Professional Documents
Culture Documents
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)
จัดทําโดย
สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)
กรกฎาคม 2547
คู่มือการออกแบบอาคารทีมีประสิ ทธิภาพด้ านการประหยัดพลังงาน
(Energy Efficient Design Guideline)
สารบัญ
บทที การออกแบบอาคารแบบบูรณาการ
1. ความหมายของการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ ................................................................................................................................ 1
2. ประโยชน์ของการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ .................................................................................................................................. 1
3. ผูท้ ี>เกี>ยวข้องกับการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ................................................................................................................................. 2
4. ขัIนตอนการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ............................................................................................................................................. 2
5. ขัIนตอนการจัดการ ................................................................................................................................................................................... 2
6. ขัIนตอนทางเทคนิค .................................................................................................................................................................................. 3
7. การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานเพื>อการตัดสิ นใจ.................................................................................................................. 4
8. หนังสื อสัญญาด้านศักยภาพ..................................................................................................................................................................... 5
9. องค์ประกอบของการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ ............................................................................................................................. 6
10. ตัวอย่างเครื> องมือในการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ ......................................................................................................................... 6
บทที แนวทางการออกแบบกรอบอาคาร
1. บทนํา ....................................................................................................................................................................................................... 1
2. การออกแบบโดยคํานึงถึงสภาวะน่าสบาย ............................................................................................................................................... 2
3. ที>ตI งั และสภาพแวดล้อมโดยรอบอาคาร................................................................................................................................................... 4
4. พืชพันธุ์ธรรมชาติ .................................................................................................................................................................................... 5
4.1 สภาพภูมิประเทศ ......................................................................................................................................................................... 5
4.2 สภาพภูมิอากาศ ............................................................................................................................................................................ 6
5. ตัวอาคาร .................................................................................................................................................................................................. 6
5.1 ทิศทางการวางตัวอาคาร............................................................................................................................................................... 6
5.2 รู ปทรงอาคาร ............................................................................................................................................................................... 7
5.3 ตําแหน่งช่องเปิ ด .......................................................................................................................................................................... 7
6. วัสดุกรอบอาคาร ...................................................................................................................................................................................... 8
6.1 ผนังและหลังคาทึบ ...................................................................................................................................................................... 8
6.2 ช่องเปิ ด ผนังและหลังคาโปร่ งแสง ............................................................................................................................................ 11
1. ความหมายของการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ
การออกแบบอาคารแบบบูรณาการ หมายถึง กระบวนการการออกแบบอาคารที> คาํ นึ งถึงการผสมผสานวิธีการในการออกแบบ
ทุกๆ ระบบเข้าด้วยกัน หรื อออกแบบให้ทุกๆ ระบบมีความสอดคล้องกัน โดยมี เป้ าหมายหลักเพื>อให้อาคารมีประสิ ทธิ ภาพด้านการ
ประหยัดพลังงานสูงสุด ขณะที>มีค่าใช้จ่ายในการออกแบบและก่อสร้างอาคารตํ>า
ขอบเขตของการออกแบบแบบบูรณาการ
ปั จจัยที>ทาํ ให้การออกแบบอาคารแบบบูรณาการประสบความสําเร็ จ คือ การมีส่วนร่ วมของบุคลากรที>รับผิดชอบงานด้านต่างๆ
กัน เช่น สถาปั ตยกรรม วิศวกรรม ระบบไฟฟ้ าแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ ตกแต่งภายใน การปรับปรุ งภูมิทศั น์ ฯลฯ การทํางานร่ วมกัน
ตัIงแต่ในขัIนตอนของการออกแบบอาคาร จะทําให้สามารถมองปั ญหาได้อย่างรอบด้าน และแสวงหาทางออกที>ดีที>สุดได้ (รู ปที> 1 แสดง
ขอบเขตของการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ)
2. ประโยชน์ ของการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ
การปฏิบตั ิตามกระบวนการออกแบบอาคารแบบบูรณาการตัIงแต่ในขัIนตอนแรกๆ ของการก่อสร้างอาคาร (ขัIนตอนการออกแบบ
และวางผังอาคาร) จะทําให้อาคารมีศกั ยภาพในการประหยัดพลังงานได้สูงสุด ประโยชน์ของการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ มีดงั นีI
อาคารมีคุณภาพดีและมีประสิ ทธิภาพเชิงพลังงานสูงขึIน
ลดต้นทุนในการก่อสร้างอาคาร
ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลรักษาอาคารลดลง
สร้างสภาวะน่าสบาย (comfort condition) ให้แก่ผใู ้ ช้อาคาร
ประสิ ทธิภาพในการทํางานของผูใ้ ช้อาคารเพิ>มขึIน
3. ผู้ทเกี
ี ยวข้ องกับการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ
ความสําเร็ จในการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ จะขึIนอยูก่ บั ผลของการปฏิบตั ิงานของผูท้ ี>เกี>ยวข้องในกระบวนการออกแบบ
อาคารหลายฝ่ าย ได้แก่ เจ้าของอาคาร สถาปนิก ผูร้ ับเหมาก่อสร้าง วิศวกร นักวิเคราะห์ดา้ นพลังงาน วิศวกรระบบไฟฟ้ าแสงสว่าง วิศวกร
ระบบไฟฟ้ า วิศวกรระบบปรับอากาศ ฯลฯ
4. ขัCนตอนการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ
การตระหนักถึงความสําคัญของการออกแบบอาคารแบบบู รณาการ หรื อการผสมผสานการออกแบบระบบต่างๆ ให้มีความ
สอดคล้องกัน ตัIงแต่ในขัIนตอนการวางแผนงานและการออกแบบอาคาร จะสามารถลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการก่ อสร้ างได้มาก
ขณะเดี ยวกันก็สามารถปรั บปรุ งประสิ ทธิ ภาพของอาคารให้สูงขึIนได้มากด้วย แต่เมื>อออกแบบอาคารเสร็ จสมบู รณ์ แล้ว ต้นทุ นและ
ค่าใช้จ่ายจะเพิ>มขึIน การตัดสิ นแต่ละครัIงจะลดขอบเขตความเป็ นไปได้ในอนาคต
กลยุทธ์การออกแบบอาคารแบบบูรณาการเพื>อสิ> งแวดล้อม (green design) เป็ นการปรับปรุ งประสิ ทธิ ภาพการใช้พลังงาน วางผัง
การใช้ที>ดินแบบยัง> ยืน การใช้นI ําอย่างปลอดภัย สร้ างสภาวะภายในอาคารที> ดี และการใช้วสั ดุ ที>เอืI อต่อสภาพแวดล้อม คณะทํางาน
ออกแบบทุกฝ่ ายตัIงแต่วิศวกรโยธาไปจนถึงนักออกแบบตกแต่งภายในควรกําหนดเป้ าหมายที>เป็ นประเด็นหลักในโปรแกรมการออก
อาคาร การจัดหาบริ การทัIงด้านสถาปั ตยกรรมและวิศวกรรมควรเน้นให้การทํางานในระบบทีม และการทํางานในแบบบูรณาการควรถูก
ระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อตกลง (statement of work; SOW) ตัวอย่างเช่น SOW ควรกําหนดความถี>ในการประชุมและระดับความสําคัญ
ของวิศวกรงานระบบที>จะวิเคราะห์ทางเลือกในการออกแบบ
5. ขัCนตอนการจัดการ
ขัIนตอนการจัดการ 3 ขัIนตอน ในการออกแบบอาคารที>มีประสิ ทธิภาพในการประหยัดพลังงานแบบบูรณาการ ได้แก่
1) ระบุบุคลากรในคณะทํางานให้ทาํ หน้าที>เป็ น “ผูป้ ระสานงานแบบบูรณาการ” (integrated design coordinator)
2) รวบรวมความต้องการต่างๆ เพื>อการออกแบบอาคารที> มีประสิ ทธิ ภาพในการประหยัดพลังงานแบบบูรณาการ ระบุลงใน
เอกสารโครงการ
3) กําหนดโครงสร้ างของค่าบริ การโดยการพิจารณาจากศักยภาพ (performance-based fee structure) ในการให้รางวัลแก่
คณะทํางาน โดยพิจารณาจากความเสี> ยงของแนวทางในการออกแบบและผลที>ได้รับเป็ นเกณฑ์
ควรระบุบทบาทหน้าที> และความรับผิดชอบของผูป้ ระสานงานแบบบูรณาการไว้อย่างชัดเจน เพื>อให้การออกแบบอาคารที> มี
ประสิ ทธิภาพในการประหยัดพลังงานแบบบูรณาการดําเนินไปอย่างราบรื> น และเกิดประสิ ทธิผลสูงสุด
ตารางแสดงระยะการดําเนินงานของโครงการและความรับผิดชอบของผู้ประสานงานแบบบูรณาการ
ระยะของโครงการ ความรับผิดชอบ
ออกแบบขัIนต้น ระบุปัญหาด้านพลังงานและแนวทางในการแก้ไขปั ญหา
หาแนวทางการแก้ไขปั ญหาที>เหมาะสม
วิเคราะห์ความเหมาะสมด้านเศรษฐศาสตร์ขIนั ต้น
ออกแบบขัIนพัฒนา ศึกษารายละเอียดของระบบไฟฟ้ าแสงสว่างและการใช้แสงสว่างธรรมชาติ
ผสานเทคนิคการเลี>ยงภาระการทํางานของระบบ (load-avoidance) ในการออกแบบงานระบบ
ออกแบบงานสถาปั ตยกรรม งานระบบไฟฟ้ าแสงสว่าง และงานออกแบบภายใน ให้สอดคล้องกัน
จําลองสภาพศักยภาพการใช้พลังงานของอาคาร
ปรับปรุ งการวิเคราะห์ดา้ นเศรษฐศาสตร์
จัดเตรี ยมแผนการทํางาน
จัดทําเอกสารงานก่อสร้าง ทบทวนผังอาคารและข้อกําหนดต่างๆ
ทบทวนการเลือกอุปกรณ์อาคาร
ทบทวนรายละเอียดการก่อสร้าง
สรุ ปศักยภาพด้านพลังงานและการวิเคราะห์ดา้ นเศรษฐศาสตร์
ก่อสร้าง ทบทวนคําสัง> เปลี>ยนแปลงต่างๆ
ทบทวนการใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทน
ตรวจสอบคุณภาพของวัสดุและการติดตัIงให้ถูกต้อง
การใช้งานอาคาร เสนอแผนการใช้งานอาคาร
ตรวจทานการประหยัดพลังงาน
คํานึงถึงข้อแนะนําจากผูใ้ ช้งาน
6. ขัCนตอนทางเทคนิค
1) สร้างกรณี ศึกษาที>เป็ นพืIนฐาน (base case)
2) กําหนดขอบเขตของการแก้ไขปั ญหา
3) วิเคราะห์ศกั ยภาพของกลยุทธ์แบบต่างๆ และให้ระดับความสําคัญ
4) จัดกลุ่มกลยุทธ์ที>มีศกั ยภาพสูง
5) เลือกกลยุทธ์และปรับการออกแบบ
6) ทําการวิเคราะห์ซI าํ ตลอดทุกขัIนตอน
Accept Products
Lighting / Elect./ Review/ Select Lighting System/ Develop Ltg/ Elect. Ltg/Elect Details & Review/
Learn from
Other Engr. Input Electric Conc. Design Specs Input
Manage Facility/
Facility Manager Review/
Review & Provide Input
Review & Provide
Review & Provide Input
Review & Provide
Conduct O&M/
& Occupant Input Input Input
Feedback to Designers
แผนผังแสดงการทํางานทีนําไปสู่ การออกแบบอาคารแบบบูรณาการ
9. องค์ ประกอบของการออกแบบอาคารแบบบูรณาการ
การออกแบบอาคารแบบบูรณาการประกอบด้วยการพิจารณาและให้ความสําคัญในการออกแบบด้านต่างๆ ดังต่อไปนีI
1) การเลือกที>ตI งั อาคาร (Site Selection)
2) การออกแบบรู ปทรงของอาคารและการจัดวางอาคาร (Building configuration and placement)
3) การออกแบบกรอบอาคาร (Building Envelope)
4) การป้ องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ (Passive solar)
5) การใช้แสงสว่างธรรมชาติอย่างมีประสิ ทธิภาพ (Lighting/Daylighting)
6) การออกแบบอุปกรณ์กนั แดด (Shading)
7) การเลือกใช้วสั ดุที>มีคุณสมบัติที>เหมาะสมและอนุรักษ์พลังงาน (Materials)
8) การออกแบบระบบ HVAC
9) การออกแบบระบบเชิงกลอื>นๆ เช่น ระบบทํานํIาร้อน ระบบลิฟท์ ฯลฯ (Other mechanical systems)
10) การเลือกเครื> องใช้และอุปกรณ์ภายในอาคาร (Appliances and equipment)
11) การออกแบบ Active solar และการเลือกใช้พลังงานทดแทนอื>นๆ
1) ASEAM
Free download from the web http://www.fishbaugher.com
3) EnergyPlus
Free download from the web http://www.energyplus.gov
Weather data for more than oo… locations worldwide can also be downloaded at no cost from the EnergyPlus Web site.
4) DOE-W
Cost $g…… to $`………, depending upon hardware platform and software vendor. A list of vendors and services is available on the website
http://simulationresearch.lbl.gov
5) VisualDOE
Cost is $‡…… + tax, including ‰… days phone and one year email technical support. Additional support is $g…… per year. Evaluation copy
available for free download from web site web http://www.eley.com
1) Radiance
Version `.q (p‰‰q) available free of charge. Other interfaces area available at varying cost. web
http://radsite.lbl.gov/radiance/HOME.html
2) SuperLite
Free download from web http://eetd.lbl.gov/btp/superlite`.html
BLCC ^.6-`a
1. บทนํา
ภายหลังจากประเทศไทยที> ได้มีการออกพระราชบัญญัติการส่ งเสริ มการอนุ รักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ซึ> งต่อมาได้มีการออกพระราช-
กฤษฎีกากําหนดอาคารควบคุมและกฎกระทรวง พ.ศ. 2538 กําหนดรายละเอียดต่างๆ เพื>อการอนุรักษ์พลังงานในอาคาร โดยมีผลบังคับใช้
ตัIงแต่ พ.ศ. 2539 เป็ นต้นมานัIน ในปั จจุบนั ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและความจําเป็ นในการลดปริ มาณ
การใช้พลังงานโดยรวมของชาติ ทําให้กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน (พพ.)1 มีแนวคิดในการปรับปรุ งแก้ไขข้อกําหนดของค่าการถ่ายเท
ความร้อนรวมของอาคาร ตลอดจนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื> อนไขการประเมินหาค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของอาคารและการใช้
พลังงานของอาคารเฉพาะอาคารทีสร้ างขึนC ใหม่ เท่านัIน โดยมีประเด็นหลักในการปรับปรุ งและแก้ไขพอสรุ ปได้ดงั นีI
การกําหนดค่าสู งสุ ดของค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของอาคารตามประเภทของอาคาร โดยจําแนกอาคารออกเป็ น 3 กลุ่มตาม
ลักษณะพืIนที>ใช้งานภายในอาคารและช่วงเวลาการใช้งานอาคาร (operating time) ได้แก่
- กลุ่มอาคารสํานักงาน สถานศึกษา หรื ออาคารที>มีช่วงเวลาการใช้งานอาคารตัIงแต่เวลาประมาณ 8.00-17.00 น.
- กลุ่มอาคารโรงแรม โรงพยาบาล หรื ออาคารที>มีช่วงเวลาการใช้งานอาคารตลอด 24 ชัว> โมง
- กลุ่มอาคารศูนย์การค้า ซุปเปอร์สโตร์ หรื ออาคารที>มีช่วงเวลาการใช้งานอาคารตัIงแต่เวลาประมาณ 10.00-22.00 น.
ปรับปรุ งวิธีการและเงื>อนไขการประเมินหาค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของอาคาร (OTTV และ RTTV) โดยกําหนดค่าของตัวแปร
ต่างๆ ที>ใช้ในการคํานวณให้มีความละเอียดมากกว่าเดิม
กําหนดค่าการถ่ายเทความร้ อนรวมของผนังด้านนอกอาคาร (OTTV) สู งสุ ดให้มีค่าลดลงจากข้อกําหนดในกฎหมายที> ใช้อยู่ใน
ปั จจุบนั 2 โดยแบ่งออกเป็ น 3 กลุ่มประเภทอาคาร ดังนีI
- อาคารสํานักงาน สถานศึกษา ต้องมีค่าไม่เกิน 50 วัตต์ต่อตารางเมตรของผนังภายนอก
- อาคารโรงแรม โรงพยาบาล ต้องมีค่าไม่เกิน 30 วัตต์ต่อตารางเมตรของผนังภายนอก
- อาคารศูนย์การค้า ซุปเปอร์สโตร์ ต้องมีค่าไม่เกิน 45 วัตต์ต่อตารางเมตรของผนังภายนอก
กําหนดค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของหลังคาอาคาร (RTTV) สูงสุดให้มีค่าลดลงจากข้อกําหนดในกฎหมายที>ใช้อยูใ่ นปั จจุบนั โดย
แบ่งออกเป็ น 3 กลุ่มประเภทอาคาร ดังนีI
- อาคารสํานักงาน สถานศึกษา ต้องมีค่าไม่เกิน 15 วัตต์ต่อตารางเมตรของผนังภายนอก
- อาคารโรงแรม โรงพยาบาล ต้องมีค่าไม่เกิน 10 วัตต์ต่อตารางเมตรของผนังภายนอก
- อาคารศูนย์การค้า ซุปเปอร์สโตร์ ต้องมีค่าไม่เกิน 12 วัตต์ต่อตารางเมตรของผนังภายนอก
ในกรณี ที> อ าคารมี คุ ณสมบัติห ลัก ค่ าใดค่ าหนึ> ง ไม่ เ ป็ นไปตามที> ก ํา หนด (ค่ าการถ่ ายเทความร้ อ นรวมของอาคาร ค่ า มาตรฐาน
กําลังไฟฟ้ าส่องสว่าง ค่าพลังงานไฟฟ้ าของเครื> องปรับอากาศ) ให้ผูอ้ อกแบบคํานวณหาปริ มาณความต้องการใช้พลังงานของอาคาร
(energy requirement of a building) ตามวิธีการและเงื>อนไขที>กาํ หนดไว้เปรี ยบเทียบระหว่างอาคารที>ออกแบบ (proposed building
1
ชิอเดิมของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
2
ค่า OTTV ทีกําหนดขึ'นใหม่น' ีมีการเปลียนแปลงวิธีการและเงือนไขการประเมินหาค่าการถ่ายเทความร้ อนรวมของอาคาร จึงมีปริ มาณความร้ อนเข้าสู่ อาคารลดลงเมือ
นําไปเปรี ยบเทียบกับกฎหมายทีใช้อยูใ่ นปั จจุบนั
คู่มือการออกแบบอาคารที>มีประสิ ทธิ ภาพด้านการประหยัดพลังงาน แนวทางการออกแบบกรอบอาคาร
โครงการปรับปรุ งข้อกําหนดการใช้พลังงานในอาคารควบคุม บทที> `-2
2. การออกแบบโดยคํานึงถึงสภาวะน่ าสบาย
สิ> งสําคัญประการหนึ> งที>ผูอ้ อกแบบควรคํานึ งถึงในการออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน คือ ความรู ้สึกร้อน-หนาวของผูใ้ ช้อาคารหรื อ
สภาวะน่ าสบายของมนุ ษย์ ซึ> งขึIนอยู่กบั ขอบเขตของสภาวะน่ าสบาย (comfort zone) ที> อาจแปรเปลี>ยนไปตามลักษณะดิ นฟ้ าอากาศ
สภาพแวดล้อมและความเคยชินที>แตกต่างกัน โดยมีปัจจัยหลักที>มีผลต่อสภาวะน่าสบาย ได้แก่ อุณหภูมิอากาศ ความชืIนสัมพัทธ์ อุณหภูมิ
เฉลี>ยของพืIนผิวโดยรอบ (mean radiant temperature; MRT) และความเร็ วของกระแสลมทีพดั ผ่านผิวกาย ในกรณี ของอาคารที>มีการใช้
ระบบปรับอากาศวิศวกรผูอ้ อกแบบจะใช้ค่าที>ยอมรับกันทัว> ไปว่าเป็ นสภาวะที>สบายที>สุดสําหรับมนุษย์ คือ อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซี ยส
และความชืIนสัมพัทธ์ 50 เปอร์ เซ็นต์5 ถ้าพิจารณาเฉพาะตัวแปรหลัก 2 ตัวที>มีผลต่อสภาวะน่าสบาย คือ อุณหภูมิอากาศและความชืI น
สัมพัทธ์พบว่า มีขอบเขตอยูร่ ะหว่าง 22 ถึง 29 องศาเซลเซียส และความชืIนสัมพัทธ์ระหว่าง 20 ถึง 75 เปอร์ เซ็นต์6 โดยมีความสัมพันธ์กบั
ตัวแปรอื>นๆ ดังแสดงในแผนภูมิ Bio-climatic สําหรับภูมิอากาศแบบร้อนชืIนของประเทศไทยควรพิจารณาใช้การเพิ>มความเร็ วลมและการ
ลดอุณหภูมิเฉลี>ยของพืIนผิวโดยรอบ (MRT) เพื>อช่วยทําให้ผูใ้ ช้อาคารรู ้สึกสบายมากยิ>งขึIน เพราะถ้าอุณหภูมิส>ิ งที> อยู่โดยรอบตํ>ากว่า
อุณหภูมิผิวกาย (MRT เป็ นลบ) ร่ างกายจะคายความร้อนให้กบั สิ> งรอบข้างทําให้รู้สึกเย็นลง แนวทางการออกแบบเพื>อลดอิทธิ พลของ
อุณหภูมิเฉลี>ยของพืIนผิวโดยรอบทําได้โดยการทําให้พIืนผิวของสภาพแวดล้อมโดยรอบมีอุณหภูมิต> าํ กว่าผิวกาย7 เพื>อให้รู้สึกเย็น เช่น
การเลือกใช้กระจกที> มีค่าการป้ องกันความร้อนสู ง การออกแบบพืIนที>ใช้งานให้อยู่ห่างจากแหล่งความร้อนและรังสี ความร้อน การหุ ้ม
ฉนวนให้กบั ตัวอาคาร การแบ่งส่วนพืIนที>ใช้งาน และออกแบบแต่ละส่วนตามลักษณะการใช้งานและสภาวะที>ตอ้ งการ เป็ นต้น
3
ดูรายละเอียดจาก รายงานความก้าวหน้าฉบับที 7 ร่ างข้อกําหนดการใช้พลังงานในอาคารควบคุม
4
อาคารทีใช้พลังงานไฟฟ้ าตั'งแต่ 20,000,000 เมกะจูล (ยีสิ บล้านเมกะจูล) ขึ'นไป หรื อติดตั'งหม้อแปลงไฟฟ้ าขนาดตั'งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ (หนึงพันกิโลวัตต์) หรื อ 1,175 กิ โล
โวลท์แอมแปร์ (หนึงพันหนึงร้อยเจ็ดสิ บห้ากิโลโวลท์แอมแปร์ ) ขึ'นไป
5
อ้างอิงจาก ASHRAE
6
อ้างอิงจาก Design with climate
7
อุณหภูมิผิวกายประมาณ 32 องศาเซลเซี ยส
3. ทีตัCงและสภาพแวดล้ อมโดยรอบอาคาร
การใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมบริ เวณที>ตI งั อาคาร (micro-climate) หรื อการปรุ งแต่งสภาพแวดล้อมโดยรอบอาคารเป็ นขัIนตอนแรกที>
ผูอ้ อกแบบควรพิจารณาโดยมีแนวคิดที>สาํ คัญคือ การทําให้สภาวะแวดล้อมโดยรอบภายนอกอาคารมีอุณหภูมิลดตํ>าลงกว่าสภาพภูมิอากาศ
ปกติ และลดผลกระทบที>เกิดจากความร้อนของรังสี อาทิตย์ในเวลากลางวัน ซึ>งจะมีผลทําให้สามารถลดภาระในการทําความเย็นให้กบั ตัว
อาคารได้ โดยมีตวั แปรต่างๆ ที>ควรพิจารณาใช้ ได้แก่ ต้นไม้ พุ่มไม้ พืชคลุมดิน แหล่งนํIา กระแสลม ความลาดเอียงของพืIนดิน เป็ นต้น
โดยอาจจําแนกออกเป็ น 3 กลุ่มหลักดังนีI
4. พืชพันธุ์ธรรมชาติ
ปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ที>มีทรงแผ่กว้างและพุ่มใบโปร่ งบริ เวณรอบๆ อาคาร เพื>อให้ร่มเงาช่วยลดความร้อนที>เกิดจากรังสี ตรง
จากดวงอาทิตย์ (direct sun) แต่ไม่กกั เก็บความชืIน
ใช้ไม้พมุ่ เพื>อสร้างสภาพแวดล้อมที>เย็น โดยให้มีลมพัดผ่านทําให้เกิดการระเหยนํIา
ปลูกหญ้าหรื อพืชคลุมดินเพื>อป้ องกันความร้อนให้กบั ดิน และทําให้อุณหภูมิผิวของสภาพแวดล้อมเย็นลง
แผนทีแสดงทิศทางลมทัวประเทศ
ทีมา: การออกแบบอาคารสําหรับภูมิอากาศเขตร้อนชื'น, รศ.ดร.สมสิ ทธิC นิตยะ
5. ตัวอาคาร
ตัวแปรที>เกี>ยวข้องกับตัวอาคารเป็ นปั จจัยที>มีผลต่อการใช้พลังงานในอาคารเป็ นอย่างมาก เพราะความร้อนจากรังสี อาทิตย์ซ> ึ งเป็ นที>มาของ
ภาระการทําความเย็นจะแปรผันไปตามทิศทางของดวงอาทิตย์ โดยมีตวั แปรที>เกี>ยวข้องกับการออกแบบตัวอาคารดังนีI
5.1 ทิศทางการวางตัวอาคาร
หันด้านแคบของอาคารไปทางทิศตะวันออก-ตะวันตก หรื อให้ดา้ นแคบของอาคารหันไปทางที>ได้รับแสงอาทิตย์ตอนบ่าย
(ทิศตะวันตก/ตะวันตกเฉี ยงใต้)
ใช้การวางทิศทางของอาคารประกอบกับการปลูกต้นไม้รอบอาคารในการกําหนดทิศทางลมให้พดั ผ่านอาคาร
6. วัสดุกรอบอาคาร
ภาระการทําความเย็นของอาคารส่ วนใหญ่มาจากปริ มาณความร้อนที>ผ่านวัสดุกรอบอาคาร (building envelope) เข้ามาภายในอาคาร การ
ลดปริ มาณความร้อนที>ผา่ นกรอบอาคารจึงเป็ นปั จจัยหลักที>จะช่วยทําให้สามารถลดการใช้พลังงานลงได้ วัสดุกรอบอาคารโดยทัว> ไปแบ่ง
ออกเป็ น 2 ประเภท คือ วัสดุทึบแสง (opaque) และวัสดุโปร่ งแสง (transparent) ซึ> งนํามาใช้เป็ นส่ วนของผนัง ช่องเปิ ด และหลังคาของ
อาคาร แนวทางในการพิจารณาออกแบบและเลือกใช้วสั ดุกรอบอาคารมีดงั นีI
6.1 ผนังและหลังคาทึบ
เพิ>มความสามารถในการต้านทานความร้อนให้กบั ผนัง (ค่า R สูง) หรื อค่าสัมประสิ ทธิ‹การถ่ายเทความร้อน (U value) ตํ>า โดย
การติดตัIงหรื อบุฉนวนกันความร้อนที>ผนังด้านนอกของอาคาร หรื อใช้ผนัง 2 ชัIนมีช่องว่างอากาศ (Air-gap) ระหว่างชัIนของ
ผนังเป็ นอากาศหรื อฉนวนเพื>อกันความร้อน ในบางกรณี ที>มีความเหมาะสมเช่น ไม่ตอ้ งการใช้ระบบปรับอากาศในอาคารอาจ
ออกแบบผนังให้มีมวลสารที>สามารถหน่วงความร้อนได้ 12 ชัว> โมงเพื>อปรับปรุ งสภาวะน่าสบายและเพิ>มประสิ ทธิ ภาพของ
อาคารโดยเฉพาะผนังทางทิศตะวันตกที>ได้รับความร้อนมาก
อาคารปรับอากาศที> มีการเปิ ดและปิ ดเครื> องปรับอากาศระยะยาว อาจพิจารณาใช้ผนังที> มีการผสมผสานของมวลสารและ
ฉนวนอย่างเหมาะสม โดยให้มวลสารอยูด่ า้ นนอก ติดตัIงฉนวนในด้านในผนังอาคาร และใช้ฉนวนสะท้อนความร้อนเพิ>มค่า
R ให้ช่องว่างอากาศระหว่างผนัง
แสดงเงาทีเกิดขึนC บนลอนหลังคา
ทีมา: การออกแบบอาคารสําหรับภูมิอากาศเขตร้อนชื'น, รศ.ดร.สมสิ ทธิC นิตยะ
- การทนต่อแรงอัดและความทนทาน
- การป้ องกันการกลัน> ตัวเป็ นหยดนํIา
- การเสื> อมสภาพ และการบํารุ งรักษา
- คุณสมบัติการกันไฟ
- ความต้านทานต่อแมลง เชืIอรา การกัดกร่ อนและสารเคมี
- ความปลอดภัยต่อสุขภาพ
- การกันเสี ยง
- ปลอดกลิ>น
ตัวอย่างคุณสมบัติของฉนวนป้ องกันความร้อนชนิดต่างๆ ที>ใช้ในปั จจุบนั ได้แก่
- ใยแก้วหรื อไฟเบอร์กลาสมีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้ดี มีค่าการกันไฟได้สูงถึง 300 องศาเซลเซี ยส และกันเสี ยง
ได้ดว้ ย แต่ไม่ทนต่อความชืIน
- ร็ อควูลกันความร้อนเทียบเท่าฉนวนใยแก้ว แต่ทนไฟได้ดีกว่า และดูดซับเสี ยงได้ดี แต่ไม่ทนต่อความชืIน
- โฟมชนิดต่างๆ มีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้ดี (ใกล้เคียงกับฉนวนใยแก้วและร็ อควูล) และกันนํIาได้ แต่ไม่ทนต่อ
รังสี อุลตร้าไวโอเลต (UV) และความร้อนสูงๆ (จุดหลอมเหลวมักตํ>ากว่า 100 องศาเซลเซียส)
- เซลลูโลสกันความร้อนดีพอๆ กับใยแก้วและร็ อควูล ต้องใส่สารกันไฟลาม เพราะทําจากเยือ> ไม้หรื อกระดาษ
- อลูมินม>ั ฟอยล์ให้มีประสิ ทธิภาพในการกันความร้อน ต้องทําให้มีช่องว่างอากาศระหว่างแผ่นฟอยล์กบั ฝ้ าเพดานไม่นอ้ ย
กว่า 1 นิIวเพื>อเพิ>มค่าความเป็ นฉนวน
8
ในปั จจุบนั กระจกทีได้รับการออกแบบพิเศษจะมีค่า LSG สู งกว่า 2 แต่โดยทัวไปถ้ากระจกใดมีค่า LSG ประมาณ 1.7 ก็อาจนับว่าเป็ นกระจกทีมีประสิ ทธิ ภาพสู ง (ทีมา:
วัสดุประหยัดพลังงาน “การใช้กระจกยุคใหม่เพือการอนุรักษ์พลังงานและสิ งแวดล้อม” โดย ศ.ดร. สุ นทร บุญญาธิการ)
คู่มือการออกแบบอาคารที>มีประสิ ทธิ ภาพด้านการประหยัดพลังงาน แนวทางการออกแบบกรอบอาคาร
โครงการปรับปรุ งข้อกําหนดการใช้พลังงานในอาคารควบคุม บทที> `-13
แสดงเงาของแผงบังแดดแบบต่ างๆ
ที>มา: การออกแบบอาคารสําหรับภูมิอากาศเขตร้อนชืIน, รศ.ดร.สมสิ ทธิ‹ นิตยะ
- แยกห้องสูบบุหรี> จากห้องทํางาน
- ติดตัIงแผ่นกรองอากาศ
- ติดตัIงเครื> องแลกเปลี>ยนความร้อนระหว่างอากาศที>จะนําออกไปทิIงกับอากาศที>นาํ เข้ามา
- ช่วงเวลาที>มีคนในอาคารน้อย ควรเปิ ดพัดลมดูดอากาศเข้ามาในอาคาร ใช้อากาศเย็นภายในอาคารหมุนเวียนผ่านเครื> อง
กรองฝุ่ น/กรองกลิ>นชัว> คราว
7.3 การจัดกลุ่มพืนK ทีใช้ สอยให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้ อมโดยรอบ
9
อ้างอิงจากการออกแบบมหาวิทยาลัยชินวัตร โดย ศ.ดร. สุ นทร บุญญาธิการ
ที>มา : P.S. Harris, ‘The Armitage Norton Report’, Energy Users Research Association Limited, Bulletin No. qq, February p‰‡q.
ตารางนีIจดั ทําขึIนเพื>อ
ช่วยให้สามารถระบุและอธิบายถึงลําดับความสําคัญของรู ปแบบของการจัดการด้านพลังงานที>แตกต่างกันในองค์กร
ชีIให้เห็นแนวทางการจัดองค์กรสําหรับการจัดการด้านพลังงานแบบต่างๆ แนวนอนของตารางแสดงถึงการเพิ>มระดับของ
ความยุง่ ยากและความซับซ้อนที>เกี>ยวข้องกับ
ตัวอย่างระบบการจัดการพลังงานในอาคาร
การตรวจสอบพืIนที>ภายในอาคารที>ไม่มีการใช้งาน เพื>อปิ ดการใช้ไฟฟ้ าแสงสว่างและการปรับอากาศในพืIนที>นI นั ๆ
การควบคุมอุณหภูมินI าํ เย็นในขดท่อนํIาเย็นให้สอดคล้องกับความเย็นที>ตอ้ งการ
การปิ ดปั‘ มนํIาเย็นในช่วงที>ภาระการทําความเย็นตํา
การปิ ดไฟฟ้ าแสงสว่าง เครื> องปรับอากาศ ลิฟต์ ฯลฯ ในช่วงเวลาที>ไม่ใช้งานอาคาร (นอกชัว> โมงทํางาน)
การควบคุมความเร็ วของพัดลมเพื>อเปลี>ยนแปลงความต้องการอากาศ
ระบบเก็บสะสมนํIาเย็นหรื อนํIาแข็งในช่วงที>มีความต้องการใช้ไฟฟ้ าตํ>า แล้วนํามาใช้ในช่วงที>มีความต้องการใช้ไฟฟ้ าสู ง
เพื>อประหยัดค่าไฟฟ้ า
ควบคุมการปิ ด-เปิ ดอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม
ประโยชน์ที>ได้รับจาการกําหนดนโยบายด้านพลังงานขององค์กร
ประหยัดพลังงาน
ลดค่าใช้จ่ายสําหรับเครื> องปรับอากาศหรื อระบบทําความเย็น
ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยรวม
มีผลกําไรสูงขึIน สามารถนําเงินที>ประหยัดได้มาสนับสนุนกิจกรรมด้านอื>นๆ ได้
ฯลฯ
รายการเอกสารอ้ างอิง
1. กฎกระทรวง (พ.ศ.2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติการส่งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535
2. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, เอกสารเผยแพร่ B1
3. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, เอกสารเผยแพร่ B4, บุฉนวนกันความร้อนช่วยประหยัดพลังงาน
4. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, เอกสารเผยแพร่ B8
5. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, เอกสารเผยแพร่ B9, การประหยัดไฟฟ้ าในระบบปรับอากาศสําหรับอาคารสํานักงาน
6. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, TRC Ref EM TB1-B2-T
7. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, TRC Ref EM TB2-B1-T
8. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, TRC Ref EM TB2-B4-T
9. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, TRC Ref EM TB2-B5-T
10. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, คู่มือการอนุรักษ์พลังงานในอาคาร, 2536
11. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, สกอ/65/9-42/วช/TT01, เอกสารเผยแพร่ การออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน "การใช้กระจก"
12. กรมพัฒนาและส่งเสริ มพลังงาน, สกอ/65/9-42/วช/TT02, เอกสารเผยแพร่ การออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน "การใช้ฉนวน"
13. กรมพัฒนาและส่ งเสริ มพลังงาน, สกอ/65/9-42/วช/TT03, เอกสารเผยแพร่ การออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน "การใช้วสั ดุและ
อุปกรณ์เพื>อการอนุรักษ์พลังงาน"
14. กองทุนเพื>อการส่งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน, สพช., NP 01/02/20, การออกแบบอาคารที>เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
15. กองทุนเพื>อการส่งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน, สพช., NP 01/03/20, หน้าต่างและกันสาด
16. กองทุนเพื>อการส่งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน, สพช., NP 01/05/20, การให้ความเย็นแก่อาคาร
17. กองทุนเพื>อการส่งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน, สพช., NP 02/01/04, การติดตัIงกันสาดเพื>อป้ องกันแสงแดด
18. กองทุนเพื>อการส่งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน, สพช., NP 03/01/04, การติดตัIงฉนวนใต้หลังคา
19. กองทุนเพื>อการส่งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน, สพช., NP 04/01/04, การใช้ประโยชน์จากแสงและลมจากธรรมชาติ
20. รศ.ดร.ตรึ งใจ บูรณสมภพ: การออกแบบอาคารที>มีประสิ ทธิภาพในการประหยัดพลังงาน
21. รศ.ดร.สมสิ ทธิ‹ นิตยะ: การออกแบบอาคารสําหรับภูมิอากาศเขตร้อนชืIน
22. ศ.ดร. สุนทร บุญญาธิการ: วัสดุประหยัดพลังงาน “การใช้กระจกยุคใหม่เพื>อการอนุรักษ์พลังงานและสิ> งแวดล้อม”
23. ศ.ดร.สุนทร บุญญาธิการ: การออกแบบประสานระบบ มหาวิทยาลัยชินวัตร
24. ศูนย์ทรัพยากรฝึ กอบรมเพื>อการอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, เอกสารเผยแพร่ แนวทางการ
ปฏิบตั ิงานที>ดี หมายเลข ``, การจัดการด้านพลังงานเพื>อลดค่าใช้จ่ายจากการใช้อุปกรณ์สาํ นักงานและระบบปรับอากาศ
25. Malaysia, Guidelines for Energy Efficiency in Buildings
26. Ministry of Energy Communications & Multimedia (MECM), Guide to Energy Efficiency at Office
27. Surapong Chirarattananon and Pichet Sriyonyong, A Method for Calculation of Daylight Illuminance for Atria
28. U.S. Dept. of Energy, Rebuild America, Energy Design Guidelins for High Performance Schools, Cool and Dry Climate
29. Wisconsin Department of Administration, Division of Facilities Development (DFD), June 2001
30. www.dedp.go.th
31. www.energydesignresources.com, designbrief
32. www.wbdg.org
1. บทนํา
ในบทนีIจะกล่าวถึงวิธีการประยุกต์ใช้แสงสว่างธรรมชาติภายในอาคารสํานักงานและอาคารที>ใช้งานในช่วงเวลากลางวัน คู่มือนีI ไม่ใช่ทI งั
คู่มือการออกแบบอาคารสําหรับสถาปนิ กและคู่มือสําหรับการออกแบบระบบไฟฟ้ าแสงสว่าง แต่เป็ นคู่มือเพิ>มเติมที> ใช้ประกอบการ
ออกแบบเพื>อการใช้งานแสงสว่างธรรมชาติภายในอาคารได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ
แสงสว่างธรรมชาติเป็ นแสงสว่างที>มีประสิ ทธิ ภาพสู งและมีความเหมาะสมสู งสุ ดสําหรับการใช้งานของมนุษย์ และปั จจุบนั ได้รับการ
พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า มนุษย์มีความพึงพอใจในแสงสว่างธรรมชาติ ไม่วา่ จะเป็ นในห้องทํางานหรื อในร้านค้าต่างๆ ในโรงเรี ยนที>
ใช้แสงสว่างธรรมชาติ นักเรี ยนสามารถเรี ยนรู ้ได้ดีกว่า ยิง> ไปกว่านัIน แสงสว่างธรรมชาติยงั มีขอ้ ได้เปรี ยบคือ เป็ นแสงสว่างที>ได้มาเปล่าๆ
ไม่ตอ้ งลงทุน และสามารถใช้งานได้ตลอดช่วงเวลาใช้งานของอาคารที>มีการใช้งานในเวลากลางวัน
สําหรับประเทศไทยซึ> งตัIงอยูใ่ นเขตอากาศแบบร้อนชืI น มีอากาศร้อนตลอดทัIงปี การนําแสงสว่างธรรมชาติเข้ามาช่วยในการส่ องสว่าง
ภายในอาคารนับว่าเป็ นสิ> งที>ทา้ ทายความสามารถของผูอ้ อกแบบมาก เนื>องจากแสงสว่างจะนําเอาความร้อนเข้ามาในอาคารด้วย และความ
ร้อนก็เป็ นสิ> งต้องห้ามสําหรับอาคารในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ>งอาคารที>มีการปรับอากาศ เพราะความร้อนจะทําให้ภาระของการ
ปรับอากาศสู งขึIน ดังนัIนการนําแสงสว่างธรรมชาติเข้ามาใช้งานในอาคารจึงต้องหลีกเลี>ยงรังสี อาทิตย์โดยตรง (Direct Sunlight) และ
เลือกใช้เฉพาะแสงสว่างจากรังสี แบบกระจาย (Diffuse daylight) เท่านัIน ประเทศในเขตร้อนที>อยูใ่ กล้เส้นศูนย์สูตร จะมีความยาวของ
ช่วงเวลากลางวันประมาณ p` ชัว> โมงต่อวัน ดังนัIนอาคารที>ใช้งานในช่วงเวลากลางวัน เช่น อาคารสํานักงานและสถานศึกษาจึงสามารถ
ออกแบบให้ใช้งานแสงสว่างธรรมชาติเป็ นแสงสว่างหลักสําหรับอาคารได้ตลอดช่วงเวลาการใช้งานของอาคาร
แสงสว่างธรรมชาติเป็ นแสงสว่างที>มีประสิ ทธิ ภาพสู งมาก เราสามารถประเมินประสิ ทธิ ภาพของแสงสว่างธรรมชาติได้โดย นําปริ มาณ
แสงสว่าง มีหน่วยเป็ น ลูเมน (Lumen) เปรี ยบเทียบกับความร้อนที>มาพร้อมกับแสงสว่าง มีหน่วยเป็ น วัตต์ (Watts) ซึ> งความร้อนดังกล่าว
เป็ นสิ> งที>เราไม่ตอ้ งการ แสงสว่างจากรังสี แบบกระจายของดวงอาทิตย์มีค่าประสิ ทธิ ภาพของแสงสว่างประมาณ p`… ลูเมน/วัตต์ ซึ> งมีค่า
เป็ น ` เท่าของประสิ ทธิภาพของแสงสว่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดา ซึ>งมีค่าประสิ ทธิภาพของแสงสว่างประมาณ “…… ลูเมน/วัตต์
อย่างไรก็ตาม แม้วา่ แสงสว่างจากรังสี แบบกระจายจะมีประสิ ทธิภาพสูง แต่ก็ทาํ ให้เกิดความร้อนขึIนภายในอาคารและยังทําให้เกิดภาวะที>
ไม่สบาย (discomfort) แก่ผูใ้ ช้อาคารด้วย ทัIงนีI เพราะโดยปกติแล้ว ปริ มาณแสงสว่างและความร้อนของรังสี กระจายที>ผ่านเข้ามาภายใน
อาคารมีค่าสูงกว่าความต้องการในการให้แสงสว่างภายในห้องหรื ออาคารมาก
Luminous Efficacy of Light Sources
140
120
100
80
Lumen/watt
60
40
20
0
Incandescent Low voltage Fluorescent lamp Direct sunshine Clear sky daylight
halogen
LUX
out
Daylight Factor = LUX in / LUX
out
DIRECT
DIFFUSE
LUX
in
5m
SLANTED CEILING
DAYLIGHT WINDOWS
VISION WINDOW
5m
Glazing System U-value Solar Heat Gain Visible Light Transmission Visible light transmission
( 6 mm glass ) W/m2K Coefficient, % Coefficient % Solar Heat Gain Coefficient
Single Glazing, clear 5.91 81 89 1.10
Single Glazing, tinted grey 5.91 56 43 0.77
Single Glazing, reflective 5.91 29 20 0.69
Double Glazing, clear 2.71 70 78 1.11
Double, Low E 1.70 65 73 1.12
(hard coat, argon)
Double, Low E 1.70 34 55 1.62
(hard coat, argon, spectrally selective)
ที มา : 1997, Ashrae Fundamentals, p 29.8 and p 29.25
กระจก ` ชัIน (double pane glazing) ทุกชนิดในตารางมีการเคลือบผิวด้วยวัสดุสะท้อนรังสี อาทิตย์ที>ดา้ นหนึ>งของกระจก ทําให้ช่วย
ลดการส่ งผ่านความร้อนจากกระจกแผ่นที>อยูด่ า้ นนอก (outer pane) ไปยังกระจกแผ่นที>อยูด่ า้ นใน (inner pane) ซึ> งจะทําให้ค่า U-value
ของกระจกลดลง ถ้าบรรจุก๊าซเฉื> อยเข้าไปแทนที>ช่องว่างอากาศตรงกลางกระจก จะทําให้การพาความความร้อน (convection) จากกระจก
ด้านนอกไปยังกระจกด้านในลดลงได้อีกระดับหนึ> ง เนื> องจากก๊าซเฉื> อยมีคุณสมบัติการพาความร้อนที>เลวกว่าอากาศ ดังนัIนค่า U-value
ของกระจกจึงตํ>าลงไปอีก
Ratio Orientation
R1 North South East West
0.30 – 0.40 0.80 0.80 0.80 0.80
0.50 – 0.70 0.70 0.70 0.70 0.70
0.80 – 1.20 0.70 0.70 0.60 0.60
1.30 – 2.00 0.66 0.66 0.50 0.50
R1 = With of horizontal projection
Height of window
Note : Data from Malaysia/Kuala Lumpur.
Data are indicative for Bangkok, Thailand
Ratio Orientation
R2 North South East West
0.30 – 0.40 0.80 0.80 0.80 0.80
0.50 – 0.70 0.75 0.75 0.90 0.90
0.80 – 1.20 0.70 0.70 0.80 0.80
1.30 – 2.00 0.70 0.70 0.75 0.75
R2 = With of vertical projection
Length of window
Note : Data from Malaysia/Kuala Lumpur.
Data are indicative for Bangkok, Thailand
มีขอ้ สังเกตว่า ถึงแม้วา่ ชายคาหรื อครี บจะมีขนาดใหญ่มากขึIน แต่ค่า SC ก็จะมีค่าไม่ต>าํ ลงไปกว่า ….o…-….“… ซึ> งหมายความว่า รังสี
อาทิตย์มากกว่า o…% จะยังคงผ่านระบบอุปกรณ์กนั แดดเข้ามากระทบกระจกได้
a.
b.
โดยทัว> ไปแล้วพืIนที>สาํ นักงานส่วนที>เป็ นห้องหรื อเป็ นสัดส่วนเฉพาะ (a.) ควรจะมีสวิตช์ควบคุมการปิ ด-เปิ ดไฟฟ้ าแสงสว่างแยก
ออกเป็ น ` ส่วน คือ ส่วนที> p บริ เวณริ มด้านนอกของอาคารที>อยูใ่ กล้กบั หน้าต่างหรื อช่องเปิ ด (outer daylight zone) และส่ วนที>
` บริ เวณด้านในที>อยูห่ ่ างจากหน้าต่างเข้ามาในอาคาร (Inner daylight zone) โดยแต่ละส่ วนจะต้องมีสวิตช์ปิด-เปิ ดอยูภ่ ายใน
ห้อง เพื>อให้ผใู ้ ช้งานสามารถปิ ด-เปิ ดได้ตามความต้องการ
สําหรับพืIนที>สาํ นักงานรวมด้านนอก (b.) ต้องมีสวิตช์ควบคุมการปิ ด-เปิ ดไฟฟ้ าแสงสว่างแยกออกเป็ น ` ส่ วนเช่นเดียวกัน โดย
ขนาดของพืIนที>แต่ละส่วนไม่ควรเกิน o… ตารางเมตร และแต่ละส่วนจะต้องมีสวิตช์ควบคุมแยกส่วนกัน ทัIงนีIเพื>อให้ผูใ้ ช้งานเลือกปิ ด-เปิ ด
ได้ตามความต้องการในการใช้งาน
เมื> อมี การใช้ระบบควบคุ มแบบอัตโนมัติ เช่ น อุปกรณ์ ตรวจจับแสงสว่าง และ/หรื อ อุปกรณ์ ตรวจจับการเคลื>อนไหว ควร
ออกแบบระบบดังกล่าวให้เป็ นแบบ “ปิ ดอัตโนมัต”ิ (automatic shut off) เท่านัIน ไม่ควรเป็ นแบบเปิ ดอัตโนมัติ กล่าวคือ ควรออกแบบให้
เป็ นระบบควบคุมแบบ “Manual on, Automatic off” ระบบนีI ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถทําให้ผูใ้ ช้งานอาคารมีความพอใจและมี
ความสะดวกสูงสุด ขณะเดียวกันก็สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้ าแสงสว่างได้สูงสุดเช่นกัน
1. บทนํา
การประหยัดพลังงานแสงสว่าง สามารถทําได้โดย
การประหยัดแสงสว่าง โดยการปิ ดเมื>อไม่ใช้งาน การติดตัIงอุปกรณ์ควบคุมการเปิ ดปิ ดแสงสว่าง การปรับหรี> แสงสว่างลงโดยการลด
หลอดหรื อใช้อุปกรณ์ปรับหรี> แสงสว่าง เป็ นต้น
การประหยัดพลังงาน โดยการใช้อุปกรณ์ประสิ ทธิ ภาพสู ง การใช้แสงธรรมชาติมาช่วยส่ องสว่าง การหมัน> ทําความสะอาดโคมไฟ
และหลอดไฟ การเลือกใช้สีผนังห้องและสี เฟอร์นิเจอร์ที>มีสีอ่อน เป็ นต้น
การประหยัดพลังงานแสงสว่าง สามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้ แต่หากการประหยัดแสงสว่าง แล้วทําให้ประสิ ทธิ ภาพในการทํางานลดลง
เกิดอุบตั ิเหตุ อาชญากรรม หรื อ การสูญเสี ยอื>นๆ จากสภาพที>ไม่ปลอดภัย เช่นนัIนแล้วก็อาจไม่เหมาะสมและไม่ประหยัดค่าใช้จ่ายสุ ทธิ ที>
แท้จริ ง ดังนัIนการมุ่งเน้นเพียงแค่ประหยัดแสงสว่างจึ งอาจไม่ใช่ส>ิ งที>เราต้องการ แต่ส>ิ งที>ตอ้ งการ คือ การใช้พลังงานแสงสว่างอย่างมี
ประสิ ทธิภาพ ให้มีระดับการส่องสว่างที>เพียงพอ เหมาะสม และ ให้ได้คุณภาพของแสงสว่างที>ดี ซึ>งจะเกิดได้จากการออกแบบที>เหมาะสม
เช่น เลือกใช้อุปกรณ์ประสิ ทธิภาพสูง การใช้แสงธรรมชาติเข้าช่วย ฯลฯ
คุณภาพของแสงสว่างที>ดี จะประกอบด้วย
1) การมีระดับการส่องสว่างที>เพียงพอ
2) การมีความสมํ>าเสมอของการส่องสว่าง และ ความสว่าง
3) การมีสีของแสง ที>ให้ความถูกต้องของสี ในการมองเห็น
4) การควบคุมแสงบาดตา
5) การควบคุมทิศทางของแสง
ตาม พรบ. การส่ งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. `ogo ได้แนะนําให้เราใช้มาตรการ การใช้แสงสว่างอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ และ ตามกฎ
กระทรวงฯ (พ.ศ. `og‡) ซึ>งไม่เพียงแต่กาํ หนดอัตราการใช้กาํ ลังไฟฟ้ าส่องสว่างสูงสุด (วัตต์ต่อตารางเมตรของพืIนที>ใช้งาน) แต่ยงั ได้ระบุ
ให้ การส่องสว่างจะต้องให้ได้ระดับความส่องสว่างสําหรับงานแต่ละประเภทอย่างเพียงพอตามหลักและวิธีการที>ยอมรับได้ทางวิศวกรรม
อีกด้วย ซึ> งการใช้พลังงานแสงสว่างอย่างมี ประสิ ทธิ ภาพจะขึIนกับอุปกรณ์ และองค์ประกอบต่างๆ หลายปั จจัย เพื>อให้ได้แสงสว่างที>
ประหยัดพลังงาน และ ได้คุณภาพของแสงสว่างที>ดี ซึ> งบทความนีI จะได้แนะนํา และ กล่าวถึงข้อควรระวังต่างๆ เพื>อเป็ นแนวทางแนะนํา
สําหรับผูอ้ อกแบบแสงสว่างให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิ ทธิภาพต่อไป
ความส่ องสว่ าง (Illuminance: E) เป็ น ปริ มาณแสงที> ตกกระทบบนพืIนผิวต่อพืIน ที> อาจเรี ยกว่า ระดับความสว่าง (Lighting
Illuminance level) เพื>อบอกว่าพืIนที>นI นั ๆ ได้รับแสงสว่างมากน้อยเพียงใด มีหน่วยเป็ น ลูเมน ต่อ ตร.ม. (lm/m`) หรื อ lx (lux) (หน่วย
ลูเมน ต่อ ตร.ฟุต หรื อ ฟุตแคน-เดิล (Footcandle) มีค่าเทียบเท่ากับ p….’“ lx) ค่าที>เหมาะสมสําหรับแต่ละ
พืIนที> ได้มีมาตรฐานแนะนําไว้ในเอกสาร TIEA-GD ……g
โทนสีเย็น เช่น สี คูลไวต์ และ สี เดย์ไลต์ เหมาะสําหรับการใช้งานที>ตอ้ งการความสว่างมาก จะให้ความรู ้สึกกระฉับกระเฉง จึงเหมาะ
สําหรับการทํางาน เช่น ห้องทํางาน และ เหมาะสําหรับส่องให้อาหารพืชผักสี เขียวดูสด น่ารับประทาน เช่น ใช้ใน ร้านขายผัก ผลไม้
สี เขียว
แสงทีมีอณ
ุ หภูมสิ ีแตกต่ างกัน ส่ งผลให้ เราเห็นวัตถุมสี ีแตกต่ างกัน
(รู ป www.DIRECTIONPLAN.net)
ตัวอย่ างการเห็นสีของวัตถุทแตกต่
ี างกันออกไป เมือให้ แสงสีต่างกัน
ค่ าดัชนีความถูกต้ องของสี (Color Rendering Index, CRI หรือ Ra) เป็ นค่าที>บอกว่าแสงที>ส่องไปถูกวัตถุ ทําให้เห็นสี ของวัตถุได้
ถูกต้องมากน้อยเพียงใด ค่า Ra ไม่มีหน่วย มีค่าตัIงแต่ …-p…… โดยกําหนดให้แสงอาทิตย์กลางวัน เป็ นดัชนี อา้ งอิงเปรี ยบเทียบ ที>มีค่า
Ra = p…… เพราะแสงอาทิตย์กลางวันประกอบด้วยสเปกตรัมครบทุกสี เมื>อใช้แสงนีI ส่องวัตถุ แล้วสี ของวัตถุที>เห็นจะไม่มีความเพีIยน
ของสี แต่หากเลือกหลอดที>มีค่า Ra ตํ>า ก็จะทําให้เห็นสี เพีIยนไปได้ การเลือกหลอดไฟสําหรับแต่ละกิจกรรมจะมีขอ้ แนะนําว่าควร
เลือกหลอดที>ให้ความถูกต้องของสี ไม่นอ้ ยกว่าค่าที>แนะนําไว้ในมาตรฐาน TIEA-GD ……g
หลอดไส้แม้มีค่าอุณหภูมิสีต>าํ แต่ก็ให้แสงที>มีสเปกตรัมครบทุกสี จึงมีค่า Ra = p…… เช่นกัน ขณะที>แหล่งกําเนิ ดแสงอื>นๆ เช่น หลอด
ฟลูออเรสเซนต์ ซึ> งให้สเปกตรัมไม่ครบทุกสี จึงอาจให้สีของวัตถุภายใต้แสงนัIน เพีIยนไปจากความจริ งได้ จึงมีค่า Ra ตํ>ากว่า p……
ส่ วนหลอดที>ให้สเปกตรัมสี ที>มีความยาวคลื>นเดียว เช่น หลอดโลว์เพรสเชอร์ โซเดียม ซึ> งทําให้เห็ นวัตถุสีเหลืองถูกต้อง แต่สีอื>นจะ
เพีIยน มีค่า Ra ตํ>า … – go เป็ นต้น
ค่ าประสิทธิผลการส่ องสว่ าง (Luminous Efficacy) ค่าประสิ ทธิผล (Efficacy) คล้ายกับ ค่าประสิ ทธิ ภาพ (Efficiency) ตรงที>เป็ นการ
เปรี ยบเทียบสมรรถนะ เพื>อบอกว่าอุปกรณ์ดงั กล่าวจะให้สมรรถนะได้สูงเท่าไร แต่แตกต่างกันตรงที> ค่าประสิ ทธิ ภาพนัIน เป็ นการ
เปรี ยบเทียบเรื> องเดียวกัน ดังนัIนหน่วยจึงหักล้างกันหมด ทําให้ค่าประสิ ทธิภาพไม่มีหน่วย จึง นิยมเรี ยกเป็ น ร้อยละ หรื อ เปอร์ เซ็นต์
เช่ น ค่ า ประสิ ท ธิ ภ าพของโคมไฟ เป็ นต้น ส่ ว นค่ า ประสิ ท ธิ ผ ล จะเป็ นการเปรี ย บเที ย บต่ า งเรื> องกัน จึ ง ยัง คงมี ห น่ ว ย เช่ น ค่ า
ประสิ ทธิผลการส่องสว่างของหลอด เป็ นต้น
ประสิ ทธิผลการส่ องสว่ างของหลอด (Lamp Luminous Efficacy) คือ อัตราส่ วนระหว่างปริ มาณแสงที> หลอดเปล่งออกมาได้
(ปริ มาณฟลักซ์การส่ องสว่างที> ออกจากหลอด โดยทัว> ไปวัดที> ค่าฟลักซ์การส่ องสว่างเริ> มต้น คือ หลังหลอดทํางาน p…… ช.ม.) ต่อ
กําลังไฟฟ้ าที>หลอด ซึ>งจะเรี ยกว่า ค่าประสิ ทธิผลการส่องสว่างของหลอด มีหน่วยเป็ น ลูเมน/วัตต์
แต่หากค่ากําลังไฟฟ้ าที> ใช้ ไม่ใช่ค่ากําลังไฟฟ้ าที> หลอด แต่เป็ นค่ากําลังไฟฟ้ าของวงจร ซึ> งเป็ นค่ากําลังที>หลอดรวมบัลลาสต์ ก็จะ
เรี ยกว่า ค่าประสิ ทธิ ผลการส่ องสว่างของวงจร (Circuit Luminous Efficacy หรื อ System Luminous Efficacy) หรื อ ค่าประสิ ทธิ ผล
การส่องสว่างของหลอดรวมบัลลาสต์
ค่ าดัชนีคุณภาพ (Quality Index) ของบัลลาสต์ เป็ น ค่าที> ใช้บอกประสิ ทธิ ภาพการใช้พลังงานของบัลลาสต์ หมายถึง อัตราส่ วน
ระหว่างกําลังไฟฟ้ าที>บลั ลาสต์จ่ายให้หลอด หรื อ กําลังไฟฟ้ าที>หลอด (lamp power) กับ กําลังไฟฟ้ าสู ญเสี ยในบัลลาสต์ (ballast loss)
เช่น ค่าดัชนีคุณภาพขัIนตํ>าของ บัลลาสต์กาํ ลังสูญเสี ยตํ>า (low loss ballast) สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบหลอดตรง g“ วัตต์ ควร
มีค่าไม่นอ้ ยกว่า “.…
ค่ าประสิทธิภาพของโคมไฟ (Luminaire Efficiency) เป็ น ค่าที>ใช้บอกประสิ ทธิ ภาพการให้แสงของโคมไฟ ซึ> งมาจากค่าอัตราส่ วน
ของแสงโดยรวมที>ออกจากโคมเมื>อเทียบกับแสงที>ออกจากหลอดที>ติดตัIง เช่น โคมฟลูออเรสเซนต์ตะแกรงโดยทัว> ไป อาจจะมีค่า
ประสิ ทธิภาพของโคมไฟ ประมาณ “… % แต่โคมฟลูออเรสเซนต์ตะแกรงแบบประสิ ทธิภาพสูง จะมีค่าประสิ ทธิภาพได้สูงมากถึง ‡…
% หมายความว่า หากหลอดเปล่งแสงออกจากหลอดคิดเป็ น p…… % เมื>อนําหลอดประเภทที>เหมาะสมกับโคมไฟดังกล่าวไปติดตัIงใน
โคมไฟประสิ ทธิภาพสูงก็จะให้แสงออกจากโคมไฟมากถึง ‡… %
ดังนัIนหากเลือกใช้โคมไฟที>มีประสิ ทธิภาพสูง ก็จะได้แสงออกจากโคมไฟมาก และ สามารถลดจํานวนโคมไฟที>จาํ เป็ นต้องติดตัIงลง
ซึ>งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตัIงและบํารุ งรักษาได้ (การเลือกโคมไฟที>ดี นอกจากพิจารณาค่าประสิ ทธิ ภาพของโคมไฟแล้ว
ยังจําเป็ นต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบอื>นๆ ประกอบกันด้วย เช่น การจํากัดแสงบาดตา เป็ นต้น)
แสงบาดตา (Glare) หมายถึง สภาพแสงที>เข้าตาแล้วทําให้มองเห็นวัตถุได้ยากหรื อมองไม่เห็นเลย แสงบาดตาแบ่งได้เป็ น ` ลักษณะ
ใหญ่ คือ แสงบาดตาแบบไม่สามารถมองเห็นได้ (disability glare) เป็ นแสงบาดตาประเภทที>ไม่สามารถมองเห็นวัตถุได้ เช่น มีแสง
เข้าตามากจนไม่สามารถมองเห็นวัตถุได้ อาทิ แสงจ้าจากดวงอาทิตย์ และ แสงบาดตาแบบไม่สบายตา (discomfort glare) เป็ นแสง
3. การออกแบบระบบไฟฟ้าแสงสว่ าง
การออกแบบแสงสว่างให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิ ทธิภาพนัIน เราจําเป็ นต้องทราบ และ เข้าใจถึงหลักการ และ องค์ประกอบต่างๆ ที>มีผล
ต่อการประหยัดพลังงาน ซึ>งได้แก่
3.1 หลักการให้ แสงสว่ าง (Lighting Concept)
การออกแบบระบบแสงสว่างที> มีประสิ ทธิ ภาพสู งนัIน ต้องเริ> มจากการทําความเข้าใจกับพืIนที> ที>จะใช้แสงสว่าง คื อ ศึ กษาถึ ง
ประเภทหรื อชนิดของงานที>จะกระทําในพืIนที>นI นั ๆ ว่าเป็ นงานชนิ ดใด มีการทํางานในเวลาใด และต้องการระดับความสว่างสู งมากน้อย
เพียงใด โดยคํานึงถึงขนาดชิIนงาน ค่าการสะท้อนแสง ความเปรี ยบต่าง (Contrast) และการเคลื>อนไหวของชิIนงาน รวมทัIงระยะห่ างจาก
ผูป้ ฏิบตั ิงาน และ สภาพแวดล้อมของพืIนที>นI นั ๆ ด้วย เช่น ความสู งของเพดาน ช่องแสง หลักการให้แสงสว่างโดยทัว> ไปจะมีจุดมุ่งหมาย
หลัก g ประการ คือ
1) เพื>อการทํางาน อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ เช่น แสงสว่างโต๊ะทํางาน แสงส่ องให้พืชโต แสงฆ่าเชืIอ แสงสว่างไฟถนน แสงสว่าง
ลานจอดรถ เป็ นต้น
2) เพื>อความปลอดภัย เช่น แสงสว่างไฟถนน แสงสว่างไฟรัIว แสงสว่างระบบรักษาความปลอดภัย แสงสว่างลานจอดรถ เป็ นต้น
- การทาสี ผนังห้องหรื อ การติดกระดาษปิ ดฝาผนัง (wallpaper) ควรเลือกสี อ่อน เช่น สี ขาว จะช่วยให้หอ้ งสว่างและดูกว้าง
ขึIน
- ห้องที>ตกแต่งด้วยไม้ สี และผิวด้านของไม้จะดูดกลืนแสง หากใช้ไม้สีเข้มก็จะยิ>งทําให้ความสว่างภายในห้องลดลงมาก
ดังนัIนหากมีการตกแต่งห้องด้วยไม้ ก็อาจจําเป็ นต้องติดตัIงโคมไฟเพิ>มขึIน เพื>อเผื>อการลดลงของแสงจากการดูดกลืนแสง
ของไม้ และ/หรื อ ติดตัIงโคมไฟเฉพาะที> เช่น โคมไฟตัIงโต๊ะบริ เวณโต๊ะทํางาน
- หากมีการกัIนห้องด้วยผนังลอย (partition) จะทําให้ความสว่างลดลงได้ถึง `… % ดังนัIนหากมีการกัIนห้องด้วยผนังลอย
เช่น พืIนที>สาํ นักงานทัว> ไปที>จะใช้ผนังลอย ก็จาํ เป็ นต้องติดตัIงโคมไฟเพิ>มขึIน เพื>อเผื>อการลดลงของแสงจากการดูดกลืน
แสงของผนังลอย โดยการเพิ>มโคมไฟให้แสงสว่างทั>วพืIนที> ที> เพดาน หรื อ เพิ>มโคมไฟเฉพาะที> ที> เหนื อโต๊ะทํางาน
มิฉะนัIนแล้วจะทําให้ความสว่างที>ได้ต>าํ กว่ามาตรฐานที>ควรเป็ น
โต๊ะทํางาน
- ควรเลือกใช้โต๊ะที>มีผิวหน้าโต๊ะ สี อ่อน และ มีผิวด้าน เช่น โต๊ะสี ขาวด้าน
- ไม่ควรใช้โต๊ะทํางานที> มีผิวโต๊ะสี ดาํ เพราะจะทําให้กล้ามเนืI อตาเมื>อยล้าได้ง่ายจากการอ่านเอกสารสี ขาวตัดกับโต๊ะสี ดาํ
และ ไม่ควรใช้โต๊ะที>มีผิวมันหรื อผิวกระจก เพราะอาจจะสะท้อนแสงของของโคมไฟส่องลงทําให้เกิดแสงบาดตา แต่ถา้
หากมีโต๊ะสี ดาํ ผิวมันหรื อผิวกระจกอยู่ การแก้ไขโดยใช้ผา้ คลุมโต๊ะสี ขาวจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างประหยัดพลังงาน
มากกว่าการเลี>ยงไปใช้โคมไฟส่องขึIน
เฟอร์นิเจอร์ภายในห้อง
- หากใช้เฟอร์ นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอีI ตู ้ สี อ่อนจะช่วยทําให้หอ้ งสว่างเพิ>มขึIน แต่หากใช้สีเข้มจะทําให้ความสว่างของห้องลดลง
ซึ>งทําให้อาจจําเป็ นต้องติดตัIงโคมไฟเพิ>ม เพื>อให้มีระดับความสว่างเพิ>มขึIน
- กองกระดาษเอกสารในห้อง สันกระดาษจะดูดกลืนแสง ลดการสะท้อนแสง ทําให้ความสว่างลดลงได้ ดังนัIนจึ งควรนํา
กองเอกสารที>ไม่ได้กาํ ลังใช้งาน ออกจากห้องทํางานไปเก็บไว้ในห้องเก็บเอกสาร
พืIนห้อง
- การเลือกพืIนห้องสี อ่อน เช่น หิ นอ่อนสี ขาว จะช่วยสะท้อนแสงได้ดี เพิ>มความสว่างของห้องได้ดีกว่า การใช้พIืนไม้
- การเลื อกใช้พรม จะดู ดกลื นแสง ทําให้ความสว่างของห้องลดลง ซึ> งทําให้อาจจําเป็ นต้องติ ดตัIงโคมไฟเพิ>ม เพื>อให้มี
ระดับความสว่างเพิ>มขึIน
ตารางที a.W ตัวอย่ างค่ าสัมประสิทธิyการสะท้ อนแสงของสีและวัสดุ
สี % การสะท้ อนแสง สี % การสะท้ อนแสง วัสดุ % การสะท้ อนแสง
ขาว 75-85 เขียวแก่ 15-20 ไม้สีอ่อน 25-35
เทาอ่อน 40-60 เหลืองอ่อน 60-70 ไม้สีแก่ 10-15
เทาแก่ 10-15 นํIาตาล 20-30 หิ นอ่อน 30-70
นํIาเงินอ่อน 40-50 แดงอ่อน 45-55 ปูนฉาบ 40-45
นํIาเงินแก่ 15-20 แดงแก่ 15-20 คอนกรี ต 20-30
เขียวอ่อน 45-55 ดํา 2-5 อิฐเผา 10-15
ตารางแสดงตัวอย่ าง ค่ าระดับความส่ องสว่ าง (Illuminance) สําหรับพืนC ทีทํางานและกิจกรรมต่ างๆ ภายในอาคาร ตามมาตรฐาน TIEA-
GD ``a ของ สมาคมไฟฟ้าแสงสว่ างแห่ งประเทศไทย
5. การเลือกหลอดไฟฟ้า
แต่หากเป็ นการคิดกําลังไฟฟ้ าของหลอดรวมบัลลาสต์ หรื อ ของวงจร เราเรี ยกว่า ค่าประสิ ทธิ ผลการส่ องสว่างของหลอดรวมบัล
ลาสต์ หรื อ ค่าประสิ ทธิ ผลการส่ องสว่างของวงจร (Circuit Luminous Efficacy) (การคิดต้องรวมค่ากําลังสู ญเสี ยในบัลลาสต์ จากข้อมูล
ของบัลลาสต์ ยีห> อ้ รุ่ นที>เลือกใช้ มารวมในการคิดค่ากําลังไฟฟ้ าของวงจรด้วย)
หลอดไฟมีอยูห่ ลายชนิ ด หลอดแต่ละชนิ ดก็มีคุณสมบัติทางแสงและทางไฟฟ้ าแตกต่างกัน การเลือกหลอดที>ประหยัดพลังงาน
ควรเลือกหลอดที> มีประสิ ทธิ ผลการส่ องสว่าง (ลูเมนต่อวัตต์) สู ง หลอดมีอายุการใช้งานนาน ราคาของหลอดเหมาะสม และ คุณสมบัติ
ทางแสงของหลอดเหมาะสมในการนําไปใช้งานด้วย
5.2 ประเภทของ หลอดไฟ (Lamp Type)
หลอดไฟ อาจแบ่งเป็ นประเภทใหญ่ๆ ได้ดงั นีI
1. หลอดทีใช้ หลักการเปล่ งแสงแบบอินแคนเดสเซนต์ เช่น หลอดไส้ หลอดฮาโลเจน
2. หลอดทีใช้ หลักการเปล่ งแสงจากการปล่ อยประจุในหลอดก๊ าซดิสชาร์ จ เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดคอมแพกต์ฟลูออ
เรสเซนต์ หลอดไอปรอทความดันไอสู ง หลอดเมทัลฮาไลด์ หลอดโซเดี ยมความดันไอตํ>า หลอดโซเดี ยมความดันไอสู ง
หลอดเหนี>ยวนํา ฯลฯ
3. หลอดทีใช้ หลักการอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หลอด LED (Light Emitting Diode)
โดยประเภทของหลอดชนิดต่างๆ สามารถแบ่งหมวดหมู่ ได้ตามแผนภาพ
หลอดไส้ GLS
หลอดพาร์ PAR, R
อินแคนเดสเซนต์ หลอดฮาโลเจน แรงดันไฟตํา ( 6 , 12 , 24 V )
หลอดฮาโลเจน แรงดันไฟบ้ าน ( 220 , 230 V )
หลอดสตูดโิ อ, หลอดถ่ ายรู ป
หลอดอืน ๆ
หลอดไฟ
หลอดฟลูออเรสเซนต์
ความดันไอตํา หลอดคอมแพกต์ ฟลูออเรสเซนต์
หลอดเหนียวนํา
หลอดโซเดียมความดันไอตํา
ดิสชาร์ จ
หลอดไอปรอทความดันไอสู ง
ความดันไอสู ง หลอดเมทัลฮาไลด์
หลอดโซเดียมความดันไอสู ง
วิวฒ
ั นาการของแสงประดิษฐ์ ทีปัจจุบันได้ มกี ารพัฒนาหลอด LED ทัCงในด้ านสี และ ความสว่ าง ทีดีขึนC ซึงแม้ จะมีค่าประสิทธิผลการส่ อง
สว่ างตํากว่ าหลอดก๊ าซดิสชาร์ จ แต่ กม็ จี ุดเด่ น คือ มีประสิทธิผลการส่ องสว่ างสู งกว่ าหลอดไส้ และ มีอายุการใช้ งานยาวนานกว่ าหลอดไส้
หลอดมีขนาดเล็ก และ มีความร้ อนตํามาก จึงนิยมใช้ ในการให้ แสงสว่ างไฟสัญญาณ
ทีมา: OSRAM
ข้ อดี ข้ อเสีย
ขนาดเล็ก เบา ติดตัIงและควบคุมทิศทางแสงได้ง่าย ชัว> โมง และต้องใช้หม้อแปลงประกอบ
หลอดกําลังสูง แรงดันไฟบ้าน ไม่ตอ้ งใช้หม้อแปลง แต่หลอด
มีอายุการใช้งานสัIน 500-1,000 ชัว> โมง
พลังงานสูญเสี ยก่อให้เกิดความร้อนสูงกว่า 80%
แสงมีความร้อน และ UV ทําให้วตั ถุที>แสงตกกระทบเป็ น
เวลานานกรอบและมีสีซีดจางลง (ยกเว้นหลอด ชนิดที>ให้แสง
เย็น แล้วให้ความร้อนออกด้านหลัง )
ตัวหลอดมีความร้อนสูง การใช้งานต้องระวังห้ามจับ
เลือกอุณหภูมิสีไม่ได้ และมีค่าตํ>า ประมาณ 3,000 K
หลอดอินแคนเดสเซนต์ เป็ นหลอดที>ไม่ประหยัดพลังงาน จึงนิ ยมใช้เฉพาะงานที> ตอ้ งการความสวยงาม ความถูกต้องของสี สูง
งานส่องเน้น การควบคุมมุมลําแสงได้ง่าย ซึ>งสามารถให้แสงเป็ นวงหรื อจุดได้ซ> ึ งหลอดประเภทอื>นให้ไม่ได้ สามารถปรับหรี> แสงได้ง่าย
และ งานที>ตอ้ งการแสงสว่างติดทันที
ก) ถ้าจําเป็ นต้องใช้หลอดประเภทนีI ควรพิจารณาเลือกใช้หลอดฮาโลเจน ซึ> งเป็ นหลอดที>ประหยัดพลังงานมากที>สุดในตระกูล
อินแคนเดสเซนต์ แต่ก็อาจไม่ประหยัดพลังงานเมื>อเทียบกับหลอดชนิดอื>นๆ
ข) กรณี ที>จาํ เป็ นต้องใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ เราสามารถยืดอายุการใช้งานของหลอดได้โดยใช้สวิตช์หรี> ไฟ หรื อ การต่อ
หลอด ` ชุดอนุกรมกัน ซึ>งก็จะทําให้ปริ มาณแสงที>ได้ลดลงไปด้วย
ค) หลอดฮาโลเจน โดยทัว> ไปมีค่าใช้จ่ายในการบํารุ งรักษา ประหยัดกว่าหลอดอินแคนเดสเซนต์ชนิ ดอื>นๆ และมีอายุการใช้งาน
นานกว่า อาจจะประมาณ `-g เท่า
ง) ในการติดตัIงหลอดฮาโลเจน หากมือเผลอไปจับถูกตัวหลอด ให้ทาํ ความสะอาดด้วยผ้าชุบแอลกอฮอล์ เพื>อป้ องกันคราบเกลือ
จากรอยนิIวมือไหม้ทาํ ให้หลอดมีอายุการใช้งานสัIนลง
จ) หากหลี กเลี> ยงได้ ไม่ควรใช้หลอดอิ นแคนเดสเซนต์หรื อหลอดฮาโลเจนในการให้แสงสว่างทั>วไปมากนัก เนื> องจากค่ า
ประสิ ทธิผลการส่องสว่างตํ>า ทําให้สิIนเปลืองพลังงานมาก
ฉ) หลอดมีขอ้ ดีในเรื> องการติดทันทีเมื>อป้ อนไฟฟ้ า และเมื>อแรงดันไม่สมํ>าเสมอ ลดลง ก็ยงั ให้แสงสว่างได้ แต่ปริ มาณแสงอาจ
ลดลง เหมาะสําหรับงานแสงสว่างฉุกเฉิ นที>มีการจ่ายไฟจากไฟฟ้ าสํารองได้
ช) การใช้สวิตช์หรี> ไฟ แบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ระวังฮาร์มอนิกไปรบกวนเครื> องใช้ไฟฟ้ าอื>นๆ และอาจมีเสี ยงฮัมจากสวิตช์หรี> ไฟ
หลอดฮาโลเจน
สี ของหลอด ที> นิยมใช้โดยทัว> ไป เป็ นสี ขาว g โทนสี คือ สี เดย์ไลต์ (daylight) สี คูลไวต์ (cool white) และ สี วอร์ มไวต์ (warm
white) ลักษณะหลอดและขนาดที> นิยมใช้งานกันทัว> ไป คือ แบบแท่งตรง (Linear Tubular) ขนาด p‡ และ g“ วัตต์ และ แบบวงกลม
(Circular) ขนาด ``, g` และ q… วัตต์
หลอดฟลูออเรสเซนต์ มีอายุการใช้งานยาวนาน ประมาณ ‡,………-`…,……… ชม. มีประสิ ทธิ ผลการส่ องสว่าง ประมาณ o… - ‰` lm/W
(ลูเมนต่อวัตต์) ถือว่ามีค่าสูงพอสมควรและประหยัดค่าไฟฟ้ าได้มากกว่าหลอดอินแคนเดสเซนต์ซ> ึงมีค่าประมาณ p…-po lm/W
หลอดฟลูออเรสเซนต์ ชนิดอุ่นไส้
หลอดฟลูออเรสเซนต์ เหมาะสําหรับงานที>เพดานสู งไม่เกิน o เมตร (ในกรณี ที>เพดานสู งเกินกว่า o-’ เมตร หลอดประเภทนีI
อาจไม่เหมาะเพราะต้องใช้จาํ นวนโคมมาก จะมีค่าใช้จ่ายในการบํารุ งรักษา และ เปลี>ยนหลอดที>แพงกว่าการใช้หลอดก๊าซ
ดิสชาร์จความเข้มสูง)
การใช้งานที>เพดานสูงเกินกว่า ’ เมตร ควรเลือกใช้หลอดก๊าซดิสชาร์จความเข้มสู ง แต่ถา้ จําเป็ นต้องใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์
ที>เพดานสูงเกินกว่า ’ เมตร ควรพิจารณาใช้หลอดชนิดติดเร็ ว(Rapid start) เพราะหลอดมีอายุการใช้งานนาน ประมาณ `…,………
ชม. จึงประหยัดค่าบํารุ งรักษาหลอดมากกว่าหลอดชนิ ดอุ่นไส้(Preheat) ที>มีอายุการใช้งานโดยเฉลี>ยประมาณ ‡,………-po,………
ชม.
การเลือกสี หลอด ให้ถูกต้องจะทําให้คุณภาพการให้แสงดีขI ึน สี ของหลอดฟลูออเรสเซนต์มีหลายสี เช่น สี เดย์ไลต์ (อุณหภูมิ
สี “,o…… K) คูลไวต์ (q,`……- q,o…… K) วอร์มไวต์ (`,’……-g,……… K) เป็ นต้น
- งานที>ตอ้ งการความส่ องสว่างสู งกว่า o…… ลักซ์ ควรเลือกใช้หลอดสี เดย์ไลต์
- งานที>ตอ้ งการความส่ องสว่าง g……-o…… ลักซ์ ควรเลือกใช้หลอดสี คูลไวต์
- งานที>ตอ้ งการความส่ องสว่างตํ>ากว่า g…… ลักซ์ ควรเลือกใช้หลอดสี วอร์ มไวต์
Q: หลอดคอมแพกต์ ฟลูออเรสเซนต์ มอี ายุการใช้ งานนานกว่ าหลอดไส้ † เท่ า ใช่ หรือ ไม่ ?
A: หลอดไส้โดยทัว> ไป มีอายุการใช้งานประมาณ p,……… ชม. ส่วนหลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์ มีอายุการใช้งานในช่วง p,……… -po,………
ชม. ให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ดังนัIนจึงไม่ได้มีอายุการใช้งานนานกว่า ‡ เท่าแต่ขI ึนกับชนิดหลอดที>เลือกใช้ และสภาพการใช้งาน
Q: ใช้ หลอดคอมแพกต์ ฟลูออเรสเซนต์ แทนหลอดไส้ จะคืนทุนภายในประมาณ กีเดือน ?
A: ระยะเวลาคืนทุนขึIนอยูก่ บั ราคาของหลอด อายุการใช้งานของหลอด และ จํานวนชัว> โมงที>เปิ ดใช้
ใช้หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์ แทนหลอดไส้ ในการส่ องสว่างทัว> ไป เช่น โคมไฟส่ องลง การใช้งาน ที>จาํ เป็ นต้องเปิ ด
ไฟไว้นานๆ เช่น ไฟรัIว ไฟทางเดิ น เพื>อช่วยประหยัดพลังงานได้ประมาณ ’… % ลดค่าใช้จ่ายในการบํารุ งรั กษา โดยจะมี
ระยะเวลาคืนทุนเร็ วถ้าหากมีการเปิ ดใช้งานนานหลายชัว> โมงต่อวัน ส่วนในการใช้งานโคมไฟตัIงโต๊ะจะช่วยลดความร้อนจาก
หลอดไฟได้
ตารางแสดงการเทียบเท่ าขนาดการส่ องสว่ างของหลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์
ขนาดกําลังไฟฟ้าของ
ขนาดกําลังไฟฟ้าของหลอดไส้ (วัตต์ ) ฟลักซ์ การส่ องสว่ าง (ลูเมน) หลอดคอมแพกต์ ฟลูออเรสเซนต์
เทียบเท่ าโดยประมาณ (วัตต์ )
25 ~ 230 ~5
40 ~ 430 ~9
60 ~ 730 ~ 13
75 ~ 960 ~ 18
100 ~ 1,380 ~ 25
ห้องเขียนแบบ ความส่องสว่าง ’…… lx ควรใช้หลอดอุณหภูมิสี q,o…… K เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ สี คูลไวต์ หรื อ สี เดย์ไลต์
6. การเลือกโคมไฟให้ ประหยัดพลังงาน
ตัวอย่ าง กราฟการกระจายความเข้ มส่ องสว่ างของโคมไฟ ซึงมีหลายลักษณะ โคมไฟแบบส่ องลงจะกระจายแสงลงด้ านล่ าง โคมไฟแบบ
ส่ องขึนK จะกระจายแสงขึนK ด้ านบน และ โคมไฟแบบส่ องขึนK และลง จะกระจายแสงทัKงขึนK ด้ านบนและลงล่ าง
γ
โคมไฟ
X
1.2 เมตร
X คือ ความสู งของโคมเหนือพืIน (g ม.) ลบด้วย ความสู งระดับสายตา (p.` ม.) = g – p.` ม.
H คือ ความยาวที>มากที>สุดจากตําแหน่ งนัง> ทํางานไปถึงโคมสุ ดท้ายในแนวทแยง
ในรู ปแสดงมุม γ ซึงวัดจากแนวดิงไปยังแนวของโคมไปยังเส้ นแนวสายตา โดยทัวไปเราจะพิจารณาแสงบาดตา ของมุม γ ตัKงแต่ 45
องศาเป็ นต้นไป จนถึงมุมใหญ่ ทสุี ด ของโคมไกลสุ ดทีมองเห็น เพือนําไปใช้ ในการพิจารณาแสงบาดตาในการเลือกโคมไฟ
a b c d e f g h
γ 85
75
65
55
45
103 2 3 4 5 6 7 8 9 104 2 3 4
สําหรับโคมไม่ มแี สงด้ านข้ าง หรือโคมยาวมองตามแนวยาว
ab c d e f g h
85
γ
75
65
55
45
103 2 3 4 5 6 7 8 9 104 2 3 4
สําหรับโคมทีมีแสงด้ านข้ าง หรือโคมยาวทีมีแสงด้ านข้ างและมองตามแนวขวาง
2. กําหนดระดับความส่ องสว่ างและคุณภาพแสงทีต้ องการ พิจารณาความต้องการ ว่าต้องการความส่องสว่างเท่าใด เช่น 7YY
ลักซ์ สําหรับห้องทํางานทัวไป และสมมุติวา่ ต้องการคุณภาพแสงทีดี ให้มีแสงบาดตาน้อยทีสุด ซึงได้แก่คุณภาพแสงเกรด (quality class)
A ดังตารางในรู ปที X_ เมือดูจากด้านล่างของตารางก็จะพบว่าตรงกับช่วง ‘c’ สําหรับความส่องสว่าง 7YY ลักซ์และคุณภาพแสง ‘A’ ดังนั'น
จึงควรเลือกโคมไฟทีมีเส้นลักษณะสมบัติของโคมในมุมองศา γ ไม่เกินช่วง ‘c’
3. นําค่ า γ และคุณภาพแสงทีต้องการไปพิจารณา นําค่า γ และเส้นกราฟทีได้จากข้อ _ ข้างต้นไปพิจารณากราฟแสงบาดตา จาก
ลักษณะของโคมไฟแบบต่างๆ ตามชนิดโคม เช่น ตัวอย่างในรู ปที X[ ถ้าเป็ นโคมไฟส่องลงไม่มีแสงด้านข้าง ก็พิจารณาจากกราฟที X โดย
พิจารณากราฟแสงบาดตาของโคมรุ่ นทีจะเลือกใช้ ว่าเส้นลักษณะสมบัติของโคม อยูท่ างด้านซ้ายของเส้น ‘c’ ของกราฟในรู ป หรื อไม่ ถ้า
กราฟแสงบาดตาของโคมอยูท่ างด้านซ้ายก็แสดงว่าโคมมีคุณภาพแสงตามทีต้องการ แต่ถา้ หากเส้นลักษณะสมบัติของโคมอยูท่ างด้านขวา
ของเส้น ‘c’ ก็แสดงว่า โคมรุ่ นนั'นมีแสงบาดตาเกินทีต้องการ
a b c d e f g h
γ 85
75
70
65
55
45
103 2 3 4 5 6 7 8 9 104 2 3 4
กราฟแสงบาดตาของโคมไฟ ที>ผผู้ ลิตให้มา
ตัวอย่ างกราฟแสงบาดตาของโคมไฟรุ่นหนึง
จากกราฟแสงบาดตาของโคมไฟทําให้ทราบว่าสําหรับ γ ที>คาํ นวณออกมาได้ สําหรับห้องที>พิจารณาข้างต้นสมมุติที> ’… องศานัIน
กราฟส่ วนที>อยูต่ >าํ กว่า γ ที>ค่า ’… องศาเท่านัIนที>จะนํามาพิจารณา เพราะเป็ นมุมมากที>สุดที>จะเกิดขึIนได้ภายในพืIนที>นI นั เมื>อพิจารณาจาก
กราฟแสงบาดตาของโคมที>ให้มาที>มุม γ ตํ>ากว่า ’… องศาลงมานัIน จะเห็นว่ากราฟแสงบาดตาของโคมอยูท่ างด้านซ้ายของเส้นกราฟ ‘c’
ซึ>งใช้สาํ หรับความส่องสว่าง o…… ลักซ์โดยมีคุณภาพแสงอยูใ่ นเกณฑ์ ‘A’
ถ้านําโคมที>มีกราฟแสงบาดตาดังกล่าว ไปใช้เพื>อส่องสว่างในห้อง ให้ได้ความส่ องสว่าง p,……… ลักซ์ ก็สามารถทําได้โดยพิจารณา
จากกราฟ ‘c’ ซึ>งจะเห็นว่ากราฟแสงบาดตาของโคมอยูท่ างด้านซ้ายของโคมทัIงหมดที>มุม γ น้อยกว่า ’… องศา และจากตารางที>กราฟเส้น
‘c’ มองขึIนไปหาช่อง p……… ลักซ์ก็จะได้คุณภาพแสงระดับ ‘B’ ซึ> งถือว่าดี (ถ้าเป็ นระดับ ‘C’ ถือว่าพอใช้ ‘D’ แสดงว่า มีแสงบาดตา ‘E’
แสดงว่า มีแสงบาดตามาก)
6.3 โคมฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Luminaire)
หลอดฟลูออเรสเซนต์เป็ นหลอดไฟที> ใช้กนั มากเพราะมีค่าประสิ ทธิ ผลการส่ องสว่างสู ง (Luminous Efficacy) โคมไฟสําหรับ
หลอดฟลูออเรสเซนต์จึงมีหลายรู ปแบบ เพื>อให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละชนิดแตกต่างกันไป ซึ>งสามารถสรุ ปเป็ นชนิดหลักๆได้ดงั นีI
1. โคมฟลูออเรสเซนต์เปลือย (Bare Type Luminaire)
2. โคมฟลูออเรสเซนต์โรงงาน (Industrial Luminaire)
3. โคมฟลูออเรสเซนต์กรองแสง (Diffuser Luminaire)
4. โคมฟลูออเรสเซนต์ตะแกรง (Louver Luminaire)
6.3.1 โคมฟลูออเรสเซนต์ เปลือย (Bare Type Luminaire)
เหมาะใช้กบั งานที>ตอ้ งการแสงออกด้านข้าง เช่น ติดเพดานที>ไม่สูงมากนัก โดยทัว> ไปไม่
เกิน q เมตร และไม่ตอ้ งการคุณภาพในการจํากัดแสงบาดตาจากหลอด เช่น ห้องเก็บของ ลาน
จอดรถภายในอาคาร ห้องนํIา และ พืIนที>ใช้งานไม่บ่อย และไม่ตอ้ งการความสวยงามมาก
ข้อควรระวังในการใช้โคมฟลูออเรสเซนต์เปลือย
1. โคมดังกล่าวไม่มีตวั ครอบ วัตถุภายนอกอาจมากระแทกกับหลอดทําให้หลอดแตกหลุดร่ วงได้
2. โคมดังกล่าวให้แสงบาดตาจากหลอด
ก) โคมกรองแสงแบบเกร็ดแก้ ว ข) โคมกรองแสงแบบขาวขุ่น
ตัวอย่ างโคมฟลูออเรสเซนต์ กรองแสงแบบฝังฝ้ า
ตัวอย่ างโคมฟลูออเรสเซนต์ กรองแสง x$• W แบบหน้ าแคบ $€ ซม. ทีเมือมองจากด้ านล่ างจะเห็นเสมือนว่ ามี • หลอด แสดงว่ าเป็ นโคม
ทีมีการพับแผ่นสะท้ อนแสง เน้ นให้ แสงลงมาด้ านล่ างเป็ นหลัก ไม่ ได้ การกระจายแสงไปด้ านข้ าง จึงเป็ นโคมเหมาะสําหรับติดตัKงเหนือโต๊ ะ
ทํางานแต่ ไม่ เหมาะสําหรับติดตัKงในสํานักงานเปิ ดทัวไปทีโต๊ ะทํางานอยู่กระจัดกระจาย
ทีมา: www.DIRECTIONPLAN.net
แผ่นสะท้อนแสงข้างหลอด (Reflector)
- สวิตช์นาฬิกาตัIงเวลา (Timer)
- สวิตช์ที>ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์ อินฟราเรด (Infrared sensor) ซึ> งทํางานโดยการตรวจจับความร้อนของคน เหมาะสําหรับการติดตัIง
ในพืIนที>ไม่กว้างนัก เช่น ทางเดิน แต่ไม่เหมาะสําหรับพืIนที>มีลมแอร์ผา่ น หรื อ ห้องนํIา หรื อ พืIนที>ที>ไม่ค่อยมีคนเคลื>อนไหว
- สวิตช์ที>ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์ ไมโครเวฟ (Microwave sensor) ซึ> งทํางานโดยการตรวจจับการเคลื>อนที> ผ่าน เหมาะสําหรับพืIนที>
บริ เวณกว้าง
- สวิตช์ที>ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์ อลั ตราโซนิ ก (Ultrasonic sensor) ซึ> งทํางานโดยการตรวจจับเสี ยงค่อยมากในระดับอัลตราโซนิ กที>
หู คนไม่ได้ยิน เหมาะสําหรับพืIนที> กว้างที> ตอ้ งการความไวสู ง เช่น ห้องประชุม ห้องนํIา แต่ไม่เหมาะสําหรับพืIนที> ที> มีลมแรง
บริ เวณที>มีการสัน> สะเทือน
9. การใช้ แสงอาทิตย์ ช่วยให้ ประหยัดพลังงาน (Daylighting)
ดวงอาทิตย์เป็ นแหล่งกําเนิดแสงธรรมชาติ แสงจากดวงอาทิตย์ตามปกติเป็ น แสงสี ขาว ซึ>งเกิดจากการรวมตัวกันของแสงครบทุกแถบสี ที>
มี ค่ า พลัง งานครบทุ ก สเปกตรั ม ที> มี ค วามต่ อ เนื> อ ง ประกอบด้ว ยคลื> น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ตัIง แต่ ช่ ว งที> ต าคนมองไม่ เ ห็ น จากย่า นรั ง สี
อัลตราไวโอเลต (รังสี เหนือม่วง) ที>ความยาวคลื>นสัIนกว่า g‡… นาโนเมตร ตลอดจน ช่วงที>ตาคนมองเห็น ในย่าน g‡…-’“… นาโนเมตร และ
ไปถึง ย่านรังสี อินฟราเรด (รังสี ใต้แดง) ที>มีความยาวคลื>นมากกว่า ’“… นาโนเมตร แสงจากธรรมชาติสามารถนํามาใช้เป็ นแหล่งกําเนิ ด
แสงสว่างได้ใน g ลักษณะ คือ
9.1 แสงแดด (Sunlight)
เป็ นแสงที>เกิดจากการแผ่รังสี จากดวงอาทิตย์โดยตรง ซึ> งมีความเข้มของแสงสู งมาก ให้แสงเป็ นลํา ที>มีรังสี ความร้อนอินฟราเรด
และ รังสี อลั ตราไวโอเลต จึ งไม่ควรนํามาใช้โดยตรง แต่ควรนํามาใช้โดยให้แสงแดดส่ องผ่านวัสดุกรองแสงที>มีลกั ษณะ กระจายแสง
(Diffusive translucent) หรื อ ใช้แสงสะท้อนกับวัสดุที>มีผิวสะท้อนแสง
9.2 แสงจากท้ องฟ้า (Skylight)
เป็ นแสงที>เกิดจากแสงแดด ที>ไม่ได้ส่องมาโดยตรง แต่มีการกระจาย หักเห และ การสะท้อนของแสงจากไอนํIาในท้องฟ้ า จึงทําให้
แหล่งกําเนิดแสงมาจากพืIนที>ทอ้ งฟ้ าบริ เวณกว้างหลายทิศทาง ไม่ได้ให้แสงเป็ นลําเหมือนเช่นแสงแดด จึงไม่มีแสงบาดตามาก เพราะให้
แสงที> กระจายแสง ดุจท้องฟ้ าเป็ นโคมไฟผืนใหญ่ ซึ> งเป็ นแสงที> สามารถนํามาใช้ได้โดยตรง เพราะไอนํIาในท้องฟ้ าช่วยกรองแสงใน
เบืIองต้น
9.3 แสงจากการสะท้ อนพืนK ผิวอืน (Light from Reflecting Surfaces)
เป็ นแสงที>เกิดจากการสะท้อนที>ผวิ วัตถุอื>น เช่น แสงสะท้อนจากแสงแดดที>ผิวดวงจันทร์ก็เป็ นแสงจันทร์ แสงสะท้อนจากแสงแดด
และ แสงสะท้อนจากท้องฟ้ าที> สะท้อนที> วตั ถุแวดล้อมหรื อพืIนผิวขนาดใหญ่ของอาคารใกล้เคียงก็สามารถเป็ นแหล่งกําเนิ ดแสงนีI ได้
เช่นกัน
แสงธรรมชาติ ที>นาํ มาใช้งานในช่วงเวลากลางวัน จากแหล่งกําเนิดแสงทัIง g ลักษณะ นิ ยมเรี ยกรวมกันว่า แสงกลางวัน(Daylight)
ส่วนแสงธรรมชาติ ที>นาํ มาใช้งานในช่วงเวลากลางคืน ซึ>งจะเหลือเฉพาะ ส่ วนของแสงสะท้อนพืIนผิวดวงจันทร์ เท่านัIน นิ ยมเรี ยกว่า แสง
จันทร์ (Moonlight)
การออกแบบสถาปั ตยกรรมของอาคาร ควรมีช่องเปิ ดให้มีการใช้แสงธรรมชาติช่วยส่ องสว่างทัว> ไป เช่น บริ เวณทางเดิน จะช่วย
ให้ประหยัดพลังงานไฟฟ้ าแสงสว่างได้
ก. หันหลังให้หน้าต่าง ข. หันด้ านซ้ ายให้ หน้ าต่าง ค. หันด้ านขวาให้ หน้ าต่าง ง. หันด้ านหน้ าให้ หน้ าต่าง
การจัดวางโต๊ ะริมหน้ าต่ าง พบว่ าลักษณะการวางโต๊ ะก็มีผลต่ อการนําแสงธรรมชาติมาใช้ เช่ น แบบ ก. หันหลังให้ หน้ าต่ าง และ แบบ ค.
หันด้ านขวาให้ หน้ าต่ าง ไม่ นิยมนําแสงธรรมชาติมาใช้ เพราะเงาจะรบกวนการมองเห็น ทําให้ ผู้ใช้ นิยมติดม่ านบังแสง ไม่ ได้ ใช้ แสง
ธรรมชาติและเปิ ดไฟใช้ แสงประดิษฐ์ แบบ ข. หันด้ านซ้ ายให้ หน้ าต่ าง และ แบบ ง. หันด้ านหน้ าให้ หน้ าต่ าง ซึงสามารถนําแสงธรรมชาติ
มาใช้ ได้ โดยอาจติดตัCงอุปกรณ์ ควบคุมแสงบาดตา เช่ น มู่ลี และอาจมีการเปิ ดใช้ แสงประดิษฐ์ เพือให้ ระดับความส่ องสว่ างเพียงพอต่ อการ
ใช้ งาน โดยปัจจัยกําหนดลักษณะการวางโต๊ ะ ก็ขึนC กับตําแหน่ งหน้ าต่ าง ประตู และ ทิศ
การออกแบบกรอบอาคาร โดยใช้ หลังคาโปร่ งแสง จากวัสดุ เช่ น กระเบือC งโปร่ งแสง เพือนําแสงธรรมชาติมาใช้ จะช่ วยประหยัดพลังงานได้
ซึงสามารถใช้ ได้ กับโรงงานทัวไป มีข้อควรระวัง คือ ต้ องระวังความร้ อนจากแสงแดด จึงควรพิจารณาการกรองแสง และ การลดความ
ร้ อน และ การใช้ แสงธรรมชาติจากแสงสะท้ อน ทีหลีกเลียงการใช้ แสงแดดโดยตรง
อาคารใหม่ สามารถออกแบบให้ ใช้ ท่อแสง (light pipe) เพือเป็ นช่ องส่ งผ่ านแสงอาทิตย์ เข้ ามาภายในอาคาร หรือ ใช้ ชCันสะท้ อนแสง (light
shelf) ช่ วยสะท้ อนแสงอาทิตย์ เป็ นการเพิมระยะลึกของการนําแสงอาทิตย์ เข้ ามาใช้ ภายในอาคารช่ วยประหยัดพลังงานได้
1 2 3 4
ข้ อดี
การวิเคราะห์ระยะเวลาคืนทุนอย่างง่าย มีการคํานวณที>ง่าย คนทัว> ไปเข้าใจง่าย เป็ นวิธีที>เหมาะใช้กบั การลงทุนจํานวนเงินไม่มาก
เพื>อบอกว่าการลงทุนนีIจะคืนทุนโดยประมาณเมื>อใด ควรไม่ลงทุนหรื อควรพิจารณาวิเคราะห์โดยละเอียดต่อไป ถึงอัตราผลตอบแทนการ
ลงทุนหรื อระยะเวลาคืนทุนโดยคํานึงถึงอัตราดอกเบีIย
ข้ อเสีย
ผลที>ได้โดยประมาณ แต่ไม่ถูกต้องในชีวติ จริ งนัก เพราะไม่ได้คาํ นึ งถึงมูลค่าของเงินตามเวลา (ไม่มีการคิดอัตราดอกเบีIย) ดังนัIน
ผลที>ได้จึงอาจผิดพลาดได้
การวิเคราะห์ ผล
ควรมีระยะเวลาคืนทุนไม่นานเกินอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ และ ไม่นานเกินระยะเวลารับประกัน
11.2 การวิเคราะห์ อตั ราผลตอบแทนการลงทุน (Internal Rate of Return: IRR)
ข้ อดี
เป็ นการวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุนโดยพิจารณาถึงอัตราดอกเบีIย(Interest) และอัตราผลตอบแทน(Rate of Return) (หรื อเรี ยก
อัตราส่วนลด[Discount Rate]) เพื>อเปรี ยบเทียบระหว่างทางเลือกหนึ>งกับอีกทางเลือกหนึ>ง เพื>อบอกว่าควรลงทุนอะไรดี
ข้ อเสีย
1. การคํานวณด้วยมือไม่สะดวก เพราะต้องใช้การ Trial & Error และ Interpolation ดังนัIนที> เหมาะจึ งต้องใช้โปรแกรม
คอมพิวเตอร์ช่วย
2. การคํานวณตัIงสมมติฐานจํานวนอายุการใช้งานของอุปกรณ์ เช่น บัลลาสต์กาํ ลังสู ญเสี ยตํ>า มีอายุการใช้งาน `… ปี บัลลาสต์
อิเล็กทรอนิกส์ มีอายุการใช้งาน ’ ปี โดยระยะเวลามีผลต่ออัตราการคืนทุน ซึ>งถ้าหากใช้ค่าที>ไม่เหมาะสม ค่าอัตราผลตอบแทนการลงทุน
ที>ได้ก็จะผิดพลาดมาก
การวิเคราะห์ ผล
1. ควรมีผลตอบแทนการลงทุนไม่นอ้ ยกว่าอัตราดอกเบีIยเงินกูจ้ ากสถาบันการเงิน
2. ต้อ งพิ จ ารณาถึ งทางเลื อ กอื> น ที> จะลงทุ นแล้ว ให้อ ัต ราผลตอบแทนดี ก ว่าหรื อ ไม่ หากเลื อ กลงทุ น ผิ ด จะเสี ย โอกาสหรื อ
ประโยชน์ที>ควรจะได้รับ
11.3 การวิเคราะห์ ระยะเวลาคืนทุนแท้ จริงโดยคํานึงถึงอัตราดอกเบียK (Complex Break Even / Payback period)
ข้ อดี
ให้ผลการวิเคราะห์ที>ถูกต้องใกล้เคียงสภาพการใช้จริ งและเหมาะสม มีการคิดอัตราดอกเบีI ยแบบดอกเบีI ยทบต้น (Compound
Interest) เพื>อบอกว่าการลงทุนนีIจะคืนทุนแท้จริ งเมื>อใด ควรลงทุนนีIหรื อไม่
ข้ อเสีย
1. การคํานวณด้วยมือไม่สะดวก ต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย
2. ผูใ้ ช้ควรมีพIืนฐานทางด้านการบัญชี เศรษฐศาสตร์ การเงิน จึงจะเจ้าใจวิธีคิด
การวิเคราะห์ ผล
ควรมีระยะเวลาคืนทุนที>แท้จริ ง ไม่นานเกินระยะเวลารับประกัน และ อายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ มิฉะนัIนจะเกิดความเสี> ยงของ
การลงทุนที>ไม่สามารถยอมรับได้
ตัวอย่ างผลการคํานวณ เช่ น
13. สรุ ป
การประหยัดพลังงานแสงสว่างมีความสําคัญ เพราะเป็ นการใช้พลังงานหลักอย่างหนึ>งของอาคาร วิธีการประหยัดสามารถทําได้ง่ายๆ โดย
การปิ ดไฟเมื>อไม่ใช้ และ นอกจากนัIนยังสามารถประหยัดได้มากขึIนถ้ามีการออกแบบที> เหมาะสม โดยเอาใจใส่ ในหลักการประหยัด
พลังงานตัIงแต่แรก
อย่างไรก็ตาม แสงสว่างก็มีผลต่อประสิ ทธิภาพในการทํางาน เพราะถ้าผูใ้ ช้มองเห็นได้ไม่ดี ก็ไม่สามารถทํางานให้ดีได้ ดังนัIนคงจะไม่เกิด
ประโยชน์ถา้ หากจะประหยัดแสงสว่าง แล้วส่ งผลให้ประสิ ทธิ ภาพในการทํางานต้องลดลง ดังนัIนการจะประหยัดพลังงานแสงสว่างได้
อย่างเหมาะสมจึ งจําเป็ นต้องใช้เทคนิ คและความรู ้ประกอบกัน เอกสารนีI ให้ขอ้ แนะนําเบืI องต้นสําหรับการออกแบบแสงสว่าง ให้ใช้
พลังงานได้อย่างมีประสิ ทธิภาพมากขึIน โดยกล่าวถึงข้อแนะนํา และ ข้อควรระวังที>จาํ เป็ นต้องพิจารณาต่างๆ
เอกสารอ้ างอิง
1. ระบบไฟฟ้ าแสงสว่าง, สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน, กระทรวงพลังงาน
2. ประโมทย์ อุณห์ไวทยะ, เทคนิคแสงสว่าง, p‰‡p
3. ดร.ชํานาญ ห่อเกียรติ, เทคนิคการส่องสว่าง, p‰‰’
4. ประสิ ทธิ‹ พิทยพัฒน์, การออกแบบและใช้งานระบบแสงสว่างอย่างมีประสิ ทธิภาพ, p‰‡’
5. ไชยะ แช่มช้อย, การเพิ>มประสิ ทธิภาพของการให้แสงสว่าง
6. ไชยะ แช่มช้อย, พืIนฐานวิศวกรรมการส่องสว่าง เล่มที> p, เอ็มแอนด์อี, `oqq
7. วัฒนา ถาวร, การส่องสว่าง
8. พิบูลย์ ดิษฐอุดม, การออกแบบระบบแสงสว่าง, ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้ า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี `o`‡
9. ศุลี บรรจงจิตร, วิศวกรรมการส่องสว่าง, ซีเอ็ด, `og‡
10. ธนบูรณ์ ศศิภานุเดช, การออกแบบระบบแสงสว่าง, ซีเอ็ด, `ogg
11. มงคล ทองสงคราม, วิศวกรรมการส่องสว่าง, `og“
12. TIEA-GD ……p แนวทางการประหยัดพลังงานไฟฟ้ าแสงสว่าง, สมาคมไฟฟ้ าแสงสว่างแห่งประเทศไทย
13. TIEA–GD ……` ข้อแนะนําการส่องสว่างสําหรับห้องที>มีจอคอมพิวเตอร์, สมาคมไฟฟ้ าแสงสว่างแห่งประเทศไทย
14. TIEA–GD ……g ข้อแนะนําระดับความส่องสว่างภายในอาคาร, สมาคมไฟฟ้ าแสงสว่างแห่งประเทศไทย
15. TIEA–SP ……` ศัพท์ไฟฟ้ าแสงสว่าง, สมาคมไฟฟ้ าแสงสว่างแห่งประเทศไทย
16. ว.ส.ท. `……q-qq มาตรฐานระบบไฟฟ้ าแสงสว่างฉุ กเฉิ นและป้ ายทางออกฉุ กเฉิ น, วิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทยในพระบรม
ราชูปถัมภ์
17. คุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน, กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
18. คู่มือการอนุรักษ์พลังงานในอาคาร, กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
19. รศ.วัฒนะ จูฑะวิภาต, ศิลปการออกแบบตกแต่งภายใน
20. เอกสารเผยแพร่ ฉบับที> Bg เรื> อง “ข้อแนะนําการประหยัดพลังงานในอาคาร”
21. เอกสารเผยแพร่ ฉบับที> B’ เรื> อง “หลอดไฟชนิดใหม่ช่วยประหยัดพลังงาน”
22. เอกสารเผยแพร่ รหัส I’ เรื> อง “การลดค่าใช้จ่ายด้วยการประหยัดพลังงาน”
23. เอกสารเผยแพร่ ชุด ประสิ ทธิภาพการใช้พลังงาน เรื> อง “หลอดไฟ และ บัลลาสต์”
24. เอกสารเผยแพร่ ชุด ความรู ้พIืนฐานเกี>ยวกับการใช้พลังงาน เรื> อง “แสงสว่าง”
25. เอกสารเผยแพร่ ชุด ความรู ้พIืนฐานเกี>ยวกับการใช้พลังงาน เรื> อง “หลอดไฟทัว> ไป”
26. เอกสารเผยแพร่ ชุด ความรู ้พIืนฐานเกี>ยวกับการใช้พลังงาน เรื> อง “หลอดฟลูออเรสเซนต์”
27. เอกสารเผยแพร่ ชุด ความรู ้พIืนฐานเกี>ยวกับการใช้พลังงาน เรื> อง “บัลลาสต์ประสิ ทธิภาพสูง”
28. เอกสารเผยแพร่ ชุด ความรู ้พIืนฐานเกี>ยวกับการใช้พลังงาน เรื> อง ”ระบบควบคุมปิ ด-เปิ ดไฟฟ้ าแสงสว่าง”
29. ’… เรื> องน่ารู ้เทคนิคไฟฟ้ า, รวมบทความเกี>ยวกับไฟฟ้ าจากวารสารเทคนิค (ชุดที> p)
30. op เรื> องน่ารู ้เทคนิคไฟฟ้ า, รวมบทความเกี>ยวกับไฟฟ้ าจากวารสารเทคนิค (ชุดที> `)
31. g“ เรื> องน่ารู ้เทคนิคไฟฟ้ า, รวมบทความเกี>ยวกับไฟฟ้ าจากวารสารเทคนิค (ชุดที> q)
2. การคํานวณภาระทางความเย็น
สภาพภูมิอากาศภายนอกและ Thermal Delay Effect ของผนังทึบ และผลการเปลี>ยนค่า Heat Gain เป็ นค่า Cooling Loadที>แปรตาม สภาพ
วัสดุภายในห้อง ส่ วนค่า SCL (Solar Cooling Load) จะเป็ นส่ วนหนึ> งของการแปลงผลของภาระความเย็น ที>เกิดขึIนจากการแผ่รังสี จาก
แสงอาทิตย์ ผ่านกระจก ที>คาํ นวณได้จากวิธี Transfer Function ให้อยูใ่ นรู ปของผลคูณของพืIนที>กระจกกับค่า SC (Shading Coefficient ซึ> ง
เป็ นคุณสมบัติของกระจกชนิด ต่างๆ) กับค่า SCL สําหรับการแปลงค่า Heat Gain เป็ นค่า Cooling Load
การคํานวณหาค่า Heat Gain จะประกอบไปด้วย
1. Heat Gain ผ่านผนังและหลังคาภายนอก
2. Heat Gain ผ่านกระจก
3. Heat Gain จากผนังด้านใน เพดานและพืIน
4. Heat Gain จากแหล่งภายใน
จากคน
จากไฟฟ้ าแสงสว่าง
จากอุปกรณ์ไฟฟ้ ากําลัง
จากอุปกรณ์ไฟฟ้ าอื>น
จากอากาศที>เข้าสู่อาคาร และจากการระบายอากาศ
2.3 รายละเอียดในการคํานวณ
ในการคํานวณจะคํานึงถึง ค่าต่างๆ ที>เกี>ยวข้องในการคํานวณภาระการทําความเย็น ดังนีI
Space instantaneous heat gain คืออัตราของความร้อนที>ถ่ายเทเข้าสู่ ภายในพืIนที> หรื อ อัตราความร้อนที> เกิดขึIนในห้องในเวลาขณะนัIน
ซึ>งความร้อนที>อยูใ่ นห้องจะแบ่งเป็ น ความร้อนสัมผัส และความร้อนแฝง ความร้อนสัมผัส จะทําให้อุณหภูมิภายในห้องเปลี>ยนแปลงไป
ในขณะที>ความร้อนแฝง จะเป็ นส่วนที>ทาํ ให้ ความชืIนภายในห้อง เปลี>ยนแปลงไป
Space cooling load คือค่าอัตราความร้อนที>จะนําออกจากห้องเพื>อรักษาอุณหภูมิ ของอากาศภาย ใน ห้องให้มีค่าคงที>
Space heat extraction rate คือค่าอัตราความร้อนที>จะต้องนําออกไปจากห้องที>มีการปรับสภาวะอากาศ
Cooling coil load คือค่าอัตราความร้อนที>ถูกดึงโดย คอล์ยเย็นซึ>งจะมีค่าเท่ากับ ผลรวมของ Space heat extraction rate ของห้องทุกห้องที>
ต้องจ่ายความเย็นจากคอล์ยเย็น มาบวกกับ ค่าความร้อนเพิ>มที> เกิด จากระบบจ่ายลม และ ความร้อนและความชืIนจากอากาศที>ถูกนําเข้าสู่
อุปกรณ์ทาํ ความเย็น
2.4 สภาพแวดล้ อมภายในทีใช้ ในการออกแบบ
สภาวะการปรับอากาศภายในอาคาร ที>ทาํ ให้มนุษย์ รู ้สึกสบาย ขึIนกับปั จจัยดังที>ได้กล่าวไปแล้วคือ
อุณหภูมิ
ความชืIนสัมพัทธ์
ความเร็ วลม
อุณหภูมิ ที>มีการแผ่ความร้อน (Radiant Temperature)
ปั จจัยลบที>มีผลต่อการระบายอากาศและการกําหนดสภาวะภายในพืIนที>ปรับอากาศ
ไอเสี ยจากรถยนต์ หรื อเครื> องยนต์ ต่างๆ เช่น CO, NOx, Sox และอนุภาคขนาดเล็กที>อาจเป็ นอันตราย กับปอด
อัตราการระบายอากาศมาตรฐานทีนิยมใช้ ในการออกแบบ
พืนC ที อัตราการระบายอากาศลูกบาศ์ กฟุตต่ อคน
พืIนที> สํานักงาน 20
ร้านอาหารและภัตตาคาร 20
ผับ บาร์ 30
ห้องพักในโรงแรม 30 (ต่อห้อง)
ห้องประชุม 15-20
ห้องในโรงพยาบาล 25
ห้องผ่าตัด 30
พืIนที>สูบบุหรี> 60
ร้านทําผม 25
ซุปเปอร์มาร์เก็ต 15
ห้องเรี ยน 15
ห้องทดลอง 20
ร้านขายของ 15
อ้ างอิงจาก ASHRAE 1989 ANSI/ASHRAE Standard 62-198, Ventilation for Acceptable Indoor Air Quality.
อัตราการระบายอากาศโดยวิธีกล
อัตราการระบายอากาศ
ลําดับ lสถานที (ประเภทการใช้ ) ไม่ น้อยกว่ าจํานวนเท่ าของ
ปริมาตรของห้ องใน 1 ชัวโมง
p ห้องนํIา ห้องส้วมของที>พกั อาศัยหรื อสํานักงาน `
` ห้องนํIา ห้องส้วมของอาคารสาธารณะ q
g ที>จอดรถที>อยูต่ >าํ กว่าระดับพืIนดิน q
q โรงงาน q
o โรงมหรสพ q
“ อาคารพาณิ ชย์ q
’ ห้างสรรพสิ นค้า q
‡ สถานที>จาํ หน่ายอาหารและเครื> องดื>ม ’
‰ สํานักงาน ’
p… ห้องพักในโรงแรมหรื ออาคารชุด ’
pp ห้องครัวของที>พกั อาศัย p`
p` ห้ อ งครั ว ของสถานที> จํ า หน่ ายอาคารและ `q
เครื> องดื>ม
สําหรับห้องครัวของสถานที> จาํ หน่ ายอาหารและเครื> องดื> มจะให้มีอตั ราการระบายอากาศน้อยกว่าที> กาํ หนดได้ แต่ตอ้ ง มี การ
ระบายอากาศคลุมแห่งที>เกิดของกลิ>น ควัน หรื อก๊าซที>ตอ้ งการระบาย ทัIงนีI ต้องไม่นอ้ ยกว่า 12 เท่าของปริ มาตร ของห้องใน 1 ชัว> โมง
สถานที>อื>นๆ ที>มิได้ระบุไว้ในตารางให้ใช้อตั ราการระบายอากาศของสถานที>ที>ลกั ษณะใกล้เคียงกัน
ตําแหน่งช่องนําอากาศเข้าโดยวิธกล ต้องห่ างจากที>เกิดอากาศเสี ยและช่องระบายอากาศทิIงไม่นอ้ ยกว่า 5.00 เมตร สู งจากพืIนดิน
ไม่นอ้ ยกว่า p.o… เมตร
การนําอากาศเข้าและการระบายอากาศทิIงโดยวิธีกล ต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่ประชาชน ผูอ้ ยูอ่ าศัย ใกล้เคียง
ข้อ 10 การระบายอากาศในอาคารสู งหรื ออาคารขนาดใหญ่พิเศษที> มีการปรั บภาวะอากาศด้วยระบบปรั บภาวะอากาศ ต้องมี
ลักษณะดังต่อไปนีI
คู่มือการออกแบบอาคารที>มีประสิ ทธิ ภาพด้านการประหยัดพลังงาน แนวทางการออกแบบระบบปรับอากาศภายในอาคาร
โครงการปรับปรุ งข้อกําหนดการใช้พลังงานในอาคารควบคุม บทที 7-8
อัตราการระบายอากาศในกรณีทมีี ระบบการปรับภาวะอากาศ
ลําดับ สถานทีประเภทการใช้ ลูกบาศก์ เมตร/ชัวโมง/ตารางเมตร
1 ห้างสรรพสิ นค้า (ทางเดินชมสิ นค้า) 2
2 โรงงาน 2
3 สํานักงาน 2
4 สถานอาบ อบ นวด 2
5 สถานที>สาํ หรับติดต่อธุรกิจในธนาคาร 2
6 ห้องพักในโรงแรมหรื ออาคารชุด 2
7 ห้องปฏิบตั ิการ 2
8 ร้านตัดผม 3
9 สถานกีฬาในร่ ม 4
10 โรงมหรสพ (บริ เวณที>นง>ั สําหรับคนดู) 4
11 ห้องเรี ยน 4
12 สถานบริ หารร่ างกาย 5
13 ร้านเสริ มสวย 5
14 ห้องประชุม 6
15 ห้องนํIา ห้องส้วม 10
16 สถานที>จาํ หน่ายอาคารและเครื> องดื>ม(ห้องรับประทาน 10
17 อาหาร) 10
18 ไนท์คลับ บาร์ หรื อสถานลีลาศ 30
19 ห้องครัว 2
สถานพยาบาล 8
ห้องคนไข้ 5
ห้องผ่าตัดและห้องคลอด 5
ห้องช่วยชีวติ ฉุกเฉิ น
ห้อง ไอ.ซี.ยู และห้อง ซี.ซี.ยู.
3. ประเภทของระบบปรับอากาศ
3.1 ระบบการทําความเย็นแบบเพิมอัดความดัน
เครื> องปรับอากาศที>นิยมใช้ สามารถแบ่งออกได้ดงั นีI
3.1.1 เครืองปรับอากาศแบบแยกส่ วน (Split-type Air conditioning Unit)
เป็ นเครื> องปรับอากาศที>ประกอบด้วยส่ วนเครื> องระบายความร้อน(Condensing Unit) และส่ วนเครื> อง ส่ งลมเย็น (Air handling or
Fan coil unit) ขนาดที>นิยมใช้ในบ้านพักอาศัยมีขนาดตัIงแต่ 8000 Btuh ถึง 3 ตัน และ มีขนาดใหญ่ถึง 30 ตันหรื อมากกว่าสําหรับการใช้
งานอื> นๆ ที> นิยมใช้กันมากที> สุด เป็ นแบบระบาย ความร้ อนด้วยอากาศ (Air-cooled) แต่ก็มีแบบที> ระบายความร้ อนด้วยนํIา(Water-
cooled)เช่นกัน โดยทัว> ไป แบบระบายความร้อนด้วยนํIาจะกินไฟน้อยกว่าคือประมาณไม่เกิน 1.2 kW/RT
นอกจากนีI ยังมีเครื> องปรับอากาศที> ออกแบบมาสําหรับการอนุ รักษ์พลังงาน โดยใช้นI าํ ระบาย ความ ร้อนเป็ นนํIาอุ่นสําหรับใช้
อาบนํIา และเครื> องปรับอากาศที>ระบาย ความร้อนด้วย การระเหยของนํIา (Evaporative Condenser) เครื> องปรับอากาศในกลุ่มนีI ใช้สารทํา
ความเย็นทําความเย็นโดยตรง (Direct Expansion) โดยสารทํา ความเย็นที>นิยมมากที>สุดคือ R-22
การเลือกเครื> องปรับอากาศในกลุ่มนีI สามารถอ้างอิงถึงมาตรฐานจากเอกสาร พพ. 22001: 2546
ชุด เครื> องปรับอากาศประสิ ทธิภาพสูงขนาดเล็ก (High Efficient Small Air Conditioner) ตามตารางแสดงประสิ ทธิภาพขัIนตํ>า
ค่ าอัตราส่ วนประสิทธิภาพพลังงานขัCนตํา
ขนาดทําความเย็นของเครืองปรับอากาศ อัตราส่ วนประสิทธิภาพพลังงาน
(วัตต์) (บีทยี ู/ชม) (COP)
ไม่เกิน 3,500 วัตต์ ไม่เกิน 11,942 บีทีย/ู ชม > 3.11
เกินกว่า 3,500 ถึง 7,600 วัตต์ เกินกว่า 11,942 ถึง 25,931 บีทีย/ู ชม > 3.11
เกินกว่า 7,600 ถึง 12,000 วัตต์ เกินกว่า 25,931 ถึง 40,944 บีทีย/ู ชม > 3.11
เกินกว่า 12,000 ถึง 17,600 วัตต์ เกินกว่า 40,944 ถึง 60,051 บีทีย/ู ชม > 2.82
ลักษณะการใช้ งานทีเหมาะสม
เครื> องปรับอากาศแบบแยกส่วนขนาดเล็กที>วางขายทัว> ไป เหมาะกับบ้านอยูอ่ าศัย เนื>องจากสะดวกกับ การหาซืI อมาติดตัIง และ
การดูแลรักษา
เครื> องแบบที>ระบายความร้อนด้วยอากาศที>มีขนาดใหญ่ เหมาะกับการใช้งานทัว> ไป ที>มีชว>ั โมงการใช้ งานไม่มาก และต้องการ
ความเป็ นอิสระในการใช้งาน
ข้ อแนะนําสําหรับการติดตัCง
ระยะห่างระหว่างเครื> องระบายความร้อนและเครื> องส่งลมเย็นไม่ควรเกิน 15 เมตร
เครื> องระบายความร้อนควรอยูใ่ นระดับสูงและเป่ าความร้อนสู่บรรยากาศด้านบน เพื>อไม่ให้ความร้อนสะสมรอบอาคาร
ลักษณะการใช้ งานทีเหมาะสม
เครื> องปรับอากาศขนาดเล็ก เช่น เครื> องปรับอากาศแบบหน้าต่าง เหมาะกับบ้านอยูอ่ าศัย เนื> องจากสะดวก กับการหาซืI อมา
ติดตัIง และการดูแลรักษา
เครื> องแบบที>ระบายความร้อนด้วยอากาศที>มีขนาดใหญ่ เหมาะกับการใช้งานทัว> ไป ที>มีชว>ั โมงการใช้งานไม่มาก และต้องการ
ความเป็ นอิสระในการใช้งาน
เครื> องปรับอากาศที>ระบายความร้อนด้วยนํIา เหมาะกับศูนย์การค้าขนาดกลาง หรื อ สํานักงาน
ข้ อแนะนําสําหรับการติดตัCง
เครื> องแบบที>ระบายความร้อนด้วยอากาศที>มีขนาดใหญ่ ควรจะจัดให้อากาศที>เข้าระบายความ ร้อนเข้า คนละ ทางกับการเป่ า
ลมร้อน ช่องเปิ ดสําหรับการระบายอากาศจะต้องใหญ่พอ และทิศที> เป่ าลมร้อนจะต้องไม่สวนกับ ทิศลมตามธรรมชาติ
เครื> องปรับอากาศที> ระบายความร้อนด้วยนํIา ควรติดตัIงคูลลิ>งเทาเวอร์ (Cooling Tower) ที> ดา้ นบนของอาคาร และเป่ าขึIน
ด้านบน เพื>อไม่ให้เกิดการสะสมความชืIนรอบอาคาร
คุณภาพของนํIาระบายความร้อนจะต้องมีคุณภาพดี ไม่มีตะกรัน และสิ> งสกปรก
การใช้ คอมเพรสเซอร์ ชนิ ดโรตารี> (Rotary Compressor) หรื อสครอล (Scroll Compressor) ทําให้ประหยัด ไฟฟ้ า มากกว่า
ชนิดลูกสูบ(Reciprocating Compressor)
เครื> องปรับอากาศที>มีระบบควบคุมการทํางานของคอมเพรสเซอร์ ดว้ ยการปรับรอบมอเตอร์ (Inverter Control) ช่วยประหยัด
ไฟฟ้ า
ควรใช้เครื> องควบคุมอุณหภูมิชนิดอิเลคทรอนิก(Electronic Thermostat)
ควรติดตัIงให้สามารถดูแลและทําความสะอาดได้อย่างสมํ>าเสมอ จะทําให้ประสิ ทธิภาพการทํางานคงเดิม
โดยทัว> ไป ไม่จาํ เป็ นต้องติดตัIงพัดลมดูดอากาศในห้องทํางานหรื อห้องนอน
เครื> องปรับอากาศที> ระบายความร้อนด้วยนํIา ควรติดตัIงคูลลิ>งเทาเวอร์ (Cooling Tower) ที>ดา้ นบนของ อาคาร และเป่ าขึIน
ด้านบน เพื>อไม่ให้เกิดการสะสมความชืIนรอบอาคาร
เครื> องทํานํIาเย็นขนาดใหญ่ควรอยูใ่ กล้กบั ห้องไฟฟ้ าหลัก เพื>อลดการสูญเสี ยในระบบการจ่ายไฟฟ้ า
ระบบการหมุนเวียนนํIาเย็นควรเป็ นระบบที>สามารถปรับสมดุลย์ของนํIาได้ตามที>ตอ้ งการ
ระบบหมุนเวียนที>เป็ นระบบใหญ่ควรเป็ นระบบ Primary/Secondary Supply System และมีการพิจารณา การจ่ายนํIาเย็นเป็ น
พืIนที> ด้วยความดันนํIาเย็นที>จดั ไว้อย่างเหมาะสม
นอกจากระบบที>ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนีI ยังมีระบบที>ได้รับความสนใจอย่างมาก และเกี>ยวข้องกับการ ใช้พลังงานในอาคารขนาด
ใหญ่โดยตรงได้แก่
3.2 ระบบการทําความเย็นระบบดูดซับ
โดยทัว> ไป เราจะเคยชินกับระบบการทําความเย็นแบบการอัดเพิ>มความดัน (Vapour Compression) เนื>องจาก ในศตวรรษที>ผ่านมา
ผูน้ าํ ทางด้านเครื> องทําความเย็นคือ สหรัฐอเมริ กาได้พฒั นาและส่งเสริ ม การผลิต เครื> องทําความเย็น ในระบบนีI จนทําให้สหรัฐครองความ
เป็ นผูน้ าํ ทางด้านเครื> องทําความเย็นมาโดยตลอด แม้กระทัง> ในปั จจุบนั นีI ก็ยงั เป็ น ผูผ้ ลิตคอมเพรสเซอร์รายใหญ่ที>สุดในโลก อย่างไรก็ตาม
เนื>องจากสารทําความเย็นที>ใช้กนั มานานเป็ นสาร CFC และใน ระยะ หลังนีI พบว่ามีผลกระทบอย่างรุ นแรงกับภาวะเรื อนกระจก และการ
สลายตัวของชัIนบรรยากาศโอโซน จนทําให้ผูผ้ ลิต สาร ทําความเย็นต้องหันมาผลิตสารทําความเย็นทดแทน เช่น R 134a R123 R404
R407
ปั ญหาจากสารทําความเย็น ประกอบกับกระแสการอนุ รักษ์พลังงานและสิ> งแวดล้อม ทําให้ผูผ้ ลิตเริ> มหันกลับมา ผลิตเครื> องทํา
ความเย็นระบบดูดซับ (Absorption Refrigeration) โดยเฉพาะอย่างยิ>งการนําไปใช้ในระบบ Co-generation และใช้ความร้อนทิIงจากการ
ผลิตไฟฟ้ าในการทํางานของเครื> องทําความเย็นระบบดูดซับ
เครื> องทําความเย็นระบบดูดซับแบ่งได้เป็ น 2 กลุ่ม คือ
3.2.1 Desiccant Cooling
อย่างที>ทราบกันอยูแ่ ล้วว่า ความร้อนนัIนประกอบด้วยความร้อนสัมผัสและความร้อนแฝง ดังนัIนหลักการทํา ความเย็นโดยใช้สาร
ดูดซับ(Desiccant) ซึ>งทําหน้าที>ในการดูดซับความชืIนออกจากอากาศ ก็คือการ ทําความเย็นใน ลักษณะหนึ>งนัน> เอง
ข้อดีในการใช้สารดูดซับก็คือ สารดูดซับมีคุณสมบัติในการกําจัดความชืIนได้มีประสิ ทธิภาพมากกว่าขบวนการกลัน> ตัวเป็ นหยดนํIา
ที>คอยล์เย็น และ มีจุดนํIาค้าง (Dew point temperature) ที>ต>าํ ถึงติดลบ ซึ> งคอยล์เย็นทําไม่ได้ สารดูดซับที>นิยมใช้คือ ซิ ลิกา เจล และลิเธี ยม
คลอไรด์
ในกรณี ที>ผตู ้ รวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานพบเครื> องที>ใช้ขดลวดไฟฟ้ าหรื อคอยล์ไอนํIา ก็เป็ นโอกาสที>จะ ปรับปรุ งเพื>อการ
อนุรักษ์พลังงาน โดยมีโอกาสคืนทุนภายใน 2 ปี
Refrigeration จึงเหมาะกับการใช้งานในกรณี ที>มีแหล่งความร้อนทิIง เช่น ไอเสี ย จากเครื> องผลิตไฟฟ้ า ไอนํIาที>เหลือหรื อมีราคาถูก หรื อมี
แหล่งเชืIอเพลิงราคาถูกกว่าไฟฟ้ า เช่น ก๊าซธรรมชาติ
Absorption Chiller ในอดีต ส่ วนใหญ่เป็ นชนิ ดที>ออกแบบมาเพื>อใช้กบั ไอนํIา (Steam Fired) เนื> องจาก การใช้งาน ในประเทศที>มี
อากาศหนาว มีการใช้ไอนํIาในการทําความร้อน จึงใช้ไอนํIานัIนกับเครื> องทําความเย็นด้วย แต่ในปั จจุบนั มีเครื> องที>ออกแบบมาให้ใช้กบั
แหล่งความร้อนต่างๆ เช่น นํIาร้อน ไอเสี ย การเผาไหม้โดยตรง (Direct Fired) จึงทําให้มีทาง เลือกสําหรับแหล่งความร้อนมากขึIน รวมทัIง
มีโอกาสทําให้ประสิ ทธิภาพโดยรวมเพิ>มขึIน
นอกจากนีI ปั ญหาเรื> องโรคลีเจียแนร์มีเพิ>มขึIน จึงเริ> มหันมาใช้ Cooling Tower แบบ Cross Flow มาก ขึIน ที>นอกจากจะใช้นI าํ น้อยลง
30% แล้ว ยังระบายความร้อนได้ดี และใช้พIนื ที>ตI งั น้อยกว่า
1) การเลือกประเภทและขนาดของหอระบายความร้ อน
การเลื อกประเภทและขนาดของหอระบายความร้ อนที> เหมาะสมกับภาระความร้ อนทําให้การระบายความร้ อน เป็ นไปอย่างมี
ประสิ ทธิภาพเท่าที>หอระบายความร้อนจะทําได้ เมื>อมีการติดตัIงตามคําแนะนําของผูผ้ ลิต
2) ตําแหน่ งทีตัCงของหอระบายความร้ อน
ตําแหน่งที>ตI งั ต้องอยูใ่ นตําแหน่งที>มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกทัIงด้านข้างและด้านบนของหอระบายความร้อน และไม่ควรมีส>ิ งปิ ดบัง
ทางไหลของ อากาศเข้าและออกจากหอระบายความร้อน ทัIงนีI สามารถศึกษาได้จากคู่มือ ของผูผ้ ลิตหอระบายความร้อน ซึ> งปกติมกั จะ
ติดตัIงให้ห่างจากผนังทึบไม่นอ้ ยกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของหอ ระบายความร้อน
3) ทิศทางการไหลของอากาศและความเร็วของกระแสลม
ตําแหน่งที>ตI งั หอระบายความร้อน โดยเฉพาะช่องรับลมเข้า ควรสอดคล้องกับทิศทางไหลของอากาศ
4) ช่ องเปิ ดรับลมด้ านข้ างและด้ านบนของหอระบายความร้ อน
หอระบายความร้อนมักจะถูกติดตัIงให้อยูใ่ นพืIนที>ปิดบัง เพื>อเหตุผลทางสถาปั ตยกรรมซึ> งปั จจัยดังกล่าวนีI ทําให้ประสิ ทธิ ภาพในการ
ระบายความร้อนไม่เป็ นไปตามปริ มาณความร้อนที>ตอ้ งการให้ระบายออก
5) ระบบท่ อนําC และระบบเครืองสู บนําC ทีต่ อเข้ ากับหอระบายความร้ อน
การจัดวางและการต่อท่อนํIาของหอระบายความร้อนกับเครื> องทําความเย็นส่วนการกลาง ก็เป็ นปั จจัยที> สามารถดําเนิ นการได้ในช่วง
การออกแบบให้เกิดการประหยัดพลังงาน
3.3 เกณฑ์ ในการออกแบบระบบส่ งจ่ ายความเย็น
การออกแบบในระบบส่งจ่ายในระบบปรับอากาศ จะมีอยูส่ องส่วนใหญ่ๆ อันได้แก่
ระบบส่งลม (Air Side -Air Distribution System)
ระบบส่งนํIา (Water Side -Chilled and Condenser Water System)
3.3.1 ระบบส่ งลม
ระบบส่งลมไม่วา่ จะเป็ นระบบปรับอากาศ ระบายอากาศ หรื อ กรองอากาศต่างๆ จะมีองค์ประกอบดังนีI
เครืองส่ งลม, พัดลม (Fan/Blower)
พัดลม ที>นิยมใช้ในระบบปรับอากาศและระบายอากาศ และระบายอากาศ ได้แก่
พัดลมแบบแรงเหวียง (Centrifugal Fan) เป็ นพัดลมที>ใช้ในงานที>ตอ้ งการความดันอากาศสูง แบ่งออกได้ ตามลักษณะใบพัด
และที>นิยมใช้ ได้แก่
- พัดลมแบบใบพัดโค้งไปด้านหลัง (Backward Curved Blade Fan) เป็ นพัดลมที>นิยมใช้ใน การ ระบายอากาศและส่ งลม
เย็น เพราะมีประสิ ทธิภาพสูงกว่า ในกรณี ที>ตอ้ งการความดันมากขึIน หรื อใช้ในกรณี ที>อากาศ ที>ระบายออกสกปรกที>อาจ
ทําให้มอเตอร์อาจทํางานเกินกําลังได้
- พัดลมแบบใบตรง (Radial or Straight Blade Fan) เป็ นพัดลมที> มีประสิ ทธิ ภาพตํ>าสุ ด มักใช้ในอุตสาหกรรมที> มีส>ิ ง
สกปรกปนมาในอากาศ
ประมาณระบบกระจายลมเย็นที>ตอ้ งใช้
กําหนดแนวทางท่อลมเย็นที>เป็ นไปได้และตําแหน่งหัวจ่ายที>ทาํ ให้การกระจายลม เป็ นไปอย่าง มีประสิ ทธิภาพมากที>สุด
กําหนดขนาดของท่อลมเย็น และปรับปรุ งแนวทางการเดินท่อลมที>เหมาะสม
ระบบกระจายลมเย็น จะแบ่งเป็ น 2 ประเภท ได้แก่
ระบบความเร็ วลมตํ>า จะมีความเร็ วโดยเฉลี>ยประมาณ 800-2,400 fpm. จะมีความดันสถิต ประมาณ 0.1-0.5 in. WG.
ระบบความเร็ วลมสูง จะมีความเร็ วโดยเฉลี>ยประมาณ 2,500-5,000 fpm จะมีความดันสถิต ประมาณ 1.0-3.0 in. WG.
การออกแบบท่อลม ที>วศิ วกรออกแบบนิยมใช้ จะใช้วธิ ี Equal Friction มากกว่า วิธี Static Regain ซึ>งจะใช้เวลา มากกว่าและให้ผล
ไม่แตกต่างมากนัก โดยวิธี Equal Friction เป็ นวิธีที>ให้ค่าความเสี ยดทานในท่อลมมีค่าคงที>เท่ากันหมดทัIงเส้นท่อลม ซึ> งจะใช้ประมาณ
0.08 - 0.1 นิIว(นํIา) ต่อความยาวท่อเทียบเท่า 100 ฟุต หรื อประมาณ 0.6 – 0.8 ปาสคาลต่อเมตร ทัIงนีI การใช้ค่าดังกล่าว ขึIนกับวิจารณญาณ
ของวิศวกรผูอ้ อกแบบ ถ้าต้องการให้ท่อลมเล็กลงก็จะทําให้ค่าความเสี ยดทานเพิ>มมากขึIน ทําให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานก็จะสู งตามไปด้วย
ดังนัIนการออกแบบที>ตอ้ งการให้ท่อลมเล็กก็จะมีค่าพลังงานที>ตอ้ ง จ่ายมากขึIนแฝงตามมาด้วย เกณฑ์ดงั กล่าว จึงขึIนกับจรรยาบรรณ ของ
วิศวกรผูอ้ อกแบบ มากกว่าหลักการทางทฤษฎี
Variable Air Volume (VAV) เป็ นระบบที>ในทางทฤษฎี สามารถช่วยในการปรับปริ มาณลมให้ได้ตามอุณหภูมิที>ตอ้ งการ โดย
ส่วนตัวยังเห็นว่าทฤษฎีนI ี ใช้ได้ และระบบนีI สามารถช่วยให้เกิดความสะบายและช่วยในการประหยัดพลังงานได้ แต่สาเหตุที>ระบบนีI ไม่
สามารถทํางานได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ ส่วนใหญ่เกิดจากอุปกรณ์ที>ไม่ได้คุณภาพ และการติดตัIง กล่อง VAV หากประกอบไม่ได้มาตรฐาน
อุปกรณ์ขบั ลิIนปรับปริ มาณลมจะไม่ทาํ งาน ตัวควบคุมอุณหภูมิหากติดตัIงใกล้หวั จ่าย ใกล้โคมไฟ ใกล้แสงแดดก็วดั ค่าผิด ฝ้ าเพดานปิ ดตาย
ทําให้ไม่สามารถเปิ ดตรวจสอบได้ หัวจ่ายไม่ใช่ชนิดที>ใช้กบั ระบบ VAV เหล่านีIเป็ นปั ญหาที>ผา่ นมาของระบบ VAV
ในทางทฤษฎี ระบบ VAV ควรใช้ผสมกับระบบการจ่ายลมคงที> โดยใช้ระบบ VAV เฉพาะบริ เวณ เช่น บริ เวณรอบเปลือกอาคาร
(Perimeter Zone) และห้องผูบ้ ริ หาร ห้องประชุม ส่วนภายใน (Interior Zone) และสํานักงานเปิ ด (Open office) ใช้ระบบการจ่ายลมคงที>ก็
ได้ โดยแยกพัดลมของสองส่วนนีIออกจากกัน
หัวจ่ายลมแบบ Perforated Square Ceiling Diffuser นิยมใช้ในกรณี ที>มีการใช้ VAV (Variable Air Volume)
หัวจ่ายลมแบบ Slot นิยมใช้ในกรณี ที>มีที>หรื อแนวช่องจ่ายลมที>จาํ กัดหรื อมีการใช้ระบบ VAV
ปกติความเร็ วลมที>ใช้ในการคํานวณเมื>อผ่านหัวจ่ายลมจะประมาณ 600 ฟุตต่อวินาที (3 เมตรต่อวินาที)สําหรับด้าน ช่องจ่ายลม
และประมาณ 400 ฟุตต่อวินาที (/ เมตรต่อวินาที) สําหรับช่องลมกลับ
ในการออกแบบ ติดตัIงใช้งานหัวจ่ายลม จะต้องคํานึ งถึง ระยะตกในแนวดิ> ง(DROP) และระยะที> แรงลม ส่ งไปถึง (THROW)
โดยทัว> ไป จะนิ ยมออกแบบหัวจ่ายลมแบบสี> เหลี>ยมจัตุรัส จ่ายลมได้ 400 cfm (cubic foot per minute) ต่อหนึ> งหัวจ่ายและเลือกระยะ
THROW ที>มีความเร็ วลมปลายทางเท่ากับ 150 fpm (foot per minute) ที>ระยะความ สูง 9 ฟุตซึ>งเป็ นระดับเพดานทัว> ไป
LOW AIR VELOCITY COOLING COIL
การทําให้ลมผ่าน Cooling Coil ช้าลงทําให้ลมมีเวลาสัมผัสกับ Cooling Coil นานขึIน ทําให้มีเวลาในการแลกเปลี>ยนความร้อนมาก
ขึIน การกลัน> ตัวของนํIาในอากาศมากขึIน และทําให้ความชืIนตํ>าลง เป็ นทฤษฎีที>ตรงไปตรงมา
เครื> องส่งลมเย็นส่วนใหญ่จะสร้างมาให้มีความเร็ วลมผ่าน Cooling Coil 500-600 ฟุตต่อนาที เพื>อทําให้เครื> องมีขนาดเล็กลง และมีราคาถูก
เครื> องประเภทนีI หากใช้ที>อื>นอาจจะมีปัญหาไม่มากนัก แต่พอมาใช้กบั ประเทศไทยที>อากาศชืIน จึงมักไม่สามารถควบคุมความชืIนได้
ความเร็ วลมที> 400 ฟุตต่อนาที ช่วยให้ Cooling Coil สามารถดึงความชืIนออกจากอากาศได้ดีขI ึนมาก
การจ่ ายลมเย็นโดยการทดแทนอากาศ (DISPLACEMENT VENTILATION)
Displacement Ventilation หรื อ DV เป็ นระบบการจ่ายลมเย็นที>ทาํ ความเย็นด้วยการพาความร้อน (Convection Cooling) โดยอาศัย
คุณสมบัติอากาศร้อนที>ลอยขึIน และอากาศที> เย็นกว่าเข้ามาแทนที> ดังนัIนการจ่ายลมเย็นจึ งจ่ายในระดับตํ>า และควบคุมสภาวะการปรับ
อากาศให้อยูใ่ นระดับความสูงของห้องที>ตอ้ งการเท่านัIน สําหรับห้องที>มีความสูงมากๆจึงไม่มีความจําเป็ นที>จะต้องปรับอากาศตลอดความ
สูงของห้อง
ระบบดังกล่าวนีI เหมาะอย่างยิง> สําหรับ อาคารที>มีความสูงมาก เช่น อาคารโถงผูโ้ ดยสารสนามบิน ห้องประชุม ห้องประชุมขนาด
ใหญ่ โรงภาพยนตร์ โรงแสดงดนตรี ละคร นอกจากจะทําให้ขนาดของเครื> องปรับอากาศลดลง และประหยัดพลังงานแล้ว ยังทําให้
Variable Chilled Water Volume (VWV) ก็เป็ นระบบที>ปรับปริ มาณนํIาเย็นตามความต้องการของ ปริ มาณนํIาเย็น เนื> องจากปริ มาณ
นํIาเย็นที>หมุนเวียนในระบบนํIาเย็นมีปริ มาณมาก หากสามารถปรับ ปริ มาณนํIาเย็นได้ ก็จะช่วยประหยัดพลังงานของเครื> องสู บนํIาเย็นได้
มาก
ถ้ามีเจ้าของอาคารเรี ยกให้เข้าไปตรวจสอบและเสนอมาตรการในการประหยัดพลังงาน การปรับ ปริ มาณนํIาเย็นของระบบนํIาเย็น
มักจะได้ผลเสมอ เพราะเกือบทุกอาคาร หรื อทุกอาคารก็วา่ ได้ที> ระบบ นํIาเย็นไม่สมดุลย์ การที>ระบบนํIาเย็นไม่สมดุลย์นI ี นอกจากเครื> อง
สูบนํIาเย็นจะกินไฟมากแล้ว ยังทําให้มี ปั ญหาในการควบคุมความเย็นและความชืIน
ระบบ VWV ช่วยลดปั ญหาดังกล่าวได้ส่วนหนึ>ง เพราะในระบบดังกล่าว ใช้ 2-way Control Valve ซึ>งหากหรี> จะทําให้เครื> องส่งลม
เย็นใช้นI าํ เย็นน้อยลง และมีนI าํ เย็นเหลือในระบบ
ปั ญหาที>สาํ คัญของระบบ VWV จนทุกวันนีIก็คือ ระบบการควบคุมเครื> องสูบนํIาเย็นและการรักษา ความดันในระบบให้คงที>
4. ระบบควบคุม
ระบบควบคุม มีองค์ประกอบพืIนฐานได้แก่
ตัววัด (Sensor) เป็ นส่วนที>จะวัดค่าที>ตอ้ งการและส่งค่ากลับไปยังเครื> องควบคุม
เครืองควบคุม (Controller) เป็ นส่ วนที>จะรับค่าจากตัววัดแล้วนํามาเปรี ยบเทียบกับค่าที>ตI งั ไว้ แล้วส่ งสัญญาณไป อุปกรณ์ควบคุม
ต่อไป
อุปกรณ์ ควบคุม (controlled Device) เป็ นอุปกรณ์ที>รับสัญญาณจากส่วนควบคุมมาปฏิบตั ิ
สําหรับระบบปรับอากาศและระบายอากาศ จะมีค่าที>ตอ้ งการวัดอยู่ 4 ประเภทคือ อุณหภูมิ ความชืIน ความดัน อัตราการไหล
อุปกรณ์สาํ หรับวัดอุณหภูมิ ที>นิยมใช้ในระบบปรับอากาศ ได้แก่
Thermocouple เป็ นลวดโลหะ 2 ชนิ ดที>ปลายต่อเชื>อมกันและขยายตัวต่างกันเมื>อมีการเปลี>ยนแปลงอุณหภูมิ ไม่ค่อยนิ ยมใช้ทาํ เป็ น
เครื> องมือวัดแต่จะใช้ในการอ่านค่ามากกว่า
Resistance Thermometer Detector(RTD) เป็ นโลหะที>มีค่าความต้านทานเปลี>ยนแปลงตามอุณหภูมิ นิ ยมใช้ทาํ เป็ นตัววัดในระบบ
ปรับอากาศ
Thermister ทําจาก Semiconductor ที>มีความไวต่อการเปลี>ยนแปลงอุณหภูมิสูง แต่บอบบางและแตกหักง่ายกว่า
Integrated Circuit Temperature Sensor (I.C. Sensor) เป็ น Diode ที>มีค่าแรงดันเปลี>ยนไปตามอุณหภูมิ
Bimetal Sensor เป็ นโลหะ 2 ชนิดที>ขยายตัวตามการเปลี>ยนแปลงอุณหภูมิ
Bellow เป็ นอุปกรณ์ที>บรรจุก๊าซหรื อของเหลว ซึ>งจะขยายตัวหรื อหดตัวตามการเปลี>ยนแปลงตามอุณหภูมิ
อุปกรณ์สาํ หรับวัดความชืIน ที>นิยมใช้ในระบบปรับอากาศ ทําจากวัสดุ 2 ประเภทได้แก่
Organic Element เช่น ผม ขนม้า หนังสัตว์ ไม้ จะขยายหรื อหดตัวเมื>อความชืIนเปลี>ยนไป
Non-Organic Element เช่น วัสดุสารเคมี จะเปลี>ยนค่าความต้านทาน เมื>อความชืIนเปลี>ยนไป
อุปกรณ์สาํ หรับวัดความดัน ที>นิยมใช้ในระบบปรับอากาศ จะเป็ นพวก Bellow หรื อ Diaphragm โดยเมื>อมีการ เปลี>ยนแปลงความดัน
Bellow หรื อ Diaphragm ก็จะขยายหรื อหดตัว และ Transducer ก็จะให้ค่าความดันหรื อ กระแสไฟฟ้ าเปลี>ยนแปลงไป
อุปกรณ์สาํ หรับวัดอัตราการไหล ที>นิยมใช้มีหลายชนิด
Pitot Tube ใช้วดั ความเร็ วของลมและนํIาในท่อ โดยวัดได้ค่าความดัน แล้วนํามาคํานวณหาค่าอัตราการไหล
Hot wire เป็ นอุปกรณ์ที>ใช้วดั ความเร็ วลม โดยให้อากาศไหลผ่านขดลวด ซึ> งพลังงานไฟฟ้ าทําให้ขดลวดร้อนขึIน ซึ> งจะเปลี>ยนค่า
ดังกล่าวมาเป็ นค่าความเร็ วลม
ประเภทของระบบควบคุม มี 6 ประเภท ได้แก่
Self-Actuated Control System เป็ นระบบที>มีการทํางานโดยตัวระบบเอง
Electrical Control System เป็ นระบบที>ใช้กระแสไฟฟ้ าในการสัง> งาน
Pneumatic Control System เป็ นระบบที>ใช้ลมในการสัง> งาน
Electronic Control System เป็ นระบบที>ใช้วงจร Electronic ในส่วนของ controller และไฟฟ้ าจ่ายให้ อุปกรณ์ควบคุม
Electronic Hydraulic Control System เหมือนระบบ Electronic แต่มีการเพิ>มระบบ Hydraulic เข้ามาเสริ ม
Electronic Pneumatic Control System เหมือนระบบ Electronic แต่มีการเพิ>มระบบลมเข้ามาเสริ ม
พฤติกรรมการควบคุม (Control Action) หรื อการวิธีการควบคุมของชุดควบคุมที>ใช้บ่อยในระบบปรับ อากาศ และระบายอากาศมีดงั นีI
Two-Position Control เป็ นการควบคุมที>นิยมใช้สาํ หรับการควบคุมการปิ ดและเปิ ดอุปกรณ์ หรื อระบบ
Proportional Control (P-Control) เป็ นการควบคุมที>ปรับเปลี>ยนเป็ นสัดส่วนโดยตรงกับข้อมูล เข้าและออกจาก ชุดควบคุม
Proportional Integral Control (PI Control) เป็ นการควบคุมที>พฒั นาจาก P-Control และปรับปรุ งในส่วนของเวลา
Proportional Integral Derivative Control (PID Control) เป็ นการควบคุมที>พฒั นาจาก PI-Control และปรับปรุ ง ในส่ วนของเวลา ให้
ถูกต้องและแม่นยํามากขึIน
DDC (Direct Digital Control) เป็ นระบบควบคุมแบบดิจิตอล ซึ>งเป็ นการนําเอา PID Control มาผนวกกับการทํางานของคอมพิวเตอร์
หรื อไมโครโปรเซสเซอร์
จากองค์ประกอบด้านบนดังกล่าวข้างต้น จึงนํามาสู่การควบคุมสําหรับระบบ ปรับอากาศและระบายอากาศ ทัIงหมด
การควบคุมระบบปรับอากาศ
การควบคุมระบบปรับอากาศ ที>นิยมใช้ โดยทัว> ไป
Chilled water Reset
เป็ นการควบคุมเครื> องทําความเย็นขนาดใหญ่ เมื>อความร้อนในอาคารลดลง อุณหภูมินI าํ เย็นที>ออกจากเครื> อง ทําความเย็นจะถูก
ปรับให้สูงขึIนกว่าเมื>อตอนภาระงานเต็มที> ทําให้ชุดเครื> องอัด (Compressor) ทํางานน้อยลง และลดการใช้พลังงานลง วิ ธี ดั ง กล่ า วนีI จะ
ลดการใช้พลังงานลงได้ ประมาณ 1.5 % ต่อทุกๆ 1 F ของนํIาเย็นที> ถูกปรับให้สูงขึIน
Duty Cycling
เป็ นการควบคุมเครื> องปรับอากาศขนาดเล็กตาม zone ต่างๆในอาคาร โดยการตรวจวัดอุณหภูมิ ในแต่ละ บริ เวณ แล้วควบคุม
เครื> องปรับอากาศแต่ละชุดให้ทาํ งานตามช่วงเวลาที>กาํ หนด หรื อหยุดการทํางาน ของ เครื> องปรับอากาศดังกล่าวลง ตามช่วงเวลาสัIนๆ วิธี
ดังกล่าวนีI จะช่วยลดการใช้พลังงาน และลดความต้องการ ใช้ไฟฟ้ าสูงสุดได้
Optimum Start Stop
เป็ นการควบคุมเครื> องปรับอากาศให้ทาํ งานน้อยลงโดยการลดเวลาการทํางาน ให้สI นั ลง เช่นการเปิ ดเครื> อง ปรับอากาศให้ชา้ ลงใน
ตอนเช้าและปิ ดเครื> องปรับอากาศเร็ วขึIน ในตอนเย็น
System Optimization
เป็ นการพิจารณาการออกแบบ ปรับปรุ งการใช้งานทัIงระบบให้สมบูรณ์ และสอดคล้องกันทัIงหมด ทุกส่ วน ไม่ ว่าจะเป็ นทางด้าน
ระบบอากาศ ได้แก่ เครื> องส่ งลมเย็น ท่อลม หัวจ่ายลม และระบบนํIา ได้แก่ เครื> อง ทําความ เย็นขนาดใหญ่ เครื> องสู บนํIาทัIงปฐมภูมิ และ
ทุติยภูมิ เครื> องระบายความร้อนหรื อหอระบายความร้อน จะถูก เลื อกให้สอดคล้องและ มีการควบคุมเป็ นลําดับขัIนที> สอดคล้องและ
ต่อเนื>องกัน
Automatic shutdown
เป็ นการทําการปิ ดเครื> องปรับอากาศบางส่ วนหรื อทัIงหมดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ> งที> ภาระการทําความเย็นลดลง โดยอาศัยการ
ควบคุมอัตโนมัติ ซึ>งมีวตั ถุประสงค์เพื>อลดการใช้พลังงานลงบางช่วงเวลา
Setback control
เป็ นการลดระดับการใช้งานบางส่วน เมื>อภาวะการทํางานเปลี>ยนไปในทางที>สามารถลดการทํางานของระบบได้ เช่นการปรับลด
ระดับอุณหภูมิในระดับที>ตI งั ไว้ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ>ง หรื อปรับลดการทํางาน ตามการเปลี>ยนแปลงอุณหภูมิภายนอกอาคารตามฤดูกาล
เป็ นต้น
Zone control
เป็ นการแยกขอบเขตการควบคุมระบบปรับอากาศออกเป็ นบริ เวณเนื>องจากบริ เวณที>แยกออก อาจมีการใช้งานที>แตกต่างกัน ทําให้
สามารถควบคุมระบบปรับอากาศหรื อระบายอากาศได้ เฉพาะบริ เวณได้อย่างเหมาะสม มีผลทําให้สามารถลดการใช้พลังงานโดยรวมลง
ได้
5. การใช้ ฉนวน
การเลือกฉนวนที>เหมาะสม
ฉนวน จะแบ่งตามโครงสร้างได้ดงั นีI
1) ฉนวนแบบเซลเปิ ด (Open-Cell Type) เป็ นฉนวนที>มีโพรงอากาศแทรกตัวอยู่ ฉนวนแบบนีI เหมาะที>จะ ใช้หุ้มอุปกรณ์ หรื อท่อที>มี
อุ ณ หภู มิ สู ง ๆ เพราะนํIาที> อ าจติ ด อยู่ภ ายในฉนวนเองจะ ระเหยออกสู่ ภ ายนอก ทํา ให้อ ากาศที> มี อ ยู่ใ นเนืI อ ฉนวนแห้ง ทํา ให้
ความสามารถในการ เป็ น ฉนวนยังคงเดิม นิยมนํามาใช้เป็ น ฉนวนท่อลม และท่อความร้อนต่างๆ
2) ฉนวนแบบ Interconnection-Cell Type เป็ นฉนวนที> เกิดจากากรอัดเชื>อมติดกันของเม็ดโฟมหรื อ ไม้คอร์ กเล็กๆ นํIาที>เกิ ดจากการ
ระเหยจะเข้าแทรกซึมได้ยากกว่าแบบเปิ ด
3) ฉนวนแบบเซลกึ>งปิ ด (Semi-Closed Cell Type) เป็ นฉนวนที>มีเซลอิสระอยูแ่ ต่ละเซลมีผนังกัIนเซลแต่ละเซลอยูแ่ ต่ยงั ไม่สมบูรณ์ ทํา
ให้อาจมีนI าํ เข้าแทรก ซึมได้ เช่นฉนวนโพลียรู ี เทนโฟม เป็ นต้น
4) ฉนวนแบบเซลปิ ด (Closed-Cell type) เป็ นฉนวนยางสังเคราะห์หรื อยางสังเคราะห์ ผสมพลาสติก แต่ละเซลไม่ทะลุถึงกัน ผนังของ
แต่ละเซลเปรี ยบเสมือนผนังกันความชืIนทําให้นิยมใช้เป็ น ฉนวนท่อ นํIาเย็น
หากแบ่งตามชนิดของวัสดุพIนื ฐานที>ใช้ในการผลิต อาจแบ่งได้เป็ น
1) วัสดุประเภทใยแร่ (Mineral Fibrous Material) เช่นใยหิ น ใยแก้ว
2) วัสดุประเภท เส้นใยธรรมชาติ (Organic Fibrous Material) เช่นไม้ ชานอ้อย เส้นใยสังเคราะห์
ขนาดท่ อ ขนาดความหนาของฉนวน
65 มม. (2 1/2 นิIว) และเล็กกว่า ไม่นอ้ ยกว่า 25 มม. (1 นิIว)
80 มม. (3 นิIว) - 150 มม. (6 นิIว) ไม่นอ้ ยกว่า 38 มม. (1 1/2 นิIว)
200 มม. (8 นิIว) และใหญ่กว่า ไม่นอ้ ยกว่า 50 มม. (2 นิIว)
ขนาดความหนาของฉนวนที>ใช้หุม้ ท่อนํIาทิIงจะต้องไม่นอ้ ยกว่า 12 มิลลิเมตร (1/2 นิIว)
ค่ าอัตราส่ วนประสิทธิภาพพลังงานขัCนตํา
ขนาดทําความเย็นของเครืองปรับอากาศ
อัตราส่ วนประสิทธิภาพพลังงาน
(วัตต์) (บีทยี ู/ชม)
ไม่เกิน 3,500 วัตต์ ไม่เกิน 11,942 บีทีย/ู ชม > 3.11
เกินกว่า 3,500 ถึง 7,600 วัตต์ เกินกว่า 11,942 ถึง 25,931 บีทีย/ู ชม > 3.11
เกินกว่า 7,600 ถึง 12,000 วัตต์ เกินกว่า 25,931 ถึง 40,944 บีทีย/ู ชม > 3.11
เกินกว่า 12,000 ถึง 17,600 วัตต์ เกินกว่า 40,944 ถึง 60,051 บีทีย/ู ชม > 2.82
หมายเหตุ 1 วัตต์ = 3.412 บีทียตู ่ อชัวโมง , 12,000 บีทีย/ู ชม = 3,517 วัตต์
2) เครืองปรับอากาศประสิทธิภาพสู ง ขนาดใหญ่ (High Efficient Large Air Conditioner)
ที> มี ขี ดความสามารถ ทํา ความเย็น รวมสุ ท ธิ ของเครื> อง เกิ นกว่า 17,600 วัต ต์ (60,051 บี ที ยูต่ อ ชั>ว โมง) ขึI น ไป จะมี ค่า สัมประสิ ท ธิ‹
สมรรถนะ หรื อ ซีโอพี (COP, Coefficient of Performance) ดังตาราง
- การใช้หน่วยจ่ายลมเย็นใหม่ที>มีประสิ ทธิภาพสูงทดแทนของเดิม
- การใช้ระบบปรับความเร็ วรอบ (VVVF) กับมอเตอร์ของหน่วยจ่ายลมเย็น
- การใช้ประโยชน์จากอากาศเย็นภายนอกอาคาร
- การใช้ประโยชน์จากอากาศเย็นก่อนปล่อยทิIงออกนอกอาคาร
มาตรการการเพิ>มประสิ ทธิภาพที>อุปกรณ์ใช้ความเย็น
มาตรการการเพิ>มประสิ ทธิภาพในระบบนํIาเย็นและลมเย็น ของระบบปรับอากาศขนาดใหญ่
- การหุม้ ฉนวนท่อนํIาเย็นและท่อลมเย็น
- การใช้ระบบปรับความเร็ วรอบ (VVVF) กับมอเตอร์ของปั‘ มนํIาหล่อเย็น
มาตรการการเพิ>มประสิ ทธิภาพที>หอผึ>งนํIาเย็น (Cooling Tower)
- การดัดแปลงหอระบายความร้อนให้มีประสิ ทธิภาพสูงขึIน
- การใช้หอผึ>งนํIาเย็นใหม่ที>มีประสิ ทธิภาพสูงทดแทนของเดิม
- การใช้ระบบ VVVF กับมอเตอร์พดั ลมของหอระบายความร้อน
- การใช้ระบบตรวจจับอุณหภูมิของนํIาหล่อเย็น เพื>อควบคุมการทํางานของหอระบายความร้อน
มาตรการการเพิ>มประสิ ทธิภาพในระบบนํIาหล่อเย็น ของระบบปรับอากาศหรื อทําความเย็นขนาดใหญ่
- การกําจัดตะกรันในระบบนํIาหล่อเย็น รวมถึงในตัวเครื> องทําความเย็น (Chiller)
- การใช้ระบบปรับความเร็ วรอบ (VVVF) กับมอเตอร์ป‘ั มนํIาหล่อเย็น
มาตรการการเพิ>มประสิ ทธิภาพของเครื> องปรับอากาศหรื อทําความเย็นแบบเป็ นชุด (Package Unit)
- การดัดแปลงเครื> องปรับอากาศให้มีประสิ ทธิภาพสูงขึIน
- การใช้เครื> องปรับอากาศชุดใหม่ที>มีประสิ ทธิภาพสูงทดแทนชุดเดิม
มาตรการการเพิ>มประสิ ทธิภาพของเครื> องแบบแยกส่วน (Window/Split Type)
- การดัดแปลงเครื> องปรับอากาศให้มีประสิ ทธิภาพสูงขึIน
- การใช้เครื> องปรับอากาศชุดใหม่ที>มีประสิ ทธิภาพสูงทดแทนชุดเดิม
มาตรการการเพิ>มประสิ ทธิภาพในการใช้งานระบบปรับอากาศหรื อทําความเย็น
- การปรับตัIงอุณหภูมินI าํ หล่อเย็น
- การปรับตัIงอุณหภูมินI าํ เย็น
- การปรับตัIงอุณหภูมิในห้อง
- การบํารุ งรักษาที>เหมาะสม
- การลดการรั>วไหลของอากาศร้อน-เย็น
- การกําหนดเวลาเปิ ด-ปิ ดที>เหมาะสม
- การใช้ตวั ควบคุมอุณหภูมิชนิดอิเล็คทรอนิกส์
มาตรการการเพิ>มประสิ ทธิภาพของระบบระบายอากาศ
- การใช้ระบบปรับความเร็ วรอบ (VVVF) กับมอเตอร์พดั ลมระบายอากาศ
- การควบคุมการเปิ ด-ปิ ดพัดลมระบายอากาศโดยใช้ค่าระดับ CO
- การตรวจวัดอุณหภูมิเพื>อควบคุมการปิ ด-เปิ ดของพัดลมระบายอากาศ
- การเปลี>ยนเครื> อง Refrigeration Unit
คู่มือการออกแบบอาคารที>มีประสิ ทธิ ภาพด้านการประหยัดพลังงาน แนวทางการออกแบบระบบปรับอากาศภายในอาคาร
โครงการปรับปรุ งข้อกําหนดการใช้พลังงานในอาคารควบคุม บทที 7-39
8. เทคโนโลยีในการอนุรักษ์ พลังงาน
CO-GENERATION
ระบบ Co-generation และ District Cooling จะกลายเป็ นนโยบายพลังงานในอนาคต เนื> องจากระบบ ดังกล่าวนีI จะช่วยลดความ
จําเป็ นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้ าได้อย่างทวีคูณ
SAC TR
Chilled Water COP 1.20 Pump + CT 3.4 MW Electricity
65.32 MMBtuh
19.1 MWe
APPLICATION EXAMPLE
55 kW
dehumidificati
on70 kW cooling
Combined Heat and Power (CHP) อาจจะเป็ นชื>อที>หลายคนไม่คุน้ ซึ> งหมายถึงระบบที>ผสมผสาน ระหว่างกําลังงานและความ
ร้อน เช่น การใช้เครื> องยนต์ขบั เครื> องปรับอากาศ ซึ>งหากใช้เชืIอเพลิงเป็ นก๊าซ ก็เรี ยกว่า Gas Air-conditioner ส่วนความร้อนจากเครื> องยนต์
สามารถนําไปใช้ในการทําความร้อน
เครื> องประเภทนีI ในยุโรปใช้ผลิตไฟฟ้ าในบ้านพร้อมกับการทําความร้อนและความเย็น ระบบ CHP เป็ นที> แพร่ หลายมากขึI น
เนื>องจากการพัฒนาเครื> องยนต์กงั หันก๊าซ โดยเฉพาะเครื> องยนต์กงั หันก๊าซขนาด กลางและขนาดเล็ก (Micro Turbine) ที>กาํ ลังตื>นตัวเป็ น
อย่างมาก เนื>องจากนอกจากเครื> องยนต์กงั หัน ก๊าซจะ ผลิตไฟฟ้ าแล้ว ความร้อนจากท่อไอเสี ยยังสามารถนําไปใช้ในการทําความร้อนและ
ความเย็นได้อีกด้วย
ผูผ้ ลิตหลายรายกําลังพัฒนา Micro Turbine กันอย่างเต็มที> เช่น Honeywell Capstone Elliot Ebara แต่การพัฒนานีI ต้องอาศัยการ
ลงทุนและเทคโนโลยี จึงยังคงมีเพียงไม่กี>รายที>สามารถพัฒนา จนถึงระดับเชิง พาณิ ชย์
การนําความร้อนไปใช้ทาํ ความเย็น สามารถใช้ประกอบกับ Absorption Chiller โดยให้ความร้อนกับ Solution Generator ของ
Absorption Chiller หรื อใช้กบั ระบบ Desiccant Cooling โดยการให้ความร้อนใน การไล่ ความชืIนออกจาก Desiccant
ระบบ CHP จะเป็ นตลาดใหม่ที>เติบโตเป็ นอย่างมากในอนาคต เนื> องจากประสิ ทธิ ภาพในการ ใช้ พลัง งานเชืI อเพลิงของระบบ
CHP มักจะสูงกว่า 70% ซึ>งคุม้ ค่าต่อการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิง> ในโครงการที> ต้อง การกําลังการผลิตไฟฟ้ าสํารอง ระบบ CHP สามารถ
ทําหน้าที>เป็ นระบบกําลังการผลิตไฟฟ้ าสํารอง พร้อมๆ กับ การผลิตความเย็น และ/หรื อความร้อน ข้อมูลเพิ>มเติมของระบบ CHP หาดูได้
จาก Web ของ DOE
ระบบการสะสมความเย็น
เป็ นระบบที> เก็บสะสมความเย็นในรู ปของนํIาเย็น หรื อนํIาแข็ง โดยอาศัยการผลิตนํIาเย็นหรื อนํIาแข็ง ในเวลา กลางคืน ที>อตั ราค่า
ไฟฟ้ าถูก และนําความเย็นที>สะสมไว้มาใช้ในกลางวัน
ระบบดังกล่าวเป็ นที> แพร่ หลายมากในประเทศไต้หวัน เนื> องค่าไฟฟ้ าที> แพงมากในตอนกลางวัน และถูกลง ครึ> งหนึ> งในตอน
กลางคืน ส่วนประเทศไทยยังไม่นิยมเพราะค่าไฟฟ้ าของเราถูกมาก และการลงทุนระบบมีราคา แพง รวมทัIงใช้พIืนที>มาก
การพิจารณาใช้ระบบ Thermal Storage จะต้องทราบ Load Profile หาก Load Profile มีลกั ษณะที>มี จุดยอด สู งกว่าค่าเฉลี>ยมาก ก็
อาจจะมีโอกาสใช้ระบบนีI เพื>อลดให้จุดยอด (Peak) ตํ>าลง ซึ>งอาจจะคุม้ ค่ากับ ค่าไฟฟ้ า Peak Demand
หากใช้ Thermal Storage ด้วยนํIาแข็งหรื อ Ice Storage ก็ควรจะพิจารณาใช้ระบบการจ่ายความเย็น ที> มีอุณหภูมิต> าํ หรื อ Low
Temperature เพื>อที>จะได้นาํ ประโยชน์จากความเย็นที>มีอุณหภูมิ ตํ>าของนํIาแข็ง มาใช้อย่างเต็มที> อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติก็
ใช้ระบบในลักษณะนีI
DOAS
Outdoor Air Treatment (OAT) คือระบบที>ได้รับการยอมรับในปั จจุบนั ว่าเป็ นระบบที>สาํ คัญ ในการควบคุม คุณภาพอากาศภายใน
อาคาร (ดูบทความ Important to Outdoor Air Treatment) เนื> องจากระบบดังกล่าวนีI จะทําหน้าที>ปรับสภาพอากาศภายนอกอาคารเพื>อใช้
เป็ นอากาศบริ สุทธิ‹ที>กรอง ลดอุณหภูมิและความชืIนแล้ว และจ่ายเข้ามาในอาคารในปริ มาณที>ควบคุมได้ ทําให้ทุกบริ เวณในอาคารได้รับ
อากาศบริ สุทธิ‹อย่างทัว> ถึง
การปรับสภาพ และการเลือกตําแหน่งนําอากาศเข้าที>เหมาะสมทําให้ได้สภาพอากาศบริ สุทธิ‹ ที>ตอ้ งการ และทําให้คุณภาพอากาศ
ภายในอาคารดี มีความดันภายในอาคารเป็ นบวก และลด Infiltration
ระบบดังกล่าวนีI เริ> มนํามาใช้ในโรงงานอิเลคทรอนิ ค และมีความจําเป็ นอย่างยิ>งสําหรับอาคารทัว> ไป อาคาร ขนาดใหญ่ โรงแรม
ศูนย์คอมพิวเตอร์ อาคารที>ใช้ระบบการทําความเย็นด้วยการแผ่รังสี อาคารที>ใช้ระบบ Low Temperature สําหรับโรงแรมที>อยูช่ ายทะเล
ระบบ OAT ช่วยลดภาระของเครื> องปรับอากาศ ช่วยลดปั ญหา ความชืIนในห้องพักอย่างได้ผล ทําให้กลิ>นอับหายไป ยืดอายุของพรมและ
อุปกรณ์ตกแต่งภายใน
TERMINAL UNIT
ในระบบที>มี OAT ภาระในระบบปรับอากาศจากอากาศภายนอกอาคารได้ถูกกําจัดโดย OAT ไปแล้ว ดังนัIน ภาระที>ยงั เหลืออยู่
เป็ นเพียงภาระภายในห้อง ซึ>งไม่มากนัก ภาระดังกล่าวสามารถให้ Terminal Unit เป็ นผูท้ าํ หน้าที> โดย Terminal Unit อาจจะอยูใ่ นรู ปของ
Fan Coil Unit ก็ได้ หรื อ ใช้ Radiant Cooling Panel ก็ได้
Terminal Unit สามารถปิ ดเปิ ดได้โดยอิสระ จึงสะดวกกับการใช้งาน นอกจากนีI ยังทําให้สามารถควบคุม อุณหภูมิเฉพาะที>ได้อย่าง
ถูกต้อง แม่นยํากว่าการควบคุมอุณหภูมิที>เครื> องส่ งลมเย็น และยังสามารถช่ วยควบคุมปริ มาณ การหมุนเวียนอากาศภายในห้อง(Air
Changes)ได้ตามที>ตอ้ งการ เนื>องจากส่วนใหญ่ Terminal Unit จะมี Speed Control ด้วย
โครงการสถาบันมาตรวิทยาใช้ Terminal Unit ในห้องเทียบวัด เพื>อให้การควบคุมอุณหภูมิและความชืIนแม่นยํา ซึ> งเป็ นข้อกําหนด
ที>สาํ คัญของระบบ โดยการวัดและสัง> การควบคุมมีวงจรระยะเวลาที>สI นั จึงทําให้การสัง> การควบคุม ได้ผลมากขึIนกว่าเดิม
RADIANT COOLING
การควบคุมความชืCน
เทคโนโลยีในการควบคุมความชืIนในปั จจุบนั ได้พฒั นาไปมาก จากระบบเดิมที>ใช้วธิ ีทาํ ความเย็น ให้มาก และจึงให้ความร้อนเพื>อ
ดึงอุณหภูมิให้สูงขึIนกลับมาอยูใ่ นตําแหน่งที>ตอ้ งการ(Over Cooling and Reheat) ซึ>งเป็ นวิธีการควบคุมความชืIนที>สิIนเปลืองพลังงานอย่าง
มาก
วิธีการทําความเย็นให้อากาศเบืIองต้นและให้ความร้อนกลับ(Pre-cool and Reheat) มีอยูห่ ลายวิธี เช่น การใช้คอยล์เย็นติดตัIงหน้า
หลังของคอยล์เย็นหลัก (Run around coil) การใช้ Wrap around Heat Pipe หรื อการใช้ เครื> องแลกเปลี>ยนความร้อน PHE ดังที>จะได้กล่าว
ต่อไป
1 2 3 4
Cooling Coil
Precooling
Reheating
1 2 3 4
5
2.
5 2 1
2.
5 8.
3 4
3
1
2
4
HEAT PIPE
Heat Pipe คือท่อที>มีความสามารถในการนําความร้อนได้สูงมาก หากนําแท่ง Heat Pipe จุ่มลงในนํIาร้อน ความร้อนจะไปที>ปลาย
อีกด้านหนึ>งทันที เนื>องจากภายในแท่ง Heat Pipe บรรจุสารความเย็นไว้
ความลับของการทํางานของ Heat Pipe อยูท่ ี>ความสามารถในการนําความร้อนอย่างต่อเนื> อง และการที>สาร ความเย็น สามารถวิ>ง
กลับไปมาภายในแท่ง Heat Pipe โดยแรงโน้มถ่วงหรื อกาลักนํIา และไม่อาศัยเครื> องไฟฟ้ าใดๆ ในการ ช่วยการไหลเวียนนีI
เมื>อนํามาขดเป็ น Coil ที>มีลกั ษณะคล้าย Cooling Coil ประกบหน้าหลังของ Cooling Coil สามารถทําหน้าที> เป็ น Precool and
Reheat Coil เป็ นการเพิ>มประสิ ทธิภาพในการดึงความชืIนออกจากอากาศให้กบั Cooling Coil
ที>ผา่ นมา Heat Pipe เป็ นที>นิยมใช้ในระบบ OAT เป็ นอย่างมาก เนื>องจากใช้งานได้ผลดีเยีย> ม โดยไม่ตอ้ งการดูแลรักษาอะไรมาก
นอกจากนีI ยังมีการนําแท่ง Heat Pipe ไปใช้กบั แผงรับแสงอาทิตย์ และใช้ใน Computer Notebook เพื>อใช้ถ่ายเทความร้อนของ
เครื> อง
DESICCANT AIR-CONDITIONER
เครื> องปรับอากาศชนิ ดนีI เดิมใช้เป็ นเครื> องลดความชืIนในโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้สารดูดความชืIน หรื อ Desiccant บนกงล้อ
หมุน เมื>ออากาศผ่านกงล้อหมุนนีI ก็จะแห้งลง เครื> องดังกล่าวจะต้องเติมความร้อนด้วยขดความร้อน Steam Coil หรื อไฟฟ้ า เพื>อให้ความ
ร้อนไล่ความชืIนออกจากสารดูดความชืIนที>อ>ิมตัว ในระยะหลังสารดูดความชืIน ที>นิยม ใช้กนั คือลิเทียม คลอไรด์
นอกจาก เครื> องที> ใช้ Desiccant Wheel ยังมีเครื> องที>ใช้ Liquid Desiccant ซึ> งอยูใ่ นสภาพของนํIาเกลือลิเทียม คลอไรด์ และเพิ>ม
ประสิ ทธิภาพโดยการใช้ Heat Pump เข้ามาเสริ ม ทําให้ไม่จาํ เป็ นต้องใช้ความร้อนจากภายนอก ใน การไล่ความชืIนออกจากเกลือ
เครื> องที>เป็ น Desiccant Wheel ในปั จจุบนั ก็นาํ Heat Pump เข้ามาเสริ มเช่นกัน
p
`
1 2 3
Cooling Coil
Desiccant
Heater
10
1
3 2
1 2
Desiccant
Liquid
Desiccant
1
2
5
8.
1
PHE
Plate Heat Exchanger (PHE) ที>พวกเราคุน้ เคยกันดี ใช้สาํ หรับแลกเปลี>ยนความร้อนระหว่างนํIาที>มี อุณหภูมิ และความดันต่างกัน
และทําจากโลหะไร้สนิม ในระยะหลังมีผผู ้ ลิต PHE ขนาดเล็กสําหรับใช้กบั เครื> องปรับอากาศ ขนาด เล็กทัว> ไป
PHE ยังเริ> มเป็ นที>นิยมใช้เป็ น Air to Air Heat Exchanger เพื>อทําหน้าที>เป็ น Precool and Reheat เช่นเดียวกับ Heat Pipe หรื อใช้เป็ น
Heat Recovery อย่างไรก็ตาม เนื> องจากช่องทางลมของ PHE เป็ นช่องแคบๆ ลมจึงต้องผ่านการ กรองอากาศที> ดี และพัดลมจะต้องมี
แรงดันลมที>สูงขึIน เนื>องจากการที>ช่องลมแคบจะทําให้มีแรงเสี ยดทานที>สูงขึIน โดย เฉพาะอย่างยิ>งเมื>อมีนI าํ กลัน> ตัวภายใน PHE ก็จะทําให้
ช่องลมลดลงไปอีก
PHE ที>ใช้กบั อากาศนีI ส่วนใหญ่เป็ นวัสดุอลูมิเนียม หรื อ High Density Polyethylene
ระบบการทําความเย็นร่ วม