนาดหน้าตัก ๙ เซนติเมตรนั้น ทรงปั้นถวาย
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังพระราชทานแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง
นราธิวาสราชนครินทร์ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม และพลตรี ชาติชาย ชุณหะวัน สำหรับของ
ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยนั้นเป็นพระพุทธรูปสีขาว ซึ่งมีเพียงองค์เดียว (เรื่องเดียวกัน, ๘๙ – ๑๐๐) พระ
พุทธรูปฝีพระหัตถ์เหล่านี้ ทรงปั้นระหว่างช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๓ – ๒๕๑๗ (ค.ศ. 1960 – 1974) ทุกองค์มี
พระนามและหมายเลขกำกับ
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลองฝีพระหัตถ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีความ
เรียบง่ายและสงบนิ่ง ที่สะท้อนให้เห็นพระราชศรัทธาที่ทรงมีในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง โดยที่
พระองค์เองทรงศึกษาและปฏิบัติธรรม และมีพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาชนนำเอาธรรมะไปปฏิบัติ
ในชีวิตประจำวันอีกด้วย เช่นทรงโปรดให้จัดรายการ “บริหารทางจิต” ของสถานีวิทยุ อ.ส. (ย่อมาจาก
พระที่นั่งอัมพรสถาน) พระราชวังดุสิต ทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ (ค.ศ. 1968) เป็นต้นมา โดย
อาราธนาสมเด็จพระญาณสังวร เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์พระสาสนโสภณ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยที่
พระองค์ทรงตรวจต้นฉบับและพระราชทานพระวินิจฉัยทุกครั้ง
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์เรื่อง “อปัสเสนธรรม ธรรมเหมือนพนักอิง”
ของพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวโร เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส ที่พระองค์ทรงเห็นว่ามีประโยชน์ใน
ทางฝึกอบรมจิต เพราะเป็นธรรมะที่ควรศึกษาและปฏิบัติ ๔ ประการ เพื่อดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น ในปี
พ.ศ. ๒๕๑๓ (ค.ศ. 1970) ทรงให้พระสาสนโสภณเรียบเรียงเรื่อง อวิชชา และเรื่องสันโดษ และในปี
พ.ศ. ๒๕๑๙ (ค.ศ. 1976) ทรงให้จัดพิมพ์เผยแพร่ เรื่อง “พรหมวิหาร ๔” ของสมเด็จพระญาณสังวรมี
พระดำริว่า “พรหมวิหาร ๔” อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นคุณธรรมประจำในการ
ดำเนินชีวิตของทุกคน (สุเชาวน์ ๒๕๓๓, ๑๙ – ๓๔) ดังนั้นพระพุทธรูปฝีพระหัตถ์จึง “เป็นประดิษฐกรรม
ที่แสดงออกถึงความใฝ่พระราชหฤทัยในธรรมและพระราชศรัทธาอันมั่นคงยิ่งในบวรพุทธศาสนาอย่างดียิ่ง”
(เรื่องเดียวกัน, ๔๓)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๑๘๑
๒.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ สมัยอยุธยา
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448)
ในปี พ.ศ. ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1351) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สถาปนาอาณาจักรอยุธยา โดยรวมรัฐ
กัมโพช (ลพบุรี) เข้ากับรัฐสยาม (อยุธยา) พระพุทธรูปซึ่งแต่เดิมเป็นแบบกัมโพช จึงนำมาสร้างขึ้นที่
อยุธยาสืบต่อมา จนพัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบของอยุธยาเอง
พระพุทธปฏิมาศิลาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ที่วัดประดู่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัด
สุราษฎร์ธานี (รูปที่ ๕.๑๔) แสดงให้เห็นการแต่งกายของชาวสยาม คือ สวมเสื้อทรงแบบผ่าหน้าคอกลม
อย่างที่ชาวสยามสวมใส่ ดังภาพที่สลักไว้บนระเบียงคดของปราสาทนครวัด (รูปที่ ๕.๑๕) แตกต่างกัน
ตรงที่เสื้อทรงของพระพุทธรูปนั้นแขนยาว ส่วนของชาวสยามและชาวเขมรนั้นแขนสั้น พระพุทธปฏิมา
สวมเสื้อทรงปัจจุบันพบเพียงสององค์ อีกองค์หนึ่งเป็นสัมฤทธิ์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
กรุงเทพมหานคร (ทะเบียน LB352) ลักษณะของพระเศียรใกล้เคียงกับพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง หมวดที่ ๓
คือพระพักตร์รูปไข่ มีไรพระศก ระหว่างเส้นพระเกศและพระนลาฏ รัศมีเป็นเปลว (บริบาลบุรีภัณฑ์
และ กริสโวลด์ ๒๔๙๕, ๔๐)
รูปที่ ๕.๑๔ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ
พบที่วัดประดู่ อำเภอกาญจนดิษฐ์
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐
(ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 14)
ศิลา หน้าตัก ๑.๒๓ เมตร สูง ๑.๙๖ เมตร
วัดประดู่ อำเภอกาญจนดิษฐ์
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
รูปที่ ๕.๑๘
“พระพุทธโสธร”
ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๓
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 18)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑.๗๕ เมตร
สูง ๑.๙๖ เมตร
วัดโสธรวราราม อำเภอเมืองฯ
จังหวัดฉะเชิงเทรา
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๑๘๗
๑๘๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๒.๓ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ สมัยรัตนโกสินทร์
ค่านิยมของการนำเอาพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ มาเป็นพระประธานของ
พระอุโบสถ สืบทอดลงมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
(พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๒ / ค.ศ. 1782 – 1809) ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และทรงอัญเชิญ
พระประธานของวัดศาลาสี่หน้า ธนบุรี (ปัจจุบันคือวัดคูหาสวรรค์) มาเป็นพระประธานของพระอุโบสถ
(รูปที่ ๕.๒๔) ถวายพระนามว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร” (ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน เล่ม ๑, ๒๔๗๒, ๓)
นอกจากนั้นแล้วพระประธานของพระอุโบสถในพระอารามที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ เช่นวัดสระเกศ
ก็โปรดเกล้าฯ ให้ปั้นขึ้นใหม่หุ้มองค์เดิม (รูปที่ ๕.๒๕) (พุฒาจารย์ ๒๕๔๙, ๒๒)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๑๙๑
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว (พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑ /
ค.ศ. 1851 – 1868) พระองค์ได้สถาปนาวัดโสมนัสวิหารขึ้น เพื่ออุทิศพระราชกุศลพระราชทานสมเด็จ
พระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระบรมราชเทวี ในปี พ.ศ. ๒๓๙๖ (ค.ศ. 1853) พระประธานในพระอุโบสถ
เป็นพระพุทธรูปที่พระอริยมุนี (ทับ พุทธสิริ) หล่อขึ้นที่วัดสมอราย ก่อนที่จะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร
ต่อมาพระพุทธรูปองค์นี้จึงมีพระนามว่า “พระพุทธสิริ” (รูปที่ ๕.๒๘) (ทศพล ๒๕๔๕, ๑๐๘ – ๑๐๙) และ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาปนาวัดมกุฏกษัตริยารามขึ้นในช่วงปลายรัชกาลของ
พระองค์ พระประธานในพระวิหารอันได้แก่ พระพุทธวชิรมงกุฎ (ดูรูปที่ ๓.๓) มีพุทธลักษณะเช่นเดียวกัน
กับพระพุทธสิริ
ในช่วงปลายรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงหล่อพระพุทธอังคีรส (รูปที่
๕.๒๙) ขึ้นเพื่อนำไปประดิษฐานไว้ที่พระปฐมเจดีย์ นครปฐม แต่เสด็จสวรรคตเสียก่อน จนเมื่อพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลของ
พระองค์ในปี พ.ศ. ๒๔๑๒ (ค.ศ. 1869) จึงอัญเชิญพระพุทธอังคีรสมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ
(ศิลปากร ๒๕๓๑, ๑๔)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๑๙๕
แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงมี “พระราชจริยาวัตรแบบผู้ดีอังกฤษ”
(ประยุทธ ๒๕๑๕, ๓๓๗) เพราะได้ทรงศึกษาเล่าเรียนอยู่ในประเทศนั้นนานถึง ๑๐ ปี แต่ก็ทรงห่วงใยใน
อนาคตของศิลปะและงานช่างของไทย อันเห็นได้จากที่พระองค์ทรงก่อตั้งโรงเรียนเพาะช่างขึ้นในปี พ.ศ.
๒๔๕๗ (ค.ศ. 1914) และเสด็จฯ ไปทรงเปิดงานการแสดงนิทรรศการฝีมือของนักเรียนเป็นประจำทุกปี
จนสิ้นรัชกาล (Vella 1978, 232 – 233) นอกจากนั้นแล้วยังทรงพระราชนิพนธ์ยกย่องงานช่างไทย เป็น
กำลังใจให้แก่ช่างว่า
อันชาติใดไร้ช่างชำนาญศิลป์ เหมือนนารินไร้โฉมบรรโลมสง่า
ใคร ๆ เห็นไม่เป็นที่จำเริญตา เขาจะพากันเย้ยให้อับอาย...
กรุงไทยศรีวิไลทันเพื่อนบ้าน จึงมีช่างชำนาญวิเลขา
ทั้งช่างปั้นช่างเขียนเพียรวิชา อีกช่างสถาปนาถูกทำนอง...
ควรไทยเราช่วยบำรุงวิชาช่าง เครื่องสำอางแบบไทยสโมสร
ช่วยบำรุงช่างไทยให้ถาวร อย่าให้หย่อนกว่าเขาเราจะอาย
(มหาวชิราวุธ ๒๔๖๘, ๕๖ – ๕๗)
ดังนั้นเมื่อพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธนิรโรคันตราย (ดูรูปที่ ๓.๙๘) จึงมีพุทธลักษณะ
เป็นพระพุทธรูปแบบสุโขทัยประยุกต์ ซึ่งสอดคล้องกับพระราโชบายชาตินิยมของพระองค์
ในรัชกาลปัจจุบันได้มีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้นเป็นจำนวนมาก สำหรับพระพุทธรูป
ประทั บ ขั ด สมาธิ ร าบ ปางสมาธิ มี ตั ว อย่ า งคื อ พระพุ ท ธธรรมกายมงคล ปยุ ร เกศานนท์ สุ พ พิ ธ าน
วัดพุทธาธิวาส อำเภอเบตง จังหวัดยะลา (รูปที่ ๕.๓๓) ซึ่งคณะผู้จัดสร้างนำโดย สมเด็จพระมหา
รัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร นิยามปางสมาธิ
ว่า “ปางพระธรรมกาย” พระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์นี้ หล่อขึ้นที่เมืองนานกิง สาธารณรัฐประชาชนจีนโดย
บริษัท ไชน่า แอสโตรนอติค ไซเอินซ์ แอนด์ เทคโนโลยี คอปอเรชั่น (China Astronautic Science
and Technology Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทที่เคยสร้างพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ที่เกาะลันเตา
เมืองฮ่องกงมาแล้ว และยังมีเทคโนโลยีทันสมัย เพราะเป็นบริษัทสร้างจรวดสำหรับส่งดาวเทียม ดังนั้น
พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีความแข็งแรงมั่นคงสามารถรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ถึง ๗ ริกเตอร์
(สมโภช ๒๕๔๓, ๒๙ – ๓๐)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๐๕
๔.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเครื่อง สมัยรัตนโกสินทร์
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ (ค.ศ. 1938) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อ
คณะศิ ษ ยานุ ศิ ษ ย์ ข องพระโพธิ ว งศาจารย์ ซึ่ ง ต่ อ มาได้ รั บ พระราชทานสมณศั ก ดิ์ เ ป็ น สมเด็ จ พระ
พุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดอนงคาราม ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปถวาย โดยเลียนแบบมาจากพระพุทธ-
มหาจักรพรรดิ พระประธานในพระอุโบสถวัดนางนอง กรุงเทพมหานคร (ดูรูปที่ ๕.๑๙๕) โดยปรับ
เปลี่ยนปางจากมารวิชัย มาเป็นปางสมาธิ (รูปที่ ๕.๔๗) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเหล่าศิษยานุศิษย์น่าจะได้รับ
แรงบันดาลใจจากความวิจิตรอลังการของเครื่องทรงพระพุทธมหาจักรพรรดิ์ มากกว่ามีจิตศรัทธาที่จะ
เกิดใหม่ พร้อมกับพระศรีอาริยเมตไตรย และบรรลุนิพพานพร้อมกับพระองค์ ดังเช่นในอดีต
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๐๙
๒๑๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๕.๔๘ พระพุทธไตรรัตนนายก “หลวงพ่อพนัญเชิง”
ในสมัยปัจจุบัน ผู้ใดมีทุกข์ร้อนเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ เกรงอุปัทวเหตุกิจการค้าไม่สำเร็จ ไม่สมหวัง
แรกสร้างปี พ.ศ. ๑๘๖๘ (ค.ศ. 1325)
ในหน้าที่ราชการ ก็ไปนมัสการหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง หากไปด้วยตนเองไม่ได้ ให้จุดธูปเทียนอธิษฐานขอให้
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ก่ออิฐถือปูน หน้าตักกว้าง ๑๔.๒๐ เมตร
หลวงพ่อช่วยคุ้มครองปกป้องรักษา “ถ้าผู้นั้นตั้งจิตระลึกด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ มักได้รับผลสมความ
สูง ๑๙.๒๐ เมตร
มุ่งหมาย” และเมื่อสำเร็จสมความประสงค์แล้ว ก็จะถวายสักการะแก้บนด้วยงิ้วหรือละคร (ประวัติวัด
พระวิหารหลวงวัดพนัญเชิง
พนัญเชิง ๒๕๐๔, ๑๘)
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อแรกสร้างนั้น “หลวงพ่อพนัญเชิง” น่าจะมีพุทธลักษณะของพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง
คล้ายกับพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลองทองคำ พบในกรุพระปรางค์วัดมหาธาตุ (รูปที่ ๕.๔๙) เช่นมี
พระมัสสุเป็นเส้นบางเหนือพระโอษฐ์ แต่จากการซ่อมแซมตลอดช่วง ๔๑๗ ปี ของกรุงศรีอยุธยา รวมทั้ง
การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้องค์พระพุทธรูป
และในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ (ค.ศ. 1928) เมื่อพระหนุพังทลายลงมา จึงทำให้พุทธลักษณะผิดเพี้ยนจากเดิม
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๑๓
(๒) ช่วงเมืองลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590)
ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ต้น ๒๒ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16) นิยมสร้างพระพุทธปฏิมา
ที่มีพระเพลาแคบ เช่นองค์ที่ขุดได้ในเจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๕.๕๓)
ความคมของพระชงฆ์หายไป และฐานเป็นฐานหน้ากระดานที่เว้าเข้าตรงกลาง เช่นองค์ที่ขุดได้ในกรุลึก
สุดใต้ฐานพระมหาธาตุเจดีย์ (ยอดทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) วัดมหาธาตุ อำเภอเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย (รูปที่
๕.๕๔) ที่ฐานมีจารึกอักษรไทยภาษาไทยว่า “ตนนิกํพระเจาแมเอินไวในบรพารามนิ” (ประชุมศิลาจารึก
ภาคที่ ๔ ๒๕๑๓, ๒๖๗ – ๒๖๘) จึงเป็นไปได้ว่า “บรพาราม” ในจารึกหลักนี้ได้แก่ พระมหาธาตุสุโขทัยใน
ปัจจุบัน และหากเป็นเช่นนั้นจริง พระมหาธาตุเจดีย์ อาจจะสร้างขึ้นในสมัยที่สุโขทัยเป็นเมืองลูกหลวง
ของอยุธยา
(๓) สมัยวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลองที่สร้างขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – กลาง ๒๓ (คริสต์
ศตวรรษที่ 16 – 17) มักจะมีพระเพลากว้าง ดังเช่นพระอดีตพุทธะ ๗ พระองค์ ในพระอุโบสถวัดชุมพล-
รูปที่ ๕.๕๓ พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง
นิกายาราม อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๕.๕๕) ซึ่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ขุดได้ในเจดีย์พระศรีสรรเพชญ์
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๗๓ (ค.ศ. 1630) (ศิลปากร ๒๕๒๕ ก, ๘๖ – ๘๗)
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ปลาย ๒๑
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 – กลาง 16)
สัมฤทธิ์ สูง ๔๔ เซนติเมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๑๕
๒๑๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๕.๔ พระพุทธกัมโพชปฏิมา สมัยล้านนา
ช่วงอาณาจักรล้านนา
- ยุครุ่งเรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525)
ชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวถึง พระพุทธกัมโพชปฏิมา ว่าในปี พ.ศ. ๒๐๒๖ (ค.ศ. 1483) พระเจ้าติโลกราช
โปรดให้หล่อพระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ พระพุทธรูปองค์นี้เชื่อกันว่าน่าจะได้แก่ “พระพุทธรูปแบบสมัย
อู่ทอง เรียกกันว่า พระเจ้าแข้งคม” (รัตนปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๔๘ (๒))
ให้มีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปแบบลวปุระ หล่อที่วัดป่าตาลมหาวิหาร... ครั้น
หล่อเสร็จแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประมาณ
๕๐๐ องค์ กับพระพุทธรูปแก้ว ทอง และเงิน จากหอพระธาตุส่วนพระองค์ มา
บรรจุไว้ในพระเศียรพระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ (เรื่องเดียวกัน, ๑๑๙)
ในปี พ.ศ. ๒๓๔๒ (ค.ศ. 1799) พระเจ้ากาวิละโปรดให้ย้ายพระพุทธรูปองค์นี้ (รูปที่ ๕.๕๘) จากวัด
ป่าตาล ซึ่งได้กลายเป็นวัดร้างไปประดิษฐานไว้ที่วัดศรีเกิด กลางนครเชียงใหม่ (ประชุมจารึกล้านนา เล่ม
๒ ๒๕๔๑, ๑๗๓)
พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลองเป็นที่นิยมในล้านนา ดังเห็นได้จากองค์ที่มีจารึกว่า ช่างหล่อบ้านสบลี
เป็นผู้สร้าง ในปี พ.ศ. ๒๐๒๒ (ค.ศ. 1479) ในสมัยพญาติโลกราช (รูปที่ ๕.๕๙) (ศักดิ์ชัย ๒๕๓๒, ๓๒)
และอีกองค์หนึ่งที่พญาแก้วโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานในปราสาทหอคำในอุโบสถวัดมหาโพธาราม
(วัดเจ็ดยอด) ในปี พ.ศ. ๒๐๖๖ (ค.ศ. 1523) (รัตนปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๔๘)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๑๗
๒๑๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๖. พระพุทธชินราช
พระพุทธชินราช มีจุดเริ่มต้นในประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากพระพุทธปฏิมาสำคัญองค์อื่น ๆ เช่น
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธสิหิงค์ และพระบางเจ้า ซึ่งแต่ละองค์มีพระประวัติที่เขียนขึ้นใน
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 – กลาง 16) แต่ประวัติของพระพุทธชินราช
เริ่มปรากฏขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19) สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑ / ค.ศ. 1851 – 1868) เมื่อครั้งยังทรงผนวชอยู่ และ
เสด็จประพาสพิษณุโลกในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ (ค.ศ. 1833) ทรงมีความเลื่อมใสในความงามของพระพุทธชินราช
ที่ประดิษฐานในวิหารทิศตะวันตก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก และในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866)
ก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์ ตำนานพระชินราช พระชินศรี พระศรีศาสดา ซึ่งเนื้อหาแบ่งได้เป็น ๒ ตอน ตอน
แรกกล่าวถึงประวัติการหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา โดยพระเจ้าศรีธรรม-
ไตรปิฎก ผู้ปกครองเมืองเชียงแสน ซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองพิษณุโลก โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งพระราชสาส์น
ไปยังพระเจ้ากรุงสยาม ณ เมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลก ขอช่างพราหมณ์มาช่วยปั้นหุ่นพระพุทธรูป
เพราะเวลานั้นมีคนเล่าลือสรรเสริญช่างเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลกมาก ว่าทำ
พระพุ ท ธรู ป ได้ ง ามๆ ดี ๆ ... ถ้ า จะทำพระพุ ท ธรู ป ขึ้ น แต่ โ ดยลำพั ง ฝี มื อ ลาว
ชาวเมืองเชียงแสน กลัวเกลือกจะไม่งามดีสู้พระพุทธรูปเมืองเชียงแสนได้
(จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๒๔, ๘๘)
ประวัติการสร้างพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์นี้ทรงเรียบเรียงขึ้นใหม่จาก พงศาวดารเหนือ และทรง
เพิ่มเติมเรื่องการหล่อ “พระเหลือ” ซึ่งไม่มีใน พงศาวดารเหนือ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า-
นภาลัย เมื่อครั้งยังเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีรับสั่งให้พระวิเชียรปรีชา (น้อย) เป็นผู้รวบรวม
พงศาวดารฉบับนี้ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๐ นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรง
คำนวณวันเวลาที่ระบุไว้ในตำนานเล่มนั้นว่า พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาหล่อในปี พ.ศ. ๑๔๙๘
(ค.ศ. 955) และพระพุทธชินราชหล่อขึ้นในปี ๑๕๐๐ (ค.ศ. 957) “หย่อนอยู่เจ็ดวัน” (เรื่องเดียวกัน, ๙๐)
ส่วนตอนหลังทรงกล่าวโดยละเอียดถึงการเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัย
อยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงได้ข้อมูลมาจาก พระสยามราชพงศาวดาร สันนิษฐานว่าน่าจะได้แก่
พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (พระราชพงศาวดาร
กรุงสยาม ๒๕๐๗) ซึ่งชำระขึ้นใหม่โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ที่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับพระพุทธชินราชสรุปได้ดังต่อไปนี้
- พ.ศ. ๑๙๒๗ (ค.ศ. 1384) สมเด็จพระราเมศวร เสด็จขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ และเสด็จกกลับทาง
พิษณุโลก ทรงเปลื้องเครื่องต้นถวายเป็นสักการะพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์
- พ.ศ. ๒๑๐๗ (ค.ศ. 1564) เมื่อสมเด็จพระนเรศวร เสด็จกลับจากไปตีเมืองหงสาวดี จึงเปลื้อง
เครื่องทรงออกบูชาพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์
- พ.ศ. ๒๑๓๔ (ค.ศ. 1591) สมเด็จพระเอกาทศรฐ โปรดให้เอาทองนพคุณเครื่องต้นมาแผ่เป็น
ทองประพาศรี (ทองคำเปลว) แล้วเสด็จไปปิดองค์พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ด้วยพระหัตถ์
- พ.ศ. ๒๒๐๓ (ค.ศ. 1660) สมเด็จพระนารายณ์ เสด็จกลับจากตีเมืองเชียงใหม่ แวะนมัสการ
พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ อีก ๒ ปีต่อมาจึงเสด็จไปนมัสการอีกครั้งหนึ่ง
รูปที่ ๕.๖๐ พระพุทธชินราช
- พ.ศ. ๒๒๔๓ (ค.ศ. 1700) สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ หรือสมเด็จพระเจ้าเสือเสด็จไปนมัสการ
ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓
พระพุทธชินราช เมื่อครั้งเสด็จไปสร้างวัดโพธิ์ประทับช้าง ที่พิจิตร
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 )
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒.๘๕ เมตร
- พ.ศ. ๒๒๘๒ (ค.ศ. 1739) สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ โปรดให้สร้างบานประตูมุกคู่หนึ่ง
สูง ๓.๕๐ เมตร
ถวายพระพุทธชินราช
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
อำเภอเมืองฯ จังหวัดพิษณุโลก
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๑๙
๒๒๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
- พ.ศ. ๒๓๑๓ (ค.ศ. 1770) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อเสด็จไปปราบเจ้าพระฝางที่สวางคบุรี
เมื่อถึงพิษณุโลก เสด็จไปนมัสการพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา
และทรงเปลื้องพระภูษาบูชาพระพุทธชินราช
สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จพระบวรราชเจ้า-
มหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งรับราชการในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่างก็เสด็จไปนมัสการพระ
พุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ด้วยกันทุกพระองค์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์แรกที่
เสด็จไปนมัสการพระพุทธชินราช เมื่อครั้งทรงดำรงพระสมณศักดิ์เป็นพระวชิรญาณมหาเถระในปี
พ.ศ. ๒๓๗๖ (ค.ศ. 1833) (ปวเรศวริยาลงกรณ์ ร.ศ. ๑๑๖, ๓๕๕๔) และเมื่อครั้งขึ้นครองราชยสมบัติแล้ว
ก็เสด็จพระราชดำเนินไปสมโภชพระพุทธชินราชอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) (ทิพากรวงศ์
๒๕๔๗, ๓๐๐) ในครั้งนั้นได้ทรงพาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะที่ทรงผนวชเป็น
สามเณรไปด้วย (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๑๗, ๔๒) จึงเท่ากับการสร้างค่านิยมในความงามขององค์
พระพุทธชินราชพระราชทานแก่พระราชโอรสด้วย ดังที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ชื่นชมพระพุทธชินราช
และพระพุทธชินสีห์ว่า
พระพุทธชินราช (รูปที่ ๕.๖๐) พระพุทธชินศรี (รูปที่ ๕.๖๑) สองพระองค์นั้น
งามแหลมแก่ตามากกว่าพระพุทธรูปใหญ่น้อยบรรดามีในแผ่นดินสยาม ทั้งปักษ์ใต้
ฝ่ายเหนือ และตลอดการนานมาถึง ๙๐๐ ปี มีผู้เลียนแบบปั้นเอาอย่างไปมากก็หลาย
ตำบล จะมีพระพุทธรูปที่คนเปนอันมากดูเห็นว่าเป็นดีเป็นงามกว่าพระพุทธชินราช
และพระพุทธชินศรีสององค์นี้ไปก็ไม่มี (จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๒๔, ๙๖)
ดังนั้นองค์ความรู้เกี่ยวกับการหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดา รวมทั้ง
รายพระนามของพระมหากษัตริย์ทั้งในสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี ที่เสด็จไปนมัสการพระพุทธรูปทั้ง
๓ องค์นี้ จึงมีต้นตอที่พระราชนิพนธ์ตำนานพระชินราช พระชินศรี และพระศรีศาสดา ในพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ต่อมาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชนุภาพได้ทรงแก้ไขอายุเวลาของการหล่อพระพุทธรูปทั้ง
๓ องค์นี้เป็นสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) โดยประทานเหตุผลว่า “พระเจ้าแผ่นดินซึ่งปรากฏ
พระเกียรติในเรื่องพระไตรปิฎกนั้นมีแต่พระองค์เดียว คือพระมหาธรรมราชาลิไทย... พระมหาธรรมราชา
นี้เองที่พงศาวดารเหนือเรียกว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก” และทรงกำหนดอายุเวลาของพระพุทธรูป
๓ องค์นี้ขึ้นใหม่ คือ “เมื่อราว พ.ศ. ๑๙๐๐” (ค.ศ. 1357) (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๖๐)
ด้วยเหตุผลข้างต้น พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา จึงได้รับการนิยามให้เป็น
พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย และเป็นตัวอย่างของพระพุทธรูปแบบพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นตัวอย่าง ๑ ใน
๕ แบบ ของพระพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัย ซึ่งหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ และอเล็กซานเดอร์ บี. กริสโวลด์
(Alexander B. Griswold) ได้ จ ำแนกไว้ ใ นหนั ง สื อ ศิ ล ปวั ต ถุ ใ นพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแห่ ง ชาติ เมื่ อ ปี
พ.ศ. ๒๔๙๕ (ค.ศ. 1952) (บริบาลบุรีภัณฑ์ และ เอ. บี. กริสโวลด์ ๒๔๙๕, ๓๒ – ๓๕)
อย่างไรก็ดี ตามข้อสันนิษฐานในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์
รูปที่ ๕.๖๑ พระพุทธชินสีห์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “การกำหนดอาายุเวลาและการจำลองพระพุทธชินราช
ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก” ของพิชญา สุ่มจินดา (พิชญา ๒๕๔๘) ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 )
ประจำคณะวิ จิ ต รศิ ล ป์ มหาวิ ท ยาลั ย เชี ย งใหม่ ได้ ชี้ ใ ห้ เ ห็ น วิ ธี ก ารอั น เป็ น ที่ ม าขององค์ ค วามรู้ นั้ น
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒.๕๘ เซนติเมตร
พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
ไม่สอดคล้องกับระเบียบวิธีวิจัยทางวิชาประวัติศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ปัจจุบัน โดยเฉพาะ
กรุงเทพมหานคร
การกำหนดอายุเวลาโดยการใช้หลักฐานประเภทตำนานไปเชื่อมโยงกับหลักฐานทางจารึก และนำเอาไป
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๒๑
กำหนดอายุเวลาของศิลปะโบราณวัตถุอีกต่อหนึ่ง นอกจากนั้นแล้วการศึกษาพระพุทธรูปเชิงงานศิลปะ
แบบตะวันตก ก็ไม่สอดคล้องกับสถานภาพของพระพุทธรูปซึ่งเป็นรูปจำลอง หรือพระพุทธปฏิมาที่มี
การเลียนแบบกันข้ามภูมิภาคและกาลเวลา
พิชญาได้กำหนดอายุเวลาของพระพุทธชินราชขึ้นใหม่จากพุทธลักษณะขององค์พระพุทธรูป จาก
รูปแบบของเรือนแก้ว โดยเทียบเคียงกับลวดลายบนซุ้มเรือนแก้วที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช
อายุเวลาของลวดลายดังกล่าวอาจกำหนดได้ในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย และจากสถาปัตยกรรมของ
พระวิหาร อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช รวมทั้งอายุเวลาของสิ่งก่อสร้างในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
พิษณุโลก โดยได้กล่าวถึง การสร้างพระวิหารหลวงทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระอัฏฐารส
(พระศรีสรรเพชญจำลอง) ว่าสร้างขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงสร้างองค์ปรางค์พระมหาธาตุ แล้ว
จึงตามด้วยวิหารทิศทั้ง ๓ ขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดา ในลำดับ
ต่อมา (แผนผังที่ ๑) ซึ่งวิธีการสร้างพระวิหารหลวงเป็นประธานหลักเสียก่อน แล้วจึงวางผังอาคารองค์
ประกอบอื่นเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ดังที่ปรากฏกรณีวัดมหาธาตุ สุโขทัย หรือที่อื่นๆ ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน คือ
ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688)
แผนผังที่ ๑
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
อำเภอเมืองฯ จังหวัดพิษณุโลก
เนื่องจากพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธปฏิมาองค์สำคัญซึ่งไม่ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับการสร้างที่
จารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นอกเสียจากหลักฐานประเภทตำนานใน พงศาวดารเหนือ ที่กล่าวว่า
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นผู้สร้าง ซึ่งภายหลังต่อมา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมา
เชื่อมโยงกับบุคคลในประวัติศาสตร์ คือพระยาลิไทย ในปี พ.ศ. ๑๙๐๐ องค์ความรู้ที่รับทราบกันมาจน
ปัจจุบันจึงเข้าใจว่า พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยพระยาลิไทย หรือสมัยสุโขทัย
นั่นเอง นอกจากใช้วิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์ศิลปะแล้ว พิชญายังชี้ให้เห็นว่าหากพระพุทธชินราชมีความ
สำคัญในทางประวัติศาสตร์มากถึงเพียงนี้แล้ว ก็น่าจะมีพระพุทธชินราชจำลองมากมายที่สร้างขึ้นใน
อดีตกาล แต่กลับปรากฏว่าเพิ่งเริ่มมีการจำลองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้นเอง
(พิชญา ๒๕๔๘)
๒๒๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๖.๑ พระพุทธชินราช สมัยอยุธยา
ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
การค้นคว้าของพิชญา สุ่มจินดา แสดงให้เห็นว่า พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระ
ศรีศาสดา (รูปที่ ๕.๖๒) น่าจะหล่อขึ้นในสมัยอยุธยา (พิชญา ๒๕๔๘, ๑๓๙ – ๑๔๙) เพราะว่า พระพุทธชินราช
(ดูรูปที่ ๕.๖๐) เป็นหนึ่งในพระพุทธปฏิมาสามองค์ที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานในวิหารทิศ ล้อมองค์ปรางค์
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก (ดูแผนผังที่ ๑) โดยที่มีวิหารด้านทิศตะวันออกประดิษฐานพระอัฏฐารส
คือพระพุทธรูปยืนประทานอภัยด้วยพระหัตถ์ขวา (ดูรูปที่ ๘.๓๓) วิหารด้านทิศตะวันออก หรือวิหารหลวงนี้
อาจจะสร้างขึ้นในปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.๒๑๗๒ – ๒๑๙๙ / ค.ศ. 1629 – 1656)
โดยจำลองพระศรีสรรเพชญและพระวิหารของพระองค์ที่กรุงศรีอยุธยา (เรื่องเดียวกัน, ๑๔๐ – ๑๔๒)
หลังจากนั้นจึงสร้างปรางค์ประธานและระเบียงคดล้อมรอบ ต่อมาจึงสร้างวิหารทิศเพื่อประดิษฐาน
พระพุทธชินราช ในวิหารด้านทิศตะวันตก พระพุทธชินสีห์ (ดูรูปที่ ๕.๖๑) ในวิหารด้านทิศเหนือ และพระ
ศรีศาสดา (ดูรูปที่ ๕.๖๒) ในวิหารด้านทิศใต้ แทรกเข้าไปกลางระเบียงคดของแต่ละด้านในรัชสมัยของ
สมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688) พระพุทธปฏิมาทั้งสามองค์นี้มี
รูปที่ ๕.๖๒ พระศรีศาสดา
พุทธลักษณะที่พ้องกัน คือมีนิ้วพระหัตถ์ที่ยาวเท่ากัน
พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑
(ค.ศ. 1656 – 1688)
นอกจากพระพุทธปฏิมาสามองค์ที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีพระพุทธปฏิมาอีกสององค์ที่วัด
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๓ เมตร
วิหารพระศรีศาสดา วัดบวรนิเวศวิหาร
ราชบูรณะ อำเภอเมืองฯ จังหวัดพิษณุโลก องค์หนึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถ (รูปที่ ๕.๖๓) และ
กรุงเทพมหานคร
อีกองค์หนึ่งเป็นพระประธานในพระวิหาร ซึ่งทั้งสององค์นี้มีนิ้วพระหัตถ์ยาวเท่ากัน และมีพุทธลักษณะ
ใกล้เคียงกับพระพุทธรูปสามองค์ข้างต้นทุกประการ แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อทอดพระเนตรเห็นยังมีพระราชหัตถเลขาถึง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการ
ลงวันที่ ๑๗ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๐ ว่า “พระประธานเล่าก็ตั้งใจจะเอาอย่างพระชินราชด้วยกัน
ทั้งนั้น” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๘, ๒๘ - ๒๙)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๒๓
๖.๒ พระพุทธชินราชจำลอง สมัยรัตนโกสินทร์
รูปที่ ๕.๖๗
พระพุทธชินราชจำลอง
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901)
ในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ (ค.ศ. 1857) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒.๘๕ เมตร
พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ หล่อพระพุทธชินสีห์องค์น้อยขึ้น (รูปที่ ๕.๖๔) หกปีต่อมา จึงโปรดเกล้าฯ สูง ๓.๕๐ เมตร
พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ให้หล่อพระศรีศาสดาองค์น้อยขึ้นอีกองค์หนึ่ง (รูปที่ ๕.๖๕) และหลังจากที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร
ไปนมัสการพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก ในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่ทรงพระราชนิพนธ์
ตำนานพระชินราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธชินราชองค์น้อยขึ้นอีกเป็นองค์ที่ ๓ (รูปที่ ๕.๖๖)
พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ถูกนำมาประดิษฐานด้วยกันที่วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นวัด
ประจำรัชกาลของพระองค์ สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๐๘ (ค.ศ. 1865) และเป็นครั้งแรกที่มีการจำลอง
พระพุทธปฏิมาทั้งสามองค์นี้ (เรื่องเดียวกัน, 159 – 162)
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามขึ้นใน
ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1899) มีพระราชดำริว่า
ได้พยายามหาพระพุทธรูปซึ่งจะเป็นพระประธานทั้งในกรุงแลหัวเมือง ตลอด
กระทั่งถึงเมืองเชียงใหม่... ก็ไม่เปนที่พอใจ จึงคิดเห็นว่าจะหาพระพุทธรูปองค์
ใดให้งามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มีแล้ว (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๑๗, ๔๒)
ครั้นจะเชิญพระพุทธชินราชลงมา ก็จะไม่เป็นที่พอใจของชาวพิษณุโลก จึงโปรดเกล้าฯ ให้จำลอง
ขึ้นใหม่ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเททองถึงเมืองพิษณุโลก โดยมีหลวงประสิทธิปฏิมา “ซึ่งเป็น
เทือกเถาเหล่ากอช่างปั้นช่างหล่อพระพุทธรูปมา ๓ ชั่วคน” เป็นผู้ถ่ายอย่างและปั้นหุ่น และเมื่อประดิษฐาน
พระพุทธชินราชจำลอง (รูปที่ ๕.๖๗) ในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แล้วเสร็จในปี
พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) โปรดเกล้าฯ เลื่อนยศหลวงประสิทธิปฏิมา ผู้ “มีความสามารถอาจจะสร้าง
พระพุทธชินราช ให้งามดีได้ถึงเพียงนี้” เป็นพระประสิทธิปฏิมา จางวางช่างหล่อ (เรื่องเดียวกัน, ๔๔ – ๕๒)
รูปที่ ๕.๗๒ พระพุทธชินราชจำลอง รุ่น ภ.ป.ร.
รูปที่ ๕.๗๓ พระพุทธชินราชจำลอง
รูปที่ ๕.๗๔ พระพุทธชินราชจำลอง
ปั้นโดย จ่าสิบเอกทวี บูรณเขตต์
ปั้นโดย จ่าสิบเอกทวี บูรณเขตต์
คอนกรีตเสริมเหล็ก
สร้างปี พ.ศ. ๒๕๑๗ (ค.ศ. 1974)
พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969)
วัดเขาถ้ำทะลุ อำเภอปากท่อ
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑๘ เซนติเมตร
สัมฤทธิ์ พระอุโบสถวัดกำแพงแลง
จังหวัดราชบุรี
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี
กรุงเทพมหานคร
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๓๑
๒๓๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๕.๗๕ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐
๗. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
(ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 14)
สัมฤทธิ์ สูง ๑ เมตร
ดั ง ที่ ไ ด้ ก ล่ า วไว้ แ ล้ ว ว่ า พระพุ ท ธปฏิ ม าประทั บ ขั ด สมาธิ ร าบ ปางมารวิ ชั ย มี จ ำนวนมากกว่ า
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระพุทธปฏิมารูปแบบอื่นๆ ในประเทศไทย ซึ่งนอกเหนือจากพระพุทธชินราชแล้ว พระพุทธรูปในรูปแบบ
นี้ก็ยังคงได้รับความนิยมในการสร้างมาจนถึงปัจจุบัน
๗.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย
(๑) ช่วงอาณาจักรสุโขทัย พ.ศ. ๑๘๔๒ – ๑๙๒๑ (ค.ศ. 1299 – 1378)
ลักษณะเฉพาะของพระพุทธปฏิมาสุโขทัย ได้แก่ “พระรัศมีเป็นเปลว ขมวดพระเกศาเล็ก พระพักตร์
รูปไข่ พระโขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์อมยิ้มเล็กน้อย พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก ครองจีวร
ห่มเฉียง ชายจีวรยาวลงมาถึงพระนาภี ปลายเป็นลายเขี้ยวตะขาบ ชอบทำปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบ
ฐานเป็นหน้ากระดานเกลี้ยง” (สุภัทรดิศ ๒๕๓๘, ๒๖) ซึ่งน่าจะปรากฏขึ้นในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่
๒๐ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 14) เพราะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ นิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร
หรือคณะสีหฬภิกขุ ซึ่งรับเข้ามาในช่วงระยะเวลานั้น ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกันกับทีพ่ ระพุทธปฏิมา
“แบบอู่ทอง แบบที่ ๒” หรือ แบบพระพุทธกัมโพชปฏิมา และพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบที่ ๓” ซึ่ง
เป็นแบบเฉพาะของพระพุทธปฏิมาอยุธยาที่พัฒนาการขึ้นใน นิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร เช่นกัน
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า พระพุทธปฏิมาบางองค์ที่มีจารึก มิได้ระบุปีสร้าง เช่น
พระพุทธปฏิมาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๕.๗๕) ซึ่งการ
ปั้นพระพักตร์นั้น มีลักษณะที่คล้ายคนจริง เช่น พระขนงนูนขึ้นเล็กน้อย มิได้เป็นเส้นโค้งที่
บรรจบกันที่สันพระนาสิก เป็นต้น ซึ่งยังพบในองค์ที่เอกชนเป็นผู้ครอบครองอีกด้วย
(รูปที่ ๕.๗๖) พระพุทธปฏิมาในกลุ่มนี้ อาจจะเป็นกลุ่มแรกของพระพุทธปฏิมาสุโขทัย
เพราะลักษณะของพระขนงที่เหมือนจริงนั้น เทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมา “แบบ
อู่ทอง แบบที่ ๑” อาจจะกำหนดอายุเวลาได้ในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ครึ่ง
หลังคริสต์ศตวรรษที่ 14)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๓๓
(๒) ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463)
พระพุทธปฏิมาที่มีจารึกระบุปีสร้างหลายองค์ สร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ครึ่ง
แรกคริสต์ศตวรรษที่ 15) พระพุทธปฏิมาที่สำคัญได้แก่ สององค์ที่มีจารึกสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ-
ยอดฟ้าจุฬาโลก ระบุว่า “สังฆโลก” คือได้มาจากเมืองสวรรคโลกเก่า (อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
ในปัจจุบัน) องค์หนึ่งสร้างโดย ทิตไส (รูปที่ ๕.๗๗) และอีกองค์หนึ่งสร้างโดย ผ้าขาวทอง สร้างขึ้นในปี
เดียวกันคือ พ.ศ. ๑๙๖๕ (ค.ศ. 1422) (ประสาร ๒๕๑๑, ๑๐๘ – ๑๑๑) พระพุทธปฏิมาอีกองค์หนึ่งที่มี
จารึก ได้แก่ พระพุทธปฏิมากรพระประธานในพระอุโบสถ วัดหนัง กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๕.๗๘) มีจารึก
ว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๙๖๖ (ค.ศ. 1423) (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๑๙๒) อีกองค์หนึ่งอยู่ในวิหารวัดหงส์รัตนาราม
กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๕.๗๙) มีจารึกว่าสร้างขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๖๓ หรือ ๑๙๖๖ (ค.ศ. 1420 หรือ ค.ศ. 1423)
(เอ.บี. กริสโวลด์ ๒๕๐๗, ๙๒) พระพุทธปฏิมาองค์สุดท้ายนี้มี พระขนงโก่ง เชื่อมกับสันพระนาสิกทั้ง
สองด้าน พระหนุสอบเข้า
พระพุทธปฏิมาสำคัญที่มีพุทธลักษณะที่เทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมาของวัดหงส์รัตนาราม ซึ่ง
รูปที่ ๕.๗๗ พระพุทธรูปของทิตไส
อาจจะสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันน่าจะได้แก่ พระสุรภีพุทธพิมพ์ พระประธานวัดปรินายก
สร้างปี พ.ศ. ๑๙๖๕ (ค.ศ. 1422)
สัมฤทธิ์
(รูปที่ ๕.๘๐) หลวงพ่อร่วง วัดมหรรณพาราม (รูปที่ ๕.๘๑) และพระสุโขทัยไตรมิตร วัดไตรมิตรวิทยาราม
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
(รูปที่ ๕.๘๒) ซึ่งทั้งสามองค์นี้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานคร
อนึ่ง พระสุรภีพุทธพิมพ์นั้น ในด้านอิทธิปาฏิหาริย์ก็ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ประจักษ์ของ
ชาวบ้านเชิงสะพานผ่านฟ้า ทั้งนี้เพราะเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ ๒ บ้านเรือนย่านนั้นถูกโจมตีทาง
อากาศ ชาวบ้านจึงอพยพไปพึ่งพระบารมีของหลวงพ่อในพระอุโบสถ และมีเรื่องเล่ากันว่าเวลาเครื่องบิน
มาทิ้งระเบิดนั้น ต่างก็ได้เห็นรูปเสมือนหลวงพ่อลอยอยู่เหนือพระอุโบสถ ทรงแผ่อภินิหารคุ้มครอง
ป้องกันภัย จนทุกคนปลอดภัยจากการทิ้งระเบิด นอกจากนั้นแล้ว ผู้ใดเข้าไปขอพรให้หลวงพ่อประสิทธิ
ประสาทความสำเร็จใด ๆ ที่ตนมุ่งหวัง ก็ได้ผลสมความปรารถนาทุกคน (บันทึกการจัดสร้าง, บันจุ, และ
ปลุกเสก ๒๕๐๐, ๒ – ๓)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๓๕
๗.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยล้านนา
(๑) ช่วงก่อตั้งอาณาจักรล้านนา พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๙๘ (ค.ศ. 1296 – 1355)
เช่นเดียวกันกับภาคกลาง พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย เป็นที่แพร่หลายมาก
กว่าแบบอื่น ๆ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในวัฒนธรรมล้านนาที่นิยมการจารจารึกไว้ที่ฐานพระพุทธปฏิมา ยัง
ไม่พบพระพุทธปฏิมาแบบนี้ที่มีจารึกเก่าไปกว่ารัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐ /
ค.ศ. 1441 – 1487) ที่กำหนดอายุเวลาให้เก่าไปกว่ารัชกาลนี้ จึงมาจากการคาดคะเนทั้งสิ้น พระพุทธ-
ปฏิมาที่อาจจะสร้างขึ้นก่อนการประดิษฐานคณะสีหฬภิกขุ เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๗๓ (ค.ศ. 1430) ในล้านนาน่า
จะได้แก่พระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย จังหวัดลำพูน (รูปที่ ๕.๘๓) ซึ่ง
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธปฏิมารุ่นแรกของล้านนา แตกต่างกันที่การกำหนดอายุเวลา จาก
กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13) (Saisingha 1999, 80) ถึงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่
๒๐ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 15) (Stratton 2004, 249) ซึ่งจากการวิเคราะห์พุทธลักษณะของ
พระพุทธปฏิมาองค์นี้ โดยเฉพาะพระพักตร์ที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ น่าจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลัง
พุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 14)
(๒) ช่วงอาณาจักรล้านนา
รูปที่ ๕.๘๓ พระสมฌโคดมประทับขัดสมาธิราบ
ปางมารวิชัย
- ยุครุ่งเรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525)
ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 14)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๗๘ เซนติเมตร
ถึงแม้จะไม่ทราบว่า พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยที่สร้างขึ้นที่ล้านนาซึ่งมี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
พุทธลักษณะที่มีความหลากหลายในส่วนปลีกย่อยเป็นอย่างมาก ว่าในแต่ละหมวดหมู่เป็นพระปฏิมา
จังหวัดลำพูน
จำลองของพระปฏิมาสำคัญองค์ใดบ้าง แต่ก็ทราบจากจารึก ตำนาน และคำบอกเล่าว่า พระปฏิมาที่คน
นับถือบูชาสืบทอดกันมาหลายศตวรรษมีพระนามว่าอะไร เช่น พระเจ้าทองทิพย์ วัดสวนตาล อำเภอเมืองฯ
จังหวัดน่าน พระเจ้าล้านทอง วัดพระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พระเจ้าเก้าตื้อ
วัดสวนดอก อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ และพระเจ้าตนหลวง วัดศรีโคมคำ อำเภอเมืองฯ จังหวัด
พะเยา ซึ่งพระพุทธปฏิมาที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ สร้างขึ้นในยุครุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา
พระเจ้าทองทิพย์ (รูปที่ ๕.๘๔) นั้น ตำนานหนึ่งกล่าวว่าพระเจ้าติโลกราชโปรดให้หล่อขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๑๙๙๓ (ค.ศ. 1450) เมื่อทรงตีเมืองน่านได้ (ศิลปากร ๒๕๓๐ ก, ๗๙) แต่ พงศาวดารเมืองน่านว่า
พญาคำยอดฟ้า โปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๕ (ค.ศ. 1522) (ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๙ ๒๕๐๗, ๓๑๕)
อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบพระวรกายที่อวบ พระพักตร์อิ่มเอิบ พระนาสิกใหญ่ของพระปฏิมา ที่มี
จารึกว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช (ดูรูปที่ ๖.๔) บ่งชี้ว่าพระเจ้าทองทิพย์นั้นน่าจะสร้างขึ้นใน
รัชกาลนั้น
พระเจ้าล้านทอง (รูปที่ ๕.๘๕) วัดพระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเจ้า
เมืองเชียงแสนสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๓๒ (ค.ศ. 1489) (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๖๕) เป็นพระพุทธปฏิมาที่มี
ลักษณะคล้ายกับพระเจ้าทองทิพย์ แต่ฝีมือการปั้นพระหัตถ์ซึ่งดูนุ่มนวล มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๔๑
พระพุทธปฏิมาวัดชัยพระเกียรติ มีจารึกปี พ.ศ. ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1517 – 1518) (ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๘๙)
(รูปที่ ๕.๙๕) แสดงให้เห็นพุทธลักษณะที่น่าจะได้อิทธิพลจากพุทธปฏิมาสุโขทัย
พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในช่วงสองทศวรรษสุดท้ายของรัชสมัยพญาแก้ว มักจะมีฐานที่อลังการ
เช่น องค์ที่มีจารึกปี พ.ศ. ๒๐๕๓ (ค.ศ. 1510) มีฐานทรงโค้งคล้ายท้องสำเภา (รูปที่ ๕.๙๖) และองค์ที่
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1525) มีฐานเขียงสลักลายดอกพุดตาน (รูปที่ ๕.๙๗) นอกจากจะมีนิ้ว
พระหัตถ์ที่ยาวเท่ากันแล้ว พระพุทธปฏิมาองค์สุดท้ายนี้ ยังมีพระพักตร์เสี้ยม เช่นเดียวกันกับพระเจ้า
ตนหลวง วัดศรีโคมคำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดพะเยา (รูปที่ ๕.๙๘) มีจารึกว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๖๗
(ค.ศ. 1524) และกล่าวถึงการให้สัดส่วนของพระพุทธปฏิมาองค์นี้ เช่น พระเมาลีวัดรอบได้ ๒๐ กำ
สูง ๓ ศอก (๑.๕๐ เมตร) พระเศียรกลมใหญ่ เม็ดพระศกมี ๑.๕๐๐ เม็ด เค้าพระพักตร์ยาว ๒ วา กว้าง
๒ วา (๔ เมตร) พระขนงยาว ๓ ศอก พระเนตรยาว ๓ ศอก พระนาสิกยาว ๓ ศอก พระโอษฐ์ยาว
๒ ศอก พระกรรณยาว ๑ วา (๒ เมตร) (เทิม และประสาร ๒๕๒๕, ๑๐๒ – ๑๐๕)
- ยุคเสื่อม พ.ศ. ๒๐๖๘ – ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1525 – 1558)
พระพุทธปฏิมาซึ่งมีพระพักตร์เสี้ยม น่าจะเป็นที่นิยมในรัชกาลพญาเกศ (พ.ศ. ๒๐๖๙ – ๒๐๘๑ /
รูปที่ ๕.๙๕ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ
ค.ศ. 1526 – 1538) เพราะว่าพระพุทธปฏิมาที่มีจารึกในรัชกาลนี้ มีลักษณะเช่นนี้แทบทุกพระองค์
ปางมารวิชัย
(Griswold 1957, No. 68 – 72) ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมาในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (รูปที่
สร้างปี พ.ศ. ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1517 - 1518)
๕.๙๙) จะไม่มีจารึก แต่พุทธลักษณะก็สอดคล้องกับพระพุทธปฏิมาที่มีจารึกทุกประการ รวมทั้งนิ้ว
สัมฤทธิ์ สูง ๑.๑๒ เมตร
วัดชัยพระเกียรติ
พระหัตถ์ที่เรียวยาวอีกด้วย
อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่
พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ต้น ๒๒ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16)
ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธปฏิมาบูชา มีพระพักตร์เสี้ยม (รูปที่ ๕.๑๐๐) ประทับเหนือฐานเขียงชั้นเดียวหรือ
ฐานสองชั้นที่มีความเรียบง่าย หรือตกแต่งด้วยลายลูกประคำ (รูปที่ ๕.๑๐๑) ซึ่งอาจจะสะท้อนให้เป็น
เศรษฐกิจที่ตกต่ำในช่วงระยะเวลานี้
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๔๕
๗.๓ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยล้านช้าง
(๑) ช่วงอาณาจักรล้านช้าง พ.ศ. ๑๙๓๖ – ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1393 – 1703)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยที่เชื่อว่าเป็นพระพุทธปฏิมาคู่บ้านคู่เมืองของ
อาณาจักรล้านช้าง ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์และมีความงามเป็นเลิศ ประดิษฐานอยู่ในประเทศไทยหลายองค์
(สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๑๗๖ – ๑๘๐) ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
(พ.ศ. ๒๐๙๓ – ๒๑๑๕ / ค.ศ. 1550 – 1572)
พระพุทธปฏิมาที่น่าจะสร้างขึ้นก่อนสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้แก่ พระแซกคำ วัดคฤหบดี
กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๕.๑๐๘) ซึ่งมีพระพักตร์กลม พระวรกายสั้น พระมังสาเป็นมัด คล้ายกับ
พระพุทธปฏิมาสุโขทัยที่ได้รับอิทธิพลจากพระขนมต้มของอยุธยา (ดูรูปที่ ๕.๑๓๔) จึงเป็นไปได้ว่า อาจจะ
สร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาเดียวกัน คือครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 16)
ซึ่งสอดคล้องกับตำนานที่กล่าวว่าในสมัยพระเจ้าโพธิสาลธรรมิกราช (พ.ศ. ๒๐๖๓ – ๒๐๙๓ / ค.ศ. 1520 –
รูปที่ ๕.๑๐๘ พระแซกคำ
1550) พระแซกคำแสดงปาฏิหาริย์ เสด็จมาทางอากาศ พระเจ้าโพธิสาลจึงโปรดให้สร้างปราสาทเป็นที่
ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๑
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 16)
ประดิษฐานในนครหลวงพระบาง และเมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชอัญเชิญพระรัตนปฏิมา หรือพระพุทธ-
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๔๖ เซนติเมตร
มหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต จากเมืองเชียงใหม่ก็นำไปประดิษฐานในปราสาทเดียวกัน
พระอุโบสถวัดคฤหบดี กรุงเทพมหานคร
ครั้นเมื่อย้ายราชธานีไปที่นครเวียนจันท์ในปี พ.ศ. ๒๑๐๓ (ค.ศ. 1560) ก็อัญเชิญพระแซกคำไปไว้ที่นั่น
พร้อมกับพระรัตนปฏิมาและพระบาง (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๗๗) ต่อมาเมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์
สิงหเสนี) ขึ้นไปปราบสมเด็จพระราชเชษฐา (เจ้าอนุวงศ์) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ (ค.ศ. 1826) จึงอัญเชิญ
พระแซกคำมาถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์พระราชทานแก่พระยาราชมนตรี
(ภู่) ให้เป็นพระประธานวัดคฤหบดีที่ท่านเป็นผู้สร้าง
พระเจ้าองค์หลวง วัดผดุงสุข อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย (รูปที่ ๕.๑๐๙) เป็นพระ
พุทธปฏิมาก่ออิฐถือปูน ศิลาจารึกวัดผดุงสุขกล่าวว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช โปรดให้สร้างขึ้นในปี
พ.ศ. ๒๐๙๔ (ค.ศ. 1551) (การศาสนา เล่ม ๑๐ ๒๕๓๔, ๓๔๖) คือ ๙ ปีก่อนที่พระองค์จะสถาปนานคร
เวียงจันท์ขึ้นเป็นราชธานีของกรุงศรีสัตนาคนหุต
พระพุทธปฏิมาที่มีจารึกระบุปีสร้าง พ.ศ. ๒๑๐๕ (ค.ศ. 1562) ได้แก่ พระเจ้าองค์ตื้อ (หนึ่งตื้อ
ประมาณ ๑๒,๐๐๐ กิโลกรัม) วัดศรีชมภูองค์ตื้อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย (รูปที่ ๕.๑๑๐)
(มหานิมิตย์ ๒๕๔๗, ๙) พระเจ้าองค์ตื้อมีพระพักตร์เสี้ยม พระขนงโก่งเป็นสันคม พระเนตรเหลือบลง
พระโอษฐ์กว้าง ทิ้งพระหัตถ์เป็นธรรมชาติ รัศมีเป็นรูปเปลวสูง พระพุทธปฏิมาองค์นี้อาจจะจำลองมา
จากพระเจ้าองค์ตื้อที่นครเวียงจันท์ ซึ่งพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชโปรดให้สร้างขึ้นในปีเดียวกันกับที่เสด็จมา
ครองนครเวียงจันท์ (สุรสวัสดิ์ ๒๕๓๕, ๗๙)
พระเจ้าองค์ตื้อเป็นพระพุทธรูปสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดหนองคาย มีเรื่องเล่ากันว่า
เมื่อพวกฮ่อข้ามโขงมาที่วัด เพื่อที่จะทำลายขวัญของชาวบ้าน โดยจ้วงขวานฟันลงที่พระชานุ ได้ยินเสียง
ร้องจากพระโอษฐ์ และพระโลหิตไหลออกจากบาดแผล พวกฮ่อเห็นเป็นอัศจรรย์จึงยกทัพกลับ แต่ถึงแก่
ความตายหมดทุกคน นอกจากนั้นแล้ว ผู้ที่จะออกศึกสงครามมาบนบานขอให้พระองค์ทรงคุ้มครอง ก็จะ
ปลอดภัยมีชัยกลับมา และถ้าปรารถนาอยากจะได้บุตรธิดา และมีความเจริญรุ่งเรืองในอาชีพสุจริต
ก็สามารถขอให้พระเจ้าองค์ตื้อบันดาลให้สมความปรารถนานั้น รวมทั้งผู้ที่ป่วยไข้ตั้งจิตอธิษฐานโรคนั้นก็
จะหายได้ (มหานิมิตย์ ๒๕๔๗, ๒๖ – ๒๗)
รูปที่ ๕.๑๐๙ พระเจ้าองค์หลวง
สร้างปี พ.ศ. ๒๐๙๔ (ค.ศ. 1551) ก่ออิฐถือปูน
หน้าตักกว้าง ๓ เมตร สูง ๓.๕๐ เมตร
วัดผดุงสุข อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
๒๔๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๕.๑๑๐ พระเจ้าองค์ตื้อ
สร้างปี พ.ศ. ๒๑๐๕ (ค.ศ. 1562)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๓.๒๙ เมตร
สูง ๔ เมตร
วัดศรีชมภูองค์ตื้อ
อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๔๗
พระเสริม พระอุโบสถวัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๕.๑๑๑) มีลักษณะคล้ายกับ
พระเจ้าองค์ตื้อ แต่นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน พระพุทธรูปองค์นี้อัญเชิญมาจากเวียงจันท์ในปี พ.ศ. ๒๓๗๐
(ค.ศ. 1827) ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้า-
มหาศักดิพลเสพย์เสด็จขึ้นไปตีนครเวียงจันท์ แล้วอัญเชิญมาไว้ที่วัดโพธิ์ชัย เมืองหนองคาย ซึ่งตั้งขึ้น
แทนเวียงจันท์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอัญเชิญมาไว้ที่กรุงเทพฯ ประดิษฐานไว้บนพระ
แท่นเศวตฉัตรในท้องพระโรง ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงอัญเชิญไปเป็นพระ
ประธานในพระอุโบสถวัดปทุมวนาราม (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๖๘ – ๖๙)
พระแสน (เมืองมหาชัย) ในพระวิหารวัดปทุมวนาราม (รูปที่ ๕.๑๑๒) และพระใส (รูปที่ ๕.๑๑๓)
ซึ่งเดิมอยู่กับพระเสริมในวัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด
เกล้าฯ ให้เชิญมาไว้ในพระวิหารวัดปทุมวนารามในปีเดียวกันคือ พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) (เรื่องเดียวกัน,
๗๐) พระพุทธปฏิมาทั้งสององค์นี้มีพุทธลักษณะพ้องกัน แตกต่างกันตรงที่พระแสน (เมืองมหาชัย) มีนิ้ว
พระหัตถ์ยาวเสมอกัน และฐานพระเทียบเคียงได้กับฐานพระพุทธล้านนาร่วมสมัย
พระพุ ท ธปฏิ ม าแบบสกุ ล ช่ า งเวี ย งจั น ท์ ที่ ส ำคั ญ อี ก องค์ ห นึ่ ง ได้ แ ก่ พ ระแสน (เมื อ งเชี ย งแตง)
วัดหงส์รัตนาราม พระพุทธปฏิมาองค์นี้ พระเศียรแสดงให้เห็นพุทธลักษณะของพระพุทธรูปลาวได้อย่าง
ชัดเจน (รูปที่ ๕.๑๑๕ ก.) เช่นพระรัศมีเป็นเปลวประดับด้วยแก้วและเพชรพลอย พระศกเป็นหนามขนุน
มีไรพระศก พระขนงโก่งยกขอบสูง พระนาสิกโด่งปลายงุ้ม พระโอษฐ์ยิ้ม พระกรรณประดิษฐ์ขมวดม้วน
พระศอทำเป็นปล้อง (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๑๗๑ – ๑๗๓) และอาจจะสร้างขึ้นโดยพระครูโพนเสม็ดที่
เมืองเชียงแตง ปัจจุบันคือ สตรึงแตรง ตำบลหางโขง แขวงจำปาศักดิ์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๒๓๓ – ๒๒๕๒
(ค.ศ. 1690 – 1709) ตามที่กล่าวถึงในประวัติของพระพุทธปฏิมาองค์นี้ (เติม ๒๕๓๐, ๓๙ - ๔๐) พระ
พุทธปฏิมาองค์นี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากเมืองเชียงแตง
ในปี พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) เพื่อประดิษฐานหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม (รูปที่
๕.๑๑๕ ข.) ซึ่งสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระราชชนนี ทรงปฏิสังขรณ์วัดนี้ ประชาชนมักจะนำ
ข้าวเหนียว ปลาร้า และไข่ต้มมาถวายเป็นการแก้บนอยู่เสมอ (วรนันทน์ ๒๕๔๓, ๑๔๒)
พระพุ ท ธปฏิ ม าที่ อ าจจะสร้ า งขึ้ น ในรั ช กาลของพระเจ้ า สุ ริ ย วงสาธรรมิ ก ราช ซึ่ ง ครองราชย์
ยาวนานถึง ๕๗ ปี ได้แก่ พระพุทธปฏิมาวัดเมธังกราวาส อำเภอเมืองฯ จังหวัดแพร่ (รูปที่ ๕.๑๑๖)
ประทับเหนือเกษรบัวรองรับด้วยฐานบัวคว่ำบัวหงายปลายงอน หน้ากระดานแต่งด้วยลูกแก้วอกไก่เหนือ
ฐานเขียงหกเหลี่ยม ส่วนพระพุทธปฏิมาในวิหารสมเด็จฯ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปที่ ๕.๑๑๗)
นั้น ประทับเหนือฐานบัวหงาย รองรับด้วยฐานหน้ากระดานหกเหลี่ยมฉลุลูกฟัก ซ้อนกันสองชั้นตั้งบน
ชนวนอีกต่อหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นต้นแบบให้กับฐานพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยในระเบียง
หอพระแก้ว นครเวียงจันท์ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน (สมเกียรติ ๒๕๔๓, ๑๘๘) ส่วนพระพุทธปฏิมาวัด
ไชยาติการาม อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ (รูปที่ ๕.๑๑๘) ซึ่งประทับบนกลีบบัวบาน รองรับด้วยฐาน
บัวคว่ำบัวหงายปลายงอน เหนือฐานเขียงยกสูง อาจจะสร้างขึ้นในช่วงปลายของรัชกาลนี้เช่นกัน
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๕๓
๗.๔ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยกัมโพช
พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351)
เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
ปางมารวิชัย ที่สร้างขึ้นในรัฐกัมโพชหรือภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย ในช่วงครึ่งแรกพุทธ-
ศตวรรษที่ ๑๙ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13) ภายใต้คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ มีรูปแบบที่เรียกว่า
“แบบอู่ทอง แบบที่ ๑” คือพระพักตร์เหมือนพระพุทธรูปสมัยทวารวดี หรือเขมร และมีพระรัศมีเป็นรูปฝาชี
ตัวอย่างของพระพุทธปฏิมาในหมวดนี้ได้แก่ พระพุทธปฏิมาพบที่ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองฯ
จังหวัดสุพรรณบุรี (รูปที่ ๕.๑๒๑) ซึ่งยังธำรงรักษารูปแบบเขมรไว้ เช่น พระพักตร์เหลี่ยม มีไรพระศก
พระเกศาถักเป็นเส้น สวมกรองศอทับชายจีวรที่พับทบเป็นแถบใหญ่ ท่อนบนของสบงทำเป็นขอบนูน
และพระพุทธรูปในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รูปที่ ๕.๑๒๒) ซึ่งมีพระพักตร์เหลี่ยมคล้าย
พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มีไรพระศกเป็นแถบเรียบ พระเศียรค่อนข้างแบน เม็ดพระศกใหญ่ พระเมาลีเป็น
เส้นขีดรับกับพระรัศมีทรงกรวยเรียบ ครองจีวรห่มดอง ชายเป็นแถบใหญ่ ประทับเหนือฐานบัวคว่ำ
บัวหงาย เว้าเข้าตรงกลางรับกับพระชงฆ์
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๖๕
- แบบกำแพงเพชร
ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – กลาง ๒๓ (คริสต์ศตวรรษที่ 17) พระพุทธปฏิมาแบบ
กำแพงเพชร มีพุทธลักษณะที่เด่นชัดมาก คือ พระพักตร์ยาวรี พระนลาฏมีความกว้างมากกว่า
พระหนุ พระขนงโก่งเป็นคันศร บรรจบกันที่ปลายสันพระนาสิก หางพระเนตรและมุมพระโอษฐ์
ตวัดขึ้นเป็นคันศร ดังเช่นเศียรที่ได้มาจากจังหวัดกำแพงเพชร (รูปที่ ๕.๑๔๕) และเศียรในวัด
พระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก (รูปที่ ๕.๑๔๖)
- แบบสวรรคโลก
พระพุทธปฏิมาอยุธยาแบบสวรรคโลก มีลักษณะพิเศษ คือ ชายจีวรที่ทับซ้อนเป็นริ้ว เช่น
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก (ดูรูปที่ ๕.๔๐) หลวงพ่อวัดไร่ขิง (รูปที่ ๕.๑๔๗)
เป็นพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ที่ชายจีวรทบซ้อนกันเป็นริ้ว เทียบเคียงได้
กับพระพุทธปฏิมาปูนปั้นที่วัดช้างล้อม สวรรคโลกเก่า (ศิลปากร ๒๕๓๐ ค, ๗๑) ซึ่งจากการทำ
โครงสร้างของลำตัวช้างที่รายล้อมฐานเจดีย์ ภายในซุ้มรูปครึ่งวงกลม เป็นเทคนิคของการทำซุ้ม
แบบตะวันตก (เรื่องเดียวกัน, ๑๗๖) จึงอาจจะสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์
ศตวรรษที่ 17 – กลาง 18) ก็เป็นได้ อันน่าจะเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกันกับหลวงพ่อวัดไร่ขิง
รูปที่ ๕.๑๔๕ เศียรพระสมณโคดม
อิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อไร่ขิง ปรากฏขึ้นเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ได้อัญเชิญ
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - กลาง ๒๓
หลวงพ่อมาจากวัดศาลาปูน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาประดิษฐานภายในอุโบสถวัดไร่ขิง
(คริสต์ศตวรรษที่ 17 )
ในวันสงกรานต์ปี พ.ศ. ๒๓๙๔ (ค.ศ. 1851) เกิดอัศจรรย์มีฝนโปรยลงมาเป็นความชุ่มชื่นเย็นฉ่ำ
สัมฤทธิ์ สูง ๗๙ เซนติเมตร
ผู้คนจึงกล่าวกันว่า
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
หลวงพ่อจักทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนร้ายคลายความทุกข์ให้
หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ (พระอุบาลีคุณูปมาจารย์กับตำนานวัดไร่ขิง
๒๕๔๙, ๑๗)
ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๗ – ๒๔๕๘ (ค.ศ. 1914 – 1915) เชื่อกันว่าหลวงพ่อบอกหวยให้
กับชาวบ้าน จน “ขุนบาล” เจ้ามือหวยให้คนเอาตะปูมาตอกที่พระโอษฐ์หลวงพ่อ เพราะทำให้ตน
ต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก (เรื่องเดียวกัน, ๒๐) ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อจึงเป็นที่เลื่องลือ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๗๑
๒๗๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๕.๑๕๒ พระศรีศากยมุนี
ทรงพระราชดำริพระราชศรัทธาจะกระทำการปฏิสังขรณ์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่
หล่อแก้ไขปี พ.ศ. ๒๓๕๑ (ค.ศ. 1808)
ที่กรำแดดกรำฝนต้องเพลิงป่า หาผู้ที่จะพิทักษ์รักษามิได้อยู่ที่เมืองสุโขทัยนั้น
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๖.๒๕ เมตร
สูง ๘ เมตร
ทรงพระกรุณาให้อาราธนาลงมาไว้เป็นที่เจดียฐานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
พระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม
เป็นที่ไหว้ที่สักการบูชา พระลักขณะอันใดมิได้ต้องด้วยพระพุทธลักขณะผิดจาก
กรุงเทพมหานคร
พระบาลีและพระอรรถกถานั้น ทรงพระกรุณาให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นให้ต้องด้วยพระ
อรรถกถาพระบาลี (ประชุมหมายรับสั่ง ๒๕๒๕, ๑๒๘)
และเมื่อได้ทรงแก้ไขพระเศียรและพระหัตถ์พระศรีศากยมุนีให้เข้ากับพระราชนิยมแล้ว จึงไม่
สามารถที่จะกำหนดอายุเวลาได้ว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) หรือช่วงเมือง
ประเทศราชของอยุธยา เพราะพระเศียรและพระหัตถ์นั้นกลายเป็นแบบรัตนโกสินทร์ไปเสียแล้ว
พระพุทธปฏิมาสำคัญที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. ๒๓๕๒ –
๒๓๖๗ / ค.ศ. 1809 – 1824) ได้แก่ พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถวัด
อรุณราชวราราม (รูปที่ ๕.๑๕๓) ซึ่งพระองค์ทรงปั้นหุ่นพระพักตร์เอง (ศิลปากร ๒๕๒๑ ข, ๑๘) เช่น
เดียวกันกับพระพักตร์พระพุทธจุฬารักษ์ พระประธานในพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม (รูปที่ ๕.๑๕๔)
กล่าวกันว่าองค์หลังนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปั้นพระองค์อีกด้วย (ศิลปากร ๒๕๒๕
ก, ๑๒๕) พระพุทธปฏิมาทั้งสององค์เป็นแบบฉบับของพระพุทธปฏิมาสมัยรัตนโกสินทร์ คือพัฒนาการ
ขึ้นจากพระพุทธปฏิมาอยุธยาที่สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 – กลาง
18) โดยที่มีนิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน พระวรกายแข็งกระด้าง พระพักตร์เฉยเมยคล้ายหุ่น
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๗๓
รูปที่ ๕.๑๕๕ พระพุทธตรีโลกเชษฐ์
สร้างปี พ.ศ. ๒๓๘๐ (ค.ศ. 1837)
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๖.๓๔ เมตร
สูง ๘.๓๖ เมตร
พระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม
กรุงเทพมหานคร
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๗๕
๒๗๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๕.๑๕๘ พระสมณโคดมและพระสาวก
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ครองจีวรลายดอกห่มดอง ประทับเหนือฐานห้าชั้น
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ต้น ๒๕
แต่ละชั้นมีพระมหาสาวกประทับสมาธิเรียงรายอยู่โดยรอบ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๒๐ องค์ และในชั้นบน
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19)
สัมฤทธิ์ ฐานกว้าง ๓๒ เซนติเมตร
สุดมีพระมหาสาวกประทับสมาธิอีกห้าองค์ ซึ่งอาจหมายถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็เป็นได้ (รูปที่ ๕.๑๕๘)
สูง ๓๙ เซนติเมตร
พระพุทธปฏิมาลักษณะดังกล่าวเป็นที่นิยมในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และ
สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเห็นได้จากจีวรลายดอก และการสร้างภาพพระสาวก
กรุงเทพมหานคร
จำนวนมาก เช่นในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม ที่มีพระอสีติมหาสาวก ๘๐ รูป นั่งสดับฟังพระ
ธรรมเทศนา สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๐๗ (ค.ศ. 1864) (ศิลปากร ๒๕๒๕ ก, ๕๙) นอกจากนั้นแล้ว การนำเอา
พระมหากัจจายนะและพระอริยสาวก เข้ามาเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ แสดงให้เห็นถึงความนิยมพระ
สังกัจจายน์ ในพระนามพระมหากัจจายนะ ในช่วงระยะเวลานี้ (Penth 2550, ๒๕๓, ๒๖๗) พระพุทธปฏิมา
ในรูปแบบข้างต้นสร้างในช่วงระยะเวลาเดียวกันยังแสดงภาพพระสมณโคดม ฉลองพระองค์แบบพระ
จักรพรรดิราช ในปางโปรดพญาชมภูบดีอีกด้วย (สมเกียรติ ๒๕๔๐, ๑๕๑, ๑๗๖)
พระประธานวัดชิโนรสาราม (รูปที่ ๕.๑๕๙) น่าจะสร้างขึ้นในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะว่าพุทธลักษณะสอดคล้องกับพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในรัชกาลนี้ทุก
ประการ นอกจากนั้ น แล้ ว พระอารามแห่ ง นี้
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิต-
ชิโนรส ซึ่งพระนามเดิมคือ พระองค์เจ้าวาสุกรี
พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า-
จุฬาโลก เป็นผู้สร้าง แต่สิ้นพระชนม์ก่อนที่จะ
แล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และตกแต่งใหม่
เพิ่ ม เติ ม โดยปั้ น หรื อ เขี ย นรู ป นาคไว้ ทั่ ว พระ
อุโบสถเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพระนามเดิม
(ศิ ล ปากร ๒๕๒๕ ก, ๑๕๗) ส่ ว นยอดและ
ปลายเรือนแก้วเป็นนาคห้าเศียร เป็นต้น
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๗๗
ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑ / ค.ศ. 1851 – 1868) จะ
ไม่ทรงโปรดพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย เพราะพระพุทธรูปที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น
นั้น ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปที่พระองค์ทรงคิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง เช่นประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ
(ดูรูปที่ ๕.๒๘ – ๕.๓๐) หรือประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ (ดูรูปที่ ๓.๓๒) แต่ก็โปรดเกล้าฯ ให้หล่อ
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย เช่นพระสัมพุทธโสมนัสวัฒนนาถบพิต พระประธานวัด
โสมนัสวิหาร (รูปที่ ๕.๑๖๐) ซึ่งก็เป็นพระพุทธรูปแบบพระราชนิยมดังเช่นองค์อื่นๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ – ๒๔๕๓ / ค.ศ. 1868 – 1910) ทรงพระ
ดำเนินตามพระยุคลบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิราช โดยทรงสร้างพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปาง
สมาธิ (ดูรูปที่ ๕.๓๐) และพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยอีกด้วย เช่นพระประธานในพระ
อุโบสถวัดปรมัยยิกาวาส เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (รูปที่ ๕.๑๖๑) ซึ่งเมื่อทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระ
อารามแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ (ค.ศ. 1875) เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ พระอภิบาล พระเจ้าบรม-
มหัยยิกาเธอ สมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ทรงพอกปูนปั้นพระประธานองค์เดิมให้แลดูงามกว่าเก่า (น. ณ ปากน้ำ
๒๕๔๖, ๘๖) พระพุทธรูปองค์นี้ไม่มีพระเมาลี และครองจีวรแบบพระภิกษุในคณะธรรมยุติกนิกาย
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๗๙
รูปที่ ๕.๑๖๓ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ
รูปที่ ๕.๑๖๔ พระเจ้าอินแปงจำลอง
ปางมารวิชัย
สร้างปี พ.ศ. ๒๕๔๗ (ค.ศ. 2004)
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๗๓ (ค.ศ. 1930)
ก่ออิฐถือปูน
ก่ออิฐถือปูน
หน้าตักกว้าง ๒.๘๕ เซนติเมตร
วัดท้องลับแล
สูง ๒.๗๐ เมตร
อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
วัดบ้านตำแย
อำเภอเมืองฯ จังหวัดอุบลราชธานี
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๘๗
(๒) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
แต่ในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 17) พระสมณโคดมจับด้านหลัง
ของตาลปัตรด้วยพระหัตถ์ขวา (รูปที่ ๕.๑๗๓) โดยมีนิ้วพระหัตถ์โผล่ออกมาทางด้านหน้า ส่วนตาลปัตร
นั้นยังเป็นพัดด้ามจิ๋วเช่นเดิม (Boisselier 1975, 169) ส่วนพระโพธิสัตว์สลักลายเส้นบนแผ่นศิลาเหนือ
อุโมงค์บันไดมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย ที่ปรากฏในภาพเรื่องกัณฑินชาดก (ประชุมศิลาจารึก เล่ม ๕
๒๕๑๔, ๑๙ – ๒๐) และมตกภัตตชาดก (เรื่องเดียวกัน, ๓๘ – ๔๐) ก็ทรงถือตาลปัตรในลักษณะเดียวกัน
ซึ่งสนับสนุนข้อสันนิษฐานว่า ภาพสลักลายเส้นเรื่องชาดกเหล่านี้อาจจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษ
ที่ ๒๓ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 17) แทนครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 14)
ดังที่เชื่อกันในปัจจุบัน (ศักดิ์ชัย ๒๕๔๕, ๙๘)
ในช่วง พ.ศ. ๒๒๓๑ (ค.ศ. 1688) นายนิโกลาส์ แชรแวส ชาวฝรั่งเศส เขียนหนังสือเรื่อง
ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม จากประสบการณ์ที่เขาได้พำนักอยู่ใน
ประเทศสยามระหว่างปี พ.ศ. ๒๒๒๖ – ๒๒๓๐ (ค.ศ. 1683 – 1687) ได้เล่าที่มาของการใช้ตาลปัตรว่า
โดยเหตุที่การอุปสมบทบังคับบุคคลให้รักษาไว้ซึ่งความสำรวมในกามฉันท์ จึงได้
กำหนดไว้ว่าเมื่อจะไปไหนมาไหน จะต้องถือเครื่องป้องกันหน้าทำด้วยใบลาน
ติดมือไปด้วยเสมอ เพื่อว่าเมื่อประสบสตรีเพศเข้าแล้ว จะมิพึงให้บังเกิดอารมณ์
อันเป็นมลทินแก่พระศาสนา (นิโกลาส์ แชรแวส ๒๕๐๖, ๑๗๐)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๘๙
ในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มีการสร้างพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร
แต่พระเศียรไม่มีพระเมาลีและพระรัศมี ครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับทบเป็นแถบยาวจรดพระนาภี
ซึ่งเรียกกันว่าพระศรีอาริยเมตไตรย ดังเช่นองค์ที่วัดไลย์ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี (รูปที่ ๕.๑๗๖)
แต่ตาลปัตรได้อันตรธานหายไป เหตุที่เรียกว่าพระศรีอาริยเมตไตรย ก็เพราะว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์
ดังนั้นจึงไม่มีพระเมาลีและพระรัศมี ประทับสมาธิอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต จนกว่าจะถึงเวลา จึงจะเสด็จลง
มาจุติในโลกมนุษย์ พระศรีอาริยเมตไตรยองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้
พระวิหาร (ทศพล ๒๕๔๕, ๒๖๙)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๙๑
หมวด ฉ.
ปางมารวิชัย นาคปรก
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก เป็นที่นิยมแพร่หลายในช่วงที่คณะ
กัมโพชสงฆ์ปักขะรุ่งเรือง คือปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ – กลาง ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 –
ต้น 14) แต่เมื่อชาวไทยรับนิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร จากลังกา เข้ามาเป็นศาสนาหลักในช่วงกลาง
พุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14) การสร้างพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
นาคปรก ก็สิ้นสุดลง
๙. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก
๙.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก สมัยกัมโพช
พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก เป็นที่นิยมมากในสมัยกัมโพช เช่น
พระพุทธปฏิมา ได้จากวัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (รูปที่ ๕.๑๗๘) มีจารึก และปีนักษัตร
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ปรากฏปีนักษัตรในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ และอาจจะสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๒๒ หรือ
๑๘๓๔ (ค.ศ. 1279 หรือ 1291) (de Casparis 1967, 34, 38) และอีกองค์หนึ่งไม่ทราบที่มา (รูปที่
๕.๑๗๙) ซึ่งแสดงให้เห็นความเรียบง่ายของพระสมณโคดมประทับบนขนดนาคใต้พังพานของพญานาค
มุจลินท์ ทั้งนี้เพราะพระสมณโคดมนาคปรกเข้ามาแทนที่รูปพระวัชรสัตว์พุทธะ หรือพระปฐมพุทธเจ้า
ในลัทธิวัชรยานของกัมพูชา ซึ่งแสดงภาพเป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิทรงเครื่อง
(ดูรูปที่ ๔.๑๘)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๙๓
หมวด ช.
ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง
๑๐. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง
๑๐.๑ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง สมัยกัมโพช
พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง ปรากฏขึ้นครั้งแรกในคณะกัมโพช
สงฆ์ปักขะ โดยดัดแปลงมาจากพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย สวมอุณหิสห้ายอด
ของอินเดียที่สร้างขึ้นในราชวงศ์ปาละ – เสนะ เช่นองค์ที่ได้จากกุรกิหาร (Kurkihar) ในรัฐพิหาร (ดูรูป
ที่ ๖.๓๖) ซึ่งอาจจะสร้างขึ้นในรัชกาลของพระเจ้าวิครหปาละที่ ๓ (พ.ศ. ๑๕๘๔ – ๑๖๑๐ / ค.ศ. 1041 –
1067) โดยเปลี่ยนจากประทับขัดสมาธิเพชร มาเป็นขัดสมาธิราบ และเปลี่ยนฐานชั้นบนจากฐานบัวคว่ำ
บัวหงาย เป็นฐานหน้ากระดานลูกแก้วอกไก่ รูปวงโค้งสามหยัก เช่น พระพุทธปฏิมาในพิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติ พระนคร (รูปที่ ๕.๑๘๑) แต่ยังคงรักษาลักษณะเด่นของพระพุทธรูปแบบปาละ – เสนะ เช่น
อุณหิสห้ายอด มีกระจังรูปหยดน้ำสำหรับฝังอัญมณี ศิรจักรรูปดอกบัวบาน และประภาวลีรูปวงโค้ง
รวมทั้งฐานชั้นล่างเป็นหน้ากระดานเพิ่มมุมอีกด้วย
ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้รับกับค่านิยมของท้องถิ่นมาก
ขึ้น อันเห็นได้จากพระพุทธปฏิมาพบที่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี (รูปที่
๕.๑๘๒) เช่ น รู ป แบบของอุ ณ หิ ส ห้ า ยอด ซึ่ ง แต่ เ ดิ ม ถู ก ใช้ เ ป็ น
สัญลักษณ์ของพระชินพุทธะห้าพระองค์ในลัทธิวัชรยาน เปลี่ยน
เป็นอุณหิสหลายยอดหรือเทริด ดัดแปลงลวดลายของกรอง
ศอ และยังเพิ่มชายจีวรที่พับทบเป็นแผ่นยาวจรดพระนาภี
เพิ่ ม ซุ้ ม หยั ก นาคเบื อ นที่ ป ลายเป็ น ตั ว พนั ส บดี (ธนิ ต
๒๕๐๙, ๑๗ – ๑๙) และลายฉลุภาพกองทัพมาร ที่หน้า
รูปที่ ๕.๑๘๑ พระสมณโคดม ทรงอุณหิสห้ายอด
กระดานของฐานเหลี่ยมเพิ่มมุม ซึ่งตั้งอยู่บนชนวนอีกต่อ
ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๘
หนึ่ง เหนือประภามณฑลเป็นต้นโพธิ์รูปสามเหลี่ยม มี
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 13)
ก้านบัวรองรับพระพุทธะสามพระองค์ ประทับขัดสมาธิ
สัมฤทธิ์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ราบ ปางมารวิชัย ซึ่งน่าจะได้แก่พระอดีตพุทธะสาม
พระองค์ อันได้แก่พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระ
กัสสปะ ส่วนพระพุทธปฏิมาทรงเทริดนั้นน่าจะได้แก่พระ
สมณโคดม ในความเชื่อของคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๙๕
๑๐.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง ล้านนา
(๑) ช่วงก่อตั้งอาณาจักร พ.ศ.๑๘๓๙ – ๑๘๙๘ (ค.ศ. 1296 – 1355)
พระพุทธปฏิมาดุนทองคำประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงอุณหิสที่ได้รับการดัดแปลงมา
จากอุณหิสห้ายอด บรรจุอยู่ในแผ่นอิฐสำหรับวางฤกษ์พบที่วัดกานโถม (ปัจจุบันคือวัดช้างค้ำ) อำเภอ
สารภี จังหวัดเชียงใหม่ (รูปที่ ๕.๑๘๔) มักจะพบคู่กับพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
เช่นที่พบในวัดกลางเมืองท่ากาน (กองโบราณคดี ๒๕๓๔, ๑๐ – ๑๑) ซึ่งน่าจะแสดงให้เห็นว่าองค์หลัง
นั้นได้แก่พระสมณโคดม ส่วนองค์ที่ทรงสวมอุณหิส ได้แก่พระสมณโคดมทรงอุณหิสห้ายอดที่สร้างขึ้น
ตามคติของพระพุทธรูปอินเดียในราชวงศ์ปาละ – เสนะ
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๒๙๗
พระพุทธปฏิมาในแบบที่ ๒ (รูปที่ ๕.๑๘๖) ทรงสวมศิราภรณ์ยอดบัวตูมเปลือยพระอุระ ทรงสวม
สร้อยพระศอเชื่อมกับสังวาลคล้องพระปรัศว์ขวา พระพาหุทั้งสองข้างสวมพาหุรัด พระกรเกยูร และ
ทองพระกร พระหัตถ์สวมพระธำมรงค์ ข้อพระบาทสวมทองพระบาท ประทับเหนือเกสรฐานบัวหงาย
รองรับด้วยฐานเขียงหกเหลี่ยม พระพุทธรูปแบบที่ ๒ นี้ องค์หนึ่งมีจารึกว่า “ศักราชได้ ๘๗๑ (พ.ศ. ๒๐๕๒ /
ค.ศ. 1509) พ่อแก้วสร้างแล” ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพญาแก้วครองราชย์ในนครเชียงใหม่ (ศิลปากร
๒๕๓๐ ก, ๑๘๔) (รู ป ที่ ๕.๑๘๗) พระพุ ท ธปฏิ ม าองค์ นี้ ทรงสวมศิ ร าภรณ์ ย อดแหลมคล้ า ยเจดี ย์
ทรงเปลือยพระอุระ สวมสังวาลไขว้ และประทับบนฐานเขียงทรงสูง
พระพุทธปฏิมาแบบที่ ๒ ซึ่งเป็นแบบที่มิได้ครองจีวร แต่ทรงฉลองพระองค์อย่างพระมหากษัตริย์
อาจจะเป็นพระสมณโคดมทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าราชาธิราช ฉลองพระองค์แบบพระจักรพรรดิราช
เพื่อทรงโปรดพญาชมพูบดี ก็เป็นได้
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๓๐๓
ไม่ มี ข้ อ สงสั ย ว่ า ในช่ ว งรั ช สมั ย สมเด็ จ พระเจ้ า บรมโกศ พระพุ ท ธปฏิ ม าประทั บ ขั ด สมาธิ ร าบ
ปางมารวิชัยทรงเครื่องใหญ่ ได้แก่พระสมณโคดมปางโปรดพญาชมพูบดี อันเห็นได้จากจดหมายของ
อัครมหาเสนาบดีไทยมีไปถึงอัครมหาเสนาบดีลังกาปี พ.ศ. ๒๒๙๙ (ค.ศ. 1756) สืบเนื่องมาจากเมื่อครั้ง
ราชทูตลังกานำภิกษุไทย ที่สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงให้ไปประดิษฐานสยามนิกายในประเทศลังกา
เดินทางกลับเข้ามาในปี พ.ศ. ๒๒๙๘ (ค.ศ. 1755) สมเด็จพระเจ้าบรมโกศโปรดให้ไปชมพระอารามหลวง
ทูตลังกาเห็นพระพุทธรูปทรงเครื่องในวัดพระศรีสรรเพชญ์ จึงถามเจ้าพนักงานว่าเหตุไฉนในประเทศไทย
จึงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องคล้ายเทวรูป ความทราบถึงสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ จึงรับสั่งให้เสนาบดี
ชี้แจงไปในจดหมายดังที่ได้กล่าวมาแล้ว (ท้าวมหาชมพู ๒๔๖๔, ๒) ความว่า
๓๘ ทูตทั้ง ๓ นายได้เห็นพระพุทธพิมพ์สุวรรณมัย เนื้อนิกข ทรงอุณหิส
สวมไว้ ประดับนพรัตน... หากมีใจสงสัยว่า พระพุทธพิมพ์ประดับนพรัตนอย่าง
นี้ ในลังกาไม่เคยมีเลย เพราะเหตุนั้น พระพุทธพิมพ์ ประดับงามอย่างนี้ อย่า
พากันพูดว่า เหมือนเทวรูปดังนี้เลย
๓๙ พระเจ้าราชธิราชผู้อุดมนั้น หาทรงทำพระราชกิจอันเป็นพระกุศล
ยวดยิ่ง ให้ผิดคลองพระพุทธพจน์ไม่ พระพุทธพิมพ์ที่ทรงมงกุฎเช่นนี้ ได้มี
ปรากฏในมหาชมพูบดีวัตถุ เหตุนั้น ราชบุรุษผู้เล่าเรียนนิทานนั้น ชัดเจนบอกเล่า
มีมาอย่างนี้แท้จริง
๔๐ เราได้ส่งชมพูบดีวัตถุมาให้ท่าน อัครมหาเสนาบดีลังกา เพื่อให้ท่าน
ได้สั่งสอนพราหมณ์ทั้งหลายในเกาะลังกา แล้วขอให้ทูลเรื่องนั้นแก่พระเจ้า
อุดมมหาราชลังกาทวีปด้วย... ขอให้พระเจ้ากรุงลังกาทรงสร้างพระพุทธรูป
ทรงเครื่อง เหมือนอย่างกรุงเทพมหานคร สร้างประดับเนาวรัตนล้วนเถิด
พระราชกุศลจะได้เจริญยิ่งฯ ในกรุงศิริวัฒนบุรีตลอดแว่นแคว้นในลังกาทวีป
(ดำรงราชานุภาพ ๒๕๐๓, ๒๔๙ – ๒๕๑)
๑๐.๔ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง สมัยรัตนโกสินทร์
การสร้างพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องแบบพระจักรพรรดิราช ในปางโปรดพญาชมพูบดี ยังเป็นที่
นิยมสืบต่อกันมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น พระประธานในพระอุโบสถวัดนางนอง และวัดปทุมคงคา
กรุงเทพมหานคร
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔ / ค.ศ. 1824 – 1851) ได้
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่องแบบ
พระจักรพรรดิราช เป็นพระประธานวัดนางนอง (รูปที่ ๕.๑๙๕) และทรงบูรณปฏิสังขรณ์ พระอารามขึ้น
ใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ - ๒๓๘๔ (ค.ศ. 1833 - 1841) (สุจิตต์ ๒๕๓๐, ๒๑๖) เครื่องทรงของพระพุทธปฏิมา
องค์ นี้ แ ยกถอดได้ ทุ ก ชิ้ น และน่ า จะจำลองแบบมาจากเครื่ อ งทรงฤดู ร้ อ น ซึ่ ง พระบาทสมเด็ จ พระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสร้างถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แต่ได้ถวายสังวาล ตาบข้าง และ
ทองพระบาทเพิ่มขึ้น ต่อมาจึงได้ถวายพระนามว่า “พระพุทธมหาจักรพรรดิ์” นอกจากนั้นแล้วจิตรกรรม
ฝาผนังก็ยังเล่าเรื่องจาก ชมพูบดีสูตร และภาพลายรดน้ำที่บานหน้าต่างและประตู แสดงภาพสัญลักษณ์
ที่เกี่ยวเนื่องกับพระเจ้าจักรพรรดิราชทั้งสิ้น (ศานติ ๒๕๔๙, ๔๔)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๓๐๕
หมวด ซ.
ปางพระศรีอาริยเมตไตรย
๑๑. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางพระศรีอาริยเมตไตรย
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางพระศรีอาริยเมตไตรย สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบทรงเครื่องอย่างพระจักรพรรดิราช พระหัตถ์ขวาวางที่พระชานุขวา
พระหัตถ์ซ้ายวางที่พระชานุซ้าย เช่นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่หน้าพระอุโบสถวัดชุมพลนิกายาราม
อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๕.๑๙๗) มีจารึกที่ฐานว่า “พระศรีอริยเมตไตร”
จึงไม่มีข้อสงสัยว่าจะเป็นพระพุทธะพระองค์ใด อย่างไรก็ตาม พระศรีอาริยเมตไตรยในท่าประทับ
ขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองข้างปรกพระชานุทั้งสองข้างไม่เคยมีมาก่อน ยกเว้นแต่ในกรณีของ
พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงเลือกค้นในคัมภีร์ พระอิริยาบถของพระพุทธเจ้าซึ่งปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ
ได้ ๓๗ ปาง (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๒๓๖ – ๒๓๙) พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ พระหัตถ์
ทั้งสองข้างปรกพระชานุ มีจารึกที่ฐานว่า “สำแดงชราธรรม” ปัจจุบันเรียกว่า “ปางพิจารณาชราธรรม”
(ดูรูปที่ ๓.๙ (๒)) และยิ่งทรงฉลองพระองค์แบบพระมหากษัตริย์ไทย เช่นพระมหามงกุฎ สนับเพลา
รัดพระองค์ สร้อยพระศอ พระมหาสังวาล ทับทรวง พาหุรัดพร้อมกนกข้าง ทองพระกร ทองพระบาท
และพระธำมรงค์ทุกนิ้วพระหัตถ์ ยิ่งไม่มีที่ไหนเหมือน จึงเป็นพระพุทธรูปองค์แรกของปางนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า รูปพระศรีอาริยเมตไตรยในรูปแบบเดิม คือประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ
ทรงเครื่อง (ดูรูปที่ ๕.๔๕ – ๕.๔๖) ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับกรุงศรีอยุธยา และเมื่อมีการสร้างรูปพระศรี-
อาริยเมตไตรยขึ้นมาใหม่ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพลเทพ
(หลง) เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๔, ๘๒) จึงประดิษฐ์ปางใหม่ขึ้น
ซึ่งไม่เคยปรากฏในแบบแผนเดิม
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
๓๑๓
พระพุทธสิหิงค์จำลอง (รูปที่ ๖.๘ ข.)
วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที่
๖
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
หมวด ก.
ปางมารวิชัย
จากจำนวนของพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในประเทศไทยทั้งหมดนั้น พระพุทธปฏิมา
ประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย จัดได้ว่ามีจำนวนมากที่สุดรองลงมาจากพระพุทธปฏิมา
ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย และในบรรดาพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
ปางมารวิชัย ที่มีความสำคัญที่สุดคือ พระพุทธสิหิงค์ ที่สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๗๓
(ค.ศ. 1430) เมื่อนิกายสีหฬภิกขุได้เข้ามาเผยแผ่ที่เชียงใหม่ จนถึงช่วงเสียกรุงศรีอยุธยา
ครั้งที่สองในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1767) ถือได้ว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์จำลองทุกพระองค์
๑. พระพุทธสิหิงค์
หากจะกล่าวถึงพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงและมีผู้เคารพศรัทธามากที่สุดในประเทศไทย พระพุทธสิหิงค์
ก็คงจะอยู่ในลำดับต้นๆ ของกลุ่มพระพุทธรูปที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งตลอดระยะเวลาตั้งแต่อดีตจนถึง
ปัจุบัน เรื่องราวของพระพุทธสิหิงค์ได้ปรากฏอยู่หน้าประวัติศาสตร์ไทยเรื่อยมา นับได้ว่าเป็นพระพุทธรูป
คู่บ้านคู่เมืองของชาติไทยองค์หนึ่ง
ในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งรจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระ ภิกษุในคณะอรัญวาสี ฝ่ายวัด
ป่าแดง หรือ “สีหฬภิกขุ” ได้กล่าวถึงพระพุทธปฏิมาที่มีพุทธลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ได้แก่
พระสีหฬปฏิมา หรือพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งจากจำนวนของพระพุทธสิหิงค์จำลองที่มีอยู่ในประเทศไทย อาจ
จะกล่าวได้ว่าเป็นหมวดพระพุทธปฏิมาที่มีการจำลองกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดหมวดหนึ่ง
พระพุทธสิหิงค์มิได้เป็นรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าที่จำลองขึ้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพ
อยู่ แต่เป็นรูปที่ถ่ายแบบมาจากหุ่นขี้ผึ้ง ซึ่งพระยานาคราชเนรมิตขึ้น เพื่อตอบสนองข้อสงสัยของ
พระเจ้าสีหล ว่ายังมีผู้ใดเคยเห็นพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จมาลังกาถึงสามครั้งบ้าง
ทันใดนั้น ด้วยอานุภาพของพระขีณาสพ (อรหันต์) ราชาแห่งนาค ได้แปลงรูป
มาเป็นคน แล้วเนรมิตตนเป็นรูปพระพุทธ... พระราชาตรัสสั่งให้หาช่างปฏิมากร
รมชั้นอาจารย์มา แล้วโปรดเอาขี้ผึ้งปั้นถ่ายแบบพระพุทธมีอาการดั่งที่นาคราช
เนรมิต และให้ทำแม่พิมพ์ถ่ายแบบพระพุทธนั้นด้วย แล้วให้เททองซึ่งผสมด้วย
ดีบุก ทองคำ และเงิน อันหลอมละลายคว้างลงในแม่พิมพ์นั้น พระพุทธปฏิมา
นั้นเมื่อขัดและชักเงาเสร็จแล้วงามเปล่งปลั่งเหมือนองค์พระพุทธยังทรงพระชนม์
อยู่ (รัตนปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๐๐)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๑๕
ปัจจุบันได้พบพระพุทธปฏิมาที่มีจารึกระบุว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์จำลองแล้วสี่องค์ องค์ที่มีอายุ
เวลาเก่าแก่ที่สุด คือ พ.ศ. ๒๐๑๓ (ค.ศ. 1470) อยู่ที่วัดพระเจ้าเม็งราย อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่
(ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๕๗ – ๕๙) (รูปที่ ๖.๑) องค์หนึ่งอยู่ในศาลาบัณณรศภาค วัดเบญจมบพิตรดุสิต-
วนาราม มีจารึก พ.ศ. ๒๐๕๑ (ค.ศ. 1508) (Griswold 1957, Pl. XXIX) (รูปที่ ๖.๒) ซึ่งคงจะเป็น ๑ ใน
บรรดาพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสาะ
แสวงหามาประดิษฐานในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตาม “พระราชดำหริว่าพระพุทธรูปที่จะตั้งในวัด
นั้นจะหาพระหล่อของโบราณแบบต่างๆ มาตั้ง ทำนองหย่างเมื่อพระบาทสมเด็ดพระพุทธยอดฟ้า-
จุลาโลก ซงส้างวัดพระเชตุพนฯ” (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๘๗, ๔) และเมื่อมิได้ขนาดที่จะตั้งในพระระเบียง
พระอุโบสถจึงอัญเชิญมาประดิษฐานในศาลาบัณณรศภาค อีกองค์หนึ่งพบที่อำเภอฝาง จังหวัด
เชียงใหม่ มีจารึกปี พ.ศ. ๒๑๑๒ (ค.ศ. 1569) (Penth 1976, 154 – 157) และองค์ที่มีอายุน้อยที่สุด
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๒ (ค.ศ. 1689) อยู่ที่วัดโคกขาม อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร (รูปที่ ๖.๓)
พระพุทธสิหิงค์ที่มีจารึกระบุว่าเป็นพระสิหิงค์จำลองทั้งหมดนี้มีพุทธลักษณะร่วมกัน คือ
มีลักษณะพระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมหรือลูกแก้ว ขมวดพระเกศาใหญ่ พระ
พักตร์กลม อมยิ้ม พระหนุ (คาง) เป็นปม พระองค์อวบอ้วน พระอุระนูน ชาย
จีวรเหนือพระอังสาซ้ายสั้น ปลายเป็นลายเขี้ยวตะขาบ ชอบทำปางมารวิชัย
ขัดสมาธิเพชร แลเห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง ฐานมีกลีบบัวคว่ำบัวหงายและ
เกสรบัวประกอบหล่อด้วยสัมฤทธิ์ (สุภัทรดิศ ๒๕๓๘, ๒๒)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๑๙
ส่วนพระพุทธสิหิงค์จำลองในสมัยพระเจ้ายอดเชียงราย คงดำรงไว้ซึ่งพุทธลักษณะจากรัชกาลที่
แล้ว แต่พระพักตร์จะเหลี่ยมกว่า นอกจากนั้นแล้วฐานยังเป็นฐานเขียงชั้นเดียว (รูปที่ ๖.๖)
ในสมัยพญาแก้วนิยมทำฐานพระพุทธปฏิมาเป็นฐานบัวหงายรองรับด้วยฐานเขียงหกเหลี่ยม
ฉลุลายลูกฟัก ตั้งอยู่บนชนวนอีกต่อหนึ่ง (รูปที่ ๖.๗)
พระพุทธสิหิงค์จำลองที่สร้างขึ้นในล้านนา นิยมจารคาถาเป็นภาษาบาลีที่ฐานว่า
บฐมํสกลกขณเมกบทํ ทุติยาทิบทสสนิทสสนเตา
สมนีทุนิมาสมทู สนิทู วิภเชกมเตาบฐเมนวินา
บทอันหนึ่งเป็นปฐม เป็นลักษณะแห่งตน นักปราชญ์ผู้ประกอบด้วยปัญญา เว้น
ไว้ซึ่งบทอันเป็นปฐมแล้วพึงจำแนก (อรรถแห่งจตุราริยสัจ) โดยลำดับ (แห่ง
อักษร ๑๒ ตัวนี้) คือ ส.ม.นิ. ทุ.นิ.ม. ส.ม.ท. ส.นิ.ท. เพราะแสดงซึ่งบทมีบทที่สอง
เป็นอาทิ (ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๕๕ – ๕๖)
แม้ว่าคาถาดังกล่าวจะรู้จักกันในชื่อของ “คาถาพระพุทธสิหิงค์” แต่ความหมายของคาถาบทนี้คือ
หัวใจของพุทธศาสนา คือ อริยสัจสี่ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งคาถาบทนี้จะใช้คำย่อ “ทุ – ส –
นิ – ม” มาเขียนเป็นคำฉันท์ (สุรสวัสดิ์ และ ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๕๐, ๖๔ – ๖๕) ดังนั้นจึงมิได้ปรากฏอยู่ที่
เฉพาะฐานพระพุทธสิหิงค์จำลองเท่านั้น แต่ปรากฏอยู่ที่ฐานพระพุทธปฏิมาปางอุ้มบาตร และพระพุทธปฏิมา
ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยอีกด้วย (ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, รูปที่ ๑, ๕, ๖)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๑
รูปที่ ๖.๙ พระพุทธสิหิงค์จำลอง
รูปที่ ๖.๑๐ พระพุทธนรสีห์
ได้จากวิหารลายคำ วัดพระสิงห์
ได้จากพระวิหารหลวง วัดพระสิงห์
อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑
ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 – ต้น 16)
(ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 15)
สัมฤทธิ์ สูง ๙๓ เซนติเมตร
สัมฤทธิ์ สูง ๑.๑๔ เมตร
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๕
(๒) ช่วงพม่าปกครอง
พ.ศ. ๒๑๐๑ – ๒๓๑๗ (ค.ศ. 1558 – 1774)
แม้ว่าพระพุทธปฏิมาที่สังรามจ่าบ้าน แม่ทัพพม่าที่พระเจ้าบุเรงนองแต่งตั้งให้ปกครองล้านนา เป็น
ผู้สร้างในปี พ.ศ. ๒๑๐๘ (ค.ศ. 1565) โดย “เก็บรวบรวมพระพุทธรูปที่เคยอยู่กระจัดกระจายและชำรุด
แตกหักมารวม (หลอมและหล่อใหม่) เพื่อมิให้มีความเสียหายต่อไปอีก และเพื่อ (หล่อ) ให้เป็นพระพุทธรูป
(ที่สมบูรณ์) ดังเดิม” (ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๑๐๑) โดยพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวมีพระนามว่า “พระพุทธรูป
เมืองรายเจ้า” ตามจารึกที่ฐานขององค์พระ (รูปที่ ๖.๑๒) เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้ามังราย ผู้สร้าง
เมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ (ค.ศ. 1296) และเพื่อมิให้พระวิญญาณของพระเจ้ามังรายกริ้วตนและ
ทัพพม่าที่มาตีเมืองเชียงใหม่ พร้อมกันนั้น ผู้ที่บูชาพระพุทธรูปองค์นี้ก็ถือได้ว่าบูชาพระเจ้ามังรายในเวลา
เดียวกันด้วย (เรื่องเดียวกัน, ๑๐๑ – ๑๐๒) แต่โดยทั่วไปแล้ว พุทธลักษณะของ “พระพุทธรูปเมืองรายเจ้า”
ก็คือพระพุทธสิหิงค์จำลองนั่นเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพม่าที่เข้ามาปกครองล้านนามีเจตนาที่จะสืบทอด
จารีตประเพณีและศิลปะอันงดงามของล้านนา
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๒๕
๑.๓ พระพุทธสิหิงค์จำลอง สมัยสุโขทัย
ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา
พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463)
พระพุทธสิหิงค์จำลองของอาณาจักรสุโขทัยที่ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของพระปฏิมาหมวดพระพุทธสิหิงค์
ได้แก่ องค์ที่รู้จักกันในนาม “พระพุทธรูปแม่ศรีมหาตา” ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระตำหนักวาสุกรี
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๖.๑๔) เพราะที่ฐานมีจารึกอักษรไทยสุโขทัยว่า
พระเจ้าแม่ศรีมหาตา ขอปรารถนาเป็นผู้ชายชั่วหน้า จงข้าได้เป็นศิษย์ตนพระ
ศรีอาริย์โพธิสัตว์เจ้า แต่ทานข้าทั้งผองแห่ง พระองค์เจ้าอยู่หัวทั้งสอง กับแม่
พระพิลก แลแม่ศรี ให้เป็นข้าถือจังหันพระเจ้า สิ้นเบี้ย ๔๔๕๐๐ (จารึกสมัย
สุโขทัย ๒๕๒๖, ๑๙๘)
สันนิษฐานว่า ผู้สร้างพระพุทธปฏิมาพระเจ้าแม่ศรีมหาตา ปรารถนาจะเกิดเป็นผู้ชายในชาติภพ
ต่อไปและขอได้เป็นศิษย์ของพระศรีอาริยเมตไตรย หรือพระอนาคตพุทธะ ผู้นี้น่าจะเป็นพระชนนีของพระ
มหาธรรมราชาที่ ๔ ผู้ครองเมืองสุโขทัย (พ.ศ. ๑๙๖๒ – ๑๙๘๑ / ค.ศ. 1419 – 1438) โดย “ศรีมหาตา”
อาจมาจากคำว่า ศรีธรรมราชมาดา และคำว่า “พระองค์เจ้าอยู่หัวทั้งสอง” อาจจะหมายถึง พระมหา-
ธรรมราชาที่ ๔ กับพระเจ้าสามฝั่งแกน ผู้ครองล้านนา (พ.ศ. ๑๙๔๕ – ๑๙๘๔ / ค.ศ. 1402 – 1441) ซึ่ง
เป็นพระราชบิดาของพระพิลก ซึ่งก็คือ พระเจ้าติโลกราชก่อนขึ้นเสวยราชสมบัตินั่นเอง และแม่พระพิลก
ก็คือพระมเหสีของพระเจ้าสามฝั่งแกน (พิเศษ ๒๕๔๒, ๑๑๖ – ๑๑๙) ซึ่งหากข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง
พระพุทธสิหิงค์จำลององค์นี้ก็น่าจะหล่อขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๑๙๖๗ – ๑๙๘๑ (ค.ศ. 1424 – 1438) เมื่อพระ
มหาธรรมราชาที่ ๔ ครองเมืองพิษณุโลก ซึ่งก็สอดคล้องกับรูปแบบของตัวอักษร ซึ่งกำหนดอายุอยู่ใน
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 – กลาง 15)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๒๙
- แบบสุโขทัย
สืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งอาณาจักรอยุธยาได้รวบรวมเมืองสำคัญในภาคกลางตอนเหนือไว้ทั้งหมด
ภายใต้การปกครองที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์
ศตวรรษที่ 15) หัวเมืองสำคัญในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ อย่างเช่นเมืองพิษณุโลก เมือง
สวรรคโลก และเมืองกำแพงเพชร จึงมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง พระพุทธสิหิงค์ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงระยะ
เวลานี้ ยังคงรักษาพุทธลักษณะของท้องถิ่นไว้ ก่อนที่อยุธยาจะเข้ามาครองครอง
ในกรณี ข องพระพุ ท ธสิ หิ ง ค์ จ ำลองที่ ส ร้ า งขึ้ น ภายใต้ ก ารปกครองของอยุ ธ ยา แต่ ยั ง จำลอง
พุทธลักษณะของพระพุทธสิหิงค์แบบสุโขทัย ซึ่งมีพุทธลักษณะร่วมกันคือ พระเมาลีทรงกรวยเตี้ย รัศมี
เป็นลูกแก้ว พระเพลากว้าง รองรับด้วยฐานเขียง ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์จำลอง ขุดได้ที่วัดสระศรี
อำเภอเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย (รูปที่ ๖.๑๘) และ “หลวงพ่อเพชร” ของวัดท่าถนน อำเภอเมืองฯ
จังหวัดอุตรดิตถ์ (รูปที่ ๖.๑๙) ซึ่งมีจารึกไว้ที่ฐานพระพุทธรูปว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ (ค.ศ. 1900) และหลวง
นฤบาล (จุพันยา) อัญเชิญกลับไปไว้วัดท่าถนนในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910) (หวน ๒๕๒๑, ๗๑) อย่างไร
ก็ดี ข้อมูลที่จารึกมิได้กล่าวไว้คือ เจ้าอาวาสวัดท่าถนน ผู้เป็นเจ้าของพระพุทธรูป มีความเสียใจอย่างมาก
ที่ทางราชการเอาพระพุทธรูปของท่านไป จึงปฏิญาณตนว่าจะไม่ขออยู่วัด จะเที่ยวธุดงค์ตามป่าช้า
ของวัดต่างๆ จนมรณภาพ (ศรัณย์ ๒๕๔๒, ๓๓) พระพุทธรูปที่กล่าวถึงข้างต้นทั้งสององค์นี้อาจจะสร้าง
ขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๓๑
เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาองค์อื่น ๆ ของอยุธยาที่กล่าวมาแล้วข้างต้น พระพุทธสิหิงค์องค์นี้มี
แก้วฝังไว้ในพระเนตร ซึ่งสืบเนื่องมาจากความเชื่อของชาวอยุธยาว่า เมื่อพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานอยู่
ที่เมืองปาตลีบุตรนั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ด้วยอานุภาพของแก้วมณีที่ฝังอยู่ในพระเนตร แต่เมื่อมีคน
ควักแก้วมณีที่ฝังอยู่ในพระเนตรไป พระพุทธสิหิงค์จึงเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ (คำให้การชาวกรุงเก่า
๒๔๕๗, ๑๑๘ – ๑๑๙) ดังนั้นพระพุทธสิหิงค์ของอยุธยาจึงมีแก้วฝังในพระเนตร เพื่อให้สอดคล้องกับ
ความเชื่อดังกล่าว
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 – กลาง 18) พระพุทธสิหิงค์จำลองมี
พระเศียรเลียนแบบพระพุทธรูปอยุธยา แต่พระวรกายยังสืบทอดพุทธลักษณะของ “พระขนมต้ม” เช่น
“หลวงพ่อเพชร” วัดท่าหลวง อำเภอเมืองฯ จังหวัดพิจิตร (รูปที่ ๖.๒๒) ส่วนพระพุทธสิหิงค์จำลองใน
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รูปที่ ๖.๒๓) น่าจะสร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันและแสดงให้เห็น
กระแสนิ ย มของพุ ท ธศิ ล ป์ อ ยุ ธ ยาในลั ก ษณะของพระเศี ย รและฐานแข้ ง สิ ง ห์ ร องรั บ กลี บ บั ว จงกล
ถึงแม้ว่าพระวรกายจะคงไว้ซึ่งพุทธลักษณะของ “พระขนมต้ม” ก็ตาม
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๓๓
๑.๕ พระพุทธสิหิงค์จำลอง สมัยรัตนโกสินทร์
ดังที่ได้กล่าวถึงพระพุทธนรสีห์ไว้บ้างแล้ว (ดูหัวข้อ ๑.๑ หน้า ๓๒๓) เมื่อพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามแล้ว ทรงหล่อพระพุทธชินราช
จำลองมาประดิษฐานเป็นพระประธานของพระอุโบสถ จึงทรงอัญเชิญพระพุทธนรสีห์ (ดูรูปที่ ๖.๑๐) ที่
ได้มาจากวิหารหลวงวัดพระสิงห์ ซึ่งเคยเป็นพระประธานของพระอุโบสถชั่วคราว วัดเบญจมบพิตรดุสิต-
วนาราม ไปประดิษฐานไว้บนชั้นสามของพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต แล้วทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้จำลองพระพุทธนรสีห์ขึ้นใหม่ (รูปที่ ๖.๒๕) เพื่อจะนำไปประดิษฐานในศาลาการเปรียญ
ในรัชสมัยของพระองค์นั้นมณฑลพายัพเป็นแหล่งของช่างเชียงแสน มีพระพุทธรูปโบราณงามๆ มากกว่า
ที่อื่น ที่ผู้สะสมพระพุทธรูปมักจะไปแสวงหา
คนหาพระพุทธรูปมักเที่ยวเสาะหาทางนั้น นับถือกันว่าต่อเป็นพระพุทธรูปนั่ง
ขัดสมาธิ์เพชรจึงจะดี ถ้าหาได้พระขัดสมาธิ์เพชรหย่างย่อมขนาดหน้าตักไน
ระหว่าง ๖ นิ้ว จน ๑๐ นิ้วด้วยยิ่งดีขึ้น (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๘๗, ๑)
ดังนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ – ๒๔๕๓ / ค.ศ. 1868 –
1910) ความงามและขนาดของพระพุทธปฏิมา ซึ่งสอดคล้องต้องกับความต้องการของผู้เก็บสะสม
จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการแสวงหาพระพุทธรูป อีกทั้งการจำลองก็มุ่งที่จะจำลองรูปลักษณะ
ของงานช่างที่มีความแปลกและงามเป็นพิเศษ อันจะเห็นได้ว่า นับจากช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19) เป็นต้นมา แรงบันดาลใจในการสร้างพระพุทธรูปก็คือ ความแปลกและงาม
โดยสอดคล้องกับพระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่โปรดเกล้าฯ ให้จัดการ
แสดงพระพุทธรูปบูชาขึ้นในงานสมโภชพระพุทธชินราชในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) และในปีต่อๆ
มาเป็นประจำในงานประจำปีวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บอกบุญขอแรงผู้ที่มีพระพุทธรูป ตามที่ตนเห็นว่า
มีลักษณแปลกแลงามดีนั้น เชิญพระพุทธรูปมาตั้งที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
จะมีขนาดเล็กใหญ่เท่าไร ก็ตามแต่จะเชิญมาตั้งไม่มีกำหนดห้าม แต่ให้เปน
พระหล่อ จะขัดเนื้อโลหะที่หล่อฤาไม่ได้ขัดก็ตาม ที่สุดจะปิดทองที่เห็นสมควร
จะมาตั้งก็ให้มาตั้งได้ เพราะพระราชประสงค์ที่จะทรงนมัสการพระพุทธรูปมี
ลักษณพิเศษต่างๆ ยิ่งขึ้นไป (วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เล่ม ๒ ๒๕๓๘, ๑๕๐)
ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางความคิดทั้งในด้านการสร้างพระพุทธรูป และค่านิยม
ความเชื่อ ความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในสยามประเทศได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนที่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของพระพุทธรูปอยู่ ดังที่สมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้ว่า
มีคนชอบพูดกันว่าพระพุทธนรสีห์เปนพระมีอภินิหาร ให้เกิดสวัสดิมงคล อ้างว่า
ตัวฉันผู้เชิญลงมา ไม่ช้าก็ได้เลื่อนยสจากกรมหมื่นขึ้นเป็นกรมหลวง (เรื่อง
เดียวกัน, ๖)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๓๗
ในปัจจุบันพระพุทธสิหิงค์จำลอง เป็นที่รู้จักในพระนามพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนชั้นแรก หรือ
พระพุทธรูปแบบ “สิงห์ ๑” ซึ่งมีนัยว่าเป็นพระพุทธรูปแบบล้านนา จึงได้มีการจำลองขึ้นเป็นจำนวนมาก
ในจังหวัดเชียงใหม่ เช่น พระประธานวัดล้านนาญาณสังวราราม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (รูปที่
๖.๒๙) ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์
พระอุโบสถ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ (ค.ศ. 1989) และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ (ค.ศ.
1993) พระพุทธนพีสีพิงครัตน์ วัดพระธาตุดอยคำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ (รูปที่ ๖.๓๐) สร้าง
ขึ้นโดยศรัทธาของเจ้ากุลวงศ์ ณ เชียงใหม่ และออกแบบโดยชัยพันธ์ ประภาสวัต สร้างและสมโภชในปี
พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ. 1991)
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ (ค.ศ. 2004) ได้มีการสร้างพระพุทธรูปแบบ “ล้านนา” หรือ “เชียงแสนชั้นแรก”
นี้ขึ้น โดยถวายพระนามต่าง ๆ กัน เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา สมเด็จพระ
บรมราชินีนาถ อาทิ พระพุทธนวล้านตื้อ ที่บ้านสบรวก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย (รูปที่ ๖.๓๑)
รูปที่ ๖.๒๙ พระพุทธสิหิงค์จำลอง
ซึ่ ง ถึ ง แม้ ว่ า พระพุ ท ธปฏิ ม าที่ ส ร้ า งขึ้ น ทั้ ง หมดนี้ จ ะมี พ ระนาม และขนาดที่ ต่ า งกั น แต่ ทุ ก พระองค์ มี
พ.ศ. ๒๕๓๖ (ค.ศ. 1993)
พุทธลักษณะเดียวกัน นั่นคือ พุทธลักษณะของพระพุทธสิหิงค์จำลอง
สัมฤทธิ์
วัดล้านนาญาณสังวราราม
อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๓๙
๒. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ที่ไม่มีพุทธลักษณะของพระพุทธสิหิงค์จำลอง
ส่ ว นใหญ่ เ ป็ น พระพุ ท ธรู ป ที่ น ำมาจากประเทศพม่ า หรื อ ที่ ส ร้ า งขึ้ น ในสมั ย รั ต นโกสิ น ทร์ ใ นรั ช กาล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑ / ค.ศ. 1851 - 1868) ลงมาจนถึงปัจจุบัน
พระพุทธเทววิลาส ในพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๖.๓๒) เป็นพระพุทธรูป
ประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย สลักศิลา ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอัญเชิญมาจาก
พระบรมมหาราชวัง มาเป็นพระประธานพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๒ (ค.ศ. 1839)
พระพุทธรูปองค์นี้เป็นหนึ่งในพระพุทธรูปแบบพม่าหลายองค์ที่ประดิษฐานอยู่ในพระบรมมหาราชวัง
(สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๔๗๐ – ๔๗๓) ซึ่งน่าจะสลักขึ้นในสมัยราชวงศ์คองบอง ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่
๒๔ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19) เมื่อกรุงอมรปุระเป็นราชธานี นครแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการสลักหินอ่อน
สีขาวของพม่าจวบจนทุกวันนี้
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๔๑
หมวด ข.
ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร
๓. พระชัยวัฒน์ (พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย
ถือตาลปัตร)
พระชัยวัฒน์ สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย พระหัตถ์ซ้ายถือตาลปัตร เริ่มสร้างขึ้นในสมัย
รัตนโกสินทร์ โดยถือว่าเป็นพระชัยทุกพระองค์ เพราะเจตนาในการสร้างนั้นคือการนำมาซึ่งชัยชนะ เช่น
เมื่อออกศึกสงคราม ก็อัญเชิญพระชัยนำทัพไป จึงเป็นที่มาของพระชัยหลังช้างของพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ดูรูปที่ ๓.๑๘) ต่อมาเมื่อได้มีการสร้างพระชัยประจำรัชกาลขึ้น จึงมีการเพิ่ม
คำว่า “วัฒน์” ขึ้น กลายเป็น “พระชัยวัฒน์” (ดูรูปที่ ๓.๑๙ – ๓.๒๖)
พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลมีขนาดเล็ก เพราะว่ายกไปในงานพระราชพิธีต่างๆ ได้สะดวก ใน
ปัจจุบันจะอัญเชิญไปประดิษฐานพร้อมกันในพระราชพิธีฉัตรมงคล งานบำเพ็ญพระราชกุศลถวายรัชกาล
ใด ก็จะอัญเชิญพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลนั้นเป็นประธาน เช่น พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลปัจจุบันก็จะ
อัญเชิญไปในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น
พุทธลักษณะของพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลทั้ง ๘ องค์ แสดงให้เห็นพัฒนาการของพระพุทธปฏิมา
บูชาสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมได้อย่าง
ชัดเจน พระชัยวัฒน์ประจำ ๓ รัชกาลแรกสืบทอดรูปแบบพระพุทธปฏิมาสมัยอยุธยา โดยดัดแปลง
พระพักตร์ และนิ้วพระหัตถ์ รวมทั้งมีการลงยาพระรัศมี และจีวรตามพระราชนิยมให้รับกับค่านิยมร่วม
สมัย (ดูรูปที่ ๓.๑๙ – ๓.๒๑) แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ พร้อม
กับอุ้มชูคณะธรรมยุติกนิกายที่พระองค์สถาปนาขึ้น จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบพระพุทธปฏิมาให้มีพุทธลักษณะ
ที่สอดคล้องกับหลักฐานจากพระไตรปิฎกที่พระองค์ได้ทรงตรวจสอบมาแล้ว เช่น ไม่พบว่ามีการกล่าวถึง
พระเมาลี นอกจากนั้นแล้วการครองจีวรก็เลียนแบบพระภิกษุในคณะธรรมยุติกนิกายเช่นกัน (ดูรูปที่
๖.๓๓) ส่วนการปั้นพระพุทธปฏิมาให้ดูเป็นธรรมชาตินั้น เป็นผลพวงของวัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นความมี
เหตุผลและความเหมือนจริง พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลต่อมาแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชบายที่จะดำเนินรอยตามพระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ
ทุกประการ (ดูรูปที่ ๓.๒๓) พระชัยวัฒน์ของ ๒ รัชกาลต่อมาแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มีพระราชนิยมแบบตะวันตก แต่ในระยะเวลาเดียวกันก็มีพระราชสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของ
พระมหากษัตริย์สยาม โดยที่พระพักตร์เป็นพระพุทธรูปไทยแต่พระวรกายเป็นประติมากรรมแบบตะวันตก
(ดูรูปที่ ๓.๒๔ – ๓.๒๕) ส่วนพระเกศาแบบคันธาระของพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ดูรูปที่ ๓.๒๕) น่าจะได้รับมาจากพระราชนิยมของพระบรมชนกนาถ ที่โปรดพระพุทธ
รูปแบบคันธารราษฎร์ (ดูรูปที่ ๘.๑๐๐) แต่ครองจีวรแบบมหานิกาย ต่อมาในรัชกาลปัจจุบัน พระชัยวัฒน์
ประจำรัชกาลเป็นพระพุทธรูปแบบสุโขทัยประยุกต์ (ดูรูปที่ ๓.๒๖) ซึ่งอาจจะสะท้อนให้เห็นกระแสของ
ความเป็นชาตินิยมที่เข้มข้นในรัชกาลปัจจุบัน
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๔๓
๔.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง สมัยอาณาจักรล้านนา
ช่วงอาณาจักรล้านนา
- ยุครุ่งเรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525)
พระพุทธปฏิมาแบบที่ ๑ อีกองค์หนึ่งทรงครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพาดอยู่เหนือพระถัน ทรงสวม
อุณหิสห้ายอด มีแถบผ้าไขว้กันเป็นเงื่อนกระตุก ทิ้งชายเหนือพระกรรณทั้งสองข้าง ทรงกุณฑล กรองศอ
และพาหุรัด เป็นพระหริภุญชัยโพธิสัตว์ เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน (ดำรง-
ราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๔๙) ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร (รูปที่
๖.๓๗) พระพุทธปฏิมาองค์นี้มีพุทธลักษณะที่ถอดแบบมาจากพระพุทธปฏิมาอินเดีย เช่น อุณหิสวางอยู่
เหนือเม็ดพระศกแถวแรก พระเนตรเหลือบลงแต่ปลายตวัดขึ้นไปที่ปลายพระขนง นอกจากนั้นแล้วชาย
แถบผ้าเหนือพระกรรณ ก็ยังลอกแบบมาจากของอินเดียเช่นกัน เมื่อพิจารณาพุทธลักษณะทั้งหมด
โดยรวมและฝีมือการหล่อชั้นครู แสดงให้เห็นว่าน่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช จึงเป็นไป
ได้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้อาจจะสร้างขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15)
ส่วนพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่า “พระทรงเครื่อง
ลำพูน ที่ตั้งอยู่ในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรเป็นพระที่มีองค์เดียวไม่มีสองงามเลิศล้น” (พระราช
หัตถเลขา ๒๕๑๔, ๑๙๖) (รูปที่ ๖.๓๘) พระพุทธปฏิมาองค์นี้ น่าจะจำลองมาจากองค์ที่กล่าวถึงเบื้องต้น
เพราะเพิ่มไรพระศกขึ้นใต้เม็ดพระศกแถวแรก นอกจากนั้นแล้ว ยังครองจีวรทับสร้อยพระศอซ้าย ส่วน
พาหุรัด เกยูร และทองพระกรด้านซ้ายสวมทับบนจีวรอีกต่อหนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้จึงอาจจะสร้างขึ้นใน
รัชสมัยของพญาแก้วในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 – ต้น 16)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๔๙
๕.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ สมัยรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของสมเด็จพระบรม-
ชนกนาถโดยทรงนำเอาพุทธลักษณะของพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้น เช่น พระนิรันตราย (องค์ครอบ) (ดูรูปที่ ๓.๘๘ ข., ๓.๘๙ ข.) เป็นพุทธลักษณะของพระพุทธรูป
สำคัญในรัชกาลของพระองค์ เช่น พระพุทธนฤมลธรรโมภาส พระประธานวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ
อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ดูรูปที่ ๓.๔) ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
รูปที่ ๖.๔๑ พระประธานวัดเทพศิรินทราวาส
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895)
ประดิษฐวรการเป็นผู้ปั้นหล่อขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๐ (ค.ศ. 1877) (สุทธาสินีนาฎ ๒๔๗๒, ๑๑) และ
สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑.๑๒ เมตร
พระประธานพระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส (รูปที่ ๖.๔๑) ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้หล่อและอัญเชิญมา
สูง ๑.๕๐ เมตร
ประดิษฐานในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895)
พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส
กรุงเทพมหานคร
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ ที่สร้างขึ้นในรัชกาลนี้ยังมี พระพุทธรูปประจำจังหวัด
๔ จังหวัด หล่อขึ้นโดยพระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าคณะมณฑลกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ (ค.ศ. 1900)
โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ถวายพระนามพระพุทธรูปทั้ง ๔ องค์ ดังนี้
พระปทุมราช ประจำจังหวัดปทุมธานี
พระนนทนารถ ประจำจังหวัดนนทบุรี
พระนครศาสดา ประจำจังหวัดนครเขื่อนขันธ์
(ปัจจุบันอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ)
พระสมุทรมหามุนินท์ ประจำจังหวัดสมุทรปราการ
พระพุทธรูปทั้ง ๔ องค์นี้มีขนาดเท่ากันหมด และถอดแบบมาจากพระประธานวัดปรมัยยิกาวาส
(ดูรูปที่ ๕.๑๖๑) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์
เจ้าประดิษฐวรการเป็นผู้ปั้นพอกพระพุทธรูปองค์เดิม แตกต่างกันตรงที่ พระพุทธรูปประจำจังหวัด
ประทับขัดสมาธิเพชรแทนขัดสมาธิราบ และเป็นปางสมาธิแทนปางมารวิชัย มีพระเมาลีทรงโอคว่ำ เช่น
พระนนทนารถ ซึ่งถวายพระนามใหม่ว่า “พระนนทมุนินท์” ตามที่จารึกไว้ที่ฐานพระพุทธรูป (รูปที่ ๖.๔๒)
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พระพุทธรูปประจำจังหวัดทั้ง ๔ องค์นี้ ปัจจุบันพระสมุทรมหามุนินท์ พระประจำ
จังหวัดสมุทรปราการได้หายสาบสูญไปแล้ว (อารมณ์ ๒๕๓๐, ๖๙ – ๗๒)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๕๑
ถึงแม้ว่าพระพุทธรูปของแกรนด์ดยุก เฮส (ดูรูปที่ ๓.๙๐) จะมิได้สร้างขึ้นในประเทศไทย และมี
พุทธลักษณะที่แปลกไปจากพระพุทธรูปของไทย คือ ไม่ครองจีวร แต่โพกผ้าที่พระเศียร พระหัตถ์แสดง
ปางสมาธิแบบจีนและญี่ปุ่น (Bunce 1997, 133 – 134) แต่ทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ต่างก็ทรงยอมรับว่าเป็นพระพุทธรูป ความว่า
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897)
ได้ทรงคุ้นเคยกับ แกรนด์ดยุก เอิรนสท์ ลุดวิก (Ernst Ludwig) เจ้าผู้ครองนครเฮส (Hess) และเป็นที่
ชอบพระราชอัธยาศัยกัน และเมื่อเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่สอง อีกสิบปีต่อมา แกรนด์ ดยุก เฮส จึง
จำลองพระพุทธรูป ซึ่งสร้างขึ้นโดยนายกุส. บราดซเท็ตเทอร์ (Guss. Bradstetter) ที่เมืองมิวนิค
(อภินันท์ เล่ม ๒ ๒๕๓๕, ๑๒๖) มาถวายระหว่างที่ประทับอยู่ที่เมืองซันเรโม (San Remo) ประเทศอิตาลี
พระองค์มีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านิภานภดล เกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ว่า
อนึ่งพ่อลืมเล่าถึงเรื่องพระ ที่แกรนด์ดุ๊กออฟเฮสสร้างไว้ที่วุฟกาเตน เมือง
ดามสตาดนั้น รังสิตได้ไปวานตาโปรเฟสเซอ ผู้ที่ทำตัวอย่างพระนั้นเอง ถ่าย
อย่างลดส่วนขนาดย่อมลงรูปหนึ่ง ได้มาที่นี่แล้ว พวกฝรั่งบ่าวตื่นเต้นกันว่าหนัก
เต็มที่ ถึงครึ่งตัน จะตั้งโต๊ะไหนมันกลัวหักเสียหมด ทำฝีมือดีมาก หน้าตา
รูปที่ ๓.๙๐ พระพุทธรูปของแกรนด์ดยุก เฮส
กล้ำเนื้อเปนคนหมด เว้นไว้แต่ถ้าจะดูเปนพระแล้วไม่แลเห็นว่าเปนพระ เพราะ
สร้างโดย กุส. บราดซเท็ตเทอร์
(Guss. Bradstetter)
เปลือยกายไม่มีผ้าห่ม กลับไปมีผ้าโพก อาการกิริยาที่นั่งสมาธิ์เพช แต่เท้าทั้ง
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1907)
สองข้างชัน ไม่ราบลงไปกับตักเหมือนกับพระเราๆ ... มือเอานิ้วชี้งอข้างหลัง
สัมฤทธิ์ สูง ๔๑ เซนติเมตร
นิ้วชนกัน นิ้วแม่มือปลายนิ้วชนกัน เปนพวกพระเชียงรุ้ง ไซเบียเรีย พวกที่ถือ
พระที่นั่งราชกรัณยสภา
พระบรมมหาราชวัง
หม้อน้ำมนต์ฤาบาตร กรมสมมตออกวาจาว่าถ้าดูเปนพระแล้วออกฉุน ๆ ถ้าดู
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
เปนรูปตุ๊กตาแล้วงาม กรมดำรงต้องการ จะเอาไปเข้าแถวพระระเบียงวัด
ในพระบรมมหาราชวัง)
เบญจมบพิตร แต่ครั้นเมื่อเห็นแล้ว เห็นว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่เปนพระอย่างไทย
เขาร้องว่าขาดผ้าพาด ถ้าจะไปถ่ายตัวอย่างที่บางกอก กดพิมพ์แล้วใช้ได้ ต้อง
ทำขนาดเดียวกัน แต่ที่จะขยายให้ใหญ่ขึ้นนั้น เปนพ้นวิไสยท่านเจ้ามา ฤาพระ
ประสิทธิจะทำได้ ต้องการความรู้อยู่ในนั้นมาก พ่อได้สั่งให้ส่งเข้าไปตั้งห้อง
บรอนซ์ (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.ศ. ๑๒๖, (๑.) ๓๕๑ – ๓๕๒)
และเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วยังมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่า มีพระราชดำริที่จะจำลองพระนิรันตราย ส่งไปพระราชทาน แกรนด์ดยุก เฮส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ มีลายพระหัตถ์เกี่ยวกับพระพุทธรูปของ แกรนด์ดยุก เฮส ว่า
แกรนด์ดยุกเฮส สร้างพระพุทธรูปนั้น ด้วยอุตสาหะใหญ่มาก แลคงทำได้ด้วย
ยากกว่าทำในนี้หลายส่วน เกินกว่าจะทำเล่น นับว่าทำด้วยอำนาจความพอใจแท้
แลช่างนึกให้อย่างออกน่าเอ็นดูฯ ข้อที่มีพ้าโพกกันโสนนั้น จะเปนอย่างพระพม่า
มีผ้าคลุมหรือกุให้ฯ แต่ถ้าแกรนด์ดุกทราบว่า พระอยู่ป่าคลุมสีสะได้ จะพอ
พระทัยเปนแน่ฯ แต่ถ้าเปนคนรู้จักคุ้นเคยกัน แทบจะต้องขอโทษเพราะเหตุ
ดูแคลนฯ ตามความสนทนากับพระองค์รังสิตเห็นแกรนด์ดยุกเปนคนตรงฯ
แปลกที่เป็นฝรั่งแต่นิยมธรรมของตะวันออก ไม่มีคำอะไรจะกล่าวให้สมกับว่า
เมื่อชาติหลังเคยเปนชาวตวันออกฯ (พระราชหัตถเลขา ๒๕๑๔, ๖๘ – ๖๙)
พระราชหัตถ์เลขาที่อ้างถึงข้างต้น แสดงให้เห็นว่าทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ มีพระราชวิสัยที่กว้างไกล พร้อมที่จะเปิดรับรูปแบบใหม่ ๆ พร้อมกับทรง
หาเหตุผลที่จะเข้ามาสนับสนุน พระพุทธรูปของแกรนด์ดยุก เฮส ว่า ชอบธรรมในพระพุทธศาสนา
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๕๓
อนึ่ง ห้างฟาแบร์เช่ ซึ่งเป็นห้างประจำราชสำนักของพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ และเป็นที่รู้จักกันดี
ในราชสำนักสยาม เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทอดพระเนตรร้านของ
ฟาแบร์เช่ในกรุงมอสโคว์ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินประพาสทวีปยุโรปครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897)
นอกจากนั้นแล้ว นายนิโคลาส ฟาแบร์เช่ บุตรของคาร์ล ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. 1909) พร้อมกับขายงานศิลปะรวม
ทั้งสิ้น ๘ รายการอีกด้วย (สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ๒๕๒๖, ๖๐)
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบันมีตัวอย่างคือ พระพุทธ-
กิติสิริชัย พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ บ้านกรูด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (รูปที่
๖.๔๔) สร้างขึ้นในโอกาสที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบปี พ.ศ. ๒๕๓๕
(ค.ศ. 1992) เป็นพระพุทธที่ไว้พระเกศายาวเกล้าขึ้นเป็นพระจุฑามาศ ครองจีวรห่มคลุม มีสังฆาฏิพาดที่
พระอังสาซ้าย มีตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบสมเด็จพระนางเจ้า
สิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ อยู่ตรงกลางผ้าทิพย์ สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ได้ประทาน
พระบรมสารีริกธาตุเพื่อบรรจุภายในองค์พระพุทธรูป และถวายพระนามพระพุทธรูป
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๕๕
หมวด ฉ.
ปางประทานอภัย
๗. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางประทานอภัย
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางประทานอภัย สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาหงายในปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้น
มีแค่ตัวอย่างเดียว อันได้แก่หลวงพ่ออภัยวงศ์ พระประธานในพระอุโบสถวัดแก้วพิจิตร อำเภอเมืองฯ
จังหวัดปราจีนบุรี (รูปที่ ๖.๔๕) พระพุทธรูปองค์นี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงออกแบบ
ประทานเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921) (ยอด [ม.ป.ป.],
๗๑) เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างระดับบั้นพระองค์ พระหัตถ์ขวา
หงายออกในปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้นและวางที่พระชานุ ครองจีวรห่มดองเป็นริ้วแบบ
เหมือนจริง
การที่พระพุทธรูปองค์นี้แสดงปางประทานอภัยก็น่าจะให้สอดคล้องกับสกุลของผู้สร้าง คือ อภัยวงศ์
และเนื่องด้วยว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นผู้ออกแบบ จึงไม่มีพระพุทธรูปในลักษณะ
ดังกล่าวก่อนหน้านี้
๓๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
หมวด ช.
ปางปฐมเทศนา
๘. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา ไม่ปรากฏว่ามีการสร้างขึ้นก่อนรัชกาลปัจจุบัน
องค์แรกน่าจะได้แก่ พระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (ดูรูปที่
๓.๑๗) ดังที่กล่าวอ้างไว้ในจารึกที่ฐานของพระพุทธรูปว่า
อ.ป.ร.
รัชกาลที่ ๔๒
พ.ศ. ๒๔๗๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๙
พระพุ ท ธปฏิ ม าปางปฐมเทศนา มี ก ริ ย าการประทั บ สมาธิ เ พชรนี้ ทรง
รูปที่ ๖.๔๖ พระศากยมุนี ปางปฐมเทศนา
สถาปนาไว้ในพระบวรพุทธศาสนา อุทิศส่วนพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณ
ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๑
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สยามินทราธิราช ซึ่งได้ทรง
(ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 5)
ราชย์สืบมหาจักรีบรมราชวงศ์ ธำรงสยามรัฐราชอาณาจักร วันที่ ๒ มีนาคม
สลักศิลา
ถ้ำอชัญฏา หมายเลข ๑
พ.ศ. ๒๔๗๗ และเสด็จสวรรคตวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙
รัฐมหาราษฎร ประเทศอินเดีย
(เพลินพิศ ๒๕๓๓, ๓)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรม
ศิลปากรดำเนินการปั้นหุ่นและหล่อพิมพ์ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรง
เททองหล่อพระพุทธรูปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) เป็นพระพุทธรูปปาง
ปฐมเทศนา พระหัตถ์แสดงท่าหมุนธรรมจักร หรือ ธรรมจักรมุทรา คือ
ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างหน้าพระอุระ พระหัตถ์ขวาหงายออก พระอังคุฐ
และพระดรรชนีทำท่าจีบเป็นวงกลม ส่วนพระอังคุฐและพระดรรชนีของ
พระหัตถ์ซ้ายนั้นทำท่าจีบเป็นวงเช่นเดียวกัน แต่คว่ำพระหัตถ์เข้าหาพระอุระ
เบื้องซ้าย เป็นพุทธลักษณะที่ใกล้เคียงกับพระพุทธปฏิมาอินเดียที่สร้างขึ้นใน
ราชวงศ์วากาฏก ซึ่งเป็นพันธมิตรของราชวงศ์คุปตะ ที่ถ้ำอชัญฏา (รูปที่
๖.๔๖) แตกต่างกันตรงที่ไม่ทรงถือชายจีวรในพระหัตถ์ซ้ายเช่นของอินเดีย
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์แสดงปางหมุนธรรมจักรนั้น
ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นภายใต้ลัทธิมหายานที่ใช้พระนามว่า
พระศากยมุนี และวัชรยาน ซึ่งเป็นพุทธลักษณะเฉพาะของพระไวโรจนะ จึง
เป็นเหตุทำให้ไม่มีการสร้างขึ้นในประเทศไทยก่อนรัชกาลปัจจุบัน
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๕๗
นอกจากปางปฐมเทศนาที่แสดงด้วยท่าหมุนธรรมจักรแล้ว พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร
พระหั ต ถ์ ข วายกขึ้ น จี บ นิ้ ว พระหั ต ถ์ เ ป็ น รู ป วงกลมเป็ น กิ ริ ย าแสดงธรรม พระหั ต ถ์ ซ้ า ยวางหงายบน
พระเพลา ไทยเรียกว่า ปางปฐมเทศนา (ไขศรี 1996, ๘๐) ซึ่งแตกต่างจากสากลนิยมที่เรียกปางใน
ลักษณะข้างต้นว่า ปางแสดงธรรม หรือ วิตรรกมุทรา (Bunce 1997, 340 – 341)
พระพุทธรูปองค์แรกที่สร้างขึ้นในพุทธลักษณะดังกล่าวน่าจะได้แก่พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล วัดเขากง
อำเภอเมืองฯ จังหวัดนราธิวาส (รูปที่ ๖.๔๗) สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เริ่มในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ (ค.ศ.
1966) แล้วเสร็จสามปีต่อมา โดยมีแม่แบบมาจากพระพุทธรูปส่วนตัวของพลเอกประภาส จารุเสถียร
ประธานกรรมการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปใน “สกุลศิลปโจฬะรุ่นหลัง” (แบบนครศรีธรรมราช)
ทั้งนี้เพราะคณะกรรมการฯ มีมติว่า
ให้มีพุทธลักษณะของศิลปะอินเดียใต้ พระพุทธรูปลักษณะนี้ หรือสกุลนี้ พบมาก
ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกกันว่า... พระพุทธรูป “แบบนครศรีธรรมราช”
เรียกกันอย่างสามัญว่า พระพุทธรูป “แบบขนมต้ม” มีพุทธลักษณะพิเศษจาก
ความบันดาลใจของศิลปินที่เน้นหนักให้พระวรกายล่ำสันทุกส่วนผิดกับแบบอื่น
สังฆาฏิจัดกลีบแผ่กว้างเต็มพระอังสาเบื้องซ้ายและชายจีวรใต้พระเพลาทำ
เป็นริ้ว ให้ความรู้สึกทางการตกแต่งสวยงามกว่าแบบอื่นอย่างชัดเจน (กรรณิกา
๒๕๔๔, ๒๔)
โดยมีจิตร บัวบุศย์ กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง
พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล จึงสร้างขึ้นตามทฤษฎีสกุลศิลปไทยพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๙ “สกุลศิลป
ไทย – โจฬะ” ซึ่งจิตร บัวบุศย์ได้เสนอไว้ในหนังสือ สกุลศิลปพระพุทธรูปในประเทศไทย (จิตร ๒๕๐๓,
๑๐๑) ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางแสดงธรรมก่อนที่จิตร บัวบุศย์จะ
ออกแบบขึ้นมา อนึ่ง การที่ จิตร บัวบุศย์ ได้จำแนกพระพุทธรูปในประเทศไทย ตามสกุลช่างของ
พระพุทธรูปอินเดีย เป็น “สกุลศิลปไทย – คุปตะ” “สกุลศิลปไทย – ปาละวะ” “สกุลศิลปไทย – ปาละ –
เสนา” และ “สกุลศิลปไทย – โจฬะ” น่าจะมาจากความคิดที่ว่า
การที่เขียนหนังสือขึ้นตามความนึกคิด และการค้นคว้าจากพยานหลักฐานของ
ตนเอง ย่อมจะได้ผลส่วนรวมมากกว่าที่จะเขียนตามตำราหนังสือเก่า ๆ ที่เขียน
ขึ้นไว้แล้วเสียทุกอย่างทุกตอนไป ซึ่งยังแต่จะทำให้วิชาการนั้น ๆ ไม่ก้าวหน้า
แล้ว ยังจะแสดงถึงการคิดเห็นที่ไม่อิสระกว้างขวางของผู้เขียนด้วย (เรื่อง
เดียวกัน, ฎ)
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร
๓๖๓
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที่
๗
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท
หมวด ก.
ปางพิจารณาชราธรรม
๑. พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางพิจารณาชราธรรม
๑.๑ พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางพิจารณาชราธรรม
สมัยอาณาจักรมอญโบราณ (“ทวารวดี”) พ.ศ. ๙๕๐ – ๑๕๐๐ (ค.ศ. 407 - 957)
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท (ภัทราสนะ) เป็นพระพุทธปฏิมารูปแบบหนึ่งซึ่งปรากฏควบคู่
กันกับนิกายเถรวาทในประเทศไทยมาช้านานแล้ว ดังเช่น สมัยที่มอญโบราณตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคกลาง
ของประเทศไทย (สมัยทวารวดี) สร้างรูปพระอดีตพุทธะสี่พระองค์อันได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ
พระกัสสปะ และพระสมณโคดม ซึ่งแต่เดิมประทับหันพระปฤษฎางค์เข้าหากัน พระหัตถ์ขวาแสดงธรรม
พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้นเหนือพระชานุ (ดูรูปที่ ๔.๗) ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดพระเมรุ อำเภอเมืองฯ
จังหวัดนครปฐม (Dupont 1959, 64) และพระอนาคตพุทธศรีอาริยเมตไตรย เป็นองค์ที่ห้า ซึ่งได้ไป
จากวัดพระเมรุ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครปฐมเช่นกัน เพราะพนักบัลลังก์ยังคงปรากฏอยู่ที่วัดพระเมรุ
นครปฐม (Claeys 1931, 396) แต่องค์พระพุทธปฏิมาปัจจุบันอยู่ในพระวิหารน้อย วัดหน้าพระเมรุราชิการาม
อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๗.๑) พระพุทธปฏิมาองค์นี้ พระหัตถ์ทั้งสอง
ข้างวางคว่ำเหนือพระชานุที่ประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ทั้งสองข้างที่วางคว่ำเหนือพระชานุนั้น เป็น
ลักษณะเดียวกันกับพระพุทธปฏิมาของจาม สร้างขึ้นที่ดงเซือง (Doññg – du’o’ung) ในปี พ.ศ. ๑๔๑๘
(ค.ศ. 875) (Boisselier 1963, 98 – 99) พระพุทธปฏิมาที่คว่ำพระหัตถ์ทั้งสองข้างบนพระชานุทั้งสอง
องค์นี้ น่าจะดัดแปลงมาจากรูปพระศรีอาริยเมตไตรยของจีน ในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑ – ๑๔๕๐ /
ค.ศ. 618 – 907) เช่น พระพุทธปฏิมาที่สลักในถ้ำหมายเลข ๑๑ ที่หลงเหมิน (Lung Men) มณฑลเหอ
หนาน (Honan) ในปี พ.ศ. ๑๒๑๖ (ค.ศ. 673) และมี จ ารึ ก บ่ ง บอกว่ า เป็ น พระศรี อ าริ เ มตไตรย
(Snellgrove 1978, 220) แตกต่างกันที่พระหัตถ์ขวาคว่ำเหนือพระชานุ แต่พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้น เป็นที่
น่าสังเกตว่า พระพุทธปฏิมาประทับคว่ำพระหัตถ์ทั้งสองข้างเหนือพระชานุ ยังถือกันว่าเป็นพระศรีอาริ
ยเมตไตรยอยู่จวบจนทุกวันนี้ แต่ปรากฏอยู่ในรูปแบบประทับขัดสมาธิราบและทรงเครื่องอย่างพระ
มหาจักรพรรดิราช (ดูรูปที่ ๕.๑๙๗)
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท
๓๖๕
๑.๒ พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางพิจารณาชราธรรม สมัยรัตนโกสินทร์
จากต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๖ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 10) เมื่อลัทธิวัชรยานแบบกัมพูชาได้เข้ามา
เผยแผ่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน ความนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาทก็สิ้นสุดลง
จนกระทั่งปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งในอาณาจักรอยุธยาสมัยเมืองลูกหลวง เมื่อมีการสร้างพระพุทธปฏิมา
ปางป่าเลไลยก์ และต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ทรงบูรณ-
ปฏิสังขรณ์วัดสุทัศนเทพวราราม ในช่วงปี พ.ศ. ๒๓๗๗ – ๒๓๘๖ (ค.ศ. 1834 – 1843) จึงมีการสร้าง
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ทั้งสองคว่ำอยู่เหนือพระชานุ เช่นที่ประทับบนเตียงจีนศิลา
ในศาลาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม (รูปที่ ๗.๒)
ซึ่งน่าจะได้แก่ปางพิจารณาชราธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นพระพุทธปฏิมาองค์นี้ จึงมิใช่พระศรี-
อาริยเมตไตรย แต่เป็นพระสมณโคดมในปางพิจารณาชราธรรม
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท
๓๖๗
หมวด ค.
ปางป่าเลไลยก์
๓. พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางป่าเลไลยก์
๓.๑ พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางป่าเลไลยก์ สมัยอยุธยา
(๑) ช่วงเมืองลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590)
ไม่ปรากฏว่ามีการสร้างพระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ขวาหงายเหนือพระชานุ
พระหัตถ์ซ้ายคว่ำที่พระชานุ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “ปางป่าเลไลยก์” ในอาณาจักรล้านนา แต่เป็นที่นิยมใน
ภาคกลาง และในรัฐมอญของประเทศพม่า เนื่องด้วยว่าพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในประเทศไทยไม่มี
จารึกกำกับไว้ที่ตัวองค์พระ หรือในกรณีที่มีกล่าวถึงในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นต้น แต่กลับไม่
ปรากฏพระพุทธปฏิมาหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เช่น ที่ปรากฏในจารึกสุโขทัยของอินทรสรศักดิ์ ปี พ.ศ.
๑๙๖๐ (ค.ศ. 1417) ที่กล่าวถึง “พระเจาอยอนตีน” (Griswold and Nฺa Nagara 1968, 235) ซึ่งน่าจะได้แก่
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท มากกว่าพระพุทธปฏิมาลีลาซึ่งในจารึกเดียวกันเรียกว่า “พรเจาจงกรม”
ตามที่มีผู้เสนอไว้ (ศักดิ์ชัย ๒๕๔๕, ๑๘๗ – ๑๙๑) จึงสันนิษฐานได้ว่าการสร้างพระพุทธปฏิมาปางนี้อาจ
จะเริ่มขึ้นอีกในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14) นอกจากนั้นแล้วหลักฐานทาง
จารึกของมอญในสมัยของพระนางตะละเจ้าท้าว (Shinsawbu) ที่โปรดให้สร้างวัดไจค์มะรอ (Kyaikmaraw
Paya) จังหวัดเมาะลำแยงในรัฐมอญ ประเทศพม่า ในปี พ.ศ. ๑๙๙๘ (ค.ศ. 1455) (Martin et al. 2002, 381)
มีพระประธานเป็นพระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาทขนาดใหญ่ จึงเป็นไปได้ว่าพระพุทธปฏิมาปาง
ป่าเลไลยก์ที่มีขนาดใหญ่เช่นหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี (รูปที่ ๗.๔)
อาจจะสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท
๓๗๑
พระพุทธปฏิมาปางป่าเลไลยก์ ยังนิยมสร้างเป็นพระประธานในอุโบสถและวิหารสืบต่อกันมา เช่น
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1927) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้มีการสร้างพระ
ประธานปางนี้ขึ้นที่วัดศาลาทอง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา (รูปที่ ๗.๘)
เนื่องด้วยว่า พระพุทธปฏิมาปางป่าเลไลยก์ เป็นพระประจำวันชาตาของผู้ที่เกิดวันพุธเวลากลาง
คืน โดยมีพระราหูเป็นดาวพระเคราะห์ประจำวัน ในปัจจุบันจึงนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาปางป่าเลไลยก์
เพื่อเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำวัน
พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท
๓๗๓
พระยืนทรงเครื่อง จักรพรรดิราช
วัดพระธาตุช้างค้ำ
อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน
(รูปที่ ๘.๑๐)
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที่
๘
พระพุทธปฏิมายืน
หมวด ก.
พระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างทอดลงข้างพระอูรุ
พระพุทธปฏิมายืน ได้แก่ยืนตรงพระบาทชิดกัน พระหัตถ์ทั้งสองข้างทอดลงข้าง
พระอูรุ (โคนขา) ปรากฏอยู่ใน ตำราพระพุทธปฏิมาปางต่างๆ ตามมติของ สมเด็จพระ
มหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (ตำราพระพุทธปฏิมาปางต่างๆ ๒๕๓๔, ๖๙)
แต่มิได้ประทานอรรถาธิบายที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในพุทธประวัติประกอบ พระพุทธปฏิมายืน
เป็ นที่ นิ ย มแพร่ ห ลายในอาณาจั ก รล้ า นนาและล้ า นช้ า ง แต่ ไม่ ป รากฏว่ า พระพุ ท ธรู ป
ในหมวดนี้เป็นที่นิยมในอาณาจักรอยุธยา เมื่อเปรียบเทียบกับพระพุทธปฏิมายืน ยก
พระหัตถ์ขวาประทานอภัย (ปางห้ามญาติ) (ดู หัวข้อ ๕.๓ หน้า ๓๘๘)
๑. พระพุทธปฏิมายืน
๑.๑ พระพุทธปฏิมายืน สมัยล้านนา
(๑) ช่วงอาณาจักรล้านนา
- ยุครุ่งเรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525)
พระพุทธปฏิมายืนเป็นปูชนียวัตถุคู่กับอาณาจักรล้านนา อันเห็นได้จากการที่พระสุมนเถระทูล
พระเจ้ากือนาให้สร้างพระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ทั้งสองข้างทอดลงข้างพระอูรุขึ้นอีกสามองค์ที่วัด
พระยืน จังหวัดลำพูน เพราะเดิมมีอยู่แค่องค์เดียว คือองค์ทางทิศตะวันออก
พระพุทธรูปเจ้าองค์ยืนนี้ เท่ามีตนเดียวฉะนี้ดูไม่สมควรนากูจักไปชวนพระยา
แปลงแถมอีก ๓ องค์ ให้พอ ๔ องค์ จึงจะควร และกูจักให้แปลงมหามณฑป
เจดีย์สำหรับมุงเจ้ากูทั้ง ๔ ไว้ (ตำนานมูลศาสนา ๒๕๑๘, ๒๐๖)
พระพุทธปฏิมาทั้งสามองค์นี้เริ่มสร้างในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ (ค.ศ. 1369) และแล้วเสร็จหนึ่งปี
สี่เดือนต่อมา (ประชุมศิลาจารึก เล่ม ๓ ๒๕๐๘, ๑๓๙ – ๑๔๑) โคลงนิราศหริภุญชัย ซึ่งอาจจะเขียนในปี
พ.ศ. ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1517) กล่าวถึงพระยืนทั้งสี่องค์นี้ว่า
๑๕๑ เถิงพระพุทธรูปอั้น ยืนยง
กวมก่อเป็นขงทัง สี่ด้าน
ทำบุญเบิกบุญปัง พบแม่ นะแม่
ขูโนสพระเจ้าจ้าน ค่อยแก้กรรรมเรียม
พระพุทธปฏิมายืน
๓๗๕
๑๕๒ กกุสนธ์แซ่งสร้าง หนึ่งโกนา
องค์หนึ่งพระกัสสปา เจื่องเจ้า
โคดมจิ่งเจียนคลา วางศาสนาเอ่
เชิญเสวยรสเข้า ม่อนน้อมทูลถวาย
๑๕๓ สี่องค์นี้พ้นพ่วง สงสาร
นิโรธรสนิพพาน โมดมล้าง
ยังพระอาไรยนาน ลงโลก นี้หนอ
จักบอกบทข้อยค้าง แด่หื้อนานนิพพาน
(ประเสริฐ ๒๕๑๖, ๑๕๑ – ๑๕๓)
จาก โคลงนิราศหริภุญชัย เห็นได้ว่า พระพุทธปฏิมายืนทั้งสี่องค์นี้ได้แก่ พระอดีตพุทธะสี่องค์
เดิมยืนหันพระปฤษฎางค์เข้าหากัน ภายในมณฑปและหันพระพักตร์ผ่านโขง (ซุ้มประตูรูปวงโค้ง) ทั้งสี่
ด้าน สันนิษฐานว่าแต่ละองค์สูง ๘.๕๐ เมตร อันได้แก่ความสูงของพระอัฏฐารส (Griswold 1975, 53)
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) เจ้าอินทยงยศ เจ้าผู้ครองนครลำพูนให้
ช่างก่อพระเจดีย์วัดพระยืนองค์ปัจจุบันขึ้นครอบปิดพระพุทธปฏิมาองค์เดิมไว้ภายใน เพราะพระพุทธปฏิมา
สามองค์ที่พระสุมนเถระสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ – ๑๙๑๓ (ค.ศ. 1369 – 1370) นั้นหักพังลงเหลือแต่
พระชงฆ์และพระบาท มีเพียงพระยืนองค์เดิมด้านทิศตะวันออกเท่านั้นที่ยังคงสภาพดีอยู่ คือยืนปล่อย
พระหัตถ์ทั้งสองข้าง (เรื่องเดียวกัน, 75 - 77) จึงได้แต่สันนิษฐานว่า พระพุทธปฏิมายืนล้านนา อย่างเช่น
องค์ที่วัดบ้านยางหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ น่าจะจำลองมาจากพระพุทธปฏิมาที่วัดพระยืน
รูปที่ ๘.๑ พระยืน
สร้าง พ.ศ. ๒๐๒๖ (ค.ศ. 1483)
ปูนปั้น
พระพุทธปฏิมายืนทอดพระหัตถ์ทั้งสองข้างพระอูรุที่วัดบ้านยางหลวง อำเภอแม่แจ่ม (รูปที่
พระอุโบสถ วัดบ้านยางหลวง
๘.๑) ประดิษฐานอยู่ในซุ้มด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทภายในวิหาร มีจารึกบนฐานบัวหงาย
อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
ให้ปีที่สร้างคือ พ.ศ. ๒๐๒๖ (ค.ศ. 1483) (Stratton 2004, 219) ในพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ –
๒๐๓๐ / ค.ศ. 1441 – 1487) ทรงจีวรห่มดอง แลเห็นท่อนบนของสบงที่บั้นพระองค์ พระพาหายาว
จนนิ้วพระหัตถ์จรดพระชานุ ซึ่งเป็นลักษณะที่ ๑๘ ของมหาบุรุษลักษณะ อันได้แก่ “สฺถิโต’ นวนตปฺรลมฺพ
พาหุ พระกายยืนตรงไม่คดค้อม พระพาหายาว” (ลลิตวิสตระ ๒๕๑๒, ๕๙๙) พระยืนสัมฤทธิ์ วัด
เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปที่ ๘.๒) มีลักษณะใกล้เคียงกับพระยืน วัดบ้านยางหลวง รวมทั้งรูปแบบ
ของจีวร ที่ตรงปลายทั้งสองข้างขมวดขึ้น และท่อนบนของสบงก็คล้ายกัน จึงอาจจะสร้างขึ้นในสมัย
พระเจ้าติโลกราชเช่นกัน
ส่วนพระพุทธปฏิมายืนทอดพระหัตถ์ทั้งสองข้างพระอูรุสัมฤทธิ์ ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราช-
วังดุสิต (รูปที่ ๘.๓) น่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพญาแก้ว (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๙ / ค.ศ. 1495 – 1526) เพราะ
ได้วิวัฒนาการขึ้นจากสององค์ที่กล่าวถึงข้างต้น โดยชายจีวรมีความเรียบง่ายขึ้น และท่อนบนของสบง
ได้หายไป
พระพุทธปฏิมายืน
๓๗๗
๑.๒ พระพุทธปฏิมายืน สมัยล้านช้าง
(๑) ช่วง ๓ นครรัฐ พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ (ค.ศ. 1703 – 1789)
พระพุทธปฏิมายืนอันเป็นที่นิยมในล้านช้าง ช่วง ๓ นครรัฐ ชายจีวรกระดกขึ้นเป็นตัวเหงา เช่น
พระพุทธปฏิมายืนในระเบียง “หอพระแก้ว” นครเวียงจันท์ มีจารึกปี พ.ศ. ๒๒๙๘ (ค.ศ. 1755) (รูปที่ ๘.๖)
(Boun Souk 1971, 18)
(๒) ช่วงประเทศราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๓๓๒ – ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1789 – 1893)
พระพุทธปฏิมายืนล้านช้างมีเอกลักษณ์คือชายจีวรทั้งสองด้านโค้งขึ้น เช่นองค์ของวัดเหลาเทพ
นิมิตร อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ (รูปที่ ๘.๗) พระพุทธปฏิมาองค์นี้มีพระเมาลีใหญ่ รัศมีเป็น
บัวขาบกลีบสูง ครองจีวรห่มคลุม มีรัดพระองค์แทนรัดประคด และชายพับของสบงตกแต่งด้วยลาย
ดอกไม้สี่กลีบ ฐานเป็นฐานปัทม์ อกไก่ ทรงกลม แต่ที่เป็นลักษณะพิเศษของพระยืนองค์นี้ คือช่วง
พระพาหาและพระกรยาวมาก จนนิ้วพระหัตถ์ทั้งสองข้างแตะที่ชายจีวรที่โค้งกระดกขึ้น
รูปที่ ๘.๖ พระยืน
สร้างพ.ศ. ๒๒๙๘(ค.ศ. 1755)
สัมฤทธิ์ สูง ๒.๒๐ เมตร
พระระเบียง หอพระแก้วเวียงจันท์
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
พระพุทธปฏิมายืน
๓๗๙
หมวด ข.
ทรงเครื่อง
๒. พระพุทธปฏิมายืน ทรงเครื่อง
๒.๑ พระพุทธปฏิมายืน ทรงเครื่อง สมัยล้านนา
ช่วงประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899)
พระพุทธปฏิมายืนทรงเครื่องที่สร้างขึ้นที่น่าน เช่นที่วัดบุญยืน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน (รูปที่
๘.๙) ทรงจีวรห่มดอง ทรงเครื่องอย่างพระมหาจักรพรรดิราช ทรงมงกุฎ กรองศอ สังวาล ทับทรวง
พาหุรัด เกยูร ทองพระกร ทองพระบาท ธำมรงค์ และฉลองพระบาท พระภูษาซ้อนกันสามชั้น ชายด้าน
ข้างตวัดขึ้น มีชายแครงห้อยทับซ้อนกันสามชั้น ชายตวัดเป็นหางหงส์ ทรงยืนอยู่เหนือฐานบัวหงาย
ลูกแก้ว แปดเหลี่ยม รูปแบบของเครื่องทรงน่าจะดัดแปลงมาจากพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องสมัยต้น
รัตนโกสินทร์ จึงสันนิษฐานว่าอาจจะสร้างขึ้นในสมัยของเจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน (พ.ศ.
๒๓๒๙ – ๒๓๕๓ / ค.ศ. 1786 – 1810) ผู้เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๔ (ค.ศ. 1791) และในปี พ.ศ. ๒๓๔๓ จึงให้
สร้างพระพุทธปฏิมาปูนปั้นในวิหารวัดบุญยืน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน (ศิลปากร ๒๕๓๐ ก, ๘๗)
ส่วนพระพุทธปฏิมายืนทรงเครื่อง วัดพระธาตุช้างค้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน (รูปที่ ๘.๑๐)
ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน อาจจะสร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกัน พระพุทธปฏิมาในกลุ่มนี้ยังเป็นต้น
แบบให้กับพระยืนทรงเครื่องอย่างจักรพรรดิราช ล้านช้าง เช่นในอุโบสถวัดวิชุล นครหลวงพระบาง
(สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๒๔๑)
พระพุทธปฏิมายืน
๓๘๑
หมวด ค.
ปางประดิษฐานรอยพระบาท
พระพุทธปฏิมาปางนี้เป็นที่นิยมในอาณาจักรล้านนา แต่ไม่ปรากฏในอาณาจักรอยุธยา
๓. พระพุทธปฏิมายืน ปางประดิษฐานรอยพระบาท
พระพุทธปฏิมายืน ปางประดิษฐานรอยพระบาท สมัยล้านนา
ช่วงอาณาจักรล้านนา
- ยุครุ่งเรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525)
พระพุทธปฏิมาสำคัญของปางนี้ได้แก่องค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (รูปที่ ๘.๑๓) มี
จารึกระบุปีสร้างราว พ.ศ. ๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482) ในสมัยพระเจ้าติโลกราช แสดงให้เห็นพระสมณโคดม
กำลังประทับรอยพระบาทด้วยพระบาทขวา รอยพระบาทที่ทรงกดอยู่นั้น เป็นรอยที่สี่มีอีกสามรอยซ้อน
ลดหลั่นกัน อันได้แก่รอยพระบาทของพระอดีตพุทธะกัสสปะ พระโกนาคมนะ และพระกกุสันธะอยู่ด้าน
ล่าง และมีขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนั้นแล้วพระยืนองค์นี้ยังแสดงให้เห็นพระสรีระตามอย่าง มหาบุรุษ-
ลักษณะ ๓๒ ประการ ได้อีกหลายข้อเช่น
รูปที่ ๘.๑๓ พระสมณโคดมประดิษฐานรอยพระบาท
สร้างปี พ.ศ. ๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482)
(๑๖) จิตานฺตรำสะ พระอังสามีเนื้อเต็ม...
สัมฤทธิ์ สูงรวมฐาน ๔๖เซนติเมตร
(๑๙) สึหปูรฺวารฺธกายะ พระกาย ท่อนบนเหมือนท่อนบนของราชสีห์...
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
(๒๔) สุวิวรฺติโตรุ ต้นพระชงฆ์กลมงาม
(๒๕) เอเณยมฺฤคราชชงฆะ พระชงฆ์เหมือนแข้งพระยาเนื้อทราย
(๒๖) ทีรฺฆางฺคุสิ นิ้วพระหัตถ์นิ้วพระบาทยาว
(๒๗) อายตปรฺษฺณิปาทะ พระปรัษณี (ซ่นเท้า) ยาว
(๒๘) อุตฺสงฺคปาทะ พระบาทลาดขึ้นสูง
(ลลิตวิสตระ ๒๕๑๒, ๕๙๙)
อย่างไรก็ตาม พระพุทธปฏิมาปางประดิษฐานรอยพระบาทล้านนาส่วนใหญ่ มักจะไม่แตกต่าง
จากพระยืนทั่วไป ยกเว้นแต่พระบาทซ้ายเหยียบหลังพระบาทขวา เช่นองค์ที่ยืนบนฐานบัวหงายรองรับ
ด้วยฐานเขียงทรงกลม (รูปที่ ๘.๑๔)
พระพุทธปฏิมายืน
๓๘๓
ส่วนพระพุทธปฏิมาหล่อ จะยื่นพระกรขวาตั้งฉากกับบั้นพระองค์ พระกรหงายประทานอภัย
ส่วนพระหัตถ์ซ้ายแนบพระชงฆ์ในกิริยาประทานพร เช่น องค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระ
นารายณ์ จังหวัดลพบุรี (รูปที่ ๘.๑๖) พระพุทธปฏิมาองค์นี้ พระเศียรมีพุทธลักษณะใกล้เคียงกับศิลปะ
เขมรแบบบายน คือ พระขนงเป็นสันตรง มีไรพระศก พระเมาลีทรงกรวย พระรัศมีเป็นลูกแก้ว ครอง
จีวรห่มดอง ชายเป็นแถบใหญ่ ขอบสบงด้านบนคาดด้วยรัดพระองค์ ลายประจำยาม ปั้นเหน่งเป็น
ดอกจัน กำหนดอายุอยู่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13)
หลังจากนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกา เข้ามาเป็นที่นิยม ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่
๑๙ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14) พระพุทธปฏิมามีความเรียบง่ายมากขึ้น คือไม่มีรัดพระองค์ และปั้นเหน่งที่
ขอบสบงด้านบน หรือลายที่หน้านางของสบง เช่น พระพุทธปฏิมาไม้ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งเดียวกัน
(รูปที่ ๘.๑๗) ซึ่งจัดจำแนกอยู่ในแบบ “สมัยอู่ทอง หมวดที่ ๑”
๔.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางประทานพร สมัยอยุธยา
ช่วงเมืองลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590)
พระพุทธปฏิมาศิลาได้จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๑๘) พระเศียร
มีพุทธลักษณะใกล้เคียงกับพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบที่ ๓” คือพระพักตร์รูปไข่ ไรพระศกโค้ง
ลงกลางพระนลาฏ พระรัศมีเป็นเปลวสูง เนื่องจากเป็นพระพุทธปฏิมาศิลา พระหัตถ์ขวาจึงหงายไป
ทางด้ า นซ้ า ย พระหั ต ถ์ ซ้ า ยหงายออกข้ า งพระเพลา ในลั ก ษณะเดี ย วกั น กั บ พระพุ ท ธปฏิ ม าไม้ ใน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี (ดูรูปที่ ๘.๑๗) กำหนดอายุเวลาอยู่ในช่วง
เดียวกันกับพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบที่ ๓” คือกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – กลาง ๒๑ (คริสต์-
รูปที่ ๘.๑๖ พระสมณโคดมยืนประทานพร
ศตวรรษที่ 15)
ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13)
สัมฤทธิ์ สูง ๙๒ เซนติเมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี
พระพุทธปฏิมายืน
๓๘๕
รูปที่ ๘.๒๐
พระสมณโคดมยืน
พระหัตถ์ขวาประทานอภัย
ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13)
สัมฤทธิ์ สูง ๓.๒๐ เมตร
พระระเบียง
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
กรุงเทพมหานคร
พระพุทธปฏิมายืน
๓๘๗
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448)
เมื่อเปรียบเทียบกับพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างทอดลงข้างพระอูรุแล้ว (ดู หมวด ก.
หน้า ๓๗๕) พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย (ปางห้ามญาติ) เป็นที่นิยมมาก ในอาณาจักร
อยุธยา ตั้งแต่ก่อนสถาปนาในปี พ.ศ. ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1351) จนเสียกรุงครั้งที่สองในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ.
1767) จนอาจจะกล่าวได้ว่า เอกลักษณ์ของพระพุทธปฏิมาอยุธยาคือ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ
พระพุทธปฏิมา ในหมวดนี้มีหลายแบบ ซึ่งพัฒนาการเป็นควบคู่ไปกับพระพุทธปฏิมาอยุธยาหมวดอื่นๆ เช่น
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัย “แบบพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง” หรือ “แบบอู่ทอง
แบบที่ ๒” และ “แบบอู่ทอง แบบที่ ๓”
เช่นเดียวกันกับพระพุทธปฏิมาในหมวด “พระพุทธกัมโพชปฏิมา” พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ
ปรากฏขึ้นภายใต้คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ และพัฒนาการให้รองรับค่านิยมของนิกายเถรวาท คณะ
มหาวิหารจากลังกา เช่น พระพุทธปฏิมาดุนทองคำสององค์ องค์หนึ่งพบในกรุพระปรางค์ประธานวัด
มหาธาตุ พระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๒๔) ซึ่งพระพักตร์แสดงอิทธิพลของพระพุทธปฏิมามอญโบราณ
ตรงที่พระขนงเชื่อมต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรยาวรี อีกองค์หนึ่งพบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ
พระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๒๕) ซึ่งพระพักตร์ใกล้เคียงกับพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลองทองคำ ได้จาก
กรุพระปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ (ดูรูปที่ ๕.๔๙) ทั้งสององค์ครองจีวรห่มคลุม ด้านบนของขอบสบง
และหน้านางตกแต่งด้วยลายรักร้อย อันเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธปฏิมากัมโพช แต่รัศมีเปลวแสดงให้
เห็นค่านิยมของนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกา พระพุทธปฏิมาในกลุ่มนี้อาจจะสร้างขึ้นในช่วง
ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14)
พระพุทธปฏิมาที่เทียบเคียงได้กับ “แบบพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง” ได้แก่พระพุทธปฏิมา
พระพุทธปฏิมายืน
๓๘๙
(๒) ช่วงเมืองลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590)
- แบบสุโขทัย
พระพุทธปฏิมาแบบสุโขทัยได้แก่ พระพุทธปฏิมาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก
จังหวัดสุโขทัย (รูปที่ ๘.๒๘) ซึ่งพระเศียรเทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมาสุโขทัย กล่าวคือ พระพักตร์
เป็นรูปไข่ พระขนงเป็นเส้นโก่ง ไม่ต่อกัน ปลายพระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เม้ม เม็ดพระศกเรียงกันเป็นแนว
ตรงจนถึงพระรัศมี ชายจีวรทั้งสองข้างขมวดเป็นปม อันเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธปฏิมายืน ห่มคลุม
ของแบบสมัยสุโขทัย กำหนดอายุอยู่ในครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 15)
ส่วนพระพุทธปฏิมาจากวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร-
ดุสิตวนาราม (รูปที่ ๘.๒๙) พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง ไม่บรรจบกันที่พระนาสิก พระเนตรเหลือบลง
พระโอษฐ์ เ ม้ ม ชายจี ว รด้ า นข้ า งทั้ ง สองด้ า นค่ อ นข้ า งตรง มี พุ ท ธลั ก ษณะใกล้ เ คี ย งกั น มากกั บ พระ
พุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาประทานอภัย พบในพระอุระ และพระพาหาเบื้องซ้ายของพระมงคลบพิตร
พระนครศรีอยุธยา (ณัฏฐภัทร ๒๕๔๙, ๑๖) จึงน่าจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึ่ง
หลังคริสต์ศตวรรษที่ 15)
พระพุทธปฏิมายืน
๓๙๓
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
“พระศรีสรรเพชญ์” จัดเป็น ๑ ใน ๗ พระพุทธปฏิมาสำคัญของกรุงศรีอยุธยา (คำให้การชาว
กรุงเก่า ๒๔๕๗, ๑๙๐) และใต้พระนาม “พระพุทธศรีสรรเพชรดาญาณ ยืนสูง ๘ วา หุ้มทองคำทั้ง
พระองค์ อยู่ในพระมหาวิหารวัดพระศรีสรรเพชร” เป็น ๑ ใน “พระมหาพุทธปฏิมากรที่มีพระพุทธานุภาพ
เป็นหลักกรุง ๘ องค์” ในบัญชีรายพระนามของขุนหลวง วัดประดู่ทรงธรรม (คำให้การขุนหลวงวัด
ประดู่ทรงธรรม ๒๕๓๔, ๒๔) จึงน่าจะเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในเมืองชั้นเอก เช่น
พิษณุโลก อันเห็นได้จากพุทธลักษณะของ พระอัฏฐารส ศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ที่พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอัญเชิญมาจากวัดวิหารทอง อำเภอเมืองฯ จังหวัดพิษณุโลก (รูปที่ ๘.๓๒) มา
ประดิษฐานในพระวิหารวัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๔ – ๕) ซึ่งรูปแบบของ
ชายจีวรที่ผายออกทางด้านข้าง และชายสบงด้านล่าง ใกล้เคียงมากกับพระศรีสรรเพชญ์จำลอง เดิมอยู่
ที่วัดใหม่ประชุมพล อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอาจจะสร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้
เคียงกัน รวมทั้งพระอัฏฐารส ในพระวิหารด้านทิศตะวันออก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จังหวัด
พิษณุโลก (รูปที่ ๘.๓๓) ก็สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระศรีสรรเพชญ์จำลองเช่นกัน (พิชญา ๒๕๔๘, ๑๖๘)
ส่วนพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ที่พบในภาคใต้ที่สำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาที่วัดเขาอ้อ
อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (รูปที่ ๘.๓๔) เป็นตัวอย่างของพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ขวาประทานอภัย
ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ โดยเห็นได้จากพระเมาลีขนาดใหญ่ พระรัศมีเป็นเปลวสูง
รูปที่ ๘.๓๔ พระสมณโคดมยืน
ขอบจีวรด้านข้างผายออกตอนปลายและห้อยลงเป็นมุมแหลม นอกจากนั้นแล้ว ในรัชกาลนี้ยังได้มีการ พระหัตถ์ขวาประทานอภัย
บูรณปฏิสังขรณ์วัดเขาอ้อ เป็นพระอารามขนาดใหญ่ รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศยังพระราชทาน ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓
พระพุทธปฏิมาให้กับวัดเขาอ้ออีกด้วย (ชัยวุฒิ ๒๕๒๔, ๔๓)
(กลางหลังคริสต์ศตวรรษที่ 18)
สัมฤทธิ์ สูง ๗๔ เซนติเมตร
วัดเขาอ้อ
อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
พระพุทธปฏิมายืน
๓๙๕
๓๙๖ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๕.๔ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ มีจำนวนน้อยมากที่สำคัญได้แก่
พระประธานในพระอุโบสถวัดเครือวัลย์วรวิหาร (รูปที่ ๘.๓๕) ซึ่งเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุณยรัตพันธุ์)
ผู้เป็นบิดาของเจ้าจอมเครือวัลย์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ และ
ทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งพระราชทานชื่อว่า “วัดเครือวัลย์” (ราชบัณฑิตสภา ๒๔๗๒, ๒๙)
พระพุทธปฏิมาองค์นี้แตกต่างจากแบบอยุธยา คือ พระวรกายเป็นท่อนตรง ชายจีวรด้านหลัง ตั้งมุมกับ
ชายจี ว รด้ า นหน้ า และยาวลงมาถึ ง ขอบสบง ซึ่ ง ลั ก ษณะดั ง กล่ า วยั ง พบในพระพุ ท ธปฏิ ม า พบที่ วั ด
สุนทราวาส อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (รูปที่ ๘.๓๖) ซึ่งพระอารามแห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระ
นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบทุนสร้างพระอุโบสถอีกด้วย จึงเป็นไป
ได้ว่าพระพุทธปฏิมาองค์นี้ จะสร้างขึ้นในรัชกาลนี้เช่นกัน (การศาสนา เล่ม ๓, ๒๕๒๗, ๘๔๑)
พระพุทธปฏิมายืน
๓๙๗
พระร่วงโรจนฤทธิ์
จากที่มิได้สร้างพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ มาหลายรัชกาลแล้ว ทำให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงนเรศรวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า-
เจ้าอยู่หัว ตามที่มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์หล่อพระพุทธปฏิมายืน ซึ่งได้อัญเชิญชิ้น
ส่วนของพระเศียร (รูปที่ ๘.๓๗ ก.) พระหัตถ์ข้างหนึ่ง และพระบาท “ซึ่งสันนิษฐานได้แน่ว่าเป็นพุทธรูป
ยืนห้ามญาติ” (เรื่องพระปฐมเจดีย์ ๒๕๒๘, ๒๓๓) มาแต่เมืองสวรรคโลก ว่าเป็นการยากลำบากมาก
และการปฏิสังขรณ์หรือหล่อพระยืนใหญ่เช่นนี้ ช่างยังไม่เคยกระทำเพราะ
พระยืนแต่โบราณมาก็ย่อมมีอยู่น้อยองค์ และการหล่อพระใหญ่ไม่ได้หล่อกันมา
เสียนานแล้ว มีแต่พระพุทธชินราชพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงจำลอง
ขึ้นครั้ง ๑ ก็เป็นพระนั่ง ไม่สู้จะยากและลำบากเหมือนพระยืนสูงใหญ่เช่นครั้งนี้
(เรื่องเดียวกัน, ๒๓๑)
และเมื่อหล่อแล้วเสร็จจึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่พระปฐมเจดีย์ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ (ค.ศ. 1914) และ
ได้รับพระราชทานพระนามว่า “พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ธรรมโมภาส มหาวชิราวุธราชปูชนิยบพิตร”
รูปที่ ๘.๓๗ ก. เศียรพระร่วงโรจนฤทธิ์
(รูปที่ ๘.๓๗ ข)
ขุดได้จากวัดเขาใหญ่ สวรรคโลก
จังหวัดสุโขทัย ปีพ.ศ. ๒๔๕๑
พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ พระองค์นี้จึงมีส่วนในการสร้างความเจริญรุ่งเรือง ให้กับชาติไทยในอดีต
(ค.ศ. 1908)
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓
โดยผ่านการสร้างภาพลักษณ์ให้กับอาณาจักรสุโขทัย
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17)
พระพุทธปฏิมายืนยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย อันเป็นที่รู้จักกันในนามของ “ปางห้ามญาติ”
หรือ “ห้ามพยาธิ” จึงกลับมาเป็นที่แพร่หลายอีกครั้งหนึ่งในปัจจุบันเพราะทำหน้าที่เป็นพระพุทธปฏิมา
ประจำวันจันทร์ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าพระพุทธปฏิมาสำหรับบูชาพระเคราะห์ กำหนดตามนพเคราะห์
สำหรับบูชาตามหลักคัมภีร์มหาทักษา (ดูบทที่ ๒ หัวข้อ ๔.๑ หน้า ๓๖) ตาม ตำราพระพุทธปฏิมาปาง
ต่างๆ ตามมติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสนั้น วันจันทร์เป็น “พระห้ามสมุทร” คือ
ยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างประทานอภัย (ตำราพระพุทธปฏิมาปางต่าง ๆ ๒๕๓๔, ๒๙, ๕๖) ซึ่งตำรานี้ยัง
คงใช้มาจนปี พ.ศ. ๒๕๐๔ (ค.ศ.1961) เช่นใน ตำนานปางพระพุทธปฏิมาประจำวันชาตา (อริยกวี ๒๕๐๔ ,
๕-๑๐) ก็ยังคงเป็น พระห้ามสมุทรประจำวันจันทร์ ต่อมาพระพิมลธรรมยืนยันว่า
สำหรับพระพุทธรูปที่ถือเป็นพระประจำวันจันทร์นั้น ต้องเป็นพระปางห้ามญาติ
หรือจะเรียกว่า ห้ามพยาธิ์ ก็ตามเถิด เป็นพระยกพระหัตถ์ขวาขึ้นห้ามข้างเดียว
(พิมลธรรม ๒๕๓๓, ๙๔)
ส่วนปางห้ามสมุทร ซึ่งยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นประทานอภัยนั้น “เรียกเต็มว่า ปางห้ามพระ
ญาติแย่งน้ำในสมุทร” (เรื่องเดียวกัน, ๘๗)
รูปที่ ๘.๓๗ ข.
พระร่วงโรจนฤทธิ์
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๕๖ (ค.ศ. 1913)
สัมฤทธิ์ สูง ๖.๘๐ เมตร
พระวิหารด้านทิศเหนือพระปฐมเจดีย์
จังหวัดนครปฐม
(รูปที่ ๘.๓๗ ก.)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๐๑
๔๐๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๘.๓๙ ก. พระร่วง
ความคิดเกี่ยวกับจักรพรรดิราช ที่แพร่หลายในช่วงระยะเวลานี้ น่าจะเป็นเหตุหนึ่งที่นำมาสู่
ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ (ค.ศ. 1569) เพราะทั้งพระมหาธรรมราชาช้างเผือก
(ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 15)
สัมฤทธิ์ สูง ๒.๗๕ เมตร
(พระเจ้าบุเรงนอง) และสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ต่างก็แย่งชิงกันเพื่อเป็น พระมหาจักรพรรดิราชา ซึ่ง
อุโบสถวัดท่าไชยศิริ
มีได้เพียงพระองค์เดียว (สุเนตร ๒๕๓๙, ๙๗ – ๑๓๑)
อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี
จากบันทึกของ ฌาคส์ เดอ คูทร์ (Jacques de Coutre) ซึ่งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๑๓๙
(ค.ศ. 1596) ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรซึ่งกล่าวว่า
ข้าราชการท่านหนึ่งได้พาข้าพเจ้าไปในวิหารแห่งหนึ่งมีขนาดใหญ่มาก คล้ายกับ
โบสถ์ของเรา เต็มไปด้วยพระพุทธรูปทองคำและเงินหลายองค์ทรงสวมพระ
อุณหิสที่พระเศียร (De Coutre 1988, [n.p.])
หลักฐานของ เดอ คูทร์ สอดคล้องกับรูปแบบของพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย
ทรงสวมเพียงอุณหิส (เรียกว่าแบบทรงเครื่องน้อย) (รูปที่ ๘.๓๙ ก.) และแบบที่ ทรงสวมอุณหิส กรองศอ
ทับทรวง พาหุรัด และทองพระกร (เรียกว่าแบบทรงเครื่องใหญ่) (รูปที่ ๘.๔๐) พระพุทธปฏิมาทั้งสอง
กลุ่มนี้พบอยู่ด้วยกันในพระอุระ และพระพาหาเบื้องซ้ายของพระมงคลบพิตร (ณัฏฐภัทร ๒๕๔๙, ๑๖ -
๑๗, ๒๑ - ๒๓) ซึ่งน่าจะสร้างขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16)
พระพุทธปฏิมาที่จัดอยู่ในกลุ่มที่เก่าสุดของพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องน้อยอยุธยา เท่าที่ปรากฏ
ได้แก่ พระประธานพระอุโบสถ วัดท่าไชยศิริ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี (ดูรูปที่ ๘.๓๙ ก.) ทรง
ครองจีวรห่มคลุมพระอังสา ขอบจีวรด้านข้างทอดขนานกับพระเพลาและพระชงฆ์ ขอบสบงด้านบนคาด
ด้วยรัดประคด หน้านางสบงมีกรอบเป็นเส้นคู่ อุณหิสแต่งด้วยลายประคำและประจำยาม ขอบบนเป็น
กลีบบัว คล้ายกับอุณหิสของเศียรพระโพธิสัตว์ สัมฤทธิ์ (รูปที่ ๘.๓๙ ข.) ๑ ในจำนวนพระโพธิสัตว์ ๕๕๐
ชาติ ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๐๑
(ค.ศ. 1458) (McGill 1993, 412 – 448) นอกจากนั้นแล้ว มงกุฎที่ตกแต่ง
ด้วยกระจัง ยอดเป็นลูกแก้ว ยังปรากฏบนเศียรพระโพธิสัตว์ที่หล่อขึ้น
พร้อมกันอีกด้วย (เรื่องเดียวกัน, Fig. 4) พระพุทธปฏิมาองค์
นี้จึงอาจจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่
๒๑ (ครึ่งหลัง คริสต์ศตวรรษที่ 15)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๐๓
รูปที่ ๘.๔๐ พระสมณโคดมยืน
พระหัตถ์ขวาประทานอภัย
ทรงเครื่องใหญ่
ได้จากจังหวัดเพชรบุรี
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑
(ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16)
สัมฤทธิ์ สูง ๑.๙๖ เมตร
พระระเบียง
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
กรุงเทพมหานคร
๔๐๔ พระพุ
พระพุททธปฏิ
ธปฏิมมาา อัอัตตลัลักกษณ์
ษณ์พพุทุทธศิ
ธศิลลป์ป์ไไทย
ทย
พระพุทธปฏิมาที่อาจจะสร้างขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16) น่าจะได้แก่
พระพุทธปฏิมาได้จากเพชรบุรี ในพระระเบียง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (ดูรูปที่ ๘.๔๐) มีพระเมาลี
ซ้อนกันสามชั้น ทรงอุณหิสและกรองศอที่ตกแต่งด้วยลายประจำยาม และลายกลีบบัว ห้อยทับทรวง
สวมพาหุรัดและทองพระกร ขอบสบง ด้านบนคาดด้วยรัดพระองค์ ตกแต่งด้วยลายประจำยาม และ
สุวรรณกระถอบ หน้านางลายรักร้อยกลีบบัว ใกล้เคียงกับลายเขมร
กลุ่มที่กำหนดอายุอยู่ในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 16 – กลาง
17) มักจะเป็นพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องใหญ่ ซึ่งมีลักษณะที่พ้องกันคือ พระขนงเป็นเส้นคมพบกัน
กึ่งกลางพระนาสิก สันพระนาสิกเป็นเส้นเช่นกัน พระเนตรเหลือบลง พระเมาลีทรงกรวยสูง เป็นชั้นซ้อน
ลดหลั่นกัน อุณหิสทำเป็นครีบเหนือพระกรรณ กรองศอตกแต่งด้วยลายก้านขด และกระจังตาอ้อย สวม
พระกุณฑล ห้อยทับทรวง สวมพาหุรัด และทองพระกร เช่นองค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๔๑) ทรงยืนบนฐานบัวหงายเหนือฐานหน้ากระดานแปดเหลี่ยม และใน
วิหารสมเด็จฯ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปที่ ๘.๔๒) ทรงยืนบนฐานบัวแวง มีพวยเป็นทางน้ำไหล
สำหรับเวลาสรงน้ำ เหนือฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยม
พระพุทธปฏิมายืน
๔๐๕
(๒) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
พระพุทธปฏิมาในหอศาสตราคม พระบรมมหาราชวัง (รูปที่ ๘.๔๓ ก.) พระเมาลีหักหายไปและ
พระเศียรหักที่พระศอ แต่ทรงอุณหิสที่ตกแต่งด้วยอัญมณีหลากหลาย ทรงคาดรัดพระองค์ ปั้นเหน่งเป็น
ลายดอกดาวกระจาย ทรงยืนบนฐานบัวแวง มีพวย เหนือฐานหน้ากระดาน แปดเหลี่ยม พระพุทธปฏิมา
องค์นี้น่าจะเป็นพระพุทธปฏิมาสำคัญ เพราะถึงแม้ว่า พระเศียรหักที่พระศอ (รูปที่ ๘.๔๓ ข.) ก็ยังนำมา
เก็บรักษาไว้ในพระบรมมหาราชวัง เพราะตามประเพณีแล้วจะไม่เก็บพระพุทธปฏิมาที่ชำรุดไว้แม้แต่ในบ้าน
พระพุทธปฏิมายืน
๔๐๗
หมวด ช.
ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร
๗. พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย
พระหัตถ์ขวาประทานพร
พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร
สมัยอาณาจักรกัมโพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351)
พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร พบเพียงไม่กี่องค์
เช่น องค์ที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๘.๔๗) จากพุทธลักษณะ
อันได้แก่ พระเกศาเป็นเส้นถัก พระเมาลีเป็นฐานเตี้ย มีกระจังประดับทั้งสี่ด้าน รัศมีเป็นกรวยเรียบ
เทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาประทานอภัย แบบกัมโพช ในพระที่นังอัมพรสถาน
พระราชวังดุสิต (ดูรูปที่ ๘.๑๙) ทรงครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับเป็นริ้ว คล้ายกับพระพุทธปฏิมา
นาคปรก พบที่วัดหัวเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจารึกสร้างปี พ.ศ. ๑๘๒๒ หรือ ๑๘๓๔
(ค.ศ. 1279 หรือ 1291) (ดูรูปที่ ๕.๑๗๘) ขอบสบงตอนบนคาดด้วยรัดพระองค์ หน้านางมีลวดลาย แสดง
ให้เห็นว่าพระพุทธปฏิมาองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นในคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ ในช่วงกลางของพุทธศตวรรษที่
๑๙ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13)
อีกองค์หนึ่งพระรัศมีรูปโอคว่ำ มีใบโพธิ์ประดับอยู่ด้านหน้า ครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับทบ
รูปที่ ๘.๔๗ พระพุทธรูปยืน
เป็นริ้ว ขอบสบงด้านบนและหน้านางมีเส้นขนานเป็นกรอบ (Boriband Buribhand and Griswold
พระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย
1951, Fig. 17) จากลักษณะของพระรัศมีรูปโอคว่ำและรูปแบบของจีวร ซึ่งเทียบเคียงได้กับพระพุทธ
พระหัตถ์ขวาประทานพร
ปฏิมาแบบ “สมัยอู่ทอง แบบที่ ๑” กำหนดอายุอยู่ในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ครึ่งแรกคริสต์
เสี้ยวที่สองพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(เสี้ยวสุดท้ายคริสต์ศตวรรษที่ 13)
ศตวรรษที่ 14)
สัมฤทธิ์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระพุทธปฏิมายืน
๔๐๙
หมวด ฌ.
ปางห้ามพระแก่นจันทน์
๙. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์
“ห้ามพระแก่นจันทน์” เป็นชื่อเรียกปางของพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย
ห้อยพระหัตถ์ขวาขนานกับพระเพลา ดังที่กล่าวถึงใน โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก จังหวัด
อ่างทอง ในสมัยอยุธยาตอนปลาย พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศเมื่อครั้งดำรงพระราช-
อิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๐ (ค.ศ. 1727) ความว่า
ขอพรพระพุทธห้าม แก่นจันทร์
ห้ามสิ่งสรรพอาธรรม์ ผ่องแผ้ว
(Griswold and Nฺa Nagara 1970, 195)
พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ เป็นแบบที่สร้างขึ้นในช่วงที่คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ
เจริญรุ่งเรืองอยู่ในรัฐกัมโพช และเป็นที่แพร่หลายในกรุงศรีอยุธยาตลอดจนรัตนโกสินทร์ แต่มีจำนวน
น้อยกว่าแบบยืนยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัยมาก
๙.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์
สมัยอาณาจักรกัมโพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351)
ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมายืนปางห้ามพระแก่นจันทน์ (รูปที่ ๘.๔๘) จะเป็น ๑ ใน ๗ องค์ ที่แต่เดิม
ประดิษฐานในพระระเบียงวัดพระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสลักจากศิลาทราย
สีแดงที่ได้จากเขานางฮี ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๖ กิโลเมตร (Boribal Buribhand and Girswold
1951, 15 - 17) โดยที่ ๕ องค์ แสดงปางห้ามพระแก่นจันทน์ และอีก ๒ องค์ แสดงปางห้ามญาติ ก็ตามที
แต่จากพุทธลักษณะแล้วน่าจะได้รับรูปแบบมาจากรัฐกัมโพช ที่อยู่ตอนบนของอ่าวไทย อันเห็นได้จากพระ
เมาลีเตี้ย พระรัศมีเกลี้ยงรูปโอคว่ำ มีใบโพธิ์ประดับหน้าพระรัศมี ครองจีวรห่มดอง ขอบสบงด้านบนเว้า
ขึ้นตรงกลางรับกับปั้นเหน่งรูปประจำยาม ขอบสบง และหน้านางมีเส้นขนานเป็นกรอบ ชายจีวรพับทบ
ซ้อนกันเป็นรูปแบบของท้องถิ่น (ดูรูปที่ ๕.๑๗๘) กำหนดอายุอยู่ในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 14)
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
๙.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ สมัยอยุธยา
ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ องค์สำคัญที่สร้างขึ้นในกรุงศรีอยุธยาน่าจะได้แก่
พระโลกนาถศาสดาจารย์ ในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (รูปที่ ๘.๔๙)
ดังที่ศิลาจารึกครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ในพระวิหารพระโลกนาถ บันทึกไว้ว่า
พระพุทธรูปยืนสูงยี่สิบศอก ทรงพระนามว่าพระโลกนาถสาศดาจารย์ ปรักหัก
พังเชิญมาแต่วัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงเก่า ปฎิสังขรณ์เสร็จแล้วเชิญประดิษฐาน
ใน พระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง บรรจุพระบรมธาตุด้วย (ประชุมจารึกวัด
พระเชตุพน เล่ม ๑ ๒๔๗๒, ๓-๔)
พระพุ ท ธปฏิ ม าสู ง ๒๐ ศอก (๑๐) เมตร ที่ ไ ด้ รั บ การกล่ า วถึ ง ในบั น ทึ ก สมั ย อยุ ธ ยาได้ แ ก่
พระติโลกนารถ ซึ่งหนังสือ คำให้การชาวกรุงเก่า กล่าวว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงมีชัยชนะแก่
พระมหาอุปราชแล้ว (พ.ศ. ๒๑๓๕ / ค.ศ. 1592) จึงขยายพระนครให้กว้างขึ้น แล้ว
จึงให้สร้างพระพุทธปฎิมากร สูง ๒๐ ศอก พระองค์ ๑ สำเร็จแล้วก็ทรงบริจาค
พระราชทรัพย์บำเพ็ญ พระราชกุศลฉลองพระพุทธปฎิมากรนั้นเป็นอันมาก
ถวายพระนามว่าติโลกนารถ (คำให้การชาวกรุงเก่า ๒๔๕๗ , ๙๑)
ถึงแม้ว่าพระพักตร์และพระหัตถ์ของพระโลกนาถศาสดาจารย์ จะได้รับการ “ปฎิสังขรณ์” ซึ่ง
หมายถึงการแก้ไขให้ “ถูกต้องด้วยพระอรรถคถาบาลี” เช่น นิ้วพระหัตถ์ยาวเท่ากัน เมื่อครั้งพระบาท
สมเด็ จ พระพุ ท ธยอดฟ้ า จุ ฬ าโลกทรงอั ญ เชิ ญ มาประดิ ษ ฐานในพระวิ ห ารด้ า นทิ ศ ตะวั น ออกมุ ข หลั ง
วัดพระเชตุพนฯ แต่ลักษณะของชายจีวรด้านหน้าที่พาดเฉียงข้ามพระเพลาไปที่บั้นพระองค์ด้านซ้ายใต้
พระกัปประ (ข้อศอก) แสดงให้เห็นความพยายามที่จะเลียนแบบลักษณะธรรมชาติของชายจีวรที่ถูกรั้ง
เมื่อยกพระกรขึ้น สะท้อนให้เห็นอิทธิพลจากทฤษฎีเหมือนจริงของศิลปะตะวันตก ซึ่งเริ่มเข้ามาแพร่หลาย
ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 16) เป็นต้นมา จึงเป็นไปได้ว่า
พระโลกนาถศาสดาจารย์เป็นองค์เดียวกันกับพระติโลกนารถ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างขึ้นในช่วง
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16) โดยเฉพาะที่ทั้งสององค์สูง ๒๐ ศอกเท่ากัน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถวายพระนามใหม่ว่า “พระพุทธโลกนาถราชมหาสมมติวงค์
องศ์อนันตญาณสัพพัญญู สยัมภูพุทธบพิตร”
พระพุทธปฏิมายืน
๔๑๑
๓๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธปฏิมาที่เชื่อกันว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมา
จากวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยาอีกองค์หนึ่ง ได้แก่พระพุทธปฏิมายืนปางห้ามพระแก่นจันทน์
ในพระวิหารยอด วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (รูปที่ ๘.๕๐) (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๖๒) พระพุทธปฏิมาองค์นี้
พระเมาลีและพระรัศมีได้อันตรธานไป พระขนงเป็นเส้นคมโค้งบรรจบกันเหนือสันพระนาสิก พระเนตร
เหลือบต่ำ ใบพระกรรณกางและโค้งเข้าหาพระศอ ครองจีวรห่มคลุม ชายจีวรด้านหลังยื่นออกมาเป็นมุม
แหลม พุทธลักษณะโดยรวมคล้ายกับพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย ที่วัดเขาอ้อ
อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (ดูรูปที่ ๘.๓๔) ซึ่งกำหนดอายุอยู่ในช่วงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
พระพุทธปฏิมายืน
๔๑๓
๙.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุ ท ธปฏิ ม ายื น ปางห้ า มพระแก่ น จั น ทน์ ที่ ส ร้ า งขึ้ น ในสมั ย รั ต นโกสิ น ทร์ สร้ า งขึ้ น เป็ น
พระพุทธปฏิมาประจำวันอังคาร แทนพระพุทธปฏิมาไสยาสน์ อันสืบเนื่องจากพระราชดำริของพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงเห็นว่า พระพุทธปฏิมา ปางไสยาสน์ซึ่งเป็นพระพุทธปฏิมาประจำ
วันอังคารนั้น ไม่สมควรที่จะเป็นพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารของพระองค์ เพราะว่าเมื่ออัญเชิญ
ไปประดิษฐานในพระราชพิธีพร้อมกับพระพุทธปฏิมาองค์อื่นๆ แล้ว ดูไม่งดงาม จึงทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธปฏิมา ปางห้ามพระแก่นจันทน์ คือพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้าย
ประทานอภัย เป็นพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวาร แทนพระพุทธไสยาสน์ (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๓๖๒)
พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีพระเมาลี
ทรงครองจีวรห่มดอง พาดสังฆาฏิยาวถึงพระชงฆ์ ตามแบบพระภิกษุคณะธรรมยุติกนิกาย จีวรทำเป็น
ริ้วตามธรรมชาติ (ดูรูปที่ ๓.๔๘) ซึ่งพระพุทธลักษณะดังกล่าวยังเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธปฏิมา
ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สร้างอุทิศส่วนพระกุศลพระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้า
จันทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกษัตรีย์ (ศิลปากร ๒๕๒๕ ก, ๒๒) สมเด็จพระโสทรกนิษฐภคินี
ของพระองค์ ประดิษฐานหน้าพระประธาน พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส (ดูรูปที่ ๓.๗๐) แต่แตกต่าง
รูปที่ ๓.๔๘ พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
จากพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารตรงที่มีพระเมาลี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. ๒๔๑๑ – ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1868 - 1910)
ทองคำ สูงรวมฐาน ๓๔.๖๐ เซนติเมตร
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวาร
หอพระบรมอัฐิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระราชทานสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระองค์ทรงดำเนินตามรอยสมเด็จพระ
พระบรมมหาราชวัง
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา บรมชนกนาถโดยใช้ พ ระพุ ท ธปฏิ ม าปางห้ า มพระแก่ น จั น ทน์ เป็ น พระพุ ท ธปฏิ ม าประจำวั น อั ง คาร
ในพระบรมมหาราชวัง)
แทนพระพุทธไสยาสน์ พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
(ดูรูปที่ ๓.๕๓) มีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระ
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ดูรูปที่ ๓.๓๕) คือ พระเกศาเกล้าเป็นพระเมาลี ตามอย่างพระพุทธปฏิมาอินเดียแบบ
คันธารราษฎร์ ครองจีวรห่มดองแบบพระภิกษุคณะมหานิกาย จีวรและสบงทำเป็นริ้วตามธรรมชาติ
พระพุทธปฏิมาองค์นี้หล่อขึ้นพร้อมกันกับพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมพรรษา และประจำพระชนมวาร
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล (ดูรูปที่ ๓.๒๕) ในปี พ.ศ.
๒๔๖๙ (ค.ศ. 1926) (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๔๕๗) ภายใต้การควบคุมดูแลของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา
นริศรานุวัดติวงศ์
พระพุทธปฏิมายืน
๔๑๕
หมวด ฎ.
ปางห้ามสมุทร
๑๑. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร
พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างประทานอภัย ปัจจุบันเรียกว่า “พระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร”
ซึ่งปางนี้ได้รับการกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมโกศใน โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์
วัดป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ว่า
ขอพรพระพุทธห้าม สมุทไทย
ห้ามชลาไลยไหล ขาดค้าง
(Griswold and Nฺa Nagara 1970, 195)
พระพุทธปฏิมายืนปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธปฏิมาหมวดใหญ่ ที่มีการสร้างแพร่หลายเริ่ม
ตั้งแต่สมัยอาณาจักรกัมโพช จนถึงรัตนโกสินทร์และเป็นที่นิยมในอาณาจักรล้านนาและล้านช้าง
๑๑.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร
รูปที่ ๘.๕๒ พระสมณโคดมยืนยกพระหัตถ์
สมัยอาณาจักรกัมโพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351)
ทั้งสองข้างประทานอภัย
ได้จากโคปุระชั้น ๓ ด้านทิศตะวันออก
พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ครองจีวรห่มคลุม เกิดขึ้นพร้อมกับคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ
ปราสาทพระขรรค์
เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา
โดยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระพุทธปฏิมาเขมร เช่นพระพุทธปฏิมาศิลาที่นายคอมมาย (Commaille)
ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๙
ภัณฑารักษ์ชาวฝรั่งเศสคนแรกที่ดูแลโบราณสถานที่เมืองพระนคร (Angkor) พบในโคปุระชั้นที่ ๓ ด้าน
(ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13)
ทิศตะวันออกของปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักวิชาการว่า กลุ่ม “พระพุทธรูป
ศิลา สูง ๑.๗๘ เมตร
Musée national des Arts Asiatiques
แบบคอมมาย (Commaille)” (รูปที่ ๘.๕๒) (Jessup and Zééphir 1997, 337) พระพุทธปฏิมาในกลุ่มนี้
Guimet, Paris
เป็นพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในนิกายเถรวาท หลังจากที่ลัทธิวัชรยานในกัมพูชาล่มสลายลง
พระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์ของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (รูปที่ ๘.๕๓) แสดงให้เห็นการปรับ
เปลี่ยน “พระพุทธปฏิมาแบบคอมมาย” ให้รับกับค่านิยมของรัฐกัมโพช เช่น พระรัศมีเป็นลูกแก้ว มี
ไรพระศกเป็นแถบ ชายจีวรและชายสบงด้านล่างงอนขึ้นที่หน้านาง แต่ยังคงไว้ซึ่งขอบสบงด้านบนที่ยัง
คาดด้วยรัดประคด ส่วนพระพุทธปฏิมาพบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๕๔)
เม็ดพระศกเรียงกันตามแนวนอน พระเมาลีเตี้ยรองรับพระรัศมีลูกแก้ว ทรงกรองศอ และรัดประคด
ทับขอบสบงด้านบน ปั้นเหน่งเป็นดอกจัน หน้านางของสบงมีขอบเป็นลายน่องสิงห์ พระพุทธปฏิมาทั้ง
สามพระองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๑๙
๑๑.๕ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร สมัยรัตนโกสินทร์
ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ทั้ง
สองข้างประทานอภัย จึงมีพระนามว่า “พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร” พระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทรทีอ่ าจ
จะสร้างขึ้นในรัชกาลนี้น่าจะได้แก่ พระพุทธปฏิมางาช้างสลัก ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง (รูปที่ ๘.๖๐) ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ จากวัด
สุนทราวาส อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (ดูรูปที่ ๘.๓๖) คือพระวรกายเป็นท่อนตรง ชายจีวรด้านข้าง
ผายออกเล็ ก น้ อ ย ตอนปลายของชายห้ อ ยลงทำเป็ น มุ ม แหลม หน้ า นางและขอบด้ า นบนของสบง
กลมกลืนไปกับพระวรกาย
พุทธลักษณะข้างต้นยังเป็นของพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว (ดูรูปที่ ๓.๔๖) ซึ่งทรงพระราชสมภพในวันจันทร์ จึงเป็นพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร ถึง
แม้ว่าพระพุทธปฏิมาองค์ปัจจุบันจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตาม
แต่ก็จำลองมาจากองค์เดิม เพราะพระองค์มีพระราชดำริว่า “ซึ่งมีอยู่เก่านั้นง่อนแง่นไม่มั่นคง เจ้าพนักงาน
เชิญไปมาก็ยับเยินไป จึงได้สร้างถวายอีกองค์หนึ่ง” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๗, ๑๐๒ – ๑๐๓)
พระพุทธปฏิมาองค์นี้ครองจีวรห่มคลุม ชายจีวร ด้านหน้าและด้านหลังเว้าโค้งเป็นมุมแหลม ขอบด้านบน
และหน้านางของสบงตีกรอบเป็นเส้น
รูปที่ ๘.๖๐ พระสมณโคดมปางห้ามสมุทร
พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔
(ค.ศ. 1824 - 1851)
พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (รูปที่ ๘.๖๑) ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้า
งาช้าง
มหาศักดิพลเสพ โปรดให้หล่อขึ้นแต่เสด็จทิวงคตเสียก่อนในปี พ.ศ. ๒๓๗๕ (ค.ศ. 1832) พระบาทสมเด็จ
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จ (ณัฏฐภัทร ๒๕๔๕,
๒๑๗) พระพุทธปฏิมาองค์นี้พุทธลักษณะคล้ายกับพระอัฏฐารส ปางห้ามสมุทรสูง ๓ เมตร ๒ องค์ ใน
มุขด้านตะวันออก และด้านตะวันตกของพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร (รูปที่ ๘.๖๒) ซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สมโภชในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ (ค.ศ. 1844) (วัดบวรนิเวศวิหาร ๒๕๐๔,
๑๑) คือครองจีวรห่มดอง ชายพับเป็นแผ่นยาวจรดพระนาภี จีวรแนบไปกับสบง หน้านางและขอบด้านบน
ของสบงตีกรอบเป็นเส้น
พระพุทธปฏิมายืน
๔๒๓
๑๒. พระบางเจ้า
พระพุทธปฏิมายืนยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างประทานอภัย ปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธปฏิมาที่
นิยมแพร่หลายในล้านช้าง เพราะทุกองค์เป็นพระปฏิมาจำลองของ “พระบางเจ้า” พระพุทธปฏิมาคู่บ้าน
คู่เมืองของลาว ประวัติของพระองค์นั้นปรากฏควบคู่ไปกับประวัติศาสตร์ของประเทศ กล่าวคือ เมื่อ
พญาฟ้างุ้มแหล่งหล้าธรณี (พ.ศ. ๑๘๙๖ – ๑๙๑๕ / ค.ศ. 1353 – 1372) รวบรวมดินแดนทั้งสองฝั่งโขง
ให้เป็นผืนแผ่นดินเดียวกันแล้ว ทรงทูลขอพระเจ้ากรุงกัมพูชา พระสสุระของพระองค์ ให้ ทรงส่ง
พระเถระและพระไตรปิฎก เพื่อประดิษฐานนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกา ในอาณาจักรของพระองค์
พระเจ้ากรุงกัมพูชาจึงส่งคณะธรรมทูต พร้อมกับพระพุทธรูปพระบางเจ้ามาในปี พ.ศ. ๑๙๐๒ (ค.ศ.
1359) เมื่อถึงเมืองเวียงคำ (60 กิโลเมตร เหนือเมืองเวียงจันท์) พระบางเจ้าไม่ยอมเสด็จต่อไปยังเมือง
เชียงดง – เชียงทอง (นครหลวงพระบาง) จึงต้องประดิษฐานไว้ที่นั่น (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๖๔)
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๑๑ (ค.ศ. 1468) พญาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้วอัญเชิญพระบางเจ้าไปเมือง
เชียงดง – เชียงทอง ทางน้ำโขง เรืออับปางลง พระบางเจ้าจมน้ำหายไป แต่ “แสดงปาฏิหาริย์เสด็จ
กลับคืนไปประดิษฐานที่เมืองเวียงคำตามเดิม” (เรื่องเดียวกัน, ๗๐)
ในปี พ.ศ. ๒๐๔๕ (ค.ศ. 1503) พญาวิชุลราช ได้อัญเชิญพระบางเจ้าไปประดิษฐานไว้ที่เมือง
เชียงดง – เชียงทอง ซึ่งนับแต่นั้นมา จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นนครหลวงพระบาง และเมื่อทรงสร้างวัดวิชุล-
มหาวิหารแล้วเสร็จในสองปีต่อมา จึงอาราธนาพระบางเจ้าไปประดิษฐาน ณ พระอารามแห่งนี้
เมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18) อาณาจักรล้านช้างแบ่งแยก
ออกเป็นสามนคร อันได้แก่ หลวงพระบาง (ภาคเหนือ) เวียงจันท์ (ภาคกลาง) และจำปาสัก (ภาคใต้)
พระเจ้าไชยองค์เว้ หรือพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ เจ้ามหาชีวิต ผู้ครองนครเวียงจันท์จึงอัญเชิญ
พระบางเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่วัดป่าสักหลวง นครเวียงจันท์ ในปี พ.ศ. ๒๒๔๘ (ค.ศ. 1705)
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกอบกู้เอกราชจากพม่าได้แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ พร้อมกับเจ้าพระยาสุรสีห์ ผู้น้อง ยกทัพไปตีนครเวียงจันท์ในปี พ.ศ. ๒๓๒๑
(ค.ศ. 1778) และเมื่อตีได้แล้วจึงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและพระบางเจ้ามายังกรุงธนบุรี
(จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๘๒, ๑๐) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ (ค.ศ. 1782) เมื่อปราบดาภิเษกแล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า “เสด็จข้ามฟากฝั่งมหรณพ เฉลิมภพกรุงทวารวดี พระโองการให้ฐาปนา
ที่ท้องสนามใน เป็นพระอุโบสถหอไตรย์เสร็จ เชิญพระแก้วมรกฎมาประดิษฐาน” แต่ “พระบางประทาน
คืนไปเวียงจัน” (เรื่องเดียวกัน, ๑๘, ๒๐) ทั้งนี้เพราะว่า “ผีซึ่งรักษาพระแก้วมรกต กับผีซึ่งรักษาพระบาง
เป็นอริกัน พระพุทธปฏิมา ๒ พระองค์นั้นอยู่ด้วยกันในที่ใด มักมีเหตุภัยอันตราย” นอกจากนั้นแล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระราชดำริว่า “พระบางก็ไม่ใช่พระพุทธปฏิมาซึ่งมีลักษณะ
งาม เป็นแต่พวกชาวศรีสัตนาคนหุตนับถือกัน” (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๖๕ – ๖๖)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๒๕
๑๒.๑ พระบางเจ้าจำลอง สมัยล้านช้าง
ช่วง ๓ นครรัฐ พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ (ค.ศ. 1703 – 1789)
ใช่แต่การจำลองพระบางเจ้าจะเลียนแบบตามพุทธลักษณะขององค์ที่เป็นต้นแบบ แต่ยังมีการ
จำลองที่ไม่คำนึงถึงความเหมือนอีกด้วย เช่นพระบางเจ้าจำลองในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์
จังหวัดนครราชสีมา (รูปที่ ๘.๖๗) ซึ่งมีพระรัศมีเป็นเปลวสูง ชายจีวรด้านล่างเว้าโค้ง แทนแหลมตรง
ส่วนฐานเหลี่ยมบัวหงายสองชั้น รองรับด้วยฐานหน้ากระดาน มุมทั้งสี่ด้านงอนขึ้น อันเป็นแบบของสกุล
ช่างเวียงจันท์ ในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 18)
ส่วนพระบางเจ้าจำลอง วัดไตรภูมิ อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม (รูปที่ ๘.๖๘) นั้น มีจารึก
ระบุว่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๘ (ค.ศ. 1765) ได้จากถ้ำเหิบ ประเทศลาว เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ (ค.ศ.
1907) (ฉะอ้อน ๒๕๔๘, ๓ – ๗) มีความสูงถึง ๒ เมตร รัศมีเปลวสูง พระพักตร์แบบพุทธรูปสกุลช่าง
เวียงจันท์ รัดประคดและหน้านางของสบงตกแต่งด้วยลายเครือเถาและหินสี ฐานรองรับด้วยช้างที่มี
ควาญถือง้าวนั่งอยู่บนคอช้างทั้งแปดเชือก และมีห่วงสี่ห่วงที่หน้ากระดานของฐานสำหรับสอดคานหาม
พระบางเจ้าจำลองที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้สร้างพระปฏิมา หรือ รูปจำลอง มิได้
ติดอยู่กับพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาที่เป็นต้นแบบ แต่สร้างขึ้นตามความศรัทธาและค่านิยมของ
ท้องถิ่น
พระพุทธปฏิมายืน
๓๕
หมวด ฏ.
ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง
๑๓. พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง
๑๓.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง
สมัยอาณาจักรกัมโพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351)
พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างประทานอภัย ทรงเครื่อง แรกสร้างขึ้นในคณะ
กัมโพชสงฆ์ปักขะ และอาจจะหมายถึงพระสมณโคดมในเครื่องทรงของพระจักพรรดิราช (ดูรูปที่ ๔.๒๐)
ต่อมาเมื่อนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกาเป็นที่แพร่หลายขึ้น เครื่องทรง จึงลดน้อยลงและหายไป
ในที่สุด
พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นที่รัฐกัมโพช เช่นที่ได้จากวัดมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบูรณ์
(รูปที่ ๘.๗๐) แสดงให้เห็นการผสมผสานกันระหว่างเครื่องทรงจากเมืองพระนคร เช่น อุณหิส กุณฑล
กรองศอ พาหุรัด ทองพระกร ทองพระบาท กับค่านิยมท้องถิ่น ดังเช่นขอบสบงด้านบนที่เว้าลงใต้
พระนาภี คาดด้วยรัดประคด และหน้านางที่ปราศจากลวดลาย
ส่วนองค์ที่ได้จากจังหวัดสิงห์บุรี (รูปที่ ๘.๗๑) ไม่สวมอุณหิส พระเกศาเป็นเส้นถัก พระรัศมี
เป็นกรวยเรียบ มีกระจังที่หน้าพระนลาฏ และเหนือพระกรรณ ทรงกุณฑล กรองศอ ทองพระกร
ขอบสบงด้านบนคาดด้วยรัดพระองค์ ปั้นเหน่งลายประจำยาม ชายจีวรและชายหน้านางของสบงงอน
รับกัน คล้ายกับของพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร “แบบคอมมาย” ของวัดพระเชตุพนวิมล-
มังคลาราม (ดูรูปที่ ๘.๕๓) พระพุทธปฏิมาในกลุ่มนี้น่าจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(ครึ่งหลังคริสต์ ศตวรรษที่ 13)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๓๑
(๒) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 - 1688) งานศิลปกรรม
จากเปอร์เซีย เข้ามามีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะในประเทศไทย ทั้งนี้พระมหากษัตริย์พระองค์
นั้น “ทรงใฝ่พระทัยในศิลปะวิชาการต่างๆ ... รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีด้วย พระองค์ถึงกับทรงหา
รูปภาพที่แสดงถึงขนบธรรมเนียมของประเทศอื่นๆ ไว้ศึกษา” (สำเภากษัตริย์สุลัยมาน ๒๕๔๕, ๕๑ – ๕๒)
นอกจากนั้นแล้ว “ในเขตพระราชฐานของพระเจ้ากรุงสยามนั้น... มีเรือนหลายหลังสร้างโดยพวกอิหร่าน”
(เรื่องเดียวกัน, ๗๕) ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทับทรวงของพระพุทธปฏิมา ทรงเครื่องใหญ่ใน
พระอุโบสถวัดตึก อำเภอพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๗๖ ก.) จะมีลวดลายที่ดัดแปลงมาจากลายในศิลปะ
เปอร์เซีย (รูปที่ ๘.๗๖ ข.) ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมาองค์นี้อาจจะสร้างขึ้นในร่วมสมัยของนายสรศักดิ์
ก็ตาม (Listopad 1995, 415) อนึ่ง อิบนิ มุหัมมัด อิบรอฮีม อาลักษณ์ของคณะราชทูตเปอร์เซียที่เข้ามา
ถวายพระราชสาสน์ในปี พ.ศ. ๒๒๒๙ (ค.ศ. 1686) ยังบันทึกไว้ด้วยว่า สมเด็จพระนารายณ์ “เมื่อทรงตื่น
จากบรรทมแล้วก็ทรงสรงและเปลี่ยนพระภูษา แล้วก็เสด็จไปกราบพระพุทธปฏิมาที่วัด รวมทั้งรูปปั้นของ
พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ตาม” (สำเภากษัตริย์สุลัยมาน ๒๕๔๕, ๗๕) รูปปั้น
ของพระบรมวงศานุวงศ์ดังกล่าวหมายถึงพระพุทธปฏิมาฉลองพระองค์นั่นเอง ข้อมูลดังกล่าวได้รับการ
สนับสนุนจากการวิเคราะห์พระพุทธปฏิมาทรงเครื่องฉลองพระองค์ในพระบรมมหาราชวังของพิชญา
สุ่มจินดา ที่ได้ข้อสรุปว่า พระพุทธปฏิมาฉลองพระองค์ “ส่วนใหญ่มักสร้างขึ้นในขณะที่เจ้านายพระองค์
นั้นยังมีพระชนม์อยู่ เพื่อเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติของผู้สร้าง เพราะต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองรวมทั้ง
ฝีมือช่างที่ประณีตเป็นอันมาก ในการสร้างพระพุทธปฏิมาแต่ละองค์” (พิชญา ๒๕๕๐, ๑๑๗)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๓๓
๑๓.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธปฏิมาทรงเครื่อง ที่สร้างในเมืองชั้นเอกที่สำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาของเจ้าพระยา
นครศรีธรรมราช (พัฒน์) (รูปที่ ๘.๘๐) ซึ่งน่าจะสร้างขึ้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ (ค.ศ. 1784) (ประชุม
พงศาวดาร เล่ ม ๒, ๒๕๐๖, ๒๒๑ – ๒๒๗) ดั ง นั้ น พระพุ ท ธปฏิ ม าองค์ นี้ จึ ง เลี ย นแบบตามพระ
พุทธเพชรรัตน์ (ดูรูปที่ ๓.๖๓ ก.) และพระพุทธเนาวรัตน์ (ดูรูปที่ ๓.๖๔ ก.) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างขึ้น “อย่างใหม่” คือห่มดอง เพื่อที่จะทรงเครื่องต้นให้แนบเนียน
ส่วนพระพุทธปฏิมาที่วัดวัง ตำบลลำปำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดพัทลุง (รูปที่ ๘.๘๑) ทรงครองจีวร
ห่มคลุม “มีปีกแลครีบพระกรอย่างโบราณ” พระพุทธปฏิมาองค์นี้เดิมประดิษฐาน อยู่หน้าพระประธานใน
พระอุโบสถ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องของพระยาพัทลุง (ทับ) ซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งขึ้นเป็นพระยาพัทลุง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๓ (ค.ศ. 1850) ในปี พ.ศ. ๒๔๐๐
(ค.ศ. 1857) ท่านขออุปสมบทที่วัดวัง แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ไป
อุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามในคณะธรรมยุติกนิกายแทน โดยพระราชทานเหตุผลว่าเพื่อเป็น
เกียรติแก่วงศ์ตระกูล (สารูป ๒๕๒๘, ๑๔๗) นอกจากนั้นแล้ว พระยาพัทลุง (ทับ) ยังเป็นผู้ทำการบูรณ-
ปฏิสังขรณ์วัดวังในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ (ค.ศ. 1860) อีกด้วย (ชัยวุฒิ ๒๕๒๔, ๑๔๓) จึงเป็นไปได้ว่า พระพุทธปฏิมา
ทรงเครื่อง ของพระยาพัทลุง (ทับ) นี้น่าจะสร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๓ – ๒๔๐๐ (ค.ศ. 1850 - 1857)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๓๕
ส่วนที่จะสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า
เมื่อรัชกาลที่ ๕ เคยมีการปรึกษาถึงเรื่องสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์
ทูลกระหม่อม แต่เห็นกันเป็นยุติว่าในรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงสร้างพระบรมรูป
ฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆ ขึ้นสักการบูชาเช่นเดียวกับ
เคยสร้ า งเป็ น พระพุ ท ธรู ป ฉลองพระองค์ ม าแต่ ก่ อ นแล้ ว แต่ นั้ น เรื่ อ งสร้ า ง
พระฉลองพระองค์ก็เป็นอันเลิก (สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๔ ๒๕๐๔, ๑๘๑)
อนึ่ง จากเนื้อหาข้างต้นเห็นได้ว่า พระบรมรูปเหมือน ๔ รัชกาล ที่ประดิษฐานในปราสาทพระ
เทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวังนั้น (ดูรูปที่ ๓.๗๑ ก - ง) เป็นการสับเปลี่ยน
พระพุทธปฏิมายืนปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง กับภาพเหมือนจริงตามแนวศิลปะตะวันตก มิได้สร้างขึ้น
แทนเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ลัทธิเทวราช ดังที่ควอริช เวลส์ สันนิษฐาน (Quaritch Wales 1931, 170)
ตามทฤษฎีลัทธิเทวราชของยอร์ช เซเดส์ ที่กล่าวว่าเทวรูปของเขมรเป็นภาพเหมือนของกษัตริย์และ
พระราชวงศานุวงศ์ ซึ่งเมื่อสวรรคตและสิ้นพระชนม์ไปแล้ว จะไปเป็นองค์หนึ่งองค์เดียวกับเทพหรือเทวนารี
ที่พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธา (ยอร์ช เซเดส์ ๒๕๒๙, ๓๕ – ๕๑) แต่ปัจจุบันนี้เชื่อกันว่าลัทธิเทวราชที่เซเดส์
เสนอนั้น เป็นการตีความคำว่า “เทวราช” ที่คลาดเคลื่อน เพราะว่า “เทวราช” หมายถึง “พระราชาของ
เหล่าเทพ ซึ่งได้แก่พระศิวะ” มิใช่ “พระราชาผู้ทรงเป็นเทพ” (Kulke 1978, 13 – 14) อย่างไรก็ตาม ก็ยัง
มีผู้ที่เชื่อถือทฤษฎีของยอร์ช เซเดส์ อยู่มาก
ประเพณีการสร้างพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องฉลองพระองค์ถูกนำกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ค.ศ. 1999) รัฐบาลโดยมีนายชวน
หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตหล่อพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร
มหามงคลเฉลิมพระเกียรติ พระชนมพรรษา ๖ รอบ (ดูรูปที่ ๓.๔๑) เป็นพระพุทธปฏิมาทรงเครื่อง
ห่มคลุม ทรงพระมหามงกุฎกะไหล่ทอง ประดับอัญมณี ขนาดสูงเท่ากับพระองค์ เพื่อถวายแด่พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ศิลปากร ๒๕๔๓ ข, ๙๑) เนื่องในโอกาสมหามงคลนี้
พระพุทธปฏิมายืน
๔๓๗
๑๔.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร สมัยอยุธยา
ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
พระพุทธปฏิมายืนปางอุ้มบาตรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
(รูปที่ ๘.๘๕) ทรงครองจีวรในลักษณะเดียวกันกับพระโลกนาถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ดูรูปที่
๘.๔๙) คือชายจีวรด้านหน้ายกรั้งขึ้นไปที่บั้นพระองค์ด้านซ้ายใต้พระกัปประ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของ
พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย แต่เมื่อเป็นพระพุทธปฏิมาที่พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้น
ประคองบาตร ริ้วจีวรดังกล่าวจึงดูไม่สมเหตุสมผลและแสดงให้เห็นว่าช่างผู้สร้างพระพุทธปฏิมานั้น
อาจจำลองแบบมาจากพระพุทธปฏิมายืนยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย ปางห้ามญาติ
ในทางตรงกันข้ามพระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปที่ ๘. ๘๖)
จำลองแบบมาจากพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ เพราะริ้วของจีวรด้านหน้าพาดพระชงฆ์และพระเพลา
ไปสู่ใต้พระกัปประด้านขวา ซึ่งทั้งสองตัวอย่างนี้น่าจะแสดงให้เห็นว่า อาจจะมีการสร้างพระพุทธปฏิมายืน
ปางอุ้มบาตรขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 – ต้น 17) และน่าจะได้รับ
แรงบันดาลใจจากล้านนา
พระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร เป็นที่นิยมที่อาณาจักรอยุธยาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18) อันเห็นได้จากหลวงพ่อวัดบ้านแหลม วัดเพชรสมุทร อำเภอเมืองฯ จังหวัด
สมุทรสงคราม (รูปที่ ๘.๘๗) ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทรในพระวิหารยอด
รูปที่ ๘.๘๕ พระสมณโคดมยืน อุ้มบาตร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ดูรูปที่ ๘.๖๓) เช่น พระเมาลีใหญ่ พระรัศมีเป็นเปลวสูง ขอบจีวรด้านข้าง
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒
ผายออกทางด้านล่างและห้อยลงที่มุม
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 – ต้น 17)
สัมฤทธิ์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม
อนึ่ง หลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพระพุทธปฏิมา ๑ ใน ๓ องค์ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน พี่ใหญ่คือหลวงพ่อ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
บ้านแหลม รองลงมาคือหลวงพ่อโสธร วัดโสธรวราราม อำเภอเมืองฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา องค์น้องสุด
ท้องคือหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ (ดูรูปที่ ๕.๑๔๔) ทั้ง ๓ องค์
แสดงอภินิหารโดยการลอยตามน้ำมา แต่ในที่สุดก็ขึ้นฝั่งตามสถานที่ข้างต้น ในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ (ค.ศ.
1873) เกิดอหิวาตกโรคระบาด เจ้าอาวาสวัดบ้านแหลมฝันว่า หลวงพ่อบ้านแหลมได้ประทานคาถา
บทหนึ่ง โดยให้ไปดูที่พระหัตถ์ของหลวงพ่อ ปรากฏว่ามีคาถาอยู่ที่พระหัตถ์ทั้งซ้ายและขวา และเมื่อจด
คาถานั้นไปทำน้ำมนต์ให้ชาวบ้านดื่ม ผู้ที่ป่วยจึงหายจากโรค กิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อจึงเป็น
ที่เลื่องลือตั้งแต่นั้นมา (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๓๖๘ – ๓๗๐)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๓๙
๑๔.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร เป็นที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์เพราะถือกันว่าเป็นพระพุทธปฏิมา
ประจำวันพุธ เช่นพระพุทธปฏิมาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช (รูปที่ ๘.๘๘) ซึ่งแสดงให้
เห็นความเรียบง่ายของพระพุทธปฏิมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เฉกเช่นพระ
พุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ จากวัดสุนทราวาส อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (ดูรูปที่ ๘.๓๖)
ความนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาปางอุ้มบาตร อันเป็นพระพุทธปฏิมาประจำวันพุธนั้น เห็นได้จาก
ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
พระพุทธปฏิมาพระชนมพรรษา [ประจำ] วัน... เป็นธรรมเนียมมีขึ้นในแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปลายๆ ลงมาแล้ว ท่านทรงสร้างพระ
พุทธปฏิมาด้วยทองคำยืนอุ้มบาตรสององค์ หนักองค์ละ ๑ ชั่ง ๕ ตำลึง ฐาน
เงินก้าไหล่ทอง บาตรนั้นใช้ศิลาทองเมืองจีน มีฝาทำด้วยทองคำลงยาราชาวดี
ทรงพระอุทิศส่วนพระกุศลถวายฉลองพระคุณแด่สมเด็จพระอัยกาธิราช คือ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งประสูติวันพุธแรม ๕ ค่ำ เดือน ๔
ปีมะโรงอัฐศก ศักราช ๑๐๙๘... อีกพระองค์หนึ่ง... ทรงพระราชอุทิศส่วน
พระราชกุศลถวายฉลองพระเดชพระคุณแด่สมเด็จพระบรมชนกนาถ คือพระบาท
รูปที่ ๘.๘๘ พระสมณโคดมยืน อุ้มบาตร
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งประสูติในวันพุธขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๗ ค่ำปีกุน
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔
นพศก ศักราช ๑๑๒๙ (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๗, ๙๘ – ๑๐๐)
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19)
สัมฤทธิ์ สูง ๑.๕๖ เมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ดูรูปที่ ๓.๔๒)
นครศรีธรรมราช
และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพุทธลักษณะคล้ายกันทุกประการ แม้กระทั่งบาตรลงยา
ลายกุดั่นก้านแย่ง ก็เหมือนกัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่บาตรของพระพุทธปฏิมาองค์หลัง ไม่มีใบคั่น
ระหว่างกลีบดอกกุดั่น พระพุทธปฏิมาทั้งสององค์นี้ น่าจะจำลองจากพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวาร
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่ปรับเปลี่ยนพระหัตถ์จากปางห้ามสมุทรเป็นปางอุ้มบาตร (ดูรูป
ที่ ๓.๔๔) กล่าวคือ มีพระเมาลีขนาดใหญ่ทรงโอคว่ำ พระรัศมีเปลว ครองจีวรห่มคลุม ขอบจีวรด้านข้าง
ห้อยขนานกับพระเพลาและพระชงฆ์ ชายจีวรด้านล่างโค้งหยักเป็นมุมแหลม
ในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ (ค.ศ. 1881) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง
พระพุ ท ธปฏิ ม าประจำพระชนมวารสมเด็ จ พระศรี ส วริ น ทิ ร าบรมราชเทวี พ ระพั น วั ส สาอั ย ยิ ก าเจ้ า
(สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๓๙๐) (ดูรูปที่ ๓.๔๙) เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา
พระบรมราชเทวี พระอัครมเหสี ในฐานะที่ทรงเป็น พระชนนีของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้า
มหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ๒๕๔๙, ๒๐) พระพุทธปฏิมาองค์
นี้มีพระเมาลีเตี้ย รองรับพระรัศมีเปลวลงยา ทรงครองจีวรห่มแหวกแบบพระภิกษุคณะมหานิกาย จีวร
ทำเป็นริ้วตามธรรมชาติ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารของ
พระองค์ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หรือ ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1926 หรือ 1927) (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๔๕๔) พระองค์ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเทพรจนาปั้นพระพุทธปฏิมายืนอุ้มบาตรถวาย (ดูรูปที่ ๓.๕๒) พระเศียร
เลียนแบบพระพุทธปฏิมาอินเดียแบบคันธาระ หรือคันธารราษฎร์ คือพระเกศาเกล้าพระเมาลี แต่มี
พระรัศมีเป็นเปลว ครองจีวรห่มคลุมพาดลูกบวบแบบคณะธรรมยุติกนิกาย จีวรและสบงทำเป็นริ้วตาม
ธรรมชาติ
พระพุทธปฏิมายืน
๔๔๑
พระพุทธปฏิมายืนปางอุ้มบาตรที่พิริยะ ไกรฤกษ์ ปั้นขึ้นเมื่อบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดบวรนิเวศ-
วิหาร ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ (ค.ศ. 1967) เพื่อเป็นพระพุทธปฏิมาประจำวันของบิดา คือนายพิพรรธน์ ไกรฤกษ์
เมื่อท่านมีอายุครบ ๕ รอบ (รูปที่ ๘.๙๐) พระพุทธปฏิมาองค์นี้ ได้รับแรงบันดาลใจพระเศียรจาก
พระพุทธปฏิมาอินเดียแบบคันธารราษฎร์ที่สร้างขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษ
ที่ 5) แต่องค์พระพุทธปฏิมานั้นปั้นเป็นภาพเหมือน โดยได้รับความอนุเคราะห์จากพระภิกษุวัดบวรนิเวศ-
วิหาร ครองจีวรห่มคลุมม้วนลูกบวบมายืนเป็นแบบให้ และได้รับความเห็นชอบจากสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน) ที่มีพระดำรัสว่าพระพุทธปฏิมานั้นจะสร้างขึ้นเป็นแบบใหม่ก็ได้ ไม่ต้องเลียนแบบของ
เดิม พร้อมกันนี้ก็ยังได้ประทานการปลุกเสกพระพุทธปฏิมาให้ด้วย
พระพุทธปฏิมายืน
๔๔๓
รูปที่ ๘.๙๒ พระพุทธวโลกนญานบพิตรสิริกิติ์-
ธรรมโสตถิมงคล
แก้ว หนองบัว ปั้นและหล่อ
พ.ศ. ๒๕๒๐ (ค.ศ. 1977)
พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
กรุงเทพมหานคร
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๔๕
หมวด ฒ.
ปางถวายเนตร
๑๖. พระพุทธปฏิมายืน ปางถวายเนตร
สมเด็ จ พระมหาสมณเจ้ า กรมพระปรมานุ ชิ ต ชิ โ นรส ทรงบั ญ ญั ติ น ามพระพุ ท ธปฏิ ม ายื น
พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายประสานกันที่หน้าพระเพลาว่า “ปางถวายเนตร” เป็นปางและตอนเดียวกัน
กับที่กล่าวถึงใน โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก จังหวัดอ่างทอง พระราชนิพนธ์ในสมเด็จ
พระเจ้าบรมโกศ ในปี พ.ศ. ๒๒๗๐ (ค.ศ. 1727) ว่า
ขอพรพุทธเนตรน้าว นำถวาย
เจ็ดสถารสการ เสมอหมาย มุ่งไว้
(Griswold and Nฺa Nagara 1970, 196)
รูปที่ ๘.๙๓ ซุ้มครึ่งซีก ประดิษฐาน
พระสมณโคดมลีลาและพระสมณโคดม
พระพุทธปฏิมาปางถวายเนตร เป็นที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะใช้เป็นพระพุทธปฏิมา
ยืนประสานพระหัตถ์หน้าพระเพลา
เขียนช่วง พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑
ประจำวันอาทิตย์ แต่ก่อนหน้าที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสจะทรงบัญญัติ
(ค.ศ. 1656 - 1688)
“ปางถวายเนตร” ขึ้นมานั้น พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายหน้าพระเพลาก็เป็นที่
จิตรกรรมในอุโมงค์พระมณฑปวัดศรีชุม
แพร่หลายที่อยุธยา ซึ่งส่งอิทธิพลต่อล้านนาด้วย
จังหวัดสุโขทัย
๑๖.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางถวายเนตร สมัยอยุธยา
ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายที่พระเพลา น่าจะเป็นที่นิยมแพร่หลายขึ้น
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 - 1688) ทั้งนี้เพราะข้อมูลเท่าที่มีอยู่ใน
ปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า ไม่น่าจะเก่าไปกว่ารัชกาลนั้น
พระพุทธปฏิมาปางถวายเนตร ปรากฏควบคู่กันกับพระพุทธปฏิมาลีลาเช่นจิตรกรรมฝาผนัง
ภายในอุโมงค์วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย ที่แสดงให้เห็นพระพุทธปฏิมายืนกลุ่มนี้ กับพระพุทธปฏิมาลีลาที่
ประดิษฐานอยู่ด้านละองค์ภายในซุ้มครึ่งซีกของภาพวิหารหลายยอด (รูปที่ ๘.๙๓) ซึ่งซุ้มลักษณะนี้นิยม
ตกแต่งปรางค์กลีบมะเฟือง เช่นปรางค์หมายเลข ๖ ข. และ ๓๒ ค. ในวัดมหาธาตุลพบุรี สร้างในสมัย
สมเด็จพระนารายณ์ (พิริยะ ๒๕๔๔ ก, ๗๘) นอกจากนั้นแล้วพระพุทธปฏิมายืนกลุ่มนี้และพระพุทธปฏิมา
ลีลา ยังปรากฏอยู่องค์ละด้านของปรางค์กลีบมะเฟืองที่วัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท (รูปที่
๘.๙๔ ก. และ ๘.๙๔ ข.) พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายที่พระเพลา ยังใช้ตกแต่ง
เจดีย์วัดพระแก้ว อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท (รูปที่ ๘.๙๕) ซึ่งสร้างในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์
เช่นกัน (เรื่องเดียวกัน, ๘๑) รวมไปถึงเจดีย์ในวัดพระรูป อำเภอเมืองฯ สุพรรณบุรี ที่สร้างในช่วงระยะ
เวลาเดียวกันนั้น (รูปที่ ๘.๙๖) ยังแสดงให้เห็นพระพุทธปฏิมายืนปางถวายเนตร สลับกับพระพุทธปฏิมา
ลีลาที่เรือนธาตุอีกด้วย
พระพุทธปฏิมายืน
๔๔๗
พระยื น ศิ ล า ปางถวายเนตรได้ จ ากลพบุ รี ประดิ ษ ฐานที่ มุ ม พระระเบี ย งด้ า นทิ ศ เหนื อ
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปที่ ๘.๙๗) มีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาปูนปั้นวัดพระแก้ว
อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาทแตกต่างกันตรงที่ไม่มีพระเมาลีและพระรัศมีเท่านั้น จึงอาจจะเป็นรูป
พระสาวกก็เป็นได้
ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบว่า เหตุใดพระพุทธปฏิมายืนปางถวายเนตร จึงเป็นที่นิยมควบคู่กับ
พระพุทธปฏิมาลีลาในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์
พระพุทธปฏิมายืน
๔๔๙
ปัจจุบันนี้อายุเวลาของรูปชาดกเขียนลายสลักเบาในมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย ที่เคยใช้
เทียบเคียงในการกำหนดอายุเวลาของพระพุทธปฏิมาบุดุน คือ ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ต้น ๒๐
(ราว ค.ศ. 1351 - 1375) (Chirapravati, 2008, 38) นั้นได้เปลี่ยนไป คือน่าจะสร้างขึ้นพร้อมกับ
พระพุ ท ธบาทเขี ย นลายสลั ก เบาบนเพดานอุ โ มงค์ วั ด ศรี ชุ ม ในรั ช สมั ย ของสมเด็ จ พระนารายณ์
(พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 - 1688) (Di Crocco 2004, 106 - 113) และแม้กระทั่งสองปีก่อน
เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1767) ก็เคยมีผเู้ สนอมาแล้ว (พิชญา ๒๕๔๔, ๓๘) ดัง
นั้นการกำหนดอายุเวลาของพระพุทธปฏิมาบุดุนทั้ง ๘ องค์ จึงต้องมีการพิจารณากันใหม่
เนื่องด้วยว่าพระพุทธปฏิมายืนประสานพระหัตถ์หน้าพระเพลา ที่จารึกเรียกว่า ปาง “เทสนาแก่
คนแลเทพดา” นั้นพบเพียงไม่กี่องค์ในล้านนา (Stratton 2004, 210 - 211) แต่พบเป็นจำนวนมากควบคู่
ไปกั บ พระพุ ท ธปฏิ ม าลี ล าที่ อ ยุ ธ ยา จึ ง น่ า จะได้ รั บ แรงบั น ดาลใจจากฝ่ า ยหลั ง มากกว่ า ซึ่ ง จากการ
วิเคราะห์อายุเวลาของพระพุทธปฏิมายืนปางถวายเนตร ที่สร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธปฏิมาลีลานั้น
ปรากฏว่าเริ่มขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ดังนั้นหากพระพุทธปฏิมาบุดุนทั้ง ๘ องค์ที่องค์ระฆัง
ของพระธาตุหริภุญไชย ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธปฏิมาอยุธยาแล้ว ก็น่าจะสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาที่
อยุธยามีบทบาทและอิทธิพลในด้านศิลปวัฒนธรรมเหนือล้านนา
นอกจากนั้นแล้ว การที่รูปแบบทางศิลปกรรมของพระพุทธปฏิมาทั้ง ๘ องค์เทียบเคียงได้กับ
ภาพชาดกเขียนลายสลักเบาในอุโมงค์วัดศรีชุม สุโขทัย ซึ่งอาจจะสร้างขึ้นใน รัชสมัยของสมเด็จพระ
นารายณ์ ทั้งนี้เพราะโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของอุโมงค์ที่มีเพดาน เป็นขั้นเหลี่ยมรับกับเหลี่ยมของ
บั น ไดนั้ น เป็ น แบบเดี ย วกั บ บั น ไดขึ้ น หอคอยในพระราชวั ง พลหิ ส าร์ (Bala Hisar) ที่ โ กลโคนทะ
(Golconda) รัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดีย สร้างในช่วงครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (ครึ่งหลัง
คริสต์ศตวรรษที่ 16) (Davies 1989, 465 - 466) ซึ่งเป็นไปได้ว่า ช่างชาวเปอร์เซียที่เข้ามารับราชการใน
สมัยสมเด็จพระนารายณ์ นอกเหนือไปจากทหาร ๒๐๐ คน ที่จ้างมานั้น (สำเภากษัตริย์สุลัยมาน ๒๕๔๕, ๕๒)
มาจากโกลโคนทะ ซึ่งเป็นเมืองในประเทศอินเดีย ที่สมเด็จพระนารายณ์ส่งช้างไปขาย อีกทั้งลวดลาย
เครือเถาสลับกับดอกไม้ในภาพชาดกเรื่อง “โภชาชานิยชาดก” (ประชุมศิลาจารึก เล่ม ๕ ๒๕๑๕, ๔๙)
ยังเป็นลายเครือเถาสลับกับดอกไม้แบบเดียวกันในศิลปะโมกุลจากอินเดีย (Sotheby’s 1985, 517)
อีกด้วย อิทธิพลจากศิลปะอิสลามจึงเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าภาพเขียนลายสลักเบาวัดศรีชุม น่าจะสร้างขึ้น
ในรัชกาลนี้
หลักฐานข้างต้นแสดงให้เห็นว่า พระพุทธปฏิมาบุดุนรอบองค์ระฆังของพระธาตุหริภุญไชยน่าจะ
สร้างขึ้นเมื่อล้านนาได้เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว คือในสมัยของพระเจ้ากาวิละ (พ.ศ.
๒๓๒๕ – ๒๓๕๙ / ค.ศ. 1782 – 1816) ในปี พ.ศ. ๒๓๒๙ (ค.ศ. 1786) พระองค์และพระอนุชาสร้างฉัตร
รั้วเหล็ก และรั้วทองเหลืองล้อมพระธาตุหริภุญไชย (ตำนานสิบห้าราชวงศ์ ๒๕๔๐, ๑๓๕) แต่มิได้ระบุว่า
ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์องค์ระฆังของ พระธาตุเจดีย์ในคราวนั้น อย่างไรก็ตาม พระราชชนนี คือพระนาง
จันทรราชเทวี ทรงมีพระโอรสที่มียศเป็น “เจาพระญา” สองพระองค์ องค์แรกคือพระเจ้ากาวิละ ซึ่ง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระยามงคลวชิรปราการกำแพงแก้ว
เจ้าเมืองเชียงใหม่ องค์ที่สอง เจ้าคำสม เป็นพระยาละครลำปาง (เรื่องเดียวกัน, ๑๓๐)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๕๑
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธปฏิมาปางถวายเนตรขึ้น ๒ องค์ เพื่อ
เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระบรมราชมไหยิกา (ดูรูปที่ ๓.๔๓) และ
สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์บรมราชชนนี (ดูรูปที่ ๓.๔๕) ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงประสูติในวันอาทิตย์
เหมือนกัน (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๗, ๑๐๐ - ๑๐๑) พระพุทธปฏิมาทั้งสององค์นี้มีความแตกต่าง
จากพระพุทธปฏิมาองค์อื่น ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง คือพุทธลักษณะ
เลียนแบบพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในรัชกาลก่อน คือพระเมาลีทรงสูง ครองจีวรห่มดองแบบประเพณีนิยม
ชายจีวรยาวพับทบจรดพระนาภี ซึ่งในการที่มิได้ทรงสร้างขึ้นในแบบพระราชนิยมนั้นน่าจะเป็นการแสดง
คารวะต่อขัตติยราชประเพณี
พระพุทธปฏิมาปางถวายเนตรที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง
ขึ้ น นั้ น มี พ ระราชประสงค์ จ ะให้ เ ป็ น อนิ มิ ส เจดี ย์ คื อ สถานที่ ที่ พ ระพุ ท ธองค์ ท รงยื น ทอดพระเนตร
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในสัปดาห์ที่ ๒ หลังจากที่ทรงตรัสรู้ ดังที่มีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ว่า
หม่อมฉันจะสร้างพระพุทธปฏิมาถวายเนตร ในที่ใกล้ต้นโพธิ์วัดเบญจมบพิตร
สมมตว่าเปนอนิมมิสเจดีย์ ในใต้รากฐานพระจะฝังอิฐแลอังคารชายอุรุพงศ์
รูปที่ ๓.๔๓ พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
เพราะฉนั้นคำจาฤกได้กะไว้เปนสองตอน ตอนบนว่า พระพุทธเจ้าถวายเนตร
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
ณ อนิมมิสเจดีย์ พระองค์นี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
สร้างปี พ.ศ. ๒๔๑๐ - ๒๔๑๑
สถาปนาเมื่อพระพุทธศักราช ๒๔๕๒ ทรงพระราชอุทิศเฉพาะต่อ ฯ ตอนล่าง
(ค.ศ. 1867 - 1868)
ทองคำ ฐานเงินกะไหล่ทอง
พระองค์ เ จ้ า อุ รุ พ งษ์ รั ช สมโภชพระราชปิ โ ยรส ประสู ต รวั น ที่ ๑๕ ตุ ล าคม
องค์พระสูง ๒๒.๓๐ เซนติเมตร
รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ สิ้น พระชนม์วันที่ ๒๐ กันยายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๘
หอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
มีข้อความที่จาฤกนั้นเพียงเท่านี้ (พระราชหัตถเลขา ๒๕๑๔, ๑๓๔)
(ภาพจากหนังสือ พระพุทธปฏิมา
ในพระบรมมหาราชวัง)
ต่อมาทรงระบายความอัดอั้นพระทัยในสถานภาพของงานช่างไทยว่า
การช่างในเมืองไทยฝืดเคืองเต็มที ทำบุญหม่อมฉันไม่ได้หวังสวรรค์
หวังความปลื้มใจ หวังจะเห็นการเจริญดำเนินไป มาต้องทำการพกโมโหโทโษอยู่
ครึ่งค่อน ดูไม่นับว่าเปนบุญเลยท้อใจไปเสียแล้ว
กรมนเรศร์บอกวันนี้ ว่ารับสั่งเรียกหุ่นพระถวายเนตรไปทอดพระเนตร
โปรดแลติเตียนบ้างบางอย่าง เรื่องคิดปั้นพระพุทธปฏิมานี้ คงจะได้ทรงทราบ
เมื่อครั้งรังสิตเข้ามาบ้าง เปนเรื่องที่ตึงตังอยู่ในใจหม่อมฉันกับรังสิตมานาน แต่
หาคนปั้นไม่ได้ดังใจ อยากเห็นพระเปนคน อยากให้เห็นหน้าเปนคนฉลาดอดทน
มีความคิดมาก ไม่ใช่ทำหน้าบึ้ง ไม่ใช่นั่งยิ้มกริ่ม ไม่ใช่นั่งหลับเผลอไผล ให้เต็ม
อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ หน้าตาพระพุทธเจ้าของหม่อมฉันเปนเช่นนี้ เห็นรู้จัก
ปรากฏแก่ใจ เว้นแต่หากมือทำไม่เปน ไม่สามารถที่จะทำได้ด้วยมือตนเอง ไม่
สามารถที่แนะนำให้ช่างแก้ไขให้ถึงใจได้ จึงหมดฝีมือกันอยู่เพียงเท่านี้เอง แต่
ตาคนนี้ (ช่างปั้นอิตะเลียน ชื่อ ทอรนาเรลลี (Tornarelli)) เปนผู้ที่เข้าใจดีกว่า
ช่างทั้งปวง ที่เคยเข้าใจถ้อยคำหม่อมฉัน แต่ถ้าเอามหาปุริสลักขณะเข้ายันแล้ว
เปนไม่ถูกทั้งนั้น เพราะทูลตามตรงได้ว่าไม่เชื่อ (เรื่องเดียวกัน, ๑๔๓ – ๑๔๔)
พระพุทธปฏิมายืน
๔๕๕
การทำบันไดลงสระน้ำมีพนักข้างเดียวแบบลงจากตึกฝรั่ง จึงไม่ถูกต้องตามกาลเทศะ ซึ่งเป็น
ข้อผิดพลาดที่ทำให้ทอร์นาเรลลีคะแนนตกในสายพระเนตรของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ที่ทรงประเมินความเป็นเลิศของช่างไว้ว่า
ช่างที่ควรจะนับว่าเป็นช่างดี จะต้องประกอบด้วยองคคุณสองประการ คือต้อง
ประกอบด้วยฝีมือดีอย่างหนึ่ง ประกอบด้วยความคิดดีรู้ที่ควรมิควรอีกอย่าง
หนึ่ง ประการหลังนั้นแหละสำคัญมาก ถ้ามีแต่ฝีมือดีก็เป็นได้แต่ลูกมือเสมอไป
ต้องมีความคิดด้วย จึงจะได้เลื่อนขึ้นเป็นนายช่างได้ (สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๑
๒๕๐๔, ๔)
ยังมีพระพุทธปฏิมายืนปางขอฝนอีกองค์หนึ่งที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัว เป็นพระพุทธปฏิมาที่มีพระพักตร์เป็นไทย เกล้าพระเกศาเป็นพระเมาลี แบบคันธารราษฎร์
ครองผ้าอาบน้ำที่ดูเปียกชุ่ม เห็นขมวดสบงที่พระนาภี ทรงยืนบนเกสรดอกบัว เหนือฐานสิงห์ย่อมุม
(รูปที่ ๘.๑๐๓) ซึ่งจากลักษณะของการปั้นริ้วผ้าเปียกแนบพระวรกาย น่าจะเป็นฝีมือของช่างชาว
ตะวันตกมากกว่าช่างไทย
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที่
๙
พระพุทธปฏิมาลีลา
พระพุทธปฏิมาในพระอิริยาบถก้าวเดินมีสองแบบ โดยทั้งสองแบบนั้นเรียกว่า
“ปางลีลา” อันได้แก่
แบบที่ ๑ ยกส้นพระบาทขวา ห้อยพระหัตถ์ขวา ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย หรือแสดงธรรม
ในระดับพระอุระ (รูปที่ ๙.๑) โดยอ้างพุทธประวัติตอนพระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
โดยบันไดที่พระอินทร์ทรงเนรมิตขึ้น (ไขศรี 1996, ๘๗)
แบบที่ ๒ ยกส้นพระบาทซ้าย ห้อยพระหัตถ์ซ้าย ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย หรือแสดงธรรม
(รูปที่ ๙.๒) ส่วนแบบนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงบัญญัติว่า เป็นปางที่
๑๗ พระลีลา และทรงพระนิพนธ์ว่า เมื่อพระพุทธองค์ประทับที่เมืองราชคฤห์ “พระกาฬุทายีทูลเชิญ
เสด็จเมืองกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงรับแล้วเสด็จพุทธดำเนินโดยปรกติไม่เป็นการรีบด่วน” (ปรมานุชิต
ชิโนรส ๒๕๑๐, ๓)
พระพุทธปฏิมาลีลาเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่นิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร จากลังกา มอบให้กับ
พุทธศิลป์ไทย เพราะว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่ประดิษฐ์คิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ฝ่ายอรัญวาสีของคณะมหาวิหาร
รูปที่ ๙.๑ ลายเส้นพระพุทธรูป แบบที่ ๑
ยกพระหัตถ์ซ้าย แสดงธรรม
ที่ศรีลังกา มีอิทธิพลต่อพุทธศาสนาในประเทศไทย คือระหว่างกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ (ต้น
ยกส้นพระบาทขวา
คริสต์ศตวรรษที่ 14 – ต้น 15) อันเห็นได้จากรูปแบบของพระพุทธปฏิมาปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ใน
ห้อยพระหัตถ์ขวา
จิตรกรรมฝาผนังของวิหารติวังกะ (Tivanka) กรุงโปโลนนะรุวะ ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13) ที่แสดงภาพพระพุทธองค์ครองจีวรห่มดองในท่าก้าวเดิน ยกส้นพระบาทขวา
และยกพระหัตถ์ขวาแสดงธรรม (Godakumbura 1969, 38) ซึ่งน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ช่างไทยสร้าง
พระพุทธปฏิมาลีลาขึ้นในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่พระพุทธปฏิมาลีลาของไทยนั้น
มิได้ยกส้นพระบาทและพระหัตถ์ในด้านเดียวกัน แต่กลับสลับส้นพระบาทกับพระหัตถ์
เมื่อแรกสร้างขึ้นในประเทศไทยนั้นพระพุทธปฏิมาในอิริยาบถก้าวเดินน่าจะเรียกว่า “พระเจ้า
จงกรม” ตามที่กล่าวถึงในศิลาจารึกสุโขทัยของนายอินทรสรศักดิ์ ปี พ.ศ. ๑๙๖๐ (ค.ศ. 1418) (Griswold
and Nฺa Nagara 1968, 235) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของฝ่ายอรัญวาสีที่เน้นการเจริญวิปัสสนากรรม
ฐาน (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๖, ๙)
เมื่อได้ประดิษฐ์คิดปางลีลาขึ้นมาแล้ว ปรากฏว่าปางนี้เป็นที่นิยมแพร่หลาย โดยเฉพาะที่
อาณาจักรสุโขทัย ล้านนา และอยุธยา
พระพุทธปฏิมาลีลาา
๔๕๙
๑. พระพุทธปฏิมาลีลา สมัยสุโขทัย
ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463)
ถึงแม้ว่ายังไม่มีการค้นพบพระพุทธปฏิมาลีลาสัมฤทธิ์สมัยสุโขทัยที่มีจารึก แต่พระพุทธปฏิมา
เขียนลายสลักเบาด้านหลังของแผ่นศิลาจารึกนายอินทรสรศักดิ์ ซึ่งมีจารึกเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๖๐ (ค.ศ.
1418) (Griswold and Nฺa Nagara 1968, 230 – 242) แสดงภาพพระพุทธปฏิมาลีลายกพระหัตถ์ขวา
และส้นพระบาทซ้าย ทรงครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับทบยาวจรดพระนาภี ขอบบนของสบงเว้าโค้ง
เป็นเส้นคู่รับกับพระนาภี ขอบจีวรด้านข้างทิ้งลงข้างพระชงฆ์ทั้งสองด้าน ชายจีวรและชายสบงด้านล่าง
ตัดเป็นเส้นเฉียงตามข้อพระบาทที่ยกขึ้น และขมวดเข้าตอนปลาย (รูปที่ ๙.๓ ก, ข) พุทธลักษณะทั่วไป
คล้ายกับพระพุทธปฏิมาลีลาที่สมเด็จเจ้าพระญาสารผาสุมทรงสร้างที่น่านในปี พ.ศ. ๑๙๖๙ (ค.ศ. 1926)
(ดูรูปที่ ๙.๖) (เรื่องเดียวกัน, 235)
พระพุ ท ธปฏิ ม าลี ล าที่ มี พุ ท ธลั ก ษณะคล้ า ยกั บ ภาพเขี ย นลายสลั ก เบาด้ า นหลั ง ของจารึ ก
นายอินทรสรศักดิ์ และพระพุทธปฏิมาลีลาของสมเด็จเจ้าพระญาสารผาสุม ได้แก่พระพุทธปฏิมาลีลา
ของเอกชน (รูปที่ ๙.๔) ทรงยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย และยกส้นพระบาทซ้าย ครองจีวรห่มดอง
ชายจีวรพับยาวจรดพระนาภี ขอบสบงด้านบนเว้าเป็นเส้นคู่หน้าพระนาภี ชายจีวรและชายสบงด้านล่าง
ทำเป็นเส้นขนานเฉียงตามข้อพระบาทที่ยกขึ้น ปลายจีวรขมวดเข้า พระพุทธปฏิมาองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นใน
ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15) พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
ภาณุพันธ์ยุคล ทรงเล่าประทานว่า พระพุทธปฏิมาองค์นี้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒
ในลักษณะเดียวกันกับพระสุรภีพุทธพิมพ์ วัดปรินายก คือเมื่อมีการโจมตีทางอากาศ พระองค์ทอดพระเนตร
เห็นเงาพระพุทธปฏิมาลอยอยู่เหนือวัง เพื่อคุ้มครองพระองค์
พระพุทธปฏิมาลีลา
๒๗
พระพุทธปฏิมาลีลาที่สำคัญที่สร้างขึ้นในอาณาจักรสุโขทัยได้แก่ พระพุทธปฏิมาลีลา ๔ องค์
ที่สมเด็จเจ้าพระญาสารผาสุม เจ้าเมืองน่าน ทรงสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๙๗๐ (ค.ศ. 1426) (ศิลปากร
๒๕๓๐ ก, ๒๔๗ – ๒๕๓) พระพุทธปฏิมาเหล่านี้น่าจะสร้างขึ้นเป็นคู่ เช่น คู่ในพระวิหารวัดพญาภู อำเภอ
เมืองฯ จังหวัดน่าน องค์หนึ่งยกส้นพระบาทขวา และยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย (รูปที่ ๙.๕) อีกองค์
หนึ่งยกส้นพระบาทซ้ายในท่าก้าวเดิน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย (รูปที่ ๙.๖) ส่วนอีกคู่หนึ่งอยู่ในวัด
พระธาตุช้างค้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน องค์ที่ยกส้นพระบาทขวา ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย
ประดิษฐานในพระวิหารหลวง (รูปที่ ๙.๗) อีกองค์หนึ่งยกส้นพระบาทซ้าย พระหัตถ์ขวาประทานอภัย
ประดิษฐานในหอพระพุทธปฏิมาลีลา (รูปที่ ๙.๘) พระพุทธปฏิมาทุกพระองค์ มีพระอังสากว้างใหญ่
พระอุระนูน บั้นพระองค์คอด พระกรและพระชงฆ์เรียวลงทางข้อพระกรและข้อพระบาท ทรงครองจีวร
ห่มดอง ชายจีวรพับทบยาวจรดพระนาภี ชายเป็นเขี้ยวตะขาบ ขอบสบงด้านบนเว้าโค้งใต้พระนาภีเป็น
เส้นคู่ ยกเว้นองค์ยกพระหัตถ์ซ้ายของวัดพญาภู (ดูรูปที่ ๙.๕) ชายจีวรใต้พระกัปประด้านที่ยกพระกรขึ้น
ทิ้งลงเป็นเส้นตรง ตั้งฉากกับชายจีวรด้านล่าง ซึ่งเป็นเส้นเฉียงตามข้อพระบาทที่ยกขึ้นเช่นกัน ยกเว้น
องค์ยกพระหัตถ์ขวาของวัดพระธาตุช้างค้ำ (ดูรูปที่ ๙.๘) ซึ่งไม่มีชายจีวรใต้พระกัปประ ส่วนขอบจีวร
ข้างที่ยกส้นพระบาทนั้นสะบัดพริ้วอยู่หลังพระชงฆ์
พระพุทธปฏิมาลีลาที่สมเด็จเจ้าพระญาสารผาสุม ทรงสร้างขึ้นน่าจะส่งอิทธิพลให้กับพระพุทธปฏิมา
วัดนาปัง อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน (รูปที่ ๙.๙) ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาลีลาองค์ซึ่งยก
พระหัตถ์ขวาของวัดพญาภู (ดูรูปที่ ๙.๖) แต่มีขอบสบงด้านบนชั้นเดียวคล้ายกับองค์ยกพระหัตถ์ซ้าย
ของวัดเดียวกัน (ดูรูปที่ ๙.๓) ส่วนชายจีวรด้านล่างนั้นมิได้เป็นเส้นตรง แต่ทำเป็นชายผ้าพลิ้ว จึงน่าจะ
สร้างขึ้นภายหลังประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15)
พระพุทธปฏิมาลีลา
๔๖๓
๒. พระพุทธปฏิมาลีลา สมัยล้านนา
(๑) ช่วงอาณาจักรล้านนา
- ยุครุ่งเรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525)
พระพุทธปฏิมาลีลาวัดชัยภูมิการาม กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๙.๑๐) ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย
พร้ อ มกั บ ยกส้ น พระบาทขวาในท่ า ก้ า วเดิ น ครองจี ว รห่ ม ดอง ชายจี ว รพั บ ทบและคลุ ม พระกรซ้ า ย
ขอบสบงด้านบนและหน้านางทำเป็นเส้นคู่ ปลายจีวรด้านล่างและปลายสบงทั้งสองข้างขมวดเข้า
พุทธลักษณะและการครองจีวรคล้ายกับพระพุทธปฏิมายืนในวิหารสมเด็จฯ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
(ดูรูปที่ ๘.๒) ทุกประการ จึงอาจจะสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราช เช่นกัน
พระพุทธปฏิมาลีลา ในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รูปที่ ๙.๑๑) พระหัตถ์ขวายกขึ้น
หน้าพระอุระ จีบพระอังคุฐและพระดรรชนีเข้าหากันในท่าแสดงธรรม ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับ
ปางแสดงธรรม ที่พบในพระพุทธปฏิมาลีลาอยุธยา (ดูรูปที่ ๙.๑๖) ทอดพระกรซ้ายออกห่างจากพระชงฆ์
ยกส้นพระบาทซ้าย ชายจีวรสะบัดไปทางด้านขวา ขอบสบงด้านบนและหน้านางทำเป็นเส้นคู่ แสดงให้
รูปที่ ๘.๒ พระยืน
ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑
เห็นอิทธิพลจากพระพุทธปฏิมาอยุธยา
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15)
สัมฤทธิ์ สูงรวมฐาน ๑.๑๙ เมตร
พระพุทธปฏิมาลีลาวัดพระเจ้าเม็งราย (วัดกาละก้อด) อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ (รูปที่
วิหารสมเด็จ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
กรุงเทพมหานคร
๙.๑๒) ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย และยังคงรักษารูปแบบของพระพุทธปฏิมาลีลาของสุโขทัย แต่เพิ่ม
ชายจีวรคลุมพระกรซ้ายที่ทอดลงข้างพระเพลา ขอบสบงด้านบนหายไป นอกจากนั้นแล้วส้นพระบาท
ซ้ายยังติดฐานอีกด้วย จึงอาจจะสร้างขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 –
ต้น 16)
พระพุทธปฏิมาลีลา
๓๑
(๒) สมัยประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899)
ส่วนพระพุทธปฏิมาลีลาบุดุนบนองค์ระฆังของพระธาตุหริภุญไชย ซึ่งพระมหาเทวีทรงสร้างขึ้น
นั้น (รูปที่ ๙.๑๓) ยกส้นพระบาทขวาในท่าก้าวเดิน พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นที่หน้าพระอุระ นิ้วพระหัตถ์เลือน
หายไป หากคงอยู่น่าจะแสดงปางแสดงธรรม เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาลีลาอีก ๒ องค์ ขอบสบง
ด้านบนทำเป็นเส้นเดี่ยว ทรงครองจีวรห่มดอง ขอบจีวรด้านข้างทิ้งจากพระโสณีซ้ายลงเป็นเส้นตรง
พุทธลักษณะใกล้เคียงกับพระพุทธปฏิมาลีลาสลักศิลา ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ดูรูปที่
๙.๒๔) พระพุทธปฏิมาลีลาบุดุนน่าจะสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากาวิละเช่นเดียวกันกับพระพุทธปฏิมา
ปางถวายเนตรที่ประดิษฐานอยู่ภายในซุ้มเรือนธาตุของพระเจดีย์โบราณที่วัดพระรูป อำเภอเมืองฯ
จังหวัดสุพรรณบุรี (ดูรูปที่ ๘.๙๖)
พระพุทธปฏิมาลีลา
๔๖๗
๔. พระพุทธปฏิมาลีลา สมัยอยุธยา
ถึงแม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะได้ปกครองสุโขทัย ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์
ศตวรรษที่ 15) เป็นต้นมา และพระพุทธปฏิมาลีลาส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นในภาคกลางตอนบน ก็สร้างขึ้น
ภายใต้อิทธิพลของอยุธยา แต่ด้วยเหตุที่ว่าพระพุทธปฏิมาลีลาเหล่านี้จำลองสืบต่อกันมาโดยได้รับการ
แก้ไขเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย จึงจำแนกเป็นแบบสุโขทัย แบบกำแพงเพชร และแบบสวรรคโลกตาม
ลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น เช่นเดียวกับการจำแนกพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
สมัยอยุธยา ออกเป็นแบบย่อยดังกล่าว
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448)
พระพุทธปฏิมาลีลาอยุธยาที่สำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์กะไหล่ทองบนชาลาพระวิหารหลวง
วัดสุทัศนเทพวราราม (รูปที่ ๙.๑๕) ซึ่งอัญเชิญไปจากวัดราชบุรณะ กรุงเทพมหานคร เมื่อครั้งพระ
อารามแห่งนี้ถูกระเบิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ (เขียน ๒๕๑๒, ๕๐) อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียดายว่า
ปัจจุบันได้มีการดัดแปลงพระรัศมี จากบัวตูมเป็นบาตรคว่ำ และพระหัตถ์ซ้ายหงายออกเป็นปางประทาน
พร แทนที่จะหันเข้าหาพระเพลา (เรื่องเดียวกัน, รูปที่ ๗๖ – ๗๗) และเนื่องด้วยว่าไม่มีการปั้นด้านหลัง
ของพระพุทธปฏิมา จึงแสดงให้เห็นว่าแต่เดิมนั้นน่าจะเป็นพระพุทธปฏิมาที่ประดิษฐานอยู่ในภายในซุ้ม
พระพุทธปฏิมาองค์นี้ดัดแปลงมาจากพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ขวาประทานอภัย ครองจีวรห่มคลุม
ชายจีวรด้านหน้าเป็นวงโค้ง ด้านหลังเป็นมุมแหลม ขอบสบงด้านบนเป็นเส้นคู่ เว้ารับกับพระนาภี ขอบสบง
ด้านข้างทำเป็นริ้วทั้งสองด้าน ยกส้นพระบาทซ้ายขึ้นเพียงเล็กน้อย จึงดูคล้ายกับยืนในท่าเอียงพระโสณี
(ตริภังค์) มากกว่าก้าวเดิน พระพุทธปฏิมาองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นก่อนที่อยุธยาจะได้รับรูปแบบพระ
พุทธปฏิมาลีลาจากสุโขทัย คือประมาณครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 14)
รูปที่ ๙.๑๗
พระพุทธปฏิมาลีลา
๔๗๑
- แบบกำแพงเพชร
กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่าน ได้รับรูปแบบและอิทธิพลจากพระพุทธปฏิมาสุโขทัย อยุธยา
และล้านนา เพื่อนำมาผสมผสานเป็นรูปแบบที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง
พระพุทธปฏิมาลีลาในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รูปที่ ๙.๒๐) มีพระเศียรใกล้เคียง
กับพระพุทธปฏิมาแบบกำแพงเพชร คือพระพักตร์ยาว พระนลาฏกว้างกว่าพระหนุ พระนาสิกงุ้ม ทรง
ครองจีวรคล้ายกับพระพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัยที่ขอบจีวรใต้พระหัตถ์ซ้ายทิ้งลงเป็นเส้นตรง ชายจีวรด้าน
ล่างตัดเป็นเส้นตรงทำมุมทแยงขึ้นตามข้อพระบาทที่ยกขึ้น แต่แตกต่างจากพระพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัยที่
ไม่มีเส้นขอบสบงด้านบน พระพุทธปฏิมาองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๑
(ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 15)
พระพุทธปฏิมาลีลา
๔๗๓
(๓) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
พระกำแพงเขย่ง หรือพระกำแพงศอก เป็นพระพิมพ์ที่พบในกรุพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
จังหวัดสุพรรณบุรี (รูปที่ ๙.๒๓) พุทธลักษณะของพระเศียรคล้ายกับพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบที่ ๓”
(มนัส ๒๕๑๒, ๑๐๓) แต่พระอิริยาบถและพุทธลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับพระพุทธปฏิมาลีลาแบบ
สวรรคโลกที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (ดูรูปที่ ๙.๒๕) นอกจากนั้นแล้ว รูปแบบของดอกบัวที่
อยู่เหนือซุ้มทั้งสองด้านก็มีลักษณะคล้ายกับดอกไม้ประดิษฐ์ที่ถักเป็นลวดลายบนพรมเปอร์เซีย (Grube
1966, 150) รวมทั้งรูปแบบของซุ้มและเสาแปดเหลี่ยมก็เป็นที่นิยมในรัชกาลนี้เช่นกัน (พิชญา ๒๕๔๘, ๙๖)
ส่วนพระพุทธปฏิมาสลักศิลา ไม่ทราบที่มาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (รูปที่ ๙.๒๔) มี
พุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาแบบสุโขทัย ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เช่นพระหัตถ์
แสดงปางแสดงธรรม จีบพระอังคุฐเข้ากับพระดรรชนี และขอบจีวรที่ทิ้งลงจากพระกัปประ (ข้อศอก)
ซ้ายเป็นเส้นตรงโค้งมนตอนปลาย
อนึ่งพระพุทธปฏิมาลีลาที่กล่าวถึงในโคลงพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ โคลงชะลอ
พระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก ได้แก่ “พุทธยาตร”
ขอพรพุทธยาตรเยื้อง เจียรจร
กรุณานภกร ไฝ่ฝั้น
(Griswold and Nฺa Nagara 1970, 195)
พระพุทธปฏิมาลีลา
๔๗๕
รูปที่ ๙.๒๗ ก. พระสมณโคดม ลีลา
ย้ายมาจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑
(ค.ศ. 1656 – 1688)
สัมฤทธิ์ สูง ๒.๒๙ เมตร
พระระเบียงวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
กรุงเทพมหานคร
พระพุทธปฏิมาลีลา
๔๗๗
๕. พระพุทธปฏิมาลีลา สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธปฏิมาลีลาเริ่มเป็นที่นิยมในกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลปัจจุบัน เพราะเป็นผลพวงที่ได้
รับจากการรณรงค์ค่านิยมความเป็นไทยโดยมีศิลปะและวัฒนธรรมสมัยสุโขทัยเป็นสัญลักษณ์ในสมัย
รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๕๐๐ / ค.ศ. 1947 – 1957)
แม้จะมีการสร้างพระพุทธปฏิมาลีลาขึ้นก่อนหน้านี้บ้าง แต่ก็มีเพียงไม่กี่องค์ ที่สำคัญได้แก่
พระพุทธปฏิมาลีลาแบบคันธารราษฎร์ที่คอราโด เฟโรจี (Corrado Feroci) ปั้นหล่อ (สนอง 2003, 383)
หลังจากที่เข้ามารับราชการตำแหน่งช่างปั้น กรมศิลปากร กระทรวงวัง ในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ (ค.ศ. 1923)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพุทธปฏิมาลีลาที่เฟโรจี ปั้นนี้ (รูปที่ ๙.๒๘)
เกล้าพระเกศาเป็นพระเมาลี คล้ายพระพุทธปฏิมาแบบคันธารราษฎร์ของอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลี (ดูรูป
ที่ ๘.๑๐๐) และมีกล้ามเนื้อแบบมนุษย์สามัญ แต่ครองจีวรแบบประเพณีนิยม คือห่มดอง มีชาย
จีวรพับทบปลายเป็นเขี้ยวตะขาบ ยาวเลยพระนาภี ขอบจีวรด้านข้างทั้งสองด้านกางออกทางตอนล่าง
เล็ ก น้ อ ย ขอบสบงด้ า นบนทำเป็ น เส้ น นู น สองเส้ น พระหั ต ถ์ ข วายกขึ้ น ประทานอภั ย หน้ า พระอุ ร ะ
พระหัตถ์ซ้ายแกว่งลงข้างพระเพลา เป็นพระพุทธปฏิมาที่ผสมผสานพุทธลักษณะตามแนวความคิดของ
ชาวตะวันออกกับสุนทรียภาพด้านสรีระของชาวตะวันตก
ต่อมาในสมัยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๕๐๐ / ค.ศ.
รูปที่ ๘.๑๐๐ พระสมณโคดมยืน ถวายเนตร
1947 – 1957) มีการจรรโลงความเป็นไทยแบบจารีตประเพณี ขึ้นมาแทนที่นโยบาย “ความเป็นไทย
Alfonso Tornarelli ปั้นหล่อ
พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910)
อารยะแบบสากล” ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๘๑ –
สัมฤทธิ์ สูง ๕๙ เซนติเมตร
๒๔๘๗ / ค.ศ. 1938 – 1944) เช่นทำโครงการระยะยาว ๓๐ ปี เพื่อบูรณะวัดและปูชนียสถานสำคัญ
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
จำนวน ๕,๕๓๕ แห่ง ทำการสำรวจและบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานที่สุโขทัย และอยุธยา เป็นต้น
กรุงเทพมหานคร
(ชาตรี ๒๕๔๗, ๔๔๑ – ๔๔๕) ดังนั้น เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม สร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมาในปี พ.ศ.
๒๔๙๗ (ค.ศ. 1954) เพื่อประดิษฐานในพระระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน (รูปที่ ๙.๒๙)
จึงสร้างพระพุทธปฏิมาลีลาขึ้นโดยจำลองพระพุทธปฏิมาลีลาแบบสุโขทัย แต่พระพุทธปฏิมาองค์นี้กลับ
ให้ความรู้สึกว่า มิได้ทรงลีลาหรือก้าวย่างอย่างอ่อนช้อย หากแต่เป็นการก้าวเดินอย่างฉับไว ซึ่งสอดคล้อง
กับอุดมการณ์ “ก้าวหน้า” ของรัฐบาลของท่านสมัยที่ ๑ ดังที่หลวงวิจิตรวาทการได้บรรยายในปาฐกถา
เรื่อง “วัฒนธรรมสุโขทัย” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ (ค.ศ. 1939)
พระพุทธปฏิมาที่พอจะลงความเห็นเชื่อได้ว่า พ่อขุนรามคำแหงทรงสร้างก็มี
เพียง ๓ ชะนิด คือพระเดิน พระยืน และพระมารวิชัย ชะนิดที่จะได้พบเห็นมาก
ที่สุด คือพระพุทธปฏิมาในท่าเดิน ซึ่งเรียกว่าพุทธลีลา ซึ่งเป็นเครื่องสอนใจให้
คนก้าวหน้าเดิน ให้ก้าวหน้าไม่หยุดเฉย... เหตุไรพ่อขุนรามคำแหงจึงโปรดสร้าง
พระพุทธปฏิมาเดินมากกว่าแบบอื่น ข้อนี้จะอธิบายอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากว่า
พระนิสัยของพ่อขุนรามคำแหงเองเป็นผู้ที่อยู่นิ่งไม่ได้ และทรงถือความขยัน
ขันแข็งเป็นความสำคัญยิ่งสำหรับคนและชาติ ทรงมีความคิดในทางก้าวหน้าอยู่
ทุกขณะ การสร้างพระพุทธปฏิมาเดินไว้มาก ๆ ก็เพื่อให้คนบูชาความขยันขันแข็ง
และความก้าวหน้า (วิจิตรวาทการ ๒๔๙๖, ๑๕ – ๑๖)
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุพระพุ
ทธปฏิทธปฏิ
มาปางลี
มาลีลา
า ๔๗๙
เพื่อเฉลิมฉลอง ๒,๕๐๐ ปีของพุทธศาสนา รัฐบาลโดยมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายก-
รัฐมนตรี จึงมีมติให้สร้างพุทธมณฑลขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนาที่ประกอบด้วยสถานที่ปฏิบัติ
ศาสนธรรม ศึกษาค้นคว้าเผยแผ่พุทธศาสนา เป็นที่ตั้งของการบริหารคณะสงฆ์ และพิพิธภัณฑ์พุทธศาสนา
รวมทั้งเป็นนิวาสสถานของพระภิกษุสงฆ์ เสมอเหมือนนครศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธศาสนา ซึ่งก็คือการรื้อฟื้น
โครงการ “พุทธบุรีมณฑล” ที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำริที่จะสร้างขึ้นเมื่อคราวเป็นรัฐบาลสมัยที่หนึ่ง
ในบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรีในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๗ (ค.ศ. 1944)
(ศิลปากร ๒๕๒๕ ข, ๗) โดยจัดตั้งคณะกรรมการการจัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษแห่งพุทธศาสนา
ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ (ค.ศ. 1954) อันมีพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เป็นประธานคณะกรรมการ
คณะกรรมการเห็นสมควรว่า ควรจะสร้างปูชนียสถานให้เป็นพุทธานุสรณ์ให้ยิ่งใหญ่กว่าปูชนียสถาน
ใดๆ ที่เคยสร้างมาก่อน โดยอนุมัติให้จัดซื้อที่ดินในจังหวัดนครปฐม มีอาณาบริเวณ ๒,๕๐๐ ไร่ และ
สร้างพระพุทธปฏิมาปางลีลา สูงเฉพาะองค์ ๒,๕๐๐ นิ้ว (๔๐ – ๔๕ เมตร) “มีพุทธลักษณะเป็น
ประติมากรรมของสมัยรัตนโกสินทร์ ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก แล้วหุ้มด้วยทองแดงหรือประดับ
กระจก” (เรื่องเดียวกัน, ๑๔) โดยมอบหมายให้ ศิลป์ พีระศรี ซึ่งก็คือ คอร์ราโด เฟโรจี (Corrado
Feroci) ผู้ได้แปลงสัญชาติเป็นไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ (ค.ศ. 1944) และดำรงตำแหน่งคณบดีคณะ
ประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นผู้ออกแบบและปั้นหุ่นพระพุทธปฏิมา
รูปที่ ๙.๓๐ ก. รูปร่างพระประธานพุทธมณฑล
ศิลป์ พีระศรี ปั้นปี พ.ศ. ๒๔๙๗
(ค.ศ. 1954)
ศิลป์ พีระศรี เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับพระพุทธปฏิมาในที่ประชุมคณะกรรมการฯ ว่า
ปูนปลาสเตอร์ สูง ๘๐ เซนติเมตร
หอประติมากรรมต้นแบบ กรมศิลปากร
พระพุทธปฏิมานั้น ไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้าจริง เป็นแต่เพียงสิ่งแทนอันหมายถึง
กรุงเทพมหานคร
พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น ถ้าพูดในด้านความรู้สึกแห่งจิตใจแล้ว
ควรเป็นแบบ Idealistic แต่อย่างไรก็ตามขอให้เป็นหน้าที่ของศิลปินผู้ออกแบบ
จะเป็นแบบไหนก็ได้ ขอให้เกิดความรู้สึกก็แล้วกัน (เรื่องเดียวกัน, ๔๑)
ต้นแบบพระประธานพุทธมณฑล (รูปที่ ๙.๓๐ ก.) ที่ศิลป์ พีระศรี ร่างขึ้นนั้น แสดงให้เป็นที่
ประจักษ์ว่า “แบบ Idealistic” หรือ “แบบอุดมคติ” ของท่านนั้น ได้แก่แบบคลาสสิก (Classic) หรือแบบ
ศิลปะกรีกโบราณ เช่นรูป “นักกีฬาพุ่งแหลน” ของโพลีไคลตุส (Polyclitus) ซึ่งปั้นขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๑๑๐ -
๑๐๐ (ก่อน ค.ศ. 450 – 400) (กำจร ๒๕๒๔, ๑๕๓) ซึ่งถึงแม้ว่าโพลีไคลตุส จะเป็นผู้ริเริ่มรูปยืนที่ทอด
น้ำหนักไว้บนขาข้างเดียว หรือที่เรียกว่า “ตริภังค์” ในศิลปะของอินเดีย ซึ่งทำให้รูปนั้นดูมีชีวิตชีวาก็ตาม
แต่นักวิจารณ์ร่วมสมัยของท่านก็ยังกล่าวว่า “โพลีไคลตุสไม่สามารถสร้างความเป็นเทพเจ้าได้” (Clark
1960, 36) น่าจะหมายความว่า เขาสร้างความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้ เช่นเดียวกันกับประติมากรรมของ
ศิลป์ พีระศรี
หลังจากที่ได้ส่งรูปตัวอย่างให้คณะกรรมการฯ พิจารณา ๔ แบบแล้ว คณะกรรมการฯ จึงเลือก
พระพุทธปฏิมาครองจีวรห่มดอง พาดสังฆาฏิยาวจรดพระเพลา แบบพระภิกษุในคณะธรรมยุติกนิกาย
พระหัตถ์ซ้ายจีบพระอังคุฐเข้ากับพระดรรชนีในท่าแสดงธรรม ยกส้นพระบาทขวา จีวรทำเป็นริ้วตาม
ธรรมชาติ ในปีต่อมา ศิลป์ พีระศรี จึงได้ปั้นหุ่นพระพุทธปฏิมาสูง ๒.๑๔ เมตร (รูปที่ ๙.๓๐ ข.) เพื่อ
ประดิษฐานในโรงพิธี ณ ท้องสนามหลวงให้ประชาชนสักการบูชาในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ และใน
วาระเดียวกันยังได้ปั้นขยายจากพระพุทธปฏิมาต้นแบบ มีขนาดความสูง ๓.๕๐ เมตร ขึ้น พร้อมจำลอง
แท่นฐานตามโครงการ ประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีกลางท้องสนามหลวง อีกองค์หนึ่ง
รูปที่ ๙.๓๐ ข. รูปต้นแบบพระประธานพุทธมณฑล
ศิลป์ พีระศรี ปั้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ (ค.ศ. 1955)
ปูนปลาสเตอร์ สูง ๒.๑๔ เมตร
หอประติมากรรมต้นแบบ กรมศิลปากร
กรุงเทพมหานคร
รูปที่ ๙.๓๓
พระพุทธปฏิมาลีลา
๔๘๓
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที่
๑๐
พระพุทธปฏิมาไสยาสน์
โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก จังหวัดอ่างทอง พระราชนิพนธ์สมเด็จ
พระเจ้าบรมโกศ ในปี พ.ศ. ๒๒๗๐ (ค.ศ. 1727)
ขอพรพุทธภาคย์ให้ ไสยา
อสุรินทรจินตยามา ไฝ่เฝ้า
ขอจงองค์จักรา สุรภาพ
เกษมสานต์บานจิตตเช้า ค่ำคล้อย นิจการ
(Griswold and Nฺa Nagara 1970, 195)
หากไม่นับสมัยอาณาจักรมอญโบราณ (พ.ศ. ๙๕๐ - ๑๕๐๐ / ค.ศ. 407 - 957) แล้ว พระ
พุทธไสยาสน์ที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ซึ่งมีความหมายว่าบรรทม
ตามโคลงที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ได้มีพระวินิจฉัยว่าเป็นปางปรินิพพานตามพุทธประวัติ
พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ ๔๘๕
๑. พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ สมัยอยุธยา
(๑) ช่วงเมืองลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590)
- แบบสุโขทัย
จากการเปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปะแล้ว เห็นได้ว่าพระพุทธไสยาสน์สัมฤทธิ์ที่เก่าแก่ที่สุด
น่าจะได้แก่องค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (รูปที่ ๑๐.๑) พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ทรงบรรทม
ตะแคงขวา หลั บ พระเนตร พระหั ต ถ์ ข วาประคองพระเศี ย รที่ ห นุ น ด้ ว ยพระเขนยทรงกลมสองใบ
พระหัตถ์ซ้ายทาบบนพระเพลา พระบาทซ้อนกันเป็นมุมฉาก พุทธลักษณะส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับพระ
พุทธปฏิมาลีลา ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย (ดูรูปที่ ๙.๑๘) กล่าวคือ
ทรงครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับทบยาวจรดพระนาภี และมีชายพาดผ่านพระโสณีด้านซ้าย ชายจีวร
และชายสบงด้านล่างขมวดเข้าเป็นปม แต่แตกต่างกับพระพุทธปฏิมาลีลาสุโขทัย ที่ขอบสบงด้านบนทำ
เป็นแถบหนา เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาอยุธยา หากแต่ไม่มีหน้านางเท่านั้น จึงกำหนดอายุอยู่ในช่วง
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 – ต้น 16)
รูปที่ ๙.๑๘ พระสมณโคดม ลีลา
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑
ส่ ว นพระพุ ท ธไสยาสน์ ซึ่ ง พระบาทสมเด็ จ พระจอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ทรงอั ญ เชิ ญ มาจากวั ด
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 – ต้น 16)
พระพายหลวง เมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงผนวช ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระ
สัมฤทธิ์ สูง ๑.๗๐ เมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง
วิหารพระศาสดา วัดบวรนิเวศวิหาร (รูปที่ ๑๐.๒) (สำนักราชเลขาธิการ ๒๕๒๘ ข, ๙๙) มีพุทธลักษณะ
จังหวัดสุโขทัย
คล้ายกับองค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ดูรูปที่ ๑๐.๑) ยกเว้นแต่ขอบสบงด้านบนทำเป็น
เส้นบางเว้าตามพระนาภี แทนแถบหนา พระนาสิกยาวงุ้ม ปลายชายจีวรด้านล่างทำเป็นมุมแหลม
เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาลีลา แบบกำแพงเพชร (ดูรูปที่ ๙.๒๑) หากแต่ว่าพระเขนยทรงกลมทำซ้อน
กันสี่ใบ จึงอาจจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 16) พระพุทธรูป
องค์นี้ ประติมากรเอก เขียน ยิ้มศิริ จัดให้ “เป็นเลิศในโลก จะหาพระนอนที่ดีไปกว่าองค์นี้... ไม่ได้”
(เขียน ๒๕๑๒, ๘๑)
พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ ๔๘๗
(๒) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
พระพุทธไสยาสน์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี (รูปที่ ๑๐.๓)
บรรทม ยกพระเศียรขึ้นสูง หนุนด้วยพระเขนยอิง เม็ดพระศกเป็นหนามขนุน พระเมาลีทรงโอคว่ำ
พระรัศมีเป็นบัวตูม ชายจีวรพับทบเป็นแถบยาวโค้งตามพระวรกาย เป็นแนวเดียวกับหน้านางของสบง
ขอบสบงด้านบนคาดรัดประคด พระแท่นเป็นกลีบบัวหงายซึ่งแต่เดิมประดับด้วยกระจกสลับสีขาวเขียว
รองรับด้วยแถวกระจังตาอ้อยบนฐานเขียง รูปแบบของศิลปะเทียบได้กับรูปแบบที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์
พระพุทธไสยาสน์ วัดขุนอินทรประมูล อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง (รูปที่ ๑๐.๔) มี
พุทธลักษณะ ใกล้เคียงกับองค์ที่กล่าวถึงข้างต้น แต่มีความยาวถึง ๕๐ เมตร (บรรจบ ๒๕๐๓, ๒๖) และ
น่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ เช่นเดียวกันกับพระพุทธไสยาสน์ วัดโลกยสุธา อำเภอ
พระนครศรีอยุธยา (Listopad 1995, 226 – 227) ที่มีความยาว ๔๒ เมตร
พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ ๔๘๙
ในปี พ.ศ. ๒๒๖๙ (ค.ศ. 1726) เมื่อสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ (พ.ศ. ๒๒๕๑ – ๒๒๗๕ / ค.ศ.
1709 – 1733) ทรงทราบว่าพระพุทธไสยาสน์ ณ วัดป่าโมก (รูปที่ ๑๐.๕) ประดิษฐานอยู่ริมตลิ่งที่
โดนน้ำเซาะ และกำลังจะพังทลายลงภายในหนึ่งปี พระองค์จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ชะลอ
พระพุทธไสยาสน์ให้พ้นตลิ่ง ๔ เส้น ๔ วา (๑๖๘ เมตร) และปีต่อมาจึงเสด็จไปทอดพระเนตรการชะลอ
พระพุทธไสยาสน์ พร้อมด้วยพระอนุชาธิราช สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศ
เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ครั้นเมื่อสำเร็จบริบูรณ์แล้วจึงโปรดให้สร้างพระวิหารครอบองค์
พระพุทธปฏิมา ในวาระนี้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ทรงพระนิพนธ์โคลงเกี่ยวกับการชะลอ
พระพุทธไสยาสน์ไว้ด้วย และในปี พ.ศ. ๒๒๙๗ (ค.ศ. 1754) จึงได้ทรงแก้ไขโคลงบทนี้อีกครั้งหนึ่ง
(Griswold and Nฺa Nagara 1970, 147 – 220)
พระพุทธไสยาสน์ วัดพระพุทธไสยาสน์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี (รูปที่ ๑๐.๖) มีพุทธลักษณะ
รูปที่ ๑๐.๕ พระสมณโคดม ปางไสยาสน์
พ.ศ. ๒๒๔๖ - ๒๒๕๑
ใกล้เคียงกันมากกับพระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก รวมทั้งพระเขนยทรงกลมซ้อนกัน แตกต่างกันตรง
(ค.ศ. 1703 - 1708)
ไม่มีเส้นรอบพระโอษฐ์ด้านบน และพระพักตร์เหลี่ยมแทนรูปไข่ พระพุทธปฏิมาองค์นี้คงจะสร้างขึ้นใน
ก่ออิฐถือปูน ยาว ๒๔ เมตร
ช่ ว งครึ่ ง หลั ง พุ ท ธศตวรรษที่ ๒๓ (ครึ่ ง แรกคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 18) เช่ น กั น เดิ ม สร้ า งไว้ ก ลางแจ้ ง
พระวิหารวัดป่าโมก
อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารคลุมไว้ (วัดพระพุทธไสยาสน์
๒๕๔๙, เอกสารแผ่นพับ)
พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ ๔๙๑
๒. พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ สมัยรัตนโกสินทร์
พระพุทธไสยาสน์เป็นที่นิยมขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ สืบเนื่องมาจากการที่พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามขึ้นในปี
พ.ศ. ๒๓๗๕ (ค.ศ. 1832) และทรงสร้างพระพุทธไสยาสน์ ยาว ๔๖ เมตรขึ้น (รูปที่ ๑๐.๙) โดยมีพระองค์เจ้า
ลดาวัลย์เป็นแม่กอง ต่อมาได้ดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นภูมินทรภักดี กำกับกรมช่างสิบหมู่ในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (คณะสงฆ์วัดพระเชตุพน ๒๕๔๔, ๒๗) ในรัชกาลเดียวกันนี้ ยัง
ได้มีการสร้างพระพุทธไสยาสน์สัมฤทธิ์ ประดิษฐานบนเตียงจีนศิลา บนชาลาของพระวิหารหลวง วัด
สุทัศนเทพวราราม (รูปที่ ๑๐.๑๐) และพระพุทธปฏิมาสลักแก้วผลึก (รูปที่ ๑๐.๑๑) เป็นที่น่าสังเกตว่า
รูปแบบของพระเขนย เปลี่ยนจากทรงกลมซ้อนลดหลั่นกันเป็นทรงเหลี่ยม นอกจากนั้นแล้ว ชายจีวร
ส่วนล่างข้างซ้ายซึ่งแต่เดิมเคยลอยอยู่เหนือพระชงฆ์ ก็เปลี่ยนเป็นแบบธรรมชาติ พับราบลู่ลงตามความ
โค้งพระชงฆ์อีกด้วย
พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ ๔๙๓
๔๙๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธไสยาสน์ที่สร้างขึ้นตามแบบดังกล่าวได้แก่ พระพุทธไสยาสน์ในถ้ำวัดสุวรรณคูหา
อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา (รูปที่ ๑๐.๑๒) มีความยาว ๑๕ เมตร ซึ่งพระยาโลหภูมินทราธิบดี
เจ้าเมืองตะกั่วทุ่ง เป็นผู้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ (ค.ศ. 1861) ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัว
ต่อมาเมื่อค่านิยมของชาวตะวันตกเข้ามาเป็นมาตรฐานของความเป็นเลิศทางศิลปะ รูปแบบ
ของพระพุทธไสยาสน์จึงเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น เช่น พระพุทธไสยาสน์ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรง-
ราชานุภาพ ทรงใช้เป็นตัวอย่างของพระพุทธปฏิมา “แบบรัชกาลที่ ๖” ที่
ช่างฝีมือดีก็คิดแก้ไขหันเข้าหาความงาม ให้เห็นจริงอย่างสามัญมนุษย์ต่อมา
ควรยกย่องให้เป็นตัวอย่างเช่นพระไสยา ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงคิดแบบให้สร้างอุทิศถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหมื่ น มหิ ศ รราชหฤทั ย อยู่ ที่ โ รงเรี ย นวั ด ราชาธิ ว าส (ดำรงราชานุ ภ าพ
๒๔๖๙, ๑๔๗)
พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ ๔๙๕
พระพุทธไสยาสน์ที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส (รูปที่ ๑๐.๑๓) นั้น พระเทพรจนา (สิน) เป็นผู้ปั้นและ
หล่อเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921) ตามแบบที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงร่าง
ประทาน เพื่อเป็นพระประจำวันประสูติ (วันอังคาร) ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย
(พระองค์เจ้าไชยันตมงคล) ผู้ก่อตั้งโรงเรียนวัดราชาธิวาส (ศิลปกรรมวัดราชาธิวาส ๒๕๔๖, ๑๑๔ –
รูปที่ ๑๐.๑๓ พระพุทธไสยาสน์
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๑๕) พระพุทธไสยาสน์องค์นี้สร้างขึ้นตามแนวศิลปะตะวันตกที่เน้นความเหมือนจริง จึงเป็นที่นิยมและ
ทรงคิดแบบ
ได้รับการยกย่อง จนมีการจำลองมากที่สุดองค์หนึ่ง มีทั้งที่เป็นพระพุทธปฏิมาขนาดเล็กสำหรับบูชา (รูป
พระเทพรจนา (สิน) ปั้นหล่อ
ที่ ๑๐.๑๔) และขนาดใหญ่ เช่น ที่วัดถ้ำแสงเพชร อำเภอเมืองฯ จังหวัดอำนาจเจริญ (รูปที่ ๑๐.๑๕)
ปี พ.ศ. ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921)
สัมฤทธิ์ ยาว ๑.๕๔ เมตร
นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับการสร้างพระพุทธปฏิมาในช่วงรัชกาลปัจจุบันที่ผสมผสาน
โรงเรียนวัดราชาธิวาส
พระเศียรแบบพระพุทธปฏิมาสุโขทัย เข้ากับพระวรกายของพระพุทธไสยาสน์ที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา
กรุงเทพมหานคร
นริศรานุวัดติวงศ์ ทรงคิดแบบขึ้น เช่นที่พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ อำเภอบางสะพาน จังหวัด
รูปที่ ๑๐.๑๔ พระพุทธไสยาสน์ จำลอง
โรงเรียนวัดราชาธิวาส
ประจวบคีรีขันธ์ (รูปที่ ๑๐.๑๖)
ปูนปลาสเตอร์
พิพิธภัณฑ์วัดหนองป่าพง
อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
รูปที่ ๑๐.๑๓
รูปที่ ๑๐.๑๔
พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ ๔๙๗
ปางบำเพ็ญทุกรกิริยา (รูปที่ ๑๑.๑๓)
ระเบียงรอบองค์พระปฐมเจดีย์
อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครปฐม
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
บทที่
๑๑
พระพุทธปฏิมาปางอื่น ๆ
๑. พระสี่อิริยาบถ สมัยอยุธยา
ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
การสร้างพระพุทธปฏิมาปางต่างๆ น่าจะเริ่มขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อมีการสร้าง
พระพุทธปฏิมาสี่อิริยาบถ อันได้แก่ พระพุทธปฏิมาประทับ ยืน ลีลา และไสยาสน์ ขึ้น เช่นที่สุโขทัยและ
กำแพงเพชร ซึ่งทั้งสองแห่งที่สร้างขึ้นในเขตอรัญญิก อันเป็นที่จำพรรษาของพระภิกษุฝ่ายอรัญวาสี
ซึ่งตั้งห่างจากตัวเมืองพอที่พระสงฆ์จะเดินเข้าไปบิณฑบาตได้ ทั้งนี้เพราะฝ่ายอรัญวาสีเน้นการบำเพ็ญ
ศีล ภาวนา และวิปัสสนากรรมฐาน ดังนั้นการสร้างพระพุทธปฏิมาสี่อิริยาบถ จึงสะท้อนให้เห็นคติธรรม
ของฝ่ายอรัญวาสี ที่ใช้พระพุทธปฏิมาเหล่านี้ประกอบการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ใน มหาสติปัฏฐานสูตร
พระสูตรที่ ๙ ของ พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวรรค ตอนที่ว่าด้วยกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดังที่ได้
กล่าวว่า
๑. ภิกษุเมื่อเดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า “เราเดินอยู่”
๒. เมื่อยืนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า “เรายืนอยู่”
๓. เมื่อนั่ง ย่อมรู้ชัดว่า “เรานั่งอยู่”
๔. เมื่อนอน ย่อมรู้ชัดว่า “เรานอนอยู่” เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ
ย่อมรู้ทั่วถึงกายนั้นด้วยอาการอย่างนั้นๆ
(สุริยวุฒิ ๒๕๓๐, ๖๐)
พระพุทธปฏิมาปางอื่น ๆ ๔๙๙
รูปที่ ๑๑.๑ พระสมณโคดม ปางลีลา
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 – ต้น 18)
รูปที่ ๑๑.๒ พระสมณโคดม ปางห้ามพระแก่นจันทน์
ปูนปั้น
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓
พระมณฑปด้านทิศตะวันออก วัดเชตุพน
(ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 – ต้น 18)
อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย
ปูนปั้น
พระมณฑปด้านทิศตะวันตก วัดเชตุพน
อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย
พระพุทธปฏิมาปางอื่น ๆ ๕๐๑
๒. พุทธประวัติ
๒.๑ พุทธประวัติ สมัยอยุธยา
สมัยวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767)
- แบบสุโขทัย
ส่วนการสร้างภาพพุทธประวัตินั้นน่าจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ – ต้น ๒๔ (กลาง
คริสต์ศตวรรษที่ 18) อันเห็นได้จาก พระพุทธปฏิมาปูนปั้นที่มณฑปวัดตระพังทองหลาง เมืองเก่า
จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพพุทธประวัติ แต่เดิมมีอยู่สามด้าน ด้านละปาง ด้านทิศใต้แสดง
ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ (รูปที่ ๑๑.๕) ด้านทิศตะวันตกปางยมกปาฏิหาริย์ (รูปที่ ๑๑.๖) ด้านทิศเหนือ
ปางทรมานช้างนาฬาคิรี (รูปที่ ๑๑.๗) แสดงเป็นพระพุทธปฏิมายืน ปัจจุบันแทบจะไม่มีภาพหลงเหลืออยู่
เพราะถูกโจรกรรมไปเกือบหมด ถึงแม้เหตุการณ์ในพุทธประวัติจะต่างกัน แต่พระพุทธปฏิมาลีลาทั้งสอง
องค์ก็มีพุทธลักษณะคล้ายกัน คือ ยกส้นพระบาทขวาในท่าก้าวเดิน พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้น แต่เนื่องด้วยว่า
รูปที่ ๑๑.๕ พระสมณโคดม
หักหายไป จึงไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเป็นปางประทานอภัยหรือปางเทศนาธรรม ทรงครองจีวรห่มดอง
ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์
ชายจีวรพับทบยาวจรดพระนาภี ขอบจีวรด้านซ้ายทอดลงเป็นเส้นคลื่น ปลายม้วนเข้า ส่วนชายจีวรและ
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ – ต้น ๒๔
สบงด้านล่างโค้งรับกับข้อพระบาทที่ยกขึ้น พุทธลักษณะทั่วไปเทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมาลีลา วัด
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18)
ปูนปั้น
เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (ดูรูปที่ ๙.๒๗ ก.) อย่างไรก็ตามองค์ประกอบอื่นๆ ของทั้งสองภาพ เช่น
มณฑปด้านทิศใต้ วัดตระพังทองหลาง
ศิราภรณ์และเครื่องทรงของเทวดา รวมทั้งลวดลายของประภามณฑลในภาพปางยมกปาฏิหาริย์ (ดูรูปที่
อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย
๑๑.๖) แสดงให้เห็นอิทธิพลจากศิลปะแบบศิริวัฒนบุรี (กรุงแคนดี้) ประเทศศรีลังกา เช่นจิตรกรรม
รูปที่ ๑๑.๖ พระสมณโคดม ปางยมกปาฏิหาริย์
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ – ต้น ๒๔
ฝาผนังถ้ำรันคิริ ดัมบุลุ (Rangiri Dambulu) ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ (กลางคริสต์
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18)
ศตวรรษที่ 18) (พิริยะ ๒๕๔๕, ๗๐ – ๗๑) จึงเป็นไปได้ว่า พระพุทธปฏิมาปูนปั้นที่มณฑปวัดตระพัง-
ปูนปั้น
ทองหลางนี้คงจะสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน
มณฑปด้านทิศตะวันตก
วัดตระพังทองหลาง
อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย
พระพุทธปฏิมาปางอื่น ๆ ๕๐๕
รูปที่ ๑๑.๑๐ ก. ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์
สร้างปี พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔
(ค.ศ. 1824 - 1851)
สัมฤทธิ์ สูง ๑๕.๕ เซนติเมตร
ฐานยาว ๙ เซนติเมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
รูปที่ ๑๑.๑๐ ข. ภาพปางเสด็จลงจากดาวดึงส์
เขียนปี พ.ศ. ๒๓๓๘ - ๒๓๔๐
(ค.ศ. 1795 - 1797)
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระพุทธปฏิมาปางอื่น ๆ ๕๐๗
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ. 1957) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ ห ลวงบริ บ าลบุ รี ภั ณ ฑ์ รวบรวมพระพุ ท ธรู ป ปางต่ า งๆ ขึ้ น ตามเรื่ อ งพุ ท ธประวั ติ ไ ด้ ๕๕ ปาง
เพื่อพระราชทานในงานพระราชกุศลราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน (บริบาลบุรีภัณฑ์
และ เกษม ๒๕๐๐) ๒๖ ปี ต่อมา ได้มีการสร้างพระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์ปางต่าง ๆ ขึ้นที่ระเบียงรอบ
องค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น ๘๐ องค์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๖ – ๒๕๒๗ (ค.ศ. 1983 –
1984) “แม้ว่าพระพุทธปฏิมาเหล่านี้ จะสร้างขึ้นในสมัยปัจจุบัน แต่ลักษณะทางศิลปะก็ได้แรงบันดาลใจ
จากศิลปะสุโขทัย” (ไขศรี 1996, ๗๐ – ๗๑) ยกเว้นแต่ในกรณีของพระพุทธปฏิมาปางบำเพ็ญทุกรกิริยา
ซึ่งจำลองจากพระพุทธปฏิมาปางเดียวกัน ในพระระเบียงพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูป
ที่ ๑๑.๑๓) พระพุทธปฏิมาองค์ต้นแบบนั้น รัฐบาลอินเดียนำมาถวายสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เปนพระพุทธปฏิมาขนาดหน้าตักสักสอกหนึ่ง ซึ่งเขาพิมพ์จำลองพระสิลาด้วย
ปูนปลาสเตอร์ แล้วปิดทองคำเปลวตั้งไนซุ้มไม้ทำเปนรูปเรือนแก้ว สำหรับยึด
องค์พระไว้ให้แน่นใส่หีบส่งมา พระนั้นเปนรูปพระพุทธองค์เมื่อยังเปนพระ
โพธิสัตว์กำลังกะทำทุกรกิริยา ช่างโยนกคิดประดิถทำที่ไนคันธารราถ เมื่อราว
พ.ส. 900 ทำเปนพระนั่งสมาธิ แต่พระองค์กำลังซูบผอมถึงอย่างว่า “มีแต่หนัง
หุ้ ม กระดู ก ” แลเห็ น โครงพระอั ต ถิ แ ละเส้ น สายทำเหมื อ นจริ ง ผิ ด กั บ พระ
พุทธปฏิมาสามัญ แลเห็นก็รู้ทันทีว่าเปนรูปพระพุทธองค์เมื่อซงบำเพ็นเพียรหา
โมขธัม ทำดีน่าพิสวง เขาบอกมาว่าพระพุทธปฏิมาองค์นี้แหละเปนชั้นยอด
เยี่ยมทั้งความคิดและฝีมือช่างโยนก พบแต่องค์เดียวเท่านั้น รัถบาลไห้รักสาไว้
ในพิพิธภัณฑ์สถานที่เมืองละฮอ... สมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวง โปรดไห้ประดิสถาน
พระองค์นั้นไว้บนถานชุกชีบุสบกด้านหนึ่งไนพุทธปรางค์ปราสาท ที่วัดพระ
สรีรัตนสาสดาราม มีผู้สัทธาไปขอจำลองหล่อ “พระผอม” ด้วยทองสัมริทธิมี
ขึ้นแพร่หลายและทำหลายขนาด องค์ไหย่กว่าเพื่อนขนาดหน้าตักสักสองสอก
ผู้ส้างถวายสมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวงเปนพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร และยัง
มีหยู่ตามวัดอีกนับไม่ถ้วน แต่องค์เดิมที่จำลองส่งมาจากอินเดียนั้นเปนอันตราย
เสียเมื่อไฟไหม้พุทธปรางค์ปราสาทแต่ไนรัชกาลที่ 5 หากมีผู้สัทธาหล่อจำลองไว้
แบบ “พระผอม” จึงยังมีหยู่ไนเมืองไทยจนทุกวันนี้ (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๘๗,
๙๒ – ๙๓, อักขรวิธีแบบสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม)
พระพุทธปฏิมาปางอื่น ๆ ๕๑๑
๔. พระพุทธปฏิมาประจำเดือน สมัยรัตนโกสินทร์
นอกจากพระพุทธปฏิมาประจำวันซึ่งเป็นที่แพร่หลายแล้วปัจจุบันยังนิยมสร้างพระพุทธปฏิมา
ประจำเดือน ซึ่งประดิษฐ์คิดขึ้นในรัชกาลนี้อันได้แก่
เดือนอ้าย ปางปลงกรรมฐานหรือปลงกัมมัฏฐานหรือปางชักผ้าบังสุกุล
เดือนยี่ ปางชี้มาร
เดือน ๓ ปางประทานโอวาท หรือปางแสดงโอวาทปาติโมกข์
เดือน ๔ ปางนาคาวโลก
เดือน ๕ ปางขอฝนหรือปางคันธารราฐ
เดือน ๖ ปางมารวิชัย
เดือน ๗ ปางเรือนแก้ว
เดือน ๘ ปางปฐมเทศนา
เดือน ๙ ปางภัตกิจ
เดือน ๑๐ ปางประดิษฐานรอยพระบาท
เดือน ๑๑ ปางลีลาและปางเสด็จลงจากดาวดึงส์
เดือน ๑๒ ปางประทานอภัย
(ไขศรี 1996, ๑๐๘)
พระพุทธปฏิมาประจำเดือนมักจะสร้างขึ้นในแบบพระราชนิยม อันได้แก่ แบบสุโขทัยประยุกต์
เช่นที่วัดพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี คือพระพุทธปฏิมาประจำเดือนยี่ ปางชี้มาร (รูปที่
๑๑.๑๖) ซึ่งทรงยืนยกพระหัตถ์ขวาขึ้นเหนือพระอุระ พระดรรชนีชี้ขึ้น ซึ่งเป็นแบบที่ประดิษฐ์คิดขึ้นใหม่
รวมทั้ง ปางประทานอภัยประจำเดือนสิบสอง (รูปที่ ๑๑.๑๗) เป็นพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ
ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นหน้าพระพาหาทั้งสองข้าง หงายพระหัตถ์เข้าหากัน คล้ายกับว่ากำลังจะทำท่า
ปรบพระหัตถ์ ซึ่งเป็นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น ถึงแม้ว่าพุทธลักษณะทั่วไปจะจำลองมาจากพระ
พุทธปฏิมาสุโขทัย หรือแบบสุโขทัยประยุกต์ แต่ลักษณะของพระหัตถ์แสดงให้เห็นว่าเป็นแบบใหม่ที่คิด
ขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
บทสรุป
๕๑๕
นอกจากพระพุทธรูปจะครองไตรจีวรเฉกเช่นพระภิกษุสงฆ์แล้ว พระพุทธรูปยังถูกสร้างให้มี
พุทธลักษณะตามหลักมหาบุรุษลักษณะ (มหาปุริสลักขณะในภาษาบาลี) ๓๒ ประการ ซึ่งการนิยาม
มหาบุรุษลักษณะนั้น เกิดขึ้นพร้อมกันกับการสร้างพระพุทธรูป คือในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๖ – กลาง ๗
(คริสต์ศตวรรษที่ 1) โดยที่มหาบุรุษลักษณะบางประการนั้นไม่สามารถที่จะนำมาสร้างเป็นรูปธรรมได้
แต่ช่างก็พยายามที่จะทำตามเท่าที่จะทำได้ เช่น พระเศียรมีอุษณีษะ (เมาลี) เส้นพระเกศาขมวด
เวียนขวา พระนลาฏกว้าง ระหว่างพระขนงมีพระโลมาที่ขึ้นและเวียนขวา (อุณาโลม) พระเนตรสีนิล
เหมือนขอบตาโค พระหนุเหมือนคางราชสีห์ พระมังสาอูมนูน ๗ แห่ง พระอังสาผึ่งผาย พระฉวีสีทอง
พระวรกายตรง ท่อนบนเหมือนราชสีห์ ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นได้จากพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมา
ส่วนพระอิริยาบถของพระพุทธปฏิมานั้นมี ๔ พระอิริยาบถ ประกอบด้วย ประทับ (นั่ง) ยืน ลีลา
(เดิน) และไสยาสน์ (นอน) โดยพระอิริยาบถประทับ มีทั้งแบบประทับขัดสมาธิราบซึ่งเป็นที่นิยมสร้างกัน
ในทางตอนใต้ของอินเดียและศรีลังกา แบบประทับขัดสมาธิเพชรนิยมสร้างอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย
และแบบประทับห้อยพระบาทซึ่งเป็นที่นิยมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกของอินเดีย พระ
อิริยาบถยืนมักนิยมสร้างแบบยืนเอียงพระวรกาย (ตริภังค์) มากกว่ายืนตรง (สมภังค์) พระอิริยาบถ
ลีลาคือทรงพระดำเนิน โดยยกส้นพระบาทข้างใดข้างหนึ่งขึ้น พระอิริยาบถไสยาสน์ คือบรรทมตะแคง
ขวา พระเศียรรองรับด้วยพระหัตถ์ขวา
นอกจากพระอิริยาบถทั้ง ๔ แล้ว พระพุทธรูปยังมีกิริยาของพระหัตถ์ที่เรียกว่า มุทรา หรือที่
ไทยเราเรียกว่า ปาง เป็นองค์ประกอบสำคัญอีกส่วนหนึ่ง ปางแรกได้แก่ปางประทานอภัย คือยก
พระหัตถ์ขวาขึ้นและหงายออก เป็นสัญลักษณ์ของการขจัดภยันตรายโดยมีนัยว่าเมื่อมีพระพุทธองค์เป็น
สรณะแล้วก็จะคุ้มครองมิให้เกิดภยันตราย (ดูรูปที่ ๑.๑ ข., ๑.๒ ก.) ต่อมาได้มีการสร้างพระพุทธรูปปาง
ต่างๆ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ณ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง เช่น ที่พุทธคยา
เป็นปางมารวิชัย คือ ปางที่พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่ฐาน สัญลักษณ์แห่งการ
ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่สารนาถ ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งพุทธองค์ทรงตรัสรู้และแสดงพระธรรม-
เทศนาครั้งแรกเป็นปางปฐมเทศนา คือยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ จีบพระอังคุฐกับพระดัชนีเป็น
วงกลม รองรับด้วยพระหัตถ์ซ้ายที่จีบเช่นกันแต่หงายลง และที่กุสินารา เป็นปางไสยาสน์ถือเป็น
สัญลักษณ์ของการเสด็จสู่ปรินิพพาน ส่วนที่ลุมพินี สถานที่ทรงประสูติแสดงภาพพระพุทธองค์ทรง
ประสูติจากพระปรัศว์ขวาของพระนางสิริมหามายา เป็นสัญลักษณ์ของลุมพินี
ต่อมาเมื่อมีการเพิ่มปูชนียสถานขึ้นอีก ๔ แห่ง จึงคิดปางขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับพุทธประวัติ
ได้แก่ ปางอุ้มบาตร เป็นสัญลักษณ์ของปางป่าเลไลยก์ที่ไพศาลี ปางโปรดช้างนาฬาคิรี ยืนยื่นพระหัตถ์
ขวาในกิริยาลูบศีรษะช้างที่ราชคฤห์ ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ที่สังกัสสะ ยืนตริภังค์เคียงข้างด้วย
พระอินทร์ถือฉัตร และพระพรหมเชิญแส้ขนจามรี และปางยมกปาฏิหาริย์ที่สาวัตถีแสดงปางปฐมเทศนา
ด้วยพระพุทธรูปหลายองค์ (ดูรูปที่ ๒.๑๗ ก., ข.) ดังนั้นความหลากหลายของปางจึงเกิดขึ้นในลัทธิ-
ศราวกยานเพื่อสร้างภาพให้พุทธประวัติ
ต่อมาเมื่อลัทธิมหายานเฟื่องฟูขึ้น จึงมีการสร้างพระตถาคตองค์อื่นๆ ที่มิใช่พระศากยมุนี ได้
ประดิษฐ์คิดปางให้แตกต่างกันออกไป เช่นพระพุทธรูปยืน หรือลีลา ปางประทานพร (พระหัตถ์ขวาทอด
ลงข้างพระวรกายและหงายออก) เป็นพระพุทธเจ้าทีปังกร (ดูรูปที่ ๒.๑๑ ก.) พระพุทธเจ้าองค์แรกใน
พุทธวงศ์ พระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองแสดงธรรมในระดับพระอุระ เป็นพระอมิตาภพุทธะเมื่อ
เสด็จลงจากสวรรค์สุขาวดี เพื่อรับดวงวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธาในพระองค์ไปสถิตไว้ในแดนสุขาวดี
(ดูรูปที่ ๒.๑๕ ข.)
บทสรุป
๕๑๗
จักรพรรดิราชให้ปรากฏเป็นพระพุทธปฏิมาองค์เดียวกัน พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทรทรงเครื่องต้น
จึงแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของพุทธศิลป์ไทย ที่รวมพุทธศาสนาเข้ากับสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นอัน
หนึ่งอันเดียวกัน ถึงแม้ว่าเมื่อสองสหัสวรรษก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามที่จะรวมสองสถาบันนี้ให้อยู่
ด้วยกัน ดังเช่นพระพุทธรูปปางประทานอภัยบนเหรียญของพระเจ้าจักรพรรดิกนิษกะที่ ๑ (ดูรูปที่ ๑.๑
ก., ข.) แต่ก็อยู่คนละด้านของเหรียญ มิใช่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
นับแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์
ต่างมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ โดยการสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็น
สายสัมพันธ์เชื่อมโยงพระมหากษัตริย์กับพุทธศาสนาให้แนบแน่นยิ่งขึ้น เช่นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระนิรันตรายเรือนแก้ว (ดูรูปที่ ๓.๙๖) เพื่อพระราชทานไปยังพระอารามในคณะ
ธรรมยุติกนิกาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระชัยวัฒนมงคลวราภรณ์ ให้ผู้ที่
ได้รับพระราชทานยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสร้างพระนิรโรคันตราย (ดูรูปที่ ๓.๙๘) พระราชทานพระอารามหลวงฝ่ายมหานิกาย และพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประดิษฐานพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. บนผ้าทิพย์
ของพระพุทธรูป อันได้แก่ พระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. (ดูรูปที่ ๓.๑๐๐)
แต่ในรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น ที่ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับพระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรง
สร้างขึ้น เช่น พระพุทธนวราชบพิตร (ดูรูปที่ ๓.๑๐๑) ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น และทรงบรรจุพระกำลังแผ่นดิน หรือพระสมเด็จจิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ที่
ผสมผสานขึ้นจากมวลสารศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่เป็นส่วนพระองค์ และจากปูชนียสถานและปูชนียวัตถุทั่วพระราช
อาณาจักรไว้ที่ฐานบัวหงาย เพื่อพระราชทานไปประดิษฐานที่ศาลากลางของทุกจังหวัด ให้ประชาชนได้
สักการบูชาพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งองค์เดียวกับพระพุทธเจ้า และราษฎรของพระองค์
ภาคที่ ๒ พระพุทธปฏิมาในประเทศไทยตามพระอิริยาบถ ตามแนวการศึกษาแบบประเพณี
คือ ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธปฏิมา ซึ่งเป็นรูปจำลองของพระพุทธรูปสำคัญแต่ละปางแยก
ตามภูมิภาคในแต่ละช่วงระยะเวลา โดยภาพรวมสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน สามารถแบ่งได้เป็น ๓ ยุค
กว้างๆ คือ
- ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13) ได้แก่ สมัยอาณาจักรมอญโบราณ และ
สมัยจักรวรรดิกัมพูชา
- ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 - กลาง 19) คือช่วงที่ชาวไทย
เข้ามาปกครอง และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมที่มีมาแต่เดิมให้เป็นของตนเอง
- หลังพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19) จนถึงปัจจุบัน อันเป็นช่วงระยะเวลาที่
สังคมไทยปรับเปลี่ยนตนเองให้สอดคล้องกับโลกทัศน์และอารยธรรมของชาวตะวันตก
บทสรุป
๕๑๙
พระชินพุทธอมิตาภะ ปางประทานพรของพระชินพุทธรัตนสัมภวะ และปางปฐมเทศนาของพระชินพุทธ-
ไวโรจนะ (ดูรูปที่ ๒.๘ – ๒.๑๒) ในกรณีของ โยโคตตระ ตันตระ พระชินพุทธอักโษภยะใช้แทนที่พระ
ชินพุทธไวโรจนะ ดังในพระพุทธปฏิมาแปดปาง (ดูรูปที่ ๔.๑๔ ก., ข.) ส่วนพระศากยมุนีทำเป็นพระ
พุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย เช่นเดียวกันกับพระชินพุทธอักโษภยะ (ดูรูปที่ ๔.๑๔ ก.)
๑.๔ ลัทธิตันตระยานสมัยจักรวรรดิกัมพูชา
พ.ศ. ๑๕๐๐ – ๑๘๐๐ (ค.ศ. 957 – 1257)
อาณาจักรกัมพูชาเข้ามาปกครองภาคกลางของประเทศไทยในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๖ (กลาง
คริสต์ศตวรรษที่ 10) และแม้ว่ากษัตริย์กัมพูชาจะนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะ แต่ข้าราชการชั้น
ผู้ใหญ่หลายท่านก็นับถือพุทธศาสนาลัทธิตันตระยาน โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ (กลาง
คริสต์ศตวรรษที่ 11) เป็นต้นมา ภายใต้อิทธิพลของคัมภีร์ กาลจักรตันตระ ได้มีการสร้างรูปพระวัชร-
สัตว์พุทธะหรือพระอาทิพุทธะ อันเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่หก ผู้เป็นองค์รวมของพระปาญจสุคต หรือพระ
ชินพุทธะทั้งห้าพระองค์ โดยนิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ เหนือ
ขนดลำตัวของพญานาคที่กำลังแผ่พังพานอยู่เจ็ดเศียร (ดูรูปที่ ๔.๑๘)
ในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๕๗? / ค.ศ. 1181 – 1214?) พุทธศาสนาได้
ถูกยกย่องให้เป็นศาสนาประจำราชอาณาจักร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างรูปพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา
(ดูรูปที่ ๕.๔๓) พระตถาคตผู้รักษาโรคของลัทธิมหายาน ให้เป็นพระประธานของอโรคยศาลที่พระองค์
ทรงสร้างขึ้นทั่วพระราชอาณาจักร เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง ประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก
ถือหม้อน้ำมนต์ในพระหัตถ์ ในช่วงที่ลัทธิตันตระยานแพร่หลายในอาณาจักรกัมพูชานี้ แทบจะไม่มีการ
สร้างรูปพระศากยมุนีเลย ยกเว้นแต่พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยที่ทับหลังมณฑปด้าน
ทิศใต้ของปราสาทพิมาย
๒. พระพุทธปฏิมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 - กลาง 19)
๒.๑ นิกายเถรวาท คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ
เมื่ออาณาจักรกัมพูชาสิ้นสลายลงพร้อมกับลัทธิตันตระยานในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลาง
คริสต์ศตวรรษที่ 13) นิกายเถรวาท ในลัทธิศราวกยาน ได้กลับเข้ามาเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่งในรัฐกัมโพช
ในภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย นิกายนี้มีชื่อว่ากัมโพชสงฆ์ปักขะ หรือคณะสงฆ์กัมโพช โดยที่
จารึกกัลยาณีที่หงสาวดี กล่าวว่าเป็นนิกายเดียวกันกับนิกายอริยารหันตปักขะ หรือ อริยะ ซึ่งเป็นนิกาย
เถรวาทดั้งเดิมของมอญ ที่พระโสณะและพระอุตตระเป็นผู้นำเข้ามา นิกายนี้เป็นนิกายที่ใช้ภาษาบาลี แต่
รับหลักธรรมจากลัทธิมหายานและลัทธิตันตระยานเข้ามาผสมผสานด้วย
พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในนิกายนี้จึงสะท้อนให้เห็นค่านิยมจากลัทธิเหล่านี้ พระปฏิมารูปพระ
สมณโคดมส่วนใหญ่เป็นพระพุทธปฏิมา ประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ (ดูรูปที่ ๕.๑๓) ประทับขัดสมาธิราบ
ปางมารวิชัย (ดูรูปที่ ๕.๑๒๑ – ๕.๑๒๒) ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ถือตาลปัตร (ดูรูปที่ ๕.๑๗๑
ก., ข.) ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก (ดูรูปที่ ๕.๑๗๘ – ๕.๑๗๙) ประทับขัดสมาธิราบ
ปางมารวิชัย ทรงเครื่องพระจักรพรรดิราช (ดูรูปที่ ๕. ๑๘๑ – ๕.๑๘๓)
ส่วนพระพุทธปฏิมายืนนั้น มีปางห้ามญาติ (ดูรูปที่ ๘.๑๙ – ๘.๒๑) ปางห้ามพระแก่นจันทน์
(ดูรูปที่ ๘.๔๘) ปางห้ามสมุทร (ดูรูปที่ ๘.๕๓ – ๘.๕๔) และปางห้ามสมุทร ทรงเครื่องพระจักรพรรดิราช
(ดูรูปที่ ๘.๗๐ – ๘.๗๑)
๕๒๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธปฏิมาที่กล่าวถึงข้างต้น มีพุทธลักษณะที่ร่วมกันคือ มีพระเมาลีทรงโอคว่ำ หรือทรง
กรวยเรียบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธปฏิมาในหมวด “อู่ทอง แบบที่ ๑” และทรงอาภรณ์เครื่อง
ประดับที่ดัดแปลงมาจากศิลปะสมัยบายนของเขมร
เมื่อคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะซึ่งเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายนครวาสี หรือคามวาสี แพร่หลายไปที่อาณาจักร
ล้านนา จึงมีการจำลองพระพุทธปฏิมาแบบกัมโพชขึ้น ณ ที่นั้น (ดูรูปที่ ๕.๑๓) เช่นเดียวกับที่อาณาจักร
สุโขทัย (ดูรูปที่ ๘.๒๒ – ๘.๒๓)
๒.๒ นิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร ฝ่ายคามวาสี
ปัจจุบันยังไม่พบเอกสารของไทยที่กล่าวว่านิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร ฝ่ายคามวาสี เข้ามามี
บทบาทเมื่อใด แต่จารึกกัลยาณีให้ข้อมูลที่ทำให้สันนิษฐานได้ว่า น่าจะรับเข้ามาหลังปี พ.ศ. ๑๗๒๔ –
๑๗๒๕ (ค.ศ. 1181 – 1182) คือ เมื่อพระฉปัฏเถระสถาปนา “คณะสงฆ์สีหฬ” ขึ้นที่เมืองพุกาม ประเทศ
พม่า (Ray 2002, 114) ในคณะของพระฉปัฏเถระที่กลับไปเมืองพุกามหลังจากไปอุปสมบทใหม่ ในคณะ
มหาวิหาร ของลังกา หรือประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน มีด้วยกัน ๔ รูป หนึ่งในนั้นได้แก่พระตามลินทเถระ
ซึ่งเป็นพระโอรสของ “พระราชาแห่งกัมโพช” (Taw Sein Ko 1892, 51) ต่อมาพระตามลินทเถระจึงตั้ง
“คณะสงฆ์สีหฬ” ย่อยขึ้นตามฉายาของท่านเองที่เมืองพุกาม แต่จารึกกัลยาณีมิได้กล่าวว่าท่านได้นำเอา
คณะของท่านไปเผยแพร่ที่มาตุภูมิ แต่หากจะพิจารณาว่าในฐานะที่ท่านเป็นพระโอรสของกษัตริย์กัมโพช
และทรงตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ จึงเป็นไปได้มากว่า สานุศิษย์ของท่านคงจะนำพระธรรมวินัยตามคติของ
คณะสงฆ์สีหฬของพระตามลินทเถระไปเผยแพร่ที่กัมโพช
พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในคณะมหาวิหารของลังกา ได้รับการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้รับกับค่า
นิยมใหม่ ซึ่งเห็นได้จากพระรัศมีที่ทำเป็นรูปเปลวเพลิง ตามอย่างพระพุทธปฏิมาของลังกา และเนื่อง
ด้วยว่าพระพุทธปฏิมาส่วนใหญ่หมายถึงพระสมณโคดม การครองไตรจีวรจึงเหมือนเช่นพระภิกษุสงฆ์
และปราศจากอาภรณ์เครื่องประดับใดๆ ที่เห็นได้ชัดที่สุดได้แก่ พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในอาณาจักร
อยุธยา เป็นพระพุทธปฏิมาที่จำลองแบบมาจากพระพุทธรูปสำคัญของรัฐกัมโพช มีพระพักตร์เหลี่ยม
พระชงฆ์เป็นสันคม และมีไรพระศก ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาปุริสลักษณะของนิกายเถรวาทที่กล่าวถึงใน
พระสุตตันตปิฎก ของนิกายเถรวาท ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “พระพุทธกัมโพชปฏิมา” (ดูรูปที่ ๕.๔๙ –
๕.๕๒) และเป็นที่นิยมแพร่หลาย อันเห็นได้จากการจำลองพระพุทธกัมโพชปฏิมาที่ล้านนา (ดูรูปที่ ๕.๕๘ –
๕.๕๙) และที่สุโขทัยอีกด้วย (ดูรูปที่ ๕.๕๔)
นอกเหนือจากพระพุทธกัมโพชปฏิมาแล้ว อยุธยายังสร้างพระพุทธปฏิมาในหมวด “อู่ทอง แบบที่ ๓”
ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง ยกเว้นแต่มีพระพักตร์รูปไข่ และพระชงฆ์ไม่เป็น
สันคม (ดูรูปที่ ๕.๑๒๕ – ๕.๑๒๗)
อย่างไรก็ดี คณะมหาวิหาร ฝ่ายคามวาสีที่อยุธยา น่าจะมีส่วนในการสร้างพระพุทธปฏิมายืน
ปางห้ามญาติ ที่จำลองจากพระพุทธปฏิมาแบบเดียวกันที่สร้างขึ้นในสมัยกัมโพช โดยปรับเปลี่ยนพระ
รัศมีเป็นเปลวเพลิง และยังคงไว้ซึ่งลวดลายที่รัดพระองค์และหน้านางของสบง (ดูรูปที่ ๘.๒๔ – ๘.๒๖)
ซึ่งต่อมาก็หายไปในที่สุด
เช่นเดียวกันกับพระพุทธปฏิมาปางห้ามญาติ พระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร ก็ดัดแปลงมาจาก
พระพุทธปฏิมาในสมัยกัมโพช โดยปรับเปลี่ยนพระรัศมีเป็นเปลวเพลิง และตัดลวดลายที่รัดพระองค์และ
หน้านางของสบงออก (ดูรูปที่ ๘.๕๙)
บทสรุป
๕๒๑
ส่วนพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในคณะมหาวิหาร ฝ่ายคามวาสีในล้านนา เห็นได้จากพระพุทธปฏิมา
ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ซึ่งจัดไว้ในกลุ่มแรกที่สร้างขึ้นในล้านนา (ดูรูปที่ ๕.๘๓) นอกจากนั้น
แล้วพระประธานในพระอารามซึ่งเป็นศรีของเมืองต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรล้านนารุ่งเรือง เช่น
พระเจ้าทองทิพย์ วัดสวนตาล อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน พระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัด
เชียงราย หลวงพ่อสมใจนึก วัดอุโมงค์มหาเถรจันท์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ (ดูรูปที่ ๕.๘๔ – ๕.๘๖)
และพระเจ้าตนหลวง วัดศรีโคมคำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดพะเยา (ดูรูปที่ ๕.๙๘) ก็น่าจะสร้างขึ้นในฝ่าย
คามวาสี
พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่องพระจักรพรรดิราช เช่นพระ
หริภุญชัยโพธิสัตว์ และพระหริภุญชัยบรมโพธิสัตว์ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร
(ดูรูปที่ ๖.๓๗ – ๖.๓๘) ก็น่าจะสร้างขึ้นในคณะมหาวิหาร ฝ่ายคามวาสี เช่นกัน
๒.๓ นิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร ฝ่ายอรัญวาสี
นิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร ฝ่ายอรัญวาสีจากกรุงโปโลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา เริ่มเข้ามามี
บทบาทในดินแดนแถบประเทศไทยในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14) ซึ่งเป็น
ช่วงระยะเวลาของการก่อตั้งอาณาจักรอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๔ / ค.ศ. 1951) และช่วงรุ่งเรืองของ
อาณาจักรสุโขทัย ภายใต้การปกครองของพระเจ้าลิไท (พ.ศ. ๑๘๙๐ – ๑๙๑๑? / ค.ศ. 1347 – 1368?)
และอาณาจักรล้านนาภายใต้พระเจ้ากือนา (พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๑๙๒๘ / ค.ศ. 1355 – 1385)
พระพุ ท ธปฏิ ม าที่ ส ร้ า งขึ้ น ในช่ ว งระยะเวลาที่ ค ณะมหาวิ ห าร ฝ่ า ยอรั ญ วาสี เ จริ ญ รุ่ ง เรื อ ง
ได้แก่ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรสุโขทัย (ดูรูปที่
๕.๗๕ – ๕.๗๖)
พระพุทธปฏิมาลีลา เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากนิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร
ฝ่ายอรัญวาสีของลังกา โดยเป็นที่นิยมในอาณาจักรสุโขทัย (ดูรูปที่ ๙.๔ – ๙.๘) ล้านนา (ดูรูปที่ ๙.๑๐ –
๙.๑๒) และอยุธยา (ดูรูปที่ ๙.๑๕ – ๙.๑๖) และเมื่ออยุธยาปกครองสุโขทัยและเมืองต่างๆ ซึ่งเคยเป็น
ส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย เช่น สวรรคโลก กำแพงเพชร และพิษณุโลกในฐานะเมืองลูกหลวงของ
อยุธยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) พระพุทธรูปลีลาที่สร้างขึ้นในเมืองเหล่านี้ก็
ยังคงสืบทอดรูปแบบเดิมๆ ตลอดมา (ดูรูปที่ ๙.๑๗ – ๙.๑๙)
ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมายืน ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของพระพุทธปฏิมาล้านนาจะมีมาตั้งแต่สมัย
มอญหริภุญไชย แต่เมื่อพระสุมนเถระสร้างวัดพระยืนขึ้นที่ลำพูนในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ (ค.ศ. 1369) พระยืน
จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธปฏิมาที่คณะบุปผาวาสี (คณะวัดสวนดอก) หรือฝ่ายอรัญวาสี อันมี
พระสุมนเถระเป็นผู้ก่อตั้ง ก็ได้มีการจำลองกันสืบต่อกันมา (ดูรูปที่ ๘.๑ – ๘.๓)
๒.๔ นิกายเถรวาท คณะสีหฬภิกขุ
คณะสีหฬภิกขุ เกิดขึ้นจากพระภิกษุฝ่ายอรัญวาสี จากวัดป่าแดง เชียงใหม่ ร่วมกับพระภิกษุจาก
กัมโพช (ลพบุรี) ที่เดินทางไปทำอุปสมบทใหม่บนแพผูกกลางแม่น้ำกัลยาณี ที่กรุงโคลัมโบ ประเทศ
ศรีลังกา ในปี พ.ศ. ๑๙๖๗ (ค.ศ. 1424) และเดินทางกลับมาเผยแพร่พระธรรมวินัย ที่กรุงศรีอยุธยา
สุโขทัย พิษณุโลก และเดินทางกลับถึงเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๑๙๗๓ (ค.ศ. 1430) เมื่อกลับถึงวัดป่าแดงที่
เชียงใหม่แล้ว พระภิกษุกลุ่มนี้จึงเรียกตนเองว่า “คณะสีหฬภิกขุ”
บทสรุป
๕๒๓
๒.๕ คณะสยามนิกาย
“สยามนิกาย” เป็นชื่อที่พระภิกษุลังกาเรียกนิกายเถรวาทในประเทศสยาม ช่วงรัชกาลสมเด็จ
พระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑ / ค.ศ. 1733 – 1758) ซึ่งก็คือ พุทธศาสนาในราชอาณาจักร
อยุธยา ที่ประกอบด้วยสองฝ่ายหลัก คือ ฝ่ายคามวาสี ที่สืบทอดมาจากคณะสงฆ์กัมโพชสงฆ์ปักขะ
ดั้งเดิม และฝ่ายอรัญวาสี ซึ่งเข้ามาพร้อมกับคณะมหาวิหารจากลังกา อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากพระสงฆ์
แล้ว ยังมีสถาบันหนึ่งที่มักจะไม่ได้รับการกล่าวถึง แต่กลับมีความสำคัญมากที่สุดคือ สถาบันพระ
มหากษัตริย์ ซึ่งมีหน้าที่ปกครองและอุปถัมภ์สงฆ์ทั้งสองฝ่ายนี้อีกต่อหนึ่ง ดังนั้นทั้งสามกลุ่มนี้จึงเป็นแรง
บั น ดาลใจสำคั ญ ในการสร้ า งพระพุ ท ธปฏิ ม าในสมั ย อยุ ธ ยา ตลอดจนถึ ง สามรั ช กาลแรกของกรุ ง
รัตนโกสินทร์
อนึ่ง แม้ว่า “สยามนิกาย” จะมีนัยว่าเป็นนิกายหลักของราชอาณาจักรอยุธยา ที่ชาวพื้นเมือง
และชาวต่างชาติเรียกว่า “สยาม” แต่ตามความเป็นจริงแล้วอาณาจักรอื่นๆ ในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์
เช่น มอญ พม่า ล้านนา ล้านช้าง และกัมพูชา ต่างก็มีองค์ประกอบทั้งสามหน่วยนี้เป็นปัจจัยหลักในการ
สร้ า งพระพุ ท ธปฏิ ม าเช่ น กั น และต่ า งก็ ใ ห้ ค วามสำคั ญ กั บ พระมหากษั ต ริ ย์ ใ นฐานะที่ ท รงเป็ น พระ
จักรพรรดิราชและพระธรรมมิกราช ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15) ซึ่งใน
กรณีของสมัยอาณาจักรอยุธยา ตั้งแต่ช่วงที่ปกครองด้วยระบบเมืองลูกหลวงเป็นต้นมา จะแตกต่างกัน
บ้างก็ตรงการให้ความสำคัญกับแต่ละหน่วยของแต่ละอาณาจักร เช่น ล้านนาให้ความสำคัญกับคณะ
สีหฬภิกขุ โดยการสร้างพระพุทธสิหิงค์จำลอง และพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง แต่อยุธยาให้
ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ เป็นต้น
เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีเอกสารใดที่บ่งบอกถึงการจัดระบบคณะสงฆ์อยุธยาก่อนสมัยรัตนโกสินทร์
ที่หลงเหลืออยู่ แต่ก็อาจจะอนุมานได้ว่าไม่น่าจะแตกต่างไปมากจากรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ฝ่าย
คามวาสีฝ่ายซ้าย ซึ่งมีเจ้าคณะเป็นสมเด็จพระสังฆราช ประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุ และสมเด็จพระวันรัตน์
เจ้าคณะฝ่ายคามวาสีฝ่ายขวาอยู่ที่วัดป่าแก้ว จึงเป็นคณะที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์มาก
กว่าฝ่ายอรัญวาสีที่มีพระพุทธาจารย์ เป็นเจ้าคณะ ที่ดูแลพระสงฆ์ฝ่ายสมถวิปัสสนา ดังนั้นจึงอาจจะ
กล่าวได้ว่า พระพุทธปฏิมาส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นในสยามนิกาย โดยเฉพาะพระพุทธปฏิมาที่พระมหากษัตริย์
ทรงสร้างนั้น อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของฝ่ายคามวาสี
(๑) คณะสยามนิกาย ฝ่ายคามวาสี
พระพุทธปฏิมาที่เป็นเอกลักษณ์ของสยามนิกาย ฝ่ายคามวาสี ได้แก่ พระพุทธรูปทรงเครื่อง
พระจักรพรรดิราช ซึ่งจากความแตกต่างของปางแยกออกได้เป็นสามหมวด ได้แก่ รูปพระศรีอาริยเมตไตรย
รูปพระสมณโคดมโปรดพญาชมภูบดี และพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ของพระมหากษัตริย์
พระศรีอ าริยเมตไตรย หรือ พระอนาคตพุ ทธะ สร้างเป็นพระพุ ทธรู ปประทับขั ดสมาธิราบ
ปางสมาธิทรงเครื่อง (ดูรูปที่ ๕.๔๔ – ๕.๔๖) ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ประทับบำเพ็ญ
สมาธิ บ นสวรรค์ ชั้ น ดุสิ ต จนกว่ า จะเสด็จ ลงมาจุ ติ เมื่ อ พุ ท ธศาสนาได้ห้ า พั นปี สร้ างขึ้ น ครั้ ง แรกใน
อาณาจักรอยุธยาสมัยเมืองลูกหลวง และสิ้นสุดลงเมื่อเสียกรุงครั้งที่ ๒
พระสมณโคดมทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิราชเพื่อโปรดพญาชมพูบดี สร้างเป็นพระพุทธรูป
ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง สร้างขึ้นที่ล้านนา (ดูรูปที่ ๕.๑๘๕ – ๕.๑๘๖) ก่อนที่จะเป็น
ที่นิยมแพร่หลายที่อยุธยา โดยเฉพาะในสมัยวงราชธานี (ดูรูปที่ ๕.๑๘๙ – ๕.๑๙๔) และสืบทอดลงมา
จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ดูรูปที่ ๕.๑๙๕)
บทสรุป
๕๒๕
๓. พระพุทธปฏิมาหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19)
คณะธรรมยุติกนิกาย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาคณะธรรมยุติกนิกายขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๓
(ค.ศ. 1830) ครั้งทรงดำรงพระสมณศักดิ์เป็นพระวชิรญาณมหาเถระ เจ้าอาวาสวัดสมอราย (วัดราชา-
ธิวาสวิหาร) โดยทรงเน้นการศึกษาพุทธศาสนาจากพระพุทธวจนะภาษาบาลี และทรงให้วัตรปฏิบัติของ
สงฆ์ตรงตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการครองจีวร ถือบาตร และออกเสียงภาษาบาลีให้ถูกต้อง
นอกจากนั้ น แล้ ว ธรรมยุ ติ ก นิ ก ายยั ง ถื อ ว่ า คำสั่ ง สอนของพระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า นั้ น มี เ หตุ มี ผ ลทาง
วิทยาศาสตร์ แต่ถูกบิดเบือนด้วยความเชื่อและวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่พอกพูนขึ้นมาในชั้นหลัง
(Ishii 1986, 156) คณะธรรมยุติกนิกายจึง “สอนพุทธศาสนาแบบที่เน้นเหตุผล และความจริงเชิง
ประสบการณ์ หรือความจริงเชิงประจักษ์มากขึ้น” (พระไพศาล ๒๕๔๖, ๑๑)
คณะธรรมยุติกนิกายอุบัติขึ้นในช่วงที่ภัยจากตะวันตกคุกคามอิสรภาพของสยาม ซึ่งเป็นเหตุให้
ชนชั้นนำชาวสยามในยุคนั้นต้องปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ของตนเองให้เข้ากับโลกทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ของ
ชาวตะวันตก ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล เพื่อให้ทันกับชาวยุโรป และต้องสร้างอุดมการณ์
ชาตินิยมขึ้นมาเพื่อสร้างความสามัคคีของคนในราชอาณาจักรให้เป็นคนชาติเดียวกัน โดยมีภาษาและ
วัฒนธรรมร่วมกัน ตลอดจนให้มีความจงรักภักดีต่อชาติ ดังนั้นการสร้างชาติจึงเป็นพระราชภารกิจ
สำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะต้องทำการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน
โดยรวมอำนาจสู่ ส่ ว นกลาง การปฏิ รู ป การศึ ก ษาทั่ ว ราชอาณาจั ก ร และการรวมคณะสงฆ์ ใ ห้ เ ป็ น
“คณะสงฆ์แห่งชาติ” (เรื่องเดียวกัน, ๓๒)
พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ทรงสื บ สานอุ ด มการณ์ ช าติ นิ ย มของสมเด็ จ พระ
บรมชนกาธิราชให้เป็นรูปธรรมที่มีความชัดเจน เช่น ทรงเปลี่ยนสัญลักษณ์ของชาติ จากธงช้างเผือกมา
เป็นธงไตรรงค์ และพระราชนิพนธ์ความหมายของสีไว้ว่า
ขาว คือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ หมายพระไตรรัตน์ และธรรมะคุ้มจิตไทย
แดง คือโลหิตเราไซร้ ซึ่งยอมสละได้ เพื่อรักษาชาติและศาสนา
น้ำเงิน คือสีโสภา อันจอมประชา ธ โปรดเป็นของส่วนองค์
(สงวน อั้นคง ๒๕๒๙, ๒๑๗)
และทรงยกให้พุทธศาสนามีความสำคัญขึ้นมาในระดับที่เป็นสถาบันหลักของประเทศ (มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๔๖๓, ๖๒ – ๖๔) โดยที่คนไทยทุกคนต้อง
อุทิศตัวเราทั้งหลายและอุทิศกำลังกายกำลังสติปัญญาไว้เพื่อป้องกันรักษาชาติ,
ศาสนา, พระมหากษัตริย์. สิ่งซึ่งเปนที่เคารพรักใคร่ทั้ง ๓ คือ ความเปนไทยของ
เราอย่าง ๑ ความมั่นคงของชาติเราอย่าง ๑ พระศาสนาของเราอย่าง ๑
(เรื่องเดียวกัน, ๑๕๐)
เนื่องด้วยคณะธรรมยุติกนิกายสถาปนาขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์นับแต่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลงมา ได้ทรงผนวชในคณะนี้ และได้ประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ระหว่างที่ทรงผนวชทุกพระองค์ รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชที่สังกัดคณะนี้ก็ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์
หลายองค์ จึ ง ทำให้ ค ณะธรรมยุ ติ ก นิ ก าย มี ค วามสั ม พั น ธ์ อ ย่ า งแน่ น แฟ้ น และลึ ก ซึ้ ง กั บ สถาบั น
พระมหากษัตริย์
บทสรุป
๕๒๗
ดังนั้นพระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. จึงเป็นปูชนียวัตถุที่แสดงให้เห็นถึงการรวมกันของพระ
พุ ท ธศาสนาและพระมหากษั ต ริ ย์ ซึ่ ง นอกจากจะเป็ น ครั้ ง แรกที่ พ ระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู่ หั ว ได้
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้พระปรมาภิไธยกับพระพุทธรูปแล้ว ยังเป็นการสร้างพระพุทธรูป
ประทับขัดสมาธิราบ ปางประทานพรขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยอีกด้วย
พระพุทธปฏิมาที่เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างชาติ พุทธศาสนา และ
มหากษัตริย์ ได้แก่ พระพุทธนวราชบพิตร สร้างเป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัย แบบ
สุโขทัยประยุกต์ (ดูรูปที่ ๓.๑๐๑) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ (ค.ศ. 1966) และที่ฐานบัวหงายบรรจุพระพิมพ์พระสมเด็จจิตรลดา ซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ โดยรวมผงศักดิ์สิทธิ์ส่วนพระองค์ และส่วนที่ได้มาจากปูชนียสถาน
และปูชนียวัตถุทั่วพระราชอาณาจักรเข้าไว้ด้วยกัน พระพุทธนวราชบพิตรยังเป็นพระพุทธรูปที่พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชวินิจฉัยแก้แบบจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย ก่อนที่จะนำไปหล่อ
เพื่อพระราชทานไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักรด้วยพระองค์เอง พระพุทธนวราชบพิตรจึงถือ
เป็นพระพุทธรูปองค์แรกที่สร้างขึ้นเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชร่วมกับกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้กราบบังคมทูล
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอพระราชทานพระราชานุญาตสร้างพระพุทธรูปเพื่ออุทิศเป็น
พระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระสุริโยทัย ผู้ทรงสละพระชนมชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย เนื่องในโอกาส
เฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ. 1992) พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปยืน
ทรงเครื่องฉลองพระองค์ ปางห้ามพระแก่นจันทน์ แต่พระหัตถ์ขวาประทานพร (ดูรูปที่ ๓.๙๓) ซึ่งปางนี้
สร้างขึ้นครั้งสุดท้ายในสมัยกัมโพช พระพุทธรูปมีขนาดความสูงเท่าองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม-
ราชินีนาถ จึงเป็นทั้งพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ของสมเด็จพระสุริโยทัย และสมเด็จพระ
นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในองค์เดียวกัน นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลอง
พระองค์ที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงสร้างเอง แต่กองบัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้สร้างถวาย
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชร่วมกับ
กระทรวงมหาดไทยและประชาชน สร้างพระพุทธนิรโรคันตราย (ดูรูปที่ ๓.๙๕) ถวายพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว เพื่อคุ้มครองพระองค์ให้พ้นจากโรคาพาธทั้งปวง เนื่องจากพระองค์ทรงพระประชวรก่อน
หน้านี้ และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ (ค.ศ.
1999) รัฐบาลจึงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ สูงเท่าพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
หัว (ดูรูปที่ ๓.๔๑) ถวายในโอกาสมหามงคลเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในรัชกาลปัจจุบัน
พระพุ ท ธรู ป ทรงเครื่ อ งฉลองพระองค์ ซึ่ ง เป็ น เอกลั ก ษณ์ ข องพุ ท ธศิ ล ป์ ไ ทย มิ ไ ด้ ส ร้ า งขึ้ น โดยพระ
มหากษัตริย์ แต่สร้างขึ้นโดยประชาชนของพระองค์ เพื่อแสดงถึงความรักและภักดีที่เหล่าพสกนิกรถวาย
แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์
งานพุทธศิลป์ของไทย
จากการศึ ก ษาพระพุ ท ธปฏิ ม า อาจจะสรุ ป ได้ ว่ า ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งพุ ท ธศาสนากั บ พระ-
มหากษัตริย์ที่ได้ดำเนินควบคู่กันมากว่า ๒,๕๐๐ ปี มิได้ร่วงโรยหรือเสื่อมสลายลงในประเทศไทย
ตามกาลเวลาเลย แต่ตรงกันข้ามกลับเจริญรุ่งเรืองและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ความ
สัมพันธ์นี้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างพระพุทธรูปในปัจจุบัน เป็นเสมือนพลังที่ผลักดันการสร้าง
อั ต ลั ก ษณ์ แ ห่ ง ความเป็ น ไทย สมดั ง ที่ น าวาอากาศเอก ทองสุ ก จทั ช บุ ต ร อดี ต ผู้ อ ำนวยการกอง
อนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ กองทัพอากาศ ได้ประพันธ์ไว้ว่า
วัดกับวัง ยังอยู่คู่สยาม ตราบนั้นความเป็นไทยก็ไม่สูญ
หากวัดร้างวังไร้ใจอาดูร น้ำตาพูนเพียบถิ่นแผ่นดินไทย
(ทองสุก จทัชบุตร)
บทสรุป
๕๒๙
บรรณานุกรม
หนังสือภาษาไทย
กรรณิกา ดำรงวงศ์. (๒๕๔๔). พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล หลวงพ่อเขากง. จดหมายเหตุ ก ารบู ร ณะปฏิ สั ง ขรณ์ วั ด พระศรี รั ต นศาสดาราม และพระ
นราธิวาส: วัดเขากง.
บรมมหาราชวัง ในการฉลองพระนครครบ ๒๐๐ ปี ภาคที่ ๑.
กองบัญชาการทหารสูงสุด. (๒๕๓๔). พระราชพิธีสมโภชพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย (๒๕๒๕). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ดโปรดักชั่น.
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ.
จดหมายเหตุเรื่องทรงตั้งพระบรมวงษานุวงษ์. (๒๔๕๗). พระนคร: โรงพิมพ์
กองโบราณคดี กรมศิลปากร. (๒๕๓๔). เวียงท่ากาน ๑ รายงานการขุดแต่ง กรุงเทพฯ เดลิเมล์.
และการบู ร ณะโบราณสถาน. กรุ ง เทพฯ: ฝ่ า ยแผนงาน จอมเกล้าเจ้าหยู่หัว, พระบาทสมเด็ดพระ. (๒๔๘๕). เทสนาพระราชประวัติ
วิเทศสัมพันธ์ และหน่วยศิลปากรที่ ๔ ฝ่ายควบคุมดูแลรักษา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าหยู่หัว และตำนานพระพุทธ-
โบราณสถาน กองโบราณดคี กรมศิลปากร.
บุสยรัตน. พระนคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยวิชาธัมสาตรและ
กัลยาณิวัฒนา, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้า. (๒๕๒๗). เวลาเป็นของมีค่า. การเมือง. (เจ้าภาพพิมพ์แจกไนงานพระราชทานเพลิงพระสพ
กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์.
พระเจ้าบรมวงสเทอ พระองค์เจ้าบุสบันบัวผัน).
การศาสนา, กรม. (๒๕๒๗). ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร. เล่ม ๓. กรุงเทพฯ: จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (๒๕๒๔). ตำนานพระแก้วมรกต
โรงพิมพ์การศาสนา.
ตำนานพระพุ ท ธชิ น ราช พระพุ ท ธชิ น ศรี พระศรี ศ าสดา.
____________. (๒๕๓๔). ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร. เล่ม ๑๐. กรุงเทพฯ: กรุ ง เทพฯ: กรมศิ ล ปากร. (พิ ม พ์ เ ป็ น อนุ ส รณ์ ใ นงาน
โรงพิมพ์การศาสนา.
พระราชทานเพลิงศพ นายเดช ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม
กำจร สุ น พงษ์ ศ รี . (๒๕๒๔). ประวั ติ ศ าสตร์ ศิ ล ปะตะวั น ตก. กรุ ง เทพฯ: ณ ฌาปนสถานกรมตำรวจ วัดตรีทศเทพ). (พิมพ์ครั้งแรก
คาร์เดีย เพรสบุ๊ค.
พ.ศ. ๒๕๐๑).
ขจร สุขพานิช. (๒๕๒๓). ข้อมูลประวัติศาสตร์: สมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ: จันทบุรีนฤนาถ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (๒๕๑๕). ปทานุกรม บาลี
สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย.
ไทย อังกฤษ สันสกฤต. พระนคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพร.
เขียน ยิ้มศิริ. (๒๕๑๒). พุทธานุสรณ์. พระนคร: ศิลปาบรรณาคาร.
(ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ในคราวอายุครบ ๕ รอบ
ไขศรี ศรีอรุณ. (1996). พระพุทธรูปที่ระเบียงรอบองค์พระปฐมเจดีย์. Patani: หม่อมหลวงบัว กิติยากร ในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรี-
Prince of Songkla University.
สุรนาถ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๒). (พิมพ์
คณะกรรมการปรั บ ปรุ ง บู ร ณะโบราณสถานจั ง หวั ด สุ โ ขทั ย และจั ง หวั ด ครั้งแรก ๒๕๑๓).
กำแพงเพชร. (๒๕๑๒). รายงานการสำรวจและขุดแต่งบูรณะ จาตุรงคมงคล วัดบวรนิเวศวิหาร. (๒๕๐๘). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏ-
โบราณวัตถุสถานเมืองเก่าสุโขทัย พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๑๒. ราชวิทยาลัย.
พระนคร: คณะกรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถานจังหวัด “จารึกแผ่นทองแดง.” (๒๕๓๕). ศิลปากร ๓๕ (๖): ๑๐๓ - ๑๐๘.
สุโขทัยและจังหวัดกำแพงเพชร.
จารึกล้านนา ภาค ๑. (๒๕๓๔). ๒ เล่ม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิ้ลยู
คณะสงฆ์วัดพระเชตุพน. (๒๕๔๔). ตำนานพระพุทธรูปสำคัญวัดพระเชตุพน. ทอมป์สัน. (ในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม-
กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. (คณะสงฆ์วัด บรมราชกุมารี พระชนมายุครบ ๓ รอบ).
พระเชตุพนจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก สมโภชหิรัญบัฏ และฉลอง จารึกสมัยสุโขทัย. (๒๕๒๖). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
อายุวัฒนมงคล ๘๕ ปี พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสา- จิตร บัวบุศย์. (๒๕๐๓). สกุลศิลปพระพุทธรูปในประเทศไทย. พระนคร:
นุกโร ป.ธ. ๔) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน ๒๖ - ๑๗ พฤษภาคม โรงพิมพ์อำพลพิทยา.
๒๕๔๔).
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (ร.ศ. ๑๒๖ / พ.ศ. ๒๔๕๐). ไกลบ้าน.
คำให้ ก ารขุ น หลวงวั ด ประดู่ ท รงธรรม: เอกสารจากหอหลวง. (๒๕๓๔). ๔ เล่ม. [ม.ป.ท.].
กรุงเทพฯ: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนัก ____________. (๒๔๘๒). พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี.
เจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทร-
คำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง. (๒๔๕๙). พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ- เทวี. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์. (พิมพ์แจกเป็นที่ระลึกใน
พิพรรฒธนากร. (นายพลตรี พระยาเทพาธิบดี พิมพ์แจกใน งานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าอับษรสมาน กิติยากร ณ
งานปลงศพ นายพันตรี หลวงพิทักษ์นฤเบศร์ (จร บุนนาค) เมรุวัดราชาธิวาส เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒).
ผู้บิดา ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๕๙).
____________. (๒๔๙๖). พระราชพิ ธี สิ บ สองเดื อ น. พระนคร: โรงพิ ม พ์
คำให้การชาวกรุงเก่า. (๒๔๕๗). พระนคร: โรงพิมพ์ไทย ณ สพานยศเส.
พระจันทร์.
๕๓๐ บรรณานุกรม
____________. (๒๕๐๗). พระราชกรัณยานุสร. พระนคร: คลังวิทยา. (พิมพ์ ____________. (๒๕๔๙). “การกำหนดอายุสมัยพระพุทธรูปที่พบในพระอุระ
ครั้งแรก ๒๔๖๓).
และพระพาหาเบื้องซ้ายพระมงคลบพิตร จังหวัดพระนคร-
____________. (๒๕๐๘). พระราชหัตถเลขา คราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือใน ศรีอยุธยา.” ศิลปากร ๔๙ (๖) (พฤศจิกายน - ธันวาคม): ๗ - ๓๓.
รัชกาลที่ ๕. พิมพ์ครั้งที่ ๓. พระนคร: โรงพิมพ์กรมสรรพ- ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (๒๔๖๔). ตำนานเรื่องสถานที่
สามิต. (งานฌาปนกิจศพ นายยืนยง วรโพธิ์ และเด็กหญิง ต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง.
สุภาวดี วรโพธิ์).
พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
____________. (๒๕๑๗). “พระราชปรารภ เรื่องพระพุทธชินราช.” ใน ประชุม ____________. (๒๔๖๖). ตำนานคณะสงฆ์. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒ-
พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ธนากร. (พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเหมวดี โปรดให้
หน้า ๑๘ - ๕๖. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พิมพ์ในงานศพ ขรัวยายแสง เมื่อปีกุญ พ.ศ. ๒๔๖๖).
นายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล วันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ____________. (๒๔๖๘). นิราสนครวัด. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒ-
๒๕๑๗).
ธนากร.
เจฟฟรี่ ไฟน์สโตน. (๒๕๓๖). จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์ พระบรมราชวงศ์แห่ง ____________. (๒๔๖๙). ตำนานพุทธเจดีย์สยาม. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ-
ประเทศไทย. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ. (พิมพ์ครั้งแรก พิพรรฒธนากร.
๒๕๓๒).
____________. (๒๔๘๗). นิทานโบราณคดี. พระนคร: โรงพิมพ์ท่าพระจันทร์.
ฉะอ้อน วัฒนสุขชัย. (๒๕๔๘). ประวัติพระบาง. นครพนม: วัดไตรภูมิ ตำบล ____________. (๒๔๙๔). ตำนานพระพุ ท ธรู ป สำคั ญ . พระนคร: โรงพิ ม พ์
ท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม. (คุณแม่ฉะอ้อน ท่าพระจันทร์.
วัฒนสุขชัย และลูกๆ หลานๆ จัดพิมพ์เนื่องในงานบุญทอด ____________. (๒๕๐๓). เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป.
กฐิ น วั น ที่ ๖ พฤศจิ ก ายน ๒๕๔๘ ณ วั ด ไตรภู มิ จั ง หวั ด พระนคร: โรงพิมพ์การศาสนา กรมการศาสนา.
นครพนม).
ต้วน ลี่ เซิง, และ ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี. (๒๕๒๙). “เอกสารโบราณของจีน
ชัยวุฒิ พิยะกูล. (๒๕๒๔). โบราณวิทยาเมืองพัทลุง. พัทลุง: ศูนย์วัฒนธรรม ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย.” รวมบทความประวัติศาสตร์ ๘
จังหวัดพัทลุง.
(กุมภาพันธ์): ๑ - ๓๒.
ชาตรี ประกิตนนทการ. (๒๕๔๗). การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี. (๒๕๓๘). เชียงใหม่: ศูนย์
สยามสมั ย ไทยประยุ ก ต์ ชาติ นิ ย ม. กรุ ง เทพฯ: ศิ ล ป- วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่.
วัฒนธรรมฉบับพิเศษ.
ตำนานมูลศาสนา. (๒๕๑๘). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พระจันทร์. (พระบาทสมเด็จ
____________. (๒๕๔๙). “พระพุทธชินราชในประวัติศาสตร์การสร้างความ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทาน
เป็นไทย.” เมืองโบราณ ๓๒ (๓) (กรกฎาคม - กันยายน): ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์).
๖๔ - ๘๖.
ตำนานสิบห้าราชวงศ์. (๒๕๔๐). เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัย
ชายเดียว, และ ไชยา พัฒนาสุวรรณ. (๒๕๔๑). พระกำลังแผ่นดิน. กรุงเทพฯ: เชียงใหม่.
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
ตำราพระพุ ท ธรู ป ปางต่ า งๆ ตามมติ ส มเด็ จ พระมหาสมณเจ้ า กรมพระ
เชียงใหม่ปัณณาสชาดก. (๒๕๔๑). กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ปรมานุชิตชิโนรส. (๒๕๓๔). กรุงเทพฯ: คณะวัดพระเชตุพน-
กรมศิลปากร.
วิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร.
เชื่อม ศิริสนธิ. (๒๔๙๖). นครสุโขทัย. พระนคร: แพร่พิทยา.
ตำราสร้างพระพุทธรูป. (๒๔๖๓). พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
โชติ กัลยาณมิตร. (๒๕๒๐). ผลงาน ๖ ศตวรรษของช่างไทย. กรุงเทพฯ: (รองอำมาตย์ขุนสิทธิคดี (ปลั่ง คทวณิช) พิมพ์แจกในการ
กรรมาธิ ก ารอนุ รั ก ษ์ ศิ ล ปสถาปั ต ยกรรม สมาคมสถาปนิ ก ปลงศพ สนองคุณ หลวงเปรื่องคดีราษฎร์ (หริ่ง คทวณิช)
สยามในพระบรมราชูปถัมภ์.
ผู้บิดา).
ณัฏฐภัทร จันทวิช. (๒๕๓๘). ตาลปัตรพัดยศ ศิลปบนศาสนวัตถุ. กรุงเทพฯ: เติม วิภาคย์พจนกิจ. (๒๕๓๐). ประวัติศาสตร์อีสาน. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ:
ริเวอร์ บุ๊คส์.
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิโครงการ
____________. (๒๕๔๕). กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กับงานศิลปกรรม ตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
ตามแบบพระราชนิ ย ม (ศิ ล ปกรรมสกุ ล ช่ า งวั ง หน้ า สมั ย ____________. (๒๕๔๐). ประวั ติ ศ าสตร์ ล าว. พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ ๒. กรุ ง เทพฯ:
รัตนโกสินทร์). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
บรรณานุกรม ๕๓๑
ทศพล จังพานิชย์กุล. (๒๕๔๕). พระพุทธรูป. กรุงเทพฯ: คอมม่า.
____________. (๒๕๑๐). พระพุทธรูปศิลาขาวสมัยทวารวดี. (พิมพ์ครั้งแรก
ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. (๒๕๒๖). การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. ๒๕๐๗). พระนคร: กรมศิลปากร. (จัดพิมพ์เป็นพุทธบูชาใน
กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
โอกาส ฯพณฯ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ทำพิธี
ท้าวมหาชมพู ต้นตำนานพระพุทธรูปทรงเครื่อง. (๒๔๖๔). พระนคร: โรงพิมพ์ เปิ ด ป้ า ยพระนามพระพุ ท ธรู ป ศิ ล าขาว และวางศิ ล าฤกษ์
โสภณพิพรรฒธนาการ.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. (๒๕๐๔). พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๐).
รัชกาลที่ ๓. เล่ม ๒. พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา.
ธัญญ์พิชา โรจนะ. (๒๕๕๐). “พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยากับสังคมไทย
____________. (๒๕๓๙). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. จนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พ.ศ. ๒๔๗๕.” ใน สรรพ-
กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
สาระ ประวัติศาสตร์ - มนุษยศาสตร์, หน้า ๑๐๙ - ๑๑๕.
____________. (๒๕๔๗). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ บรรณาธิการโดย วินัย พงศ์ศรีเพียร. กรุงเทพฯ: สามลดา.
ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค). พิมพ์ครั้งที่ ๖. (พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. แถมสุข
กรุงเทพ: พิมพ์ดี.
นุ่มนนท์ เนื่องในโอกาสมีอายุครบ ๖ รอบใน พ.ศ. ๒๕๕๐).
เทพย์ สาริกบุตร์, บาง เสมเสริมสุข, และ อุระคินทร์ วิริยะบูรณะ, รวบรวม น. ณ ปากน้ำ. (๒๕๒๙ ก). วัดเกาะแก้วสุทธาราม. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.
และเรี ย บเรี ย ง, (๒๕๒๑). ตำราพรหมชาติ ฉบั บ ราษฎร์ ____________. (๒๕๒๙ ข). วัดภูมินทร์และวัดหนองบัว. กรุงเทพฯ: เมือง
ประจำบ้าน ดูด้วยตนเอง. กรุงเทพฯ: ลูก ส. ธรรมภักดี.
โบราณ.
เทวาธิ ร าช ป. มาลากุ ล . (๒๔๙๕). เครื่ อ งราชู ป โภคและพระราชฐาน. ____________. (๒๕๔๖). วัดปรมัยยิกาวาส. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.
พระนคร: โรงพิมพ์อุดม. (พิมพ์ในงานพระเมรุ พลเอก สมเด็จ นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จฯ กรมพระยา. (๒๕๐๖). จดหมายระยะทางไป
พระเจ้ า บรมวงศ์ เ ธอ กรมพระยาชั ย นาทนเรนทร ณ วั ด พิษณุโลก. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์.
เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ____________. (๒๕๑๒). หม่อมเจ้าหญิงพิไลยเลขา ดิศกุล พิมพ์เนื่องในวัน
๒๔๙๕).
ประสูติครบ ๖ รอบ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๒. พระนคร: วัชรินทร์
เทิ ม มี เ ต็ ม . (๒๕๒๙). “จารึกฐานพระพุทธรูป วั ดพญาภู และวัด ช้างค้ำ การพิมพ์.
วรวิ ห าร อำเภอเมื อ ง จั ง หวั ด น่ า น.” ศิ ล ปากร ๓๐ (๓) นิโกลาส์ แชรแวส. (๒๕๐๖). ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่ง
(กรกฎาคม): ๒๒ - ๒๙.
ราชอาณาจั ก รสยาม (ในแผ่ น ดิ น สมเด็ จ พระนารายณ์
____________. (๒๕๓๐). “จารึกฐานพระพุทธรูปพระเจ้ายุธิษฐิระ อักษรธรรม มหาราช). แปลโดย สันต์ โกมลบุตร. พระนคร: ก้าวหน้า.
ล้านนา ภาษาบาลี - สันสกฤต.” ศิลปากร ๓๑ (๔) (กันยายน - (พิมพ์จำหน่ายที่กรุงปารีส เมื่อวัน ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ค.ศ.
ตุลาคม): ๘๐ - ๘๒.
1688 / พ.ศ. ๒๒๓๑).
เทิม มีเต็ม, และ ประสาร บุญประคอง. (๒๕๒๔). “ศิลาจารึก พระเจ้าอินแปง นิ ธิ เอี ย วศรี ว งศ์ . (๒๕๒๗). ปากไก่ แ ละใบเรื อ รวมความเรี ย งว่ า ด้ ว ย
อบ./๑๔.” ศิลปากร ๒๔ (๖: ฉบับพิเศษ) (มกราคม): ๕๖ - วรรณกรรมและประวัติศาสต์ต้นรัตนโกสินทร์ . กรุงเทพฯ:
๖๕.
อมรินทร์การพิมพ์.
____________. (๒๕๒๕). “ศิลาจารึกพระเจ้าตนหลวง.” ศิลปากร ๒๖ (๒) บรรจบ เทียมทัด. (๒๕๐๓). “วัดโลกยสุธา.” ศิลปากร ๔ (๒): ๒๕ - ๒๗.
(พฤษภาคม): ๙๙ - ๑๐๖.
บริบาลบุรีภัณฑ์, หลวง. (๒๕๓๑). เรื่องโบราณคดี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง
ธงทอง จันทรางศุ. (๒๕๒๙). สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ กรุ๊พ. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงาน
อักษรสัมพันธ์.
พระราชทานเพลิงศพ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ (ป่วน อินทุวงศ์).
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด. (๒๕๒๔). เอกสารแนะนำหนังสือชุด “ลักษณะไทย.” บริบาลบุรีภัณฑ์, หลวง, และ เกษม บุญศรี. (๒๕๐๐). เรื่องพระพุทธรูปปาง
กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
ต่างๆ. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ธนารักษ์, กรม กระทรวงการคลัง. (๒๕๔๐). จดหมายเหตุการสร้างเครื่องทรง ให้ พิ ม พ์ ขึ้ น พระราชทานในงานพระราชกุ ศ ลราชคฤหมงคล
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง ขึ้นพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธ-
แอนด์พับลิชชิ่ง.
ศักราช ๒๕๐๐).
ธนิต อยู่โพธิ์. (๒๕๐๙). พรหมสี่หน้า. พระนคร: กรมศิลปากร. (พิมพ์ถวายพระ
ภิกษุและสามเณร ซึ่งเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ในเทศกาลเข้าพรรษา พ.ศ. ๒๕๐๙).
๕๓๒ บรรณานุกรม
บริ บ าลบุ รี ภั ณ ฑ์ , หลวง, และ เอ.บี . กริ ส โวลด์ . (๒๔๙๕). ศิ ล ปวั ต ถุ ใ น ประชุมพงศาวดาร. เล่ม ๑. (๒๕๐๖). พระนคร: คุรุสภา.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. พระนคร: กรมศิลปากร. (เจ้าภาพ ประชุมพงศาวดาร. เล่ม ๒. (๒๕๐๖). พระนคร: คุรุสภา.
พิมพ์ในงานพระเมรุ พลเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม ประชุมพงศาวดาร. เล่ม ๙. (๒๕๐๗). พระนคร: คุรุสภา.
พระยาชัยนาทนเรนทร).
ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๘ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ
บั น ทึ ก การจั ด สร้ า ง, บั น จุ , และปลุ ก เสก พระสุ ร ภี พุ ท ธพิ ม พ์ (จำลอง). (เจิ ม ). (๒๕๑๒). พระนคร: องค์ ก ารค้ า ของคุ รุ ส ภา
(๒๕๐๐). พระนคร: โรงพิมพ์อุตสาหกรรมการพิมพ์.
ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์.
บำเพ็ญ ระวิน. (๒๕๓๕). อนาคตวงส์ เมตเตยยสูตต์ และเมตเตยยวงส์ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๙ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ
สำนวนล้านนา. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ใน (เจิ ม ). (๒๕๑๒). พระนคร: องค์ ก ารค้ า ของคุ รุ ส ภา
พระบรมราชูปถัมภ์. (พิมพ์เผยแพร่เนื่องในวโรกาสฉลองมหา ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์.
มงคลพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๓. (๒๕๐๘). พระนคร: คณะกรรมการจัดพิมพ์
พระบรมราชินีนาถ).
เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี สำนัก
ป. พิบูลสงคราม. (๒๔๙๘). ประวัติศาสตร์สุโขทัย (ภาค ๑). พระนคร: ไทย นายกรัฐมนตรี.
บริการ.
ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๔. (๒๕๑๓). พระนคร: คณะกรรมการจัดพิมพ์
ปฐมสมโพธิ. (๒๕๐๘). (สมเด็จพระสังฆราช (ปุสฺสเทว) ทรงเรียบเรียง). เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี.
(พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานประชุมเพลิงศพ หญิงภักดีพิพัฒนผล ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๕. (๒๕๑๕). พระนคร: คณะกรรมการจัดพิมพ์
(ผะอบ ณ ถลาง) ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี.
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘).
ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ จารึกกรุงทวารวดี เมืองละโว้ แลเมือง
ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. (๒๕๑๐). ภาพตำนาน ประเทศราชขึ้นแก่กรุงศรีวิชัย. (๒๔๗๒). พระนคร: โรงพิมพ์
พระพุทธเจ้าปางต่างๆ. พระนคร: โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร. โสภณพิ พ รรฒธนากร. (สมเด็ จ กรมพระสวั ส ดิ วั ด นวิ ศิ ษ ฎ
(อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พันเอกจำนง สังขดุลย์ โปรดให้ พิ ม พ์ ใ นงานฉลองพระชนมายุ เ สมอกั บ สมเด็ จ พระ
ท.ช., ท.ม. ๒๘ สิงหาคม ๒๕๑๐).
ชนกชนนี).
ประชากิ จ กรจั ก ร์ , พระยา (แช่ ม บุ น นาค). (๒๔๗๘). พงศาวดารโยนก. ประชุมหมายรับสั่ง ภาคที่ ๒ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์. (๒๕๒๕). กรุงเทพฯ:
พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนาการ. (พิมพ์เป็นที่ระลึก คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์
ในงานพระราชทานเพลิงศพมหาอำมาตย์โท เจ้าพระยาสุธรรม- สำนักนายกรัฐมนตรี.
มนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) ๒ มิถุนายน).
ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. (๒๕๑๕). นครศรีธรรมราช. พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา
ประชุม กาญจนรัตน์. (๒๕๑๒). หนังสือภาพพระพุทธรูป. ธนบุรี: โรงพิมพ์ ลาดพร้าว. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุน
สัตยการพิมพ์.
บวรรัตนารักษ์ ณ เมรุวัดจันทาราม ต. ท่าวัง อ. เมือง จ.
ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๒ จารึกพระเจ้ากาวิละ. (๒๕๔๑). เชียงใหม่: คลัง นครศรีธรรมราช ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๕).
ข้อมูลจารึกล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ประยุ ท ธ ติ ก ขวี โ ร, พระอธิ ก าร. (๒๕๔๙). ประวั ติ วั ด พระเจ้ า ทองทิ พ ย์ .
ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน เล่ม ๑. (๒๔๗๒). พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ- เชียงราย: วัดพระเจ้าทองทิพย์.
พิพรรฒธนากร. (พิมพ์ในงานพระศพ พระวิมาดาเธอ กรมพระ ประยุทธ สิทธิพันธ์. (๒๕๑๕). พระมหาธีรราชเจ้า. พระนคร: สยาม.
สุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา).
____________. (๒๕๒๐). ขุนนางสยาม. กรุงเทพฯ: สยาม.
ประชุมประกาศ รัชกาลที่ ๔ พุทธศักราช ๒๓๙๔ - พุทธศักราช ๒๔๐๔. ประวัติพระพุทธรูป ภ.ป.ร. วัดบวรนิเวศวิหาร. (๒๕๐๘). พระนคร: วัดบวร
(๒๕๔๑). กรุ ง เทพฯ: โรงพิ ม พ์ ก รุ ง เทพ. (พระบาทสมเด็ จ นิเวศวิหาร. (เอกสารโรเนียว).
พระเจ้ า อยู่ หั ว ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า โปรดกระหม่ อ ม ประวัติวัดพนัญเชิง. (๒๕๐๗). พิมพ์ครั้งที่ ๔. นครราชสีมา: โรงพิมพ์เลิศศิลป์.
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ใน ประวัติวัดสุทัศนเทพวราราม. (๒๕๑๖). พระนคร: วัดสุทัศนเทพวราราม. (จัด
งานพระราชทานเพลิงศพ พลโท หม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร พิมพ์ในงานยกช่อฟ้าพระวิหารพระศรีศากยมุนี).
ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ ประสาร บุญประคอง. (๒๕๑๑). “คำอ่านจารึกบนฐานพระพุทธรูปในวัด
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร วัดเสาร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พระเชตุพนฯ.” ศิลปากร ๑๒ (๔) (พฤศจิกายน): ๑๐๘.
พุทธศักราช ๒๕๔๑).
ประเสริฐ ณ นคร. (๒๕๑๖). โคลงนิราศหริภุญชัย. พิมพ์ครั้งที่ ๓. พระนคร:
โรงพิมพ์พระจันทร์.
บรรณานุกรม ๕๓๓
____________. (๒๕๓๔). งานจารึ ก และประวั ติ ศ าสตร์ ข องศาสตราจารย์ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์กับตำนานวัดไร่ขิง. (๒๕๔๙). นครปฐม: วัดไร่ขิง.
ดร. ประเสริฐ ณ นคร. นครปฐม: โรงพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมและ พิ ช ญา สุ่ ม จิ น ดา. (๒๕๔๔). “การกำหนดอายุ เ วลาของแผ่ น ชาดก รอย
ฝึ ก อบรมการเกษตรแห่ ง ชาติ มหาวิ ท ยาลั ย เกษตรศาสตร์ พระพุทธบาท และจิตรกรรมในมณฑปวัดศรีชุม.” รายงาน
กำแพงแสน.
ส่วนหนึ่งในการศึกษาวิชาทฤษฎีและวิธีการวิจัยทางประวัติ-
ประเสริฐ ณ นคร, และ ปวงคำ ตุ้ยเขียว. (๒๕๓๗). ตำนานมูลศาสนา ศาสตร์ ศิ ล ปะ ภาควิ ช าประวั ติ ศ าสตร์ คณะศิ ล ปศาสตร์
เชียงใหม่และเชียงตุง. กรุงเทพฯ: สมาคมประวัติศาสตร์ ใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เอกสารอัดสำเนา.
พระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรม- ____________. (๒๕๔๘). “การกำหนดอายุเวลาและการจำลองพระพุทธ-
ราชกุมารี.
ชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก.” วิทยา-
ปรีชา นุ่นสุข. (๒๕๔๑). ศิลปะศรีลังกา. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.
นิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์
ปวเรศวริยาลงกรณ์, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. (ร.ศ. ๑๑๖ / พ.ศ. คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
๒๔๔๐). “เรื่อง อภินิหารการประจักษ์.” วชิรญาณ ๓๖: ๓๕๔๔ - ____________. (๒๕๔๙). “ธรรมยุติกนิกาย: การศึกษาความสัมพันธ์กับสมณ
๓๕๗๗.
วงศ์ของลังกาผ่านพุทธศิลป์.” วารสารไทยคดีศึกษา: ย้อน
ผลงานเชิดชูเกียรติ จ.ส.อ. ทวี บูรณเขตต์ เพชรน้ำเอกของวงการช่างศิลป์. กำเนิดเกิดความหลากหลาย ๓ (๑) (ตุลาคม ๒๕๔๘ - มีนาคม
(๒๕๒๖). กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่ง ๒๕๔๙). ๑๖๑ - ๒๓๒.
ชาติ ร่วมกับวิทยาลัยครูพิบูลสงคราม พิษณุโลก และศูนย์ ____________. (๒๕๕๐). “พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ในพระบรม
วัฒนธรรมต่างๆ ในภาคเหนือตอนล่าง.
มหาราชวัง: ความรู้ที่ต้องเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งที่ต้อง
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร. (๒๕๒๕). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์. วิเคราะห์.” ใน ประวัติศาสตร์ศิลปะที่ต้องจารึก: รวมบทความ
(คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และบันทึกเหตุการณ์ งาน วิชาการด้านประวัติศาสตร์ศิลปะเนื่องในโอกาสเกษียณอายุ
ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง ราชการ รศ.ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ - Festschrift for Piriya
ร่วมกับธนาคารทหารไทย จัดพิมพ์เนื่องในการสมโภชกรุง Krairiksh’s 60th year, หน้า ๓๗ - ๑๕๕. บรรณาธิการโดย
รัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี).
วารุณี โอสถารมย์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
พระมหาสมณวินิจฉัย. (๒๕๑๔). พระนคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย. (พิมพ์ใน พิทยลาภพฤฒิยากร, พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่น. (๒๕๒๕). เรื่องพระบาท
งานมหาสมณานุ ส รณ์ ค รบ ๕๐ ปี แต่ วั น สิ้ น พระชนม์ แ ห่ ง สมเด็ จ พระพุ ท ธยอดฟ้ า จุ ฬ าโลก ทรงฟื้ น ฟู วั ฒ นธรรม.
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส).
กรุงเทพฯ: สยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์.
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด). (๒๕๐๔). พินัย ศักดิ์เสนีย์. (๒๕๐๒). นามานุกรมพระเครื่อง. พระนคร: ผดุงศึกษา.
๒ เล่ม. พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์.
พิมลธรรม ราชบัณฑิต, พระ. (๒๕๓๓). ตำนานพระพุทธรูปปางต่างๆ. กรุงเทพฯ:
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์) และจุลยุทธ- โครงการมูลนิธิหอไตร.
การวงศ์. (๒๕๓๕). กรุงเทพฯ: คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมล- พิริยะ ไกรฤกษ์. (๒๕๑๗) พุทธศาสนนิทานที่เจดีย์จุลปะโทน. แปลโดย ม.จ.
มังคลาราม. (พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในงานพระราชทาน สุภัทรดิศ ดิศกุล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พระจันทร์.
เพลิงศพ พระวิสุทธาธิบดี (สง่า ปภสฺรมหาเถร ป.ธ. ๘) ณ ____________. (๒๕๒๐). แบบศิลปในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๓๐ ____________. (๒๕๒๓). ศิลปทักษิณก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. กรุงเทพฯ:
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕).
กรมศิลปากร. (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับที่เป็นสมบัติของบริติชมิวเซียมกรุง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๕ ธันวาคม ๒๕๒๓).
ลอนดอน. (๒๕๐๗). พระนคร: โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์.
____________. (๒๕๒๘). ประวัติศาสตร์ศิลปในประเทศไทย ฉบับคู่มือนักศึกษา.
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. (๒๕๑๖). ๒ เล่ม. พระนคร: คลัง กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์.
วิทยา. (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ____________. (๒๕๒๙). “ศิลปะแห่งแดนเนรมิต (ศิลปะสุโขทัย ระหว่าง พ.ศ.
ทรงนิพนธ์ คำอธิบายประกอบ).
๑๗๕๐ - ๑๙๐๐).” เมืองโบราณ ๑๒ (๑) (มกราคม - มีนาคม):
พระราชหัตถเลขา - ลายพระหัตถ์. (๒๕๑๔). พระนคร: ธนาคารกรุงศรี- ๒๓ - ๔๙.
อยุธยา จำกัด. (พิมพ์ในงานมหาสมณานุสรณ์ครบ ๕๐ ปี ____________. (๒๕๓๖). “การปรับเปลี่ยนอายุเวลาของสถาปัตยกรรมสมัย
แต่วันสิ้นพระชนม์แห่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา อยุธยา.” สยามอารยะ ๒ (๙) (มิถุนายน): ๒๙ - ๔๕.
วชิรญาณวโรรส).
๕๓๔ บรรณานุกรม
____________. (๒๕๔๒). “การปรับเปลี่ยนยุคสมัยของพุทธศิลป์ในประเทศ มนัส โอภากุล. (๒๕๑๒). พระเมืองสุพรรณ. สุพรรณบุรี: มนัสการพิมพ์.
ไทย.” เมืองโบราณ ๒๕ (๒) (เมษายน - มิถุนายน): ๑๐ - ๔๓.
มรดกไทย โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย. (๒๕๔๒). ประวัติสมเด็จ
____________. (๒๕๔๔ ก). “ประวัติศาสตร์ศิลปะอยุธยา.” ใน อยุธยากับเอเชีย. พระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี). กรุงเทพฯ: องค์การค้าของ
เอกสารสรุปการสัมมนาวิชาการนานาชาติทางประวัติศาสตร์, คุรุสภา.
หน้า ๔๑ - ๙๒.
มหานิมิตย์ ปณฺฑิตเสวี, พระ. (๒๕๔๗). ประวัติหลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ.
____________. (๒๕๔๔ ข). อารยธรรมไทย พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะ หนองคาย: วัดศรีชมภูองค์ตื้อ.
เล่ม ๑ ศิลปะก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ มหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๑๔). พระประวัติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม
พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
พระยาวชิรญาณวโรรส. พระนคร: มงคลการพิมพ์. (พิมพ์ใน
____________. (๒๕๔๕). ศิลปะสุโขทัยและอยุธยา ภาพลักษณ์ที่ต้องเปลี่ยน งานมหาสมณานุ ส รณ์ ค รบ ๕๐ ปี แต่ วั น สิ้ น พระชนม์ แ ห่ ง
แปลง: รวมบทความทางวิชาการประวัติศาสตร์ศิลปะ ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วันที่ ๑ -
พิริยะ ไกรฤกษ์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๔).
____________. (๒๕๔๗). จารึกพ่อขุนรามคำแหง. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: มหาวชิราวุธมกุฏราชกุมาร, สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้า. (ร.ศ. ๑๒๖ /
ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ.
พ.ศ. ๒๔๕๐). เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง. พระนคร: โรงพิมพ์
____________. (๒๕๔๙). “พระพุทธชินราช: การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ บำรุงนุกูลกิจ.
ศิลปะ การศึกษาภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นโดยชนชั้นนำสยามสู่ มหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม. (๒๔๖๘). บทเสภาเรื่อง พญา-
สามัญชน.” รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ได้รับเงินอุดหนุน ราชวั ง สั น กั บ สามั ค คี เ สวก. พระนคร: โรงพิ ม พ์ โ สภณ-
จากสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เอกสาร พิพรรฒธนากร.
อัดสำเนา.
มหาวชิราวุธ, พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. [ม.ป.ป.]. พระร่วง. [ม.ป.ท.]
____________. (กำลังจัดพิมพ์). รากเหง้าแห่งศิลปะไทย. กรุงเทพฯ: ริเวอร์ มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. (๒๕๓๖). ขุนนางอยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
บุ๊คส์
มหาวิ ท ยาลั ย ธรรมศาสตร์ ร่ ว มกั บ มู ล นิ ธิ โ ครงการตำรา
พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. (๒๕๔๒). “หลักฐานความสัมพันธ์ สุโขทัย - ล้านนา ชิ้น สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
สำคัญ.” ศิลปวัฒนธรรม ๒๐ (๓) (มกราคม): ๑๑๖ - ๑๑๙.
มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า. (๒๕๔๙). ศรีสวรินทิรานุสรณีย์: น้อม
____________. (๒๕๔๖). “หลวงพ่ อ นาก พระพุ ท ธรู ป พระเจ้ า ยุ ธิ ษ ฐิ ร ะ.” รำลึกถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า. กรุงเทพฯ: อมรินทร์
ศิลปากร ๔๖ (๑) (มกราคม - กุมภาพันธ์): ๑๐๔ - ๑๑๔.
พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
พุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ), สมเด็จพระ. (๒๕๔๙). ประวัติวัดสระเกศราช- ยอด เนตรสุวรรณ. [ม.ป.ป.]. “นายรอบรู้” นักเดินทาง: ปราจีนบุรี สระแก้ว.
วรมหาวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์.
กรุงเทพฯ: สารคดี.
เพลินพิศ กำราญ. (๒๕๓๓). พระพุทธปฏิมา รัชกาลที่ ๙ ทรงสร้าง. กรุงเทพฯ: ยอช เซเดส์ . (๒๔๗๑). โบราณวั ต ถุ ใ นพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานสำหรั บ พระนคร.
กรมศิลปากร กองวรรณดคีและประวัติศาสตร์.
พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
โพธิรังสี, พระ. (๒๕๐๖). นิทานพระพุทธสิหิงค์: ว่าด้วยตำนานพระพุทธสิหิงค์. ____________. (๒๔๗๒). ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ จารึกกรุงทวารวดี
แปลโดย แสง มนวิทูร. พระนคร: ศิวพร. (กรมศิลปากรจัด เมืองละโว้ แลเมืองประเทศราชขึ้นแก่กรุงศรีวิชัย. พระนคร:
พิมพ์ในงานเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๐๖).
โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร. (สมเด็จกรมพระสวัสดิวัดน-
ไพศาล วิ ส าโล, พระ. (๒๕๔๖). พุ ท ธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้ ม และ วิศิษฎ โปรดให้พิมพ์ในงานฉลองพระชนมายุเสมอกับสมเด็จ
ทางออกจากวิกฤต. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี - สฤษดิ์วงศ์.
พระชนกชนนี พระพุทธศก ๒๔๗๒).
ฟาเหียน, พระภิกษุ. (๒๔๘๗). จดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักร. แปลโดย ยอร์ช เซเดส์. (๒๕๐๗). ตำนานอักษรไทย ตำนานพระพิมพ์ การขุดค้นที่พงตึก
พระยาสุรินทรลือชัย (จันท์ ตุงคสวัสดิ) จากต้นฉบับของ และความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สมัยโบราณแห่งประเทศ
เจ็มส์ เล็กจ์. พระนคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย.
ไทย ศิลปไทยสมัยสุโขทัยราชธานีรุ่นแรกของไทย. พระนคร:
ภาพพุทธประวัติวัดทองนพคุณ. (๒๕๒๖). กรุงเทพฯ: มติชน.
องค์การค้าของคุรุสภา.
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ ____________. (๒๕๒๙). นครวั ด . กรุ ง เทพฯ: โรงพิ ม พ์ ม หาวิ ท ยาลั ย
พระ. (๒๔๖๓). เทศนาเสือป่า. (พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์ ธรรมศาสตร์.
เจ้าอาทรทิพยนิภา ทรงพระศรัทธาพิมพ์ขึ้นอุทิศส่วนกุศลแด่ ยุ พ ร แสงทั ก ษิ ณ . (๒๕๓๙). เครื่ อ งเบญจราชกกุ ธ ภั ณ ฑ์ และเครื่ อ งสู ง .
พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าสุจิตราภรณี).
กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา.
บรรณานุกรม ๕๓๕
โยนิโอะ อิชิอิ. (๒๕๒๒). “อาณาเขตของอยุธยาในกฎหมายตราสามดวง.” ____________. (๒๕๑๔). นำเที่ยววัดบวรนิเวศวิหาร. พระนคร: โรงพิมพ์มิตร-
วารสารธรรมศาสตร์ ๙ (๒) (ตุลาคม - ธันวาคม): ๑๔๘ - ๑๖๐.
สยาม. (พิมพ์ในงานมหาสมณานุสรณ์ครบ ๕๐ ปี แต่วันสิ้น
รัตนปัญญาเถระ. (๒๕๐๑). ชินกาลมาลีปกรณ์. พระนคร: กรมศิลปากร.
พระชนม์แห่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ-
ราชบัณฑิตสถาน. (๒๕๔๑). ศิลปกรรมไทย: พระพุทธปฏิมา พระบรมมหาราช วโรรส วันที่ ๑ - ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๔).
วัง วัด เรือนไทยภาคกลาง. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัดอรุณ ____________. (๒๕๓๑). ทศบารมี ทศพิธราชธรรม. กรุงเทพฯ: วัดบวรนิเวศ
การพิมพ์. (พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๓๖).
วิหาร.
____________. (๒๕๔๖). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. (๒๕๓๘). ประมวลเอกสารสำคัญเนื่องในการ
กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.
สถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. เล่ม ๒. กรุงเทพฯ:
ราชบัณฑิตยสภา. (๒๔๗๒). ตำนานเรื่องวัตถุสถานต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จ อมริ น ทร์ พ ริ้ น ติ้ ง แอนด์ พั บ ลิ ช ชิ่ ง . (วั ด เบญจมบพิ ต รดุ สิ ต-
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ วนาราม พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล งานพระราชทานเพลิง
พิ พ รรฒธนาการ. (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระ ศพสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต ป.ธ.๗) ณ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระศพ พระวิ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๕
มาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา).
มีนาคม ๒๕๓๘).
ราชสกุลวงศ์พระนามเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้าในกรุงรัตนโกสินทร์ . (๒๔๖๓). วัดพระทอง (พระผุด). (๒๕๔๗). ภูเก็ต: วัดพระทอง.
พระนคร: โรงพิมพ์ไท. (สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุน วั ด ราชโอรสารามราชวรวิ ห าร. (๒๕๔๙). กรุ ง เทพฯ: วั ด ราชโอรสาราม
ศุโขไทยธรรมราชา ทรงพิมพ์ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ราชวรวิหาร.
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ พระบรมราชชนนี วันวลิต. (๒๕๔๘). พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต พ.ศ. ๒๑๘๒. แปล
พระพันปีหลวง).
จากภาษาฮอลันดาเป็นภาษาอังกฤษโดย เลียวนาร์ด แอนดายา,
เรื่องกฎหมายตราสามดวง. (๒๕๒๑). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
และแปลเป็นภาษาไทยโดย วนาศรี สามนเสน. พิมพ์ครั้งที่ ๓.
เรื่องพระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจสอบชำระใหม่ และการบูรณะและ กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ.
ปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์. (๒๕๒๘). พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: วิจิตรวาทการ, หลวง. (๒๔๙๖). “วัฒนธรรมสุโขทัย.” ใน นครสุโขทัย, หน้า
ยูนิตี้ โพรเกรส. (โดยเสด็จพระราชกุศลในงานพระราชทาน ๑๒ - ๔๑. [ม.ป.ท.]. (พิมพ์ขึ้นเพื่อหาทุนสร้างอนุสาวรีย์พ่อขุน
เพลิงศพ พระธรรมสิริชัย (ชิต ชิตวิปุลเถร) เจ้าอาวาสวัดพระ รามคำแหงมหาราช).
ปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘).
วิ นั ย พงศ์ ศ รี เ พี ย ร. (๒๕๕๐). “อั น เนื่ อ งมาแต่ สยาม”. ใน สรรพสาระ
ลลิตวิสตระ, คัมภีร์พระพุทธประวัติฝ่ายมหายาน. (๒๕๑๒). พระนคร: กรม ประวั ติ ศ าสตร์ - มนุ ษ ยศาสตร์ . เล่ ม ๑, หน้ า ๑ - ๑๔.
ศิลปากร.
บรรณาธิการโดย วินัย พงศ์ศรีเพียร. กรุงเทพฯ: สามลดา.
โลกลี้ลับ, กองบรรณาธิการ. (๒๕๔๙). “พระอธิการประยุทธ ติกขวีโร: ผู้เร่ง (พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. แถมสุข
ความเพี ย ร เพื่ อ ความหลุ ด พ้ น .” โลกลี้ ลั บ ๙๓ (๙๖๒) นุ่มนนท์ เนื่องในโอกาสมีอายุครบ ๖ รอบ ใน พ.ศ. ๒๕๕๐).
(ตุลาคม): ๑๒ - ๓๙.
วิบูลย์ บูรณารมย์. [ม.ป.ป.]. วัดพระยืนพุทธบาทยุคล วัดพระนอนพุทธ-
วชิรญาณวงศ์, สมเด็จพระ. (๒๔๙๓). ทศพิธราชธรรม สมเด็จพระวชิรญาณ- ไสยาสน์ พระแท่นศิลาอาสน์ พระบรมธาตุ ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอ
วงศ์ พระสังฆราช ถวายในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์. อุตรดิตถ์: โรงพิมพ์วิบูลย์การพิมพ์.
รั ช กาลที่ ๙. พระนคร: โรงพิ ม พ์ ม หามกุ ฏ ราชวิ ท ยาลั ย . วิโรจน์ ชีวาสุขถาวร. (๒๕๔๕). “การศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมสุโขทัย กรณี
(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ศึกษาวัดมหาธาตุ ตำบลเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย.” วิทยา-
พิมพ์พระราชทานเนื่องในงานฉลองพระสุพรรณบัฎ สมเด็จ นิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์-
พระวชิรญาณวงศ์ พระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ๒๑ - ๒๒ สถาปัตยกรรม ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย
พฤศจิกายน ๒๔๙๓).
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร. (๒๕๔๓). พระพุทธรูป คู่บ้านคู่เมือง. กรุงเทพฯ: ศรั ณ ย์ ทองปาน. (๒๕๔๒). “ความสนุ ก ในวั ด เบญจมบพิ ต ร เครื่ อ งโต๊ ะ
ทิพากร.
มิวเซียม และสยามใหม่.” เมืองโบราณ ๒๕ (๔) (ตุลาคม -
วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร. (๒๕๔๐). กรุงเทพฯ: ประยูรวงศ์พริ้นท์ติ้ง.
ธันวาคม): ๓๒ - ๔๐.
วัดบวรนิเวศวิหาร. (๒๕๐๔). ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร. พระนคร: โรงพิมพ์ ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๓๗). พระเครื่องในเมืองสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน.
มหามกุฏราชวิทยาลัย.
๕๓๖ บรรณานุกรม
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (๒๕๓๒). “พระพุทธรูปแข้งคม ในศิลปะล้านนา.” ศิลปากร ____________. (๒๕๒๔). จารึ ก โบราณรุ่ น แรกพบที่ ล พบุ รี แ ละใกล้ เ คี ย ง.
๓๓ (๓) (กรกฎาคม - สิงหาคม): ๓๐ - ๓๕.
กรุ ง เทพฯ: บพิ ธ การพิ ม พ์ . (กรมศิ ล ปากรจั ด พิ ม พ์ เ นื่ อ งใน
____________. (๒๕๔๕). “การวิเคราะห์ข้อมูลจากการขุดค้นทางโบราณคดี โอกาสเปิดห้องนิทรรศการเรื่อง จารึกพบที่จังหวัดลพบุรีและ
ร่วมกับข้อมูลด้านศิลาจารึกและประวัติศาสตร์ศิลปะ สมัย จังหวัดใกล้เคียง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระ
สุโขทัย เพื่อการวิจัยหาประเด็นใหม่ทางวิชาการ.” รายงานการ นารายณ์มหาราช จังหวัดลพบุรี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๒๔).
วิจัยที่ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัย จากสำนักงานคณะกรรมการ ____________. (๒๕๒๕ ก). ศิ ล ปวั ฒ นธรรมไทย เล่ ม ๔ วั ด สำคั ญ กรุ ง
วิจัยแห่งชาติ.
รัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. (จัดพิมพ์เนื่องใน
ศานติ ภักดีคำ. (๒๕๔๙). “จิตรกรรมฝาผนังเรื่อง ท้าวมหาชมพู พระอุโบสถ โอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๒๕).
วัดนางนองวรวิหาร.” เมืองโบราณ ๓๒ (๓) (กรกฎาคม - ____________. (๒๕๒๕ ข). จดหมายเหตุการสร้างพระพุทธรูปพระประธาน
กันยายน): ๓๒ - ๖๓.
พุทธมณฑล. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการอำนวยการจัดสร้าง
ศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๒ (จารึกวัดศรีชุม). (๒๕๒๗). กรุงเทพฯ: กอง พุทธมณฑล และกรมศิลปากร. (จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในพิธี
หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร. (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสฉลอง สมโภชพระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล).
๗๐๐ ปีลายสือไทย).
____________. (๒๕๓๐ ก). เมืองน่าน. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
ศิลป์ พีระศรี. (๒๕๐๖). บทความจากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ของ ____________. (๒๕๓๐ ข). คู่มือนิทรรศการพิเศษเฉลิมพระเกียรติ ๒๐๐ ปี
ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี. พระนคร: กรมศิลปากร. (กรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: อมรินทร์
ศิลปากรจัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ พริ้นติ้งกรุ๊พ.
ศิลป พีระศรี ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิริน- ____________. (๒๕๓๐ ค). วัดช้างล้อม. เอกสารหมายเลข ๑ / ๒๕๓๐ เรื่อง
ทราวาส เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๖).
“การศึกษาวิจัยเรื่อง วัดช้างล้อมใน อุทยานประวัติศาสตร์
ศิลปกรรมวัดราชาธิวาส. (๒๕๔๖). กรุงเทพฯ: สมาคมนักเรียนเก่าราชาธิวาส. ศรีสัชนาลัย อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย.” กรุงเทพฯ: กรม
(จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี โรงเรียนวัดราชา ศิลปากร.
ธิวาส).
____________. (๒๕๓๑). ศิลปกรรมวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม. กรุงเทพฯ:
ศิลปากร, กรม. (๒๕๐๒). พระพุทธรูป และพระพิมพ์ ในกรุพระปรางค์วัดราช กรมศิลปากร.
บูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. พระนคร: กรมศิลปากร.
____________. (๒๕๓๒). เมืองอุบลราชธานี. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
____________. (๒๕๑๑). พระราชวั ง และวั ด โบราณในจั ง หวั ด พระนคร- ____________. (๒๕๓๖ ก). พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับการ
ศรีอยุธยา. พระนคร: กรมศิลปากร.
พิพิธภัณฑ์ไทย. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗). (กรม
____________. (๒๕๑๒). ศิลปกรรมและช่างไทย จาก สาส์นสมเด็จ. พระ- ศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในมหามงคล เฉลิมพระเกียรติ ๑๐๐ ปี
นคร: กรมศิลปากร. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทาน วันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพลิงศพ นายอุ่ณห์ เศวตมาลย์ ณ เมรุวัดแก้วแจ่มฟ้า สี่พระยา ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖).
วันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๒).
____________. (๒๕๓๖ ข). ราชสกุลวงศ์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม. กรุงเทพฯ: กรม
____________. (๒๕๒๑ ก). ประวัติวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร. กรุงเทพฯ: ศิลปากร.
กรมศิลปากร.
____________. (๒๕๔๑). จดหมายเหตุงานพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนคริน-
____________. (๒๕๒๑ ข). ประวัติวัดอรุณราชวราราม. กรุงเทพฯ: คณะสงฆ์ ทราบรมราชชนนี. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
วัดอรุณราชวราราม. (จัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ____________. (๒๕๔๓ ก). พระพุทธรูปสำคัญ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
สมเด็จพุฒาจารย์ (วน ฐิติญาณมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัด ____________. (๒๕๔๓ ข). พระราชพิธีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทร-
อรุณราชวราราม ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพ- มหาภู มิ พ ลอดุ ล ยเดชฯ สยามิ น ทราธิ ร าช บรมนาถบพิ ต ร.
ศิรินทราวาส วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑).
กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
____________. (๒๕๒๒). ศิลาจารึกในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย. ____________. (๒๕๔๖). นามานุกรมขนบประเพณีไทย หมวดพระราชพิธี
กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์.
และรัฐพิธี. กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
กรมศิลปากร.
บรรณานุกรม ๕๓๗
____________. (๒๕๔๘ ก). จิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานตามแนว ____________. (๒๕๔๙). ศิลปะสุโขทัย. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์
พระราชดำริ เล่ม ๑ เรื่องประวัติศาสตร์ศิลปกรรมพระพุทธ- พับลิชชิ่ง.
รัตนสถาน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
สมบัติ จำปาเงิน. (๒๕๒๐). ประวัติพระพุทธปฏิมาในเมืองไทย. กรุงเทพฯ:
____________. (๒๕๔๘ ข). จิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานตามแนว โอเดียนสโตร์.
พระราชดำริ เล่ม ๒ เรื่องจดหมายเหตุจิตรกรรมฝาผนัง สมพันธ์ ขันธะชวนะ. (๒๔๙๖). “ประชาธิปตัยในสมัยสุโขทัย.” ใน นครสุโขทัย,
พระพุทธรัตนสถาน รัชกาลที่ ๙. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง หน้า ๘๑ - ๘๕. [ม.ป.ท.]. (พิมพ์ขึ้นเพื่อหาทุนสร้างอนุสาวรีย์
แอนด์พับลิชชิ่ง.
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช).
____________. (๒๕๔๘ ค). จิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานตามแนว สมโภชพระพุทธธรรมกายมงคล ปยุรเกศานนท์สุพพิธาน. (๒๕๔๓). ยะลา:
พระราชดำริ เล่ม ๓ เรื่องกระบวนการสร้างสรรค์จิตรกรรม อาทรการพิมพ์.
ฝาผนังพระพุทธรัตนสถาน รัชกาลที่ ๙. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ สรัสวดี อ๋องสกุล. (๒๕๓๙). ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ:
พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
โครงการวิชาการ สำนักพิมพ์อมรินทร์.
____________. (๒๕๔๘ ง). พระพุทธรูปปางต่างๆ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร สันติ เล็กสุขุม. (๒๕๔๐). ศิลปะสุโขทัย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.
กระทรวงวัฒนธรรม.
____________. (๒๕๔๔). ประวัติศาสตร์ศิลปะไทย (ฉบับย่อ): การเริ่มต้นและ
____________. (๒๕๕๐). คุณธรรม จริยธรรม ตามรอยพระโพธิสัตว์. กรุงเทพฯ: การสืบเนื่องงานช่างในศาสนา. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.
กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. (จัดพิมพ์เฉลิมพระเกียรติ สารูป ฤทธิ์ชู. (๒๕๒๘). “สภาพการเมืองพัทลุง พ.ศ. ๒๓๑๕ - ๒๔๓๙.” ใน
พระบิดาแห่งการอนุรักษ์มรดกไทย ประกอบนิทรรศการพิเศษ รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีพัทลุง, หน้า
เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ๒ เมษายน ๒๕๕๐ ณ พระที่นั่ง ๑๓๙ - ๑๕๔. ๒๒ - ๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๘.
อิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มิถุนายน - สาส์นสมเด็จ ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา
สิงหาคม ๒๕๕๐).
นริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (๒๕๔๒). ยอร์ช เซเดส์ กับตะวันออกศึกษา (รวม ดำรงราชานุภาพ. เล่ม ๔. (๒๕๑๕). กรุงเทพฯ: องค์การค้า
บทความแปล). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์.
ของคุรุสภา.
ส. พลายน้อย. (๒๕๒๗). ความรู้เรื่องตราต่างๆ เล่ม ๑ พระราชลัญจกร. ____________. เล่ม ๕. (๒๕๑๓). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา.
กรุงเทพฯ: บำรุงสาส์น.
____________. เล่ม ๑๐. (๒๕๐๔). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา.
ส. พลายน้อย, และ ภาวาส บุนนาค. (๒๕๒๒). ตำนานพระชัยวัฒน์ และ ____________. เล่ม ๑๑. (๒๕๐๔). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา.
ธัมมานุวัตต์ (ฉบับบันทึกย่อ). กรุงเทพฯ: บัณฑิตการพิมพ์.
____________. เล่ม ๑๔. (๒๕๐๔). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา.
ส. ศิวรักษ์. (๒๕๓๒). ปาฐกถาเรื่องแนวคิดทางปรัชญาไทย. กรุงเทพฯ: คณะ ____________. เล่ม ๑๗. (๒๕๑๕). กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา.
กรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา.
____________. เล่ม ๑๙. (๒๕๐๔). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา.
สงวน โชติสุขรัตน์. (๒๕๑๕). ประชุมตำนานลานนาไทย. เล่ม ๒. พระนคร: สำนักนายกรัฐมนตรี. (๒๕๑๐). ประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาสมัย
โอเดียนสโตร์.
อยุธยา ภาค ๑. พระนคร: คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทาง
สงวน รอดบุญ. (๒๕๔๕). พุทธศิลปลาว. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: สายธาร.
ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี สำนักนายกรัฐมนตรี.
สงวน อั้นคง. (๒๕๒๙). สิ่งแรกในเมืองไทย. เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: แพร่พิทยา. สำนักราชเลขาธิการ. (๒๕๑๕). ประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท
(พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๐๒).
ที่พระราชทานในโอกาสต่างๆ ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๑๒
สนอง วัฒนวรางกูร. (2003). พระพุทธรูปและเทวรูปชิ้นเยี่ยม. กรุงเทพฯ: จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๓. พระนคร: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ.
โรงพิมพ์กรุงเทพ.
(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สมเกียรติ โล่ห์เพชรัตน์. (๒๕๓๙). พระพุทธรูปศิลปะสมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ: พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พิมพ์ในงานพระราชทาน
ด่านสุทธาการพิมพ์.
เพลิงศพ มหาเสวกตรี พระยาราชมนตรี (สง่า สิงหลกะ) ณ เมรุ
____________. (๒๕๔๐). พระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: วัตถุ- วัดเทพศิรินทราวาส วันพุธที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕).
โบราณ.
____________. (๒๕๔๓). ประวั ติ ศ าสตร์ ก ารสร้ า งพระพุ ท ธรู ป ล้ า นช้ า ง.
กรุงเทพฯ: สยาม อินเตอร์เนชั่นแนล บุ๊คส์.
๕๓๘ บรรณานุกรม
____________. (๒๕๑๙). เรื่องพระพุทธรูปปางต่างๆ. กรุงเทพฯ: สำนักราช- สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. [ม.ป.ป.]. “รายงานการวิจัยพุทธศาสนาแถบลุ่มทะเลสาบ
เลขาธิการ. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทาน สงขลาฝั่งตะวันออกสมัยกรุงศรีอยุธยา.” สงขลา: สถาบัน
ในงานพระราชทานเพลิ ง ศพ พระยาอนุ รั ก ษ์ ร าชมณเฑี ย ร ทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา.
(ก๊าด วัชโรทัย) ม.ว.ม., ป.ช., ท.จ.ว. ณ วัดเทพศิรินทราวาส สุเนตร ชุตินธรานนท์. (๒๕๓๙). พม่ารบไทย: ว่าด้วยการสงครามระหว่างไทย
วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๑๙).
กับพม่า. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: มติชน.
____________. (๒๕๒๗). แนวพระราชดำริเก้ารัชกาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สุภัทรดิศ ดิศกุล, ม.จ. (๒๕๐๐). “พุทธศิลปในประเทศไทย.” ใน ที่ระลึกในการ
คุ รุ ส ภา ลาดพร้ า ว. (ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า ฯ ให้ พิ ม พ์ ฉลอง ๒๕ ศตวรรษ แห่งพระพุทธศาสนา, หน้า ๓๗ - ๖๒.
พระราชทาน ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายแพทย์ ม.ร.ว. พระนคร: ศิวพร
อุดมพร เกษมสันต์ ท.ช.,ท.ม. ณ สุสานหลวง วัดเทพศิริน- ____________. (๒๕๐๙). เทวรู ป สั ม ฤทธิ์ ส มั ย สุ โ ขทั ย . พระนคร: คณะ
ทราวาส วันเสาร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๗).
โบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร.
____________. (๒๕๒๘ ก). ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ____________. (๒๕๒๑). ศิลปสุโขทัย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
กรุงเทพ. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานใน ____________. (๒๕๒๕). สมุดภาพศิลปกรรมวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัด
งานฉลองชนมายุ ค รบ ๖ รอบ สมเด็ จ พระญาณสั ง วร เพชรบุรี. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์
เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร วันพฤหัสบดีที่ ๓ ตุลาคม พุทธ- เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี.
ศักราช ๒๕๒๘).
____________. (๒๕๓๘). ศิลปะในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. กรุงเทพฯ:
____________. (๒๕๒๘ ข). ศิลปกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
การพิมพ์. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทาน สุรศักดิ์ ศรีสำอาง. (๒๕๔๖). เรื่องของพ่อ และรวมบทความทางวิชาการล้านช้าง
ในงานฉลองชนมายุ ค รบ ๖ รอบ สมเด็ จ พระญาณสั ง วร ล้านนา. [ม.ป.ท.]. (จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทาน
เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร วันพฤหัสบดีที่ ๓ ตุลาคม พุทธ- เพลิงศพ นายประสม ศรีสำอาง ต.ช., ต.ม. ณ เมรุวัดพระศรี-
ศักราช ๒๕๒๘).
มหาธาตุวรวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ๒๗ ตุลาคม
____________. (๒๕๓๑). พระบรมราโชวาท และพระราชดำรัส. กรุงเทพฯ: ๒๕๔๖).
โรงพิมพ์กรุงเทพ.
____________. (๒๕๕๐). เรื่องของแม่ และรวมบทความทางวิชาการ ล้านนา
สำเภากษัตริย์สุลัยมาน. (๒๕๔๕). แปลโดย ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. กรุงเทพฯ: ล้านช้าง. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์. (จัดพิมพ์เป็นที่ระลึก
ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ. (พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๑๗).
เนื่องในโอกาสอายุครบ ๗ รอบ (๘๔ ปี) นางแสงทอง ศรีสำอาง
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (๒๕๓๐). บางขุนเทียนส่วนหนึ่งของแผ่นดินไทยและกรุง (นันทรัตพันธุ์) ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐).
รัตนโกสินทร์. (พิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ น.ท. สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์, ม.ล. (๒๕๓๕). จากหลวงพระบางถึงเวียงจันทน์. กรุงเทพฯ:
สุขุม บุนปาน ร.น.).
เมืองโบราณ.
สุชีพ ปุญญานุภาพ. (๒๕๓๕). พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน. (พิมพ์รวม สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์, ม.ล., และ ฮันส์ เพนธ์. (๒๕๕๐). พุทธศิลปะในนิกาย
เล่มเดียวจบ ครั้งที่ ๑๔). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
สีหฬภิกขุ พ.ศ. ๑๙๐๐ - ๒๑๐๐. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม
สุเชาวน์ พลอยชุม. (๒๕๓๓). สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ธนาคารออมสิน.
สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, ม.ร.ว. (๒๕๓๐). “กลุ่มพระพุทธรูปสี่อิริยาบถในศิลปะสุโขทัย:
สุทธาสินีนาฎ, พระวิมาดาเธอฯ กรมพระ. (๒๔๗๒). จารึกเรื่องสร้างวัด ความหมายทางพระพุทธศาสนาบางประการ.” เมืองโบราณ
นิเวศน์ธรรมประวัติ. พระนคร: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ. (พระ ๑๓ (๓) (กรกฎาคม - กันยายน): ๕๗ - ๖๒.
วิมาดาเธอฯ กรมพระสุทธาสินีนาฎ โปรดให้พิมพ์เป็นมิตรพลี ____________. (๒๕๓๕). พระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง. กรุงเทพฯ:
ขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๔๗๒).
สำนักราชเลขาธิการ.
สุธา ลีนะวัต. (๒๕๕๐). “พระพุทธรูปที่นายอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลีออกแบบ.” สิ ริ กิ ติ์ พระบรมราชิ นี น าถ, สมเด็ จ พระนางเจ้ า . (๒๕๒๖). ฟาแบร์ เ ช่ .
ใน ประวัติศาสตร์ศิลปะที่ต้องจารึก: รวมบทความวิชาการด้าน กรุงเทพฯ: อักษรสัมพันธ์.
ประวัติศาสตร์ศิลปะเนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ รศ.ดร. หวน พินธุพันธ์. (๒๕๑๒). ลพบุรีที่น่ารู้. ลพบุรี: หัตถโกศลการพิมพ์. (พิมพ์ครั้ง
พิริยะ ไกรฤกษ์ - Festschrift for Piriya Krairiksh’s 60th แรก พ.ศ. ๒๕๑๑).
Year, หน้า ๑๓๗ - ๑๕๕. บรรณาธิการโดยวารุณี โอสถารมย์. ____________. (๒๕๑๔). พิษณุโลกของเรา. พิษณุโลก: วิทยาลัยวิชาการ
กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
ศึกษา พิษณุโลก.
บรรณานุกรม ๕๓๙
____________. (๒๕๒๑). อุ ต รดิ ต ถ์ ข องเรา. พิ ษ ณุ โ ลก: มหาวิ ท ยาลั ย แผ่นพับ
ศรีนครินทรวิโรฒ.
อ.ป. (๒๕๐๘). พุทธประวัติจากพระโอษฐ์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ธรรมทาน. พระเหลาเทพนิมิต. (๒๕๔๙). เอกสารแผ่นพับ. อำนาจเจริญ: วัดพระเหลา-
(พิมพ์ครั้งแรก ๒๔๗๙).
เทพนิมิต.
อภินันท์ โปษยานนท์. (๒๕๓๕). จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกใน วัดพระพุทธไสยาสน์. (๒๕๔๙). เอกสารแผ่นพับ ข้อมูลโบราณวัตถุสถาน
ราชสำนัก. ๒ เล่ม. กรุงเทพฯ: สำนักพระราชวัง. (จัดพิมพ์ ภายในวัด. เพชรบุรี: วัดพระพุทธไสยาสน์.
เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๑๒ สิงหาคม หลวงพ่อปู่วัดโกรกกราก. [ม.ป.ป.]. เอกสารแผ่นพับ. สมุทรสาคร: วัดโกรกกราก.
๒๕๓๕).
ประวัติพระติ้ว - พระเทียม (พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม). [ม.ป.ป.].
อรวรรณ ทรัพย์พลอย. (๒๕๓๙). “พระพุทธนิรโรคันตราย.” ศิลปากร ๓๙ (๓) เอกสารแผ่นพับ. นครพนม: วัดโอกาส.
(พฤษภาคม - มิถุนายน): ๗๗ - ๘๓.
อริยกวี, พระ. (๒๕๐๔). ตำนานปางพระพุทธปฏิมาประจำวันชาตา. พระนคร:
วัดจักรวรรดิราชาวาส.
อาคม พัฒิยะ, และ นิธิ เอียวศรีวงศ์. (๒๕๔๕). ศรีรามเทพนคร: รวมความเรียง ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต
ว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น. บรรณาธิการโดย นิธิ
เอียวศรีวงศ์. กรุงเทพฯ: มติชน. (พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๒๗)
ธรรมะไทย. (2550). [ออนไลน์]. “ทำเนียบวัดไทย: วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม
อารมณ์ ศรีตัญญู. (๒๕๓๐). “การค้นพบพระพุทธรูปประจำจังหวัด ๔ จังหวัด.” จ. นครราชสีมา.” จาก: <http://www.dhammathai.org/
ศิลปากร ๓๑ (๕) (พฤศจิกายน - ธันวาคม): ๖๙ - ๗๒.
watthai/northeast/watthepphitak.php>. [พฤษภาคม
อารักษ์ ตั้งวิจิตร. (๒๕๔๕). ประวัติการสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อพระใส. ๒๕๕๐].
อุดรธานี: ภาคอีสานการพิมพ์ (๙๙๙).
สรพล โศภิตกุล. (2006). [ออนไลน์]. “หลวงพ่อดี พุทธโชติ วัดเทวสังฆาราม
อุ ร คิ น ทร์ วิ ริ ย ะบู ร ณะ. [ม.ป.ป.]. ๑๐๘ ยั น ต์ ฉบั บ พิ ส ดาร. กรุ ง เทพฯ: อำเภอเมื อ ง จั ง หวั ด กาญจนบุ รี . ” จาก: <http://www.
สำนักงานลูก ส. ธรรมภักดี.
kanchanaburi.com/kannews/02130.html>. [กรกฎาคม
อูซานเยง. (๒๕๔๒). “ศึกตะเบงชเวตี้และศึกบุเรงนอง.” ใน พม่าอ่านไทย: ว่า ๒๕๕๐].
ด้วยประวัติศาสตร์และศิลปะไทยในทัศนะพม่า, หน้า ๓๕ - ๖๘.
บรรณาธิการผู้รวบรวม สุเนตร ชุตินธรานนท์. กรุงเทพฯ: มติชน.
เอ. บี. กริสโวลด์. (๒๕๐๗). “ศักราชศิลปะสุโขทัย - คำแนะนำเพื่อการค้นคว้า สัมภาษณ์
ต่อไป.” ใน คำบรรยายสัมนาโบราณคดีสมัยสุโขทัย พ.ศ. ๒๕๐๓,
หน้า ๘๑ - ๑๐๕. (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในงานเสด็จ ภุชชงค์ จันทวิช. สัมภาษณ์. ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๐.
พระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง
จังหวัดสุโขทัย วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗).
ฮง นาวานุเคราะห์. (๒๔๗๐). สมุดรูปถ่าย พระพุทธรูปหล่อ. พระนคร:
โรงพิมพ์เดลิเมล์.
ฮันส์ เพนธ์. (๒๕๑๙). คำจารึกที่ฐานพระพุทธรูปในนครเชียงใหม่. กรุงเทพฯ:
สำนักนายกรัฐมนตรี.
๕๐ ปี วัดไทยพุทธคยา อินเดีย. (๒๕๕๐). กรุงเทพฯ: วัดไทยพุทธคยา. (จัดพิมพ์
เป็ น อนุ ส รณ์ ง านฉลองมหามงคลพุ ท ธารามมหาราชชยั น ตี
วัดไทยพุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ๒๔ -
๓๐ มีนาคม ๒๕๕๐).
๕๔๐ บรรณานุกรม
หนังสือภาษาต่างประเทศ
Agrawala, V.S. (1957). Sarnath. India: Department of Boribal Buribhand, Luang, and Griswold, A.B. (1951).
Archaeology.
“Sculpture of Peninsular Siam in the Ayuthya
Aiyappan, A., and Srinivasan, P.R. (1960). Story of Buddhism Period.” The Journal of the Siam Society
with Special Reference to South India. Chennai: XXXVIII: Fig 17.
The Commissioner of Museums, Government _________. (1969). Thai Images of The Buddha. Bangkok:
Museum.
The Fine Arts Department.
Allison, Ann Hersey, and Allison, Jane Porter. (2007 / ๒๕๕๐). Brinker, Helmut. (2002). Return of the Buddha. London:
“To Make Good Buddhas for the New Royal Academy of Arts.
Generation.” In ประวัติศาสตร์ศิลปะที่ต้องจารึก: รวม Bunce, Fredrick W. (1997). A Dictionary of Buddhist and
บทความวิ ช าการด้ า นประวั ติ ศ าสตร์ ศิ ล ปะเนื่ อ งในโอกาส Hindu Iconography: Illustrated. New Delhi: D.K.
เกษียณอายุราชการ รศ.ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ - Festschrift Printworld.
for Piriya Krairiksh’s 60th year, pp. 348 - 385. Bunnag, Tej. (1977). The Provincial Administration of Siam
บรรณาธิการโดย วารุณี โอสถารมย์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ 1892 - 1915. Bangkok: Duang Kamol Book House.
พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
Charoenwongsa, Pisit, and Bronson, Bennet. (1988). Prehistoric
Bauer, Christian. (1991). “Notes on Mon Epigraphy.” The Studies: The Stone and Metal Ages in Thailand.
Journal of the Siam Society 79 (1): 31 - 83.
Bangkok: The Thai Antiquity Working Group.
Bereau, André. (1955). Les Sectes bouddhiques du petit Chirapravati, Pattaratorn. (2008). “Illustrating the Lives of
véhicule. Paris: École française d’Extrême - Orient.
the Bodhisatta at Wat Si Chum.” In Past Lives of
Birnbaum, Raoul. (1979). The Healing Buddha. London: The Buddha, pp. 13 - 40. Edited by Peter Skilling.
Hutchinson Publishing Group.
Bangkok: River Books.
Bock, Carl. (1985). Temples and Elephants. Bangkok: White Chou Ta - Kuan. (1992). The Customs of Cambodia. Bangkok:
Orchid Press.
The Siam Society.
Boeles, J.J. (1964). “The King of Śri Dvāratī and His Claeys, Par J.Y. (1931). “L’Archéologie du Siam.” Bulletin de
Regalia.” The Journal of The Siam Society LII (1) l’École française d’Extrême - Orient XXXI: 361 -
(April): 99 - 114.
448.
_________. (1967). “A Note on The Ancient City Called Clark, Kenneth. (1960). The Nude A Study of Ideal Art.
Lavapura.” The Journal of the Siam Society LV (1) London: John Murray.
(January): 113 - 115.
Coedès, George. (1925). “Documents sur l’histoire politique
Boisselier, Jean. (1955). La Statuaire khmére et son évolution. et religieuse du Laos occidental.” Bulletin de
Saigon: École française d’Extrême - Orient.
l’École française d’Extrême - Orient XXV: 1 - 204.
_________. (1963). La Statuaire du Champa. Paris: École _________. (1928). Les Collections archéologiques du Musée
française d’Extrême - Orient.
National de Bangkok. Paris et Bruxelles: Les
_________. (1972). “Travaux de la mission archeologique Éditions G. Van Oest.
française en Thailande.” Art Asiatiques XXV: 27 _________. (1939). “Reginal le May: A Concise History of
- 58.
Buddhist Art in Siam.” Journal of The Siam
_________. (1975). The Heritage of Thai Sculpture. New York: Society 31 (II): 192 - 201.
John Weatherhill.
Crosby, Kate. (2000). “Tantric Theravada: A Bibliographic
Boun Souk, Thao. (1971). L’Image du Buddha dans l’art Lao. Essay on the Writing of Francois Bizot and
Vientiane: L’Inprimerie Nationale.
Other Literature on the Yogavacara Tradition.”
Contemporary Buddhism: An Interdisciplinary
Journal 1 (2) (November): 141 - 188.
บรรณานุกรม ๕๔๑
Damrong Rajanuphap, Prince. (1973). Monuments of the Gombrich, Richard. (2003). Theravāda Buddhism A Social
Bhuddha in Siam. Translated by Sulak Sivaraksa History from Ancient Benares to Modern Colombo.
and A.B. Griswold. Bangkok: The Siam Society.
London: Routledge. (First published 1988).
Davies, Philip. (1989). Monuments of India Volume Two Griswold, A.B. (1957). Dated Buddha Images of Northern
Islamic, Rajput, European. London: Penguin Book.
Siam. Ascona: Artibus Asiae.
De Casparis, J.G. (1967). “The Date of The Grahi Buddha.” _________. (1967). Towards A History of Sukhodaya Art.
The Journal of the Siam Society LV (1) (January): Bangkok: The National Museum, Bangkok.
31 - 40.
_________. (1975). Wat Pra Yün Reconsidered. Bangkok:
De Coutre, Jacques. (1988). Aziatische omzwervingen: Het The Siam Society under Royal Patronage.
leven van Jaques de Coutre, een Brugs Griswold, A.B., and a Nagara, Prasert. (1968). “A Declaration
diamanthandelaar. 1591 - 1627. Edited by Johan of Independence and its Consequences; Epigraphic
Verberckmoes, and Eddy Stols. Berchem - Anvers: and Historical Studies, No.1.” The Journal of the
EPO. (Unpublished English translation manu- Siam Society LVI (2) (July): 207 - 250.
script by Philippe Annez).
_________. (1970). “Devices and Expedients Văt Pā Mok,
Dhani Nivat, H.H. Prince. (1969). “The City of Thawarawadi 1727 A.D.” In In Memoriam Phya Anuman
Sri Ayudhya.” In Collected Articles by H.H. Prince Rajadhon, pp. 147 - 220. Edited by Tej Bunnag
Dhani Nivat, pp. 51 - 56. Bangkok: The Siam and Michael Smithies. Bangkok: The Siam
Society Under Royal Patronage. (Reprinted From Society.
The Journal of The Siam Society on the occasion _________. (1971). “An Inscription in Old Mòn from Wieng
of his eighty - fourth birthday).
Manó in Chieng Mai Province: Epigraphic and
Di Crocco, Virginia McKeen. (2004). Footprints of The Buddhas Historical Studies, No. 6.” Journal of the Siam
of This Era in Thailand. Bangkok: The Siam Society 59 (1) (January): 153 - 156.
Society.
Grube, Ernst J. (1966). The World of Islam. New York:
Dupont, Pierre. (1959). L’Archeologie mone de Dvaravati. McGraw - Hill Book.
Paris: École française d’Extrême - Orient.
Gutman, Pamela. (2001). Burma’s Lost Kingdoms. Bangkok:
Dutt, Nalinaksha. (1978). Buddhist Sects in India. Delhi: Orchid Press.
Motilal Banarsidass.
Henderson and Hurvitz. (1956). The Buddha of Seiryōji.
Fahr - Becker, Gabriele. (1997). Art Nouveau. Köln: Könemann.
(Artibus Asiae 19 (1)). Ascona: Artibus Asiae.
Farrington, Anthony. (2001). Early Missionaries in Bangkok. Hiuen Tsiang. (1969). Si - Yu - Ki: Buddhist Records of the
Bangkok: White Lotus Co., Ltd.
Western World. Translated by Samuel Beal. Delhi:
Flood, E. Thadeus. (1969). “Sukhothai - Mongol Relations: Oriental Books Reprint Corporation. (First edition
A Note on Relevant Chinese and Thai Sources.” 1884).
The Journal of The Siam Society LVII (2): 203 - 259.
Huntington, Susan L. (1985). The Art of Ancient India:
Fournereau, Lucien. (1908). Le Siam ancien. Annales du Musée Buddhist, Hindu, Jain. New York: Weatherhill.
Guimet 31 (2).
Ishii, Yoneo. (1986). Sangha, State, and Society: Thai Buddhism
Giteau, Madeleine. (1975). Iconographie du Cambodge post - in History. Translated by Peter Hawkes. Honolulu:
angkorien. Paris: École française d’Extrême - The University of Hawaii Press.
Orient.
I - Tsing. (1966). A Record of The Buddhist Religion.
Godakumbura, C.E. (1969). Murals at Tivanka Pilimage. Translated by J. Takakusu. Delhi: Munshiram
Ceylon: Archaeological Department Colombo.
Manoharlal.
๕๔๒ บรรณานุกรม
Jayawickrama, N.A. (1968). The Sheaf of Garlands of the _________. (1993). “Jatakas, Universal Monarchs, and The
Epochs of the Conqueror Being a Translation of Year 2000.” Artibus Asiae LIII (3/4): 412 - 448.
Jinakālamālīpakara am of Ratanapañña Thera of _________. (2005). The Kingdom of Siam: The Art of Central
Thailand. London: The Pali Text Society.
Thailand, 1350 - 1800. San Francisco: The Asia
Jacques, Claude. (1990). Angkor. Paris: Bordas S.A.
Art Museum - Chong - Moon - Lee for Asian Art
Jessup, Helen Ibbitson, and Zéphir, Thierry. (1997). Sculpture and Culture.
of Angkor and Ancient Combodia. Washington: Middleton, Sheila E. Hoey. (2002). “The Third Buddha.”
National Gallery of Art Washington.
Journal of the Society for South Asian Studies 18:
Keown, Damien. (2003). Dictionary of Buddhism. New York: 67 - 72.
Oxford University.
Mitra, Debala. (1971). Buddhist Monuments. Culcutta: Shri
Knowles, Elizabeth. (2001). The Oxford Dictionary of Quotations. Mahendra Nath Dutt Shishu Sahitya Samsad.
Oxford: Oxford University. (First published 1999).
Moore, Elizabeth H. (2007). Early Landscapes of Myanmar.
Krairiksh, Piriya. (1979). The Sacred Image Sculpture from Bangkok: Bangkok Printing.
Thailand. Köln: Museum für Ostasiatische Kunst Munsterberg, Hugo. (1967). Chinese Buddhist Bronzes.
der Stadt Köln.
Tokyo: Charles E. Tuttle.
_________. (1985). “New Evidence from Lan Na Concerning Notton, M. Camille (Traduction). (1930). Annales du Siam
the Development of Early Thai Letters and Buddha Volume II: Chronique de La:p’un. Paris: Charles -
Images.” The Siam Society’s Newsletter 1 (3): 8 - 14.
Lavauzelle.
_________. (1988 - 1989). “The Repoussé Buddha Images of Pelliot, Paul. (1904). “Deux itineraires de Chine en Inde.”
The Mahā Thāt, Lamphūn.” Artibus Asiae XLIX Bulletin de l’École française d’Extrême - Orient 4:
(1/2): 169 - 184.
130 - 413.
_________. (1997). “A Reassessment of Thai Art of the Penth, Hans. (1976). “Carl Bocks Buddhafiguren aus Fāng.”
Ayutthaya Period.” Oriental Art 8: 14 - 22.
Artibus Asiae 38 (2 - 3): 139 - 157.
Kulke, Hermann. (1978). The Devarāja Cult. Data paper _________. (1988 - 1989). “Inscriptions and Images on The
number 108. New York: Southeast Asia Program Phra Mahā Thāt in Lamphūn.” Artibus Asiae
Department of Asian Studies Cornell University.
XLIX (3/4): 351 - 370.
Le May, Reginald. (1962). A Concise History of Buddhist Art _________. (1994). Jinakālamālī Index. Chiangmai:
in Siam. Tokyo: Charles E. Tuttle Company. Silkworm Books.
(First edition 1938).
_________. (2000). A Brief History of Lan Na: Civilizations
Listopad, John. (1995). The Art and Architecture of The Reign of North Thailand. Second edition. Chiang Mai:
of Somdet Phra Narai. Unpublished Ph.D. Silkworm Books, 2000.
dissertation University of Michigan, Ann Arbor.
_________. (2003). Chronology of Religious Events.
Mangrāi, Sao Sāimöng. (1981). The Pā aeng Chronicle and The Unpublished article.
Jengtung State Chronicle Translated. Michigan: _________. (2007 / ๒๕๕๐ ). “Lān Nā Images of Mahākac-
University of Michigan.
cāyana.” In ประวัติศาสตร์ศิลปะที่ต้องจารึก: รวมบทความ
Martin, Steven, et al. (2002). Myanmar (Burma). Australia: วิชาการด้านประวัติศาสตร์ศิลปะเนื่องในโอกาสเกษียณอายุ
Lonely Planet.
ราชการ รศ.ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ - Festschrift for Piriya
McGill, Forrest. (1977). The Art and Architecture of The Reign Krairiksh’s 60th year, pp. 236 - 275. บรรณาธิการ
of King Prasatthong of Ayutthaya (1629 - 1656) โดย วารุณี โอสถารมย์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์
Vol. 1. London: University Microfilms International.
พับลิชชิ่ง.
บรรณานุกรม ๕๔๓
Quaritch Wales, H.G. (1931). Siamese State Ceremonies. _________. (1997). “The Advent of Theravāda Buddhism to
London: Bernard Quaritch, Ltd.
Mainland South - East Asia.” Journal of the
_________. (1973). Early Burma - Old Siam. London: International Association of Buddhist Studies 20
Bernard Quaritch.
(1): 93 - 107.
Ramchandran, T.N. (1965). “The Nāgapa i am and Other _________. (2003 - 2004). “Traces of the Dharma.” Bulletin de
Buddhist Bronzes in The Madras Museum.” l’École française d’Extrême - Orient 90 - 91: 273 -
Bulletin of The Madras Government Museum. 287.
New Series - General Section, VII (1). (First _________. (2006). “Jātaka and Paññāsa - Jātaka in South -
edition 1954).
East Asia.” The Journal of the Pāli Text Society
Rawski, Evelyn S., and Rawson, Jessica, eds. (2005). China: XXVIII: 113 - 173.
The Three Emperors, 1662 - 1795. London: Snellgrove, David L., ed. (1978). The Image of The Buddha.
Royal Academy of Arts.
London: Sirindia Publication and UNESCO.
Ray, Niharranjan. (1936). Sanskrit Buddhism in Burma. Sotheby’s. (1985). Indian, Himalayan, South - East Asian Art
Amsterdam: H.J. Paris.
and Indian Miniatures. New York: Sotheby’s.
_________. (2002). Theravada Buddhism in Burma. Bangkok: Soper, Alexander Coburn. (1959). Literary Evidence for Early
The Orchid Press. (First published 1946).
Buddhist Art in China. Ascona: Artibus Asiae.
Ray, Niharranjan, et al. (1986). Eastern Indian Bronzes. New Stone, Elizabeth Rosen. (1994). The Buddhist Art of
Delhi: Lalit Kalā Akademi.
Nāgārjunako a. New Delhi: Narendra Prakash
Rowland, Benjamin. (1970). The Pelican History of Art. Jain for Motilal Banarsidass Publishers.
Middlesex: Harmondsworth, Penguin Book. Stratton, Carol. (2004). Buddhist Sculpture of Northern
(First edition 1953).
Thailand. Chiang Mai: Silkworm Books.
Saisingha, Sakchai. (1999). Les Statues du Buddha de l’école du Suárez, Thomas. (1999). Early Mapping of Southeast Asia.
Lân Nâ. Unpublished Ph.D. dissertation Singapore: Periplus Editions (HK).
University of Paris IV - Sorbonne.
Swearer, Donald K. (2004). Becoming The Buddha.
Salmony, Alfred. (1972). Sculpture In Siam. New York: Princeton, NJ: Princeton University Press.
Hacker Art Books.
Swearer, K. and Premchit, Sommai. (1978). “The Relationship
San The Aung. (1979). The Buddhist Art of Ancient Arakan. Between the Religious and Political Order in
Rangoon: Department of Higher Education Northern Thailand (14th - 16th Centuries).” In
Ministry of Education.
Religion and Legitimation of Power In Thailand,
Sarkar, H. and Nainar, S.P. (1972). Amaravati. New Delhi: Laos, and Burma, pp. 20 - 33. Edited by Bardwell
Archaeological Survey of India.
L. Smith. Chambersburg: ANIMA Books.
Satow, Ernest. (1994). A Diplomat in Siam. Bangkok: Orchid Tambiah, S. J. (1977). World Conqueror and World Renouncer.
Press.
Cambridge: Cambridge University.
Schroeder, Ulrich Von. (1992). The Golden Age of Sculpture Taw Sein Ko. (1892). The Kalyā ī Inscription King Dhammacetī
in Sri Lanka. Hong Kong: Visual Dharma Pegu, 1476 A.D. Rangoon.
Publication.
Terentyev, Andrey. (2007). “Buddha Images - The Sandalwood
Skilling, Peter. (1992). “The Rak ā Literature of the Statue.” National Museum Volunteers Newsletter,
Śrāvakayāna.” Journal of the Pali Text Society, (August 15).
XVI: 109 - 82.
Terwiel, Barend Jan, ed. (2003). Engelbert Kaempfer in Siam.
München: Iudicium.
๕๔๔ บรรณานุกรม
Thailand and Portugal. (1982). Lisbon: Calouste Gulbenkian Yamamoto, Tatsuro. (1977). “East Asian Historical Sources
Foundation.
for Dvāratī Studies.” In Proceedings Seventh
Thomas, Edward J. (1971). The History of Buddhist Thought. IAHA Conference, Bangkok 22 - 26 August 1977,
New York: Barnes & Noble.
pp. 1137 - 1150. Bangkok: Chulalongkorn
Vella, Walter F. (1978). Chaiyo! King Vajiravudh and the University.
Development of Thai Nationalism. Honolulu: Zwalf, W. (1985). Buddhism: Art and Faith. London: British
The University of Hawaii Foundation.
Museum Publication.
Vickery, Michael Theoddore. (1977 A). Cambodia After
Angkor: The Chronicular Evidence for the
Fourteenth to Sixteenth Centuries. Two volumes.
Unpublished Ph.D. dissertation Yale University.
_________. (1977 B). “A Lost Chronicle of Ayutthaya.”
Journal of The Siam Society 65 (1) (January): 1 - 80.
_________. (1978). “Review Article: A Guide through Some
Recent Sukhothai Historiography.” Journal of
The Siam Society 66 (2) (July): 182 - 246.
_________. (1979). “A New tā nān about Ayudhya, The
Rise of Ayudhya: A History of Siam in the
Fourteenth and Fifteenth Centuries, by Charnvit
Kasetsiri.” Journal of The Siam Society 67 (2)
(July): 123 - 188.
Von Schroeder, Ulrich. (1990). Buddhist Sculptures of Sri
Lanka. Hong Kong: Visual Dharma Publications.
Winichakul, Thongchai. (1994). Siam Mapped: A History of
the Geo - Body of a Nation. Chiang Mai: Silkworm
Books.
Woodward, Jr., Hiram W. (1975). Studies in the Art of Central
Siam, 950 - 1350 A.D. A Dissertation presented
to the Faculty of the Graduate School of Yale
University in candidacy for Ph.D. degree.
_________. (1979). “The Bayon - Period Buddha Image in
the Kimbell Art Museum.” Archives of Asian Art
32: 72 - 83.
_________. (1997). The Sacred Sculpture of Thailand: The
Alexander B. Griswold Collection. The Walters Art
Gallery. Bangkok: River Books.
_________. (2003). The Art and Architecture of Thailand.
Leiden: Brill.
Wyatt, David K. (1967). “The Thai ‘Ka a Ma iarapāla’ and
Malacca.” The Journal of the Siam Society. LV (2)
(July): 279 - 286.
บรรณานุกรม ๕๔๕
พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
ภาคผนวก
ก. อภิธานศัพท์
ข. ภาพอธิบาย
๑. ราชาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย
๒. องค์ประกอบพระพุทธปฏิมา
๓. เครื่องทรงของพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์
๔. พระพุทธรูปแบบเชียงแสน
๕. พระพุทธรูปอู่ทอง
ค. รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย
(สุโขทัย - อยุธยา - ธนบุรี - รัตนโกสินทร์ - ล้านนา)
ง. แผนที่
๑. แผนที่ประเทศอินเดีย
๒. แผนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
๓. แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงเมืองพระยามหานคร
๔. แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงเมืองลูกหลวง
๕. แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงวงราชธานี
จ. ศักราชสำคัญของพุทธศาสนาและพุทธศิลป์
ภาคผนวก ๕๔๗
ภาคผนวก ก. อภิธานศัพท์
หมวด ก.
กระจัง, ลาย ชื่อลายไทยแบบหนึ่ง เขียนโดยอาศัยรูป
สามเหลี่ยมด้านเท่าเป็นกรอบบังคับ
กกุธภัณฑ์ เครื่องหมายแสดงความเป็นพระราชาธิบดี
ขอบด้านข้างมีรอยบากอย่างน้อยข้างละ
ซึ่งในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยรัชกาลที่ ๗ หนึ่งรอย ตรงกลางมีไส้ รูปกลีบบัวหรือ
(พ.ศ. ๒๔๖๘) ประกอบด้วย
ตาอ้อยขนาดย่อมๆ ซ้อนอีกชั้นหนึ่ง
๑. พระมหาพิชัยมงกุฎ
๒. พระแสงขรรค์ชัยศรี
๓. ธารพระกร
๔. วาลวีชนี (พัดกับแส้จามรี)
๕. ฉลองพระบาท
รวมเรียกว่า เบญจราชกกุธภัณฑ์
ลายกระจัง
ลายกระจังตาอ้อย
เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์
กระจังตาอ้อย, ลาย ชื่อลายอย่างหนึ่ง เป็นแม่ลายใช้ประดับ
ตามชั้น ขอบ หรือใช้เป็นองค์ประกอบ
กกุสันธะ, พระ ดู อดีตพุทธะ
ของลายขนาดใหญ่
กนิษฐา นิ้วก้อย
กลด ร่ม (ใช้เรียกสำหรับเจ้านาย) ขนาดใหญ่
มีด้ามยาว
กโปล, กโบล แก้ม
กะไหล่ วิธีเคลือบโลหะด้วยทองหรือเงิน โดยใช้ปรอท
กร แขน
ละลายเงินหรือทอง แล้วทาลงบนโลหะที่
ต้องการเคลือบ จากนั้นใช้ความร้อนไล่
กรรณ หู, ใบหู
ปรอทออก
กรรเจียก ดอกไม้ทัด เครื่องทัดหู
กัปประ ข้อศอก
กรรเจียกจร, - จอน เครื่องประดับสำหรับทัดหู, จอนหู
กัมโพช อาณาจักรในบริเวณภาคกลางตอนล่างของ
ประเทศไทยในปัจจุบัน มีศูนย์กลางอยู่ที่ละโว้
หรือลพบุรี จากปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๕ –
ต้น ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 10 – กลาง 13)
เป็นประเทศราชของอาณาจักรกัมพูชาแต่เป็น
รัฐอิสระในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙
(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 – กลาง 14)
กรรเจียกจร
กัมโพชสงฆ์ปักขะ, คณะ คณะสงฆ์กัมโพช ปรากฏชื่อในศิลาจารึกกัลยาณี
กรองศอ สร้อยคอ, สร้อยนวม
เป็นนิกายเถรวาทที่เก่าแก่ของมอญ ผสมผสาน
(ดูภาพอธิบาย ๓. เครื่องทรงฯ)
คติธรรมและความเชื่อมาจากลัทธิมหายานและ
ลายกุดั่นก้านแย่ง
ภาคผนวก ๕๔๙
ขาชนวน ก้าน หรือแท่งโลหะที่ยื่นออกมาจากฐาน
เขี้ยวตะขาบ มุมผ้าตอนปลายของชายจีวรหรือชายสังฆาฏิ
พระพุทธรูปเป็นขาๆ เป็นเสมือนฐานพระพุทธรูป
ที่ทำเป็นรูปมุมแหลม ๒ แฉก
อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งขาเหล่านี้ก็คือท่อลำเลียงโลหะ
หลอมละลายเข้าสู่แม่พิมพ์ในขั้นตอนของ
การหล่อพระพุทธรูป (ดู ชนวน)
เขนย หมอน
เขมร เป็นคำที่ชาวกัมพูชาใช้เรียกตนเอง
เขี้ยวตะขาบ
แข้งสิงห์, ฐาน บ้างเรียก ฐานสิงห์ (ดู สิงห์)
หมวด ค.
คณะ หมู่ หรือกลุ่ม ซึ่งแยกออกจากส่วนใหญ่อีก
ต่อหนึ่ง เช่น คณะมหานิกาย และคณะ
ธรรมยุติกนิกาย แยกออกจากนิกายเถรวาท
ฐานแข้งสิงห์
เป็นต้น
คันถธุระ การศึกษาพระธรรมวินัยควบคู่กับการปฏิบัติ
วิปัสสนา, การปฏิบัติธรรม
เขียง, ฐาน ฐานรองรับ ที่มีรูปแบบเรียบ
คันธารราษฎร์ (๑) ชื่อพระพุทธรูปแบบหนึ่งพระหัตถ์ขวาทรง
ไม่มีลวดลายประดับ
กิริยากวัก พระหัตถ์ซ้ายทรงกิริยารองรับ
สำหรับตั้งในพิธีขอฝนและแรกนาเป็นต้น
(๒) ชื่อแคว้นหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของ
อินเดีย ปัจจุบันอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน
คามวาสี ผู้อยู่ในหมู่บ้าน ใช้เรียกคณะสงฆ์ฝ่ายคันถธุระ
ที่ปฏิบัติธรรมในหมู่บ้านหรือเมือง
(ดู คันถธุระ, อรัญวาสี)
ฐานเขียง
เครื่องทรง ฉลองพระองค์ของพระพุทธรูปทรงเครื่อง
(ดูภาพอธิบาย ๓. เครื่องทรงฯ)
หมวด จ.
จุไร ไรจุก ไรผม
ภาคผนวก ๕๕๑
หมวด ด.
หมวด ต.
ดอกจัน, ลาย
ตถาคต, พระ “ผู้ซึ่งได้มาหรือไปแล้วอย่างนั้น (เช่นเดียวกับ
องค์อื่นๆ)” เป็นคำเรียกพระพุทธเจ้าในฐานะ
หลักธรรมหรือธรรมกาย อันเป็นหนี่งในตรีกาย
ของพระพุทธองค์ ตามปรัชญาของลัทธิมหายาน
ซึ่งเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีตรีกาย อันประกอบด้วย
ลายดอกจัน
(๑) ธรรมกาย คือ กายที่เป็นหลักธรรมไม่
สามารถมองเห็นได้ (๒) สมโภคกาย หรือ
ดอกพุดตาน, ลาย
สัมโภคกาย ที่ปรากฏแก่หมู่เทพและ
พระโพธิสัตว์และ (๓) นิรมาณกาย
ที่แสดงออกโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นอกจากนั้นแล้ว พระองค์เป็นเพียงหนึ่งใน
บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งปรากฏในโลก
และทรงประกาศสัจธรรมอย่างเดียวกันตลอดมา
ลายดอกพุดตาน
โดยในความเข้าใจของคนไทยทั่วไปซึ่งนับถือ
พุทธศาสนานิกายเถรวาท พระตถาคต
ดอกพิกุล, ลาย
หมายถึงพระสมณโคดม ผู้สถาปนาพุทธศาสนา
ตริภังค์ หักสามส่วน คือการยืนแอ่นสะโพก ไหล่
และศีรษะไปคนละทาง
ตันตระยาน, ลัทธิ “วิถีของคัมภีร์ตันตระ” ซึ่งจำแนกออกเป็น
ลายดอกพิกุล
๔ หมวดได้แก่ กริยาตันตระ จรรยาตันตระ
โยคะตันตระ อนุตระโยคะตันตระ เกิดขึ้น
ดัชนี, ดรรชนี นิ้วชี้
ภายในลัทธิมหายาน ประมาณกลาง
พุทธศตวรรษที่ ๑๒ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7)
ดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นที่ ๒ จากสวรรค์ ๖ ชั้น
โดยมุ่งไปที่การบรรลุโพธิญาณของฆราวาส
อันประกอบด้วย จาตุมหาราช ดาวดึงส์
ผ่านการอภิเษก ซึ่งหมายถึงการรับเข้ามาเป็น
ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี
สมาชิก โดยผู้ที่เป็นครูประพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้
(ดู ดุสิต) ดาวดึงส์เป็นสวรรค์แห่งเทวดา
กับศิษย์ อันเป็นพิธีเดียวกันกับที่พราหมณ์ถวาย
๓๓ พระองค์ อยู่เหนือยอดเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็น
น้ำศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้ที่จะราชาภิเษกขึ้นเป็น
ศูนย์กลางของจักรวาล มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า
พระจักรพรรดิ โดยสมมติว่าเป็นน้ำแห่งวิชชา
ซึ่งจะทำให้ศิษย์เป็นจักรพรรดิทางวิญญาณ
ดุน ดันให้เป็นรอยนูนบนแผ่นโลหะ
หรือเป็นพุทธขึ้นมาได้ เมื่อได้รับการอภิเษกแล้ว
ครูถึงจะสอนศิษย์ให้แก้ไตรรหัส อันได้แก่ กาย
ดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๔ จากสวรรค์ ๖ ชั้น (ดู ดาวดึงส์) วาจา และจิต ด้วยการทำเครื่องหมายต่างๆ
สวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์เมตไตรย ด้วยมือ ได้แก่ มุทรา ท่องมนตร์ และคาถา
ก่อนจะเสด็จมาจุติเป็นพระพุทธเจ้า
(ธารนี) และทำสมาธิโดยมีมณฑล และยันต์
เป็นเครื่องมือในการบำเพ็ญสมาธิ เพื่อให้ตนเอง
๕๕๒ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
เป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ไตรปิฎก คัมภีร์หลักของพุทธศาสนา เชื่อว่าพระธรรมคํา
รวมทั้งใช้วิธีทางไสยศาสตร์ให้ฆราวาสประสบ
สั่งสอนของพระพุทธเจ้ามี ๓ ปิฎก หรือ
ความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาด้านทางโลก
๓ หมวด คือ
(ดู วัชรยาน)
พระวินัย เรียก วินัยปิฎก
พระสูตร เรียก สุตตันตปิฎก
ตาลปัตร พัดใบตาล มีด้ามยาว สำหรับพระใช้ใน
พระอภิธรรม เรียก อภิธรรมปิฎก, ตรีปิฎก
พิธีกรรม เช่นในเวลาให้ศีล ต่อมาอนุโลม
เรียกพัดที่ทำด้วยผ้าหรือไหมซึ่งมีลักษณะ
หมวด ถ.
คล้ายคลึงเช่นนั้นว่า ตาลปัตร
ถัน เต้านม
ตาบข้าง เครื่องประดับรูปทรงข้ามหลามตัด
ประดับสายสังวาลด้านข้าง
เถรวาท, นิกาย นิกายที่ ๑๕ จาก ๑๘ นิกายในลัทธิศราวกยาน
(ดูภาพอธิบาย ๓. เครื่องทรงฯ)
(ดู ศราวกยาน) เดิมเรียกหีนยาน
แต่นักวิชาการปัจจุบันแยกแยะนิกายเถรวาท
ออกจากนิกายที่พระพุทธเจ้าสถาปนาขึ้น
โดยเรียกนิกายดั้งเดิมเป็นภาษาสันสกฤตว่า
“สถวีรวาท” ส่วนนิกายที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อกลาง
พุทธศตวรรษที่ ๔ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๒
ตาบข้าง
ก่อนคริสต์กาล) แต่สืบทอดเจตนารมณ์ของ
นิกายดั้งเดิมนั้นเรียกเป็นภาษาบาลีว่า
ตาบทิศ ดู ตาบข้าง
“เถรวาท”
ความสับสนเกิดขึ้นจากการที่ทั้ง ๒ คำ
ไตรจีวร ผ้าสามผืนของพระภิกษุ คือ
มีความหมายเดียวกัน คือ พระเถระผู้ใหญ่
อันตรวาสก หรือ สบง คือผ้านุ่งของสงฆ์
แต่นิกายเถรวาทเป็นที่แพร่หลาย ในประเทศ
อุตราสงค์ หรือ จีวร
ศรีลังกา และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สังฆาฏิ หมายถึงผ้าคลุมกันหนาวที่พระภิกษุ
ทุกวันนี้ เป็นนิกายที่เกิดจากจากการนำคติธรรม
ใช้ทาบบนจีวร มักจะพับทบแล้วพาดบนไหล่ซ้าย ของลัทธิมหายานผนวกเข้ากับนิกายสถวีรวาท
เมื่อครองอุตราสงค์ห่มดอง คือเปิดไหล่ขวา
(นิกายที่ ๑) ดั้งเดิม จนเกิดเป็นนิกายใหม่ขึ้นที่
ภาคผนวก ๕๕๓
มหาวิหาร กรุงอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา
หมวด ธ.
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ (กลางคริสตศตวรรษ
ที่ 6 – กลาง 7)
ธรรมจักร สัญลักษณ์ของพระธรรม รูปกงล้อของเกวียน
ตามความเข้าใจของคนไทยทั่วไปนั้นยึด
มักจะตั้งบนเสามีหัวเสารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรองรับ
ตามประวัติพุทธศาสนาที่เป็นองค์ความรู้เก่า
ธรรมจักรเป็นที่นิยมในนิกายเถรวาท เช่นที่มี
ซึ่งถือว่านิกายเถรวาทเป็นนิกายที่พระพุทธเจ้า
จารึกภาษาบาลีที่กงล้อ แต่ธรรมจักรขนาดเล็กมี
ทรงสถาปนาขึ้น (สถวีรวาท หรือนิกายที่ ๑)
กวางหมอบอยู่เคียงข้างเป็นที่นิยมในลัทธิมหายาน
และเป็นนิกายที่ธำรงคติธรรมดั้งเดิม
เช่น ที่ถ้ำอชัญฏา ประเทศอินเดีย และลัทธิ
และสืบทอด ขนบธรรมเนียมการใช้ภาษาบาลี
วัชรยาน ที่กรุงลาซา ประเทศทิเบต
ไว้อย่างเคร่งครัด
ธรรมยุติกนิกาย, คณะ คณะสงฆ์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หมวด ท.
ทรงสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ (ค.ศ. 1830)
เมื่อครั้งทรงผนวช เน้นที่การปฏิบัติตรงตาม
ทาฐะ, ทาฒะ เขี้ยว
พระวินัย โดยมีแบบธรรมเนียมและคำสอนที่
แตกต่างจากคณะมหานิกาย ซึ่งเป็นพระสงฆ์
ทนต์ ฟัน
ส่วนใหญ่ในสังคมไทย (ดู มหานิกาย)
ทรงเครื่อง, ทรงเครื่องต้น ฉลองพระองค์ทรงเครื่องต้นของพระเจ้า
หมวด น.
แผ่นดินในพระราชพิธี เช่นพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก (ดูภาพอธิบาย ๓.
นกคาบ, ลาย ลายประดิษฐ์ที่ใช้นกคาบกนก บ้างเรียก
เครื่องทรงฯ)
กนกนกคาบ
ทองพระกร กำไลแขน
ทองพระบาท กำไลข้อเท้า
ทับทรวง เครื่องประดับหน้าอกรูปข้าวหลามตัด
ประดับตรงจุดไขว้ของสายสังวาล
(ดูภาพอธิบาย ๓. เครื่องทรงฯ)
ลายนกคาบ
เทริด เครื่องประดับศีรษะคล้ายมงกุฎทรงเตี้ย
มีกรอบหน้า
นขา เล็บ
นพศูล
นครวาสี ดู คามวาสี
นพศูล, นภศูล เครื่องประดับ
ยอดปรางค์
เป็นรูปหอก
ที่มีกิ่งแตกออก
เป็น ๔ ทิศ
ทับทรวง
เทริด
ภาคผนวก ๕๕๕
บุคลาธิษฐาน การนำสิ่งที่เป็นนามธรรมมาอธิบาย
หมวด ป.
โดยใช้บุคคลเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อแทนสิ่งที่เป็น
รูปธรรม เช่น เมื่อเปรียบเทียบกิเลสเป็น
ปฐมพุทธะ, พระ ดู อาทิพุทธะ
พญามาร เป็นต้น ในกรณีลัทธิมหายานและ
ตันตระยานจะใช้เทพเจ้าและพระโพธิสัตว์ต่างๆ
ปรัศว์ สีข้าง
เป็นบุคลาธิษฐานเพื่อเป็นเครื่องมือในการ
ภาวนา และบำเพ็ญสมาธิ
ประคำ, ลาย ลายไข่ปลา
ลายประคำหรือลายไข่ปลา
ประจำยาม, ลาย ลายดอกสี่กลีบในรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
บุษบก
บุษบก มณฑปขนาดย่อม โปร่งทั้งสี่ด้านใช้เป็นที่ประทับ
สำหรับพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธี หรือเป็น
อาคารขนาดย่อมที่ประดิษฐานปูชนียวัตถุ
เช่น พระพุทธรูป หรือสถูป
ใบระกา เครื่องประดับหลังคา บริเวณหน้าจั่ว
ลายประจำยาม
เป็นปูนปั้นหรือไม้สลักรูปครีบ ติดบนตัว
นาคลำยอง ระหว่างช่อฟ้าถึงหางหงส์
ประติมานิรมาณวิทยา การศึกษาลักษณะรูปภาพ (Iconography)
การพิสูจน์ การอธิบาย การแยกประเภท และ
การตีความสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในภาพ
บ้างเรียกว่า ประติมานวิทยา
ประทับ นั่ง
ประภามณฑล, ประภาวลี แสงที่สว่างเรืองรองอยู่รอบองค์
พระพุทธเจ้าหรือเทพ
ใบระกา
โบสถ์ ดู อุโบสถ
ปราสาท
ปฤษฎางค์ หลัง
ปลียอด ยอดเหนือชั้นบัวกลุ่มของสถูปและปราสาท
ซึ่งมีลักษณะคล้ายปลีกล้วย
ปัทม์, ฐาน ฐานที่ประกอบด้วยหน้ากระดาน
ผ้าทิพย์
บัวคว่ำ และบัวหงาย
หมวด ฝ.
ฝ่าย พวก, ข้าง ในที่นี้เป็นกลุ่มสงฆ์ที่แยกออก
จากคณะ เช่น ลัทธิศราวกยาน นิกายเถรวาท
คณะมหาวิหาร จะแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย
ฐานปัทม์
อันได้แก่ ฝ่ายอรัญวาสี และฝ่ายคามวาสี
ภาคผนวก ๕๕๗
หมวด พ.
สร้างเลียนแบบสืบต่อมา ตามประเพณีนิยม
ของไทยจะจำลองจาก “พระพุทธรูป” ต้นแบบ
พญาชมพูบดี กษัตริย์องค์หนึ่งในยุคพุทธกาลที่ทะนงตน
ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญในแต่
จึงได้ไปแสดงฤทธิ์เพื่อประทุษร้ายต่อ
บริบทของท้องถิ่นและลัทธิความเชื่อ
พระเจ้าพิมพิสาร แต่ด้วยอานุภาพของ
โดยจะจำลองหรือสร้างพระพุทธปฏิมาให้มี
พระพุทธเจ้าได้ปกป้องพระเจ้าพิมพิสารไว้ได้
พุทธลักษณะใกล้เคียงกับ “พระพุทธรูป”
พระพุทธองค์จึงออกอุบายแสดงองค์เป็น
ที่เป็นองค์ต้นแบบมากที่สุด (ดู พระพุทธรูป)
พระเจ้าราชาธิราชโดยฉลองพระองค์เป็น
พระจักรพรรดิราช และได้แสดงธรรมต่อ
พระปริต พระสูตรที่รวบรวมขึ้นจาก มุททกปาฐะ
พญาชมพูบดี จนพญาชมพูบดีดวงตาเห็นธรรม
ขุททกนิกาย สุตตันตปิฎก ใช้สวดเพื่อปกป้อง
จึงออกผนวช และบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด จากโรคันตรายและภัยพิบัติทั้งปวง นิยมสวด
ตำนานเกี่ยวกับพญาชมพูบดีเป็นฐานคติสำคัญ
พระปริตพร้อมกับทำน้ำพระพุทธมนต์
ในการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง
เพื่อพรมศีรษะให้เกิดสวัสดิมงคลและปกป้อง
ฉลองพระองค์
จากภัยพิบัติ
พนัสบดี ตามทฤษฎีของธนิต อยู่โพธิ์ ได้แก่ สัตว์ที่เกิดขึ้น
พลอยนพเก้า พลอย ๙ อย่าง บ้างเรียก นพรัตน์ หรือ
โดยการผสมผสานกันของสัตว์พาหนะของ
พลอยนพรัตน์ ประกอบด้วย เพชร ทับทิม
เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ โคนนทิ
มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทาย
(พระศิวะ), พญาครุฑ (พระนารายณ์), และหงส์ และไพฑูรย์
(พระพรหม) มีลักษณะว่าปากเป็นครุฑ
มีเขาเหมือนโค มีปีกเป็นหงส์
พังพาน คองูเมื่อแผ่ออก หรือแม่เบี้ย
พระกริ่ง พระเครื่องทำด้วยโลหะ ข้างในทำกลวงแล้ว
พุทธลักษณะ ลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้า
บรรจุก้อนโลหะไว้ภายใน
เมื่อเขย่าจะมีเสียงดังกรุกกริก
พุ่มข้าวบิณฑ์, ลาย ชื่อลายมาจากรูปทรงของข้าวตอกปั้น
เป็นรูปคล้ายดอกบัวตูม
พระพุทธรูป รูปแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ
ปฏิมากรรม รูปเคารพพระพุทธเจ้า ซึ่งเชื่อกัน
ว่าเป็นองค์แรกหรือองค์ต้นแบบ และยึดถือ
ว่า พระพุทธรูปนี้มีพุทธลักษณะเหมือนกับ
พระพุทธเจ้าขณะที่ดำรงพระชนม์ชีพ โดยมาก
แล้วพระพุทธรูปจะมีความสำคัญและความ
ศักดิ์สิทธิ์ตามบริบทของท้องถิ่นและลัทธิ
ความเชื่อ โดยศาสนิกที่ศรัทธาจะนิยม
จำลองพระพุทธรูปองค์ต้นแบบโดยสร้างเป็น
ลายพุ่มข้าวบิณฑ์
“พระพุทธปฏิมา” หรือองค์จำลองเพื่อบุญกุศล
พักตร์ ใบหน้า
และสืบทอดพระศาสนา (ดู พระพุทธปฏิมา)
พาหุรัด เครื่องประดับสวมรัดต้นแขน หรือกำไลต้นแขน
พระพุทธปฏิมา รูปจำลองของพระพุทธรูป อันเป็นปฏิมากรรม
รูปเคารพพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นองค์ที่จำลองหรือ
พาหา แขนท่อนบนตั้งแต่หัวไหล่ถึงข้อศอก
๕๕๘ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
โพธิสัตว์, พระ ในนิกายเถรวาท หมายถึงพระพุทธเจ้าในชาติ
มงกุฎ เครื่องสวมพระเศียรพระมหากษัตริย์ มียอดสูง
ก่อนๆ และเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะตรัสรู้
แต่ในลัทธิมหายาน หมายถึงผู้ที่กำลังบำเพ็ญ
บารมี ๑๐ ประการ เพื่อบรรลุศูนยตาหรือ
สุญตา ซึ่งไม่ประสงค์จะหลุดพ้น ด้วยเพราะ
ความกรุณาที่ต้อง การช่วยเหลือสรรพสัตว์
ให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ
เพลา ขา, ตัก, ช่วงขาตั้งแต่เข่าถึงโคนขา
หมวด ฟ.
เฟื่องข้าง เครื่องประดับประเภทห้อยโยง ประดับอยู่
บริเวณชายโครงข้างลำตัว ห้อยจากทับทรวงถึง
ตาบหลัง (ดูภาพอธิบาย ๓. เครื่องทรงฯ)
มงกุฎ
หมวด ภ.
มณฑล วง, เขต, บริเวณ
ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา, พระ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งของลัทธิมหายาน
มีหน้าที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บ มีประภามณฑลหรือ
มหากัจจายนะ, พระ เดิมเป็นฉายาหรือชื่อที่ใช้ในการบวชของ
แสงรอบพระวรกายสีน้ำเงิน หรือสีแก้วไพฑูรย์
พระภิกษุสงฆ์ชาวอินเดียใต้รูปหนึ่ง มีชีวิตอยู่ใน
ช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – กลาง ๑๑
หมวด ม.
(คริสต์ศตวรรษที่ 5) เป็นผู้แต่งไวยากรณ์
ภาษาบาลีเล่มแรก ต่อมากลายเป็นฉายา
มกุฎ กรวยสวมพระเมาลี
พระสาวกที่มีชื่อเสียงทางเผยแพร่พุทธศาสนา
(จุกหรือมวยผม)
และมีรูปงาม เล่ากันว่ามีสตรีผู้หนึ่งหลงรักท่าน
และใช้ครอบพระเมาลี (อุษณีษะ)
ท่านจึงอธิษฐานขอให้อ้วนเตี้ย และมีพระอุทร
ในพระพุทธรูปแบบบายนของ
หรือพุงพลุ้ย (ดู สังกัจจายน์)
กัมพูชา (ดู บายน)
มหาทักษา เป็นคัมภีร์ในทางโหราศาสตร์ที่ว่าด้วย
การเสวยอายุของพระเคราะห์ทั้ง ๘
หรืออัฐเคราะห์ตามผังทักษา โดยตีความจำนวน
กำลังพระเคราะห์เป็นจำนวนปีที่พระเคราะห์นั้น ๆ
จะเข้ามาครองหรือเสวยอายุ อันเป็นช่วงเวลาที่
มกุฎ
พระเคราะห์นั้นจะมีอิทธิพลต่อชีวิตนั่นเอง
พุทธศาสนิกชนไทยได้นำมาปรับใช้เข้ากับ
คติการบูชาพระพุทธปฏิมาประจำวัน
มหานิกาย, คณะ คณะใหญ่ ได้แก่พระสงฆ์ในคณะสยามนิกาย
ที่สืบทอดลงมาจากครั้งสมัยอยุธยา
ภาคผนวก ๕๕๙
เป็นคณะใหญ่ที่มีพระภิกษุใต้สังกัดมากที่สุด ๑ มุทรา กิริยาอาการของพระหัตถ์, ปาง
ใน ๒ คณะ ปัจจุบัน ซึ่งอีกคณะหนึ่งได้แก่
คณะธรรมยุติกนิกาย (ดู ธรรมยุติกนิกาย)
มูลสรรวาสติวาส, นิกาย นิกายนี้แยกออกจากนิกายสรรวาสติวาส
ลัทธิศราวกยาน เมื่อประมาณกลางพุทธ
มหายาน, ลัทธิ ลัทธิที่ยึดคติความเชื่อในพระสูตรมหายาน เช่น
ศตวรรษที่ ๑๒ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7)
ปรัชญาปารมิตาสูตร และ สัทธรรมปุณฑริกสูตร พระวินัยของนิกายนี้ได้สืบทอดไปเป็นพระวินัย
เน้นที่ความกรุณาและปรัชญา อันเป็นการปฏิบัติ
ของคณะสงฆ์ในทิเบต
ตามบารมี ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์
หรือการถวายภักติต่อพระองค์ ลัทธิมหายาน
เมตไตรย, พระ เมตฺเตยฺย (บาลี) หรือ ไมเตรย (สันสกฤต)
เชื่อว่า พระพุทธเจ้าประกอบด้วยตรีกาย
ได้แก่ พระอนาคตพุทธะ ปัจจุบันเป็นพระโพธิสัตว์
อันได้แก่ ธรรมกาย สมโภคกาย และนิรมาณกาย ประทับทำสมาธิบนสวรรค์ชั้นดุสิต คอยที่จะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นเพียงนิรมาณกาย เสด็จลงมาจุติ และเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
ลัทธิมหายานนั้นแบ่งออกเป็น ๒ นิกายหลัก คือ (ดู ศรีอริยเมตไตรย, ศรีอาริย์)
มาธยมิกะ ของท่านนาคารชุน และ โยคาจารย์
ของท่านวสุพันธุและท่านอสังคะ
เมาลี ผมจุก มวยผมบนกระหม่อม ไทยใช้เรียกแทน
อุษณีษะ (ดู อุษณีษะ)
มหาบุรุษลักษณะ มหาปุริสลักษณะ (บาลี) หมายถึงลักษณะของ
มหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ
แม่ธรณี, พระ สตรีซึ่งเป็นบุคคลาธิษฐานหรือสัญลักษณ์ของ
(อวัยวะส่วนปลีกย่อย) อีก ๘๐ ประการ
แผ่นดิน พระพุทธเจ้าทรงเรียกให้เป็นพยานว่า
ที่กล่าวถึงในคัมภีร์ของลัทธิมหายาน
พระองค์ได้ทรงสั่งสมพระบารมีเพียงพอที่จะ
ตรัสรู้ได้ในชาติภพนี้ แม่พระธรณีจึงบีบมวยผม
มหาสังฆิกะ, นิกาย นิกายในลัทธิศราวกยาน ซึ่งแยกตัวออกจาก
หลั่งน้ำที่พระพุทธองค์ทรงเคยหลั่งเมื่อบำเพ็ญ
นิกายสถวีรวาท โดยเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามิใช่เป็น
พระบารมีในชาติก่อนๆ น้ำดังกล่าวได้ท่วมทับ
เพียงผู้สถาปนาพุทธศาสนา แต่เป็นพุทธภาวะที่
พญามารและเหล่าไพร่พลอันเป็นบุคลาธิษฐาน
ดำรงอยู่ตลอดไป นิกายมหาสังฆิกะเป็นต้น
ของกิเลสให้หมดสิ้น (ดู บุคลาธิษฐาน)
ความคิดของลัทธิมหายาน
มังสา เนื้อ
มัชฌิมา นิ้วกลาง
มัญชุศรี, พระ พระมหาโพธิสัตว์ของลัทธิมหายาน ทรงเป็น
บุคลาธิษฐานของปรัชญา (ดู บุคลาธิษฐาน)
มัสสุ หนวด
มุขเด็จ
มุขเด็จ มุขโถงที่ยื่นออกมาจากด้านหน้าของปราสาท
สำหรับพระมหากษัตริย์เสด็จออกมหาสมาคม
ย่อมุมไม้สิบสอง
เรือนแก้ว
ภาคผนวก ๕๖๑
เรือนธาตุ ส่วนของอาคาร เช่น สถูป หรือ ปรางค์ ที่บรรจุ
ไรพระศก ไรผม ในการสร้างพระพุทธรูปบางแบบจะทำ
พระบรมสารีริกธาตุ
เป็นกรอบนูนเหนือพระนลาฏ
หมวด ล.
ลงยา การลงสีด้วยการใส่สารเคมีลงในบริเวณที่เป็น
ร่องระหว่างลวดลายในเครื่องเงิน แล้วใช้
ความร้อนอบให้นํ้ายาติดและให้พื้นเป็นสีต่างๆ
ลงยาราชาวดี การลงยาสีฟ้า (ดู ลงยา)
ลวดบัว, ลาย
เรือนธาตุ
ลายลวดบัว
ลัทธิ คติความเชื่อ หรือความคิดเห็นในศาสนาเดียวกัน
แต่มีความแตกต่างกัน เช่น ลัทธิศราวกยาน
ลัทธิมหายาน และลัทธิตันตระยาน เป็นต้น
ลูกแก้วอกไก่, ลาย
ลายลู
กแก้วอกไก่
เรือนธาตุ
วัชระ
ลายลูกฟัก
หมวด ว.
วิปัสสนากรรมฐาน การฝึกจิตหรือการทำสมาธิ ให้เกิดปัญญารู้แจ้ง
วงราชธานี การแบ่งเขตพื้นที่การปกครองของ
บ้างเรียกว่าการเจริญวิปัสสนา หรือวิปัสสนาธุระ
กรุงศรีอยุธยา เริ่มใช้ตั้งแต่สมัยสมเด็จ
พระนเรศวรจนกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ ๒
วิหาร อาคารที่ประชุมสงฆ์ มีพระพุทธรูปเป็นองค์
(พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ / ค.ศ. 1590 – 1767)
ประธาน แต่ต่างจากพระอุโบสถตรงที่
ประกอบด้วยหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี จัตวา
พระวิหารจะอาจใช้ประกอบสังฆกรรมอย่างเช่น
โดยมีศูนย์กลางอำนาจการปกครองคือ
การทำวัตรเช้าเย็น การเทศนาธรรม โดยวิหาร
กรุงศรีอยุธยา เรียกพื้นที่ศูนย์กลางนี้ว่า
จะไม่ใช้ประกอบสังฆกรรมสำคัญที่บัญญัติใน
เขตวงราชธานี เรียกการปกครองของ
พระวินัยให้กระทำในพระอุโบสถ เช่น
อาณาจักรอยุธยาในสมัยนี้ว่า ช่วงวงราชธานี
การอุปสมบท หรือการสวดปาติโมกข์ทุก
(ดูแผนที่ ๔. แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงวงราชธานี)
วันพระใหญ่ (ดู อุโบสถ)
ภาคผนวก ๕๖๓
หมวด ศ.
ศิราภรณ์ เครื่องประดับพระเศียร
ศิลา หิน
ศก ผม, เส้นผม
เศวตฉัตร ฉัตรสีขาว สัญลักษณ์ของพระราชา
ศราวกยาน, ลัทธิ “วิถีของผู้สดับฟัง” เป็นลัทธิที่ปัจจุบันใช้เรียกแทน
“หีนยาน” อันได้แก่กลุ่มที่มีการสืบทอด
เศียร หัว, ศีรษะ
คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยที่มีจุดมุ่งหมายจะบรรลุอรหันต์ และนิพพาน
ศร ธนู
ศรีอริยเมตไตรย, พระ พระนามที่นิกายเถรวาทเรียกพระอนาคต-
พุทธะ (ดู เมตไตรย, ศรีอาริย์)
หมวด ส.
ศรีอาริย์, พระ พระนามย่อที่นิกายเถรวาท เรียกพระอนาคต-
พุทธะศรีอริยเมตไตรย ในความเชื่อของ
สถวีรวาท, นิกาย นิกายดั้งเดิมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
พุทธศาสนิกชนไทยแต่เดิมมา เชื่อว่ายุคที่
สถาปนาขึ้น (ดู เถรวาท)
พระศรีอาริย์จะตรัสรู้และโปรดสัตว์โลก
หรือที่เรียกว่ายุคพระศรีอาริย์ จะเป็นยุคแห่ง
สนับเพลา กางเกงมีขนาดยาวประมาณครึ่งแข้ง
ความดี ความเจริญ และความสมบูรณ์พูนสุข
สบง ผ้านุ่งสำหรับพระภิกษุสามเณร (ดู ไตรจีวร)
ศอ คอ, ลำคอ
สมณโคดม, พระ พระนามที่นิกายเถรวาท
ศากยมุนี, พระ พระนามที่ลัทธิมหายานเรียกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรียกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าผู้สถาปนาพระพุทธศาสนา
ศาสนาสิงหล คำที่ตำนานต่างๆ เรียกนิกายเถรวาท
คณะมหาวิหาร ฝ่ายอรัญวาสี (ดู สีหฬภิกขุ)
สยาม คำนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในศิลาจารึกจามเมื่อ
ศิรจักร แสงสว่างรอบเศียรพระพุทธเจ้าหรือเทพเจ้า
ปี พ.ศ. ๑๕๙๓ (ค.ศ. 1050) และจารึกปราสาท
นครวัด กัมพูชา ช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่
๑๗ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12)
หมายถึง ผู้ที่มีผิวดำ สยามเป็นคำที่ชาวต่างชาติ
ใช้เรียกผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี
ศิรจักร
และพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน ซึ่งเป็น
ชาวขอม (ดู ขอม) หรือชาวมอญ หรือชาวมอญ –
เขมร ที่รับอารยธรรมเขมรจากกัมพูชา ต่อมา
ใช้เป็นชื่อเรียกรัฐไทยและชนชาติไทย
สยามนิกาย, คณะ นามที่ภิกษุลังกา เรียกคณะสงฆ์อยุธยา
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
(พ.ศ. ๒๒๗๖ – ๒๓๐๑ / ค.ศ. 1733 – 1758)
บ้างเรียกว่า นิกายสยามวงศ์
ภาคผนวก ๕๖๕
สุขาวดี, นิกาย เป็นนิกายหนึ่งในลัทธิมหายาน เกิดขึ้นใน
ห่มคลุม การนำจีวรมาห่มพันกายให้คลุมไหล่ทั้ง
ประเทศจีนเมื่อกลางพุทธศตวรรษที่ ๙
สองข้าง โดยจะม้วนชายจีวรเข้าหาตัว
(ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4) โดยเน้นที่การ
ซึ่งม้วนของชายจีวรเองนี้เรียกว่าลูกบวบ
ถวายภักดี ต่อพระอมิตาภพุทธะ ด้วยการบูชา และหากจะพาดสังฆาฏิ ให้พาดทับที่ไหล่ซ้าย
ทำสมาธิ และกล่าวพระนาม ซึ่งเมื่อเสียชีวิต
ใช้มือขวาแหวกชาย ลูกบวบออกมา
แล้วจะไปเกิดในสวรรค์สุขาวดี และหลุดพ้น
มักห่มคลุมเมื่อออกนอกบริเวณวัด
จากสังสารวัฏ
ห่มดอง หรือการห่มลดไหล่ หรือการห่มเฉวียงบ่า คือ
สุวรรณกระถอบ เครื่องประดับที่ห้อยอยู่ข้างหน้าผ้านุ่ง
การนำจีวรมาห่มพันกายให้คลุมไหล่ซ้าย
ต่อลงมาจากปั้นเหน่ง (หัวเข็มขัด)
และเปิดใหล่ขวา โดยจะม้วนชายจีวรเข้าหาตัว
(ดูภาพอธิบาย ๓. เครื่องทรงฯ)
อนึ่ง พระคณะธรรมยุติกนิกายจะหมุนลูกบวบ
ไปทางซ้ายออกนอกตัว ส่วนพระคณะ
สิงห์, ฐาน บ้างเรียก ฐานแข้งสิงห์ (ดู แข้งสิงห์)
มหานิกายจะหมุนลูกบวบไปทางขวา เข้าหาตัว
ในกรณีที่จะพาดสังฆาฏิ จะพาดที่ไหล่ข้างซ้าย
สีหฬภิกขุ นิกายที่สืบทอดมาจากนิกายเถรวาท
นอกจากนั้น พระคณะมหานิกายจะมีผ้ารัดอก
คณะมหาวิหาร ฝ่ายอรัญวาสี ของลังกา
หรือประคดอกคาดทับจีวรและสังฆาฏิด้วย
เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทย
ในครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๐
ห่มแหวก คือการห่มจีวรคลุมไหล่ทั้งสองข้าง แล้วแหวก
(ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 15)
ด้านหน้าให้มือออกมาเป็นการห่มจีวรแบบหนึ่ง
(ดู ศาสนาสีหล)
ในสมัยก่อน
เสี้ยม ลักษณะค่อนข้างแหลม
โสณี ตะโพก หรือสะโพก
โสต หู, ช่องหู
หมวด ห.
หัตถ์ มือ
หน้านาง จีบผ้านุ่งที่พับทบซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่ด้านหน้า
หนุ คาง
เหงา
ภาคผนวก ๕๖๗
อัตลักษณ์ ลักษณะความเป็นตัวตน หรือลักษณะเฉพาะ
อุณาโลม ขนที่งอกออกมาจากหว่างคิ้วเวียนไปทางขวา
ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้สิ่งนั้นเป็นที่รู้จักหรือ
มีสีขาวเหมือนเงินยวง อันเป็นลักษณะหนึ่ง
เป็นที่จดจำ อันจะระบุความเป็นมา ความหมาย ของมหาบุรุษลักษณะ
และสถานภาพแห่งความเป็นตนเองท่ามกลาง
ชุดความสัมพันธ์ทางสังคมต่างๆ อัตลักษณ์แปล
อุทกสาฎก ผ้าอาบน้ำ, ผ้าอาบน้ำฝน
มาจากภาษาอังกฤษที่ว่า identity อย่างไรก็ดี
คำแปลนี้จะมีความหมายแตกต่างไปจากคำแปล
อุทร ช่วงท้อง, หน้าท้อง, พุง
จากศัพท์เดียวกันที่ว่า เอกลักษณ์ อันเน้นไปที่
ลักษณะที่เป็นเอกภาพและเป็นหนึ่งเดียว
อุโบสถ สถานที่ซึ่งภายในบริเวณมีสีมา (เสมา)
แต่อัตลักษณ์มีนัยกว้างกว่า เพราะลักษณะแห่ง
ล้อม สำหรับพระสงฆ์ประชุมเพื่อทําสังฆกรรม
ความเป็นตัวตนอาจจะประกอบด้วยลักษณะ
สำคัญ เช่น สวดพระปาติโมกข์ อุปสมบท,
ย่อยๆ ที่แตกต่างและหลากหลาย เช่น
โดยพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่กลางอาคาร
อัตลักษณ์แห่งพุทธศิลป์ไทย หมายถึง ลักษณะ
บ้างเรียกว่า โบสถ์
แห่งความเป็นตัวตนของศิลปที่สร้างขึ้นในบริบท
ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซึ่งประกอบ
อุปัชฌาย์ พระผู้เป็นประธานในการอุปสมบท
ด้วยความหลากหลายทั้งความเชื่อลัทธินิกาย
ซึ่งถือเป็นพระอาจารย์ของภิกษุผู้บวชใหม่
พื้นที่แว่นแคว้น และเวลายุคสมัย
อุปัฏฐาก ผู้อุปถัมภ์พระภิกษุสามเณร
อาทิพุทธะ, พระ พระปฐมพุทธเจ้า, พระพุทธเจ้าพระองค์แรก,
พระพุทธเจ้าผู้ประทานกำเนิดแก่พระปาญจสุคต
อุษณีษะ กะโหลกส่วนที่นูนขึ้นออกมากลางศีรษะ
ของลัทธิตันตระยาน โดยพระอาทิพุทธะ
อันเป็นหนึ่งในมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ
ปรากฏขึ้นครั้งแรกในคัมภีร์ กาลจักรตันตระ
ของพระพุทธเจ้า (ดูภาพอธิบาย ๒. องค์
บ้างเรียก พระปฐมพุทธะ
ประกอบพระพุทธปฏิมา)
อานิสงส์ ผลบุญ ผลแห่งการประกอบกุศลกรรม
อุระ อก
อุณหิส กรอบหน้า, กระบังหน้า
อูรุ ต้นขา บริเวณโคนขาจนถึงหัวเข่า
อินทร์, พระ เทพเจ้า เทวดาในพุทธศาสนา, ท้าวสักกะ,
เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และ
อุณหิส
ชั้นจาตุมหาราช (ดู ดาวดึงส์)
โอคว่ำ, ทรง ลักษณะคล้ายขันคว่ำ
โอษฐ์ ปาก
พระเศียร (ศีรษะ)
พระศก, พระเกศ, พระเกศา (เส้นผม)
พระเมาลี (จุก หรือ มวยผม)
พระจุไร (ไรจุก)
ไรพระศก (ไรผม,ตีนผม)
พระจุฑามาศ (มวยผม)
พระนลาฏ (หน้าผาก)
อุณาโลม (ขนระหว่างคิ้ว)
พระเนตร (ดวงตา)
พระขนง (คิ้ว)
พระกรรณ (หู, ใบหู)
พระโอษฐ์ (ปาก)
- พระชิวหา (ลิ้น)
พระนาสิก (จมูก)
- พระทนต์ (ฟัน)
พระพักตร์ (ดวงหน้า)
พระอังสา (บ่า, ไหล่)
พระมัสสุ (หนวด)
พระหนุ (คาง)
พระพาหา (แขนท่อนบน)
พระอุระ (อก)
พระศอ (คอ)
พระปฤษฎางค์ (หลัง)
ยอดพระถัน (หัวนม)
พระอุทร (ท้อง)
พระนาภี (สะดือ)
พระกัจฉะ (รักแร้)
พระปรัศว์ (สีข้าง)
พระกร (แขนท่อนล่าง)
พระกัปประ (ข้อศอก)
บั้นพระองค์ (สะเอว)
พระหัตถ์ (มือ)
พระโสณี (สะโพก)
พระอูรุ (ต้นขา)
พระองคุลี (นิ้ว)
- พระอังคุฐ (นิ้วหัวแม่มือ)
พระเพลา (ขา, ตัก)
- พระดรรชนี (นิ้วชี้)
- พระมัชฌิมา (นิ้วกลาง)
พระคุยหฐาน
พระชานุ (เข่า)
- พระอนามิกา (นิ้วนาง)
- พระกนิษฐา (นิ้วก้อย)
(ของในที่ลับ)
- พระนขา (เล็บ)
พระชงฆ์ (แข้ง)
พระบาท (เท้า)
ส้นพระบาท (ส้นเท้า)
ฝ่าพระบาท (ฝ่าเท้า)
ภาพอธิบาย ๑
ราชาศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ภาคผนวก ๕๖๙
อุษณีษะ หรือ พระเมาลี
พระรัศมี หรือ พระเกตุมาลา
จีวร
ลูกบวบ
หน้านางของสบง
สบง
ฐาน
ภาพอธิบาย ๒
องค์ประกอบพระพุทธปฏิมา
ดอกไม้เพชร
กรรเจียรจร
กรองศอ
ตาบหน้า หรือ ทับทรวง
กนกเหน็บ
พระธำมรงค์สวมทุกพระองคุลี
พาหุรัด
(สวมแหวนทุกนิ้วพระหัตถ์)
(กำไลรัดต้นแขน)
กงจักร (เพชรรูปดอกจอก)
ทองพระกร
เฟื่องข้าง
ครองจีวรห่มเฉียง
สังฆาฏิ
ตาบทิศ
สังวาล
รัดพระองค์ (เข็มขัด)
ปั้นเหน่ง
(หัวเข็มขัด)
สำรด
สุวรรณกระถอบ
(ผ้าคาดเอว)
ชายไหว
ทองพระบาท
ฉลองพระบาทเชิงงอน
ภาพอธิบาย ๓
เครื่องทรงของพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์
ภาคผนวก ๕๗๑
ภาพอธิบาย ๔
พระพุทธรูปแบบเชียงแสน
พระพุทธรูปเชียงแสน เป็นชื่อของยุคสมัยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานให้กับพระพุทธรูป
ที่พบในมณฑลพายัพ ด้วยเหตุว่าพระพุทธรูปที่งามที่สุดนั้นพบที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ทรงจำแนกไว้
เป็นสองรุ่นคือ เชียงแสนชั้นแรก กับเชียงแสนชั้นหลัง อย่างไรก็ดี ในหนังสือเล่มนี้เรียกพระพุทธรูปเชียงแสนว่า
“พระพุทธรูปแบบล้านนา”
ภาคผนวก ๕๗๓
ภาคผนวก ค. รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย
(สุโขทัย - อยุธยา - ธนบุรี - รัตนโกสินทร์ - ล้านนา)
แผนที่ ๑
แผนที่ประเทศอินเดีย
ภาคผนวก ๕๗๗
แผนที่ ๓
แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงเมืองพระยามหานคร
ภาคผนวก ๕๗๙
แผนที่ ๕
แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงวงราชธานี
ศักราชสำคัญของประวัติพุทธศาสนาและพุทธศิลป
พ.ศ. ๑ ๑๐๐ ๒๐๐ ๓๐๐ ๔๐๐ ๕๐๐
๑ / 543 กอน ค.ศ. ๑๕๗ / 387 กอน ค.ศ. ๒๖๐ / 284 กอน ค.ศ. ๓๕๗ / 187 กอน ค.ศ.
นิกายสถวีรวาท นิกายมหาสังฆิกะ นิกายสรรวาสติวาส ภิกษุมหินทเถระ
แยกจากนิกายสถวีรวาท แยกจากนิกายสถวีรวาท นำพุทธศาสนาไปลังกา
ปรัชญาปารมิตาสูตร พระสูตรมหายาน
ฉบับดั้งเดิม สัทธรรมปุณฑริกสูตร
พุทธศิลป
ภาคผนวก ๕๘๑
ศักราชสำคัญของประวัติพุทธศาสนาและพุทธศิลป
พ.ศ. ๕๐๐ ๖๐๐ ๗๐๐ ๘๐๐ ๙๐๐
๕๖๘ - ๖๐๓ / 25 - 60
พุทธศาสนา
เผยแผไปยังจีน
๘๗๖ / 333
ลัทธิตันตระยาน
ลัทธิมหายาน /
๘๗๖ / 333
แบบคันธารราษฏร ๖๐๐ / 57 แบบมถุรา ๘๖๓ - ๑๐๙๓ พุทธศิลปในจีน
มหาสถูปที่อมราวดี 320 - 550
แบบอมรวาดี ประติมากรรม
พุทธศิลป
แบบคุปตะ
๑๑๘๕ / 642
๙๖๓ / 420 ๙๘๓ / 440
ลัทธิศราวกยาน
ลัทธิมหายาน
เผยแผถึงสุมาตรา
๙๒๘ / 385 ภิกษุวสุพันธุและ ๑๐๙๕ / 552
ลัทธิตันตระยาน
ลัทธิมหายาน /
ลัทธิตันตระยาน
แยกออกจากลัทธิมหายาน
๙๕๗ - ๑๐๖๓ ๑๐๐๐ - ๑๐๕๐
414 - 520 457 - 507
กลุมถ้ำยุน - กุง กลุมถ้ำมหายาน
ประเทศจีน ที่อชัญฏา ประเทศอินเดีย
พุทธศิลป
ภาคผนวก ๕๘๓
ศักราชสำคัญของประวัติพุทธศาสนาและพุทธศิลป
พ.ศ. ๑๒๐๐ ๑๓๐๐ ๑๔๐๐ ๑๕๐๐
คัมภีร
โยคะตันตระ
๑๔๑๘ - ๑๔๕๘
ลัทธิตันตระยาน
ลัทธิมหายาน
เปนศาสนาหลัก ภิกษุวัชรโพธิ ภิกษุปทมสัมภวะ ลัทธิตันตระยาน 875 - 915
ของศรีวิชัย นำลัทธิตันตระยาน นำลัทธิมหายาน รุงเรืองในกัมพูชา ลัทธิตันตระยาน
เผยแผในศรีวิชัย เผยแผในธิเบต รุงเรืองในจัมปา
คัมภีร ภิกษุอติสะ
กาลจักรตันตระ จาริกไปยังธิเบต
๑๗๒๐ - ๑๗๗๓
1177 - 1230
ศิลปะบายน
ในกัมพูชา
ภาคผนวก ๕๘๕
ศักราชสำคัญของประวัติพุทธศาสนาและพุทธศิลป
พ.ศ. ๑๘๐๐ ๑๙๐๐ ๒๐๐๐
๑๘๓๙ / 1296 ๑๘๗๔ / 1331 ๑๙๐๐ / 1357 ๑๙๑๒ / 1369 ๑๙๗๓ / 1430
คณะกัมโพชสงฆปกขะ คณะมหาวิหาร ฝายอรัญวาสี ลาว หันมานับถือ พระเจากือนาอาราธนา สถาปนาคณะสีหฬภิกขุ
ลัทธิศราวกยาน
๑๘๖๓ / 1320
ลัทธิตันตระยาน
ในกัมพูชาเสื่อม
๑๘๒๒ หรือ ๑๘๓๔ ๑๘๖๗ / 1324 ๑๙๐๒ / 1359 ๑๙๐๕ / 1362 ๑๙๑๓ / 1307 ๑๙๖๐ / 1417 ๑๙๗๐ / 1427
1279 หรือ 1291 สราง อัญเชิญ รูปมหาภิเนษกรม พระเจากือนา นายอินทรสรศักดิ์ เจาพระยาสารผาสุม
พระพุทธปฏิมา หลวงพอพนัญเชิง พระบางเจา พบที่วัดมหาธาตุ สรางพระยืน ๔ องค สรางวัดสรศักดิ์ สรางพระพุทธปฏิมาลีลา
นาคปรกจากไชยา อยุธยา ไปลาว สุโขทัย วัดพระยืน ลำพูน สุโขทัย ๕ องค ที่นาน
พุทธศิลป
ค.ศ. 1507
1457 1557
ประวัติศาสตร
๒๐๐๐ / 1457 ๒๐๑๙ / 1476 ๒๐๒๐ / 1477 ๒๐๒๕ / 1482 ๒๐๒๖ / 1483 ๒๐๔๘ / 1505 ๒๐๘๑ / 1538 ๒๐๙๑ / 1548
สมเด็จพระบรม- พระพุทธรูปของ พระเจาติโลกราช พระเจาติโลกราช พระเจาติโลกราช พญาแกวหลอ สมเด็จพระชัยราชา พระเจาไชยเชษฐา
ไตรโลกนาถหลอ พญายุธิษฐิระ สรางวัดมหาโพธาราม อัญเชิญพระพุทธ- สรางพระพุทธรูป พระเจาเกาตื้อ สรางพระ อัญเชิญพระพุทธ-
รูปพระโพธิสัตว เชียงใหม มหามณีรัตนปฏิมากร แบบลวปุระ วัดสวนดอก เชียงใหม มงคลบพิตร มหามณีรัตนปฏิมากร
๕๐๐ ชาติ ไปประดิษฐานที่ ไปลานชาง
พุทธศิลป
วัดเจดียหลวง เชียงใหม
ภาคผนวก ๕๘๗
ศักราชสำคัญของประวัติพุทธศาสนาและพุทธศิลป
พ.ศ. ๒๑๐๐ ๒๑๕๐ ๒๒๐๐ ๒๓๐๐
1607
ค.ศ. 1557 1657 1757
๒๑๑๘ - ๒๑๗๗
1575 - 1634
ภิกษุตารนาถ
๒๑๐๕ / 1562 ๒๑๐๘ / 1565 ๒๑๓๘ / 1592 ๒๑๗๔ / 1631 ๒๒๗๐ / 1727
พระเจาองคตื้อ แมทัพพมา หลอ หลอพระโลกนาถ สรางพระศรีสรรเพชญ ชะลอพระพุทธไสยาสน
ทาบอ หนองคาย พระพุทธรูปเมืองรายเจา ที่วัดพระศรีสรรเพชญ อยุธยา วัดปาโมก อางทอง
ที่เชียงใหม
พุทธศิลป
๒๓๗๓ / 1830
สถาปนาคณะ
ธรรมยุติกนิกาย
ลัทธิศราวกยาน
ลัทธิตันตระยาน
ลัทธิมหายาน /
๒๓๑๓ / 1770 ๒๓๒๒ / 1779 ๒๓๒๕ / 1782 ๒๓๖๕ / 1822 ๒๓๖๗ / 1824 ๒๓๗๓ / 1830 ๒๓๗๕ / 1832 ๒๓๙๑ / 1848 ๒๓๙๔ / 1851
หลวงพอโสธร เจาพระยา สรางพระชัยวัฒน อัญเชิญพระ เริ่มสราง สรางพระ สรางพระ สรางพระพุทธ- เริ่มสราง
ลอยตามน้ำมา มหากษัตริยศึก ประจำรัชกาล พุทธบุษยรัตนฯ พระพุทธรูปประจำ สัมพุทธพรรณี พุทธไสยาสน ยอดฟาจุฬาโลก พระพุทธรูป
อัญเชิญพระ สรางพระ จากจำปาศักดิ์ พระชนมพรรษา วัดพระเชตุพนฯ และพระพุทธ- ประจำรัชกาล
พุทธมหามณี- พุทธจักรพรรดิ์ มากรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เลิศหลานภาลัย
รัตนปฏิมากร
พุทธศิลป
มายังกรุงธนบุรี
ภาคผนวก ๕๘๙
ศักราชสำคัญของประวัติพุทธศาสนาและพุทธศิลป
พ.ศ. ๒๔๐๐ ๒๔๕๐ ๒๕๐๐
1907
ค.ศ. 1857 1957
๒๔๑๑ - ๒๔๕๓ ๒๔๔๐ / 1897 ๒๔๕๐ / 1907 ๒๔๖๘ - ๒๔๗๗ ๒๔๗๗ - ๒๔๘๙
1868 - 1910 เสด็จประพาส เสด็จประพาส 1925 - 1935 1935 - 1946
รัชกาลพระบาทสมเด็จ ยุโรปครั้งที่ ๑ ยุโรป ครั้งที่ ๒ รัชกาลพระบาทสมเด็จ รัชกาลพระบาทสมเด็จ
ประวัติศาสตร
๒๔๔๕ / 1902
ลัทธิศราวกยาน
๒๔๙๙ / 1956
พระราชบัญญัติ พระบาทสมเด็จ
ลักษณะปกครองคณะสงฆ พระเจาอยูหัว
ทรงผนวช
ลัทธิตันตระยาน
ลัทธิมหายาน /
๒๔๑๑ / 1868 ๒๔๑๕ / 1872 ๒๔๔๔ / 1901 ๒๔๕๒ / 1909 ๒๔๕๗ / 1914 ๒๔๖๔ / 1921 ๒๔๖๗ / 1924 ๒๔๙๙ / 1956
สราง สราง หลอพระพุทธ- ทอรนาเรลลี ฟาแบรเช สลัก พระเทพรจนา (สิน) พระเทพรจนา (สิน) พระพุทธรูปประจำ
พระนิรันตราย พระบรมรูป ชินราชจำลอง ปนพระพุทธรูป พระแกวมรกตนอย ปนหลอ ปนหลอ รัชกาลพระบาทสมเด็จ
เรือนแกว ๔ รัชกาล วัดเบญจมบพิตร ปางถวายเนตร พระพุทธไสยาสน พระนิรโรคันตราย พระปรเมนทรมหา-
โรงเรียนวัดราชาธิวาส อานันทมหิดล
พุทธศิลป
๒๕๐๐ / 1957
ฉลอง ๒๕๐๐ ป
ของพุทธศาสนา
ลัทธิตันตระยาน
ลัทธิมหายาน /
๒๕๐๐ / 1957 ๒๕๐๘ / 1965 ๒๕๐๙ / 1966 ๒๕๑๐ / 1967 ๒๕๑๑ / 1968 ๒๕๒๐ / 1977 ๒๕๓๐ / 1987 ๒๕๓๔ / 1991 ๒๕๓๘ / 1995 ๒๕๔๒ / 1999
พระประธาน พระพุทธรูป พระพุทธ- หลอพระพุทธ- พระนิรโรคันตราย พระพุทธรูป พระพุทธรูป พระพุทธ- พระพุทธ- พระพุทธรูป
พุทธมณฑล ปางประทานพร นวราชบพิตร ธรรมิศรชมพู- ชัยวัฒนจตุรทิศ ปางลีลา ปางสมาธิ สุริโยทัย- นิรโรคันตราย ปางหามสมุทร
ของศิลป พีระศรี ภ.ป.ร. ทีปนิวัติสุโขทัย เฉลิมพระชนม- มหามงคล สิริกิติ- มหามงคล
วัดไทยพุทธคยา พรรษาครบ เฉลิมพระชนม- ฑีฆายุมงคล เฉลิมพระชนม-
๕๐ พรรษา พรรษา ๕ รอบ พรรษา ๖ รอบ
พุทธศิลป
ภาคผนวก ๕๙๑
ดรรชนี
ดรรชนี
๕๙๓
ประดิษฐ์ธรรมคุณ, วัด จังหวัดหนองคาย พ
พระธาตุหริภุญไชย, วัด จังหวัดลำพูน ๒๔๐,
๒๔๙
๓๔๔, ๓๔๖, ๔๔๙, ๔๖๖
ประดู่, วัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๑๘๒
พญาภู, วัด จังหวัดน่าน ๔๖๒
พระเนตร, วัด จังหวัดน่าน ๒๖๐
ประติมากรรมต้นแบบ, หอ กรุงเทพมหานคร พนมศิลาราม, วัด จังหวัดสุรินทร์ ๓๑๓
พระบรมธาตุ, วัด จังหวัดนครศรีธรรมราช
๔๘๐
พนัญเชิง, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔, ๒๒๒, ๔๓๔
ประเสริฐ, วัด จังหวัดราชบุรี ๓๐๓
๒๐๘-๑๐
พระบรมธาตุไชยา, วัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ปราสาท, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๒๔๔
พระแก้ว, วัด จังหวัดชัยนาท ๔๔๖-๘
๔๑๐
ปรินายก, วัด กรุงเทพมหานคร ๒๓๔-๕, ๔๖๐
พระแก้ว, วัด จังหวัดเชียงราย ๑๘๐
พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร -พระที่นั่ง
ป่าแดง, วัด เชียงตุง ๑๖๐
พระแก้ว, หอ เวียงจันท์ ลาว ๒๕๑, ๓๗๘
จักรพรรดิพิมาน ๕๐๔-๖; -พระที่นั่ง
ป่าแดง, วัด เชียงใหม่ ๑๖๕-๖, ๓๑๕, ๓๑๘, พระเจ้าทองทิพย์, วัด จังหวัดเชียงราย ๖
จักรีมหาปราสาท ๑๐๓; -พระที่นั่ง
๕๒๒
พระเจ้าเม็งราย, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๒๓๘-๙, ดุสิตมหาปราสาท ๘๐, ๑๐๓; -พระ
ป่าแดง, วัด ศรีสัชนาลัย ๑๕๗-๘
๓๑๖, ๓๗๗, ๔๖๔-๕
ที่นั่งไพศาลทักษิณ ๗๑; -พระที่นั่ง
ป่าแดงหลวงดอนชัยบุนนาค, วัด จังหวัดพะเยา พระเจ้าล้านทอง, วัด จังหวัดเชียงราย ๒๓๖-๗, ราชกรัณยสภา ๑๑๙, ๓๕๒; -พระ
๓๔๙
๒๔๔, ๕๒๒
ที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท ๑๐๓; -
ป่ามะม่วง, วัด สุโขทัย ๑๕๗-๘
พระเจ้าสะเลียมหวาน, วัด จังหวัดลำพูน ๔๓๗
พระที่นั่งสุทไธศวรรย์ ๑๐๓; -พระ
ป่าโมก, วัด จังหวัดอ่างทอง ๓๘, ๔๑๐, ๔๑๖, พระเชตุพนวิมลมังคลาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ๘๐, ๘๗; -หอ
๔๔๓, ๔๔๖, ๔๗๔, ๔๘๕, ๔๙๐, ๕๑๐
๔๘, ๑๘๖-๗, ๑๘๙, ๒๐๕, ๒๑๓, ๒๓๑, พระธาตุมณเฑียร ๗๒; -หอพระ
ป่าเลไลยก์, วัด จังหวัดสุพรรณบุรี ๓๖๘
๒๓๔, ๒๖๔, ๓๐๙, ๓๑๖, ๓๒๖, ๓๗๑, บรมอัฐิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ป่าสักหลวง, วัด เวียงจันท์ ลาว ๔๒๔
๓๘๙, ๔๑๑, ๔๑๓, ๔๑๖, ๔๒๕, ๔๒๘, ๘๒-๕, ๑๐๙, ๓๕๕, ๔๑๔, ๔๔๓, ๔๕๓;
ปากน้ำ, วัด กรุงเทพมหานคร ๑๙๖
๔๓๘, ๔๕๔, ๔๙๒; ดู โพธาราม -หอพระสุลาลัยพิมาน ๔๔, ๖๗-๙,
กรุงเทพมหานคร
๗๑, ๗๓-๕, ๘๑-๒, ๘๖, ๙๐-๑, ๙๕,
พระทอง, วัด จังหวัดภูเก็ต ๗
๙๗, ๙๙, ๑๑๑-๔, ๑๑๖-๗, ๑๑๙, ๑๒๘,
ผ
พระธาตุช้างค้ำ, วัด จังหวัดน่าน ๒๔๔, ๓๑๘-๙, ๑๗๕, ๑๙๑, ๓๕๓, ๓๖๒, ๓๗๓, ๔๕๑-๒,
๓๗๔, ๓๗๗, ๓๘๐, ๔๑๘, ๔๖๒
๔๕๕ ๔๙๓, ๕๒๓; -หอศาสตราคม
ผดุงสุข, วัด จังหวัดหนองคาย ๒๔๖
พระธาตุดอยคำ, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๓๓๘-๙
๑๐๘-๙, ๔๐๖, ๕๒๗
ไผ่โรงวัว, วัด จังหวัดสุพรรณบุรี ๒๘๑
พระธาตุดอยสะเก็ด, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๓๖๐
พระปฐมเจดีย์, วัด จังหวัดนครปฐม ๔๘, ๓๗๓,
พระธาตุดอยสุเทพ, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๑๘๐
๓๙๘, ๔๙๘
พระธาตุบ้านสำราญ, วัด ๕
พระพายหลวง, วัด จังหวัดสุโขทัย ๔๘๖-๗
พระธาตุลำปางหลวง, วัด จังหวัดลำปาง ๒๔๕
พระพุทธ, วัด จังหวัดตรัง ๓๘๑
พระธาตุศรีจอมทอง, วัด จังหวัดเชียงใหม่ พระพุทธ, วัด จังหวัดนราธิวาส ๑๓๓
๑๙๘
๕๙๔
ดรรชนี
พระพุทธศรีสงขลานครินทร์, วิหาร จังหวัดสงขลา พระศรีรัตนศาสดาราม, วัด กรุงเทพมหานคร พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร ๘-๙; ดู
๑๒๓
๔๘, ๕๒-๔, ๑๐๔, ๑๐๖, ๑๒๖, ๑๗๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระพุทธสิหิงค์, หอ จังหวัดชลบุรี ๑๗๘
๔๑๙, ๔๓๔, ๕๐๘; -ปราสาทพระเทพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร จังหวัด
พระพุทธสิหิงค์, หอ จังหวัดนครศรีธรรมราช บิดร ๑๐๒-๓, ๔๓๖; -พระวิหารยอด กำแพงเพชร ๒๑๔, ๔๑๙
๓๒๙
๔๑๓, ๔๑๙, ๔๒๒, ๔๓๘; -พระอุโบสถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น จังหวัด
พระพุทธไสยาสน์, วัด จังหวัดเพชรบุรี ๓๐๒, ๕๐-๑, ๕๕-๖, ๗๙, ๙๑, ๙๔, ๙๖, ๙๙, ขอนแก่น ๒๐๑
๔๙๐
๑๐๖-๗, ๑๐๙, ๑๒๓, ๑๒๕, ๑๒๘-๙, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จังหวัด
พระมงคลมิ่งเมือง, พุทธอุทยาน จังหวัดอำนาจเจริญ ๑๘๐, ๑๙๓, ๒๔๒-๓, ๓๔๑, ๔๒๐, พระนครศรีอยุธยา ๑๕๐, ๓๒๘,
๒๘๓
๔๕๑; -หอพระคันธารราษฎร์ ๘๘-๙, ๔๐๕, ๔๓๘
พระเมรุ, วัด จังหวัดนครปฐม ๑๔๔, ๑๕๒, ๓๐๘, ๔๕๗; -หอพระนาก ๔๑๙; พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัด
๓๖๕, ๓๗๓
-หอพระมณเฑียรธรรม ๗๙, ๑๒๕, พระนครศรีอยุธยา ๑๔๗, ๑๕๕,
พระยืน, วัด จังหวัดลำพูน ๑๖๕, ๓๗๕-๖, ๕๒๒
๔๓๖; -หอพระราชกรมานุสร ๕๗, ๑๗๔, ๑๗๗, ๒๑๑-๒, ๒๕๖, ๒๘๓,
พระยืนพุทธบาทยุคล, วัด จังหวัดอุตรดิตถ์ ๖
๕๐๔; -หอพระราชพงศานุสร ๕๗, ๓๘๔, ๓๘๘, ๔๑๕-๖, ๔๑๘, ๔๗๐
พระราชวังดุสิต -พระที่นั่งวิมานเมฆ ๑๐๓; - ๕๐๔
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน จังหวัดเชียงราย
พระที่นั่งอัมพรสถาน ๑๑๑, ๑๑๙, พระศรีสรรเพชญ์, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔๓๗
๑๔๗, ๑๗๕, ๑๗๙, ๑๘๓, ๑๙๘, ๒๔๒, ๑๗๔, ๑๘๖, ๒๐๕, ๒๑๔, ๒๕๖, ๒๕๘, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
๒๕๔, ๓๒๒-๓, ๓๓๒-๔, ๓๔๓, ๓๗๐, ๓๐๔, ๓๓๑, ๓๙๒-๓, ๓๙๕, ๔๐๓, ๔๑๓, ๒๓๘-๙, ๓๒๑-๒, ๓๔๖, ๔๐๐, ๔๒๘
๓๗๖-๗, ๓๘๕, ๔๓๐, ๔๕๓, ๔๖๔, ๔๑๙, ๔๙๑
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชนาทมุนี จังหวัดชัยนาท
๔๗๐, ๔๗๒, ๔๗๘, ๕๒๓
พระสิงห์, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๑๖๔-๕, ๓๑๔, ๓๓๑
พระราม ๙ กาญจนาภิเษก, วัด กรุงเทพมหานคร ๓๒๑-๓, ๓๓๔
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๔๙
พระสี่อิริยาบถ, วัด จังหวัดกำแพงเพชร ๕๐๑
๒๐๔, ๔๑๐
พระรูป, วัด จังหวัดสุพรรณบุรี ๔๔๖-๗, ๔๖๖
พระเหลาเทพนิมิตร, วัด จังหวัดอำนาจเจริญ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
พระศรีมหาธาตุ, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๗๘
๑๙๙, ๒๕๒, ๓๗๘, ๔๒๗
จังหวัดนครศรีธรรมราช ๔๔๐, ๔๙๑
พระศรีรัตนมหาธาตุ, วัด จังหวัดพิษณุโลก พระใหญ่, วัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒๘๕
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน จังหวัดน่าน ๑๘๑,
๒๑๙, ๒๒๑-๓, ๒๓๑, ๒๖๔, ๒๖๖, พลับพลาชัยชนะสงคราม, วัด จังหวัดสมุทรปราการ ๒๕๖, ๒๖๒, ๒๙๗-๘, ๓๘๐, ๔๐๗
๓๙๕
๑๘๔, ๒๖๕; ดู บางพลีใหญ่ใน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระศรีรัตนมหาธาตุ, วัด จังหวัดลพบุรี ๒๑๒
พิกุลทอง, วัด จังหวัดสิงห์บุรี ๓๑๑, ๓๑๓, ๕๑๒
กรุงเทพมหานคร ๑๘-๙, ๔๓, ๑๓๘,
พระศรีรัตนมหาธาตุ, วัด จังหวัดสุโขทัย ๑๕๗, พิชยญาติการาม, วัด กรุงเทพมหานคร ๒๖๘
๑๔๑, ๑๔๔, ๑๔๖, ๑๔๘-๙, ๑๕๒,
๔๗๕
๑๗๔-๘, ๑๘๒, ๒๓๓, ๒๔๐, ๒๕๕,
พระศรีรัตนมหาธาตุ, วัด จังหวัดสุพรรณบุรี ๒๕๘, ๒๕๙-๖๐, ๒๖๖, ๒๘๖, ๒๙๒,
๔๗๔
ดรรชนี
๕๙๕
๒๙๔, ๒๙๙, ๓๐๓, ๓๔๙, ๓๕๓, ๓๗๓, พิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูน ภ
๓๘๒, ๓๘๕, ๓๘๘, ๔๐๓, ๔๐๘, ๔๓๑, ๒๑๗
๔๓๓, ๔๓๕, ๔๕๕-๖, ๔๖๖, ๔๗๔, ๔๘๖, พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร ภักดีประกาศ, พระมหาธาตุเจดีย์ จังหวัด
๕๐๔-๖, ๕๒๓; -พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ๕๔
ประจวบคีรีขันธ์ ๓๕๔, ๔๙๗
๔๓, ๑๐๖, ๑๗๖-๘, ๕๐๔, ๕๒๓; ดู พิพิธภัณฑ์วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ภูคกงิ้ว จังหวัดเลย ๔๘๒-๓
พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร
๔๙๖
ภูมินทร์, วัด จังหวัดน่าน ๒๔๕
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ จังหวัด พิพิธภัณฑ์ Archaeological Museum Sarnath
นครราชสีมา ๑๔๖, ๒๘๗, ๓๖๗, ๑๘, ๒๒, ๓๕
๔๒๖
พิพิธภัณฑ์ British Museum ๒๙๗
ม
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย พิพิธภัณฑ์ Government Museum, Chennai
๒๐๕, ๒๖๑, ๓๓๐, ๓๘๗, ๔๖๐, ๔๗๐-๑, ๑๔๒
มกุฏกษัตริยาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๘,
๔๗๓, ๔๘๖
พิพิธภัณฑ์ Indian Museum, Kolkata ๑๙
๑๐๙, ๑๙๒, ๕๒๗
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดมัชฌิมาวาส จังหวัด พิพิธภัณฑ์ Kimbell Art Museum, Texas ๒๙๕
มงคลบพิตร, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สงขลา ๒๕๗
พิพิธภัณฑ์ Metropolitan Museum of Art, New York ๒๐๔, ๒๐๘, ๒๕๘-๙, ๓๒๘, ๓๙๐,
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา จังหวัดสงขลา ๑๙
๔๐๓, ๔๑๘-๙, ๔๓๐
๓๙๗
พิพิธภัณฑ์ Nagarajunakonda Museum มโนรม, วัด หลวงพระบาง ๑๖๘
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ Andhrapradesh ๑๔๓
ม่วง, วัด จังหวัดอ่างทอง ๒๘๑, ๒๘๓
จังหวัดลพบุรี ๓๒๘-๙, ๓๘๔, ๓๘๗, พิพิธภัณฑ์ National Museum, Yangon ๑๔๖
มหรรณพาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๒๓๔-๕
๔๘๘-๙
พิพิธภัณฑ์ Patna Museum, Patna ๑๔๙, ๓๔๓
มหาธาตุ, วัด จังหวัดชัยนาท ๒๑๓, ๓๘๙, ๔๔๖-๗
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จังหวัด พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ๔, ๔๘๐-๒
มหาธาตุ, วัด จังหวัดนครศรีธรรมราช ๔๐๗
สุโขทัย ๒๑๔, ๓๐๒, ๓๘๗, ๓๙๐, พุทธาธิวาส, วัด จังหวัดยะลา ๑๙๖
มหาธาตุ, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒๑๑-๒,
๔๓๑, ๔๗๐-๑, ๔๗๓
พุทไธสวรรย์, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๓๘๘
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน ๓๗๐
มหาธาตุ, วัด จังหวัดเพชรบูรณ์ ๑๘๑, ๔๒๘
๑๙๘, ๒๓๖
พูสี, พระธาตุ หลวงพระบาง ลาว ๑๗๐
มหาธาตุ, วัด จังหวัดลพบุรี ๓๘๙, ๔๔๖
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เพชรสมุทร, วัด จังหวัดสมุทรสงคราม ๑๘๔, มหาธาตุ, วัด จังหวัดสุโขทัย ๒๑๔, ๒๒๒,
๒๙๑
๔๓๘-๙; ดู บ้านแหลม
๒๒๘, ๒๗๑, ๓๗๙, ๓๘๗
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี จังหวัด โพธาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๑๘๗, ๓๗๑, ; มหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์, วัด กรุงเทพมหานคร
อุบลราชธานี ๑๙๙, ๓๗๘, ๔๒๗
ดู พระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๒๗๐, ๔๕๘, ๔๗๖-๗
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัด โพธาราม, วัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๔๓๓
มหาโพธาราม, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๑๖๖,
สุพรรณบุรี ๓๓๑
โพธิ์ชัย, วัด จังหวัดหนองคาย ๒๔๘-๙
๒๑๗; ดู เจ็ดยอด
โพธิ์ประทับช้าง, วัด จังหวัดพิจิตร ๒๑๙
๕๙๖
ดรรชนี
มหาวนาราม, วัด จังหวัดอุบลราชธานี ๒๕๓
ราชาธิวาสวิหาร, วัด กรุงเทพมหานคร ๖๗, ศ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๑๗๘
๑๘๗, ๑๙๑, ๑๙๓, ๑๙๕, ๓๓๗, ๕๒๖;
มเหยงค์, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๕๐๑
ดู สมอราย
ศรีเกิด, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๒๑๗
มูลนิธิ James H.W. Thompson ๒๘๘
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ๑๓๒, ๓๑๐
ศรีคุณเมือง, วัด จังหวัดเลย ๒๐๑
เมธังกราวาส, วัด จังหวัดแพร่ ๒๕๑
โรงพยาบาลศิริราช ๑๑, ๑๓๑, ๓๑๐
ศรีโคมคำ, วัด จังหวัดพะเยา ๒๓๖, ๒๔๒-๓,
โรงเรียนวัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร ๔๘๕, ๕๒๒
๔๙๕-๖
ศรีชมภูองค์ตื้อ, วัด จังหวัดหนองคาย ๑๙๙,
ร
ไร่ขิง, วัด จังหวัดนครปฐม ๒๖๖
๒๔๖-๗
ศรีชุม, วัด จังหวัดสุโขทัย ๒๒๘-๙, ๒๘๘, ๔๔๖,
รอ, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑๔๔
๔๔๙-๕๐, ๔๗๕
ระฆังโฆสิตาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๑๙๔, ล
ศรีเทพประดิษฐาราม, วัด จังหวัดนครพนม
๔๔๑
๑๙๙-๒๐๐
ราชธานี, วัด จังหวัดสุโขทัย ๓๘๙
ล้านนาญาณสังวราราม, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ศรีบุญเรือง, วัด จังหวัดขอนแก่น ๒๘๔
ราชนัดดาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๘, ๒๗๔-๕
๓๓๘
ศรีสองรัก, พระธาตุ จังหวัดเลย ๑๖๙
ราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ลีเชียงพระ, วัด เชียงใหม่ ๑๖๔; ดู พระสิงห์
ศรีสุริโยทัย, พระเจดีย์ จังหวัดพระนครศรี
๔๙, ๑๐๙, ๑๓๑, ๑๙๒, ๓๑๐, ๔๐๙, โลกยสุธา, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔๘๘
อยุธยา ๑๒๓, ๔๐๙
๕๒๗
ไลย์, วัด จังหวัดลพบุรี ๑๘๔, ๒๙๐-๑
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดลำปาง ๑๒๐-๑
ราชบุรณะ, วัด กรุงเทพมหานคร ๒๓๐-๑, ๔๖๘
ศาลากลางจังหวัด จังหวัดพัทลุง ๑๒๐-๑
ราชบูรณะ, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ศาลาแดง, วัด จังหวัดสระบุรี ๑๒๐-๑
-กรุปรางค์ ๑๓๘, ๑๔๘, ๑๕๕, ๑๗๔, ว
ศาลาทอง, วัด จังหวัดนครราชสีมา ๓๗๒
๑๗๗, ๑๙๘, ๒๕๖, ๒๕๙, ๓๘๓-๔,
ศาลาปูน, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒๖๖
๓๘๘, ๔๑๖, ๔๗๐
วัง, วัด จังหวัดพัทลุง ๔๓๔
ราชบูรณะ, วัด จังหวัดพิษณุโลก ๒๒๓
วิชุลราช, วัด หลวงพระบาง ๑๖๘, ๓๘๐, ๔๒๔
ราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม, วัด วิเศษการ, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๓๕
ส
กรุงเทพมหานคร ๔๘, ๑๒๖, ๑๗๗, วิหารทอง, วัด จังหวัดพิษณุโลก ๓๙๕
๒๒๔
เวียง, วัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒๙๒
สมอราย, วัด ๑๐๖, ๑๘๗, ๑๙๑-๓, ๕๒๖; ดู
ราชสิทธาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๘,
ราชาธิวาสวิหาร
๒๗๓
สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์
ราชโอรสาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๘, กรุงเทพมหานคร ๒๗๗, ๓๐๓
๑๙๐, ๒๘๙
สรศักดิ์, วัด จังหวัดสุโขทัย ๔๖๐
ดรรชนี
๕๙๗
สระเกศ, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๘, ๑๘๙, เสาธงทอง, วัด จังหวัดลพบุรี ๔๐๗
อ
๓๙๕, ๔๔๓
โสธรวราราม, วัด จังหวัดฉะเชิงเทรา ๑๘๔,
สระบัว, วัด จังหวัดเพชรบุรี ๑๘๗
๔๓๘
อนงคาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๒๐๖
สระศรี, วัด จังหวัดสุโขทัย ๓๓๐
โสมนัสวิหาร, วัด กรุงเทพมหานคร ๑๐๙, อมรินทราราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๔
สวนดอก, วัด จังหวัดเชียงใหม่ ๑๖๕-๖, ๒๓๖, ๑๙๑-๒, ๒๗๘, ๕๒๗
อรุณราชวราราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๘,
๒๔๐-๑, ๕๒๒; ดู บุปผาราม เชียงใหม่
๙๙, ๑๐๑, ๒๗๓, ๓๒๕
สวนตาล, วัด จังหวัดน่าน ๒๓๖-๗, ๕๒๒
อัปสรสวรรค์, วัด กรุงเทพมหานคร ๒๗๕
สวรรคาราม, วัด จังหวัดสุโขทัย ๓๘๗
ห
อินทรวิหาร, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๔๑
สะดือเมือง, วัด เชียงใหม่ ๑๖๗
อุโมงค์มหาเถรจันทร์, วัด จังหวัดเชียงใหม่
สะตือ, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔๔๑
หงส์รัตนาราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๒๓๔, ๒๓๘-๙, ๕๒๒
สัตตนารถปริวัตร, วัด จังหวัดราชบุรี ๒๒๖
๒๕๐
โอกาส, วัด จังหวัดนครพนม ๕
สามเหลี่ยมทองคำ จังหวัดเชียงราย ๓๓๙
หนองบัว, วัด จังหวัดน่าน ๒๔๕
สีโคตบูน, พระธาตุ ท่าแขก ลาว ๑๖๙
หนัง, วัด กรุงเทพมหานคร ๒๓๔
สีบุนเฮือง, ศรีบุญเรือง, วัด จังหวัดหนองคาย หน้าพระเมรุราชิการาม, วัด จังหวัดพระนครศรี
๑๗๐
อยุธยา ๑๕๐, ๓๐๐, ๓๐๒, ๓๖๕,
สีสะเกด, วัด เวียงจันท์ ลาว ๑๗๐
๓๗๓
สุทธจินดา, วัด จังหวัดนครราชสีมา ๒๗๙, หน้าพระลาน, วัด จังหวัดนครศรีธรรมราช
๒๘๗, ๓๖๗
๔๓๓
สุทัศนเทพวราราม, วัด กรุงเทพมหานคร ๔๘, หมากโม, พระธาตุ หลวงพระบาง ลาว ๑๖๘
๑๒๙, ๒๓๑, ๒๗๑, ๒๗๔, ๒๗๕, หลวง, พระธาตุ เวียงจันท์ ลาว ๑๖๙
๒๗๗, ๓๒๓, ๓๓๗, ๓๔๑, ๓๖๖, ๔๖๘, หัวเวียง, วัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒๗๙, ๔๐๘
๔๙๒-๓
ใหญ่สุวรรณาราม, วัด จังหวัดเพชรบุรี ๒๖๒-๓
สุนทราวาส, วัด จังหวัดพัทลุง ๓๙๗, ๔๒๐, ใหม่ประชุมพล, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๔๔๐
๓๙๒-๓, ๓๙๕
สุวรรณคูหา, วัด จังหวัดพังงา ๔๙๕
สุวรรณดาราราม, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๕๑๐
สุวันนะพุมมาราม, วัด หลวงพระบาง ลาว
๑๗๐, ๔๒๕
เสนาสนาราม, วัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๒๖๘
๕๙๘
ดรรชนี
บันทึก
ดรรชนี
๕๙๙
บันทึก
๖๐๐
ดรรชนี
บันทึก
ดรรชนี
๖๐๑
บันทึก
๖๐๒ ดรรชนี