Professional Documents
Culture Documents
BF Article-Tippawan-63 PDF
BF Article-Tippawan-63 PDF
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา ต่อประสิทธิภาพการให้นมมารดา
และอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาเป็นเวลา 6 เดือน ในมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก
ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ1 นิธิมา คันธะชุมภู2 ศิวรรณ วิเลิศ3 อรพิน กาลสังข์3
1
สาขาวิชาการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
สาขาวิชาการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
3
หอผู้ป่วยสูติกรรมสามัญ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
Received: November 19, 2019
Revised: March 4, 2020
Accepted: May 26, 2020
บทคัดย่อ
การวิ จั ย กึ่ ง ทดลองนี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ ศึ ก ษาผลของโปรแกรมส่ ง เสริ ม การเลี้ ย งลู ก ด้ ว ยนมมารดา
ต่ อ ประสิ ท ธิ ภ าพการให้ น มมารดาและอั ต ราการเลี้ ย งลู ก ด้ ว ยนมมารดา 6 เดื อ นหลั ง คลอด ในมารดา
หลังคลอดบุตรคนแรก ระหว่างเดือนมีนาคม 2561 ถึงกุมภาพันธ์ 2562 สุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองหรือ
กลุ่มควบคุม กลุ่มละ 84 ราย กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ โดยการให้ค�ำแนะน�ำแบบกลุ่มด้วยการ
ดูวีดิทัศน์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา และสาธิตวิธีการอุ้มลูกเข้าเต้าจากพยาบาล กลุ่มทดลอง
ได้รับการพยาบาลตามปกติร่วมกับโปรแกรมฯ โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาผ่านสื่อการสอน
ใน iPad และเอกสารคู่มือการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา พร้อมทั้งฝึกทักษะการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา ด้วยการ
สอนแบบตัวต่อตัว (Coaching) เครื่องมือวิจัยคือ โปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา เก็บข้อมูลด้วย
แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกประสิทธิภาพการให้นมมารดา และแบบบันทึกการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา
เก็บข้อมูลความรู้ด้วยแบบทดสอบความรู้ มีค่าความยากง่าย (Difficulty Index: P) และค่าอ�ำนาจจ�ำแนก
(Discrimination Index: r) ของแบบทดสอบ 0.86 และ 0.20 ตามล�ำดับ และแบบสอบถามความพึงพอใจฯ
มีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วย
สถิติเชิงอ้างอิง ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนประสิทธิภาพการให้นมมารดาระยะ 3 วันหลังคลอด
สูงขึ้นตามล�ำดับ (p<0.05) ในขณะที่ค่าเฉลี่ยคะแนนประสิทธิภาพการให้นมมารดาในวันที่ 3 หลังคลอด ของ
กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน (p>0.05) คะแนนความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดามีค่าเฉลี่ย
อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 98.75 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ (p<0.05)
คะแนนความพึงพอใจต่อโปรแกรมฯ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 91.25 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 และ
สูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ (p<0.05) และอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาใน 6 เดือนแรก
พบร้อยละ 35 ซึ่งสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ (p<0.05) ดังนั้น จึงควรน�ำโปรแกรมส่งเสริม
การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาไปใช้ในการดูแลมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก
ผู้นิพนธ์ประสานงาน:
ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ
สาขาวิชาการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
63 หมู่ 7 อ�ำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก 26120
อีเมล: tippawani@g.swu.ac.th
Corresponding Author:
Tippawan Iamchareon
Department of Maternal-Child Nursing and Midwifery Nursing,
Srinakharinwirot University
63 Moo 7, Ongkharak District, Nakhon-Nayok Province, 26120
E-mail: tippawani@g.swu.ac.th
ตารางที่ 4 เปรียบเทียบคะแนนความรู้การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมด้วยสถิติ
Mann-Whitney U test
พิสัย ±SD ระดับความรู้ Mean Rank Sum of Ranks Z-test p-value
กลุ่มทดลอง 15-20 18.40±1.19 สูง 90.05 7204.00
-3.222 0.001
กลุ่มควบคุม 12-20 17.68±1.55 สูง 67.52 5199.00
4. คะแนนความพึงพอใจต่อโปรแกรมส่งเสริม ซึง่ มีความพึงพอใจต่อโปรแกรมฯ อยูใ่ นระดับมากทีส่ ดุ
การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาของมารดากลุ่มทดลอง สูงกว่าเกณฑ์ 80% และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมี
อยู่ระหว่าง 59-100 คะแนน เฉลี่ย 90.53 คะแนน นัยส�ำคัญทางสถิติ (p<0.05) (ตารางที่ 5)