Professional Documents
Culture Documents
สำเนาฉบับแปลของ Qualitative Research Charpter 6
สำเนาฉบับแปลของ Qualitative Research Charpter 6
ก. ขอมูลคืออะไร?
B. บทนําสู วิธีการรวบรวมขอมูล
• การสัมภาษณ;
• การสังเกต;
• การรวบรวมและตรวจสอบ; และ
• ความรูสึก
ในขอความตอนแรกนั้น วิธีทั้งสี่นอ
ี้ าจฟงดูไมเปนทางการเกินไปที่จะถือวาเปนกิจกรรมการวิจัย อยางไรก็ตาม
หากตองการ คุณสามารถใชแตละวิธี ก็สามารถนําไปใชไดโดยใช
(1) เครื่องมือที่เปนทางการ และ
(2) ขั้นตอนการรวบรวมขอมูลที่กําหนดไวอยางเขมงวด
บทที่ 6 วิธีการเก็บรวบรวมขอมูล 139
สถานการณขอมูลของคุณจะถูกจํากัดใหเขาใจสถานการณตามที่รายงานโดยผูอยูในเหตุการณ
ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู กั บ การศึ ก ษาของคุ ณ ข อ มู ล การสั ม ภาษณ เ หล า นี้ ไ ม จํ า เป น ต อ งให ภ าพรวมว า ผู ค นมี
ปฏิกิริยาอยางไร แมวาขอมูลอาจยังเป ดเผยขอมูลเชิงลึก วาผูเขารวมคิดอยา งไรหรือไดรับความ
เขาใจของตนเองเกี่ยวกับสถานการณ
ในทางตรงกั น ข า ม คุ ณ อาจสั ม ภาษณ แ ละสนทนากั บ ผู เ ข า ร ว ม เนื่ อ งจากใน สอบถามเชิ ง
บรรยาย หรือ การวิเคราะหวาทกรรม การศึกษาของคุณมุงเนนไปที่การทําความเขาใจความเปน
จริงของผูมีสวนรวมในกิจกรรมนี้เทานั้น (เชน Willig, 2009) ในกรณีที่คุณจะตองวิเคราะหคําพูด
และวลีที่พูด คุณไมจําเปนที่จะตองพยายามเชื่อมโยงสถานการณภายนอกที่เฉพาะเจาะจงใดๆ ใน
การวิเคราะหการโตตอบของการใชภาษาอยางสมบูรณเลยที่เดียว แตคุณสามารถทํามากกวาการ
วิเคราะหคําพูดและตรวจสอบ สวนที่ไมใชคําพูดของการสนทนาระหวางคนสองคน (หรือมากกวา)
นั้นก็ได อาทิเชน การใชน้ําเสียงของผูคน จังหวะการพูดการหยุดพูดชั่วคราว การขัดจังหวะของกัน
และกัน และ กิริยามารยาท อื่นๆ เปนตน (เชน Drew, 2009)
อีกตัวอยางหนึ่งและจากมุมมองที่ตรงกันขาม หากคุณไดลงพื้นไปเพียงเพื่อสังเกตการณและ
ไมไดเขาไปสัมภาษณหรือสนทนากับผูเขารวม ขอมูลของคุณจะประกอบดวยการสังเกตปฏิสัมพันธ
ทางสังคม และสภาพแวดลอมทางกายภาพที่ไซตงาน แตคุณจะไมไดรับ ขอมูลเชิงลึกที่รายงานดวย
ตนเองจากผูที่คุณกําลังสังเกต คุณจะไมทราบความหมายที่ผูเขารวมแสดงตอการกระทํา อยางไรก็
ตาม การสั งเกตอาจมี ค วามสํ าคั ญในตั วเอง เช น ในการศึ กษางานแต ง งาน งานศพ หรื อพิ ธีอื่ น ๆ
เพื่อใหเกิดความซาบซึ้งในแนวทางปฏิบัติและพิธีกรรมทางวัฒนธรรมที่แตกตางกัน
สํ า หรั บ ข อ มู ล เชิ ง ลึ ก โดยละเอี ย ดเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ การใช วิ ธี ก ารวบรวมข อ มู ล ทั้ ง สี่ แ บบนั้ น
รวมถึงขอจํากัดตางๆ สวนที่เหลือของบทนี้จะกลาวถึงเรื่องราวตางๆ ในเชิงลึกยิ่งขึ้น ซึ่งมีอยูดวยกัน
สองวิธี วิธีแรกคือกรนําเสนอวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลแตละประเภทแยกกัน เพื่อชื่นชมคุณลักษณะ
และขั้นตอนที่เกี่ยวของ ประการที่สอง คือจะชี้ไปที่ขั้นตอนการรวบรวมขอมูลที่ตองการซึ่งเกี่ยวของ
กับวิธีการตางๆ ทั้งหมดเปนกลุม
C.การสัมภาษณ
ตัวอยาง— สิ่งที่คุณควรเรียนรูจากสวนนี้:
การสัมภาษณสามารถมีไดหลายรูปแบบ แตเพื่อ
1. ความแตกตางระหวางการสัมภาษณแบบมีโครงสราง ความเรียบงาย คุณอาจพิจารณาทุกรูปแบบแบง
และเชิงคุณภาพ
ออกเปนสองประเภท: การสัมภาษณแบบมีโครงสราง
2. คําแนะนําในการสนทนาอยางประสบความสําเร็จโดยเปน และ การสัมภาษณเชิงคุณภาพ การสนทนาตอไปนี้
1
สวนหนึ่งของการสัมภาษณเชิงคุณภาพ จงใจเหมารวมทั้งสองเรื่องเพื่อแสดงใหเห็นถึงความ
3. ประโยชนของการซักถามและคําถามติดตามผลและการ แตกตางที่ชัดเจน (นักวิจัยที่มีประสบการณอาจ
โตตอบที่พึงประสงคอื่น ๆ ในการสัมภาษณเชิงคุณภาพ คิดคน
4. ขั้นตอนการสัมภาษณกลุม
โครงสราง การสัมภาษณ
ทั้งหมดเกี่ยวของกับปฏิสัมพันธระหวางผูสัมภาษณกับ ผูเขารวม (หรือ ผูใหสัมภาษณ) การสัมภาษณ
แบบมี โ ครงสร า ง จะเขี ย นเนื้ อ หา หรื อ สคริ ป ต ก ารโต เ อาไว อ ย า งรอบคอบ ขั้ น แรก ผู วิ จั ย จะใช
แบบสอบถามที่เปนทางการซึ่งแสดงรายการคําถามทุกขอที่จะถาม ประการที่สอง ผูวิจัยจะใชบทบาท
ของผู สัมภาษณโดยพยายามดึงคําตอบจากผูใหสัมภาษณ ประการที่สาม ผูวิจัยในฐานะผูสัมภาษณจะ
พยายามนํ า พฤติ ก รรมและท า ทางที่ ส อดคล อ งกั น มาใช เ มื่ อ สั ม ภาษณ ผู เ ข า ร ว มที่ แ ตกต า งกั น ดั ง นั้ น
พฤติกรรม และพฤติกรรมของผูสัมภาษณจึงถูกเขียนขึ้นโดยอิงจากการฝกอบรมเฉพาะที่เกี่ยวของกับ
การศึกษากอนหนานี้ที่มุงดําเนินการเก็บรวบรวมขอมูลอยางสม่ําเสมอที่สุด
เมื่อคนสวนใหญใชคําวา สัมภาษณ พวกเขามักจะหมายถึง การสัมภาษณแบบมีโครงสราง (structured
interviews) ผู ค นคิ ด ว า การสั ม ภาษณ เป น ส ว นหนึ่ ง ของการสํ า รวจ หรื อ โพลบางประเภท การศึ ก ษา
เหลานี้ยังเรียกรองใหมีการสุมตัวอยางที่เปนตัวแทนของผูเขารวมหรือผูใหสัมภาษณ ใหความสําคัญกับ
คําจํากัดความ และสุมตัวอยางเพื่อใหเกิดความแมนยํามากที่สุด รวมถึงการทดสอบทางสถิติที่เหมาะสม
จากนั้นจะนําผลมาประเมินความเชื่อมโยงระหวางผลการศึกษา กับประชากรกลุมตัวอยางที่มีขนาดใหญ
ขึ้น
จากเงื่อนไขทั้งหมดเหลานี้ หากการศึกษาใชแตการสัมภาษณแบบมีโครงสราง การศึกษานาจะเปน
แบบสํารวจหรือแบบสํารวจความคิดเห็น แตไมใชการศึกษาเชิงคุณภาพ หากคุณเลียนแบบวิธีการที่ใช
ในการสั ม ภาษณ แ บบมี โ ครงสร า งทั้ ง หมด แต ยั ง ใช วิ ธี เ ชิ ง คุ ณ ภาพเพื่ อ รวบรวมและวิ เ คราะห ข อ มู ล
ประเภทอื่นเพิ่มเติมในหัวขออื่น ๆ ก็เหมือนกับวาคุณกําลังจะทําการ วิจัยแบบผสมผสาน (อธิบายเพิ่มเติม
ในบทที่ 12 สวน B)
นอกเหนือจากการมีชุดขั้นตอนที่โดดเดนแลว การสัมภาษณแบบมีโครงสรางยังมีแนวโนมที่จะชอบ
คําถามบางประเภท กลาวคือ คําถามที่ผูถูกสัมภาษณถูกจํากัดใหอยูในชุดคําตอบที่กําหนดไวลวงหนา
โดยผูวิจัย หรือที่เรียกวา คําถามปลายปด ไมวาการสํารวจจะอยูในรูปแบบของการพูดคุยทางโทรศัพท
การสัมภาษณแบบตัวตอตัวหรือการสัมภาษณแบบ “ดักคอ” สัมภาษณในหางสรรพสินคา และสถานที่
สาธารณะ ขั้นตอนถูกออกแบบมาเพื่อถามคําถามชุดเดียวกันแกผูสัมภาษณทุกคน โดยแตละคําถามมีชุด
คําถามแบบจํากัดในแตละหมวดหมูในการตอบคําถาม (Fontana & Frey, 2005)
นักวิจัยสํารวจหลายคนเชื่อวาคําถามปลายปดเหลานี้นาํ ไปสูข อมูลที่แมนยํายิ่งขึ้นและการวิเคราะห
ที่ชัดเจนยิ่งขึน
้ ตัวอยางเชน สํารวจ สังเกตวา “คําตอบนาจะเชื่อถือไดและถูกตองมากกวาเมื่อมีการระบุ
รายการมากกวาเมื่อถามคําถามในรูปแบบเปด” (Fowler & Cosenza, 2009, p. 398) โดยรวมแลว การ
วิจัยเชิงสํารวจมีประวัติอน ั ยาวนานในการจัดการกับสิง่ นี้ และปญหาอื่นๆ ของการออกแบบแบบสอบถาม
(เชน Sudman & Bradburn, 1982)
การสัมภาษณเชิงคุณภาพ
การสัมภาษณเชิงคุณภาพ นาจะเปนรูปแบบการสัมภาษณทค่ี รอบครุมอยางมากในการวิจัยเชิงคุณภาพ
(เชน Holstein & Gubrium, 2003) การสัมภาษณประเภทนี้แตกตางจากการสัมภาษณแบบมีโครงสราง
ในลักษณะสําคัญๆ
บทความสัน
้ ที่ 6.1 การสัมภาษณเชิงคุณภาพในฐานะความสัมพันธทางสังคม
โหมดการสนทนาของการสัมภาษณเชิงคุณภาพ เมื่อเทียบกับการสัมภาษณแบบมีโครงสราง
นั้ น จะนํ า เสนอโอกาสในการสื่ อ สารแบบสองทาง (two-way interactions) ซึ่ ง ผู เข า ร ว มตอบ
แบบสอบถาม อาจสอบถามผูวิจัยเกี่ยวกับหัวขอกวางๆ บางหัวขอ (นอกเหนือจากการ ชี้แจง) การ
สอบถามดั ง กล า วมั ก จะไม เ ป น ส ว นหนึ่ ง ของการสั ม ภาษณ แ บบมี โ ครงสร า ง ยกเว น ที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น
หลั ง จากการสั ม ภาษณ เ สร็จ สิ้ น นอกจากนี้ การสั มภาษณ เชิ ง คุ ณภาพสามารถเกิ ด ขึ้น ได ระหว า ง
ผูวิจัยกับกลุมบุคคล แทนที่จะทําเพียงคนเดียวเทานั้น
ในโหมดการสนทนา ผูเขารวมอาจแตกตางกันในความตรงไปตรงมาของคําพูด บางคําถาม
อาจฟงดูแลวตรงไปตรงมาในบางจุด แตขี้ก็จะรูสึกเขินอายที่จะถามในบางจุด ซึ่งผูวิจัยจะตองรูวิธี
แยกแยะความแตกตางของเหตุการณทั้งสองนี้ ดวยเหตุนี้ “การสัมภาษณเชิงคุณภาพจึงตองอาศัย
การฟ ง อย า งตั้ ง ใจ และความพยายามอย า งเป น ระบบที่ จ ะรั บ ฟ ง และ เข า ใจในสิ่ ง ที่ ผูค นบอกคุ ณ
จริงๆ” (Rubin & Rubin, 1995, p. 17) การฟงคือ “การฟงความหมายของสิ่งที่กําลังพูด” (หนา 7)
ประการที่สาม คําถามที่สําคัญกวาในการสัมภาษณเชิงคุณภาพจะเปน คําถามปลายเปด
(แทนที่จะเปนคําถามปลายปด) การที่ผูเขารวม จํากัดการตอบสนองตอคําตอบคําเดียวเชนเดียวกับ
คําถามปลายปดสวนใหญจะเปนความปรารถนาสุดทายของนักวิจัยเชิงคุณภาพ
ความแตกตางของทั้งสามหัวขอดังกลาวขางตนนี้สะทอนใหเห็นถึงความแตกตางที่ลึกซึ้ง
ยิ่งขึ้นระหวางการสัมภาษณแบบมีโครงสรางและเชิงคุณภาพ การสัมภาษณแบบมีโครงสรางจะ
ติดตามการใชคํา วลี และความหมายของผูวิจัยโดยตรง ในขณะที่ เชิงคุณภาพ มุงเปาไปที่การทํา
ความเขาใจผูเขารวม “ตามเงื่อนไขของตนเองและวิธีที่พวกเขาสรางความหมายของชีวิต
ประสบการณ และกระบวนการทางปญญาของตนเอง” (Brenner, 2006, น. 357). จุดมุงหมายนี้
เหมาะสมกับวัตถุประสงคพื้นฐานของการวิจัยเชิงคุณภาพอยูประการหนึ่ง นั้นก็คือการแสดงถึง
มุมมองทางสังคมที่ซับซอนของผูตอบแบบสอบถามนั่นเอง
การสัมภาษณแบบมีโครงสรางยังมีขอจํากัดในความสามารถในการชื่นชมแนวโนมและเงื่อนไขตาม
บริบทในชวงชีวิตของผูเขารวมตอบแบบสอบถาม ในขณะที่การสัมภาษณ อาจจะอาศัยแนวโนม
และเงื่อนไขเหลานี้ ความครอบคลุมดังกลาวเกิดขึ้นไดสวนหนึ่งเนื่องจากการสัมภาษณเชิงคุณภาพ
อาจยาวนานกวาแบบมีโครงสรางมาก และอาจเกี่ยวของกับการสัมภาษณเปนชุดกับผูเขารวมคน
เดียวกัน ตัวอยางเชน ผูเขารวมคนเดียวกันอาจไดรับการสัมภาษณสามครั้ง แตละครั้งใชเวลา 90
นาที โดยอาจจะใชชวงเวลาไมกี่วัน แตไมยาวนานเปนสัปดาห การสัมภาษณครั้งแรกในสามบท
อาจกําหนด บริบท ของประสบการณของผูเขารวม โดยทั่วไปจะครอบคลุมภูมิหลังสวนตัวของผูตอบ
แบบสอบถาม การสัม ภาษณค รั้ งที่ สองอาจให ผูเ ข าร วมสรา งรายละเอี ย ดของประสบการณ ที่เ ป น
หัวขอของการศึกษาใหม และการสัมภาษณครั้งที่สามอาจขอให ผูเขารวม ไตรตรองความหมาย
ของประสบการณ (Seidman, 2006, pp. 16–19)
นอกจากนี้ การสัมภาษณแบบมีโครงสรางและเชิงคุณภาพอาจมีผลกระทบที่แตกตางกันสอง
ประการตอนักวิจัยที่ทําการสัมภาษณ เมื่อทําการสัมภาษณแบบมีโครงสราง นักวิจัยพยายามทวน
คํ า ถามชุ ด เดิ ม และนํ า เสนอพฤติ ก รรมส ว นตั ว แบบเดี ย วกั น กั บ ผู ใ ห สั ม ภาษณ ทุ ก คน นั ก วิ จั ย ที่
สัมภาษณในลักษณะนี้เปนจํานวนมากในวันเดียวกันอาจรูสึก รางกาย เหนื่อยลาในตอนทายของวัน
แตอาจมี พลังงานทางจิต อยู
ในทางตรงกันขาม เมื่อทําการสัมภาษณ เชิงคุณภาพ นักวิจัย พยายาม ทําความเขาใจ โลก
ของผูเขารวมตอบแบบสอบถาม ซึ่งนาจะรวมถึงความพยายามอยางตั้งใจในการเรียน หมายของคํา
และวลีของผูเขารวม แนวคําถามไมไดควบคุมโดยแบบสอบถาม แตตองการใหผูวิจัยใชความรูสึก
ภายในใจอยางตอเนื่อง นักวิจัยที่สัมภาษณในลักษณะนี้เปนจํานวนมากในวันเดียวกันจะรูสึก ทาง
จิตใจ ในตอนทายของวัน แตอาจมี พลังงานทางรางกายอยู (สําหรับนักวิจัยที่มีคุณภาพที่ดี ความ
อ อ นล า ทางจิ ต ใจจะปรากฏขึ้ น ในตอนท า ยของวั น ที่ ป ระสบความสํ า เร็ จ ในรู ป แบบของการไม
ตองการถามคําถามอื่นในหัวขอใด ๆ แมแตกับคนที่ไมเกี่ยวของกับการศึกษาวิจัย)
การสัมภาษณเชิงคุณภาพ
คํ า ถามเริ่ ม ต น ในการสั ม ภาษณ ห รื อ การสนทนาแบบ นักวิจัยเชน Mary Brenner (2006) มัก อางถึงคําถาม
ปลายเปดนั้นไมสามารถระบุไดงาย มีแรงจูงใจหลายอยาง "grand tour" วาเปน แรงจูงใจเหลานี้เกือบตลอดเวลา
ในเวลาเดี ย วกั น : เพื่ อ ให ก ารสั ม ภาษณ เ ริ่ ม ต น อย า ง เธอใหเครดิตกับ Sprad ley (1979) วาไดอธิบายรูปแบบนี้
เพียงพอเพื่ อใหผูถูกสัมภาษณสามารถตอบสนองไดอยา ง เปนครั้งแรก ในดานการศึกษา คําถามที่อาจครอบคลุมถึง
กวางขวาง (และ สบายใจ) แทนที่จะตอบสั้น ๆ เพื่อเริ่มการ เหตุการณลาสุดที่โรงเรียน (เชน “อะไรคือพัฒนาการหลัก
สัมภาษณในหัวขอที่เกี่ยวของกับการศึกษาวิจัย และกํากับ ของโรงเรียนในปนี้?”) หรือบทบาทของผูถูกสัมภาษณ
ผูใหสัมภาษณใหนอยที่สุด (เชน “หนาที่ความรับผิดชอบของคุณในฐานะหัวหนางาน
คืออะไร ของโรงเรียนนี้?”) เมื่อเริ่มตนแลว ผูสัมภาษณ
สามารถถามคําถามติดตามผลในแงมุมที่เฉพาะเจาะจงมาก
ขึ้นของ "การทัวรครั้งยิ่งใหญ" เพื่อใหไดรายละเอียดใน
ระดับที่ตองการในที่สุด
เรือ
่ งสั้นที่ 6.3. การสัมภาษณผูคนอยางไมออ
มคอมเกีย
่ วกับหัวขอสําคัญของการศึกษา
ผสมผสานระหว า งชาวโรมาเนี ย และฮั ง การี ใ นเมื อ งคลู จ
การเมืองชาตินิยมและชาติพันธุในชีวิตประจําวันในเมืองท เพื่ อ ลดอคติ Brubaker และ เพื่ อ นร ว มงาน ใช ค วาม
ราน ซิ ล วาเนี ย ( B r u ba k e r , F ei s c h m i d t, F o x , & ระมัดระวัง อยางยิ่งในการสัมภาษณ หลีกเลี่ยงการอางถึง
Grancea, 2006) กลาวถึงหัวขอที่เปนนามธรรมอยางยิ่ง: เชื้อ ชาติโ ดยตรงเพราะ "หาไดง ายเกิน ไปหากใครก็ ตาม
“เชื้อชาติและสัญชาติเนื่องจากพวกเขาถูกแสดงทาที มองหา" (2006, p. 381) การสั ม ภาษณ เ ริ่ ม ด ว ยหั ว ข อ
ไมพอใจและโตแยงใน วงการเมือง” (หนา xiii) การศึกษา “โดยไม มี ค วามเกี่ ย วข อ งกั บ ชาติ พั น ธุ ” ซึ่ ง ครอบคลุ ม
มุงเนนไปที่ชีวิตประจําวันใน โรมาเนีย ซึ่งเปนสถานที่ เหตุการณในชีวิตประจําวัน และจากนั้นจึงปลอยให คํานํา
ทํางานภาคสนามระหวางป 2538 ถึง 2544 ผูเขียนทั้งหมด ของหนั ง สื อ เล ม นี้ บทนํ า ของ บรรยาย และส ว นต อ ท า ย
พูดภาษาโรมาเนียและฮังการีมากกวา 100 การสัมภาษณ “หมายเหตุเกี่ยวกับขอมูล” ใหรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
จัดการอภิปรายกลุมจํานวนมาก (มีการถอดเสียงดวย) และ วิ ธี ก ารที่ ผู เ ขี ยนติ ด ตามงานนี้ ต ลอดจนกลยุ ท ธ ภ าคสนาม
ทําการสังเกตอยางตอเนื่องในฐานะผูมีสวนรวมและ อื่นๆ ของพวกเขา
สังเกตการณ หนังสือเลมนี้ซึ่งสรางขึ้นจากคอลเล็กชันทาง
วิชาการของ วรรณคดีไดรวมเอา มุมมอง เขากับหลักฐาน ดูเพิม
่ เติมทีเ่ รือ
่ งสัน
้ ที่ 11.5
ภาคสนามรวมสมัยจํานวนมหาศาล
วิธี แ ก ไ ขที่ ต อ งการคื อ หลีก เลี่ ย งอคติ ที่ โ จง แจ ง แตต อ งมี ค วามละเอี ย ดอ อ นต อ สิ่ ง ที่
เหลืออยูดวย ตอมา คุณควรพยายามอยางเต็มที่เพื่อเปดเผยและอภิปรายวาสิ่งเหลานี้จะ
สงผลตอสิ่งที่คุณคนพบไดอยางไร (ดู “การนําเสนอ สะทอนกลับ ” ในบทที่ 11 สวน D)
ฉันทํ าทุ กอย างที่ทํ าได เพื่ อให หัวขอของฉัน สบายใจที่จ ะคุยกับ ฉัน ฉันยัง คงถาม
คําถามมากมาย ฉัน พยายามที่จะเปนผูชมที่ดี ฉันพยักหนา ; ฉันมองตรงเขา ไปใน
ดวงตาของพวกเขา ฉันหัวเราะเยาะเรื่องตลกของพวกเขา ไมวาฉันจะคิดวามันตลก
หรือไมก็ตาม ฉันจริงจังเมื่อพวกเขาจริงจัง
“การเริม
่ ” และ “การจบ” การสัมภาษณเชิงคุณภาพ
การทัวรครั้งยิ่งใหญของคุณหรือคําถามเริ่มตนอื่นๆ แสดงถึงคําถามที่สําคัญในเบื้องตน
ของคุณ อยางไรก็ตาม นี่ไมใชจุดเริ่มตนของการสนทนาของคุณ คุณนาจะไดแลกเปลี่ยน
ความพอใจในเบื้องตนกับอีกฝายหนึ่งมากขึ้น ซึ่งอาจเปนสวนหนึ่งของการแนะนําผูให
สัมภาษณที่เปนทางการมากขึ้น ซึ่งสะทอนถึงขอกําหนดสําหรับการรับทราบและใหความ
ยอมรับในการเริ่มตนการสัมภาษณดวย (ดูบทที่ 2 สวน E)
ในทํ า นองเดี ย วกั น เมื่ อ การสนทนาของคุณสิ้น สุด ลง การเปลี่ยนคํ า ในขั้น สุด ทา ย
มักจะไมมีความสําคัญ แตจะจบลงอีกครั้งดวยความสัมพันธระหวางบุคคลบางประเภทที่
เรียกรองความสนใจไปยังจุดสิ้นสุดของการสนทนาโดยการ “ขอบคุณ” อยางสุภาพและ
ความปรารถนาดีในชวงเวลาทีเ่ หลือของวันเปนเรื่องปกติ
วิ ธีที่ คุ ณเริ่ ม ต น และสิ้ น สุ ด การสนทนานั้ น ขึ้ น อยู กับ ความสุภ าพและวั ฒนธรรมเป น
หลัก อาจเปนเพราะเหตุนี้ หนังสือเรียนสวนใหญไมเนนการสนทนาสองขั้นตอนและการ
สัมภาษณเชิงคุณภาพ อยางไรก็ตามทาง เขาและทางออก เปนหนึ่งในสิ่งที่ฉันโปรดปราน
ในการแนะนําวาการสนทนาสามารถดําเนินการสัมภาษณเชิงคุณภาพไดอยางไร
"การเริ่มตน การสัมภาษณ" สามารถกําหนดน้ําเสียงระหวางบุคคลที่จะนําไปสูการ
สนทนาที่สํ าคัญไดอยางชัดเจน ดังนั้นคุณควรเตรียมบทสนทนา "การเริ่มตน " ของคุณ
และไม เ พี ยงแค เดิ น เข า ไปเฉยๆ แต ใ หล องนึ ก ถึ ง วิธีที่ คุณตอ งการเขา ถึง แตล ะคนที่คุ ณ
สัมภาษณและหัวขอที่คุณตองการพูดถึง กอน เริ่มการสัมภาษณครั้งใหม
การสัมภาษณกลุม
คน
ไมวาจะวางแผนหรือไมวางแผนเมื่อคุณจะมี โอกาส สัมภาษณ กลุม คน ไมวากลุมคนนั้น
อาจมี ข นาดเล็ ก (สองถึ ง สามคน) หรื อ ขนาดปานกลาง (เจ็ ด ถึ ง สิ บ คน) โอกาสเหล า นี้
เรียกรองใหมีการเตรียมการและการตอบสนองอยางรอบคอบจากคุณ
คุณอาจปฏิบัติตอกลุมเล็กๆ (สองถึงสามคน) เปนสวนเสริมของการสัมภาษณบุคคล
คุณอาจมุงความสนใจไปทีบ ่ ค
ุ คลเหลานีใ ้ นขณะทีย ่ ังคงใหความเคารพผูอื่นอยางเหมาะสม
และไมทําใหพวกเขารูสึกวาพวกเขามีบทบาทรองเทานั้น
อยางไรก็ตาม เมื่อกลุมของคุณมีขนาดที่เล็กมากแลว คุณตองมุงความสนใจไปที่ทั้ง
กลุ ม ไม ใ ช บุ ค คลใดบุ ค คลหนึ่ ง นี่ เ ป น ความท า ทายที่ ย าก และคุ ณ ควรหลี ก เลี่ ย ง การ
สัมภาษณ กลุมที่มีขนาดปานกลางจนกวาคุณจะไดรับการฝกฝนและประสบการณกับกลุม
เล็กๆ ดังกลาวในครั้งแรก โดยไมขึ้นกับการศึกษาเชิงคุณภาพที่กําลังดําเนินอยูของคุณ
หากคุณไมเคยฝกฝนมากอน ใหหาโอกาสในกลุมวิชาการหรือกลุมสวนตัวของคุณ
การสัมภาษณกลุม
โฟกัสเปนวิธี
การเก็บรวบรวมขอมูลเชิงคุณภาพ
เอกสารการวิ จั ย พิ จ ารณาว า กลุ ม เป น ประเภทหลั ก ของกลุ ม ที่ มี ข นาดปานกลาง และ
ข อ ความและบทความจํ า นวนมากครอบคลุ ม ถึ ง การรวบรวมข อ มู ล ประเภทนี้ (เช น
Stewart, Shamdasani, & Rook, 2009) กลุมนี้ “เนน” เพราะคุณไดรวบรวมบุคคลที่เคย
มีประสบการณรวมกันมากอน
การสนทนากลุมเริ่มตนขึ้นโดยเปนวิธีรวบรวมขอมูลวาผูฟงกลุมตัวอยางอาจรับรูรายการวิทยุบาง
รายการหรื อ การสื่ อ สารมวลชนประเภทอื่ น ๆ ได อ ย า งไร (Merton, Fiske, & Kendall, 1990) ข อ
เสียเปรียบอยางหนึ่งที่เห็นไดชัดเมื่อเทียบกับการสัมภาษณบุคคลคือการเพิ่มประสิทธิภาพ (การพูดกับ
หลายคนพรอมกัน) แตการสูญเสียในเชิงลึก (ไดรับขอมูลนอยลงจากผูเขารวมคนเดียว) อยางไรก็ตาม
เหตุผลหลักสํา หรับการสัมภาษณแบบกลุมไมไดเกี่ยวของกับการประนีป ระนอมครั้งนี้ ในทางกลับกัน
การสัมภาษณกลุมเปนสิ่งที่พึงประสงคเมื่อคุณสงสัยวาผูคน (เชน เด็กและเยาวชน) อาจแสดงออกอยาง
งายดายเมื่อพวกเขาเปนสวนหนึ่งของกลุมมากกวาเมื่อพวกเขาเปนเปาหมายของการสัมภาษณเดี่ยวกับ
คุณ ในทางกลับกัน หากผูเขารวมเงียบในการตั้งกลุม คุณยังอาจพยายามสัมภาษณเดี่ยวกับบุคคลนั้น
ในชวงทายของการสัมภาษณกลุม
เรือ
่ งสั้นที่ 6.5. การใชกลุมโฟกัสเปนขอมูลเดียวจาก "ภาคสนาม"
ขอมูลที่มุงเนน "ผูบริโภค" มีมูลคาสูง อยางไรก็ตาม
บางครั้ ง หั ว ข อ สํ า คั ญ อาจไม เ หมาะกั บ งานภาคสนาม การทํางานภาคสนามแบบเดิมๆ อาจเปนเรื่องยากและไม
แบบเดิมๆ เชนเดียวกันกับปญหาสําคัญในการศึกษาของ เปดเผยมากนัก เวนเสียแตวาเราจะติดตามนักเรียนกลุม
รัฐ: ใหนักเรียนมีอิสระมากขึ้นในการเลือกโรงเรียนที่จะ หนึ่งโดยเฉพาะ (ซึ่งมักเปนการลวงเกินและมีแนวโนมที่
เขาเรี ยน (ระบบโรงเรี ยนของรัฐส วนใหญมอบหมายให จะก อ ให เ กิ ด ผลกระทบอย า ง "นั ก วิ จั ย ") เพี ย งเล็ ก น อ ย
นักเรียนเรียนในโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง ทั่วประเทศ เท า นั้ น ที่ จ ะมี ป ระสบการณ ห รื อ "มองเห็ น " ในสภาพ
จึงมีการทดสอบการจัดเตรียม "ทางเลือกของโรงเรียน" แวดลอมการ ได เนื่องจากการเตรียมการไมเกี่ยวของกับ
อยางตอเนื่อง การปฏิบัติในชั้นเรียนแบบใหม
เพื่อทําความเขาใจวาการเลือกโรงเรียนทํางานอยางไร
จากมุมมองของนักเรียนและ ครอบครัวทีมวิจัยไดจัดกลุม
โฟกัสตางๆ (Stewart, Wolf, Cornman, & McKenzie
Thompson, 2007) ทีมงานไดคัดเลือกผู D. การสังเกตุ
จั ด กลุ ม สนทนา และบั น ทึ ก และถอดความการสนทนา
ขอมู ลนี้ เป นหลักฐานหลักสําหรับการศึกษาเชิง คุณภาพ
ทั้งหมด ั อยาง—สิ่งที่คุณควรเรียนรูจากสวนนี้:
ดูตว
1. วิธีจัดการกับอคติและการขาดความเปนตัวแทนในการ
สังเกตการณภาคสนาม
2. ความหลากหลายของรายการที่สามารถเปนเรื่องของ
การสังเกตได
“การสังเกต” อาจเปนวิธีที่ประเมินไมไดในการ
รวบรวมขอมูล เนื่องจากสิ่งที่คุณเห็นดวยตาของคุณ
เองและรับรูดวยประสาทสัมผัสของคุณเองจะไมถูก
กรองโดยสิ่งที่ผูอื่นอาจรายงานถึงคุณหรือสิ่งที่
ผูเขียนเอกสารบางฉบับอาจเห็น ดวยวิธีนี้ การ
สังเกตของคุณเปนรูปแบบหนึ่งของ ขอมูลหลัก ที่นา
ยกยองอยางสูง
โดยตัดสินใจวาจะสังเกตเมือ
่ ใดและทีไ
่ หน การสังเกต
การสังเกตเปนสวนหนึ่งของการวิจัยเชิงคุณภาพจะไมเกี่ยวของกับเครื่องมือสังเกตการณที่
เปนทางการหรือตัวอยางการสังเกตขนาดใหญที่ทําขึ้นภายใตเงื่อนไขที่เปรียบเทียบไดสูง
แตการสังเกตของคุณอาจเปนสวนหนึ่งของบทบาทผูเขารวมและผูสังเกตการณ หรือจะทํา
โดยบังเอิญมากขึ้นในระหวางการสัมภาษณหรือกิจกรรมภาคสนามอื่นๆ ที่สําคัญที่สุดในการ
วิจัยเชิงคุณภาพสวนใหญ คุณไมควรจะทําการสังเกตการณซ้ําหลายครั้งในที่ๆ เดียวและ
เปนสถานที่เดิมๆ หรือตามชวงเวลาที่กําหนดเอาไวลวงหนา
ในการทําหนาที่เปนผูมีสวนรวมและสังเกตการณ คุณมักจะคนหาตัวเองในพื้นที่ โดย
การทํา ตัว ตามสบายแบบเรื่อ ยๆ ซึ่ง การทํา งานในพื้น ที่ดัง กลา วจะทํา ใหคุณตอ งตัด สิน ใจ
อยางชัดเจนเกี่ยวกับตัวเลือกการสังเกตของคุณ ตัวอยางเชน ความลื่นไหลแบบเรื่อยๆ นั้น
หมายความวาคุณไมสามารถอยูไดทุกที่ตลอดเวลา หากพื้นที่หนึ่งมีความซับซอนเพียงพอ
คุณจะไมสามารถดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได การเลือก เกี่ยวกับ "เมื่อใด" และ "ที่ไหน" ที่ตองสังเกต
จะต อ งเป น ส ว นที่ ชั ด เจนของขั้ น ตอนการรวบรวมข อ มู ล ของคุ ณ คุ ณ อาจไม มี เ หตุ ผ ลที่
เขมงวดในการตัดสินใจของคุณ แตคุณจําเปนตองตระหนักถึงผลที่ตามมา: สิ่งที่คุณสังเกต
และบั น ทึ ก จะไม จํ า เป น ต อ งเป น เหตุ ก ารณ ที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ที่ เ กิ ด ขึ้ น หรื อ เป น ตั ว แทนของ
เหตุการณทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสภาพแวดลอมภาคสนาม
วิธีแรกในการใหความสนใจกับเรื่องนี้อยางถี่ถวนคือการบันทึกเวลาและสถานที่ในการ
สั ง เกตของคุ ณ ซึ่ ง รวมถึ ง การบั น ทึ ก ผู เ ข า ร ว มที่ อ ยู ใ นฉากภาคสนามเมื่ อ คุ ณ ทํ า การ
สั ง เกตการณ คุ ณ ยั ง จะทํ า สั ญ กรณ ส รุ ป ประเภทของเหตุ ก ารณ (หรื อ ไม มี เ หตุ ก ารณ ) ที่ ดู
เหมือนวาจะเกิดขึ้น
อีกวิธีหนึ่งในการลดความลําเอียงและการขาดความเปนตัวแทนคือการสังเกตหลายๆ
ครั้ ง หากเป น ไปได คุ ณสามารถ "เพิ่มขนาด" ไซตของคุณกอ น แลวจึง จัด หากํา หนดการ
โอกาสในการสังเกตของคุณในภายหลังเพื่อใหครอบคลุมชวงเวลาตางๆ ของวัน (หากไมใช
วัน หรื อ ฤดูกาลที่ แตกต า งกั น ) ตํ า แหนงที่แตกตา งกัน เล็กนอยภายในการลงพื้นที่เดียวกัน
และโอกาสที่ตางคนตางอยู (แนนอน กําหนดการดังกลาวจะไมเกี่ยวของหากการสังเกตของ
คุณมุงเนนไปที่สถานการณหรือเหตุการณที่ไมซ้ํากัน)
แมวาคุณจะตัดสินใจเลือกอยางไร วิธีสุดทายในการเก็บขอมูลจากการสังเกตของคุณ
คือการหารือถึงทางเลือกของคุณและผลที่ตามมาซึ่งเปนสวนหนึ่งของ บันทึกสวนตัวของคุณ
(ดู บ ทที่ 7 ส ว น E) คุ ณควรคาดคะเนวา การตัด สิน ใจของคุณอาจสง ผลตอ การคน พบและ
ขอสรุปของคุณอยางไร จากขอมูลนี้ คุณควรแสดงคําเตือนหรือขอควรระวัง (หรือจุดแข็งที่
โดดเดน) เกี่ยวกับงานของคุณ
การตัดสินใจวาจะสังเกตอะไร
หลาย ๆ อยางสามารถเปนเรื่องของการสังเกตของคุณได จุดเดนของรายการเหลานี้ขึ้นอยู
กับหัวขอของการวิจัยเชิงคุณภาพของคุณ หมวดหมูที่เกี่ยวของอาจรวมถึง:
การใชประโยชนจากมาตรการทีไ
่ มเปนการรบกวน
ป ญ หาของการสะท อ นกลั บ ของหั ว ข อ ดั ง กล า วที่ ก ล า วถึ ง ในหนั ง สื อ เล ม นี้ มั ก เกิ ด ขึ้ น ทั น ที เ มื่ อ คุ ณ
สังเกตเห็นมนุษยหรือกิจกรรมของมนุษย การปรากฏตัวของคุณจะมีอิทธิพลตอบุคคลอื่นที่ไมรูจัก ในทาง
กลับกัน กิจกรรมของพวกเขาอาจสงผลโดยตรงตอวิธีการสังเกตของคุณ ปฏิกิริยาสะทอนกลับดังกลาว
เปนสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมไดและสมควรไดรับความคิดเห็นอีกครั้งในรายงานระเบียบวิธีขั้นสุดทายของคุณ
โอกาสของการสะท อ นกลั บ จะลดลงหากไม ถู ก กํ า จั ด เมื่ อ คุ ณ สั ง เกตลั ก ษณะต า งๆ ในโลกทาง
กายภาพที่ยังคงสามารถเปดเผยอยางมากเกี่ยวกับกิจกรรมของมนุษยกอนหนาบางอยาง รองรอยทาง
กายภาพของกิ จ กรรมของมนุ ษ ย เช น การพลิ ก กลั บ ของหน า ในหนั ง สื อ ที่ ค นอื่ น อ า นแล ว ตลอดจน
ภาพถายและบันทึกของผูอื่นซึ่งเปนสวนหนึ่งของชีวิตประจําวัน ลวนถือไดวาเปนตนเหตุของสิ่งที่มี ถูก
เรียกวา มาตรการที่ไมเปนการรบกวน (Webb, Campbell, Schwartz, & Sechrest, 1966; Webb,
Campbell, Schwartz, Sechrest, & Grove, 1981) คุณคาหลักของมาตรการเหลานี้คือเกี่ยวของกับ
สถานการณที่ "ไมเกิดปฏิกิริยา" ซึ่งคุณในฐานะนักวิจัยไมสามารถมีอิทธิพลตอพฤติกรรมของผูเขารวมที่
สรางรองรอยทางกายภาพได (ดู "'มาตรการที่ไมสรางความรําคาญ' ในเรื่องของการสังเกต" บทความสั้น
6.8) .
บทความสัน
้ ที่ 6.8. “มาตรการที่ไมเปนการรบกวน” เปนหัวขอของการสังเกตการณ
อีกตัวอยางหนึ่ง เอกสารสําคัญอาจรวมถึงวัสดุที่บันทึก
มาตรการที่ ไ ม เ ป น การรบกวนจะบั น ทึ ก แง มุ ม ต า งๆ ของ ดวยภาพถายและวิดีโอ ซึ่งครอบคลุมกิจวัตรประจําวันและ
สภาพแวดลอมทางสังคมและทางกายภาพที่มีอยูแลว ไมถูก ไม ไ ด บั น ทึ ก โดยผู วิ จั ย (Webb et al., 1981, p. 247)
ควบคุมโดยนักวิจัยหรือไดรับผลกระทบจากการปรากฏตัว ขณะ ที่ไ มใ ชเ ชิง คุณ ภาพ อาจนั บ มาตรการที่ไ มเ ปน การ
ของพวกมัน คุณลักษณะที่เปนประโยชนของการ วัด เรียก รบกวนในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง การศึกษาเชิงคุณภาพ
ไมทําปฏิกิริยา การวัดที่ การรายงานอยางกวางขวางโดย อาจพยายามแยกแยะคาเฉลี่ยของการ
กลุ ม คุณ ภาพที่ ด านคุณภาพและ นักวิชาการ (Webb et วัดเหลานี้
al., 1981) เนื่ อ งจากไม เ กิ ด ปฏิ กิ ริ ย า มาตรการที่ ไ ม เ ป น การ
ร อ งรอยทางกายภาพ เช น ทางเดิ น บนสนามหญ า รบกวนจึ ง ช ว ยเสริ ม มาตร การอื่ น ๆ เช น การ ใ ช ก าร
ของมหาวิทยาลัยซึ่งแสดงวาผูคนเดินจากอาคารหนึ่งไปยัง สั ม ภาษณ แ ละแบบสอบถาม ซึ่ ง อาจได รั บ ผลกระทบจาก
อี ก อาคารหนึ่ ง จริ ง ๆ เป น ตั ว อย า งที่ สํ า คั ญ ของมาตรการ การเกิดปฏิกิริยาเมื่อนักวิจัยเปนเครื่องมือวิจัยหลัก (Webb
ดังกลาว et al., 1981, p. 241) ในแง นี้ การวั ด ผลที่ ไ ม เ ป น การ
รบกวน สามารถเปนสวนสําคัญของการศึกษาเชิงคุณภาพ
E. การรวบรวมและการตรวจสอบ
บทความสัน
้ 6.9.ผสมผสานหลักฐานทางประวัตศ
ิ าสตรและหลักฐานภาคสนาม
การใชเอกสารเพือ
่ เสริมการสัมภาษณภาคสนาม และการสนทนา
เอกสารจํานวนมากมีประโยชนโดยธรรมชาติของรายละเอียดที่มีอยู สิ่งเหลานี้รวมถึงการ
สะกดชื่อ ตําแหนง และองคกร การลงวันที่เฉพาะกับเหตุการณ และภาษาเฉพาะที่ใชใน
คําขวัญ สโลแกน พันธกิจ และการสื่อสารอื่นๆ
กอนการสัมภาษณครั้งสําคัญ คุณอาจโชคดีทไ ี่ ดตรวจสอบเอกสารจํานวนมากและได
เรียนรูเนื้อ หาในเอกสาร ซึ่งจะทําใหคุณไมตองไปขัดจังหวะการสนทนาที่ดีตอสุขภาพ
โดยการถามผู เข า ร ว ม เช น วิ ธี ส ะกดชื่ อ หรื อ ชื่ อ คุ ณ อาจทราบล ว งหน า เกี่ ย วกั บ ความ
พรอมใชงานของเอกสารตางๆ จากนั้น แมวาคุณจะยังไมไดตรวจสอบกอนการสัมภาษณ
ครั้งสําคัญ คุณอาจคาดหวังวาเอกสารจะชี้แจงรายละเอียดตางๆ เชน การสะกดชื่อ เพื่อที่
คุณจะไดไมตองขัดจังหวะการสัมภาษณเพื่อยืนยันขอมูลดังกลาวอีก
ทองเว็บและคนหาขอมูลทีเ่ กีย
่ วของ
สําหรับหัวขอสวนใหญที่ครอบคลุมโดยการวิจัยเชิงคุณภาพ คุณควรใชเวลาในการ
ตรวจสอบขอมูลบนเว็บทีเ่ กี่ยวของทีม ่ ีอยูจาํ นวนมาก ขอมูล นาจะมีเบาะแสทีเ่ ปนประโยชน
สําหรับการวิจัยของคุณ
หนึ่งในการคนหาที่เกี่ยวของมากที่สุดจะเปดเผยการศึกษาหรือวรรณกรรมอื่นๆ ใน
หัวขอการศึกษาของคุณ คุณอาจเคยคนหาเนื้อหาดังกลาวแลวเมื่อคุณกําหนดหัวขอของ
คุณ เชนในการรวบรวมฐานขอมูลทางการศึกษา (ดูบทที่ 3 สวน B) การคนหาสามารถให
ข อ มูล ที่จํ า เป น สํ า หรั บ การทบทวนวรรณกรรมที่ จํ า เป น สํา หรั บ การวิ จั ยของคุ ณหรือ ไม
ขึ้ น อยู กั บ การเข า ถึ ง ของคุ ณ ในเว็ บ ไซต ข องวารสารต า งๆ และเครื่ อ งมื อ ค น หา
บรรณานุกรม ซึ่งสวนใหญตองการการเปนสมาชิกหรือคาธรรมเนียมบางอยาง อีกครั้ง
คุณควรตื่นตัวกับลักษณะที่อาจใชเวลานานของ
รวบรวมหรือตรวจสอบออบเจ็กต เปนสวนเสริมของการรวบรวมขอมูลของคุณ
ที่รวบรวมสามารถลดปญหาและความทาทายของการ สะทอนกลับ วัตถุเหลานี้สราง
ขึ้นดวยเหตุผลบางประการนอกเหนือจากการสอบถามของคุณ และไมสามารถกลาวไดวา
ไดรับอิทธิพลจากการสอบถามของคุณ
ในทางตรงกันขาม การสัมภาษณเชิงคุณภาพสามารถสะทอนกลับไดในสองทิศทาง:
อิทธิพลของคุณที่มีตอผูเขารวม แตยังรวมถึงอิทธิพลของผูเขารวมที่มีตอคุณดวย “สังเกต
สะทอนกลับทางเดียว ผล การสังเกตของ ขั้นตอนคุณ เอกสารที่รวบรวม สิ่งประดิษฐ และ
บันทึกที่เก็บถาวรจะไมไดรับผลกระทบจากการสะทอนกลับทั้งสองประเภท แตยังตองใช
ด ว ยความระมั ด ระวั ง แม ว า สิ่ ง เหล า นี้ จ ะถู ก สร า งขึ้ น เพื่ อ จุ ด ประสงค ที่ ไ ม ขึ้ น อยู กั บ การ
สอบถามของคุณ และไมเสี่ยงตอการสะทอนกลับ แตคุณควรใหความสนใจกับแรงจูงใจ
ของพวกเขาและดวยเหตุนี้การเอียงที่อาจเกิดขึ้น
F. ความรูสึก
การอางอิงถึง ความรูส
ึก ในรูปแบบของขอมูลที่มี
มากกวาผลกระทบที่มาพรอมกับความรูสึกสัมผัส "ความรูส
ก
ึ "
ของคุณ คุณตองนึกถึงความรูสก ึ เพื่อปกปด ั อยาง— สิ่งที่คุณควรเรียนรูจากสวนนี้:
ดูตว
ลักษณะตาง ๆ ในตัวคุณที่อาจมีความสําคัญตอ วิธีที่ "ความรูสึก" สามารถครอบคลุมคุณลักษณะที่มี
การตั้งคาภาคสนามและคุณไมควรมองขาม ประโยชนและสําคัญมากมายในการตั้งคาฟลด
ในการเริม
่ ตนเขาสูโหมดของขอมูลนี้ ใหตระหนักวาความรูสึกบางอยางแสดงถึงขอมูลที่
ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งแวดลอม (เชน ความอบอุน
/ความเย็น ความดัง/ความเงียบ หรือจังหวะ
เวลาของสถานที)่ หากคุณตองการ
คุณอาจใช เครื่ องมื อเพื่อ วัดสภาพแวดล อมเหลานี้ แต "ความรู สึก" ของคุณมัก จะเปนสิ่ ง
ทดแทนที่ยอมรับได แมวาจะไมไดแมนยําเทาก็ตาม
ความรูสึกอื่นๆ นั้นยากกวา ขอมูลเหลานี้แสดงถึงขอมูลเกี่ยวกับบุคคล (เชน รูสึกวามี
คนที่ตองพึ่งพาอาศัย หรือไมถูกกันในที่ทํางาน คนสองคนอยูหางไกล หรือใกลชิด หรือ
กลุมทํางานโดย เปนกันเอง หรือรบกวนกันและกัน) ความรูสึกเหลานี้วัดไดยากกวา และ
ไมจําเปนตองสอดคลองกับการรายงานตนเองที่มีตอผูอื่น ซึ่งในการสัมภาษณหรือ การ
สนทนา แม ว า คุ ณ จะมี โ อกาส คุ ณ ควรถามคนอื่ น เสมอว า พวกเขาคิ ด อย า งไรเกี่ ย วกั บ
เงื่ อ นไขเหล า นี้ อย า งไรก็ ต าม คุ ณไมค วรเพิกเฉยตอ ความรูสึ กของตั ว เอง ซึ่ง นํา เสนอ
สถานการณอื่นที่เรียกรองใหยืนยันหรือปฏิเสธโดยไตรตรองจากขอมูลอื่น
สุดทาย ความรูสึกอื่นๆ นั้นซับซอนกวา และอาจเปนตัวแทนของสัญชาตญาณหรือ
“ความรูสึกนึกคิด” ของคุณเกี่ยวกับ สถานการณหนึ่งๆ ความรูสึกดังกลาวไมไดจํากัดอยู
เพี ย งความรู สึ ก เดี ย ว และไม ส ามารถอธิ บ ายได เ สมอไป สั ญ ชาตญาณยั ง สามารถให
เบาะแสที่ สํ า คั ญ สํา หรับ การตีค วามสิ่ ง ที่ กํ า ลั ง เกิ ด ขึ้ น ในสถานการณที่ กํ า หนด คุ ณควร
ปฏิบัติตอความรูสึกเชนวาจําเปนตองยืนยัน (หรือทาทาย) จากขอมูลอื่น
การบันทึกและบันทึกความรูส
ก
ึ
ขอมูลที่นคี่ ือความรูสึกของคุณ คุณควรเขียนความรูสึกเหลานี้ อยางระมัดระวัง ทีส ่ ุด โดย
สังเกตวามันเกิดขึ้นเมื่อไหรและที่ไหนใหดีทส ี่ ุดเทาที่จะทําได สภาพ ที่ดูเหมือนจะอธิบาย
ความรูสึกนั้นระเบียนเหลานีอ ้ าจใหขอมูลเชิงลึกมากขึ้นในภายหลังเมื่อคุณรวบรวมขอมูล
อื่นๆ เกี่ยวกับเหตุการณ พฤติกรรม หรือเงือ ่ นไขเดียวกัน
G. แนวทางปฏิบัติที่พึงประสงคที่เกี่ยวของกับการรวบรวมขอมูล
ทุกรูปแบบ
ในการรวบรวมขอมูลทุกรูปแบบเหลานี้ คุณ
แสดงตัวอยาง— สิ่งที่คุณควรเรียนรูจากสวนนี้: ควรพิจารณาแนวทางปฏิบัติบางอยางที่จะ
แนวทางปฏิบัติที่สําคัญหาประการสําหรับการรวบรวม
เสริมความแข็งแกรงใหกับงานของคุณ อยาง
ขอมูล โดยไมคํานึงถึงวิธีการเฉพาะที่ใช นอยหาประการที่มีความสําคัญ
1.) เปน “ผูฟง” ที่ดี ตามที่กลาวไวกอนหนานี้ (ดูบทที่ 2 สวน A) คําวา การ ฟง หมายถึง
อุปมาไมใชตามตัวอักษร ความหมาย และดวยเหตุนี้จึงเปนวิธีที่ตองการในการเขารวม
สภาพแวดลอมของคุณ ดังนั้น เมื่อทําการสังเกตการณภาคสนาม คุณลักษณะที่เทียบเทา
กันก็คือความสามารถในการสังเกตของคุณ
โลกทางสังคมที่นาจะดึงดูดคุณใหสนใจการวิจัยเชิงคุณภาพตั้งแตแรกมีภาพแวดลอม
ที่ซบ
ั ซอนและเหมาะสมยิ่ง การเปนผูฟง ที่ดีมต
ี ั้งแตการใหคนอื่นพูดมากขึน
้ ไปจนถึง
สามารถ "ฟง ระหวางบรรทัด" ระหวางการสนทนาได
มิ ติ ที่ เ กี่ ย วข อ งที่ แ สดงออกมาเป น ภาพ เป น อี ก หนึ่ ง หลั ก ฐานที่ ก ลั่ น กรอง หรื อ อยู
ห า งไกลโดยมี หลั ก ฐานเบื้ อ งต น หรื อ หลั ก ฐานโดยตรง เป น ข อ มู ล ที่ ส ร า งขึ้ น โดย
สถานการณ โดยที่บุคคลอื่นที่ไมใชตัวคุณเอง ดังนั้นสิ่งที่คุณไดยินดวยหูหรือเห็นดวยตา
ของคุณเองคือตัวอยางจากหลักฐานโดยตรง
การกรองที่ เป น ไปได โ ดยผู อื่ น เริ่ ม ตน ดว ย หลัก ฐานรองหรื อ หลัก ฐานมือ สอง การ
เขี ย นของนั ก ประวั ติ ศ าสตร เ กี่ ย วกั บ เหตุ ก ารณ จ ะเป น หลั ก ฐานประเภทหลั ก ฐานรองที่
เกี่ยวกับเหตุการณเหลานั้น ในทํานองเดียวกัน สิ่งที่ผูเขารวมบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ก็ คื อ หลั ก ฐาน “รอง” เกี่ ย วกั บ สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น (แม ว า ข อ เท็ จ จริ ง ที่ คุ ณ ได ยิ น โดยตรงจาก
ผูเขารวมยังคงเปนหลักฐานโดยตรงของสิ่งที่ผูเขารวมพูด)
หลักฐานมือสาม เปนสิ่งที่อยูหางไกลที่สุดและเกิดขึ้นเมื่อมีตัวกรองสองตัว: มีคนบอก
คุณ (ตัวกรองแรก) วาเธอหรือเขาไดยินสิ่งทีค ่ นอื่นพูด (ตัวกรองที่สอง) เกี่ยวกับเหตุการณ
บางอยาง (เหตุการณจริงที่คุณตองการเรียนรู) หากคุณอางอิงบทความขาวที่อางถึงบุคคล
อื่นที่พูดถึงเหตุการณ แสดงวาคุณกําลังใช มือที่สาม (งานเขียนของนักขาวเปนตัวกรอง
ตัวแรก
การแยกแยะหลั กฐานสามประเภทนี้ ไ ม ได ห มายความว า คุ ณ ควรเพิ กเฉยต อ หลั ก
ฐานรอง หรือหลักฐานมือสาม เพราะคุณไมนาจะสามารถสามารถศึกษาเชิงคุณภาพได
สําเร็จโดยการรวบรวมเฉพาะหลักฐานมือหนึ่งเพียงเทานั้น เนื่องจากความซับซอนและ
ลักษณะหลายแงมุมของความเปนของมนุษย
ตัวอยางเชน การสนทนากอนหนานี้เกี่ยวกับ “การสังเกต” ชี้ใหเห็นวาคุณสามารถอยู
ที่ แ ห ง เดี ย วในแต ล ะครั้ ง ได อ ย า งไร แม ว า เหตุ ก ารณ สํ า คั ญ อาจ เกิ ด ขึ้ น ที่ อื่ น หรื อ ใน
บางครั้ง คุ ณนาจะใชหลักฐานมือสองและหลักฐานมือสาม เพื่อ ใหครอบคลุมเหตุการณ
ต า งๆ มากกว า ที่ คุ ณ จะสั ง เกตได โ ดยตรง และคุ ณ ควรพิ จ ารณา หลั ก ฐานมื อ สองหรื อ
หลักฐานมือสาม วามีขอมูลเชิงลึกอันมีคาในเรื่องที่คุณศึกษา ประเด็นหลักคือคุณไมควร
พึ่งพา พิจารณา หลักฐานมือสองหรือหลักฐานมือสามโดยไมไดพยายามรับขอมูลยืนยัน
จากแหลงอื่น ซึ่งนําไปสูการปฏิบัติตอไป
5. พยานหลั ก ฐาน แนวทางปฏิ บั ติ นี้ จ ะกล า วถึ ง เป น ลํ า ดั บ สุ ด ท า ย เนื่ อ งจากอาจมี
ความสํ า คั ญ อย า งยิ่ ง ต อ การวิ จั ยเชิ ง ประจั กษ ทุก รู ป แบบ ไม ใ ชแ ค ก ารวิ จั ยเชิง คุ ณภาพ
เทานั้น แนวคิด ที่นํามาใชกอนหนานี้ก็เปนวิธีที่สําคัญในการเสริมสรางความนาเชื่อถือ
ของการศึ ก ษา (ดู บ ทที่ 4 ตั ว เลื อ กที่ 2) คื อ การพิ จ ารณาว า ข อ มู ล จากสองแหล ง ขึ้ น ไป
(หรือหลักฐานจากหลายโอกาสโดยแหลงเดียวกัน) มาบรรจบกันหรือนําไปสู การคนพบ
เดียวกัน ตัวอยางหนึ่งของการบรรจบกันเกิดขึ้น เมื่อคุณสังเกตเหตุการณหรือไดยินคนพูด
อะไรบางอยางในการสนทนาเพื่อนรวมงานภาคสนามของคุณที่อยูที่นั่นก็สังเกต หรือได
ยินในสิ่งเดียวกันดวย และคุณทั้งคูไดขอสรุปเดียวกันหลังจากตรวจสอบกันเองแลว (บท
สนทนาทั่วไประหวางคุณ หลังเลิกงานหรือบทสนทนา และอีกคนเริ่มดวยการถามคุณวา
“คุณเห็นสิ่งที่ผมเห็นไหม” หรือ “คุณไดยินที่ฉันไดยินไหม?”)
ยิ่ง คุ ณทํ าได ม ากเท า นั้ น แสดงใหเห็นถึง การบรรจบกัน โดยเฉพาะอยา งยิ่ง ในการ
ค น พบที่ สํ า คั ญ ยิ่ ง หลั ก ฐานของคุ ณ แข็ ง แกร ง ขึ้ น การใช คํ า ว า พยานหลั ก ฐาน ชี้ ไ ปที่
สถานการณในอุดมคติ
เมื่ อ หลั ก ฐานจากสามแหล ง ที่ แ ตกต า งกั น หรื อ โอกาสที่ แ ยกจากกั น มาบรรจบกั น
ตัวอยางเชน คุณเห็นบางสิ่งบางอยาง คนอื่นในที่เกิดเหตุก็เห็นสิ่งเดียวกัน และบทความ
ขาวก็รายงานสิ่งเดียวกันในภายหลัง
สํ า หรั บ ตั ว อย า งสุ ด ท า ย การวิ จั ย ด า นการศึ ก ษามั ก เน น ที่ ก ารฝ ก สอนที่ เ กิ ด ขึ้ น ใน
หองเรียน หลักฐานที่แยกจากกันอาจเปนผลมาจากการสังเกตของคุณเองในหองเรียน
(มือหนึ่ง/โดยตรง) การสัมภาษณครูของคุณแตไมเห็นการฝกฝนดวยตนเอง (มือสอง) หรือ
การสัมภาษณครูใหญเกี่ยวกับสิ่งทีเ่ ธอหรือเขาไดยินกําลังเกิดขึ้นในหองเรียนโดยทีไ ่ มเคย
ในนั้ น อย า งใดอย า งหนึ่ ง (มื อ ที่ ส าม) คุ ณ จะรู สึ ก ดี ขึ้ น เกี่ ย วกั บ หลั ก ฐานของคุ ณ หาก
แหลงขอมูลทั้งสามเกี่ยวของกับกิจกรรมในหองเรียนเดียวกันและเห็นดวย คุณจะรูสึกแย
ถาคุณพึ่งพาแตสิ่งที่อาจารยใหญพูดเพื่อกําหนดแนวทางการสอนของคุณที่เกิดขึ้น
บทบาทของสามเหลี่ ย มมี ค วามสํ า คั ญ อย า งยิ่ ง ในการทํ า วิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ การหา
ตําแหนงสามเหลี่ยมนั้นอาจจะมองวาเปนกรอบความคิดมากกวาที่จะเปนเทคนิคเกี่ยวกับ
ระเบี ย บวิ ธี ซึ่ ง เป น สิ่ ง ที่ ช ว ยให ต าและหู ข องคุ ณ เป ด กว า งสํ า หรั บ แนวคิ ด หรื อ ข อ มู ล ที่
ยืนยันหรือขัดแยงกัน ไมวาคุณจะทําอะไร
สรุปสําหรับบทที่ 6:
คําศัพท วลี และแนวคิดที่คุณสามารถกําหนดไดในขณะนี้
1. ขอมูล
2. การสังเกตอยางเปนระบบ
3. การวิเคราะหวาทกรรม พิเศษ แบบฝกหัดสําหรับบทที่ 6:
4. การสัมภาษณแบบมีโครงสราง
5. สคริปต 12. ขอความที่เจรจา
6. คําถามปลายปด 13. วงกลมแบบ Hermeneutic
7. การสัมภาษณเชิงคุณภาพ 14. คูมือการสัมภาษณ
8. คําถามปลายเปด 15. เขาและออกจากการสัมภาษณ 16.
9. โหมดการสนทนา กลุมเปาหมาย
10. ไมใชแนวทาง 17. การศึกษาเชิงสังเกต
11. คําถามเกี่ยวกับทัวรรอบ 18. อุปกรณประกอบฉาก
19. ไมสรางความรําคาญ มาตรการ
20. หลักฐานที่หนึ่ง สอง และสาม
การตรวจสอบแหลงทีม
่ าของขอมูลที่แตกตางกันสองแหลง
(การตรวจสอบเอกสารและการสัมภาษณ)
เลือกหัวขอที่เกี่ยวของกับการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยหรือที่ทํางานของคุณ หัวขอควรครอบคลุมประเด็น
สําคัญที่คนสวนใหญคุนเคยในมหาวิทยาลัยหรือที่ทํางานของคุณ (เชน ความสําเร็จของสถาบัน เหตุการณ
หรือการโตเถียงอยางตอเนื่อง) ดึงบางอยาง เอกสารรายละเอียด (เชน ไมใชแคแผนพับ) ในหัวขอเดียวกัน
อาจคนหา บทความขาวที่มีความยาวหรือเอกสารสําคัญอื่นๆ ไดจากเว็บไซตของมหาวิทยาลัยหรือที่ทํางาน
เตรียมโปรโตคอลสั้น ๆ เพื่อเปนแนวทางในการสัมภาษณปลายเปดกับใครบางคนในมหาวิทยาลัยหรือที่
ทํางานของคุณ เชน เพื่อนรวม งาน เจาหนาที่หรือคณาจารยใน หัวขอเดียวกัน (เพราะเปนแบบฝกหัด เพื่อนที่
มหาวิทยาลัยหรือที่ทํางานของคุณก็จะเปน ที่ยอมรับเชนกัน) จดบันทึกภาคสนามในระหวางการสัมภาษณ แต
อยาทําใหบันทึกนั้นเปนทางการจนกวาคุณจะทํา แบบฝกหัด สําหรับบทที่ 7 ใหเนนความสนใจของคุณไปที่
คําถามของคุณ ซึ่งควรมุงไปที่การเปรียบเทียบสิ่งที่บุคคลนั้นรายงานใหคุณทราบกับสิ่งที่ปรากฏในเอกสาร
สําหรับแบบฝกหัดนี้ คุณสามารถสราง คําถามของคุณเองเพื่อใหเหมาะกับความสนใจของคุณเอง แตคุณยัง
สามารถใชประโยคตอไปนี้เปน ชุดที่แนะนําได (แตโปรดทราบวาขอความคนหาสงตรงมาที่ คุณไมใชผูที่คุณ
สัมภาษณ):