Professional Documents
Culture Documents
3 วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น
3 วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น
- ต่อไปกล่าวถึงเมื่อโลกหมดอายุสิ้นกัปกัลป์ ก็จะมีไฟมาไหม้
เผาโลกให้หมดสิ้ นไป
ตัวอย่ าง
นานาอเนกน้ าวเดิมกัลป์ จักร่าจักราพาฬเมื่อไหม้
กล่ าวถึงตระวันเจ็ดอันพลุ่ง นา้ แล้ งไข้ ขอดหาย
เจ็ดปลามันพุ่งหล้ าเป็ นไฟ วาบจตุราบายแผ่ นขวา้
ชักไตรตรึงษ์ เป็ นเผ้ า แลบลา้ สี ทอง
• ถอดคาประพันธ์
เท้าความย้อนไปถึงยุคเดิมที่ผา่ นมามากมายหลายยุค จะ
กล่าวถึงเมื่อจักรวาลถูกไฟไหม้ กล่าวถึง ดวงอาทิตย์ เจ็ดดวง ขึ้นมา
ในท้องฟ้ า (หรื อดวงอาทิตย์เจ็ดดวงทาให้น้ าเดือด) น้ างวดแห้ง
หายไป
นา้ มันของปลาเจ็ดตัวพุ่งขึน้ ทาให้โลกลุกเป็ นไฟ ไฟไหม้
อบายภูมิท้ งั สี่ พินาศไป ทาให้สวรรค์ช้ นั ดาวดึงส์ กลายเป็ นเถ้าถ่าน
เนือ้ หาลิลติ โองการแช่ งนา้
ดีร้ายบอกคนจา ผีพรายผีชรหมื่นดาช่วยดู
การู คลื่นเป็ นเปลว บซื่อน้ าตัดคอ
ตัดคอเร็ วให้ขาด บซื่ อมล้างออเอาใส่ เล้า
บซื่อน้ าหยาดท้องเป็ นรุ ้ง บซื่อแร้งหาเต้าแตกตา
เจาะพุงใบแบ่ง บซื่ อหมาหมีเสื อเข่นเขี้ยว
เขี้ยวชาชแวงยายี ยมราชเกี้ยวตาตาวช่วยดู
ตัวอย่ างคาสาปแช่ งในลิลติ โองการแช่ งนา้
มิ่งเมืองบุญศักดิแพร่ ใครซื่อใครรางควายทอง
เพิม่ ช้างม้าแผ่ววั ควาย ใครซื่อฟ้ าสองย้าวเร่ งยิน
เพรงรัตนพรายพรรณยืน่ ใครซื่อสิ นเภตรา
เพิ่มเขาหมื่นมหาไชย ใครซื่อใครรักเจ้าจงยศ
กลืนชนมาให้ยนื ยิง่ เทพายศล่มฟ้ า
อย่ารู้วา่ อันตราย ได้ใจกล้าดังเพชร
คุณค่ าของลิลติ โองการแช่ งนา้
• พระเวสสันดรพาครอบครัวมาถึงเมืองเจตราช
• กษัตริย์เจตราชทูลอันเชิญให้พระเวสสันดร
ครองเมืองของพวกตน แต่พระเวสสันดรปฏิเสธ
• กษัตริ ยเ์ จตราชจึงส่ งพระเวสสันดรไปยังเขาวงกต
โดยให้พรานเจตบุตรเป็ นนายด่านรักษาประตูป่า
คอยระวังต้นทางไม่ให้ใครรบกวนได้
• พระอินทร์ สงั่ ให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตรที่ประทับให้ทุกคนได้อาศัย
5. กัณฑ์ ชูชก
• พราหมณ์ ชูชกนาเงินที่ได้จากการขอทานไปฝากเพื่อนไว้
• เพื่อนเห็นว่าชูชกหายไปนาน เลยนาเงินออกมาใช้จ่ายหมด
• เมื่อไม่มีเงินคืน เลยยกลูกสาวชื่ออมิตตดาให้เป็ นภรรยาของชูชก
• นางอมิตตดาปรนนิบตั ิชูชกเป็ นอย่างดี ทาให้พราหมณ์ในหมู่บา้ น
มองว่าภรรยาของตนไม่ดี กล่าวตาหนิและทาร้ายภรรยา เพราะชูชกมี
ลักษณะบุรุษโทษ 18 ประการ ไม่น่าจะมีภรรยาดี
ลักษณะบุรุษโทษ 18 ประการของชู ชกคือ
1. เท้าทั้งสองข้างใหญ่และคด
2. เล็บทั้งหมดกุด
3. ปลีน่องทู่ยยู่ าน
4. ริ มฝี ปากบนย้อยทับริ มฝี ปากล่าง
5. นาลายไหลออกเป็ นยางยืดทั้งสองแก้ม
6. เขี้ยวงอกออกพ้นปากเหมือนเขี้ยวหมู
7. จมูกหักฟุบดูน่าชัง
8. ท้องป่ องเป็ นกระเปาะดัง่ หม้อใหญ่
9. สันหลังไหล่หกั ค่อม คด โกง
10. ตาข้างหนึ่งใหญ่ ข้างหนึ่งเล็ก ไม่เสมอกัน
ลักษณะบุรุษโทษ 18 ประการของชู ชก (ต่ อ)
11. หนวดเครามีพรรณดังลวดทองแดง (เส้นแข็ง)
12. ผมโหรง เหลืองดังสี ลาน (สี เหลืองนวล)
13. ตามร่ างกายมีเส้นเอ็นขึ้นทัว่ ไปเห็นได้ชดั เจน
14. มีต่อมแมลงวัน และตกกระดังโรยงา
15. ลูกตาเหลือง เหลือก เหล่
16. ร่ างกายคดค้อมในที่ท้ งั สามคือ คอ หลัง สะเอว
17. เท้าทั้งสองหัน เห ห่างเกะกะ (เท้าโก่ง ไม่เท่ากัน)
18. ขนตามตัวหยาบดังแปลงที่ทาด้วยขนหลังหมูป่า
กัณฑ์ ชูชก (ต่ อ)
• พวกพราหมณี แค้นใจไปด่านางอมิตตดา
• นางอมิตตดาเสี ยใจ ขอให้ชูชกเดินทางไปขอชาลีและกัณหาจาก
พระเวสสันดร
• ชูชกเดินทางไปถึงเขตแดนที่พรานเจตบุตรเฝ้ าอยู่
• ชูชกอ้างว่าตนเป็ นทูตของพระเจ้ากรุ งสญชัย
เพื่อทูลเชิญให้พระเวสสันดรกลับพระนคร
พราหมณ์เจตบุตรหลงเชื่อ
6. กัณฑ์ จุลพน
• พรานเจตบุตรจัดเตรี ยมเสบียงให้ชูชก
• และพรรณนาพรรณไม้ในป่ าหิ มพานต์ให้ชูชกฟังพร้อมทั้งบอก
เส้นทางแก่ชูชก
• ชูชกออกเดินทางไปยังเขาวงกตระหว่างทางได้พบอัจจุตฤาษี
7. กัณฑ์ มหาพน
• ชูชกลวงพระอัจจุตฤๅษีเช่นเดียวกับที่ลวงพรานเจตบุตร
• พระฤๅษีบอกทางไปเขาวงกตแก่ชูชก และพรรณนาหมู่สตั ว์และ
พรรณนาไม้ตามเส้นทางให้ชูชกฟัง
8. กัณฑ์ กมุ าร
• ชูชกเดินทางมาถึงสระน้ าใกล้อาศรมของพระเวสสันดรในตอน
พลบค่า
• แต่รอจนรุ่ งเช้าเพื่อให้นางมัทรี เข้าป่ าไปหาผลไม้ก่อน
• แล้วชูชกจึงเข้าไปทูลขอสองกุมาร พระเวสสันดรจึงไปตรัสเรี ยก
ที่สระโบกขรณี ที่สองกุมารหนีไปซ่อนอยู่ สองกุมารจึงยอม
ขึ้นมา
• พระเวสสันดรประทานให้พร้อมทั้งกาหนดค่าตัวไว้ให้ชูชกรับรู้
9. กัณฑ์ มัทรี
• พระนางมัทรี เดินเข้าไปหาผลไม้ในป่ าลึก
จนคล้อยเย็นจึงเดินทางกลับอาศรม แต่มี
เทวดาแปลงกายเป็ นเสื อนอนขวางทางจนค่า
• เมื่อกลับถึงอาศรมก็ไม่พบชาลีและกัณหา
พระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ
• นางมัทรี จึงออกเที่ยวหาโอรสและกลับมา
สิ้ นสติต่อเบื้องพระพักตร์ พระองค์ทรงตก
พระทัย ลืมตนว่าเป็ นดาบสจึงทรงเข้าอุม้ พระ
นางมัทรี และทรงกันแสง
กัณฑ์ มัทรี (ต่ อ)
• เมื่อพระนางมัทรี ฟ้ื นจึงถวายบังคมประทานโทษ พระเวสสันดร
จึงบอกความจริ งว่าได้ประทานชาลีและกัณหาแก่ชูชกแล้ว หาก
ชีวติ ไม่สิ้นคงจะได้พบ
• พระนางมัทรี จึงร่ วมอนุโมทนาในปิ ยบุตรทานนั้น
• แสดงให้เห็นว่ากัณฑ์มทั รี เป็ นกัณฑ์ที่พระนางมัทรี ทรงได้ตดั
ความห่วงหาอาลัยในสายเลือด อนุโมทนาทานโอรสทั้งสองแก่
ชูชก
10. กัณฑ์ สักรบรรพ
(สักกะ แปลว่า พระอินทร์, บรรพ แปลว่า กัณฑ์, ตอน)
กาพย์ มหาชาติ
- คาว่า “กาพย์ ” ที่น้ ีหมายถึงคานิพนธ์ ของกวี
- ไม่ ได้ หมายถึงคาประพันธ์ ชนิดกาพย์
- คาประพันธ์ที่ใช้กบั กาพย์ มหาชาติเรื่องนีเ้ ป็ นร่ ายยาว เพราะคาว่า
กาพย์ ในสมัยก่อนนั้นหมายถึงคาร้อยกรองโดยทัว่ ๆไป
ผู้แต่ ง: สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
กาพย์ มหาชาติ
• นักสันนิษฐานบางคนเห็นว่าภาษาในโคลงกาสรวลนี้เทียบได้กบั
ลิลติ ยานพ่าย ลิลติ พระลอ และยังมีการยกมาอ้างในหนังสื อ
จินดามณี ซึ่งพระโหราธิบดีแต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
ดังนั้น โคลงกาสรวล ไม่ น่าจะแต่ งสมัยสมเด็จพระนารายณ์
(สมัยอยุธยาตอนกลาง) จะต้ องมีมาก่ อน
โคลงกาสรวล
ทานองแต่ ง: แต่งเป็ นโคลงดั้นบาทกุญชร บทแรกเป็ นร่ ายดั้น
วัตถุประสงค์ ในการแต่ ง: เพื่อแสดงความอาลัยรักต่อหญิงที่ตนรัก
เพราะผูแ้ ต่งจะต้องจากนาง
เนือ้ หา: เริ่ มต้นด้วยการสดุดีกรุ งศรี อยุธยาว่าเป็ นเมืองที่น่าชม เป็ น
เมืองหลวงอันมีแต่ความรื่ นรมย์ และสวยงามดุจประดับด้วยแก้วเก้า
ประการ
- พระเจ้าแผ่นดินผูเ้ ป็ นใหญ่ ทรงสร้างพระนครศรี อยุธยาด้วย
พระองค์เอง
โคลงกาสรวล
• การพรรณนาถึงนางอันเป็ นทีร่ ัก
รฤกชู้ แก้ วเกือ่ น ใจตาย และแม่
รยมร่ างเปนต้ นเลอย น่ าน้ อง
เลือดตายิง่ ฝนราย ราย่ าน
อกพีพ่ ้นฟ้าร้ อง รยกศรี ฯ
• ถอดคาประพันธ์
- การพรรณนาความรักความคิดถึงนางอันเป็ นที่รักของกวี ซึ่ง
กวีมีความทุกข์มากจนไม่รู้สึกตัวตนว่าเป็ นอย่างไร
- เฝ้ าแต่ร้องไห้จนน้ าตาตกเป็ นเลือดที่หลัง่ มาดังเม็ดฝน และ
เสี ยงร้องคร่ าครวญถึงนางในอกก็ดงั กว่าฟ้ าร้องเสี ยอีก
ตัวอย่ างโคลงกาสรวล