You are on page 1of 438

English Grammar

้ นรับเข้าสู่ Yindii English Grammar ซึง่ ทางเราจะได้ทำการ update เพิม


ยินดีตอ ่ เนื้อหา
และแบบทดสอบในส่วนต่างๆต่อไปอีกเราหวังเป็ นอย่างยิง่ ว่าคุณคงจะได้รบั ประโยชน์จากส่วนนี้

รวมแบบทดสอบในแต่ละ section

Introduction คำนำ
Adjectives คำคุณศัพท์
Adverbs คำกริยาวิเศษณ์
Verbs คำกริยา
Tenses กาล
Prepositions คำบุพบท
Pronouns คำสรรพนาม
Nouns คำนาม
Gerunds กริยาทีเ่ ติม ing
Articles คำนำหน้านาม
Auxiliary verbs กริยาช่วย
Comparisons การเปรียบเทียบ
Conjunctions คำสันธาน
Punctuation เครือ
่ งหมายวรรคตอน
Irregular Verbs กริยารูปพิเศษ

The Tenses
The simple Tenses
1. Present Simple S + V 1 (s, es)
2. Past Simple S + V2
3. Future Simple S + will, shall + V1

The Continuous (Progressive) Tenses


1.Present Continuous S + is, am, are + Ving
2.Past Continuous (Progressive) S + was, were + Ving
3.Future Continuous (Progressive) S + will, shall + be + Ving

The Perfect Tenses


1.Present Perfect S + has, have + V3
2.Past Perfect S + had + V3
3.Future Perfect S + will, shall + have + V3

The Perfect Continuous Tenses


1.Present Perfect Continuous S + has, have + been + Ving
2.Past Perfect Continuous S + had + been + Ving
3.Future Perfect Contunuous S + will, shall + have been + Ving

www.chrisdelivery.com Isan_Poem
Chris Delivery Episode 3 Isan_Poem_1
Chris Delivery Episode 4 Isan_Poem_2
Chris Delivery Episode 5 Isan_Poem_3
Chris Delivery Episode 6 Isan_Poem_4
Chris Delivery Episode 7
Chris Delivery Episode 8
Chris Delivery Episode 9
Chris Delivery Episode 10
Chris Delivery Episode 11
Chris Delivery Episode 12
Chris Delivery Episode 13
Chris Delivery Episode 14
Chris Delivery Episode 15
Chris Delivery Episode 16
I love you. ฉันรักคุณ
I really love you. ฉันรักคุณจริงๆ
I love you with all my heart. ฉันรักคุณหมดหัวใจ
I miss you. ฉันคิดถึงคุณ
I feel so lonely. ฉันเหงามาก
I’m so lonely without you. ไม่มีคณ ุ ฉันเหงามาก
I don’t want to be here without you. ฉันไม่อยากอยูท ่ น
ี่ ี้ ถ้าไม่มีคณ

Can you be my boy / girlfriend? คุณเป็ นแฟนฉันได้ไหม
I am single. ฉันเป็ นโสด
I don’t have anyone in my heart. ไม่มีใคร อยูใ่ นหัวใจ
I want to be with you. ฉันอยากอยูก ่ บั คุณ
I want to be with you all the time. ฉันอยากอยูก ่ บั คุณ ตลอดเวลา
I want to be with you forever. ฉันอยากอยูก ่ บั คุณตลอดไป
Why do you love me? ทำไมคุณถึงรักฉัน
Because you are……… เพราะว่าคุณ………..
I can’t forget you. ฉันลืมคุณไม่ได้
I dream about you all the time. ฉันฝันถึงคุณ ตลอดเวลา
I will dream about you every night. ฉันจะฝันถึงคุณ ทุกคืน
I will dream about you tonight คืนนี้ ฉันจะฝันถึงคุณ
You’re the woman of my dreams. คุณคือผูช ้ ายในฝัน
I want to know all about you. ฉันอยากรูเ้ รือ ่ งของคุณ
This is my first love. นี่เป็ นรักครัง้ แรกของผม

You are very beautiful. คุณสวยมาก


You are very handsome. คุณหล่อมาก
You are very charming. คุณมีเสน่ ห์มาก
You are very cute. คุณน่ ารักมาก
You are very beautiful eyes. ตาของคุณสวยมาก
You have a cute nose. จมูกของคุณน่ ารักมาก
I like your smile. ฉันชอบยิม ้ ของคุณ
I like your outfit. ฉันชอบชุดทีค ่ ณ
ุ ใส่
I like looking at you. ฉันชอบมองคุณ

I want to share my life with you. ฉันอยากใช้ชีวต ิ กับคุณ


Love at first sight. รักแรกพบ
I’ve never met a man like you. ฉันไม่เคยเจอผูช ้ ายอย่างคุณ
I’ve never met a woman like you. ฉันไม่เคยเจอผูห ้ ญิงอย่างคุณ
I’ve never loved anybody like this before. ฉันไม่เคยรักใครอย่างนี้มาก่อน
I’m serious about you. ฉันจริงใจกับคุณ
I’m crazy about you. ฉันคลั่งไคล้คณ

I love you, not your money. ฉันรักคุณ ไม่ใช่เงินของคุณ
I don’t care how much money you have. ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณมีเงินเท่าไหร่
I’m so happy being around you. ฉันมีความสุขทีอ่ ยูใ่ กล้คณ

Are you really serious about me? คุณจริงจังกับฉันจริงหรือเปล่า
* Really จริงๆ
* Yes, I’m serious and sincere. ฉันทัง้ จริงจังและจริงใจ
* I like you as a friend. ฉันชอบคุณแบบเพือ ่ น
* I don’t know yet. ฉันยังไม่รู้
My heart is all yours. หัวใจของฉันเป็ นของคุณ
You mean everything to me. คุณคือทุกสิง่ ทุกอย่างสำหรับฉัน
You are my precious thing. คุณเป็ นสิง่ มีคา่ ของฉัน
I love you only. ฉันรักคุณคนเดียว
I’m so happy being around you. ฉันมีความสุขมากทีไ่ ด้อยูใ่ กล้คณ

I will always love you. ฉันจะรักคุณตลอดไป
I can’t love anyone else. ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว
I can’t wait to see you again. ฉันอยากจะเจอคุณเร็วๆ
I want to see you as soon as possible. ฉันอยากเจอคุณ ให้เร็วทีส่ ุด
I don’t want to leave you. ฉันไม่อยากไปจากคุณ
You can trust me. ขอให้เชือ ่ ใจฉัน
I will be faithful to you. ฉันจะซือ ่ สัตย์ตอ ่ คุณ
I will never cheat on you. ฉันจะไม่นอกใจคุณ
I still remember the moment we met. ยังจำได้ตอนทีเ่ ราเจอกัน
I have fallen in love with you รักคุณเข้าแล้ว
I love you with all my heart. รักคุณหมดใจ
You’re mine. คุณเป็ นของฉัน
It’s hard to say how I feel. ยากทีจ่ ะบอกความรูส้ ก ึ
Think about me sometimes. คิดถึงฉันบ้าง
You are my sweetheart. คุณคือสุดทีร่ กั ของฉัน
Don’t forget me. อย่าลืมฉัน
กลับไปยังหน้าเดิม
Introduction
 What is a sentence? ความหมายของประโยค

ประโยคคือกลุม
่ ของคำทีม
่ ีประธานและส่วนขยาย

What are the parts of speech? ชนิดของคำ

แบ่งออกได้เป็ น 8 ชนิดคือ
คำนาม คำกริยา คำสรรพนาม คำกริยาวิเศษณ์ คำคุณศัพท์ คำบุพบท คำสันธานและคำอุทาน

verbs คำกริยา
nouns คำนาม
pronouns คำสรรพนาม
adverbs คำกริยาวิเศษณ์
adjectives คำคุณศัพท์
prepositions คำบุพบท
conjunctions คำสันธาน
interjections คำอุทาน

กลับไปยังหน้าเดิม
กลับไปยังหน้าเดิม
Adjectives คำคุณศัพท์

Descriptive adjectives Demonstrative adjectives Proper Adjectives


Numeral Adjectives Possessive Adjectives Quantitative Adjectives

คำคุณศัพท์คอ
ื คำทีทำ
่ หน้าทีข
่ ยายคำนามหรือคำสรรพนาม ทีสำ
่ คัญมีดงั นี้

Descriptive adjectives

คือคำคุณศัพท์ทบ
ี่ อกลักษณะ คุณภาพ ขนาด สี รูปร่าง ของคำนามทีม
่ น
ั ประกอบเช่น

beautiful สวยงาม
ugly ขี้เหล่
new ใหม่
old เก่า
big ใหญ่
small เล็ก
clean สะอาด
dirty สกปรก
good ดี
bad เลว

She is beatiful.
Daeng's room is dirty.
Tammy is a good tennis player.

1. การเรียงลำดับคำคุณศัพท์ทม
ี่ ีอยูใ่ นประโยคเรียงได้ตามนี้

คำคุณศัพท์ทบ
ี่ อกสี ทีม
่ า(มาจากไหน) วัสดุ(ทำจากอะไร)
blue American leather
red Thai silk

ี่ อกขนาด ความสูง ความยาวจะวางไว้ขา้ งหน้าจากข้อหนึ่ง


2. ถ้ามีคำคุณศัพท์ทบ
a small blue car
a thick glass bottle

3. ถ้ามีคำว่า first, last และ next จะวางไว้หน้าจำนวนนับ


the first two weeks
the next three men

Demonstrative adjectives

คือคุณศัพท์ชี้เฉพาะได้แก่ This, That, These, Those

This ใช้กบั คำนามเอกพจน์ทอ


ี่ ยูใ่ กล้ (นี้)
That   ใช้กบั คำนามเอกพจน์ทอี่ ยูไ่ กล (นัน ้ )
These ใชักบั คำนามพหูพจน์ทอ ี่ ยูใ่ กล้(เหล่านี้)
Those ใชักบั คำนามพหูพจน์(เหล่านัน ้ )
This is my pen.
That is my motorcycle.
These books are theirs.

Proper Adjectives

คือคำคุณศัพท์ทเี่ กีย่ วกับเชื้อชาติเป็ นคำศัพท์ทม


ี่ ีรูปมา
จากชือ
่ ของประเทศเช่น

Thailand Thai คนไทย


Canada Canadian คนแคนาดา
U.S.A. American คนอเมริกน

China Chinese คนจีน
Switzerland Swiss คนสวิส

Numeral Adjectives

คือคุณศัพท์ทบ ี่ อกจำนวนนับ ลำดับทีแ่ ละจำนวนทีไ่ ม่แน่ นอน


จำนวนนับได้แก่ one,two, three, four,five,six,seven,eight, nine,ten......
ลำดับทีไ่ ด้แก่ first,second,third,fourth, fifth, sixth, seventh, eighth, nineth,tenth.....
บอกจำนวนทีไ่ ม่แน่ นอนได้แก่คำว่า
many มาก
much มาก
double ทัง้ สอง
few /a few น้อย จำนวนน้อย สองสาม
several หลาย
a little/little เล็กน้อย
all ทัง้ หมด
no ไม่มี
some มีบา้ ง
enough. เพียงพอ

I have three dogs.


That's his second wife.
I will be away several weeks.

Possessive Adjectives

คือคำคุณศัพท์ทแี่ สดงความเป็ นเจ้าของ


my ของฉัน
her ของเธอ
his ของเขา
its ของมัน
your ของคุณ
our ของพวกเรา
their ของพวกเขา

My book is on the table.


I lost her coat.
May I borrow your pen?
Quantitative Adjectives

คือคุณศัพท์ทแ ี่ สดงปริมาณบอกถึงความมากน้อยของสิง่ นับไม่ได้ได้แก่คำว่า


some บ้าง
much มาก
little น้อย
enough เพียงพอ
all ทัง้ หมด
no ไม่มี
any บ้าง
whole ทัง้ หมด

Give me some food.


I do not have enough water.
Do you have any money?

กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives

Adjectives คือ คุณศัพท์ หมายถึง คำทีไ่ ปทำหน้าทีข ่ ยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยูห


่ ลังตลอดไป
หรือคุณสมบัตข
ิ องนามหรือสรรพนามนัน ้ ว่า เป็ นอย่างไร?
ได้แก่คำว่า
good ดี
bad เลว
tall สูง
dirty สกปรก
wise ฉลาด
red แดง
fat อ้วน
thin ผอม
this นี้
those เหล่านัน

short สัน

white ขาว

ชนิดของ Adjective

Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็ น 11 ชนิด คือ


1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ
2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ
3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ
4. Numbearl Adjective คุณศัพท์บอกจำนวนแน่ นอน
5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ
6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคำถาม
7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ
8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก
9. Emphaszing Adjective คุณศัพท์เน้นความ
10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน
11. Relative Adjective คุณศัพท์สมั พันธ์

1. Descriptive Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกลักษณะ" หมายถึง คำทีใ่ ช้ลกั ษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิง่ ของและสถานทีเ่ พือ
่ ให้ร
good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sor
ตัวอย่างเช่น :
The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยูบ ่ า้ นหลังใหญ่)
A clever pupil can answer the difficult problem. (นักเรียนทีฉ ่ ลาดสามารถตอบปัญหายากได้
The black cat cuagh a smail bird. (แมวดำตัวนัน ้ จับนกได้)
ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็ นคุณศัพท์บอกลักษณะ

2. Proper Adjective คือ "คุณศัพท์บอกสัญชาติ" หมายถึง คำทีไ่ ปขยายนามเพือ ่ บอกสัญชาติ ซึง่ อันทีจ่ ริงมีรูปเปลีย่ นมาจาก
Proper Noun Proper Adjective
(เป็ นนามเฉพาะ) (เป็ นคุณศัพท์บอกสัญชาติ)
England English
America American
Thailand Thai
India Indian
Germany German
Italy Italian
Japan Japanese
China Chinese

ตัวอย่างเช่น :
John employs a chinese cook. (จอห์นจ้างพ่อครัวชาวจีนคนหนึ่ง)
Do you learn French literature? (คุณเรียนวรรณคดีฝรั่งเศสหรือ)
The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ)
ข้อสังเกต : Chinese, French, English เป็ นคำคุณศัพท์บอกสัญชาติ

3. Quantitive Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกปริมาณ" หมายถึง คำทีไ่ ปขยายนาม เพือ


่ บอกให้ทราบปริมาณของสิง่ เหล่านัน
้ ว่า มีมาก
much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, etc.

He ate much rice at school yesterday.


(เขากินข้าวมากทีโ่ รงเรียนเมือ
่ วานนี้)
Linda did not give any money to her younger brother.
(ลินดาไม่ได้ให้เงินแก่น้องชายของหล่อน)
Take great care of your health.
(เอาใจใส่ตอ
่ สุขภาพของคุณให้มากหน่ อย)

ข้อสังเกต : much, any, great ในประโยชน์ทง้ ั 3 เป็ นคำคุณศัพท์บอกปริมาณ


ตัวอย่างเช่น :

4. Numberal Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกจำนวนแน่ นอน" หมายถึง คำทีไ่ ปขยายนาม เมือ


่ บอกจำนวนแน่ นอนของนามว่ามีเท่าไห

4.1 Cardinal Numberal Adjective คือ คุณศัพท์ทใี่ ช้บอกจำนวนนับทีแ


่ น่ นอนของนาม ได้แก่
one, two, three, four, five, six, seven, etc.
ตัวอย่างเช่น :
She gave me two apples and three organes.
(หล่อนให้แอปเปิ้ ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉน ั )
Bill wants to buy seven pens.
(บิลต้องการซื้อปากกาเจ็ดด้าม)
ข้อสังเกต : two, three, seven เป็ นคุณศัพท์บอกจำนวนแน่ นอนวางไว้หน้านาม

4.2 Ordinanal Numberal Adjective คือ "คำคุณศัพท์ทใี่ ช้ขยายนามเพือ ่ บอกลำดับทีข


่ องนามนัน
้ ๆ ได้แก
first, second, third, fifth, sixt, seventh, etc.
ตัวอย่างเช่น :
Tom is the first boy to be rewarded in this school.
(ทอมเป็ นเด็กคนแรกทีไ่ ด้รบั รางวัลในโรงเรียนนี้)
Sam won the third prize last month and the second one last week.
(แซมได้รบั รางวัลที่ 3 เมือ
่ เดือนทีแ
่ ล้ว และสัปดาห์ทผ
ี่ า่ นมา ได้รบั รางวัลที่ 2)
I am the seventh son of my family.
(ฉันเป็ นลูกคนที่ 7 ของครอบครัว)
ข้อสังเกต : first, third, second, seventh เป็ นคุณศัพท์บอกลำดับทีว่ างไว้หน้านาม

4.3 Mutiplicative Adjective คือ "คุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม" ได้แก่ double, triple, fourfold


ตัวอย่างเช่น :
Some roses are double.
(ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชัน ้ )
Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems.
(พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ)
ข้อสังเกต : double, triple, เป็ นคำคุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม

่ ี้เฉพาะให้กบั นามใดนามหนึ่ง ได้แก่


5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ชี้เฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์หมายถึง คําทีช
these ,those (ใช้กบั นามพหูพจน์) such, same
ตัวอย่างเช่น:
I invited that man to come in.
(ฉันได้เชิญผูช
้ ายคนนัน ้ ให้เข้ามาข้างใน)
Jan hated such things because they made her ill.
(แจนเกลียดสิง่ เหล่านัน
้ เพราะมันทําให้เธอไม่สบาย)
They said the same thing two or three times.
(พวกเขาพูดถึงสิง่ เดียวกันนี้2หรือ3ครัง้ แล้ว)
ข้อสังเกต: that,such,same เป็ นคุณศัพท์ชี้เฉพาะวางไว้หน้านาม

6.interrogative adjective คือ คุณศัพท์บอกคําถามหมายถึง คุณศัพท์ทใี่ ช้ขยายนามเพือ


่ ให้เป็ นคําถามโดยจะวางไว้
ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ what, which, whose
ตัวอย่างเช่น:
What book is he reading in the room?
(เขากําลังอ่านหนังสืออะไรอยูใ่ นห้อง)
Which way shall we go?
(เราจะไปทางไหนกันนี่?)
Whose shoes are these?
(รองเท้านี้เป็ นของใคร)
ข้อสังเกต: what,which,whose เป็ นคุณศัพท์บอกคําถามอยูห
่ น้าประโยค

7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์บอกเจ้าของหรือสามีคณ


ุ ศัพท์ หมายถึง คําคุณศัพท์ทใี่ ช้ขยายนามเพือ
่ บอกความเป็ นเจ้าของขอ
ตัวอย่างเช่น :
This is my table.
(นี่คอ
ื โต๊ะของฉัน)
Her pen is on my desk.
(ปากกาของหล่อนอยูบ ่ นโต๊ะฉัน)
Our nation needs solidarity.
(ชาติของเราต้องการความสามัคคี)
Their parents work hard every day.
(พ่อแม่ของพวกเขาทํางานหนักทุกวัน)
ข้อสังเกต : my, her, our, their เป็ นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม

่ แยกนามออกจากกันเป็ น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่


8. Distributive คือ คุณศัพท์แบ่งแยก หมายถึง คําคุณศัพท์ทไี่ ปขยายนาม เพือ
ตัวอย่างเช่น :
The two men had each a gun.
(ชายสองคนนี้มีปืนคนละกระบอก)
Every soldier is punctually in his place.
(ทหารทุกคนเข้าประจําทีข ่ องตัวตรงเวลาดี)
Either side is a narrow lane.
(ไม่ขา้ งใดก็ขา้ งหนึ่งเป็ นซอยแคบ)
Neither accusation is true.
(ข้อกล่าวหาทัง้ สองข้อไม่เป็ นความจริง)
ข้อสังเกต: each,every,either,neither เป็ นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม

9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์เน้นความ หมายถึงคุณศัพท์ทใี่ ช้ขยายนามเพือ ้ ได้แก่


่ เน้นความให้มีนำหนักขึน
ตัวอย่างเช่น:
Linda said that she had seen it with her own eyes.
(ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง)
He is the very man who stole my wrist watch last night.
(เขาคือชายคนนัน ้ ผูซ ิ าข้อมือของฉันไปเมือ
้ งึ่ ได้ขโมยนาฬก ่ คืนนี้)
Jean is my own girl-friend.
(จีนคือแฟนผมเอง)
ข้อสังเกต : own,very เป็ นคุณศัพท์เน้นความขยายนามทีต ้
่ ามหลังให้มีนําหนักขึน

10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ทใี่ ช้ขยายเพือ


่ ให้เป็ นคําอุทาน ได้แก่
ตัวอย่างเช่น:
What a man he is!
(เขาเป็ นผูช
้ ายอะไรนะเนี่ย!)
What an idea it is!
(มันเป็ นความคิดอะไรกันหนอ!)
What a piece of work he does!
(เขาทํางานได้เยีย่ มจริงๆ!)
ข้อสังเกต : what ทัง้ 3 คํา ในประโยคเหล่านี้เป็ นคุณศัพท์บอกอุทาน

11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์สมั พันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ทใี่ ช้ขยายนามทีต


่ ามหลังและในขณะเดียวกันก็ยงั ทําหน้าทีค
่ ล้ายส้นธา
เชือ
่ มความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สมั พันธ์กน ั อีกด้วย ได้แก่
what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้)
ตัวอย่างเช่น:
Give me what money you have.
(จงให้เงินเท่าทีค
่ ณ
ุ มีอยูแ่ ก่ฉน
ั )
I will take whichever horse you don t want.
(ฉันจะนําเอาม้าตัวทีค ่ ณ
ุ ไม่ตอ ้ งการ)
He will read what book he wishes.
[ แซมจะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ทเี่ ขาปราถนา (จะอ่าน) ]
ข้อสังเกต : What, Whichever เป็ นคุณศัพท์สมั พันธ์ ไปขยายนามทีต
่ ามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าทีเ่ ชือ
่ มประโยคหน้า

Adjective เวลานำไปพูดหรือเขียนมีวธิ ีใช้อยู่ 4 อย่างคือ

1. เรียงไว้หน้าคำนามทีค่ ณ
ุ ศัพท์นน้ ั ไปขยายโดยตรงได้ เช่น
* The thin man can run very quickly.
(คนผอมสามารถวิง่ ได้เร็วมาก)
* A wise boy is able to answer a difficult problem.
(เด็กฉลาดสามารถตอบปัญหาทีย่ ากได้)
* The beautiful girl is wanted by a young boy.
(สาวสวยย่อมเป็ นทีห่ มายตาของเด็กหนุ่ม)
ข้อสังเกต : thin , wise , difficult , beautiful ,young เป็ น
คุณศัพท์เรียงขยายไว้หน้านามโดยตรง

2. เรียงไว้หลัง Verb to be, look feel,seem,get,taste,smell,


turn,go,appear,keep,become,sound,grow,etc. ก็ได้ Adjective
ทีเ่ รียงตามกริยาเหล่านี้ ถือว่าขยายประธาน แต่วางตามหลังกริยา
เพราะฉะนัน ้ จึงมีชือ
่ เรียกได้อีกอย่างหนึงว่า Subjective Complement เช่น
* I'm feeling a bit hungry.
(ฉันรูส้ ก
ึ หิวนิดๆ)
* Sugar tastes sweet.
(น้ำตาลมีรสหวาน)
ข้อสังเกต: hungry และ sweet เป็ น Adjective เรียงไว้หลัง
กริยา feeling และ tastes ทัง้ นัน ้

3. เรียงคำนามทีไ่ ปทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรม (Object) ได้ ทัง้ นี้เพือ



ช่วยขยายเนื้อความของกรรมนัน ้ ให้สมบรูณ์ขน ึ้ Adjiective ทีใ่ ช้ใน
ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็ น Objiective Complement เช่น
* Sam made his wife happy.
(แซมทำภรรยาของเขาให้มีความสุข)
* I consider that man mad.
(ฉันพิจารนาดูแล้วว่า ชายคนนัน ้ เป็ นบ้า)
*This matter made me foolish.
(เรือ
่ งนี้ทำให้ฉน
ั โกรธไปได้)
ข้อสังเกต: happy,mad และ foolish เป็ น Adjective ให้เรียง
หลังนาม และสรรพนามทีเ่ ป็ น Object คือ wife,man,me

4. เรียง Adjective ไว้หลังคำนามได้ ไม่วา่ นามนัน ้ จะทำหน้าทีเ่ ป็ นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective ตัวนัน
้ มี
บุพบทวลี (Perpositional Phrase)มาขยายนามตามหลัง เช่น
* A parcel posted by mail today will reach him tomorrow.
(พัสดุทส
ี่ ง่ ทางไปรษณีย์วน ั นี้จะถึงเขาวันพรุง่ นี้)
ข้อสังเกต: posted เป็ น Adjective เรียงตามหลังนาม parcal ได้เพราะมีบุพบทวลี by mail today
* I have known the manager suitable for his position.
(ฉันได้รจู้ กั ผูจ้ ดั การซึง่ ก็มีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่ งของเขา)
ข้อสังเกต: suitable เป็ นคุณศัพท์ เรียงไว้หลังนาม manager ได้เพราะมีบุพบท วลี for his position
* ข้อยกเว้น ในการใช้ Adjecive บางตัวเมือ ่ ไปขยายนาม

การใช้ Adjecive ไปขยายนามหรือประกอบนามตามแบบตัง้ แต่ ข้อ 1 ถึง 4 นัน


้ หมายถึง Adjecive
ทีจ่ ะกล่าวต่อไปนี้แล้วให้มีวธิ ีใช้ขยายนามหรือประกอบนาม ได้เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านัน
้ คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช
2 อย่างไม่ได้ นัน
้ คือ ( มีตอ่ ค่ะ )

Adjective - Equivalent

คือ "คำทีใ่ ช้เสมือนเป็ นคุณศัพท์" ทัง้ นี้ก็เนื่องจากว่า คำทีจ่ ะนำมาใช้เสมือนหนึ่ง


เป็ นคุณศัพท์ทจี่ ะกล่าวต่อไปนี้
1. คำนาม (Noun) นำมาใช้เป็ น Adjective ขยายนามด้วยกันได้ แต่ให้วางไว้หน้านามทีม ่ น
ั ไปขยายนัน
้ ทุกครัง้ ไป เช่น
Yale University is the place for political studies.
(มหาวิทยาลัยเยลเป็ นสถานทีสำ ่ หรับการศึกษาวิชาการเมือง)
ข้อสังเกต : Yale เป็ นนามนำมาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยาย university ซึง่ เป็ นนามด้วยกัน
My younger brother wishes to study at Suan Dusit College.
(น้องชายของฉันประสงค์จะเรียนทีว่ ท ิ ยาลัยสวนดุสต ิ )
ข้อสังเกต : Suan Dusit เป็ นนาม แต่นำมาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนาม college ได้
They have worked in New York City for two years.
(พวกเขาได้ทำงานอยูท ่ เี่ มืองนิวยอร์คเป็ นเวลา 2 ปี แล้ว)
ข้อสังเกต : New York เป็ นนามนำมาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนามทีต ่ ามหลัง คือ City

2. คำนามทีใ่ ช้แสดงความเป็ นเจ้าของ โดยมี Apostrophe ( 's ) มาใช้ควบนัน้ นำมาใช้เป็ น Adjective


ขยายนามได้ และให้เรียงไว้หน้านามตัวนัน ้ ตลอดไป เช่น
John's house was built in Denver five years ago.
(บ้านของจอห์นได้สร้างไว้ทเี่ ดนเวอร์ เมือ
่ 5 ปี มาแล้ว)
ข้อสังเกต : เป็ นคำนามทีนำ
่ มาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนาม house ได้
The teacher's table is larger than the students.
(โต๊ะของครูมีขนาดใหญ่)
ข้อสังเกต : teacher's เป็ นนาม นำมาใช้บยายนาม table ทำหน้าทีเ่ ป็ นคุณศัพท์ได้

3. Infinitive (กริยาสภาวมาลา ได้แก่ to + V.1) นำมาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามทีม


่ น
ั ขยายเสมอ เช
He has no money to give me for buying a pen.
(เขาไม่มีเงินทีจ่ ะให้ฉน
ั ซื้อปากกา)
ข้อสังเกต : to give เป็ น Infinitive นำมาใช้เป็ น Adjective ขยายนาม money ได้
This book is good for you to read.
(หนังสือเล่มนี้ดีสำหรับคุณทีจ่ ะอ่าน)
ข้อสังเกต : to read เป็ น Infinitive นำมาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายสรรพนาม you ได้

4. Participle นำมาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนามได้ และให้วางไว้หน้านามทีม ่ น


ั ไปขยายทุกครัง้ เช่น
The standing boy is afraid of the running dog.
(เด็กชายทีย่ ืนอยูก
่ ลัวสุนข
ั ทีว่ งิ่ มา)
ข้อสังเกต : standing, running เป็ น Participle นำมาใช้เป็ นคุณศัพท์ขยายนามได้

5. Gerund (กริยานาม คือ Verb เติม ing แล้วนำมาใช้อย่างนามซึง่ จะได้กล่าวในบทต่อไปนี้เช่นกัน


Now he is waiting for you in the meeting room.
(เดีย๋ วนี้เขากำลังรอคุณอยูท
่ ห
ี่ อ
้ งประชุม)
ข้อสังเกต : meeting เป็ น gerund นำมาใช้ทำหน้าทีเ่ ป็ นคุณศัพท์ขยายนาม room

6. Phrase (วลีทก ุ ชนิด) นำมาใช้เป็ น Adjective ขยายนามหรือสรรพนามได้ ส่วนตำแหน่ งวางของวลีคณ


ุ ศัพท์นน
้ ั อยูห
่ น้านามก็มี อยูห

The man in this room is our guest.
(ผูช
้ ายทีอ่ ยูใ่ นห้องนี้เป็ ฯแขกของเรา)
ข้อสังเกต : in this room เป็ นวลีมาทำหน้าทีเ่ ป็ นคุณศัพท์มาขยายนาม man ทีอ่ ยูข
่ า้ งหน้า
He wants to buy the corner.
(เขาต้องการซื้อบ้านทีอ่ ยูม
่ ุมถนนนัน
้ )
ข้อสังเกต : on the corner เป็ นวลีมาทำหน้าทีเ่ ป็ นคุณศัพท์ขยายนาม house ทีอ่ ยูข่ า้ งหน้า

7. Subordinate Clause (อนุประโยค) นำมาใช้เป็ น Adjective ขยายนามได้ และให้วางไว้หลังนามทีไ่ ปขยายทุกครัง้ เช่น


This is the house that Jack built.
(นี้คอ
ื บ้านทีแ ่ จ๊คสร้างเอาไว้)
ข้อสังเกต : that Jack built เป็ น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำหน้าทีเ่ ป็ นคุณศัพท์ขยายนาม
I know Mr. Clinton whom you want to see.
(ฉันรูจ้ กั มิสเตอร์คลินตัน ผูซ้ งึ่ คุณต้องการพบ)
ข้อสังเกต : whom you want to see เป็ น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค
คำคุณศัพท์

จุดประสงค์(เพือ
่ อะไร) คำนาม
sport shoes
business tie
th,tenth.....
ยสรรพนามต้องอยูห
่ ลังตลอดไป) เพือ
่ บอกให้รลู้ กั ษณะคุณภาพ
ณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิง่ ของและสถานทีเ่ พือ
่ ให้รวู้ า่ นามนัน
้ มีลกั ษณะอย่างไร ได้แก่คำว่า
ch, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sorry, etc.

สามารถตอบปัญหายากได้)

บอกสัญชาติ ซึง่ อันทีจ่ ริงมีรูปเปลีย่ นมาจาก Proper noun นั่นเอง ได้แก่


คำแปล

อังกฤษ, คนอังกฤษ
อเมริกา, คนอเมริกน ั
ไทย, คนไทย
อินเดีย, คนอินเดีย
เยอรมัน, คนเยอรมัน
อิตาลี, คนอิตาเลีย่ น
ญีป่ น, ุ่ คนญีป
่ น
ุ่
จีน, คนจีน

าม เพือ
่ บอกให้ทราบปริมาณของสิง่ เหล่านัน
้ ว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำนวนแน่ นอน)ได้แก่

ขยายนาม เมือ
่ บอกจำนวนแน่ นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็ นชือ
่ ย่อยได้ 3 ชนิด คือ

ของนาม ได้แก่
ลำดับทีข
่ องนามนัน
้ ๆ ได้แก่

ble, triple, fourfold

่ ี้เฉพาะให้กบั นามใดนามหนึ่ง ได้แก่ this, that (ใช้กบั นามเอกพจน์ ),


าทีช

นามเพือ
่ ให้เป็ นคําถามโดยจะวางไว้

าํ คุณศัพท์ทใี่ ช้ขยายนามเพือ
่ บอกความเป็ นเจ้าของของนาม ได้แก่ my,our,your,his,her,itsและtheir
กนามออกจากกันเป็ น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อน ั หนึ่ง), neither(ไม่ทง้ ั สอง)
ั ใดก็อน

นามเพือ ้ ได้แก่ own(เอง),very(ทีแ


่ เน้นความให้มีนำหนักขึน ่ ปลว่า นัน
้ ,นัน
้ เอง,นัน
้ จริงๆ)

ยเพือ
่ ให้เป็ นคําอุทาน ได้แก่ what

ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยงั ทําหน้าทีค
่ ล้ายส้นธาน
หลัง และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าทีเ่ ชือ
่ มประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย

Adjective ตัวนัน
้ มี

ลี by mail today มาขยายตามหลัง

ลี for his position มาขยายตามหลัง

มายถึง Adjecive ทั่วไปเท่านัน


้ แต่ถา้ เป็ นAdjective
ท่านัน
้ คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช้ทง้ ั

านามทีม
่ น
ั ไปขยายนัน
้ ทุกครัง้ ไป เช่น

มาใช้เป็ น Adjective

รือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามทีม
่ น
ั ขยายเสมอ เช่น

ยายทุกครัง้ เช่น

บทต่อไปนี้เช่นกัน) นำมาใช้เป็ น Adjective ขยายนามได้และวางไว้หน้านามนัน


้ ตลอดไป เช่น

นตำแหน่ งวางของวลีคณ
ุ ศัพท์นน
้ ั อยูห
่ น้านามก็มี อยูห
่ ลังนามก็มี เช่น
n ทีอ่ ยูข
่ า้ งหน้า

se ทีอ่ ยูข
่ า้ งหน้า

ละให้วางไว้หลังนามทีไ่ ปขยายทุกครัง้ เช่น

ประโยค) มาทำหน้าทีเ่ ป็ นคุณศัพท์ขยายนามhouse ทีว่ างอยูข


่ า้ งหน้า

เภทคุณานุประโยค) มาทำหน้าทีเ่ ป็ นคุณศัพท์ขยายนามMr.Clinton ซึง่ วางอยูข


่ า้ งหน้า
กลับไปยังหน้าเดิม
Adverbs กริยาวิเศษณ์

Adverbs of Frequency Adverbs of Manner


Adverbs of Place Adverbs of Degree

คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าทีข
่ ยายคำคุณศัพท์ ขยายคำกริยาหรือ
ขยายคำกริยาวิเศษณ์ ดว้ ยกันซึง่ แบ่งออกเป็ นชนิดต่างดังต่อไปนี้

Adverbs of Frequency

คือ adverb ทีบ


่ อกความถีว่ า่ ทำสิง่ นี้สงิ่ นัน
้ บ่อยหรือถีม
่ ากน้อยแค่ไหนได้แก่คำว่า

always            สมํ่าเสมอ เป็ นประจำ


often  บ่อยๆ
frequency บ่อย ถี่
usually     ตามปกติ
sometimes บางครัง้ บางครา
generally โดยทั่วๆไป
seldom ไม่คอ่ ยจะ
hardly ever แทบจะไม่
never ไม่เคยเลย

การวางตำแหน่ ง Adverbs of Frequency


1.ถ้าประโยคนัน้ มี verb to be หรือ verb to have   ให้วางไว้หลัง verb to be หรือ verb to have
She is always late.
He has never traveled by train.
2. วางไว้หน้าคำกริยาแท้เช่น
Don often goes to the park.

Adverbs of Manner

คือ adverb ทีบ


่ อกอาการ หรือท่าทาง สถานะ คุณภาพเช่น

happily อย่างมีความสุข
quickly อย่างอย่างรวดเร็ว
beautifully อย่างสวยงาม
late ล่าช้า
well ดี
carefully อย่างระมัดระวัง
fast  เร็ว

She walks slowly.


The children sing beautifully.
It is important to write carefully.

Adverbs of Time

คือ adverb ทีบ


่ อกเวลา ได้แก่คำว่า

today วันนี้
tonight คืนนี้
yesterday เมือ
่ วาน
finally ในทีส่ ุด
last ครัง้ สุดท้าย
already เรียบร้อยแล้ว
soon ในเร็วๆนี้
before ก่อน
still ยังคง
every week ทุกๆสัปดาห์

We'll soon be home.


When did you last see your family?

Adverbs of Place

คือ adverb ทีบ


่ อกสถานที่ ได้แก่คำว่า

here ทีน ่ ี่
around รอบๆ
there ทีน ่ ่นั
somewhere ทีไ่ หนสักแห่ง
near ใกล้ๆ

We are playing here.


The boy is sitting there. 

Adverbs of Degree

คือ adverb ทีบ


่ อกปริมาณจะวางไว้หน้าคำ adj., adv. หรือกริยาทีม
่ น
ั ขยาย ได้แก่คำว่า

very มาก
too มาก(เกินไป)                
quite มาก(ทีเดียว)
almost เกือบจะ

He is too big to run.


The bag is very heavy.
I am almost finished.

Note:
1.ในกรณีทป ี่ ระโยคหนึ่งมีคำกริยาวิเศษณ์ อยูห่ ลายชนิดให้เรียงลำดับดังนี้ manner, place, time
The kids go to bed early.
He works hard every week.
He sang beautifully at the concert last night.
                       
2. คำทีม ่ ีรูปเหมือนกันเป็ นได้ทง้ ั คำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์  ได้แก่คำว่า

fast เร็ว
hard ยาก แข็ง
far    ไกล
pretty มาก ทีเดียว
early เช้า เร็ว แต่เช้า

He runs fast.
He is a fast runner.
She works hard.
She is a hard worker.
คำกริยาวิเศษณ์ ส่วนใหญ่มาจากคำคุณศัพท์โดยการเติม ly ท้ายคำโดยมีหลักการทำดังนี้
1. เอาคำคุณศัพท์มาเติม ly ได้เลย เช่น

beautiful     beautifully


quiet quietly
wonderful wonderfully

2. คำคุณศัพท์ทลี่ งท้ายด้วย e ให้ตดั e ออก แล้วเติม ly

true  truly

3.  คำคุณศัพท์ทลี่ งท้ายด้วย y ให้เปลีย่ น y เป็ น i  แล้วเติม ly เช่น

happy happily
angry angrily
                    
4. คำคุณศัพท์ทลี่ งท้ายด้วย le ให้ตดั e ออก แล้วเติม y

simple    simply
possible possibly

Note: คำทีล่ งท้ายด้วย lyอยูแ


่ ล้วแต่เป็ นคำคุณศัพท์ได้แก่คำว่า
friendly เป็ นมิตร
lovely น่ ารัก
lonely โด่ดเดีย่ ว
ugly น่ าเกียด
silly งีเ่ ง่า

กลับไปยังหน้าเดิม

ADVERBS

Adverbs คือ "กริยาวิเศษณ์ "(บางตำราเรียd"คำกริยาวิเศษณ์ "เฉยๆก็ได้)มีไว้


สำหรับ"ใช้ทำหน้าทีข่ ยายกริยา,ขยายคุณศัพท์,ขยายกริยาวิเศษณ์ (ด้วยกันเอง),
ขยายประโยคและขยายสรรพนาม บุรพบทวลีและจำนวนนับ"ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ขยายกริยาเช่น
My mother works hard every day.
(แม่ของฉันทำงานหนักทุกๆวัน)
ข้อสังเกต:hardเป็ นAdverbขยายกริยาworks
ขยายคุณศัพท์เช่น
These students are very intelligent.
(นักศึกษาเหล่านี้เฉลียวฉลาดมาก)
ข้อสังเกต:veryเป็ นAdverbขยายคุณศัพท์intelligent
ขยายกริยาวิเศษณ์ เช่น
She drives very carefully.
(ลินดาขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างยิง่ )
ข้อสังเกต:veryเป็ นAdverbขยายAdverb"carefully"
ขยายทัง้ ประโยคเช่น
Foutunately,no one complained of me.
(โชคดีจริงๆไม่มีใครร้องเรียน(หรือบ่น)ฉันเลย)
ข้อสังเกต:fortunatelyเป็ นAdverbทำหน้าทีข ่ ยายทัง้ ประโยคทีต
่ ามหลัง
ขยายสรรพนามเช่น
What else can I say.
(แล้วฉันจะพูดอะไรได้อีก)
ข้อสังเกต:elesเป็ นAdverbมาขยายสรรพนามwhat
ขยายบรุพบทวลีเช่น
You ought to go right to the end of the road.
(คุณควรจะไปจนสุดถนนสายนี้)
ข้อสังเกต:rightเป็ นAdverbมาขยายบรุพบทวลีto the end of the road
ขยายจำนวนนับเช่น
We go to the movie almost every Sunday.
(เราไปดูหนังสือเกือบทุกวันอาฑิตย์)
ข้อสังเกต:almostเป็ นAdverbมาขยายจำนวนนับevery

Adjtive and Adverb

HOW TO LEARN ?

a little a few, little, few


adjetive adverb
much many
some any
tool
as well , too
fairly , rather
already , yet

A little, A few; Little, Few

(a) litte ใช้กบั นามทีน ั ไม่ได้ (uncountable noun) ซึง่ ย่อมต้องเป็ นเอกพจน์เสมอ เช่น (a) little water, (a) little snow
่ บ

(b) few ใช้กบั นามทีน ั ได้ (countable noun) ซึง่ ต้องเป็ นพหูพจน์เสมอ เช่น (a) few books, (a) few people
่ บ

ข้อแตกต่างระหว่าง a little (มี a) กับ little (ไม่มี a) a few (มี a) กับ few (ไม่มี a)

เมือ
่ มี a นำหน้า little หรือ few มีความหมายในทางรับ คือรับว่ามีอยูบ
่ า้ ง แม้จะน้อยก็ตาม เช่น

There is alittle milk in that bottle.

There are a few people in the room.

ถ้าไม่มี a นำหน้า แสดงความหมายในทางปฎิเสธ คือบ่งว่า แทบจะไม่มี เช่น

There is little money left.

(แทบจะไม่มีเงินเหลืออยูเ่ ลย)

การจะใช้ a นำหน้า little หรือ few นัน ้ อยูท


้ ขึน ่ ใี่ จของผูพ
้ ูด

ถ้าผูพ
้ ูดนึกว่าแทบไม่มีเลย เขาก็ไม่ใช้ a ถ้าเขานึกว่ายังมีอยูบ
่ า้ ง เขา ก็ใช้ a นำหน้า (โดยทั่วๆไปประโยคภาษาอังกฤษมักจะมี
ADJECTIVES & ADVERBS

การใช้คำ adjective คำ adjective อาจใช้ได้ 2 วิธี คือ :

ใช้ประกอบหน้านาม ( attributive use ) เช่น

He is agood student.

ใช้หลังกริยา ( predicative use ) เช่น

That student is good.

ตำเเหน่ ง ( position ) ของคำ adjective

1.โดยปกติ adjective อยูห


่ น้าคำนาม เช่น

a big town, a blue car, an interesting movie.

2.เมือ
่ มี adjective 2 คำประกอบคำนามคำนามคำเดียวโดยปกติไม่นิยมใช้เชือ
่ ม เช่น

a tall young man, six red roses

3.นิยมใช้ comma คั่นระหว่าง adjective เมือ


่ เป็ นคำประเภทเดียวกัน เช่น

a big, square box ; amodern, small car

4.เเต่ถา้ คำ adjective 2 คำนัน


้ เป็ นadjective บอกสีทง้ ั คูใ่ ห้ใช้ and เช่น

a black and white cat

Much, Many ,Very, A lot of, lots of

much ใชป
้ ระกอบนามนั บไมไ่ ด้ (uncountable) เชน
่ much water

้ ระกอบนามที่นับได้ (countable) ดั งนั น


many ใชป ้ นามหลั ง many จึงเป็ นนามพหูพจน์เสมอ เชน
่ many books, many people,

a lot of หรื อ lots of ใชไ้ ด้เหมือนกัน ใชป ้


้ ระกอบได้ทังนามนั บได้เเละนับไมไ่ ด้ในประโยคบอกเลา่ ถา้ เป็ นคำถามหรื อปฏิเสธนิ ยมใช้

much time = a lot of time = lots of time

many people = lots of people = a lot of people

ในภาษาพูด (spoken English)คำเเสดงความมากยั งมีคำอื่นๆอีก เชน


plenty(of), a great deal(of), a large number(of), a large amount(of), a large quantity(of)

very (มาก) เป็ นคำ adverd จึงไมใ่ ชป


้ ระกอบนาม เเตใ่ ชข้ ยาย adjective หรื อ adverd เชน
่ very much, very old

Some&Any
Some,someใชใ้ นประโยคบอกเลา่ (affirmative)

Any,any ใชใ้ นประโยคคำถาม(interrogative) และปฏิเสธ (nagative)

้ ้ รวมทั งคำประสม
    ทั นนี ้ (compound) ของ some และ any ด้วย เชน
่ somebody,anybody,something,anythingsome

Too&Enough

To เมื่อใชเ้ ป็ นคำ adverb ประกอบคำ adjective หรื อ adveb อื่นๆมีความหมายวา่ มากเกินไปมักตามหลังด้วย


This tea is too hot to drink.
ประโยคขา้ งบนนี้ มีความหมายวา่ ชานี้ ร้อนเกินไปที่จะดื่ม ปัญหาจึงอาจเกิดวา่ ร้อนมากเกินไปสำหรับใคร อีกคนหนึ่ งอาจวา่ ไมร่ ้ อนก็ได้
้ จึงนิ ยมใช้ for สำหรับบอกวา่ เกินไปสำหรับใคร เชน
ดังนัน ่
This tea is too hot for me to drink.
= This tea is very hot; I can't drink it.

as well ใช้ในภาษาพู ดเหมื อนกั น และเป็ นคำที่ นิยมมากกว่า too (วางไว้ท้ายประโยคอย่าง too

- He also went there yesterday

=He went there yesterday,too.

= He went there yesterday as well.

Nearly, Almost

nearly= เกื อบ, เกื อบถึ ง (ในการบอกปริ มาณและ อื่ นๆ)

Almost= เกื อบจะ (ในการกระทำ) คื อการกระทำที่ ไม่สำเร็ จ แต่เกื อบจะสำเร็ จ เช่น

-- Tom is nearly five feet tall.

(ทอมสู งเกื อบ 5 ฟุ ต)

-- John almost succeeded in cilmbing that tall tree.

(จอหน์เกื อบจะปี นต้นไม้สูงได้สำเร็ จ)


ษณ์

Adverbs of Time

รือ verb to have


คำว่า

place, time
ดังนี้

อย่างสวยงาม
อย่างเงียบๆ
อย่างยอดเยีย่ ม

อย่างแท้จริง

อย่างมีความสุข
อย่างฉุ นเฉี ยว

ง่ายๆ ชัดเจน
เป็ นไปได้
อ เช่น (a) little water, (a) little snow

few books, (a) few people

(โดยทั่วๆไปประโยคภาษาอังกฤษมักจะมี a นำหน้า little และ few เสมอ) แบบฝึ กหัดต่อไปนี้ พิจารณาความหมายให้ดีเพือ


่ จะสามารถใช้ a หรือ ไม่ใช้
่ many books, many people, many cars
พจน์เสมอ เชน

ระโยคบอกเลา่ ถา้ เป็ นคำถามหรื อปฏิเสธนิ ยมใช้ much หรื อ many เชน

large quantity(of)

erd เชน
่ very much, very old
y,anybody,something,anythingsomeและany ใชป ้
้ ระกอบได้ทังนามนั ้ จะตอ
บได้และนามนั บไมไ่ ด้ ถา้ ประกอบนามนั บได้ นามนั น ้ งเป็ นพหูพจน์ เชน

มากเกินไปมักตามหลังด้วยto-infinitive (=to+กริ ยาชอ่ งที่ 1) เชน


นไปสำหรับใคร อีกคนหนึ่ งอาจวา่ ไมร่ ้ อนก็ได้

ประโยคอย่าง too ก็ ได้ หรื อจะวางไว้อย่าง also ก็ ได้) เช่น


มารถใช้ a หรือ ไม่ใช้ a ได้อย่างถูกต้อง
่ some rice, some books,any bnooks ,any sugar
องเป็ นพหูพจน์ เชน
กลับไปยังหน้าเดิม
Verbs คำกริยา

คือคำทีแ
่ สดงการกระทำหรือถูกกระทำมีดงั ต่อไปนี้

อกรรมกริยา (Intransitive verb) เป็ นกริยาทีม


่ ีความสมบูรณ์ ในตัวมันเอง
ไม่ตอ
้ งมีกรรมมารองรับ

smile ยิม ้
cry ร้องไห้
run วิง่
speak พูด
go ไป
come มา
sit นั่ง
sleep นอน
walk เดิน

I like to smile.
My dog runs quickly.

สกรรมกริยา (Transitive verb) เป็ นกริยาทีย่ งั ไม่สมบูรณ์ ตอ


้ งมีกรรมมารอง
รับจึงจะทำให้ประโยคสมบูรณ์

write เขียน
give ให้
buy ซื้อ
look มอง
close ปิ ด
kick เตะ

He writes novels.
I bought a car.

กริยารูปธรรมดา (Regular verb) คือเมือ ่ เปลีย่ นเป็ นช่องทีส่ องกับ


ช่องทีส่ ามเพียงแค่เติม d หรือ ed ท้ายคำ

walk walked walked


like liked liked
play played played
love loved loved

กริยารูปพิเศษ (Irregular verb) เมือ ่ เปลีย่ นเป็ นช่องทีส่ อง (Past tense) ช่องทีส่ าม (Past Participle)
จะมีรูปทีเ่ หมือนกันและรูปทีแ
่ ตกต่างกัน คลิกดูกริยารูปพิเศษเพิม ่

1 มีรูปเหมือนกันทัง้ สามช่อง

cut cut cut


read read read
hit hit hit
hurt hurt hurt
put put put

2. มีรูปทีแ
่ ตกต่างกัน

eat ate eaten


fly flew flown
break broke broken
build built built
come came come
do did done
make made made
pay paid paid
steal stole stolen
think thought thought

Infinitives

Infinitive ตามด้วย to คือกริยาช่องที่ 1ทีต


่ อ
้ งมี to นำหน้ามีลกั ษณะการใช้คอ

1.ใชัเป็ นประธาน
It is not difficult to learn English.

2. ใช้ตามหลังคำกริยา
It's starting to rain.

กริยาทีต
่ ามด้วย Infinitive  ตามด้วย to ได้แก่คำว่า

hope หวัง
need ต้องการ
prepare เตรียม
except ยอมรับ
decide ตัดสินใจ
appear ปรากฎ
ask ขอร้อง
plan วางแผน
mean ตัง้ ใจ
remind เตือน
swear สาบาน
pretend เสแสร้ง
want ต้องการ
promise สัญญา
neglect เพิกเฉย
learn   เรียนรู้
deserve สมควรได้รบั
manage จัดการ

3.ใช้ในรูป verb + object+infinitive


She didn't ask him to go.
4.ใช้ตามหลังคำคุณศัพท์ (adjective) Infinitive ถูกใช้ตามหลังคำคุณศัพท์บางคำ
I'm glad to know you.
She was surprised to hear that.

5. ใช้ตามหลังคำนาม (noun) เราสามารถใช้ Infinitive ตามหลังคำนามบางตัว


I told him about my decision to divorce.

6.ใช้ตามหลัง who, what, how etc.


ในประโยค reported speech เราสามารถใช้ infinitive ตามหลัง who, what, where,when etc (
ทีพ
่ ูดเกีย่ วกับคำถามและตอบคำถาม

verb +question-word +Infinitive

I don't know how to make a cake.

Infinitive ไม่มี to  คือกริยาช่องที่ 1 ทีไ่ ม่ตอ


้ งมี to นำหน้ามีลกั ษณะการใช้ดงั นี้

1. Modal auxiliary verbs(กริยาช่วย)


เราใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลังกริยาช่วย will, shall, would, should, can, could
may, might, had better
We must clean the room.

2.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลังคำกริยาทีแ


่ สดงการรับรูแ
้ ละสังเกตเห็นได้แก่คำว่า
let  อนุญาต
make ทำ
see เห็น
hear ได้ยน ิ
feel รูส้ ก

watch ดู เฝ้ าดู
notice สังเกต
I saw a boy steal a car.

3.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลัง why (not) ทีห


่ มายถึงสิง่ ทีไ่ ม่จำเป็ นหรือการ
ทำในสิง่ โง่ๆ เช่น
Why did you do that? It's the stupidest thing I've ever seen.

4.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลัง and, or, except, but, than


เราสามารถนำคำ infinitive มาใช้รว่ มกันด้วย and, or, except, but, than แต่วา่
infinitive ตัวทีส่ องไม่ตอ
้ งมี to
Do you want to go out
or stay home?

กลับไปยังหน้าเดิม

Verb
Verb คือ "กริยา" ได้แก่ "คำทีใ่ ช้แสดงถึงการกระทำ หรือการถูกกระทำของคำทีเ่ ป็ นประธาน หรือเป็ นคำสอดแทรกเข้ามาทำหน้าทีช
่ ว่ ยก
เพือ
่ บอกถึงมาลา ( mood ) วาจก ( Voice ) และกาล ( Tense )"
ในภาษาอังกฤษแบ่ง verb ออกเป็ น 5 ชนิดด้วยกัน

Transitive Verb ( สกรรมกริยา )


Intransitive Verb ( อกรรมกริยา )
Finite Verb ( กริยาแท้ )
Non - Finite Verb ( กริยาไม่แท้ )
Auxiliary Verb ( กริยานุเคราะห์ , กริยาช่วย )
Exercise ( แบบฝึ กหัด )

Transitive Verb

Transitive Verb คือ "สกรรมกริยา" หมายถึง "กริยาทีต ่ อ


้ งมีกรรมมารองรับ หรือมีกรรมมาขยายตามหลัง เพือ
่ ให้เนื้อความของกริยาตัว
give , buy , bring , write , speak , hit , see , look at , order , open , close , wash, clean , etc.

ตัวอย่าง :
My father bought meat and eggs yesterday.
( คุณพ่อของฉันซื้อเนื้อและไข่มาเมือ
่ วานนี้ )
คำทีจ่ ะนำมาใช้เป็ นกรรมของสกรรมกริยา ( Object of a transitive Verb ) ได้นน
้ ั ได้แก่คำต่อไปนี้ คือ

1. นามทุกชนิด ( All kinds of Nouns ) เช่น


Kenya needs the growth and development.
( ประเทศเคนยาต้องการความเจริญก้าวหน้าและการพัฒนา )
ข้อสังเกต : growth and development เป็ นกรรมของ needs

2. สรรพนาม ( Pronoun ) เช่น


I told him that he could pass his examination.
( ฉันบอกเขาว่า เขาสอบไล่ได้ )
ข้อสังเกต : him เป็ น Pronoun มาทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมของ told

3. กริยาสภาวมาลา ( ได้แก่ Infinitive ) เช่น


These students want to continue their studies in the U.S.A.
( นักศึกษาเหล่านี้ตอ
้ งการศึกษาต่อในประเทศสหรัฐฯ )
ข้อสังเกต : to continue เป็ นกริยาสภาวมาลา ทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมของ want

4. คำกริยาทีเ่ ติม ing ( Gerund ) แล้วนำมาใช้อย่างนาม เช่น


Ever since John has got bad health, he stops smoking.
( ตัง้ แต่จอห์นไม่สบายนี้ เขาเลิกสูบบุหรีแ
่ ล้ว )
ข้อสังเกต : smoking เป็ น Gerund ทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมของ stops

5. วลีทกุ ชนิด ( Phrases ) เช่น


Helen doesn't know what to do will her son.
( เฮเลนไม่รวู้ า่ จะทำอย่างไรกับลูกชายของหล่อนดี )
ข้อสังเกต : What to do เป็ นวลี ทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมของ know

6. อนุประโยค ( Subordinate Clause ) เช่น


I know what he is going to do there.
( ผมรูว้ า่ เขาจะไปทำอะไรอยูท
่ น
ี่ ่ น
ั )
ข้อสังเกต : what he is going to do there เป็ นอนุประโยคทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมของกริยา
know

Intransitive Verb

Intransitive Verb คือ "อกรรมกริยา" ได้แก่ "กริยาทีไ่ ม่ตอ


้ งมีกรรมตามมา หรือมีกรรมมารองรับ เพราะมีเนื้อความสมบูรณ์ อยูใ่ นตัวอย

go ไป
stay พัก,อยู่
regret เสียใจ

ตัวอย่างเช่น :
Who comes?
( ใครมา )
ข้อสังเกต : หลัง comes ไม่ตอ ้ งมีกรรมมารับ เพราะได้เนื้อความสมบูรณ์
My sister dances very well.
( พี/่ น้องสาวของฉันเต้นรำได้ดีมาก )
ข้อสังเกต : หลัง dances ไม่ตอ ้ งมีกรรมมารับ เพราะได้เนื้อความสมบูรณ์ แล้ว ส่วน very well ทีต
่ ามหลังอยูน
่ น
้ ั ไม่ใช่กรรม แต่เป็ น
การกรรมมารับโดยตรง แต่ก็ยงั ต้องพึง่ หรืออาศัย คำหรือกลุม ่ คำอืน
่ ช่วยขยาย เพือ
่ ให้เนื

get = เป็ น , มี
grow = เจริญ , มี , เป็ น
feel = รูส้ ก

look = ดูเหมือน , ดูทา่

ตัวอย่างเช่น :
Helen looks unhappy.
( เฮเลนดูทา่ ไม่สบาย )
His plan proved useless.
( แผนการของเขาใช้ไม่ได้เลย )
ตัวดำดูเหมือนทำหน้าทีเ่ ป็ น object แต่ไม่ใช่ แท้ทจี่ ริงแล้วมันก็ทำหน้าทีเ่ ป็ น Subjective Complement

Finite Verb

Finite Verb คือ "กริยาแท้" หมายถึง "กริยาทีนำ


่ มาใช้เป็ นส่วนสำคัญของประโยค อาจกล่าวได้วา่ ทุกข้อความทีเ่ ราพูดหรือเขียนออกไป
แล้วข้อความนัน ้ มาไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะฉะนัน
้ จะเป็ นประโยคขึน ้ กริยาแท้จงึ เป็ นหัวใจหรือส่วน

Who comes?
( ใครมา )
The girls are coming early.
( พวกเด็กหญิงก็มาแต่เช้า )
ข้อสังเกต : ซึง่ เป็ นกริยาในประโยคข้างบนนี้ จะเห็นว่า ได้มีการเปลีย่ นแปลงไปตาม Tense และประธานของประโยคนัน
้ ๆ ทัง้ นี้ก็เพรา
Non - Finite Verb

Non - Finite Verb คือ "กริยาไม่แท้" หมายถึง "คำกริยาทีม ่ ไิ ด้นำมาใช้อย่างกริยาแท้ แต่ถูกนำมาใช้ทำหน้าทีเ่ ป็ นอย่างอืน
่ เช่น เป็ นนา
หรือเป็ นอืน
่ ใดได้ทง้ ั นัน
้ " ในภาษาอังกฤษแบ่งกริยาไม่แท้ ( Non - Finite Verb ) ออก

1. Infinitive = กริยาทีม
่ ี To นำหน้า ( To + Verb 1 ) เช่น to walk

2. Gerund = กริยาทีเ่ ติม ing ( Verb + ing ) เช่น walking , sleeping , smoking

3. Participle = กริยาทีเ่ ติม ing เช่น eating , coming , etc.


หรือเป็ นกริยาช่อง 3 เช่น
eaten , came , cleaned , spoken

ลักษณะของกริยาตัวใดเป็ นกริยาแท้ ( Finite Verb ) หรือกริยาไม่แท้ ( Non - Fininte Verb )


กริยาตัวทีว่ างอยูห
่ น้าสุดจะเป็ นกริยาแท้ ส่วนกริยาตัวทีว่ างเป็ นอันทีส่ องต่อไปเรือ
่ ย ๆ จะเป็ นกริยาไม่แท้ เช่น
We want to develop our company in many ways.
( เราต้องการพัฒนาบริษท ั ของเราในทุกกรณี )
ข้อสังเกต : want เป็ นกริยาแท้ to develop เป็ น Infinitive กริยาไม่แท้

Auxiliary Verb

Auxiliary Verb คือ "กริยานุเคราะห์" ( บางครัง้ ก็เรียกกริยาช่วย ( Helping Verb ) บ้าง , กริยาพิเศษ
Auxiliary Verb มีอยูท
่ ง้ ั หมด 24 ตัว คือ

Verb to be = is , am , are , was , were


Verb to have = has , have , had
Verb to do = do , does , did
Verb to do = will , would
Verb to do= shall , should
Verb to do= can , could
Verb to do= have to ( ทีม่ ีความหมายเท่ากับ must )

1. หน้าทีข
่ อง Verb to be ใช้ทำหน้าทีช ่ ว่ ยกริยาตัวอืน
่ ได้ดงั ต่อไปนี้
1.1 วางไว้หน้ากริยาตัวทีเ่ ติม ing ทำให้ประโยคนัน ้ เป็ น Continuous Tense ซึง่ แปลว่า "กำลัง"
We are learning English
( เรากำลังเรียนภาษาอังกฤษ )

1.2 วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 ( เฉพาะสกรรมกริยา ) ทำให้ประโยคนัน


้ เป็ นกรรมวาจก ( Passive Voice )
John was punished by the teacher yesterday.
( จอห์นถูกทำโทษโดยคุณครูเมือ ่ วานนี้ )

1.3 วางไว้หน้ากริยาสภาวมาลา ( Infinitive ) มีสำเนียงแปลว่า "จะ , จะต้อง" แสดงถึงหน้าทีท


่ ต
ี่ อ
้ งกระทำ
He is to stay here till I come back.
( เขาจะต้องอยูท
่ น
ี่ ี่จนกว่าฉันจะกลับมา )

1.4 ประโยคคำสั่ง , อวยพร , ทีนำ


่ หน้าประโยคด้วย Adjective ( คุณศัพท์ ) ต้องใช้ Be นำหน้าเสมอ เช่น
Be quite. The baby is sleeping.
( เงียบหน่ อย ทารกกำลังนอกหลับอยู่ )
้ ในอนาคตอันใกล้เช่น
1.5 ใช้นำหน้าสำนวน about to + Verb ช่อง 1 มีสำเนียงแปลว่า "กำลังจะ" แสดงถึงเหตุการณ์ ทจี่ ะเกิดขึน
They are about to start their jouney this week.
( พวกเขากำลังจะออกเดินทางกันสัปดาห์นี้ )

1.6 ใช้ทำหน้าทีเ่ ป็ นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ในประโยคได้กรณีนี้ในประโยคนัน


้ จะไม่มี Verb
Jean is always a good girl.
( จีนเป็ นเด็กหญิงดีเสมอ )

การใช้ have to , have got to , had better

have to แปลว่า "ต้อง , จำเป็ นต้อง" ( = must ) ใช้แสดงถึงพันธะหน้าทีภ ่ ารกิจจำเป็ นทีต


่ อ
้ งกระทำ หลัง
I have to leave now.
( ฉันจำเป็ นต้องไปเดีย๋ วนี้ )
George has to go to school from Monday to Friday.
( จอร์จจะต้องไปเรียนหนังสือตัง้ แต่วน ั จันทร์ถงึ วันศุกร์ )
อนึ่ง ประโยคบอกเล่าทีม ่ ี have to เมือ่ ทำเป็ นคำถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย จะเอา
ตัวอย่างเช่น :
ถูก : Do I have to leave now?
( ผมจำเป็ นต้องไปเดีย๋ วนี้หรือ )
ผิด : Have I to leave now?
ถูก : I don't have to leave now.
( ผมไม่จำเป็ นต้องไปเดีย๋ วนี้ )
ผิด : I haven't leave now.
ถูก : Does he have to go to work?
( เขาจะต้องไปทำงานหรือ? )
ผิด : Has he to go to work?
หมายเหตุ : have to ใช้ได้กบั เหตุการณ์ ทเี่ ป็ นปัจจุบน ั และอนาคตรูปอดีตของ have to คือ had to
Have got to คำแปลเช่นเดียวกับ have to นำมาใช้ในภาษาพูดแทน have to คือ had to หรือ
ตัวอย่างเช่น :
Affirmative ( บอกเล่า )
He's got to go.
I've got to do.
Negative ( ปฏิเสธ )
He hasn't got to go.
I haven't got to do.
Interrogative ( คำถาม )
Has he got to go?
Have I got to do?
had better ( ให้รวมถึง had rather, had sooner ) แปลว่า "ควรจะ...ดีกว่า" หลัง had better
ตัวอย่างเช่น :
You had better start your trip tomorrow.
( = You'd better start your trip tomorrow. )
( คุณควรจะเริม ่ การเดินทางของคุณวันพรุง่ นี้ดีกว่า )
I had better go home now.
( = I'd better to go home now. )
( ฉันควรจะกลับบ้านเดีย๋ วนี้ดีกว่า )
ข้อสังเกต : start และ go เป็ น Infinitive Without "to"
ประโยคบอกเล่าทีม ่ ี had better นัน ้ เมือ
่ ทำเป็ นปฏิเสธให้เติม not หลัง better เท่านัน
้ อย่าวางหลัง
ตัวอย่างเช่น :
ประโยคบอกเล่า
ถูก : She had better stay home alone.
( หล่อนควรจะพักอยูท ่ บ ี่ า้ นตามลำพัง )
ประโยคปฏิเสธ
ถูก : She had had not stay home alone.
( หล่อนไม่ควรพักอยูท ่ บ ี่ า้ นตามลำพัง )
ผิด : She had not better stay home alone.
ประโยคคำถาม
ถูก : Had she better stay home alone?
( หล่อนควรจะพักอยูท ่ บ ี่ า้ นตามลำพังหรือ? )
ผิด : Did she have better stay home alone?
3. หน้าทีข่ อง Verb to do Verb to do ได้แก่ do , does , did เมือ
่ นำมาใช้เป็ นกริยาช่วย ( Helping - Verb )
3.1 ช่วยทำประโยคบอกเล่า ( Affirmative ) ให้เป็ นประโยคคำถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ
Verb to have ไม่มี
Verb to be ไม่อยู่
Verb to do มาช่วย
หรือมี will , would , shall , should , can , could , may , might , must อยูแ ่ ล้วก็ไม่ตอ
้ งใช้
Verb to do มี 3 ตัว จะนำมาใช้ตา่ งกัน เช่น
เอกพจน์ ใช้ does
พหูพจน์ ใช้ do
I , They , We , You ใช้ do เหมือนกัน
กริยาสำคัญไม่ตอ ้ งเติม s ( ed , ing )
ตัวอย่างใช้ do มาช่วย
ประโยคบอกเล่า :
You speak Japanese to your friend.
( คุณพูดภาษาญีป ่ นกั ุ่ บเพือ ่ นของคุณ )
ประโยคคำถาม :
ถูก : Do you speak Japanese to your friend?
( คุณพูดภาษาญีป ่ นกั ุ่ บเพือ ่ นของคุณหรือ? )
ผิด : Are you speak Japanese to your friend?
ตัวอย่างใช้ does มาช่วย
ประโยคบอกเล่า :
He opens the door by himself.
( เขาเปิ ดประตูดว้ ยตนเอง )
ประโยคคำถาม :
ถูก : Does he open the door by himself?
( เขาเปิ ดประตูดว้ ยตัวเขาเองหรือ? )
ผิด : Is he opens the door by himself?
ประโยคปฏิเสธ :
ถูก : He doesn't ( หรือ does not ) open the door by himself.
( เขาไม่ได้เปิ ดประตูดว้ ยตัวเอง )
ผิด : He is not opens the door by himself.
ตัวอย่างใช้ did มาช่วย
ประโยคบอกเล่า :
She went to Hong Kong last week.
( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ทแ ี่ ล้ว )
ประโยคคำถาม :
ถูก : Did she go to Hong Kong last week?
( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ทผ ี่ า่ นมาหรือ? )
ผิด : Was she went to Hong Kong last week?
ประโยคปฏิเสธ :
ถูก : She didn't ( หรือ did not ) go to Hong Kong.
( หล่อนไม่ได้ไปฮ่องกง )
ผิด : She wasn't went to Hong Kong.
3.2 ใช้แทนกริยาตัวอืน ่ ทีอ่ ยูใ่ นประโยคเดียวกัน เพือ ่ ต้องการมิให้กริยาตัวเดิมนัน ้ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น
Billy likes badminton and so does Tim.
( บิลลีช
่ อบแบดมินตันและทิมก็ชอบเหมือนกัน )
You speak Thai and I do too.
( คุณพูดไทยและฉันก็เช่นกัน )
Linda worked yesterday but I didn't.
( ลินดาทำงานเมือ ่ วานนี้ แต่ฉน ั ไม่ทำ )
ข้อสังเกต : does , do didn't ทัง้ 3 คำไปแทนกริยา likes, speak และ worked ตามลำดับ ทัง้ นี้เพือ ่ ต้องการมิให้ใช้กริยา
3.3 ใช้สนับสนุนกริยาตัวอืน ่ เพือ ่ ให้เกิดความสำคัญกับกริยาตัวนัน ้ ว่า จะต้องทำเช่นนัน ้ จริง ๆ โดยให้เรียงไว้หน้าก
้ จริง ๆ หรือเกิดขึน
I do go and see you tomorrow.
( ฉันจะไปพบคุณให้ได้วน ั พรุง่ นี้ )
Sam does write to me.
( แซมเขียนจดหมายถึงผมจริง ๆ )
They did live there two years ago.
( พวกเขาได้อยูน ่ น้ ั จริง ๆ เมือ ่ 2 ปี ทีผ
่ า่ นมา )
Do come with us.
( ไปกับเราให้ได้นะ )
ข้อสังเกต : do , does , did เรียงไว้หน้ากริยาใดจะเน้นกริยาตัวนัน ้ ให้มีน้ำหนักการกระทำขึน ้ มาจริง ๆ
3.4 ใช้แทนกริยาหลักในประโยคคำตอบแบบสัน ้ ๆ ทัง้ นี้เพือ
่ หลีกเลีย่ งมิให้นำเอากริยาหลังในประโยคคำถามนัน ้ มากล่าวซ้ำในประโย
Do you smoke? Yes, I do
( คุณสูบบุหรีห ่ รือ? ) ( ใช่ ฉันสูบ )
Did he ride a bicycle to school? Yes, he did.
( เขาขีจ่ กั รยานไปโรงเรียนหรือ? ) ( ใช่ เขาขี่ )
3.5 ใช้แทนกริยาหลักในประโยคทัง้ ทีเ่ ห็นด้วย ( agreement ) หรือไม่เห็นด้วย ( disagreement )
เห็นด้วย :
Tom speaks a lot. Yes, he does.
( ทอมพูดมากจัง ) ( ใช่ เขาพูดมาก )
She sang well. Yes, she did.
( หล่อนร้องเพลงได้ไพเราะดี ) ( ใช่ หล่อนร้องได้ไพเราะ )
ไม่เห็นด้วย :
You eat too much. No, I don't.
( คุณกินมากเกินไป ) ( ไม่ ฉันไม่ได้กน ิ มากเลย )
3.6 Verb to do ถ้านำมาใช้อย่างกริยาหลัก ( Principal Verb ) ทั่ว ๆ ไป จะแปลว่า "ทำ" ดังนัน ้ เป็ นคำถามหรือปฏิเสธต้องเอา
เมือ
่ Do แปลว่า "ทำ" จะต้องนำ do มาช่วยเพือ ่ ช่วยให้เป็ นคำถามและปฏิเสธ เช่น
ประโยคบอกเล่า
You do your homework every day.
( คุณทำการบ้านทุก ๆ วัน )
ประโยคคำถาม
Do you do your homework every day?
( คุณทำการบ้านของคุณทุก ๆ วันหรือ? )
ข้อสังเกต : Do ตัวที่ 1 เป็ นกริยาช่วย มาช่วยให้เป็ นคำถามไม่มีคำแปล do ตัวที่ 2 เป็ นกริยาแท้ กริยาใหญ่ กริยาหลัก จะเรียกอย่างไ
ประโยคปฏิเสธ
You don't do your homework every day.
( คุณไม่ได้ทำการบ้านของคุณทุก ๆ วันหรอก )
ข้อสังเกต : do ตัวแรก ( ในคำ don't ) เป็ นกริยาช่วย มาช่วยให้เป็ นประโยคปฏิเสธไม่มีคำแปล
I do my work in Bangkok.
ประโยคคำถาม
ผิด : Do I my work in Bangkok?
ถูก : Do I do my work in Bangkok?
ประโยคปฏิเสธ
ผิด : I do not my work in Bangkok. ( หรือ don't )
ถูก : I don't ( หรือ do not ) do my work in Bangkok.
ประโยคบอกเล่า
She does her homework.
( หล่อนทำการบ้านของหล่อน )
ประโยคคำถาม
Does she do her homework?
( หล่อนทำการบ้านของหล่อนหรือ? )
ข้อสังเกต : อย่าใช้ Does she her homework? โดยการนำเอา does ทีเ่ ป็ นกริยาขึน ้ ไปไว้ตน
้ ประโยค
ประโยคปฏิเสธ
She doesn't ( หรือ does not ) do her homework.
( หล่อนไม่ได้ทำการบ้านของหล่อน )
ข้อสังเกต : อย่าใช้ she does not her homework.
3.7 ใช้แทนกริยาแท้ในประโยคคำถามทีเ่ ป็ น Tag Questions เช่น
Sam lives here, doesn't he?
( แซมอาศัยอยูท ่ น
ี่ ี่ ไม่ใช่หรือ? )
ข้อสังเกต : อย่าใช้ Sam lives here, doesn't he live here?
We don't drink whisky, do we?
( พวกเราไม่ดม ื่ สุรา ใช่ไหม? )
ข้อสังเกต : We don't drink whisky, do we drink whisky?
He ate rice, didn't he?
( เขากินข้าว ไม่ใช่หรือ? )
ข้อสังเกต : อย่าใช้ He ate rice, didn't he eat rice?
4. การใช้ Will, Would, Shall, Should
Will, Shall, Would, Should ใช้ทำหน้าทีช ่ ว่ ยกริยาตัวอืน่ ได้ดงั ต่อไปนี้
4.1 Will แปลว่า "จะ" ใช้ทำหน้าทีช ่ ว่ ยกริยาตัวอืน ่ เพือ่ บอกความเป็ นอนาคตกาล ( Future Tense )
He will meet his friend at the train station.
( เขาจะไปพบเพือ ่ นของเขาทีส่ ถานีรถไฟ )
4.2 Shall แปลว่า "จะ" ใช้ทำหน้าทีช ่ ว่ ยกริยาตัวอืน ่ เพือ่ ให้เป็ นอนาคตกาล ( Future Tense )
I shall start my journey tomorrow.
( ฉันจะออกเดินทางวันพรุง่ นี้ )
หมายเหตุ : will และ shall หากใช้สลับกันกับบุรุษทีก ่ ล่าวมาแล้ว นั่นคือใช้ will กับ I , We และใช้
I will try to do it again.
( ฉันจะพยายามทำอีกครัง้ ) ( แสดงความตัง้ ใจ )
If you work well, you shall have higher wages.
( ถ้าคุณทำงานดี คุณก็จะได้รบั ค่าจ้างสูงขึน ้ อีก ) ( คำสัญญา )
ประโยคตัวอย่างข้างบนนี้ จะเห็นว่าใช้ will , shall สลับบุรุษกันทัง้ นี้ก็เพือ ่ แสดงถึงความตัง้ ใจแน่ วแน่
นอกจากนี้แล้วเฉพาะ Shall ยังใช้ได้กบั ทุกบุรุษอีกด้วย เมือ ่ ไปเป็ นกริยาพิเศษแสดงถึงวัตถุประสงค์ใน วิเศษณานุประโยค
John comes hers so that he shall see his father.
( จอห์นมาทีน ่ ี่ก็เผือ ่ ว่าจะได้พบกับคุณพ่อของเขา )
4.3 Would แปลว่า "จะ" ใช้ทำหน้าทีเ่ ป็ นกริยาช่วยให้กบั กริยาตัวอืน ่ ได้ตอ่ ไปนี้
( a ) ใช้เป็ นอดีตของ will ในประโยคทีเ่ ปลีย่ นมาจาก
Indirect Speech เช่น
She said, "I will do it again."
( หล่อนพูดว่า "ดิฉน ั จะทำอีกครัง้ " )
( b ) ใช้ในประโยคเงือ ่ นไข ( Conditional Sentence ) เช่น
If I were you, I would try to do.
( ถ้าฉันเป็ นคุณ ฉันจะพยายามทำให้ได้ )
( c ) ใช้เป็ นกริยาช่วยร่วมกับ like ในสำนวนการพูดเพือ ่ ความสุภาพ ซึง่ มีความหมายว่า "อยากจะ
Jim would like to study music.
( จิมอยากเรียนวิชาดนตรี )
( d ) ให้ใช้ would ( แทน will ตลอดไป ) เมือ ่ ผูพ
้ ูดไม่แน่ ใจคือ ยังสงวนท่าทีเพือ ่ รอดูปฏิกริ ยิ าของผูท ้ ต
ี่ นพูดด้วยว่าจะเป็ นหรือทำอย่า
Would you have some cold drinks?
( คุณจะเอาเครือ ่ งดืม
่ เย็น ๆ ไหม? )
( e ) ในประโยคคำถามทีม ่ ีกริยา mind , please เข้ามาร่วมเพือ ่ ความสุภาพในการถามหรืออกคำสั่ง และเพือ ่ เป็ นการให้เกียรติแก่คส
ู่
Would you mind if I smoke? Of course not.
( คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะสูบบุหรี? ่ )
( ไม่รงั เกียจหรอก )
( f ) ใช้ในสำนวนการพูดว่า "ควรจะ...ดีกว่า , สมัครใจทีจ่ ะ...ดีกว่า" ควบกับ better หรือ rather
Which would you rather have, beer or coffee?
( คุณอยากจะดืม ่ อะไรมากกว่า เบียร์หรือกาแฟ? )
ข้อสังเกต : บางครัง้ หลัง better หรือ rather จะมี than มาต่อท้ายอีกก็ได้ เช่น
She would rather walk than run.
( เธออยากจะเดินไปมากกว่าวิง่ )
4.4 Should แปลว่า "จะ" มีหลักการใช้ดงั ต่อไปนี้
( a ) ใช้เป็ นรูปอดีต ( Past Tense ) ของ Shall ในประโยค Indirect Speech เช่น
He said to me, "You will be able to do it."
( เขาพูดกับฉันว่า "คุณจะต้องสามารถทำมันได้" )
( b ) ในประโยคทีเ่ ป็ นอนาคตกาล ( Future Tense ) ถ้าผูพ ้ ูดยังมีความสงสัย ไม่แน่ ใจ หรือยังเป็ นการคาดหมายอยูเ่ กีย่ วกับเหตุการ
They should be there by 3 o'clock, I think.
( ฉันคิดว่า พวกเขาจะต้องไปถึงทีน ่ ่น
ั ในเวลาบ่าย 3 โมง )
( c ) should เมือ ่ แปลว่า "ควรจะ" คือเป็ นปัจจุบน ั กาลใช้ได้กบั ทุกพจน์ทก ุ บุรุษ ใช้แสดงถึงหน้าทีท ่ จี่ ะต้องกระทำการให้คำแนะนำ
You should go on a diet.
( คุณควรลดอาหารบ้าง )
( d ) ใช้ should have + Verb ช่อง 3 กับอดีตกาลทีไ่ ม่เกิดขึน ้ จริง ซึง่ ได้ผา่ นพ้นมาแล้ว เช่น
John should have studied hard before the examination. ( but he didn't. )
( จอห์นควรจะได้เรียนอย่างหนักก่อนทีจ่ ะสอบ )
( e ) ใช้ should แทน might กับทุกประธานได้ ในประโยคทีแ ่ สดงความมุง่ หมาย โดยมีสน ั ธาน
I helped him very much so that he should ( might ) succed.
( ฉันได้ชว่ ยเขาอย่างมากทีเดียว ดังนัน ้ เขาควรสำเร็จ )
( f ) ใช้ should ในประโยคทีต ่ ามหลัง lest , for fear that ตลอดไป เช่น
Bill studied harder lest he should fail.
( บิลเรียนหนักยิง่ ขึน ้ เผือ ่ ว่าจะได้ไม่ตอ ้ งสอบตก )
4.5 Can แปลว่า "สามารถ" เป็ นกริยา Anomalous Verb ( กริยาพิเศษ ) ได้เพียงอย่างเดียว รูปอดีตของ
( a ) ใช้แสดงความเป็ นอิสระจากพันธะอืน ่ ๆ เช่น
I can see you tomorrow at 7 o'clock.
( พรุง่ นี้ฉน
ั พบคุณได้เวลา 7 นาฬก ิ า)
( b ) ใช้แสดงภาวะการรับรูซ ้ งึ่ มิอาจควบคุมได้ เช่น
I can see. ( hear , remember , etc.)
( ฉันสามารถเห็น ) ( ได้ยน ิ , จำได้ เป็ นต้น )
( c ) ใช้แสดงถึงสิง่ ทีผ ่ พ
ู้ ูดพูดนัน ้ เป็ นความจริง หรือเป็ นไปได้อย่างแน่ นอน โดยปราศจากข้อสงสัย เช่น
This can be the answer, I think.
( ฉันคิดว่า นี่คอื คำตอบทีถ ่ ูกต้อง )
( d ) ใช้แสดงถึงความสามารถหรือการอนุญาต เช่น
I can drive very far from here.
( ฉันสามารถขับรถไปได้ไกลจากทีน ่ ี่ )
( e ) ใช้แสดงถึงพละกำลัง การฝึ กหัดและการเรียนรู้ เช่น
Can you lift that table?
( คุณสามารถยกโต๊ะตัวนัน ้ ได้ไหม? )
4.6 Could แปลว่า "สามารถ" เป็ นรูปอดีตของ can ใช้ได้กบั ทุกพจน์และทุกตัวประธาน กริยาตัวอืน ่ ทีต
่ ามหลังเป็ น
( a ) ใช้แสดงความเป็ นอิสระจากพันธะอืน ่ ๆ ได้ แต่มีความแน่ นอนน้อยกว่า Can เช่น
She could see me tomorrow at 7 o'clock, perhaps.
( พรุง่ นี้เวลา 7 นาฬก ิ า หล่อนจะพบผมก็ได้ )
( b ) ใช้เป็ นอดีตของ Can ในประโยค Indirect Speech ( ทีเ่ ปลีย่ นมาจาก Direct Speech )
Direct :
She said, "I can go there alone?"
( หล่อนพูดว่า "ดิฉน ั สามารถไปทีน ่ ่น
ั คนเดียวได้? )
She said that she could go there alone.
( หล่อนพูดว่าหล่อนสามารถไปทีน ่ ่น ั คนเดียวได้ )
( c ) ใช้แสดงถึงความสามารถทีไ่ ด้กระทำในอดีต เช่น
I could speak Chinese perfectly ten years ago.
( ผมสามารถพูดภาษาจีนได้ดี เมือ ่ 10 ปี ทีผ ่ า่ นมา )
( d ) ใช้เพือ ่ ขออนุญาตกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งกับคูส ่ นทนา ทัง้ นี้เพือ่ เป็ นการให้เกียรติกบั ผูท
้ เี่ ราพูดด้วย
Could I borrow your pen, please?
( ฉันขอยืมปากกาของคุณหน่ อยได้ไหมครับ? )
( e ) could ทีนำ ่ มาใช้ในรูป could + have + Verb ช่อง 3 เพือ ่ แสดงถึงความสามารถหรือความเป็ นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได้ใช้คว
I could have lent you the money.
Why didn't you ask me?
( ฉันสามารถให้คณ ุ ยืมเงินได้ ทำไมคุณจึงไม่ขอฉัน? )
5. หน้าทีข ่ อง May สำหรับ May และ Might นัน ้ เป็ นคำกริยาจำพวก Anomalous Verb ได้เพียงอย่างเดียวเท่านัน ้ รูปอดีตของ
5.1 ใช้เพือ ่ แสดงความมุง่ หมาย ( Purpose ) และจะอยูห ่ ลัง so that หรือ in order that เสมอ เช่น
I study hard so that I may pass the test.
( ฉันเรียนอย่างหนัก เพือ ่ ว่าจะสอบผ่าน )
5.2 ใช้เพือ ่ แสดงความปรารถนา ความหวัง หรือการอวยพรให้ประสบความสำเร็จในสิง่ ทีต ่ อ
้ งประสงค์
May you be happy for ever.
( ขอให้คณ ุ ประสบแต่ความสุขตลอดไป )
May he succeed in his new job.
( ขอให้เขาประสบความสำเร็จในงานใหม่ของเขา )
5.3 ใช้ชว่ ยเพือ ่ แสดงการอนุญาต หรือการขออนุญาต ( Permission ) ทีจ่ ะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
May I use your dictionary? Yes, you may.
( ฉันขอใช้พจนานุกรมของคุณได้ไหม? ได้ เชิญเลย )
5.4 ใช้ชว่ ยเพือ ่ แสดงความคาดคะเนว่าจะต้องเป็ นอย่างนัน ้ อย่างนี้ได้ เช่น
Linda may come next Sunday.
( ลินดาอาจมาวันอาทิตย์หน้า )
5.5 ใช้ชว่ ยเพือ ่ แสดงความสงสัยหรือไม่แน่ ใจของผูพ ้ ูดทีม
่ ีตอ่ สิง่ นัน
้ ๆ เช่น
You may talk to everybody but you can't force him to listen to you.
( คุณอาจจะพูดกับทุกคนได้ แต่คณ ุ ไม่สามารถบังคับให้เขาฟังคุณ ( ทุกครัง้ ) ไปได้ )
5.6 ใช้ชว่ ยเพือ ่ แสดงความเป็ นไปได้ ( Possibility ) สำหรับการกระทำนัน ้ ๆ เช่น
It may rain this afternoon.
( ฝนอาจจะตกในตอนบ่ายนี้ )
6. Might มีวธิ ีใช้ดงั ต่อไปนี้
6.1 ใช้เป็ นอดีตของ may ในประโยคทีเ่ ปลีย่ นมาจาก Direct Speech เช่น
Direct :
He said, "I may drive your car for you today."
( เขาพูดว่า "ฉันอาจจะขับรถของคุณให้คณ ุ วันนี้" )
Indirect :
He said that he might drive my car for me that day.
( เขาพูดว่าเขาอาจจะได้ขบั รถของฉันให้ฉน ั วันนัน ้ )
6.2 ใช้ในกรณีทผ ี่ พ
ู้ ูดไม่แน่ นอนใจว่า เขาจะทำอย่างนัน ้ อย่างนี้จริง ( แต่หากมั่นใจอย่างแน่ นอนให้ใช้
A : I don't know where Jim is. He might be at his office.
B : I think Jim may be at his office.
ประโยคแรก : A ไม่ทราบว่าจิมอยูท ่ ไี่ หนกันแน่ เพียงคาดการณ์ วา่ เขาอาจจะอยูท ่ ีทำ
่ งานของเขาก็ได้ เมือ ่ พูดออกไปโดยไม่แน่ ใจเช่นน
ประโยคทีส่ อง : B รูแ ้ จ้งประจักษ์ กบั ตัวเองอย่างเต็มทีว่ า่ จิมจะต้องทำงานอยูท ่ ทำ
ี่ งานไม่ได้ไปไหน เพราะเห็นมาด้วยตาตัวเองแล้ว จึง
6.3 might + have + Verb ช่อง 3 นำมาใช้เพือ ่ แสดงถึงความไม่แน่ นอนใจขณะทีพ ่ ูดถึงสิง่ ทีเ่ ป็ นอดีต
I can't imagine why she was late. She might have been delayed by the traffic or she might have had an accid
( ฉันก็ไม่คด ิ ไม่ออก ( เหมือนกัน ) ว่า ทำไมหล่อนถึงมาสายหล่อนอาจมาสายเพราะการจราจรทำให้ลา่ ช้า หรือว่าหล่อนได้รบั อุบตั เิ หต
ข้อสังเกต : การคาดคะเนในลักษณะไม่แน่ ใจถึงสิง่ ทีเ่ ป็ นอดีตเช่นนี้ ต้องใช้ might + have + Verb
7. การใช้ Must
Must เป็ นกริยาจำพวก Anomalous Verb อย่างแท้จริง ไม่มีรูป Infinitive, Participle เช่นกริยาธรรมดาทั่วไป และไม่ตอ ้ งเติม
7.1 ใช้เป็ นกริยาทีแ ่ สดงคำสั่งหรือความจำเป็ นทีจ่ ะต้องทำ ( Necessity ) เช่น
We must obey the laws of the country.
( เราจะต้องเชือ ่ ฟังกฎหมายของประเทศ )
7.2 ใช้แสดงการบอกเล่าทีต ่ อ
้ งการเน้นให้หนักแน่ น แต่ไม่ใช่แสดงความจำเป็ น เช่น
You must know that my father is very busy.
( คุณจะต้องรูว้ า่ พ่อของฉันยุง่ มาก )
7.3 ใช้แสดงความตัง้ ใจหรือความแน่ ใจของผูพ ้ ูด เช่น
I must finish this before I go to bed.
( ฉันจะต้องทำสิง่ นี้สำเร็จก่อนทีจ่ ะเข้านอน )
7.4 ใช้แสดงการกระทำหรือเหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ้ ซึง่ ตรงกันข้ามกับความต้องการของผูพ ้ ูด เช่น
Every time I call on him, he must be busy.
( ฉันไปหาเขาทีไร เขาเป็ นต้องไม่วา่ งสักที )
7.5 ใช้แสดงเหตุการณ์ หรือพฤติกรรมทีจ่ ะต้องเกิดขึน ้ กับมนุษย์หรือกับสิง่ อืน
่ ใด ซึง่ ไม่สามารถหลีกเลีย่ งได
Man must die.
( คนเราต้องตาย )
7.6 ใช้แสดงการกระทำทีเ่ ป็ นหน้าทีโ่ ดยตรง เช่น
We must pay taxes to our government
( เราจะต้องจ่ายภาษี ให้กบั รัฐบาลของเรา )
7.7 ใช้แสดงการขอร้อง ( ในสิง่ ทีไ่ ม่อาจหลีกเลีย่ งได้ ) เช่น
You must forgive me for that matter.
( คุณจะต้องให้อภัยฉันสำหรับเรือ ่ งนัน ้ )
หมายเหตุ : must เป็ น Present Tense ( ปัจจุบน ั กาล ) อย่างเดียว ไม่มีรูปอดีตหรืออนาคตเป็ นของตนเอง แต่เมือ ่ ต้องการใช้เป็ นอ
ปัจจุบนั : I must study the American History.
อดีต : I has to study the American history.
อนาคต : I shall have to study the American history.
( ฉันต้องศึกษาประวัตศ ิ าสตร์อเมริกา )
8. การใช้ Need
Need เป็ นกริยา Anomalous Verb ทีอ่ อกจะพิเศษอยูน ่ ิดหน่ อยนัน
้ คือ ใช้เป็ นกริยาแท้ ( Finite Verb )
8.1 Need ใช้อย่างกริยาแท้
( a ) Need ถ้านำมาใช้อย่างกริยาแท้ท่วั ๆ ไป ตามด้วยคำกริยารูป Infinitive With "to" และเมือ ่ ประธานของ
Linda needs to go to see a doctor when she is sick.
( ลินดาต้องไปหาหมอเมือ ่ หล่อนไม่สบาย )
( b ) need ทีใ่ ช้อย่างกริยาแท้ ( Finite Verb ) เมือ ่ ทำเป็ นประโยคคำถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do
ประโยคบอกเล่า :
He needs to work to earn his living.
( เขาจำเป็ นต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเขาเอง )
ประโยคปฏิเสธ :
He doesn't need to work to earn his living.
( เขาไม่จำเป็ นต้องทำงานเพือ ่ เลี้ยงชีพของเขา )
ประโยคคำถาม :
Does he need to work to earn his living?
( เขาจำเป็ นต้องทำงานเพือ ่ หาเลี้ยงชีพของเขาหรือ? )
8.2 Need ทีใ่ ช้อย่างกริยาช่วย
( a ) Need ทีใ่ ช้อย่างกริยาช่วย ( Helping Verb ) คำกริยาตัวอืน ่ ทีต
่ ามหลังต้องเป็ น Infinitive Without "to"
She need hardly do have work.
( เธอแทบจะไม่ได้ทำงานหนักเลย )
( b ) Need ทีใ่ ช้อย่างกริยาช่วย ไม่นิยมนำไปแต่งประโยคหรือพูดในข้อความทีเ่ ป็ นบอกเล่า ( Affirmative )
ประโยคคำถาม :
Need you continue your studies abroad?
( คุณจำเป็ นต้องเรียนต่อต่างประเทศหรือ? )
ประโยคปฏิเสธ :
They needn't smoke.
( พวกเขาไม่จำเป็ นต้องสูบบุหรี่ )
ประโยคคำถาม :
Need you marry her next month?
( คุณจำต้องแต่งงานกับหล่อนในเดือนหน้าหรือ? )
ประโยคกึง่ ปฏิเสธ :
Sam need rarely go to see the movie.
( แซมแทบจะไม่คอ ่ ยได้ไปดูหนังเลย )
9. การใช้ Dare
Dare แปลว่า "กล้า, ท้า" เป็ นกริยา Anomalous Verb ทีม ่ ีลกั ษณะเช่นเดียวกับ Need นั่นคือจะใช้อย่างกริยาแท้
9.1 ใช้อย่างกริยาแท้มีหลักดังนี้
( a ) Dare ทีใ่ ช้อย่างกริยาแท้ กริยาตัวอืน ่ ทีต
่ ามหลังต้องเป็ นรูป Infinitive With "to" และตัวกริยา
I dare to swim across this river.
( ผมกล้าว่ายข้ามแม่น้ำสายนี้ได้ )
( b ) Dare ทีนำ ่ มาใช้อย่างกริยาแท้ เมือ ่ ต้องการทำเป็ นคำถามหรือปฏิเสธให้ใช้ Verb to do เข้ามาช่วย เช่น เดียวกับทีไ่ ปช่วยกริยา
ประโยคบอกเล่า
Sam dares to work hard every day.
( แซมกล้าทำงานหนักทุก ๆ วัน )
ประโยคคำถาม
Does he dare to work hard every day?
( เขากล้าทำงานหนักได้ทก ุ วันหรือ? )
ประโยคปฏิเสธ
He doesn't dare to work hard every day.
( เขาไม่กล้าทีจ่ ะทำงานหนักได้ทก ุ วัน )
9.2 ใช้อย่างกริยาช่วยมีหลักดังนี้
( a ) Dare ใช้อย่างกริยาช่วย กริยาตัวอืน ่ ทีต
่ ามหลังเป็ น Infinitive Without "to" และ dare
We dare walk to school without a bus.
( เรากล้าเดินไปโรงเรียนโดยไม่มีรถประจำทาง )
( b ) Dare ทีใ่ ช้อย่างกริยาช่วย เมือ ่ ทำเป็ นประโยคคำถามหรือปฏิเสธให้เอา dare ขึน ้ ไปไว้ตน ้ ประโยคได้เลย เช่น
ประโยคบอกเล่า
John dare go to be near a snake.
( จอห์นกล้าเข้าไปใกล้งูได้ )
ประโยคคำถาม
Dare John go to be near a snake?
( จอห์นกล้าเข้าไปใกล้งูได้หรือไม่? )
ประโยคปฏิเสธ
John daren't go to be near a snake.
( จอห์นไม่กล้า เข้าไปใกล้งูหรอก )
10. วิธีการใช้ Ought to
Ought to แปลว่า "ควรจะ" เป็ นกริยาช่วยอย่างเดียว และมีรูปเดียว ( ไม่มีรูป Past ) แต่ถา้ ต้องการจะใช้
10.1 ใช้แสดงถึงการกระทำอันเป็ นหน้าทีห ่ รือสมควรทีจ่ ะกระทำ เช่น
You ought to start your job at once. ( Present )
( คุณควรจะเริม ่ งานของคุณเดีย๋ วนี้ได้แล้ว )
You ought to have told me that yesterday. ( Past )
( คุณควรจะได้บอกเรือ ่ งนัน
้ ให้ฉนั รูต
้ ง้ ั แต่เมือ
่ วานนี้ )
10.2 ใช้แสดงความคาดคะเนว่า น่ าจะเป็ นเช่นนัน ้ ๆ ได้ เช่น
Our team ought to win the match for today.
( ทีมของเราควรจะชนะการแข่งขันสำหรับวันนี้ )
10.3 เมือ่ ทำเป็ นประโยคคำถามหรือปฏิเสธให้เอา ought ขึน ้ ไว้ตน
้ ประโยคและหรือเติม not ข้างหลัง
He ought to forgive me for my fault.
( เขาควรจะให้อภัยฉันสำหรับความผิดของฉัน )
11. การใช้ Used to
Used to แปลว่า "เคย" มีรูปเป็ น Past Tense เพียงรูปเดียวจะนำ used to มาใช้ก็ตอ ่ เมือ
่ กล่าวถึงการกระทำทีเ่ ป็ นปกตินิสยั อยูช
่ ่วั ร
11.1 ใช้ used to + Verb 1 เสมอ เมือ ่ กล่าวถึงการกระทำทีเ่ คยทำในอดีต เช่น
There used to be a cinema hall on this street.
( เคยมีโรงหนังบนถนนสายนี้ )
11.2 Used to เมือ ่ ต้องการทำเป็ นประโยคปฏิเสธให้ใช้ did not use to , never used to หรือ
เดิน
ชอบ
เล่น
รัก

สาม (Past Participle)

ตัด
อ่าน
ตี
เจ็บ
วาง ใส่

กิน
บิน
แตก หัก
สร้าง
มา
ทำ
ทำ สร้าง
จ่ายเงิน
ขโมย
คิด
คำ

where,when etc (ยกเว้น why)

could

ว่า

ว่า
ป็ นประธาน หรือเป็ นคำสอดแทรกเข้ามาทำหน้าทีช
่ ว่ ยกริยาตัวอืน
่ ก็ได้

อมีกรรมมาขยายตามหลัง เพือ
่ ให้เนื้อความของกริยาตัวนัน
้ ฟังเข้าใจ" สกรรมกริยาได้แก่กริยาต่อไปนี้
lose , wash, clean , etc.

นัน
้ ได้แก่คำต่อไปนี้ คือ
มีกรรมมารองรับ เพราะมีเนื้อความสมบูรณ์ อยูใ่ นตัวอยูแ
่ ล้ว" กริยาต่อไปนี้จดั อยูใ่ นประเภทอกรรมกริยาคือ

วน very well ทีต


่ ามหลังอยูน
่ น
้ ั ไม่ใช่กรรม แต่เป็ น Adverb อย่างไรก็ตาม อกรรมกริยาบางตัวแม้จะไม่ตอ
้ ง

bjective Complement ขยายประธานทีอ่ ยูข


่ า้ งหน้ามีความสมบูรณ์

้ หากขาดเสียซึง่ กริยาแท้ ( Finite Verb )


ค อาจกล่าวได้วา่ ทุกข้อความทีเ่ ราพูดหรือเขียนออกไปนัน
ป็ นหัวใจหรือส่วน

ม Tense และประธานของประโยคนัน
้ ๆ ทัง้ นี้ก็เพราะว่า come เป็ นกริยาแท้ ( Finite Verb ) นั่นเอง
าแท้ แต่ถูกนำมาใช้ทำหน้าทีเ่ ป็ นอย่างอืน
่ เช่น เป็ นนามบ้าง , เป็ นคุณศัพท์บา้ ง , เป็ นกริยาวิเศษณ์ บา้ ง

ininte Verb ) นัน้ สังเกตได้ทตำ


ี่ แหน่ งการวางไว้ในประโยคกล่าวคือ
ๆ จะเป็ นกริยาไม่แท้ เช่น

rb ) บ้าง , กริยาพิเศษ ( Anomalous Verb ) เหตุทไี่ ด้เรียกว่า เป็ นกริยานุเคราะห์หรือกริยาช่วยนัน


้ ก็เพราะว่ากริยาเหล่านี้ ไปทำหน้าทีช
่ ว่ ยกริยาตัวอืน
่ เพือ
่ ให้เป็ นมาลา

งแปลว่า "กำลัง" ทุกครัง้ เช่น

จก ( Passive Voice ) แปลว่า "ถูก" เช่น

ดงถึงหน้าทีท
่ ต
ี่ อ
้ งกระทำ , แผนการ , การเตรียมการ , คำสั่ง , คำขอร้อง หรือความเป็ นไปได้ เช่น

ใช้ Be นำหน้าเสมอ เช่น


้ ในอนาคตอันใกล้เช่น
งถึงเหตุการณ์ ทจี่ ะเกิดขึน

ยคนัน
้ จะไม่มี Verb ตัวอืน
่ เข้ามาร่วมอยูก
่ บั Verb to be เช่น

จจำเป็ นทีต
่ อ
้ งกระทำ หลัง have to ต้องใช้กริยาช่อง 1 ตลอดไป เช่น

้ ไปไว้ตน
o do เข้ามาช่วย จะเอา have ( หรือ has ) ขึน ้ ประโยคเมือ
่ เป็ นคำถาม หรือเติม not หลัง have , has เมือ
่ ต้องการให้เป็ นปฏิเสธไม่ได้

have to คือ had to


o คือ had to หรือ has เข้ากับสรรพนามเสมอ หรือย่อเข้ากับ not เมือ
่ ประโยคนัน
้ เป็ นปฏิเสธ กรณี ทำเป็ นคำถาม ให้เอา have หรือ has ในคำว่า have (

า" หลัง had better ตามด้วย Verb ช่อง 1( เป็ น Infinitive Without "to" ) ใช้ในกรณีทค ิ ว่าจะเป็ นการดีทจี่ ะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเหมาะสมทีจ่ ะประกอบกิจนัน
ี่ ด ้

เท่านัน
้ อย่าวางหลัง had เป็ นอันขาด ส่วนคำถามให้เอาเฉพาะ had ตัวเดียววางไว้ตน
้ ประโยค
ป็ นกริยาช่วย ( Helping - Verb ) ไม่มีสำเนียงแปล และเมือ่ ไปช่วยกริยาตัวใด Verb ทีต
่ ามหลัง do , does , did ไม่ตอ
้ งมี to นำหน้า เพราะเป็ น Infinitive Without "
gative ) หรือประโยคปฏิเสธ ( Negative ) ในกรณีทป ี่ ระโยคเหล่านัน
้ ต้องตรงตามหลักทฤษฎีทวี่ า่

t อยูแ
่ ล้วก็ไม่ตอ
้ งใช้ Verb to do มาช่วย
นซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น

ked ตามลำดับ ทัง้ นี้เพือ


่ ต้องการมิให้ใช้กริยา 3 คำนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ทำเช่นนัน
้ จริง ๆ หรือเกิดขึน้ จริง ๆ โดยให้เรียงไว้หน้ากริยาทีม ั ไปเน้นอีกทีหนึ่งเช่น
่ น

้ มาจริง ๆ
นักการกระทำขึน
ากริยาหลังในประโยคคำถามนัน
้ มากล่าวซ้ำในประโยคคำตอบ เช่น

ย ( disagreement ) ทัง้ นี้ เพือ


่ หลีกเลีย่ งการนำเอากริยาหลักในประโยคนำกล่าวข้างหน้า มาพูดอีกเป็ นครัง้ ที่ 2 เช่น

้ เป็ นคำถามหรือปฏิเสธต้องเอา Verb to do ( ทีเ่ ป็ นกริยาช่วย ) มาช่วย do ( ทีเ่ ป็ นกริยาแท้อีกทีหนึ่ง ) ตามหลักทฤษฎีทวี่ า่ ...
แปลว่า "ทำ" ดังนัน

ที่ 2 เป็ นกริยาแท้ กริยาใหญ่ กริยาหลัก จะเรียกอย่างไรได้ทง้ ั นัน


้ มีคำแปลว่า "ทำ"

ฏิเสธไม่มีคำแปล do ตัวหลังเป็ นกริยาแท้ แปลว่า "ทำ" ทีค


่ วรระวังคือ เมือ
่ ทำเป็ นคำถามหรือปฏิเสธ อย่าได้นำ do ทีป
่ รากฏอยูใ่ นประโยคบอกเล่านัน ้ ไปไว้ตน
้ ขึน ้ ประโยคห
้ ไปไว้ตน
กริยาขึน ้ ประโยค

าล ( Future Tense ) และใช้กบั ประธานทีเ่ ป็ นบุรุษที่ 2 ( คือ you ) และบุรุษที่ 3 ( คือ He , She , It , They ) ตลอดถึงนามเอกพจน์ พหูพจน์ ทั่วไปทีม
่ าเป็ นประธานได

Future Tense ) เช่นเดียวกับ will และให้ใช้กบั ประธานทีเ่ ป็ นบุรุษที่ 1 ( คือ I , We เท่านัน


้ ) เช่น

l กับ I , We และใช้ Shall กับ he , she , it , they ตลอดถึงนามทั่วไปทีม ้ ผิดไปจากการใช้แบบปกติ เพราะนั่นแสดงถึงควา


่ าเป็ นประธานแล้ว ย่อมมีความหมายพิเศษขึน

งถึงความตัง้ ใจแน่ วแน่ , การให้คำมั่นสัญญา, การข่มขู่ ตามทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วนั่นเอง


แสดงถึงวัตถุประสงค์ใน วิเศษณานุประโยค ( Adverb Clause of Purpose ) ทีม ่ ีคำสันธาน so that หรือ in order that เช่น
หมายว่า "อยากจะ, อยากให้" กรณีเช่นนี้ would ใช้ได้กบั ทุกพจน์และทุกบุรุษ และมีความเป็ นปัจจุบน
ั กาลด้วย อย่าเข้าใจผิดว่าเป็ นอดีต เช่น

พือ
่ รอดูปฏิกริ ยิ าของผูท
้ ต
ี่ นพูดด้วยว่าจะเป็ นหรือทำอย่างทีช
่ กั นำหรือไม่ และตามกฎข้อนี้มกั ใช้ในคำถามเพือ
่ ความสุภาพ เช่น

นการถามหรืออกคำสั่ง และเพือ ู่ นทนาอีกโสดหนึ่ง ต้องใช้ Would นำหน้าคำถามหรือคำสั่งนัน


่ เป็ นการให้เกียรติแก่คส ้ ๆ ตลอดไป เช่น

etter หรือ rather ใช้ได้กบั ทุกพจน์ทก


ุ บุรุษ เช่น

ไม่แน่ ใจ หรือยังเป็ นการคาดหมายอยูเ่ กีย่ วกับเหตุการณ์ หรือพฤติกรรมนัน


้ ต้องใช้ should ตลอดไป ( ไม่นิยมใช้ shall ) เช่น

่ จี่ ะต้องกระทำการให้คำแนะนำ ( duty , obligation หรือ advice ) ซึง่ มีความหมายเท่ากับ ought to โดยเฉพาะภาษาพูดจะใช้ should
ใช้แสดงถึงหน้าทีท

พ้นมาแล้ว เช่น

มาย โดยมีสน
ั ธาน so that, in order that นำหน้าประโยคของมัน เช่น

เพียงอย่างเดียว รูปอดีตของ can คือ could กริยาตัวอืน


่ ทีต
่ ามหลัง can เป็ น Infinitive Without "to" และนอกจากนี้แล้ว can ยังใช้ได้กบั ทุกประธานและทุกพจน์อีกด้วย

ยปราศจากข้อสงสัย เช่น
วประธาน กริยาตัวอืน ่ ามหลังเป็ น Infinitive Without "to" ซึง่ มีรายละเอียดของการใช้ดงั ต่อไปนี้
่ ทีต

Direct Speech ) เช่น

ารให้เกียรติกบั ผูท
้ เี่ ราพูดด้วย เช่น

มสามารถหรือความเป็ นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนัน
้ เสีย เช่น

lous Verb ได้เพียงอย่างเดียวเท่านัน


้ รูปอดีตของ May ก็คอ
ื Might รูปปฏิเสธคือ may not ( mayn't ) และ might not ( mightn't ) และ may นำมาใช้เป็ นกริยาช่วย
order that เสมอ เช่น

ร็จในสิง่ ทีต
่ อ
้ งประสงค์ ( may อยูต
่ น
้ ประโยคเสมอ ) เช่น

ะทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
นใจอย่างแน่ นอนให้ใช้ may แทน ) เปรียบเทียบจากตัวอย่างประโยค 2 ประโยคนี้ เช่น

ทีทำ
่ งานของเขาก็ได้ เมือ ่ พูดออกไปโดยไม่แน่ ใจเช่นนัน
้ จึงใช้ might มาเป็ นกริยาช่วย
ทำงานไม่ได้ไปไหน เพราะเห็นมาด้วยตาตัวเองแล้ว จึงเกิดความมั่นใจ 100% ว่า จิมจะต้องอยูท ่ ทำ
ี่ งานของเขา จึงใช้ may มาเป็ นกริยาช่วยอันแสดงถึงความมั่นใจ
ณะทีพ่ ูดถึงสิง่ ทีเ่ ป็ นอดีต เช่น
by the traffic or she might have had an accident.
พราะการจราจรทำให้ลา่ ช้า หรือว่าหล่อนได้รบั อุบตั เิ หตุ )
ht + have + Verb ช่อง 3 เพราะผูพ ้ ูดพูดไปในลักษณะวิเคราะห์เหตุการณ์ ไม่ใช่ขอ้ เท็จจริงทีป
่ ระจักษ์ กบั ตัวเองแล้ว

้ งเติม s ถึงแม้ประธานจะเป็ นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ ซึง่ มีวธิ ีใช้ดงั ต่อไปนี้


Participle เช่นกริยาธรรมดาทั่วไป และไม่ตอ

ด ซึง่ ไม่สามารถหลีกเลีย่ งได้ เช่น

ดีตหรืออนาคตเป็ นของตนเอง แต่เมือ


่ ต้องการใช้เป็ นอดีตกาล ( Past Tense ) ให้ใช้ had to แทน หรือต้องการให้เป็ นอนาคตกาล ( Future Tense )

นกริยาแท้ ( Finite Verb ) ก็ได้ ใช้เป็ นกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ดังจะได้อธิบายถึงรายละเอียดของการใช้ดงั นี้

With "to" และเมือ


่ ประธานของ need เป็ นเอกพจน์ ปัจจุบน
ั กาล need ต้องเติม s และเมือ
่ เป็ นอดีตให้เติม ed ที่ need ได้เลย เช่น

อปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย เช่น


องเป็ น Infinitive Without "to" และเมือ
่ ประธานเป็ นเอกพจน์ ปัจจุบน
ั กาล need ก็ไม่ตอ
้ งเติม s ( หรือ ed, ing อะไรทัง้ นัน
้ ) เช่น

ทีเ่ ป็ นบอกเล่า ( Affirmative ) แต่นิยมนำมาใช้ในประโยคคำถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ ( Negative ) หรือในประโยคทีม ้ ความเป็ นกึง่ ปฏิเสธ
่ ีขอ

บั Need นั่นคือจะใช้อย่างกริยาแท้ ( Finite Verb ) ก็ได้หรือจะใช้อย่างกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ซึง่ มีรายละเอียดการใช้ดงั ต่อไปนี้

th "to" และตัวกริยา dare นัน


้ หากประธานเป็ นเอกพจน์ ปัจจุบน
ั กาลต้องเติม s หรือเติม ed เมือ
่ เป็ นอดีตกาล เช่น

ช้ Verb to do เข้ามาช่วย เช่น เดียวกับทีไ่ ปช่วยกริยาแท้ตวั อืน


่ ๆ เช่น

"to" และ dare ทีนำ


่ มาใช้ตามความหมายนี้ ไม่ตอ
้ งเติม s แม้ประธานจะเป็ นเอกพจน์ปจั จุบน
ั กาล เช่น

้ ไปไว้ตน
are ขึน ้ ประโยคได้เลย เช่น
Past ) แต่ถา้ ต้องการจะใช้ Past ต้องตามด้วย Perfect Infinitive ( คือ ought + to have +Verb ช่อง 3 อนึ่ง ought to จะใช้ should ( ทีแ
่ ปลว่า "ควรจะ

ะหรือเติม not ข้างหลัง ought ได้ เช่น

มาใช้ก็ตอ
่ เมือ ่ ่วั ระยะหนึ่ง ในอดีต แต่ปจั จุบน
่ กล่าวถึงการกระทำทีเ่ ป็ นปกตินิสยั อยูช ั การกระทำทีก
่ ล่าวถึงนัน ้ อีกแล้ว เพราะฉะนัน
้ มิได้กระทำหรือเกิดขึน ้ used to

ver used to หรือ used not to + Verb 1 ได้ทง้ ั นัน



ทีช
่ ว่ ยกริยาตัวอืน
่ เพือ
่ ให้เป็ นมาลา ( Mood ) วาจก (
้ ไปไว้ตน
s ในคำว่า have ( หรือ has ) got to ขึน ้ ประโยคได้

หรือเหมาะสมทีจ่ ะประกอบกิจนัน
้ ๆ ในเวลานัน
้ แม้จะมีรูปเป็ นอ
เพราะเป็ น Infinitive Without "to" do , does ใช้กบั การกระทำ
คบอกเล่านัน ้ ไปไว้ตน
้ ขึน ้ ประโยคหรือเติม not ลงข้างหลัง do อย
พหูพจน์ ทั่วไปทีม
่ าเป็ นประธานได้ทง้ ั นัน
้ เช่น

ใช้แบบปกติ เพราะนั่นแสดงถึงความตัง้ ใจอย่างแน่ วแน่ ทจี่ ะกระ


าษาพูดจะใช้ should แทน ought to เช่น

ด้กบั ทุกประธานและทุกพจน์อีกด้วย ซึง่ มีวธิ ีใช้ได้ดงั ต่อไปนี้


และ may นำมาใช้เป็ นกริยาช่วยได้ดงั ต่อไปนี้
วยอันแสดงถึงความมั่นใจ

uture Tense ) ให้ใช้ will have to หรือ shall have to เช่น


คทีม ้ ความเป็ นกึง่ ปฏิเสธ ( Negative Implication ) เท่านัน
่ ีขอ ้ เช่น
ld ( ทีแ
่ ปลว่า "ควรจะ" ) แทนก็ได้ แต่ความหมายของคำว่า "ควรจะ

เพราะฉะนัน
้ used to จึงต้องใช้กบั เหตุการณ์ หรือการกร
กลับไปยังหน้าเดิม
Tenses (กาล)

Present Simple Tense


้ เป็ นประจำหรือปกติวส
ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ ป็ นจริง เกิดขึน ิ ยั ความจริงตลอดไป
และมักมี adverb of frequency (คำกริยาวิเศษณ์ ทบ ี่ อกเวลา)อยูด่ ว้ ย

adverb of frequency ได้แก่คำว่า


always  สมํ่าเสมอ
usually  โดยปกติ
often   บ่อยๆ   
sometimes บางครัง้
seldom  ไม่ใคร่จะ
never   ไม่เคย

I always go to bed at 10 p.m.


The sun rises in the east.
I never drink coffee.

โครงสร้าง  S+V (s,es)


plays with a ball.
He, She, It
comes home.

read a book.
I, You, We,They
drive a car.

เมือ
่ เราต้องการทำเป็ นประโยคปฎิเสธและประโยคคำถามให้เอา V to do(do,does)
มาเป็ นกริยาช่วยในประโยคคำถามทีเ่ ป็ นแบบ yes-no questionsให้เอา
do,does วางไว้หน้าประโยค

Does he, she, it

Do you, we, they, I

ให้เอา V to do(do,does)มาช่วยในประโยคคำถามแบบ wh-questions เช่น


Where do you come from? I come from Surin.
How do you do?

ประโยคปฎิเสธให้เติม not หลังคำ   do, does

He, She,It does not (doesn't)

I, You, We,They do not (don't)

Note: เมือ
่ เอา V to do มาใช้ในประโยคปฎิเสธและประโยคคำถามกริยาแท้ไม่ตอ
้ งเติม s หรือ es

Past Simple Tense

โครงสร้าง  S+V2
้ และจบสิน
ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ้ ลงไปแล้วในอดีตและมักจะมีคำบอกเวลาอยูด
่ ว้ ย
เช่นคำว่า yesterday, last week, last month, last year, last summer, ago
We went to Canada last summer.
My family came to visit me last week.

เมือ
่ เราต้องการทำเป็ นประโยคปฎิเสธและประโยคคำถาม ให้นำเอา V to do(did) มาช่วย

Did he, she, it

Did you, we, they, I

ให้เอา V to do(did)มาช่วยในประโยคคำถามแบบ wh-questions เช่น


What did you do ? I cleaned my car.

ประโยคปฎิเสธให้เติม not หลัง did ได้เลย

He, She,It did not (didn't)

I, You, We,They did not (didn't)

Note: เมือ
่ นำเอา did มาใช้ในประโยคกริยาแท้จะต้องเปลีย่ นเป็ นช่องที1
่ เหมือนเดิม

คำว่า be กระจายรูปเป็ น is am are (present) was were (past)

I was angry because they were late.

Was it sunny when you went out?

Present Continuous Tense (Progressive Tense)

โครงสร้าง  S+ is,am,are +Ving


ใช้กบั เหตุการณ์ ทกำ ้ ในขณะทีพ
ี่ ลังเกิดขึน ่ ูดหรือการกระทำนัน
้ ๆยังไม่สน
ิ้ สุดลง
I'm going to the market now.
They are watching their favorite television program.

I am playing with a ball.

He, She, It is coming home.

You, We,They are reading a book.

เมือ
่ ต้องการทำเป็ นประโยคคำถามให้นำเอาV to be มาวางไว้หน้าประโยคได้เลย

Am I playing with a ball?

Is he, she, it coming home?

Are you, we, they reading a book?


เมือ
่ ต้องการทำเป็ นประโยคปฎิเสธก็เติม not หลัง V to be ได้เลย

I am not playing with a ball.

He, She, It is not(isn't) is coming home.

You, We,They are not(aren't) are reading a book.

Past  Continuous Tense (Progressive Tense)


โครงสร้าง  S+Vtobe(was,were) +Ving

ใช้เพือ
่ บรรยายเหตุการณ์ ทกำ ้ ในอดีตแล้วมีอีกเหตุการณ์ หนึ่งเข้ามาแทรก
ี่ ลังเกิดขึน
เหตุการณ์ ทกำ
ี่ ลังกระทำหรือกำลังเกิดขึน ้ ใช้ past continuous
เหตุการณ์ ทเี่ ข้ามาแทรกใช้ past simple

While Jeda was eating breakfast, the mailman came.


It was raining when we arrived.
As Decha was making his lunch, he cut his hand.

Note: เราใช้คำว่า when while as เป็ นตัวเชือ


่ มระหว่างสองเหตุการณ์ มีหลักการณ์ ใช้ดงั นี้
when+ past simple, past continuous
while+ past continuous, past simple
as+ past continuous, past simple

แต่ถา้ คำว่า when while as วางอยูต


่ รงกลางประโยคไม่ตอ
้ งใส่เครือ
่ งหมายคอมมา (,)

Presnt Perfect Tense


โครงสร้าง S+ havs,has +V3
้ ในอดีตและดำเนินมาถึงปัจจุบน
ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ั และมีแนวโน้มทีจ่ ะดำเนินต่อไปอีก
มักจะเห็นคำว่า since กับ for อยูด ่ ว้ ย

การใช้ since กับ for


since = starting of period (เวลาตัง้ แต่จุดใดจุดหนึ่งในอดีตมาจนถึงปัจจุบน
ั )

since 1990, since May, since Monday, since Christmas


since 3 o'clock, since I was a student

for = period of time (ระยะเวลาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบน


ั )
for 2 days, for 5 months, for 10 years, for 3 hours
for a week, for 30 minutes, for a long time, for ages

I have studied English since I was 10 years old.


She has known him since last year.

ใช้กบั เหตุการณ์ หรือการกระทำทีเ่ พิง่ เสร็จสิน


้ ลงโดยไม่ได้ระบุเวลา
We have washed our hands.
I have just had a snack.
ใช้ present perfect tense เพือ
่ ให้ขอ
้ มูลใหม่หรือประกาศให้ทราบกับสิง่ เพิง่ เกิด
Ouch! I have just cut myself.

การใช้ just already yet ในประโยค present perfect


just = เพิง่ จะ
Suda has just arrived home.
already =เรียบร้อยแล้ว
A: Don't forget to phone the restaurant.
I've already phoned to make a reservation.
yet =ยัง   ใช้กบั ประโยคปฎิเสธและประโยคคำถาม
She hasn't finished her letter yet.
Has it stopped raining yet?
ใช้กบั คำว่า today, this morning, this evening กับเวลาทีย่ งั ไม่สน
ิ้ สุดในขณะทีพ
่ ูด
I've drunk three glasses of water today.

เมือ
่ ต้องการทำเป็ นประโยคคำถามให้เอา V to have (has,have)มาวางไว้ประโยค
ได้เลย

Has he, she, it worked?

Have you, we, they, I finished?

เมือ
่ ต้องการทำเป็ นประโยคปฎิเสธให้เติม not หลัง verb "to have" (has,have)

I have(haven't) played a game.

He, She, It has not (hasn't) read a book.

You, We,They have not (haven't) driven a car.

Past Perfect tense


โครงสร้าง S+ had+V3

้ เรียบร้อยแล้วไปแล้วในขณะทีกำ
ใช้แสดงความสัมพันธ์ของสองเหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ่ ลังพูด ซึง่ เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน
้ ก่อนเราใช้
้ ทีหลังเราใช้เป็ น past simple tense
Past Perfect tense ส่วนเหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน
When Paul arrived, Mary had just left.
It rained after we had finished playing football.

Note: การใช้ after และ when เชือ


่ มระหว่างสองประโยค
after ตามด้วย past perfect แล้วตามด้วย past simple
(after + past perfect,past simple)
when ตามด้วย past simple แล้วตามด้วย past perfect
(when+ past simple,past perfect)

Present Perfect Continuous Tense


โครงสร้าง  S+ have,has +been+Ving
ั หรือพึง่ สิน
ใช้บรรยายเหตุการณ์ ทเี่ กิดในอดีตและดำเนินมาจนถึงปัจจุบน ้ สุดลง
I have been studying English for 2 years.
We have been waiting here since 9 o'clock.
A: How long has it been raining?
B: It has been raining for an hour.

Past Perfect Continuous Tense


โครงสร้าง S+had+been+ Ving
้ ซํา้ ๆหรือตลอดเวลาในอดีตและได้สน
ใช้พูดถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ิ้ สุดลงไปก่อน
เวลาหนึ่งเวลาใดในอดีต
She had been working hard all day.
He had been smoking for 20 years.

Future Simple tense


โครงสร้าง  S + will, shall + V1

I will/shall play tomorrow.


We will/shall cook next week.
He/she it will move next year.
You will work tonight.
They will leave next month.

้ ในอนาคตซึง่ มักจะมีคำ adverb of time อยูด


ใช้แสดงถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ ทจี่ ะเกิดขึน ่ ว้ ยเช่น
tomorrow, next week, next month, next year, tonight, an hour

Who do you think will win the game next week? 


I will go to the park tomorrow.
การใช้ to be going to   เมือ
่ เราได้ตดั สินใจทำบางสิง่ แล้ว หรือตัง้ ใจว่าจะทำและใช้กบั
การคาดคะเนเช่น
I'm going to the bank tomorrow.

Future Continuous Tense


โครงสร้าง S+will,shall +be+Ving
ใช้เมือ
่ เราพูดถึงเหตุการณ์ หรือการกระทำทีกำ ่ ลังกระทำอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งในอนาคต
โดยมีคำบอกเวลาอยูด ่ ว้ ยเช่น this time next week, at 9 o'clock tomorrow
this time tomorrow
At 9 o'clock tomorrow, we will be traveling to New York.

Future Perfect Tense


โครงสร้าง S+ will,shall +have +V3
ใช้พูดถึงเหตุการณ์ หรือการกระทำซึง่ คาดว่าจะเสร็จสิน
้ ลง ณเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
The show will already have started by the time we arrived.
They will have finished by tomorrow.

Future Perfect Continuous Tense


โครงสร้าง  S+ will,shall +have been +Ving
ใช้เพือ
่ เน้นการกระทำนัน
้ ๆยังคงดำเนินอยูใ่ นอนาคต
By 2001 the company will have been operating in Bangkok for 20 years.
กลับไปยังหน้าเดิม
work?

study?

work.

study.

ติม s หรือ es
าช่วย

work?

work?

work.

work.
ณ์ ใช้ดงั นี้

(,)

อไปอีก
พูด

พูด ซึง่ เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน


้ ก่อนเราใช้
e
งไปก่อน

time อยูด
่ ว้ ยเช่น

กับ

คต

ars.
กลับไปยังหน้าเดิม
Prepositions บุพบท

1. การใช้ in on at กับเวลา

at ใช้ระบุเวลา ณ จุดใดจุดหนึ่ง เช่น


at noon
at night
at midday
at six o'clock
at Christmas

at ใช้กบั สำนวนทีเ่ กีย่ วกับเวลา เช่น


at first
at once
at last
at lunch time
at present

on ใช้กบั วันของสัปดาห์ทง้ ั หมดเช่น


on Sunday                 
on Monday                
on Tuesday              
on Wednesday         
on Thursday               
on Friday                   
on Saturday               

on ใช้กบั วันที่ วันสำคัญทางศาสนาหรือทางราชการ และวันหยุดต่างๆ


on May 1st
on Christmas Day
on New Year's day
on holiday 
on vacation
on time
on Songkran day

in ใช้กบั ส่วนของวันเช่น
in the morning
in the afternoon
in the evening

้ เช่นเดือน ปี และฤดู
in ใช้กบั เวลาหรือระยะเวลาทีย่ าวขึน
in 2000
in summer
in June 1999 
in the 21th century
in the past
in time
in the future
in a few months
in two hours 
in a week's time

2. การใช้ in on at กับสถานที่

at ใช้กบั บ้านเลขทีเ่ ช่น


at 224 Mango Street, at 987 Big Elm Road, at 67 Sukhumvit Road

่ งึ่ เป็ นจุดเล็กๆเช่นในระดับเมืองหรือใช้


at ใช้กบั สถานทีซ
กับสถานทีเ่ ล็กๆหรือระบุตำแหน่ งทีแ ่ น่ นอนเช่น
at home
at the hospital
at the airport
at the bus station
at the meeting
at the window
at the river
at the concert
at the door
at the party

at ทีใ่ ช้กบั สำนวนอืน


่ ๆเช่น
at work
at best
at will
at least
at loss
at worst
at large

on ใช้เชือ
่ มต่อระหว่างสองทีเ่ ช่น
on Silom Road
on the way home

on ใช้กบั ตำแหน่ งบนพื้นผิวเช่น


on the table
on the ceiling
on the sidewalk
on the floor
on the train
on a bicycle
on the wall
on the coast
on paper

on ใช้กบั สำนวนต่อไปนี้
on business
on tour
on the radio
on air
on television
on the phone
on purpose
on fire
on the list
on pleasure
on duty
on guard

in ใช้กบั สถานทีท
่ ค
ี่ อ
่ นข้างใหญ่เช่นเมืองจังหวัด ประเทศหรือทวีปเช่น
in Chiang Mai
in Asia
in the world
in the army
in the sky
in the river
in the sea
in the parking lot

นอกจากนี้ยงั ยังมีคำว่า
during แปลว่า ระหว่าง
till, until ใช้เกีย่ วกับเวลาแปลว่า จนกระทั่ง จนถึง
before ใช้เกีย่ วกับเวลาแปลว่า ก่อน
after ใช้เกีย่ วกับเวลาแปลว่า หลัง
from ใช้กบั เวลาหรือสถานทีแ ่ ปลว่า นับตัง้ แต่
from...to แปลว่า จาก...ถึง
from...till แปลว่า ตัง้ แต่...ถึง
between... and แปลว่า ระหว่าง...ถึง
by แปลว่าด้วย(ใช้กบั การเดินทางด้วยยานพาหนะแปลว่า)
in front of แปลว่า ข้างหน้า
outside แปลว่า ข้างนอก ภายนอก
inside แปลว่า ข้างใน ภายใน
behind แปลว่า ข้างหลัง

กลับไปยังหน้าเดิม
Prepositions บุพบท

เวลาเทีย่ งวัน
เวลากลางคืน
เวลาเทีย่ งวัน
เวลาหกโมงเช้า
ในวันคริสต์มาส

ในตอนแรก
ในทันที
ในท้ายสุด
ในเวลาอาหารกลางวัน
ขณะนี้

วันอาทิตย์
วันจันทร์
วันอังคาร
วันพุธ
วันพฤหัสบดี
วันศุกร์
วันเสาร์

าชการ และวันหยุดต่างๆ
ในวันที่ 1 พฤษภาคม
ในวันคริสต์มาส
้ ปี ใหม่
ในวันขึน
ในวันหยุด
ในวันหยุด
ตรงเวลา
ในวันสงกรานต์

ในตอนเช้า
ในตอนบ่าย
ในตอนเย็น

น ปี และฤดู
ในปี 2000
ในฤดูรอ้ น
ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1999
ในศตวรรษที่ 21
ในอดีต
ทันเวลา
ในอนาคต
ในอีก 2-3 เดือน
ภายในสองชั่วโมง
ในหนึ่งสัปดาห์

lm Road, at 67 Sukhumvit Road

มืองหรือใช้

ทีบ ่ า้ น
ทีโ่ รงพยาบาล
ทีส่ นามบิน
ทีส่ ถานีขนส่ง
ทีป ่ ระชุม
ทีห ่ น้าต่าง
ทีแ ่ ม่นํ้า
ทีค ่ อนเสิร์ต
ทีป ่ ระตู
ทีง่ านเลี้ยง

ขณะทำงาน
อย่างดีทส
ี่ ุด
ตามความต้องการ
อย่างน้อยทีส่ ุด
ขาดทุน
อย่างแย่ทส ี่ ุด
มีอส
ิ ระ

บนถนนสีลม
ในระหว่างทางกลับบ้าน

บนโต๊ะ
บนเพดาน
บนทางข้างถนน
บนพื้น
บนรถไฟ
บนรถจักรยาน
บนผนัง
บนชายฝั่ ง
บนกระดาษ

ว่าด้วยเรือ
่ งธุรกิจ
ในขณะท่องเทีย่ ว
ในวิทยุ
ขณะออกอากาศ
ในโทรทัศน์
ทางโทรศัพท์
โดยตัง้ ใจ
ในขณะไฟไหม้
ในรายชือ ่
เพือ
่ ความสนุกสนาน
ในขณะปฎิบตั หิ น้าที่
เตรียมพร้อม

วัด ประเทศหรือทวีปเช่น
ในจังหวัดเชียงใหม่
ในทวีปเอเชีย
ในโลก
ในกองทัพ
ในท้องฟ้ า
ในแม่นํ้า
ในทะเล
ในลานจอดรถ

ง จนถึง

แต่

พาหนะแปลว่า) ข้าง ใกล้


กลับไปยังหน้าเดิม
Pronouns คำสรรพนาม

Pronoun คือคำทีใ่ ช้แทนคำนาม แบ่งออกได้เป็ น 4 แบบ ดังนี้

1. Personal Pronoun ทำหน้าทีเ่ ป็ นประธานและกรรมของประโยค ได้แก่คำว่า

Subjective ประธาน Objective กรรม


I (ฉัน) me (ฉัน)
You (คุณ) you (คุณ)
We (พวกเรา) us (พวกเรา)
They (พวกเขา) them (พวกเขา)
He (เขา) him (เขา)
She (หล่อน) her (หล่อน)
It (มัน) it (มัน)

I gave the ball to him.


The car hit her.
They told us the secret.

2.Possessive pronoun ทำหน้าทีเ่ ป็ นคำแสดงความเป็ นเจ้าของไม่ตอ ้ งมีคำนามตามหลัง


(Possessive adjective) ทำหน้าทีเ่ ป็ นคำแสดงความเป็ นเจ้าของต้องมีคำนามตามหลังเสมอ      

Possessive adjective Possessive pronoun


my mine ของฉัน
your yours ของคุณ
our ours ของพวกเรา
their theirs ของพวกเขา
his his ของเขา
her hers ของหล่อน
its - ของมัน

เช่น
My wife belongs to the club.
That car is mine.
This book is yours.
Their dog was hit by a car.

3.Reflexive pronoun ทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมของกริยาโดยเน้นว่าประธานเป็ นผูก


้ ระทำ

เอกพจน์ พหูพจน์
I - myself we  - ourselves
you - yourself you - yourselves
he - himself they - themselves
she - herself
it - itself

I am working by myself.
He ate the whole cake by himself.
She cut herself while making dinner.

ดูตารางการเปรียบเทียบ

Subjective Objective Possessive adjective


I me my
You you your
We us our
They them their
He him his
She her her
It it its

4. Relative Pronoun (ประพันธสรรพนาม) คือ สรรพนามทีใ่ ช้เป็ นตัวเชือ


่ มประโยคได้แก่คำว่า

who ้ งึ่ ใช้แทนคน


ผูซ
which ที่ ซึง่ อัน ใชักบั สัตว์และสิง่ ของ
that ที่ ซึง่ อัน ใช้ได้ทง้ ั คนและสิง่ ของ
whom ผูซ้ ง่ึ ทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมของ
ประโยคและใช้ได้เฉพาะคน
เท่านัน ้
whose ซึง่ ...ของใช้แสดงความเป็ น
เจ้าของต้องมีคำนามตามหลัง
เสมอ
what สิง่ ซึง่ สิง่ ที่ ใช้เฉพาะสิง่ เท่านัน

where ทีซ ่
่ งึ ใช้กบั สถานที่

The man who is playing chess is blind.


There is a new pub which you might find interesting.
The dog that is sleeping under my car is dirty.
This is Pongsee whom you promoted last year.
This is the student whose house burned down last night.
This is what I want to order for lunch.
The school where I study is closed for the holiday.

กลั บไปยั งหน้าเดิม


คำสรรพนาม

แบ่งออกได้เป็ น 4 แบบ ดังนี้

หลัง
งเสมอ      
Possessive pronoun Reflexive pronoun
mine myself
yours yourself
ours ourselves
theirs themselves
his himself
hers herself
- itself

ด้แก่คำว่า
กลับไปยังหน้าเดิม
Nouns คำนาม

คำนามคือคำทีใ่ ช้เรียกชือ
่ คน สัตว์ สิง่ ของมีดงั นี้

The plural of nouns (คำนามพหูพจน์)

1.คำนามทีอ่ ยูใ่ นรูปของพหูพจน์สว่ นใหญ่จะเติม s หรือ es ท้ายคำ

Singular Plural
boat      boats
hat           hats
house  houses
river        rivers
chair     chairs
boy         boys
girl              girls
computer    computers
car           cars

    
2.คำนามทีล่ งท้ายด้วย yหน้า y เป็ นพยัญชนะเมือ
่ ต้องการทำเป็ นนามพหูพจน์ให้เปลีย่ น y เป็ น i

Singular Plural
cry cries
fly flies
candy candies
city cities
lady ladies
baby babies
party parties

Note:ถ้าหน้า y เป็ นสระให้เติม s ได้เลย


day days
key keys
monkey monkeys

3. คำนามทีล่ งท้ายด้วย o หน้า o เป็ นพยัญชนะให้เติม es

Singular       Plural
tomato         tomatoes
mango         mangoes
potato         potatoes
pamelo        pameloes
hero                heroes

Note:ถ้าหน้า o เป็ นสระให้เติม s ได้เลย


Singular       Plural
zoo                     zoos
radio         radios
studio         studios

คำยกเว้น แม้วา่ หน้าo จะเป็ นพยัญชนะแต่ตอ


้ งเติม s ได้เท่านัน

photo   รูปถ่าย
piano      เปี ยโน
casino   กาซิโน

4. คำนามพหูพจน์บางตัวจะเปลีย่ นรูปไปจากนามเอกพจน์

Singular Plural
woman                women
man                            men
child                    children
knife                      knives
tooth                        teeth
foot                            feet
bus                     buses
person        people
leaf                   leaves
wife                      wives
life                       lives
loaf                 loaves
box                   boxes
kiss                  kisses
glass       glasses
cactus             cacti
fungus         fungi
nucleus     nuclei
syllabus    syllabi
thesis         theses
crisis             crises
phenomenon  phenomena
criterion  criteria

5. คำนามบางคำทีม
่ ีรูปเดียวกันทัง้ เอกพจน์และพหูพจน์

Singular  Plural
sheep  sheep
fish                fish
species  species
deer             deer

6.คำนามบางคำมีรูปเป็ นพหูพจน์แต่ใช้เป็ นเอกพจน์

Examples:
news ข่าว
The news is on at 6.30 p.m.
athletics:นักกีฬา นักกรีฑา
Athletics is good for young people.
liguistics:ภาษาศาสตร์
Linguistics is the study of language.
darts เกมปาเป้ า
Darts is a popular game in England.
politics    การเมือง

7.คำนามบางคำเป็ นรูปพหูพจน์และใช้เป็ นพหูพจน์

trousers: กางเกงขายาว
My trousers are too tight.
jeans: กางเกงยีนส์
Her jeans are black.
glasses: แว่นตา
Those glasses are his.
scissors กรรไกร
shorts กางเกงขาสัน้
thanks ขอบใจ
stairs บันได
congratulations ขอแสดงความยินดี
wages ค้าจ้าง ค่าแรง
spectacles แว่นตา
goods สินค้า

Countable and Uncountable Nouns (นามนับได้และคำนามนับไม่ได้)

1.Countable nouns (นามนับได้)


a. สำหรับสิง่ ทีเ่ ราสามารถนับได้เช่น
one dog สุนข ั หนึ่งตัว
a cat      แมวหนึ่งตัว
six men   ผูช ้ ายหกคน
a house  บ้านหนึ่งหลัง

b. มีรูปเป็ นเอกพจน์และพหูพจน์เช่น
three dogs สุนข ั สามตัว
ten ducks เป็ ดสิบตัว
a woman ผูห ้ ญิงหนึ่งคน
the shops. ร้านค้าหลายร้าน

2. Uncountable nouns (นามนับไม่ได้)


a. คือสิง่ ทีเ่ ราไม่สามารถนับได้เช่น
tea นํ้าชา
sugar  นํ้าตาล
water  นํ้า
air  อากาศ
rice  ข้าว
food อาหาร
milk  นม
snow หิมะ
dust ฝุ่ น
wood ไม้
hair ผม
money เงิน
meat เนื้อ
coffee กาแฟ

b. นามทีบ
่ อกอาการ ความรูส้ ก
ึ สภาพ ลักษณะเช่น
richness  ความรํ่ารวย
movement ความเคลือ ่ นไหว
beauty ความสวย
love ความรัก
knowledge  ความรู้

Compound Nouns (คำนามผสม)


คำนามผสมเป็ นการเอาคำตัง้ แต่สองคำขึน ้ ไปมาผสมกันซึง่ เป็ นการผสมระหว่าง
1.noun +noun
girl + friend = girlfriend  เพือ
่ นหญิง
traffic + lights =traffic lights    สัญญาณไฟจราจร
noun + verb
head + ache = headache ปวดหัว

2. verb + noun
work + man = workman  กรรมกร

3. noun + verb
hair + cut = haircut การตัดผม

4. verb + prep.
hold + up = holdup การปล้น

5. adj.+ noun
green +house = greenhouse เรือนกระจก
quick + silver = quicksilver  ปรอท

Proper Nouns (นามเฉพาะ)


Capital letters อักษรตัวพิมพ์ใหญ่
:เราใช้อกั ษรตัวพิมพ์ใหญ่สำหรับ

1. ชือ
่ นามสกุล และตำแหน่ ง
Somchai
the President of the United States

2  ชือ
่ งาน ชือ
่ ภาพยนตรชือ
่ หนังสือ
Death in Venice, The Barber of Seville

3.ชือ
่ เดือน ชือ
่ วัน และชือ
่ วันหยุด
Monday, October, Easter

4. คำคุณศัพท์ทม
ี่ าจากคำนามเฉพาะ
Thai cooking, a German car

5. ชือ
่ ทางภูมศ
ิ าสตร์
French Alps, the Nile , the Atlantic

6. ชือ
่ ถนน ชือ
่ อาคารสถานที่ ชือ
่ สวนสาธารณะ
Main Street, Central Park, Silom Road

กลับไปยังหน้าเดิม

เรือ
หมวก
บ้าน
แม่นํ้า
เก้าอี้
เด็กผูช ้ าย
เด็กผูห ้ ญิง
เครือ่ งคอมพิวเตอร์
รถยนตร์

เปลีย่ น y เป็ น i แล้วเติม es

ร้องไห้
แมลงวัน
ลูกกวาด
เมือง
สุภาพสตรี
เด็กทารก
งานเลี้ยง

วัน
กุญแจ
ลิง

มะเขือเทศ
มะม่วง
มันฝรั่ง
ส้มโอ
วีระบุรุษ

สวนสัตว์
วิทยุ
โรงถ่ายทำ

ผูห
้ ญิง
ผูช้ าย
เด็ก
มีด
ฟัน
เท้า
รถบัส
คน ประชาชน
ใบไม้
ภรรยา
ชีวต ิ
ก้อน แถว (ขนมปัง)
กล่อง
จูบ
แก้ว กระจก
ต้นตะบองเพชร
เชื้อรา
นิวเคลียส
หลักสูตร
วิทยานิพนธ์
วิกฤติการณ์
ปรากฎการณ์
บรรทัดฐาน มาตรการ

แกะ
ปลา
ชนิด
กวาง
กลับไปยังหน้าเดิม
บไปยังหน้าเดิม
Gerunds กริยาทีเ่ ติม ing

คือการนำเอาคำกริยามาเติม ing ทำหน้าทีเ่ ป็ นประธานกริยา เป็ นกรรมและใช้ในคำนามผสมมีลกั ษณะการใช้ดงั นี้

1. ทำหน้าทีเ่ ป็ นประธานของกริยาเช่น
Walking is good for your health.

2. ทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมของกริยาเช่น
He stops smoking.

3. ทำหน้าทีเ่ ป็ นกรรมตามหลังคำบุพบทเช่น
Thank you for coming.

4. ใช้ในคำนามผสมเช่น
Swimming pool
Sleeping pill

กริยาทีใ่ ช้ตามด้วย gerund ได้แก่คำว่า


admit ยอมรับ
miss พลาด
finish เสร็จสิน

postpone เลือ ่ น
deny ปฎิเสธ
avoid หลีกเลีย่ ง
keep (on) ทำต่อไป
mention เอ่ยถึง
understand เข้าใจ
quit เลิก
stop หยุด
dislike ไม่ชอบ
imagine จินตนาการ
practise ฝึ กฝน
risk เสีย่ ง
can't help อดไม่ไหว
object to คัดค้าน
insist of  ประกอบด้วย
keep on ทำต่อไป
look forward to รอคอย
think of คิดถึง
It's no use ไม่มีประโยชน์

กริยาทีต่ ามหลัง gerund (V.-ing) หรือ infinitive (to v1) แต่ความหมายแตกต่างกัน


1. remember จำได้
remember +  to v 1จำได้วา่ จะต้องทำอะไรบางอย่าง
I hope I remember to pay the phone bill.
remember + v ing จำได้วา่ ได้ทำอะไรไปแล้ว
I still remember going to my first dance.

2.forget ลืม
forget +  to v 1 ลืมทำอะไรบางอย่าง
Don't forget to buy some milk on your way home.
forget + v ing ทำสิง่ นัน
้ ไปแล้วแต่ลืม
และตามด้วยโครงสร้างนี้I'll never forget ........ing
I'll never forget meeting Bill Clinton when he visited Thailand.

3. stop หยุด
stop +to v 1 หยุดทำอะไรบางอย่างเพือ
่ ไปทำอย่างอืน
่ แทน
Employess stop to have a break at 10 a.m.
stop + v ing เลิกทำหรือหยุดทำไปแล้ว
You should stop eating too much.

4.regret เสียใจ
regret +t o v 1เสียใจทีจ่ ะต้องบอกว่า
I regret to tell you that your dog died today.
regret + v ing เสียใจทีไ่ ด้ทำอะไรลงไปแล้ว
I regret drinking too much last night.

5. try
try + to V1 พยายามทำบางอย่างในสิง่ ทีย่ าก
I tried to study but I was too tired.
try +Ving  ลองทำบางอย่าง
I tried calling you but your line was busy.

6. sorry
sorry +to V1 เป็ นการขอโทษในบางสิง่ ทีกำ ่ ลังกระทำหรือกำลังจะกระทำ
I'm sorry to have troubled you.
sorry for /about + Ving   เสียใจกับสิง่ ทีผ
่ า่ นมาแล้ว
I'm sorry for troubling you.

กริยาต่อไปนี้ตามได้ทง้ ั gerund (V.-ing) หรือ infinitive (to v1) แต่ความหมาย


เหมือนกันได้แก่คำว่า
hate เกียด
love รัก
like ชอบ
prefer ชอบมากกว่า
begin เริม ่ ต้น
start เริม
่ ต้น
continue ดำเนินต่อไป

กลับไปยังหน้าเดิม
กลับไปยังหน้าเดิม
Articles คำนำหน้านาม

 คำ article แบ่งออกได้เป็ น 2 ชนิด คือ


A. Indefinite Article ได้แก่ a, an
B. Definite Article ได้แก่ the

A. Indefinite Article ได้แก่ a, an

หลักการใช้ a, an

1. ใช้ an นำหน้าคำทีข ึ้ ต้นด้วยสระ a, e, i, o,u หรือออกเสียงสระไม่วา่ จะเขียนขึน


่ น ้ ต้นด้วยพยัญชนะก็ตามเช่น
an elephant, an hour, an umbrella, an apple

2. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ทน
ี่ บ ่ ีความหมายเป็ น"หนึ่ง"
ั ได้เสมอทีม
She has a dog.
Give me an apple.

3. ใช้ a,an นำหน้าคำทีบ่ อกอาชีพ


Junior's father is a doctor.
I want to be a teacher.

4. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพน์ทแ
ี่ ปลเป็ นต่อ...(หน่ วย)
Oranges cost 50 baht a kilogram.

5. ใช้ a กับการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่น
a stomachache, a headache, a fever
I ate somtam at lunch and now I have a stomachache.

6. ใช้ a,an ในประโยคอุทานตามหลัง what เช่น


What a nice dress!
What an old man!

เราจะไม่ใช้ a,an กับสิง่ ต่อไปนี้


1.กับคำนามทีน ่ บ
ั ไมได้ (uncountable nouns)
2.ไม่ใช้นำหน้าชือ ่ วิชา ชือ่ กีฬา ชือ
่ ประเทศ ชือ
่ เมือง ชือ
่ มหาวิทยาลัย
3.ไม่ใช้หน้าคำทีเ่ ป็ นมื้ออาหาร breakfast, lunch, dinner

B. Definite Article ได้แก่ the

หลักการใช้ the
1. ใช้กบั คำนามนับได้เอกพจน์และพหูพจน์ทเี่ ป็ นการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนไหน อันไหน สิง่ ไหน

2. ใช้ the นำหน้าคำนามทีม


่ ีสงิ่ เดียว
the sun, the moon, the sky

3. ใช้ the นำหน้าชือ


่ ครอบครัวเช่น
The Browns, The Lees
4. ตามปกติเราใช้ the นำหน้าชือ
่ หนังสือพิมพ์เช่น
The Nation, The Times, The Sun

5. ใช้ the กับชือ่ สถนาที่


ทะเล the Pacific
เทือกเขา the Himalayas
แม่นํ้า the Mississippi
ทะเลทราย the Sahara
โรงแรม the Plaza
โรงหนังโรงละคร the Playhouse
พิภธิ ภัณฑ์   the National Museum
ชือ
่ ประเทศทีม ่ ีคำว่า Republic, Kingdom, State

6. ใช้ the เมือ


่ เราพูดโดยทั่วไปในเรือ
่ งเครือ
่ งดนตรี
the piano
I play the guitar.

7. ใช้ the ก่อนคำว่า same


Your shirt is the same color as mine.

8. ใช้ the + คำคุณศัพท์เมือ


่ กล่าวถึงกลุม
่ บุคคลเป็ นพิเศษ
the rich, the sick, the poor

9. ใช้ the กับคำนามทีเ่ ราได้กล่าวมาแล้วทัง้ ผูพ


้ ูดและผูฟ
้ งั รูว้ า่ กำลังพูดถึงสิง่ ใด

เราจะไม่ใช้ the กับสิง่ ต่อไปนี้


1.ไม่ใช้ the นำหน้านาม+จำนวนเช่น
room 255
2.ไม่ใช้ the เมือ
่ เราพูดถึงสิง่ ของหรือบุคคลโดยทั่วไป
I'm afraid of spiders.

กลั บไปยั งหน้าเดิม


กลับไปยังหน้าเดิม
Helping or Auxiliary Verbs กริยาช่วย

กริยาช่วยมีดว้ ยกันทัง้ หมด 24 ตัวดังนี้

รูปปฎิเสธ
is      is not
am am not
are are not
was was not
were were not
do do not
does does not
did did not
has has not
have have not
had had not
can can not
could could not
may may not
might might not
will will not
would would not
shall shall not
should should not
must must not
need need not
dare dare not
ought ought not
used to used not to

verb to be ได้แก่คำว่า is, am, are, was, were แปลว่า"เป็ น, อยู,่ คือ"
be เป็ นรูปเดิมเมือ ่ กระจายรูปจะได้เป็ น   is,am,are เปลีย่ นเป็ นช่องทีส่ องคือ was were และเปลีย่ นเป็ นช่องทีส่ ามคือ
ใช้กบั Present tense (ปัจจุบน ั กาล)
is ใช้กบั ประธานเอกพจน์
am ใช้กบั ประธานคำว่า I
are ใช้กบั ประธานพหูจน์
ใช้กบั Past tense (อดีตกาล)
was ใช้กบั ประธานเอกพจน์
wereใช้กบั ประธานพหูพจน์
หน้าทีข่ อง verb to be
1.ทำหน้าทีช ่ ว่ ยกริยาตัวอืน
่ ในประโยค continuous tense และประโยค Passive voice
    They are watching tv.
     She was writing to her parents.
    A dog was killed by bad man.
2.ใช้กบั ประโยคทีม ่ ีคำนาม (noun) หรือคำคุณศัพท์ (adjective) ตามหลัง
    We are students.
3.ใช้กบั ประโยคขอร้องและคำสั่ง(ในรูปของ be) เช่น
    Be careful!
    Be gentle!

Verb to do ได้แก่คำว่า do, does, did


ใช้กบั Present tense (ปัจจุบน ั กาล)
does ใช้กบั ประธานเอกพจน์
do   ใช้กบั ประธานพหูพจน์
ใช้กบั Past tense (อดีตกาล)
did ใช้ได้ทง้ ั ประธานเอกพจน์และประธานพหูพจน์
Verb to do
ใช้กบั present Simple หรือ past Simple เมือ ่ เราต้องการเปลีย่ นจากประโยคบอกเล่าเป็ นประโยคคำถามและประโยคปฎิเสธ
Present Simple
She goes to school by bus.
She doesn't go to school by bus.
Does she go to school by bus?
Past Simple
Dum went to the post office yesterday.
Dum didn't go to the post office yesterday.
Did Dum go  to the post office yesterday?
Note: เมือ ่ เอา Verb to do เข้ามาช่วยกริยาจะต้องเป็ น V1เสมอ

Verb to have ได้แก่คำว่า has,have,had


has ใช้กบั ประธานเอกพจน์
have ใช้กบั ประธานพหูพจน์
had ใช้ได้ทง้ ั ประธานเอกพจน์และพหูพจน์ในรูปของ past
1. เราจะใช้กบั Present Perfect Tense และ Past Perfect tense เช่น
Frank has seen the rainbow.
Frank hasn't seen the rainbow.
Has Frank  seen the rainbow?
They have watched the movie.
They haven't watched the movie.
Have they watched the movie?

2. Verb to have ทีเ่ ป็ นกริยาแท้แปลว่า "มี"   "รับประธาน"เช่น


I have a new dress.
I have lunch early every day.
เมือ
่ ต้องการทำเป็ นประโยคปฎิเสธและคำถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น
We don't have a new home.
Do we have a new home?

can  could  แปลว่า "สามารถ"


1.ใช้กล่าวถึงความสามารถว่าสามารถทำสิง่ นี้สงิ่ นัน
้ ได้เช่น
I can play the piano.
I can speak French.
ในรูปประโยคปฎิเสธและคำถามสามารถใช้ can ได้เลยเช่น
She can't drive.
Can you drive?
2.เราจะไม่ใชั can กับ infinitive หรือ participles แต่เมือ
่ จำเป็ นเราจะใช้คำอืน
่ แทนเช่น
Are you be able to go home late?
She will be able to drive soon.

3.could เป็ น past ของ can เราใช้ could สำหรับความสามารถทั่วไป หรือการอนุญาตเช่น


She could speak three languages when she was five.
He finished his home work. He could go out to play.

3. เราใช้ can และ could


3.1 กับความสามารถ (ability)
I can use a computer.
3.2 การขอหรือการให้อนุญาต
Can I use your bicycle?
You can leave early today.
แต่ถา้ เป็ นแบบสุภาพหรือเป็ นทางการเราจะใช้ could เช่น
Could you hand me that book,please?
3.3 การขอร้อง (requests)
Can you .... ?
could you...? สุภาพกว่า
Do you think you could...?
can you take this bag?
Could you loan a hundred baht?
Do you think you could help me move this box?
3.4 เสนอตัวเพือ ่ ช่วยเหลือ (offers) เช่น
Can I turn the air on for you ?
้ (possibility and probability)
3.5 พูดถึงความเป็ นไปได้และคาดคะเนในสิง่ ทีอ่ าจจะเกิดขึน
ใช้ can กับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ ทเี่ ป็ นไปได้ เช่น
This road can be dangerous at night.

may  might
1.ใช้กบั การพูดถึงการมีโอกาสของบางสิง่ บางทีอาจเป็ นจริงหรืออาจจะเกิดขึน ้ เช่น
We may take a day off  next week.
He might call me tonight.
2. might ไม่ได้เป็ น past ของ may เราจะใช้ might เมือ ่ เรามีโอกาสทีน
่ ้อยกว่า may เช่น
I may go to visit my parents in this weekend. (บางทีโอกาสจะเป็ น 50%)
Jane might go with me. (บางทีโอกาสจะเป็ น 30% )
3.การใช้ may/might กับ have ใช้แสดงการคาดคะเนทีอ่ าจจะเกิดขึน ้ ในอดีต
may/might + have +V3
She may have gone out when I phoned her.
A: I can't find my book.
B:You might have left it at school.
4. ใช้ may might ในการขออนุญาตเช่น
May I sit here?
I wonder if I might have another cup of coffee?
5.  ใช้ may   ในการอนุญาตและไม่อนุญาตเช่น
Children may not play alone in the pool.
A: May I turn the TV on?
B: Yes, of course you may.
will  would
will
1.ใช้เมือ
่ เราพูดถึงอนาคต
I will go to school early tomorrow.
2.ใช้ will   แสดงการขอร้องอย่างสุภาพเช่น
Will you open the door for me please?

would เป็ นอดีตของคำว่า will


1.ใช้ในประโยคขอร้องทีส่ ุภาพกว่า will
Would you turn the volume down please?
2.ใช้กบั ประโยค Would you mind if....
Would you mind if I smoke?
3. ใช้ would กับคำ rather แปลว่า ควรจะ....ดีกว่า ตัวย่อ 'd rather
ใช้ในการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
I'd rather study harder this year than go to summer school.
4. ใช้ would กับ like to ในีรูปคำถามเป็ นการเชื้อเชิญเช่น
Would you like to go dancing with me?

shall  should
shall
1.ใช้ในประโยคอนาคตกาล (Future tense) ตามปกติแล้ว shall ใช้กบั ประธาน I และ We
2. ใช้ในการเสนอหรือให้คำแนะนำ และใช้เมือ
่ ขอคำแนะนำเราจะใช้
Shall I...?
Shall we ...?
Shall I carry your books?
Shall we go shopping?

Should
1.ใช้เมือ
่ พูดเกีย่ วกับภาระหน้าทีแ ่ ละความคิดเห็นทีใ่ กล้เคียงกันเช่น
People should be careful about food.
She shouldn't act like that in public.
2. ใช้ Should I....? สำหรับการขอคำแนะนำ การยืน ่ มือช่วยเหลือ เช่น
Should I go out with him ?
Should I help you clean up this area?
3. ใช้เมือ่ กล่าวถึงสิง่ ทีค
่ วรจะทำแปลว่า"ควรจะ" เช่น
You work all day. You should take a rest.
้ หรืออาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึน
4. ใช้ should have +V3   ใช้พูดเกีย่ วกับอดีตโครงสร้างนี้ใช้กบั สิง่ ทีไ่ ม่ได้เกิดขึน ้ เช่น
They should have arrived here by now.
I should have written a note for him
5. ใช้กบั ประโยค if clause เช่น
If I had a lot of money, I would be happy.

must
แปลว่า "ต้อง"ตามด้วยกริยาช่องที่ 1มีหลักการใช้ดงั นี้
1. ใช้แสดงความจำเป็ นทีต
่ อ
้ งกระทำ
You must hand your homework in tomorrow.
2. ใช้ในการให้คำแนะนำหรือการสั่งกับตัวเราเองหรือกับบุคคลอืน
่ เช่น
He really must stop drinking.
You must sit there for two hours.
You mustn't talk in the classroom.
3. เราใช้ have to แทน must ได้
ความแตกต่างระหว่างการใช้ must และ have to
must   เป็ นการสั่งความจำเป็ นมาจากบุคคลทีกำ ่ ลังพูดหรือกำลังฟัง
have to พูดถึงความจำเป็ นทีม ่ าจากภายนอกบางทีอาจจะเพราะว่ากฎหมาย
กฏระเบียบหรือเป็ นข้อตกลงเช่น
I must go home now. It's going to rain soon.
You must stop smoking.
I have to stop smoking because I'm sick.
mustn't ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทำสิง่ นัน ้ สิง่ นี้
haven"t got to, don't have to ใช้พูดในบางสิง่ ทีไ่ ม่สำคัญเช่น
You mustn't tell Dang. มีความหมายว่า (Don't tell Dang.)
You don't have to tell your wife. หมายความว่า
(You can if you like, but it is not necessary.)
4. ใช้ must เมือ
่ พูดถึงสิง่ ทีเ่ ราแน่ ใจเช่น
The boy keeps crying. He must be really sick.

need   เป็ นได้ทง้ ั กริยาช่วยและกริยาแท้


1. เมือ่ ใช้เป็ นกริยาแท้ need + to +V1
He needs to clean his car.
You need to water the flowers.
ถ้าต้องการทำเป็ นประโยคปฎิเสธและประโยคคำถาม ให้เอา Verb to do มาช่วย
You don't need to help him.
Do we need to reserve the room?
2.เมือ
่ ใช้เป็ นกริยาช่วยเราไม่คอ่ ยใช้เท่าไหร่ซงึ่ ส่วนใหญ่จะเห็นการใช้
needn't เช่น
You needn't explain. I understand.
3. การใช้ needn't + have +V3 แสดงถึงการกระทำทีไ่ ม่จำเป็ นต้องทำในอดีตแต่ทำไปแล้วเป็ นการเสียเวลาเปล่า
Your mother needn't have cooked for us. We ate out.

dare แปลว่า "กล้า "เป็ นได้ทง้ ั กริยาช่วยและกริยาแท้


1. เป็ นกริยาแท้ dare + to +V1และเมือ ่ ต้องการทำเป็ นประโยคปฎิเสธ
และประโยคคำถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น
She dare to say what is right.
I doesn't dare to tell him the truth.
2. เป็ นกริยาช่วยเราไม่นิยมใช้เป็ นประโยคบอกเล่าแต่เราจะใช้ daren't
กับคนบางคนไม่กล้าทำบางสิง่ บางอย่างในขณะทีพ ่ ูด
I daren't look.
I daren't touch it.

ought แปลว่า "ควรจะ" มีหลักการใช้ดงั นี้


1.ใช้ ought ตามด้วย to เสมอใช้ในการแนะนำสิง่ ทีค
่ วรทำให้กบั คนอืน
่ รวมทัง้ ตัวเราเองด้วยมีความหมาย
ใกล้เคียงกับคำว่า Should เช่น
I really ought to teach her English.
People ought not to cross the road over there.
2.ใช้ ought to+ have +V3 พูดถึงสิง่ ทีค
่ วรทำในอดีตแต่ไม่ได้ทำ
You ought to have phoned him yesterday.

used to แปลว่า "เคย"


ปัจจุบน ั เราไม่นิยมใช้ used to ในรูปแบบของกริยาช่วยแล้ว
เราใช้เฉพาะเป็ นกริยาแท้พูดถึงสิง่ ทีทำ
่ เป็ นนิสยั ในอดีต
ซึง่ ปัจจุบน ั ได้หยุดไปแล้วเช่น
I used to eat a lot.
She used to be shy.
เมือ ่ เป็ นประโยคคำถามและประโยคปฎิเสธเราจะเอา Verb to do เข้ามาช่วย
เมือ ่ เอา Verb to do จะต้องเปลีย่ น use ให้เป็ นกริยาช่องที่ 1
Did you use to have a dog?
I didn't use to watch the news. (เป็ นประโยคปฎิเสธเรานิยมใช้ never used to )
I never used to watch the news.
(be) used to +noun / ing แปลว่า "เคยชิน"
I am used to driving at night.
She is used to the cold weather.

กลั บไปยั งหน้าเดิม


rbs กริยาช่วย

คำย่อ
isn't
-
aren't
wasn't
weren't
don't
doesn't
didn't
hasn't
haven't
hadn't
can't
couldn't
mayn't
mightn't
won't
wouldn't
shan't
shouldn't
mustn't
needn't
daren't
oughtn't
usedn't to

as were และเปลีย่ นเป็ นช่องทีส่ ามคือ been

ve voice
บอกเล่าเป็ นประโยคคำถามและประโยคปฎิเสธ
นแทนเช่น

รอนุญาตเช่น

probability)

may เช่น
0%)
น I และ We

้ หรืออาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึน
ขึน ้ เช่น
แต่ทำไปแล้วเป็ นการเสียเวลาเปล่า

วเราเองด้วยมีความหมาย
sed to )
กลับไปยังหน้าเดิม
Comparisons การเปรียบเทียบ

 การรเปรียบเทียบมีอยูด
่ ว้ ยกัน 3 แบบคือ

1. การเปรียบเทียบในขัน ้ ปกติ มีโครงสร้างดังนี้ คำทีนำ


่ มาเปรียบเทียบอยูร่ ะหว่างคือคำคุณศัพท์ (adjective) และคำกริยาวิเศษณ์
(adverb)
as.........as  ใช้แสดงการเปรียบเทียบทีเ่ ท่ากัน
Natee is as old as Ladda.
not as....as /not so ........as   ใช้แสดงการเปรียบเทียบทีไ่ ม่เท่ากัน
Today is not so hot as yesterday.

the same......as  ใช้แสดงการเปรียบเทียบทีเ่ ท่ากัน คำทีใ่ ช้ระหว่าง the same ......as จะต้องเป็ นคำนาม เช่น
Kanda's salary is the same as mine. หรือ Kanda gets the same salary as me.

Note: หลัง as/than ถ้าไม่มี verb ตาม เราจะใช้ me/ him/ her/ them/ us

2. การเปรียบเทียบในขัน
้ กว่า (comparative degree) เป็ นการเปรียบเทียบคน 2 คน สิง่ ของ 2 สิง่ มีโครงสร้างดังนี้

adj./adv +er than

more +adj./adv than

He is older than me.


She is happier than him.
She is more intelligent than me.

Note: 1.ในการเปรียบเทียบขัน้ กว่าเราสามารถใช้ a bit , a little, a lot, much, far,หรือ rather ขยาย
adjective หรือ adverb เช่น
Prannee works much harder than Nittaya.
The blue car is rather nicer than the red one.

2. ในการเปรียบเทียบขัน้ กว่าเมือ
่ ต้องการแสดงให้เห็นการเพิม ้ หรือแปรตรงต่อกัน
่ ขึน
และในข้อความในส่วนทีส่ องมักจะเป็ นผลของข้อความในส่วนแรกมีโครงสร้างดังนี้
the + adj./adv ขัน
้ กว่า + (N) + (clause), the+ adj./adv ขัน ้ กว่า + (N) +(clause)

The harder you study, the more you learn.


The faster you drive, the more dangerous it is.

3. การเปรียบเทียบในขัน
้ สูงสุด (superlative degree) เป็ นการเปรียบเทียบให้เห็นทีส่ ุดมีโครงสร้างดังนี้

the +adj./adv +est

the most +adj./adv

Tom is the tallest in the class.


Sunee is the most beautiful woman in Chiang Mai.
และถ้าเราต้องการจะเปรียบเทียบให้เห็นว่าน้อยทีส่ ุดใช้โครงสร้างนี้

the least +adj./adv


This is the least expensive shirt I've ever bought.

การเปลีย่ นขัน
้ ปกติให้เป็ นขัน
้ กว่าและขัน
้ สูงสุด

1. เติม er และ est ในคำพยางค์เดียว

tall taller tallest


long  longer     longest
short   shorter    shortest
young   younger  youngest
thick thicker thickest
harder harder hardest

He is tall.
He is taller than me.
He is the tallest player on the team.

2. เป็ นคำพยางค์เดียวมีสระเดียวและตัวสะกดเดียวทำเป็ นขัน


้ กว่าและขัน
้ สูงสุดด้วยการเติม
ตัวสะกดอีกตัวแล้วเติม er และ est      

big bigger biggest


hot hotter hottest
thin thinner thinnest
fat fatter fattest
sad sadder saddest

She is fat.
She is fatter than her sister.
She is the fattest girl in the company.

3. คำพยางค์เดียวและสองพยางค์ทลี่ งท้ายด้วย y ให้เปลีย่ น y เป็ น i แล้วเติม er ในขัน


้ กว่า เติม est ในขัน
้ สูงสุด

dry drier driest


lucky luckier luckiest
easy easier easiest
pretty prettier prettiest
lazy lazier laziest
happy happier happiest

Math is easy.
Math is easier than chemistry.
Math is the easiest subject at school.

4. คำทีม
่ ีสองพยางค์และลงด้วย er, re, le และ ow เติม er ในขัน
้ กว่าและเติม est ในขัน
้ สุงสุด

clever cleverer cleverest


simple simpler simplest
narrow narrower narrowest
shallow shallower shallowest
bitter bitterer bitterest
noble nobler noblest

I am clever.
I am cleverer than you.
I am the cleverest student in my grade.

5. คำกริยาวิเศษณ์ ทลี่ งท้ายด้วย ly ให้เติม more ในขัน


้ กว่าและเติม most ในขัน
้ สุงสุด

slowly more slowly most slowly


loudly more loudly most loudly
quickly more quickly most quickly

6. คำทีส่ ามารถเติมได้ทง้ ั er, est หรือ more, most

clever cleverer cleverest


more clever most clever
quiet quieter quietest
more quiet most quiet
handsome handsomer handsomest
more handsome most handsome
cruel crueler cruelest
more cruel most cruel
common commoner commonest
more common mos t common

7. คำคุณศัพท์ทม
ี่ ีสองพยางค์ออกเสียงยาวใช้ more และ most

useful more useful most useful


selfish more selfish most selfish
honest more honest most honest
fertile more fertile most fertile

8. คำคุณศัพท์ทส ึ้ ไปให้ใช้ more และ mostได้เท่านัน


ี่ ามพยางค์ขน ้

dangerous more dangerous most dangerous


beautiful more beautiful most beautiful
interesting more interesting most interesting
difficult more difficult most difficult
important more important most important
suitable more suitable most suitable

9. คำทีไ่ ม่เป็ นไปตามกฎ

good (well) better best


bad worse worst
much, many more most
little less least
few fewer fewest
near nearer nearest
far farther/ further farest/ furthest
old older/elder oldest/ eldest

กลั บไปยั งหน้าเดิม


คือ

คำคุณศัพท์ (adjective) และคำกริยาวิเศษณ์

..as จะต้องเป็ นคำนาม เช่น


as me.

คน สิง่ ของ 2 สิง่ มีโครงสร้างดังนี้

r,หรือ rather ขยาย

use)

ทีส่ ุดมีโครงสร้างดังนี้
สูง
ยาว
สัน

อ่อน
หนา
แข็ง

รเติม

ใหญ่
ร้อน
ผอม
อ้วน
เศร้า

นกว่า เติม est ในขัน


้ สูงสุด

แห้ง
โชคดี
ง่าย
น่ ารัก สวยงาม
ขี้เกียจ
มีความสุข

นขัน
้ สุงสุด

ฉลาด
ง่าย
แคบ
ตื้น
ขม
มีเกียรติ

สุด

ช้า
ดัง
เร็ว

ฉลาด

เงียบ

หล่อ

ใจร้าย

ธรรมดา

มีประโยชน์
เห็นแก่ตวั
ซือ
่ สัตย์
อุดมสมบูรณ์

อันตราย
สวยงาม
น่ าสนใจ
ยาก
สำคัญ
เหมาะสม

ดี
เลว
มาก
น้อย
น้อย
ใกล้
ไกล
แก่ เก่า
กลับไปยังหน้าเดิม
Conjunctions คำสันธาน

 Coordinating Conjunctions (คำสันธานทีเ่ ชือ


่ มข้อความทีเ่ ท่าเทียมกัน)

and but or yet for


และ แต่ หรือ แม้กระนัน
้ เพราะว่า

and = และ ใช้เชือ ่ มข้อความทีค ่ ล้อยตามกันทำหน้าทีเ่ ชือ่ มคำทีเ่ ป็ นชนิดเดียวกันเช่นกริยากับกริยา คำนามกับคำนาม


but = แต่ ใช้เชือ
่ มข้อความทีข ่ ดั แย้งกัน
or= หรือ มิฉะนัน ้ ใช้เชือ ่ มข้อความทีใ่ ห้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
yet= แม้กระนัน้ ใช้เชือ ่ มข้อความทีข ่ ดั แย้งกัน
so = ดังนัน
้ ใช้เชือ ่ มข้อความทีแ ่ สดงความเป็ นเหตุเป็ นผลกัน
for= เพราะว่าใช้เชือ ่ มข้อความทีแ ่ สดงความเป็ นเหตุเป็ นผลกัน
nor = และ...ไม่  ใช้เชือ ่ มข้อความทีค ่ ล้อยตามกัน

I love Pranee and Pongsee.


The car is nice, but it is too expensive.
He seems happy, yet he never smiles.
You can have a sandwich or fried rice for lunch.
I was not allowed to eat in the resautrant, for I was not waering a jacket.
Somkiet is neither rich nor handsome.
Direk hates traffic jams, so he decided not to study in Bangkok .

Subordinating Conjunctions (คำสันธานทีเ่ ชือ


่ มอนุประโยคเข้าด้วยกัน)

after หลังจาก even if แม้วา่ though แม้วา่ ถึงแม้วา่


although แม้วา่ ถึงแม้วา่ even though แม้วา่ ถึงแม้วา่ till จนกระทั่ง
as เนี่องจาก if ถ้า unless ถ้า
as if ราวกับว่า in order that เพือ ่ ว่า until จนกระทั่ง
as long as หากว่า ตราบใด once เมือ
่ ครัง้ ในอดีต when เมือ ่
because เพราะว่า since เนื่องจาก ตัง้ แต่ whenever เมือ ่ ไหร่ก็ตาม
before ก่อน so that เพือ
่ ทีจ่ ะ where ทีซ ่ งึ่
than กว่า whereas ในขณะที่
wherever ทีไ่ หนก็ตาม
while ทง้ ั ๆที่

Correlative Conjunctions (คำสันธานควบ)เป็ นคำสันธานทีใ่ ช้ควบคูก


่ น

both . . . and ทัง้ ...และ


not only . . . but also ไม่เพียงแต่.....ยังอีกด้วย
not . . . but ไม่แต่
either . . . or ไม่.....ก็
neither . . . nor ไม่....และ
whether . . . or หรือไม่
as . . . as เท่ากับ

She led the team not only in statistics but also by virtue of her enthusiasm.
Polonius said, "Neither a borrower nor a lender be."
Whether you win this race or lose it doesn't matter as long as you do your best.
กลั บไปยั งหน้าเดิม
nor so
และ...ไม่ ดังนัน

ากับกริยา คำนามกับคำนาม

gh แม้วา่ ถึงแม้วา่
นกระทั่ง
ss ถ้า
จนกระทั่ง
n เมือ ่
never เมือ ่ ไหร่ก็ตาม
re ทีซ ่ งึ่
reas ในขณะที่
rever ทีไ่ หนก็ตาม
e ทัง้ ๆที่

m.

r best.
กลับไปยังหน้าเดิม
Punctuation เครือ
่ งหมายวรรคตอน
Period ( . )

1.ใช้เมือ
่ จบประโยคในประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำสั่ง
I saw the boy.
Let's go to the shop.
Give me the pen please.

2.ใช้หลังอักษรย่อต่างๆหรือคำย่อ
Dr.=Doctor, adv.=adverb U.S.A.=United States of America

Comma ( , )

1.ใช้ค่น
ั เพือ
่ แยกคำนามซ้อน
Thailand, a country in Asia, is famous for its beautiful temples.

2. ใช้แยกระหว่างคำทีอ่ ยูใ่ นกลุม


่ เดียวกันเช่น
I want a car, a motorcycle, and a bicycle.

3.ใช้แยกคำคุณศัพท์ทบ
ี่ อกสี
a blue, yellow bicycle

4.ใช้แยกคำคุณศัพท์ทตี่ ามหลังคำนาม
The modal is dark, tall and handsome.

5. คั่นข้างหน้าหรือข้างหลังชือ
่ เช่น
Christina, where have you been?
What would you like to eat, Pranee?

6. คั่นประโยคทีต
่ ามหลัง Yes, No และ Well ทีข ึ้ ต้นประโยค
่ น
Are you Thai? Yes, I am.

Well, I'm not sure if I can do that.

7.   ใช้เพือ
่ แยกข้อความในประโยคคำพูดเช่น
He said, "They are happy."

8.   คั่นระหว่างปี ทีต
่ ามหลังเดือน, ถนนกับเมือง,เมืองกับประเทศเช่น
Today is May 4th, 2000.

Dang lives at 56 Sukumvit Road, Bangkok.

Semi-colon ( ; )

1. ใช้ค่น
ั ประโยคทีม
่ ีเครืองหมาย comma คั่นอยูแ
่ ล้วเช่น
Hello, Nittaya; Please come here.

2. ใช้ทำหน้าเพือ
่ เชือ
่ มประโยคสองประโยคทีม ่ ีเนื้อหาเกีย่ วพันกันวางไว้หน้า adverbได้แก่คำว่า
therefore(ดังนัน
้ ) besides(นอกจากนี้) เป็ นต้น
Canada is very cold; therefore people must wear heavy coats in the winter.

Colon ( : )
1.ใช้ colon ก่อนการประโยคอธิบาย
He decided to buy a car:he had to travel to the remote area.

2.ใช้แจ้งรายการ ซึง่ นิยมใช้หลังคำเหล่านี้ the following หรือ as follows เป็ นต้น เช่น
We require the following for our camping trip: tent, bags, and boots.

Question Mark ( ? )

ใช้กบั ประโยคคำถามเช่น
Is that food hot?
What is your nationality?
Do you like durian?
How tall are you?

Exclamation Mark ( ! )

ใช้หลังคำอุทานหรือประโยคอุทาน เช่น
Oh! you are so beautiful.
Watch out!
Go away!

Apostrophe ( ' )

1. ใช้แสดงความเป็ นเจ้าของของคำนามทัง้ นามเอกพจน์และนามพหูพจน์ เช่น


The doctor's car
The men's club
Somkiet's dog

2.ใช้แสดงความเป็ นเจ้าของของคำนามพหูพจน์ทเี่ ติม s หรือชือ


่ เฉพาะทีม
่ ี s เช่น
The girls' books

Charles' school
2. ใช้คำย่อหรือรูปย่อ
can't (cannnot)
it's (it is)
I'd rather (I woud rather)

Quotation Marks ( " " )

ใช้เขียนคร่อมข้อความทีเ่ ป็ นประโยคคำพูดเช่น
He said, "I am going home."

"I can help you move," Narong volunteered.

Hypen ( - )

ใช้เพือ
่ เชือ
่ มคำสองคำให้เป็ นคำเดียวกันเช่น
ex-husband
anti-American
two-day holiday

Dash ( - )
ใช้เพือ
่ เน้นข้อความทีแ
่ ทรกเข้ามาเพือ
่ อธิบายหรือใช้คน ั่ คำละไว้ในฐานทีเ่ ข้าใจหรือเปลีย่ นใหม่ เช่น

I got lost, forgot my bag, and missed my plane-- it was a terrible trip.

If I had a lot of money, I would ---Oh, what am I thinking? I will never be rich.

กลับไปยังหน้าเดิม
กลับไปยังหน้าเดิม
Irregular Verbs กริยารูปพิเศษ

Irregular Verbs
Infinitive Past Simple Past Participle
become became become
begin began begun
bend bent bent
bet bet bet
bite bit bitten (or bit)
bleed bled bled
blow blew blown
bring brought brought
build built built
burst burst burst
buy bought bought
cast cast cast
catch caught caught
choose chose chosen
cling clung clung
come came come
cost cost cost
dig dug dug
dive dived (or dove) dived
do did done
draw drew drawn
drink drank drunk
drive drove driven
eat ate eaten
fall fell fallen
fight fought fought
fling flung flung
fly flew flown
forbid forbade forbidden
forget forgot forgotten
freeze froze frozen
get got got (or gotten)
give gave given
go went gone
grind ground ground
grow grew grown
hang (pictures) hung hung
hang (people) hanged hanged
have had had
hide hid hidden
hurt hurt hurt
know knew known
lay laid laid
lead led led
leave left left
lend lent lent
lie lay lain
light lit lit
make made made
mistake mistook mistaken
pay paid paid
quit quitted (or quit) quit
ride rode ridden
ring rang rung
rise rose risen
run ran run
saw sawed sawn
say said said
see saw seen
seek sought sought
sell sold sold
set set set
shake shook shaken
shine shone shone
shrink shrank shrunk
sing sang sung
sink sank sunk
slide slid slid
speak spoke spoken
spin spun spun
split split split
spring sprang sprung
sting stung stung
stink stank stunk
strike struck struck
string strung strung
strive strove striven
swear swore sworn
swell swelled swollen
swim swam swum
swing swung swung
take took taken
teach taught taught
tear tore torn
think thought thought
throw threw thrown
wake woke waken
wear wore worn
weave wove woven
weep wept wept
wring wrung wrung
write wrote written
กลับไปยังหน้าเดิม
Thai
กลายเป็ น
เริม ่ ต้น
โค้ง งอ
พนัน
กัด ขบ ฉี ก
เลือดออก
พัด เป่ า ตี
นำมา เอามา
สร้าง ก่อสร้าง
ระเบิด
ซื้อ
ขว้าง
จับ ได้รบั
เลือก
เกาะ เอาเป็ นทีพ ่ งึ่
มา
ราคา
ขุด
ดำนํ้า
ทำ
ลาก วาด เขียน
ดืม ่
ขับ(รถ)
กิน
ตก หล่น
ต่อสู้
โยน พุง่ เหวีย่ ง
บิน
ห้าม ไม่อนุญาต
ลืม
เย็นจนแข็ง หนาว
เอา ได้รบั
ให้
ไป
บด ลับ
เติบโตขึน ้
แขวน ห้อย
แขวนคอ
มี
ซ่อน
ทำร้าย ทำอันตราย
รู้
วาง ออกไข่
นำ พา
ละทิง้ จากไป
ให้ยืม
นอน
จุดไฟ
ทำ
ทำผิด
จ่าย ชำระ ใช้ให้
หยุด ยุติ เลิก
ขี่ ขับ
สั่นกระดิง่ ดัง
ขึน ้ ลุกขึน ้
วิง่
เลือ ่ ย
พูด
เห็น
ค้นหา
ขาย
ตัง้ วาง จัด
เขย่า สั่น
ส่องแสง
หดลง สัน ้ ลง
ร้องเพลง
จม ถอยลง
สืน ่ ไถล เลือ ่ นไป
พูด
ม้วน กรอ ปั่ นฝ้ าย
แตก แยก
โดดอย่างเร็ว เด้ง
ต่อย แทง
ส่งกลิน ่ เหม็น
ตี ต่อย กระทบ
ผูกเชือก ขึงสาย
พยายาม ขันสู้
สาบาน ปฏิญาณ
โตขึน ้ หนาขึน ้
ว่ายนํ้า
แกว่ง เหวีย่ ง
เอา จับหยิบ
สอน
ฉี ก ขาด
คิด
เหวีย่ ง ขว้าง
ตืน ่ ปลุก
สวม ใส่
ทอผ้า สาน
ร้องไห้
บีบ คัน ้
เขียน
กลับไปยังหน้าเดิม

The Present Simple Tense

โครงสร้าง :    S + V1 (s, es)

หลักการใช้
                   1) ใช้กบั เหตุการณ์ ทกี่ ระทำซ้ำๆ เป็ นประเพณีและเป็ นนิสยั (Repeated actions , customs and habits)
                            - He visits his family every weekend.               (repeated action)
                            - Ethiopians celebrate Christmas on 7 January.        (custom)
                            - He goes to be at nine o'clock every night.           (habit)

                    2) ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ ป็ นจริงเสมอ (universal truth)


                            - The earth goes round the sun.
                            - The sun rises in the east and sets in the west.
                            - The sun shines by day ; the moon shines by night.

                    3) ใช้กบั ความสามารถ (ability)


                            - He plays the guitar very well.
                            - That man speaks English as well as he speaks his own language.

                     4) ใช้แทน Future หลังคำ if , unless, in case ในขณะทีป ่ ระโยคเงือ


่ นไข และคำ when , until, as soon as,
                          before , after
                             - If the weather is fine tomorrow , we shall have a picnic.
                             - We shall go out when the rain stops.
                             - We can't begin playing as soon as the whistle blows.
                            - I shall eat before he arrives.
       
                5) คำกริยาบางคน เราจะไม่ใช้รูป present continuous tense แม้วา่ เหตุการณ์ นน ้
้ ั จะกำลังเกิดขึน
                          หรือกำลังดำเนินอยูใ่ นปัจจุบน ั ก็ตาม เช่น verb to be --- I am late now. กริยาเหล่านี้แบ่งออกเป็ น
                                   5.1 กริยาทีบ ่ ง่ ภาวะทีบ่ งั คับไม่ได้ (verb for states over which we have no control)   
                                           ได้แก่ กริยา see , hear , feel , taste , smell เช่น
                                                 -  I see that it is raining again.
                                                 -  I hear someone knocking at the door.
                                                 - This towel feels very soft.
                                                 - This soup tastes good. 
                                                 - His breath smells bad. 
                                   5.2 กริยาทีแ ่ สดงความนึกคิด (verb for ideas) เช่น know (รู)้ , understand (เข้าใจ
                                          believe (เชือ ่ ) , disbelieve (ไม่เชือ ่ ) , suppose (สมมุต)ิ , doubt (สงสัย) ,
                                         agree (เห็นด้วย), disagree (ไม่เห็นด้วย) , realize (ตระหนัก) , consider (พิจารณา
                                          notice (สังเกต) , recognize (จำได้) , forget (ลืม) , remember (จำ) , recall (
                                               - He now knows as much about the lesson as you do.
                                               - I believe what he is saying is true.
                                               - We agree to his suggestion.
                                               - The teacher considers him as an industrial srtudent.
                                               - I dony recall where I met him.               etc.
                                    5.3 กริยาทีแ ่ สดงความชอบและความไม่ชอบ (Verbs for liking and disliking) เช่น
                                           dislike (ไม่ชอบ) , love (รัก) , hate (เกลียด) , detest (ชิงชัง) , prefer (ชอบ
                                            forgive (ยกโทษ) , trust (ไว้ใจ) , distrust (ไม่ไว้ใจ) เช่น
                                              - I like the movie I saw yesterday.
                                              - She detests people who are unkind to animals.
                                              - We prefer to go out without him.
                                              - I distrust this young lady.       etc.
                                    5.4 กริยาทีแ ่ สดงความปรารถนา (verbs for wishing) เช่น   wish (ปรารถนา) , want (
                                           desire (ปรารถนา) เช่น
                                             - He wishes to leave as early as possible.
                                             - She wants to go to Italy.
                                             - We all desire happiness and health.
                                    5.5 กริยาทีแ ่ สดงความเป็ นเจ้าของ (Verbs of possession) เช่น possess (เป็ นเจ้าของ
                                           have (มี) , own (เป็ นเจ้าของ) , belong to (เป็ นของ) เช่น
                                            - He possesses two new cars.
                                            - She has more money than she needs.
                                            - I own several actres of land.
                                            - This bicycle belongs to my brother.
                                    5.6 กริยาเฉพาะบางคำ (Certain other verbs) เช่น be (เป็ น อยู่ คือ) , appear (
                                           seem (ดูเหมือน) , mean (หมายความว่า) , please (พอใจ) , displease (ไม่พอใจ
                                           differ (แตกต่าง) , depend (ขึน ้ อยูก
่ บั , พึง่ พา) , resemble (ดูเหมือน) , deserve
                                         (สมควรได้รบั ) , refuse (ปฏิเสธ) , result (ส่งผลให้) , suffice (พอเพียง) , consist of
                                          (ประกอบด้วย) , contain (ประกอบด้วย) , hold (บรรจุ) , fit (เหมาะสม คูค ่ วร) , suit (
                                          - She is very selfish.
                                          - He resembles his father.
                                          - She refuses to marry him.
                                          - New Zealand consists of two islands.
                                          - The pink dress she is wearing suits her. ......etc... 
                     6. ใช้กบั adverbs of time ดังต่อไปนี้
                          often (บ่อยๆ) , always (เสมอๆ) , sometimes (บางครัง้ ) , usually (โดยปกติ) , generally (
                          normally (โดยปกติ) , frequently (บ่อยๆ) , rarely (แทบจะไม่เคย นานๆ ครัง้ ) , seldom (
                          นานๆครัง้ ) , scarcely (แทบจะไม่เคย นานๆ ครัง้ ) , hardly (แทบจะไม่เคย) , never (ไม่เคย
                          in general (โดยปกติ) , now and again (บางครัง้ บางคราว) , from time to time (บางครัง้ บางคราว
                         occasionally (บางโอกาส) , as a rule (ตามกฎ) , once a week (สัปดาห์ละครัง้ ) , once a month
                          (เดือนละครัง้ ) , twice a week (สองครัง้ ต่อสัปดาห์) , three times a week (สามครัง้ ต่อสัปดาห์
                         every day (ทุกวัน) , every other day (วันเว้นวัน) , every (night / month, week/year/  
                         Thursday) เช่น
                                - He is never late for school.
                                - He always studies grammar in the morning.
                                - She visits her parents every month.

่ นึ่ง ถ้าประธานเป็ นเอกพจน์กริยาต้องเติม s, หรือ es ถ้าประธานเป็ นพหูพจน์


รูปประโยคของ Present Simple คือ กริยาในช่องทีห
และ I กริยา ไม่ตอ
้ งเติม s
, customs and habits)

ะคำ when , until, as soon as,

นจะกำลังเกิดขึน ้
กริยาเหล่านี้แบ่งออกเป็ น 6 ชนิดคือ
have no control)   

derstand (เข้าใจ) , think (คิด) ,

) , consider (พิจารณา) ,
ber (จำ) , recall (ระลึกได้) เช่น

d disliking) เช่น like (ชอบ) ,


) , prefer (ชอบ) ,
(ปรารถนา) , want (ต้องการ) ,

ossess (เป็ นเจ้าของ) ,

คือ) , appear (ปรากฎ) ,


displease (ไม่พอใจ) ,
ดูเหมือน) , deserve
(พอเพียง) , consist of
หมาะสม คูค ่ วร) , suit (เหมาะสม) เช่น

ยปกติ) , generally (โดยปกติ),


ครัง้ ) , seldom (แทบจะไม่เคย
ย) , never (ไม่เคย) ,
e to time (บางครัง้ บางคราว)
ห์ละครัง้ ) , once a month
k (สามครัง้ ต่อสัปดาห์) ,
nth, week/year/  

s, หรือ es ถ้าประธานเป็ นพหูพจน์


กลับไปยังหน้าเดิม

The Present Continuous Tense

โครงสร้าง :    S + is, am, are + Ving

หลักการใช้

       1. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ท่ีกำลังดำเนิ นอยูใ่ นขณะนัน ้ (It describes something HAPENING NOW.) โดยมากจะมีคำบอก
            เวลา (Adverbs of Time) อยูด ่ ้วย ได้แก่ now , at this moment , at the moment , today , at present,
            still เชน ่
               - We are studying English at present.
               - You are wearing school uniform today.

       2. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในระยะยาว และไมจำ ้ งทำในขณะที่พูด ปกติจะมีเวลากำกั บไวด


่ เป็ นตอ ้ ้วย เชน
่ this week ,
            this year , etc.. เชน ่
               - She is knitting a pullover for her son. (She may or may not be knitting at the actual
                  moment of speaking.)
              - Tony usually walks to school but today he is going by bus.
              - The headmistress is writing a book.
              - We are studying English One this term.
              - My brother is revising for his exam this week.

       3. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ซ่ึงจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และเชื่อวา่ จะเกิดขึ้นแน่นอน มักเป็ นกริ ยาที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว


             และจะมีเวลากำกับไว้ เชน ่
            - I am seeing him tomorrow.
            - He is leaving for London on Friday.
            - We are moving into a new house next month.
     
       4. ถา้ present continuous เชื่อมด้วย and เราจะตั ดกริ ยาชว่ ยตั วหลั งออก (When two continuous tenses
           are joined by "and" the auxilary verb may be dropped before the second verb.)
           - He is smoking a cigar and reading the newspaper.

       5. กริ ยา Listen , look, watch , smell จงใจใชแ


้ บบ continuous ได้ เชน

          - Don't disturb him now , he is listening to a radio play.
          - Why are you looking at that car?
          - Why are you smelling the fish?
          - The police are watching the house.
          - We are looking at the house as we are thinking of buying it.
          - The director is seeing the applicants today.
รู ปประโยคใน Present Continuous คือ is , am , are ตามด้วยกริ ยาชอ่ งที่ 1 ซึ่งเติม ing

working.
I am
doing homework.
He, She, It reading in the library.
is
The boy writing some letters.
We, They , You playing tennis.
are
The boys
้ จำให้ดีนะคะ ฝึ กบอ่ ยๆ แลว้ จะเกง่ คะ่
หลั กการใช้ และโครงสร้าง ของ Tense แตล่ ะ tense นั น
OW.) โดยมากจะมีคำบอก
ay , at present,

วด
้ ้วย เชน
่ this week ,

กี่ยวกับการเคลื่อนไหว
กลับไปยังหน้าเดิม

The Present Perfect Tense

โครงสร้าง :    S + have, has + V3

finished the report.


He , She , The girl has
I
written a letter.
We , They , You
have sung many songs.
The girls had a drink.

Present Perfect Tense ใชก ้ ั บ Adverbs of time ตอ่ ไปนี้ since (ตั งแต ้ )่ , for (เป็ นเวลา) , just
(เพิ่งจะ), already (เรี ยบร้อยแลว้ ) , yet (ยั ง) , recently (เมื่อเร็วๆ นี้ ชว่ งนี้ ) , lately (เมื่อเร็วๆ นี้ ชว่ งนี้ ) , never (
ever (เคย) , so far (จากบัดนัน ้ จนบัดนี้ ) , up to now (จากบัดนัน ้ จนบัดนี้ ) , up to the present time (จนถึงปัจจุบัน
many times (หลายครัง้ ) , several times (หลายครัง้ ) , over and over (ครัง้ แลว้ ครัง้ เลา่ ) ,at last (ในที่สุด)

   หลักการใช้
    1. ใชก ้ ลา่ วถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต และยั งดำเนิ นหรื อมีผลตอ่ เนื่ องมาจนถึงปัจจุบัน มั กมีคำวา่ since และ for
        since (ตั งแต้ )่ ใชก ้ ั บจุดเริ่ มตน
้ ของเหตุการณ์นัน ้ ๆ ในอดีต (a point of time in the past)
            เชน่        since then (ตังแต ้ น ้ ) , since yesterday (ตังแต
่ ัน ้ เ่ มื่อวาน) , since six o'clock (ตังแต
้ ่ 6 โมง)
                          since last month (ตังแต ้ เ่ ดือนที่แลว้ ) , since Christmas , since World War II ,
                          since the beginning of the year  , since I was born , since I was young.
          (หลัง since จะตามดว้ ย คำ หรื อวลี ที่บอกอดีต หรื อ จะตามดว้ ย ประโยคที่มีกริ ยาเป็ นอดีต main clause)
            - We have lived in this house since our father died.
            - Since he has changed his job , he has been much happier.
            - That child has grown very much since I last seen him.
            - I have known him since 1990.
            - I have never seen him since last year.
            - My father has smoked since he was young.

        for (เป็ นเวลา) ใชก ้ เ่ หตุการณ์จนถึงขณะที่พูด (a period of time)


้ ั บจำนวนเวลานั บตั งแต
่        for twenty minutes (เป็ นเวลา 20 นาที) , for four hours (เป็ นเวลา 4 ชั ่วโมง) ,
            เชน
                          for   years (เป็ นปี ๆ) , for ages (เป็ นเวลานาน) , for the last month (เป็ นเวลาตลอดเดือนที่แลว้
                          for a long time (เป็ นเวลานาน) , for the last two years (เป็ นเวลาตลอดเวลา 2 ปี ที่ผา่ นมา)
            - Billy hasn't written to me for three days.
            - I haven't seen John for many weks.
            - They have lived in this district for a long time.
            - Mary hasn't eaten any meat for over a year.

       (หมายเหตุ - แตถ ้ ความใน main clause เกี่ยวกั บระยะเวลาให้ใช้ present simple และ clause หลั ง since
่ า้ ขอ
                          ให้ใช้ past simple เชน

                           - It is (seems) a long time since our last holiday.
                           - It is eight years since I left university.
                           - It seems a long time since he left me.
                           - It is two weeks since I wrote to my boyfriend.
                           - How long is it since you moved into your new house?

      2. ใชก ้ ลา่ วถึงเหตุการณ์ท่ีเพิ่งกระทำเสร็จสิน


้ ใหมๆ่ จะมีคำวา่ just , recently (=lately ) = (not long ago) และ
           lately ใชก ้ ั บประโยคคำถามและปฏิเสธ
          - Have you finished your assignment?
          - Yes, I have just finished it.
         - The results have just been announced.
         - He has recently got married.
         - Have you been there lately?

     3. ใชก ้ ั บคำวา่ yet และ already


          yet (ยัง) ใชก ้ ั บ Question , Negative Answer และ Negative Statement
          already (เรี ยบร้อยแลว้ ) ใชก ้ ั บ Affirmative Statement และ Affirmative Answer
           - We have not yet read that book. (Neg. St.)
           - Has he come back yet ? (Question)
           - No, he has not come back yet. (Neg. Ans.)
           - Yes, he has already come back.
           - Yes, he has come back already.
      ****    already เมื่อเป็ นการแสดงความประหลาดใจของผูพ ้ ูดจะใชใ้ นประโยคคำถาม
           - Have you finished your report already?

Question(คำถาม) Affirmative(บอกเลา่ ) Negative(ปฏิเสธ)


- just -
yet - yet
already already -

       4. ใชก ้ ลา่ วถึงเหตุการณ์ในอดีตและยั งไมจ่ บในขณะที่พูด จะมีคำวา่ ever , never


          ever ใชก ้ ั บ Question
          never ใชก ้ ั บ Negative Statement และ Negative Answer
          - Have you ever been to America?       (Question)
          - No, I have never been there.       (Neg. Ans.)
          - Yes, I have been there .    
          - I have never palyed ice-skating. (Neg, St.)

      5.   ใชก ้ ลา่ วถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต แตไ่ มไ่ ด้บง่ เวลาที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน จะมีคำวา่ up to the present time ,
             until now , so far , so far this month , at last,
            - Up to the present time we have had no news from John.
            - I have received no answer from him so far.
            - He has finished his report at last.
     
       6. ใชก ้ ลา่ วถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดซ ้ำซากหลาย ๆ ครั ง้ จะมีคำวา่ many times, several times , over and over
          - I have been to Hua-Hib many times.
          - She has seen "Jurassic Park" several times.
          - We have studied Tenses over and over.
        
       7. ใชก ้ ลา่ วถึงเหตุการณ์ในอดีตที่สน ้ิ สุดลงแลว้ แตเ่ กี่ยวเนื่ องกั บเหตุการณ์หนึ่ งซึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันหรื ออนาคต
           - Janet has bought a car so that she will have transportation to work.
           - He has studied all day so that he can go to the dance tonight.

       8. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในชว่ งระยะเวลาหนึ่ ง ซึ่งยังไมส ้ิ สุด จะมีคำวา่ this month , this year
่ น
          - Have you had a holiday this year?
          - You have done a lot of work this morning.
          - I have read two books this week.
      9. ใชใ้ นบทสนทนา จดหมาย รายงาน หนั งสือพิมพ์
         Conversation --- I have lost my keys. Have you seen them? Yes, I have seen them.
                                          Yes, I saw them yesterday. (ถา้ มีเวลาบอก ใช้ past simple)
         Letters - -- Dear James,
                             I'm sorry that I haven't written to you for such a long time but I have been
                            very busy working for an examination.
ชว่ งนี้ ) , never (ไมเ่ คย) ,
ime (จนถึงปัจจุบัน) ,

วา่ since และ for อยูด่ ้วย

าตลอดเดือนที่แลว้ ),

ause หลั ง since

long ago) และ


he present time ,

จุบันหรื ออนาคต
กลับไปยังหน้าเดิม

The Present Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง :    S + have, has + been + Ving

หลักการใช้

                  1. ใชก ้ ั บเหตุหารณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีตและดำเนิ นเรื่ อยมาจนถึงปัจจุบัน และยังคงดำเนิ นตอ่ ไป ใชก้ ั บคำวา่


                       สว่ นมากมักจะใชก ้ ั บ verb ที่มีความหมายเป็ นการกระทำที่นาน (long action) เชน ่ learn , lie , stay , sit ,
                       stand , study , sleep, rest , read , work , wait , play , etc. ตา่ งกับ present perfect
                        ก็ตรงที่ใชเ้ น้นการกระทำที่ตอ่ เนื่ องกั น และอาจจะดำเนิ นตอ่ ไปในอนาคต
                               - We have been living here since 1987.
                                  (= We came here in the past and we are still living here now.)
                               - She's been waiting for a long time.
                                   (= She's still waiting now.)
                               - I've been studying English for eight years.
                                   ( = She's still studying English now.)
                               - James has been painting that door since three o'clock and he hasn't finished it yet.
                   (หมายเหตุ - เหตุการณ์ ทังหลายเหล้ า่ นี้ ยังไมเ่ สร็จสิน
้ ลง)

                    2. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ซ่ึงไดเ้ กิดขึ้นและผา่ นพน


้ ไปแลว้ แตย่ ั งคงทิ้งร่องรอยใหเ้ ห็นไดใ้ นขณะที่พูด เชน

                               - The workmen have been digging up the raod and now the traffic cannot pass.
                               - What have you been eating? Your lips and chin are purple.
                               - We have been driving along muddy roads and now the car is dirty.
                               - He has been drinking and can't walk straight .
                               - He has been studying all night and has fallen aslep in class.
อไป ใชก ้ ั บคำวา่ since และ for
earn , lie , stay , sit ,

sn't finished it yet.


กลับไปยังหน้าเดิม

The Past Simple Tense

โครงสร้าง :    S + V2

หลักการใช้

       1. ใชก ้ ั บการกระทำที่เกิดขึ้นและสิน ้ สุดลงแลว้ ในอดีต ซึ่งจะมีคำที่บอกเวลาในอดีตกำกับไวอ้ ยา่ งชั ดเจน ดังนี้ คือ
            yesterday (เมื่อวานนี้ ) , last night (week/month/ year/..etc.)(...ที่แลว้ ) , at that time (ในตอนนัน ้ ),
           formerly (เมื่อกอ ่ น) , in the past (ในอดี ต ) ,  just now ่
(เมื อสั ก ครู ่ น้ ี ) , ago (ที่ แลว้ ), once (ครั ้
ง ่
หนึ ง),
           in the old days (ในสมั ยกอ ่ น) , the day before yesterday (เมื ่ อวานซื น ) , the previous day
           (วั นกอ ่ น),  in those days (ในสมั ยนั น ้ ) , the other day (วั นกอ ่ น) , a few minutes ago

           ( 2-3 นาทีทีผา่ นมา), in 1990 , etc...
            - They came to see me last Thursday.
            - Two days ago I asked you to do the report.
            - I didn't go to school yesterday.
            - Did you learn French last year?

      2. ใชก ่ ั จจุบันไมเ่ กิดขึ้นแลว้ เชน


้ ั บการกระทำอันเป็ นนิ สัยหรื อเคยปฏิบัติมาในอดีต แตป ่
           - John lived in Manchester when he was young.
               (He doesn't live there now and he is no longer young. A completed action and
               a completed state)
           - In the old days we could travel all over Bangkok by boat.
           - Did your father smoke when he was young?
           - No, he didn't.

      3. ใชก ้ ั บคำวา่ used to ซึ่งแสดงถึงการกระทำอั นเป็ นนิ สัย หรื อเคยปฏิบัติมาแลว้ ในอดีต และในปัจจุบัน
           การกระทำอั นนั น ้ มิได้เกิดขึ้นอีก
                       used to + V1 (= เคยมาแลว้ ในอดีต) เชน ่
             - Mr. Smith used to teach in Japan. (But now he teaches in Thailand.)
             - In the past people used to travel on foot much more often.
             - You used to live in that house , didn't you?

       หมายเหตุ--- ประโยคที่มีคำวา่ always, sometimes , often , usually , every day , etc...อาจจะเป็ น


้ งมีคำที่บอกเวลาในอดีตกำกับไวด
                            present หรื อ past ก็ได้ ถา้ เป็ น pasy จะตอ ้ ้วย เชน

                              - We usually learned English six hours a weeks when we were in M.3.
                              - She went to school every day last week.

      4. ใชก ้ ั บการกระทำในอดีต แสดงลำดั บของความตอ่ เนื่ องของเหตุการณ์ เชน



                 - I opened my bag , took out some money and gave it to my brother.
้ ั บการกระทำที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กั น เชน
                      หรื อใชก ่
                 - He took a bath and listened to the 6 o'clock news.

      5. ใชก ้ ั บ clause หลั งสำนวน I would rather...... (ฉั นอยากจะ...) , It's time ...... (ถึงเวลาแลว้ ),
           It's about time ........(ถึงเวลาแลว้ ) เชน

                - I would rather you did your homework.
                - It's time the children went to bed.
งชั ดเจน ดังนี้ คือ
กลับไปยังหน้าเดิม

The Past Continuous Tense

โครงสร้าง :    S + was, were + Ving

I , He , She walking
was
John running.
at eleven o'clock yesterday.
We, You , They , swimming.
were
The boys sleeping

หลักการใช้

       1. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ท่ีกำลั งเกิดขึ้นในอดีตในเวลาที่บง่ ไวช้ ั ดเจน เชน



                - They were learning English at eleven o'clock yesterday.
                - At nine o'clock last night we were watching television.

        2. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ท่ีกำลั งดำเนิ นอยูเ่ ป็ นเวลานานในเวลาเดียวกั นในอดี ซึ่งจะใช้ past continuous

              กั บทั งสองเหตุ การณ์นัน้ เชน

               - The students were thinking about their lunch while the teacher was explaining
                  new words.
                         (Two long actions happening at the same time in the past.)
               - She was singing as I was sweeping the floor.

       3. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต เหตุการณ์หนึ่ งเกิดขึ้นและกำลังดำเนิ นอยู ่ และมีอีกเหตุการณ์หนึ่ ง


            ซึ่งเป็ นเหตุการณ์สันๆ ้ เขา้ มาแทรก (The first action was happening when the second ,
            shorter action happened.)
            เหตุการณ์ท่ีเกิดกอ ่ นและกำลั งดำเนิ นอยู ่ ใช้ past continuous
้ ่
            เหตุการณ์สันๆ ทีเขา้ มาแทรก ใช้ past simple
               - The student interrupted her while she was explaining how to use the machine.
                    (นั กเรี ยนพูดสอดแทรกเธอ ในขณะที่เธอกำลั งอธิบายถึงวิธีการใชเ่ ครื่ องจั กร)
               - When I came home , my mother was talking on the telephone.
               - While/As he was walking past the building , he heard a scream.

           หมายเหตุ --- Clause ที่ตามหลัง when (เมื่อ) มักใช้ past simple สว่ น clause ที่ตามหลัง while (as) (ในขณะที่
                                มักใช้ past continuous แตถ ้
่ า้ เหตุการณ์ทังสองเหตุ ้ เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน หรื อเกือบขณะเดียวกัน
การณ์นัน

                                ก็ให้ใช้ past simple ทังสองเหตุ การณ์ เชน

                                - They left the hall as I entered it.
    
       4. ใชก ้ ั บการกระทำที่เกิดขึ้นซ ้ำซากในอดีต ในเวลาที่บง่ ไวช้ ั ดเจน
               - Last year he was taking paino lessons every day.
               - We were visiting my parents every evening while we were in Bangkok.

            หมายเหตุ --- รู ปประโยคที่ใช้ past continuous ในขอ ้ 4 นี้ มีความหมายเหมือนกั บรู ปประโยคที่ใช้ past simple
                                 และเรานิ ยมใชก
้ ั บ past simple มากกว า่
ven o'clock yesterday.

past continuous

มีอีกเหตุการณ์หนึ่ ง

while (as) (ในขณะที่)


ดียวกัน หรื อเกือบขณะเดียวกัน

ยคที่ใช้ past simple


กลับไปยังหน้าเดิม

The Past Perfect Tense

โครงสร้าง :    S + had + V3

I , He , She, Jim gone out before John came.


You , We , They, had finished reading when Bill came in.
Tom and Mary left when Helen reached home.

หลักการใช้

      1. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นและสิน


้ สุดลงแลว้ ในอดีต เหตุการณ์หนึ่ งเกิดขึ้นกอ ่ นอีกเหตุการณ์หนึ่ ง
              เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นกอ่ น ใช้ Past Perfect
              เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นหลั ง ใช้ Past Simple
              และมั กจะเชื่อมดว้ ยคำวา่ when , before , after , until , as soon as , เชน ่
                 - He had written to her four times when he got her reply.
                        (ใช้ past perfect เพื่อแสดงให้เห็นวา่ เขาเขียนถึงเธอ 4 ครั ง้ กอ
่ นที่เขาได้รับคำตอบจากเธอ)

       2. ใชก ้ ั บคำวา่ by the time


            By the time + Past simple , Past Perfect
                 - By the time the sun set , we had left school.
                 - By the time the children went to bed , they had already finished their homework.

      3. ใชห ้ ลังคำวา่ that ในประโยค Indirect Speech ซึ่งเปลี่ยนมาจากประโยค Direct Speech เชน

                 - He told me that they had left about an hour before.
                 - They said that they had done the report.

       4. ใชก ้ ั บ no sooner ................than... (ทั นทีท่ี..........ก็....)


                     Hardly ....................when ....(ทั นทีท่ี..........ก็....)
                     Scarcely ............when .......(ทั นทีท่ี..........ก็....)
            
             no sooner than
             Subject had hardly V3 when Subject
             scarcely when
                   
                     - They had no sooner finished their work than they went out.
                     - They had scarcely left the house when the letter came.
   
กเหตุการณ์หนึ่ ง

Past Simple
กลับไปยังหน้าเดิม

The Past Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง :    S + had been + Ving

หลักการใช้

       1. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นสองเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์หนึ่ งเกิดขึ้นกอ ่ นและกำลังดำเนิ นอยูเ่ ป็ นเวลาตอ่ เนื่ องกัน
่ นที่จะมีเหตุการณ์หนึ่ งเกิดขึ้น ซึ่งก็เหมือนกับ Past Perfect นั่นเอง แตต
            กอ ่ า่ งกับ Past Perfect ตรงที่
           เน้นถึงอาการที่ไดดำ้ เนิ น ตอ่ ่
เนื องกั นไปเท า
่ นั น้ เช น

          - We had been discussing the matter for two and a half hours when he arrived.
                      (แสดงให้เห็นถึงการอภิปรายที่เริ่ มตน ้ กอ่ นที่เขาจะมาถึง และบางที่จะดำเนิ นตอ่ ไปอีก)
          - When he came , she had been waiting for half an hour.
          - She had been living in Phrae for ten years before she moved to Lampang.

             หมายเหตุ -- กริ ยาบางตั วเทา่ นั น้ ที่ใชร้ ู ป Perfect Continuous ได้ เชน ่ wait , work , live , lie ,
่ ่
                                sleep,go, play , talk , sit , etc....ซึงเป็ นกริ ยาทีแสดงอาการได้นานๆ (long action)

   2. ใชแ ้ สดงการกระทำที่เป็ นอดีต แตป


่ รากฎผลให้เห็นในเวลาตอ่ มา เชน

          - Mary was dark because she had been sunbathing.
          - I was tired because I had been driving all day.
ยูเ่ ป็ นเวลาตอ่ เนื่ องกัน
กลับไปยังหน้าเดิม

The Future Simple Tense

โครงสร้าง :    S + will, shall + V1

I , We shall play football this evening.


You , He, She , It eat some fruit.
will
They , Mary go to the concert tonight.

หลักการใช้

      1. ใชเ้ มื่อจะมีการกระทำอยา่ งหนึ่ งเกิดขึ้นในอนาคต shall ใชก


้ ั บบุรุษที่ 1 (I , We) สว่ น will ใชก
้ ั บบุรุษที่ 2, 3
            (You , he , they , etc..) และคำนามทั ่วไป (Jane , Tom , John and Mary, etc..) แตใ่ นปัจจุบัน
            เราใช้ will ได้กับทุกบุรุษสรรพนาม
            คำวิเศษณ์ท่ีบอกเวลา (Adverbs of time) สำหรั บการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มีดังนี้
            soon , shortly , in a short time , in a moment , in a while , in a week's time ,
            in two days' time , in the future , in a few minutes (days , weeks , months, etc..)
            tonight , tomorrow , next week (month , year, Monday, etc..) later (on) = afterwards ,
            from now on (ตังแต ้ เ่ วลานี้ เป็ นตน
้ ไป)
            - The play will begin in ten minutes' time.
            - The test tomorrow will be on everything in the book from Text 15 to Text 20.
            - We will finish "The Future Tense" next Friday.
            - I will try my best from now on.

       2. ประโยคแสดงอนาคตที่มีกริ ยา 2 ตัว ให้ใช้ future simple กับกริ ยาเพียวตัวเดียวตัวหนึ่ ง ใช้


            present simple หรื อ present perfect กริ ยาที่ใชร้ ู ป future simple คือ คำกริ ยาซึ่งอยูห
่ น้าคำเชื่อม
            คำเชื่อมที่พบมาก ไดแก
้ ่ when , until , as soon as , before , after , the moment (that) ,
            by the time that , now that , unless

if , unless, when, until,


Present Simple
as soon as, before , after ,
The Future Simple
now that , the moment that,
Present Perfect
by the time that

                 - We will go if we have time.


                 - When they get here, you 'll see how tired they are.
                 - They cannot leave until they do(have done) their work.
                 - He will visit you after he has had something to eat.
                 - Now that you have won the lottery , what are you going to do?
                 - I'll wait until he comes.
                (คำ after , now that , when (ในความหมายของ after) นิ ยมใชก
้ ั บ Present Perfect)

       3. การกระทำที่มีการตั ดสินใจที่จะทำหลั งการถามเสร็จสิน ้ โดยไมไ่ ดม


้ ีการวางแผนมากอ
่ นลว่ งหน้า
               - John : Can anybody help me , please?
                  Helen : Yes, I'll help you. (มีการตั ดสินใจวา่ จะชว่ ยหลั งจากที่ John ถาม)
               - Tom : You know today is Mary's birthday?
                  John : Oh really? I'll buy her a present.  (John จะซื้อของขวัญให้ Mary
                  หลังจากเพิ่งรู้ จาก Tom วา่ วันนี้ เป็ นวันเกิดของ Mary)
         
          "The Going to " Future
                           S + is/am / are + going to + V1

               หลักการใช้ to be going to

                a) ใชแ ้ ทน will หรื อ shall ที่แสดงถึงการกระทำในอนาคต เมื่อกลา่ วถึงแผนการณ์ (plans)


                      หรื อความตังใจ ้ (intentions) หรื อสิง่ ที่ได้ตัดสินใจที่จะทำในอนาคต
                         - Are you going to meet your friends at the airport?

                           (เป็ นการตังใจที ่ จะไปพบ)
                         - He says he is going to get up very early in the future.

                            (เขาตั งใจที ่ จะตื่นเชา้ ในอนาคต)  
                         - He is going to be a doctor. (ความตั งใจ) ้
                         - They are going to perform a play at the end of next term. (แผนการณ์)

                 b) ใชก ้ ั บเหตุการณ์ท่ีคิดวา่ จะเกิดขึ้นแน่ๆ (certain happen)


                         - Be careful! You're going to fall.
                         - Look at that black clouds, it's going to rain.
                         - One day he's going to regret at being so lazy.

                (หมายเหตุ --- "going to" ที่แสดงอนาคตนี้ มักนิ ยมใชภ


้ าษาพูด (spoken English) มากกวา่ ภาษาเขียน
                                      (written English)     
กกวา่ ภาษาเขียน
กลับไปยังหน้าเดิม

The Future Continuous Tense

โครงสร้าง :    S + will, shall + be + Ving

working
I, We shall running
be walking at this time tomorrow.
You , He , She , It learning
will
They , Samuel

หลั กการใช้
             1. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ท่ีจะเกิดขึ้นและจะกำลังเกิดขึ้นอยูใ่ นเวลาที่บง่ ไวช้ ั ดเจนในอนาคต เชน

                      - We'll be driving to the country at half past nine tomorrow.
                           (เราจะกำลังขับรถไปชนบทตอน 9.30 วันพรุ่ งนี้ )
                      - He'll be living in Australia this time next year.
                      - They'll be waiting at the airport when you arrive.
                      - Your parents will be thinking of you while you are taking the exam.

             2. ใชก ้ ั บเหตุการณ์ท่ีไดต


้ ั ดสินใจแน่นอนวา่ จะทำเชน ้ ในอนาคต เชน
่ นั น ่
                     - He'll be having extra lessons twice a week next term.
                     -  You'll be wearing warm clothes every day when you live in England.

              3. ใชเ้ มื่อตอ


้ งการถามหรื อขอร้อง (polite questions or requests)
                     - Will you be staying here longer?
                     - Will you be coming to see me soon?
                     - Will you be paying me a visit this week?
his time tomorrow.
กลับไปยังหน้าเดิม

The Future Perfect Tense

โครงสร้าง :    S + will, shall + have + V3

หลักการใช้

       ใชเ้ พื่อแสดงการกระทำหรื อเหตุการณ์ซ่ึงจะได้สน ้ิ สุดลง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ งในอนาคต โดยมีเวลา


       บอกไวอ้ ยา่ งชั ดเจนวา่ เมื่อถึงเวลานัน ้ แลว้ เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นจะสำเร็จเรี ยบร้อย แมว้ า่ ในขณะที่พูด
        เหตุการณ์นัน ้ จะเกิดขึ้นแลว้ หรื อยังไมเ่ กิดก็ตาม มักใชก ้ ั บคำวา่ "by" เชน
่ by tomorrow ,
        by 5 o'clock , by next week , by 2005 , by the end of this month (year) ,
        by then , by the time
             - By the end of this year your new maid will have broken all
                your glasses.
                  (เมื่อถึงสิน
้ ปี นี้ คนใชค
้ นใหมข่ องเธอจะทำแก้วแตกทั งหมด ้ =All the glass will break
                    before the end of this year)
             - The meeting will have finished by six o'clcok.
                   (การประชุมจะเสร็จสิน ้ แลว้ เมื่อถึงเวลา 6 นาฬิกา = It may have started already
                    or it may not have started yet. But it will finish before six.)
             - You'll have done your homework when your parents arrive.
                   (เธอจะทำการบา้ นเสร็จแลว้ เมื่อพอ่ แมก ่ ลับมาถึงบา้ น = The homework will be
                   finished before their arrival.)
            - He'll have saved much by the time he has retired.
                   (เขาจะเก็บเงินได้มากแลว้ เมื่อถึงเวลาที่เขาเกษี ยณจากงาน)

           หมายเหตุ -- ขอ ้ ความใน time clause นั น้ จะตอ


้ งใช้ present simple หรื อ
                                present perfect จะใช้ future simple ไมไ่ ด้ เชน

         - When we reach America , we shall have sailed around the world.
         - She'll have written five books by the time she has finished this one.
กลับไปยังหน้าเดิม

The Future Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง :    S + will, shall + have been + Ving

หลักการใช้

        Tense นี้ มีวธิ ีใชเ้ หมือนกับ Future Perfect ตา่ งกันตรงที่วา่ เราใช้ Tense นี้ ก็เพื่อเน้นวา่ การกระทำได้ดำเนิ น
          ตอ่ เนื่ องกันไปเมื่อถึงเวลานัน ้ การกระทำนัน ้ ก็ยังคงดำเนิ นอยูแ่ ละจะดำเนิ นตอ่ ไปอีก เชน

                  - By 2005 we'll have been living in Lampang for ten years.
                        (เมื่อถึงปี 2005 เราจะอาศั ยอยูใ่ นลำปางครบ 10 ปี = We came to live in Lampang in 1995.
                         We shall probably continue living in Lampang after 2005.)

                   - When we finish M.6, we 'll have been studying English for twelve years.
                          (เมื่อเราจบชั น้ ม.6 เราจะเรี ยนภาษาอั งกฤษครบ 12 ปี = We studied English in the past and after we
                            finish M.6 we probably continue studying English.)

                   - It will have been raining for one hour if it doesn't stop by four o'clock.
                           (ฝนจะตกได้ครบ 1 ชั ่วโมง ถา้ มันยังไมห
่ ยุดตกภายใน 4 โมงนี้ = It started raining at three o'clock
                            and it probably continue raining after that.)
กระทำได้ดำเนิ น

n the past and after we

ning at three o'clock


กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 3: Say Hi – Basic greetings and shaking hands
วิธีการทั กทายกั บฝรั ่ งนั น ้ มีอยูห่ ลากหลาย เรามาลองดูประโยคอื่นๆนอกจากแค่ “Hello, how are you?” กั นดีกวา่
How is it going? เป็ นยั งไงบา้ ง?
How are you doing? คุณเป็ นยั งไงบา้ ง?
How is life? ชีวต ิ เป็ นยั งไงบา้ ง?
How is everything? ทุกอยา่ งกำลังดีอยูไ่ หม?
How do you do? คุณเป็ นยังไงบา้ ง
(Note: ประโยคนี้ มักใชก ้ ั นเฉพาะตอนที่เราทักทายทำความรู้ จักกับคนที่เราเจอเป็ นครัง้ แรกเทา่ นัน
้ นะครับ)
สว่ นนี่ ก็เป็ นประโยคที่เราสามารถใชต ้ อบกล ั บไปเวลามี คนมาทั กทาย นอกจากแค คำ
่ ยอดฮิ ตอย ่ I am fine thank you, and you?” ที่คนไทยมักใชก
า ง “ ่ ้ี
้ ั นอยูแ่ คน
Oh great, I am doing good. ฉันรู้ สก ึ ดีมากเลย
Very well thank you. ดีมากเลย ขอบคุณ
Yeah, I am ok. ฉันรู้ สก ึ โอเค
So so. ก็เฉยๆ
Not bad. ไมเ่ ลว
I am alright. ฉั นไมเ่ ป็ นไร
Not very good. ไมค ่ อ่ ยดีเทา่ ไหร่
I am sick. ฉันรู้ สก ึ ไมค ่ อ่ ยสบาย
I am tired. ฉันรู้ สก ึ เหนื่ อย
I am busy. ฉันยุง่ อยู ่
อยา่ ลืมเคล็ดลับในการจับมือ shake hand ที่ดีนะครับ
Use a firm handshake จับมือให้มีน้ำหนัก - อยา่ ให้ปวกเปี ยกเป็ น Dead Fish Hand!
Maintain eye contact สบตาเขา้ ไว้ ให้ดูเป็ นมิตรและมีความมั่นใจ

Chris Delivery Episode 3: Go Out – Learning English at MK Suki


Push ผลั ก
Pull ดึง
(Note: trick งา่ ยๆที่จะชว่ ยจำก็ให้นึกถึง “ภูกระดึง” – “Pull ก็ ดึง”!!)
Morning glory ผักบุง้
Waitress พนักงานเสิร์ฟหญิง
Mango juice น้ำมะมว่ ง
Vegetables ผั ก
Shrimp wontons เกี๊ยวกุ้ง
Jelly fish แมงกะพรุ น
Pig’s liver ตั บหมู
(Note: อยา่ จำสลับกับ river ที่แปลวา่ แมน ่ ้ำนะครับ)
Meat balls ลูกชิ้น
Fish balls ลูกชิ้นปลา
Crab balls ลูกชิ้นปู
Shrimp balls ลูกชิ้นกุ้ง
Pork balls ลูกชิ้นหมู
(Note: อยา่ ใชคำ
้ วา่ Pig’s balls นะครับ เพราะมันแปลวา่ ลูกอัณฑะของหมู!)
Beef balls ลูกชิ้นวั ว
(Note: อยา่ ใชคำ้ วา่ Cow’s balls นะครั บ เพราะมั นก็แปลวา่ ลูกอั ณฑะของวั วเหมือนกั น!)
Tofu เตา้ หู้
Roasted duck เป็ ดยา่ ง
Bun ซาลาเปา

Chris Delivery Episode 3: Speak Out – Fashion photo shoot with Ploy Sherman
Conversations:
Welcome to my studio. ยินดีตอ ้ นรับสูโ่ รงถา่ ยของผม
What is your name? คุณชื่ออะไรครับ
I am Sherman, but you can call me Ploy. ฉั นชื่อเชอมาลคะ่ แตค ่ ุณเรี ยกฉั นวา่ พลอยก็ได้
Nice to meet you. ยินดีท่ีไดร้ ู้ จัก
What do you do now? ตอนนี้ คุณทำงานอะไรอยู ่
I am an actress, a model, an MC and used to be a DJ. ฉั นเป็ นนั กแสดงหญิง นางแบบ พิธีกร แลว้ ก็เคยเป็ น ดีเจมากอ ่ น
I do all that she does. ที่เธอทำฉันก็ทำเหมือนกัน
Are you a model? คุณเป็ นนางแบบหรื อเปลา่
I am a supper model. ฉันเป็ นสุดยอดนางแบบ
I heard you have been to many countries. ผมไดย้ ินมาวา่ คุณเคยไปมาหลายประเทศแลว้
Yes I have been to New York, Hawaii, Maui, India and around here. ใช่ ฉันเคยไปที่ นิ วยอร์ก ฮาวาย เมาอิ อินเดียแลว้ ก็ประเทศแถวๆนี้ คะ่
Yes, yes me too! ใชๆ่ ฉันด้วย!
I have been to New York. ฉันเคยไปที่ นิ วยอร์ก
So you have just been in Thailand. งั นคุ ้ ณก็เคยอยูแ่ คท ่ ่ีประเทศไทย
So are you ready to do photo shoots? คุณพร้อมที่จะถา่ ยแบบหรื อยั ง?
Today we are going to do four sets. วั นนี้ เราจะถา่ ยกั นสี่ชุด
You have to behave yourself. คุณอยา่ ซนให้มากนั ก
You understand? คุณเขา้ ใจใชไ่ หม?
But before we start, we are going to get you dressed up. แตก ่ อ่ นที่เราจะเริ่ ม เรามาหาชุดให้คุณใสก
่ ั นดีกวา่
You have to meet our stylist. คุณตอ ้ งพบช า
่ งแต ง
่ ตั ว ของเรา
I have the best stylist in town. ผมมีชา่ งแตง่ ตัวที่เด็ดสุดแลว้ ในเมืองเลย
You are going to make them look beautiful. คุณชว่ ยทำให้พวกเธอสวยที
Today, I will make you look beautiful. วันนี้ ฉันจะทำให้พวกคุณสวยสุดๆไปเลย
So you guys know each other now. พวกคุณรู้ จักกันดีแลว้
So, first of all what would you like to wear today? งั นอย ้ า่ งแรกเลย วั นนี้ คุณอยากใสช่ ุดอะไร?
I think we are going to start with a dress first. ฉั นคิดวา่ เราน่าจะเริ่ มดว้ ยชุดกระโปรงกอ ่ นดีกวา่

So can we have a beautiful dress? งั นขอชุดกระโปรงสวยๆหน่อย
So what would you like to wear? งั นคุ ้ ณอยากจะใสช่ ุดอะไรดี
I would like to wear a brown sack. ชั นขอใส ้ ถ่ ุงกระสอบสีน้ำตาล
Are you sure? แน่ใจหรื อ?
Get her a brown sack. เอาถุงกระสอบสีน้ำตาลมาใหเ้ ธอหน่อย
Moment please. รอซั กครู ่
This is good for you. อั นนี้ เหมาะกั บเธอแลว้
So girls, could you please go to the fitting room and we will come back to take some pictures. งันสาวๆ ้ เชิญพวกคุณไปที่หอ ้ งเสื้อผา้ แลว้ เดี๋ยวเราจ
ถา่ ยแบบกัน
That’s a beautiful dress! ชุดนัน ้ สวยมากเลย!
I meant the white one. ผมหมายถึงชุดขาว
Can you please take a seat? ชว่ ยกรุ ณานั่งลงด้วยครับ
And we are going to start taking the photo shoot. เดี๋ยวเราจะเริ่ มถา่ ยแบบกัน
So if you are ready, start posing and I am going to start shooting. งันถ ้ า้ พวกคุณพร้อมกันแลว้ ก็เตรี ยมวางทา่ ได้แลว้ ผมก็จะเริ่ มถา่ ย
Move to the back เขยิบไปขา้ งหลัง
To the Right ไปทางขวาหน่อย
Stand there. ยืนอยูต ้
่ รงนั น
Can you sit down please? ชว่ ยกรุ ณานั ่ งลงด้วยครั บ
Lie down นอนลง
Show me your hand. โผลม ่ ือให้ผมเห็นหน่อย
I want to make it more casual. ผมอยากจะใหม ้ ั นดูกันเองกวา่ นี้
I think I prefer spaghetti straps and a mini skirt. ฉันขอเสื้อสายเดี่ยวกับกระโปรงสั นแล ้ ว้ กันคะ่

What would you like us to wear? งันคุณอยากให้พวกเราใสช่ ุดอะไรดีคะ
How about jeans? งันยี้ นสเ์ ป็ นยังไง?
What kind of jeans? ยีนสแ์ บบไหน?
But, for you I think you should wear. แตสำ ่ หรับคุณผมวา่ คุณน่าจะใส ่
Because you are very tall. เพราะวา่ คุณเป็ นคนตั วสูง
May be, just jean pants. น่าจะลองใสก ่ างเกงยีนสด์ ูแลว้ กั น
I got it. ฉั นเขา้ ใจแลว้
I think the jeans are waiting for you in there. ในนั น ้ มียีนสข์ องคุณอยู ่
So I will see you in a few minutes. งันเดี ้ ๋ ยวผมเจอคุณในอีกสองสามนาที
I bring my own. ฉันเอาของฉันมาเองเลย
Do you like my jeans? ชอบยีนสข์ องฉันไหมคะ?
What are you wearing? คุณใสอ่ ะไรของคุณ?
No this is not jeans. ไมน ่ ่ี ไมใ่ ชย่ ีนสซ์ ั กหน่อย
Ok, let the professional show you. เดี๋ยวให้มืออาชีพสาธิตให้คุณดูดีกวา่

Vocabularies:
Photographer ชา่ งถา่ ยภาพ
Photo shoot การถา่ ยแบบ

Note: ใชคำ
้ วา่ “set” of photo shoot

Actress นักแสดงหญิง
Model นางแบบ
Supper อาหารมื้อเย็น
MC พิธีกร

(Note: ยอ่ มาจากคำวา่ Master of Ceremony)

DJ ดีเจ

(Note: ยอ่ มาจากคำวา่ Disk Jockey)

Super model สุดยอดนางแบบ


Stylist ชา่ งแตง่ ตั ว
Beautiful สวยงาม
Fool โงเ่ ขลา
Fishing ตกปลา
Fitting Room หอ ้ งแตง่ ตัว
Sack ถุงกระสอบ

(Note: ไมใ่ ชช่ ุด sack นะครับ!)

Dress ชุดกระโปรง
้ า่
Pose การตังท
Post ไปรษณี ย ์
Lie down นอนลง
Behave yourself อยา่ ซนให้มากนั ก & การทำตั วดีๆให้เหมาะการ
Casual สบายๆ, กั นเอง & ลำลอง
Spaghetti straps เสื้อสายเดี่ยว
Mini skirt กระโปรงสั น้
Mini เล็ก
Mega ใหญม ่ หึมา
Pants (British English) กางเกงใน (อังกฤษ)
Pants (American English) กางเกงขายาว (อเมริ กัน)
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 4: Say Hi – พูดคุยกับฝรั่งในรู ปแบบของ conversation

What’s your name?


คุณชื่ออะไรครับ

How are you?


สบายดีไหมครับ

Where do you come from?


มาจากไหนครับ

Where are you going?


คุณกำลั งจะไปไหนครั บ

นี่ มักจะเป็ น 4 ประโยคที่คนไทยมักจะใชก ้ ั นบอ่ ยมาก และใชก ่ ้ี ในการพูดคุยกับฝรั่ง! วันนี้ เราจะมาลองดูประโยคสนทนาอื่นๆที่เรา


้ ั นอยูแ่ คน
จะใชค ุ
้ ัย กบฝร ่
ั ้ง ไดโ ดยไมใ ห ฟ
่ ้ั งดู น่ า ่
เบื อ ยิ ่
ง ไปกว า น
่ ั ้
น ก็
ม ี ไมน่ ้ อยเลยที ่ การสนทนาของคนที่ไมค ่ อ่ ยจะคลอ่ งหรื อมีความกลา้
่ ่
เราลองมาดูตัวอยา่ ง ของบทสนทนาในรู ปแบบทีเหมือนกับ interview มากกวา่ ทีจะเป็ น real and engaging conversation

Can I have a volunteer please?


ขออาสาสมัคร 1 คนครับ

Where do you live?


่ ่ีไหนครั บ
คุณพั กอยูท

Sukhumvit.
สุขุมวิท

Where do you study?


คุณเรี ยนที่ไหนครับ

St. Theresa.
โรงเรี ยนเซนตเ์ ทเรซา่

How old are you now?


คุณอายุเทา่ ไหร่ครับ

Sixteen years old.


ิ หก
อายุสบ

What do you want to be in the future?


ในอนาคตคุณอยากเป็ นอะไรครั บ

Star
ดารา

You want to be a movie star.


คุณอยากเป็ นดารา

Very interesting…
น่าสนใจมาก…

การสนทนากั บฝรั ่ งหรื อคนตา่ งชาติท่ีดี ไมค ่ วรจะเป็ นการถามคำตอบคำ แตเ่ ราควรจะตอ ้ งใสร่ ายละเอียดหรื อเรื่ องราวในสิง่ ที่เราพูดบา้ งแล
ถามเคา้ กลั บเหมือนกั น อั นที่งา่ ยที่สุดที่เรามั กจะถามฝรั ่ งกลั บกั นอยูเ่ ป็ นประจำก็คือคำวา่
And you?
แลว้ คุณละ่

เทคนิ คที่ดีของการการเป็ นนักสนทนา ก็คือการเป็ นนักถามคำถามที่ดี ดังนัน


้ เวลาที่มีฝรั่งมาพูดคุยกับเราๆก็ควรจะมีคำถามงา่ ยๆที่เราจะใชถ

Chris Delivery Episode 4: Go Out – Shopping at Tesco Lotus

Shopping cart
้ ปปิ้ ง
รถเข็นชอ

Toys
ของเลน

Robot
หุน
่ ยนต์

Size
ของเสื้อผา้ ที่ขายกันตามห้างมักจะมีตัวอักษรที่บง่ บอกถึงขนาดของเสื้อผา้ ดังนี้ :

Small (S)
ขนาดเล็ก

Medium (M)
ขนาดกลาง

Large (L)
ขนาดใหญ่

Extra large (XL)


ขนาดใหญพ ่ ิเศษ
(Extra: บางที่โดยเฉพาะในตา่ งประเทศซึ่งมีชาวตา่ งชาติท่ีตัวใหญก
่ วา่ เรามากอาจมีถึงขนาด XXL หรื อ Extra extra large

Underwear

ชุดชั นใน
(Note: เคล็ดในการจำงา่ ยๆก็คือให้นึกถึง “under” ที่แปลวา่ ใต้ กั บคำวา่ “wear” ซึ่งแปลวา่ สวมใส ่ นึ กเป็ นคำเดียวกั นวา่ “อะไรที่ใสอ่ ยูข่

Boxer
นักมวย

Shorts
กางเกงขาสั น้

Boxer shorts
กางเกงในแบบขาสั น้
้ ั งมีอีกประเภทที่เป็ นแบบรัดรู ปกวา่ boxer shorts ที่มีช่ือเรี ยกของมันเองซึ่งก็คือ “briefs”
(Extra: กางเกงในขาสั นย

Durian
ทุเรี ยน

Tangerine
สม
้ เขียวหวาน
Tissue roll
กระดาษชำระแบบมว้ น

Roll back
การยอ้ นสูอ่ ดีต หรื อ การปรับราคาใหถ
้ ูกลงในภาษาการคา้ & promotion

Pork belly
หมูสามชั น้
(Note: ที่ใชคำ
้ วา่ “pork” แทนที่จะใชคำ ้ หมายถึงแคเ่ นื้ อของหมู สว่ น pig นั น
้ วา่ “pig” ก็เพราะวา่ pork นั น ้ ก็คือหมูทังตั
้ วนะครั บ

Belly
พุง

์ ้งิ ทา้ ยนิ ดนึ ง:


แอบเก็บตกแถมศั พทท

Imitation crab meat


ปูอัด
้ หมายความวา่ การลอกเลียนหรื อการทำให้เหมือน)
(Note: imitation นัน

Guava
ฝรั่ง

Chris Delivery Episode 4: Speak Out – Making Papaya Salad with ยิง่ ยง ยอดบั วงาม

Who’s that?
เรี ยกใครครับ
่ ั บสถานการณ์หรื อ context ที่ใช)้
(Note: หมายความวา่ “นั ่ นใครครั บ” ไดเ้ หมือนกั นขึ้นอยูก

He’s the owner of the restaurant.


เขาเป็ นเจา้ ของร้านอาหาร

Where are you?


่ ่ีไหน
อยูท

I miss you so much.


คิดถึงจั งเลย

Where have you been?


ไปอยูไ่ หนมา

Long time no see. I miss you too.



ไมเ่ จอกั นตั งนาน ฉั นก็คิดถึงเธอเหมือนกั น

Who’s that?
นั่นใครครับ

My farang friend. Khun Chris.


นี่ เพื่อนฝรั่งของฉัน คุณคริ ส

This is khun Yingyong, my cousin.


นี่ คุณยิง่ ยง ลูกพี่ลูกน้องของฉั น
่ ่ีจริ งแลว้ แปลวา่ “ลูกพี่ลูกน้อง” นะครั บ)
(Note: คำวา่ “cousin” มั กถูกเขา้ ใจวา่ แปลวา่ ญาติแตท
Relative
ญาติ

You are relatives.


คุณเป็ นญาติกัน

Today I want to come and try some E-san food.


วันนี้ ผมจะมาลองกินอาหารอีสาน
้ ฝรั ่ งมั กจะเรี ยกวา่ eastern หรื อ north eastern อยา่ งในบา้ นเราซึ่งแปลวา่ “ตะวั นออกเฉี ยงเหนื อ” ซึ่งเราสามารถใ
(Extra: คำวา่ อีสานนั น

Sticky rice
ขา้ วเหนี ยว

We have more food.


เรายั งมีอาหารอยา่ งอื่นๆอีก

I can make some “papaya pok-pok” for you.


ผมทำปาปายา่ ป๊อกๆให้คุณดูได้นะ

I would like to see.


ผมอยากจะดูแลว้ ครับ

What do you call “ครก” in English?


“ครก” ภาษาอั งกฤษเรี ยกวา่ อะไร

We call this a mortar.


เรี ยกวา่ “mortar”
(Extra: mortar มีความหมายวา่ ปื นครกที่ใชย้ ิงลูกระเบิดไดเ้ หมือนกั น)

This is a pestle.
นี่ คือสาก

Why do you call this pok-pok?


ทำไมถึงเรี ยกวา่ ป๊อกๆ

I get it.
ผมเขา้ ใจแลว้

Spicy papaya salad


สม
้ ตำ
(Note: คำวา่ “ยำ” สามารถใชคำ
้ วา่ “salad” เรี ยกได้เหมือนกั น)

It makes the sound.


มั นทำใหเ้ กิดเสียง

Papaya
มะละกอ

Chop
สั บ

You are chopping the papaya.


คุณกำลั งสั บมะละกอ
You scrape it.
คุณขูดมั นออก

Scrape
ขูด

What are the ingredients?


แลว้ มีสว่ นผสมอะไรบา้ งครับ
(Note: ingredient = สว่ นผสม)

Garlic
กระเทียม

Chilli
พริ ก

Fish sauce
น้ำปลา

Lemon
มะนาวสีเหลือง

Lime
มะนาวสีเขียว

It smells really bad.


กลิ่นเหม็นมาก

Stinky
เหม็น

What do you call this in Thai?


ภาษาไทยเรี ยกมันวา่ อะไรครับ

Fermented fish
ปลาร้า
(Note: ferment = หมั ก / fermentation = การหมั ก)

Black crab
ปูดำ
้ ั บกั บคำวา่ “crap” ที่แปลวา่ อึเด็ดขาดนะครั บ!)
(Note: อยา่ ใชส

Fish sauce
น้ำปลา

We have fermented fish, papaya, and black crab.


เรามีปลาร้า มะละกอ ปูดำแลว้

I think you need to show me.


ผมวา่ คุณตอ
้ งทำใหผ
้ มดูแลว้ ละ่

At first you put some garlic in.



ขั นแรกใส ก
่ ระเทียมลงไป
Do you like spicy, medium or mild?
คุณชอบรสเผ็ดมาก ปานกลางหรื อรสออ่ นๆ

Spicy
เผ็ด
้ วา่ chilli ก็ได้ ซึ่งจริ งๆแลว้ คำวา่ spicy ก็หมายความวา่ “รสจัด” หรื อ “เครื่ องเทศเยอะ” ไดเ้ หมือนกัน เพราะคำวา่
(Extra: หรื ออาจใชคำ

Mild
รสออ่ น ไมเ่ ผ็ด

I prefer my papaya salad to be mild.


ผมขอรสสม ้ ตำแบบไมเ่ ผ็ดดีกวา่ ครั บ

You have to pound the chilli.


คุณตอ
้ งตำพริ ก
(Note: pound = การตำหรื อกระแทก)

And then what’s next?


เราตอ
้ งทำอะไรตอ่

Tomato
มะเขือเทศ
(Extra: Tomatoes = มะเขือเทศหลายๆอั น)

Vegetables
ผั ก

Long beans / String beans


ถั่วฝักยาว

Brown sugar / Palm sugar


น้ำตาลปี๊ บ

Can I try it now?


ขอชิมได้ไหมครับ

Use your hand to taste.


ใชม
้ ือชิมเลยครับ

How does it taste?


รสชาติเป็ นยั งไงครั บ

It’s too spicy and it’s salty.


เผ็ดเกินไป แลว้ ก็เค็มดว้ ย

Salty
เค็ม
่ งา่ ยๆให้นึกถึงคำวา่ “salt” ที่แปลวา่ เกลือครับ)
(Note: แคจำ

It’s salty but it’s not sour.


มันเค็มแตไ่ มเ่ ปรี้ ยว

Sour
เปรี้ ยว
Shower
อาบน้ำ

Put some more lime juice in.


ใสน
่ ้ำมะนาวลงไปอีกหน่อย
(Note: lime juice = น้ำมะนาวจากมะนาวเขียว / lemon juice = น้ำมะนาวจากมะนาวเหลือง)

Do you want me to try some more?


คุณอยากให้ผมชิมอีกหรื อ

I think I have diarrhea.


ผมวา่ ผมทอ้ งเสีย

Diarrhea
ทอ
้ งเสีย

Diary
บันทึกประจำวัน

Do you have a toilet?


ที่น่ี มีหอ
้ งน้ำไหม

Over there.
ทางนู ้ นครั บ
าจะมาลองดูประโยคสนทนาอื่นๆที่เราสามารถที่
ะคลอ่ งหรื อมีความกลา้
ngaging conversation กันดีกวา่ ครับ:

ยดหรื อเรื่ องราวในสิง่ ที่เราพูดบา้ งและที่สำคั ญก็ควรที่จะมีการ


เราๆก็ควรจะมีคำถามงา่ ยๆที่เราจะใชถ
้ ามเคา้ กลับบา้ ง เพื่อไมใ่ ห้

หรื อ Extra extra large แบบใหญย่ งิ่ ขึ้นไปอีก!)

นึ กเป็ นคำเดียวกั นวา่ “อะไรที่ใสอ่ ยูข่ า้ งใต”้ )

งก็คือ “briefs” หรื อ “boxer briefs” นั่นเองครับ)


้ ก็คือหมูทังตั
pig นั น ้ วนะครั บ)
ะวั นออกเฉี ยงเหนื อ” ซึ่งเราสามารถใชเ้ คล็ดในการจำงา่ ยๆโดยนึ กถึงความคลา้ ยของการออกเสียงคำวา่ “อีสาน” กั บ “อีสเทิ้น”)
เทศเยอะ” ไดเ้ หมือนกัน เพราะคำวา่ “spice” แปลวา่ เครื่ องเทศ ครับ)
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 5: Say Hi – Ping Pong Conversation

I used to be the Ping Pong champ of my school.


ผมเคยเป็ นแชมป์ปิ งปองของโรงเรี ยน

Do you know how to play Ping Pong?


คุณรู้ วธิ ีเลน
่ ปิ งปองไหม

Table Tennis
ปิ งปอง

่ ปิ งปองที่ตอ
การสนทนาภาษาอั งกฤษ ก็เหมือนกั บการเลน ้ งมีการตีตอบโตก ่ ลอดเวลาของทั ง้ 2 ฝ่าย จึงจะนั บได้วา่ เป็ นการสน
้ ลั บไปกลั บมาอยูต

What’s your name?


คุณชื่ออะไร

Where do you come from?


คุณมาจากไหน

How long have you been in Thailand?


คุณอยูเ่ มืองไทยมานานแคไ่ หนแลว้

What do you do now?


ตอนนี้ คุณทำงานอะไรอยู ่

Where do you live?


่ ่ีไหน
คุณพักอยูท

What do you like to do in your free time?


คุณชอบทำอะไรในเวลาวา่ ง

Do you like Thai food?


คุณชอบอาหารไทยไหม

What’s your favourite kind of food?


อาหารโปรดของคุณคืออะไร

Have you ever traveled in Thailand before?


คุณเคยมาเที่ยวเมืองไทยไหม

Where have you been?


คุณเคยไปไหนมาบา้ ง

What do you like about Thailand?


คุณชอบอะไรเกี่ยวกับเมืองไทย

What did you do last weekend?


์ ่ีผา่ นมาคุณทำอะไร
สุดสั ปดาหท
นี่ เป็ นตั วอยา่ ง 10 คำถามที่คุณสามารถนำไปใชใ้ นการสนทนาตีปิงปองกั บฝรั ่ งเพื่อให้การพูดคุยกั บเคา้ ได้

Let’s take a commercial break and see you soon


พักโฆษณา ซั กครู ่แลว้ กลับมาพบกันใหมค
่ รับ

Chris Delivery Episode 5: Go Out – An afternoon at Super Sports

Golf course
สนามกอลฟ ์
(Note: ไมใ่ ช่ golf field นะครั บ!)

Putt
การเคาะลูก

Slam dunk
การยัดลูกลงหว่ ง (อยา่ งแรง)

Shuttlecocks
ลูกขนไก่
(Extra: cock แปลวา่ ไกต ้ คือไกต
่ ั วผู ้ สว่ น chicken นัน ่ ั วเมียครับ)

Shuttle
สิง่ ที่ไปกลั บระหวา่ งสองจุด

Shuttle bus
รถบั สรั บสง่ ระหวา่ งจุด

Space shuttle
ยานอวกาศที่นั่งไปกลับได้
(Note: ตา่ งจาก space rocket ที่จะถูกยิงออกแคค
่ รัง้ เดียว ไปแลว้ ไปลับไมก
่ ลับมานะครับ)

Darts
ลูกดอก

Play darts
ปาเป้า

Aim
เล็ง

Bull’s eye
จุดกลางของเป้า

Goalkeeper
ผูร้ ั กษาประตู

Gloves
ถุงมือ

Goalkeeper’s gloves
ถุงมือผูร้ ั กษาประตู

Snooker
สนุ กเกอร์

Chalk
ชอลก

Cue
้ ่ีใชแ
ไมท ้ ทงสนุ กเกอร์

Treadmill
เครื่ องวิง่ ออกกำลั งกาย

่ fitness ที่ L.A. วา้ ย!! กับ บ๊วย เชษฐวุฒิ


Chris Delivery Episode 5: Speak Out – เลน

Gym / Fitness center


สถานที่ออกกำลัง
(Note: คนไทยมักเรี ยกกันแคว่ า่ fitness เฉยๆ ซึ่งจริ งๆแลว้ แปลวา่ “ความฟิ ต” เฉยๆนะครับ)

Have we met before?


เราเคยเจอกันมากอ
่ นหรื อเปลา่

I think we have. We meet every Friday.


เคยซิครั บ เราเจอกั นทุกวั นศุกร์

We have to meet the fitness instructor today.


วั นนี้ เราตอ
้ งมาพบ ครู สอนออกกำลั งกาย

We are in the same class.


เราเรี ยนห้องเดียวกั น

I think he is the fitness instructor.


ผมวา่ เขาเป็ นครู สอนออกกำลังกายนะ

Are you a foreigner?


คุณเป็ นชาวตา่ งชาติใชไ่ หม

Welcome to L.A. Why!! Fitness.


ขอตอ
้ นรับสูแ่ อลเอว๊ายฟิ ตเนส

I’ll introduce myself.


ผมขอแนะนำตั วเองนะครั บ

Can I have my hand back please?


ผมขอมือคืนด้วยครับ

We have weigh ourselves.


้ งชั ่งน้ำหนัก กัน
เราตอ
Step on the scales.
เหยียบขึ้นไปบนตาชั ่ง

Have you gained weight?


คุณอว้ นขึ้นหรื อเปลา่
(Note: นี่ เป็ นการทักที่สุภาพกวา่ การจะใชคำ
้ วา่ fatter เชน
่ “Have you gotten fatter?”)

You look darker.


คุณดูคล ้ำขึ้น
(Note: แทนที่จะใชคำ
้ วา่ blacker เชน
่ “You look blacker”)

This is your turn.


ตาคุณแลว้ ละ่

I have to weigh myself.


ผมตอ้ งชั ่งน้ำหนัก

Relax and be yourself.


ผอ่ นคลายและเป็ นตัวของตัวเองนะครับ

Can I get off now?


ลงไดห
้ รื อยัง

Stretching
การยืดเสน
้ ยืดสาย

Follow me.
ทำตามผมนะ

Left shoulder
ไหลซ่ ้าย

Right shoulder
ไหลข่ วา

Don’t move.
อยา่ ขยั บ

Bend
ยอ่ & โคง้

Bend some more.


โคง้ อีกหน่อย

We are going to do some aerobics.


เรากำลังจะเตน
้ แอโรบิคกัน

When you work out, you have to breathe.


ตอนออกกำลังกาย คุณตอ
้ งหายใจ
Aerobics
การออกกำลั งกายโดยการใชอ
้ อกซิเจน

Stop what you are doing.


หยุดสิง่ ที่เธอกำลังทำอยู ่

I am tired.
ฉันเหนื่ อย
(Note: ไมใ่ ช่ “tried” ที่แปลวา่ ทดลองแลว้ นะครั บ)
(Tips: เวลาออกเสียงก็คลา้ ยกั บการพูดวา่ คำวา่ fire)

Life weights
ยกน้ำหนั ก
(Note: หรื ออาจใชคำ
้ วา่ weight-lifting ก็ได้เหมือนกั นครั บ)

You have to breathe.


คุณตอ
้ งหายใจ

Inhale
หายใจเขา้

Exhale
หายใจออก

It’s very clear.


ชั ดเจนเลย

You have bad breath.


คุณมี กลิ่นปาก

Breath
ลมหายใจ

Breathe
หายใจ

What are we going to do next?


เราจะทำอะไรกันตอ่

You want me to lift weights.


คุณอยากให้ผมยกน้ำหนั ก

It’s too heavy.


มั นหนั กเกินไป

I’ll try.
ผมจะลองดู

Louder
ดังขึ้น
Faster
เร็วขึ้น

Harder
แรงขึ้น

You have a phone call.


คุณมีโทรศั พทเ์ รี ยกเขา้

I am sweaty.
ผมเหงื่อทว่ ม เลย

I am going to take a shower.


ผมจะไปอาบน้ำ

Take a shower together.


อาบน้ำด้วยกัน

Believe me. Don’t go!!!


เชื่อฉัน อยา่ ไป!!!

Be careful!!!
ระวั งตั วด้วย!!!

Christina, do you remember me?


คริ สติน่า จำฉันไดไ้ หม
ลาของทั ง้ 2 ฝ่าย จึงจะนั บได้วา่ เป็ นการสนทนา conversation แบบ 2-way ที่ไมใ่ ชแ
่ คก ้ การเป็ นนั กสนทนาที่ดีจำเป็ นที่เราจะตอ
่ ารถาม-ตอบแบบ interview เพราะฉะนั น ้ งมีการถาม
นาที่ดีจำเป็ นที่เราจะตอ
้ งมีการถามและสานตอ่ การสนทนาของคนที่เรากำลั งคุยอยูด
่ ้วยนะครั บ
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 6: Say Hi – เรี ยนภาษาจากเพลง “This Love” by Maroon 5

็ ือการเอาพวกสื่อบันเทิงอยา่ งเพลงและ entertainment ตา่ งๆใน


การเรี ยนภาษาอังกฤษที่ได้ผลและยังน่าเพลิดเพลินอีกวิธีกค

This love has taken its toll on me


รักครัง้ นี้ มันได้สั่งสมกับผมมานานมากจนรับแทบไมไ่ ด้แลว้

Toll
คา่ ผา่ นทาง

She said good-bye too many times before


เธอบอกลากั บผมมาหลายครั ง้ เกินไปแลว้

Her heart is breaking in front of me


หัวใจของเธอกำลังแตกสลายอยูข่ า้ งหน้าของผม

I have no choice.
ผมไมม่ ีทางเลือก

Because I won’t say good-bye anymore


เพราะผมจะไมบ
่ อกลาอีกตอ่ ไป

Chris Delivery Episode 6: Go Out – หา card อวยพรคนรั กในวั น Valentine

I am on the fifth floor.


่ ่ีชันห
ตอนนี้ ผมอยูท ้ า้

Stationery
เครื่ องเขียน

Itchy
คัน

Life / Elevator
ลิฟต์

Escalator
บันไดเลื่อน

Wait for some one


รอใครบางคน

Hug
กอด

Hold
กอด / การจับ

Kiss
จูบ

Teddy Bear
หมีเท็ดดี้

My Valentine
สุดที่รักของฉัน
(Note: จะใชก ้ )
้ ั นเฉพาะชว่ งเทศกาล Valentine เทา่ นัน

Feel

รู้ สก

Fill
เติม

Especially for you


พิเศษเฉพาะ

Special
พิเศษ

Chris Delivery Episode 6: Speak Out – “No Wedding and a Funeral” with ภูริ

A cute couple
คูร่ ั กที่น่ารั ก
(Note: couple = คูร่ ั ก / Cute = น่ารั ก)

Can you stop the music?


ปิ ดเพลงได้ไหมครับ

Turn off the music


ปิ ดเพลงหน่อยครั บ

Who is she?
เธอเป็ นใคร

She is my aunt.
เธอเป็ น ป้า ของผม

Where is your future wife?


แลว้ วา่ ที่ภรรยาของคุณอยูไ่ หนละ่

I am his girlfriend.
ฉั นเป็ นแฟนเขา

He’s my lover!
เขาเป็ นชูข้ องฉัน!

I have to explain
ผมตอ้ งขออธิบาย
I am not your lover.
ผมไมไ่ ด้เป็ นชูข้ องคุณ

Lover
ชูร้ ั ก

If you want to get married


ถา้ คุณตอ
้ งการจะแตง่ งาน

The first thing is we have to choose a place.


อยา่ งแรกที่ตอ
้ งทำคือ เลือกสถานที่

Where would you like to have your wedding?


คุณอยากจั ดงานแตง่ งานที่ไหนครั บ

Five-star hotel in the heart of downtown


โรงแรมห้าดาวใจกลางเมือง

What do you think?


คุณคิดยังไง

I prefer to keep it private and quiet.


ผมวา่ จั ดแบบสว่ นตั วและเงียบๆดีกวา่

And keep it a secret


และปิ ดเป็ นความลั บ

Upcountry
ตา่ งจังหวัด

Upcountry in the mountains and a secret place


ตา่ งจังหวัดบนภูเขา และเป็ นที่ลึกลับ

You don’t want anyone to know.


คุณไมต
่ อ
้ งการให้ใครรู้

The next thing is costumes.


ตอ่ ไปคือเสื้อผา้

We have costumes for


เรามีชุดให้สำหรั บ

the bride
เจา้ สาว

the groom
เจา้ บา่ ว

The bridesmaid
เพื่อนเจา้ สาว

the best man


เพื่อนเจา้ บา่ ว

Khun Puri is going to be the best man in my wedding ceremony.


คุณภูริจะเป็ นเพื่อนเจา้ บา่ วในงานแตง่ งานของฉัน

You need to go and find a new husband.


คุณตอ
้ งไปหาสามี ใหม่

We need to find a dress.


เราตอ
้ งหาชุดกั น

It fits me
ชุดพอดีตัวเลย

I choose this one.


ผมเลือกชุดนี้

I am confused, man.
ผมสั บสนมาก

You are a good-looking guy, you are famous and rich.


คุณเป็ นหนุ ่ มหลอ่ , มีช่ือเสียง, รวย

Why did you choose this lady?


้ ญิงคนนี้
ทำไมคุณถึงเลือกผูห

I will tell you the story


ผมจะเลา่ ให้ฟัง

Once upon a time,


กาลครัง้ หนึ่ ง

I was drinking in a bar.


ผมกำลั งนั ่ งดื่มอยูใ่ นบาร์

I was so drunk.
ผมเมา มาก

The next morning, she was beside me.


เชา้ วั นรุ่ งขึ้น เธอนอนอยูข่ า้ งผม

Naked!
โป๊ด้วย!

The next day, she came to my place.


วันตอ่ มา เธอมาที่บา้ นผม
She told me she was pregnant.
เธอบอกวา่ เธอทอ
้ ง

I have to be responsible.
ผมเลยตอ ้ งรับผิดชอบ

You look very stressed out.


คุณดูเครี ยด มาก

I don’t want to marry her.


ผมไมอ่ ยากแตง่ งาน กั บเธอ

I have the solution.


ผมมีทางออก

Let me get my equipment.


ผมขอหยิบอุปกรณ์กอ
่ น

Good idea.
เป็ นความคิดที่ดี

How do you feel?


ึ อยา่ งไร
คุณรู้ สก

I am shocked!
ผมตกใจมาก!

Surprise
ประหลาดใจ (ในทางที่ดี)

Shock
ตกใจ (ในทางแย)่

We need to find the decoration.


เราตอ
้ งหาของตกแตง่

The first thing what do you need?


อยา่ งแรกคุณตอ้ งการอะไร

Booger
ขี้มูก
(Note: เป็ นคำแสลง)

Bouquet
ชอ่ ดอกไม้
(Note: ออกเสียงวา่ “โบ-เค” นะครับ ซึ่งจริ งๆแลว้ เป็ นภาษาฝรั่งเศส)

You have boogers in your nose.


คุณมีข้ีมูกอยูใ่ นจมูก
The next thing is the corsage.
้ ระดับอกเสื้อ
สิง่ ตอ่ มาคือ ดอกไมป

I suggest the creamy one.


ผมขอแนะนำสีครี มแลว้ กัน

The round one


แบบวงกลมๆ

To make it romantic
เพื่อความโรแมนติค

Candles
เทียน

I want the white candles.


ฉันอยากไดเ้ ทียนสีขาว

I like the big yellow candles.


ผมชอบเทียนใหญๆ่ สีเหลือง

I am the man, you have to listen to me.


ผมเป็ นผูช้ ายนะ คุณตอ
้ งฟังผมสิ

Don’t argue.
อยา่ ทะเลาะ กั น

The yellow one is the good choice.


เลือกเทียนสีเหลืองน่ะดีแลว้

My assistant will organize everything for you.


ผูช้ ว่ ยของผมจะจัดการทุกอยา่ งให้คุณ

Where is my flower?
ดอกไมข้ องฉันอยูไ่ หน

These are your flowers.


นี่ ไงดอกไมข้ องคุณ

Wreath
พวงหรี ด

You look beautiful.


คุณดูสวยมาก

Incense stick
ธูป

wedding ceremony
งานแตง่ งาน
funeral
งานศพ

I am going to faint.
ฉันจะเป็ นลม

Phuri, come on use what I gave you.


ภูริ ใชข้ องที่ผมให้คุณเลย

I can’t breathe.
ฉั นหายใจไมอ่ อก

Die quickly.
ตายเร็วๆ

He has a lot of work.


เขามีงานอีกเยอะ
ntertainment ตา่ งๆใน lifestyle ของเรามาเรี ยนรู้ ครับ
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 7: Say Hi – เทคนิ กและเกร็ดความรู้ เกี่ยวกับการบอกเวลาภาษาอังกฤษแบบงา่ ยๆ

What time is it?


กี่โมงแลว้

A.M. (Ante Meridiem)


00.01 – 12.00 น.

P.M. (Post Meridiem)


12.01 – 24.00 น.

Past
ผา่ นมาแลว้

To
กำลังจะถึง

Quarter
15 นาที

O’clock
สำหรั บบอกเวลาเต็มชั ่วโมง

Two: Thirty in the morning


2:30 – ตีสองครึ่ ง

Two: Thirty in the afternoon


2:30 – บา่ ยสองครึ่ ง

Six: Fifteen in the morning


6:15 - เชา้

Six: Fifteen in the evening


6:15 – เย็น

่ ยี่สบ
สามทุม ิ (9:20 P.M.)
Nine: Twenty at night
(Note: เป็ นเวลา on-air ของ Chris Delivery นะคร้าบ อยา่ ลืม!)

5:05
Five: O-Five
(Note: O มาจากคำวา่ zero ซึ่งก็คือเลขศูนยน
์ ะครับ)

1:45
One: Forty-Five

One: Forty-Five in the morning


ตีหนึ่ งสี่สบ
ิ หา้
3:35
Three: Thirty-Five

Midnight
เที่ยงวัน

Midday
เที่ยงวัน

7:11
Seven: Eleven
(Tips: trick งา่ ยๆในการจำอั นหนึ่ งก็ให้นึกถึงร้าน 7-11 นะครั บ)

Chris Delivery Episode 7: Go Out – ซื้อของทอ่ ง China Town

Today I am going to China Town to see some Chinese people and try some Chinese food.

Mandarin
ภาษาจีนกลาง

Cantonese
ภาษาจีนกวางตุง้

Canton
กวางตุง้

Drugstore
ร้านขายยา
(Note: คนหลายคนมั กออกเสียง drug ผิดเป็ น duck ซึงหมายถึงเป็ ด)

Drug
ยา
(Note: จะหมายถึงยาเสพติดก็ไดเ้ หมือนกัน)

Pharmacy / Drugstore
ร้านขายยา

Sea Horse
มา้ น้ำ

Chinese herbs
สมุนไพรจีน

Partnership
ห้างหุ้นสว่ น

Partner
คู่ หรื อ หุ้นสว่ น

Chestnuts
เกาลั ด

Shark fin
หูฉลาม

Shark
ปลาฉลาม

Fin
ครี บ

Public phone
โทรศั พทส์ าธารณะ

Phone booth
ตูโ้ ทรศั พทส์ าธารณะ

Shredded pork
หมูหยอง

Shred
ฉี กเป็ นชิ้นๆ

Goldsmith
ห้างทอง / ชา่ งทอง

Chris Delivery Episode 7: Speak Out – ทั กทายอามา่ ในวั นตรุ ษจีนกั บ อิม อชิตะ

We go to see Chinese Family


เราไปดูครอบครัวคนจีน

in Chinese New Year.


ในวันตรุ ษจีน

Please don't touch me in front of my mama.


่ ิ
อยา่ แตะตัวฉันตอ่ หน้าแมส

Why? You look so hot today.


็ ซี่มาก
ทำไมละ่ ก็วันนี้ คุณเซก

I have to hug you.


ผมก็ตอ
้ งกอดคุณสิ

Can't you see my mama?


คุณไมเ่ ห็นแมฉ
่ ั นเหรอ

She is over there.


แมอ่ ยูต ้ ไง
่ รงนัน

That's your mama?


นั ่ นแมค
่ ุณเหรอ

Your mama is dead


แมค
่ ุณเสียแลว้

She is dead , right?


แมต
่ ายแลว้ ใชไ่ หม

I'm not dead.


ฉันยังไมต
่ าย

I'm just cleaning A-gong's picture.


ฉั นกำลั งทำความสะอาดรู ปอากง

I can't move
ฉันขยับตัวไมไ่ ด้

What happen?
เกิดอะไรขึ้น

I can't hear you.


ผมไมไ่ ดย้ ิน

Can you speak louder?


พูดดั งขึ้นหน่อยได้ไหมครั บ

I cannot speak Lao !!!


ฉันพูดภาษาลาวไมเ่ ป็ น

I have cramps.
ฉั นเป็ นตะคริ ว

Are you ok?


คุณไหวไหม

I brought you some souvenirs.


ผมมีของฝากมาให้

I hear that...
ผมได้ยินมาวา่ ...

In Chinese New Year ,


ในวั นตรุ ษจีน

we have to buy souvenirs for the older people.


เราซื้อของมาฝากคนที่แกก
่ วา่

There are a lot of gold shops


มีร้านทองเยอะมาก
In China Town ,
ที่เยาวราช

What are you doing?


พวกคุณกำลังทำอะไรกันครับ

You don't know?


คุณไมร่ ู้ เหรอ

We are saying hello to our family.


เรากำลัง ทักทาย ครอบครัวของเรา

Where is your family?


ครอบครั วของคุณอยูไ่ หนละ่

You don't say " say hello "


คุณพูดวา่ " ทักทาย " ไมไ่ ด้

Pay respect to my ancestors.


ไหวบ
้ รรพบุรุษ

Ancestors
บรรพบุรุษ

They're all dead.


พวกเขาตายหมดแลว้

Who are these peoples?


คนเหลา่ นี้ คือใคร

This is our family tree.


นี่ คือแผนผั งตน
้ ตระกูลของเรา

He looks similar.
เขาดูคลา้ ยกันเลย

great - grandfather
ปู่ทวด

great – grandmother
ยายทวด

grandfather
ตา,ปู่

grandmother
ยา่ ,ยาย

He looks like Rain again.


หน้าเหมือนเรนอีกแลว้
What a very nice a warm family.
ชา่ งเป็ นครอบครั วที่ดีและอบอุน

I want to be your son-in-law.


ผมอยากเป็ นลูกเขยของคุณ

She is very mean.


แมใ่ จร้ายจัง

Chinese food
อาหารจีน

Chopsticks
ตะเกียบ

I don't know how to


ผมไมร่ ู้ วธิ ี

use the chopsticks.


ใชต
้ ะเกียบ

No gay
ไมใ่ ชเ่ กย ์

I love your daughter.


ผมรักลูกสาวคุณ

Do you have spoon and fork?


คุณมีชอ
้ นกับสอ้ มไหม

We have spoon and fork.


เรามีชอ
้ นกับสอ้ ม

Go to take it by yourself.
ไปเอาเอง

Spoon and fork are in the chicken!


ชอ
้ นกั บสอ้ มอยูใ่ นไก!่

I told you in the chicken!


ฉั นบอกแลว้ ไงวา่ อยูใ่ นไก!่

I don't see.
ผมไมเ่ ห็นเลย

What are you doing?


คุณกำลังทำอะไรน่ะ

Spoon and fork are in the kitchen.


ชอ
้ นกั บสอ้ มอยูใ่ นครั ว

I need to use spoon and fork.


ผมตอ้ งใชช้ อ
้ นกั บสอ้ ม

I'll take them for you.


ฉันจะไปเอามาให้

Are you ok?


คุณไหวไหม

I don't know
ผมไมร่ ู้ วา่

if your mom like me or not.


แมค่ ุณชอบผมหรื อเปลา่

I brought her presents.


ผมเอาของขวัญมาให้แมค ่ ุณด้วยนะ

Is this what you want?


นี่ คือสิง่ ที่คุณตอ
้ งการใชไ่ หม

Spoon
ชอ
้ น

It takes a long time


มันใชเ้ วลานานมาก

to catch a frog!
ในการจับกบ!

This is your frog.


นี่ ไงกบของคุณ

I change my mind.
ฉั นเปลี่ยนใจ

I want more chicken.


ฉันอยากกินไกอ
่ ีก

Are you ok?


คุณเป็ นอะไรหรื อเปลา่

I have some presents for you.


ผมมีของขวัญมาให้คุณด้วย

I did my research.
ผมคน ้ ควา้ มาแลว้
You have to give a paper house.
คุณตอ
้ งให้บา้ นกระดาษ

This is for ancestors.


นี่ สำหรับบรรพบุรุษ

servant
คนใช้

Burn
เผา

I'm so sorry.
ผมขอโทษครั บ

This is my mistake.
เป็ นความผิดพลาดของผมเอง

Actually, it's for your ancestors.



จริ งๆแลว้ ทังหมดนี้ สำหรับบรรพบุรุษของคุณ

money in a red envelope


อั ่งเปา

Chinese money for you.


เงินจีนสำหรั บคุณไง
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 8: Say Hi – หนังไทยอย่างเรือ
่ ง Final Score ก็ชว่ ยให้คณ
ุ เรียนรูภ
้ าษาอังกฤษได้

ไม่วา่ จะในรายการ TV ในหนังสือ website หรือแม้แต่ในรายการวิทยุ ผมมักจะพูดถึงและสนับสนุนวิธีการเรียนรูภ ้ าษาอังกฤษโดยใช้ส


ทีล่ อ
้ มรอบอยูใ่ นชีวต
ิ ของเรา และสือ ่ ีประโยชน์มากอย่างหนึ่งก็คอ
่ บันเทิงทีม ื หนัง แต่การจะเรียนรูภ
้ าษาอังกฤษจากหนังใช่วา่ เราจะต้องดูห
ไป ซึง่ การดูหนังฝรั่ง subtitle ไทยก็อาจจะทำให้คนจำนวนไม่น้อยรูส้ ก ึ ว่ามันยากลำบากและทำให้เรา enjoy หนังได้ไม่เต็มทีเ่ พราะต้อง
ประสาทอ่านภาษาไทยทีอ่ ยูบ ่ ริเวณข้างล่างของจอจนดูภาพได้ไม่เต็มที่ แต่ don’t worry ครับเพราะจริงๆแล้วการดูหนังไทยทีม ่ ี
สามารถทำให้เราเรียนรูภ ้ าษาอังกฤษได้เหมือนกัน วันนี้ผมก็เลยลองเอา preview ของหนังเรือ ่ ง Final Score มาให้ทก
ุ ๆคนลองชมแล้ว
เราสามารถจะเรียนคำศัพท์อะไรจากหนังเรือ ่ งนี้ได้บา้ ง

National entrance exam


การสอบเข้ามหาวิทยาลัย

I’m going to take the national entrance exam.


ฉันกำลังจะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย
(Note: คำย่อๆทีค
่ นไทยมักเรียกแค่วา่ “เอ็น” ก็มาจากคำว่า entrance นี่แหละครับ)

What do you want to be in the future?


คุณอยากเป็ นอะไรในอนาคต

I want to be an engineer.
ฉันอยากเป็ นวิศวกร

You are going to graduate soon.


คุณกำลังจะเรียนจบ

อย่าลืมนะครับว่าการดูหนังไทยก็สามารถช่วยคุณได้ “ถ้า”คุณยอมแยกประสาท scan ตาอ่านภาษาอังกฤษซักนิด

Chris Delivery Episode 8: Go Out – ภาษาอังกฤษจากที่ Yamaha Service Center

Spare parts
อะไหล่

Spare
สำรอง

Parts
ชิน
้ ส่วน

Mechanic
ช่างซ่อมรถ

(to be) prohibited


ห้าม

Fine
ค่าปรับ / การปรับ

You will be fined 2,000 Baht.


คุณจะถูกปรับ 2,000 บาท
Motorcycle / Motorbike
รถจักรยานยนต์

Retrospective
หวนคิดถึงอดีต

Automatic
อัตโนมัติ

Corner
มุม

Caf?
ร้านกาแฟ

Coffee
กาแฟ

Crash helmet
หมวกกันน็อก

Crash
กระแทก

Helmet
หมวกทีใ่ ส่เพือ
่ ป้ องกัน

Chris Delivery Episode 8: Speak Out – To Be a Star with บี้ จาก The Star

Do you have a dream?


คุณมีความฝันไหมครับ

They want to be a star.


พวกเขาอยากเป็ นดารา

I’m the owner of this school.


ผมเป็ นเจ้าของโรงเรียนนี้

Are you here alone?


คุณมาคนเดียวหรือครับ

Where is that somebody?


ใครคนนัน
้ อยูไ่ หน

You are late.


คุณมาสายนะครับ

Sorry, I’m late. The traffic was bad.


ขอโทษครับ ผมมาสาย รถติดมาก
First of all, you have to introduce yourself.
ก่อนอืน
่ คุณต้องแนะนำตัวเองก่อน

I’ve been looking for you for long time.


ฉันตามหาคุณมานานแล้ว

What are you looking for?


คุณกำลังหาอะไร

A man in my dream.
ชายในฝัน

This is not a coffee shop.


ทีน
่ ี่ไม่ใช่รา้ นกาแฟ

Where do you come from?


คุณมาจากทีไ่ หน

I come from Kan-Jew-Berry!!!

I come from Chiang Mai.


ผมมาจากเชียงใหม่

The north of Thailand.


ภาคเหนือของประเทศไทย

How long have you live in Bangkok?


อยูก
่ รุงเทพฯมานานเท่าไหร่แล้ว

I live in Bangkok for 3 years.


ผมอยูก่ รุงเทพฯมา 3ปี แล้ว

For me, very long time.


สำหรับฉัน อยูม
่ านานแล้ว

20 years ago!!!
20 ปี ทีแ
่ ล้ว

__ years ago
เมือ
่ __ ปี ทีแ
่ ล้ว

For __ years
เป็ นเวลา __ ปี แล้ว

Why are you here?


มาทีน
่ ี่ทำไม

I want to be a singer.
ผมอยากเป็ นนักร้อง
What do you want to be?
คุณอยากเป็ นอะไร

Of course, I want to be a singer.


แน่ นอน ฉันอยากเป็ นนักร้อง

If you want to be a singer. Come here


ถ้าอยากเป็ นนักร้องมาทางนี้

If you want to be a star.


ถ้าคุณอยากเป็ นดารา

You have to know how to play


คุณต้องรูว้ ธิ ีเล่น

a musical instrument.
เครือ
่ งดนตรี

What can you play?


คุณเล่นอะไรเป็ นบ้าง

I can play drums


ผมเล่นกลอง

piano,
เปี ยโน

guitar
กีตา้ ร์

You pass. That’s great.


คุณผ่านได้ เยีย่ มมาก

What can you play?


คุณเล่นอะไรเป็ นบ้าง

A lot of instruments
เครือ
่ งดนตรีมากมาย

Such as a microphone.
อย่างเช่น ไมโครโฟน

I brought my own.
ฉันนำมาเอง

I’ve never seen this before?


ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

see saw seen


Can you hear me?
ได้ยน
ิ ฉันไหมคะ

Unbelievable. It’s great!


ไม่น่าเชือ
่ มันยอดมากครับ!

I haven’t played yet.


ฉันยังไม่ได้เล่น

If you want to be a star,


ถ้าอยากเป็ นดารา

you have to know how to dance.


คุณต้องเต้นเป็ น

Can you dance?


เต้นเป็ นไหม

Let’s check him out.


ดูเขาก่อน

I believed you.
ผมเชือ
่ คุณแล้ว

You’re very terrible!


คุณเต้นแย่มาก!

Why did you say that?


ทำไมพูดอย่างนัน
้ ล่ะครับ

terrible -แย่

terrific –ยอดเยีย่ ม

We have to see if you can sing.


เราต้องดูวา่ คุณร้องเพลงได้ไหม

We have to check your note.


เราต้องตรวจสอบระดับเสียงของคุณ

Let the professional show you.


ให้มืออาชีพทำให้ดูดีกว่า

Reverse
ทวนกลับ

Do you like to sing?


คุณชอบร้องเพลงไหม
Yes, very well. Excellent!
ร้องได้ ดีดว้ ย ยอดเยีย่ มเลย

I can sing in English only.


ฉันร้องเป็ นภาษาอังกฤษเท่านัน

Let’s check her out first.


งัน
้ ลองดูเธอก่อน

It sounds terrible.
มันฟังดูแย่มาก

Do you want to sing a song?


คุณจะร้องเพลงใช่ไหม

Are you ready?


พร้อมหรือยัง

Sing your song.


ร้องเพลงของคุณได้เลย

Need some to look into their eyes.


And make my heart feel weak.
Be thinking of me, be thinking of me.
Love, I need some body.
Love, could I have someone to love?
In my heart, in my life.
Is there somebody out there?
Is there somebody out there?
Is there somebody care?
Is there somebody there for me?
(Note: สำหรับเนื้อร้องเพลง “I need somebody” version ภาษาอังกฤษแบบเต็มๆสามารถดูได้ใน section “Lifestyle” ของ webs
ภาษาอังกฤษได้

สนุนวิธีการเรียนรูภ
้ าษาอังกฤษโดยใช้สอ ื่ บันเทิงต่างๆ
ภาษาอังกฤษจากหนังใช่วา่ เราจะต้องดูหนังฝรั่งเสมอ
ห้เรา enjoy หนังได้ไม่เต็มทีเ่ พราะต้องเสียเวลาแยก
าะจริงๆแล้วการดูหนังไทยทีม ่ ี subtitle อังกฤษก็
Final Score มาให้ทก ุ ๆคนลองชมแล้วลองดูซวิ า่

ษาอังกฤษซักนิด!
ได้ใน section “Lifestyle” ของ website นะครับ)
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 9: Say Hi - เรียนรูภ
้ าษาอังกฤษจากหนังสือพิมพ์

นอกจากหนังและเพลงแล้ว สือ ่ ทีม ่ อีกอย่างหนึ่งทีส่ ามารถช่วยเราฝึ กภาษาอังกฤษ


่ ีสาระอย่างเช่น Newspaper หรือหนังสือพิมพ์ก็เป็ นสือ
ถ้ามีเวลาว่างก็ลองฝึ กซ้อมโดยการหยิบเอาหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษมาลองอ่านดูบา้ ง ทีสำ่ คัญคือให้อา่ นพร้อมกับดูรูปภาพประกอบไปด้ว
จะช่วยให้เราทำความเข้าใจถึงคำศัพท์หรือ context ของสิง่ ที่ news article กำลังสือ ้ รวมไปถึงการทีภ
่ ได้งา่ ยขึน ่ าพจะเป็ น
เราในการจำอีกด้วยครับ

Next station; Siam Cemetery


สถานีตอ
่ ไป หลุมฝังศพ สยาม

Passengers who want to die can get off here.


ผูโ้ ดยสารทีอ่ ยากตายสามารถลงทีส่ ถานีนี้ได้

A Sky train carriage hangs off the end of the track in Malaysia.
Sky train Carriage
ตัวโบกี้รถไฟฟ้ า

Hangs off
ห้อยลงมา

Track
รางรถไฟ

Do you play basketball or football?


คุณเล่นบาสหรือเล่นฟุตบอลกัน

Michael Roddy stares at Yang Changpeng at Bolton Wanderers football club.


Stares / Stare
จ้องมอง

FC = Football Club

Oh no! I lost again.


โอ้ตายแล้ว แพ้อีกแล้ว

Paradon looks disappointed during a tennis match.

Disappointed / Disappoint
ผิดหวัง
(Note: ในรูปแบบ past tense จะมี “ed” เติมเข้ามาหลังคำว่า disappoint)

During
ช่วงระหว่าง

Tennis match
การแข่งเทนนิส

Tourist police
ตำรวจท่องเทีย่ ว
Please don’t hit me.
กรุณาอย่าตีผม

A monk sprinkles holy water on foreign tourist police in Chiang Mai.

Monk
พระ

Sprinkles / Sprinkle
โปรย & พรม

Holy water
น้ำมนต์

Chris Delivery Episode 9: Go Out – ทำบุญ ไหว้พระ และฝึ กภาษาอังกฤษทีว่ ดั เบญจมบพิตร

The Marble Temple


วัดเบญจมบพิตรดุสต
ิ วนารามราชวรวิหาร

Marble
หินอ่อน

Temple
วัด

Admission fee
ค่าผ่านประตู

Visitors / Visitor
ผูม
้ าเยีย่ ม

Visit
เยีย่ ม

I am a Buddhist.
ผมนับถือศาสนาพุทธ

Take off
ถอด

Make merit
ทำบุญ

Donation
การบริจาค

Donate
บริจาค
Statue
รูปปั้น

Statue of Buddha
พระพุทธรูป

Statue of Liberty
เทพีเสรีภาพ

The Grand Palace

The Temple of the Emerald Buddha


วัดพระแก้ว

Emerald Buddha
พระแก้วมรกต

Chris Delivery Episode 9: Speak Out – Temple Visit and Making Merit with หยองลูกหยี

You're late. It's already 12.30.


ั เทีย่ งครึง่ แล้วนะ
คุณมาสาย นี่มน

We're going to the temple.


เรากำลังจะไปวัดกัน

You aren't allowed to wear shorts in the temple.


ห้ามใส่กางเกงขาสัน
้ เข้าวัด

I'm not Lao, Thai. I'm Korean.


ฉันไม่ใช่คนลาว, คนไทย ฉันเป็ นคนเกาหลี

You have to dress properly.


คุณต้องแต่งกายอย่างเหมาะสม

You're not going to take a shower.


คุณไม่ได้ไปอาบน้ำ

We're going to the temple.


เรากำลังจะไปวัด

Let's go. We don't have enough time.


ไปกันเถอะ เรามีเวลาไม่พอ

Thai water jar is very beautiful.


โอ่งไทยสวยมาก

I'm very thirsty. I'm so lucky.


ฉันกำลังหิวน้ำอยูพ
่ อดี โชคดีจงั

I look like teen but I'm 29.


ฉันดูเหมือนยังเป็ นวัยรุน
่ แต่อายุ 29 แล้วค่ะ

Come on. Sit down please.


เชิญนั่ง

You have to sit properly in front of the monk.


คุณต้องนั่งอย่างเหมาะสมต่อหน้าพระ

Behave.
ทำตัวดีๆ หน่ อย

Where do you come from?


โยมมาจากไหนล่ะ

I come from Korea.


ดิฉน
ั มาจากประเทศเกาหลี

I like your town.


อาตมาชอบเมืองของโยม

Who are you?


ท่านเป็ นใคร

Why do you wear orange?


ทำไมท่านใส่ชุดสีสม

Monk
พระ

What is your name?


ชือ
่ อะไรล่ะ

My name is Yung Bin Chum.


ดิฉน
ั ชือ
่ ยุงบินชุม

Can I take a picture with him?


ดิฉน
ั ขอถ่ายรูปกับท่านได้ไหม

You want to take a photo?


คุณอยากถ่ายรูป

Don't sit at the same level with the monk.


ห้ามนั่งระดับเดียวกันกับพระ

I'm really sorry. I don't know.


ดิฉน
ั ขอโทษจริงๆ ดิฉน ั ไม่ทราบ

Don't be angry.
อย่าโกรธนะค่ะ
I have his CD.
ดิฉน
ั มี ซีดีของท่าน

It's 12.30.
เทีย่ งครึง่ แล้ว

What did you bring?


คุณเอาอะไรมา

Time to have lunch.


ได้เวลาอาหารเทีย่ งแล้ว

I brought my Korean food for you.


ดิฉน
ั นำอาหารเกาหลีมาถวายท่าน

He cannot eat the food now


ท่านทานอาหารตอนนี้ไม่ได้

because it's 12.30. It's after noon.


เพราะตอนนี้เทีย่ งครึง่ แล้ว หลังเทีย่ งแล้ว

Noon & Midday


เทีย่ งตรง

Afternoon
บ่าย

They cannot eat after noon.


พระไม่สามารถฉันท์หลังเทีย่ งตรง

Did you go and pay respect to Buddha yet?


ไปไหว้พระมาหรือยัง

Pray
สวดมนต์

Pay respects
ไหว้

The monk said,


พระท่านบอกว่า

if we want to pay respect to Buddha,


ถ้าเราจะไหว้พระ

we have to have lotus flowers.


เราต้องมีดอกบัว

But he doesn't have any lotus flowers today.


แต่วน
ั นี้ทา่ นไม่มีดอกบัว
Lotus
ดอกบัว

We can't go and pay respects to Buddha.


เราไปไหว้พระไม่ได้แล้ว

Because he ran out of lotus flowers.


เพราะดอกบัวหมด

Make merit
ทำบุญ

We can make merit by


เราสามารถทำบุญได้โดยการ

freeing the animals.


ปล่อยสัตว์

You have to make a wish.


คุณต้องตัง้ อธิษฐาน

You have to free the bird.


คุณต้องปล่อยนก

Bird flu
ไข้หวัดนก

Catfish
ปลาดุก

You have to open the bag,


คุณต้องแกะปากถุงก่อน

and free the fish like this.


แล้วปล่อยปลาแบบนี้

Don't throw the rubbish in the water.


อย่าทิง้ ขยะลงน้ำ

I brought my own animal.


ฉันนำสัตว์ของฉันมาเอง

A little bit wet.


เปี ยกนิดหน่ อย

Free the turtle.


ปล่อยเต่า
งหนึ่งทีส่ ามารถช่วยเราฝึ กภาษาอังกฤษได้
ให้อา่ นพร้อมกับดูรูปภาพประกอบไปด้วย
วมไปถึงการทีภ ่ าพจะเป็ น tools ทีจ่ ะช่วย
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 10: Say Hi! – เมือ ้ ได้บา้ ง
่ คนไทยจะต้องสนทนากับฝรั่ง อะไรจะเกิดขึน

คงมีจำนวนคนอยูไ่ ม่น้อยทีเดียวทีอ่ าจจะเคยได้มีโอกาสคุยกับฝรั่งแต่ไม่เข้าใจในสิง่ ทีเ่ ขาพูดเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็ นเพราะว่า


ทักษะและความสามารถในการฟังของเรานัน ้ ไม่ดีพอเสมอไป เพราะตัวฝรั่งชาวต่างชาติเองก็อาจจะมีสว่ นทำให้คณ ุ ฟังเค้าไม่ออกเหมือน
วันนี้เราเลยจะลองจำลองเหตุการณ์ เมือ ่ คนไทยจะต้องคุยกับฝรั่งแล้ว - what are the things that can go wrong:

Do you have an Adam’s apple?


คุณมีลูกกระเดือกไหม

Adam’s apple
ลูกกระเดือก

I’m sorry I don’t understand


ขอโทษนะฉันไม่เข้าใจ

What do you mean?


คุณหมายถึงอะไร

What does that mean?


มันหมายความว่าอย่างไร

My English isn’t very good.


ทักษะภาษาอังกฤษของฉันไม่คอ
่ ยดี

Can you speak slowly please?


คุณพูดช้าลงหน่ อยได้ไหม

Again please.
พูดอีกครัง้ ได้ไหม

Pardon?
อะไรนะ

Can you speak Thai?


คุณพูดภาษไทยได้ไหม

Chris Delivery Episode 10: Go Out – A Day at T.K. Park

Knowledge
ความรู้

Know
รู้

Library
ห้องสมุด

Loan
ให้ยืม, การให้ยืม
Lend
ให้ยืม

Borrow
ขอยืม

Browse
ดูไปรอบๆ

Encyclopedia
สารานุกรม

Quiet
เงียบ

Quite
ค่อนข้าง

Please be quiet
กรุณาอย่าส่งเสียงดัง

Recommended
แนะนำ

Chris Delivery Episode 10: Speak Out – Snow White and Seven Dwarves with Top ดารณีนุช โพธิปิติ

Snow White and the seven dwarfs.


สโนไวท์ กับคนแคระทัง้ เจ็ด

Wrong story
ผิดเรือ
่ ง

I’m sorry. I’m confused.


ขอโทษนะ ฉันรูส้ ก
ึ สับสน

I’m the queen of this town


ฉันเป็ นราชินีของเมืองนี้

I’m the magic mirror.


ผมคือกระจกวิเศษ

Who is the most beautiful lady in the universe?


ใครสวยทีส่ ุดในจักรวาล

You’re beautiful.
คุณสวย

You’re pretty ugly


คุณค่อนข้าง ขี้เหล่!!!
Pretty+คำนาม
สวย, น่ ารัก

Pretty+คำคุณศัพท์
ค่อนข้าง

The most beautiful, cutest,


ผูห
้ ญิงทีส่ วยทีส่ ุด, น่ ารักทีส่ ุด,

Prettiest lady in the universe


งดงามทีส่ ุดในจักรวาล

Her name is Snow white.


เธอชือ
่ สโนไวท์

I love children, world peace and Paradon


ฉันรักเด็ก, สันติภาพของโลก และภราดร

Image
ภาพในจินตนาการ

I ordered the soldier to kill her.


ฉันสั่งทหารไปฆ่าเธอแล้วนะ

She is not dead.


เธอยังไม่ตาย

She still lives in the small house in the forest.


เธอยังอยูใ่ นบ้านเล็กๆในป่ า

I’ll go to kill her.


ฉันจะไปฆ่าเธอ

She lives in the forest with


เธออยูใ่ นป่ ากับ

7 dark, tall and handsome men.


ผูช
้ ายเข้ม สูง และหล่อ7คน

You look familiar


เธอหน้าคุน
้ ๆนะ

It’s a kind of Thai dessert


มันเป็ นขนมหวานชนิดหนึ่งของไทย

Do you know Snow White?


คุณรูจ้ กั สโนไวท์ไหม

She’s our friend.


เธอเป็ นเพือ
่ นของพวกเรา

7 dwarfs
คนแคระทัง้ เจ็ด

Don’t misunderstand.
อย่าเข้าใจผิด

She got kicked out of the castle


เธอถูกไล่ออกมาจากปราสาท

By the bad queen.


โดยราชินีใจร้าย

She doesn’t live in the castle anymore.


เธอไม่ได้อยูใ่ นปราสาทอีกแล้ว

She lives with us at our house.


เธออยูก
่ บั พวกเราทีบ
่ า้ น

Can I visit your home?


ฉันขอไปเยีย่ มบ้านเธอได้ไหม

You feel sleepy.


คุณง่วงนอน.

Can I help you?


มีอะไรให้ฉน
ั ช่วยไหมคะ

I’ve walked for a long way.


ฉันเดินทางมาไกลมาก

Backache
ปวดหลัง

How many eggs do you have?


คุณมีไข่กฟ
ี่ อง

She’s not selling eggs.


เขาไม่ได้ขายไข่

She’s selling fruits.


เขาขายผลไม้

Stomachache
ปวดท้อง

Headache
ปวดหัว
Sore throat
เจ็บคอ

What kind of fruit do you sell?


คุณขายผลไม้อะไรบ้าง

I have many kinds of fruit.


ฉันมีผลไม้หลายชนิดเลย

Do you have any apples?


คุณมีแอปเปิ้ ลไหมล่ะ

I can’t see any apples.


ฉันไม่เห็นแอปเปิ้ ลสักผลเลย

Pineapple
สับปะรด

Rose apple
ชมพู่

Custard apple
น้อยหน่ า

Adam’s apple
ลูกกระเดือก

All of the fruits, the old lady is selling,


ผลไม้ทง้ ั หมดทีย่ ายแก่ขาย

They’re all poisonous.


ทัง้ หมดนี้มีพษ

Poisonous fruits
ผลไม้มีพษ

Passion fruit
เสาวรส

I told you.
ผมบอกแล้วไง

Snow white passed away.


สโนไวท์ ตายแล้ว

Let me check her hand if she really died.


ผมขอตรวจดูกอ
่ นว่าเธอตายจริงๆหรือเปล่า

She’s still alive


เธอยังมีชีวต
ิ อยู่
She passed out.
เธอสลบ

Pass out.
สลบ

Pass away
เสียชีวต

Disappointed
ผิดหวัง

I’m the prince.


เราเป็ นเจ้าชาย

My mission is coming to kiss my princess.


หน้าทีข
่ องเราคือมาจีบเจ้าหญิง

She’s too young to be my wife.


เธอเด็กเกินไปทีจ่ ะเป็ นภรรยาของเรา

I don’t like the princess anymore.


ฉันไม่ชอบเจ้าหญิงแล้ว

It’s better than nothing.


ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็ นเพราะว่า
จะมีสว่ นทำให้คณ
ุ ฟังเค้าไม่ออกเหมือนกัน
at can go wrong:
Top ดารณีนุช โพธิปิติ
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 11: Say Hi – The phone call from hell.

คงจะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยทีค ่ งจะตืน
่ อกตกใจทำอะไรไม่ถูกเมือ ่ จูๆ
่ ได้รบั phone call แล้วแทนทีจ่ ะเป็ นแฟนหรือกิก
๊ โทรมา
แต่เสียงทีม
่ าจากอีกข้างนึงกลับกลายเป็ นฝรั่งหรือต่างชาติพูดอังกฤษฉอดๆอย่างไม่มีทา่ ทีวา่ จะหยุด จนบางคนถึงกับ
ต้องงัดไม้ตายเด็ดอย่างการตอบกลับไปว่า:

Sorry, you have the wrong number.


ขอโทษนะ คุณโทรผิดเบอร์แล้ว

หรือทำเสียงนิ่งๆเย็นๆให้เหมือนกับเสียง operator แล้วตอบกลับไปว่า:

The number you have dialed, cannot be connected.


หมายเลขทีท
่ า่ นเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

หรือใช้มุขตัดบทสนทนาอย่างง่ายๆอย่าง:

Ah, sorry I cannot hear you!


ขอโทษที ไม่ได้ยน
ิ เสียงคุณเลย!

My battery is dead.
แบตเตอรีห
่ มด

Just a moment please.


รอสักครูน่ ะ
(แล้วก็เดินหาคนมาพูดแทนหรือ ให้เค้ารอจนเหนื่อยจนต้องวางหูไปเอง….)

เพราะฉะนัน
้ วันนี้ผมจึงขอฝากประโยคทีค
่ ณ
ุ จะสามารถใช้ในการพูดโทรศัพย์รบั หน้าฝรั่ง โดยทีไ่ ม่ตอ
้ งใช้มุขหลีกเลีย่ งการคุยอย่างตัวอย่า

The caller
ผูโ้ ทรออก

Can I speak to____ please?


ขอสายคุณ___ครับ

Do you know when he will be back?


คุณรูไ้ หมครับว่าเขาจะกลับมาเมือ
่ ไหร่

Can I have a message please?


ผมขอฝากข้อความถึงเขาหน่ อยได้ไหมครับ

Can you tell him __ [ชือ ่ ผูโ้ ทร] __called please?


ฝากบอกเขาว่า__ [ชือ
่ ผูโ้ ทร] __โทรมานะครับ

The receiver
ผูร้ บั สาย

How can I help you?


มีอะไรให้ชว่ ยไหมครับ
Just a moment please?
รอสักครูน
่ ะครับ

Would you like to leave a message?


ฝากข้อความไว้ไหมครับ

Don’t panic.
อย่าตกใจ

Chris Delivery Episode 11: Go Out – Siam Commercial Bank [ธนาคารไทยพาณิชย์]

Bank
ธนาคาร

Commercial
เกีย่ วกับการค้า, โฆษณาโทรทัศน์

Let’s take a commercial break.


พักชมโฆษณาสักครู่

Branch
สาขา, กิง่ ก้าน

Customer service
แผนกบริการลูกค้า

Account
บัญชี

I would like to open a bank account.


ผมต้องการเปิ ดบัญชีใหม่ครับ

You have to fill in the form.


คุณต้องกรอกแบบฟอร์มนะคะ

Fill in
กรอก

Deposit
ฝาก

I deposit some money at the bank.


ฉันฝากเงินบางส่วนทีธ่ นาคาร

Withdraw
ถอน

I withdraw some money from the bank.


ฉันถอนเงินบางส่วนจากธนาคาร
Automatic Teller Machine [ATM]
ตูบ
้ ริการเงินด่วนอัตโนมัติ

Teller
พนักงานธนาคาร

Cash Deposit Machine.


เครือ
่ งบริการถอน-ฝาก เงินอัตโนมัติ

Fund/ Corporate Bond


กองทุน/ หุน
้ กู้

Bond
พันธบัตร

Chris Delivery Episode 11: Speak Out- The Bank Robbery With Andy เข็มพิมุข

This money is fake.


นี่มน
ั เงินปลอม

What can I do for you?


มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ

I have a problem.
ฉันมีปญ
ั หา

I already deposited my money


ฉันฝากเงินไปแล้ว

1 million baht.
1 ล้านบาท

In my account, there is a mistake.



ในบัญชีของฉัน มีความผิดพลาดเกิดขึน

How can that be?


้ ได้อย่างไรกัน
มันเกิดขึน

I’ve got only 999,999 baht.


ฉันได้รบั แค่ 999,999 บาท

Where is my 1 baht?
เงินของฉันหายไปไหนตัง้ 1 บาท

Nine hundred and ninety-nine thousand, nine hundred and ninety – nine baht.
999,999 บาท

You lost 1 baht.


เงินคุณหาย 1 บาท
I cannot be a millionaire.
ฉันไม่สามารถเป็ น เศรษฐีเงินล้านได้

Very stingy.
งกมาก

I’ll help you look for your 1 baht.


ผมช่วยคุณหาเงิน1 บาท

Take it.
เอาไป

Everybody freeze!
ทุกคนหยุดอยูน
่ ิ่งๆ

You’re a professional.
คุณเป็ นมืออาชีพมาก

What can we do for you?


มีอะไรให้พวกเราช่วยไหมครับ

Everybody freeze and put your hands up.



ทุกคนหยุดแล้วยกมือขึน

Do you know who I am?


รูไ้ หมผมเป็ นใคร

I’m a bank robber.


ฉันเป็ นโจรปล้นธนาคาร

He is a bank rubber.
เขาเป็ นยางลบของธนาคาร!!!

I stole it from the bank.


ฉันขโมยมาจากธนาคาร

I’m going to rob you.


ฉันจะปล้นพวกแก

Right now, what I need from you…


ตอนนี้สงิ่ ทีฉ
่ น
ั ต้องการ คือ...

Both of you guys have the money, right?


แกทัง้ คูม
่ ีเงินใช่ไหม

Hold this.
ถือไว้

Put the money in that bag right now.


ใส่เงินไว้ในถุงเดีย๋ วนี้
All the money you’ve got.
เงินทัง้ หมดทีพ
่ วกแกมี

What are you doing?


แกกำลังทำอะไรน่ ะ

I’m putting the money in the bag.


ฉันกำลังจะใส่เงินไว้ในถุง

I have 1 baht.
ฉันมีเงิน 1 บาท

Are you calling the police?


แกจะโทรหาตำรวจเหรอ

I’ll kill you.


ฉันจะฆ่าแก

I’m not calling the police.


ผมไม่ได้โทรหาตำรวจ

I’m going to call the pizza boy.


ผมจะโทรหาเด็กส่งพิซซ่า

I’m hungry.
ผมหิว

I want a seafood pizza.


ฉันอยากกินพิซซ่าทะเล

I can order too?


ฉันสั่งได้ดว้ ยเหรอ

I would like a seafood pizza without seafood.


ฉันขอพิซซ่าทะเลไม่ใส่อาหารทะเล

I’m allergic to seafood


ฉันแพ้อาหารทะเล

[to be] allergic to ____


มีอาการแพ้ ____

I need you to put the money in the bag.


ฉันต้องการให้แกใส่เงินไว้ในกระเป๋ า

Quickly
เร็วๆ

It’s going to take a long time.


มันต้องใช้เวลานานนะ

Don’t play your games.


อย่ามาเล่นตุกติก

Step back.
ถอยหลังไป

I need you to put the money


ฉันให้แกใส่เงิน

In the bag quickly.


ไว้ในถุงเร็วๆ

Otherwise, I’ll kill this hostage.


ไม่อย่างนัน
้ ฉันจะฆ่าตัวประกัน

How do you know that.


คุณรูไ้ ด้อย่างไรว่า

I want to be an air hostess.


ฉันอยากเป็ นแอร์โฮสเตส

My dream comes true.


ฝันของฉันกลายเป็ นจริง

You explain to her.


แกอธิบายให้เธอฟังหน่ อย

Flight attendant
พนักงานต้อนรับบนเครือ
่ งบิน

I have a good idea.


ผมมีความคิดดีๆ

You should calm down.


คุณควรใจเย็น

I have some water for you.


ผมมีน้ำให้คณ

How nice!
อะไรจะดีอย่างนี้

I need to ask you a favor.


ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือหน่ อย

I’ve drunk too much water.


ฉันดืม
่ น้ำมากไปหน่ อย
I want to take a pee.
ผมต้องการไปปัสสาวะ

Take a poo
อุจจาระ

The bathroom is over there.


ห้องน้ำอยูท
่ างโน้น

I need you to hold


ผมต้องการให้คณ
ุ ถือ

this gun to your forehead.


ปื นนี้จอ
่ หน้าผากคุณไว้

Don’t let anybody come close to you at all.


อย่าให้ใครเข้าใกล้คณ
ุ เด็ดขาด

Take your time.


ไม่ตอ
้ งรีบ

Freeze! Step back!


หยุด! ถอยไป!

Get back!
ถอยไป!

Don’t come close to me.


อย่าเข้ามาใกล้ฉน

That’s my gun.
นั่นปื นของผม

You’re the hostage.


คุณเป็ นตัวประกัน

I’m a pizza boy.


ผมเป็ นเด็กส่งพิซซ่า

Where is my seafood pizza?


ไหนล่ะพิซซ่าทะเล

I’m a police man.


ผมเป็ นตำรวจ
นทีจ่ ะเป็ นแฟนหรือกิก
๊ โทรมา
ด จนบางคนถึงกับ

ม่ตอ
้ งใช้มุขหลีกเลีย่ งการคุยอย่างตัวอย่างข้างบนนะครับ แล้วคุณก็จะไม่ตอ
้ งกลัว phone call from hell อีกต่อไป!
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 12 : Say Hi – S/X Syndrome

Pronunciation
การออกเสียง

Box
กล่อง

There are sick people sitting over here.


มีคนป่ วยนั่งอยู่

Six people
หกคน

Sick people
คนป่ วย

Goose boy
เด็กห่าน

Good boy
เด็กดี

Breast
หน้าอกผูห
้ ญิง

Bread
ขนมปัง

Bus
รถประจำทาง

Butt
ก้น

Lady
ผูห
้ ญิง

Ready
พร้อม

Chris Delivery Episode 12: Go Out - Siam Ocean World

Ocean
มหาสมุทร

Ocean World
โลกใต้สมุทร
Crab
ปู

Weird
ประหลาด

Shrimp[s]
กุง้ ตัวเล็ก

Prawn[s]
กุง้ นาง ( กุง้ ขนาดกลาง)

Lobster
กุง้ มังกร

Angel
นางฟ้ า

Angle
มุมฉาก

You are a beautiful angle.


คุณคือผูห
้ ญิงหน้าเหลีย่ มทีส่ วยมาก

Eel
ปลาไหล

Watch out/ Look out


ระวัง

Tunnel
อุโมงค์

Coral reef
แนวปะการัง

Coral
ปะการัง

Clownfish
ปลาการ์ตูน

Fish tank
ตูป
้ ลา

Chris Delivery Episode 12: Speak Out – “Finding Nemo” with Cindy สิรน
ิ ยา บิชอฟ

Let me introduce you.


ให้ผมได้แนะนำให้คณ
ุ รูจ้ กั

This is my friend.
นี่คอ
ื เพือ
่ นของผม

Her name is Aqua.


เธอชือ
่ แอคควา

No, my name is Aqua, not the band.


ไม่ใช่ ฉันชือ
่ แอคควา ไม่ใช่วงแอคควา

I know Aqua.
ฉันรูจ้ กั วงแอคควา

Where is your equipment?


อุปกรณ์ ของคุณอยูไ่ หน

We are going to go scuba diving, right?


เรากำลังจะไปดำน้ำใช่ไหม

Yes, we are going to go scuba diving today.


ใช่เรากำลังจะไปดำน้ำกันวันนี้

I’m ready to go now.


ตอนนี้ฉน
ั พร้อมทีจ่ ะไปแล้ว

I want to go scuba driving.


ฉันต้องการทีจ่ ะไปขับรถ

Diving
การดำน้ำ

Driving
การขับรถ

You have to have a wet suit.


คุณต้องมีชุดดำน้ำ

Mask
หน้ากาก

Snorkel
ท่อช่วยหายใจ

Fins
ตีนกบ

Shrak’s fins soup


ซุปหูฉลาม
Are you a frog?
คุณเป็ นกบหรือเปล่า

Where is your wet suit?


ชุดดำน้ำของคุณอยูไ่ หน

How’s everything going?


คุณเป็ นอย่างไรบ้าง

I’m good.
ฉันสบายดี

When did you get to Bangkok?


คุณมาถึงกรุงเทพฯตัง้ แต่เมือ
่ ไหร่

Just last week.


เมือ
่ อาทิตย์ทผ
ี่ า่ นมา

I want to go diving.
ฉันต้องการไปดำน้ำ

I want to see the beautiful Thai ocean.


ฉันต้องการเห็นทะเลไทยทีส่ วยงาม

Why are you wearing a suit?


ทำไมคุณสวมเสื้อสูท

We speak English.
เราพูดภาษาอังกฤษกัน

I think we should go to the boat.


ผมคิดว่าเราควรไปทีเ่ รือได้แล้ว

What kind of animals are there in the Thai ocean?


ในทะเลไทยมีสตั ว์ประเภทไหนบ้าง

Are they dangerous?


อันตรายไหม

There aren’t any dangerous animals.


ไม่มีสตั ว์ทอ
ี่ น
ั ตราย

How about crocodiles?


แล้วจระเข้ละ่

We do have fresh water crocodiles.


เรามีจระเข้น้ำจืด

Crocodile
จระเข้
What type of animals are there in the gulf of Thailand?
ในอ่าวไทยมีสตั ว์ชนิดไหนอยูบ
่ า้ ง

If you want to play golf in Thailand.


ถ้าคุณต้องการทีจ่ ะตีกอล์ฟในประเทศไทย

You have to be careful of snakes and monitor lizards.


คุณต้องระวังงูและตัวเงินตัวทอง

gulf of Thailand
อ่าวไทย

Golf
กีฬากอล์ฟ

Andaman Sea
ทะเลอันดามัน

Are you ready? I’m going to start the boat.


คุณพร้อมหรือยัง ผมกำลังจะออกเรือ

Where is Nemo?
นีโมอยูไ่ หน

She fell off the boat.


เธอร่วงตกจากเรือไปแล้ว

Go find Nemo.
ไปตามหานีโม

Swim to the left.


ว่ายไปทางซ้ายซิ

Swim down to the coral.


ว่ายลงไปทีป
่ ะการัง

I can’t find Nemo.


ผมหานีโมไม่เจอ

Where did she go?


เธอไปอยูท
่ ไี่ หนนะ

Come back to the boat, maybe she’s at the beach.


กลับมาทีเ่ รือก่อน บางทีเธออาจจะอยูท
่ ช
ี่ ายหาด

I’m so worried.
ผมกลุม
้ ใจจังเลย

Do you hear that sound?


คุณได้ยน
ิ เสียงนัน
้ ไหม

What is that?
นั่นคืออะไร

It sounds awful.
มันเป็ นเสียงทีแ
่ ย่มาก

She looks like Nemo.


เธอดูเหมือนนีโม

Have you seen Pra Aphai Manee before?


คุณเคยดูเรือ
่ งพระอภัยมณีมาก่อนหรือเปล่า

No, I haven’t seen that movie.


ไม่ ฉันไม่เคยดูหนังเรือ
่ งนัน
้ มาก่อน

But I’ve seen the little Mermaid.


แต่ฉน
ั ได้ดูเรือ
่ งนางเงือกน้อย

You are a mermaid.


คุณคือนางเงือก

Yes, I am a little Mermaid.


ใช่แล้วฉันคือนางเงือกน้อย

I’m brushing my hair on the rocks.


ฉันกำลังหวีผมอยูท
่ โี่ ขดหิน

So you are half-human half-fish.


้ คุณเป็ นครึง่ มนุษย์ครึง่ ปลา
ดังนัน

I am not human and I don’t have any fish.


ฉันไม่ได้เป็ นมนุษย์ และ ฉันก็ไม่มีปลาด้วย

half-human half-fish.
ครึง่ มนุษย์ครึง่ ปลา

I have an idea.
ฉันมีหนึ่งแผนการ

Since I’m the owner of an aquarium,


ตัง้ แต่ฉน
ั เป็ นเจ้าของพิพธิ ภัณฑ์สตั ว์น้ำ

I think she would be a great show.


ฉันคิดว่าเธอต้องเป็ นโชว์ทยี่ อดเยีย่ ม

I would make a lot of money.


ฉันจะทำเงินได้มากมาย
If I could have her in my aquarium.
ถ้าฉันมีเธอในพิพธิ ภัณฑ์ของฉันได้

What do you think?


คุณคิดว่าอย่างไร

So you want to take her to your aquarium,


ดังนัน
้ คุณต้องนำตัวเธอไปพิพธิ ภัณฑ์สตั ว์น้ำ

Make a lot of money.


ทำเงินได้มากมาย

Good idea.
เป็ นความคิดทีด
่ ี

Do you want to come and live with me in my house?


คุณต้องการไปอยูก
่ บั ฉันทีบ
่ า้ นไหม

I have a big aquarium,


ฉันมีพพ
ิ ธิ ภัณฑ์สตั ว์น้ำทีใ่ หญ่

There are many animal, you would love it there.


มีสตั ว์มากมายคุณจะรักทีน
่ ่น

My father said …
พ่อบอกว่า ...

I shouldn’t go with the stranger.


ไม่ควรไปไหนกับคนแปลกหน้า

Play hard to get


เล่นตัว

I have to play hard to get.


ฉันต้องเล่นตัวซะหน่ อย

We have to catch her.


เราต้องจับเธอไว้

Wait here.
คอยอยูท
่ น
ี่ ี่กอ
่ น

She likes to eat frog’s feet.


เธอชอบกินตีนกบ

Take your bait.


มากินเบ็ดสิ

You got her.


คุณได้ตวั เธอแล้ว
Don’t take me.
อย่าเอาฉันไป
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 13: Say Hi – เทคนิคการอธิบายเมือ
่ อกเสียงไม่ถูกต้อง

Sword
ดาบ

Island
เกาะ

5 เทคนิคในการอธิบายเมือ่ อกเสียงคำภาอังกฤษไม่ถูกต้อง
1. สะกดคำ
2. ใช้ภาษากาย
3. อธิบาย
4.เขียนหรือวาดรูป
5. run away (วิง่ หนี)

Chris Delivery Episode 13: Go Out - Big Thank Mitsubishi

Anniversary
วาระครบรอบปี

Fair
งานแสดงสินค้า, ยุตธิ รรม

Refrigerator/ Fridge
ตูเ้ ย็น

Hand dryer
เครือ
่ งเป่ ามือให้แห้ง

Living room
ห้องรับแขก

Comfortable
สบาย

Electricity
เครือ
่ งใช้ไฟฟ้ า

Slim
บาง, ได้สดั ส่วน

Sensor
เครือ
่ งจับความเคลือ
่ นไหว

Human
มนุษย์

Multiple
หลากหลาย
Chris Delivery Episode 13: Speak Out- The Dog Hospital With Noowan

You are a cute dog.


เจ้าเป็ นหมาทีน
่ ่ ารัก

What can I do for you?


มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ

Who are you?


คุณเป็ นใคร

I’m a veterinarian.
ผมเป็ นสัตวแพทย์

I’m a vegetarian.
ฉันเป็ นมังสวิรตั ิ

I like to eat vegetables.


ฉันชอบกินผัก

Veterinarian
สัตวแพทย์

Vegetarian
ผูถ
้ ือมังสวิรตั ิ

I’m a vet.
ผมเป็ นสัตวแพทย์

Wet
เปี ยก

Vet(คำย่อของ Veterinarian)
สัตวแพทย์

What’s wrong with your dog?


สุนข
ั ของคุณเป็ นอะไร

I want to check
ฉันอยากตรวจดูวา่

If my dog is a mad dog or not?


สุนข
ั ของฉันเป็ น หมาบ้าหรือเปล่า

Please come in
เชิญเข้ามาเลยครับ

I changed my mind.
ฉันเปลีย่ นใจแล้ว
I’m afraid my dog might
ฉันกลัวว่าสุนข
ั ของฉันอาจจะ

Get rabies from her.


ติดโรคพิษสุนข
ั บ้าจากเธอ

Don’t worry, I don’t have any rabbits.


ไม่ตอ
้ งกังวล ฉันไม่มีกระต่ายสักตัว

I only have a dog.


ฉันมีแค่หมาตัวเดียว

Rabies
โรคพิษสุนข
ั บ้า

Rabbits กระต่าย

What’s your dog’s name? สุนข


ั ของคุณชือ
่ อะไร

His name is Makam. เขาชือ


่ มะขาม

What’s your dog’s name? สุนข


ั ของคุณชือ
่ อะไร

You look very familiar. หน้าคุณคุน


้ ๆนะ

Are you a model? คุณเป็ นนางแบบใช่ไหม

I’m a model for the most expensive diamonds. ฉันเป็ นนางแบบให้กบั เพชรทีแ
่ พงทีส่ ุด

What is wrong with your dog? สุนข


ั ของคุณเป็ นอะไรครับ

He has been acting very weird. เขาทำท่าแปลกประหลาด

He thinks he is Tony Ja. เขาคิดว่าเขาเป็ น จา พนม

But he looks very normal now. แต่เขาดูเป็ นปกติดีนะครับ

At home he doesn’t act like this. อยูท


่ บ
ี่ า้ นเขาไม่เป็ นอย่างนี้นะคะ

I have it on the video clip. ฉันมีภาพบางส่วนในวิดีโอคลิป

Can you please give him a shot? คุณหมอช่วยฉี ดยาให้เขาหน่ อยได้ไหมคะ

You think he needs to get a shot. คุณคิดว่าเขาต้องฉี ดยา

I came first. ฉันมาก่อน

I think he should get shot too. ฉันคิดว่าเขาควรโดนยิง เหมือนกัน


get a shot. ฉี ดยา

get shot ถูกยิง

What is wrong with your dog? สุนข


ั ของคุณเป็ นอะไรครับ

He is abnormal. เขาผิดปกติ

He looks perfectly normal. เขาดูเป็ นปกติทก


ุ อย่างเลย

Normally, dogs walk forwards, โดยปกติ สุนข


ั เดินไปข้างหน้า

But my dog walks backwards. แต่สุนข


ั ของฉันเดินถอยหลัง

Calm down. Sit and stay. ใจเย็นๆนั่งและอยูน


่ ิ่งๆ

I’ll see you soon. เดีย๋ วเจอกันนะครับ

Boss! boss! เจ้านายครับเจ้านาย!

I have to take a poo. ผมต้องไปอึ แล้ว

Do you hear that sound? คุณได้ยน


ิ เสียงนัน
้ ไหม

Calm down first. ใจเย็นๆก่อน

I’m going to get you some water. ฉันจะไปเอาน้ำมาให้

I’m afraid of water. ฉันกลัวน้ำ

She’s a lady that escaped. เธอเป็ นผูห


้ ญิงทีห
่ นีออกมา

From the mental hospital. จาก โรงพยาบาลบ้า

I’m following my girlfriend. ผมตามแฟนของผมมา

She escaped from me. เธอหนีผมมา

Take her away. พาเธอกลับไป

I don’t have any rabbits. ฉันไม่มีกระต่าย

I only have a dog. ฉันมีแค่หมาตัวเดียว


กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 14: Say Hi – Number

The batteries are dead.


ถา่ นหมด

Calculator
เครื่ องคิดเลข

It doesn’t work.
มั นไมทำ
่ งาน

How much is this?


อั นนี้ ราคาเทา่ ไหร่

Eight hundred and eighty – eight.


888

Five hundred and sixty – seven.


567

Comma
เครื่ องหมายจุลภาค

Four thousand, Five hundred and sixty – seven.


4,567

Thirty - four thousand, five hundred and sixty – seven.


34,567

Two hundred and thirty - four thousand, five hundred and sixty – seven.
234,567

Million
หนึ่ งลา้ น

1,234,567
One million, two hundred and thirty - four thousand, five hundred and sixty – seven

Billion
พั นลา้ น

Chris Delivery Episode 14: Go Out – Book Fair 2007

Queen Sirikit National Convention Centre


์ ระชุมแหง่ ชาติสริ ิ กิติ์
ศูนยป

Directory board
กระดานชี้แจงขอ
้ มูล
Phone directory
รายนามหมายเลขผู้ใช้โทรศั พท์

Boots
รองเทา้ บูธส ์

Booth
ซุ้ม

Field trip
ทั ศนศึกษา

Signature
ลายเซ็น(เป็ นทางการ)

Autograph
ลายเซ็น(ไมเ่ ป็ นทางการ)

Can I have your autograph please?


ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมครั บ

Chris Delivery Episode 14: Speak Out – Application With Buo

Huge Company Limited.


บริ ษัท มหึมา จำกั ด

Come in.
เขา้ มาได้ครั บ

Take a seat
เชิญนั ่ งครั บ

Are you Miss Angelina pump?


คุณแองเจลิน่า ปั๊ม ใชไ่ หมครั บ

Sorry sir, actually my name is Sarocha Tanjararak.


ขอโทษคะ่ ทา่ น จริ งๆแลว้ ดิฉันชื่อสโรชา ตั นจรารั กษ์

I thought you’re Angelina Pump.


ผมคิดวา่ คุณคือ แองเจลิน่า ปั๊ม

Because I’m waiting for her.


เพราะผมกำลั งรอเธออยู ่

And she’s not here yet.


และเธอก็ยังไมม
่ า

What can I do for you today?


มีอะไรใหผ
้ มชว่ ยครั บ
You should call me Mr.Wright.
คุณควรเรี ยกผมวา่ คุณไรท์

My name is Mrs.Angelina Pump.


ดิฉันชื่อนาง แองเจลิน่า ปั๊ม

Are you married?


คุณแตง่ งานหรื อยั งครั บ

Ms.
นางสาว

Mrs.
นาง

You came late,


คุณมาสาย,

So I have to talk to her first.


้ ผมต้องคุยกั บเธอกอ
ดั งนั น ่ น

What time is it?


กี่โมงแลว้

It’s nine fiveteen [9.15]


9โมง 15 นาที คะ่

A quarter to nine
8โมง 45 นาที

A quarter past nine


9โมง 15 นาที

You are half an hour late.


คุณมาสายครึ่ งชั ่วโมงครั บ

First come first serve


มากอ่ นไดก
้ อ่ น

I called you yesterday,


ดิฉันโทรหาคุณเมื่อวานนี้

I made an apartment with you!!!


ดิฉันสร้าง หอ
้ งเชา่ กั บคุณ

Do you live with her?


คุณพั กอยูก
่ ั บเธอหรื อคะ

I don’t have an apartment with her.


ผมไมไ่ ด้มีห้องเชา่ กั บเธอนะครั บ
Have an appointment.
ได้นัดหมายไว้

What would you like to do?


คุณต้องการทำอะไรครั บ

I would like to be your secretary.


ดิฉันต้องการเป็ น เลขา ของคุณคะ่

I want to be your security!!!


ดิฉันต้องการเป็ น พนั กงานรั กษาความปลอดภั ย ของคุณ

Security guard
พนั กงานรั กษาความปลอดภั ย

Secretary
เลขานุ การ

We have to fill in the application form.


เราตอ
้ งกรอกแบบฟอร์มใบสมั คร

Why is the application form very big?


ทำไมใบสมั ครมั นใหญจ่ ั งคะ่

Are you ready to fill in the application form?


คุณพร้อมที่จะกรอกใบสมั ครแลว้ ใชไ่ หม

I’ve got a huge thing.


ดิฉันมีสงิ่ ของที่ใหญด
่ ้วย

You have to put your picture.


คุณตอ
้ งติดรู ปคุณกอ่ น

Quick quick, no time!


เร็วๆสิไมม
่ ีเวลาแลว้

The picture is correct.


รู ปถูกต้องครั บ

Surname
นามสกุล

Sex
เพศ

Female
ผู้หญิง

Excellent
ยอดเยี่ยม

Do you come from the future?


คุณมาจากโลกอนาคตหรื อครั บ

I didn’t come from Future Park Bangkae.


ฉั นไมไ่ ด้มาจากฟิ วเจอร์พาร์ค บางแค

or Futer Park Rungsit.


หรื อ ฟิ วเจอร์พาร์ค รั งสิต

Put
ใส,่ วาง

Buddhist
ศาสนาพุทธ

If there is an emergency
ถ้ามีเหตุฉุกเฉิ น

Who can I contact?


ผมสามารถติดตอ
่ ใครไดบ
้ า้ งครั บ

How many languages can you speak?


คุณพูดได้ก่ีภาษาครั บ

3 languages.
สามภาษา

You speak some Chiness too.


คุณพูดภาษาจีนได้ด้วย

A little bit.
นิ ดหน่อยคะ่

What can you speak?


คุณพูดภาษาอะไรบา้ งครั บ

Copper
ทองแดง

Before I make my decision.


กอ
่ นผมจะตั ดสินใจ

I would like you to please tell me a little bit about yourself.


ผมต้องการให้คุณบอกผมเกี่ยวกั บตั วคุณ

My name is Sarocha.
ดิฉันชื่อสโรชา
I study at Thammasat University.
่ ่ีมหาวิทยาลั ยธรรมศาสตร์
ดิฉันกำลั งศึกษาอยูท

Majoring in psychology.
เรี ยนวิชาเอกจิตวิทยา

In the future I want to be a psychologist.


ในอนาคตดิฉันอยากเป็ น นั กจิตวิทยา

You want to help Thai people in psychology.


้ งการชว่ ยคนไทยในเรื่ องของจิตวิทยา
คุณตอ

What do you do in your free time?


เวลาวา่ งคุณชอบทำอะไร

In my free time I like to read books.


เวลาวา่ งดิฉันชอบอา่ นหนั งสือ

Can you please tell me a little bit about yourself?


ชว่ ยบอกผมหน่อยได้ไหมเกี่ยวกั บตั วคุณเอง

My name is Angelina Pump.


ฉั นชื่อ แองเจลิน่า ปั๊ม

I am my mother’s daughter!!!
ฉั นเป็ นลูกสาวของแมฉ
่ ั น!!!

And I am a sister of my brother!!!


และฉั นก็เป็ นพี่สาวของน้องชายฉั น!!!

Anything else.
มีอยา่ งอื่นอีกไหม

A little bit
นิ ดหน่อย

Congratulations Khun Bua.


ยินดีดว้ ยครั บคุณบั ว

You can be my secretary.


คุณมาเป็ นเลขาให้ผม

Thank you I won’t let you down.


ขอบคุณคะ่ ดิฉันจะไมทำ
่ ใหค
้ ุณผิดหวั ง

I want let you down too.


ดิฉันอยากทำให้คุณผิดหวั งด้วย

I have a new member in your team for you.


ผมมีสมาชิกใหมใ่ ห้ทีมคุณ
She wants to be the security staff.
เธอต้องการเป็ นพนั กงานรั กษาความปลอดภั ย
กลับไปยังหน้าเดิม

Chris Delivery Episode 15: Say Hi – The things you can say to Farang during Songkran

Where are the aliens?


พวกมนุ ษยต
์ า่ งดาวอยูไ่ หน

What is Songkran?
์ ืออะไร
สงกรานตค

It’s the Thai New Year.


เป็ นวั นปี ใหมไ่ ทย

It’s a water festival.


เป็ นเทศกาลการเลน
่ น้ำกั น

When is Songkran?
์ ือชว่ งเวลาใด
วั นสงกรานตค

It’s on the 13th – 15th of April.


วั นที่ 13-15 เมษายน

It’s the hottest month in Thailand.


มั นเป็ นเดือนที่ร้อนที่สุดในประเทศไทย

Please don’t throw water on me.


กรุ ณาอยา่ สาดน้ำมาที่ตัวผมนะครั บ

Is it ok to throw water on you?


จะโอเคไหมครั บถ้าผมจะสาดน้ำใสค่ ุณ

Pay respects to the elderly.


รดน้ำดำหั วผูใ้ หญ่

Take advantage
เอาเปรี ยบ

Can I put some powder on you please?


ขอปะแป้งคุณหน่อยได้ไหมครั บ

Please don’t touch me.


กรุ ณาอยา่ จั บผมครั บ

Chris Delivery Episode 15: Go Out – Motor Show visit

Motor
เครื่ องยนต์

Limited edition
ผลิตมาจำนวนจำกั ด
Ride
ขั บขี่

Pride
ความภูมิใจ

Classic car
รถโบราณ

Classic
ยอดเยี่ยมม, ดีเดน
่ ทุกสมั ย

Pickup truck
รถกระบะ

PR girls
สาวประชาสั มพั นธ์

Public Relations
ประชาสั มพั นธ์

Saloon
รถยนต์ 4 ประตู

Salon
ร้านทำผม

Park [P]
จอด

Reverse [R]
ถอยหลั ง

Neutral [N]
เกียร์วา่ ง

Drive [D]
ขั บ

Drive safely
ขั บรถอยา่ งปลอดภั ย

Chris Delivery Episode 15: Speak Out – Songkran Road Trip with PK

When did you get back to Thailand?


้ เ่ มื่อไหร่
นายมาถึงเมืองไทยตั งแต

I just came in last night.


ฉั นเพิ่งมาถึงเมื่อคืน
Who’s the chick?
หญิงสาว คนนี้ คือใคร

This is my girlfriend.
นี่ คือแฟนของฉั น

You have a very nice name.


ชื่อคุณเพราะมากครั บ

Where are we going today?


เรากำลั งจะไปไหนกั นวั นนี้

Since it’s the Songkran festival,


ในเมื่อเป็ นวั นสงกรานต์

We’re thinking of talking you to Chiang Mai.


เราคิดวา่ จะพานายไปเชียงใหม่

We’re going to your hometown.


เรากำลั งจะไปบา้ นเกิดของคุณ

How are we going?


เราจะไปกั นอยา่ งไร

My car broke down, it’s in the garage.


่ ่ีอู่
รถฉั นเสียอยูท

You can go by my car.


นายไปรถฉั นก็ได้

I have a very big and cool car.


รถฉั น เจง๋ และคั นใหญม
่ ากดว้ ย

Cool
เย็น, เจว๋ ,เท่

I have a problem.
ฉั นมีปัญหา

Can you be my navigator?


นายเป็ น ผู้นำทาง ให้ฉันหน่อยได้ไหม

I don’t know how to go there.


ฉั นไมร่ ู้ วา่ จะไปที่นั่นอยา่ งไร

Which route do we have to take?


้ ทางไหนที่เราต้องไป
เสน

Let’s go straight.
ตรงไปเลย

I have another question.


ฉั นมีอีก 1 คำถาม

How long will it take to go to Chiang Mai?


นานแคไ่ หนกวา่ จะไปถึงเชียงใหม่

You can take your father, mother the whole family!!!



คุณเอาพอ่ แม่ หรื อครอบครั วทั งหมดไปดว้ ยได้

It takes ten hours to go to Chiang Mai.


ใช้เวลา 10 ชั ่วโมงที่จะไปถึงเชียงใหม่

Shortcut
ทางลั ด

Turn right!!!
เลี้ยวขวา

Who farted?
ใครตดเนี่ ย

Did you fart?


นายตดหรื อเปลา่

You didn’t drive too fast.


คุณขั บไมเ่ ร็วหรอก

Fast
รวดเร็ว

Fart
ผายลม

I don’t understand.
ผมไมเ่ ขา้ ใจ

What are you trying to say?


คุณพยายามจะบอกอะไร

You have to be careful of the opposing traffic.


้ งระวั งรถที่กำลั งสวนมา
คุณตอ

Do you know how to fix the car?


นายรู้ ไหมวา่ จะซอ
่ มรถอยา่ งไร

I need some tools.


้ งการ เครื่ องมือ
ฉั นตอ
The tools are at the back.
เครื่ องมือทั งหมดอยู
้ ห
่ ลั งรถ

You can fix the car.


คูณสามารถซอ่ มรถได้

Open the skirt!!!


เปิ ดกระโปรงซิ

What are you doing man?


นี่ นายกำลั งทำอะไรเนี่ ย

Wait, don’t misunderstand.


เดี๋ยวกอ่ นอยา่ เพิ่งเขา้ ใจผิด

Open the hood.


เปิ ดกระโปรงรถ

Hood [อเมริ กา]

Bonnet[อั งกฤษ]
กระโปรงรถยนต ์

What’s wrong with the car?


รถเป็ นอะไรไป

We have a major problem.


เรามีปัญหาใหญแ่ ลว้

I can’t fix it man.


ฉั นซอ
่ มไมไ่ ด้

I have good news.


ฉั นมีขา่ วดี

I saw a gas station over there.


ฉั นเห็นปั๊มน้ำมั นอยูต ้
่ รงนั น

I think we have to push the car.


ฉั นคิดวา่ เราต้องเข็นรถกั นละ่

I’m gonna drive.


ฉั นจะเป็ นคนขั บรถ

You look for the cars


นายคอยระวั งรถ

And you push.


และคุณเป็ นคนเข็น
Here we are.
่ ่ี ไง
เราอยูน

We are so lucky.
เราโชคดีมาก

Where do you come from?


พวกคุณมาจากที่ไหนกั น

We come from Bangkok.


พวกเรามาจากกรุ งเทพ

Where are we?


่ ่ีไหนเนี่ ย
เราอยูท

Why do you come to China?


ทำไมพวกคุณมาที่ประเทศจีนละ่
กลับไปยังหน้าเดิม
Chris Delivery Episode 16 – Say Hi: เรี ยนภาษาอั งกฤษจากหนั งเรื่ อง Superman

คราวกอ่ นเราเคยพูดถึงการเรี ยนรู ้ ภาษาอั งกฤษโดยการดูหนั งไทยเปิ ด subtitle อั งกฤษไปแลว้ มาคราวนี้ ลอง advance ขึ้นมาอีกหน่อยดว้ ยการดูหนั งฝรั ่ งแตเ่ ปิ ด subtitle อั งกฤษดูบา้ งเพื่อ ที่เราจะไดเ้ ขา้ ใ
เคา้ พูดสื่อสารกั นในหนั งนั น
้ ใชคำ
้ กั นยั งไงบา้ ง

You’re bald. คุณหั วลา้ น


Listen, what do you hear? ลองฟังซิ คุณได้ยินเสียงอะไร
Nothing. ไมไ่ ด้ยินอะไรเลย
Everyday I hear people crying foe one. ทุกๆวั นผมไดย้ ินผูค
้ นร้องเรี ยกความชว่ ยเหลือ

Chris Delivery Episode 16 - Go Out: โรงเรี ยนสอนภาษาหาได้ท่ี B2S

Bestseller ของขายดี เชน


่ หนั งสือ, เพลง
Cartoons ภาพการ์ตูน
Comics หนั งสือการ์ตูน
VCD Video Compact Disc
DVD Digital Video Disc
Museum พิพิธภั ณฑ์
Ghost ผี
Goat แพะ
Horror Movie หนั งผี
Horror ความน่ากลั ว
Science Fiction นิ ยายวิทยาศาสตร์
Science วิทยาศาสตร์
Fiction นิ ยาย (เรื่ องแตง่ )
Chill Out การพั กผอ่ น, ทำตั วสบายๆ
Chill เย็น

Chris Delivery Episode 16 - Speak Out: The Band Reunion with โต๋

Get back together with my old band. กลั บมารวมวงอีกครั ง้


Let’s hear it for Mr. Tor. ขอเสียงให้กับคุณโตห
๋ น่อยครั บ

Long time no see. ไมเ่ จอกั นตั งนาน
We used to play in the same band. เราเคยเลน
่ ดนตรี ในวงดนตรี เดียวกั น
Where is the bass player? มือเบสอยู ไ่ หนละ่
You practice your song first. คุณซ้อมเพลงกอ
่ นแลว้ กั น
Do you see the incense sticks over there? คุณเห็นธูปตรงนู ้ นไหม
Is this your girlfriend? นี่ แฟนคุณหรื อ
What can we do for you? มีอะไรให้เราชว่ ยไหมครั บ
I’m going to be your bass player. ฉั นจะมาเป็ นมือเบสให้คุณ
We already have a bass player. พวกเรามีมือเบสแลว้
He can’t come today. วั นนี้ เขามาไมไ่ ด้
He’s got some problems. เขามีปัญหาบางอยา่ ง
Bite กั ด
Nail เล็บ
You have to come to audition first. คุณต้องมาทดสอบเพื่อคั ดเลือกกอ่ น
I came here by an air-conditioned bus. ฉั นมาที่น่ี โดยรถประจำทางปรั บอากาศ
audition ทดสอบเพื่อคั ดเลือกนั กดนตรี , นั กแสดง
Let’s give her a chance. ให้โอกาสเธอสั กครั ง้
่ เครื่ องดนตรี ได้หลายอยา่ ง
I can play many musical instruments. ฉั นเลน
First example. ตั วอยา่ งแรก
I can blow my mouth. ฉั นเป่าปากได้ >> เป็ นประโยคที่ผิด
Whistle ผิวปาก
What can you play? คุณเลน
่ อะไรไดบ
้ า้ ง
I can play Thai musical instruments. ฉั นเลน ่ เครื่ องดนตรี ไทยได้ด้วย
This song sounds familiar. เพลงนี้ ฟังคุน
้ ๆนะครั บ
Are you copying his song? คุณกำลั งลอกเพลงเขาหรื อเปลา่
He copied my song. เขาลอกเพลงของฉั น
We don’t have enough time. เรามีเวลาไมพ
่ อแลว้
We’re running late. เราเริ่ มจะสายแลว้
We have a dress rehearsal today. วั นนี้ พวกเรามีการซ้อมใหญ่
dress rehearsal การซ้อมใหญ่ (ใช้สำหรั บการซ้อมดนตรี , ละคร, การแสดง)
rehearsal การฝึ กซ้อม (ใช้สำหรั บการซ้อมดนตรี , ละคร, การแสดง)
Welcome to the band. ขอตอ
้ นรั บเขา้ สูว่ งดนตรี ของเรา

Song: When You Say Nothing At All

It’s amazing how you can speak right to my heart. น่าประทั บใจที่เธอสามารถพูดได้ถึงกลางใจฉั น
Without saying a word, ไมต
่ ้องพูดอะไรเลย
You can light up the dark. เธอก็สามารถทำใหเ้ กิดแสงสวา่ งในความมืดได้
Try as I may. I could never explain, ขนาดฉั นได้ลองพยายามแลว้ ก็ยังอธิบายไมไ่ ด้วา่
What I hear when you don’t say a thing. ฉั นได้ยินอะไรบา้ งตอนที่เธอไมพ
่ ูดอะไร
The smile on your face รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
Lets me know that you need me. ทำให้ฉันรู้ ได้เลยวา่ เธอต้องการฉั นจริ งๆ
There’s a truth in your eyes, แลว้ ความจริ งจากดวงตาของเธอ
่ ีวันทิ้งฉั นไป
Saying you’ll never leave me. บอกวา่ เธอจะไมม
The touch of your hand สั มผั สจากมือของเธอ
Says you’ll catch me whenever I fall. บอกกั บฉั นวา่ เธอจะคอยจั บฉั นไวต ้ อนที่ฉันลืม
You say it best, when you say nothing at all. เธอพูดทุกอยา่ งได้ดีท่ีสุด เมื่อตอนที่เธอไมพ
่ ูดอะไรเลย
้ นฉั นได้ยินคนพูดกั นมากมาย
All day long I can hear people talking out loud. ตลอดทั งวั
But when you hold me near, แตเ่ มื่อเธอกอดฉั นไว้
You can drown out the crowd. เธอทำให้คนรอบๆขา้ งหายไป
Try as they may, they could never define, ถึงคนเขาจะพยายามกั นแคไ่ หน เขาก็อธิบายไมไ่ ด้
What’s been said between your heart and mine. วา่ เราพูดอะไรกั นระหวา่ งใจของเธอกั บฉั น
The smile on your face รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
Lets me know that you need me. ทำใหฉ
้ ั นรู้ ไดเ้ ลยวา่ เธอตอ
้ งการฉั นจริ งๆ
There’s a truth in your eyes, แลว้ ความจริ งจากดวงตาของเธอ
่ ีวันทิ้งฉั นไป
Saying you’ll never leave me. บอกวา่ เธอจะไมม
The touch of your hand. สั มผั สจากมือของเธอ
Says you’ll catch me whenever I fall. บอกกั บฉั นวา่ เธอจะคอยจั บฉั นไวต ้ อนที่ฉันลม้
You say it best, when you say nothing at all เธอพูดทุกอยา่ งได้ดีท่ีสุด เมื่อตอนที่เธอไมพ
่ ูดอะไรเลย
American and British English Usage 
้ มูลนี้ แปลเรี ยบเรี ยงจาก  www.scit.wlv.ac.uk/~jphb/american.html  
หมายเหตุ  ขอ

คำชี้ แจง  

่ นที่ 1 
สว

ในสว่ นนี้ เป็ นเรื่ องของความแตกตา่ งในการใชต


้ ั วสะกดคำ คำที่มีเครื่ องหมายดอกจั นหมายถึงการออกเสียง
ก็แตกตา่ งกันด้วย คำที่มีครื่ องหมายบวกหมายความวา่ เป็ นการใชใ้ นอังกฤษเทา่ นัน้ และไมเ่ ป็ นที่รู้จัก ในสหรัฐอเมริ กา

American British หมาย


aluminum * aluminium อลูมิเนี ยม
analog analogue การเก็บและแสดงขอ ้ มูลในลั กษณะตอ่ เนื่ อง ตรงขา้ มกั บ
anesthesia anaesthesia การสลบ
archeology archaeology โบราณคดี
"boro" เป็ นคำที่ใชอ ้ ยา่ งไมเ่ ป็ นทางการ ในสก็อตแลนดใ์ ช้
boro borough
"borough" แตไ่ มใ่ ช ่ "berg".
กฏหมายทอ ้ งถิ่น กฏหมายรอง หรื อกฏระเบียบที่องคก ์ ารสาธ
bylaw bye law
ปฏิบัติเป็ นการภายใน
catalog catalogue +  แคตาล็อก
center centre ศูนยก์ ลาง
color colour สี
defense defence การป้องกั น
dialog dialogue + บทสนทนา
"donut" ใชใ้ นอังกฤษอยา่ งไมเ่ ป็ นทางการอยา่ งแพร่หลายเพ
donut doughnut
มีกำเนิ ดจากอเมริ กัน.
draft draught การดึง ดูด  สูดดม การดื่มยา การไขน้ำจากถัง  การถอนเงิน
encyclopedia encyclopaedia สารานุ กรม
favorite favourite ของโปรด
gray grey + สีเทา
gynecology gynaecology นรี เวช
honor honour เกียรติยศ
humor humour อารมณ์ขัน
jewelry jewellery ของประดั บมีคา่ เชน ่ แหวน สร้อย
license licence British usage ใช้ license
maneuver manoeuvre  การฝึ กซ้อมของทหาร ขันตอน ้ กระบวนการของการทำงาน
meter metre หน่วยวัดความยาว เป็ นเมตร
mold mould ดินร่วน ซากไมผ ้ ุพัง ขึ้นรา แมพ ่ ิมพแ์ บบ
mustache moustache + หนวด
nite night "nite" ใชอ ้ ยา่ งไมเ่ ป็ นทางการทังอ ้ ั งกฤษและอเมริ กัน
omelet omelette + ไขเ่ จียว
pajamas US pyjamas ชุดนอน
practice practise อั งกฤษใช้ "practise"สำหรั บคำกริ ยาและ
program programme อั งกฤษใช"้ program" สำหรั บคอมพิวเตอร์ และ
story storey ้
ชั นของอาคาร
sulfur sulphur +  ปัจจุบันอังกฤษใช้ sulfur เป็ นคำทางการ
thru through + thru ไมค ่ อ่ ยใชใ้ นสหรัฐแลว้
tire tyre ยางรถยนต์
vise vice เครื่ องมือ

่ นที่ 2  
สว

้ ที่ตา่ งกั น คำที่มีเครื่ องหมายดอกจั นหมายถึงคำที่ไมเ่ ป็ นที่คุน


เป็ นการใชคำ ้ เคยสำหรั บคนที่ใช้ British English

American /canadian British หมาย


airplane * aeroplane  เครื่ องบิน
AM Medium Wave  ระบบการกระจายเสียงวิทยุโดยใช้
antenna aerial เสาอากาศ
apartment flat อพาร์ทเมน ้ ต์
apartment house/building block of flats อพาร์ทเมน ้ ตใ์ นลักษณะที่เป็ นอาคาร  
appetizer starter, hors d'oeuvre อาหารเรี ยกน้ำยอ่ ย
area code dialling code เลขรหัสโทรศั พท์
attorney lawyer ทนายความ
automated teller machine (ATM) cashpoint เครื่ องกดเงิน ATM
baby carriage pram, perambulator รถเข็นเด็ก
baking soda bicarbonate of soda Sodium bicarbonate ใชในการประกอบอาหาร
ball-point pen Biro คำนี้ ในอังกฤษมีท่ีมาจาก ผูท ้ ชาวฮั งกาเรี ยนชื่อ
้ ่ีคิดคน
bar pub, public house ร้านจำหน่ายเครื่ องดื่ม
bathrobe dressing gown เสื้อคลุมอาบน้ำ
bathroom toilet ห้องน้ำ   โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ภายในบา้ น
bathtub bath อา่ งอาบน้ำ
คำวา่ beer ใน British English
beer lager
สว่ นคำวา่ lager เป็ นเบียร์ซ่ึงกลั่นโดยหมักอุณหภูมิต ่ำ มีอัล
bell pepper * red pepper, green pepper  พริ กหวานขนาดใหญ่ ซึ่งมีทังสี ้ เขียว เหลือง และแดง
bill note ธนบั ตร
billion thousand million พั นลา้ น
biscuit scone  ขนมปังกรอบ
Brit Briton คนอังกฤษ
bun bap, roll ขนมปังก้อนใชทำ ้ แฮมเบอร์เกอร์
ในอั งกฤษ coach เป็ นรถโดยสารระหวา่ งเมือง มีขันเดี ้ ยว ร
bus coach
เหมือนกั นเป็ นรถโดยสาร 2
busy signal engaged tone ไมว่ า่ ง ( โทรศั พท ์ )
cafeteria canteen ห้องอาหาร
candy sweet ลูกกวาด
carousel merry-go-round มา้ หมุน
cart trolley รถเข็นของชอ ้ ปปิ้ ง
cell phone, cellular phone mobile phone โทรศั พทม ์ ีอถีอ  บางที่เรี ยก"the mobile"
check cheque เช็ค 
checkers draughts หมากรุ ก
checking account current account บัญชีกระแสรายวัน บัญชีเดินสะพัด
chief executive officer (CEO) managing director (MD) กรรมการผูจ้ ั ดการบริ ษัท
chips crisps มั นผรั ่ งทอดบางๆ กินเป็ นของวา่ ง
เมือง  ในการใชแ ้ บบอเมริ กัน
city town แมจ้ ะมีประชากรไมก ่ ่ีร้อย แตในการใชแ ้ บบ
หรื อ royal warrant ประกาศวา่ นั่นคือ
closet fitted wardrobe ตูเ้ สื้อผา้ ขนาดใหญส ่ ร้างถาวรขนาดเดิน เขา้ ไปได้
ที่นั่งผูโ้ ดยสารชั นประหย
้ ั ดบนรถไฟหรื อเครื่ องบิน  ใน
coach economy ้ ่
ชั นเดียวทีไมใ่ ชร่ ถโดยสารประจำทาง
collect call * reverse charge call โทรศั พทเ์ ก็บเงินปลายทาง
อาคารที่พักอาศั ย  British English
condominium, condo * block of flats ที่ครอบครองโดย 2 ประเทศ
ห้องพัก. แต่ "condominium"
cookie biscuit (sweet) คุ๊กกี้
cooler cool box กลอ่ งบุเก็บความเย็น
corn starch corn flour แป้งขา้ วโพด
crackers biscuits ขนมปังกรอบ  ใน British English
crosswalk pedestrian crossing ทางขา้ มมา้ ลาย
daylight saving(s) time (British) summer time ใน AE "summer time" หมายถึงระยะเวลาในชว่ ง
dead end cul-de-sac ทางตั น ไมม ่ ีทางไปหรื ออาจมีวงเวียนให้กลั บรถ
deck pack ไพ่
desk clerk receptionist โต๊ะรี เซปชั ่น เชน ่ ในโรงแรม
detour diversion ทางเบี่ยง
diaper * nappy ผา้ ออ ้ มเด็ก
differ... than differ... from แตกตา่ งจาก
diner café ห้องอาหารที่มักจะมีเคาน์เตอร์ยาวให้นั่งเหมือนห้องอาหารใน
ลดราคาสำหรั บคา่ ดูหนั ง ละคร สำหรั บนั กศก ึ ษาหรื อผูส้ ูงอายุเ
discount concession
แจง้ ราคาจริ ง และราคา concession
district attorney public prosecutor อัยการ
downtown town centre ยา่ นศูนยก์ ลางธุรกิจ
drapes * curtains ผา้ มา่ น
dresser chest of drawers, dressing table โต๊ะแตง่ หน้าของผูห ้ ญิง
driver's license US, driver's permit Can driving licence  ใบอนุ ญาตขับขี่
drug store pharmacy, chemists ร้านขายยาและขายผลิตภั ณฑส ์ ว่ นตั วดว้ ย เชน ่ สบู ่ ยาสีฟันเป
editorial leader บทบรรณาธิการ
electrician's tape insulating tape เทปพั นสายไฟ
elementary school primary school โรงเรี ยนประถม
elevator lift ลิฟท์
ประเทศสหราชอาณาจักร   ซึ่งคนอเมริ กันมักจะเรี ยก
England United Kingdom
สก็อตแลนด์ และนอร์ธเทิร์นไอร์แลนด์
entree main course ใน  British Enlish "entree"
eraser rubber ยางลบ
exit junction ทางออกของถนน   แตถ ่ า้ ทางออกภายในตึกใช้
expressway main road ถนนซึ่งรถใชค ้ วามเร็ว
Exxon Esso บริ ษัทขายน้ำมั น ปัจจุบันชื่อ
eyeglasses spectacles, specs แวน ่ ตา ปกติใช ้ "glasses"
fair show งานออกร้าน
fall autumn ฤดุใบไมร้ ่วง
faucet * tap ก๊อกน้ำ
feminine napkin sanitary towel ผา้ อนามัย
first floor ground floor ้
ชั นแรกของตึ กที่อยูต่ ิดพื้น  first floor
flashlight torch ไฟฉาย
football American football ฟุตบอลอเมริ กัน
ทางดว่ นที่รถใชค ้ วามเร็วและจำกั ดทางเขา้  อเมริ กันใช้
freeway motorway "causeway", "express way", "parkway"
"freeway" ในความหมายถึงถนนที่ตอ ้ งเสียคา่ ผา่ นทาง
french fries chips ่
มันฝรังทอด.
garbage, trash rubbish, refuse ขยะ
garbage can dustbin ถังขยะ
gas petrol น้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ . British
girl scouts US girl guides เนตรนารี
golden raisin US sultana ลูกเกด
ground earth สายดินของอุปกรณ์ไฟฟ้า
ground minced เนื้ อบด
โรงเรี ยนระดับมัธยมระบบการศก ึ ษาสำหรับเด็กอายุต ่ำกวา่
กลา่ วคือจากอายุ 5 ถึง 11 ปี เด็กจะเขา้ เรี ยนในระดับประถม
high school secondary school
"reception". จาก 11 ถึง 18
ในอั งกฤษหมายถึงโรงเรี ยนสำหรั บเด็กหญิง
hog pig หมู  ชาวนาอั งกฤษเรี ยก "hog"
hood bonnet ผา้ คลุมศรี ษะซึ่งมั กจะมีท่ีผูกใตค
้ าง
incorporated limited บริ ษัท
industrial park industrial estate ยา่ นอุตสาหกรรมและการคา้
installment plan hire purchase เชา่ ซื้อ
intersection cross roads สี่แยก
intermission interval การหยุดพั กระหวา่ งการแสดงหรื อภาพยนตร์
interstate *US main road, major road, trunk road ถนนเชื่อมเมืองตา่ งๆ
Inuit Eskimo ชาวเเอสกิโม
janitor * caretaker ภารโรง คนทำความสะอาด
jack socket Connector ( ชอ่ งเสียบสาย
Jell-o jelly เยลลี่ ( ของหวาน )
john toilet ห้องน้ำ
kindergarten nursery โรงเรี ยนอนุ บาล
Kleenex tissues กระดาษชำระ
last name surname นามสกุล
license plate / license tag number plate ป้ายทะเบียนรถ
line * queue เขา้ คิว
liquor spirits เหลา้ เครื่ องดื่มอั ลกอฮอล์ รวมวิสกี้ ยิน วอดก้า
liquor store off licence ร้านขายเหลา้
lobby foyer หอ ้ งโถงดา้ นหน้าของโรงแรม โรงมหรสพ
locker room changing room หอ ้ งเก็บของ เปลี่ยนเสื้อผา้ โดยเฉพาะสำหรับนักกีฬา
low fat milk semi skimmed milk นมพร่องมันเนย
ใน American English  คำวา่
lumber timber
เมื่อตัดเป็ นทอ่ นๆแลว้ เรี ยก lumber 
lunch pail lunch box กลอ่ งอาหารกลางวัน
ลูกกวาดใสช้ อคโคแลตเคลือบน้ำตาลสีตา่ งๆ อเมริ กันมีลูกกว
M&M Smarties

เป็ นชอคโคแลต ทั งสองคำเป็ นชื่อเฉพาะ
mail post โดยทางไปรษณี ย ์
mall shopping centre ศูนยก์ ารคา้
mass transit public transport การขนสง่ มวลชน
Master Card Access บริ ษัทเครดิตการ์ด
master of ceremonies compere พิธีกร
mean bad tempered ใจร้าย    ใน British English "mean"
meat grinder mincer ที่บดเนื้ อ
mobile home caravan บา้ นเคลื่อนที่ ( รถพว่ ง )
mortician * undertaker สั ปเหร่อ
movies films ภาพยนต์
movie theater cinema โรงภาพยนต์
native americans american indians ชนพื้นเมืองอเมริ กัน ( เผา่ อินเดียนแดง
แตม ้ ศูนย ์ ใชใ้ นการรายงานคะแนนกีฬา 
oh nil
oh nil
แต่ British English จะพูด
operating room operating theatre หอ ้ งผา่ ตัด
overpass flyover ทางรถยนตร์ลอยขา้ มถนน
pantihose/pantyhose tights ถุงน่องสตรี     ใน American English 
pants trousers กางเกง   ใน British English 
paraffin wax ขี้ผ้ึง
parking lot car park ที่จอดรถ
penny cent เหรี ยญ 1 เซน ็ ต์
period full stop จุด . ทา้ ยประโยค
plastic wrap clingfilm พลาสติกใสสำหรั บหุ้มหอ ่ อาหาร
powdered sugar US icing sugar นำ้้ตาลป่นไอซิ่ง
pre-natal ante-natal กอ ่ นคลอด
preserves jam, marmalade แยมทาขนมปัง เชน ่ แยมสตรอเบอรี่
private school public school โรงเรี ยนเอกชนที่ตอ ้ งเสียคา่ ใชจ้ า่ ย
public school state school
railroad railway ทางรถไฟ
rent hire เชา่ รถ
restroom toilet ห้องน้ำ
résumé curriculum vitae (CV) เอกสารประวัติผลงานบุคคลเพื่อสมัครงาน  
robe dressing gown เสื้อคลุม
round trip US return ตั๋วไป-กลับ
run ladder รอยขาดที่ถุงน่อง
running shoes trainers รองเทา้ สำหรับวิง่
sales clerk shop assistant พนักงานขายของ
sales tax VAT ภาษี มูลคา่ เพิ่ม
sanitary napkin sanitary towel ผา้ อนามั ย
schedule timetable  ตารางกำหนดการ
Scotch Tape Sellotape เทปเหนี ยวใส
second floor first floor ้ ่สองของตึกใน  British
ชั นที
sedan saloon รถเกง๋ 2 หรื อ 4 ประตู
shoestring Obs bootlace, shoelace + เชือกผูกรองเทา้
shrimp prawn กุ้ง   สำหรับ BE "shrimps"
sidewalk pavement or footpath ทางเดินเทา้
silverware cutlery มีด ชอ ้ น สอ้ ม
sneakers trainers รองเทา้ วิง่
soccer football ฟุตบอล
soda soft drink น้ำ้อัดลม.
store shop ร้านขายของ.
stove cooker, oven เตาทำอาหาร
อเมริ กันใช ้ "streetcar", "tramway" and "trolley"
สาธารณะที่ไมไ่ ดใ้ ชกำ้ ลังจากการเผาไหมภ ้ ายในเครื่ องยนต  

streetcar tram 1. cable car รถลากดว้ ยสายเคเบิล
2. tram รถที่วงิ่ บนราง เป็ นรถใชไ้ ฟฟ้า
3. trolley bus รถบั สที่ใชไ้ ฟฟ้า
stroller push chair, baby buggy รถเข็นเด็ก
subway underground railway รถขนสง่ มวลชนใตด ้ ิน
teller cashier พนักงานเก็บเงินในธนาคาร ร้านคา้
thread cotton ด้ายเย็บผา้
townhouse * terrace house ทาวน์เฮา
trailer, trailer home caravan รถพว่ งที่ทำเป็ นบา้ น
train station railway station สถานี รถไฟ
transit public transport การขนสง่ ในการเดินทาง
truck lorry รถบันทุก
trunk boot ที่เก็บของ ( กระโปรง )ทา้ ยรถ
tub bath อา่ งอาบน้ำ
turtle neck polo neck เสื้อคอกลมติดคอมีปกตลบลงมา
tuxedo dinner jacket ชุดทักซิโด
two weeks fortnight 14  วั น
undershirt vest เสื้อกั กชั ้
๊ นใน
vacation holiday วั นหยุด
washroom toilet ห้องน้ำ
welfare benefit สวัสดิการสั งคม
windshield windscreen กระจกหน้ารถยนต์
yard garden พื้นที่สวน ลาน รอบอาคาร
zip code US post code รหั สไปรษณี ย ์
หมายเหตุ

้ มูลในลั กษณะตอ่ เนื่ อง ตรงขา้ มกั บ digital ซึ่งเป็ นการเก็บเป็ นตั วเลข
แสดงขอ

นคำที่ใชอ ้ ยา่ งไมเ่ ป็ นทางการ ในสก็อตแลนดใ์ ช้ "burgh"  ออกเสียง "burr" หรื อ


" แตไ่ มใ่ ช ่ "berg".
งถิ่น กฏหมายรอง หรื อกฏระเบียบที่องคก ์ ารสาธารณะหรื อเอกชนออกมา
ารภายใน

ชใ้ นอังกฤษอยา่ งไมเ่ ป็ นทางการอยา่ งแพร่หลายเพื่อแสดงวา่ โดนัท


อเมริ กัน.
สูดดม การดื่มยา การไขน้ำจากถัง  การถอนเงิน   กระแสลม

มีคา่ เชน่ แหวน สร้อย


age ใช้ license เป็ นคำกริ ยา และ licence เป็ นคำนาม
มของทหาร ขันตอน ้ กระบวนการของการทำงาน
ามยาว เป็ นเมตร
กไมผ ้ ุพัง ขึ้นรา แมพ
่ ิมพแ์ บบ

้ ั งกฤษและอเมริ กัน
ยา่ งไมเ่ ป็ นทางการทังอ

practise"สำหรั บคำกริ ยาและ"practice" สำหรั บคำนาม


program" สำหรั บคอมพิวเตอร์ และ"programme" สำหรั บรายการโทรทั ศน์หรื อวิทยุ

กฤษใช้ sulfur เป็ นคำทางการ
ยใชใ้ นสหรัฐแลว้
หมายเหตุ

ะจายเสียงวิทยุโดยใช้ amplitude modulation ที่คลื่นความถี่ 555 - 1600 kHz.

ต์
ตใ์ นลักษณะที่เป็ นอาคาร   American English ใช้ condoninium ในความหมายเดียวกัน
น้ำยอ่ ย
ศั พท ์

น ATM

icarbonate ใชในการประกอบอาหาร
ฤษมีท่ีมาจาก ผูท ้ ชาวฮั งกาเรี ยนชื่อ Laszlo Jozsef Biro   ในชว่ งปี   1940's.
้ ่ีคิดคน
ยเครื่ องดื่ม
บน้ำ
ดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ภายในบา้ น .

ใน British English หมายถึงเครื่ องดื่มอัลกอฮอลอ์ อ่ นๆ เลิร์ฟในอุณหภูมิท่ีไมเ่ ย็นนัก.


ager เป็ นเบียร์ซ่ึงกลั่นโดยหมักอุณหภูมิต ่ำ มีอัลกอฮอลอ์ อ่ นและสีของน้ำใส,
ขนาดใหญ่ ซึ่งมีทังสี
้ เขียว เหลือง และแดง

อบ

ใชทำ
้ แฮมเบอร์เกอร์
้ ยว รถโดยสารในเมืองเรี ยก bus
coach เป็ นรถโดยสารระหวา่ งเมือง มีขันเดี

ป็ นรถโดยสาร 2 ชั น
รศั พท ์ )

อปปิ้ ง
ถีอ  บางที่เรี ยก"the mobile" ในอังกฤษ

รายวัน บัญชีเดินสะพัด
จดการบริ ษัท
บางๆ กินเป็ นของวา่ ง
รใชแ ้ บบอเมริ กัน "city" หมายถึงพื้นที่ซ่ึงอยูใ่ นรู ปของรั ฐบาลทอ้ งถิ่นอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ ง
ชากรไมก ่ ่ีร้อย แตในการใชแ ้ บบ British English ชุมชนนั น ้ จะเป็ น city  ก็ตอ่ เมื่อมีโบสถ ์
warrant ประกาศวา่ นั่นคือ city.
ดใหญส ่ ร้างถาวรขนาดเดิน เขา้ ไปได้

ารชั นประหย ั ดบนรถไฟหรื อเครื่ องบิน  ใน British English คำวา่ "coach" คือรถโดยสาร
มใ่ ชร่ ถโดยสารประจำทาง
บเงินปลายทาง
อาศั ย  British English คำวา่ "condominium" หมายถึงอาณาเขต ( territory)
งโดย 2 ประเทศ British English ไมแ่ ยกความแตกตา่ งระหวา่ งเชา่ กั บเป็ นเจา้ ของ
"condominium" หมายถึงเป็ นเจา้ ของมากกวา่ เชา่

ความเย็น

บ  ใน British English คำวา่ "cracker" หมายถึงขนมปังกรอบบางชนิ ดที่กินกั บชีส
าย
ummer time" หมายถึงระยะเวลาในชว่ ง summer.
ทางไปหรื ออาจมีวงเวียนให้กลั บรถ

เชน
่ ในโรงแรม


ที่มักจะมีเคาน์เตอร์ยาวให้นั่งเหมือนห้องอาหารในรถไฟ
รั บคา่ ดูหนั ง ละคร สำหรั บนั กศกึ ษาหรื อผูส้ ูงอายุเป็ นตน
้ หรื อในการโฆษณาลดราคามั กจะ
ง และราคา concession ไวด ้ ้ ว ย ส ว
่ นการใช ใ
้ นโอกาสอื ่นๆจะเหมือนกัน.

างธุรกิจ

าของผูห้ ญิง
ขับขี่
ละขายผลิตภั ณฑส
์ ว่ นตั วดว้ ย เชน ้ .
่ สบู ่ ยาสีฟันเป็ นตน
การ
ไฟ
ะถม

ราชอาณาจักร   ซึ่งคนอเมริ กันมักจะเรี ยก England  เมื่อหมายถึง อังกฤษ เวลส ์


และนอร์ธเทิร์นไอร์แลนด์
h Enlish "entree" หมายถึงอาหารคอร์สแรกหรื อ ออร์เดิรฟ.

งถนน   แตถ ่ า้ ทางออกภายในตึกใช้ exit  เหมือนกัน


ชค ้ วามเร็ว
้ำมั น ปัจจุบันชื่อ ExxonMobil.
ติใช ้ "glasses" ทั ง้ American และ British

ตึกที่อยูต
่ ิดพื้น  first floor ของ British จึงหมายถึง second floor ของ American

ริ กัน
ถใชค ้ วามเร็วและจำกั ดทางเขา้  อเมริ กันใช้ "freeway", "highway", "beltway",
y", "express way", "parkway" ในความหมายที่ไมต ่ า่ งกั น  British English ใช้ .
ในความหมายถึงถนนที่ตอ ้ งเสี ยคา ผ
่ ่า นทาง
.
้ วา่ "gas" ในความหมายของแกสที่เป็ นเปลวไฟ เขน
ลิงรถยนต์ . British ใชคำ ้ .
่ แกสหุงตม

อุปกรณ์ไฟฟ้า

ดับมัธยมระบบการศก ึ ษาสำหรับเด็กอายุต ่ำกวา่ 18 ของอังกฤษแตกตา่ งจากของสหรัฐ


้ ่เรี ยกวา่
กอายุ 5 ถึง 11 ปี เด็กจะเขา้ เรี ยนในระดับประถม (primary school) เริ่ มจากชั นที
n". จาก 11 ถึง 18 จะเขา้ เรี ยนระดั บมั ธยม ( secondary school) คำวา่ "high school"
มายถึงโรงเรี ยนสำหรั บเด็กหญิง, และ "grammar school"สำหรั บเด็กชาย
อั งกฤษเรี ยก "hog" หมายถึงหมูตัวผูแ ้ ละ "sow" หมายถึงหมูตัวเมีย ,
ะซึ่งมั กจะมีท่ีผูกใตค
้ าง

กรรมและการคา้

ระหวา่ งการแสดงหรื อภาพยนตร์


มืองตา่ งๆ

ทำความสะอาด
r ( ชอ่ งเสียบสาย ) ของโทรศั พท ์
หวาน )

บาล

นรถ

ดื่มอั ลกอฮอล์ รวมวิสกี้ ยิน วอดก้า



นหน้าของโรงแรม โรงมหรสพ
เปลี่ยนเสื้อผา้ โดยเฉพาะสำหรับนักกีฬา
เนย
can English  คำวา่ timber หมายถึงตน ้ ่ียังไมไ่ ด้ตัดลงมาเป็ นทอ่ นเพื่อการคา้
้ ไมท
ทอ่ นๆแลว้ เรี ยก lumber สว่ น. British English ใช้ "timber" ในทัง้ 2 ความหมาย
กลางวัน
ชอคโคแลตเคลือบน้ำตาลสีตา่ งๆ อเมริ กันมีลูกกวาดที่เรี ยก Smarties แตไ่ มม ่ ี ใส ้
้ ่
แลต ทั งสองคำเป็ นชือเฉพาะ
ษณี ย ์

วลชน
ตการ์ด

น British English "mean" หมายถึงขี้เหนี ยว

ที่ ( รถพว่ ง )

ต์
อเมริ กัน ( เผา่ อินเดียนแดง )
ชใ้ นการรายงานคะแนนกีฬา  American English จะพูด "two-oh" หรื อ"two to nothing", 
English จะพูด "two-nil" สำหรับคะแนน  2-0.

ร์ลอยขา้ มถนน
   ใน American English  คำวา่ pantihose หมายถึงถุงน่องใสๆ และ  tights ไมใ่ ส

น British English  คำวา่ "pants" หมายถึงชุดชั นใน

็ ต์
ซน
ระโยค
สำหรั บหุ้มหอ
่ อาหาร
อซิ่ง

่ แยมสตรอเบอรี่
ปัง เชน
กชนที่ตอ้ งเสียคา่ ใชจ้ า่ ย

วัติผลงานบุคคลเพื่อสมัครงาน   AE บางครัง้ ใช้ "curriculum vitae" ในเรื่ องวิชาการ   

งน่อง
รับวิง่
ยของ
พิ่ม

นดการ


งตึกใน  British ชั นของตึ กที่ติดดินเรี ยก  ground floor  ชั นเหนื
้ อขึ้นไปจึงเป็ น first floor
รอ 4 ประตู
เทา้
BE "shrimps" ใหญก ่ วา่ "prawns"

.

"streetcar", "tramway" and "trolley"อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ ง แทนกันได้สำหรับ ยานพาหนะ
ไมไ่ ดใ้ ชกำ
้ ลังจากการเผาไหมภ ้ ายในเครื่ องยนต  
์ แตอ่ ั งกฤษมีการใชต
้ า่ งกัน
car รถลากดว้ ยสายเคเบิล
ถที่วงิ่ บนราง เป็ นรถใชไ้ ฟฟ้า
bus รถบั สที่ใชไ้ ฟฟ้า.

ลชนใตด ้ ิน
บเงินในธนาคาร ร้านคา้ .

ป็ นบา้ น
นการเดินทาง

กระโปรง )ทา้ ยรถ

ติดคอมีปกตลบลงมา

งคม
รถยนต์
าน รอบอาคาร
ณย ์
Present Simple Tense

Present Simple Tense

โครงสร้าง : Subject + Verb 1 + (Object)

หลักการใช้

1. ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ ป็ นจริงเสมอ หรือเหตุการณ์ ทเี่ ป็ นไปตามธรรมชาติ เช่น

ึ้ ทางทิศตะวันออก)
The sun rises in the east. (พระอาทิตย์ขน

The cat has four legs. (แมวมีสข


ี่ า)

2. ใช้แสดงถึงการกระทำทีเ่ ป็ นปรกตินิสยั หรือการกระทำนัน ้ เป็ นประจำ มี Adverb of Frequency แสดง


้ เกิดขึน

I have my breakfast everyday. (ผมรับประทานอาหารเช้าทุกวัน)

Everybody wears thick clothes in winter. (ทุกๆ คนสวมเสื้อหนาๆ ในฤดูหนาว)

We go to temple every Sunday. (พวกเราไปวัดทุกๆ วันอาทิตย์)

้ ในปัจจุบน
3. ใช้แสดงถึงการกระทำทีเ่ กิดขึน ั หรือสภาพทีเ่ ป็ นปัจจุบน
ั เช่น

She understands what you say. (เธอเข้าใจทีค


่ ณ
ุ พูด)

I have four notebooks in the suitcase. (ฉันมีสมุด 4 เล่มอยูใ่ นกระเป๋ า)

4. ใช้แสดงถึงการกระทำในอนาคต ซึง่ ตัดสินใจแน่ นอนแล้วว่าจะปฏิบตั ิ

The next semester begins in two weeks. (อีก 2 อาทิตย์จงึ จะเปิ ดเทอมหน้า)

He sets sail on Saturday for Samui. (เขาจะออกเรือไปสมุยในวันเสาร์)

หมายเหตุ* อย่าลืมนะว่าถ้าประธานเป็ นเอกพจน์ กริยาต้องเติม S ห้ามลืมกฎข้อนี้เด็ดขาดนะ!!!

Present Continuous Tense

โครงสร้าง: Subject + is, am, are + Verb -ing + ( Object )

หลักการใช้

1. เมือ
่ การกระทำดำเนินอยูใ่ นปัจจุบน
ั (ขณะพูด) และต่อเนื่องมาถึงบัดนัน
้ และจบในอนาคต เช่น

My uncle is listening to the radio.(ลุงของผมกำลังฟังวิทยุ)

What is he doing? (เขากำลังทำอะไรเหรอ?)


้ ต้องเกิดขึน
2. การกระทำทีเ่ กิดขึน ้ ขณะนัน
้ จริง เช่น

More and more people are using Internet. (ผูค


้ นเริม ้ ทุกที)
่ เล่นอินเทอร์เน็ตมากขึน

้ มากและบ่อยขึน
Accidents are happening more and more frequently. (อุบตั เิ หตุเกิดขึน ้ )

้ แน่ นอน เช่น


3. แสดงเหตุการณ์ ในอนาคต เกิดขึน

We are planning to go to the beach next week. (พวกเราวางแผนจะไปเทีย่ วทะเลอาทิตย์หน้า)

She is going abroad next Tuesday. (หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า)

4. ถ้าประโยคเชือ
่ มด้วย and ( 2 ประโยค) ให้ตดั Verb to be ทีอ่ ยูห
่ ลัง and ออก เช่น

My father is smoking a cigarette and watching television. (คุณพ่อของฉันกำลังสูบบุหรีแ


่ ละดูโทรทัศน

*กริยาทีนำ
่ มาใช้ใน Tense นี้ไม่ได้!!!*

1. กริยาทีเ่ กีย่ วกับประสาทสัมผัสทัง้ ห้า เช่น

I see the beautiful mountain.(ฉันดูภูเขาอันงดงาม) ไม่ใช้ I am seeing the beautiful mountain.

2. กริยาทีแ
่ สดงถึงภาวะของจิต, แสดงความรูส้ ก
ึ , ความผูกพัน ไม่นิยมนำมาใช้ เช่น

I know him very well (ผมรูจ้ กั เขาดี) อย่าใช้ : I am knowing him very well.

He believes that taxes are too high.(เขาเชือ


่ ว่าภาษี แพงเกินไป) อย่าใช้ : He is believing that taxes are too high.

หลักการเติม -ing

1). กริยาทีล่ งท้ายด้วย E ให้ตดั E ทิง้ แล้วเติม -ing

2). กริยาทีล่ งท้ายด้วย EE ให้เติม -ing ได้เลย

3). กริยาทีล่ งท้ายด้วย IE ให้เปลีย่ นเป็ น Y ก่อน แล้วเติม -ing

4). กริยาทีม ่ ตัวสะกดอีกตัวหนึ่ง แล้วเติม -ing


่ ีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว พยางค์เดียว เพิม

5). กริยาทีม
่ ี 2 พยางค์ออกเสียงหนักทีพ
่ ยางค์หลัง มีสระและตัวสะกดตัวเดียว เพิม
่ ตัวสะกด แล้วเติม -ing

6). กริยา 2 พยางค์ตอ


่ ไปนี้ เพิม
่ ตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม -ing หรือไม่ก็ได้

[แบบอเมริกน
ั ] : travel => traveling, quarrel => quarreling

 [แบบอังกฤษ] : travel => travelling, quarrel => quarrelling


Present Perfect Tense Subject

โครงสร้าง: Subject + Verb to have + Verb ช่อง 3

หลักการใช้

้ ในอดีต ดำเนินเรือ
1. การกระทำทีเ่ กิดขึน ่ ยมาจนปัจจุบน
ั เช่น

I have lived in Chiang Mai since 1979.(ฉันอาศัยอยูใ่ นเชียงใหม่ตง้ ั ปี ค.ศ. 1979)

I have studied English for ten years.(ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาเป็ นเวลา 10 ปี )

2. เหตุการณ์ เพิง่ สิน


้ สุดลง มีคำว่า just, already, yet เช่น

I have already finished my homework. (ผมเพิง่ ทำการบ้านของผมเสร็จ)

He has not read that book yet.(เขายังไม่ได้อา่ นหนังสือเล่มนัน


้ เลย)

3. เหตุการณ์ ทเี่ กิดในอดีต และสิน


้ สุดแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ ก็ยงั มีมาจนปัจจุบน
ั ใน เช่น

I have read them before.(ฉันเคยอ่านเรือ


่ งนี้มาก่อน)

The servant has cooked her dinner.(คนรับใช้ทำอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว)

4. การกระทำซึง่ เริม
่ ต้น และสิน
้ สุดในอดีต แต่อาจเกิดได้อีก มี Adverb of Frequency ด้วย เช่น

I have visited Los Angeles twice.(ผมไปเทีย่ วลอสแองเจลลิสมา 2 ครัง้ )

หลักการใช้ Yet, Just, และ Already

Yet (ยัง) ใช้ในประโยคปฏิเสธเสมอ วางไว้ทา้ ยประโยค

Just (เพิง่ จะ) Already (เรียบร้อยแล้ว) ใช้ในประโยคบอกเล่า วางไว้หน้ากริยาหลัก

*อย่าลืม!!! ต้องแม่นในการผันกริยาช่องที่ 3*

Past Simple Tense

โครงสร้าง: Subject + Verb ( Past Form ) + ( Object )

หลักการใช้
้ ในอดีต และสิน
1. เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ้ สุดแล้ว มี Adverb บอกเวลาในอดีตกำกับด้วย เช่น

She saw you yesterday. (หล่อนเห็นคุณเมือ


่ วานนี้)

I went to Berline last year. (ผมไปเบอร์ลน


ิ เมือ
่ ปี ทีแ
่ ล้ว)

2. เหตุการณ์ หนึ่งกระทำเป็ นประจำในอดีต แต่บดั นี้ไม่ได้ทำอีก เช่น

When he was young, he was very clever. (เมือ


่ ตอนเขายังเด็ก เขาเป็ นคนทีฉ
่ ลาดมาก)

I used to get up early in the morning. (ฉันเคยตืน


่ นอนตอนเช้าตรู่ ( ปัจจุบน
ั ไม่ได้ตน
ื่ เช้าแล้ว )

้ ในชั่วระยะเวลาหนึ่งในอดีต และระยะเวลานัน
3. เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ้ ได้ลว่ งเลยมาแล้ว เช่น

They lived there during last spring.(พวกเขาอาศัยอยูท


่ น
ี่ ่ น
ั ในช่วงฤดูใบไม้ผลิทแ
ี่ ล้ว)

I heard the blacksmith working all day long.(ฉันได้ยน


ิ ช่างตีเหล็กทำงานตลอดทัง้ วัน)

4. ใช้แสดงถึงการสมมุตห
ิ รือข้อแม้ ในปัจจุบน
ั หรือในอนาคต ตามหลังคำว่า If, Unless, Wish เช่น

If I were you I would love her. (ถ้าผมเป็ นคุณ ผมจะรักเธอ)

Past Continuous Tense

โครงสร้าง: Subject + was, were + V-ing + Object

หลักการใช้

1. ใช้ในเหตุการณ์ ทแ
ี่ สดงอาการกำลังกระทำในอดีต เช่น

They were speaking in the bookstore.(พวกเขากำลังพูดอยูใ่ นร้านขายหนังสือ)

She was going to post office.(หล่อนกำลังจะไปทีทำ


่ การไปรษณีย)์

2. ใช้แสดงถึงการกระทำทีต
่ อ
่ เนื่องกันในอดีต เช่น

What were you doing all last summer? (เธอทำอะไรตลอดฤดูรอ้ นทีแ


่ ล้วเหรอ?)

I was enjoying myself at the seaside.(ผมรืน


่ เริงกับการเทีย่ วทะเล)

3. เหตุการณ์ เกิด 2 เหตุการณ์ ขณะทีเ่ หตุการณ์ หนึ่งดำเนินก่อน และเหตุการณ์ ทส


ี่ องมาแทรก

มีหลักการ คือ เหตุการณ์ ทดำ


ี่ เนินอยูใ่ ช้ Past Con เหตุการณ์ หลังใช้ Past Sim เช่น

When I returned home, she was playing pingpong. (ตอนฉันกลับบ้าน เธอเล่นปิ งปองอย)ู่
้ พร้อมกันในอดีต ต้องใช้ Past Con ทัง้ คู่ มีคำว่า while หรือ as มาเชือ
4. เหตุการณ์ 2 อย่างทีเ่ กิดขึน ่ ม เช่น

I was playing while you were studying. (ฉันกำลังเล่นในขณะทีเ่ ธอกำลังเรียน)

ี่ เนินอยู่ ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่งในอดีตทีร่ ะบุไว้ชดั เจน เช่น


5. เหตุการณ์ ทดำ

They were cleaning the room at eight o'clock yesterday.(พวกเขาทำความสะอาดห้อง 8 โมงเมือ


่ วาน

6. ใช้ในการสมมุติ เป็ นข้อแม้ การคาดคะเน แสดงถึงการกระทำทีต


่ อ
่ เนื่อง เช่น

What would you do if it was raining? (คุณจะทำอย่างไรถ้าฝนกำลังตก?)

*หมายเหตุ :กรุณากลับไปอ่าน Present Continuous เรือ


่ งกริยาทีนำ
่ มาใช้ใน Tense ไม่ได้ดว้ ยนะ*

Future Simple Tense

หลักการใช้

การกระทำในอนาคต เช่น He will travel to Singapore next year. (เขาจะไปเทีย่ วสิงคโปร์ปีหน้า)

หลักการใช้ (be) going to แทน will หรือ shall

1. ใช้ (be) going to + V1 แสดงความตัง้ ใจ แทน will และ shall เช่น

She is going to buy a car next month.(หล่อนจะซื้อรถยนต์เดือนหน้า)

2. ใช้ (be) going to + V1 แสดงการคาดคะเน แทน will และ shall เช่น

I think it is going to rain.(ฉันคิดว่าฝนจะต้องตก)

3. ใช้ (be) going to + V1 แสดงข้อความซึง่ เชือ


่ ว่าเป็ นจริงโดยไม่สงสัย แทน will และ shall เช่น

His wife is going to have a baby.(ภรรยาของเขาจะมีลูกแล้ว)

ห้ามใช้ (be) going to + V1 ในกรณีตอ


่ ไปนี้

้ ตามธรรมชาติ เช่น
1. เหตุการณ์ ทเี่ ป็ นอนาคตอันแท้จริง ต้องเกิดขึน

I will be twenty-one next year. ผมจะมีอายุ 21 ในปี หน้า (ห้ามใช้ :I am going to be twenty-one next year.)

2. ในประโยคทีเ่ ชือ
่ มด้วย If ใช้ได้เฉพาะ will และ shall เท่านัน

John will be successful if he tries hard.(ห้ามใช้ :John is going to be successful if he tries hard.)
3. กริยาทีแ
่ สดงการรับรู้ เช่น

I will remember this experience forever.(ห้ามใช้ :I am going to remember this experience forever.)

I wish you would love me one day. (ฉันหวังว่าเธอจะรักฉันซักวันหนึ่ง)

Question Tag

Question Tag คือ การตัง้ คำถามท้ายประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ

หลักการตัง้ ประโยคคำถาม

1. ถ้าประโยคหน้าเป็ นบอกเล่า Tag ต้องเป็ นปฏิเสธ

2. ถ้าประโยคหน้าเป็ นปฎิเสธ Tag ต้องเป็ นบอกเล่า

3. ต้องใส่ Comma คั่นระหว่างประโยคหลักกับ Tag เสมอ

4. ตัว Tag ต้องเป็ นกริยาช่วยเสมอ

5. หากไม่มีกริยาช่วยในประโยคหลัก ใช้ V. to do มาช่วย

6. กริยาช่วยตรง Tag ต้องใช้รูปย่อเสมอ ไม่มีรูป amn't I ใช้ aren't I แทน

7. กริยาช่วย ต้องเปลีย่ นตาม Tense ทีป


่ ระโยคหลัก

8. ประโยคคำสั่ง ขอร้อง เชื้อเชิญ ตรง Tag เติม คำว่า will you ได้เลย

ข้อควรจำในการทำ Question Tag .

้ ต้นด้วย That is, This is ส่วน Tag ใช้ isn't it? หรือ is it
1. ถ้าประโยคหน้าขึน

้ ต้นด้วย There is/ are/ was/ were ส่วน Tag ใช้ V. to be ตามประธานและ Tense + there
2. ถ้าประโยคหน้าขึน

้ ต้นด้วย These/ Those are ส่วน Tag ใช้ aren't they หรือ are they แล้วแต่กรณี
3. ถ้าประโยคหน้าขึน

4. ถ้าประโยคหน้าเป็ นประโยคความซ้อน ส่วน Tag ให้เอากริยาในประโยคหลักนะ

5. ถ้าประโยคหน้ามีคำทีใ่ ห้ความหมายเชิงปฏิเสธ ส่วน Tag นัน


้ ต้องเป็ นบอกเล่า เช่น Nothing is interesting, is it?
requency แสดง
หรีแ
่ ละดูโทรทัศน)์

ng that taxes are too high.


ง 8 โมงเมือ
่ วาน)

enty-one next year.)

he tries hard.)
perience forever.)

นและ Tense + there

is interesting, is it?
The simple Tenses
1) Present Simple
2) Past Simple
3) Future Simple

The Continuous (Progressive) Tenses


1) Present Continuous
2) Past Continuous (Progressive)
3) Future Continuous (Progressive)

The Perfect Tenses


1) Present Perfect
2) Past Perfect
3) Future Perfect

The Perfect Continuous Tenses


1) Present Perfect Continuous
2) Past Perfect Continuous
3) Future Perfect Contunuous

Present Simple Tense

รูปกริยา Subject + v(s,es).

การใช้
1) ใช้ present simple tense กับความจริงทีเ่ ป็ นกฏตายตัว ( general truth)

1) It's cold in winter.


อากาศหนาวในฤดูหนาว

2) The earth moves round the sun.


โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

3) The sun rises in the east.


ึ้ ทางทิศตะวันออก
ดวงอาทิตย์ขน

4) Birds fly.
นกบิน

5) Action speak louder than words.


การกระทำดังกว่าคำพูด(=ทำดีกว่าพูด)

2) ใช้ present simple กับการกระทำซึง่ เป็ นประจำในปัจจุบน


ั ( repeated or habitual facts )

1) He says helo every time he sees me.


เขาทักฉันทุกครัง้ ทีพ
่ บกัน
2) He gets up early everyday.
เขาตืน
่ แต่เช้าทุกวัน

3) He comes to her place several times a week.


เขามาหาหล่อนทีบ
่ า้ นสัปดาห์ละหลายครัง้

4) Ladda usually goes shopping on Sunday.


ลัดดากจะไปซื้อของในวันอาทิตย์

5) I sometimes go to the movies with her.


บางครัง้ ผมก็ไปดูหนังกับหล่อน

เหตุการณ์ หรือการกระทำทีเ่ ป็ นประจำ มักจะมีคำหรือข้อความประโยค (แสดงความบ่อย หรือความเป็ นประจำ) ต่อไปนี้


always every month
sometimes every year
often once a week
frequently twice amonth
usually every other day
naturally in the morning
generally on Sundays
rarely on week days
seldom when (ever) he sees me
habitually when (ever) he comes here
every day whenever he can
every week whenever you want

3) ใช้ present simple กับสิง่ ทีกำ


่ หนดแน่ นอนแล้วว่าจะกระทำในอนาคต

1.I leave by the 6.20 train this evening.


ผม(ตกลงใจ)จะออกเดินทางโดยขบวนรถไฟ 18.20 น. เย็นวันนี้

2.He sets sail tomorrow and comes back next week.


เขา(ตกลงใจ)จะออกเรือพรุง่ นี้ และจะกลับ(แน่ นอน) ในสัปดาห์หน้า

3.We attack at dawn.


เรา(ตัดสินใจ)จะเข้าโจมตีเวลาเช้าตรู่

4) อาจใช้ present simple ในการสรุปเรือ


่ งนิยาย หรือละคร

Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He asks Antonio to lend him money. Antonio
บัสสานิโอต้องการจะไปเบลมองค์เพือ
่ เกี้ยวพาราศีนางปอร์เซียเขาขอยืมเงินอันโตนิโอ อันโตนิโอบอกว่า ขณะนี้เขาไม่มีเงินเลย จนกว่าเรือจะ
กลับไปยังหน้าเดิม

Past Simple Tense

Subject + verb2.
I came, he came, she came, it came, they came
การใช้
1.ใช้ past simple กับการกระทำซึง่ เกิดขึน ้ และจบลงไปแล้วในอดีต
ซึง่ มักจะมี คำแสดงอดีต รวมอยูด่ ว้ ยเสมอ เช่น
yesterday, ago, in 1970, last week, during the war, last mouth,once upon a time,last year
1. He arrived at four o'clock yesterday morning.
เขามาถึงตอนตีสเี่ ช้าวานนี้
2. I lived in Korat for three years.
ผมอยูโ่ คราชเป็ นเวลา 3 ปี (เคยอยูท ่ น
ี่ ่ น
ั 3 ปี ปัจจุบน
ั นี้มไิ ด้อยูท
่ น
ี่ น
้ั )
3. She went to the movies last night.
เมือ ่ คืนนี้หล่อนไปดูหนัง
เหตุการณืหลายเหตุการณ์ ทเี่ กิดติดต่อกันในอดีต ถ้าประสงค์จะพูดถึงเหตุการณ์ เหล่านัน
้ โดยไม่ประสงค์จะแสดงความเกีย่ ว พันกันก็ใช้
4. She drove into the car-park, got out of the car, closed all the windows.locked the doors, and
หล่อนขับไปยังทีจ่ อดรถ ลงจากรถ ปิ ดหน้าต่างทุกบาน ใส่กุญแจประตู แล้วก็เดินไปยังโรงหนัง

2. ใช้ past simple กับการกระทำซึง่ เกิดขึน ้ เป็ นประจำในอดีต (ปัจจุบน


ั ไม่มีการกระทำนัน้ แล้ว)
ซึง่ มักจะมี คำแสดงอดีต และ คำแสดงความบ่อยหรือความเป็ นประจำ รวมอยูด ่ ว้ ย เช่น
1. He walked to school every day last year.
ปี กลายนี้เขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน
(คำแสดงความบ่อย = every day, คำแสดงอดีต = last year )
2. He came to her place several times a week before he went to England.
เขามาบ้านหล่อนสัปดาห์ละหลายครัง้ ก่อนทีเ่ ขาจะไปอังกฤษ
(คำแสดงความบ่อย = several times a week, คำแสดงอดีต = before he went to England)
3. When I was young I used to get up early in the morning.
เมือ ่ ผมยังเล็ก ผมเคยตืน
่ แต่เช้า
4. While her husband was in the Army , she wrote to him twice a week.
ขณะทีส่ ามีของหล่อนประจำการอยูใ่ นกองทัพ (บก) หล่อนเคยเขียนจดหมายถึงเขาสัปดาห์ละ 2 ครัง้
5. In olden times men were more chivalrous than they are now.
สมัยก่อนผูช ้ ายกล้าหาญ, สุภาพและซึง่ สัตย์กว่าสมัยนี้
(chivalrous = คุณลักษณะของพวกอัศวินสมัยโบราณ)
กลับไปยังหน้าเดิม

Future Simple tense

รูปกริยา subject + will ( หรือ shall) + verb1.

ในแทบทุกกรณี (โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษแบบอเมริกน ั ) * will ใช้กบั ประธานทุกคำรวมทัง้ I และ We


ในประโยคสนทนาไม่มีปญ
ั หาในการใช้ shall หรือ will เนื่องจากทัง้ shall และ will ต่างก็ลดเสียงเป็ น 'll เหมือนกัน

We'll be back.

They'll go home.
การใช้
้ ในอนาคต
ใช้กบั การกระทำทีจ่ ะเกิดขึน
ซึง่ ปกติจะมีคำแสงนาคต กำกับอยูด ่ ว้ ย เช่น
soon, shortly, tomorrow, tonight, next week, next month, next year, in a few minutes, a month from now

They will leave soon.

They will leave tonight.

They will leave tomorrow.

ข้อสังเกตทั่วไป
1. shall กับ will
คำสั่งสองนี้มีความหมายได้ 3 อย่าง คือ

1.แสดงความสมัครใจ (volition)

2.แสดงความจำใจ(obligation)

3.แสดงความเป็ นอนาคต(futurity)
ความหมายทัง้ สามนี้ แม้จะรูว้ า่ มันมีอยู่ แต่เราไม่สามารถชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างอย่างชัดเจนได้ เป็ นค้วา่ เมือ
่ ใช้แสดงอนาคตนัน
้ ก็แสดงความ

2.'Pure' Future
โดยเหตุทค ี่ วามหมายของ will(shall) เป็ นได้หลายกรณีดงั กล่าวเมือ
่ ใช้ในความหมายทีแ่ สดงอนาคตอย่างแท้จริง จึงนิยมเรียกชือ
่ เสียใหม่
I shall be twenty-nine tomorrow.
พรุง่ นี้ผมจะมีอายุ(ครบ) 29 ปี
ในกรณีทป ี่ ระโยคเป็ น 'Pure' Future นัน ้ โดยปกติใช้ I shall, we shall เสมอ คำอืน
่ ๆใช้ will ทง้ ั หมด คือเป็ นไปตามกฎโดยเคร่งครัด

3.ในประเทศอังกฤษ (ซึง่ เรียกว่า England ไม่ใช่รวมทัง้ เกาะซึง่ เรียกว่า 1Britain) หรืจะว่าตามจริงก็ตอ


้ งในนครลอนดอน รูปคำถามของ
"You'll never pass the examination." คุณจะสอบไม่ได้แน่
"Won't I?"
ทำไมหละ( = ทำไมถึงจะสอบไม่ได้ละ่ ,ทำไมถึงว่ายังงัน
้ ล่ะ มีเหตุผลอะไร)

4.Shall I? Shall we?


ข้อความนี้มีความหมายเป็ นเชิงขออนุญาต ไม่มีความหมายเป็ นคำถามเต็มที่ เช่น
Shall I open the window?
ผมเปิ ดหน้าต่างได้ไหมครับ

5.Will you?
มีความหมายเป็ นเชิงว่า คุณะกรุณา... ได้ไหม (= Are you willing to.. หรือ Would you like to ...) เช่น
Will you help me carry this bag?
คุณจะช่วยกรุณาถือกระเป๋ านี้ได้ไหม

6.เมือ
่ ประธานมีหลายตัวแม้จะมี I รวมอยูด
่ ว้ ยก็ใช้ will
You and I will both be promoted.
คุณและผมทัง้ สองคนจะได้เลือ
่ นขัน

กลับไปยังหน้าเดิม

Present Continuous

Present Continuous
รูปกริยา Subject + is(am,are) + (verb+ing).

การใช้
1.ใช้ present continuous เมือ ่ การกระทำนัน ้ กำลังดำเนินอยูต ่ อ
่ หน้า(ในขณะทีพ่ ูดประโยคนัน
้ )
1.The sun is shining.
ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสง
2.The bees are humming.
ฝูงผึง้ กำลังส่งเสียงหึง่
3.What are you doing?
คุณกำลังทำอะไร
ในกรณีทผ ี่ พ ้ นิยมเติมคำ just ลงข้างหน้า(just ในกรณีเช่นนี้ไม่มีคำแปลในภาษาไทย
ู้ ูดต้องการ เน้นคำว่า กำลัง ให้หนักแน่ นยิง่ จึน
4.The children are just having breakfast.
พวกเด็ก ๆ กำลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่

2.ใช้ present continuous ในเหตุการ์ทดำ ี่ เนินอยูเ่ ป็ นประจำในขณะทีพ่ ูด


้ เป็ นประจำ เช่น
นี่เป็ นข้อยกเว้นจากหลักท่วไปทีว่ า่ ใช้ present simple กับเหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน
1.My son works hard this term.
เทอมนี้ ลูกชายของผมเรียนหนังสืออย่างขะมักเขม้น
2.He tries his best now.
ขณะนี้เขา(ใช้ความ)พยายามอย่างเต็มที่ (อย่างเตํมความสามารถ)
ประโยคทัง้ สองนี้ใช้ตามหลักทั่วไป ซึง่ จะพบว่าเป็ นประโยคเนือย ๆ ไม่กระฉับกระแฉง ประโยคดังกล่าวจะมีความหมายดียงิ่ ขึน
้ ไปอีก ถ้าใช้
1. My son is working hard this term.
2. He is trying his best now.

3.ใช้ present continuous แสดงเหตุการณ์ ในอนาคต ซึง่ คาดว่าจะต้องเป็ นเช่นนัน ้ แน่ นอน
การใช้ present coutinuous ในความหมายทีเ่ ป็ นอนาคตนี้ ปกติเขาใช้กบั กริาทีม
่ ีการเคลือ่ นที(่ verbs of movement)
1.We are going to Paris on Sunday.
วันอาทิตย์นี้เราจะไปนครปารีส
2.Dang is coming here next week and is staying here until May.
แดงจะมาทีน ่ ี่ในสัปดาห์หน้า และเขาจะอยูท
่ น
ี่ ี่จนถึงเดือนพฤษภาคม
3.What are you doing next Sunday?
วันอาทิตย์หน้าคุณจะทำอย่างไร

กริยาทีไ่ ม่ใช้ใน Continuous Tenses


hear ได้ยน ิ love จำได้
see เห็น hate เกลียด
feel รูส้ ก ึ know รู้
smell ได้กลิน ่ understand เข้าใจ
taste ได้รส,รูร้ ส believe เชือ่ ว่า
หมายเหตุ ฯลฯ

กริยาทีไ่ ม่ใช่ใน continuous ได้แก่ กริยาแสดงการรับรู้ (verbs of perception) แสดงภาวะของจิตใจ(state of mind)

เมือ
่ ต้องการจะบอกว่า กำลังมีอาการเช่นนี้อยู่ คงใช้เพียง present simple เท่านัน
้ เช่น
1. I don't see anything here.(ไม่ใช่ I am not seeing....)
ผมไม่เห็นอะไรทีน ่ ี้เลย
2. I see what you mean. (ไม่ใช่ I am seeing...)
ผมเข้าใจว่าคุณหมายความถึงอะไร
3.Do you hear the noise? (ไม่ใช่ Are you hearing...)
ผมได้ยน ิ เสียงอะไรไหม

กลับไปยังหน้าเดิม

Past Continuous

รูปกริยา subject+ was(were)+(verb+ing)

การใช้

โดยปกติ tense นี้ จะไม่ใช้ในประโยคทีม


่ ีกริยาตัวเดียว แต่จะใช้ในประโยคทีม
่ ีกริยา 2 ตัวคูก
่ น
ั คือไมใช้ลอย ๆ เพียงเหตุการณ์ เดียว แต่ใช้ค

1.ใช้ past continuous ได้ลอย ๆ เพียงเหตุการณ์ เดียวได้เฉพาะในกรณีทม


ี่ ีคำบอกช่วงเวลากำกับไว้ในประโยค คือ บอกว่าเหตุการณ์ นน
้ั ๆ

He was writing all day yeaterday.

He was writing all afternoon yesterday.

He was writing all evening long.

2.ใช้ past continuous กับเหตุการณ์ 2 อย่าง ซึง่ กำลังดำเนินอยูพ


่ ร้อม ๆ กันในอดีต(คำเชือ
่ มประโยคมักจะได้แก่

1.While one of the two thieves was working on the safe,the other was keeping watch for policemen.
่ โมยคนหนึ่ง(ในสองคน)กำลังจัดการกับตูเ้ ซฟอยูน
ขณะทีข ้ ั อีกคนหนึ่งก็(กำลัง)คอยดูตำรวจ
่ น

2.He was working in Bloomingon while I was working in Bangkok.

เขากำลังทำงานอยูใ่ นเมืองบลูมมิงตัน ในขณะทีผ


่ มกำลังทำงานอยูใ่ นกรุงเทพฯ

3.ใช้ past continuous คูก ่ บั past simple


่ เหตุการณ์ หนึ่งกำลังดำเนินอยู(่ past continuous) ก็มีเหตุการณ์ อีกอย่างหนึ่งเกิดขึน
เมือ ้ (past simple) เหตุการณ์ ทกำ
ี่ ลังดำเนินอยูใ่ ช้
คำเชือ่ มประโยคมักจะได้แก่ when, as, while

1.It was raining when I came home.

เมือ
่ ผมกลับบ้านนัน
้ ฝนกำลังตกอยู่

2.While the man was looking at the picture, a thief stole his purse.

ขณะทีช
่ ายคนนัน
้ กำลังดูรูปภาพอยู่ ขโมยได้ลกั เอากระเป๋ าสตางค์ของเขาไป

3.As I was walking along the theatre, a car mounted the pavement and crashed into a shop.

ขณะทีผ ่ น้าโรงหนัง มีรถคันหนึ่งปี นขึน


่ มกำลังเดนอยูห ้ ไปบนทางเท้า และพังเข้าไปในร้านขายของร้านหนึ่ง

หมายเหตุ ควรสนใจความหมายของการตอบคำถามต่อไปนี้

Did you hear about Anong's new job?

คุณรูเ้ รือ
่ งงานใหม่ของอนงค์หรือเปล่า

Yes, my wife was telling me about it this morning.

หมายความว่า ภรรยาของผมได้บอกผมบ้างแล้ว แต่ผมก็ยงั อยากรูเ้ รือ


่ งนัน
้ อีก เพราะอาจจะเป็ นว่าภรรยาบอกผมยังไมละเอียด

Yes, my wife told me about it this morning.

หมายถึงว่า ภรรยาของผมถึงเรือ
่ งนัน
้ แล้วละ และผมก็ไม่สนใจ ไม่อยากจะรูเ้ รือ
่ งนัน
้ อีกเลย

กลับไปยังหน้าเดิม

Furture Continous(Progressive)

รูปกริยา subject + will(shall) be + (verb+ing ).

การใช้
่ ต้องการจะบอกว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคตจะมีเหตุการณ์ อะไรกำลังดำเนินอยู่
1.ใช้ tense นี้ เมือ
การใช้ tense นี้จงึ ต้องมี คำบอกเวลา ณ จุดหนึ่งในอนาคตกำกับอยูด
่ ย้ เสมอ คำบอกเวลานี้อาจเป็ นกลุม
่ คำ หรือวลีก็ได้

1. At this time tomorrow I shall be flying over Hong Kong.


ณ เวลานี้ในวันพรุง่ นี้ ผม(คง)จะกำลังเป็ นอยูเ่ หนือฮ่องกง

2.He will be sleeping at 7 o'clock tomorrow morning.


ิ าพรุง่ นี้เช้า
เขา(คง)จะกำลังหลับอยู่ ณ เวลา 7 นาฬก

3.He'll be busy working when we call.


เมือ
่ เราไปหาเขา เขาคงกำลังยุง่ อยูก
่ บั งาน

2. ใช้ future continuous กับเหตุการณ์ ในอนา คต ซึง่ ผูพ


้ ูดตัดสินใจแน่ นอนแล้วว่า จะทำเช่นนัน
้ (ประโยคเช่นนี้ใช้เพียง

1.I'll be working all day tomorrow.

พรุง่ นี้ผมจะทำงานทัง้ วัน

(=I'll work all day tomorrow)

2.The Browns wil be staying with us again this year.


ปี นี้พวกครอบครัวบราวน์คงจะมาพักกับเราอีก
(=The Browns will stay with us again this year.)

3.What will you be doing tomorrow?


พรุง่ นี้คณ
ุ จะทำอะไร
(=What will you do tomorrow?)

4.The ship will be sailing tomorrow morning.


เรือจะออกเดินทางพรุง่ นี้เช้า
(=The ship will sail tomorrow morning.)
กลับไปยังหน้าเดิม

Present Perfect

รูปกริยา Subject + has(have) + verb3.


การใช้
1.ใช้กบั เหตุการณ์ ซงึ่ เกิดขึน ้ ในอดีต แต่ดำเนินติดต่อเรือ ่ ยมาจนถึงปัจจุบน ั ขณะทีพ่ ูดประโยคนัน

โดยปกริจะมี กลุม ่ คำ หรือ ประโยค บอกว่าเหตึการณ์ นน ้ ั เริม
่ ต้นตัง้ แต่เมือ
่ ใด เช่น
since + จุดเริม ่ ต้นของเวลา
for + จำนวนเวลานับจากเริม ่ ต้น
ever since ตัง้ แต่นน ้ ั เป็ นต้นมาจนถึงบัดนี้
so far เรือ ่ ยมาจนเดีย๋ วนี้ เรือ ่ ยมาจนปัจจุบน
ั นี้
up to now จนบัดนี้ จนกระทั่วเวลานี้
up to the present time จนบัดนี้ จนกระทั่งเวลานี้
He has lived here since 1975.
He has lived here ever since.
He has lived here since then.
He has lived here since his father died.
He has lived here twenty years.
ควรสังเกตว่าหลัง since เป็ น point of time คือจุดหนึ่งของเวลา เช่น since eight o'clock, since last week, since 1960, etc.
He has lived there since htis father died.
เขาอยูท
่ นี่ ่ น
ั มาตัง้ แต่บด ิ าของถึงแก่กรรม
จงเปรียบเทียบ
1.I have taught this class for ten years.
2.I taught this clas for ten years.
1.ผมสอนชัน ้ นี้มาสิบปี แล้ว บัดนี้ผมก็ยงั สอนชัน ้ นี้อยู่
2.ผมสอนชัน ้ นี้เป็ นเวลาสิบปี แต่บดั นี้ผมไม่ได้สอ ่ นแล้ว(คืนเคยสอนมาเป็ นเวลา 10 ปี แล้วเลิกสอน)

2.ใช้ present perfect แสดงการเคยหรือไม่เคย


มักจะมีคำว่า never , ever, once, twice,... รวมอยูด
่ ว้ ยเสมอ
1. Have you ever been to New York City?
คุณเคยไปนครนิวยอร์กไหม
2. Yes, I've been there many times.
ครับ เคยหลายหนแล้ว
3. No, never. I've never been abroad.
ยังครับยังไม่เคยไป ผมยังไม่เคยไปเมืองนอกเลย

3.ใช้ present perfect กับเหตุการณ์ ทเี่ พิง่ จบลงใหม่ ๆ


มักจะใช้คำ just, already(บอกเล่า) หรือ yet (คำถามหรือปฏิเสธ)
1. The train has just arrived.
รถไฟเพิม ่ มาถึง
2. The train has alread arrived.
รถไฟมาถึงแล้ว
(=The train has arrived already.)
3. Has the train arrived yet (already)?
รถไฟมาถึงหรือยัง
4. No , not yet.
ยัง ยังไม่มาถึง
หมายเหตุ มีอีกคำหนึ่ง คือ just now ซึง่ อาจมีความหมายได้ 2 อย่าง เมือ
่ ครูน
่ ี้ กับ ขณะนี้
ถ้า just now = เมือ ่ ครูนี้ ใช้กริยา past simple
ถ้า just now = ขณะนี้ ใช้กริยา present perfect
1.I told you about it just now.
ก็ผมบอกเรือ ่ งนัน
้ เมือ
่ ครูนี้น่านา
2.He has finished his work just now.
(ขณะนี้) เขาเพิง่ จะทำงานของเขาเสร็จ
4.ใช้ present perfect กับเหตุการณ์ ซงึ่ ความจริงจบลงไปแล้ว แต่ใจผูพ
้ ูดยังรูส้ ก
ึ ในผลของเหตึการณ์ นน
้ ั ๆอยู่
1. I have finished the book.
ผมอ่านหนังสือนัน ้ จบแล้ว
2. I've opened the window.
ผมเปิ ดหน้าต่างแล้ว
3.The clock has stopped.
นาฬก ิ าหยุดเสียแล้ว
4. I've seen him before.
ผมเคยพบเขาแล้ว
กลับไปยังหน้าเดิม

Past Perfect

รูปกริยา Subject + had + verb3


การใช้
1. ใช้ tense นี้ เมือ่ มีเหตุการณ์ 2 อย่างในอดีต อย่างหนึ่งเกิดก่อนอีกอย่างหนึ่ง
เหตุการณ์ ทเี่ กิดก่อนใช้ past perfect
เหตุการณ์ ทเี่ กิดภายหลัง ใช้ past simple
1. Anong had learned English before she went to England.
อนงค์รจู้ กั ภาษาอังกฤษก่อนไปประเทศอังกฤษ
2. When we got to the field, the football match had already started.
เมือ
่ เราไปถึงสนามนัน ้ การแข่งขันฟุตบอลได้เริม ่ ขึน้ แล้ว
3. I didn't go to the cinema because I had already seen the film.
ผมไม่ไปดูหนัง เพราะผมดูหนังเรือ ่ งนัน
้ มาแล้ว
4. I had lost my pen and I was unable to do the exercises.
ผมทำปากกาหาย ผมจึงไม่สามารถทำแบบฝึ กหัดได้
5. He had unloced the door ; there was nothing to prevent you from going out.
เขาไขกุญแจประตูออกแล้ว ดังนัน ้ จึงไม่มีอะไรจะขัดขวางไม่ให้คณ ุ ออกไป
การใช้ past perfect นี้ จะได้พบอีกครัง้ หนึ่งเมือ ่ ได้กล่าวถึงประโยคคาดคะเน สมมุติ หรือประโยคแสดงความปรารถนา และในการนำคำขอ

้ ก่อนเวลาหนึ่งในอดีต
2. ใช้ past perfect กับเหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน
1. Jane had never seen a lion until yesterday.
เจนไม่เคยเห็นสิงโตเลยจนกระทั่วเมือ่ วานนี้ (จึงได้เห็น)
2. Soon the police arrived at the scene of the robbery. But they were too late . The thieves has already gone.
ไม่ใช้พวกตำรวจก็ไปถึงทีโ่ จรกรรม แต่สายเกินไป พวกโจรพากันไปเสียแล้ว
กลับไปยังหน้าเดิม

Future Perfect

รูปกริยา Subject + will have + verb3


การใช้
1. ใช้ tense นี้ เมือ ่ ถึงเวลาหนึ่งในอนาคตเหตุการณ์ อย่างหนึ่งได้จบสิน
่ ต้องการจะบอกว่าเมือ ้ ลง
"เวลาหนึ่งในอนาคต" นี้ ถ้าเป็ น คำบอกอนาคต นิยมใช้หลัง by หรือ before เช่น

by tomorrow ก่อนพรุง่ นี้ (เมือ


่ ถึงพรุง่ นี้)

ิ า (เมือ
by eight o'clock ก่อน 8 นาฬก ิ า)
่ ถึง 8 นาฬก

by next month ก่อนเดือนหน้า(เมือ


่ ถึงเดือนหน้า)

before next year ก่อนปี หน้า

after two months หลังจาก 2 เดือน(นับจากหนึ่ง)


ถ้าเป็ น ประโยคบอกอนาคต ใช้กริยาเป็ น present simple เช่น

1. They will have finished the work by next week.


ถึงสัปดาห์หน้าพวกเขาก็คงจะเสร็จงานนัน
้ แล้ว
(=เสร็จงานนัน
้ ก่อนสัปดาห์หน้า)

2. They will have finished the work when we arrive.


เมือ
่ เราไปถึงพวกเขาก็คงจะเสร็จงานนัน
้ แล้ว
(= เสร็จงานนัน้ ก่อนพวกเราไปถึง)

3. All these roses will have died before Chrismas.


กุหลาบนี้คงจะตายก่อนถึงวันคริสต์มาส

4. She will have been in England be the end of March.


เมือ
่ ถึงสิน
้ เดือนมีนาคมหล่อนคงจะอยูใ่ นอังกฤษเรียบร้อยแล้ว
(=อยูใ่ นอังกฤษก่อนสิน้ เดือนมีนาคม)

5. It is now 8:30. I shall have finished my work by 2 p.m.


ขณะนี้เวลา 8.30 น. ผมคงจะเสร็จงานก่อนบ่าย 2 โมง
(= เมือ่ ถึงบ่าย 2 โมงนัน
้ ผมคงจะเสร็จงานแล้ว)

2. อาจใช้ future perfect แสดงความคาดคะเนหรือสงสัย


You will have heard, I expect, that Ladda is going to get married.
ผมคาดว่าคุณคงจะระแคะระคายมาแล้วา่ ลัดดาจะแต่งงาน
กลับไปยังหน้าเดิม

Present Perfect Continuous


รูปกริยา Subject + has(have) been + (verb+ing)

การใช้
ใช้ได้เฉพาะกริยาทีม ้ ในอดีตและดำเนินติดต่อกันเรือ
่ ีการต่อเนื่อง ใช้กบั เหตุการ์ทเี่ กิดขึน ่ ยมาจนถึงปัจจุบน
ั เช่น
Bill has been living in Bangkok since 1975.
บิลอยูใ่ นกรุงเทพมาตัง้ แต่ปี 1975.
จะเห็นว่า การใช้ present perfect continuous ก็เหมือนกับการใช้ present perfect ธรรมดา เพียงแต่ perfect continuous
ปกติ : Bill has lived in Bangkok since 1975.
เน้นความต่อเนื่อง : Bill has been living in Bangkok since 1975.
บิลอยูใ่ นกรุงเทพมาตัง้ แต่ปี 1975.
ปกติ : He has worked on the problem for two hours so far.
เน้นความต่อเนื่อง : He has been working on the problem fo two hours so far.
เขาทำโจทย์มาเป็ นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว
Note ควรระวังว่ากริยาทีไ่ ม่แสดงควมต่อเนื่องของการกระทำ ( continuity of action ) จะใช้ tense นี้ไม่ได้
ผิด : The train has been arriving.
ถูก : The train has arrived.
ผิด : The clock has been stopping.
ถูก : The clock has stopped.
ระวังไม่ใช้ perfect continuous กับคำต่อไปนี้ just, already, never, finally
กลับไปยังหน้าเดิม

Past Perfect Continuous

รูปกริยา Subject + had been + (verb+ing).


การใช้
การใช้ past perfect continuous มีหลักการเช่นเดียวกับการใช้ past perfect ธรรมดา คือ โดยปกติจะใช้ได้ก็ตอ ่ เมือ
่ มีเหตึการณ์ ในอดีต
เหตุการณ์ ทกำี่ ลังดำเนินอยูใ่ ช้ past perfect (continuous)
้ ใหม่ ใช้ past simple
เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน
จงดูประโยคนี้ When I got to the meeting, the lecturer had spoken for half an hour.
เมือ ่ ผมไปถึงทีป่ ระชุมนัน
้ ผูบ ้ รรยายได้พูดมาเป็ นเวลาครึง่ ชั่วโมงแล้ว
จะเห็นว่า ประโยคนี้ได้ความดีอยูแ ่ ล้วจากการใช้ past perfect ธรรมดา แต่ประโยคนี้จะได้ความดีขน ึ้ อีก ถ้าใช้ past perfect continuous
When I got to the meeting, the lecturer had been speaking for half an hour.
ซึง่ ถ้าดูคำแปลประโยคนี้ ก็จะเหมือนกับคำแปลทีแ ่ ล้ว แต่ความหมายของประโยคนี้ดีกว่าประโยคก่อนเพราะเน้นถึงการทีผ ่ บ
ู้ รรยาได้บรรยายต
โดยทำนองเดียวกัน ประโยคว่า
The telephone had been ringing for five minutes before it was answered.
โทรศัพท์ได้ฟงั (ติดต่อกันมา) เป็ นเวลาห้านทีกอ ่ นทีจ่ ะมีผรู้ บั
ย่อมได้หมายความดีกว่าประโยคว่า
The telephone had rung for five minutes before it was answered.
ประโยคหลังนี้ไม่ผด ิ แต่ความหนักแน่ นสูป ้ ระโยคแรกไม่ได้ เนื่องจากประโยคแรกเน้นถึงการทีโ่ ทรศัพท์ดงั ติดต่อกันมาเป็ นเวลาห้านาที ซึง่ ป
ควรระวัง กริยาทีไ่ ม่แสดงความต่อเนื่องจะใช้ใน continuous tense ไม่ได้
กลับไปยังหน้าเดิม
Future Perfect Continuous

รูปกริยา Subject + will(shall) + have been + (verb+ing)

การใช้
หลัการเช่นเดียวกับการใช้ future perfect ธรรมดา เราจะใช้ perfect continuous เฉพาะเมือ ่ ต้องการเน้นความต่อเนื่องเท่านัน ้
คือใช้เมือ ่ ต้องการจะบอกวา เมือ ่ ถึงเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์ อย่างหนึ่งซึง่ ดำเนินมาก่อนหน้านัน
้ ก็ยงั คงดำเนินอยูแ่ ละจะดำเนินต่อไปอีก
1.By eleven o'clock I shall have been working for three hours.
เมือ
่ ถึงเวลา 11 นาฬก ิ า ผมก็จะทำงาน(ติดต่อกันมา) ครบสามชั่วโมง (และผมก็จะทำงานต่อไปอีก)
จะเห็นว่าประโยคนี้ก็เหมือนประโยคทีว่ า่
By eleven o'clock I shall have worked for three hours.
เพียงแต่ประโยคหลังนี้ไม่ได้เน้นถึงการทำงานติดต่อกันมาเหมือนประโยคแรก ประโยคหลังนี้บอกเพียงว่า เมือ ่ ถึงเวลา
2. On August 12th we shall have been living in this house exacly four years.
เมือ่ ถึงวันที่ 12 สิงหาคม เราก็จะอยูบ ่ า้ นหลังนี้ครบ 4 ปี พอดี (และจะอยูต
่ อ
่ ไปอีก)

จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้

1. It is now November.
ขณะนี้เป็ นเดือนพฤศจิกายน
2. I wrote this book in June.
ผมเขียนหนังสือนี้เมือ่ เดือนมิถุนายน
3. I have been writing this book for five months.
ผมเขียนหนังสือน้มาเป็ นเวลา 5 เดือนแล้ว(เขียนติดต่อกันมาเป็ นเวลา 5 เดือนละบัดนี้กำลังเขียนคู)่
4. In October I was still writing this book and had been writing this book.
เมือ
่ เดือนตุลาคม (ทีแ
่ ล้ว) ผมก็กำลังเรียนหนังสือนี้อยู่ และได้เขียนหนังสือนี้ (ติดต่อกันมา) เป็ นเวลา 4 เดือนแล้ว
5. In December I shall be writing this book and shall have been writing this book for six months.
ในเดือนธันวาคม(ทีจ่ ะถึงนี้) ผมก็คงจะกำลังเขียนหนังสือนี้อยูอ ่ ีก และ(ในตอนนัน ้ ) ผมก็จะเขียนหนังสือนี้ครบเวลา
6. I shall finish this book in January, when I shall have written this book seven months.
ผมจะเขียนหนังสือนี้จบในเดือนมกราคม(ทีจ่ ะถึงนี้) ซึง่ (ในตอนนัน ้ ) ผมก็จะเรียนหนังสือนี้มาเป็ นเวลา 7 เดือน

โปรดสังเกตข้อ 5 และ ข้อ 6


ในข้อ 5 ประโยคตอนหลังใช้ future perfect continuous แสดงความต่อเนื่องของการเขียน (เมือ ่ ถึงเดือนธันวาคมก็ยงั เขียนอยู่ และจะเขีย
ต่างกับข้อ 6 ประโยคตอนหลัง ใช้ future perfect ธรรมดาเพือ
่ ต้องการแสดงว่เมือ
่ ถึงเดือนมกราคมกาเขียนก็คงจะเสร็จสิน ้ ไม่เขียนอีกต่อไ
กลับไปยังหน้าเดิม

Adverbs

หลักการสังเกตจำกริยาวิเศษณ์ คอ
ื กริยาวิเศษณ์ สว่ นมากลงท้ายด้วย ly เพราะส่วนมากเปลีย่ นรูปมาจากคำคุณศัพท์ ตามหลักเกณฑ์ตอ
่ ไปนี้
1. เพิม
่ ly ท้ายคำคุณศัพท์เพือ
่ ให้เป็ นกริยาวิเศษณ์ เช่น slow = slowly, bad = badly

2. คุณศัพท์ทลี่ งท้ายด้วย y ให้เปลีย่ น y เป็ น i แล้วเติม ly เช่น lazy = lazily

3. คุณศัพท์ทลี่ งท้ายด้วย le ให้ตดั e ทิง้ แล้วเติม y เช่น possible = possibly แต่มีคณ


ุ ศัพท์อยู่ 2 คำต้องตัด e ทิง้ ก่อนเติม

1. ขยายกริยา เช่น

Nipon runs quickly.

อธิบาย quickly ขยาย run เพือ


่ ให้เรารูว้ า่ วิง่ อย่างไร ดังนัน
้ "อย่างไร" จึงเป็ นกริยาวิเศษณ์ เพราะขยายกริยาว่าวิง่

2.ขยายคุณศัพท์ เช่น

He is very impertinent.

่ ให้เรารูว้ า่ เขาทะลึง่ เท่าไร ดังนัน


อธิบาย very ขยาย impertinent คุณศัพท์ เพือ ้ "มาก" จึงเป็ นคำกริยาวิเศษณ์ เพราะขยายคำคุณศัพท์

3.ขยายกริยาวิเศษณ์ ดว้ ยกัน เช่น

Ladda reads quite clearly.

อธิบาย quite ขยายกริยาวิเศษณ์ clearly เพือ


่ ให้เรารูว้ า่ ลัดดาอ่านอย่างชัดเจนถึงขัน
้ ไหน ดังนัน
้ "ทีเดียว" จึงเป็ นกริยาวิเศษณ์ เพราะทำหน้า

Kinds of Adverbs

เพือ
่ ให้เข้าใจอย่างชัดเจนและรูก ้ ในการพิจารณากริยาวิเศษณ์ จงึ อยากให้ตอ
้ ว้างขวางมากขึน ๋ ยเรียนการพิจารณาหน้าทีข
่ องกริยาวิเศษณ์ แต่ละ

1.Adverb of Quality or Manner


คือคำวิเศษณ์ ทแ
ี่ สดงอาการ หรือคุณภาพ จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How สร้างเป็ นรูปประโยคคำถามได้ เช่น
a. How did he speak English ?
b.He spoke English well.

2.Adverb of Time
คือคำวิเศษณ์ ทบ
ี่ อกเวลา จะพิสูจน์ได้โดยใช้ When ตัง้ คำถามถามได้เช่น
a.When did you meet him?
b.I met him yesterday.

3.Adverb of Number
คือคำวิเศษณ์ ทบ
ี่ อกจำนวนเวลา หรือระยะเวลา จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How often สร้างเป็ นรูปประโยคคำถามถามได้ เช่น
How often does he do his homework?
He always does his homework.

4.Adverb of Quantly or Degree


คือคำวิเศษณ์ ทบ
ี่ อกปริมาณมากหรือน้อยเท่าไร จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How หรือ How + Adj. , or How + adv. สร้างเป็ นรูปประโยคคำถาม
a. How lazy is your friend ?
b.He is very lazy.
5.Adverb of Place
คือคำวิเศษณ์ ทบ
ี่ อกสถานที่ จะพิสูจน์ได้โดยการใช้ Where ตัง้ คำถามถามได้เช่น
a.Where has your sister gone?
b.She has gone home.

6.Adverb of Affirmation of Negation


คือคำวิเศษณ์ ซงึ่ แสดงการยืนยัน หรือคำซึง่ ปฏิเสธ หรือคำทีเ่ ป็ นการคาดคะเน พิจารณาดูตวั อย่างนะต๋อย
a.I do not know hom.
b.He is certainly a good boy.

7.Adverb of Reason
คือคำวิเศษณ์ ทแ
ี่ สดงเหตึผลอันสืบเนื่องมาจากการกระทำต่างๆ เช่น
a.He could't pass the exam.
b.She is hence unable to refute the charge.

8.Intersifying Adverb
คือคำวิเศษณ์ ซงึ่ เน้นกริยา หรือคุณศัพท์ เช่น
a.I was also absent from school.
b.Even I was punished.

9.Interrogative Adverb
คือคำวิเศษณ์ ทเี่ ป็ นคำถาม ซึง่ มีอยู่ 4 คำเท่านัน
้ เช่น
a.Where is Ladda?
b.When did you come?
c.Why are you angry?
d. How did you contrive it?

POSITION OF ADVERBS

หลักเกณฑ์การวาง adverb ให้ถูกต้องนัน


้ ต้องอาศัยความเข้าใจจากชนิดของคำวิเศษณ์ ทเี่ รียนมาแล้ว จึงจะช่วยให้มีหลักการพิจารณาได้ดงั ต

1. Adverbs โดยทั่วๆ ไปจะต้องวางหลักกริยา is, am, are, was, were เช่น

She is often late for school.

2.Adverbs ทีต
่ อบคำถาม How ได้ จะวางไว้หน้าประโยค หรือวางหลังประโยคก็ได้ เช่น

He behaves badly.

Nipon plays football well.

3.Adverbs ทีต
่ อบคำถาม When ได้ จะวางไวหน้าประโยค หรือวางหลังประโยคก็ได้ เช่น
He will come tomorrow.

yeserday I went to the cinema.

4.Adverbs ทีต
่ อบคำถาม How often "บ่อยเท่าไร" ตามปกติจะต้องวางไว้หน้ากริยาสำคัญ หรือกริยาแท้ของประโยค แต่มีคำทีว่ างหลังประ

I sometimes eat my dinner at six.

I have always written a letter in English.

5.Averbs ทีต
่ อบคำถาม Where ได้ ตามปกติจะต้องวางไว้หลังประโยค เช่น

Your friend has gone home.

She has never come here.

6.เมือ
่ มีการใช้คำวิเศษณ์ และกลุม
่ คำวิเศษณ์ รว่ มกัน 3 ชนิดทีแ
่ ตกต่างกัน จะมีวธิ ีเรียงลำดับดังนัน

1.He spoke well at the meeting this afternoon.

adv. of manner + place + time

2.I was born at seven o'clock on a cold December evening in the year 1962.

ข้อ 2 เรียงลำดับดังนี้ ชั่วโมง + เช้า ,บ่าย หรือตอนเย็น + ปี

่ นึ่งของประโยคได้ เช่น
7.Adverbs ทีใ่ ช้ตามหลักข้อ 1 และข้อ 4 ถ้าต้องการใช้พูดเน้นหรือย้ำ ภาษาพูดส่วนากทีว่ างไว้หน้า กริยาตัวทีห

I never could understand English.

You are late again! You always are late every day.
และการตอบคำถามสัน้ ๆ ซึง่ คำตอบนัน
้ มีกริยาเพียงตัวเดียว ก็ใช้คำวิเศษณ์ วางข้างหน้าได้ เช่น

Can you buy meat there?

yes, I usually can. No, I never can.


Going to

การแสดงอนาคตโดย going to
1.ใช้ going to + verb แสดงความตัง้ ใจ เช่น
1. I am going to write Anong this evening.
คืนนี้ผม(ตัง้ ใจว่า) จะเขียนจดหมายถึงอนงค์
2.He says he is going to buy a new car next month.
เขาพูดว่าเขา(ตัง้ ใจว่า) จะซื้อรถใหม่สกั คันหนึ่งในเดือนหน้า

2.ใช้ going to + verb แสดงการคาดคะเน


1. I think it is going to rain.
ผมคิดว่าฝนคงจะตก
2. I am afraid that the repairs to our house are going to cost a lot of money.
ผมเกรางว่า การซ่อมแซมบ้านของเราคงจะสิน ้ เปลืองเงินเป็ นจำนวนมาก

3.ใช้ going to + verb แสดงความเชือ่ มั่นว่าจะมีเหตุการณ์ นน


้ ั จริง
My wife is going to a baby.
ภรรยาของผมกำลังจะมีบุตร (เนื่องจากแพทย์บอก)

***ข้อสังเกต
1.ไม่นิยมใช้รูป going to + verb แสดง pure futerity (ความเป็ นอนาคตอย่างแท้จริง)
ผิด : I am going to be twenty-nine in September.
ถูก : I shall(will) be twenty-nine in September.
ผมจะมีอายุ(ครบ) 29 ปี ในเดือนกันยายนนี้.
2.ไม่นิยมใช้ going to ในประโยคอนาคตทีเ่ ป็ นเงือ่ นไข
ผิด : If you ever go to Japan you are going to like the food there.
ถูก : If you ever go to Japan you will like the food there.
ถ้าหากคุณได้ไปญีป ่ น ุ่ คุณคงจะชอบอาหารทีน
่ ่น

กฎการเติม ing ทีคำ


่ กริยา

กฎการเติม ing ทีคำ ่ กริยา


1.ตัด e ทิง้ (ถ้า e ตัวนัน
้ ไม่ออกเสียง) เช่น
write-writing, move-moving, tremble-trembing
ยกเว้น see-seeing, agree-agreeing
2.เปลีย่ น ie เป็ น y ก่อนเติม ing เช่น
die-dying, lie-lying, tie-tying
ข้อสังเกต ski-skiing(เล่นสกี)
3.เติมตัวสะกดอีก 1 ตัว ถ้าเป็ นคำพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และพยัญชนะสะกดตัวเดียว เช่น
dig-digging, run-running, zip-zipping
4.เติมตัวสะกดอีก 1 ตัว ถ้าเป็ นคำสองพยางค์ ซึง่ ลงเสียงหนัก (stress) ทีพ
่ ยางค์หลัง เช่น
begin-beginning, occur-occurring, refer-referring
่ l อีกตัวหนึ่ง หรือไม่เพิม
หมายเหตุ คำลงท้ายด้วย l จะเพิม ่ ก็ได้ (แบบอเมริกน
ั ไม่เพิม
่ l)
อเมริกา : travel-traveling, quarel-quarrenling
อังกฤษ : travel-travelling, quarel-quarrenlling

Shall

Shall เมือ ่ ใช้กบั I หรือ we อาจมีความหมาย แสดงความตัง้ ใจ


1.I shall do what I like.
ฉันจะทำตามทีฉ ่ นั ชอบ
2.I shall go there if I want to.
ผมจะไปทีน ่ ่น
ั ถ้าหากผมว่าปรารถนา(จะไป)
3.We shall defend our country whatever the cost may be.
เราจะป้ องกันประเทศของเราจนถึงทีส่ ุด
4."We shall figt on the beaches , we shall fight on the landing ground, we shall fight in the fields and in the streets,
"เราจะสูต้ ามชายหาด เราจะสูบ ่ งึ่ มีการยกพลขึน
้ นทีซ ้ บก เราจะสูใ้ นท้องทั่งและในถนน เราจะสูใ้ นภูเขา เราจะไม่มีวน
ั ยอม จำนนเป็ นอันเด็ดขา

เมือ
่ ใช้ shall กับ you, he , she, it , they, etc. อาจมีความหมายว่า
1.เป็ นเชิงให้สญั ญา (ผูพ้ ูดเป็ นผูใ้ ห้สญ
ั ญา)
1. If you work hard you Shall have a holiday on Saturday.
ถ้าพวกเธอทำงานให้จริงจัง ก็จะได้หยุดทุกวันเสาร์
2.You shall have the money as soon as I get it.
2.เป็ นเชิงบังคับ(ผูพ
้ ูดเป็ นผูบ
้ งั คับบัญชา)
1.If you children won't do as I tell you, you shan't go to the party
2.Do this or you shall be punished?
ทำสิง่ มิฉะนัน้ เธอจะถูกทำโทษ( = ทำนะถ้าไม่ทำจะโดนทำโทษ)
3.เป็ นเชิงแสดงความตกลงใจอย่างแน่ วแน่ (ของผูพ ้ ูด)
1.These people want to buy my house, but they shan't have it.
คนเหล่านี้อยากจะซื้อบ้านของผม แต่วา่ เขาไม่มีหวังจะได้มน ั หรอก
(เพราะผมตกลงใจอย่างแน่ นแน่ เสียแล้วว่าจะไม่ขาย)
2.The enemy shall not pass.
ศัตรูไม่มีทางทีจ่ ะผ่านไปได้หรอก
(เพราะเราตกลงใจอย่างแน่ วแน่ เสียแล้วว่าจะไม่ยอมให้มน ั ผ่านไปได้)

Will

Will เมือ่ ใช้ will กับ I และ we อาจมีความหมาย


1.เป็ นการแสดงความตัง้ ใจจริง
1.I will try again this year.
ปี นี้ผมจะพยายามอีก (หลังจากทีผ ่ มเคยสอบตกมาแล้ว)
2.I will make this radio work even if I have to stay up all night.
ผมจะทำให้เจ้าวิทยุเครือ ่ งนี้ทำงานให้ได้ แม้วา่ ผมจะต้องอยูท
่ ง้ ั คืนก็ตาม
2.เป็ นการให้สญ ั ญา
1. I won't forget Ladda's birthday . I will send her a present.
ผมจะไม่ลืมวันเกิดของคุณลัดดาแน่ ผมจะส่งของขวัญไปให้หล่อน
2.Will you take her to be your lawful wedded wife ?
คุณจะ (ยอมรับ)ถือว่าหล่อนเป็ นภรรยาทีแ ่ ต่งงานโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
มเป็ นประจำ) ต่อไปนี้

ney. Antonio says that he hasn't any at the moment until his ships come to port.
อกว่า ขณะนี้เขาไม่มีเงินเลย จนกว่าเรือจะเข้าเทียบท่าแล้ว(เขาจึงจะมี)
สงค์จะแสดงความเกีย่ ว พันกันก็ใช้ tense นี้ได้ตลอด เช่น
he doors, and walked towards the cinema.

เป็ น 'll เหมือนกัน


utes, a month from now เช่น

นค้วา่ เมือ
่ ใช้แสดงอนาคตนัน
้ ก็แสดงความจงใปด้วย ในตัว เป็ นต้น

ตอย่างแท้จริง จึงนิยมเรียกชือ
่ เสียใหม่ 'Pure' Future เช่น

ทัง้ หมด คือเป็ นไปตามกฎโดยเคร่งครัด

ริงก็ตอ
้ งในนครลอนดอน รูปคำถามของ I และ We มักเป็ น Shall I? หรือ we? เสมอ ยกเว้นในกรณีตอ
่ ไปนี้
ณีเช่นนี้ไม่มีคำแปลในภาษาไทย)เช่น

้ ไปอีก ถ้าใช้ present continuous คือ


กล่าวจะมีความหมายดียงิ่ ขึน

erbs of movement) แต่จะใช้ กับกริยาอืน


่ บ้างก็ได้
งจิตใจ(state of mind) ความรูส้ ก
ึ (feeling) หรือแสดงสัมพันธภาพ (relationship) เช่น

ู่ บั เหตุการณ์ อีกเหตุการณ์ หนึ่งเสมอ


อไมใช้ลอย ๆ เพียงเหตุการณ์ เดียว แต่ใช้คก

บไว้ในประโยค คือ บอกว่าเหตุการณ์ นน


้ ั ๆ กำลังดำเนิน อยูใ่ นอดีตตลอดเวลาทีกำ
่ หนดนัน
้ เช่น

ะโยคมักจะได้แก่ while)

atch for policemen.


mple) เหตุการณ์ ทกำ ้ ใหม่ใช้ past simple
ี่ ลังดำเนินอยูใ่ ช้ past continuous เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน

รรยาบอกผมยังไมละเอียด
กลุม
่ คำ หรือวลีก็ได้

(ประโยคเช่นนี้ใช้เพียง furture simple ก็ได้ แต่ความ หมายจะอ่อนลงไป)


ce last week, since 1960, etc. สำหรับหลัง for เป็ น period of time คืแป็ นช่วงเวลาทีม
่ ีความยาวนาน เช่น for ten years, for three hours , for two weeks, e
แสดงความปรารถนา และในการนำคำของผูอ ื่ มาเล่า ( indirect speech) ซึง่ จะได้กล่าวถึงการใช้ tense นี้ในเรือ
้ น ่ งนัน
้ ๆ

he thieves has already gone.


เพียงแต่ perfect continuous เน้นถึงความต่อเนื่องของเวลามากกว่า perfect ธรรมดาเท่านัน

ยปกติจะใช้ได้ก็ตอ ่ มีเหตึการณ์ ในอดีต 2 เหตุการณ์ ขณะทีเ่ หตุการณ์ หนึ่งกำลังดำเนินอยูก


่ เมือ ่ ็อีกเหตุการณ์ หนึ่งเกิดขึน

ึ้ อีก ถ้าใช้ past perfect continuous คือ


ดีขน

อนเพราะเน้นถึงการทีผ ู้ รรยาได้บรรยายติดต่อกัน มาเป็ นเวลาครึง่ ชั่วโมง ต่างกับประโยคแรกทีไ่ ม่ได้เน้นถึงความต่อเนื่องของการบรรยาย (โดยปกติการบรรยายนัน


่ บ ้ เขาก็บ

รศัพท์ดงั ติดต่อกันมาเป็ นเวลาห้านาที ซึง่ ประโยคหลังนี้ไม่มีการเน้นดังกล่าว


องการเน้นความต่อเนื่องเท่านัน

นก็ยงั คงดำเนินอยูแ
่ ละจะดำเนินต่อไปอีก

พียงว่า เมือ
่ ถึงเวลา 11 น. ผมก็จะทำงานครบ 3 ชั่วโมง ไม่ความหมายพิเศษอย่างอืน

for six months.


งสือนี้ครบเวลา 6 เดือน (แต่ก็จะยีงเขียนต่อไปอีก)

อถึงเดือนธันวาคมก็ยงั เขียนอยู่ และจะเขียนต่อไป)


มกาเขียนก็คงจะเสร็จสิน ้ ไม่เขียนอีกต่อไป

จากคำคุณศัพท์ ตามหลักเกณฑ์ตอ
่ ไปนี้
คำต้องตัด e ทิง้ ก่อนเติม ly เช่น true = truly , due = duly ถ้าต๋อยจำหลักนี้ได้ ว่าเป็ นกริยาวิเศษณ์ นอกจากนี้ตอ
้ งจำว่ากริยาวิเศษณ์ มีหน้าที่ 3 อย่าง คือ ขยายกริยา ขย

ริยาวิเศษณ์ เพราะขยายคำคุณศัพท์ "ทะลึง่ " (เลือก,อวดดี, ไม่เข้าเรือ


่ ง)

ทีเดียว" จึงเป็ นกริยาวิเศษณ์ เพราะทำหน้าทีข


่ ยายกริยาวิเศษณ์ "อย่างชัดเจน"

่ องกริยาวิเศษณ์ แต่ละชนิด ซึง่ มีอยู่ 9 ชนิด ดังต่อไปนี้คอ


การพิจารณาหน้าทีข ื

คคำถามถามได้ เช่น

How + adv. สร้างเป็ นรูปประโยคคำถามได้ เช่น


ล้ว จึงจะช่วยให้มีหลักการพิจารณาได้ดงั ต่อไปนี้คอ

ริยาแท้ของประโยค แต่มีคำทีว่ างหลังประโยค once , twice

่ นึ่งของประโยคได้ เช่น
น้า กริยาตัวทีห
ght in the fields and in the streets, we shall fight in the hills; we shall never surrender."
ขา เราจะไม่มีวนั ยอม จำนนเป็ นอันเด็ดขาด"
or three hours , for two weeks, etc. อนึ่ง หลัง since เมือ ่ สดง point of time ซึง่ เป็ น past เช่น
่ เป็ นประโยคก็จะต้องเป็ น ประโยคทีแ
รรยาย (โดยปกติการบรรยายนัน
้ เขาก็บรรยายติดต่อกันมาไม่ใบรรยาแล้วหยุดแล้วบรรยายต่อ ดังนัน
้ ประโยคนี้จงึ ได้ใจความดีกว่าประโยคแรกมากดังกล่าวแล้ว
ษณ์ มีหน้าที่ 3 อย่าง คือ ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ และขยายกริยาวิเศษณ์ ดว้ ยกัน โดยพิจารณาจากหน้าทีเ่ ช่น
โยคแรกมากดังกล่าวแล้ว)
WORDS
คำในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็ นชนิดต่างๆได้   ๘   ชนิด ด้วยกันคือ
1. Noun คำนาม (คำทีใ่ ช้เรียกชือ
่ คน สัตว์ สิง่ ของ สถานที)่
2. Pronoun   คำสรรพนาม  (คำทีใ่ ช้แทนคำนาม)
3. Adjective   คำคุณศัพท์  (คำขยายคำนาม) 
4. Adverb  คำกริยาวิเศษณ์    (คำขยายกริยา  ฯลฯ   ยกเว้นนาม  กับ  สรรพนาม
5. Verb    คำกริยา  ( อาการกระทำของประธาน)
6. Conjunction    คำสันธาน  (คำทีใ่ ช้เชือ ่ มอนุประโยคตัง้ แต่ 2 ประโยคขึน ้ ไป)
7. Preposition    คำบุพบท  (คำใช้เชือ ่ มแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ)
8. Interjection   คำอุทาน  (คำทีเปล่งออกมาลอยๆ  เพือ ่ แสดงความรูส้ ก ึ ของอารมณ์ )
          ในภาษาอังกฤษนัน ้ การสร้างประโยคจะใช้คำต่างๆเหล่านี้มาแต่งเป็ นประโยคขึน ้   ซึง่ คำแต่ละชนิดนี้จะมีลกั ษณะเฉพาะของตนเอง  
คือมีหน้าทีต ่ า่ งกันและมีการวางตัวต่างกันด้วย   ซึง่ ต่อไปนี้จะได้อธิบายพื้นฐานเรือ
่ งหลักการใช้คำต่างๆ เหล่านี้และหลักการแต่งประโยคอย่าง

NOUN
Noun คือคำทีใ่ ช้เป็ นชือ
่ ของ คน สัตว์ สิง่ ของและสถานที ่ แบ่งออกได้ 5 ชนิดคือ
          1. Common Noun  สามานยนาม ได้แก่นามทีเ่ ป็ นชือ ่ ไม่ชี้เฉพาะของ คน สัตว์ สิง่ ของ และสถานที ่ เช่น 
          2. Proper Noun  วิสามานยนาม ได้แก่นามทีเ่ ป็ นชือ ่ เฉพาะของคน สัตว์ สิง่ ของ และสถานที ่ และจะต้องเขียนด้วยต
          3. Collective Noun  สมุหนาม ได้แก่นามทีเ่ ป็ นชือ ่ ของหมูค ่ ณะ, กลุม ่ , ฝูง เป็ นต้น  ส่วนมากมัก จะเป็ นคำผสมทีค
่ รั่นด
้ กิรยิ าจึงต้องใช้ให้เป็ นพหูพจน์ดว้ ย (อนึ่งบางคำอาจเป็ นคำคำเดียวก็ได
ดังนัน
          4. Material  Noun  วัตถุนาม  ได้แก่นามทีเ่ ป็ นชือ ่ ของเนื้อวัตถุ  ซึง่ ส่วนมากก็ได้แก่นามทีเ่ ป็ นของเหลว
          5. Abstract  Noun   อาการนาม  ได้แก่นามทีเ่ ป็ นชือ ่ ของลักษณะ, สภาวะ,  และการกระทำ  นามจำพวกนี้ไม่มีตวั ตน 

หน้าทีข่ องนาม
นามทัง้  5 ชนิดทีก ่ ล่าวมานัน
้ เวลานำไปพูดหรือเขียน สามารถทำหน้าทีไ่ ด้ 7 อย่างคือ
1. เป็ น Subject ของกิรยิ าในประโยคได้.
2. เป็ น Object ของกิรยิ าในประโยคได้.
3. เป็ น Object ของ Preposition (บุรพบท) ได้.
4. เป็ น Complement คือส่วนสมบูรณ์ ของกิรยิ าได้.
5. เป็ น Appositive คือเป็ นนามซ้อนนามได้.
6. เป็ น Address คือเป็ นนามเรียกขานได้ (และต้องใส่, Comma ด้วย).
7. เป็ น Possessive คือเป็ นนามแสดงความเป็ นเจ้าของได้ (และต้องใส่ Apostrophe’s ด้วย)

Pronoun
Pronoun (คำสรรพนาม) คือคำทีม
่ ีไว้สำหรับ(พูด,เขียน)แทนชือ
่ ของคน,สัตว์,สิง่ ของ,และสถานทีเ่ พือ
่ ป้ องกันมิให้กล่าวชือ ้ ซ้ำๆซากๆ ซึง่ เป
่ นัน

Pronoun   มีอยู่ 8 ชนิดด้วยกันคือ


1. Personal Pronoบุรุษสรรพนาม
สามีสรรพนาม
2. Possessive Pronoun 
3. Definite Pronoun นิยมสรรพนาม
4. Indefinite Pronoun 
อนิยมสรรพนาม
5. Interrogative Pronoun
ปฤจฉาสรรพนาม
6. Relative Pronoun ประพันธ์สรรพนาม
7. Reflexive Pronoun 
สรรพนามสะท้อนหรือเน้น
8. Distributive Pronoun 
วิภาคสรรพนาม

1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม คือสรรพนามทีใ่ ช้แทนชือ


่ ของผูพ
้ ูด, ผูฟ
้ งั , และผูท ี่ ูกกล่าวถึง  ซึง่ มีออยู่
้ ถ

เอกพจน์ พหูพจน์
บุรุษที ่     1 I we
บุรุษที ่     2 you you
บุรุษที ่     3 he,   she,    it the

Personal   Pronoun   แบ่งได้  5  รูป คือ                                                                       

รูปที ่ 1 รูปที่ 2 รูปที่ 3 รูปที ่ 4 รูปที่ 5


I Me My mine myself
We us Our ours ourselves
You you Your yours yourself
He him his his himself
she her Her hers herself
It It its its itself
they them there theirs themselves

2.  Possessive Pronoun สามีสรรพนาม   คือสรรพนามทีใ่ ช้แสดงความเป็ นเจ้าของ ซึง่ ก็คอ


ื บุรุษสรรพนามรูปที ่

2.1    เป็ นประธานของกิรยิ าในประโยค  เช่น Your   book  is green,  mine is red.

2.2    เป็ นส่วนสมบูรณ์ ของกิรยิ า   เช่น  this  pencil is mine, that one is your.

2.3  ใช้เรียงตามหลังบุรพบท(คำเชือ
่ มคำ) เพือ ้ ได้เช่น  A   friend  of  yours
่ เน้นความเป็ นเจ้าของให้ชดั เจนขึน

              3.  Definite Pronoun นิยมสรรพนาม  คือสรรพนามทีช


่ ี้เฉพาะและใช้แทนนามได้ ทีน
่ ิยมใช้แพร่หลายมีอยู่

                    this,   that,   one      3   ตัวนี้ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นเอกพจน์ .

                   These,    those,  ones   3    ตัวนี้ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นพหูพจน์ .

*นิยมสรรพนามนี้ ทำหน้าทีเ่ ป็ นประธานหรือกรรมของกิรยิ าในประโยคได้ตามแต่ จะ ใช้งาน.

   4.   Indefinite pronoun อนิยมสรรพนาม คือสรรพนามทีใ่ ช้แทนนามได้ท่วั ไป ไม่เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนัน


้ คนนี้โดยตรง 

*ข้อสังเกต ทัง้ นิยมสรรพนามและอนิยมสรรพนาม  ถ้าใช้โดยมีคำนามอืน


่ ตามหลังจะกลายเป็ นคำคุณศัพท์ไป  แต่ถา้ ใช้โดยไม่มีคำนามอืน
่ ตาม

               5. Interrogative pronoun ปฤจฉาสรรพนาม  คือสรรพนามทีใ่ ช้เป็ นคำถาม  และต้องไม่มีนามตามหลังด้วยจึงจะเรียกว่าเป็ นปฤ

 ·  Who   (ใคร)   ใช้ถามถึงบุคคลและเป็ นประธานของกิรยิ าในประโยคได้ บางครัง้ ก็เป็ นกรรมได้  

   เช่น.   Who   is  standing   there  ? ใครกำลังยืนอยูท


่ น
ี่ ่ น
ั ?.

·Whom  (ใคร)  ใช้ถามถึงบุคคลและเป็ นกรรมของกิรยิ าหรือบุรพบท  (บางครัง้ ใช้ Who แทน). เช่น Whom  do  you  love ? 

·Whose  (ของใคร)  ใช้ถามถึงเจ้าของ  และต้องเป็ นบุคคลเท่านัน


้ เช่น.  Whose  is  the  car ?  รถคันนี้เป็ นของใคร

                  ·    What (อะไร)   ใช้ถามถึงสิง่ ของเป็ นได้ทง้ ั ประธานและกรรม  เช่น:-

                       -   ถ้าเป็ นประธานต้องไม่ใช้กริยาอะไรมาช่วยทัง้ สิน


้ เช่น What  delayed  you ? อะไรทำให้คณ
ุ ล่าช้า
-     ถ้าเป็ นกรรมต้องมีกริยาช่วยตัวอืน
่ มาร่วมด้วย  และวางไว้หลัง What เช่น What do you   want  ?

                      ·   Which  (สิง่ ไหน อันไหน)  ใช้ถามถึงสัตว์, สิง่ ของ, เป็ นได้ทง้ ั ประธานและกรรม เช่น  ถ้าเป็ นประธานไม่ตอ
้ งใช้กริยาอืน
่ ม

                      6.   Relative  Pronoun   ประพันธ์สรรพนาม  คือสรรพนามทีใ่ ช้แทนทีอ่ ยูข


่ า้ งหน้า และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าทีเ่ ชือ
่ มป

้ งึ่ )  ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นบุคคลและบุคคลนัน


·Who  (ผูซ ้ จะต้องเป็ นผูก
้ ระทำด้วย เช่น    The  man  who  came  here  last  week  is  my

้ งึ่ )  ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นบุคคลและบุคคลนัน


·Whom  (ผูซ ้ ต้องเป็ นผูถ
้ ูกกระทำด้วย เช่น The  boy  whom  you  saw  yesterday  is  my 

้ งึ่ …..ของเขา)   ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นบุคคลเพือ


·Whose (ผูซ ่ แสดงความเป็ นเจ้าของนามทีต
่ ามหลัง ดังนัน
้ เมือ
่ มี Whose

 ·Which  (ที,่ ซึง่ )  ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นสัตว์ สิง่ ของ เป็ นได้ทง้ ั ประธานและกรรม   The  animal            which  has  wing  is  a  bird. 

·Where  (อันเป็ นที)่   ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นสถานที่ เป็ นได้ทง้ ั ประธานและกรรม เช่น  The  night  club is  the  place 

·What  (อะไร,สิง่ ที)่   ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นสิง่ ของ นามที่ What ไปแทนทำหน้าทีเ่ ป็ นประพันธ์สรรพนามนัน
้ ไม่ตอ
้ งปรากฏให้เห็นอยูข
่ า่ งหน้าเห

·When  (เมือ
่ ,ที)่   ใช้แทนนามทีเ่ กีย่ วกับเวลา ,วัน,  เดือน,ปี   เช่น  Sunday  is  the  day  when  we  don’t  work. 

·Why  (ทำไม)   ใช้แทนนามทีเ่ ป็ นเหตุผล  (ส่วนมากใช้แทน reason ) เช่น This  is  the  reason  why  I  go  to  Hong  Kong.

                ·   That  (ที,่ ซึง่ )   ใช้แทนคน, สัตว์, สิง่ ของ, และสถานทีไ่ ด้ แต่ตอ
้ งอยูใ่ นหลักเกณฑ์   4  ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง  อันได้แก่ 

    1.    เป็ นนามทีม


่ ีคณ
ุ สมบัตส
ิ ูงสุดมาขยายอยูข
่ า้ งหลัง เช่น  He is the tallest  man  that  I   have  ever seen.

2.    เป็ นนามทีม


่ ีเลขจำนวนนับทีม
่ าขยายอยูข
่ า้ งหน้า  เช่น China  is  the  first  country  that  I am  going  to  visit.

3.    เป็ นนามทีม


่ ีคณ
ุ ศัพท์บอกปริมาณมาขยายอยูข
่ า้ งหน้า เช่น She has much money  that  she  give  me. 

                           4.    เป็ นสรรพนามผสมต่อไปนี้ตวั ใดตัวหนึ่งปรากฏอยูแ


่ ล้ว คือ someone,  somebody,  something,  anyone,  a

          7.  Reflexive   Pronoun   สรรพนามสะท้อนหรือเน้น  ได้แก่บุรุษสรรพนามที่ 5  นั่นเอง  อันได้แก่  

                                1.  เรียงไว้หลังประธาน  เมือ


่ ต้องการเน้นว่าประธานเป็ นผูก
้ ระทำกิจนัน
้ ด้วยตนเอง เช่น  

2.    เรียงไว้หลังกริยา เมือ


่ บอกว่าผลการกระทำนัน
้ เกิดจากผูก
้ ระทำเองเช่น   I  will  punish  myself  if  I do  mistakes 

3.    เรียงไว้หลังกรรม  เมือ


่ ต้องการเน้นกรรมนัน
้ เช่น   I   spoke   to  the  President   himself .  ผมได้พูดกับตัวท่านประธานาธิบดีเอง

8.  Distributive   Pronoun    วิภาคสรรพนาม   คือสรรพนามทีใ่ ช้แทนคำนามในการแบ่งหรือจำแนกออกเป็ นครึง่ หนึ่ง

each   แต่ละ,  either   คนใดคนหนึ่ง,   neither  ไม่ใช่ทง้ ั สอง  หรือไม่ใช่ทง้ ั สอง  เช่น  There  are  ten  boy  . 

*   ข้อสังเกต   วิภาคสรรพนามถ้าใช้ลอยๆเป็ นสรรพนาม  แต่ถา้ ใช้โดยมีนามอืน


่ ตามหลังจะเป็ นคุณศัพท์                             

ลักษณะพจน์ของนามโดยทั่วไป
                ในการสร้างประโยคนัน
้ จะต้องใช้กริยาให้สอดคล้องกับพจน์ของตัวประธาน  ถ้าประธานเป็ นเอกพจน์กริยาก็ตอ
้ งเป็ นเอกพจน์   ถ้า

          1.     ถ้าท้ายศัพท์นน


้ ั ไม่เติม  S  ให้ถือว่าเป็ นเอกพจน์   เช่น   a  book ,   a cat  …  etc.

          2.    ถ้าท้ายศัพท์นน


้ ั เติม  S   ให้ถือว่าเป็ นพหูพจน์   เช่น  Books,     cats ….   etc.

                *    ข้อยกเว้น   มีนามหลายตัว หรือหลายลักษณะทีไ่ ม่อยูใ่ นหลักการทัง้   ทีก ้   ซึง่ เป็ นเรือ
่ ล่าวมาแล้วนัน ่ งทีล่ ะเอียดเกินไปทีเ่ ราควร

                                                        

เพศของนาม

          นามในภาษาอังกฤษทัง้ 5  ชนิด   เมือ


่ จำแนกออกเป็ นเพศแล้วจะมีอยู ่   4  เพศ  คือ

          1.   Masculine    Gender   เพศชาย    เช่น  boy,  man….etc.

                2.  Feminine     Gender    เพศหญิง  เช่น   girl,  woman …etc.

          3.   Common    Gender   เพศรวม  เช่น Teacher,  Student…etc.

          4.   Nature     Gender    ไม่มีเพศ  เช่น   pen,  desk…etc.

หลักการเปลีย่ นเพศชายเป็ นเพศหญิงมีหลักเกณฑ์  4  อย่างคือ

1.    โดยการเปลีย่ นคำทัง้ คำจากเพศชายเป็ นเพศหญิง เช่น  Boy   เป็ น   Girl  เป็ นต้น

2.    โดยการเติมอาคม  ess   ทีท


่ า้ ยคำเพศชาย  เช่น         Prince  เป็ น   Princess  เป็ นต้น

3.    โดยการเติมคำทีเ่ ป็ นเพศหญิงข้างหน้านาม  จะกลายเป็ นเพศหญิง  เช่น Boy-friend เป็ นgirl- 

       friend    เป็ นต้น.                                                                            

 4.    โดยการเติมคำทีเ่ ป็ นเพศหญิงข้างหลังนามจะกลายเป็ นเพศหญิง เช่น Grand-father

       เป็ น  Grandmother  เป็ นต้น.

จบเรือ
่ งนามและสรรพนาม

Article

                 Article   คือคำทีใ่ ช้นำหน้านาม    คือคำนามในภาษาอังกฤษทุกตัว เวลาพูด-เขียนจะต้องมี Article

                   Article  มีอยู่ 2 ชนิดคือ

          1.   Indefinite Article คือคำนำหน้านามแล้วมีความหมายทั่วไป  อันได้แก่  A  , An.

          2.   Definite Article คือคำนำหน้านามแล้วมีความหมายชี้เฉพาะ  ได้แก่  The .


                                 

หลักทั่วไปของการใช้   A

                  คือเมือ
่   A  นำหน้านามใดนามนัน
้ ต้องมีลกั ษณะครบ  4  ประการ อันได้แก่

1.    เป็ นนามเอกพจน์

2.    เป็ นนามนับได้

3.    เป็ นนามทีข ึ้ ต้นด้วยพยัญชนะ


่ น

4.    เป็ นนามทีม


่ ีความหมายทั่วไป

*  ข้อยกเว้น  ห้ามใช้  A นำหน้า  คือนามบางตัวทีข ึ้ ต้นด้วยพยัญชนะ  แต่อา่ นออกเสียงสระทีอ่ ยูถ


่ น ่ ดั ไป  นามตัวนัน
้ ให้ใช้ 

หลักทั่วไปของการใช้  AN

     คือเมือ
่   AN  นำหน้านามใด  นามนัน
้ จะต้องมีลกั ษณะครบ 4  ประการ คือ

                                   1.    เป็ นนามเอกพจน์

2.    เป็ นนามนับได้

3.    เป็ นนามทีข ึ้ ต้นด้วยสระ คือ    A ,  E ,  I ,  O ,  U.


่ น

4.    เป็ นนามทีม


่ ีความหมายทั่วไป

               *  ข้อยกเว้น   ห้ามใช้   AN  นำหน้าคือ  นามบางตัวทีข ึ้ ต้นด้วยสระ  แต่อา่ นออกเสียงเป็ นพยัญชนะ”ย”  นามตัวนัน
่ น ้ ให้ใช้ 

           นามต่อไปนี้หา้ มใช้ทง้ ั A  และ AN  นำหน้าเด็ดขาด

1. นามทีน
่ บ
ั ไม่ได้ทก
ุ ชนิด

2. นามพหูพจน์ทก
ุ ชนิด

                      

หลักทั่วไปของการใช้  THE

          ใช้นำหน้าได้ทก
ุ ชนิด ทุกประเภท  นั่นคือ

                                  1.   เป็ นนามเอกพจน์        ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                  2.    เป็ นนามพหูพจน์    ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                      3.    เป็ นนามทีข ึ้ ต้นด้วยพยัญชนะ  ก็ใช้  The  นำหน้าได้


่ น

                                    4.    เป็ นนามทีข ึ้ ต้นด้วยสระ    ก็ใช้  The  นำหน้าได้ (แต่ให้อา่ นว่า ดิ )
่ น
                                      5.    เป็ นนามทีน
่ บ
ั ได้  ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                      6.   เป็ นนามทีน


่ บ
ั ไม่ได้  ก็ใช้  The  นำหน้าได้

                                           7.   แต่นามทีก


่ ล่าวมาทัง้ หมดนี้จะต้องมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจงเท่านัน
้ .

            นามต่อไปนี้หา้ มใช้ THE  นำหน้า

                                1.   นามทีก ้ มาลอยๆ


่ ล่าวขึน

                                 2.   นามทีร่ ะบุไว้ในหัวข้อว่าห้ามใช้  THE  นำหน้า(ซึง่ มีขอ


้ ห้ามมากมายแต่จะไม่กล่าวถึง

     * อนึ่งแม้ลกั ษณะของประโยคจะไม่มีคำบ่งชี้เฉพาะเอาไว้  แต่ถา้ นามนัน


้ เป็ นทีร่ จู้ กั กันดีระหว่างผูพ
้ ูดและผูฟ
้ งั   ก็ให้ใช้

การใช้  A, AN, THE แบบระคน

-         ถ้านามนัน
้ มีบุรพบทวลีหรืออนุประโยคมา ขยายอยูข
่ า้ งหลัง ให้ใช้    the   ทันที.

-         ถ้านามนัน
้ ไม่มีบุรพบทวลีหรืออนุประโยคมาขยายอยูข
่ า้ งหลังให้ใช้    a,  an   ทันที

           * มีหลักพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ  นามใดก็ตามทีเ่ ป็ นเอกพจน์นบ


ั ได้  ทีก ้ มาลอยๆ ให้เติม a  , an  ทันที  แต่ถา้ นามนัน
่ ล่าวขึน ้ ม
้ ถูกยกขึน

*   อนึ่งยังมีรายละเอียดเกีย่ วกับคำนามบางตัวว่านามตัวใดใช้เฉพาะ A, AN และนามตัวใดใช้เฉพาะ THE   ซึง่ เป็ นคำนามพิเศษ แต่ในทีน


่ ี้จ

จบเรือ
่ ง Article

Adjective

Adj.   คือคำทีใ่ ช้บรรยายคุณภาพของนาม (ขยายนาม)  เช่น  Good,  tall,  fat ..etc.

Adj.  เวลานำไปใช้นน
้ ั ปรกติมีวธิ ีใช้อยู ่ 2  วิธีคอ

1.    เรียงไว้หน้านามที่ Adj. นัน


้ ไปขยายโดยตรงก็ได้  เช่น 

The   fat  man  can’t run  quick. 

 A   clever  boy can answer a difficult problem.

2.    เรียงไว้หลัง  Verb  to  be  ก็ได้  เช่น.

Somsri  is  beautiful.

My   dog  is  black.

               *  อนึ่งการใช้  Adj.  แบบ 1 และ 2 นัน


้ เป็ นการใช้ Adj.  แบบทั่วๆไป    แต่ยงั มี  Adj.  พิเศษหลายตัวทีบ
่ งั คับว่าจะต้องใช้วธิ ีใดวธ

ชนิดของ  Adj.
                     Adj.  แบ่งออกเป็ น    8  ชนิดคือ.

1.    Descriptive  Adj.   คุณศัพท์บอกลักษณะ(หรือคุณภาพ)  เช่น  Good, fat, tall,  thin,  rich ,etc.
2.    Proper  Adj.  คุณศัพท์บอกชือ ่ เฉพาะ(บอกสัญชาติ)คือเป็ นAdj. ทีม่ ีรูปมาจากคำนามทีเ่ ป็ นชือ
่ เฉพาะ เช่น
3.    Quantitative  Adj.  คุณศัพท์บอกปริมาณ(ว่ามากหรือน้อยเท่านัน ้ )  ได้แก่คำว่า many,  much,  little,  some,  any, all . 
4.    Numeral  Adj.  คุณศัพท์ทบ ี่ อกจำนวน(ว่ามีเท่าไร) ได้แก่คำว่า One, Two, Three…
5.    Demonstrative Adj.  คุณศัพท์ชี้เฉพาะ(เจาะจงว่าเป็ นคนนัน ้ คนนี้ มิได้หมายถึงคนอืน่ )ได้แก่คำว่า  the,  same,  this,  that,  the
6.    Possessive  Adj.  คุณศัพท์บอกเจ้าของ(มีรูปมาจากบุรุษสรรพนามที่ 3 )แต่เวลาใช้จะต้องมีนามตามหลังด้วยเสมอ  ได้แก่คำว่า 
7.    Interrogative  Adj.  คุณศัพท์คำถาม (ใช้ขยายนามเพือ ่ ให้เป็ นคำถาม ต้องวางไว้หน้านามเสมอ ถ้าไม่มีนามตามหลังมันจะเป็ นปฤจฉา
8.     Distributive  Adj.  คุณศัพท์แบ่งแยก(ใช้ขยายานามเพือ
่ แบ่งแยกให้เป็ นรายบุคคลหรือรายสิง่ ตามทีผ
่ พ
ู้ ูดต้องการ) และนามทีถ
่ ูกขยาย

จบเรือ
่ ง Adjective

Adverbs

 Adverbs   คือคำทีทำ
่ หน้าทีข
่ ยายกริยา,  คุณศัพท์ , หรือขยาย Adverbs ด้วยกันก็ได้

         หลักการใช้ Adverbs 

-         ถ้าขยายกริยา ให้เรียงไว้หลังกริยา  เช่น The  old  man  walk slowly.

-         ถ้าขยายคุณศัพท์ ให้เรียงไว้หน้าคุณศัพท์ เช่น Dang is very strong.

-         ถ้าขยาย Adverbs  ให้เรียงไว้หน้า Adverbs  เช่น  The train runs very fast.

ชนิดของ Adverbs

Adverbs  แบ่งออกเป็ นหมวดใหญ่ๆได้  3  หมวด คือ

              1.  Simple Adverbs   กริยาวิเศษณ์ สามัญ  ใช้ขยายกริยาธรรมดานี่เอง แบ่งได้ 6      หมวดคือ

                   1. Adverbs    of  time   กริยาวิเศษณ์ บอกเวลา ได้แก่คำว่า  now, ago, yesterday, ...

                   2. Adverbs  of  place   กริยาวิเศษณ์ บอกสถานที ่ ได้แก่คำว่า near, far, in, out, …

                   3. Adverbs of  frequency  กริยาวิเศษณ์ บอกความสม่ำเสมอ ได้แก่คำว่า always,  often,  again,   usually,  …

                  4.Adverbs  of  Manner  กริยาวิเศษณ์ บอกอาการ  ได้แก่คำว่า  well,  slowly,  .    quickly, fast..

                  5.   Adverbs of  Quantity  กริยาวิเศษณ์ บอกปริมาณมากน้อย ได้แก่คำว่า  Many,     much,  very,  too,  quite…

                  6.  Adverbs  of  affirmation  or  negation กริยาวิเศษณ์ บอกการรับหรือปฏิเสธ ได้แก่คำว่า 

         2.   Interrogative Adverbs      กริยาวิเศษณ์ คำถาม  ใช้ขยายกริยาเพือ


่ ให้เป็ นคำถาม (ต้องวางไว้หน้าประโยคเสมอ

                     1.   บอกเวลา  ได้แก่คำว่า When (เมือ


่ ไร),  How long (นานเท่าไร).
2.   บอกสถานที ่ ได้แก่คำว่า Where  (ทีไ่ หน).

3.   บอกจำนวน   ได้แก่คำว่า  How  many  (มากเท่าไร),  How often (กีค


่ รัง้ )..

 4.   บอกกริยาอาการ  ได้แก่คำว่า  How  (อย่างไร)(ใช้กบั do).                                       5.   บอกปริมาณ  ได้แก่คำว่า  

        6.   บอกเหตุผล  ได้แก่คำว่า  Why (ทำไม).

          3.   Conjunctive Adverbs  กริยาวิเศษณ์ สน


ั ธาน  ใช้เชือ
่ มประโยคหน้าและหลังให้สมั พันธ์กน
ั ได้แก่คำว่า 

    * Adverbs   บางคำมีรูปเช่นเดียวกับ  Adj.  แต่การใช้ตา่ งกันคือ

-         เมือ
่ วางไว้หน้านาม  หรือหลัง  Verb  to  be  ก็จะเป็ น  Adj.

-         ถ้าวางไว้หลังกริยาทั่วๆไป ก็จะเป็ น Adverbs.

จบเรือ
่ ง   Adverbs

Verb

Verb  (กริยา)  คือคำทีแ


่ สดงถึงการกระทำหรือถูกกระทำของคำทีทำ
่ หน้าทีเ่ ป็ นประธาน(หรือคำทีทำ
่ หน้าทีช
่ ว่ ยกริยาด้วยก็ได้

Verb  แบ่งออกเป็ น  3  ชนิดคือ

1.   สกรรมกริยา  Transitive  Verb   กริยาทีต


่ อ
้ งมีกรรมมารับ.

2.   อกรรมกริยา   Intransitive   Verb   กริยาทีไ่ ม่ตอ


้ งมีกรรมมารับ.

                   3.  กริยานุเคราะห์  Auxiliary  Verb  กริยาทีบ


่ อก  Tens, Voice, Mood.

  

         1.  สกรรมกริยา  คือกริยาทีต


่ อ
้ งมีกรรมมารับจึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์     เช่น   Kick (เตะ),              Eat (

           คำทีนำ
่ มาเป็ นกรรมของสกรรมกริยาได้ก็คอ

             1.    นามทุกชนิด   เช่น A  mango.

2     สรรพนาม  เช่น  Him.

3.    กริยาสภาวมาลา(สภาวะทีเ่ กิดอยูก


่ บั ชีวต
ิ ) เช่น  To  study.

4.    กริยาทีเ่ ติม  ing  แล้วนำมาใช้เป็ นนาม  เช่น  sleeping.

5.    วลีทก
ุ ชนิด  เช่น I  don’t  know  what  to  do.

6.    อนุประโยค  เช่น  I  know  who  will  come  tomorrow.


*อนึ่ง  สกรรมกริยาบางตัวหรือบางประโยค ต้องมีตวั ขยายกรรมมารับ จึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์    เช่น  The  people   made  him  king

2.  อกรรมกริยา  คือกริยาทีม


่ ีเนื้อความอยูใ่ นตัวสมบูรณ์ แล้ว  ไม่ตอ
้ งมีกรรมมารับ   เช่น Run, sleep, swim, sit. 

3.    กริยานุเคราะห์   หรือกริยาช่วย  ได้แก่กริยาทีไ่ ปทำหน้าทีช


่ ว่ ยกริยาตัวอืน
่   เพือ
่ ให้เป็ น  Mood,  Voice,  Tense   

                   Is, am,   are,   was,   were

                   Have, has, had, 

                   Do,   dose,  did

                   Will, would

                   Shall,   should

                   Can,   could

                   May,   might

                   Must

                   Need

                   Dear

                    Ought  to,      us  to.

*ข้อสังเกตว่าจะเป็ นกริยาแท้หรือเป็ นกิรยิ าช่วยก็ให้ดูวา่   ถ้ากริยาตัวใดตัวหนึ่งจาก  24  ตัวนี้อยูใ่ นประโยคเพียงลำพัง

Ladda  is  a  beautifily  girl.    (แท้).

Ladda  is  drinking  water.      (ช่วย). 

หน้าที ่ Verb  to  be

Verb  to  be  ใช้ทำหน้าทีช


่ ว่ ยกริยาตัวอืน
่ ได้ดงั นี้

1.   วางไว้หน้ากริยาทีเ่ ติม  Ing   ทำให้ประโยคนัน


้ เป็ น  Continuous  tense.

                     2.    วางไว้หน้ากริยาช่อง  3  (เฉพาะสกรรมกริยา) ทำให้ประโยคนัน ้ ต้นประโยค


้ เป็ นกรรมวาจก(เอากรรมขึน

                       3.   วางไว้หน้ากริยา สภาวมาลา Infinitive   แปลว่า  จะต้อง  มีความหมายเป็ นอนาคต  เพือ


่ แสดงความจงใจ  เช่น   

หน้าทีข
่ อง   Verb  to  do
                               Verb  to   ใช้ทำหน้าทีช
่ ว่ ยกริยาตัวอืน
่ ได้ดงั นี้.

                       1.    ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็ นประโยคคำถาม  ตามหลักทีว่ า่

                                                            

Verb   to  have   ไม่มี

Verb   to   be     ไม่อยู่

Verb  to  do      มาช่วย

                       

                        2.    ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็ นประโยคปฏิเสธเหมือนกรณีขอ


้   1  (เติม ing                  .                                    . 

                         3.   ช่วยหนุนกริยาตัวอืน


่ เพือ
่ ให้ความสำคัญกับกริยาตัวนัน
้   ว่าจะต้องเป็ นเช่นนัน

                               จริงๆ โดยเรียงไว้หน้ากริยาทีม


่ น
ั ไปหนุน.

                         4.   ใช้แทนกริยาตัวอืน


่ ในประโยค เพือ
่ ต้องการมิให้กล่าวกริยานัน
้ ๆซ้ำๆซากๆ.

                         5.    Verb  to  do  ถ้านำมาใช้เป็ นกริยาแท้แปลว่า  ทำ.  

                        

หน้าทีข
่ อง  Verb  to  have

                      Verb  to  have    ใช้ทำหน้าทีด


่ งั นี้คอ

1.    เรียงไว้หน้ากริยาช่อง 3  ทำให้ประโยคนัน


้ เป็ น  Perfect tense.

2.    ใช้โดยมีกริยาสภาวมาลาตามหลัง  มีสำเนียงแปลว่า ต้อง  ตลอดไป เช่น

I  have  to  meet  you  tomorrow.   ฉันต้องไปพบท่านวันพรุง่ นี้.

3.    ใช้ในประโยคทีใ่ ห้ผอ ื่ ทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้  ในกรณีนี้ตอ


ู้ น ้ งใช้รูปประโยค    Have  +  noun  +  Verb 3  . 

หน้าทีข
่ อง  Will,  shall,  would,  should.

                        Will    ช่วยกริยาตัวอืน


่ เพือ
่ ให้เป็ นอนาคตกาล  ใช้กบั ประธานบุรุษที ่ 2, 3.

                        Shall   ช่วยกริยาตัวอืน


่ เพือ
่ ให้เป็ นอนาคตกาล  ใช้กบั ประธานบุรุษที ่ 1  คือ  I, We.

                     

                            Would   ใช้เป็ นกริยาช่วยได้ดงั ต่อไปนี้.


1.    ใช้เป็ นอดีตของ  will  ในประโยคทีเ่ ปลีย่ นจากคำพูดของผูอ
้ น
ื่ มาเป็ นของตน

2.    ใช้เป็ นกริยาช่วยในสำนวนการพูด “อยากจะ”    “อยากให้”.

3.    ใช้ในสำนวนการพูดว่า” ควรจะ…ดีกว่า”  ควบกับ Better  หรือ  rather  

Should  ใช้เป็ นกริยาช่วยได้ดงั ต่อไปนี้.

1.    เป็ นอดีตของ  Shall  ได้.

2.    Should   เมือ


่ แปลว่า “ควร”  หรือ “ควรจะ”  ถือเป็ นปัจจุบน
ั กาลใช้ได้กบั ทุกประธาน

หน้าทีข
่ อง  May,  Might

                             May  นำมาช่วยได้ดงั นี้.

1.    เพือ
่ แสดงความมุง่ หมาย (เพือ
่ )

2.    เมือ
่ แสดงความปรารถนา หรืออวยพรให้(ขอให้) *ต้องวางไว้หน้าประโยค.

3.    เพือ
่ ช่วยถึงการอนุญาต  หรือขออนุญาต(ควรจะ)

4.    เพือ
่ แสดงความคาดคะเน (อาจจะ). 

5.    ช่วยเพือ
่ แสดงความสงสัย (อาจจะ).

                             Might  นำมาช่วยได้ดงั นี้. 

1.    ใช้เป็ นอดีตของ  May.

2.    ใช้ในกรณีทผ
ี่ พ
ู้ ูดไม่แน่ ใจว่าเขาจะทำอย่างนัน
้ จริง(แต่ถา้ แน่ ใจใช้ May แทน).

Need

Need    ถ้าเป็ นกริยาช่วยแปลว่า “จำเป็ นต้อง” 

            ใช้ได้กบั ทุกบุรุษและทุกพจน์ (ส่วนมากใช้เป็ นกริยาช่วยในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธเท่านัน


้ และกริยาแท้ทต
ี่ ามหลัง 

Need   ถ้าเป็ นกริยาแท้แปลว่า "ต้องการ"

และใช้เหมือนกริยาแท้ท่วั ๆไป(ต้องมี  To  ตามหลัง Need ตลอดไป).

Dear
                    Dear   ถ้าเป็ นกริยาช่วยแปลว่า “ กล้า”       ใช้ได้กบั ทุกบุรุษและทุกพจน์      และเป็ น“ ปัจจุบน
ั กาล   คำตามหลังไม่มี  

                                                                

Ought to

                                 Ought  to    แปลว่า   “ควรจะ”  เป็ นกริยาพิเศษเหมือน is  หรือ  do  นั่นเอง    อาจใช้  

Used   to

                                  Used  to    แปลว่า  “เคย”  เป็ นกริยาพิเศษหมายความว่า “เคยกระทำอย่างใด อย่างหนึ่งเป็ นประจำ แต่บดั นี้ไม่ได้ก

จบเรือ
่ ง Verb

Conjunction

   Conjunction   (คำสันธาน) คือคำทีใ่ ช้เชือ


่ มประโยคต่อประโยค  คำต่อคำ  หรือระหว่างกริยาต่อกริยา               

1.       Conjunction   คำเดียว

2.       Conjunction    คำผสมหรือวลี

                     Conjunction   คำเดียวทีพ


่ บเห็นบ่อย         และใช้กน
ั แพร่หลายมีดงั นี้    and,  or,  but,  because, so,  as,

                     Conjunction    วลี หรือคำผสมทีพ


่ บเห็นบ่อยๆได้แก่คำต่อไปนี้คอ

                    -  Either….or    แปลว่า”ไม่อน ั หนึ่ง” ใช้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปควบประธาน 2 คำจะใช้กริยาเป็ นรูปเอกพจน


ั ใดก็อน

                  -  Neither…..or   แปลว่า “ไม่ทง้ ั สอง”  ไว้สำหรับปฏิเสธโดยสิน


้ เชิง(กริยาถือตามประธานตัวหลัง).

                  -  As  well  as  แปลว่า "เช่นเดียวกันกับ"  (กริยาถือตามประธานตัวหน้า) เช่น He  as  well  as 

                    -  Not  only………but  also     แปลว่า  “ ไม่เพียงแต่……..เท่านัน


้ แต่ยงั อีกด้วย”  ใช้เน้นน้ำหนักข้อความทัง้ สองให้เด่นชัด  (แ

จบConjunction

Preposition

Preposition   (คำบุรพบท)    คือคำทีใ่ ช้เชือ


่ ม  หรือแสดงความสำพันธ์ระหว่างคำต่อคำ  เช่น นามต่อนาม,  กริยากับนาม

Preposition    ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็ น 2 ชนิดคือ.


1.   Preposition   คำเดียว      [Single Preposition].

2.   Preposition    วลี      [Preposition  phrase].

Preposition   คำเดียวทีพ
่ บเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กน
ั มากมีอยู ่ 44  คำคือ  in,  on,  at,  under,  to,  from,  of,  off,  since,  for,  nea

Preposition   คำเดียว

                    การใช้  [  in,  at,  on]    บุรพบททีใ่ ช้กบั เวลามีหลักดังนี้.

                        In:     ใช้บอกเวลาทีเ่ ป็ นชือ


่ เดือน, ปี , ฤดูกาล, และส่วนของวัน เช่น  I  like  to  swim  in  the  morning. 

At  :   ใช้เพือ


่ บอกเวลาเกีย่ วกับชั่วโมง  ,  noon,  night,  midnight,  midday,  Christmas,  Easter  เพือ
่ บอกเวลาเฉพาะเจาะจง  เช่น 

On  :  ใช้เพือ
่ บอกเวลาทีเ่ ป็ นวันของสัปดาห์  และวันที ่ วันสำคัญทางราชการ และวันสำคัญทางศาสนา  เช่น  on

On  time    แปลว่า  ตรงเวลาพอดี   (ตรงพอดี). เช่น  He  come  on  time.  เขามาตรงเวลาพอดี.

                         In  time    แปลว่า   ทันเวลา  (ก่อนเวลา, ก่อนกำหนด).   เช่น    The  train  arrived  at  the  station 

                                               การใช้     [at,  in]   บุรพบททีใ่ ช้เกีย่ วกับสถานทีม


่ ีหลักดังนี้   

                          at  :  ใช้บอกสถานทีท


่ ไี่ ม่ใหญ่โตนัก ทีจำ
่ กัดแน่ นอน  เช่น  at  school,  at  the  hotel….

                            in  :  ใช้บอกสถานทีท ่ เี่ จาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่วา่ ใหญ่ห


่ ใี่ หญ่โตก็ได้เช่น   in  Thailand.  หรือใช้บอกสถานทีท

การใช้  During, between, among มีหลักเกณฑ์ดงั นี้

                           คำทัง้   3  แปลว่า “ ระหว่าง “ แต่ใช้ตา่ งกันดังนี้

                           During:   ใช้สำหรับบอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนึ่งตามทีร่ ะบุไว้ในประโยค      เช่น          

                               Between: ใช้สำหรับครั่นระหว่างของสองอย่าง หรือคนสองคน      เช่น  She  is  standing 

                              Among   : ใช้สำหรับครั่นหรือเชือ


่ มนาม ทีม ้ ไป   เช่น The  teacher  is standing 
่ ีจำนวนตัง้ แต่  3  ขึน

การใช้  [ in,  on,  by]  กับยานพาหนะ

                     in  :  ใช้กบั ยานพาหนะทีม


่ ีสภาพปิ ด  กำบัง  เช่น   in the bus,  in  the  plane…

                     on  :  ใช้กบั ยานพาหนะทีม


่ ีสภาพเปิ ดโล่ง แจ้ง ไม่ปกปิ ดกำบัง เช่น  on a house,   on a  motor-cycle..

                     By  :  ใช้ได้ทง้ ั ปิ ดและเปิ ด แต่ตอ


้ งไม่มี   Article  นำหน้า  เช่น   by  bus,    by  train …

การใช้  [on,  over,  above]  มีหลักดังนี้

                         on  :          ใช้บอกว่าของทีอ่ ยูบ


่ นทีต
่ ด
ิ อยูก
่ บั อันล่าง.

                         Over  :      ใช้บอกว่าของอยูเ่ หนือหัวพอดี.


                         Above  :   ใช้บอกว่าของนัน
้ อยูด
่ า้ นบน(กว้างๆ).

  

Preposition    วลี

้ ไปมารวมอยูด
                               Preposition  วลี     คือบุรพบทตัง้ แต่  2  ตัวขึน ่ ว้ ยกัน  และมีความหมายเสมือนเป็ นบุรพบทคำเดียว  แ

1.     บุรพบทวลีชนิด  2  ตัว  [ two words Preposition].

2.     บุรพบทวลีชนิด  3  ตัว [three  words Preposition].

บุรพบทชนิด  2  ตัว ได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คอ


according   to  ตาม  ,           instead  of   แทน , แทนที่

because  of      เพราะว่า,     owing to        เนื่องจาก.

บุรพบทชนิด  3  ตัวได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คอ

in  order  to          :   เพือ


่ ทีจ่ ะ   ,      by  means  of             :     โดยอาศัย

on  account  of      :  เนื่องจาก  ,     in  spite  of                 :     ถึงแม้วา่

in  front  of            : ข้างหน้า    ,      in  back  of                :      ข้างหลัง

for  the  sake  of    : เพือ


่ เห็นแก่ ,    of  the  point  of        :     เกือบจะ

on  the  point  of    : เกือบจะ    ,      in  consequence  of   :     เนื่องจากว่า

               *  หมายเหตุ   ในเรือ


่ งการใช้บุรพบทนี้   ยังมี  กริยาบางตัวทีม
่ ีขอ
้ บังคับว่าต้องใช้บุรพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย  อย่างเช่น  

จบเรือ
่ ง  preposition

Tense

Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ทีแ


่ สดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการนัน ้ เมือ
้ ๆเกิดขึน ่ ใด

Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่งออกเป็ น  3  tense  ใหญ่ๆคือ

                1.     Present   tense        ปัจจุบน



                                2.     Past   tense              อดีตกาล

                                3.     Future   tense          อนาคตกาล

ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ

                 1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซบ


ั ซ้อน).

                                 2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู(่ กำลังเกิดอยู)่

3.     Perfect  tense     สมบูรณ์ (ทำเรียบร้อยแล้ว).

4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์ กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลังดำเนินอยูด


่ ว้ ย).

โครงสร้างของ  Tense  ทัง้   12  มีดงั นี้

้ ง่ายๆตรงๆไม่ซบ
                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงทีเ่ กิดขึน ั ซ้อน).

[Present]       [1.2]   S  +  is,am,are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดีย๋ วนี้กำลังเกิดอะไรอยู)่ .

                      [1.3]   S  +  has,have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึงปัจจุบน


ั ).

                      [1.4]   S  +  has,have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำต่อไปอีก

                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรือ


่ งทีเ่ คยเกิดมาแล้วในอดีต).

[Past]            [2.2]  S  +  was,were  +  Verb 1  +…(บอกเรือ


่ งทีกำ
่ ลังทำอยูใ่ นอดีต).

                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรือ ่ มาแล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).


่ ทีทำ

                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรือ


่ งทีทำ
่ มาแล้วอย่างต่อเนื่องไม่หยุด).

                      [3.1]  S  +  will,shall  +  verb 1  +….(บอกเรือ ้ ในอนาคต).


่ งทีจ่ ะเกิดขึน

[Feature]        [3.2]  S  +  will,shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนัน


้ ๆกำลังทำอะไรอยู)่ .

่ งทีจ่ ะเกิดหรือสำเร็จในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
                      [3.3]  S  +  will,shall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรือ

                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรือ


่ งทีจ่ ะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด

                

หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดงั นี้

              [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,


้ ตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.    
1.    ใช้กบั เหตุการทีเ่ กิดขึน

2.    ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ ป็ นความจริงในขณะทีพ


่ ูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).

3.    ใช้กบั กริยาทีทำ


่ นานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจ, รู ้ เป็ นต้น.

4.    ใช้กบั การกระทำทีค


่ ด ้ ในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์ บอกอนาคตร่วมด้วย).
ิ ว่าจะเกหิดขึน

5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรือ
่ งต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.

6.    ใช้ในประโยคเงือ
่ นไขในอนาคต    ทีต
่ น ้ ต้นด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่วา่
้ ประโยคจะขึน

7.    ใช้กบั เรือ


่ งทีก
่ ระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์ บอกเวลาทีส่ ม่ำเสมอร่วมอยูด
่ ว้ ย  เช่น  always (เสมอๆ

8.    ใช้ในประโยคทีค
่ ล้อยตามทีเ่ ป็ น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.

                  

            [1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.

1.    ใช้ในเหตุการณ์ ทกำ


ี่ ลังกระทำอยูใ่ นขณะทีพ
่ ูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ตน
้ ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ได้

2.    ใช้ในเหตุการณ์ ทกำ


ี่ ลังกระทำอยูใ่ นระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปี นี้ .

3.    ใช้กบั เหตุการณ์ ทผ


ี่ พ ้ ในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้, พรุง่ นี้.
ู้ ูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึน

*หมายเหตุ   กริยาทีทำ
่ นานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู,้ ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.

                

            [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.

้ แล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบน
1.    ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ั   และจะมีคำว่า Since  (ตัง้ แต่) และ for  (

2.    ใช้กบั เหตุการณ์ ทไี่ ด้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกีค


่ รัง้ ก็ได้ หรือจะทำอีกในปัจจุบน
ั หรือจะทำในอนาคตก็ได้)และจะมีคำว่า 

3.    ใช้กบั เหตุการณ์ ทจี่ บลงแล้วแต่ผพ


ู้ ูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense

4.    ใช้กบั เหตุการทีเ่ พิง่ จบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู)่ ซึง่ จะมีคำเหล่านี้มาใช้รว่ มด้วยเสมอ คือ  Just   (

           [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว

*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่วา่ เน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึง่ [1.3] นัน


้ ไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไ

             [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดินแล้ว.


้ และจบลงแล้วในอดีต   มิได้ตอ
1.   ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน ่ เนื่องมาถึงขณะทีพ
่ ูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น 

2.    ใช้กบั เหตุการณ์ ททำ


ี่ เป็ นประจำในอดีตทีผ ้ ๆ ซึง่ ต้องมีคำวิเศษณ์ บอกความถี่ (เช่น Always, every  day )
่ า่ นมาในครัง้ นัน

้ มาแล้วในอดีต  แต่ปจั จุบน


3.    ใช้กบั เหตุการณ์ ทไี่ ด้เคยเกิดขึน ้ แล้ว  ซึง่ จะมีคำว่า 
ั ไม่ได้เกิดอยู่ หรือไม่ได้เป็ นดั่งในอดีตนัน

4.      ใช้ในประโยคทีค
่ ล้อยตามทีเ่ ป็ น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ตอ
้ งเป็ น [2.1]  ด้วย.

        [2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำลังเดินแล้ว

้ ไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้


1.     ใช้กบั เหตุการณ์    2   อย่างทีเ่ กิดขึน

2.     ใช้กบั เหตุการณ์ ทไี่ ดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาทีไ่ ด้ระบุไว้ในประโยค  ซึง่ จะมีคำบอกเวลาร่วมอยูด


่ ว้ ยในประโยค  เช่น 

3.     ใช้กบั เหตุการณ์   2  อย่างทีกำ


่ ลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาทีทำ
่ ได้นานเท่านัน
้   หากเป็ นกริยาทีทำ
่ นานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ

         [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.

้ ไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดงั นี้.


1.    ใช้กบั เหตุการณ์   2  อย่างทีเ่ กิดขึน

เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.

2.     ใช้กบั เหตุการณ์ หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ตอ


้ งระบุชวั่ โมงและวันให้แน่ ชดั ไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครัง้   เช่น  

        [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.

           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี   เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่

        [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.

้ ในอนาคต  ซึง่ จะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month  
              ใช้กบั เหตุการณ์ ทจี่ ะเกิดขึน

           * Shall   ใช้กบั      I    we.

             Will    ใช้กบั บุรุษที ่ 2  และนามทั่วๆไป.

             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีทจี่ ะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขูบ


่ งั คับ, ตกลงใจแน่ วแน่ .

้ โดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
             Will,  shall   ใช้กบั เหตุการณ์ ทเี่ กิดขึน

             Be  going  to  (จะ)  ใช้กบั ความจงใจของมนุษย์เท่านัน


้   ห้ามใช้กบั เหตุการณ์ ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงือ
่ นไข
       [3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะเดิน.

1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนัน
้ กำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่ นอนด้วยเสมอ).

้ ไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดงั นี้.


2.     ใช้กบั เหตุการณ์   2  อย่างทีจ่ ะเกิดขึน

               -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.

                -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .

        [3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.

้ หรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุม


1.  ใช้กบั เหตุการณ์ ทจี่ ะเกิดขึน ่ คำทีบ
่ อกเวลาด้วย  เช่น  

้ ไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
2.  ใช้กบั เหตุการณ์   2  อย่างทีจ่ ะเกิดขึน

              -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.

-         เกิดทีห
่ ลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .

        [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลังเดินแล้ว

          ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่วา่   3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที ่ 1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที ่ 2 

           *   Tense  นี้ไม่คอ


่ ยนิยมใช้บอ
่ ยนัก  โดยเฉพาะกริยาทีทำ
่ นานไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด

จบเรือ
่ ง  Tense

None – finite   Verb

                      None – finite  Verb    คือคำกริยาทีม


่ ไิ ด้ทำหน้าทีเ่ ป็ นกริยาจริง  แม้จะมีรูปมาจากกริยาก็ตาม  แต่กลับทำหน้าทีเ่ ป็ นนามบ้า

                     None – finite  Verb     แบ่งออกเป็ น    3  ชนิด  คือ.

1.    Infinitive    [ to Verb 1].

2.    Gerund       [Verb + ing]


3.    Participle    [ Verb  +  ing , Verb  3]

                  · Infinitive   คือคำกริยาช่องที่ 1 ทีม


่ ี To นำหน้า  ทำหน้าทีไ่ ด้ 6 อย่างคือ

1.    เป็ นประธานของกริยาก็ได้    เช่น   To  walk  in  the  morning  is  good  for  health.

2.    เป็ นกรรมของกริยาก็ได้    เช่น   He  like  to  speak  English  with  his  friend.

3.    เป็ นส่วนสมบูรณ์ ของกริยาก็ได้   เช่น   She  has to  go  now.

4.    เป็ นคุณศัพท์ขยายนามก็ได้(แต่ตอ


้ งเรียงไว้หลังนาม)

5.    เมือ
่ เรียงตามหลังอกรรมกริยา เป็ นกริยาวิเศษณ์ ของอกรรมกริยาตัวนัน
้ .

6.    เมือ
่ เรียงตามหลังกริยาวิเศษณ์ หรือคุณศัพท์ ย่อมเป็ นกริยาวิเศษณ์ ขยายคำทีอ่ ยูห
่ น้ามัน

*  อนึ่ง  ยังมี  Infinitive  บางตัวทีไ่ ม่ตอ


้ งใช้ To  นำหน้า เรียกว่า Infinitive  with out to   ในกรณีทนำ
ี่ มาใช้ตามหลัง  หรือขยายนามทีต
่ าม

                · Gerund   คือคำกริยาทีเ่ ติม  ing  แล้วนำมาใช้อย่างนาม(กริยานาม) Verbal  noun   เช่น Walking, studying  etc.  

          1.   ใช้เป็ นประธานของกริยาในประโยคก็ได้ เช่น   Swimming   is   a   good   exercise.

          2.   ใช้เป็ นกรรมของสกรรมกริยาก็ได้  เช่น   She  remembered  seeing  me.

          3.   ใช้เป็ นกรรมของบุรพบทได้  เช่น  We  are  found  of  learning  English.

          4.   ใช้ทำหน้าทีเ่ ป็ นส่วนสมบูรณ์ ของกริยาได้  เช่น   His  duty  is  cleaning.

4.    ใช้ทำหน้าทีเ่ ป็ นคำนามผสม(หรือคุณศัพท์) และนิยมใช้ Hyphen (-) มาคั่นไว้เสมอ เช่น Reading-room, Swimming pool  …etc.

*  อนึ่งโดยปรกติท่วั ๆไปแล้ว  Gerund  และ  Infinitive สามารถใช้แทนกันได้  ในทุกกรณีและมีความหมายเหมือนกัน  ทัง้ นี้สุดแล้วแต่ผใู้ ช

                 

                   ·Participle   คือคำกริยาทีเ่ ติม  ing  บ้าง  หรือเป็ นรูปกริยาช่อง  3  บ้าง  แล้วนำมาใช้ทำหน้าทีอ่ ย่างอืน
่ มิได้ใช้เป็ นกริยาจริง 

          1.   Present  Participle    คือกริยาช่องที่ 1  เติม  ing  แล้วนำมาใช้เป็ นครึง่ กริยาครึง่ คุณศัพท์ ได้แก่คำว่า 

1.    เรียงตามหลัง  Verb to  be ทำให้ประโยคนัน


้ เป็ น  Continuous  tense.

2.    เรียงไว้หน้านาม เป็ นคุณศัพท์ของนามนัน


้ .

3.    เรียงตามหลังกริยา เป็ นส่วนสมบูรณ์ ของกริยา(มีสำเนียงแปลว่า”น่ า”).

4.    เรียงตามหลังกรรมเป็ นคำขยายกรรมนัน


้ .

2.    Past  Participle   คือกริยาช่องที ่ 3  ซึง่ อาจมีรูปมทาจากการเติม  ed.  ก็ได้ หรือมีรูปมาจาก  การผันก็ได้ ได้แก่กริยาต่อไปนี้  

1.    เรียงไว้หลัง  Verb  to  have  ทำให้ประโยคนัน


้ เป็ น Perfect  tense.
2.    เรียงตามหลัง Verb  to  be ทำให้ประโยคนัน
้ เป็ นกรรมวาจก(Passive voice)ตลอดไป.

3.    เรียงไว้หน้านามเป็ นคุณศัพท์ของนามนัน


้ .       

4.    ใช้เป็ นส่วนสมบูรณ์ ของกริยาได้.

5.    ใช้เรียงตามหลังนามก็ได้ แต่ตอ


้ งมีบุรพบทวลีมาขยายเสมอ.

              3.   Perfect  Participle   คือ  “ Having  +  Verb  3”  เช่น  Having  finish  …+  Past  Simple  Tense

จบเรือ
่ ง   Non-finite Verb

Question   tags

                 Question   tags คือการตัง้ คำถามตามประโยคบอกเล่าหรือตามหลังประโยคปฏิเสธ                                              

หลักการสร้างประโยค Question   tags

1.    ใส่เครือ
่ งหมาย  Comma (,)  ครั่นระหว่างประโยคหน้าและประโยค Question   tags

2.     ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็ นประโยคบอกเล่า  ประโยค Question   tags ทีต


่ ามหลังต้องเป็ นคำถามปฏิเสธ.

3.     ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็ นประโยคปฏิเสธ ประโยค Question   tagsทีต


่ ามหลังต้องเป็ นคำถามธรรมดา

4.    ถ้าประโยคท่อนหน้ามีกริยาช่วย  24  ตัว ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู ่ เมือ


่ ทำเป็ นประโยค Question   tagsให้ใช้กริยาช่วยตัวนัน
้ มารทำเป

5.    ถ้าประโยคท่อนหน้าไม่มีกริยาช่วย  24  ตัว ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่ เมือ


่ ทำเป็ นประโยค Question   tags

6.   ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็ น Question tags อะไร ประโยค Question   tags ทีต


่ ามหลังก็ตอ
้ งใช้ Question   tags 

 7.   ประโยค Question tags  ทีถ


่ ามเป็ นปฏิเสธนัน
้ ระหว่างกริยาช่วย  24  ตัวกับคำว่า not  ต้องใช้รูปย่อเสมอ  คือ                 

                               does  not     =    doesn’t

                               will  not      =     won’t

                               shall   not    =    shan’t

                                are  not       =     aren’t     etc. 

       *ข้อสังเกต  need,  dear   เมือ


่ นำมาใช้เป็ นกริยาแท้แล้ว จะเอามาตัง้ เป็ น Question   tagsไม่ได้  ต้องใช้ 

        *อนึ่ง  กริยา  Used  to  เมือ ้ ต้นประโยคของมัน  แต่นิยมใช้ 


่ ทำเป็ น Question   tags ไม่นิยมใช้  used   ขึน

การใช้ Question   tags  ตามหลังประโยคคำสั่ง


           ถ้าประโยคบอกเล่านัน
้ เป็ นประโยคคำสั่ง ,คำเตือน,ขอร้อง,เชื้อเชิญ  เพือ
่ ให้ประโยนัน ้ ต้องใช้รูปเดียวคือ
้ สุภาพยิง่ ขึน

………………………………, 
Will   you  ?

                        

          

การใช้ Question   tags  ตามหลังสำนวน  Let’s,  Let  me

่ ีสำนวนการพูดอันหนึ่งสำหรับใช้ชกั ชวนได้  แต่ตอ


             ประโยค Question   tags  ยังใช้ตามหลังสำนวน  Let’s ,  Let  me  ทีม ้ งใช้ร

………………………………,  
Shall   we ?

       

้ ต้นด้วย  Let  me   ประโยค Question   tags  ต้องใช้รูปเดียวคือ


                ถ้าประโยคข้างหน้าขึน

……………………………, 
Will  you  ?

                                      การตอบประโยคคำถามทีเ่ ป็ น Question   tags

                ให้ตอบด้วย  Yes, หรือ  No   เท่านัน


้ และตอบได้  2  อย่างคือ

1.    ตอบแบบสัน
้   [Short  Answer].

2.    ตอบแบบยาว  [long  Answer].

    ตัวอย่าง       :    แบบสัน


้    Yes, I  am    ,  No,  he  isn’t.

                    :    แบบยาว    Yes,  I  am  a  student.   ,  No he isn’t here.

จบเรือ
่ ง Question   tags

prefixes     and  suffixes

                  prefixes   แปลว่า อุปสรรค   หมายถึงคำทีใ่ ช้เติมเข้าข้างหน้าคำอืน


่ แล้วทำให้คำเดิมนัน
้ มีความหมายผิดไปจากเดิม          

                  prefixes   ทีพ
่ บเห็นบ่อยมีอยู ่   10  คำ คือ
(])  Un   (ไม่)  ใช้เติมหน้าคุณศัพท์  (adj.)  หรือกริยาวิเศษณ์ (adv.)  แล้วทำให้คำนัน
้ มีความหมายตรงข้าม เช่น…

                   happy  (มีความสุข)              ®            unhappy (ไม่มีความสุข)

                   wise  (ฉลาด)                      ®             unwise (ไม่ฉลาด)

                   suitable (เหมาะสม)             ®             unsuitable (ไม่เหมาะสม)             

(2)   Im (ไม่)    ใช้เติมหน้าคำคุณศัพท์  ( adj.)  เท่านัน


้ แล้วทำให้มีความหมายตรงข้าม   เช่น…

                   possible (เป็ นไปได้)            ®           impossible (เป็ นไปไม่ได้)

                   proper (ถูกต้อง)                   ®           improper (ไม่ถูกต้อง)

                   pure (บริสุทธิ)์                       ®          impure (ไม่บริสุทธิ)์

(3) In  (ไม่)  ใช้เติมหน้าคุณศัพท์  (adj.)  เท่านัน


้   แล้วทำให้มีความหมายตรงข้าม  เช่น…

direct (ตรง)                           ®          indirect  (ไม่ตรง)

complete  (สมบูรณ์ )             ®           incomplete  (ไม่สมบูรณ์ )

expensive (แพง)                    ®          inexpensive (ไม่แพง)

(4)  Re (อีก)   ใช้เติมหน้าคำกริยา หรือคำนามทีม


่ าจากกริยาเท่านัน
้   แล้วทำให้มีความหมายว่า “ทำอีก”  เช่น …           

                           speak  (พูด)                      ®              respeak  (พูดอีก)

                           birth  (เกิด)                       ®              rebirth    (เกิดอีก)

(5)   Dis   (ไม่)  ใช้เติมหน้ากริยา  หรือเติมหน้าคุณศัพท์  แล้วทำให้มีความหมายตรงกันข้าม   เช่น…

                            like  (ชอบ)                    ®                dislike  (ไม่ชอบ)

                            appear  (ปรากฏ)             ®                 disappear(ไม่ปรากฏ)

                            agree    (เห็นด้วย)           ®                 disagree   (ไม่เห็นด้วย)

                            use   (ใช้)                      ®                disuse    (เลิกใช้)

(6) Mis  (ผิด) ใช้เติมหน้าคำกริยาเท่านัน


้   แล้วทำให้มีความหมายว่า”กระทำผิด”  เช่น …

                            understand  (เข้าใจ)            ®            misunderstand(เข้าใจผิด)

                            spell (สะกดตัว)                   ®            misspell  (สะกดตัวผิด) 

          call  (เรียก)                        ®            miscall (เรียกผิด)


(7) per (ก่อน)  ใช้เติมหน้าคำนาม  หรือกริยาให้มีความหมายว่า”ก่อน”หรือ”ทำก่อน”   เช่น…

                             pay  (จ่าย)                                    ®           prepay  (จ่ายล่วงหน้า)

                             history  (ประวัตศ


ิ าสตร์)                  ®           prehistory  (ก่อนประวัตศ
ิ าสตร์)

(8)    Tri  (สาม)   ใช้เติมหน้าคำนาม แล้วทำให้มีความหมายว่า”สาม”  เช่น…

                            angle  (เหลีย่ ม)                        ®             triangle  (สามเหลีย่ ม)

                            cycle  (จักรยาน)                      ®             tricycle  (รถสามล้อ)

(9)    Bi  (สอง)   ใช้เติมหน้าคำนาม แล้วทำให้มีความหมายว่า”สอง”   เช่น…

                             cycle (จักรยาน)               ®           bicycle (จักรยานสองล้อ)

                             polar  (ขัว้ โลก)                ®           bipolar  (มีสองขัว้ โลก)

                             sexual  (เพศ)                   ®           bisexual  (มีสองเพศ)

(10)   En    ใช้เติมหน้าคำนาม หรือคุณศัพท์ให้คำนัน


้ กลับเป็ นกริยา เช่น…

                              camp (ค่ายพัก)               ®            encamp  (ตัง้ ค่าย)

                              sure   (แน่ ใจ)                 ®            ensure   รับประกัน)

                              large   (ใหญ่)                 ®            enlarge    (ขยายให้ใหญ่) 

                     Suffix   แปลว่า  ปัจจัยสำหรับปรุงแต่งคำอืน


่ ให้เป็ นนามบ้าง เป็ นกริยาบ้าง แล้วมีความหมายเปลีย่ นไป         

1.    er  (ผู)้   ใช้เติมข้างหลังกริยา หรือคำนาม ให้หมายถึงบุคคลหรือผูก


้ ระทำ   เช่น…

                             teach  (สอน)                     ®           teacher  (ผูส


้ อน,ครู)

                             run   (วิง่ )                           ®           runner  (ผูว้ งิ่ )

                             speak   (พูด)                      ®           speaker  (ผูพ


้ ูด)

2.   or  (ผู)้    ใช้สำหรับเติมข้างหลังกริยาอย่างเดียว   เช่น…

                              act (กระทำ)                              ®        actor  (ผูแ


้ สดง)

                              govern  (ปกครอง)                     ®        governor  (ผูป


้ กครอง,ผูว้ า่ )

                              direct (ควบคุม)                         ®        director(ผูอำ


้ นวยการ)

3.    en  (ทำด้วย) ใช้เติมหลังคำนามให้กลายเป็ นกริยา  เช่น….


                              gold  (ทอง)                         ®         golden  (ทำด้วยทอง)

                              wood  (ไม้)                          ®        wooden  (ทำด้วยไม้)

                             light  (แสงสว่าง                      ®        lighten  (ทำให้มีแสงสว่าง) 

4.   ly  (อย่าง)   ใช้เติมหลังคุณศัพท์ ให้กลายเป็ นกริยาวิเศษณ์    เช่น…

                     slow  (ช้า)           ®          slowly  (อย่างช้า)

                     quick  (เร็ว)           ®         quickly  (อย่างเร็ว)

                     happy  (มีความสุข)  ®         happily  (อย่างมีความสุข)

5  ful  (มี) ใช้เติมหลังนามบ้าง กริยาบ้าง ให้กลายเป็ นคุณศัพท์  เช่น….

                   beauty        (ความสวย)      ®       beautiful(มีความสวย)

                            use  (ใช้)                ®        useful  (มีประโยชน์)

                   wonder       (สงสัย)          ®       wonderful  (มีความประหลาดใจ)

6.  less   (ปราศจาก ไม่มี)  ใช้เติมหลังนาม ให้กลายเป็ นคุณศัพท์  เช่น…

                   job  (งาน)              ®     jobless  (ไม่มีงาน)

                   live  (ชีวต


ิ )             ®     lifeless  (ไม่มีชีวต
ิ )

could  (เมฆ)          ®        coldness(ปราศจากเมฆ)

7.   ness  (ความ) ใช้เติมหลังคุณศัพท์ ให้เป็ นคำนาม  เช่น…

                   happy  (มีความสุข)    ®     happiness  (ความสุข)

                   light  (เบา)             ®     lightness  (ความเบา)

                   soft  (นุ่ม)               ®        softness  (ความนุ่ม)

8.   y  (มี)  ใช้เติมหลังคำนาม ให้เป็ นคุณศัพท์  เช่น…

                   sun  (ดวงอาทิตย์)      ®     sunny  (มีแสงแดด)

                   stone  (หิน)           ®     stony (มีหน


ิ มาก)

                   storm  (พายุ)           ®     stormy (มีพายุมาก)

                                  

จบ   prefixes  an   suffixes


  กับ  สรรพนาม)   

สึกของอารมณ์ )
ต่ละชนิดนี้จะมีลกั ษณะเฉพาะของตนเอง  
คำต่างๆ เหล่านี้และหลักการแต่งประโยคอย่างง่ายๆ

น สัตว์ สิง่ ของ และสถานที ่ เช่น man, dog, pen, school ….


ตว์ สิง่ ของ และสถานที ่ และจะต้องเขียนด้วยตัวใหญ่เสมอ เช่น Ladda, Dang, Diccky, Toyota, Thailand …
ง เป็ นต้น  ส่วนมากมัก จะเป็ นคำผสมทีค ่ รั่นด้วย of เสมอ  และสมุหนามนี้ตอ ้ งถือว่าเป็ นนามพหูพจน์ตลอดไป 
คำอาจเป็ นคำคำเดียวก็ได
มากก็ได้แก่นามทีเ่ ป็ นของเหลว, แร่, ธาตุ,โลหะ แต่นามบางชนิดเมือ ่ ยังไม่แยกก็จดั เป็ น  common Noun   แต่เมือ่ แยกแล้วจะมาเป็ น   Material Noun  
ะ,  และการกระทำ  นามจำพวกนี้ไม่มีตวั ตน  เป็ นเพียงกิรยิ าอาการเท่านัน ้ ต้น เช่น happiness  ความสุข,  Slavery 
้ มีสำเนียงแปลว่า การ หรือ ความ  ขึน

ทีเ่ พือ
่ ป้ องกันมิให้กล่าวชือ ้ ซ้ำๆซากๆ ซึง่ เป็ นการฟังไม่ไพเราะ
่ นัน

ล่าวถึง  ซึง่ มีออยู่ 2  พจน์  3  บุรุษ คือ


บุรุษสรรพนามรูปที ่ 4  นั่นเอง  เวลาใช้ไม่ตอ
้ งมีนามตามหลัง  มีหน้าที่ 3 อย่างคือ

end  of  yours  was  killed  last  night.    

ทีน
่ ิยมใช้แพร่หลายมีอยู่ 6 ตัวคือ  (รวมทัง้ which ด้วย)

าะจงว่าแทนคนนัน
้ คนนี้โดยตรง  (ตรงข้ามกับ Definite Pronoun)  ได้แก่คำว่า  some,  any,  all,  someone,  somebody,  anybody,  few,  everyone,  man

คุณศัพท์ไป  แต่ถา้ ใช้โดยไม่มีคำนามอืน


่ ตามหลังจึงจะเป็ นนิยมสรรพนามหรืออนิยมสรรพนาม.

ต้องไม่มีนามตามหลังด้วยจึงจะเรียกว่าเป็ นปฤจฉาสรรพนาม  ได้แก่    Who  ,  whom,  whose  ,  what,  which     ซึง่ มีวธิ ีใช้ดงั นี้.

เช่น Whom  do  you  love ?  คุณรักใคร ?.

r ?  รถคันนี้เป็ นของใคร

ou ? อะไรทำให้คณ
ุ ล่าช้า.
รรม เช่น  ถ้าเป็ นประธานไม่ตอ
้ งใช้กริยาอืน ี่ ุด ?.(  อนึ่ง  ปฤจฉาสรรพนาม Whose  ,which,  what นี้  ถ้าใช้โดยมีนามอ
่ มาช่วย  Which  is  the  best?  อันไหนดีทส

่ มประโยค ซึง่ อาจเป็ นประธานของประโยคหลังได้ดว้ ย  ได้แก่ Who,  Whom,   Whose, Which,  Where,  what,  when, w
งหน้า และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าทีเ่ ชือ

้ งึ่ มาทีน
  who  came  here  last  week  is  my  cousin.  ชายผูซ ่ ี่เมือ
่ สัปดาห์ทแ
ี่ ล้วเป็ นลูกพีล่ ูกน้องของฉัน.

้ งึ่ คุณพบเมือ
  whom  you  saw  yesterday  is  my  brother. เด็กชายผูซ ่ วานนี้เป็ นน้องชายของผม.

ดังนัน
้ เมือ
่ มี Whose ก็ตอ ้ งึ่ พ่อของเข
้ งมีนามตามหลัง Whose เสมอ  เช่น  The  girl  whose  father  is  a  teacher  goes  to  school  every  day.   เด็กหญิงผูซ

          which  has  wing  is  a  bird.  สัตว์ทม


ี่ ีปีกนัน
้ คือนก(เป็ นประธานของอนุประโยค  has  wings) The  kitten  which  I  gave  to  my  aunt  is  very  na

club is  the  place  where  is  not  suitable  for children. ไนท์คลับเป็ นสถานทีท
่ ไี่ ม่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ(เป็ นประธานของอนุประโยค is  not  suitable  for 

พนามนัน
้ ไม่ตอ
้ งปรากฏให้เห็นอยูข
่ า่ งหน้าเหมือนประพันธ์สรรพนามตัวอืน
่ ทัง้ นี้เพราะถูกละไว้ในฐานะทีเ่ ข้าใจแล้ว เช่น I  know  what  is  in  the  box. 

hen  we  don’t  work.  วันอาทิตย์คอ


ื วันทีเ่ ราไม่ทำงาน.

ason  why  I  go  to  Hong  Kong. นี้คอ


ื เหตุผลทีว่ า่ ทำไมผมจึงไปฮ่องกง. 

ฑ์   4  ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง  อันได้แก่  :-

  have  ever seen. เขาเป็ นคนสูงทีส่ ุดเท่าทีผ


่ มเคยเห็นมา.   

at  I am  going  to  visit. จีนเป็ นประเทศแรกทีข


่ า้ พเจ้าจะไปเทีย่ ว.

 she  give  me.  หล่อนมีเงินอยูม


่ ากทีห
่ ล่อนจะให้ผม. 

  somebody,  something,  anyone,  anything,  anybody,  anyone,  everything,  no  one,  nothing,  etc.  เช่น    There  is  nothing 

เอง  อันได้แก่   myself,  yourself,  ……. Themselves.   เวลาใช้มีวธิ ีใช้  4  อย่างคือ  :-

ด้วยตนเอง เช่น  I   myself  study  English.   ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง.

myself  if  I do  mistakes  ผมจะลงโทษตัวเอง  หากผมทำผิด. 

self .  ผมได้พูดกับตัวท่านประธานาธิบดีเอง.

อจำแนกออกเป็ นครึง่ หนึ่ง, สิง่ หนึ่ง, หรือตัวหนึ่ง  วิภาคสรรพนามทีน


่ ิยมใช้กน
ั มากคือ

e  are  ten  boy  .  Each   has  one  hundred  bath.   มีเด็กอยู่ 10  คน  แต่ละคนมีเงินอยูค
่ นละ  100  บาท.

คุณศัพท์                             
ธานเป็ นเอกพจน์กริยาก็ตอ ้ งเป็ นพหูพจน์     ซึง่ หลักในการดูวา่ นามนัน
้ งเป็ นเอกพจน์   ถ้าประธานเป็ นพหูพจน์กริยาก็ตอ ้ เป็ นเอกพจน์หรือพหูพจน์นน
้ ั ก็ให้ดูทท
ี่ า้ ยศัพท์นน
้ ั ๆคอ

้   ซึง่ เป็ นเรือ


ล้วนัน ่ งทีล่ ะเอียดเกินไปทีเ่ ราควรจะรูใ้ นขณะนี้  ดังนัน
้ จะไม่กล่าวถึงกรณีทยี่ กเว้นเหล่านี้    ถ้าใครสนใจอยากรูม ้ ก็พงึ หาศึกษาเอาเองต่อไป
้ ากขึน

ะต้องมี Article นำหน้าทัง้ สิน


้ (ยกเว้นบางตัวทีจ่ ะกล่าวต่อไป) 
ยูถ
่ ดั ไป  นามตัวนัน
้ ให้ใช้  AN  นำหน้าแทน  (มี   H  เท่านัน
้ )

ยงเป็ นพยัญชนะ”ย”  นามตัวนัน


้ ให้ใช้  A  นำหน้าแทน  (มี   U  และ  E  เท่านัน
้ ).
ายแต่จะไม่กล่าวถึง)

างผูพ
้ ูดและผูฟ
้ งั   ก็ให้ใช้ THE  นำหน้าได้.

ห้เติม a  , an  ทันที  แต่ถา้ นามนัน ้ มากล่าวอีกเป็ นครัง้ ที่   2  ให้เติม   the   ทันที.
้ ถูกยกขึน

พาะ THE   ซึง่ เป็ นคำนามพิเศษ แต่ในทีน


่ ี้จะไม่กล่าวถึง.

่ งั คับว่าจะต้องใช้วธิ ีใดวิธีหนึ่งเท่านัน
dj.  พิเศษหลายตัวทีบ ้ ซึง่ เราจะไม่กล่าวถึง.
นชือ
่ เฉพาะ เช่น Thai  (มาจาก Thailand), English (มาจาก England)…
much,  little,  some,  any, all .  เช่น    He  has  many  friend  เขามีเพือ
่ นมาก.

ด้แก่คำว่า  the,  same,  this,  that,  these,  those,  such,  such  a . เช่น He  is  in  the same  room. เขาอยูห ่ อ
้ งเดียวกัน.
องมีนามตามหลังด้วยเสมอ  ได้แก่คำว่า  my,  your,  our,   his,  her,  its,  there . เช่น   His  dog  is  white.   สุนข
ั ของเขาสีขาว.
มเสมอ ถ้าไม่มีนามตามหลังมันจะเป็ นปฤจฉาสรรพนาม) ได้แก่คำว่า What (อะไร), Which (อันไหน) ,Whose (ของใคร) เช่น  Whose  house  is  that ?
ายสิง่ ตามทีผ
่ พ
ู้ ูดต้องการ) และนามทีถ ้ ต้องเป็ นเอกพจน์ตลอดไป ได้แก่คำว่า  each,  (แต่ละ),  either (อันใดอันหนึ่ง, คนใดคนหนึ่ง),  neither (ไม่ทง้ ั สอง),  e
่ ูกขยายนัน

ays,  often,  again,   usually,  …

  .    quickly, fast..

ny,     much,  very,  too,  quite…

สธ ได้แก่คำว่า  yes, no,  not,  not at all…

(ต้องวางไว้หน้าประโยคเสมอ)  แบ่งได้ 6 หมวด  คือ


.   บอกปริมาณ  ได้แก่คำว่า   How   much (มากเท่าไร).

พันธ์กน
ั ได้แก่คำว่า  Why,  Where,  When,  How,  Whenever,  While ,  As, Wherever..      

ทีทำ
่ หน้าทีช
่ ว่ ยกริยาด้วยก็ได้)  เพือ
่ บอกถึง  Tense (ช่วงเวลาทีก
่ ระทำ) Voice (ผูพ
้ ูด)  Mood  (อารมณ์ ?)

ะ),              Eat (กิน)   เป็ นต้น.


   เช่น  The  people   made  him  king. (ประชาชนแต่งตัง้ ให้เขาเป็ นพระราชา)  เป็ นต้น.

sleep, swim, sit.  เป็ นต้น  แต่อกรรมกริยาบางตัวก็ตอ ่ ให้ประโยคได้ใจความสมบูรณ์   ซึง่ อกรรมกริยานัน


้ งมีตวั ขยายกิรยิ าเพือ ้ ก็ได้แก่ Verb  to  be  (

ood,  Voice,  Tense    ซึง่ กริยาเหล่านี้ใช้เป็ นกริยาแท้ก็ได้  ใช้เป็ นกริยาช่วยก็ได้  มีอยูท


่ ง้ ั หมด  24  ตัว  คือ.

นประโยคเพียงลำพังไม่มีกริยาอืน
่ มาร่วมอยูด
่ ว้ ย  ก็เป็ นกริยาแท้   แต่ถา้ มีกริยาอืน
่ มาร่วมอยูด
่ ว้ ยก็ทำหน้าทีเ่ ป็ นกริยาช่วย  เช่น.

้ ต้นประโยค)  มีสำเนียงว่า  ถูก  เช่น  A glass is broken.    แก้วถูกทำให้แตกเสียแล้ว  เป็ นต้น.


วาจก(เอากรรมขึน

นอนาคต  เพือ
่ แสดงความจงใจ  เช่น   I am  to  see  my  home  every  year.    ฉันต้องไปเยีย่ มบ้านของฉันทุกๆปี   เป็ นต้น.  
g                  .                                    .                               หลัง  do,  dose )

oun  +  Verb 3  .  เช่น  He   has  his  house  repaired.  เขาให้ชา่ งซ่อมแซมบ้านของเขา.
ฏิเสธเท่านัน
้ และกริยาแท้ทต
ี่ ามหลัง  Need  ไม่ตอ
้ งใช้  To  นำหน้า).
เป็ น“ ปัจจุบน
ั กาล   คำตามหลังไม่มี   To.

นั่นเอง    อาจใช้   should   แทนก็ได้  แต่ความหมายอาจจะอ่อนกว่า.

อย่างใด อย่างหนึ่งเป็ นประจำ แต่บดั นี้ไม่ได้กระทำแล้ว”(กริยาตามหลัง   ต้องเป็ นกริยาช่อง 1 ตลอดไป  และใช้  used  to   เหมือน   is    หรือ   do  ).

ต่อกริยา                Conjunction         แบ่งออกเป็ น 2  ชนิดคือ

  or,  but,  because, so,  as,  for,  whether,  until,  after,  before,  if,  though,  that,  when,  beside   เช่น  He  is  sick  so  he  go  to  see  doctor

ควบประธาน 2 คำจะใช้กริยาเป็ นรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์นน ้ อยูก


้ ั ขึน ่ บั ประธานตัวหลัง  เช่น   Either  he  or  I  am  mistaken. ไม่เขาก็ผมเป็ นผูผ
้ ด
ิ .

ระธานตัวหลัง).เช่น  เช่น  Neither   you  nor  he  studies  mathematics.  ทัง้ คุณและเขาไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์. 

e  as  well  as  I  is  sick  เขาก็เช่นเดียวกันกับผมไม่สบาย.

ใช้เน้นน้ำหนักข้อความทัง้ สองให้เด่นชัด  (แต่ตอ


้ งมีความหมายทางเดียวกัน)   (แต่ถา้ มีประธาน 2 ตัวใช้กริยาตามประธานตัวหลัง )   เช่น   Malisa is not only  beauti

ามต่อนาม,  กริยากับนาม,  กริยากับสรรพนาม  สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม.


er,  to,  from,  of,  off,  since,  for,  near,  around,  inside,  outside,  beneath,  towards,  into,  till,  until,  from…to,  with,  without,  by,  up,  down

o  swim  in  the  morning.  ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า.

  Easter  เพือ
่ บอกเวลาเฉพาะเจาะจง  เช่น  They  want  home  at  three  o’clock,  พวกเขากลับบ้านเวลา 15.00 น.

ศาสนา  เช่น  on  Sunday,  On  New  Year’s  Day  , On  King’s  Birthday.  etc.

  arrived  at  the  station  in  time.  รถไฟมาถึงสถานีทน


ั เวลา(มาถึงก่อนเวลา).

่ เี่ จาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่วา่ ใหญ่หรือโตก็ได้  เช่น   In the house, in  a  country    เป็ นต้น.
ทีท

นประโยค      เช่น           During   visiting  Thailand,   I  had  seen  the  Emerald  Buddha  Temple.        ระหว่างการมาเทีย่ วประเทศไทย  ฉันได้ไปชมวัด

  She  is  standing  between  you  and  me.  หล่อนยืนอยูร่ ะหว่างคุณและผม  (เมือ
่ ใช้    between     ต้องมี   and   ตามเสมอ).

น The  teacher  is standing  among  us  . เป็ นต้น   

e,   on a  motor-cycle..
ละมีความหมายเสมือนเป็ นบุรพบทคำเดียว  แบ่งออกเป็ น  2  ชนิด คือ

บทตัวใดตามหลังอีกด้วย  อย่างเช่น   belong  to  (เป็ นของ ) ,  arrive  at  (มาถึงสถานทีเ่ ล็กๆ),  ask…. for  (ขอ),  agree  with  (เห็นด้วย ตกลงด้วย

นัน ้ เมือ
้ ๆเกิดขึน ่ ใด   ซึง่ เรือ
่ ง  tense  นี้เป็ นเรือ
่ งสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสือ
่ ภาษากับเขาไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนัน
้ จะอยูใ่ นรูปของ 
และกำลังทำต่อไปอีก).

อเนื่องไม่หยุด).

จในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

ทีจ่ ะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและจะทำต่อไปเรือ


่ ยข้างหน้า).  
ss   (เว้นเสียแต่วา่ ),    as  soon  as  (เมือ
่ ,ขณะที)่ ,    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมือ
่ ไรก็ตาม),    while  (ขณะที)่    เป็ นต้น.

always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็ นต้น.

, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ได้).

ตัง้ แต่) และ for  (เป็ นเวลา) มาใช้รว่ มด้วยเสมอ.

ในอนาคตก็ได้)และจะมีคำว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้รว่ มด้วย.

มอ คือ  Just   (เพิง่ จะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในทีส่ ุด)  เป็ นต้น.

เขาได้กำลังเดินแล้ว.

3] นัน
้ ไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
ไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็ นต้น.

(เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยูด
่ ว้ ยเสมอ.

้ แล้ว  ซึง่ จะมีคำว่า  ago  นี้รว่ มอยูด


นอดีตนัน ่ ว้ ย.

อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.

ร่วมอยูด
่ ว้ ยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.

กเป็ นกริยาทีทำ
่ นานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.

ในทุกประโยคด้วยทุกครัง้   เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.

งของการกระทำที่ 1  ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที ่ 2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speakin

week,  next  month   เป็ นต้น  มาร่วมอยูด


่ ว้ ย.

รมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงือ
่ นไข.
นำหน้ากลุม
่ คำทีบ
่ อกเวลาด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็ นต้น.

เขาจะได้กำลังเดินแล้ว.

งการกระทำที ่ 2  และจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

Tense  นี้เด็ดขาด.

จากกริยาก็ตาม  แต่กลับทำหน้าทีเ่ ป็ นนามบ้าง  , เป็ นคุณศัพท์บา้ ง,  เป็ นกริยาวิเศษณ์ บา้ ง ,หรือเป็ นอืน
่ ใดก็ได้ อันไม่ใช่กริยาแท้.
กรณีทนำ
ี่ มาใช้ตามหลัง  หรือขยายนามทีต
่ ามหลังคำกริยาพิเศษต่อไปนี้   do,  does,  did ,     will,  would,     shall,  should,   can,  could,    may,  might,  mu

un   เช่น Walking, studying  etc.   ทำหน้าทีไ่ ด้  5  อย่าง คือ

eading-room, Swimming pool  …etc.

่ ี  Gerund  และ Infinitive  มาเป็ นกรรมแล้วจะมีความหมายต่างกันมาก  ซึง่ เราควรศึกษากันในภายห


มีความหมายเหมือนกัน  ทง้ ั นี้สุดแล้วแต่ผใู้ ช้  แต่ยงั มีกริยาบางตัวทีม

มาใช้ทำหน้าทีอ่ ย่างอืน
่ มิได้ใช้เป็ นกริยาจริง  แบ่งออกเป็ น  3  ชนิด คือ. 

งคุณศัพท์ ได้แก่คำว่า  Going,  walking,  eating,  sleeping,  coming,  etc.    ซึง่ มีวธิ ีใช้ดงั นี้.

จาก  การผันก็ได้ ได้แก่กริยาต่อไปนี้   Walked,  slept, gone  .  ..etc.  มีวธิ ีใช้ดงั นี้.
+  Past  Simple  Tense เป็ นต้น  ซึง่ Perfect  Participle นี้ ทำหน้าทีเ่ ป็ นคุณศัพท์ของประธานในประโยคหลัง  และต้องมีเครือ
่ งหมาย  (,)  ด้วย  ซึง่ มีหลักการใช้มากม

ธ                                               .                                                   

stion   tagsให้ใช้กริยาช่วยตัวนัน
้ มารทำเป็ นประโยคคำถาม.

uestion   tagsต่อท้ายให้ใช้ Verb to do มาช่วย.

องใช้ Question   tags  ในระดับเดียวกันนัน


้ .                

ต้องใช้รูปย่อเสมอ  คือ                 do  not         =    don’t            

gsไม่ได้  ต้องใช้  Verb  to  do มาแทน.

คของมัน  แต่นิยมใช้  did  มาแทนทุกครัง้ (เช่นเดียวกับ  Verb to  have  ถ้าแปลว่ารับประธาน, ได้รบั โดยมิได้แปลว่า มี).
้ ต้องใช้รูปเดียวคือ.
าพยิง่ ขึน

พูดอันหนึ่งสำหรับใช้ชกั ชวนได้  แต่ตอ


้ งใช้รูปเดียวคือ

ดิมนัน
้ มีความหมายผิดไปจากเดิม          
หมายตรงข้าม เช่น…

“ทำอีก”  เช่น …            .            write (เขียน)                     ®              rewrite (เขียนใหม่)


มีความหมายเปลีย่ นไป          (โดยการเติมข้างหลังคำต่างๆ)  ทีพ
่ บเห็นบ่อยๆมีอยู่ 8 ตัวคือ.
Material Noun   เช่น   cow,  ox, วัวมาแบ่งเป
วามสุข,  Slavery  ความเป็ นทาส ,  eating  การกิน เ
body,  few,  everyone,  many,  nobody,   everybody,  othe
ich,  what นี้  ถ้าใช้โดยมีนามอืน
่ ต

ch,  Where,  what,  when, why,  that .

้ งึ่ พ่อของเขาเป็ นครูนน


y  day.   เด็กหญิงผูซ ้ั ไ

ve  to  my  aunt  is  very  naughty. 

ประโยค is  not  suitable  for  children )  Th

is  in  the  box.  ฉันรูว้ า่ อะไรอยูใ่ นก

e  is  nothing  that  I can  do  for  you.   ไ


หูพจน์นน
้ ั ก็ให้ดูทท
ี่ า้ ยศัพท์นน
้ ั ๆคือ

กษาเอาเองต่อไป.
e  house  is  that ? นัน
้ คือบ้านของใคร ? .
นหนึ่ง),  neither (ไม่ทง้ ั สอง),  every  (ท
Verb  to  be  (เป็ น, อยู,่ คือ) Verb 
  so  he  go  to  see  doctor.

   Malisa is not only  beauti


ith,  without,  by,  up,  down,  afte

ทีย่ วประเทศไทย  ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เ


นด้วย ตกลงด้วย),  consis

งกฤษนัน
้ จะอยูใ่ นรูปของ  tense  เสม
s  cooking  breakfast.

ecturer  had  been  speaking  for 


,  could,    may,  might,  mus

มาก  ซึง่ เราควรศึกษากันในภายหลัง.


ย  (,)  ด้วย  ซึง่ มีหลักการใช้มากมายซึ่
คำอธิบายเบื้ องต้น

Parts of Speech    Sentence   Phrase   Clause

Parts of Speech ( ชนิ ดของคำ )

้ ความ  ประกอบด้วย"คำ" ( word ) หรื อกลุม


ขอ ่ คำซึ่งนำมาเรี ยงตอ่ เนื่ องกั นเป็ นวลี (phrase)   หรื อประโยค ( sentence ) 
จะมีหน้าที่อยา่ งหนึ่ ง อยา่ งใดใน   8 หน้าที่     ตามหลั กไวยากรณ์อังกฤษ ( grammar )หน้าที่ของคำเรี ยกวา่ "ชนิ ดของคำ

Noun   (คำนาม) Adjective    (คำคุณศั พท)์


Pronoun   (คำสรรพนาม) Preposition   (คำบุพบท)
Verb  (คำกริ ยา) Conjunction   (คำสั นธาน)
Adverb (คำกริ ยาวิเศษณ์) Interjection   (คำอุทาน)

1. Noun ( คำนาม )   

เป็ นคำที่ใชเ้ รี ยกคน สั ตว ์ สิง่ ของ ทั งที


้ ่มีรูปร่างเชน
่ โต๊ะ สมุด และไมม
่ ีรูปร่างเชน ้ ่อของคน สั ตว ์ หรื อสิง่ ของ เชน
่ วั น เวลา อากาศ รวมทั งชื ่

คน:  man  father  lady ชื่อคน: John  Mary


สั ตว:์ dog  cat  bird ชื่อสั ตว:์ Lassie  Lucifer
สิง่ ของ: city  table  month ชื่อสิง่ ของ: Bangkok  January

2. Pronoun (คำสรรพนาม )

เป็ นคำที่ใชเ้ รี ยกแทนคำนามเพื่อหลีกเลี่ยงการกลา่ วซ ้ำ เชน ่    I, we, you, he, she, it   


หรื อใชแ
้ ทนคำนามที ่ เ ราไมท่ ราบว า
่ สิ
ง ่ นั ้
น เป็ นอะไร หรื อใคร    เชน
่   someone,  something

แทนคำซ้ำ    Mai is a beautiful woman. Mai is a popular singer.


             = Mai is a beautiful woman. She is a popular singer.
 ยั งไม่รู้ ว่าเป็ นอะไร     Something is missing.  ไมร่ ู้ วา่ อะไรหายไป

3. Verb (คำกริ ยา )

เป็ นคำที่บอกอาการหรื อการกระทำ ( action ) หรื อบอกความเป็ นอยู ่ ( being ) หรื อสภาวะความเป็ นอยู ่ ( state of being )

การกระทำ Birds fly. นกบิน


ความเป็ นอยู ่ Danny is a boy. แดนนี่ เป็ นเด็กผูช้ าย
สภาวะความเป็ นอยู ่ He looks good. เขาแลดูดี

4. Adjectives ( คุ ณศั พท์ )

เป็ นคำที่อธิบายหรื อขยาย noun หรื อ pronoun ใหไ้ ดั รายละเอียดเกี่ยวกั บคุณสมบั ติของสิง่ นั น
้ ๆ เพิ่มขึ้น เชน
่ new, ugly, ill, happy, afraid

He bought a new car. เขาซื้อรถใหม.่ ( new ขยาย car ซึ่งเป็ น noun )


They are ugly. พวกเขาน่าเกลียด ( ugly ขยาย they ซึ่งเป็ น pronoun )

5. Adverb ( วิเศษณ์ หรื อ กริ ยาวิเศษณ์)


 เป็ นคำที่อธิบายหรื อขยาย verb หรื อ adjective หรื อ adverb ด้วยกันเอง เชน
่ hard, fast, very

He works hard. เขาเป็ นคนทำงานหนั ก (hard ขยาย works ซึ่งเป็ น verb)


He is very rich.  เขาเป็ นคนจนมาก ( very ขยาย rich ซึ่งเป็ น adjective )
He works very hard.เขาเป็ นคนที่ทำงานหนั กมาก ( very ขยาย hard ซึ่งเป็ น adverb )

6. Preposition (คำบุ พบท )

่ คำที่วางหน้า noun หรื อ pronoun เพื่อแสดงวา่ คำนามหรื อสรรพนามนั น


เป็ นคำ หรื อกลุม ้ งกั บคำอื่นๆในประโยคอยา่ งไรเชน
้ เกี่ยวขอ ่

I will see you on Monday.   ฉันจะพบกับคุณในวันจันทร์


She was waiting at the restaurant. เธอรออยูท่ ่ีร้านอาหาร
There is a cockroach in my room. มีแมลงสาบตัวหนึ่ งในห้องฉัน
We must finish the project within a year. ราจะตอ ้ งทำโครงการนี้ ให้เสร็จใน 1 ปี

7. Conjunction ( คำสั นธาน )

 เป็ นคำที่ใชเ้ ชื่อม คำ กลุม


่ คำ หรื อประโยคเขา้ ด้วยกั นเพื่อให้ความหมายสมบูรณ์ข้ึน เชน
่ and, but, therefore, beside, either..or

John is rich and handsome .จอหน ์ เป็ นคนรวยและรู ปหลอ่


Either you or she has to do this job. ไมค่ ุณก็เธอที่จะตอ
้ งทำงานนี้

8. Interjection ( คำอุ ทาน )

 เป็ นคำอุทานที่แสดงถึงอารมณ์  ความรู้ สก ้  โดยไม่เกี่ ยวข้องกั บคำอื่ นๆ ใน ประโยคเลย   เชน


ึ ที่เกิดขึ้นในขณะนั น ่

การพิจารณาวา่ คำไหนเป็ นคำชนิ ดใด เราดู ที่การทำหน้าที่ ของมั นในประโยค  คำๆเดี ยวอาจทำหน้าที่ อย่างหนึ่ งในประโยคหนึ่ ง  แต่อ

word parts of speech example


 work noun My work is easy. งานของฉันงา่ ย
verb I work in Bangkok. ฉันทำงานอยูท ่ ่ีกรุ งเทพฯ
 but conjunction John came but Mary didn't come.
preposition Everyone came but Mary. ทุกคนมานอกจากแมรี่
 well adjective Are you well? คุณสบายดีหรื อ?
adverb She speaks well. เธอพูดได้ดี
interjection Well ! That expensive. แหม! แพงจั ง
 afternoon noun We ate in the afternoon. เรารั บประทานในตอนบา่ ย
noun ทำหน้าที่เหมือน adjective We had afternoon tea.เราดื่มชามื้อบา่ ย

ต่อไปนี้ เป็ นการแสดงถึ ง Parts of Speech ต่างๆในประโยค

verb noun verb noun verb verb


Stop!         John works.         John is working.

pronoun verb noun noun verb adjective noun


She loves animals.         Animals like kind people.

noun verb noun adverb noun verb adjective


Tara speaks English well.         Tara speaks good
pronoun verb prepositio adjective noun adverb
She ran to the station quickly.

pron. verb adj. noun conjunctiopron. verb pron.


She likes big snakes but I hate them.

ตอ่ ไปนี้ เป็ นประโยคที่มีทุก Parts of Speech ในประโยคเดียว

interjectio pron. conj. adj. noun verb prep. noun


Well, she and young John walk to school

Sentence ( ประโยค )

่ คำที่มาประกอบกันให้มีเนื้ อความสมบูรณ์ บอกการกระทำ ความเป็ นอยู ่ หรื อความเป็ นไป ของสิง่ หนึ่ งสิง่ ใด โดยทั่วไปประโยค
Sentence เป็ นกลุม

subject    predicate
 He    lives in Bangkok. เขาอาศั ยอยูท ่ ่ีกรุ งเทพฯ
 None of the students    knew the answer. ไมม ่ ีนักเรี ยนคนใดรู้ คำตอบ

Phrase ( วลี )

่ คำซึ่งเป็ นสว่ นหนึ่ งประโยคที่ไมม


เป็ นกลุม ่ ี subject หรื อ predicate

In case of emergency, push the button.  ในกรณี ฉุกเฉิ นให้กดปุ่ม (In case of emergency เป็ นวลี)
้ ญิงซึ่งนั ่ งที่เก้าอี้คือแมข่ องฉั น (sitting in the chair
The woman sitting in the chair is my mother.   ผูห

Clause ( อนุ ประโยค )

เป็ นกลุม ่ ามลำพังจะเชื่อมติดอยูก


่ คำที่มี subject และ predicate เหมือนประโยค ( sentence )     แตไ่ มไ่ ด้อยูต ่ ั บอีก

clause ที่ 1 clause ที่ 2


Jack did no
แจ๊คไมไ่ ดม
้ า
because he
ประโยค ( sentence ) 
คำเรี ยกวา่ "ชนิ ดของคำ" ( parts of speech )  ซึ่งได้แก่

้ ่ อของคน สั ตว ์ หรื อสิง่ ของ เชน


มทั งชื ่

นอยู ่ ( state of being ) เชน


่   fly, is, am, seem, look.

มขึ้น เชน
่ new, ugly, ill, happy, afraid, careless.
กั บคำอื่นๆในประโยคอยา่ งไรเชน
่ on, at, in, from, within 

therefore, beside, either..or

่ Oh God! , WOW, Hurrah


ประโยคเลย   เชน

ทำหน้าที่ อย่างหนึ่ งในประโยคหนึ่ ง  แต่อาจทำหน้าที่ อย่างอื่ นในประโยคอื่ นดั งในตารางต่อไปนี้

example
องฉันงา่ ย
นทำงานอยูท ่ ่ีกรุ งเทพฯ
didn't come. จอหน ่ มรี่ ไมไ่ ดม
์ มาแตแ ้ า
Mary. ทุกคนมานอกจากแมรี ่
ดีหรื อ?
พูดได้ดี
. แหม! แพงจั ง
on. เรารั บประทานในตอนบา่ ย
a.เราดื่มชามื้อบา่ ย

noun
English.
adverb
slowly.

ามเป็ นไป ของสิง่ หนึ่ งสิง่ ใด โดยทั่วไปประโยคจะมี 2 ภาคคือ subject ( ภาคประธาน ) และ predicate ( ภาคแสดง )

gency เป็ นวลี)


ng in the chair เป็ นวลี)

จะเชื่อมติดอยูก
่ ั บอีก clause หนึ่ งเพื่อให้เป็ น 1 ประโยคกลา่ วคือ   ในประโยคที่มี 2 ประโยคมารวมกันแตล่ ะประโยคคือ clause
กลับไปยังหน้าเดิม
Adjective
ตำแหน่ งของคุณศัพท์ ( Position )

Adjective ( คุณศัพท์ ) คือคำ ( word ) วลี ( phrase ) หรือประโยค ( sentence ) ซึง่ ใช้อธิบายหรือขยายคำนาม หรือสรรพนาม ให
กล่าวคือเป็ นการบอกให้รลู้ กั ษณะคุณสมบัตข
ิ องนามหรือสรรพนามนัน้ ว่าเป็ นอย่างไร เช่น good, bad, new, hot, my, this

ใช้วางประกอบข้างหน้านาม (attributive use) ทีม


่ น
ั ขยาย

She is a beautiful girl.  เธอเป็ นคนสวย ( beautiful ขยายนาม girl)


These are small envelopes. พวกนี้เป็ นซองเล็กๆ  ( small ขยายนาม envelopes)

ใช้วางเป็ นส่วนของกริยา ( predicative use ) โดยอยูต


่ ามหลัง verb to be เมือ
่ adjective นัน
้ ขยาย noun หรือ pronoun

The girl is beautiful. เด็กผูห ้ ญิงคนนัน ้ สวย


      ( beautiful เป็ นคุณศัพท์ทต ี่ ามหลัง verb to be  ขยาย girl และ the เป็ นคุณศัพท์ขยาย girl เช่นกัน
These envelopes are small. ซองพวกนี้มีขนาดเล็ก
      ( small เป็ นคุณศัพท์ทต ี่ ามหลัง verb to be ขยาย envelopes ,these เป็ น คุณศัพท์ขยาย envelopes เช่นกัน
She has been sick all week. เธอป่ วยมาตลอดอาทิตย์
      ( sick เป็ น คุณศัพท์ ทีต
่ ามหลัง verb to be   ขยายสรรพนาม she )
( You) Be careful. ( คุณ ) ระมัดระวังด้วย
      ( careful เป็ นคุณศัพท์ทต ี่ ามหลัง verb to be ขยาย you    ซึง่ ในทีน
่ ี้ละไว้เป็ นทีเ่ ข้าใจ )
That cat is fat and  white. แมวตัวนัน ้ อ้วนและมีสีขาว
     ( That เป็ นคุณศัพท์ประกอบหน้านาม   fat และ white เป็ นคุณศัพทซึง่ เป็ นส่วนของกริยาขยาย cat

 หลักเกณฑ์อน
ื่ ๆ

1. คุณศัพท์ทป
ี่ ระกอบหน้านามไม่ได้ ต้องวางหลัง verb to be หรือ linking verb* เท่านัน
้ เรียกว่าเป็ น predicate adjective

 alike  เหมือน  afraid  กลัว


 asleep  หลับ  alone  โดยลำพัง
 awake  ตืน่ อยู่  alive  มีชีวติ อยู่
 aware  ระวัง  ashamed  ละอาย
 afloat  ลอย  unable ไม่สามารถ
 content  พอใจ  worth  มีคา่
 ill  ป่ วย  well  สบายดี

 เช่น

These two women look alike. ผูห ้ ญิง 2 คนนี้ดูเหมือนกัน ( look เป็ น linking verb, alike เป็ น predicative adj.)
The boy is asleep. เด็กชายกำลังนอนหลับ ( ทำเป็ น attributive adj. ได้คอ ื The  sleeping boy. )
The sky is aglow. ท้องฟ้ าสว่างไสว ทำเป็ น attributive adj. ได้คอ
ื The  glowing sky.

* linking verb หมายถึง กริยาทีใ่ ช่เชือ


่ มประธาน ( Subject) กับคำอืน
่ ให้สมั พันธ์ กันเพือ
่ ช่วยขยายประธานของประโยค ให้ได้ใจความ
verb to be เช่น appear, become, feel, get, grow,keep, look, go, remain, seem, smell, sound, taste, turn.

 2. คุณศัพท์ทใี่ ช้เป็ นส่วนของกริยา ( verb to be ) ไม่ได้ เช่น

 former  ก่อน  latter  หลัง


 inner  ภายใน  outer  นอก
 actual  ในทางปฏิบตั ิ  neighboring  ใกล้เคียง
 elder  อายุมากกว่า  drunken  เมา
 entire  ทัง้ สิน
้  shrunken  หด
 especial  โดยเฉพาะ  wooden  ทำด้วยไม้
 middle  กลาง

เช่น   A wooden heart. (ไม่ใช่  A heart is wooden )

 3. ถ้าคุณศัพท์นน
้ ั ทำหน้าทีข
่ ยายนามหรือสรรพนามทีเ่ ป็ นกรรมของประโยค ต้องวางคุณศัพท์ไว้หลังกรรมนัน
้ เพือ
่ ให้ได้ความชัดเจนยิง่ ข

We considered his report  unsatisfactory.  เราพิจารณาเห็นว่ารายงานของเขาไม่เป็ นทีน


่ ่ าพอใจ
      (unsatisfactory เป็ นคุณศัพท์ขยาย his report  ซึง่ เป็ นกรรมของประโยค )

 4. เมือ
่ ใช้กบั ข้อความแสดงการวัด ( measurement) วางคุณศัพท์ไว้หลังนาม หรือสรรพนาม เช่น

My uncle is sixty years old.  ลุงของฉันอายุ 60 ปี     (ไม่ใช่ My uncle is old sixty years.)
This road is fifty feet wide. ถนนนี้กว้าง 50 ฟุต    (ไม่ใช่ This road is wide fifty feet.)

 5. เมือ
่ คุณศัพท์หลายคำประกอบนามหรือสรรพนามเดียว จะวางข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้   โดยจะต้องมี and  มาคั่นหน้าคุณศัพท์ตวั ส

The building, old and unpainted, was finally demolished.   ตึกซึง่ เก่าและสีทรุดโทรม
    ในทีส่ ุดก็ถูกทุบทิง้ ( วางข้างหลัง ) หรือ
The old and unpainted building was finally demolished. ( วางข้างหน้า )
 He bought a new, powerful and expensive car . เขาซื้อรถใหม่ทกำ
ี่ ลังแรงสูงและราคาแพง หรือ  
 He bought a car, new, powerful and expensive.  

 6. คุณศัพท์วางตามหลังคำสรรพนาม ( pronoun ) ทีม


่ น
ั ขยาย ต่อไปนี้        

 someone  anyone  no one  everyone


 somebody  anybody  nobody  everything
 something  anything  nothing  everybody

เช่น

She wanted to marry someone rich and smart.  เธอต้องการแต่งงานกับใครสักคนซึง่ หล่อและรวย


I'll tell you something important. ฉันจะเล่าบางอย่างทีสำ
่ คัญให้คณ
ุ ฟัง

 7. วาง คุณศัพท์ไว้หลังนามหรือสรรพนามถ้าคุณศัพท์นน


้ ั มีขอ
้ ความ ( prepositional phrase ) ประกอบอยู่      เช่น

Thailand is a country famous for its food and  fruits.  ไทยเป็ นประเทศทีม ่ ีชือ
่ เสียงในเรือ
่ งอาหารและผลไม้
      (famous เป็ นคุณศัพท์    famous for food and fruits เป็ นข้อความขยายคำนาม country)
She is the woman suitable for the position. เธอเป็ นผูห ้ ญิงทีเ่ หมาะสมกับตำแหน่ ง
      (suitable เป็ นคุณศัพท์  suitable for the position.  เป็ นข้อความขยาย  woman )

 8. คุณศัพท์บางคำมีความหมายต่างกัน ถ้าวางในตำแหน่ งทีต


่ า่ งกัน เช่น

He is and old friend.  เขาเป็ นเพือ


่ นเก่า
My friend is old.  เพือ
่ นของฉันสูงอายุ

The teacher was present.  ครูมาอยูท


่ น
ี่ น
้ ั ด้วย
The present teacher.  ครูคนปัจจุบน

Harry was late.  แฮรีมาสาย


The late Harry.  แฮรีผ
่ เู้ สียชีวต
ิ ไปแล้ว

 9. กลุม
่ ของคำทีเ่ ป็ นวลี ( phrase) หรืออนุประโยค ( clause ) เมือ
่ ขยายคำนาม ต้องวางหลังนามหรือสรรพนามทีม
่ น
ั ประกอบ เช่น

The woman sitting in the chair is my mother .  ผูห ้ ญิงทีน


่ ่งั ทีเ่ ก้าอี้เป็ นแม่ของฉัน
      ( sitting in the chair  เป็ นวลี ขยายคำนาม  the woman)
The man who came to see me this morning is my uncle.     ผูช ้ ายทีม ่ าหาฉันเมือ
่ เช้านี้คอ
ื ลุงของฉัน
     ( who came to see me this morning  เป็ นอนุประโยคขยายคำนาม the man )

หมายเหตุ    ถ้านามใดมีทง้ ั วลี และ อนุประโยค มาขยายพร้อมกัน ให้เรียงวลีไว้หน้าอนุประโยคเสมอ เช่น

I like the picture on the wall which was  painted by my friend.     ฉันชอบรูปภาพทีแ ่ ขวนบนข้างซึง่ วาดโดยเพือ
่ นของฉัน
      ( on the wall เป็ นวลีขยาย the picture) ( which was painted by my friend เป็ นอนุประโยคขยาย the picture )
There is only one solution possible.   (possible วางหลังคำนาม solution )
There are some tickets available.   ( available วางหลังคำนาม tickets)

 10. คุณศัพท์ทเี่ ป็ นสมญานามไปขยายคำนามทีเ่ ป็ นชือ


่ เฉพาะ ให้วางหลังคำนามนัน
้ เสมอ เช่น

 Alexander the Great


William the Conqueror

 11.โดยปกติคณุ ศัพท์จะต้องวางหลัง article ทีเ่ ป็ น a หรือ an เช่น a good man ยกเว้นคุณศัพท์ตอ


่ ไปนี้ เมือ
่ นำไปขยายคำนามทีเ่ ป็ น
ให้วางคุณศัพท์นน
้ ั ไว้หน้า a หรือ an ได้แก่ half, such, quite,  rather และ many เช่น

John is such a good man. ( a good man เป็ นนามเอกพจน์ )


This is rather a valuable picture ( a valuable picture เป็ นนามเอกพจน์ )

 12. เมือ
่ adjective หลายคำประกอบคำนามเดียว ควรวางลำดับก่อนหลังดังนี้

Article
Demonstrative คำอธิบายลักษณะ
Possessive บอกจำนวนนับ
Indefinite สัญชาติแหล่งกำเนิด
คุณภาพลักษณะ รูปร่างขนาด อายุ สี
Adjective
A beautiful old Italian
An expensive antique
The four gorgeous long-stemmed red
Her short black
Our two big old English
Some delicious Thai
Many modern small

อขยายคำนาม หรือสรรพนาม ให้ได้ ความชัดเจนยิง่ ขึน
d, new, hot, my, this โดยทั่วไปการวางตำแหน่ ง คุณศัพท์ในประโยคจะวางได้ 2 แบบ

ย noun หรือ pronoun ทีอ่ ยูห


่ น้า verb to be

velopes เช่นกัน )

น predicate adjective ได้แก่

predicative adj.)

ระธานของประโยค ให้ได้ใจความสมบูรณ์ ทน
ี่ อกเหนือไปจาก
sound, taste, turn.
รรมนัน
้ เพือ ้ เช่น
่ ให้ได้ความชัดเจนยิง่ ขึน

งมี and  มาคั่นหน้าคุณศัพท์ตวั สุดท้าย เช่น

กอบอยู่      เช่น
อสรรพนามทีม
่ น
ั ประกอบ เช่น

บนข้างซึง่ วาดโดยเพือ
่ นของฉัน
ยคขยาย the picture )

ไปนี้ เมือ
่ นำไปขยายคำนามทีเ่ ป็ นเอกพจน์และนับได้

นามรองทำหน้าที่
คุณศัพท์ นามหลัก
วัสดุ
touring car.
silver mirror.
roses.
hair.
   sheep-dogs.
food.
brick houses.
กลับไปยังหน้าเดิม
Adjectives ( คำคุ ณศั พท์ )
Types (ชนิ ดของคุ ณศั พท์)

โดยทั ่วไปแบง่ ออกได้ 8 ชนิ ดคือ

1. Proper adjective 5. Demonstrative adjective


2. Descriptive adjective 6. Distributive adjective
3. Quantitative adjective 7. Possessive adjective
4. Numeral adjective 8. Interrogative adjective

 1. Proper adjective ( คุ ณศั พท์แสดงสั ญชาติ )

์ ่ีขยายนามเพื่อบอกสั ญชาติ มีรูปเปลี่ยนแปลงมาจาก Proper noun และตอ


เป็ นคำคุณศั พทท ้ งขึ้นตน
้ ดว้ ยตัวใหญเ่ สมอ เชน

Proper noun Proper Adjective


China =ประเทศจีน Chinese =แหง่ ประเทศจีน,ชาวจีน
France =ประเทศฝรั่งเศส French =แหง่ ประเทศฝรั่งเศส, ชาวฝรั่งเศส
Italy =ประเทศอิตาลี Italian =แหง่ ประเทศอิตาลี,ชาวอิตาลี

เชน
่ ประโยค

We learn the French literature every Monday. เราเรี ยนวรรณคดีฝรั ่ งเศสทุกวั นจั นทร์
I like Chinese food. ฉันชอบอาหารจีน

Proper adjective จะมี วิธีการเขี ยนไม่เหมื อนกั นดั งนี้

1.1 Proper adjective ที่ ลงท้ายด้วย - ese เช่น

Proper proper proper proper


noun adjective noun adjective
Burma Burmese Lebanon Lebanese
Bhutan Bhutanese Nepal Nepalese
China Chinese Portugal Portuguese
Congo Congolese Taiwan Taiwanese
Japan Japanese Vietnam Vietnamese

1.2 Proper adjective ที่ ลงท้ายด้วย -an

Proper proper proper proper


noun adjective noun adjective
Algeria Algerian Libya Libyan
Angola Angolan Malaysia Malaysian
Argentina Argentinean,Argentinian Mexico Mexican
Australia Australian Morocco Moroccan
Belgium Belgian Mozambique Mozambican
Brazil Brazilian Nicaragua Nicaraguan
Canada Canadian Niger Nigerian
Cuba Cuban Norway Norwegian
Egypt Egyptian Panama Panamanian
Fiji Fijian Paraguay Paraguayan
Germany German Peru Peruvian
Ghana Ghanaian Rhodesia Rhodesian
Haiti Haitian Romania Romanian
Honduras Honduran Russia Russian
Indonesia Indonesian Singapore Singaporean
Iran Iranian Syria Syrian
Italy Italian Tahiti Tahitian
Jordan Jordanian Tibet Tibetan
Laos Laotian Zaire Zairean,Zairian

1.3 คำ Proper adjective ที่ ลงท้ายด้วย – i

Proper noun proper adjective proper noun proper adjective


Bahrain Bahraini Oman Omani
Iraq Iraqi Pakistan Pakistani
Israel Israeli Yemen Yemeni
Kuwait Kuwaiti

1.4 คำพิเศษ

Proper proper proper proper


noun adjective noun adjective
Thailand Thai Malaya Malay
Greece Greek Sri Lanka Ceylonese
Afghanistan Afghan

1.5 ประเทศซึ่ งคำคุ ณศั พท์ กั บคำที่ เรี ยกคนของประเทศนั้นไม่เหมื อนกั น

Proper Noun Proper adjective person


Motswana ( เอกพจน์)
Botswana Setswana (ภาษา)
Batswana( พหูพจน์)
Cyprus Cyprian Cypriot
Czechoslovakia Czech Czechoslovakian
Denmark Danish Dane
Finland Finnish Finn
Holland(The Netherlands)Dutch Hollander
Iceland Icelandic Icelander
Ireland Irish Irishman
Luxemburg Luxemburg Luxemburger
Mongolia Mongolian Mongol
New Zealand New Zealand New Zealander
Filipina ( หญิง )
The Philippines Philippine
Filipino ( ชาย )
Poland Polish Pole
Somalia Somalian Somali
Spain Spanish Spaniard
Sweden Swedish Swede
Turkey Turkish Turk
Yugoslavia Yugoslavian Yugoslav

 2. Descriptive Adjective ( คุ ณศั พท์แสดงคุ ณสมบั ติ )

์ อกลั กษณะ คือจะไปขยายนามเพื่อบอกใหร้ ู้ วา่ นามนั น


เป็ นคำคุณศั พทบ ้ มีลักษณะ คุณสมบั ติ หรื อความพิเศษอยา่ งไร เป็ นชนิ ดที่ใชม
้ ากที่สุด เ

large fat big huge


heavy light thin small
cheap expensive brave coward
white dark tall handsome

่    a dark, tall and handsome man,  an expensive car


ตัวอยา่ ง เชน

 3. Quantitative Adjective ( คุ ณศั พท์แสดงปริ มาณที่ นับไม่ได้ )

์ อกปริ มาณ คือไปขยายนามที่นับไมไ่ ด้ (uncountable noun ) เพื่อบอกใหท


เป็ นคำคุณศั พทบ ้ ราบปริ มาณของสิง่ นัน
้ วา่ มีมากหรื อน้อย แตไ่

much any half enough


all whole some great

ตัวอยา่ งเชน

We needed some money. เราตอ ้ งการเงินจำนวนหนึ่ ง


He showed great patience. เขาแสดงให้เห็นวา่ มีความอดทนสูง

 4. Numeral Adjective

์ ่ีบอกจำนวนมากน้อยของนามที่นับได้ ( countable noun )หรื อบอกลำดั บกอ


เป็ นคำคุณศั พทท ่ นหลั ง ( order ) ของคำนาม แบง่ เป็ น

1. บอกจำนวนที่แน่นอน ( Definite Numeral ) อาจจะแบง่ ออกได้เป็ น 3 ชนิ ด


(1) บอกจำนวนนับ ( Cardinal)  one, two, three, four ………..
(2) บอกลำดั บที่ ( Ordinal )  first, second, third…………….
(3) บอกจำนวนเทา่ ( Multiplicative )   single, double, triple……………
2. บอกจำนวนที่ไมแ ่ น่นอน ( Indefinite Numeral ) เชน

many no few some
several any all enough

 5. Demonstrative Adjective

เป็ นคำคุณศั พทช์ ้ีเฉพาะคำนาม ซึ่งระบุเจาะจงไปโดยชั ดแจง้ วา่ เป็ นคำนามอันไหน สิง่ ไหน หรื อคนใด แบง่ เป็ น 2 ชนิ ด

1. Definite Demonstrative ชี้เฉพาะโดยชั ดแจง้ ได้แก่

the this these that


those such the same the other

2. Indefinite Demonstrative ชี้ให้เห็นอยา่ งกวา้ ง ได้แก่

a one such any other


an a certain some other
any certain another

 6. Distributive Adjective

์ ่ึงไปขยายคำนามเพื่อแยกคำนามนั น
เป็ นคำคุณศั พทซ ้ ๆออกจากกั น เชน

each แตล่ ะ ใชสำ ้ หรั บ 2 สิง่ หรื อมากกวา่ ขึ้นไป


every ทุกๆ ใชเ้ ฉพาะนามที่มากกวา่ 2 สิง่ ขึ้นไป
either อั นใดอั นหนึ่ งใน 2 สิง่
neither ่ ั ง้ 2 สิง่
ไมใ่ ชท

 7. Possessive Adjective

์ ระกอบหน้านามเพื่อแสดงความเป็ นเจา้ ของ เชน


เป็ นคำคุณศั พทป ่   my , your, his , her, its, their our

 8. Interrogative Adjective

เป็ นคำคุณศั พทข์ ยายคำนามเพื่อแสดงคำถาม เชน


่   what   which   whose

หมายเหตุ คำคุณศั พทเ์ หลา่ นี้ จะตอ ่ ีคำนามตามหลั ง จะกลายเป็ นสรรพนาม ( pronoun )
้ งมีคำนามตามหลั งเพราะหากไมม

Pronoun Adjective
What did youWhat
see ?book did you read?
e

ดว้ ยตัวใหญเ่ สมอ เชน


djective
จีน
ชาวฝรั่งเศส
อิตาลี

proper
adjective
Lebanese
Nepalese
Portuguese
Taiwanese
Vietnamese

proper
adjective
Libyan
Malaysian
Mexican
Moroccan
Mozambican
Nicaraguan
Nigerian
Norwegian
Panamanian
Paraguayan
Peruvian
Rhodesian
Romanian
Russian
Singaporean
Syrian
Tahitian
Tibetan
Zairean,Zairian

proper adjective
Omani
Pakistani
Yemeni

proper
adjective
Malay
Ceylonese
ามพิเศษอยา่ งไร เป็ นชนิ ดที่ใชม
้ ากที่สุด เชน

ปริ มาณของสิง่ นัน


้ วา่ มีมากหรื อน้อย แตไ่ มบ
่ อก จำนวนแน่นอน เชน

little
sufficient

ลั ง ( order ) ของคำนาม แบง่ เป็ น 2 พวก

แบง่ เป็ น 2 ชนิ ด


รพนาม ( pronoun ) ไมใ่ ชค
่ ุณศั พท ์ เชน

กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives
Formation (การทำให้เป็ นคำคุ ณศั พท์ )
คำคุณศั พทน์ อกจากเป็ นด้วยตัวของมันเองแลว้ ยังสามารถนำชนิ ดของคำอื่นมาทำให้เป็ นคำคุณศั พทไ์ ด้ด้วย เชน ่
1. คำคุณศั พทท์ ่ีมาจากคำนามโดยการเติม Suffix ทา้ ยคำเชน

คำนาม คำคุ ณศั พท์
education การศก ึ ษา educational เกี่ยวกั บการศก ึ ษา
gold ทอง golden ทำด้วยทอง
fool ความโง่ foolish อยา่ งโงๆ่
care ระมัดระวัง careless ไมร่ ะมัดระวัง
friend เพื่อน friendly เป็ นเพื่อน
danger อันตราย dangerous เป็ นอันตราย
trouble ยุง่ ยาก troublesome ความยุง่ ยาก
dust ฝุ่น dusty เต็มไปด้วยฝุ่น

2. คำคุณศั พทท์ ่ีมาจากคำกริ ยา ( Verb) โดยการเติม suffix ทา้ ยคำ เชน



คำกริ ยา คำคุ ณศั พท์
talk พูด talkative ชา่ งพูด
sleep หลั บ sleepy งว่ งนอน
differ แตกตา่ ง different ความแตกตา่ ง
accept ยอมรับ acceptable เป็ นที่ยอมรับได้
wash ซั ก washable ซั กได้
กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives
การเปรี ยบเที ยบคำคุ ณศั พท์ ( Comparison of Adjectives )

์ ่ีไปแสดงคุณภาพของนามเพื่อจะบอกให้รู้ว
การเปรี ยบเทียบคำคุณศั พท ์ ( Comparison of Adjectives ) เป็ นการเปรี ยบเทียบคำคุณศั พทท

การเปรี ยบเที ยบขั ้ นปกติ ( Positive Degree ) ใชเ้ ปรี ยบเทียบความเทา่ เทียมกั น ไมเ่ ทา่ เทียมกั น เชน
่ long, short, small , big , fas
การเปรี ยบเที ยบขั ้ นกวา่ ( Comparative Degree ) ใชเ้ ปรี ยบเทียบกั บนาม 2 จำนวน เชน ่ longer, shorter, smaller, bigger , fa
่ ้ ้
การเปรี ยบเที ยบขั ้ นสู งสุ ด ( Superlative Degree ) ใชเ้ ปรี ยบเทียบกั บนามทีมีจำนวนตั งแต่ 3 ขึนไป เชน ่ longest, shortest, small

 1. การเปรี ยบเที ยบขั ้ นปกติ ( Positive Degree ) มี ตัวเชื่ อมหลายรู ปแบบดั งต่อไปนี้

รู ปแบบ as+ คุ ณศั พท์ขั้นปกติ ( positive degree) + as แสดงความ เทา่ เทียมกัน เชน

This pencil is as long as that one.   ดินสอแทง่ นี้ ยาวเทา่ ๆกับแทง่ นัน

รู ปแบบ as + much หรื อ many + นาม + as แสดงความเทา่ เทียมกั น เชน


I have as much money as you. ฉั นมีเงินมากเทา่ ๆกั บคุณ


I have as many books as you. ฉั นมีหนั งสือมากเทา่ ๆกั บคุณ

รู ปแบบ the same +นาม + as แสดงความเทา่ เทียมกั น เชน


Malee is the same age as มาลีมีอายุเทา่ กับลัดดา


แตถ ้ ั ด as ออกไดเ้ ลย เชน
่ า้ ประธานเป็ นพหูพจน์ ใหต ่
Malee and Ladda are the same age. มาลีและลัดดาอายุเทา่ กัน

รู ปแบบ Verb to be + like แปลวา่ เหมือนกัน เป็ นคำเชื่อมแสดงความเทา่ เทียมกัน แตถ


่ า้ ประธานเป็ น พหูพจน์ ให้ใช้

She is like her father. เธอเหมือนกับพอ่ ของเธอ


Your car and mine are alike. รถยนตข์ องคุณและของฉั นเหมือนกั น

รู ปแบบ verb to be + similar to + นาม แปลวา่ เหมือนกั น คลา้ ยกั น เป็ นคำเชื่อมแสดงความเทา่ เทียมกั น เชน

Your bag is similar to mine. ถุงของเธอคลา้ ยกั บถุงของฉั น

้ งการเปรี ยบเทียบความไมเ่ ทา่ กั นมีรูปแบบดั งนี้


กรณี ตอ

not so + คุ ณศั พท์ขั้นปกติ + as หรื อ not as + คุ ณศั พท์ขั้นปกติ + as เชน


้ นี้ ไมย่ าวเทา่ เสน


This road is not so long as that one. ถนนเสน ้ หรื อ
้ นั น
This road is not as long as that one.

not as + much/many + นาม + as    เชน



I don’t have so much money as you . ฉั นไมม
่ ีเงินมากเทา่ คุณ หรื อ
I don’t have as much money as you.

 2. การเปรี ยบเที ยบขั ้ นกว่า ( Comparative Degree )


การเปรี ยบเทียบที่สูงกวา่   แสดงในรู ป  คุ ณศั พท์ขั้นกว่า + than   เชน

This road is longer than that one. ถนนเสน ้ นี้ ยาวกวา่ เสน ้
้ นั น
You are taller than me. หรื อ You are taller than I am. เธอสูงกวา่ ฉั น

การเปรี ยบเทียบที่ต ่ำกวา่ กั น แสดงในรู ป less + positive degree + than  เชน


Malee is less careful than Somchai. มาลีเป็ นคนที่รอบคอบน้อยกวา่ สมชาย


It is less hot today than it was yesterday. วั นนี้ อากาศร้อนกวา่ เมื่อวานนี้

เมื่อนำคุณศั พทข์ ั นกว


้ า่ มาใชเ้ ปรี ยบเทียบกับคำนาม ( noun ) ดว้ ยกัน  ใหใ้ ชร้ ู ปแบบดังนี้

fewer + นามพหูพจน์นับได้ + than = น้อยกวา่


less + นามนับไมไ่ ด้ + than = น้อยกวา่
more + นามพหูพจน์นับได,้ นามนับไมไ่ ด้ + than = มากกวา่    เชน

There are fewer students in this room than in that room. มีนักเรี ยนในห้องนี้ น้อยกวา่ ในห้องนัน ้
I spent less money than you. ฉั นใชจ้ า่ ยเงินน้อยกวา่ คุณ
There are more students in this room than in that room. มีนักเรี ยนในห้องนี้ มากกวา่ ในห้องนั น้
My mother have more money than my father. แมข่ องฉั นมีเงินมากกวา่ พอ่

หมายเหตุ   ในกรณี ท่ี than ทำหน้าที่ เป็ น conjunction    สรรพนาม ( pronoun )ที่ตามหลั ง than ซึ่งทำหน้าที่เป็ นประธาน ตอ
้ งมี

than ทำหน้าที่เป็ นคำเชื่อม 2 อนุ ประโยค ( clause) เขา้ ด้วยกั น  คือ


She eats less than I do. She eats less เป็ น main clause
เธอเป็ นคนกินน้อยกวา่ ฉั น I do เป็ น subordinate clause
โดย I ทำหน้าที่ประธานของประโยคที่ 2 มี verb do ตาม
than I do เป็ น adverbial clause of comparison

ในกรณี ท่ี than ทำหน้าที่ เป็ น preposition    pronoun ที่ตามหลัง than ทำหน้าที่เป็ น object ไมต ้ งมี verb
่ อ

She eats less than me. than ทำหน้าที่เป็ น preposition  ดั งนั น
้ pronounที่ตามหลั ง
เธอเป็ นคนกินน้อยกวา่ ฉัน than อยูใ่ นรู ป ของกรรม ( object ) คือ me จึงไมต ้ งมี verb ตาม
่ อ

โดยทั ่วไปใชไ้ ด้และมีความหมายไมต ้


่ า่ งกั นทั งสองกรณี

 3. การเปรี ยบเที ยบขั ้ นสู งสุ ด ( Superlative Degree ) รู ปแบบมี ดังนี้  the + คุ ณศั พท์ขั้นสู งสุ ด + นาม

What is the longest river in the world? แมน ่ ้ำอะไรยาวที่สุดในโลก


My eldest son is 16 years old. ลูกชายคนโตของฉันอายุ 16 ปี
Jane is my best friend. เจนเป็ นเพื่อนที่ดีท่ีสุดของฉัน
     ( ถา้ มี possessive adjective อยูห ้ งสุดแลว้ ไมต
่ น้าคุณศั พทข์ ั นสู ้ งใช้ the )
่ อ
ปแสดงคุณภาพของนามเพื่อจะบอกให้รู้วา่ นามนั น
้ มีลักษณะ เทา่ เทียมกั นหรื อไม่ อยา่ งไร แบง่ ออกเป็ น 3 ขั น้ คือ

น เชน่ long, short, small , big , fast, slow เป็ นตน



ger, shorter, smaller, bigger , faster, slower เป็ นตน้
ขึ้นไป เชน
่ longest, shortest, smallest, biggest เป็ นตน ้

เป็ น พหูพจน์ ให้ใช้ verb to be + alike เชน


ทา่ เทียมกั น เชน



ง than ซึ่งทำหน้าที่เป็ นประธาน ตอ
้ งมี verb ตามด้วย ดั งนี้

ขา้ ด้วยกั น  คือ


n

ct ไมต ้ งมี verb ตามดังนี้


่ อ

ตามหลั ง
มี verb ตาม

นสู งสุ ด + นาม


กลับไปยังหน้าเดิม

Adjectives ( articles -a/an )


Articles เป็ นคำคุณศั พทอ์ ยา่ งหนึ่ ง   การเรี ยน Articles ตอ
้ งทำความเขา้ ใจควบคูไ่ ปกั บเรื่ องนามนั บได้ ( Countable Nouns )

หลั กการใช้ article นำหน้านาม คือ

เมื่อกลา่ วเป็ นการทั่วไป ้ งมี a หรื อ an นำหน้าเสมอ


นามนับไดเ้ อกพจน์ จะตอ
นามพหูพจน์และนามนั บไมไ่ ด้ ไมต ้ งมี article ใดๆ
่ อ
เมื่อกลา่ วเป็ นการชี้เฉพาะ ้ งใช้ the นำหน้าเสมอไมว่ า่ จะเป็ นนามเอกพจน์หรื อพหูพจน์ เป็ นนามนั บได้หรื อไมไ่ ด้
จะตอ

Articles แบ่งเป็ น 2 ชนิ ดคื อ

Indefinite Article ไดแ ้ หน้านามนั บได้ ( Countable Nouns ) เอกพจน์ทั่วๆไป ( Singular )


้ ก ่ a  และ an ใชนำ

Definite Article ได้แก ่ the  ซึงใชนำ
้ หน้าคำนามนั บได้ ( Countable Nouns ) และนามนั บไมไ่ ด้ ( Uncountable Nouns )

การใช้ Indefinite Article : a, an

1. ใช้ a นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ ขึ้ นต้นด้วยพยั ญชนะและมี ความหมายทั ่ วไปในความหมาย หนึ่ ง โดยไม่ต้องการเน้นจำน

He is reading a newspaper.  เขากำลังอา่ นหนังสือพิมพ์

2. ใช้ an นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ข้ึ นต้นด้วยสระ และมี ความหมายทั ่ วไป เช่น an orange, an umbrella, an hour, a

It's raining.You will need an umbrella .ฝนกำลั งตก คุณจะตอ


้ งมีร่มกั นฝน.

หมายเหตุ

ถา้ คำนามนั บได้ เอกพจน์ นั น ้ ขึ้นตน ้ ด้วยสระ   แตว่ า่ ออกเสียงเป็ นพยั ญชนะ ให้ใช้ a   เชน ่ a uniform, a university, a European, a e
ถา้ คำนามนั บได้ เอกพจน์ นั น ้ มีคุณศั พท์นำหน้าขยาย   ใหด ้ ู ดั ง ้
นี
   -หากคำคุ ณศั พท์นัน ้ ขึ้นตน ้ ดว้ ยเสียงพยั ญชนะก็ใหใ้ ช้ a  เชน ่  a sweet orange, a big umbrella

   -หากขึนตน ้ ด้วย เสียงสระให้ใช้ an เชน ่   an old city, an ugly woman  เป็ นตน ้
้ ขึ้นตน
ถา้ คำนามนั น ้ ด้วยพยั ญชนะ แตอ่ อกเสียงเป็ นสระ   หรื อมี adjective ที่ข้ึนตน ้ ให้ใช้
้ ด้วยสระมาขยายขา้ งหน้านามนั น
   -ออกเสียงเป็ นสระ เชน ่ an hour, an heir, an honor
   -มีคุณศั พท์ท่ีข้ึนตน้ ด้วยสระ เชน ่ an important person

3. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพจน์ เมื่ อกล่าวถึ งคำนามนั ้ นเป็ นครั ้ งแรก เช่น

There is a shop on the corner.   มีร้านอยู ่ 1 ร้านที่หัวมุม ( ใช้ a เพราะเป็ นการพูดถึงครั ง้ แรก

4. ใช้ a, an แทนพวก กลุ ่ม หมู ่เหล่า เช่น

A cow is an animal. วั วเป็ นสั ตวข์ นิ ดหนึ่ ง


= Cows are animals.วั วเป็ นสั ตว ์
An owl can see in the dark. นกเคา้ แมวมองเห็นได้ในความมืด

5. ใช้ a, an ในการบอกอั ตราต่อ 1 หน่วย ( per ) เช่น

She runs three miles a day. เธอวิง่ วันละ 10 ไมล์ ( เป็ นกิจวัตร )
์ ระมาณเดือนละครัง้
I go to the cinema about once a month. ฉันไปดูภาพยนตป

6. ใช้ a, an หน้าชื่ อเฉพาะของผู้ มีช่ื อเสี ยงที่ รู้ จักทั ่ วไป เพราะมี คุณสมบั ติ ความสามารถ หรื ออุ ปนิ สั ยเหมื อนผู้ ท่ี ต้องการเปรี ยบเ

He is an Einstein. เขาเป็ นคนฉลาดเหมือนไอน์สไตน์
He is a Soontorn Poo of our school.  เขาเป็ นคนที่แตง่ กลอนเกง่ ( เหมือนสุนทรภู)่ ของโรงเรี ยนเรา
     หมายเหตุ แตถ
่ า้ ใช้ the แทน a หมายความวา่ คนเชน ้ มีคนเดียว
่ นั น
He is the Soontorn Poo of our school.  เขาเป็ นคนที่แตง่ กลอนเกง่ ของโรงเรี ยนเรา ( เพียงคนเดียว
He is the Khun Phaen of our family.  เขาเป็ นคนเจา้ ชู(้ เหมือนขุนแผน)คนเดียวในครอบครั วเรา

7. ใช้ a, an นำหน้าคำนามที่ เป็ นสำนวนในประโยคอุ ทาน เช่น

What a pity !น่าสงสารจัง


What a shame ! น่าอายจัง !

8. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ท่ี กล่าวถึ งการเป็ นสมาชิ กของกลุ ่มต่างๆ เช่น กลุ ่มอาชี พ เชื้ อชาติ ศาสนา

My father is a teacher.  อาชี พ


Robert is an American.  เชื้อชาติ
John is a Catholic.   ศาสนา

9. ใช้ a, an แทนจำนวน หนึ่ งหน้าคำนามที่ เป็ นสำนวนเกี่ ยวกั บการนับจำนวนหรื อแสดงจำนวนมาก

a dozen of eggs. ไขจำ่ นวน 1 โหล


a gross of pens ปากกาจำนวน 12 โหล
a lot of people ประชาชนจำนวนมาก
a number of friends เพื่อนจำนวนมาก

10. ใช้ a, an นำหน้านามที่ เป็ นสำนวนเกี่ ยวกั บการเจ็บไข้ได้ป่วย  โครงสร้างคื อ have + a+ อาการเจ็ บป่วย

have a headache ( ปวดหัว ) have a pain in the chest ( เจ็บหน้าอก


have a stomachache ( ปวดทอ ้ ง) have a cold ( เป็ นหวั ด )
have a toothache ( ไมม
่ ี a ก็ได้ ) ( ปวดฟัน ) have a fever ( เป็ นไข้ )

ยกเว้นถ้าเป็ นชื่ อโรค ไม่ใช้ a, an เช่น

rheumatism( โรคปวดขอ ้ ) diabetes ( เบาหวาน )


influenza (ไขห
้ วั ดใหญ ) ่cancer ( มะเร็ง )

เช่น

He had an itch in the middle of his back .เขามีอาการคันที่กลางหลัง


He had a pain in the neck.  เขามีอาการปวดคอ
She is suffering from rheumatism.  เธอกำลังทุกขท์ รมานดว้ ยโรคปวดขอ้

11. ใช้ a,an ในสำนวนที่ มีคำต่อไปนี้ นำหน้าคื อ    such, quite, rather, many

We didn't expect such a hot day.  เราไมไ่ ดค ้ าดวา่ มั นจะเป็ นวั นที่อากาศร้อนเชน
่ นี้
He is quite a good boy. เขาเป็ นเด็กดีทีดียว
It was rather a short trip. มั นเป็ นการเดินทางที่คอ่ นขา้ งสั น้
Many a place in Thailand impressed them. สถานที่หลายแหง่ ในประเทศไทยประทับใจพวกเขามาก

12. ใช้ a, an หลั งโครงสร้างต่อไปนี้

so + adjective+a + นามนับได้ เอกพจน์ ( such a+ นาม ) เชน ่


่ าดคิดวา่ จะมีคนมากมายอยา่ งนี้
      We didn't expect so great a crowd.  .เราไมค

too + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์


      This is too hard a job for him.  นี่ เป็ นงานหนั กเกินไปสำหรั บเขา

however + adjective + a + นามนับได้เอกพจน์


      However nice a girl she is, he never like her. ไมว่ า่ เธอจะเป็ นคนน่ารักอยา่ งเขาก็ไมช่ อบเธอ

as + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์+ as


      She is as good a student as you are.เธอเป็ นนักเรี ยนที่ดีเชน
่ เดียวกับคุณ

13. สำนวนในภาษาอั งกฤษที่ ใช้ a,an

all of a sudden ทั นใดนั น ้ in a hurry/rush อยา่ งเร่งรี บ


as a matter of fact อันที่จริ งแลว้ in a good/bad mood อารมณ์ดี/เสีย
as a rule ตามปกติ โดยทั่วไป keep an eye on เฝ้าดู
do a favor ชว่ ยเหลือ make a decision ตัดสินใจ
earn a living หาเลี้ยงชีพ make a living หาเลี้ยงชีพ
give an idea ให้ความคิด make a mistake ทำผิด
go for a walk เดินเลน ่ make a noise ทำเสียงดั ง
go for a ride นั ่ งรถเลน ่ make a speech กลา่ วสุนทรพจน์
have a good time สนุ กสนาน make a wish อธิษฐาน
have a hair cut ตัดผม make a fool of ทำให้ขายหน้า
it's a shame น่าขายหน้า make a request ขอร้อง
it's a pity that น่าเสียดาย,น่าสงสาร tell a lie, tell lies โกหก
take a trip เดินทาง take a look at มอง ดู
take a picture ถา่ ยรู ป keep a secret เก็บเป็ นความลับ
take a seat นั่ง in a position to อยูใ่ นฐานะที่จะ
with a view to เพื่อจะทำให้ on a large scale อยา่ งมาก
on an/the average โดยเฉลี่ย make a remark ให้ขอ ้ สั งเกต
a couple of สองสาม play a joke on ลอ้ เลน ่

การใช้ a/an และ one

ที่ผา่ นมาเป็ นการใช้ a/an กับนามนับได้ในความหมายของสิง่ เดียว ( singular ) บางครัง้ ที่เราตอ


้ งการเน้นตัวเลข สามารถใช้

We'll be in Australia for one ( or a ) year. เราจะอยูใ่ นออสเตรเลีย 1 ปี


She scored one ( or a ) hundred and eighty points.  เธอไดค ้ ะแนน 168 คะแนน

จะใช้ one เท่านั้นเมื่ อ

้ งการที่จะเน้นวา่ สิง่ ที่กลา่ วถึง มี/เป็ น เพียง 1 ไมใ่ ช่ 2,3,4...... เชน


ตอ ่

Do you want one sandwich or two? คุณตอ ้ งการแซนดว์ ชิ 1 หรื อ 2 อั น


Are you staying just one night ? คุณจะพั กคา้ งคืนวั นเดียวหรื อ
ใช้ one ในรู ปแบบ one ...other / another เชน

Close one eye, and then the other. ปิ ดตาขา้ งหนึ่ งกอ
่ นแลว้ จึงปิ ดอีกขา้ ง
Bees carry pollen from one plant to another. ผึ้งนำเกสรดอกไมจ้ ากตน ้ หนึ่ งไปอีกตน

บได้ ( Countable Nouns ) และนามนั บไมไ่ ด้ ( Uncountable Nouns ) ซึ่งเป็ นเรื่ องคอ่ นขา้ งสั บสนสำหรั บผูเ้ รี ยนซึ่งที่ไมไ่ ด้ใชภ
้ าษาอั งกฤษเป็ นภาษาแม่

อพหูพจน์ เป็ นนามนั บได้หรื อไมไ่ ด้

ทั ่วๆไป ( Singular )
้ ปเอกพจน์ Singular ) และพหูพจน์ ( Plural ) เพื่อให้นามนั น
ไมไ่ ด้ ( Uncountable Nouns ) ทั งรู ้ มีความหมายเฉพาะเจาะจง

มหมาย หนึ่ ง โดยไม่ต้องการเน้นจำนวน เช่น   a woman, a dog, a dentist, a newspaper, a city , a book , a shop  เช่น

ange, an umbrella, an hour, an article

m, a university, a European, a eucalyptus ( ตน


้ ยูคาลิบตั ส ), a utensil, a union, a useful, a unit

้ ให้ใช้ an เชน
ขา้ งหน้านามนั น ่

รพูดถึงครั ง้ แรก )
รื ออุ ปนิ สั ยเหมื อนผู้ ท่ี ต้องการเปรี ยบเที ยบ

นทรภู)่ ของโรงเรี ยนเรา

รี ยนเรา ( เพียงคนเดียว)
ดียวในครอบครั วเรา

พ เชื้ อชาติ ศาสนา

a+ อาการเจ็ บป่วย

est ( เจ็บหน้าอก )
)
ทยประทับใจพวกเขามาก

รักอยา่ งเขาก็ไมช่ อบเธอ

อยา่ งเร่งรี บ
อารมณ์ดี/เสีย
เฝ้าดู
ตัดสินใจ
หาเลี้ยงชีพ
ทำผิด
ทำเสียงดั ง
กลา่ วสุนทรพจน์
อธิษฐาน
ทำให้ขายหน้า
ขอร้อง
โกหก
มอง ดู
เก็บเป็ นความลับ
อยูใ่ นฐานะที่จะ
อยา่ งมาก
ให้ขอ ้ สั งเกต
ลอ้ เลน ่

ครัง้ ที่เราตอ
้ งการเน้นตัวเลข สามารถใช้ one กับนามนับได้เอกพจน์ เชน

้ าษาอั งกฤษเป็ นภาษาแม่ ( Non-native speakers of English ) หรื อเรี ยนภาษาอั งกฤษ เป็ นภาษาตา่ งประเทศ ( English as a Foreign Language )  
ชภ
s a Foreign Language )  เนื่ องจากเป็ นเรื่ องที่มักจะตั ดสินใจยากวา่ อะไรเป็ นนามนั บได้ และอะไรเป็ นนามนั บไมไ่ ด้  บางครั ง้ คำเดียวกั นสามารถเป็ นได้ทังสองอย
้ า่ ง เป็ นเรื่ อง

เดียวกั นสามารถเป็ นได้ทังสองอย า่ ง เป็ นเรื่ องที่มีกฎเกณฑม
์ าก และขณะเดียวกั น ก็มีขอ
้ ยกเวน
้ มากเชน
่ กั น ตอ
้ งอาศั ยความจำและประสบการณ์ ในการใชภ
้ าษา เป็ นเวลานานจึงจะ
ะสบการณ์ ในการใชภ
้ าษา เป็ นเวลานานจึงจะสามารถใชไ้ ด้อยา่ งถูกตอ
้ ง

You might also like