Professional Documents
Culture Documents
ฉบับพิเศษ 2
คาถาม
นายเดชอายุ 15 ปี เป็นบุตรชายของนายดารง ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์สมองได้รับความระทบ
กระเทือนอย่างหนัก ทาให้กลายเป็นคนวิกลจริต เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 นายดารงจึงยื่นคาร้องต่อศาล
ให้นายเดชเป็นคนไร้ความสามารถ ในระหว่างที่ศาลยังไม่มีคาสั่ง นายเดชได้ไปตกลงซื้อเครื่องรับโทรทัศน์จาก
นางมรกต 1 เครื่อง ซึ่งนางมรกตก็ขายให้ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด เนื่องจากรู้จักนายดารงบิดาของนายเดช
และไม่ ท ราบว่ า นายเดชวิ ก ลจริ ต ครั้ น วั น ที่ 15 มี น าคม 2535 ศาลได้ มี ค าสั่ ง ให้ น ายเดชตกเป็ น คนไร้
ความสามารถ ต่อมานายเดชได้ไปหลงรักนางสาวบุษบา จึงได้ยกเครื่องรับโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวให้นางสาว
บุษบา ดังนี้ ท่านเห็นว่านายดารงจะเรียกคืนเครื่องรับโทรทัศน์จากนางสาวบุษบาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และ
จะขอบอกล้างสัญญาซื้อขายโทรทัศน์กับนางมรกตได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังนี้
1. มาตรา 21 ผู้ เยาว์จะทานิ ติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้ แทนโดยชอบธรรมก่อน
การใดๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทาลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่ จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
2. มาตรา 29 การใดๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทาลง การนั้นเป็นโมฆียะ
3. มาตรา 175 โมฆียกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
(1) ผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้เยาว์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ผู้เยาว์จะบอกกล่าวก่อนที่ตน
บรรลุนิติภาวะก็ได้ ถ้าได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
(2) บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ...หรือผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์แล้วแต่กรณี..
วินิจฉัย
บุคคลจะพ้นจากการเป็นผู้เยาว์โดยบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แต่นายเดชอายุ 15 ปี
จึงยังเป็นผู้เยาว์จะทานิติกรรมใดๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมคือ นายดารงก่อน เมื่อ
นายดารงยังมิให้ความยินยอมในนิติกรรมซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆียะ การที่นายเดชเป็น
บุคคลวิกลจริตนั้นไม่จาต้องมาวินิจฉัยในปัญหานี้ เพราะนายเดชยังเป็นผู้เยาว์อยู่
ส่วนกรณีที่นายเดชได้ยกเครื่องรับโทรทัศน์ดังกล่าวให้นางสาวบุษบานั้น นายเดชเป็นบุคคลซึ่งศาลได้
สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว นายเดชไม่สามารถทานิติกรรมใดๆ ได้ ต้องให้ผู้อนุบาลเป็นผู้ทาแทน ดังนั้น
การยกให้นี้จึงตกเป็นโมฆียะเช่นกัน
จากหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าเห็นว่า นิติกรรมการซื้อขายและนิติกรรม
การยกให้ ตกเป็นโมฆียะ ดังนั้น นายดารงสามารถบอกล้างนิติกรรมการยกให้โดยเรียกคืนเครื่องรับโทรทัศน์
จากนางสาวบุษบาได้ในฐานะที่ตนเป็นผู้อนุบาล และสามารถบอกล้างสัญญาซื้อขายโทรทัศน์กับนางมรกตได้
ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม
วิเคราะห์
ตามคาถามข้อนี้ สามารถแบ่งประเด็นตอบได้ 2 ประเด็น ประเด็นแรกคือ การที่นายเดชไปตกลงซื้อ
เครื่องรับโทรทัศน์จากนางมรกต 1 เครื่อง สัญญาซื้อขายมีผลเป็นอย่างไร คาตอบคือ สัญญาซื้อขายเครื่องรับ
โทรทัศน์ย่อมตกเป็นโมฆียะ เนื่องจากนายเดชนายเดชยังเป็นผู้เยาว์ การทาสัญญานั้นต้องได้รับความยินยอม
จากผู้แทนโดยชอบธรรมคือนายดารงก่อน โดยไม่ต้องนามาตรา 30 เรื่องบุคคลวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้
เป็นคนไร้ความสามารถมาวินิจฉัย
ส่วนประเด็นที่ 2 การที่นายเดชซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลสั่ งให้ เป็นคนไร้ความสามารถได้ยกเครื่องรับ
โทรทัศน์ให้แก่นางสาวบุษบา การนี้มีผลอย่างไร คาตอบคือ การให้ตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 29 ซึ่งคนไร้
ความสามารถจะทานิติกรรมใดๆ ไม่ได้เลย ต้องให้ผู้อนุบาลทาแทน
2
คาถาม
หนึ่งอายุ 14 ปี ได้ทาพินัยกรรมยกเงินสดของตนเองซึ่งเก็บไว้ให้ยายของตนจานวนหนึ่งเพราะหนึ่ง
รักและสงสารยาย ต่อมาอีก 5 ปี หนึ่งได้แอบเอาเงินไปให้ยายอีก เพราะยายเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ต้องไป
รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นิติกรรมที่สองครั้งนี้บิดามารดาของหนึ่งไม่รู้เรื่องแต่อย่างใด อีก 4 เดือนต่อมา บิดา
มารดารู้ถึงการที่หนึ่งได้แอบเอาเงินไปให้ยาย จึงให้หนึ่งไปเอาเงินจานวนนั้นคืน หนึ่งไม่ยอมเพราะรักยาย
อีก 2 ปีต่อมาหนึ่งได้ให้สัตยาบันพินัยกรรมและสัญญาให้ของตน ต่อมาอีก 1 ปีหนึ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
ดังนี้ พินัยกรรมมีผลทางกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด และการให้เงินยายมีผลทางกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังนี้
1. มาตรา 1073 พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทาขึ้นเป็นโมฆะ
2. มาตรา 21 ผู้เยาว์ทานิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใดๆ
ที่ผู้เยาว์ได้ทาลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ
3. มาตรา 175 โมฆียกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้เยาว์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว
4. มาตรา 178 การบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรม ย่อมทาได้โดยการแสดงเจตนาแก่คู่กรณี
อีกฝุายหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่ตัวกาหนดได้แน่นอน
วินิจฉัย
หนึ่งอายุ 14 ปี ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ยังทาพินัยกรรมไม่ได้ จะทาพินัยกรรมได้เมื่ออายุครบสิบห้าปี
บริบูรณ์ ดังนั้นพินัยกรรมที่หนึ่งทาจึงมีผลเป็นโมฆะ คือไม่มีผลในกฎหมาย (มาตรา 1703) หนึ่งให้สัตยาบัน
ไม่ได้
ต่อมาอีก 5 ปี หนึ่งอายุได้ 19 ปี ก็ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ได้ให้เงินยายไปโดยบิดามารดาไม่รู้ นั้นคือไม่ได้
รับความยินยอมให้ทานิติกรรม นิติกรรมการให้เงินยายจึงมีผลเป็นโมฆียกรรม (มาตรา 21)
การทีบ่ ิดามารดาให้หนึ่งไปเอาเงินคืนจากยายนั้น แม้ว่าบิดามารดาจะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของ
หนึ่ง และเป็นผู้มีสิทธิในการบอกล้าง แต่การบอกล้างต้องทากับคู่กรณีอีกฝุายหนึ่ง คือต้องบอกล้างกับยายของ
หนึ่งจึงจะสมบูรณ์ แต่ตามข้อเท็จจริงบิดามารดาได้บอกล้างกับหนึ่ง การบอกล้างไม่สมบูรณ์ นิติกรรมการให้
ยังเป็นโมฆียกรรม
อีก 2 ปีต่อมา หนึ่งอายุ 21 ปีพ้นจากภาวะผู้เยาว์แล้ว จึงเป็นผู้มีสิทธิที่จะให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรม
ที่ตนทาขึ้น เมื่อให้สัตยาบันแล้ว นิติกรรมการให้มีผลสมบูรณ์
จากหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปว่า
1. หนึ่งทาพินัยกรรมขณะที่มีอายุเพียง 14 ปี ซึ่งยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ พินัยกรรมนั้นจึงเป็น
โมฆะ
2. หนึ่งให้เงินยายขณะที่มีอายุ 19 ปี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมและการ
บอกล้างไม่สมบูรณ์เพราะผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ได้ไปบอกล้างกับยายโดยตรง นิติกรรมการให้ยังเป็นโมฆีย ะ
ต่อมาหนึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว หนึ่งได้ให้สัตยาบัน นิติกรรมการให้เงินยายจึงมีผลสมบูรณ์ในทางกฎหมาย
3
ตัวอย่างคาถามอัตนัย มสธ.
ทองเป็ น สามี พ ลอยได้ เ ปิ ด ร้ า นค้ า เครื่ อ งเพชร วั น หนึ่ ง ทองถู ก รถยนต์ ช นสมองได้ รั บ ความ
กระทบกระเทือนอย่างมาก ผ่าตัดแล้วอาการไม่ดีขึ้น มีสติฟั่นเฟือน เมื่อกลับมาอยู่ที่ร้าน ทองได้โทรศัพท์
สั่งซื้อเครื่องเพชรจากห้างหุ้นส่วนจากัดอัญมณี มาเป็นจานวนเงิน 1 ล้านบาท ทางห้างฯ ดังกล่าวได้ส่งเครื่อง
เพชรจานวนดังกล่าวมาให้ทองตามสั่ง ต่อมาอีก 2 เดือน พลอยได้ยื่นคาร้องขอให้ศาลมีคาสั่งว่าทองเป็นคนไร้
ความสามารถ และศาลได้สั่งให้ทองเป็นคนไร้ความสามารถ ต่อมาทองได้สั่งซื้อบุษราคัมจากห้างฯ ดังกล่าวอีก
เป็นจานวนเงินอีก 1 ล้านบาท ทางห้างฯ ก็ได้ส่งของให้ตามสั่ง เพราะทองเป็นลูกค้าประจา โดยทางห้างฯ
มิได้รู้ถึงอาการฟั่นเฟือนหรือความเป็นคนไร้ความสามารถของทองแต่อย่างใด
ห้างฯ ได้มีหนังสือไปถึงทอง ทวงถามเงินค่าเครื่องเพชรและบุษราคัม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2 ล้านบาท
พลอยเมื่อทราบถึงหนังสือทวงเงิน จะอ้างว่าสัญญาซื้อขายทั้ง 2 ครั้ งไม่สมบูรณ์ เพราะตนไม่รู้ถึงการซื้อขาย
นั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังนี้
1. มาตรา 29 การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทาลงการนั้นเป็นโมฆียะ
2. มาตรา 30 การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทาลง
การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทาในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝุายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่า
ผู้กระทาเป็นคนวิกลจริต
กรณีตามปัญหาแยกประเด็นวินิจฉัย ดังนี้
ประเด็นที่ 1 การซื้อขายครั้งแรกมีผลอย่างไร นางพลอยอ้างได้หรือไม่
ประเด็นที่สอง การซื้อขายครั้งที่สองมีผลอย่างไร นางพลอยอ้างได้หรือไม่
ประเด็นที่ 1
บุคคลวิกลจริต ตามมาตรา 30 หมายถึง บุคคลมีจิตไม่ปกติอย่างที่เรียกกันว่า คนบ้า คือ มีอาการ
คุมสติตนเองไม่ได้ และไม่มีความรู้สึกผิดชอบเยี่ยงคนธรรมดาแล้วยังหมายความรวมถึง บุคคลที่มีกริยาอาการ
ปิดปกติธรรมดา เพราะสติวิปลาส เนื่องจากการเจ็บปุวยถึงขนาดที่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบและไม่สามารถ
ประกอบกิจการงานใดๆ ได้ด้วย
จากข้อเท็จจริงเห็นได้ว่า นายทองนั้นเป็นบุคคลวิกลจริตและในช่วงแรกซึ่งออกจากโรงพยาบาลแล้ว
ได้ทานิติกรรมซื้อขายเครื่องเพชรก่อนที่ศาลจะสั่งให้ เป็นคนไร้ความสามารถ ทั้งคู่กรณีอีกฝุายหนึ่งก็ไม่ได้รู้ว่า
นายทองนั้นเป็นคนวิกลจริตแต่อย่างใด ดังนั้น การซื้อขายในครั้งแรกจึงมีผลสมบูรณ์ นางพลอยจะอ้างว่านาย
ทองเป็นคนวิกลจริตการซื้อขายครั้งแรกไม่สมบูรณ์ไมได้ นางพลอยต้องชาระราคาค่าเครื่องเพชรซึ่งนายทองได้
สั่งซื้อไป
ประเด็นที่ 2
เมื่อศาลได้สั่งให้นายทองเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว ผลก็คือ นิติกรรมที่นายทองทาตกเป็นโมฆียะ
ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าคู่กรณีจะไม่รู้ว่านายทองเป็นคนไร้ความสามารถก็ตาม (มาตรา 29) กรณีนี้ นางพลอยสามารถ
บอกล้างสัญญาซื้อขายบุษราคัมระหว่างนายทองและคู่กรณีได้
จากหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปว่า
1. การซื้อขายครั้งแรกสมบูรณ์ นางพลอยบอกล้างไม่ได้
2. การซื้อขายครั้งที่ 2 เป็นโมฆียะ นางพลอยสามารถบอกล้างได้
7
ม.ราม
ข้อ 1 นายสมพงษ์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ซื้อรถยนต์คันหนึ่งจากนายสมชายซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ราคา 600,000
บาท โดยได้รับความยินยอมจากนายสมพร ซึ่งเป็นบิดาของนายสมพงษ์แล้ว ในวันทาสัญญาซื้อขาย นายสมชาย
ได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายสมพงษ์ และนายสมพงษ์ได้วางเงินมัดจาให้ไว้แก่นายสมชาย 600,000 บาท
กาหนดชาระราคาส่วนที่ยังค้างอยู่ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2556 เมื่อถึงกาหนดนายสมพงษ์ ไม่นาเงินไปชาระ
ให้แก่นายสมชาย นายสมชายจึงทาหนังสือบอกกล่าวเตือนให้นายสมพงษ์นาเงินไปชาระให้แก่นายสมชาย
ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวเตือน เมื่อครบกาหนดตามหนังสือบอกกล่าวเตือนแล้ว
นายสมพงษ์ก็ยังไม่นาเงินไปชาระให้แก่นายสมชาย นายสมชายจึงทาหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์ส่ง
ให้แก่นายสมพงษ์ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่านายสมพรบิดาของนายสมพงษ์ ไม่ทราบเรื่องการบอกเลิก
สัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวแต่อย่างใด เช่นนี้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์ ซึ่งนายสมชายกระทาต่อ
นายสมพงษ์มีผลในทางกฎหมายอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 179 วรรคสอง บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ จะให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรม
ต่อเมื่อได้รู้เห็นซึ่งโมฆียกรรมนั้น ภายหลังที่บุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว
มาตรา 181 โมฆียะกรรมนั้น จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้ นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้
หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทานิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น
วินิจฉัย
กาหนดการบอกล้างโมฆียะกรรม ตามมาตรา 181 นั้น จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่
เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ ซึ่งกาหนดเวลาดังกล่าวนั้น ในกรณี นาย ก. คนไร้ความสามารถคือ วันที่ 1
ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่นาย ก. ได้รู้เห็น(จาได้ว่า) ซึ่งโมฆียกรรมนั้น หลังจากที่ศาลได้สั่งเพิกถอนคาสั่ง
ที่ให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้วเมื่อประมาณ 4 ปี ที่ผ่านมาตามมาตรา 179 วรรคสอง
แต่อย่างไรก็ตาม เวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้นั้นต้องไม่เกดินเวลาสิบปีนับแต่ได้ทานิติ
กรรมอันเป็นโมฆียะนั้น ซึ่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นวันที่ครบสิบปีพอดี
ข้าพเจ้าจะแนะนาให้นาย ก. ต้องใช้สิทธิบอกล้างในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถ้าเกินกว่านั้นจะพ้น
เวลาสิบปีนับแต่ได้ทาโมฆียะกรรมขึ้น
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 175 โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
(2) บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ เมื่อบุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว
วินิจฉัย
ข้าพเจ้าให้คาแนะนาแก่นาย ก. ดังนี้ นาย ก. เป็นผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรม เพราะนาย ก.
พ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว เมื่อนาย ก. อายุ 21 ปี (มาตรา 175 (2))
นาย ก. ยั งมี สิ ท ธิ บ อกล้ างแม้ ร ะยะเวลาของสั ญญาซื้ อขายจะนานถึ ง 7 ปี แล้ ว ก็ ตาม เพราะ
ระยะเวลานั้นยังไม่พ้นเวลา 10 ปี นับแต่ได้ทาสัญญาซื้อขายอันเป็นโมฆียะแต่อย่างไร (มาตรา 181) แต่
นาย ก. จะต้องล้างภายในกาหนดระยะเวลาที่กฎหมายกาหนดไว้ กล่าวคือ จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลา 1 ปี
นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ (มาตรา 181) ซึ่งได้แก่เวลาที่มูลเหตุให้เป็นโมฆียกรรมนั้นหมดสิ้นไปแล้ว
(มาตรา 179 วรรคหนึ่ง) สาหรับกรณีนาย ก. คนไร้ความสามารถได้แก่ เวลาเมื่อ นาย ก. ได้รู้เห็นซึ่ง
โมฆียกรรมนั้นตอนอายุ 25 ปี และภายหลังที่พ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถ (ตามมาตรา 179 วรรค
สอง) นั่นคือ นาย ก. ต้องบอกล้างภายในกาหนดอายุของนาย ก. ไม่เกิน 26 ปี
ข้อสอบเก่า-มสธ.
คาถาม
แสงอายุ 18 ปี มีความสามารถในการเล่นดนตรี จึงได้ตั้งวงดนตรีคณะ เขียวทอง โดยบิดาของแสงได้
ให้การสนับสนุนฝึกซ้อมให้ และบางครั้งก็รับติดต่องานแทนแสงด้วย
วันหนึ่ง ปอเพื่อนสาวของแสงอายุ 17 ปี เป็นคนวิกลจริต ได้มาติดต่อขอให้แสงนาวงดนตรีไปเล่นใน
งานวันเกิดตนโดยแสงไม่ทราบว่าปอวิกลจริต จึงตอบตกลงครั้นใกล้ถึงวันงานบิดาของปอทราบเรื่องการจ้างวง
ดนตรี จึงรีบโทรศัพท์มาหาบิดาของแสง และขอบอกเลิกการจ้างดังกล่าวแต่ปรากฏว่าบิดาแสงไม่อยู่ แสงเป็น
คนรับสายเอง แต่ไม่บอกเรื่องนี้ แก่บิดาของตน ครั้นถึงวันงานแสดงก็นาวงดนตรีไปแสดงตามที่ตกลงไว้ และ
ขอคิดค่าแสดงเพียงครึ่งเดียวจากที่ตกลงไว้เพราะเห็นแก่เพื่อ ดังนี้บิดาของปอจะปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าแสดงได้
หรือไม่ เพราะเหตุใด
เฉลย
หลักกฎหมาย
มาตรา 21 บัญญัติว่า อันผู้เยาว์จะทานิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
ก่อนบรรดาการใดๆอันผู้เยาว์ได้ทาลงปราศจากการยินยอมเช่นว่านั้นท่านว่าเป็นโมฆียะ
มาตรา 28 วรรคแรกบัญญัติว่า ผู้เยาว์ได้รับอนุญาตให้ทากิจการค้าขายรายหนึ่งหรือหลายรายแล้ว
ในความเกี่ยวพันกับกิจการค้าขายอันนั้น ท่านว่าผู้เยาว์ย่อมมีฐานะเสมือนดั่งบุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว
ฉะนั้น
มาตรา 137 บัญญัติว่า “โมฆียะ” กรรมนั้น ท่านว่าบุคคลดังกล่าวต่อไปนี้คื อผู้ไร้ความสามารถก็ดี
หรือผู้ได้ทาการแสดงเจตนาโดยวิธีวิปริต หรือผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทั กษ์หรือทายาทของบุคคลเช่นว่า
นั้นก็ดีจะบอกล้างเสียก็ได้
ปอ อายุ 17 ปี ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ไม่ไม่สามารถทานิติกรรมใด ๆ ได้ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดาซึ่ง
เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมการที่ปอไปติดต่อจ้างแสงให้นาวงดนตรีไปแสดงในวันเกิดของตนนั้นเป็นนิติกรรมซึ่ง
ทาโดยบิดามิได้ยินยอม ดังนั้นนิติกรรมนี้จึงตกเป็นโมฆียะ บิดาของปอซึ่งเป็นผู้ที่สามารถบอกล้างนิติกรรมการ
จ้างนี้ได้ (ม.21 ม.137)
ส่วนกรณีที่ปอเป็นคนวิกลจริตนั้นไม่มีประเด็นที่จะต้องกล่าวถึง แต่อย่างใดเพราะปอเป็นผู้เยาว์นิติ
กรรมใดๆ ที่ทาลงโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมตกเป็นโมฆียะ
แสงนั้นแม้ว่าจะอายุ 18 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตาม แต่การที่ตั้งวงดนตรีรับงานแสดงนี้เป็นเรื่อง
ข้อยกเว้น ซึ่งผู้เยาว์สามารถกระทาได้ คือทากิจการค้าและในการนี้เมื่อบิดาของแสงได้ให้การสนับสนุนฝึก
ซ้อมให้และติดต่อรับงานแทนด้วย ก็เป็นการแสดงว่าบิดาได้อนุญาตให้แสงกระทากิจการค้าได้โ ดยปริยายแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ในความเกี่ยวพันกับกิจการดนตรีของคณะเขียวทอง แสงมีฐานะเสมือนดังผู้บรรลุนิติภาวะ เมื่อ
บิดาของปอขอบอกล้างนิติกรรมการจ้างกับแสงนั้นถือว่าการบอก ล้างสมบูรณ์แล้ว นิติกรรมการจ้างเป็น
โมฆียะมาแต่เริ่มแรก แม้บิดาของแสงจะไม่ทราบก็ตาม ดังนั้น บิดาของปอปฏิบัติไม่ยอมจ่ายค่าแสดงได้
11
ตอบ
มาตรา ๑๙ บุคคลย่อมพ้นจากสภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์
มาตรา ๒๒ ผู้ เยาว์อาจทาการใดๆ ได้ทั้งสิน หากเป็นเพียงเพื่อมีสิ ทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการ
เพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใด
มาตรา ๒๑ ผู้เยาว์จะทานิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมโดยชอบธรรมก่อน การใดๆ ที่ผู้เยาว์ได้
ทาลงปราศจากความยินยอมถือว่าเป็นโมฆะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้อย่างอื่น มาตรา ๑๗๕ โมฆียกรรมนั้น บุคคล
ต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
ผู้แทนโดยชอบธรรม ขณะที่กาบผู้เป็นยายยกเงินให้ ก้อนนั้น ก้อนยังถือว่าเป็นหลักแจ้งผู้เยาว์จะทา
นิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ แต่กรณีนี้
ถือเป็นยกเว้น
เนื่องจากเป็นการที่ผู้เยาว์ได้รับเงิน นิติกรรมรับการให้จากเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดย
ชอบธ รรมก่อนการให้นี้จึงสมบูรณ์เพราะเป็นการได้ไปซึ่งสิทธิเพียงอย่างเดียวต่อมาอีก ๑ ปี ซึ่งก้อนมีอายุ ๑๔
ปี ก้อนได้ถูกรถยนต์ช นชนจนเป็น คนวิกลจริต และอีก ๒ ปีต่อมา คือก้อนอายุได้ ๑๗ ปี ได้ให้ แหวนนิติ
กรรมการให้ย่อมตกเป็นโมฆียะโดยไม่ต้องคานึงว่าสร้ อยจะรู้ว่าก้อนเป็นคนวิกลจริต เพราะก้อนก็เป็นผู้เยาว์
นิติกรรมใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมตกเป็นโมฆียะการให้สร้อยนี้ย่อมตก
เป็นโมฆียะเพราะมารดามิได้ให้ความอย่างไร
สิทธิบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ คือผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่งเป็นของก้อนนั้นเองแต่การบอกล้างนิติ
กรรมยายไม่ได้เพราะการให้ผลนั้นมีผลสมบูรณ์นั้นแล้ว
แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล
ข้อ 1 นายโฉดทราบว่านายธรรมต้องการเช่าพระสมเด็จวัดกระดิ่งองค์หนึ่ง จึงบอกกับนายธรรมว่านายเฉยมี
พระองค์ที่นายธรรมต้องการเช่า และตนสามารถนัดหมายให้นายเฉยมาพบกับนายธรรมเพื่อทาสัญญาเช่าพระ
ดังกล่าวได้ แต่แท้จริงแล้วนายโฉดทราบว่าพระที่นายเฉยเป็นเจ้าของเป็นพระที่ทาขึ้นเลียนแบบพระสมเด็จวัด
กระดิ่งเท่านั้น นายธรรมได้ไปติดต่อขอดูพระของนายเฉยแล้วเห็นว่าเป็นพระที่สวยงาม เชื่อว่าเป็นพระสมเด็จ
วัดกระดิ่งที่แท้จริง จึงเช่ามาในราคา 1 ล้านบาท โดยนายเฉยไม่ทราบว่า นายโฉดบอกกับนายธรรมว่าพระ
ของตนเป็นพระสมเด็จวัดกระดิ่งที่แท้จริง ต่อมา นายธรรมทราบว่าพระที่ตนเช่ามาไม่ใช่พระสมเด็จวัดกระดิ่ง
แต่เป็นพระเลียนแบบ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าสัญญาเช่าพระดังกล่าวมีผลอย่างไร
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังนี้
1. มาตรา 157 การแสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นโมฆียะ
ความสาคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสาคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสาคัญ
ซึ่งหากมิได้มีความสาคัญผิดดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทาขึ้น
2. มาตรา 159 การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
การที่กลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวการอันเป็น
โมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทาขึ้น
ถ้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก การแสดงเจตนานั้นจะเป็นโมฆียะ
ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้น
วินิจฉัย
กรณีตามปัญหา การที่นายธรรมได้ทานิติกรรมโดยการทาสัญญาเช่าพระกับนายเฉย เพราะหลงเชื่อ
ข้อเท็จจริงตามที่นายโฉดกล่าวอ้างว่าพระของนายเฉยเป็นพระสมเด็จวัดกระดิ่งที่แท้จริง จึงถือว่านายธรรมได้
ทานิติกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉล และเป็นกลฉ้อฉลที่ถึงขนาด ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว นายธรรมก็คงจะ
มิได้ทาสัญญาเช่าพระองค์นั้น ตามมาตรา 159 วรรคแรกและวรรคสอง
จากข้อเท็จจริง จะเห็นได้ว่า เป็นกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก ซึ่งตามกฎหมายนิติกรรมจะตกเป็น
โมฆีย ะ ก็ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้นด้วย ตามมาตรา 159 วรรคสาม เมื่อ
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง คือ นายเฉย ไม่ทราบถึงกลฉ้อฉลดังกล่าว ดังนั้นสัญญาเช่าพระระหว่าง
นายธรรมกับนายเฉยจึงไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะถูกกลฉ้อฉล
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายธรรมได้เช่าพระดังกล่าวจากนายเฉยไปแล้ว มาทราบภายหลังว่าพระที่ตนเช่ามา
ไม่ใช่พระสมเด็จวัดกระดิ่งแต่เป็นพระเลียนแบบ ซึ่งถ้าตนได้ทราบตั้งแต่แรกก็คงจะไม่ทาสัญญาเช่าพระองค์นี้
แน่นอน ดังนั้นนายธรรม ย่อมสามารถอ้างได้ว่านิติกรรมการเช่าพระดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะตนได้สาคัญผิดใน
คุณสมบัติของทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสาคัญของนิติกรรม นิติกรรมในรูปของสัญญาเช่าพระดังกล่าว
จึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 157
จากกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงวินิจฉัยว่า
สัญญาเช่าพระดังกล่าวมีผ ลเป็น โมฆียะ เพราะเป็นการแสดงเจตนาโดยสาคัญผิด ในคุณสมบัติของ
ทรัพย์สิน ตามมาตรา 157
2
วินิจฉัย
กรณีตามปัญหา การที่นาย ก ได้ทานิติกรรมโดยการซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนาย ข เพราะได้หลงเชื่อ
ข้อเท็จจริงตามที่นาย ค ได้หลอกลวงนาย ก ว่าที่ดินแปลงดังกล่าวจะมีโครงการตัดถนนผ่านทาให้ที่ดินติด
ถนนสาธารณะไม่มีที่ดินแปลงอื่นคั่นอยู่ จึงถือว่านาย ก ได้ทานิติกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉล และเป็นกลฉ้อฉลที่
ถึงขนาด ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว นาย ก ก็คงจะมิได้ทาสัญญาซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนาย ข ตาม
มาตรา 159 วรรคแรกและวรรคสอง
จากข้อเท็จจริง จะเห็นได้ว่า เป็นกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก ซึ่งตามกฎหมายนิติกรรมจะตกเป็น
โมฆีย ะก็ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ งได้รู้ หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้นด้วย ตามมาตรา 159 วรรคสาม เมื่อ
ปรากฏว่า คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง คือนาย ข มิได้รู้หรือควรจะรู้ว่านาย ค ได้มาหลอกลวงนาย ก ดังนั้นสัญญา
ซื้อขายที่ดินระหว่างนาย ก กับนาย ข จึงไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะถูกกลฉ้อฉล
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนาย ก ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนาย ข ไปแล้ว มาทราบในภายหลังว่าไม่มี
โครงการตัดถนนดังคากล่าวอ้างของนาย ค ซึ่ง ถ้านาย ก ได้ทราบตั้ งแต่แรกก็คงจะไม่ทาสัญญาซื้อขาย
ที่ดินแปลงนี้แน่นอน ดังนั้นนาย ก ย่อมสามารถอ้างได้ว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะ
ตนได้แสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสาคัญของนิติกรรม
นิติกรรมในรูปของสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าว จึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 157
วินิจฉัย
จากข้อเท็จจริงจะเห็นได้ว่า การที่นายแดงให้คารับรองว่าที่ดินของตนที่จะขายให้แก่นายเหลืองเป็น
ที่ดินติดกับทางสาธารณะ แต่เมื่อปรากฏว่าที่ดินของนายแดงนั้นไม่ติดทางสาธารณะตามที่นายแดงให้คารับรอง
ถือได้ว่านายแดงได้ขายที่ดินให้แก่นายเหลืองโดยทาการฉ้อฉลแล้ว
ผลของกลฉ้อฉลทาให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะ ก็ต่อเมื่อกลฉ้อฉลนั้นถึงขนาด ซึ่งหมายถึงว่า ถ้ามิได้มีกล
ฉ้อฉลเช่นว่านั้นนิติกรรมก็จะมิได้ทาขึ้นเลย แต่ในกรณีนี้นายเหลืองมีเจตนาที่จะซื้อที่ดินของนายแดงเพื่อเป็น
ทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว เพียงแต่ได้ซื้อที่ดินจากนายแดงในราคาที่แพงกว่าปกติของราคาที่ดินในบริเวณ
เดียวกับที่ดินที่ไม่ติดทางสาธารณะ จึงถือว่าการทากลฉ้อฉลของนายแดงนั้นเป็นเหตุที่ทาให้นายเหลืองต้องชาระ
ราคาสูงกว่าราคาซื้อขายปกติ เมื่อนายเหลืองเจตนาซื้อที่ดินของนายแดงเพื่อเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงเห็นว่านิติกรรมมิได้เกิดจากกลฉ้อฉลถึงขนาดแต่อย่างใด นิติกรรมจึงไม่เป็นโมฆียะ แต่กรณีนี้เป็นกลฉ้อฉล
เป็นแต่เพียงเหตุจูงใจทาให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งต้องยอมรับข้อกาหนดอันหนักยิ่งกว่าที่เขาจะยอมรับโดยปกติ แม้ว่า
จะไม่มีกลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจ ผู้ถูกกลฉ้อฉลก็ยังทานิติกรรมนั้นอยู่ดี นิติกรรมสมบูรณ์จะบอกล้างไม่ได้
ได้แต่เพียงเรียกค่าสินไหมทดแทนราคาที่จ่ายเกินไปเท่านั้น
จากกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นทนายความของนายเหลือง ข้าพเจ้า
แนะนานายเหลืองมิให้บอกล้างนิติกรรมซื้อขายดังกล่าว เพราะนิติกรรมไม่ตกเป็นโมฆียะ แต่จะแนะนาให้นาย
เหลืองฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้ และสามารถฟ้องได้ภายใน
อายุความ 10 ปี เพราะกรณีดังกล่าวกฎหมายมิได้กาหนดอายุความไว้
4
วินิจฉัย
กลฉ้อฉลถึงขนาดนั้นต้องเป็นการจูงใจโดยหลอกลวงให้เข้าใจผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุให้เขาเข้าทา
นิติกรรมด้วย ซึ่งถ้าไม่มีการหลอกลวงเช่นว่าแล้ว นิติกรรมก็จะมิได้ทาขึ้นเลย
จากข้อเท็จ จริ ง จะเห็ น ได้ว่า การที่นายวิชิตได้ส อบถามนายวิชัยผู้ ขายว่าแจกันใบนี้มีตาหนิห รือไม่
นายวิชัยตอบว่า ไม่มีตาหนิ นายวิชิตหลงเชื่อคาตอบของนายวิชัยว่าแจกันใบนี้ไม่มีตาหนิ จึงได้ตกลงซื้อแจกัน
ใบนั้น ในราคา 8,000 บาท กรณีเช่นนี้ ถือว่านายวิชัยผู้ขายแจกันทากลฉ้อฉลลวงนายวิชิตเพื่อซื้อแจกันมีตาหนิ
ผลของกลฉ้อฉลคือ ทาให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อกลฉ้อฉลนั้น ถึงขนาด ซึ่งหมายถึงว่า ถ้ามิได้มี
กลฉ้อฉลนั้น นิติกรรมการซื้อขายแจกันจะมิได้มีขึ้นเลย แต่ในกรณีนี้นายวิชิตต้องการซื้อแจกัน แม้แจกัน ใบนี้
มีรอยร้าวเล็กน้อยเช่นนั้นนายวิชิตก็ซื้อ แต่จะซื้อในราคาเพียง 5,000 บาท ซึ่งเป็นราคาในท้องตลาดทั่วไป ดังนั้น
จึงเห็นว่า นิติกรรมมิได้เกิดจากกลฉ้อฉลถึงขนาดแต่อย่างใด นิติกรรมจึงไม่เป็นโมฆียะ แต่กรณีนี้เป็นกลฉ้อฉล
เป็นแต่เพียงเหตุจูงใจเพื่อให้ยอมรับข้อกาหนดอันหนักยิ่งกว่าที่ นายวิชิตจะต้องรับตามปกติ แม้ว่าจะไม่มีกลฉ้อ
ฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจ ผู้ถูกกลฉ้อฉลก็ยังทานิติกรรมนั้นอยู่ดี นิติกรรมสมบูรณ์จะบอกล้างไม่ได้ แต่นายวิชิต
ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนราคาที่จ่ายเกินไปจากนายวิชัยได้
จากหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น นายวิชิตจะบอกล้างสัญญาซื้อขายแจกันไม่ได้ แต่
นายวิชิตชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนราคาที่จ่ายเกินไปอันเกิดจากกลฉ้อฉลจากนายวิชัยได้
5
วินิจฉัย
กลฉ้อฉลถึงขนาดนั้นต้องเป็นการจูงใจโดยหลอกลวงให้เข้าใจผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุให้เขาเข้าทา
นิติกรรมด้วย ซึ่งถ้าไม่มีการหลอกลวงเช่นว่าแล้ว นิติกรรมก็จะมิได้ทาขึ้นเลย
วินิจฉัย
กลฉ้อฉลถึงขนาดนั้นต้องเป็นการจูงใจโดยหลอกลวงให้เข้าใจผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุให้เขาเข้าทา
นิติกรรมด้วย ซึ่งถ้าไม่มีการหลอกลวงเช่นว่าแล้ว นิติกรรมก็จะมิได้ทาขึ้นเลย
จากข้อเท็จจริง จะเห็นได้ว่าขาวนั้นเข้าทานิติกรรมซื้อขายลุกสุนัขมิใช่เพราะหลงเชื่อคาหลอกลวงของดา
เรื่องสุนัขพันธุ์ไทยแท้แต่อย่างใด แต่ขาวเข้าทานิติกรรมเพราะความน่ารัก มีสีสวยถูกใจ จะเป็นพันธุ์อะไรก็
ไม่ได้ใส่ใจ ถึงแม้ดาจะไม่หลอกลวงขาวก็ซื้อลูกสุนัขนั้นอยู่ดี ดังนั้นจึงเห็นว่านิติกรรมมิได้เกิดจากกลฉ้อฉล
ถึงขนาดแต่อย่ างใด นิ ติกรรมจึ งไม่เป็ น โมฆียะ แต่กรณีนี้เ ป็นกลฉ้อฉลเป็นแต่ เพียงเหตุ จูงใจเพื่อ ให้ ยอมรั บ
ข้อกาหนดอันหนักยิ่งกว่าที่ขาวจะต้องรับตามปกติ แม้ว่าจะไม่มีกลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจ ผู้ถูกกลฉ้อฉล
ก็ยังทานิติกรรมนั้นอยู่ดี นิติกรรมสมบูรณ์จะบอกล้างไม่ได้ ได้แต่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนซึ่งข้อกาหนดอันหนัก
ยิ่งกว่าที่ขาวจะยอมรับโดยปกติ (เรียกคืนเงินได้เฉพาะค่าสินไหมทดแทนในส่วนของราคาที่สูงขึ้นเท่านั้น)
จากหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปว่า
ก. การซื้อขายลูกสุนัขสมบูรณ์ เพราะเป็นกลฉ้อฉลเพียงเหตุจูงใจ
ข. ขาวเรียกเงินคืนได้เป็นค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในส่วนราคาที่สูงขึ้นเท่านั้น
ค. ดาคนขายสุนัขไม่รับสุนัขคืนได้
7
ข้อ 7 (มสธ.ฉบับพิเศษ 2)
บริษัทจอเปิดร้านขายเครื่องไฟฟ้าหลายชนิด ทั้งได้โฆษณาด้วยว่าสินค้าทุกชนิดมีอะไหล่พร้อมและเป็น
ของนอก ลองได้ซื้อเครื่องซักผ้ามาจากบริษัทจอ เพราะได้ทดสอบการใช้งานแล้วเห็นว่าดีตามที่เพื่อนเคยบอกตน
มา เมื่อซื้อไปแล้ว ต่อมาเครื่องซักผ้าเสีย บริษัทบอกว่าซ่อมได้ แต่ อะไหล่นอกไม่มีขาดตลาดมานานแล้ว ลองมา
ปรึกษาท่านว่าต้องการคืนเครื่องซักผ้าโดยอ้างว่าถูกบริษัทหลอกและให้บริษัทคืนเงินมาให้บางส่วนก็ได้ ท่านจะให้
คาปรึกษาแก่ลองอย่างไร
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังนี้
1. มาตรา 159 การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
การถูกฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่งจะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็น
โมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทาขึ้น
วินิจฉัย
การถูกฉ้อฉลนั้นต้องเป็นการหลอกลวงจนถึงขนาด คือ ต้องหลอกต้องหลอกให้หลงเชื่อจนเข้าทานิติกรรมนั้น
หากไม่มีการหลอกลวงเช่นนั้นแล้ว นิติกรรมนี้ก็จะมิได้เกิดขึ้นเลย
จากข้อเท็จจริง จะเห็นได้ว่า การที่ลองได้ซื้อเครื่องซักผ้าจากบริษัทจอ โดยได้ทดสอบการใช้งานแล้ว
เห็นว่าดี จึงได้ตัดสินใจซื้อเครื่องซักผ้าดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การที่ลองได้ตกลงใจซื้อเครื่องซักผ้ านั้นไม่ได้
เกิดจากการถูก กลฉ้อฉลแต่อย่างใด เพราะลองได้ตัดสินใจซื้อเอง มิได้ซื้อเพราะหลงเชื่อโฆษณาเรื่องอะไหล่แต่
อย่างใด
ดังนั้นการซื้อเครื่องซักผ้าจึงไม่ตกเป็นโมฆียะ การที่บริษัทจอได้โฆษณาด้วยว่าสินค้าทุกชนิดมีอะไหล่
พร้อมและเป็นของนอกนั้น ไม่ได้ทาให้ลองหลงเชื่อ จึงไม่เป็นกลฉ้อฉลถึงขนาด ดังนั้น การซื้อขายนี้มีผลสมบูรณ์
เมื่อการซื้อขายสมบูรณ์แล้ว จะอ้างว่าถูกบริษัทหลอกแล้วขอคืนเงินไม่ได้
จากกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจะให้คาปรึกษาแก่ลองว่า การที่ลองได้
ตกลงใจซื้อเครื่องซักผ้านั้นไม่ได้เกิดจากการถูกกลฉ้อฉลแต่อย่างใด การซื้อขายนี้มีผลสมบูรณ์ ลองจะอ้างว่าถูกบริษัท
หลอกแล้วขอคืนเงินไม่ได้
8
วินิจฉัย
กลฉ้อฉลถึงขนาดนั้นต้องเป็นการจูงใจโดยหลอกลวงให้เข้าใจผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุให้เขาเข้าทา
นิติกรรมด้วย ซึ่งถ้าไม่มีการหลอกลวงเช่นว่าแล้ว นิติกรรมก็จะมิได้ทาขึ้นเลย
วินิจฉัย
ก เป็นผู้เยาว์อายุ 17 ปี ตามหลักทั่วไปแล้วจะทานิติกรรมใดต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
ในที่นี้คือ บิดาของตนเสียก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์กระทาลงจะตกเป็นโมฆียะ แต่ตามข้อเท็จจริงผู้เยาว์ได้
ทากิจการค้าขายโดยค้าขายมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว บิดาของ ก รู้เห็นมิได้ว่ากล่าวคงปล่อยให้ ก ทาการค้าขาย
ทั้ง บางครั้งยังช่วยขายแทน จึงเป็นกรณีเข้าข้อยกเว้นในเรื่องผู้เยาว์ได้รับอนุญาตโดยปริยาย ให้ทาการ
ค้าขายได้ซึ่งในเรื่องนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทาขึ้นอันเกี่ยวกันกับกิจการค้าขายนั้นเป็นอันสมบูรณ์ เพราะผู้เยาว์มีฐ านะ
เสมือนดังบุคคลบรรลุนิติภาวะ
การที่ ง ซื้อแจกันจาก ก โดยไม่รู้ว่าแจกันนั้นปากกระเทาะ เพราะ ก ได้เอาปูนพลาสเตอร์ปะไว้
ง ได้ถูก ก ทากลฉ้อฉลเพื่อซื้อแจกันมีตาหนิ ผลของกลฉ้อฉลคือ ทาให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อ
กลฉ้อฉลนั้นถึงขนาด ซึ่งหมายถึงว่า ถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลนั้น นิติกรรมการซื้อขายแจกันจะมิได้มีขึ้นเลย แต่ในกรณีนี้
ง ต้องการซื้อแจกัน แม้แจกันจะมีรอยตาหนิก็จะซื้อ แต่จะซื้อในราคาที่ต่ากว่านี้ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่านิติกรรมมิได้
เกิดจากกลฉ้อฉลถึงขนาดแต่อย่างใด นิติกรรมจึงไม่เป็นโมฆียะ แต่กรณีนี้เป็นกลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจเพื่อให้
10
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วางหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ว่า
หลักกฎหมายที่ 1 (มาตรา 159 วรรคแรก) การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็น
โมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทาขึ้น (มาตรา 159 วรรค 2)
ถ้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก การแสดงเจตนานั้นจะเป็นโมฆียะ
ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้น (มาตรา 159 วรรค 3)
วินิจฉัย
จากข้อเท็จจริงตามโจทย์วินิจฉัยได้ว่า การที่คนขาย โฆษณาอวดอ้างคุณภาพของสินค้าว่าผ้าไม่ยับไม่
ย่น ซึ่งถ้าการยืนยันความจริงแล้วปรากฏว่าไม่เป็นความจริงตามที่โฆษณาก็ถือว่าเป็นกลฉ้อฉล เพราะมีเจตนา
หลอกให้นายสองหลงเชื่อจึงเข้าทานิติกรรมซื้อผ้าไหมดังกล่าว แต่กรณีนี้ปรากฏว่าคนขายยืนยันรับรองเรื่อง
คุณภาพของผ้านั้นว่าไม่ยับไม่ย่น โดยการขยาให้นายสองดูว่าเป็นความจริงจึงไม่ เป็นกลฉ้อฉล ตาม ป.พ.พ. 159
เพราะการที่ผ้ายับย่นนั้นเกิดจากการที่นายสองนาไปรีดด้วยความร้อนสูง จึงเป็นความผิดของนายสองเอง ดังนั้น
นิติกรรมจึงสมบูรณ์ นายสองไม่สามารถเรียกค่าเสียหายใดๆจากผู้ขายหรือทางร้านขายผ้าได้
จากหลั ก กฎหมายประกอบเหตุ ผ ลดั ง กล่ า วข้ า งต้ น จึ ง สรุ ป ว่ า ข้ อ อ้ า งของนายสองฟั ง ไม่ ขึ้ น
เนื่องจากทางร้านมิได้หลอกลวงนายสองให้เข้าทานิติกรรมเลยแต่อย่างใด การที่ผ้ายับย่นนั้นเป็นความผิดของ
นายสองเอง นายสองจึงไม่สามารถเรียกค่าเสียหายจากทางร้านได้
12
จากกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงสรุปว่า การแสดงเจตนาทานิติกรรมดังกล่าวมีผล
สมบูรณ์ตามกฎหมาย และข้ออ้างของนายทาใจฟังไม่ขึ้น เพราะการกระทาของนายทาดีผู้จะซื้อไม่เป็นกลฉ้อฉล
โดยการนิ่ง
เจตนาลวง
ข้อ 1 นายอาทิ ตย์กั บนางจันทรา ตกลงทาสัญ ญากั นหลอกๆว่า นายอาทิ ตย์ข ายรถยนต์ คั นหนึ่ง ของตนให้แ ก่
นางจันทราในราคา 400,000 บาท นายอาทิตย์ได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่นางจันทรา แต่ไม่มีการชาระราคากันจริง ต่อมา
อีก 7 วัน นางจันทราเอารถยนต์คันนั้นไปขายให้แก่นายอังคารในราคา 380,000 บาท หลังจากนั้นอีก 1 เดือน
นายอาทิตย์ทราบเรื่องจึงบอกกล่าวเรียกร้องให้นายอังคารเอารถยนต์มาส่งคืน ให้แก่ตนโดยอ้างว่ารถยนต์เป็นของตน
ตนมิได้ขายรถยนต์คันนั้นให้แก่นางจันทราจริงๆ นายอังคารไม่ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายอาทิตย์ และบอกแก่นาย
อาทิตย์ว่า ตนจะคืนรถยนต์ให้ต่อเมื่อได้รับเงินคืน 380,000 บาท ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่าในขณะที่นาย
อังคารซื้อรถยนต์จากนางจันทรานั้น นายอังคารรู้ว่านายอาทิตย์ไม่ได้ขายรถยนต์คันนั้นให้แก่นางจันทราจริ งๆ ดังนี้
ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายอังคารต้องส่งคืนรถยนต์ให้แก่นายอาทิตย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
กรณีตามปัญหา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วางหลักที่เกี่ยวข้องไว้ว่า
1. มาตรา 155 วรรคแรก การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อ
ต่อสูบ้ ุคคลภายนอก ผู้กระทาการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้
วินิจฉัย
โดยหลัก การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง คือ การที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายสมรู้หรือตกลงกัน
กระทาหรือแสดงกิริยาอาการอย่างใดยอย่างหนึ่งออกให้ดูเหมือนเป็นการแสดงเจตนา แต่แท้จริงแล้วเป็นการลวง
เจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่สมรู้กันนั้นมิได้ต้องการให้เกิดผลในทางกฎหมาย ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวใน
สิทธิแต่อย่างใด
การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง มีผลในกฎหมายมาตรา 155 วรรคแรก คือ ตกเป็นโมฆะ
ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กฎหมายคุ้มครองบุคคลภายนอก โดยบัญญัติห้าม
มิให้บุคคลใดๆ ยกความเป็นโมฆะของการแสดงเจตนาลวงขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก ซึ่งเป็นผู้ 1) กระทาการ
โดยสุจริต และ (2) ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
“กระทาโดยสุจริต” หมายความว่า กระทาโดยไม่รู้และไม่มีเหตุอันควรรู้ถึงการที่ไม่มีสิทธิหรือความ
บกพร่องแห่งสิทธิที่มีมาในอดีต
“ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น” หมายความว่า บุคคลภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นได้รับ ความ
เสียหาย เนื่องจากได้กระทาการอย่างหนึ่งอย่างใดไปเพราะหลงเชื่อการแสดงเจตนาลวงนั้น
ดังนั้น หากบุคคลภายนอกกระทาการโดยไม่สุจริตแต่เกิดความเสียหายกับตน หรือบุคคลภายนอกกระทา
การโดยสุจริต แต่ไม่ได้รับความเสียหายแล้ว กฎหมายก็จะไม่คุ้มครองบุคคลภายนอก บุคคลใดๆสามารถยกเอา
ความเป็นโมฆะดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกได้
กรณีตามปัญหา นายอาทิตย์กับนางสาวจันทราสมรู้กันแสดงเจตนาลวงว่านายอาทิตย์ขายรถยนต์ให้แก่
นางจันทรา สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายอาทิตย์กับนางจันทราจึงตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 155 วรรคแรกตอนต้น
ต่อมานางจันทราขายรถยนต์คันนั้นให้แก่นายอังคาร โดยในขณะที่นายอังคารซื้อรถยนต์จากนางจันทรานั้น นาย
อั ง คารก็ รู้ ว่ า นายอาทิ ต ย์ ไ ม่ ไ ด้ ข ายรถยนต์ คั น นั้ น ให้ แ ก่ น างจั น ทราจริ ง ๆ กรณี จึ ง ถื อ ได้ ว่ า นายอั ง คารซึ่ ง เป็ น
บุคคลภายนอกกระทาโดยไม่สุจริต นายอังคารจึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมาย ตามมาตรา 155 วรรคแรกตอนท้าย
ดังนั้น เมื่อนายอาทิตย์เรียกร้องให้นายอังคารส่งรถยนต์แก่ตนนายอังคารจึงต้องส่งคืนรถยนต์ให้นายอาทิตย์
จากกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงสรุปว่า นายอังคารต้องส่งคืนรถยนต์ให้แก่นายอาทิตย์
เพราะกฎหมายไม่คุ้มครองบุคคลภายนอกที่กระทาการโดยไม่สุจริตแม้จะเกิดความเสียหายกับตนก็ตาม
2
กรณีตามปัญหาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วางหลักที่เกี่ยวข้องไว้ว่า
มาตรา 155 วรรคแรก การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็น
ข้อต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้กระทาการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้
วินิจฉัย
โดยหลัก การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง มีผลในกฎหมายตามมาตรา 155 วรรคแรก
คือ ตกเป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ถ้าบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กฎหมายคุ้มครองบุคคลภายนอก โดยบัญญัติห้าม
มิให้บุคคลใดๆ ยกความเป็นโมฆะของการแสดงเจตนาลวงขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก ซึ่งเป็นผู้ (1) กระทา
การโดยสุจริต และ (2) ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
“กระทาโดยสุจริต” หมายความว่า กระทาโดยไม่รู้และไม่มีเหตุอันควรรู้ถึงการที่ไม่มีสิทธิหรือความ
บกพร่องแห่งสิทธิที่มีมาในอดีต
“ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น ” หมายความว่า บุคคลภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้ องนั้นได้รับ
ความเสียหาย เนื่องจากได้กระทาการอย่างหนึ่งอย่างใดไปเพราะหลงเชื่อการแสดงเจตนาลวงนั้น
ดังนั้น หากบุคคลภายนอกกระทาการโดยไม่สุจริตแต่เกิดความเสียหายกับตน หรือบุคคลภายนอก
กระทาการโดยสุจ ริต แต่ไม่ได้ รับความเสียหายแล้ว กฎหมายก็จะไม่คุ้มครองบุคคลภายนอก บุคคลใดๆ
สามารถยกเอาความเป็นโมฆะดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกได้
กรณีตามปัญหา การที่นายบัวขาวและนางบัวบานได้สมรู้กันแสดงเจตนาลวงว่านายบัวขาวซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง
จากนางบัวบานนั้น การแสดงเจตนาลวงระหว่างนายบัวขาวและนางบัวบานย่อมตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 155
วรรคแรกตอนต้น จึงมีผลทาให้ที่ดินแปลงดังกล่าวยังคงเป็นของนางบัวบานตามเดิม และการที่นายบัวขาวได้ยก
ที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายโมหะนั้น แม้ว่านายโมหะจะเป็นบุคคลภายนอก แต่กรณีที่บุคคลภายนอกจะ
ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายนั้น บุคคลภายนอกจะต้องได้กระทาการโดยสุจริต และต้องได้รับความ
เสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นด้วย ตามมาตรา 155 วรรคแรกตอนท้าย แต่กรณีตามปัญหา นายโมหะ
กระทาการโดยไม่สุจริต คือ ได้รับมอบที่ดินแปลงนั้นจากนายบัวขาวโดยทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่าง
นายบัวขาวกับนางบัวบาน และนายโมหะก็ไม่ได้รับความเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น เพราะนายโมหะ
รับมอบที่ดินจากนายบัวขาวโดยไม่ได้เสียค่าตอบแทนแต่อย่างใด นายโมหะจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม
กฎหมาย ดังนั้น นางบัวบานเจ้าของที่ดินจึงสามารถฟ้องคดีเรียกที่ดินแปลงนั้นคืนจากนายโมหะได้ ส่วนกรณี
6
คาถาม 1
นายไชโยมีความเดือดร้อนเรื่องเงิน เนื่องจากต้องการส่งบุตรชายไปศึกษาต่อต่างประเทศ จึงได้ไป
ติดต่อขอกู้เงินจานายโชคดีเป็นเงิน 500,000 บาท นายโชคดีซึ่งเพิ่งจะถูกคนรู้จักชอบพอกันรายหนึ่งที่มากู้ยืม
เงินตนโกงไป จึงกลัวว่าจะประสบปัญหาเช่นเดิม จึงบอกนายไชโยว่าถ้าเดือดร้อนจริงและอยากได้เงินให้เอา
ที่ดินของนายไชโยมาทาสัญญาขายฝากไว้กับตนก็จะไม่ขัดข้อง นายไชโยก็ตกลงทาสัญญาขายฝากที่ดินไว้
ต่อมาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจนายไชโยไม่มีเงินไปไถ่ถอนที่ดินจากการขายฝากและนายไชโยไม่ต้องการจะเสียที่ดิน
ไป นายไชโยจึงอ้างต่อนายโชคดีว่าสัญญาขายฝากรายการนี้เป็นโมฆะ เนื่องจากทาขึ้นเพื่ออาพรางสัญญากู้ยืม
ท่านเห็นด้วยกับนายไชโยหรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบ
กรณีตามปัญหาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 155 วรรค 2) วางหลักไว้ว่า “ถ้าการ
แสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทาขึ้นเพื่ออาพรางนิติกรรมอื่น ให้นาบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติ
กรรมที่ถูกอาพรางมาใช้บังคับ”
กรณีจะเป็นนิติกรรมอาพรางจะต้องมีนิติกรรม 2 นิติกรรม นิติกรรมอันหนึ่งคู่กรณีต้ องการจะ
ผูกพันกันจริงๆ แต่ปกปิดไว้ด้วยนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่เปิดเผย แต่ไม่ต้องการผูกพันกัน
ตามปัญหาไม่ได้มีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าคู่สัญญา คือ นายไชโยและนายโชคดีมีความประสงค์จะ
ผูกพันกันตามสัญญากู้ยืม ไม่มีการตกลงทาสัญญากู้ยืมเพื่อปิดบังสัญญาขายฝาก แต่ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่า
คู่กรณีประสงค์จะผูกพันกันตามสัญญาขายฝาก กรณีนี้จึงไม่ใช่นิติกรรมอาพราง สัญญาขายฝากจึงไม่เป็นโมฆะ
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับนายไชโย
2
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วางหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ว่า
หลักกฎหมายที่ 1 (มาตรา 155 วรรคแรก) การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็น
โมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทาการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวง
นั้นมิได้
ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทาขึ้นเพื่ออาพรางนิติกรรมอื่น ให้นาบทบัญญัติของกฎหมาย
อันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอาพรางมาใช้บังคับ (155 วรรค 2)
วินิจฉัย
จากข้อเท็จจริงตามโจทย์วินิจฉัยได้ว่า การที่นายแดงและนายดาได้ทาหนังสือสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดิน
กันต่อหน้าเมียของนายแดงซึ่งเป็นสัญญาที่ไม่ได้ทาต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะเหตุความเกรงใจเมียจึง
แกล้งทาเป็นแลกเปลี่ยนที่ดินกันนั้น ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างนายแดงกับนายดาจึง
ทาให้การแสดงเจตนาของทั้งสองฝ่ายเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. 155 วรรคแรก
กรณีที่นายดาได้นาที่ดินแปลงที่นายแดงยกให้มาทาสัญญาจะซื้อจะขายให้นายเขียวไปหลังจากที่ตนได้
ขาดทุนจากการเปิดร้านอาหารนั้น เพราะคิดว่าที่ดินทั้งสองแปลงที่นายแดงให้เป็นของตนซึ่ง นายเขียวเองก็
ไม่ได้รู้ถึงข้อเท็จจริงของการทาสัญญาระหว่ างนายแดงกับนายดามาก่อน นายเขียวจึงตกอยู่ในฐานะเป็น
บุคคลภายนอกผู้กระทาการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงที่นายแดงกับนายดาได้ก่อขึ้น
แม้ต่อมานายแดงรู้เรื่อง นายแดงจะยกเอาความเป็นโมฆะของสัญญาที่ตนได้ทากับนายดาก่อนหน้านี้มาขึ้น
เป็นข้อต่อสู้นายเขียวหาได้ไม่
สาคัญผิด
คาถาม 5
สมต้องการซื้อรถยนต์ จึงไปที่บริษัท ก. พบรถยนต์คันหนึ่งสวยถูกใจ และคิดว่าเป็นรถยนต์ประกอบ
จากนอก เพราะตั้ ง ใจจะซื้ อ รถยนต์ ป ระกอบจากนอก แต่ ค วามจริ งรถยนต์ คั นนั้ น เป็ น รถยนต์ ป ระกอบ
ภายในประเทศ จึงซื้อด้วยเงินสด แต่ยังไม่ได้โอนทะเบียน ปรากฏว่าสมหัวใจวายตายภายหลังจากซื้อรถยนต์
ได้ 2 วัน เมื่อถึงกาหนดวันโอนทะเบียนรถยนต์ ทานาทได้ไปดาเนินการโอนแทน ปรากฏว่า มีคนอื่นให้ราคา
ดีกว่า ทางบริษัทจึงพยามขอซื้อรพยนต์คืนในราคาเดิม โดยขอให้ไปเลือกดูรถยนต์คันอื่น ซึ่งประกอบจากนอก
แต่ทายาทไม่ยินยอม บริษัท ก. ไม่ยอมโอนทะเบียนให้ โดยอ้างว่า สัญญาไม่สมบูรณ์ เพราะรู้จากทายาทว่าสม
ต้องการซื้อรถยนต์ประกอบจากนอก แต่รถยนต์คันดังกล่าวประกอบในประเทศ
ดังนี้ ท่านเห็นด้วยกับข้ออ้างของบริษัท ก. หรือไม่ เพราะเหตุใด และทายาทจะเรียกร้องให้บริษัท
ก. ส่งมอบรถยนต์แกตนตามสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วางหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้
1. มาตรา 157 “การแสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ
ความส าคั ญ ผิ ด ตามวรรคหนึ่ ง ต้ อ งเป็ น ความส าคั ญ ผิ ด ในคุ ณ สมบั ติ ซึ่ ง ตามปกติ ถื อ ว่ า เป็ น
สาระสาคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสาคัญผิดดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทาขึ้น”
2. มาตรา 175 วรรคแรก โมฆียกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
(3) บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสาคัญผิดหรือถูกฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่
มาตรา 175 วรรค 2 ถ้าบุคคลผู้ทานิติกรรมอันเป็นโมฆียะถึงแก่ความตายก่อนมีการบอกล้าง
โมฆียกรรม ทายาทของบุคคลดังกล่าวอาจบอกล้างโมฆียกรรมนั้นได้”
3. มาตรา 177 “ถ้าบุคคลผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรมตามมาตรา 175 ผู้หนึ่งผู้ใด ได้ให้สัตยาบันแก่
โมฆี ย กรรม ให้ ถื อ ว่ า การนั้ น เป็ น อั น สมบู ร ณ์ ตั้ ง แต่ แ รก แต่ ทั้ ง นี้ ย่ อ มไม่ ก ระทบกระเทื อ นถึ ง สิ ท ธิ ข อง
บุคคลภายนอก”
วินิจฉัย
สมตั้งใจซื้อรถยนต์ที่ประกอบจากนอก แต่ความจริงรถยนต์ที่ซื้อนั้นประกอบภายในประเทศ จึงเป็น
กรณีที่ ส มส าคัญผิ ดในคุณสมบั ติอั น เป็ น สาระส าคัญของนิ ติกรรมคือ ตัว ทรัพย์สิ นที่ซื้ อ หากสมรู้ ว่า รถนั้ น
ประกอบภายในประเทศก็คงไม่ซื้อ นิติกรรมมีผลเป็นโมฆียะ อันเนื่องมาจากความส าคัญผิดดังกล่าวตาม
มาตรา 157
การที่บริษัท ก. ไม่ยอมโอนทะเบียนรถยนต์ให้ทายาทสม โดยอ้างว่าสัญญาไม่สมบูรณ์นั้น บริษัท ก.
ไม่สามารถอ้างได้ เพราะบริษัท ก. มิใช่บุคคลที่สามารถบอกล้างโมฆียกรรมที่เกิดจากความสาคัญผิดได้ ตาม
มาตรา 175 ผู้ที่มีสิทธิบอกล้างคือ ทายาทของสม ไม่ใช่ บริษัท ก.
การที่ทายาทของสมได้ไปดาเนินการโอนทางทะเบียนแทนสม แสดงว่าทายาทนั้ นได้ให้สัตยาบันแก่
โมฆียกรรม ผลของการให้สัตยาบันก็คือ ถือว่า การซื้อรถยนต์ที่สมทากับบริษัท ก. นั้นมีผลสมบูรณ์มาตั้งแต่
เริ่มแรกแล้ว
กรณีตามปัญหา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วางหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้
1. มาตรา 156 วรรค 1 การแสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสาคัญแห่งนิติกรรมเป็น
โมฆะ
2. มาตรา 158 ถ้าความสาคัญผิดนั้นเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้
แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสาคัญผิดนั้นมาใช้ประโยชน์แก่ตนไม่ได้
วินิจฉัย
กรณีนี้เป็นเรื่องนิติกรรมซึ่งเกิดจากความสาคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสาคัญนิติกรรม ซึ่งในที่นี้เป็น
ความสาคัญผิดในตัวทรัพย์หรือวัตถุแห่งนิติกรรมนั่นเอง คือ ทานิติกรรมในทรัพย์คนละสิ่งกับที่มีเจตนา เหตุที่
กฎหมายบัญญัติให้นิติกรรมซึ่งเกิดจากการแสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสาคัญตกเป็นโมฆะ
ก็เพราะการแสดงเจตนานั้นวิปริตไปจนอาจเรีย กได้ว่าขาดเจตนาทานิติกรรม แต่กฎหมายก็ไม่ประสงค์จะ
คุ้มครองบุคคลซึ่งประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แต่อย่างไรก็ดี กฎหมายก็ห้ามมิให้ถือเอาความสาคัญผิดมาใช้
เป็นประโยชน์แก่ตนเฉพาะผู้แสดงเจตนาที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น ส่วนคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งที่มิได้
ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือผู้มีส่วนได้เสียคนอื่นย่อมจะยกเอาความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าว
อ้างได้
จากข้อเท็จ จริ งเห็ น ได้ว่ า ตัว ทรั พย์ ที่เหลื องเจตนาทานิติก รรมขายก็คือ ที่ดินแปลง ก แต่ด้ว ย
ความสาคัญผิดได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลง ข แทน จึงเป็นเรื่องซึ่งเหลืองสาคัญผิดในตัวทรัพย์ที่จะทานิติ
กรรม ทาให้สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ คือเท่ากับไม่มีสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นเลย
การที่ขาวอ้างว่าการซื้อขายสมบูรณ์เพราะได้ทาตามแบบแล้วและเป็นความผิดของเหลืองเองที่ไม่
รอบคอบนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะกรณีที่ขาวจะอ้างได้นั้นต้องเป็นเรื่องซึ่งเกิดจากความประมาทเลิ นเล่ ออย่าง
ร้ายแรงเท่านั้น แต่กรณีนี้พิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้วว่า เหลืองสายตาไม่ค่อยดี และเลขที่โฉนด 2 แปลงก็
ใกล้ เคีย งกัน ทั้งเนื้ อที่ก็ผิ ดกัน เล็กน้ อย เช่นนี้มิใช่ความประมาทเลิ นเล่ ออย่างร้ายแรงแต่อย่างใด ดังนั้น
ข้ออ้างของขาวฟังไม่ขึ้น
จากหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของขาว ขาวไม่มี
กรรมสิ ท ธิ์ ใ นที่ ดิ น แปลง ข เพราะการซื้ อ ขายเป็ น โมฆะ เนื่ อ งจากความส าคั ญ ผิ ด ในตั ว ทรั พ ย์ ซึ่ ง เป็ น
สาระสาคัญแห่งนิติกรรมนั้น
3
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วางหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้
1. มาตรา 157 การแสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นโมฆียะ
ความส าคั ญ ผิ ด ตามวรรคหนึ่ ง ต้ อ งเป็ น ความส าคั ญ ผิ ด ในคุ ณ สมบั ติ ซึ่ ง ตามปกติ ถื อ ว่ า เป็ น
สาระสาคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสาคัญผิดดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทาขึ้น
วินิจฉัย
การที่ช เยนตัดสิ น ใจจ้ างพิมพ์ มณีมาเป็นนักแสดงโยส าคัญผิ ดว่าเป็นหลานคุณหญิงพิมพ์แ ข
แต่ความจริงไม่ใช่นั้น กรณีนี้ถือได้ว่าชเยนได้แสดงเจตนาโยความสาคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลคือพิมพ์มณี
ซึง่ แต่เนือ่ งจากว่าคุณสมบัตขิ องพิมพ์มณีดงั กล่าวหาเป็นผลให้สญ
ั ญาจ้างดังกล่าวตกเป็นโมฆียะไม่ เพราะจาก
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ถึงแม้พิมพ์มณีจะมิได้เป็นคนๆเดียวกันตามที่ชเยนเข้าใจ แต่พิมพ์มณีก็ยังสามารถ
แสดงละครที วี ไ ด้ เ ป็ น อย่ า งดี ส มความต้ อ งการของชเยน ดั ง นี้ ถื อ ได้ ว่ า ความส าคั ญ ผิ ด ของชเยนหาใช่
สาระสาคัญสาหรับสัญญาจ้างนักแสดงรายนี้แต่อย่างใดไม่ สัญญาดังกล่าวจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้
ข้อ 1.
ก. พงศ์ซื้อสลากกาชาดของมหาวิทยาลัยรามคาแหงมา จานวน 10 ใบ กาหนดออกรางวัลในวันที่
31 ธันวาคม 2553 ในวันที่ 10 ธันวาคม 2553 พรและพุฒเป็นน้องของพงศ์ได้อ้อนวอนขอสลากกาชาดจาก
พงศ์ พงศ์จึงจาใจให้สลากดังกล่าวแก่พรและพุฒไปคนละ 1 ใบ เมื่อถึงกาหนดออกรางวัลในวันที่ 31 ธันวาคม
2553 ปรากฏว่าสลากใบที่พงศ์ให้พุฒไปนั้นถูกรางวัลที่ 1 พงศ์เสียดายจึงไปทวงสลากคืนจากพุฒโดยอ้างว่า
ตนมิได้มีเจตนาจะให้สลากกาชาดนั้นแก่พุฒจริงๆ พุฒไม่ยอมคืน พงศ์จึงฟ้องคดีเรียกสลากกาชาดใบที่ถูก
รางวัลดังกล่าวคืนจากพุฒ ให้ท่านวินิจฉัยว่า พงศ์มีสิทธิเรียกสลากกาชาดคืนจากพุฒหรือไม่ เพราะเหตุใด
ข. ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะที่พุฒรับสลากกาชาดจากพงศ์นั้น พุฒรู้ว่าพงศ์ไม่มีเจตนาให้สลาก
กาชาดนั้นแก่ตนจริง คาวินิจฉัยของท่านจะเป็นประการใด เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 154 “การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดง
ออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอัน
ซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น”
วินิจฉัย
จากบทบัญญัติมาตรา 154 เป็นเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งมีหลักคือ การแสดงเจตนาไม่เป็น
โมฆะ แม้ในใจจริงของผู้แสดงเจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม แต่มีข้อยกเว้นคือ การแสดง
เจตนานั้นจะตกเป็นโมฆะ ถ้าเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายผู้รับการแสดงเจตนา) ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจ
ของผู้แสดงเจตนา ในขณะที่แสดงเจตนานั้น
ดังนั้น นิติกรรมอันเกิดจากการแสดงเจตนาซ่อนเร้นอยู่นั้นจะตกเป็นโมฆะหรือไม่ขึ้น อยู่กับว่าคู่กรณี
อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดง เจตนาในขณะที่แสดงเจตนานั้นหรือไม่ ถ้ารู้นิติกรรมนั้นก็
ต้องตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าไม่รู้นิติกรรมนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะ
กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้
ก. การกระทาของพงศ์เป็นการแสดงเจตนาทานิติกรรมในรูปสัญญาให้สลากกาชาดแก่พุฒ ถึงแม้ว่า
พงศ์จะอ้างว่ามิได้มีเจตนาจะให้สลากกาชาดแก่พุฒจริงๆก็ตาม การแสดงเจตนาของพงศ์ก็ไม่ตกเป็นโมฆะตาม
มาตรา 154 ดังนั้น สัญญาการให้สลากกาชาดแก่พุฒจึงมีผลสมบูรณ์ พงศ์จึงไม่มีสิทธิเรียกสลากกาชาดคืนจาก
พุฒ
ข. ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่พุฒรับสลากกาชาดจากพงศ์นั้น พุฒรู้ว่าพงศ์ไม่มีเจตนาให้สลาก
แก่พุฒจริงๆ การแสดงเจตนาของพงศ์ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 154 ตอนท้าย ถือเป็นกรณีที่คู่กรณีอีกฝ่าย
ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนาแล้ว ดังนั้น กรณีตามข้อ ข พงศ์ย่อมมีสิทธิเรียกสลากกาชาด
คืนจากพุฒได้
สรุป
ก. พงศ์ไม่มีสิทธิเรียกสลากกาชาดคืนจากพุฒ
ข. พงศ์มีสิทธิเรียกสลากกาชาดคืนจากพุฒ
2
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 154 การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ตนได้
แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนา
อันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น
วินิจฉัย
เป็นเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งมีหลักคือ การแสดงเจตนาไม่เป็นโมฆะ แม้ในใจจริงของผู้
แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม
ข้อยกเว้น การแสดงเจตนานั้ น จะตกเป็นโมฆะ ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ ายหนึ่ง (ฝ่ ายผู้รับการแสดง
เจตนา) ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนา ในขณะที่แสดงเจตนานั้น
ดังนั้น นิติกรรม อันเกิดจากการแสดงเจตนาซ่อนเร้นนั้นจะตกเป็นโมฆะหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าคู่ กรณี
อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนเร้นของผู้แสดงเจตนาในขณะแสดงเจตนา นั้นหรือไม่ ถ้ารู้นิติกรรมนั้นก็ต้อง
ตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าไม่รู้นิติกรรมนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะ
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น การกระทาของแดงเป็นการแสดงเจตนาทานิติกรรมในรูปสัญญาให้
สลากกาชาดแก่ขาว ถึงแม้แดงอ้างว่าในใจจริงแล้วตนมิได้มีเจตนาจะให้สลากกาชาดนั้นแก่ขาวจริงๆ ก็ตาม
การแสดงเจตนาของแดงไม่ตกเป็น โมฆะตามมาตรา 154 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กฎหมายถือว่าการ
แสดงออกมาภายนอกสาคัญยิ่งกว่าเจตนาซ่อนอยู่ในใจนั่นเอง ดังนั้นสัญญาให้สลากกาชาดแก่ขาวเป็นอัน
สมบูรณ์
สรุป แดงไม่มีสิทธิเรียกสลากกาชาดคืนแก่ขาว
1
ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 164 วรรคแรก “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ”
มาตรา 165 วรรคแรก “การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่”
วินิจฉัย
จะเห็นได้ว่าโดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ห มายความว่า เป็นการใช้อานาจบังคับ
จิต ใจของบุค คล เพื ่อ ให้เ ขาเกิด ความกลัว แล้ว แสดงเจตนาท านิต ิก รรมออกมาตามที ่ผู ้ข ่ม ขู ่ต ้อ งการ
การแสดงเจตนานั้นตกเป็นโมฆะ แต่มีข้อยกเว้นว่า ถ้าเป็นการข่มขู่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วย่อมทาได้
ไม่ตกเป็นโมฆียะ เช่น การขู่ว่า จะใช้สิทธิตามปกตินิยม ตามมาตรา 165 วรรคแรก ซึ่งเป็นการใช้สิทธิ
โยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิซึ่งตนมีอยู่อย่างที่ปกติคนทั่วไปเขาใช้กัน เช่น การใช้สิทธิเรียกร้องให้
ลูกหนี้ใช้หนี้ตน เป็นต้น
จากข้อเท็จจริง ปรากฏว่า การที่นางทองแดงเป็นหนี้นางทองเหลืองอยู่ 2 ล้านบาท เมื่อถึง
กาหนดเวลาชาระหนี้ นางทองแดงได้สั่งจ่ายเช็คให้นางทองเหลืองไป แต่เช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินจาก
ธนาคาร นางทองเหลืองจึงขู่นางทองแดงให้ออกเช็คใหม่ มิฉะนั้นจะแจ้งความต่อตารวจให้ดาเนินคดีกับนาง
ทองแดงนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิโยชอบด้วยกฎหมายในฐานะเป็นเจ้าหนี้
เมื่อนางทองแดงสั่ งจ่ ายเช็คให้ นางทองเหลืองใหม่ แม้จะเกิดจากความกลั วต่อการข่มขู่จากนาง
ทองเหลืองก็ไม่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้การสั่งจ่ายเช็คตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 164 แต่อย่างใด
ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 165 การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่
วินิจฉัย
นายแดงเป็นหนี้เงินกู้นายดา จานวน 200,000 บาท เมื่อหนี้ถึงกาหนดนายแดงไม่นาเงินไปชาระ
นายดาจึงขู่นายแดงว่าถ้าไม่หาทรัพย์มาเป็นหลักประกันจะฟ้องเรียกเงินกู้ต่อศาล นายแดงกลัวถูกฟ้องจึงได้
นาสร้อยคอทองคาหนักหนึ่งบาทมาให้นายดายึดไว้เป็นหลักประกัน เช่นนี้นายแดงจะอ้างว่าการที่ตนนา
สร้อยคอทองคามาให้นายดายึดไว้ เป็นเพราะการข่มขู่ของนายดาจึงตกเป็นโมฆียะหาได้ไม่ เพราะนายดามี
สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จะฟ้องนายแดงต่อศาลได้อยู่แล้ว เป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่ถือว่าเป็น
การข่มขู่
สรุป ข้ออ้างของนายแดงฟังไม่ขึ้น
คาถาม 3 นายเอกได้ขอยืมเงินจากนายตรีไปเป็นเงิน 20,000 บาท กาหนดใช้คืนภายใน 2 ปี เวลาผ่านไป
2 ปี 6 เดือน นายเอกก็ไม่ชาระ นายตรีจึงไปพบนายเอกที่บ้านพักเพื่อไปทวงเงินคืน นายเอกก็ตอบว่ายังไม่มี
เงิน นายตรีเห็นนายเอกสวมสร้อยคอทองคาหนัก 2 บาท จึงบอกให้นายเอกถอดสร้อยมาให้ตนยึดถือไว้เป็น
จานาก่อน มิฉะนั้นจะให้ทนายยืนเรื่องฟ้องร้องต่อศาลทันที นายเอกกลัวถูกฟ้องจึงจาใจถอนสร้อยให้นาย
ตรียึดไว้เป็นประกัน
จากนั้ น นายโทหลานของนายเอกเมื่ อรู้ เรื่ องดั งกล่ า ว จึง ได้ไ ปพบนายตรีที่ บ้า นพัก แล้ ว ขอ
สร้อยคอคืน นายตรี ไม่ยอมคืน นายโทจึงชักปืนมาจี้นายตรีให้เขียนหนังสือปลดหนี้ให้นายเอก จานวน
20,000 บาท และให้นายตรีรับสร้อยคอเส้นนั้นไว้เป็นอันหมดหนี้กัน นายตรีกลัวจึงยอมเขียนหนังสือปลดหนี้
ให้ ต่อมานายตรีได้มีจดหมายถึงนายเอกว่าขอให้นาเงินจานวน 20,000 บาท มาใช้คืนและรับสร้อยคอไป
ดังนี้ นายเอกต้องชาระเงินจานวนดังกล่าวให้นายตรีหรือไม่ เพราะเหตุใด
มสธ.
คาถาม 8
บริษัท ก. ต้องการจ้างเลขานุการ 3 อัตรา จึงประกาศลงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง โดยกาหนคุณสมบัติไว้ว่า
ผู้สมัครต้องพูดได้ 3 ภาษา คือ ไทย ลาวและอังกฤษปรากฏว่ามีผู้มาสมัคร 4 คน แต่มีนางสาวดวงดีเพียงคนเดียวที่
พูดภาษาลาวไม่ได้ แต่มีความรู้ในทางคอมพิวเตอร์ เมื่อประกาศผลมาปรากฏว่า ทางบริษัทรับนางสาวดวงดีแต่เพียงผู้
เดียว ดังนี้ผู้สมัครอีก 3 คนซึ่งถูกปฏิเสธ จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท ก. ซึ่งทาให้ตนต้องเสียค่าใช้จ่ายมาสมัคร
แม้คุณสมบัติคบถ้วนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังนี้
1. มาตรา 357 บัญญัติว่า “คาเสนอใดเขาบอกปัดไปยังผู้เสนอแล้วก็ดี หรือมิได้สนองรับภายในเวลา
กาหนดดังกล่าวมาแล้วในมาตราทั้งสามมาก่อนนี้ก็ดี คาเสนอนั้นท่านว่าเป็นอันสิ้นสุดความผูกพันแต่นั้นไป”
วินิจฉัย
คาเสนอ คือ การแสดงเจตนาที่มีข้อความชัดเจนแน่นอนเพียงพอที่จะถือเป็นข้อผูกพันที่จะก่อให้เกิด
สัญญาได้ เมื่อมีการสนองตอบ
การที่บริษัท ก. ประกาศทางหนังสือพิมพ์รับสมัครเลขานุการนั้น มิได้มีลักษณะเป็นคาเสนอแต่อย่างใด แต่
เป็นเพียงคาเชิญชวนผู้มีคุณสมบัติดังประกาศ ให้มาสมัครงานต่อบริษัท
การที่ผู้สมัครมาสมัครงานกับบริษัทนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้สมัครมาทาคาเสนอต่อบริษัท บริษัทจึงเป็น
ผู้ทาคาสนองรับคาเสนอนั้น หากต้องการรับผู้ใดเข้าทางาน สัญญาจึงจะเกิด
การที่บริษัทปฏิเสธไม่รับผู้เข้าสมัครทั้ง 3 คน ก็ถือว่าบริษัทได้บอกปัดคาเสนอไปยังผู้เสนอแล้ว ทาให้คา
เสนอนั้นสิ้นผล จึงไม่เกิดสัญญาแต่อย่างใด
จากกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปว่า ผู้สมัครทั้งสามคน ไม่สามารถฟ้องเรียก
ค่าเสียหายจากทางบริษัท เพราะบริษัทบอกปัดไม่รับคาเสนอ ทาให้คาเสนอนั้นสิ้นผล จึงยังไม่เกิดสัญญาที่จะผูกพัน
บริษัทแต่อย่างใด
วิเคราะห์
1. ประเด็นในเรื่องนี้เป็นเรื่องหลักเบื้องต้น ของการเกิดสัญญา นักศึกษาต้องวินิจฉัยให้ได้ว่า ขั้นตอนการ
เกิดสัญญานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยสรุปแล้วสาระสาคัญของสัญญาคือ
(1) ต้องมีบุคคล 2 ฝ่าย
(2) ต้องมีการแสดงเจตนา อันมีความยินยอมของบุคคล 2 ฝ่าย โดยทาเป็นคาเสนอและคาสนอง
ถูกต้องตรงกัน
(3) ต้องมีวัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันในทางกฎหมาย
2. เมื่อเข้าใจหลักของการเกิดสัญญาแล้ว ก็มาดูประเด็นในคาถามว่า สัญญาเกิดขึ้นระหว่างบริษัทกับ
ผู้สมัครหรือไม่ หากสัญญาเกิดขึ้นแล้ว การที่ผู้สมัครต้องเสียหายเพราะบริษัท ผู้สมัครก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหาย
ได้ แต่หากสัญญายังไม่เกิด ไม่มีผลทางกฎหมายที่จะผูกพันบริษัทแต่อย่างใด
3. สัญญาเกิดจากคาเสนอและคาสนองถูกต้องตรงกัน ลักษณะของคาเสนอนั้นต้องมีข้อเท็จจริงเป็น
เรื่องๆ ไปว่า ขนาดไหนจึงจะเรียกได้ว่าเป็นคาเสนอ คือ ต้องเป็นข้อความที่ชัดแจ้งแน่นอน ถือเป็นข้อผูกพันผู้เสนอได้
ในทันทีว่า ถ้ามีคาสนองถูกต้องตรงกับคาเสนอนั้นแล้ว สัญญาจะเกิดขึ้นทันที
4. ประกาศรับสมัครงานทางหนังสือพิมพ์เป็นเพียงคาเชิญชวนผู้ที่สนใจเท่านั้น ไม่มีลักษณะพอจะ
เป็นคาเสนอที่จะผูกมัดบริษัท เพราะเป็นประกาศทั่วไปให้ผู้สนใจและมีคุณสมบัติมาสมัครเท่านั้น การมาสมัครงาน
ต่างหากเป็นคาเสนอ หากบริษัทพอใจคาเสนอของผู้สมัครคนใด ก็สามารถทาคาสนองหรือรับเข้าทางาน สัญญาจึง
เกิดขึ้น แต่ถ้าบริษัทยังไม่สนใจคาเสนอคือไม่รับ ก็เท่ากับบริษัทบอกปัดคาเสนอนั้น คาเสนอนั้นก็สิ้นผลไป ไม่เกิด
สัญญา
หลักสาคัญคือ นักศึกษาต้องวินิจฉัยให้ได้ว่าสัญญาเกิดขึ้นหรือไม่ เกิ ดขึ้นแล้วมีผลอย่างไร หรือถ้ายังไม่
เกิดผลจะเป็นอย่างไร
3
คาถาม 7
ก. ออกประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์เขียว-ทอง ว่า หากผู้ใดสามารถคิดยารักษาโรคเอดส์ได้
สาเร็จจะให้รางวัลหนึ่งล้านบาท ข.และ ค. ได้อ่านพบข้อความในหนังสือพิมพ์ ข. จึงไปพบ ก. แสดงความ
จานงว่า ตนกาลังค้นคว้าอยู่เกือบสาเร็จแล้วตอนนี้อยู่ในขั้นตอนทดสอบผล แต่ ค. นั้นได้ทารทดลองอยู่นาน
แล้ ว ปรากฏว่า เมื่อ ก. ออกประกาศไปได้ 3 เดือ น กิ จการของ ก. ขาดทุนจึ งได้ ล งประกาศโฆษณาใน
หนังสือพิมพ์ มสธ. ถอนประกาศโฆษณาดังกล่าว เพราะหนังสือพิมพ์เขียว-ทอง ปิดกิจการ อีก 2 เดือนต่อมา
หลังจาก ก. ประกาศถอนโฆษณาแล้ว ค. กระทาการสาเร็จและได้มาพบ ก. เพื่อขอรับรางวัลตามประกาศ ก.
อ้างว่าตนได้ถอนการให้รางวัลแล้ว แต่ปรากฏว่า ค.ไม่ทราบถึงการถอนนั้น เพราะไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์
มสธ. และ ก. ยังอ้างอีกด้วยว่าถึงอย่างไรก็ตาม ค. ก็ไม่มีสิทธิในรางวัลอยู่ดี เพราะ ข. เป็นคนมาติดต่อแจ้งให้
ก. ทราบถึงการค้นคว้าก่อน ดังนี้ ท่านเห็นด้วยกับข้ออ้างของ ก. หรือไม่ เพราะเหตุใด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วางหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้
1. มาตรา 362 บุคคลออกโฆษณาให้คามั่นว่าจะให้รางวัลแก่ผู้กระทาการอันใด ท่านว่าจาต้องให้
รางวัลแก่บุคคลใดๆ ผู้ได้กระทาการอันนั้น แม้ถึงมิใช่ว่าผู้นั้นจะได้กระทาเพราะเห็นแก่รางวัล
2. มาตรา 363 วรรคแรก ในกรณีที่กล่าวมาในมาตราก่อนนี้ เมื่อยังไม่มีใครทาการสาเร็จดังบ่งไว้
นั้นอยู่ตราบใด ผู้ให้คามั่นจะถอนคามั่นของตนเสียโดยวิธีเดียวกับที่โฆษณานั้นก็ได้ เว้นแต่ จะได้แสดงไว้ใน
โฆษณานั้นว่าจะไม่ถอน
3. มาตรา 363 วรรคสอง ถ้าคามั่นนั้นไม่อาจจะถอนโดยวิธีดังกล่าวมาก่อน จะถอนโดยวิธีอื่นก็ได้
แต่ถ้าเช่นนั้นการถอนจะเป็นอันสมบูรณ์ใช้ได้เพียงเพราะต่อบุคคลที่รู้
วินิจฉัย
คามั่นในกรณีนี้เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว เป็นการแสดงเจตนาของผู้ให้คามั่นที่จะผูกพันตนเองในการที่
จะให้รางวัลตามประกาศโฆษณา ซึ่งได้กระทาแกบุคคลทั่วไป โดยผู้ให้คามั่นนั้นมุ่งประสงค์ต้องการให้เกิดผล
สาเร็จ ของการกระทาอันใดอันหนึ่งตามประกาศโฆษณา จึงไม่จาเป็นจะต้องมีการแสดงเจตนาสนองตาม
ดังเช่นในกรณีเรื่องสัญญาแต่ผลผูกพันนี้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งผู้ให้คามั่นต้องให้รางวัล แม้ถึงว่าผู้กระทาจะ
ได้กระทาโดยไม่เห็นแก่รางวัลก็ตาม
จากข้อเท็จจริง จึงเห็นได้ว่า ก. ได้ให้คามั่นโดยประกาศโฆษณาทาง นสพ. เขียว-ทอง จะให้รางวัล
แก่ผู้ที่สามารถคิดยารักษาโรคเอดส์ได้ ดังนั้น จึงเท่ากับว่า ก. ผูกพันตัวต่อบุคคลทั่วไปที่จะต้องให้รางวัลแก่
บุคคลใดก็ได้ ซึ่งกระทาการนี้สาเร็จ แม้ว่า ข. จะมาแจ้งให้ ก.ทราบว่า ตนกาลังค้นคว้าอยู่ก็ตาม แต่เมื่อยังไม่มี
ผลสาเร็จของงานตามประกาศก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับรางวัลแต่อย่างใด (มาตรา 362)
ในขณะซึ่งงานยังไม่เสร็จ แม้ว่าผู้ ให้คามั่นคือ ก. สามารถจะถอนคามั่นนั้นเสี ยก็ได้ แต่การถอน
คามั่นดังกล่าวต้องกระทาโดยวิธีเดียวกับวิธีที่โฆษณานั้น ต้องหมายถึงถอนโดยวิธีเดียวอย่างแท้จริง หาก
ถอนด้วยวิธีเดิมไม่ได้จะมีผลสมบูรณ์ใช้ใด้แต่เฉพาะผู้ที่ได้รู้ถึงประกาศถอนเท่านั้น เมื่อ ก. ถอนโฆษณาใน
หนังสือพิมพ์ มสธ. ซึ่งมิใช่หนังสิพิมพ์เขียว-ทอง ที่ได้เคยลงประกาศไว้เดิม โดย ค. ไม่ทราบถึงการถอนนั้น
ดังนี้ ก. ยังต้องผูกพันที่ต้องจ่ายรางวัลตามประกาศ
วิเคราะห์
1. ประเด็นในคาถามนั้น เป็นเรื่องคามั่นจะให้รางวัลว่าจะมีผลอย่างไร เมื่อจับประเด็นได้แล้วก็มาดู
คาถามว่า ผู้ถามต้องการรู้อะไรบ้าง และมีมาตราใดที่เกี่ยวข้องในการตอบคาถาม
นักศึกษาส่วนใหญ่ตอบข้อนี้เป็นเรื่องคาเสนอคาสนอง ซึ่งก่อให้เกิดสัญญา แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
เป็นเรื่องคามั่นจะให้รางวัล ซึ่งแม้เมื่อดูเผินๆ แล้วน่าจะเป็นการประกาศหรือโฆษณาเชิญชวนให้มาทาคา
เสนอ เพื่อก่อให้เกิดสัญญา ซึ่งความเข้าใจนั้นไม่ถูกต้อง
2. คามั่นนั้นเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว และจะมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อเมื่อผู้ให้คามั่นในมัน ทีที่
ประกาศออกไป แต่ประกาศโฆษณาเชิญชวนนั้นยังไม่มีผลใดๆ ในกฎหมาย หากเข้าใจในข้อนี้ก็จะตอบได้
โดยไม่ผิดพลาดสับสน
3. ผลของคามั่นนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีผลสาเร็จของงานเกิดขึ้น แม้ผู้กระทาจะไม่เห็นแก่รางวัล ก็มี
สิทธิได้รับรางวัล ไม่ต้องมาทาคาเสนอหรือมาสนองตอบ (มาตรา 362) แต่ก่อนผลของงานจะสาเร็จ ผู้ให้
คามั่นก็สามารถจะถอนคามั่นได้โดยวิธีเดียวกับการที่ได้โฆษณาไว้ ซึ่งผลของการถอนก็สมบูรณ์ถ้าถอนด้วย
วิธี เ ดี ย วกัน ซึ่ งวิธีเดี ย วกัน หมายความว่ า ต้องเป็นวิธี เดียวกั นจริง ๆ ตามข้อเท็จ จริงการลงโฆษณาใน
หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่ง แม้จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะหนังสือพิมพ์เขียว-ทอง จะถูกปิดก็ตาม ไม่ถือว่า
เป็นการถอนโดยวิธีเดียวกัน แต่เป็ นการถอนโดยวิธีอื่น ดังนั้น จึงใช้กับ ค. เพื่อปฏิเสธไม่ให้รางวัลไม่ได้
ข้าพเจ้าจึงไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของ ก.
4. ข้อบกพร่อง คือ นักศึกษาไม่แม่ตัวบทกฎหมาย และไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างคามั่น
คาเสนอ คาสนอง ว่าแต่ละประเภทคืออะไร มีผลแตกต่างกันอย่างไร ดังนั้น การตอบจึงไม่ตรงกับตัวบท
กฎหมายในเรื่องคามั่น
6
กรณีตามปัญหา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วางหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้
หลักกฎหมายที่ 1 (มาตรา 362) บุคคลออกโฆษณาให้คามั่นว่าจะให้รางวัลแก่ผู้ซึ่งกระทาการอันใด
ท่านว่าจาต้องให้รางวัลแก่บุคคลใดๆ ผู้ได้กระทาการอันนั้น แม้ถึงมิใช่ว่าผู้นั้นจะได้กระทาเพราะเห็นแก่รางวัล
หลักกฎหมายที่ 2 (มาตรา 363 วรรคแรก) ในกรณีที่กล่าวมาในมาตราก่อนนี้ เมื่อยังไม่มีใครทาการ
สาเร็จดังบ่งไว้นั้นอยู่ตราบใด ผู้ให้คามั่นจะถอนคามั่นของตนเสียโดยวิธีเดียวกับที่โฆษณานั้นก็ได้ เว้นแต่จะได้
แสดงไว้ในโฆษณานั้นว่าจะไม่ถอน
วินิจฉัย
กรณีนี้เป็นเรื่อง คามั่นโฆษณาจะให้รางวัล คามั่นมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว
ผูกพันผู้ให้คามั่นโดยไม่ต้องมีการแสดงเจตนาสนองตอบแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ผู้ให้คามั่นมุ่งถึงความสาเร็จของ
การกระทาซึ่งตนโฆษณาไว้ ดังนั้นแม้ผู้กระทาสาเร็จ กระทาโดยไม่เห็นแก่รางวัล ผู้โฆษณาก็ต้องให้รางวัล
ผู้ให้คามั่นจะถอนคามั่นเสียได้ถ้ายังไม่มีผู้ใดทาสาเร็จ แต่ถ้ายังไม่ถอนคามั่นแล้ว ผู้ให้คามั่นก็คงผูกพันอยู่
ตามข้อเท็จจริง เป็นเรื่องคามั่นจะให้รางวัล เมื่อมีบุคคลประดิษฐ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามประกาศ
ได้ ดังนั้น ส ต้องผูกพันตามคามั่นที่ได้ให้ไว้ เมื่อมีบุคคลทาสาเร็จตามโฆษณาแล้ว ส จะอ้างกาหนดอายุความ
มาปฏิเสธไม่จ่ายรางวัลไม่ได้ เพราะ ส ยังมิได้ถอนคามั่นแต่อย่างใด ส จึงต้องผูกพันจ่ายรางวัล แม้ว่า
ฉลาดจะไม่ทราบมาก่อนว่าการประดิษฐ์นั้นจะมีรางวัล ดังนั้น ส ปฏิเสธไม่จ่ายเงินรางวัลไม่ได้
จากหลักกฎหมายประกอบเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปว่า ส จะอ้างกาหนดอายุความมาปฏิเสธ
ไม่จ่ายรางวัลไม่ได้ เพราะ ส ยังมิได้ถอนคามั่นแต่อย่างใด ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของ ส
7
ม.ราม
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554 นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ส่งจดหมายทาง
ไปรษณีย์เสนอ ขายบ้านหลังหนึ่งของตนราคาสามล้านบาทแก่นายจันทร์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนาย
อาทิตย์ ส่ ง จดหมายไปแล้ ว หนึ่ ง วัน ก่อนที่ จดหมายของนายอาทิตย์ไปถึง นายจันทร์ เกิดอุทกภั ยที่จังหวั ด
พระนครศรีอยุธยา กระแสน้าหลากไหลมาอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้นายอาทิตย์จมน้าตาย ดังนี้
ก. การแสดงเจตนาเสนอขายบ้านของนายอาทิตย์มีผลในกฎหมายประการใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ข. กรณีปรากฏว่าเมื่อจดหมายของนายอาทิตย์ไปถึงนายจันทร์ นายจันทร์ได้ทราบข่าวการตายของ
นายอาทิตย์แล้ว แต่อยากได้บ้านหลังที่นายอาทิตย์เสนอขาย นายจันทร์จึงเขียนจดหมายตอบตกลงซื้อบ้าน
หลังนั้นแล้วส่งทางไปรษณีย์ไปให้นายอาทิตย์ นางสาวน้อยหน่าซึ่งเป็นลูกจ้างอยู่ในบ้านของนายอาทิตย์ได้รับ
จดหมายดังกล่าวไว้ ดังนี้ สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายอาทิตย์และนายจันทร์เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 169 วรรคสอง “การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดง
เจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตาย”
มาตรา 360 “บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช่บังคับ ถ้าหากว่า...ก่อนจะสนอง
รับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตาย”
วินิจฉัย
ก. กรณี อุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์ซึ่งมีเจตนาที่จะขายบ้านของตนให้แก่นายจันทร์และได้ส่งการ
แสดงเจตนาเสนอขายบ้านหลังดังกล่าวโดยจดหมายทางไปรษณีย์ไปให้นายจันทร์แล้ว นั้น แม้ต่อมาภายหลัง
นอกอาทิตย์ผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตาย ดังนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคสอง ให้ถือว่า การแสดง
เจตนาเสนอขายบ้านของนายอาทิตย์ที่ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป คือให้ถือว่าการแสดงเจตนาเสนอขาย
บ้านของนายอาทิตย์นั้นยังคงมีผลสมบูรณ์
ข. ตาม อุทาหรณ์ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อจดหมายแสดงเจตนาขายบ้านของนายอาทิตย์ได้
ไปถึงนายจันทร์นั้น นายจันทร์ได้ทราบข่าวการตายของนายอาทิตย์แล้ว แต่นายจันทร์อยากได้บ้านหลังที่นาย
อาทิตย์เสนอขาย นายจันทร์จึงได้เขียนจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นแล้วส่งทางไปรษณีย์ไปให้ นาย
อาทิตย์ กรณีดังกล่าวจึงต้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 360 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า มิให้นา ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรค
สอง มาใช้บังคับ ถ้าหากว่าก่อนที่จะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตาย ดังนั้น กรณีตาม
อุทาหรณ์ดังกล่าวนี้จึงต้องถือว่า การแสดงเจตนาเสนอขายบ้านของนายอาทิตย์นั้นย่อมเสื่อมเสียไป หรือสิ้น
ความผูกพันไป และเมื่อกรณีดังกล่าว ถือว่าไม่มีคาเสนอของนายอาทิตย์ มีแต่เพียงคาสนองของนายจันทร์
ดังนั้น สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายอาทิตย์และนายจันทร์จึงไม่เกิดขึ้น
สรุป
ก. การแสดงเจตนาเสนอขายบ้านของนายอาทิตย์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ข. สัญญาซื้อขายบ้านระหว่านายอาทิตย์และนายจันทร์ไม่เกิดขึ้น
9
ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 358 ถ้าคาบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคาบอกกล่าวนั้นได้ส่ง
โดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากาหนดนั้นไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง
โดยพลันว่าคาสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว
ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้น ท่านให้ถือว่าคาบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางจันทราได้ส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่ นาย
อาทิตย์เสนอ แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่ 5 เมษายน 2556 ซึ่งล่าช้ากว่าเวลาที่นาย
อาทิตย์ได้กาหนดไว้ แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่า นางจันทราส่ง
จดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2556 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึง นาย
อาทิตย์ก่อน หรือภายในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2556 อันเป็นเวลาที่นายอาทิตย์กาหนดไว้ ในกรณีเช่นนี้ คา
สนองของนางจันทราจะเป็นคาสนองล่วงเวลาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่านายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติ หน้าที่
ตามที่กฎหมายกาหนดไว้หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้กฎหมายกาหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่า ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้
สนองโดยพลันว่าคาสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น
(1) ถ้านายอาทิตย์ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคา
สนองของนางจันทราเป็นคาสนองล่วงเวลา
(2) แต่ถ้านายอาทิตย์ละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายให้ถือว่า
จดหมายคาสนองของนางจัน ทราเป็นคาสนองที่มิได้ล่วงเวลา ซึ่งมีผลให้สั ญญาซื้อขายบ้านระหว่างนาย
อาทิตย์กับนางจันทราเกิดขึ้น
สรุป
จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านของนางจันทราที่ส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคาสนองล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า
นายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดไว้หรือไม่ ตามมาตรา 358
10
สรุป ข้ออ้างของนายผอมฟังไม่ขึ้น
11
ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 358 “ถ้าคาบอกกล่าวเสนอมาถึงล่วงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคาบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดย
ทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากาหนดไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีฝ่ายหนึ่ง โดยพลันว่า
คาสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้าเว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว
ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่าในวรรคต้น ท่านให้ถือว่าคาบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ จดหมายคาสนองตอบตกลงซื้อม้าแข่งของนายสมบูรณ์ไปถึงนายสมพงศ์ในวันที่
31 กรกฎาคม 2553 ซึ่งล่าช้ากว่าเวลาที่นายสมพงศ์กาหนดไว้ 6 วัน แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์
ซึงประทับตราบนซองจดหมายของนายสมบูรณ์ว่านายสมบูรณ์ส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม
2553 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะมาถึงนายสมพงศ์ภายใน 3 วัน หรือ 5 วันเป็นอย่างช้า คือ มาถึงทัน
ภายในวันที่ 25 กรกฎคม 2553 ซึ่งนายสมพงศ์กาหนดไปในคาเสนอ
ดังนั้น คาสนองของนายสมบูรณ์จึงเป็นคาสนองที่มาถึงผู้เสนอเนิ่นช้า แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคา
สนองนั้นได้ถูกส่งโดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงผู้เสนอภายในเวลากาหนด ซึ่งจะมีผลในกฎหมายตาม
มาตรา 358 ดังนี้
1. นายสมพงศ์ผู้เสนอมีหน้าที่ต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่าย (คือ นายสมบูรณ์ผู้สนอง) โดยพลันว่า
คาสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่นายสมพงศ์ผู้เสนอจะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว
2. ถ้านายสมพงศ์ผู้เสนอปฏิบัติตามหน้าที่ดังกล่าว กฎหมายจึงจะถือว่าคาบอกกล่าวสนองของนาย
สมบูรณ์เป็นคาสนองล่วงเวลา
3. แต่ถ้านายสมพงศ์ผู้เสนอละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ดังกล่าว กฎหมายถือว่าคาบอกกล่าวสนองของ
นายสมบูรณ์เป็นคาสนองที่มิได้ล่วงเวลา ซึ่งจะมีผลทาให้สัญญาซื้อขายม้าแข่งระหว่างนายสมพงศ์กับนาย
สมบูรณ์เกิดขึ้น
สรุป จดหมายตอบตกลงซื้อม้าแข่งของนายสมบูรณ์จะมีผลในกฎหมายเป็นคาสนองล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่
กับว่า นายสมพงศ์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายกาหนดไว้ตามมาตรา 358 หรือไม่
12
ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 169 วรรคสอง “การแสดงเจตนาเมื่อส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดง
เจตนานั้ น ผู้ แ สดงเจตนาจะถึ ง แก่ ค วามตายหรื อ ถู ก ศาลสั่ ง ให้ เ ป็ น คนไร้ ค วามสามารถหรื อ คนเสมื อ นไร้
ความสามารถ”
มาตรา 358 “ถ้าคาบอกกล่าวมาถึงล่วงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคาบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดย
ทางการซึ่งตามปกติ ควรจะมาถึงภายในเวลาที่กาหนดไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ ายหนึ่งโดน
พลันว่าคาสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะบอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว
ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้น ท่านให้ถือคาบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา”
มาตรา 360 “บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอัน
ผู้เสนอได้แสดง หรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้
ความสามารถ”
มาตรา 361 วรรคแรก “อันสัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางนั้น ย่อมเกิดเป็นสัญญา
ขึ้นแต่เวลาเมื่อคาบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ”
วินิจฉัย
กรณี ตามอุทาหรณ์ การที่นายศรีตรังส่งจดหมายตอบตกลงซื้อพระสมเด็จวัดระฆังไปยังนายศรีกรุง
เป็นการแสดงเจตนาทาคาสนองต่อนายศรีกรุงผู้เสนอซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แม้ได้ส่งการแสดงเจตนาออกไป
แล้ว นายศรีตรังผู้แสดงเจตนาทาคาสนองได้ถูกศาลสั่งให้ตกเป็นคนไร้ความสามารถก่อน การแสดงเจตนานั้น
ไปถึงนายศรีกรุง กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 360 การแสดงเจตนาทาคาสนองที่ได้ส่งออกไปแล้วนั้น
จึงไม่เสื่อมเสียไปตามมาตรา 169 วรรคสอง
และแม้การแสดงเจตนานั้นไปถึงนายศรีกรุงผู้รับการแสดงเจตนาในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่ง
ล่วงเลยระยะเวลาที่นายศรีกรุงกาหนดให้นายศรีตรังทาคาสนองก็ตาม แต่โดยที่เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าคาสนอง
นั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งปกติควรจะมาถึงนายศรีกรุงภายในเวลากาหนด คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 เมื่อ
13
นายศรีกรุงผู้รับคาสนองมิได้บอกกล่าวแก่นางศรีสวยโดยพลันว่าคาสนองมาถึงเนิ่นช้า ก็ต้องถือว่าคาสนองนั้น
มิได้ล่วงเวลาตามมาตรา 358 วรรคสอง สัญญาซื้อขายพระสมเด็จฯ องค์ดังกล่าวระหว่างนายศรีกรุงและนาง
ศรีสวยคู่สมรสของนายศรีตรังจึงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ตามมาตรา 361 วรรคแรก นางศรีสวยจึงเรียกร้องให้นาย
ศรีกรุงส่งมอบพระสมเด็จฯ องค์นั้นให้นางศรีสวย โดยรับเงินจานวน 1 ล้านบาท ไปจากนางศรีสวยได้
ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 358 ถ้าคาบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคาบอกกล่าวนั้นได้ส่ง
โดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากาหนดนั้นไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง
โดยพลันว่าคาสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว
ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้น ท่านให้ถือว่าคาบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา
วินิจฉัย
คาสนองของนายสุ เทพ ไปถึงนายสมบัติล่ าช้ากว่ าเวลาที่นายสมบัติกาหนดไว้ แต่เป็นที่เห็นได้
ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ ซึ่ง ประทั บ ตราบนซองจดหมายว่า นายสุ เทพส่ ง จดหมายฉบับ นั้น ตั้งแต่วั นที่ 2
พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ซึ่งตามกปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึงนายสมบัติก่อนวันที่ 10 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2548 อันเป็ นเวลาที่น ายสมบั ติกาหนดไว้ ในกรณีเช่นนี้ คาสนองของนายสุเทพจะเป็นคาสนอง
ล่วงเวลาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่านายสมบัติซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดไว้หรือไม่ ซึ่งใน
เรื่องนี้กฎหมายกาหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่า ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโยพลันว่าคาสนองนั้นมาถึง
เนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น
(1) ถ้านายสมบัติปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคา
สนองของนายสุเทพเป็นคาสนองล่วงเวลา
(2) แต่ถ้านายสมบัติละเลยไม่ป ฏิบัติห น้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดไว้ดั งกล่าว กฎหมายให้ถือว่า
จดหมายคาสนองของนายสุเทพเป็นคาสนองที่มิได้ล่วงเวลา (ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนาย
สมบัติกับนายสุเทพเกิดขึ้น)
16
ธงคาตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 169 วรรคสอง การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการ
แสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตาย
มาตรา 360 บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหากว่า...ก่อนจะ
สนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่า ผู้เสนอตาย
วินิจฉัย
(ก) นายกิ่งได้แสดงเจตนาโดยส่งจดหมายเสนอขายบ้าน 1 หลัง ราคา 2 ล้านบาทให้แก่นายก้าน
เมื่อนายกิ่งได้ส่งจดหมายซึ่งเป็นการแสดงเจตนาไปแล้ว ถึงแม้หลังจากนั้นนายกิ่งได้ถึงแก่ความตาย การแสดง
เจตนาขายบ้านของนายกิ่งก็ยังมีผลสมบูรณ์ไม่เสื่อมเสียไป ตามมาตรา 169 วรรคสอง
(ข) นายก้านได้รับจดหมายเสนอขายบ้านของนายกิ่งในวันที่ 3 พฤษภาคม 2549 จึงได้ต อบตกลง
ซื้อบ้านไปยังนายกิ่งในวันที่ 5 พฤษภาคม โดยไม่ทราบข่าวการตายของนายกิ่ง สัญญาซื้อขายบ้านระหว่าง
ทายาทของนายกิ่ ง กั บ นายก้ า นจึ ง เกิ ด ขึ้ น เพราะนายก้ า นมาทราบข่ า วการตายของนายกิ่ ง ในวั น ที่ 6
พฤษภาคม 2549 หลังจากได้ตอบจดหมายตกลงซื้อไปแล้ว กรณีนี้จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม มาตรา 360
17
คาถาม-มสธ.
ต้อยเข้าไปในร้านอาหารและร้องสั่งอาหารดังๆว่า ขอเส้นใหญ่ราดหน้าจานหนึ่ง เจ้าของร้านมิได้ตอบ
อะไร แต่ได้ลุ ก ขึ้น ไปเดิน ผั ดราดหน้ า ขณะเจ้าของร้านกาลั งผั ดราดหน้าอยู่ ต้อยเปลี่ ยนใจจึงบอกว่าขอ
เปลี่ยนเป็นเส้นหมี่ เจ้าของร้านบอกว่า ทาแล้วเปลี่ยนไม่ได้ แล้วก็ยกราดหน้ามาให้ต้อยต้อยไม่ยอมรับจึงเกิด
โต้เถียงกัน เจ้าของร้านเรียกให้ต้อยชาระราคา ต้อยไม่ชาระอ้างว่าสัญญาซื้อขายไม่เกิดเพราะเจ้าของร้านมิได้
ตอบตกลงเมื่อตนบอกว่า ขอส้นใหญ่ราดหน้าและแม้จะเกิดก็เป็นสัญญาให้ เพราะตนบอกว่ามิใช่ซื้อ จึงไม่ต้อง
จ่ายเงิน ท่านเห็นด้วยกับข้ออ้างของต้อยหรือไม่เพราะเหตุใด จงให้เหตุผลประกอบ
เฉลย
ในเรื่องนี้มีหลักกฎหมายเกี่ยวข้องดังนี้
มาตรา 132 ในการความนั้นท่านให้ฟังถึงเจตนาจึงยิ่งยวดกว่าตัวกฎหมาย
มาตรา 356 คาเสนอทาแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้า โดยมิได้บ่งระยะเวลาให้ทาคาสนองนั้น เสนอ ณ
ที่ใด เวลาใด ก็ย่อมจะสนองได้แต่ ณ ที่นั้น เวลานั้น..............
มาตรา 361 วรรคสองถ้าตามเจตนาอันผู้เสนอได้แสดงหรือตามปกติประเพณีไม่จาเป็นจะ
มีคาบอกกล่าวสนองไซร้ ท่านว่าสั ญญานั้นเกิดเป็นสัญญาขึ้นในเวลาเมื่อกาลอันใดอันหนึ่ง ขึ้นอันจะพึงสันนิ
ฐานได้ว่าเป็นการเจตนาสนองรับ
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ต้อยเข้าไปในร้านอาหารร้องสั่งดังๆว่า ขอเส้นใหญ่ราดหน้าจานหนึ่ง นั้น
พฤติการณ์ที่แสดงออกมาเห็นได้ว่า ต้อยมีเจตนาซื้อราดหน้ามิใช่ขอ หากจะขอต้อยย่อมไม่ตะโกนสั่งดังๆเช่นนี้
ทั้งต้องไม่กล้าขอเปลี่ยนตามอาเภอใจ ดังนั้นแม้ถ้อยคาจะว่า ขอ ก็ ต้องหมายความว่า ซื้อเพราะการตีความ
แสดงเจตนาต้องเพ็งเล็งถึงเจตนาที่แท้จริงยิ่ งกว่าถ้อยคาตามตัวอักษรตามมาตรา 132
การที่ต้อยแสดงเจตนาซื้อราดหน้ากับเจ้าของร้าน เป็นการทาความเสนอแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้า
แม้เจ้าของร้านจะมิได้ตอบตกลง แต่ก็ได้ลุกเดินไปผัดราดหน้าซึ่งเป็นการแสดงเจตนาสนองรับ ณ ที่นั้นเวลา
นั้นแล้ว เพราะการแสดงเจตนานั้นไม่จาเป็นแสดงด้วยวาจาเสมอไป ด้วยกริยาท่าทางที่เข้าใจได้แล้ว ทั้งยังมี
กฎหมายมาตรา 361 วรรคสองที่ว่า ตามปกติประเพณีไม่จาเป็นต้องมีคาบอกกล่าวสนองไซร้ ท่านว่าสัญญา
นั้นเกิดเป็นสัญญาขึ้นในเวลาเมื่อมีการอันใดอันหนึ ่งขึ้นอันจะพึงสันนิฐานได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาสนองรับ
ซึ่งก็สามารถนามาใช้เทียบเคียงในกรณีนี้คือปกติประเพณีในการขาย อาหาร ผู้ขายก็ไม่จาเป็ นต้องมีคาบอก
กล่าวสนองตอบ ดังนั้นเมื่อมีการลงมือผัดราดหน้า จึงถือว่าได้มีการอันใดอันหนึ่งอันพึงสันนิฐานได้ว่าเป็นการ
แสดงเจตนาสนองรับคาเสนอแล้ว สัญญาซื้อขายจึงเกิดขึ้น
ดังนั้น ต้อยจึงมีหน้าที่ต้องชาระราคาข้ออ้างทั้งสองข้อฟังไม่ขึ้น
18
1
กฎหมายแพ่ง 1
ต้อยเข้าไปในร้านอาหารและร้องสัง่ อาหารดังๆว่า ขอเส้นใหญ่ราดหน้าจานหนึ่ง เจ้าของร้านมิได้ตอบอะไร แต่ได้ลุกขึ้น
ไปเดินผัดราดหน้า ขณะเจ้าของร้านกาลังผัดราดหน้าอยู่ ต้อยเปลี่ยนใจจึงบอกว่าขอเปลี่ยนเป็ นเส้นหมี่เจ้าของร้านบอกว่า ทาแล้ว
เปลี่ยนไม่ได้ แล้วก็ยกราดหน้ามาให้ตอ้ ยต้อยไม่ยอมรับจึงเกิดโต้เถียงกัน เจ้าของร้านเรี ยกให้ตอ้ ยชาระราคา ต้อยไม่ชาระอ้างว่า
สัญญาซื้อขายไม่เกิดเพราะเจ้าของร้านมิได้ตอบตกลงเมื่อตนบอกว่า ขอส้นใหญ่ราดหน้าและแม้จะเกิดก็เป็ นสัญญาให้ เพราะตน
บอกว่ามิใช่ซ้ือ จึงไม่ตอ้ งจ่ายเงิน ท่านเห็นด้วยกับข้ออ้างของต้อยหรื อไม่เพราะเหตุใด จงให้เหตุผลประกอบ
เฉลย
ในเรื่ องนี้มีหลักกฎหมายเกี่ยวข้องดังนี้
มาตรา 356 คาเสนอทาแก่บุคคลผูอ้ ยูเ่ ฉพาะหน้า โดยมิได้บ่งระยะเวลาให้ทาคาสนองนั้น เสนอ ณ ที่ใด เวลาใด ก็ยอ่ มจะสนอง
ได้แต่ ณ ที่น้ นั เวลานั้น..............
กฎหมายแพ่ง ๑
แสงอายุ 18 ปี มีความสามารถในการเล่นดนตรี จึงได้ต้งั วงดนตรี คณะ เขียวทอง โดยบิดาของแสงได้ให้การสนับสนุน
ฝึ กซ้อมให้ และบางครั้งก็รับติดต่องานแทนแสงด้วย
เฉลย
หลักกฎหมาย
แสงนั้นแม้วา่ จะอายุ 18 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตาม แต่การที่ต้งั วงดนตรี รับงานแสดงนี้เป็ นเรื่ องข้อยกเว้น ซึ่งผูเ้ ยาว์สามารถ
กระทาได้ คือทากิจการค้าและในการนี้เมื่อบิดาของแสงได้ให้การสนับสนุนฝึ ก ซ้อมให้และติดต่อรับงานแทนด้วย ก็เป็ นการ
แสดงว่าบิดาได้อนุญาตให้แสงกระทากิจการค้าได้โดยปริ ยายแล้ว เมื่อเป็ นเช่นนี้ในความเกี่ยวพันกับกิจการดนตรี ของคณะเขียว
ทอง แสงมีฐานะเสมือนดังผูบ้ รรลุนิติภาวะ เมื่อบิดาของปอขอบอกล้างนิติกรรมการจ้างกับแสงนั้นถือว่าการบอก ล้างสมบูรณ์
แล้ว นิติกรรมการจ้างเป็ นโมฆียะมาแต่เริ่ มแรก แม้บิดาของแสงจะไม่ทราบก็ตาม ดังนั้น บิดาของปอปฏิบตั ิไม่ยอมจ่ายค่าแสดง
ได้
3
กฎหมายแพ่ง ๑
กาบอายุ ๗๕ ปี เป็ น อัมพาตเดินไม่ได้ตอ้ งรักษาตัวอยูโ่ รงพยาบาลก้อนอายุ ๑๔ ปี เป็ นหลานมาเยีย่ มกาบจึงแอบยกเงิน
จานวนหนึ่งให้กอ้ นโดยมิได้บอกให้แสงซึ่งเป็ นมาราดารู ้ ต่อมาอีก ๑ ปี ก้อนถูกรถยนต์ชนจนเป็ นคนวิกลจริ ต และ อีก ๒ ปี
ต่อมาได้แอบให้แหวนของตนแก่สร้อยโดยสร้อยไม่รู้วา่ ก้อนวิกลจริ ต อีก ๑ ปี ต่อมาก้อนหัวใจวายแสงจึงรู ้ถึงนิติกรรมต่าง ๆ ที่
ก้อนได้ทาขึ้น จึงได้บอกล้างนิติกรรมนั้น
ตอบ
มาตรา ๒๒ ผูเ้ ยาว์อาจทาการใดๆ ได้ท้งั สิน หากเป็ นเพียงเพือ่ มีสิทธิอนั ใดอันหนึ่ง หรื อเป็ นการเพือ่ ให้หลุดพ้นจากหน้าที่อนั ใด
กฎหมายแพ่ง 1
เฉลย
หลักกฎหมาย
(1)...................................
มัดจานั้นเป็ นสิ่งของที่คู่สญ
ั ญาฝ่ ายหนึ่งมอบให้แก่คู่สญ
ั ญาอีก ฝ่ ายหนึ่งในขณะทาสัญญา ซึ่งการวางมัดจานี้ก็เท่ากับว่าเป็ น
พยานหลักฐานว่าได้เกิดมีสญ ั ญาขึ้นในระหว่างคู่กรณี แล้วและมัดจานี้ยอ่ มเป็ นหลักประกันด้วยว่าจะต้องปฏิบตั ิตามสัญญาที่ตก
ลงกันไว้น้ นั (ม. 377)
ตามข้อเท็จจริ งการที่ ก ประกาศ ขายรถยนต์และ ค ได้มาสนใจดูรถและได้วางเงินไว้ให้ ก. 5,000 บาท ก็แสดงว่าก และ ค ได้
ตกลงทาสัญญาซื้อขายรถยนต์แล้วแม้วา่ จะมิได้ทาสัญญากันเป็ นลายลักษณ์อกั ษรก็ตาม เพราะเงิน5,000 บาท นี้ถือว่าเป็ นเงินมัด
จาซึ่งเป็ นหลักฐานว่าทั้ง 2 จะได้ปฏิบตั ิก็ตามสัญญาซื้อขายคือฝ่ าย ก จะเป็ นฝ่ ายส่งมอบรถ และ ค ต้องชาระราคาให้ครบถ้วน
กฎหมายแพ่ง 1
เอกอายุ 17 ปี ทาพินยั กรรมยกแหวนของตนเองให้โทพีสาวอายุ 17 ปี ต่อมาอีก 4 ปี เอกถูกรถชนสมองฟันเฟื องเป็ นคน
วิกลจริ ต เอกได้ขายนาฬิกาของตนให้กบั หนึ่งโดยหนึ่งไม่ทราบว่าเอกจริ ตวิกล ต่อมาอีก 1 ปี ศาลสัง่ ให้เอกเป็ นคนไร้
ความสามารถ หนึ่งทราบว่าเอกถูกศาลสัง่ ดังกล่าว แต่เมื่อผูอ้ นุบาลของเอกมาบอกล้างสัญญาซื้อขายนาฬิกา ซึ่งหนึ่งได้ทาไว้กบั
เอกหนึ่งก็ไม่ยอมคืนนาฬิกาให้เพราะซื้อไว้ ในราคาถูกมากดังนี้
เฉลย
หลักกฎหมาย
สรุป
กฎหมายแพ่ง
บริ ษทั จอเปิ ดร้านขายเครื่ องใช้ไฟฟ้ าหลายชนิดทั้งได้โฆษณาด้วยว่าสินค้าทุกชนิดมีอะไหล่พร้อมและเป็ นของนอกลอง
ได้ซ้ือเครื่ องซัก ผ้ามาจากบริ ษทั จอ เพราะได้ทดสอบการใช้งานแล้วเห็นว่าดีตามที่เพือ่ นเคยบอกตนมาเมื่อซื้อไปแล้วต่อมาเครื่ อง
ซักผ้าเสีย บริ ษทั บอกว่าซ่อมได้แต่อะไหล่นอกไม่มีขาดตลาดมานานแล้วลองมาปรึ กษาท่าน ต้องการคืนเครื่ องซักผ้าโดยอ้างว่า
ถูกบริ ษทั หลอกและ ให้บริ ษทั คืนเงินมาให้บางส่วนก็ได้ ท่านจะให้คาปรึ กษาแก่ลองอย่างไร
หลักกฎหมาย
วิเคราะห์
กฎหมายแพ่ง 1
เจอายุ 14 ปี ได้ยกแหวนเพชรวงหนึ่งของตนให้หมิว อายุ 14 ปี แฟนสาว และต่อมาอีก 3 เดือน เจก็ตกลงใจทา
พินยั กรรมยกรถยนต์ปอร์เช่ของตนให้หมิวอีก แล้วเจทาพินยั กรรมฉบับนั้นมาให้นายโจบิดาของตนดู แต่นายโจก็ไม่ได้วา่
อะไร อีก 6 เดือน ต่อมา เจถูกรถยนต์ชนเสียชีวติ หมิวจึงมาเรี ยกร้องรถยนต์ปอร์เช่จากนายโจตามพินยั กรรม นายโจอ้างว่าตน
มิได้ให้ความยินยอมการทาพินยั กรรมและการให้แหวน ดังนั้นเมือตนบอกล้างนิติกรรมทั้งสองจึงตกเป็ นโมฆะ หมิวจึงต้องคืน
แหวนเพชรให้กบั ตน ส่วนหมิวก็ต่อสูว้ า่ นิติกรรมทั้งสองสมบูรณ์ เนื่องจากเป็ นนิติกรรมที่เป็ นคุณประโยชน์แก่ตน ดังนั้นตนไม่
ต้องคืนแหวน และนายโจต้องส่งมอบรถยนต์ให้ตนท่านเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของนาย โจหรื อหมิว หรื อไม่เห็นด้วยกับทั้งสอง
คน เพราะเหตุใด
หลักกฎหมาย
ม.175 โมฆียกรรมนั้นบุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
วินิจฉัย
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับทั้งหมิวและโจ
8
กฎหมายแพ่ง 1
แดง เป็ นคนสติฟั่นเฟื อน อายุ 17 ปี ได้ยกแหวนของตนให้เหลือง โดยเหลืองไม่ทราบว่าแดงเป็ นคนสติฟั่นเฟื อน จึงซื้อ
ไว้ในราคา 10,000 บาท ต่อมาอีก 1 ปี แดงได้หายเป็ นปกติและได้หลงรัก นางสาวฟ้ า ถึงขนาดทาพินยั กรรมยกทรัพย์สินทั้งหมด
ของตนให้นางสาวฟ้ า ต่อมาเพิง่ จะทราบในภายหลังถึงการซื้อขายแหวนและพินยั กรรมซึ่งแดงทาไปโดยไม่ได้รับความยินยอม
จากตน ดังนี้
1. นิติกรรมซื้อขายแหวนมีผลอย่างไรหรื อไม่
เฉลย
หลักกฎหมาย
3. พินยั กรรมมีผลสมบูรณ์เพราะแดงอายุ
9
กฎหมายแพ่ง 1
สองไปซื้อผ้าที่ร้านขายผ้าแห่งหนึ่ง ขายโฆษณาอวดว่าผ้าของตนรับรองไม่ยบั ไม่ยน่ แล้วขยาผ้าให้ดูก็ปรากฏว่าไม่
ยับ สองจึงซื้อผ้าไหมเพราะเชื่อคาอวดอ้างนั้น และนามาตัดเสื้อใหม่ปรากฏว่าเมื่อนามารี ดเตารี ดมีความร้อนสูงทาให้ผา้ ย่น
เสียหายสวมใส่ไม่ ได้จึงนาเสื้อผ้ามาให้ร้านขายผ้าดูวา่ ที่ทางร้านอ้างว่าไม่ยบั ไม่ยน่ นั้นไม่จริ งแต่ก็ขอเงินคืนบ้างเป็ น
บางส่วน เพราะต้องเสียเงินซื้อแพงเกินไป ดังนี้ท่านเห็นด้วยกับข้ออ้างของสองอย่างไรหรื อไม่
เฉลย
หลักกฎหมาย
กฎหมายแพ่ง 1
ส. ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์วนั ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2534 ว่าหากใครประดิษฐ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถแปล
ข้อความภาษาไทยเป็ นภาษาอังกฤษจะให้รางวัล 4 แสนบาท เวลาล่วงเลยไป 5 ปี แล้ว ฉลาด ได้ประดิษฐ์โปรแกรมดังกล่าวได้
โดยไม่เคยทราบว่า ส. ประกาศให้รางวัล แต่มาทราบจากเพือ่ นของตนในภายหลังเมื่อประดิษฐ์ได้ ดังนั้นฉลาดจึงนาสิ่งประดิษฐ์
ของตนมาขอรับรางวัลจาก ส. ส.อ้างว่าเลยกาหนดอายุความแล้ว และฉลาดเองก็ไม่เคยมาแจ้งให้ ส. ทราบว่าจะอาสาประดิษฐ์
สัญญาจึงไม่เกิดและปฏิเสธไม่จ่ายเงินรางวัล ดังนี้ท่านเห็นด้วยกับข้อกล่าวอ้างของ ส. อย่างไรหรื อไม่
เฉลย
มาตรา 363 วรรคแรกในกรณี ที่กล่าวมาในมาตราก่อนนี้ เมื่อยังไมมีใครทาสาเร็จดังที่ต้งั ไว้น้ นั อยูต่ ราบใด ผูใ้ ห้คามัน่ จะถอน
คามัน่ ของตนเสียเสียโดยวิธีเดียวกับที่โฆษณานั้นก็ได้ เว้นแต่จะได้แสดงไว้ในโฆษณานั้นว่าจะไม่ถอน
กรณี น้ ีเป็ นเรื่ องคามัน่ โฆษณาจะให้รางวัลคามัน่ มีลกั ษณะเป็ นการ แสดงเจตนาเป็ นนิติกรรมฝ่ ายเดียวผูกพันผูใ้ ห้คามัน่ โดยไม่ตอ้ ง
มี การแสดงเจตนาสนองตอบแต่อย่างใด
ดังนั้น ส. ปฏิเสธไม่จ่ายเงินรางวัลไม่ได้
11
41211 กฎหมายแพ่ง 1
ก ออกประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ เขียว-ทอง ว่า หากผูใ้ ดสามารถคิดยารักษาโรคเอดส์สาเร็จจะให้รางวัลหนึ่ง
ล้านบาท ก และ ข ได้อ่านพบข้อความในหนังสือพิมพ์ ข จึงไปพบ ก แสดงความจานงว่าตนกาลังค้นคว้าอยูเ่ กือบสาเร็จแล้ว
ตอนนี้อยูใ่ น ขั้นตอนทดสอบผล แต่ ค นั้นได้ทาการทดลองอยูน่ านแล้ว ปรากฏว่าเมื่อ ก ขาดทุนจึงได้ลงประกาศโฆษณาใน
หนังสือพิมพ์ มล้า ถอนประกาศโฆษณาดังกล่าว เพราหนังสือพิมพ์ เขียว-ทอง ปิ ดกิจการ อีก 2 เดือนต่อมาหลังจาก ก ประกาศ
ถอนโฆษณาแล้ว ค ได้มาพบ ก ขอรับรางวัลตามประกาศ ก อ้างว่าตนได้ถอนการให้รางวัลแล้ว แต่ปรากฏว่า ค ไม่ทราบถึง
การถอนนั้นเพราะไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ มสธ. และ กยังอ้างอีกด้วยว่า ถึงอย่างไรก็ตาม ค ก็ไม่มีสิทธิได้รางวัลอยูด่ ี
เพราะ ข เป็ นคนมาติดต่อแจ้งให้ ก ทราบถึงการค้าคว้าก่อน ดังนี้ ท่านเห็นด้วยกับข้ออ้างของ ก หรื อไม่ เพราะเหตุใด
41211 กฎหมายแพ่ง 1
นายหล่อหมั้นนางสาวสวยด้วยแหวนทองหนึ่งวงราคา 3,000 บาท หลังจากหมั้นกันแล้ว ได้ทาพิธีแต่งงานกันตาม
ประเพณี โดยนายหล่อสัญญาว่าจะไปจดทะเบียน สมรสกับนางสาวสวย ภายใน 1 เดือน หลังแต่งงานถ้าในการจัดงานแต่งงาน
นางสาวสวยได้เสียค่าใช้จ่ายใน พิธีแต่งงานอันได้แก่ค่าอาหารเลี้ยงพระและแขกในวันแต่งงาน 60,000บาท หลังจากแต่งงานอยู่
กินเป็ นสามีภริ ยากันแล้วประมาณหนึ่งเดือน นางสาวสวยก็ได้ลาออกจากงานที่นางสาวทาอยูท่ ี่บริ ษทั แห่งหนึ่ง เพือ่ มาช่วยงาน
บ้านนายหล่อซึ่งเป็ นร้านชายของชา และขอให้นายหล่อไปจดทะเบียนสมรสตามสัญญานายหล่อไม่ยอมไปจดทะเบียนแต่กลับ
ไล่นางสาวสวยให้กลับไปอยูบ่ า้ นบิดาของนางสาวสวย ดังนี้
เฉลย
หลักกฎหมาย
จากอุทาหรณ์
1. การที่นางสาวสวยได้เสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานตามรายการต่างๆนั้น จะต้อง
41211 กฎหมายแพ่ง 1
นางสุมาลีลกั ลอบได้เสียกับนายสมพรจนเกิดบุตรชายคือเด็กชายกริ ช ต่อมานางสุมาลีถึงแก่ความตาย นายสมพรละทิ้ง
ไม่ดูแลบุตร นางแจ่มผูเ้ ป็ นยายจึงนาเด็กชายกริ ชมาอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา หลังจากนางสุมาลีตายไปแล้ว***ปี นายสม
พรไปจดทะเบียนรับรองบุตรแล้วเด็กชายกริ ชเป็ นบุตรโดยขอบด้วยกฎหมายและนาไปเลี้ยงดูเองนางแจ่มไม่พอใจจึงฟ้ องคดีต่อ
ศาล อ้างว่านายสมพรประพฤติน้ นั ไม่เหมาะสมชอบดื่มสุรา ขอให้ศาลเพิกถอนการรับรองบุตร นายสมพรให้การปฏิเสธว่านาง
แจ่มไมมีสิทธิแต่อย่างใดที่จะนาคดีมา ฟ้ องทั้งเด็กก็เป็ นบุตรของนายสมพรเช่นนี้ถา้ ท่านเป็ นศาลจะพิพากษาให้เพิกถอนการ
รับรองบุตรหรื อไม่ เพราะเหตุใด
เฉลย
กฎหมายแพ่ง 1
ประหยัดได้ยมื เงินจากอารี ไป 20,000 บาท กาหนดใช้คืนภายใน 2 ปี เวลาผ่านไป 2 ปี 6 เดือน ประหยัดก็ไม่ชาระอารี
ไปพบประหยัดที่บา้ นพักทวงเงินคืน ประหยัดก็ตอบว่ายังไม่มีเงิน อารี เห็นประหยัดสวมสร้อยคอทองคาหนัก 2 บาท จึงบอกให้
ประหยัดถอดสร้อยมาให้ตนยึดถือไว้เป็ นจานาก่อน มิฉะนั้นจะให้ทนายฟ้ องทันที่ ประหยัดกลัวถูกฟ้ องจึงจาใจถอนสร้อยให้อารี
ยึดไว้เป็ นประกัน
เฉลย
หลักกฎหมาย
หลักกฎหมาย
กฎหมายแพ่ง 1
ทองเป็ นสามีพลอยได้เปิ ดร้านค้าเครื่ องเพชร วันหนึ่งทองถูกรถยนต์ชน สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่าง
มาก ผ่าตัดแล้วอาการก็ไม่ดีข้ นึ มีสติฟั่นเฟื อน เมื่อกลับมาอยูท่ ี่ร้านทองได้โทรศัพท์สงั่ ซื้อเครื่ องเพชรจากห้างหุน้ ส่านจากัดอัญ
มณี มาเป็ นจานวนเงิน 1 ล้านบาท ทางห้างฯ ดังกล่าวได้ส่งเครื่ องเพชรจานวนดังกล่าวให้ทองตามสัง่ ต่อมาอีก 2 เดือน พลอยได้
ยืน่ คาร้องขอให้ทองเป็ นคนไร้ความสามารถต่อมาทองได้สงั่ ซื้อบุษราคัมจากห้างฯ ดังกล่าวอีก เป็ นจานวนเงินอีก 1 ล้าน
บาท ทางห้างฯ ก็ได้สงั่ ของให้ตามสัง่ เพราะทองเป็ นลูกค้าประจา โดยทางห้างฯ มิได้รู้ถึงอาการฟั่นเฟื อนหรื อความเป็ นคนไร้
ความสามารถของทองแต่อย่างใด
เฉลย
หลักกฎหมาย
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1 และวิธีตอบคาถามที่ถูกต้อง
(แนวคาตอบ)
ย่อหน้าที่หนึ่งเน้นหนักไปทางแก่นกฎหมายแยกเป็นหมวดหมู่สาระสาคัญ
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่อง ความสามารถในการทานิติกรรมของผู้เยาว์ มี
สาระสาคัญสรุปได้ดังนี้
-นิติกรรมใด ๆ ที่ผู้เยาว์ทาไปโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนย่อมเป็น
โมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
-ผู้แทนโดยชอบธรรมมีสิทธิ...
1.ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้นให้สมบูรณ์ได้หรือ
2.บอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้นให้ตกเป็นโมฆะ
-การให้สัตยาบันต่อนิติกรรมที่ผู้เยาว์ได้ทาไปโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมนั้น
ย่อมกระทาได้โดยแสดงเจตนาต่อคู่กรณีอีกฝุายหนึ่งและมีผลให้นิติกรรมดังกล่าวสมบูรณ์ตลอดไป
-การบอกล้างนิติกรรมที่ผู้เยาว์ได้ทาไปโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมนั้น ย่อม
กระทาได้โดยแสดงต่อคู่กรณีอีกฝุายหนึ่ง มีผลให้นิติกรรมดังกล่าวตกเป็นโมฆะคือเสียเปล่ามาแต่
เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้ได้รับ
ค่าเสียหายชดใช้แทนนอกจากนี้หากผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม มิได้ใช้สิทธิบอกล้างเมื่อพ้นหนึ่งปี
นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทานิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น
2
คาถาม
นายแสวงขับรถโดยประมาทเลินเล่อ ชนนางอรชรหญิงหม้ายซึ่งตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนเศษ เป็นเหตุให้
สมองของทารกในครรภ์ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ต่อมานางอรชรได้คลอดบุตร
ออกมา คือ ด.ช.ประสาท ปรากฎว่าด.ช.ประสาทมีอาการวิกลจริตเพราะสมองได้รับความ
กระทบกระเทือนขณะอยู่ในครรภ์ นางอรชรจึงได้ยื่นฟูองนายแสวงต่อศาลแทน ด.ช.ประสาท เรียกค่า
สินไหมทดแทน โดยอ้างว่านายแสวงประมาทเลินเล่อทาให้ด.ช.ประสาทวิกลจริต นายแสวงให้การ
ต่อสู้คดีว่า ด.ช.ประสาทไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน เพราะในขณะที่ตนขับรถชนนางอรชร
นั้น ด.ช.ประสาทยังไม่มีสภาพบุคคล จึงยังไม่มีสิทธิใดๆ ให้ผู้อื่นละเมิดได้ ขอให้ศาลยกฟูอง ข้อต่อสู้
ของนายแสวงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
อนึ่ง เมื่อ ด.ช.ประสาทมีอายุ 17 ปีเศษ ได้ซื้อรองเท้าจากร้านศึกษาภัณฑ์พานิชมา 1 คู่ใน
ราคา 35 บาท สัญญาซื้อขายรายนี้จะมีผลสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเหตุใด (1/2520)
แนวการตอบ
นักศึกษาคนที่ 1
ประเด็น
1. สิทธิของทารกในครรภ์มารดา
2. ความสามารถในการทานิติกรรมของผู้เยาว์
3. ความสามารถในการทานิติกรรมของคนวิกลจริต
หลักกฎหมายบัญญัติอยู่ใน ป.พ.พ. ดังนี้
มาตรา 15 วางหลักว่า สภาพบุคคลย่อมเริ่มขึ้นแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย
ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
มาตรา 19 วางหลักว่า บุคคลจะพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์
มาตรา 21 วางหลักว่า ผู้เยาว์จะทานิติกรรมใดๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบ
ธรรม มิฉะนั้นนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
มาตรา 24 วางหลักว่า ผู้เยาว์สามารถทานิติกรรมได้หากว่าเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการ
จาเป็นในการดารงชีพตามสมควร
มาตรา 30 วางหลักว่า นิติกรรมที่คนวิกลจริตทาขึ้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝุายหนึ่งรู้ถึงความ
วิกลจริตในขณะทานิติกรรม นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆียะ
4
วินิจฉัย
ข้อเท็จจริงตามปัญหาขณะที่นายแสวงทาละเมิด ด.ช.ประสาทเป็นทารกในครรภ์มารดา ตาม
มาตรา 15 ว.1 บุคคลจะมีสิทธิได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล และสภาพบุคคลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคลอด
และอยู่รอดเป็นทารก เมื่อปรากฏว่าขณะถูกชนด.ช.ประสาทยังไม่คลอด คือ เป็นทารกในครรภ์
มารดา ด.ช.ประสาทย่อมยังไม่มีสภาพบุคคล จึงไม่อาจมีสิทธิใดๆ ให้นายแสวงละเมิดได้ อย่างไรก็
ตามการที่ตอ่ มา ด.ช.ประสาท คลอดและอยู่รอดเป็นทารก ตามมาตรา 15ว.2 ด.ช.ประสาทย่อมมี
สิทธิย้อนหลังไปในขณะที่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา ดังนั้นเมื่อ ด.ช.ประสาทถูกละเมิดสิทธิใน
ร่างกายขณะเป็นทารกในครรภ์มารดา ย่อมสามารถฟูองร้องนายแสวงฐานะละเมิดได้ นางอรชรใน
ฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมจึงสามารถฟูองให้นายแสวงรับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แทนด.ช.ประสาท
ได้ ต่อมาเมื่อ ด.ช.ประสาท อายุได้ 17 ปีเศษ ได้ไปซื้อร้องเท้ามา 1 คู่ ในเวลานั้น ด.ช.ประสาทอายุ
ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงยังเป็นผู้เยาว์ตามมาตรา 19 การที่ด.ช.ประสาทไปซื้อรองเท้าเป็นการทา
นิติกรรม เมื่อไม่ปรากฏว่าได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม คือ นางอรชร นิติกรรมย่อมตก
เป็นโมฆียะตามมาตรา 21 อย่างไรก็ตามเนื่องจากนิติกรรมการซื้อรองเท้าดังกล่าวข้าพเจ้าเห็นเป็น
การซื้อทรัพย์ที่ราคาที่ราคาไม่สูง และด.ช.ประสาทอาจจะนารองเท้าดังกล่าวมาไว้ใส่ ซึ่งผู้เยาว์
ทั่วๆไปก็ควรมีรองเท้าใส่ จึงเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ทานิติกรรมที่สมแก่ฐานานุรูปและจาเป็นต่อการดารงชีพ
ตามสมควร นิติกรรมการซื้อรองเท้านี้จึงมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 24
กรณีต้องพิจารณาด้วยว่าการทานิติกรรมซื้อรองเท้านั้นตกเป็นโมฆียะเพราะความเป็นคนวิกลจริต
ของ ด.ช.ประสาทหรือไม่ เห็นว่าตามข้อเท็จจริงแม้ ด.ช.ประสาทจะมีอาการวิกลจริตตั้งแต่เกิดและ
อาจยังคงมีอาการวิกลจริตอยู่ แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ขายรู้ถึงความวิกลจริตของ ด.ช.ประสาท
ในขณะทานิติกรรม นิติกรรมจึงไม่ตกเป็นโมฆียะตาม มาตรา 30 แต่อย่างใด
สรุป
ข้อต่อสู้ของนายแสวงฟังไม่ขึ้นเพราะด.ช.ประสาทมีสิทธิย้อนหลังตั้งแต่เวลาที่เป็นทารกในครรภ์
มารดา ตามมาตรา15 ว.2 จึงถูกทาละเมิดได้ และมีสิทธิเรียกให้นายแสวงรับผิดฐานละเมิด
สัญญาซื้อรองเท้ามีผลสมบูรณ์เพราะเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทาขึ้นเป็นการสมแก่ฐานุรูปและจาเป็นต่อ
การดารงชีพตาม มาตรา 24 และไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะความวิกลจริตของผู้เยาว์ตาม
มาตรา 30 เพราะไม่ปรากฏว่าคู่กรณีอีกฝุายรู้ถึงความวิกลจริตของ ด.ช.ประสาทในขณะทานิติกรรม
5
นักศึกษาคนที่ 2
ประเด็นที่ 1 ด.ช.ประสาทมีสิทธิตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์มารดาหรือไม่
หลักกฎหมายใน ป.พ.พ.
ม.15 วางหลักว่า สภาพบุคคลย่อมเริ่มขึ้นแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย
ทารกในครรภ์มารดาก็อาจมีสิทธิได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
ข้อเท็จจริงตามปัญหาในขณะที่ถูกรถนายแสวงชน ด.ช.ประสาทยังเป็นเพียงทารกในครรภ์มารดาจึง
ยังไม่มีสภาพบุคคล เพราะยังไม่คลอดออกมา เมื่อไม่มีสภาพบุคคลย่อมไม่มีสิทธิและหน้าที่ใดๆในทาง
กฎหมายได้ โดยหลักด.ช.ประสาทจึงไม่อาจถูกละเมิดสิทธิได้ ตาม ม.15 ว.1
อย่างไรก็ตามต่อมาปรากฏว่าภายหลัง ด.ช.ประสาทคลอดออกมาและมีชีวิตอยู่รอด ม.15 ว.2 บัญญัติ
ให้ด.ช.ประสาทมีสิทธิได้ และมีสิทธิย้อนหลังไปในขณะอยู่ในครรภ์มารดา เมื่อในขณะอยู่ในครรภ์มี
สิทธิ การที่นายแสวงขับรถมาชนทาให้ด.ช.ประสาทได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองอย่างแรง จึง
เป็นการละเมิดสิทธิของด.ช.ประสาท ด.ช.ประสาทจึงสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายแสวง
ฐานละเมิดได้
สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสวงฟังไม่ขึ้นเพราะด.ช.ประสาทมีสิทธิย้อนหลังไปในขณะเป็นทารกในครรภ์
มารดาตามม.15 ว.2
ประเด็นที่ 2 สัญญาซื้อรองเท้าตกเป็นโมฆียะเพราะความเป็นผู้เยาว์หรือไม่
ม. 19 วางหลักว่า บุคคลจะพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์
ม.21 วางหลักว่า ผู้เยาว์จะทานิติกรรมใดๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติ
กรรมที่ผู้เยาว์ทาลงไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ
ม.24 วางหลักว่า ผู้เยาว์อาจทานิติกรรมที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและจาเป็นต่อการดารงชีพ
ได้
ข้อเท็จจริงตามปัญหา ด.ช.ประสาทอายุ 17 ปีเศษ อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงยังเป็นผู้เยาว์
ตาม ม.19 การที่ด.ช.ประสาทไปทานิติกรรม คือ สัญญาซื้อรองเท้า เมื่อไม่ปรากฏว่าได้รับความ
ยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมโดยหลักสัญญาซื้อรองเท้าย่อมตกเป็นโมฆียะตาม ม.21
อย่างไรก็ตามเนื่องจากการที่ด.ช.ประสาทซื้อรองเท้าอาจนามาใช้ใส่ในชีวิตประจาวัน และการราคา
ของรองเท้าก็เป็นราคาที่พอสมควรที่ผู้เยาว์น่าจะซื้อได้เอง ด้วยเหตุนี้สัญญาซื้อรองเท้าจึงเป็นนิติ
กรรมที่ผู้เยาว์ทาลงโดยสมแก่ฐานานุรูปและจาเป็นต่อการดารงชีพ สัญญาซื้อขายรองเท้าจึงมีผล
6
สมบูรณ์ตาม ม.24
สรุป สัญญาซื้อรองเท้ามีผลสมบูรณ์เพราะเป็นนิติกรรมที่สมแก่ฐานานุรูปและจาเป็นต่อการดารงชีพ
ตาม ม.24
ประเด็นที่ 3 สัญญาซื้อขายรองเท้าตกเป็นโมฆียะเพราะความวิกลจริตหรือไม่
ม.30 ถ้าคนวิกลจริตทานิติกรรมในขณะจริตวิกลและคู่กรณีอีกฝุายหนึ่งรู้ถึงความวิกลจริต นิติกรรม
นั้นย่อมตกเป็นโมฆียะ
ข้อเท็จจริงตามปัญหา ด.ช.ประสาท มีถูกรถยนต์จนมีอาการวิกลจริต ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอาการ
วิกลจริตจนถึงเวลาที่ทาสัญญาซื้อรองเท้าด้วย อย่างไรก็ตามตาม ม.30 นิติกรรมที่คนวิกลจริตทาลง
นั้นจะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝุายหนึ่งรู้อยู่ถึงความวิกลจริตด้วย เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
คู่กรณีอีกฝุายหนึ่งรู้ถึงความวิกลจริต นิติกรรมย่อมไม่ตกเป็นโมฆียะ
สรุป นิติกรรมไม่ตกเป็นโมฆียะตามม.30 เพราะไม่ปรากฏว่า คู่กรณีอีกฝุายหนึ่งรู้ถึงความวิกลจริตของ
ด.ช.ประสาทในขณะทานิติกรรม
นักศึกษาคนที่ 3
ประเด็น ความสามารถในการมีสิทธิของทารกในครรภ์มารดา
ข้อเท็จจริงตามปัญหา ด.ช.ประสาทถูกรถชนในขณะอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งในขณะนั้น ด.ช.ประสาทยัง
ไม่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก จึงยังไม่มีสภาพบุคคล ตาม ป.พ.พ.วางหลักว่า สภาพบุคคลย่อมเริ่ม
ขึ้นแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย เมื่อ ด.ช.ประสาทยังไม่มีสภาพบุคคลจึง
ไม่มีสิทธิใดๆ ให้ถูกละเมิดได้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากต่อมาด.ช.ประสาทได้คลอดออกมาและอยู่รอดเป็นทารก ซึ่งกฎหมายได้ว่าง
หลักว่า ทารกในครรภ์มารดาก็อาจมีสิทธิได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก ด้วยเหตุนี้
เมื่อ ต่อมาปรากฏว่า ด.ช.ประสาทคลอดและอยู่รอดเป็นทารกแม้จะมีอาการวิกลจริต ด.ช.ประสาทก็
ย่อมมีสิทธิย้อนหลังไปในขณะเป็นทารกในครรภ์มารดา ดังนั้นเมื่อขณะอยู่ในครรภ์มารดา ด.ช.
ประสาทถูกนายแสวงขับรถโดยประมาททาให้ตนได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง จึงถือเป็นการ
ละเมิดสิทธิของ ด.ช.ประสาท ด.ช.ประสาทมีสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากนายแสวงฐาน
ละเมิด
สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสวงฟังไม่ขึ้น เพราะด.ช.ประสาทมีสิทธิย้อนหลังไปในขณะเป็นทารกอยู่ใน
ครรภ์มารดา
7
ประเด็น ความสามารถในการทานิติกรรมของผู้เยาว์
ในขณะที่ด.ช.ประสาทซื้อร้องเท้า ด.ช.ประสาทมีอายุเพียง 17 ปีเศษ จะเห็นได้ว่าอายุยังไม่ครบ 20 ปี
บริบูรณ์จึงยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ตามหลักกฎหมายที่ว่า บุคคลจะพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะ
เมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์
เมื่อในขณะเป็นผู้เยาว์ด.ช.ประสาทได้ไปทานิติกรรม คือ การซื้อรองเท้า โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมซื้อรองเท้าจึงตกเป็นโมฆียะ ตามหลักกฎหมาย
ที่ว่า ผู้เยาว์จะทานิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม มิฉะนัน้ นิติกรรมตก
เป็นโมฆียะ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่ารองเท้าที่ซื้อนั้นเป็นทรัพย์ที่ราคาไม่แพงมาก ซึ่งผู้เยาว์สามารถซื้อได้ถือว่า
เป็นการสมแก่ฐานานุรูป และการซื้อนั้นเป็นการทาลงเพื่อความจาเป็นในการใช้สอยจึงถือเป็นการที่
จาเป็นต่อการดารงชีพตามสมควร ซึ่ง ด.ช.ประสาทย่อมทานิติกรรมนี้ได้ ตามหลักกฎหมายที่ว่า นิติ
กรรมที่สมแก่ฐานานุรูปและจาเป็นต่อการดารงชีพ ผู้เยาว์สามารถทาได้
สรุป นิติกรรมซื้อรองเท้ามีผลสมบูรณ์ เพราะเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทาลงไปอันเป็นการสมแก่ฐานานุรูป
และจาเป็นต่อการดารงชีพตามสมควร
ประเด็น ความสามารถในการทานิติกรรมของคนวิกลจริต
คนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถโดยหลักย่อมมีความสามารถในการทานิติกรรม
โดยสมบูรณ์ ข้อเท็จจริงมีปัญหาให้ต้องพิจารณาด้วยว่านิติกรรมซื้อรองเท้าที่ด.ช.ประสาททาลงนั้น
บกพร่องเพราะความวิกลจริตของด.ช.ประสาทหรือไม่ เนื่องจากโจทย์บอกว่าด.ช.ประสาทมีอาการ
วิกลจริตเพราะถูกรถชนอาจสันนิษฐานได้ว่าขณะที่ทานิติกรรมก็ยังอาจมีอาการวิกลจริตอยู่ อย่างไรก็
ตามหลักกฎหมายที่วานิติกรรมจะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อคนวิกลจริตได้ทานิติกรรมในขณะจริตวิกลและ
ในขณะทานิติกรรมคู่กรณีอีกฝุายหนึ่งก็ได้รู้ถึงความวิกลจริตนั้นด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าคู่กรณีอีกฝุายรู้
ถึงความวิกลจริตของด.ช.ประสาทในขณะทานิติกรรม นิติกรรมจึงไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด
สรุป นิติกรรมซื้อร้องเท้าไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะความวิกลจริตของ ด.ช.ประสาท เนื่องจากไม่ปรากฏ
ข้อเท็จจริงว่าคู่กรณีอีกฝุายหนึ่งได้รู้ถึงความวิกลจริตของ ด.ช.ประสาทในขณะทานิติกรรม
8
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1
หลักการวินิจฉัย ควรฝึกแยกพิจารณาทีละประเด็น
1.คู่สัญญาตกลงซื้อนางด่างหางแดง
2.แม้ยังไม่มีการส่งมอบวัตถุแห่งหนี้ สัญญาซื้อขายย่อมสมบูรณ์นับแต่วันทาสัญญา ลูกหนี-้ เจ้าหนี้มี
หน้าที่ต้องชาระหนี้อันพึงชาระต่อกันแล้ว รอเพียงให้ถึงกาหนดเวลาชาระเท่านั้น
3.ลูกสุนัขเป็นดอกผลธรรมดา(เปิดดูประมวลว่าลูกสุนัขเป็นของใคร)
4.หากนางด่างหางแดงตายโดยไม่ใช่ความผิดของผู้ใด การชาระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ไม่มีผู้ใดต้องรับ
ผิด
5.นายท้ากกี้เป็นผู้รับบาปเคราะห์ในความตายของนางด่างหางแดง
จะเรียกร้องให้นายเนวินชาระหนี้ไม่ได้(โจทย์ไม่ได้ให้รายละเอียดมาว่านางด่างหางแดงตายในวันที่
เท่าใด อนุมานเอาว่าตายก่อนมีการส่งมอบ ถ้าตายหลังส่งมอบก็ต้องพิจารณาเป็นกรณีไปอีกว่าตาย
เพราะเหตุใด) คาแนะนานี้เป็นหลักในการพิจารณาตอบข้อสอบเท่านั้น ไม่ใช่วิธีตอบข้อสอบ
หลักกฎหมาย
มาตรา 19 บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์
มาตรา 21 ผู้เยาว์จะทานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบ
ธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทาลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ
เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 25 ผู้เยาว์อาจทาพินัยกรรมได้เมื่ออายุสิบห้าปีบริบูรณ์
มาตรา 26 ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ผู้เยาว์จาหน่ายทรัพย์สินเพื่อการ
อันใดอันหนึ่งอันได้ระบุไว้ ผู้เยาว์จะจาหน่ายทรัพย์สินนั้นเป็นประการใดภายในขอบของการที่ระบุไว้
นั้นก็ทาได้ตามใจสมัคร อนึ่ง ถ้าได้รับอนุญาตให้จาหน่ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใดผู้เยาว์
ก็จาหน่ายได้ตามใจสมัคร
ข้อวินิจฉัย
การที่ต้อยผู้เยาว์ได้ขออนุญาตบิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม เพื่อขายเครื่องเพชรชิ้นที่หนึ่ง ซึ่งได้
รับมาจากคุณตาหนึ่งชุด โดยต้องการนาเงินไปเป็นค่าเรียนคอมพิวเตอร์ และบิดาได้อนุญาต โดยบอก
ว่า “ เครื่องเพชร..ชุดนี.้ .คุณตายกให้ลูกแล้ว ลูกจะเอาไปทาอะไร ก็แล้วแต่ลูกจะเห็นสมควรเถอะ พ่อ
ไม่ขัดข้องอะไรทั้งสิ้น “ ย่อมเป็นการที่ต้อยผู้เยาว์ได้รับอนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมให้จาหน่าย
ทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใด ต้อยผู้เยาว์ก็ย่อมจาหน่ายได้ตามใจสมัคร ดังนั้นแม้ว่าภายหลัง
บิดาจะทราบว่าต้อยขายเครื่องเพชรชิ้นที่สองไปในราคาถูกมากก็ไม่สามารถบอกล้างนิติกรรมการซื้อ
ขายได้ ส่วนการทาพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายนี้วางหลักว่าผู้เยาว์อาจทาพินัยกรรมได้เมื่ออายุ
ครบ 15 ปีบริบูรณ์ แต่ต้อยทาพินัยกรรมยกเครื่องเพชรชิ้นสุดท้ายให้คุณตาในขณะที่มีอายุ 14ปีการ
ทา พินัยกรรม ตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย บิดาของต้อยจึงไม่จาเป็นต้องยกเลิก
พินัยกรรมแต่อย่างใด
10
สรุป
ข้อวินิจฉัย
การที่ ส. คิดว่า ท.ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันกาลังตกทุกข์ได้ยาก และอยากจะช่วยเหลือจึง
ติดต่อขอซื้อรถยนต์ของ ส.ในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดนั้น แต่ต่อมาทราบว่า ท.มิได้เป็นคนยากจน
ตามที่เข้าใจ จึงเป็นการที่ ส.สาคัญผิดในคุณสมบัติของ ท. อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติดังกล่าว มิได้เป็น
คุณสมบัติที่ปกติถือเป็นสาระสาคัญ (เช่นสาคัญผิดคิดว่าเป็นผู้ค้ารถยนต์ แต่ไม่ได้เป็น)
วินิจฉัย
จากปัญหามีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ
1. สัญญาซื้อขายสมบูรณ์หรือยัง
2. นายบีต้องชาระราคาที่เหลือหรือไม่
นาย เอ เขียนจดหมาย เสนอขายรถยนต์ให้นาย บี เมื่อ
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 ราคา 500000 บาท โดยบอกว่าถ้านายบี ตกลงซื้อให้ส่งคาตอบภายใน
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 แต่นายบีไม่ได้ตอบไปตามกาหนดเวลา
คาเสนอของนายเอจึงไม่ได้รับการแสดงเจตนาตอบรับจากนายบีในเวลาที่กาหนดคาเสนอนั้นท่านว่า
12
สรุป
1. สัญญาซื้อขายยังไม่สมบูรณ์ เพราะคาเสนอและคาสนองยังไม่ถูกต้องตรงกัน สัญญาจึงยังไม่เกิดขึ้น
2. นายบีไม่ต้องชาระราคารถยนต์ที่เหลือเพราะสัญญาซื้อขายยังไม่เกิด
โจทก์
1. นิติกรรมซื้อขายแหวนมีผลอย่างไรหรือไม่
2. พินัยกรรมมีผลอย่าไรหรือไม่
13
เฉลย
หลักกฎหมาย
ผลของนิติกรรมที่เป็นโมฆียะก็คือนิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ผูกพัน กันมาตามกฎหมายมาแต่เริ่มแรก
และยังคงสมบูรณ์อยู่ต่อไปจนกว่าจะถ ูกบอกล้างให้สิ้นผลหรือสมบูรณ์ตลอดไปเมื่อให้สัตยาบัน กล่าวคือถ้า
ไม่มีการบอกล้างโดยผู้มีสิทธิบอกล้างภายในระยะเวลาท ี่กฎหมายกาหนดหรือมีการให้สัตยาบันโดยที่มีสิทธิ
ให้สัตยาบันแล้ วสิทธิบอกล้างย่อมระงับไปจะบอกล้างอีกไม่ได้นิติกรรมนั้ นจะสมบู รณ์ตลอดไป แต่ถ้ามีการ
บอกล้างนิติกรรมที่สมบูรณ์นั้นจะตกเป็นโมฆะทันทีเมื ่อถูกบอกล้าง คู่กรณีต้องกลับสู่สถานเดิมเหมือนเช่น
ก่อนทานิติกรรมเสมือนว่าไ ม่เคยนิติกรรมการซื้อขายนั้นเกิดขึ้นเลย
ปพพ.มาตรา25 ผู้เยาว์อาจทาพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์
ดังนี้นิติกรรมซื้อขายแหวนมีผลเป็นโมฆียะเพราะแดงทาใบขณะเป็นผู ้เยาว์และมิได้รับความ
ยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
3. พินัยกรรมมีผลสมบูรณ์เพราะแดงอายุ
14
โจทก์
สองไปซื้อผ้าที่ร้านขายผ้าแห่งหนึ่ง ขายโฆษณาอวดว่าผ้าของตนรับรองไม่ยับไม่ย่นแล้วขยาผ้า
ให้ดูก็ปรา กฏว่าไม่ยับ สองจึงซื้อผ้าไหมเพราะเชื่อคาอวดอ้างนั้น และนามาตัดเสื้อใหม่ปรากฏว่าเมื่อ
นามารีดเตารีดมีความร้อนสูง ทาให้ผ้าย่นเสียหายสวมใส่ไม่ ได้จึงนาเสื้อผ้ามาให้ร้านขายผ้าดูว่าที่
ทางร้านอ้างว่าไม่ยับไ ม่ย่นนั้นไม่จริงแต่ก็ขอเงินคืนบ้างเป็นบางส่วน เพราะต้องเสียเงินซื้อแพงเกินไป
ดังนี้ท่านเห็นด้วยกับข้ออ้างของสองอย่างไรหรือไม่
เฉลย
หลักกฎหมาย
กลฉ้อฉลนั้นคือการหลอกลวงให้ผู้แสดงเจตนาเข้าใจผิดหรือลวงให้คู ่กรณีหลงเชื่อจึงแสดง
เจตนาเข้าทานิติกรรม
โจทก์
เฉลย
กรณีนี้เป็นเรื่องคามั่นโฆษณาจะให้รางวัลคามั่นมีลักษณะเป็นการ แสดงเจตนาเป็นนิติ
กรรมฝุายเดียวผูกพันผู้ให้คามั่นโดยไม่ต้องมี การแสดงเจตนาสนองตอบแต่อย่างใด
16
ตามข้อเท็จจริงเป็นเรื่องคามั่นจะให้รางวัลเมื่อมีบุคคลประดิษฐ ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตาม
ประกาศได้ ดังนั้น ส. ต้องผูกพันตามคามั่นที่ให้ไว้เมื่อมีบุคคลทาสาเร็จตามโฆษณาแล้ว ส. ต้องผูกพัน
ที่จะต้องให้รางวัลแก่ฉลาดซึ่งประดิษฐ์ได้
ดังนั้น ส. ปฏิเสธไม่จ่ายเงินรางวัลไม่ได้
โจทก์
เฉลย
ในเรื่องนี้เป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณาเรื่องคามั่นจะให้รางวั ลในกรณีที่มีผู้กระทาการอย่าง
หนึ่งอย่างใดสาเร็จและการถอนคามั่ นนั้นว่าจะมีผลอย่างไร
ถ้าคามั่นนั้นไม่อาจจะถอนโดยวิธีดังกล่าวมาก่อนจะถอนโดยวิธีอื่ นก็ได้แต่ถ้าการถอนเช่นนั้น
จะเป็นอันสมบูรณ์ใช้ได้เพียงเฉพาะต่ อบุคคลทีรู้”
โจทย์
ก. นางสาวสวยจะฟูองศาลขอบังคับให้นายหล่อจดทะเบียนสมรสกับตนได้หรื อไม่
ข. ถ้านายหล่อขอของหมั้นคือแหวนหนึ่งวงคืน นางสาวสวยจะต้องคืนให้หรือไม่
ค. นางสาวสวยมีสิทธิเรียกค่าทดแทนการที่นายหล่อไม่ยอมจดทะเบียนสมร สได้เพียงใด
หรือไม่
19
เฉลย
หลักกฎหมาย
“ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้
(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแก่ชายหรือหญิงนั้น
ในกรณีที่หญิงเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทน ศาลอาจจะชี้ขาดว่าของหมั้นที่ตกเป็นสิทธิแก่หญิง
นั้นเป็นค่าทดแ ทนทั้งหมดหรือเป็นส่วนหนึ่งของค่าทดแทนที่หญิงพึงถึงของหมั้นที ่ตกเป็นสิทธิแก่
หญิงนั้นก็ได้”(มารตรา 1440 )
จากอุทาหรณ์
1. การที่นางสาวสวยทาพิธีแต่งงานและได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนายห ล่อที่บ้านของนาย
หล่อเป็นเวลาถึงเดือนเศษแล้วผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสและข ับไล่นางสาวสวยให้กลับไป
อยู่บ้านบิดา นั้นย่อมให้นางสาวสวยต้องได้รับความอับอายร่างกาย นางสาวสวยจึงมีสิทธิเรียกร้องค่า
ทดแทนความเสียหายต่อกายและชื่อ เสียงของตนได้ตาม ปพพ. มาตรา1440(1) (คาพิพากษาฎีกาที่
982/2518)
โจทก์
นางสุมาลีลักลอบได้เสียกับนายสมพรจนเกิดบุตรชายคือเด็กชายกริช ต่อมานางสุมาลีถึงแก่
ความตาย นายสมพรละทิ้งไม่ดูแลบุตร นางแจ่มผู้เป็นยายจึงนาเด็กชายกริชมาอุปการะเลี้ยงดูและให้
การศ ึกษา หลังจากนางสุมาลีตายไปแล้ว***ปี นายสมพรไปจดทะเบียนรับรองบุตรแล้วเด็กชายกริช
เป็นบุตรโดยขอบด้ว ยกฎหมายและนาไปเลี้ยงดูเอง นางแจ่มไม่พอใจจึงฟูองคดีต่อศาล อ้างว่านายสม
พรประพฤตินั้นไม่เหมาะสมชอบดื่ มสุรา ขอให้ศาลเพิกถอนการรับรองบุตร นายสมพรให้การปฏิเสธ
ว่านางแจ่มไมมีสิทธิแต่อย่างใดที่จะนาคดีมา ฟูองทั้งเด็กก็เป็นบุตรของนายสมพรเช่นนี้ถ้าท่านเป็น
ศาลจะพิพาก ษาให้เพิกถอนการรับรองบุตรหรือไม่ เพราะเหตุใด
เฉลย
“เหตุที่จะอ้างในการฟูอง” การฟูองขอให้ถอนการจดทะเบียนการรับเด็กเป็นบุตรนี้กฎหมายได้
จาก ัดไว้ว่าผู้ฟูองจะอ้างได้เพียงเหตุเดียวเท่านั้น คือ ผู้ขอให้จดทะเบียนนั้นไม่ใช่บิดาของเด็กเท่านั้น
จะอ้าง*** เช่น เรื่องความประพฤติ ชื่อเสียง หรือฐานะความเป็นอยู่ของผู้ขอจด ฯลฯ มาเป็นเหตุให้
ศาลถอนการจดทะเบียนไม่ได้
(เป็นเพียงแนวการตอบอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด)