Professional Documents
Culture Documents
APznzaZHG51VM73Casmei8Jfc4QdL5sTE8e84XE77voy6CFv7rCDHROUvi0LiyHF8ThWGlXaeBPGyfgdl7H3qXxHuL02O-AdnbkJ03NRGLNgjO4RKp1k5r4SLNAwOvmEqnHOvIUz8PKWrLbIpuRRnYLdDrY1YnvmLeZhwEjA7BKlHb-novZEhO2LDcDeGC6vRwazxcAOMnZmROXzKSr411xsT2Kv6ny9rLKcQSxRJn4AiKU8RZIbtYSCyMh
APznzaZHG51VM73Casmei8Jfc4QdL5sTE8e84XE77voy6CFv7rCDHROUvi0LiyHF8ThWGlXaeBPGyfgdl7H3qXxHuL02O-AdnbkJ03NRGLNgjO4RKp1k5r4SLNAwOvmEqnHOvIUz8PKWrLbIpuRRnYLdDrY1YnvmLeZhwEjA7BKlHb-novZEhO2LDcDeGC6vRwazxcAOMnZmROXzKSr411xsT2Kv6ny9rLKcQSxRJn4AiKU8RZIbtYSCyMh
โครงการส่งเสริมผูม้ ีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์
โรงเรียนสตรีพัทลุง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-5
เรื่อง
ตรรกศาสตร์และการพิสูจน์
ดร.ยูซุฟ เจะบ่าว
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
คำนำ
คณิตศาสตร์เปนวิ ็ ชาทีม่ หี ลั กการชั ดเจนและแน่นอน องค์ความรู้ทั้งหมดในวิชานี้สอดประสานเปนหนึ ็ ง่
เดียวกั น อย่างมีระเบียบแบบแผน สวยงาม และมีพัฒนาการจากขั้ น ต้น ไปสูข่ ั้ น ทีส่ ลั บ ซั บ ซ้อนขึ้น ตามลำดั บ ผู้
เรียนจึงควรมีความรู้ความเข้าใจในหลั กการพื้นฐานของวิชานี้เปนอย่ ็ างดี โดยเฉพาะหลั กตรรกศาสตร์และการ
็ อ่ งมือในการศกึ ษาค้นคว้าได้อย่างถูกต้องและเปนระบบต่
พิสจู น์ เพือ่ ใช้เปนเครื ็ อไป
เอกสารฉบั บ นี้จัด ทำขึ้น เพือ่ ใช้ ประกอบการเรียนหลั กสูตรเพิม่ พูน ประสบการณ์ โครงการส่ง เสริม ผู้ม ี
ความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ โรงเรียนสตรีพัทลุง ในวั นที่ 5 และ 12 กุมภาพั นธ์ 2565 มีเนื้อหาครอบคลุม
ภาพรวมของวิชาคณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์ และเน้นย้ำทีห่ ลั กการพิสจู น์แบบต่าง ๆ โดยผู้เขียนได้ปรั บเนื้อหามา
จากส่วนหนึง่ ของเอกสารประกอบการสอนรายวิชา “หลั กคณิตศาสตร์” (Principles of Mathematics) สำหรั บ
นั กศกึ ษาสาขาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลั ยสงขลานครินทร์
ผู้เขียนขอขอบพระคุณครูวรานั นท์ สาครินทร์ และกลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนสตรีพัทลุง
ทีก่ รุณาติดต่อประสานงาน รวมทั้ งช่วยอำนวยความสะดวกอย่างดียงิ่ และหวั งว่าเอกสารฉบั บนี้จะเปนประโยชน์็
แก่นักเรียนทีเ่ ข้าร่วมโครงการ ตลอดจนผู้ทสี่ นใจในเรือ่ งตรรกศาสตร์และการพิสจู น์ไม่มากก็น้อย
ดร.ยูซฟุ เจะบ่าว
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การคำนวน
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลั ยสงขลานครินทร์
i
สารบั ญ
iii
iv สารบั ญ
บทที่ 1
บทนำ
็ ฒนาการทางภูมปิ ญั ญาแขนงหนึง่ ของมนุษยชาติ และเปนส
คณิตศาสตร์เปนพั ็ งิ่ หนึง่ ทีส่ ะท้อนให้ เห็นว่า
มนุษย์มคี วามสามารถทางสติปญั ญา ความคิดสร้างสรรค์ และพลั งแห่งจินตนาการมากมายเพียงใด ในบทนี้เรา
จะกล่าวถึงธรรมชาติและโครงสร้างของวิชานี้
1
2 บทนำ
็
อย่างไรก็ตาม ความหมายข้างต้นเปนความหมายคร่ าว ๆ เท่านั้ น เนือ่ งจากขอบเขตของวิชาคณิตศาสตร์
มีความลึกซึ้งกว้างขวางเกินกว่าจะให้คำอธิบายเพียงสั้ น ๆ ได้ อนึง่ ความหมายของวิชานี้อาจแตกต่างกั นออกไป
ขึ้นอยูก่ ั บประสบการณ์และความรั บรู้ของแต่ละบุคคล
จากความหมายคร่าว ๆ ข้างต้น จะเห็น ว่า นอกจากระบบสั ญลั กษณ์แล้ว องค์ประกอบสำคั ญ ของวิชา
คณิตศาสตร์ คือ หลั กตรรกศาสตร์และการพิสจู น์ หากปราศจากทั้ งสองสงิ่ นี้แล้ว การศกึ ษาและการสร้างองค์
ความรู้ทางคณิตศาสตร์ยอ่ มไม่อาจเกิดขึ้นได้
เปา้ หมายทั ว่ ไปในการศกึ ษาค้นคว้าทางคณิตศาสตร์
อาจกล่าวได้ วา่ เปา้ หมายสำคั ญ อย่างหนึง่ ของวิชาคณิตศาสตร์ คือ การศกึ ษาทำความเข้าใจธรรมชาติ
หรือ ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ โดยใช้ “ตั ว แบบเชิง คณิตศาสตร์” (mathematical model) หรือ “ระบบเชิง คณิต-
ศาสตร์” (mathematical system) โดยตั วแบบหรือระบบเชิงคณิตศาสตร์เปนแนวคิ ็ ดเชิงนามธรรม (abstract
concept) ทีใ่ ช้ แทนความจริงในธรรมชาติ ตั วอย่างเช่น ระบบจำนวน (number system) เปนตั ็ วแบบทีใ่ ช้ แทน
จำนวนหรือ ขนาดของสงิ่ ของ เรขาคณิต แบบยุค ลิด (Euclidean geometry) เปนตั ็ ว แบบทีใ่ ช้ แทนรูป ทรงใน
ธรรมชาติ เปนต้ ็ น ธรรมชาติและระบบเชิงคณิตศาสตร์ จึงมั กเปนส ็ งิ่ ทีส่ ะท้อนซึง่ กั นและกั นดั งแผนภาพ อย่างไร
ก็ตาม ตั วแบบหรือระบบเชิงคณิตศาสตร์อาจใช้ แทนสงิ่ ทีม่ อี ยูจ่ ริงได้ ดหี รือไม่กไ็ ด้ นอกจากนี้ เมือ่ คณิตศาสตร์ม ี
็
พั ฒนาการทีก่ ว้างไกลขึ้น ก็อาจเกิดระบบเชิงคณิตศาสตร์ใหม่ ๆ ทีเ่ ปนนามธรรมมากยิ ง่ ขึ้น ซึง่ อาจไม่องิ อยูก่ ั บ
ปรากฏการณ์ทมี่ อี ยูจ่ ริงในธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัดเสมอไป
ธรรมชาติ ! ระบบเชิงคณิตศาสตร์
็
ซึง่ ไม่เปนจำนวนเฉพาะ
ความเคลือ่ นไหวในวงการคณิตศาสตร์
วิชาคณิตศาสตร์มพี ั ฒนาการเรือ่ ยมาจากอดีตจนถึงปจั จุบัน และการศกึ ษาค้นคว้าทางคณิตศาสตร์ยังคง
ดำเนิน ต่อ ไปอย่างไม่ม ที สี่ ้ นิ สุด การค้น พบความรู้ใหม่ ๆ ยั ง คงเกิด ขึ้น อย่างต่อ เนือ่ ง โดยมีบทความทีต่ พี มิ พ์ใน
วารสารวิชาการทางคณิตศาสตร์ปละหลายหมื ี น่ บทความ นอกจากนี้ ยั งมีปญั หาทางคณิตศาสตร์ทรี่ อการหาคำ
ตอบอยูอ่ กี นั บไม่ถ้วน จึงกล่าวได้ วา่ คณิตศาสตร์ยังคงเปนวิ ็ ชาทีก่ ้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิง่ และยั งมีความ
น่าตืน่ เต้นและมีชวี ติ ชีวาอยูต่ ลอดเวลา
2.1 ประพจน์
็ งหรือเท็จเพียงอย่างใดอย่าง
ประพจน์ (statement หรือ proposition) คือประโยคหรือข้อความทีเ่ ปนจริ
หนึง่ ในบริบทหรือระบบองค์ความรู้ระบบใดระบบหนึง่ เช่น
ณ ปจั จุบัน มีดาวฤกษ์ในกาแล็กซีทางช้างเผือกทั้ งส้ นิ 7, 234, 168, 965 ดวง
1+1=2
3≥4
25652566 + 2022 ็
เปนจำนวนเฉพาะ
จะเห็น ว่า ถึง แม้ เราอาจไม่สามารถบอกได้ วา่ ข้อความบางข้อความเปนจริ ็ ง หรือ ไม่ ภายใต้ ข้อ จำกั ด ของ
็ งหรือเท็จเพียงกรณีใดกรณีหนึง่ อย่างแน่นอน ก็ยอ่ มถือได้
ความรู้ทเี่ รามีอยู่ แต่หากข้อความดั งกล่าวต้องเปนจริ
็
ว่าข้อความนั้ นเปนประพจน์
เรามั กใช้สัญลั กษณ์ P, Q, R, . . . หรือ p, q, r, . . . หรือ p1, p2, p3, . . . แทนประพจน์ เช่น
P :1+1=2
ค่ าความจริง (truth value) ของประพจน์มไี ด้ คา่ ใดค่าหนึง่ จากสองค่า คือ จริง (true) ซึง่ ในทีน่ ้ เี ขียน
แทนด้วยสั ญลั กษณ์ T หรือ เท็ จ (false) ซึง่ เขียนแทนด้วยสั ญลั กษณ์ F เช่น จากตั วอย่างข้างต้น ประพจน์ P มี
ค่าความจริงเปน็ T ประพจน์ q มีคา่ ความจริงเปน็ T และประพจน์ r1 มีคา่ ความจริงเปน็ F
็
ข้อความทีเ่ ปนการเปล่ ง อุทานแสดงอารมณ์ หรือ ความรู้สกึ ส่วนตั ว ประโยคคำถาม และประโยคคำสั ง่
็
หรือขอร้อง ไม่ถอื ว่าเปนประพจน์ เช่น
โปรดเอื้อเฟอ้ ื แก่เด็ก สตรี และคนชรา
การพิสจู น์ของ Fermat’s Last Theorem ช่างน่าอั ศจรรย์และสวยงามยิง่ นั ก
มีจำนวนเฉพาะกีจ่ ำนวนทีอ่ ยูร่ ะหว่าง 1 และ 100
ประโยคเปดิ
ประโยคเปดิ (open sentence) ได้แก่ประโยคบอกเล่าทางคณิตศาสตร์ทมี่ ตี ั วแปรปรากฏอยู่ ประโยคเปดิ
็
ไม่ถอื ว่าเปนประพจน์ เนือ่ งจากเรายั งไม่ทราบว่าตั วแปรในประโยคนั้ นแทนสงิ่ ใดหรือค่าใด เช่น
x2 = 1
n2 + n ็
เปนจำนวนคู ่
x+y >0
เรามั กใช้สัญลั กษณ์ P (x) หรือ Q(x) หรือ r(x) หรืออืน่ ๆ แทนประโยคเปดที ิ ม่ ี x เปนตั
็ วแปร ในกรณี
ทีป่ ระโยคเปดมีิ x และ y เปนตั ็ วแปร อาจใช้ สัญลั กษณ์ P (x, y) หรืออืน่ ๆ แทนประโยคดั งกล่าว โดยมั กระบุ
ขอบเขตหรือเอกภพสั มพั ทธ์สำหรั บตั วแปรไว้ ด้วย ซึง่ เมือ่ แทนค่าตั วแปรจากเอกภพสั มพั ทธ์ลงในประโยคเปดิ
จะได้ประพจน์ทเี่ ปนจริ็ งหรือเท็จอย่างใดอย่างหนึง่ (ในระบบเชิงคณิตศาสตร์ทพี่ จิ ารณา)
ตั วอย่างที่ 1 กำหนดให้เอกภพสั มพั ทธ์คอื U = {−3, −2, −1, 0, 1, 2, 3}
(i) กำหนด P (x) : x2 < 2
็ ง
จงหาค่าของ x ∈ U ทั้ งหมด ทีท่ ำให้ P (x) เปนจริ
(ii) ็
กำหนด Q(n) : n2 + 3n เปนจำนวนคู ่
็ ง
จงหาค่าของ n ∈ U ทั้ งหมด ทีท่ ำให้ Q(n) เปนจริ
หมายเหตุ สมการ (equation) คือ ประโยคทางคณิตศาสตร์ ท ีม่ ีเครือ่ งหมายเท่ากั บ (=) ็ ยาหลั ก ของ
เปนกริ
ประโยค เช่น
3
22 = 256
(1 + 2)2 = 12 + 22
x2 + x = 0
็
จะเห็นว่าสมการแรกเปนประพจน์ ็ ง สมการทีส่ องเปนประพจน์
ทเี่ ปนจริ ็ ็ จ ส่วนสมการทีส่ ามเปนประโยค
ทเี่ ปนเท็ ็
เปดิ การหาค่าของตั วแปรทั้ งหมดในเอกภพสั มพั ทธ์ทที่ ำให้ สมการทีเ่ ปนประโยคเป
็ ิ นจริ
ดเป ็ ง เรียกว่า “การแก้
สมการ” หรือการหาผลเฉลยของสมการ
ในทำนองเดียวกั น อสมการ (inequality) คือประโยคทางคณิตศาสตร์ทมี่ เี ครือ่ งหมาย >, <, ≥ หรือ ≤
็ ยาหลั กของประโยค การแก้อสมการ คือการหาค่าของตั วแปรทั้ งหมดในเอกภพสั มพั ทธ์ทที่ ำให้อสมการที่
เปนกริ
็
เปนประโยคเป ิ นจริ
ดเป ็ ง
็
ตั วอย่างที่ 2 จงหาผลเฉลยทีเ่ ปนจำนวนจริ งทั้ งหมดของสมการ x3 − x2 − 2x + 2 = 0
วิธที ำ ให้ x ∈ R โดยที่ x3 − x2 − 2x + 2 = 0 จะได้วา่
x2 (x − 1) − 2(x − 1) = 0
(x − 1)(x2 − 2) = 0
√ √
(x − 1)(x − 2)(x + 2) = 0
√
ดั งนั้ น ผลเฉลยของสมการคือ x = 1 หรือ x = ± 2
การแก้สมการข้างต้นจะถือว่าไม่สมบูรณ์ หากทำดั งนี้:
แทนค่า x = 1 ลงใน x3 − x2 − 2x + 2 จะได้
13 − 12 − 2 · 1 + 2 = 0
ดั งนั้ น ผลเฉลยของสมการคือ x = 1
ตั วแปรแทนประพจน์ และตารางค่าความจริง
ในหลายกรณี เราจะกำหนดสั ญลั กษณ์แทนประพจน์ใด ๆ โดยไม่ระบุวา่ สั ญลั กษณ์นั้น คือ ประพจน์ใด
อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น
็
ให้ p เปนประพจน์ ใด ๆ
เราจึง ยั ง ไม่สามารถระบุคา่ ความจริง ของ p ได้ ในที่น้ ีจะเรียก p ว่า ตั วแปรแทนประพจน์ (propositional
็
variable) ซึง่ ตั วแปรแทนประพจน์จะเปนประพจน์ อย่างสมบูรณ์กต็ อ่ เมือ่ มี การระบุวา่ p คือข้อความใด
หมายเหตุ ในตำราทีก่ ล่าวเกีย่ วกั บตรรกศาสตร์อย่างง่ายบางเล่ม อาจไม่มกี ารแยกความแตก ต่างระหว่างประ-
พจน์ และตั วแปรแทนประพจน์
็
ถ้า p เปนประพจน์ ใด ๆ แล้ว ค่าความจริงของ p มีได้ 2 กรณี คือ T หรือ F เราสามารถเขียนแสดงความ
็
เปนไปได้ ทั้งหมดของค่าความจริงของ p ได้ดังตาราง
10 ตรรกศาสตร์
p
T
F
p1 p2 p3 ··· pn−1 pn P
T T T ··· T T X
T T T ··· T F X
... ... ... ... ... ... ...
F F F ··· F F X
∼ q : 2 %< 3 (นั น
่ คือ2 ≥ 3)
ค่าความจริงของ ∼ p จะตรงข้ามกั บค่าความจริงของ p ดั งตารางต่อไปนี้
2.2 ตั วเชือ่ มทางตรรกศาสตร์ 11
p ∼p
T F
F T
2. ประพจน์รวม
็
ถ้า p และ q เปนประพจน์ แล้ว ประพจน์ รวม (conjunction) ของ p และ q คือข้อ ความ “p และ q”
ซึง่ เขียนแทนด้วย p ∧ q เช่น ถ้ากำหนดให้
็
p : 2022 เปนจำนวนคู ,่ ็
q : 2565 เปนจำนวนคี ่
็
แล้ว p ∧ q คือข้อความ “2022 เปนจำนวนคู ็ ”่
่ และ 2565 เปนจำนวนคี
็ งก็ตอ่ เมือ่ p เปนจริ
ข้อความ p ∧ q จะเปนจริ ็ ง และ q เปนจริ
็ ง ดั งตารางต่อไปนี้
p q p∧q
T T T
T F F
F T F
F F F
หมายเหตุ ในบางกรณี เราอาจใช้ คำว่า “แต่” แทนคำว่า “และ” เพือ่ เน้นให้ เห็นนั ยที่ ตรงข้ามกั นของ
็
ข้อความสองข้อความ เช่น 2022 เปนจำนวนคู ็
่ แต่ 2565 เปนจำนวนคี ่
3. ประพจน์เลือก
็
ถ้า p และ q เปนประพจน์ แล้ว ประพจน์ เลื อก (disjunction) ของ p และ q คือข้อความ “p หรือ q”
ซึง่ เขียนแทน ด้วย p ∨ q เช่น ถ้ากำหนดให้
p : eπ > π e , q : eπ < π e
แล้ว p → q คือข้อความ “ถ้าแชมพูส่ อบได้ทหี่ นึง่ แล้วคุณแม่จะซื้อ iPhone ให้” จะเห็นว่า หากข้อความ
ดั งกล่าวคือคำสั ญญาของคุณแม่ แล้วคุณแม่จะผิดสั ญญาก็ตอ่ เมือ่ ชมพูส่ อบได้ทหี่ นึง่ แต่ไม่ได้ซ้ อื iPhone
ให้
็ จเพียงกรณีเดียว คือเมือ่ p เปนจริ
ในกรณีทัว่ ไป ข้อความ p → q จะเปนเท็ ็ ง แต่ q เปนเท็ ็ จ ดั งตาราง
p q p→q
T T T
T F F
F T T
F F T
รปู แบบของประพจน์
ถ้า p, q, ... คือตั วแปรทีแ่ ทนประพจน์ใด ๆ แล้วเราจะเรียก p, q, r, ... รวมทั้ งนิพจน์ทเี่ กิดจากการเชือ่ ม
ตั วแปรเหล่านี้ด้วยตั วเชือ่ มทางตรรกศาสตร์วา่ ร ูปแบบของประพจน์ ดั งนั้ น ∼ p, p ∧ q, p ∨ q, p → q, p ↔ q
็ ปแบบของประพจน์
ล้วนเปนรู
ตั วอย่างที่ 4 p ↔ (∼ q → r) เปนรู ็ ปแบบของประพจน์ทมี่ ตี ารางค่าความจริงดั งแสดง
p q r ∼q ∼q→r p ↔ (∼ q → r)
T T T
T T F
T F T
T F F
F T T
F T F
F F T
F F F
็ ็
เมือ่ แทนแต่ละตั วแปรด้วยข้อความทีเ่ ปนประพจน์
หมายเหตุ รูปแบบของประพจน์จะกลายเปนประพจน์
p p∨ ∼ p
T
F
2.2 ตั วเชือ่ มทางตรรกศาสตร์ 15
(ii) p ∧ ∼ p
็ อความขั ดแย้ง เนือ่ งจากมีคา่ ความจริงเปนเท็
รูปแบบของประพจน์น้ เี ปนข้ ็ จในทุกกรณี ดั งนี้
p p∧ ∼ p
T
F
(iii) (∼ p ∧ (p ∨ q)) → q
็ จนิรันดร์ เนือ่ งจากมีคา่ ความจริงเปนจริ
รูปแบบของประพจน์น้ เี ปนสั ็ งในทุกกรณี ดั งนี้
p q ∼p p∨q ∼ p ∧ (p ∨ q) (∼ p ∧ (p ∨ q)) → q
T T
T T
T F
T F
F T
F T
F F
F F
(7) p ∧ (q ∧ r) ≡ (p ∧ q) ∧ r
p ∨ (q ∨ r) ≡ (p ∨ q) ∨ r (กฎการเปลีย่ นหมู:่ associative law)
(8) p ∧ (q ∨ r) ≡ (p ∧ q) ∨ (p ∧ r)
p ∨ (q ∧ r) ≡ (p ∨ q) ∧ (p ∨ r) (กฎการแจกแจง: distributive law)
2.3 รูปแบบของประพจน์ทสี่ มมูลกั น 17
(9) ∼ (p ∧ q) ≡ ∼ p∨ ∼ q
∼ (p ∨ q) ≡ ∼ p∧ ∼ q (กฎของเดอมอร์แกน: De Morgan’s law)
(10) p → q ≡ ∼ p ∨ q ≡ ∼ q →∼ p
(11) p ↔ q ≡ (p → q) ∧ (q → p) ≡∼ p ↔∼ q
นอกจากนี้ ยั ง มีข้อ สั งเกตเกีย่ วกั บ ความสั มพั นธ์ ระหว่างสั จ นิรัน ดร์ หรือ ข้อ ขั ด แย้ง และการสมมูล กั น
ระหว่างรูปแบบของประพจน์ ดั งนี้
็ ปแบบของประพจน์ จะได้วา่
ทฤษฎีบท 2 ให้ p และ q เปนรู
(1) ็ จนิรันดร์ แล้ว p ∧ q ≡ q
ถ้า p เปนสั
(2) ็ อขั ดแย้ง แล้ว p ∨ q ≡ q
ถ้า p เปนข้
(3) p ≡ q ็ จนิรันดร์
ก็ตอ่ เมือ่ p ↔ q เปนสั
(c) ∃x ∈ R, x3 + x + 1 = 0
(d) ∃x ∈ R, x2 + 1 = 0
หมายเหตุ
(1) ในบางกรณี หากเปนที ็ ท่ ราบแล้ว ว่า เอกภพสั มพั ทธ์คอื เซตใด เราอาจเขียนประพจน์ท มี่ ตี ั ว บ่ง ปริมาณโดย
ละเอกภพสั มพั ทธ์ได้ เช่น หากเปนที็ ท่ ราบแล้ว ว่า เอกภพสั มพั ทธ์ คือ เซตของจำนวนจริง อาจขียน ∀x ∈
R, x2 ≥ 0 เปน็ ∀x, x2 ≥ 0 เปนต้ ็ น
(2) สั ญลั กษณ์ ∃! x ∈ U , P (x) หมายถึง “มี x ∈ U เพียงหนึง่ เดียว ซึง่ P (x)”
เช่น ∃! x ∈ R, x3 + 1 = 0
ทฤษฎีบท 4 การสมมูลต่อไปนี้เปนจริ ็ ง
(1) ∼ (∀x ∈ U , P (x)) ≡ ∃x ∈ U , ∼ P (x)
(d) ∃x ∈ R, ∃y ∈ R, x2 + y 2 < 0
(e) ∀x ∈ R, ∃y ∈ R, y < x
(f) ∀x ∈ R, ∃y ∈ R, xy = 1
(g) ∃x ∈ R, ∀y ∈ R, xy = y
(h) ∃x ∈ R, ∀y ∈ R, x < y
็
หมายเหตุ ถ้า U และ V เปนเซตเดี ็ วเดียวกั น เราอาจเขียนเอกภพสั มพั ทธ์เพียง
ยวกั น และตั วบ่งปริมาณเปนตั
ครั้ งเดียว เช่น ∀x ∈ R, ∀y ∈ R, x2 + y2 ≥ 0 สามารถเขียนย่อเปน็ ∀x, y ∈ R, x2 + y2 ≥ 0 ได้
20 ตรรกศาสตร์
็ ง
ทฤษฎีบท 5 การสมมูลต่อไปนี้เปนจริ
(1) ∼ (∀x ∈ U , ∀y ∈ V, P (x, y)) ≡ ∃x ∈ U , ∃y ∈ V, ∼ P (x, y)
2.5 การอ้างเหตุผลและการพิสจู น์
การอ้างเหตุผล (argument) หมายถึงการใช้ข้อความจำนวนหนึง่ ซึง่ เรียกว่า “เหตุ” (premise) เพือ่ นำ
ไปสูข่ ้อความหนึง่ ซึง่ เรียกว่า “ผล” หรือ “ข้อสรุป” (conclusion) ในทีน่ ้ เี ราจะสนใจ “การอ้างเหตุผลทีส่ มเหตุ
สมผล” (valid argument) โดยมีหลั กการว่า
การอ้างเหตุ p1, p2, . . . , pn เพือ่ สรุปผล q
็
เปนการอ้ างเหตุผลทีส่ มเหตุสมผล ก็ตอ่ เมือ่
(p1 ∧ p2 ∧ · · · ∧ pn ) → q เปนสั ็ จนิรันดร์
นั น่ คือ การอ้างเหตุผลจะสมเหตุสมผลก็ตอ่ เมือ่ ถ้าเหตุทกุ ข้อเปนจริ ็ ง แล้วผลจะต้องเปนจริ
็ งด้วย
ในทีน่ ้ ี จะใช้สัญลั กษณ์
p1 , p 2 , . . . , p n 1 q
แทนรูปแบบการอ้างเหตุผลทีส่ มเหตุสมผลซึง่ ประกอบด้วยเหตุ p1, p2, . . . , pn และผล q และเขียน
p1 , p 2 , . . . , p n % 1 q
ถ้ารูปแบบการอ้างเหตุผลนั้ นไม่สมเหตุสมผล
2.5 การอ้างเหตุผลและการพิสจู น์ 21
ตั วอย่างที่ 10
(a) p → q, p 1 q เนือ่ งจาก ....................................................................................................
เรียกรูปแบบการอ้างเหตุผลนี้วา่ modus ponens
(b) p ∨ q, p % 1 q เนือ่ งจาก .....................................................................................................
ทฤษฎีบทต่อไปนี้รวบรวมรูปแบบการอ้างเหตุผลทีส่ มเหตุสมผลซึง่ เราต้องใช้อยูเ่ สมอ
็ ปแบบของประพจน์ และให้ P (x) เปนประโยคเป
ทฤษฎีบท 6 ให้ p, q, r เปนรู ็ ดิ จะได้วา่
(1) p, q 1 p ∧ q (conjunction introduction)
(3) p ∧ q 1 p (simplification)
p∧q 1q (simplification)
(10) p → q 1 p → (p ∧ q) (absorption)
(12) p ↔ q, p 1 q
p ↔ q, ∼ p 1 ∼ q
ตั วอย่างที่ 11
(i) ตั วอย่างการใช้ modus ponens
็ นพุธ แล้วมนั สวีจะมาเรียน
เหตุ 1. ถ้าวั นนี้เปนวั
็ นพุธ
2. วั นนี้เปนวั
ดั งนั้ น ....................................................................
ข้อควรระวั ง
• ็ นพุธ”
หากเหตุข้อที่ 2 คือ “มนั สวีมาเรียน” ยั งไม่สามารถสรุปได้วา่ “วั นนี้เปนวั
• หากเหตุข้อที่ 2 คือ “วั นนี้ไม่ใช่วันพุธ” ยั งไม่สามารถสรุปได้วา่ “มนั สวีไม่มาเรียน”
(ii) ตั วอย่างการใช้ modus tollens
เหตุ 1. ถ้ากุก๊ กิ๊กทำดุก๊ ดิ๊ก แล้วตุก๊ ติ๊กทำปุก๊ ปก๊ ิ
๊ ติ๊กไม่ทำปุก๊ ปก๊ ิ
2. ตุก
ดั งนั้ น ....................................................................
จากตั วอย่างนี้ จะเห็นว่า การอ้างเหตุผลทีส่ มเหตุสมผลนั้ น สมเหตุสมผลโดยรูปแบบของการอ้างเหตุผล
็ งก็ได้
เท่านั้ น อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปทีไ่ ด้อาจจะไม่มคี วามหมาย หรืออาจจะไม่จริงในโลกของความเปนจริ
(iii) ตั วอย่างการใช้ disjunctive syllogism
เหตุ 1. n เปนจำนวนคู ็ ห่ รือจำนวนคี่
2. n ไม่ใช่จำนวนคู่
ดั งนั้ น ....................................................................
(iv) ตั วอย่างการใช้ universal instantiation
เหตุ 1. สั ตว์ทกุ ตั วต้องตาย
2. เจ้ามอมเปนสั ็ ตว์
ดั งนั้ น ....................................................................
(v) ตั วอย่างการใช้ existential generalization
เหตุ 1. โสภารั ตน์ไม่เห็นแก่ตัว
2. โสภารั ตน์เปนคน ็
ดั งนั้ น ....................................................................
2.5 การอ้างเหตุผลและการพิสจู น์ 23
การพิสจู น์
็
ให้ H เปนเซตของประพจน์ หรือ H = ∅ การพิสจู น์ข้อความ p จาก H คือลำดั บจำกั ด
p1 , p 2 , p 3 , . . . , p n
(2) 2 | a (ข้อสมมติ)
็
ในส่วนทีเ่ หลือของเอกสารฉบั บนี้ เราจะเขียนการพิสจู น์แบบไม่เปนทางการ อนึง่ สั งเกตว่าในตั วอย่าง
ข้างต้น ข้อความ
ให้ a ∈ Z ถ้า 2 | a แล้ว 2 | a2
มีความหมายเช่นเดียวกั นกั บข้อความ
สำหรั บทุก a ∈ Z ถ้า 2 | a แล้ว 2 | a2
ซึง่ ตามข้อตกลงเกีย่ วกั บ ∀ และประพจน์มเี งือ่ นไข จะได้วา่ ข้อความดั งกล่าวยั งมีความหมายเดียวกั นกั บข้อความ
ถ้า a ∈ Z แล้ว ถ้า 2 | a แล้ว 2 | a2
2.5 การอ้างเหตุผลและการพิสจู น์ 25
ึ ดบทที่ 2
แบบฝกหั
2. กำหนดประโยคเปดิ
P (n) : n ็
เปนจำนวนเต็
มบวก และ Q(n) : n4 − 2n2 − 3 ็
เปนจำนวนเฉพาะ
็ ง
โดยทีเ่ อกภพสั มพั ทธ์คอื Z จงหาเซตของค่า n ทั้ งหมดทีท่ ำให้ทที่ ำให้ประโยคต่อไปนี้เปนจริ
(a) ∼ P (n) (d) P (n) → Q(n)
(b) P (n) ∧ Q(n) (e) Q(n) → P (n)
(c) P (n) ∨ Q(n) (f) P (n) ↔ Q(n)
4. ชายสามคนคือ หมำ่ เท่ง และโหน่ง ตกเปนผู ็ ้ต้องสงสั ยในคดีหนึง่ พวกเขาให้การกั บตำรวจดั งนี้
หมำ่ : ถ้าเท่งผิด โหน่งก็ผดิ ด้วย
็ ด โหน่งไม่ผดิ
เท่ง: หมำ่ เปนคนผิ
โหน่ง: ผมไม่ผดิ แต่อกี สองคนทีเ่ หลือต้องมีอย่างน้อยหนึง่ คนผิดแน่ ๆ
(i) จงเขียนคำให้การของแต่ละคนในรูปแบบของประพจน์ โดยใช้ตัวเชือ่ มทางตรรกศาสตร์ พร้อมทั้ งเขียน
ตารางค่าความจริงสำหรั บคำให้การของทั้ งสามคน
26 ตรรกศาสตร์
5. สำหรั บแต่ละสั ญลั กษณ์ s เรานิยาม น้ำหนั ก (weight) ของ s ซึง่ เขียนแทนด้วย W (s) ดั งนี้
ถ้า s คือตั วแปรแทนประพจน์ แล้ว W (s) = −1
ถ้า s คือ ( หรือ ) หรือ ∼ แล้ว W (s) = 0
ถ้า s คือ ∧ หรือ ∨ แล้ว W (s) = 1
็ ปแบบของประพจน์ซงึ ่ ประกอบด้วยตั วเชือ่ ม ∼, ∧ หรือ ∨ เท่านั้ น แล้วน้ำหนั กของ
ถ้า p = s1s2 . . . sn เปนรู
p คือ
n '
W (p) = W (si )
i=1
8. ็ งหรือไม่ เพราะเหตุใด
จงพิจารณาว่าการสมมูลระหว่างรูปแบบของประพจน์ตอ่ ไปนี้เปนจริ
(a) (p → q) → r ≡ p → (q → r)
(b) p → (q → r) ≡ (p ∧ q) → r
(c) (p ∨ q) → r ≡ (p → r) ∧ (q → r)
(d) (p ∧ q) → r ≡ (p → r) ∨ (q → r)
(e) ∼ (p ↔ q) ≡ ∼ p ↔ q ≡ p ↔∼ q
(b)
n
็
∀n ∈ N, 22 + 1 เปนจำนวนเฉพาะ
(c) ∃ x ∈ R, (x < 0) ∧ (x3 + x2 + x + 3 = 0)
(d) ∀x ∈ Z, ∃ y ∈ Z, x หาร y ลงตั ว
(e) ∃ x ∈ Z, ∀ y ∈ Z, x หาร y ลงตั ว
(f) ∃ x ∈ R, ∀ y ∈ R, xy = y
(g) ∀ x ∈ R, ∃ y ∈ R, xy = 1
11. ให้ เอกภพสั มพั ทธ์คอื U = {1, 2, 3} จงยกตั วอย่างของประโยคเปดิ P (n), Q(n) และ R(n) ซึง่ สอดคล้อง
กั บเงือ่ นไขทั้ งหมดต่อไปนี้
(1) ิ นจริ
แต่ละประโยคเปดเป ็ งสำหรั บค่า n ∈ U เพียงสองค่าเท่านั้ น
(2) ็ ง
(P (1) → (Q(1)) ∧ (Q(2) → R(2)) ∧ (R(3) → P (3)) เปนจริ
(3) (Q(1) → (P (1)) ∨ (R(2) → Q(2)) ∨ (P (3) → R(3)) เปนเท็็ จ
28 ตรรกศาสตร์
่ ้ จี ะต้องมีคา่ ของ a, b, c
(สั งเกตว่าในทีน อย่างน้อยสองค่าทีเ่ ท่ากั น)
13. ให้ A = {1, 2, 3, 4, 5, 6}, B = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} และกำหนดประโยคเปดิ
P (x) : 7x + 4 ็ ,่
เปนจำนวนคี Q(y) : 5y + 9 ็
เปนจำนวนคี ่
็ จ} จงหา |S|
ให้ S = {(x, y) ∈ A × B : P (x) → Q(y) เปนเท็
14. จงตรวจสอบว่ารูปแบบการอ้างเหตุผลต่อไปนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะเหตุใด
(i) เหตุ: ∼ p, ∼ q ผล: ∼ (p ∨ q)
(ii) เหตุ: p → q, r → q ผล: (p ∨ r) → q
(iii) เหตุ: (p ∧ q) ∨ r, ∼ q ผล: r
(iv) เหตุ: p ∨ r, r → q, ∼ q ผล: p
(v) เหตุ: p ∨ ∼ q, ∼ p → r, ∼r ผล: q
15. สำหรั บประพจน์ p และ q ใดๆ นิยาม p ↓ q (อ่านว่า p nor q) โดยให้
p ↓ q = ∼ p∧ ∼ q
16. ็
ให้ C เปนเซตของตั ็
วเชือ่ มทางตรรกศาสตร์ เรากล่าวว่า C เปนเซตที ่ adequate ถ้ารูปแบบของประพจน์
็
ทุกรูปแบบสมมูลกั บรูปแบบของประพจน์ทใี่ ช้เพียงตั วเชือ่ มจากเซต C เท่านั้ น เช่น C = {∼, ∧} เปนเซตที ่
adequate เนือ่ งจาก
p ∨ q ≡∼ (∼ p∧ ∼ q), p → q ≡ ∼ (p∧ ∼ q)
และ p ↔ q ≡ (∼ (p∧ ∼ q)) ∧ (∼ (q∧ ∼ p))
็
จงพิจารณาว่าเซตต่อไปนี้เปนเซตที ่ adequate หรือไม่ เพราะเหตุใด
(a) C = {∼, ∨}
2.5 การอ้างเหตุผลและการพิสจู น์ 29
(b) C = {∧, →}
(c) C = {∼, →}
(d) C = {|}
(e) C = {↓}
อยูใ่ นรูป FDNF โดยที่ n = 3, m = 2, q11 = p1, q12 =∼ p2, q13 =∼ p3, q21 =∼ p1,
q22 = p2 และ q23 = p3 (n คือจำนวนตั วแปร, m คือจำนวนวงเล็บ)
็ ปแบบของประพจน์ใด ๆ เรานิยาม ความส ูง (height) ของ p ให้ คอื จำนวนเต็ม บวกทีน่ ้อยทีส่ ดุ
ให้ p เปนรู
ซึง่ p ∈ Pn จงหาความสูงของรูปแบบของประพจน์ตอ่ ไปนี้
(i) p ∨ q
(ii) p ∧ (q ∨ r)
(iii) ∼ p ↔ (q → (r∨ ∼ s))
19. ็
ให้ n เปนจำนวนเต็ มบวกใด ๆ จงหาว่า ถ้าจั ดกลุม่ ของประพจน์ทั้งหมดทีป่ ระกอบด้วยตั วแปร p1, p2, . . . , pn
็ ม่ ย่อย ๆ โดยให้ รปู แบบของประพจน์ทสี่ มมูลกั นอยูใ่ นกลุม่ เดียวกั น และรูปแบบของประพจน์ท ี่
ออกเปนกลุ
ไม่สมมูลกั นอยูต่ า่ งกลุม่ กั น แล้วจะได้กลุม่ ของรูปแบบของประพจน์ทั้งหมดกีก่ ลุม่ (ตอบในรูปของ n)
20. ็ ง
ให้ P คือเซตของประพจน์ นิยามฟงั ก์ชัน f : P → {0, 1} โดยให้ f (p) = 1 เมือ่ p มีคา่ ความจริงเปนจริ
็ จ จงเขียน
และให้ f (p) = 0 เมือ่ p มีคา่ ความจริงเปนเท็
f (∼ p), f (p ∧ q), f (p ∨ q), f (p → q) และ f (p ↔ q)
ในครึง่ หลั งของบทนี้ จะกล่าวถึงตั วอย่างการพิสจู น์สมบั ตพิ ้ นื ฐานทีส่ ำคั ญในระบบจำนวนจริง รวมทั้ งการ
พิสจู น์เกีย่ วกั บเซต
31
32 การพิสจู น์โดยตรง และการพิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่
็
สำหรั บการพิสจู น์โดยตรง ทำได้ โดยให้ x เปนสมาชิ ็ ง แล้วจึง
กใด ๆ ใน U และสมมติวา่ P (x) เปนจริ
แสดงให้ได้ Q(x) ดั งนี้
สมมติ P (x)
จะได้
...
Q(x)
สมมติ ∼ Q(x)
จะได้
...
∼ P (x)
็
ตั วอย่างที่ 4 ให้ n ∈ Z จงแสดงว่าถ้า n2 + 1 เปนจำนวนคู ็
่ แล้ว n เปนจำนวนคี ่
็
ตั วอย่างที่ 5 ให้ n ∈ Z จงพิสจู น์วา่ ถ้า n2 + 1 เปนจำนวนคู ็
่ แล้ว 2n2 + 3n เปนจำนวนคี ่
3.3 การพิสจู น์ข้อความ P ↔Q 35
็
ตั วอย่างที่ 6 ให้ x และ y เปนจำนวนเต็
ม จงพิสจู น์วา่
็
ถ้า xy เปนจำนวนคู ่ แล้ว x ็
เปนจำนวนคู ็
่ หรือ y เปนจำนวนคู ่
็
ตั วอย่างที่ 7 ให้ n ∈ Z จงแสดงว่า n2 + 1 เปนจำนวนคู ็
่ ก็ตอ่ เมือ่ n เปนจำนวนคี ่
36 การพิสจู น์โดยตรง และการพิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่
ตั วอย่างที่ 8 ให้ x, y ∈ R จงพิสจู น์วา่ x2 + y2 = 2xy ก็ตอ่ เมือ่ x = y
็
สงิ่ หนึง่ ทีส่ ำคั ญในการพิสจู น์โดยแจงกรณีคอื ต้องพิจารณากรณีทเี่ ปนไปได้ ทั้งหมดให้ ครบถ้วน โดยไม่ม ี
กรณีใดขาดหายไป
3.4 การพิสจู น์โดยแจงกรณี 37
สมมติ P
จะได้ P1 ∨ P2 ∨ · · · ∨ Pn
กรณีท ี่ 1 : P1
จะได้
...
Q
กรณีท ี่ 2 : P2
จะได้
...
Q
...
กรณีท ี่ n : Pn
จะได้
...
Q
็
ตั วอย่างที่ 9 จงพิสจู น์วา่ ถ้า n เปนจำนวนเต็ ็
ม แล้ว n2 + n เปนจำนวนคู ่
38 การพิสจู น์โดยตรง และการพิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่
็
ตั วอย่างที่ 10 ให้ x และ y เปนจำนวนเต็
ม จงพิสจู น์วา่
x และ y มีภาวะคูห่ รือคีเ่ หมือนกั น ก็ตอ่ เมือ่ x+y ็
เปนจำนวนคู ่
11 ≡ −4 ( mod 5)
−10 ≡ −3 ( mod 7)
55 %≡ 23 ( mod 12)
(3) ให้ a ≡ b (mod n) และ b ≡ c (mod n) จะได้ วา่ n|(a − b) และ n|(b − c) นั น่ คือ a − b = nx และ
b − c = ny สำหรั บบางจำนวนเต็ม x, y ดั งนั้ น
a − c = (a − b) + (b − c) = nx + ny = n(x + y)
(a + c) − (b + d) = (a − b) + (c − d) = nx + ny = n(x + y)
เนือ่ งจาก k(ak−1 + ak−2b + · · · + abk−2 + bk−1) ∈ Z จึงได้วา่ n|(ak − bk ) ดั งนั้ น ak ≡ bk (mod n) "
3.5 ตั วอย่างการพิสจู น์ในระบบจำนวนจริง 41
มี 0 ∈ R ซึง่ ∀x ∈ R, x + 0 = 0 + x = x และ
มี 1 ∈ R ซึง่ ∀x ∈ R, x · 1 = 1 · x = x
5. สมบั ตกิ ารมีอนิ เวอร์สของการบวกและการคูณ
∀x ∈ R, ∃ y ∈ R, x + y = y + x = 0 และ ∀x ∈ R∗, ∃ y ∈ R, xy = yx = 1
ในทีน่ ้ ี R∗ = R − {0}
6. สมบั ตกิ ารแจกแจง
∀x, y, z ∈ R, x(y + z) = xy + xz และ (x + y)z = xz + yz
หมายเหตุ
• เรียกระบบจำนวนทีม ่ สี มบั ต ติ ามข้อ 1-6 ว่าฟ ลี ด์ (field) ซึง่ เปนโครงสร้
็ างเชิง พีชคณิต (algebraic
structure) อย่างหนึง่ ในวิชาพีชคณิต นามธรรม ดั ง นั้ น (R, +, ·) เปนฟ ็ ลี ด์ นอกจากนี้ จะเห็น ว่า
เซตของจำนวนตรรกยะและเซตของจำนวนเชิงซ้อนต่างมีสมบั ต สิ อดคล้องกั บ สั จพจน์ข้างต้น ดั ง นั้ น
(Q, +, ·) และ (C, +, ·) เปนฟ ็ ลด์ี เช่นกั น
3.5 ตั วอย่างการพิสจู น์ในระบบจำนวนจริง 43
• ในสั จพจน์ข้อ 4 เรียก 0 ว่า เอกลั กษณ์ การบวก (additive identity) และเรียก 1 ว่า เอกลั กษณ์ การ
คณู (multiplicative identity)
• ในสั จพจน์ข้อ 5 เรียก y ซึง่ x + y = y + x = 0 ว่า อินเวอร์ สการบวก (additive inverse) ของ x
และเมือ่ x %= 0 เรียก y ซึง่ xy = yx = 1 ว่า อินเวอร์ สการคณู (multiplicative inverse) ของ x
• ในระบบจำนวนจริง ยั งมีความจริงเกีย่ วกั บการบวกและการคูณ ซึง่ อาจถือเปนสั ็ จพจน์เพิม่ เติมทีน่ ำ
มาใช้ได้โดยไม่ต้องพิสจู น์ ได้แก่ สมบั ตกิ ารบวกและการคูณด้วยจำนวนทีเ่ ท่ากั น กล่าวคือ
∀x, y, z ∈ R ถ้า x = y แล้ว x + z = y + z และ xz = yz
็
ทฤษฎีบท 4 ให้ a, b และ c เปนจำนวนจริ
ง จะได้วา่
(1) ถ้า a + b = 0 และ a + c = 0 แล้ว b = c
(2) ถ้า ab = 1 และ ac = 1 แล้ว b = c
็
พิสจู น์ ข้อ (1) ให้ผ้อู า่ นพิสจู น์เปนแบบฝ ึ ด ในทีน่ ้ จี ะพิสจู น์ข้อ (2)
กหั
สมมติวา่ a, b, c ∈ R โดยที่ ab = 1 และ ac = 1 จะได้วา่
b=b·1 จากสั จพจน์ข้อ 4
= b(ac) จาก ac = 1
= (ba)c จากสั จพจน์ข้อ 3
44 การพิสจู น์โดยตรง และการพิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่
= (ab)c จากสั จพจน์ข้อ 2
=1·c จาก ab = 1
=c จากสั จพจน์ข้อ 4
ดั งนั้ น b = c "
็ นเวอร์สการบวกของ a + b
ดั งนั้ น (a + b) + ((−a) + (−b)) = 0 แสดงว่า (−a) + (−b) เปนอิ
นั น่ คือ −(a + b) = (−a) + (−b)
3.5 ตั วอย่างการพิสจู น์ในระบบจำนวนจริง 45
็ นเวอร์สการคูณของ ab
ดั งนั้ น (ab)(a−1b−1) = 1 จึงได้วา่ a−1b−1 เปนอิ
นั น่ คือ (ab)−1 = a−1b−1 "
(2) a(−1) = −a
็
ทฤษฎีบท 7 ให้ a และ b เปนจำนวนจริ
ง จะได้วา่
a(−b) = −(ab) และ (−a)b = −(ab)
็
ทฤษฎีบท 9 ให้ a และ b เปนจำนวนจริ
ง ถ้า ab = 0 แล้ว a = 0 หรือ b = 0
พิสจู น์ สมมติวา่ ab = 0 จะแสดงว่า a = 0 หรือ b = 0
เนือ่ งจากข้อความ “a = 0 หรือ b = 0” สมมูลกั บข้อความ “ถ้า a %= 0 แล้ว b = 0” เราจะแสดงว่า ถ้า a %= 0
แล้ว b = 0
สมมติวา่ a %= 0 จาก ab = 0 นำ a−1 คูณทางซ้ายทั้ งสองข้าง จะได้
a−1 (ab) = a−1 · 0
(a−1 a)b = 0 (จากทฤษฎีบท 6 (1))
1·b=0
b=0
การลบและการหาร
ทีผ่ า่ นมา ในทฤษฎีบท 3-9 การดำเนินการระหว่างจำนวนจริงทีเ่ ราพิจารณามีเพียงการบวกและการคูณ
สั งเกตว่าในทีน่ ้ ี −a คือสั ญลั กษณ์แทนอินเวอร์สการบวกของ a เท่านั้ น โดยเรายั งไม่ได้กล่าวถึงการลบและการ
หาร ซึง่ การดำเนินการทั้ งสองแบบนี้ สามารถนิยามได้จากการบวกและอินเวอร์สการบวก รวมทั้ งการคูณและอิน
เวอร์สการคูณ ดั งนี้
็
บทนิยาม ให้ a และ b เปนจำนวนจริ
ง
• ผลต่ าง (difference) หรือผลลบ a − b นิยามโดย
a − b = a + (−b)
็
ตั วอย่างที่ 13 ให้ a, b, c และ d เปนจำนวนจริ
ง โดยที่ b %= 0 และ d %= 0 จงแสดงว่า
a
b ad
c =
cb
d
สั จพจน์เชงิ อั นดั บ
1. ∀x, y ∈ R, ถ้า x > 0 และ y > 0 แล้ว x + y > 0
2. ∀x, y ∈ R, ถ้า x > 0 และ y > 0 แล้ว xy > 0
3. สมบั ตไิ ตรวิภาค (Trichotomy property)
∀x ∈ R, x > 0 หรือ x = 0 หรือ x < 0 อย่างใดอย่างหนึง่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้ น
ข้อสั งเกต
(1) จากสมบั ตไิ ตรวิภาค เราได้วา่ สำหรั บจำนวนจริง a, b ใด ๆ เนือ่ งจาก a − b ∈ R จึงได้วา่
นั น่ คือ ∀a, b ∈ R,
a > b หรือ a = b หรือ a < b อย่างใดอย่างหนึง่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้ น (&)
็ ง แล้วเมือ่ แทน a
ดั งนั้ น สมบั ตไิ ตรวิภาคส่งผลให้ ได้ ข้อความ (&) ในทางกลั บกั น ถ้าข้อความ (&) เปนจริ
ด้วย x และแทน b ด้วย 0 จะได้สมบั ตไิ ตรวิภาคในสั จพจน์ข้อ 3 แสดงว่า ข้อความข้างต้นสมมูลกั บสมบั ต ิ
ไตรวิภาค ในตำราบางเล่มจึงกล่าวถึงสมบั ตไิ ตรวิภาคในรูปข้อความ (&)
3.5 ตั วอย่างการพิสจู น์ในระบบจำนวนจริง 49
(ให้ ผ้ อ
ู า่ นอธิบายด้วยตนเองว่าเพราะเหตุใด) ซึง่ ในบางกรณี จะใช้ ข้อความ (&&) เพือ่ แสดงว่าจำนวนจริง
สองจำนวนมีคา่ เท่ากั น
็
ทฤษฎีบท 10 ให้ a เปนจำนวนจริ
ง จะได้วา่
(1) ถ้า a > 0 แล้ว −a < 0
พิสจู น์
(1) ให้ a > 0 จะแสดงว่า −a < 0 นั น่ คือจะแสดงว่า 0 > −a จากบทนิยาม เราจึงต้องแสดงว่า 0 − (−a) > 0
เนือ่ งจาก
0 − (−a) = 0 + (−(−a)) = 0 + a = a
ดั งนั้ น 0 − (−a) = a และเนือ่ งจาก a > 0 จึงได้วา่ 0 − (−a) > 0 จึงสรุปได้วา่ 0 > −a นั น่ คือ −a < 0
(2) ็
ให้ผ้อู า่ นพิสจู น์เปนแบบฝ ึ ด
กหั "
็
ทฤษฎีบทต่อไปนี้เปนกฎพื
้ นฐานทีเ่ ราใช้ในการแก้อสมการอยูเ่ สมอ
็
ทฤษฎีบท 11 ให้ a, b และ c เปนจำนวนจริ
ง จะได้วา่
(1) ถ้า a > b และ b > c แล้ว a > c (กฎการถ่ายทอด)
พิสจู น์
(1) สมมติวา่ a > b และ b > c จากบทนิยามจะได้วา่ a − b > 0 และ b − c > 0 โดยสั จพจน์เชิงอั นดั บ ข้อ 1
็
เราจะได้วา่ (a − b) + (b − c) > 0 เนือ่ งจาก (a − b) + (b − c) = a − c (ให้ผ้อู า่ นแสดงเปนแบบฝ ึ ด)
กหั
จึงได้วา่ a − c > 0 นั น่ คือ a > c
(2) ็
ให้ a > b จากบทนิยามจะได้วา่ a − b > 0 เนือ่ งจาก a − b = (a + c) − (b + c) (ให้ผ้อู า่ นแสดงเปนแบบ
ึ ด) จึงได้วา่ (a + c) − (b + c) > 0 ดั งนั้ น โดยบทนิยาม เราได้วา่ a + c > b + c
ฝกหั
(3) ็
เราจะพิสจู น์ (3.1) สำหรั บ (3.2) ให้ผ้อู า่ นทำเปนแบบฝ ึ ด
กหั
สมมติวา่ a > b และ c > 0 จาก a > b จะได้วา่ a − b > 0 ดั งนั้ น จากสั จพจน์เชิงอั นดั บ ข้อ 2 เราได้วา่
(a − b)c > 0 และเนือ่ งจาก
ดั งนั้ น (a − b)c = ac − bc จาก (a − b)c > 0 จึงได้วา่ ac − bc > 0 นั น่ คือ ac > bc "
50 การพิสจู น์โดยตรง และการพิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่
็ ง หากเปลีย่ นเครือ่ งหมาย > เปน็ <, ≥ หรือ ≤
หมายเหตุ เราสามารถแสดงได้วา่ ทฤษฎีบท 11 ทุกข้อยั งเปนจริ
ทฤษฎีบท 12 สำหรั บจำนวนจริง a ใด ๆ a2 ≥ 0
็ ็
งใด ๆ จากสมบั ตไิ ตรวิภาค จะมีความเปนไปได้
พิสจู น์ ให้ a เปนจำนวนจริ 3 กรณี ดั งนี้
จึงได้วา่ a2 > 0
เนือ่ งจาก a2 ≥ 0 ในทุกกรณี จึงสรุปได้วา่ a2 ≥ 0 สำหรั บทุกจำนวนจริง a "
กรณีท ี่ 1 : a=0 ็ ง
และ b = 0 จะได้ a ≤ b เนือ่ งจาก 0 ≤ 0 เปนจริ
3.5 ตั วอย่างการพิสจู น์ในระบบจำนวนจริง 51
ึ ดท้ายบท
หมายเหตุ: ในกรณีท ี่ 2 เราใช้ ข้อเท็จจริงทีว่ า่ ถ้า a + b > 0 แล้ว (a + b)−1 > 0 (ดูแบบฝกหั
ข้อ 10 (7))
(⇐) สมมติวา่ a ≥ b จะได้ a − b ≥ 0 เนือ่ งจาก a + b ≥ 0 เมือ่ นำ a + b คูณตลอดอสมการ จะได้ a2 − b2 ≥ 0
ดั งนั้ น a2 ≥ b2 "
ค่าสั มบรู ณ์
บทนิยาม สำหรั บแต่ละ x ∈ R ค่ าสั มบ ูรณ์ (absolute value) ของ x เขียนแทนด้วย |x| โดยที่
(
|x| =
x, เมือ่ x ≥ 0
−x, เมือ่ x < 0
็
ทฤษฎีบท 13 ให้ x, y และ z เปนจำนวนจริ
งใด ๆ จะได้วา่
(1) |x| ≥ 0 และ |x| ≥ x
(2) |xy| = |x||y|
็
พิสจู น์ ข้อ (1)-(4) สามารถพิสจู น์ได้ งา่ ยโดยการแจงกรณี (ให้ ผ้ อู า่ นทำเปนแบบฝ ึ ด) ในทีน่ ้ เี ราจะพิสจู น์
กหั
อสมการอิงรูปสามเหลีย่ ม สั งเกตว่า
|x + y|2 = (x + y)2 จากข้อ (3)
= x2 + 2xy + y 2
= |x|2 + 2xy + |y|2 จากข้อ (3)
≤ |x|2 + 2|xy| + |y|2 เนือ่ งจาก xy ≤ |xy| จากข้อ (1)
≤ |x|2 + 2|x||y| + |y|2 เนือ่ งจาก |xy| = |x||y| จากข้อ (2)
= (|x| + |y|)2
ดั งนั้ น |x+y|2 ≤ (|x|+|y|)2 เนือ่ งจาก |x+y| ≥ 0 และ |x|+|y| ≥ 0 จากบทตั้ ง 1 จึงได้วา่ |x+y| ≤ |x|+|y|
"
52 การพิสจู น์โดยตรง และการพิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่
็ จะได้วา่
ทฤษฎีบท 14 ให้ A และ B เปนเซต
(1) ∅ ⊂ A
(2) A ⊂ A
(3) A ⊂ A ∪ B
(4) A ∩ B ⊂ A
หมายเหตุ ในกรณีทัว่ ไป P(A ∪ B) อาจไม่เปนสั ็ บเซตของ P(A) ∪ P(B) ตั วอย่างเช่น ถ้า A = {1}, B = {2}
จะได้ A ∪ B = {1, 2} ซึง่ จะเห็นว่า {1, 2} ∈ P(A ∪ B) แต่ {1, 2} ∈/ P(A) ∪ P(B) ดั งนั้ น
P(A ∪ B) %⊂ P(A) ∪ P(B)
็
ทฤษฎีบทต่อไปนี้เปนกฎพื ็ างดี
้ นฐานเกีย่ วกั บการเท่ากั นของเซต ซึง่ นั กเรียนควรทราบเปนอย่
็ และ U คือเอกภพสั มพั ทธ์ จะได้วา่
ทฤษฎีบท 15 ให้ A, B, C เปนเซต
(1) A = A ∪ A และ A = A ∩ A
(2) A ∪ U = U และ A ∩ U = A
(3) A ∪ ∅ = A และ A ∩ ∅ = ∅
(4) A ∪ Ac = U และ A ∩ Ac = ∅
(5) (Ac )c = A
(7) (A ∪ B) ∪ C = A ∪ (B ∪ C)
(A ∩ B) ∩ C = A ∩ (B ∩ C) (กฎการเปลีย่ นหมู)่
(8) A ∪ (B ∩ C) = (A ∪ B) ∩ (A ∪ C)
A ∩ (B ∪ C) = (A ∩ B) ∪ (A ∩ C) (กฎการแจกแจง)
(10) A − B = A ∩ B c
3.6 ตั วอย่างการพิสจู น์เกีย่ วกั บเซต 55
็
พิสจู น์ จะพิสจู น์ข้อ (5) และข้อความแรกในข้อ (8) สำหรั บข้อทีเ่ หลือให้ผ้อู า่ นทำเปนแบบฝ ึ ด
กหั
(5) จะเห็นได้งา่ ยว่า x∈
/A ก็ตอ่ เมือ่ x ∈ Ac จึงได้วา่ x ∈ A ก็ตอ่ เมือ่ x ∈/ Ac ดั งนั้ น
(Ac )c = {x ∈ U | x ∈
/ Ac }
= {x ∈ U | x ∈ A}
=A
นั น่ คือ (Ac)c = A
(8 (ข้อความแรก)) พิจารณา
A ∪ (B ∩ C) = {x ∈ U | x ∈ A หรือ x ∈ B ∩ C}
= {x ∈ U | x ∈ A หรือ (x ∈ B และ x ∈ B)}
= {x ∈ U | (x ∈ A หรือ x ∈ B) และ (x ∈ A หรือ x ∈ C)}
= {x ∈ U | (x ∈ A ∪ B) และ (x ∈ A ∪ C)}
= (A ∪ B) ∩ (A ∪ C)
ดั งนั้ น A ∪ (B ∩ C) = (A ∪ B) ∩ (A ∪ C) "
็ จงแสดงว่า
ตั วอย่างที่ 19 ให้ A, B, C เปนเซต
(A ∪ B) − (A ∩ B) = (A − B) ∪ (B − A)
พิสจู น์
็
ทฤษฎีบท 16 ให้ A และ B เปนเซตใด ๆ จะได้วา่ ข้อความต่อไปนี้สมมูลกั น
(1) A ⊂ B
(2) A ∩ B = A
(3) A ∪ B = B
(4) A − B = ∅
(5) B c ⊂ Ac
หมายเหตุ ในทีน่ ้ ี คำกล่าวทีว่ า่ “ข้อความต่อไปนี้สมมูลกั น” (the following are equivalent: TFAE) หมาย
ถึง ข้อความ (1)-(5) สองข้อความใด ๆ สมมูลซึง่ กั นและกั น นั น่ คือ
(1) ⇔ (2) ⇔ (3) ⇔ (4) ⇔ (5)
ซึง่ ในการพิสจู น์ เราอาจพิสจู น์ (1) ⇒ (2) และ (2) ⇒ (3) และ (3) ⇒ (4) และ (4) ⇒ (5) และ (5) ⇒ (1)
หรือพิสจู น์การสมมูลระหว่างข้อความ 5 คูอ่ นื่ ๆ ก็ได้ เพือ่ ให้ได้วา่ ข้อความทั้ งหมดสมมูลกั น
พิสจู น์
(1) ⇒ (2) : สมมติวา่ A ⊂ B
จะแสดงว่า A ∩ B = A โดยแสดงว่า A ∩ B ⊂ A และ A ⊂ A ∩ B
3.6 ตั วอย่างการพิสจู น์เกีย่ วกั บเซต 57
(⊂) ให้ x ∈ A ∩ B จะได้วา่ x ∈ A และ x ∈ B
โดยหลั กการอ้างเหตุผลทีส่ มเหตุสมผล (p ∧ q 1 p) สรุปได้วา่ x ∈ A
(หรือเราสามารถอ้างทฤษฎีบท 14 ข้อ (4) ได้เลยว่า A ∩ B ⊂ A)
(⊃) ให้ x ∈ A จากข้อสมมติ A ⊂ B จะได้วา่ x ∈ B
ดั งนั้ น x ∈ A และ x ∈ B จึงสรุปได้วา่ x ∈ A ∩ B
(2) ⇒ (3) : สมมติวา่ A ∩ B = A
จะแสดงว่า A ∪ B = B โดยแสดงว่า A ∪ B ⊂ B และ B ⊂ A ∪ B
(⊂) ให้ x ∈ A ∪ B จะได้วา่ x ∈ A หรือ x ∈ B
กรณีท ี่ 1 : x ∈ A จากข้อสมมติ A ∩ B = A จะได้วา่ x ∈ A ∩ B
ดั งนั้ น x ∈ B
กรณีท ี่ 2 : x ∈ B เราได้โดยอั ตโนมั ตวิ า่ x ∈ B
(⊃) ให้ x ∈ B โดยหลั กการอ้างเหตุผลทีส่ มเหตุสมผล (p 1 p ∨ q)
สรุปได้วา่ x ∈ A หรือ x ∈ B ดั งนั้ น x ∈ A ∪ B
(หรือเราสามารถอ้างทฤษฎีบท 14 ข้อ (3) ได้เลยว่า B ⊂ A ∪ B)
ดั งนั้ น A − B = ∅
(4) ⇒ (5) : จะแสดงว่า ถ้า A − B = ∅ แล้ว B c ⊂ Ac โดยจะพิสจู น์แบบแย้งสลั บที่
นั น่ คือ จะแสดงว่า ถ้า B c %⊂ Ac แล้ว A − B %= ∅
สมมติวา่ B c %⊂ Ac ดั งนั้ น มี x ∈ B c ซึง่ x ∈/ Ac
นั น่ คือ มี x ∈/ B ซึง่ x ∈ A ทำให้ได้วา่ มี x ∈ A − B ดั งนั้ น A − B %= ∅
(5) ⇒ (1) : สมมติวา่ B c ⊂ Ac จะแสดงว่า A ⊂ B
ให้ x ∈ A จะได้วา่ x ∈/ Ac
จาก B c ⊂ Ac เราได้วา่ ถ้า x ∈/ Ac แล้ว x ∈/ B c
จาก x ∈/ Ac จึงได้วา่ x ∈/ B c ดั งนั้ น x ∈ B "
58 การพิสจู น์โดยตรง และการพิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่
็
ทฤษฎีบท 17 ให้ A, B และ C เปนเซตใด ๆ จะได้วา่
(1) A × (B ∪ C) = (A × B) ∪ (A × C)
(2) A × (B ∩ C) = (A × B) ∩ (A × C)
(3) A × (B − C) = (A × B) − (A × C)
พิสจู น์
(1) เนือ่ งจาก
A × (B ∪ C) = {(x, y) | x ∈ A และ y ∈ B ∪ C}
= {(x, y) | x ∈ A และ (y ∈ B หรือ y ∈ C)}
= {(x, y) | (x ∈ A และ y ∈ B) หรือ (x ∈ A และ y ∈ C)}
= {(x, y) | (x, y) ∈ A × B หรือ (x, y) ∈ A × C}
= (A × B) ∪ (A × C)
ดั งนั้ น A × (B ∪ C) = (A × B) ∪ (A × C)
(2) ็
ให้ผ้อู า่ นทำเปนแบบฝ ึ ด
กหั
(3) เราจะแสดงว่า
A × (B − C) ⊂ (A × B) − (A × C) และ (A × B) − (A × C) ⊂ A × (B − C)
4. ็
ให้ a, b, c เปนจำนวนเต็ ็
ม จงพิสจู น์วา่ |a − b| + |b − c| + |c − a| เปนจำนวนคู ่
5. ็
ให้ d1d2 . . . dn เปนจำนวนในระบบตั ็
วเลขฐาน 10 โดยที่ d1, d2, . . . , dn เปนเลขโดด
จงแสดงว่า d1d2 . . . dn ≡ 0 (mod 3) ก็ตอ่ เมือ่ d1 + d2 + · · · + dn ≡ 0 (mod 3)
6. ็
จงพิสจู น์วา่ ถ้า a เปนจำนวนเต็
มใด ๆ แล้ว a3 ≡ a (mod 3)
7. ็
จงพิสจู น์วา่ ถ้า n เปนจำนวนเต็
ม แล้ว 6|(n3 + 5n)
8. ็ ม โดยที่ a2 | a จงแสดงว่า a = ±1
ให้ a เปนจำนวนเต็
60 การพิสจู น์โดยตรง และการพิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่
9. ็
ให้ a และ b เปนจำนวนเต็
มใด ๆ จงแสดงว่า (a + b)3 ≡ a3 + b3 (mod 3)
10. ็
ให้ a, b, c และ d เปนจำนวนจริง จงพิสจู น์ข้อความต่อไปนี้โดยใช้ สัจพจน์ บทนิยาม หรือทฤษฎีบทเกีย่ วกั บ
ระบบจำนวนจริงทีก่ ล่าวถึงในบทนี้
(1) a − (−b) = a + b
(2) −(a − b) = b − a
(3) (−a)(−b) = ab
(4) (a − b)(−c) = bc − ac
19. ให้ (x1, x2, . . . , xn), (y1, y2, . . . , yn) ∈ Rn จงพิสจู น์วา่
n
* n
+1/2 * n
+1/2
' ' '
xi yi ≤ x2i yi2
i=1 i=1 i=1
% xi yi &
ข้อแนะนำ: ให้ ai = ,n 1/2
และ bi = ,n 1/2
และใช้ตัวอย่าง 14
[ i=1 x2i ] [ i=1 yi2 ]
จงพิสจู น์วา่
(a) A∆B = B∆A
(b) A∆(B∆C) = (A∆B)∆C
(c) A ∩ (B∆C) = (A ∩ B)∆(A ∩ C)
เรียกการพิสจู น์เช่นนี้วา่ การพิสจู น์โดยข้อความขั ดแย้ง (proof by contradiction) ซึง่ ในทีน่ ้ เี ราจะเรียกให้สั้น
ลงว่า “การพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง” นอกจากนี้ ในตำราบางเล่มอาจเรียกว่า “การพิสจู น์โดยหาข้อขั ดแย้ง” ก็ได้
็ งโดยใช้ ข้อขั ดแย้ง เราจะสมมติวา่ R เปนเท็
ดั งนั้ น การพิสจู น์วา่ R เปนจริ ็ จ แล้วแสดงให้ ได้ ข้อความ
S ∧ ∼ S ซึง่ เปนข้็ อความขั ดแย้ง ดั งนี้
สมมติ ∼ R
จะได้
...
S∧∼S
ดั งนั้ น R
65
66 การพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง และการพิสจู น์การมีจริง
ยิง่ ไปกว่านั้ น หากไม่คำนึงถึงการเรียงลำดั บของ p1, p2, . . . , pk แล้ว การเขียน n ให้อยูใ่ นรูป ดั งกล่าวจะสามารถ
ทำได้เพียงแบบเดียว
็
หมายเหตุ ทฤษฎีบท 1 ครอบคลุมถึงกรณีท ี่ n มีตัวประกอบทีเ่ ปนจำนวนเฉพาะเพี ยงตั วเดียวด้วย
เราจะไม่พสิ จู น์ทฤษฎีบท 1 ในทีน่ ้ ี จากทฤษฎีบท 1 เราสามารถสรุปได้ อย่างหนึง่ ว่า จำนวนเต็มทีม่ าก
กว่า 1 จะหารลงตั วด้วยจำนวนเฉพาะบางจำนวนเสมอ ข้อสั งเกตนี้จะส่งผลให้ ได้ ทฤษฎีบท 2 ซึง่ แนวคิดของ
็
การพิสจู น์ทนี่ ำเสนอในทีน่ ้ เี ปนแนวคิ
ดของยุคลิด (Eucild of Alexandria) นั กคณิตศาสตร์ชาวกรีกโบราณ
68 การพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง และการพิสจู น์การมีจริง
็
ทฤษฎีบท 2 มีจำนวนเฉพาะอยูม่ ากมายเปนจำนวนอนั นต์
พิสจู น์ จะพิสจู น์โดยข้อความขั ดแย้ง
สมมติในทางตรงข้ามว่ามีจำนวนเฉพาะอยูจ่ ำนวนจำกั ด โดยให้จำนวนเพาะทั้ งหมดทีม่ อี ยูไ่ ด้แก่
p1 , p 2 , p 3 , . . . , p n
ให้
p = p1 p2 p3 · · · pn + 1
็
จะเห็นได้วา่ p เปนจำนวนเต็ มบวกทีม่ ากกว่า 1 ดั งนั้ นจะมีจำนวนเฉพาะ pi อย่างน้อยหนึง่ จำนวนจาก p1, p2, p3,
. . . , pn ซึง่ pi |p นั น
่ คือ มีจำนวนเต็ม k ซึง่ p = pik ทำให้ได้วา่
p1 p2 p3 · · · pn + 1 = pi k
1 = pi k − p1 p2 p3 · · · pn
1 = pi (k − p1 p2 · · · pi−1 pi+1 · · · pk )
จากสมการสุดท้ายจะได้ วา่ pi | 1 ็
ซึง่ เปนไปไม่ ็
ได้ ดั ง นั้ น จึง สรุป ได้ วา่ มีจำนวนเฉพาะอยูม่ ากมายเปนจำนวน
อนั นต์ "
็ ธกี ารพิสจู น์ทมี่ ั กใช้ ในการแสดงว่า “ไม่ม.ี .....” เช่น ในตั วอย่าง
การพิสจู น์โดยข้อความขั ดแย้ง ยั งเปนวิ
ต่อไปนี้
ตั วอย่างที่ 3 จงพิสจู น์วา่ ไม่มจี ำนวนเต็มบวก n ซึง่ 2n < n2 < 3n
็
ตั วอย่างต่อไปนี้เปนการพิ
สจู น์ข้อความทีอ่ ยูใ่ นรูป “ถ้า...... แล้ว......” โดยข้อขั ดแย้ง พึงสั งเกตว่า ถ้า
R คือข้อความ P → Q การสมมติวา่ ∼ R ก็คอื การสมมติวา่ ∼ (P → Q) ซึง่ ก็คอื P ∧ ∼ Q นั น ่ เอง ทั้ งนี้
เนือ่ งจาก
∼ (P → Q) ≡ ∼ (∼ P ∨ Q) ≡ P ∧ ∼ Q
4.1 การพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง 69
็
ตั วอย่างที่ 4 ให้ x, y ∈ R จงพิสจู น์วา่ ถ้า x เปนจำนวนตรรกยะ ็
และ y เปนจำนวนอตรรกยะ แล้ว x + y เปน็
จำนวนอตรรกยะ
หมายเหตุ ในการพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง อาจทำให้เกิดข้อขั ดแย้งได้มากกว่าหนึง่ วิธ ี เช่น จากตั วอย่างที่ 5 (iii) ข้าง
็
ต้น เมือ่ สมมติให้ n เปนจำนวนคู ็
่ และ 5n+1 เปนจำนวนคู ่ อาจใช้วธิ เี ดียวกั บในข้อ (i) เพือ่ แสดงให้ได้วา่ 5n+1
็
เปนจำนวนคี ็
่ ซึง่ จะทำให้เกิดข้อขั ดแย้งกั บข้อสมมติทวี่ า่ 5n + 1 เปนจำนวนคู ่
ตั วอย่างที่ 6 จงพิสจู น์วา่ ถ้านำของ n ชิ้นไปใส่ในกล่อง k กล่อง โดยที่ n > k แล้วจะมีอย่างน้อยหนึง่ กล่องทีม่ ี
ของอย่างน้อย 2 ชิ้น
4.2 การพิสจู น์การมีจริง 71
สำหรั บการพิสจู น์แบบ non-constructive มั กต้องใช้ สั จพจน์ ทฤษฎีบท หรืออืน่ ๆ เพือ่ ช่วยยืนยั นถึงการ
็ ้ น ฐานของทฤษฎีบทเบื้องต้น หลายทฤษฎีบท
มีจริง ของสงิ่ ทีต่ ้องการ ตั วอย่างสั จพจน์อย่างง่ายข้อ หนึง่ ซึง่ เปนพื
ได้แก่ หลั กการจั ดอั นดั บดีของ N0 โดยที่
N0 = {0, 1, 2, 3, . . . }
บทนิยาม ให้ A ⊂ R
• เรียกจำนวนจริง m ว่า ค่ าต่ำส ุด (minimum) ของ A ก็ตอ่ เมือ่ m ∈ A และ m ≤ a สำหรั บทุก
a∈A
• เรียกจำนวนจริง M ว่า ค่ าส ูงส ุด (maximum) ของ A ก็ตอ่ เมือ่ M ∈A และ M ≥a สำหรั บทุก
a∈A
72 การพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง และการพิสจู น์การมีจริง
สั จพจน์ (หลั กการจั ดอั นดั บดีของ N0 : Well Ordering Principle of N0)
ถ้า A ⊂ N0 โดยที่ A %= ∅ แล้ว A มีคา่ ตำ่ สุด
(A) (B)
ภาพแสดงทฤษฎีบทค่าระหว่างกลาง ภาพแสดงทฤษฎีบทค่าระหว่างกลาง
ตั วอย่างกรณีท ี่ f (a) < m < f (b) ตั วอย่างกรณีท ี่ f (a) < m = 0 < f (b)
็ งั ก์ชันค่าจริงทีต่ อ่ เนือ่ งบนช่วง [a, b] โดยที่ f (a) < 0 < f (b) (ดั งเช่นในรูป (B) ด้าน
ในกรณีท ี่ f เปนฟ
บน) หรือ f (b) < 0 < f (a) จาก IVT (Intermediate Value Theorem) จะได้วา่ มี c ∈ (a, b) ซึง่ f (c) = 0
ซึง่ หลั กการนี้สามารถนำไปใช้ ในการแสดงการมีจริงของผลเฉลยทีเ่ ปนจำนวนจริ ็ งของบางสมการได้ โดยไม่จำ-
เปนต้็ องระบุคา่ ของผลเฉลย ดั งตั วอย่างต่อไปนี้
4.2 การพิสจู น์การมีจริง 73
ซึง่ อาจจะพิสจู น์โดยตรง พิสจู น์โดยข้อความแย้งสลั บที่ หรือพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง แล้วแต่ความ
เหมาะสม
ตั วอย่างที่ 12 จงพิสจู น์วา่ มีจำนวนจริง x เพียงค่าเดียว ซึง่ x3 + x + 1 = 0
74 การพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง และการพิสจู น์การมีจริง
การพิสจู น์ข้อความ ∃ x ∈ U, ∀y ∈ V, P (x, y) และ ∀x ∈ U, ∃y ∈ V, P (x, y)
b = aq + r
สำหรั บบาง q ∈ Z นอกจากนี้ การที่ r ∈ A ทำให้ได้วา่ r ≥ 0 ยิง่ ไปกว่านั้ น เราสามารถแสดง ได้วา่ r < a โดย
ใช้ข้อขั ดแย้งดั งนี้ สมมติในทางตรงข้ามว่า r ≥ a เมือ่ ให้ r% = r − a จาก r = b − aq จะได้วา่
r% = b − aq − a = b − a(q + 1)
็ าตำ่ สุดของ
และเนือ่ งจาก 0 ≤ r% < r (เพราะเหตุใด ?) จึงได้วา่ r% ∈ A โดยที่ r% < r ซึง่ ขั ดแย้งกั บความเปนค่
r ใน A ดั งนั้ นสรุปได้วา่ มีจำนวนเต็ม q, r ซึง่
b = aq + r โดยที่ 0≤r<a
ต่อไปจะแสดงว่า จำนวนเต็ม q, r ซึง่ สอดคล้องกั บเงือ่ นไขดั งกล่าวมีเพียงคูเ่ ดียว โดยให้ q, r สอดคล้อง
็ มอีกคูห่ นึง่ ซึง่
กั บเงือ่ นไขข้างต้น และ q1, r1 เปนจำนวนเต็
b = aq1 + r1 โดยที่ 0 ≤ r1 < a
จะได้ วา่ aq + r = aq1 + r1 ดั งนั้ น a(q − q1) = r1 − r แสดงว่า a | (r1 − r) สมมติวา่ r1 %= r โดยไม่เสยี
นั ยทั ว่ ไป อาจสมมติให้ r1 > r จะได้ วา่ 0 < r1 − r < a ดั งนั้ น a ! (r1 − r) (เพราะเหตุใด ?) ซึง่ ขั ดแย้งกั บ
a | (r1 − r) ดั งนั้ น r1 = r และจาก a(q − q1 ) = r1 − r จะได้วา่ q1 = q เช่นกั น
ดั งนั้ น สรุปได้วา่ มีจำนวนเต็ม q, r เพียงคูเ่ ดียว ซึง่ b = aq + r โดยที่ 0 ≤ r < a ตามทีต่ ้องการ "
็
จำนวนจริงทุกจำนวนทีม่ ากกว่าหรือเท่ากั บ 3 เปนขอบเขตบนของ A
โดยที่ lub(A) = 3
(ii) B = (4, 5)
็
จำนวนจริงทุกจำนวนทีม่ ากกว่าหรือเท่ากั บ 5 เปนขอบเขตบนของ B
โดยที่ lub(B) = 5
(iii) C = [6, ∞)
ดั งนั้ น u = v "
็
ทฤษฎีบทและบทแทรกต่อ ไปนี้เปนผลอย่ ็
างง่ายจากสั จพจน์ความบริบรู ณ์ และยั ง เปนสมบั ต พิ ้ นื ฐานที่
็
สำคั ญซึง่ ต้องใช้เปนประจำในวิ
ชาคณิตวิเคราะห์
ทฤษฎีบท 5 (สมบั ตอิ าร์คมิ เี ดียน : Archimedean Property)
สำหรั บทุกจำนวนจริง x มีจำนวนเต็มบวก n ซึง่ n > x
พิสจู น์ จะพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง
สมมติในทางตรงข้ามว่ามีจำนวนจริง x ซึง่ n ≤ x สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n แสดงว่า x เปนขอบเขต ็
บนของ N ดั งนั้ น จากสั จพจน์ความบริบรู ณ์ จะได้วา่ N มีขอบเขตบนน้อยสุด สมมติวา่ คือ a สั งเกตว่า a − 1 จะ
็
ไม่เปนขอบเขตบนของ a (เนือ่ งจาก a − 1 < a) ดั งนั้ น a − 1 < m สำหรั บบาง m ∈ N ทำให้ได้วา่ a < m + 1
็
ซึง่ เปนไปไม่ ็
ได้ เนือ่ งจาก a เปนขอบเขตบนของ N และ m + 1 ∈ N
ดั งนั้ น สรุปได้วา่ สำหรั บทุกจำนวนจริง x มีจำนวนเต็มบวก n ซึง่ n > x "
ดั งนั้ น −k < x ≤ −k + 1
กรณีท ี่ 3.1 : เลือก n = −k + 2 จะได้วา่ n − 1 ≤ x < n
x = −k + 1
กรณีท ี่ 3.2 :
x < −k + 1 เลือก n = −k + 1 จะได้วา่ n − 1 ≤ x < n
็
เลือก r = mn จะได้วา่ r เปนจำนวนตรรกยะ
ดั งนั้ น มีจำนวนตรรกยะ r ซึง่ x < r < y "
(iii) ∃ x ∈ R, x4 − x2 + 1 = 0
ึ ดบทที่ 4
แบบฝกหั
6. จงพิสจู น์วา่
(a) มีจำนวนเต็มบวก n ซึง่ 19 | (2n − 1)
(b) มีจำนวนเต็มบวก n ซึง่ 81 | (8n + 1)
7. จงพิสจู น์วา่ มี x ∈ [1, 2] ซึง่ x10 = 10x (Hint: ใช้ Intermediate Value Theorem)
8. จงพิสจู น์วา่ สมการ x + √x − 1 = 0 มีผลเฉลยทีเ่ ปนจำนวนจริ
็ งเพียงผลเฉลยเดียว
9. ็ บเซตทีไ่ ม่ใช่เซตว่างของ R โดยที่ A มีขอบเขตบน
ให้ A เปนสั
็ าคงตั ว เรานิยามเซต c + A โดย c + A = {c + a | a ∈ A}
ให้ c เปนค่
จงแสดงว่า c + A มีขอบเขตบน และ
lub(c + A) = c + lub(A)
√ √
10. ให้ A = {a + b 2 : a, b ∈ Q} และ B = {c + d 3 : c, d ∈ Q}
จงพิสจู น์วา่ A ∩ B = Q
11. ให้ x, y, z ∈ R จงพิสจู น์วา่
(a) ็
ถ้า x เปนจำนวนอตรรกยะ ็ ็ นย์ แล้ว xy เปนจำนวนอตรรกยะ
ไ่ ม่เปนศู
และ y เปนจำนวนตรรกยะที ็
82 การพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง และการพิสจู น์การมีจริง
(b) ็
ถ้า x เปนจำนวนอตรรกยะ ็ ็ นย์ แล้ว xy + z หรือ xy − z เปน็
ไ่ ม่เปนศู
และ y เปนจำนวนตรรกยะที
จำนวนอตรรกยะ
12. จงพิสจู น์วา่ สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n มีจำนวนเต็มบวก m ซึง่ ทำให้
m + 1, m + 2, . . . , m + n
็
เปนจำนวนประกอบ n จำนวนทีเ่ รียงลำดั บติดต่อกั น
13. บทนิยาม เราเรียกจำนวนเต็ม n ว่า กำลั งสองสมบ ูรณ์ (perfect square) ถ้า n = m2 สำหรั บบางจำนวนเต็ม
m
(เช่น 49 = 7 2 ็ งสองสมบูรณ์ และ 32 + 42 = 52 เปนกำลั
เปนกำลั ็ งสองสมบูรณ์)
็
จงพิสจู น์วา่ ถ้า x และ y เปนจำนวนคี ็ งสองสมบูรณ์
่ แล้ว x2 + y2 ไม่เปนกำลั
14. จงพิสจู น์วา่ ไม่มจี ำนวนเต็มบวก m และ n ซึง่ 3m = n3 + 3
15. ็ ็
มคี่ แล้วสมการ ax2 + bx + c = 0 ไม่มคี ำตอบเปนจำนวนตรรกยะ
จงแสดงว่า ถ้า a, b, c เปนจำนวนเต็
16. จงพิสจู น์ข้อความต่อไปนี้โดยใช้ สามวิธคี อื (i) การพิสจู น์โดยตรง (ii) การพิสจู น์แบบแย้งสลั บที่ และ (iii)
การพิสจู น์โดยข้อขั ดแย้ง
(a) ็
ถ้า n เปนจำนวนคี ็
แ่ ล้ว 9n − 3 เปนจำนวนคู ่
(b) ็
ให้ x เปนจำนวนจริ งบวก ถ้า x − 2 > 1 แล้ว x > 2
x
(c) ็
ให้ x และ y เปนจำนวนจริ
งบวก ถ้า x ≤ y แล้ว x2 ≤ y2
17. ็
ให้ a เปนจำนวนจริ ็ ง โดยที่ x < y
งบวกใด ๆ และให้ x, y เปนจำนวนจริ
จงแสดงว่ามีจำนวนตรรกยะ r ซึง่ ทำให้ x < ra < y
18. ็
จงพิจารณาว่าการพิสจู น์ตอ่ ไปนี้เปนการพิ
สจู น์ข้อความใด
็
พิสจู น์ ให้ a, b, c ∈ Z โดยที่ a2 + b2 = c2 และสมมติในทางตรงกั นข้ามว่า a, b, c ล้วนเปนจำนวนคี ่ จะได้
ว่า a = 2x + 1, b = 2y + 1 และ c = 2z + 1 สำหรั บบางจำนวนเต็ม x, y, z ดั งนั้ น
a2 + b2 = (2x + 1)2 + (2y + 1)2
= 4x2 + 4x + 1 + 4y 2 + 4y + 1
= 2(2x2 + 2y 2 + 2x + 2y + 1)
็
เนือ่ งจาก 2x2 + 2y2 + 2x + 2y + 1 เปนจำนวนเต็ ็
ม จึงได้วา่ a2 + b2 เปนจำนวนคู ่ ในขณะเดียวกั น เราได้วา่
c2 = (2z + 1)2 = 4z 2 + 4z + 1 = 2(2z 2 + 2z) + 1
็
เนือ่ งจาก 2z 2 + 2z เปนจำนวนเต็ ็
ม จึงได้ วา่ c2 เปนจำนวนคี ่ ทำให้ เกิดข้อขั ดแย้งกั บการที่ a2 + b2 = c2
็
เปนจำนวนคู ่ "
4.4 การพิสจู น์หรือพิสจู น์แย้ง 83
19. ็
จงพิจารณาว่าการพิสจู น์ตอ่ ไปนี้เปนการพิ สจู น์ข้อความใด มีข้อผิดพลาดอย่างไร และควรแก้ไขอย่างไร
พิสจู น์ สมมติวา่ มีจำนวนอตรรกยะ x และจำนวนตรรกยะ y ซึง่ x−y เปนจำนวนตรรกยะ็ จะได้ x−y = ab
√
็
สำหรั บบางจำนวนเต็ม a, b ซึง่ b %= 0 เนือ่ งจาก x เปนจำนวนอตรรกยะ เราจึงให้ x = 2 และเนือ่ งจาก y
็
เปนจำนวนตรรกยะ จึงได้วา่ y = dc สำหรั บบางจำนวนเต็ม c, d ซึง่ d %= 0 จาก x − y = ab จึงได้วา่
√ a
2−y =
b
√ a
2=y+
b
c a
= +
d b
bc + ad
=
bd
√
็
เนือ่ งจาก bc + ad และ bd เปนจำนวนเต็
ม โดยที่ bd %= 0 จึงได้วา่ ็
2 เปนจำนวนตรรกยะ ็ อขั ดแย้ง
ซึง่ เปนข้
"
็
เมือ่ Na = {a, a + 1, a + 2, . . . } โดยที่ a ∈ N0 และ P (n) เปนประโยคเป ิ ย่ วกั บจำนวนเต็ม n ดั งนั้ น
ดเกี
็ ธพี สิ จู น์สำหรั บใช้แสดงว่า
อุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์เปนวิ
จากการสั งเกต เราสามารถคาดคะเนได้ วา่ ผลบวกในบรรทั ดถั ดไปน่าจะเท่ากั บ 16 ซึง่ พบว่าถูกต้อง เนือ่ งจาก
1 + 3 + 5 + 7 + 9 = 16 หลั งจากนั้ น เราอาจตั้ งข้อความคาดการณ์ (conjecture) สำหรั บกรณีทัว่ ไปว่า สำหรั บ
จำนวนเต็ มบวก n ใด ๆ ผลบวกของจำนวนเต็ มบวกคี่ n ตั วแรก เท่ ากั บ n2 นั น่ คือ
1 + 3 + 5 + · · · + (2n − 1) = n2 สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
อย่างไรก็ตาม เรายั งไม่อาจเชือ่ ได้ วา่ ข้อความคาดการณ์น้ จี ะถูกต้องสำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n กล่าวคือ การ
็ ง สำหรั บบางจำนวนเต็ม บวก n ยั ง ไม่ม เี พียงพอทีจ่ ะทำให้ สรุป ได้ อย่างสมเหตุสมผลว่า
ทีส่ มการข้างต้น เปนจริ
็ งสำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
สมการนี้จะเปนจริ
็ งสำหรั บ
ในสถานการณ์เช่นนี้ เราอาจใช้อปุ นั ยเชิงคณิตศาสตร์เพือ่ พิสจู น์วา่ ข้อความทีค่ าดการณ์เปนจริ
ทุกจำนวนเต็มบวก n (หรือสำหรั บทุกจำนวนเต็ม n ≥ a เมือ่ a ∈ N0)
85
86 อุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์
็ ง สำหรั บทุกจำนวนเต็ม
จากหลั กการของอุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์ จะเห็นว่า ในการพิสจู น์วา่ P (n) เปนจริ
็ ง
n ≥ a เราต้องแสดงว่าเงือ่ นไขข้อ 1 และข้อ 2 เปนจริ
็ ง
ถ้า (1) โดมิโนตั วที่ a ล้ม ซึง่ เปรียบได้กับการทีข่ ้อความ P (a) เปนจริ
และ (2) สำหรั บทุก k ≥ a ถ้าโดมิโนตั วที่ k ล้ม แล้วโดมิโนตั วที่ k + 1 ก็จะล้มด้วย
็ นไปจะล้มหมดทุกตั ว
ดั งนั้ น โดมิโนตั้ งแต่ตัวที่ a เปนต้
็ งสำหรั บทุกจำนวนเต็ม n ≥ a
ซึง่ เปรียบได้กับการที่ P (n) เปนจริ
88 อุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์
็
ให้ผ้อู า่ นลองพิสจู น์สตู รเหล่านี้เปนแบบฝ ึ ด โดยใช้อปุ นั ยเชิงคณิตศาสตร์
กหั
90 อุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์
็
หมายเหตุ เราสามารถพิสจู น์ข้อความในตั วอย่างนี้ได้อกี วิธหี นึง่ โดยการแจงกรณี (ให้ผ้อู า่ นทำเปนแบบฝ ึ ด)
กหั
92 อุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์
(ii) ็
จงคาดคะเนสูตรของ an เมือ่ n เปนจำนวนเต็มบวกใด ๆ และจงพิสจู น์วา่ สูตรทีค่ าดคะเนนั้ นถูกต้อง
ข้อความคาดการณ์ : an = 2n + 1 สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
พิสจู น์ ให้ P (n) แทนข้อความ an = 2n + 1
ขั้ นฐาน เมือ่ n = 1 จะเห็นว่า P (1) คือข้อความ a1 = 21 + 1
็ ง เนือ่ งจาก a1 = 3 และ 21 + 1 = 3
ซึง่ เปนจริ
็
ขั้ นอุปนั ย ให้ k เปนจำนวนเต็ มใด ๆ โดยที่ k ≥ 1
็ ง นั น่ คือ สมมติวา่
สมมติวา่ P (1), P (2), . . . , P (k − 1), P (k) เปนจริ
a1 = 21 + 1, a2 = 22 + 1, . . . , ak−1 = 2k−1 + 1, ak = 2k + 1
็ ง
ดั งนั้ น P (k + 1) เปนจริ
จากหลั กการของอุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์อย่างเข้ม สรุปได้ วา่ an = 2n + 1 สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก
n "
็ ซึง่ n = 3x + 5y
ตั วอย่างที่ 6 จงพิสจู น์วา่ สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n ≥ 8 มีจำนวนเต็ม x, y ทีไ่ ม่เปนลบ
พิสจู น์ จะพิสจู น์โดยอุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์อย่างเข้ม
ให้ P (n) แทนข้อความ มี x, y ∈ N0 ซึง่ n = 3x + 5y
ขั้ นฐาน เมือ่ n = 8 จะเห็นว่า P (8) คือข้อความ
มี x, y ∈ N0 ซึง่ 8 = 3x + 5y
เลือก x = 1, y = 1 จะเห็นว่า 1 ∈ N0 โดยที่ 8 = 3 · 1 + 5 · 1
็ ง
ดั งนั้ น P (8) เปนจริ
็
ขั้ นอุปนั ย ให้ k เปนจำนวนเต็ มใด ๆ โดยที่ k ≥ 8
็ ง
สมมติวา่ P (8), P (9), . . . , P (k − 1), P (k) เปนจริ
นั น่ คือ สมมติวา่ เมือ่ n ∈ {8, 9, . . . , k − 1, k} มี x, y ∈ N0 ซึง่ n = 3x + 5y
จะแสดงว่า P (k + 1) เปนจริ ็ ง นั น่ คือจะแสดงว่า
ึ ดบทที่ 5
แบบฝกหั
1. จงใช้อปุ นั ยเชิงคณิตศาสตร์เพือ่ พิสจู น์วา่
(i) 1 · 1! + 2 · 2! + 3 · 3! + · · · + n · n! = (n + 1)! − 1 สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
1 2 3 n−1 2n − n − 1
(ii) + 2 + 3 + · · · + n−1 =
2 2 2 2 2n−1
สำหรั บทุกจำนวนเต็ม n ≥ 2
สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
3. จงใช้อปุ นั ยเชิงคณิตศาสตร์เพือ่ พิสจู น์วา่
n2 (n + 1)2 (2n2 + 2n − 1)
15 + 2 5 + 3 5 + · · · + n5 =
12
สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
4. จงพิสจู น์วา่ 10 | (n5 − n) สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
5. จงพิสจู น์วา่ 1 + 14 + 19 + · · · + n12 ≤ 2 − n1 สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
6. จงใช้อปุ นั ยเชิงคณิตศาสตร์เพือ่ พิสจู น์วา่ 3n > n3 สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n ≥ 4
5.2 อุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์อย่างเข้ม 95
'n / 0
n
18. จงพิสจู น์วา่ i
i
= n2n−1 สำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
i=1
19. จงใช้ อปุ นั ยเชิงคณิตศาสตร์เพือ่ พิสจู น์ทฤษฎีบททวินาม ซึง่ กล่าวว่า สำหรั บทุกจำนวนจริง x, y และสำหรั บ
ทุกจำนวนเต็มบวก n
/ 0 / 0 / 0 / 0
n n n n n−1 n n−r r n n
(x + y) = x + x y + ··· + x y + ··· + y
0 1 r n
็
ขั้ นอุปนั ย ให้ k เปนจำนวนเต็
มบวกใด ๆ
็ ง นั น่ คือ สมมติวา่ 1 + 2 + 3 + · · · + k = 1 − 1
สมมติวา่ P (k) เปนจริ 2! 3! 4! (k + 1)! (k + 1)!
จะได้วา่
1 2 3 k+1 1
+ + + ··· + =1−
2! 3! 4! (k + 2)! (k + 2)!
1 2 3 k k+1 1
+ + + ··· + + =1−
2! 3! 4! (k + 1)! (k + 2)! (k + 2)!
1 k+1 1
1− + =1− (จากข้อสมมติ)
(k + 1)! (k + 2)! (k + 2)!
k+2 k+1 1
1− + =1−
(k + 2)! (k + 2)! (k + 2)!
(k + 2 − k − 1) 1
1− =1−
(k + 2)! (k + 2)!
1 1
1− =1−
(k + 2)! (k + 2)!
็ ง
ดั งนั้ น P (k + 1) เปนจริ
็ งสำหรั บทุกจำนวนเต็มบวก n
โดยหลั กการของอุปนั ยเชิงคณิตศาสตร์ สรุปได้วา่ P (n) เปนจริ "
เอกสารอ้างอิง
1. R. Bartle and D. Sherbert, Introduction to Real Analysis, 3rd edition, John Wiley & Sons, 2000.
3. J. D’Angelo and D. West, Mathematical Thinking: Problem-Solving and Proofs, 2nd edition,
Prentice Hall, 2000.
4. L. van den Dries, Mathematical Logic (Math 570) Lecture Notes, University of Illinois at Urbana-
Champaign, 2007.
6. T. Gowers, The Princeton Companion of Mathematics, Princeton University Press, New Jersey,
2008.
97