You are on page 1of 120

บทที่ 4 โครงข,ายสามเหลี่ยมของงานสํารวจด:วยภาพถ,าย (Photogrammetric Triangulation)

4.1 สภาวะร+วมเส.นของรังสีการถ+ายภาพ (Colinearity of Bundle from Image Ray Condition)


4.1.1 นิยามของสภาวะร+วมเส.น (Definition of Celinearity Condition)
4.1.2 สมการสภาวะร+วมเส.น (Collinearity Equation)
4.2 การรังวัดพิกัดบนภาพถ+าย (Image Meกรuration)
4.2.1 การหมายเปWาด.วยมือ (Manual Point Marking)
4.2.2 การหมายเปWาด.วยศูนย]ถ+วง (Sub-pixel Target Marking
4.2.3 การหมายเปWาอัตโนมัติ (Autcratic Target Marking)
4.3 การรังวัดพิกัดภาคพื้นดิน (Ground Observation of GCP)
4.3.1 ชนิดของเครื่องรับสัญญาณดาวเทียม GNSS (Type of GNSS Receiver)
4.3.2 เทคนิคในการรังวัดด.วยดาวเทียมจีพีเอสแบบสัมพัทธ] (Differential or Relative GPS
Positioning)
4.3.3 การรังวัดพิกัตภาคพื้นดินสําหรับการเช+ารวจนาพถ+าย (Ground Observation for
Photogrammetry)
4.4 การประมวลผลปรับแก.บล.อครั้งมีการถ+ายภาพ (Bundle Block Adjustment Computation)
4.4.1 การใช.สมการสภาวะร+วมเส.น (utilization of Collinearity Condition)
4,4.2 การเล็งสกัตภาพคู+ (Two-photo intersection)
4.4.3 การปรับแก.บล็อคการถ+ายภาพ (Bundle Block Adjustment
4.5 แบบฝ„กหัด (Exercise)
บทที่ 5 การมองภาพสามมิติ ระยะเหลือม และการวัดความสูง (Stereoscopic Viewing and
Stereoscopic Parallax and Height Measurement)
5.1 การมองภาพสามมิติ (Stereoscopic Viewing)
5.1.1 ควงตามนุษย] (The Human Eye)
5.1.2 การรับรู.ความลึกด.วยการมองสามมิติ (Stereoscopic Depth Perception)
5.1.3 หลักการของการมองภาพสามมิติ (StereoCopy)
5.1.4 กล.องมองภาพสามมิติ (Stereoscopes)

5.2 การวัดความสูงจากภาพถ+ายทางอากาศ (Height Measurement from Aerial Photography)


5.2.1 การใช.มุมเหลื่อมเพื่อพิจารณาความลึกของวัตถุ
5.2.2 ระยะเหลื่อมของภาพคู+ต.อน (Stereoscopic Parallax)
5.2.3 หลักการของจุตสอย (Principle of The Floating Mark) ผ+านเครื่องมองสามมิติแบบ
กระจกเงา
5.2.4 การวัดระยะเหลื่อมโดยวิธีการภาพสามมิติ (Stereoscopic Methods of Parallax
Measurement)
5.2.5 การวัดความสูงจากความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความต+างระดับ
(Measuring Elevation from Height Relief Displacement)
5.3 แบบฝ„กหัด (Exercise)
บทที่ 6 แบบจําลองความสูง (Digital Elevation Model)
6.1 การนําแสนอลักษณะภูมิประเทศแบบต+างๆ (Tetrain Representation)
6.1.1 เส.นขั้นความสูง (Contour Unes)
6.1.2 ข.อมูลกริด (Grid Data)
6.1.3 ข.อมูลจุดคละ (FRandom Point Dual
6.1.4 ฟ•งก]ชั่นพื้นผิว (Surface Function)
6.2 ข.อมูลแบบจําลองความสูงแบบต+างๆ (Digital Tetrain Data
6.2.1 ความละเอียดของแบบจําลองระดับสูงเชิงเลข
6.2.2 ประเภทของ DEM ที่จําแนกตามรูปแบบของความครอบคลุมในการให.บริการ
6.3 การใช.ประโยชน]จากแบบจําลองความสูงในงานวิศวกรรมโยธา (Utilization of DEM for Civil
Engineering Works)
6.3.1 การประเมินความถูกต.องข84 DEAM (Accuracy Assessment of DEM)
6.3.2 การจําลองการกระจายความคลาดเคลื่อนเพื่อสร.างพื้นผิว ความคลาดเคลื่อน (Error
Surface)
6.3.3 ฟ•งก]ขั้นพื้นฐานทาง GS ในการวิเคราะห]ข.อมูล DEAM
6.4 แบบฝ„กหัด (Exercise)

บทที% &

โครงข่ายสามเหลี%ยมของงานสํารวจด้วยภาพถ่าย
Photogrammetric Triangulation

4.1 สภาวะร่วมเส้นของรังสีการถ่ายภาพ (Collinearity of Bundle from Image Ray Condition)


4.1.1 นิ ยามของสภาวะร่วมเส้น (Definition of Collinearity Condition)
ความหมายของ สภาวะร่วมเส้นตามรูปที8 9-; คือ สภาวะทีแ8 นวเวกเตอร์เส้นตรงทีเ8 ป็ นรังสีของแสงทีล8 ากจาก
ตําแหน่ งจุด ○ ซึ8งเป็ นจุตเปิ ดถ่ายภาพ( Xo ,Yo ,Zo) และจุดของวัตถุบนภาพ (xa ,ya) เกิดเป็ นเวกเตอร์ ซึ8งจะเป็ น
แนว เส้นตรงเดียวกับเวกเตอร์เสันตรงทีเ8 ป็ นรังสีของแสงซึง8 ลากจากจุด ○ ซึง8 เป็ นจุดเปิ ดถ่ายภาพ (Xo ,Yo ,Zo) จุดบน
วัตถุทม8ี คี ่าพิกดั (XA ,YA ,ZA) เกิดเป็ นเวกเตอร์ กล่าวคือ เมื8อพิจารณาจากรูปที8 9-; จะเห็นว่า เวกเตอร์ ตาม
แนวเส้นสีแดงทับเป็ นแนวเดียวกับเวกเตอร์ ตามแนวเส้นสีเหลือง และจากสภาวะที8เวกเตอร์ และเวกเตอร์
อยู่บนแนวเส้นตรงเดียวกัน อีกทังV เวกเตอร์ทงั V สองเส้นเป็ นเวกเตอร์แนวรังสีของแสงทีเ8 กิดจากการถ่ายภาพ เราจึง
เรียกสภาวะนีVวา่ สภาวะร่วมเส้น (Collinearity Condition)
จากสภาวะร่วมเสันนีVเอง ทําให้สามารถทีจ8 ะวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างจุดเปิ ดถ่ายภาพ จุดบนวัตถุ และ
จุดบนภาพถ่าย ซึ8งเรียกว่า “สมการของสภาวะร่วมเส้น” (Collinearity Condition Equations) ซึ8งจะได้อธิบายทีม8 าของ
สมการนีVสว่ นต่อไป
4.1.2 สมการสภาวะร่วมเส้น (Collinearity Equation)
จากรูปที8 9-;จะเห็นว่า จุด O ( Xo ,Yo ,Zo) ซึ8งเป็ นตําแหน่ งของจุดเปิ ดถ่ายภาพถ่ายทางอากาศเมื8อเทียบกับ
ระบบพิกดั ของวัตถุ (ภาคพืนV ดิน) ในระบบแกน XYZ ซึง8 ต่อไปนีVจะเรียกว่า ระบบพิกดั ภาคพืนV ดิน และระบบแกน xy จะ
เรียกว่าระบบพิกดั ภาพถ่าย สมมติให้ภาพถ่ายนีVทาํ การถ่ายภาพของจุด A ทีม8 พี กิ ดั ภาดพืนV ตินเป็ น (XA ,YA ,ZA) เกิดเป็ น
จุด a บนภาพถ่ายทีม8 คี าํ พิกดั ในระบบพิกดั ภาพถ่ายเป็ น (xa ya) จะเห็นว่า ระบบพิกดั ภาพของจุด a ซึง8 เป็ นภาพของจุด
A บนพืนV ดินทีป8 รากฏบนภาพถ่ายนันV อยู่ในระบบพิกดั ฉาก o มิติ ในขณะทีร8 ะบบพิกดั ภาคพืนV ดินของจุดนันV อยู่ในระบบ
พิกดั ฉาก p มิติ โดยเหตุนVีเอง ระบบพิกดั ภาพจึงต้องมีการพิจารณาให้มแี กนทีต8 งั V ฉากกับระนาบ xy และเมื8อพิจารณา
อย่างละเอียดแล้วจะพบว่าตามธรรมชาติของการถ่ายภาพแล้วจะมีแนวแกน z ซึ8งเป็ นแนวแกนที8ลากตังV ฉากจากจุด
โฟกัสไปยังจุดกึง8 กลางภาพเป็ นระยะ f ดังรูปที8 4-1 จากสภาวะนีVเองทําให้ระบบพิกดั ภาพสามรถพิจารณได้ในลักษณะ
ของระบบพิกดั ฉาก 3 มิติ โดยในทีน8 Vีจะเรียกว่า ระบบพิกดั ฉาก xyz ทีเ8 ป็ นระบบพิกดั ฉาก 3 มิตขิ องระบบพิกดั ภาพถ่าย

รูปทีU V-X สภาวะทีแ8 นวเวกเตอร์เส้นตรงทีเ8 ป็ นรังสีของแสงทีล8 ากจากตําแหน่งเปิ ดถ่ายภาพ ( Xo ,Yo ,Zo) และจุดของ
วัตถุบนภาพ (xa ya) เกิดเป็ นเวกเตอร์ ซึง8 จะเป็ นแนวเส้นตรงเดียวกับเวกเตอร์เส้นตรงทีเ8 ป็ นรังสีของแสงซึง8 ลาก
จากตําแหน่งเปิ ดถ่ายภาพ ( Xo ,Yo ,Zo) จุดบนวัตถุทม8ี คี า่ พิกดั (XA ,YA ,ZA) เกิดเป็ นเวกเตอร์ (ดัดแปลงจาก Wolf
et al, 2014)

เมือ8 พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างระบบพิกดั ฉากภาศพืนV ดิน XYZ และระบบพิกดั ฉากภาพถ่าย xyz ในรูปที8 9-


;แล้วจะเห็นว่า ระบบแกน Xอยูใ่ นลักษณะเอียงเมือ8 เทียบกับระบบแกน XYo โดยเหตุนVี จึงต้องสมมติให้มรี ะบบพิกดั ใหม่
x'y'z' ที8ม ีแ นวแกน x', y' และ z' ทังV p แนวแกนที8ข นานกับ แนวแกน X, Y และ Z ของระบบพิก ดั ภาพพืVน ติน XYZ
ตามลําดับทังV นีVระบบพิกดั ใหม่ x'y'z' จะเกิดขึนV จากการหมุนของระบบกัด xyz ด้วยมุมการหมุนรอบแกน x, แกน y และ
แกน z เท่ากับ ตามลําตับ (โดยอักษรภาษากรีก อ่านว่า "โอเมกา" "ฟี " และ "แคปปา"ตามลําดับ)
โดยการหมุนระบบ

พิกดั นีVจะกระทําใช้สมการที8 o-p; ซึง8 ได้กล่าวไว้ในบทที8 o ซึง8 เมือ8 นํามาเขียนความสัมพันธ์ในการหมุนระบบพิกดั ของจุด


a ที8มคี ่าพิกดั เป็ น ในระบบพิกดั ฉาก xyz เพื8อที8จะแปลงคําพิกดั ของจุด a นีVให้อยู่ในระบบพิกดั ฉาก
x'y'z' (ขนานกับ XYZ ตังรูป ที8 9-o) ตังในรูป ที8 9; มีค่าพิก ดั เป็ น ตังแสดงในสมการที8 9-; ด้วย
เมตริกซ์ M ซึง8 เป็ นเมตริกซ์การหมุนของระบบพิกดั ฉากสามมิตโิ ดยมีรายละเอียตแสดงไว้นสมการที8 o-p; ของบทที8 o
และสามารถแสดงเป็ นสมการไต้ดงั นีV

(4-1)

จากสมการที8 4-1 เมื8อ ทํ า การคู ณ มทริก ซ์ M เข้า กับ เวกเตอร์คํ า พิก ัด ของ จะได้ ส มการแสดง
ความสัมพันธ์ของค่าพิกดั ในแต่ละแนวแกนตังสมการที8 4-2 ถึง 4-4 ดังนีV
(4-2)
(4-3)
(4-4)
จากรูปที8 9-o ทีแ8 สดงระบบพิกดั ทีข8 นานกับระบบพิกดั XYZ จะเห็นว่า การพัฒนาสมการของสภาวะ
ร่วมเส้น (Development of the collinearity Condition Equation) สามารถพิจารณาได้จากสามเหลีย8 มคล้ายในรูปที8 9-o
จะได้สมการที8 9-‡ ดังนีV
(4-5)

ซึง8 สามารถนํามาเขียนรูปของ โดยทอนเป็ นสมการที8 4-6 และ 4-7 และใช้เอกลักษณ์จะได้สมการที8 4-8


ดังนีV
(4-6)
(4-7)
(4-8)

จากนันV แทนค่า ลงในสมการที8 4-2, 4-3 และ 4-4 ตามลําดับ จะได้สมการทีแ8 สดงค่าของ
ในรูป สมการที8 4-9 ถึง 4-11 ตามลําดับ

(4-9)

(4-10)
(4-11)

รูปทีU V-Y ระบบพิกดั ภาพ และระบบพิกดั ภาคพืนV ดิน XYZ ภายหลังการหมุนระบบพิกดั


(ดัดแปลงจาก Wolf et al., 2014)

ดําเนินจัดรูปของสมการโดยการแยกตัวประกอบร่วม จากสมการที8 9-Ž ถึง 9-;; จะได้สมการที8 9-;o ถึง 9-;9


ดังนีV
(4-12)
(4-13)
(4-14)

(9-;9) จากนันV นําเอาสมการที8 9-;o และ 9-;p หารด้วยสมการที8 9-;9 จะได้สมการที8 9-;‡ และ 9-;• ดังนีV

(4-15)

(4-16)

จัดรูปสมการที8 9-15 และ 4-16 ใหม่จะได้เป็ นสมการที8 4-17 และ 4-18


(4-17)

(4-18)

จากรูปที8 4-1 จะได้ว่า ดังนันV จึงสามารถที8จะแทนค่า ในสมการที8 4-17 และ 4-18 ได้สมการที8 4-19
และ 4-20 ดังนีV
(4-19)

(4-20)

และเมื8อนํ าเอาค่าจุดมุขยสําคัญเข้ามาร่วมกับ สมการที8 4-19 และ 4-20 จะให้ได้สมการที8 4-21และ 4-22 ซึง8 จะเรียกว่า
สมการสภาวะร่วมเส้น ดังนีV
(4-21)

(4-22)

เมือ8 แทนเมตริกซ์การหมุนระบบแกน xyz เป็ นระบบแกน และ


แทนองค์ประกอบภาพถ่ายภายนอก (Exterior Orientation Parameters)
4.2 การรังวัดพิ กดั บนภาพถ่าย (Image Mensuration)
กรรมวิธใี นการรังวัดพิกดั บนภาพถ่ายนันV มีความสําคัญอย่างยิง8 ต่อการสํารวจด้วยภาพถ่าย ทังV นีVเพราะจะทําให้ได้คา่
สังเกตหรือค่ารังวัดทีส8 าํ คัญต่อสมการสภาวะร่วมเส้น โดยจากสมการ 4-21 และ 4.22 จะพบว่า ค่า และ คือ ค่า
พิก ดั ของภาพถ่ ายที8สามารถนํ ามาใช้ค่าสังเกตในกระบวนการปรับ แก้ด้วยวิธีสสิ ต์แสควร์ด้วยวิธีสมการค่าสังเกต
กล่ า วคือ จากสมการ ที8 2-2 ที8ว่ า เมื8อ เป็ นเวคเตอร์ค่ า สัง เกต และ เป็ นฟั ง ก์ ช ัน8 ของ
พ า ร า มิ เ ต อ ร์ ไ ม่ ท ร า บ ค่ า ต่ า ง ดั ง นั V น เ มื8 อ วิ เ ค ร า ะ ห์ ส ม ก า ร ที8 4-18 แ ล ะ 4-19 จ ะ ไ ด้ ว่ า
เมื8อ a1, a2,a3, …, an แทนเขตของจุต (x,y) ของวัตถุต่าง
ๆ บนภาพถ่ายแต่ละใบ และ F(Xa) คือฟั งก์ชนของสมการสภาวะร่
ั8 วมเส้น
โดยเหตุนVีเอง การวัดพิกดั ภาพของวัตถุต่าง ๆ บนภาพจึงเป็ นขันV ตอนทีถ8 อื ได้ว่ามีความสําคัญอย่างยิง8 ต่อการ
สํารวจด้วยภาพถ่าย โดยหากพิจารณาทีส8 มการสภาวะร่วมเส้นแล้วจะเห็นชัดว่า ความถูกต้องทีไ8 ด้รบั จากกระบวนการ

วัดพิกดั บนภาพถ่ายมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของการสํารวจด้วยภาพถ่าย ดังนันV การรังวัดพิกดั บนภาพถ่ายนันV จึงต้อง


กระทําอย่างพิถพี ถิ นั เพื8อให้ได้งานทีม8 คี ุณภาพ ซึง8 การรังวัดพิกดั บนภาพถ่ายนีVตอ้ งทําการวัดกับวัตถุทเ8ี ป็ นจุดควบคุม
ภาพถ่าย จุดผ่านและจุดโยงยึด โดยทัวไปแล้ 8 วนันV สามารถแบ่งกรรมวิธที ใ8ี ช้ในการรังวัดพิกดั บนภาพถ่ายได้เป็ น 3 แบบ
ดังนีV
4.2.1 การหมายเป้ าด้วยมือ (Manual Point Marking)
การหมายเป้ าด้วยมือเป็ นการวัดพิกดั บนภาพถ่ายของวัตถุใด ๆ ซึ8งต้องอาศัยทักษะในการแปลและวิเคราะห์
ภาพถ่ายของมนุ ษย์ท8โี ดยทัวไปแล้
8 ววัตถุท8จี ะนํ ามาผ่านกระบวนการวัดแบบภาพนีVจะต้องเป็ นจุดที8มลี กั ษณะเป็ นจุด
เด่นชัด (Welidentified Point) ในกรณีทเ8ี ป็ นเป้ าแบบธรรมชาติ และสําหรับวัตถุทเ8ี ป็ นเป้ าแบบสัญญาณนันV ก็จะต้องใช้
ทักษะเดียวกันนีVในการหมายตําแหน่ งเพื8อรังวัดพิกดั บนภาพถ่าย และการหมายตําแหน่ งเป้ าด้วยวิธนี Vีสามารถนํ าไปใช้
ในรังวัดพิกดั บนภาพของ วัตถุทถ8ี ูกกําหนดให้เป็ นจุดควบคุมภาพถ่าย หรือบางครังV อาจเรียกว่า หมุดบังคับภาพ รวมถึง
การรังวัดพิกดั บนภาพถ่ายของจุดผ่านหรือจุดโยงยึด ทังV นีVการหมายตําแหน่งวิธนี Vีสามารถให้ความถูกต้องในการวัดพิกดั
ภาพถ่ายได้สะเอียดสูงถึง จุดภาพ (ผ่านการขยายอย่างน้อย 4 เท่า ณ ขณะรังวัดพิกดั บนภาพถ่าย) อย่างไรก็ตาม
การหมายตําแหน่ งด้วยวิธกี ารนีVควรทําด้วยความระมัดระวังเพื8อควบคุมให้เกิดความคลาดเคลื8อนในการหมายตําแหน่ ง
เพื8อรังวัดพิกดั บนภาพเกิดขึนV ไม่เกิน จุดภาพ อย่างไรก็ตาม ความแม่นยําในการหมายตําแหน่ งด้วยวิธนี Vีนอกจาก
ขึนV กับทักษะในการทํางานแล้ว ยังขึนV อยู่กบั ความคมชัดของเป้ าบนภาพถ่ายและคุณลักษณะของวัตถุทเ8ี ลือกมาเป็ นจุด
ควบคุมจุดผ่านหรือจุดโยงยึดด้วย
โดยเหตุทก8ี ล่าวมาข้างต้น การคัดเลือกวัตถุเป็ นจุดเด่นชัดจึงควรพิจารณาถึงความเหมาะสมด้วย ทังV นีVได้แสดง
ภาพ สเก็ตตัวอย่างวัตถุทเ8ี หมาะสมและไม่เหมาะสมต่อการคัดเลือกมาเป็ นจุดควบคุม จุดผ่าน หรือ จุดโยงยึด ดังรูปที8
4.3

รูปทีU 4-3 ภาพสเก็ตวัตถุบนภาพทีเ8 หมาะสมและไม่เหมาะสมทีจ8 ะนํามาเป็ นเป้ าแบบธรรมชาติ


สําหรับใช้เป็ นจุดควบคุมภาพถ่าย จุดผ่าน หรือ จุดโยงยึด (ตัดแปลงจาก Linder, 2016)
โดยจะเห็นว่า ตําแหน่ งทีเ8 ป็ นจุดเด่นชัดและชีชV ดั นันV แบ่งได้เป็ น o กลุ่มคือ กลุ่มทีเ8 หมาะสมกับการคัดเลือกมา
เป็ นเป้ าแบบธรรมชาติ ได้แก่ หัวมุมสีแ8 ยก จุดหัวหรือท้ายของเส้นจราจรคันกลางถนนหรื
8 อฝาท่อระบายนํVา เป็ นต้น โดย
จุดเหล่านีVจะต้องมีคุณสมบัตเิ สริมจากความเป็ นจุดเด่นชัดทีส8 าํ คัญ คือ การเป็ นจุดทีอ8 ยูน่ ิ8งไม่เคลื8อนทีห8 รือเคลื8อนไหวได้
ขณะทีก8 ลุ่มทีไ8 ม่เหมาะสมกับการคัดเลือกเป็ นเป้ าแบบธรรมชาติ ได้แก่ ต้นไม้ วัว รถยนต์ ลําธาร หรือ หัวมุมถนนลูกรัง
ทีแ8 หลมหรือป้ านเกินไป เป็ นต้น โดยจะเห็นว่าเป้ าในลักษณะทีเ8 คลื8อนทีห8 รือเคลื8อนไหวได้นันV ไม่เหมาะสม ทังV นีVเพราะ
อาจนํามาซึง8 ความผิดพลาดของค่าพิกดั บนภาพถ่ายของวัตถุนนั V ๆ ได้โดยเหตุนVีเอง จึงกล่าวได้วา่ การหมายเป้ าด้วยมือ
เพื8อรังวัดพิกดั ภาพถ่ายมีจุดเด่น คือ ผูร้ งั วัดมีโอกาสในการพิจารณาคัดเลือกโดยพิจารณาถึงความเหมาะสมของวัตถุ
ภาคพืนV ดินทีจ8 ะนํ ามาใช้เป็ นจุดควบคุมภาพถ่าย และบ่อยครังV ทีก8 ารทํางานลักษณะนีVจะต้องอาศัยประสบการณ์ทส8ี งสม ั8
มา

4.2.1.1 ตัวอย่างของการหมายเป้ าด้วยมือเพือ8 รังวัดพิกดั บนภาพถ่าย


;. การหมายเป๋ าด้วยมือเพือ8 รังวัดพิกดั บนภาพถ่าย ณ จุดดัชนีบนภาพถ่ายทางอากาศ ใต้แสดงไว้ในรูป


ที8 9-9 ตัวยใช้โปรแกรม efoto ด้วยโมดูล Interior Orientation เพื8อหาค่าสัมประสิทธิ šของสมการสมพรรคสําหรับใช้ใน
การแปลงค่าพิกดั ระหว่าง ระบบพิกดั เครือ8 งมือและระบบพิกดั ภาพ

รูปทีU V-V การหมายเป้ าด้วยมือเพือ8 รังวัดพิกดั ภาพบนภาพถ่ายทางอากาศ ณ จุดดับนีVในโปรแกรม efoto

o. การหมายเป้ าด้วยมือเพือ8 รังวัดพิกดั บนภาพถ่าย ณ จุตคิ วบคุมบนภาพถ่ายทางอากาศด้วยโปรแกรม


efoto ดังรูปที8 9-‡

รูปทีU V-c การหมายเป้ าด้วยมือเพือ8 รังวัดพิกดั บนภาพถ่ายทางอากาศ ณ ตําแหน่งจุดบังคับภาพในโปรแกรม efoto


p. การหมายเป้ าด้วยมือเพื8อรังวัดพิกดั บนภาพถ่าย ณ จุดควบคุมภาพถ่ายสําหรับการสํารวจด้วยภาพ
ระยะใกล้ในโปรแกรม Photomodeler Pro ‡.o.p ดังแสดงในรูปที8 9-•

รูปทีU V-d การหมายเป้ าด้วยมือเพือ8 รังวัดพิกดั บนภาพระยะใกล้ ณ ตําแหน่งจุดบังคับภาพ


ในโปรแกรม Photomodeler Pro 5.2.3

4.2.2 การหมายเป้ าด้วยศูนย์ถ่วง (Sub-pixel Target Marking)


การหมายเป้ าด้วยศูนย์ถ่วงเป็ นการวัดพิกดั ภาพของจุดควบคุมภาพถ่ายประเภทเป้ าสัญญาชนที8ออกแบบขึนV
เฉพาะ เพื8อใช้ในการหมายตําแหน่ งผ่านการถ่ วงค่าความสว่างของจุดภาพ จากรูป ที8 9-›ก ได้แสดงตัวอย่างเป้ าที8
ออกแบบไว้สาํ หรับวิธี หมายจุดด้วยศูนย์ถ่วง และเมื8อเป้ านีVถูกถ่ายจะปรากฏในลักษณะทีเ8 ป็ นรูปวงรีดงั รูปที8 9-›ข ใน
ลักษณะของการวัดแบบกึง8 อัตโนมัติ การหมายตําแหน่งด้วยวิธกี ารนีVให้ความถูกต้อง ;/p• จุดภาพ

รูปทีU V-l (ก) ตัวอย่างเป้ าทีอ8 อกแบบไว้สาํ หรับวิธหี มายจุดด้วยศูนย์ถ่วง (ตัดแปลงจาก ชาติชาย ไวยสุระสิงห์, o‡9‡)
และ (ข) การวิเคราะห์เชิงเรขาคณิตของเป้ าบนวัตถุ (ตัดแปลงจาก Matsuoka, 2015)

โดยหากพิจารณาตําแหน่ งกึ8งกลางเป้ าโนเชิงเรขาคณิตโดยอาศัยค่าความสว่างของแต่ละจุดภาพ w (i, j) มา


พินิจ พิเคราะห์ร่วมกับตําแหน่ งของจุดภาพทีค8 ่าความสว่างนันV ๆ ตังV อยู่ จะได้ว่าการพิจารณาตําแหน่ งจุดหมายกลาง
เป้ าจะทําได้ โดยการใช้สตู รในการพิจารณาดังแสดงในสมการที8 9-op และ 9-o9 ดังนีV
(4-23)

(4-24)

กําหนดให้ และ แทนตําแหน่งของจุดหมายกลางเป้ า หน่วยเป็ น จุดภาพ


i และ j แทน ค่าพิกดั ภาพดิจทิ ลั หน่วย จุดภาพ
w (i, j) แทน ค่าความสว่างของจุดภาพ ณ ตําแหน่ง (i, j) ใด ๆ ในจุดภาพ
N, M แทน ขนาดของพืนV ทีท8 ด8ี าํ เนินการพิจารณา หน่วย จุดภาพ
ตัวอย่างของการติดเป้ าแบบศูนย์ถ่วงได้แสดงไว้ในรูปที8 9-¢ก และสามารถหมายตําแหน่ งได้ดงั แสดงในรูปที8 9-
8

รูปทีU V-m (ก) ตัวอย่างการติดเป้ าบนวัตถุ และ (ข) การหมายจุดบนเป้ าโดยใช้วธิ ศี นู ย์ถ่วง
(ตัดแปลงจาก ชาติชาย ไวยสุระสิงห์, 2545)

4.2.3 การหมายเป้ าอัตโนมัติ (Automatic Target Marking)


การหมายตํ า แหน่ ง วิธีก ารนีV ใ ห้ ค่ า ความถู ก ต้ อ ง 1/30 จุ ด ภาพ ซึ8ง การหมายพิก ัด ภาพโดยวิธีอ ัต โนมัตินั นV
กระบวนการทีใ8 ช้ในการหาจุดผ่านและจุดโยงยึดโดยอาศัยหลักการจับคู่ภาพเหมือน โดยจะพิจารณาตําแหน่ งวัตถุชVนิ
เดียวกันในแต่ละภาพถ่าย ซึง8 สามารถทีจ8 ะกระทําได้ในหลายหลักคิด (Concept) ดังนีV

".$.%.& การจับคู่ภาพฐานพืน5 ที8 (Area-based Matching) ทีเ8 ริม8 ต้นจากการกําหนดตําแหน่ งทีต8 อ้ งการหมาย
ภาพเพื8อ ใช้รูป แบบ (Pattern) บนภาพอ้างอิง (Reference Image) ดังรูป ที8 4-5ก เพื8อ ใช้เป็ น ต้น แบบในการค้น หา
ตําแหน่ งบนภาพ สืบต้น (Search Image) ดังรูปที8 4-9ช ผ่านการไล่เรียงเปรียบเทียบด้วยหน้ าต่างเคลื8อนที8 (Moving
Window) บนภาพสืบค้น เพือ8 คํานวณหาความสอดคล้องระหว่างรูปแบบบนภาพอ้างอิงกับตําแหน่งใด ๆ บนภาพสืบค้น
โดยการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ บนภาพ (Image Correlation) ด้วยเงื8อนไขว่า บริเวณโดบนภาพสืบค้นทีเ8 ป็ นตําแหน่ ง
วัต ถุ เดียวกัน ของทังV สองภาพจะมีค่า สหสัม พัน ธ์ท8ีสูงมากกว่าบริเวณอื8น ๆ โดยการวิเคราะห์ในรูป แบบนีV สามารถ
ประยุกต์ใช้วธิ อี น8ื ได้ เช่น วิธกี ารจับคูภ่ าพด้วยวิธี กําลังสองน้อยทีส8 ดุ (Least Squares Matching: LSM)

รูปทีU 4-9 การกําหนดตําแหน่งทีต8 อ้ งการหมายภาพเพือ8 ใช้รปู แบบ (Pattern) บน (ก) ภาพอ้างอิง (Reference Image)
เพือ8 ใช้เป็ นต้นแบบในการค้นหาตําแหน่งบน (ช) ภาพสืบค้น (Search Image) (ดัดแปลงจาก Jean et al., 2001)
9.o.p.o การจับคู่ลกั ษณะเด่น (Feature Matching) เป็ นการวิเคราะห์เพื8อหาจุดเด่นของรูปภาพแล้ว
นํ ามาใช้ในการ จับคู่ภาพอัตโนมัติ ซึ8งมีการพัฒนาขึนV อย่างหลากหลาย โดยในปั จจุบนั วิธที ใ8ี ต้ความนิยมอย่างมากคือ
ขันV ตอนวิธกี ารแบบ SIFT (Scale Invariant Feature Transform) ซึ8งเป็ นวิธกี ารค้นหาจุดเด่น ๆ บนภาพแต่ละภาพที8
เหมือนกัน โดยไม่ขVนึ กับขนาดหรือ ทิศทางของวัตถุในภาพ ซึ8งลักษณะเด่นที8ใต้จากวัตถุชVนิ เดียวกันจะมีลกั ษณะที8
คล้ายคลึงกันโดยวิธกี ารของ SIFT นีVประกอบด้วย 4 ขันV ตอน คือ
(1) การตรวจวัดเพื8อหาปริภูมคิ ่าในมิตขิ นาดและระยะทาง (Scale-space Extrema Detection)
ทีเ8 ริม8 ต้นโดยการ วิเคราะห์หาลักษณะเด่นของภาพซึง8 ไม่ขนVึ กับขนาดหรือทิศทางผ่านการเบลอภาพ (Blur) ด้วยฟั งก์ชนั 8
เกาส์เซียน (Gaussian Function) ทังV ต้องมีการแบ่งภาพให้เป็ นชันV ๆ ซึ8งเรียกแต่ละชันV นีVว่า Octave จากนันV ดําเนินการ
เบลอภาพในแต่ละ Octave ด้วยการเบลอภาพทีร8 ะดับต่าง ๆ กล่าวคือ ใน Octave หนึ8งๆ จะมีการเบลอภาพในหลาย
ระดับ ซึ8งเริม8 เบลอภาพจากระดับปกติแล้วค่อยๆเพิม8 (Scale Parameter) เพื8อเพิม8 ความเข้มข้นในการเบลอภาพ

แล้วทําซํVากับ Octave ต่าง ๆ ต่อไปเรือ8 ย ๆ ทังV นีV Octave ต่อไปจะมีขนาดของรูปเป็ นครึง8 หนึ8งของ Octave เติมไปเรือ8 ย

(o) การระบุตําแหน่ งจุดสนใจ (Keypoint LKalization) โดยเป็ นขันV ตอนวิเคราะห์เพื8อหาจุดที8
น่ าจะเป็ นลักษณะสําคัญของภาพ ผ่านกระบวนการจับคู่ภาพของแต่ละ Octave เพื8อวิเคราะห์หาความต่างของแต่ละ
ผลลัพธ์ทไ8ี ด้จากการเบลอ ภาพ (Difference of Gaussian: DoG) โดยดําเนินการวิเคราะห์ในทุกๆภาพทีเ8 ป็ นสมาชิกใน
แต่ละ Octave และทําซํVาจน ครบทุก Octave ดังรูปที8 9-;•ก
(3) การกําหนดขนาดและทิศทางของจุดสนใจ (Orientation Assignment) เพื8อดําเนินการเก็บ
รวบรวมขนาด m(x, y) และ ทิศทาง (x, y) ของ gradient ของบริเวณรอบ ๆ Keypoints เพื8อกําหนดทิศทางให้กบั
Keypoint นันV ๆ
(4) การสร้า งคํ า อธิบ ายลัก ษณะเด่ น ของจุ ด สนใจ (Keypoint Descriptor) ดํ า เนิ น การแบ่ ง
ภาพถ่ายออกเป็ นหน้ าต่างย่อย ๆ 16x16 บาน (หน้ าต่างแต่ละบาน คือ บริเวณที8จะทําการเก็บข้อมูลทิศทาง ซึ8งจะมี
ขนาดคือ 1.5* ) รอบ Keypoint และ ทําการแบ่งออกเป็ นหน้าต่างขนาด 4x4 บาน จะได้ทงั V หมด 16 ชุด โดยแต่ละชุด
จะทําการคํานวณหาขนาดและทิศทางของ Gradient แล้วสร้างเป็ น Histogram ที8มขี นาด 8 bin (แกน X แบ่ง 8 ช่วง
ช่วงละ 45 องศา) โดยทีข8 นาดของ Histogram ใน แต่ละส่วนจะขึนV กับขนาดตัวถ่วงนํV าหนักซึ8งก็คอื ระยะทางทีห8 ่างจาก
Keypoint ดังนันV เมื8อคํานวณเสร็จสินV ผลลัพธ์ท8ไี ด้คอื 4x4x8=128 ซึ8งจะทําการ Normalize ต่อ และจะใช้เป็ นเวกเตอร์
แสดงลักษณะ (Feature Vector) ของแต่ละ Keypoint นันV เองดังรูปที8 4-10ข

รูปทีU V-Xs (ก) การหาขนาดและทิศทางของ Keypoint (ตัดแปลงจาก Sun, o•;9) และ


(ข) การสร้าง Keypaint Descriptor (ดัดแปลงจาก Lingua, 2009)

4.3 การรังวัดพิ กดั ภาคพืนu ดิ น (Ground Observation of GCP)


เมื8อพิจารณาสมการสภาวะร่วมเส้นแล้วจะเห็นว่า ตําแหน่ งของจุดควบคุมภาพถ่ายภาคพืนV ดินถือเป็ นข้อมูลทีส8 าํ คัญที8
ช่วยในการวิเคราะห์ค่าองค์ประกอบของภาพถ่ายภายนอกโดยจุดควบคุมภาพถ่ายนีVควรจะต้องมีการรังวัดค่าพิกดั โดย
โยงยืด เข้ากับหมุดหลักฐานต่าง ๆ เช่น หมุดหลักฐานของกรมแผนทีท8 หารหรือของกรมทีด8 นิ หรือของกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ เป็ นต้น ทังV นีVเพือ8 ให้ผลผลิตทีไ8 ด้จากการสํารวจด้วยภาพถ่ายสามารถเป็ นข้อมูลทีใ8 ช้ในการวิเคราะห์ต่อยอด
เข้ากับชันV ข้อมูลภูม ิ สารสนเทศของหน่วยงานอืน8 ๆ ต่อไปได้อย่างเหมาะสม
วิธกี ารรังวัดด้วยระบบดาวเทียมนํ าหนพิภพ (Global Navigation Satellite Systern: GNSS) เป็ นวิธกี ารรังวัด
ค่าพิกดั ทีน8 ิยมนํ ามาใช้ในการสร้างหมุดหลักฐานสําหรับใช้เป็ นค่าพิกดั จุดควบคุมในการสํารวจด้วยภาพถ่าย โดยเหตุนVี
ความเข้าใจถึงวิธกี ารรังวัดพิกดั ภาคพืนV ดินด้วยการรังวัดด้วยระบบดาวเทียมนําหนพิภพ GNSS จึงกลายเป็ นสิง8 จําเป็ น
ซึง8 จะมีรายละเอียด โดยสรุปย่อทีต8 อ้ งทําความเข้าใจดังต่อไปนีV

4.3.1 ชนิ ดของเครืUองรับสัญญาณดาวเทียม GNSS (Type of GNSS Receiver)


เครือ8 งรับสัญญาณดาวเทียม GNSS สามารถแบ่งเป็ น 2 ประเภทหลักคือ (1) เครือ8 งรับสัญญาณดาวเทียม GNSS
แบบมือถือ (Handheld GNSS Receiver) และเครื8องรับสัญญาณดาวเทียม GNSS แบบรังวัด (Surveing or Geordetic
Receiver) ซึง8 เครือ8 งรับสัญญาณดาวเทียม GNSS ทังV สองประเภทมีรายละเอียด ดังนีV
9.p.;.o เครื8องรับสัญ ญาณดาวเทียม GNSS แบบมือถือ (Handheld GNSS) เป็ นเครื8องรับสัญ ญาณ
ดาวเทียมระบบ GNSS ทีม8 ขี นาดทีใ8 กล้เคียงกับโทรศัพท์มอื ถือทําให้สามารถพกพาได้อย่างสะดวก โดยเหตุนVีเอง จึงถูก
เรีย กว่า เครื8องรับ สัญ ญาณ GNSS แบบมือถือ เครื8องรับ สัญ ญาณ GNSS ประเภทนีV ใช้ห ลัก การของการรังวัด ด้วย
ดาวเทียม GPS แบบสัมบูรณ์โดยอาศัยข้อมูลซูโดเรนจ์มาประมวลผลเพือ8 หาค่าพิกดั ตําแหน่ ง โดยจะให้คา่ ความถูกต้อง
ทางตําแหน่ งในระดับ 10-20 เมตร และเครื8องรับสัญญาณขนิดนีVมรี าคาค่อนข้างถูกและใช้งานง่าย และมีดว้ ยกันหลาย
ยีห8 อ้ โดยยีห8 อ้ ทีไ8 ด้รบั ความนิยมในปั จจุบนั คือ Garmin ดังรูปที8 4-11ก ซึง8 ความถูกต้องทางตําแหน่งทีไ8 ด้รบั นันV เหมาะกับ
การใช้งานในชีวติ ประจําวันและงานทีไ8 ม่ตอ้ งการ ความถูกต้องทีส8 งู มากนัก เช่น การเก็บตัวอย่างข้อมูลเชิงพืนV ทีส8 าํ หรับ
การวิเคราะห์ในเชิงภู ม ิส ารสนเทศ การเก็บ ข้อ มูล เพื8อ ใช้ใน การสํารวจระยะไกล (Remote Sensing) และงานนํ าชีV
ตําแหน่ งแปลงทีด8 นิ ในการสํารวจสังเขป เป็ นต้น อย่างไรก็ตามเครื8องรับสัญญาณดาวเทียม GNSS แบบมือถือไม่มขี ดี
ความสามารถในการรังวัดพิกดั หมุดบังคับภาพสําหรับงานสํารวจด้วย ภาพถ่าย
4.3.1.2 เครือ8 งรับสัญญาณดาวเทียม GNSS แบบรังวัดพิกด
ั หมุดควบคุม
สามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภทย่อย (ตังV แสดงในรูปที8 4-11ข-ค) คือ
1. เครื8องรับสัญญาณ GNSS แบบรังวัดพิกดั หมุตควบคุมทีร8 บั สัญญาณดาวเทียม GPS แบบ
ความถีเ8 ดียว (Single Frequency Receiver) เป็ นเครื8องรับสัญญาณดาวเทียมทีร8 บั สัญญาณดาวเทียม GPS โดยการวัด

คลืน8 ส่งที8 ความถี8 L1 ได้เพียงความถีเ8 ดียวเท่านันV ซึง8 เครือ8 งรับชนิดนีVมรี าคาถูกกว่าเครือ8 งรับแบบสองความถี8 ทังV นีVเพราะ
เมื8อนํ าข้อมูลรังวัดพิกดั ดาวเทียมความถี8เดียวมาประมวลผลแบบเฟสของคลื8นส่งจะให้ค่าความถูกต้องทีน8 ้อยกว่าการ
ประมวลผลในแบบเดียวกันโดยใช้ขอ้ มูลรังวัดพิกดั ตาวเทียมแบบสองความถี8 (L1 และ L2)
2. เครือ8 งรับสัญญาณ GNSS ทีส8 ามารถรับสัญญาณดาวเทียม GPS แบบสองความถีแ8 ละหลาย
ระบบดาวเที ย มนํ า หน (Dual-Frequency Receiver and Multi-GNSS Receiver) ดัง รู ป ที8 4-11ข และ 4-11ค เป็ น
เครือ8 งรับสัญญาณ GNSS ทีส8 ามารถดาวเทียมทีร8 บั สัญญาณดาวเทียม GPS ของประเทศสหรัฐอเมริการทีค8 วามถี8 1 และ
L2 ยิง8 ไป กว่านันV ในปั จจุบนั เครื8องรับสัญญาณดาวเทียมได้ถูกพัฒนาให้สามารถรับสัญญาณดาวเทียม GPS ความถี8
L5 พร้อมด้วยขีดความสามารถรับสัญญาณดาวเทียมในระบบอื8นๆเช่น ระบบดาวเทียม GLONASS ของประเทศ รัสเซีย
ระบบดาวเทียม Baidu ของประเทศจีน ระบบดาวเทียม 0755 ของประเทศญี8ป่ ุน และระบบดาวเทียม GALILEO ของ
สหภาพยุโรป เป็ นต้น

รูปทีU 4-11 (ก) เครือ8 งรับสัญญาณดาวเทียมนําหนพิภพ (GNSS) แบบมือถือ (ข) และ (ค) เครือ8 งรับสัญญาณดาวเทียม
นําหนพิภพ GNSS ทีร8 บั สัญญาณดาวเทียม GPS แบบสองความถีแ8 ละหลายระบบดาวเทียมนําหน
(Dual-Frequency Receiver and Multi-GNSS Receiver)
4.3.2 เทคนิ คในการรังวัดด้วยดาวเทียมจีพีเอสแบบสัมพัทธ์ (Differential or Relative GPs Positioning)
โดยส่วนใหญ่แล้วการรังวัดหาตําแหน่ งค่าพิกดั ของจุดควบคุมภาพถ่ายนันV ต้องการความถูกต้องทางตําแหน่ งสูง
ทังV นีV เพราะเป็ น งานรังวัด ควบคุม จึงจําเป็ น อย่างยิ8งที8จะต้อ งใช้ก ารหาค่าพิก ดั แบบสัม พัท ธ์ ซึ8งเป็ น การใช้เครื8อ งรับ
สัญญาณดาวเทียม อย่างน้อย 2 เครือ8 ง โดยจะเป็ นการวางเครือ8 งรับสัญญาณ GNSS เครือ8 งหนึ8งอยูท่ จ8ี ุดทีท8 ราบค่าพิกดั
แล้วซึ8งอาจจะเป็ นหมุด หลักฐานกรมแผนทีท8 หาร หรือหมุดหลักฐานกรมทีด8 นิ หรือหมุดหลักฐานของกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ เป็ นต้น ทังV นีVเครือ8 งหนึ8งตังV ทีจ8 ดุ ทราบค่าพิกดั โดยจะถูกเรียกว่า สถานีฐาน (Base Station) ส่วนเครือ8 งรับอีก
เครือ8 งจะถูกนําไปวางตรงจุดทีต8 อ้ งการ ทราบค่าพิกดั ทีจ8 ะถูกเรียกว่า โรเวอร์ (Rover) ผลทีไ8 ด้จากการทํางานในลักษณะ
นีVคอื ตําแหน่งเปรียบเทียบของจุดหนึ8งกับอีกจุดหนึ8ง หรือเป็ นเส้นฐานทีม8 ที ศิ ทางระหว่างจุดทีน8 ําเครือ8 งรับทังV สองไปตังV รับ
สัญ ญาณ โดยการหาค่ าพิก ัด แบบสัม พัท ธ์เรีย กว่า Differential GPS (DSPS) โดยการใช้ข้อ มูล เฟสของคลื8น ส่งมา

ประมวลผลเพื8อหาค่าพิกดั จะให้ค่าความถูกต้องสูงในระดับ เซนติเมตรและอาจสูงถึงระดับมิลลิเมตรขึนV อยู่กบั วิธที ใ8ี ช้ใน


การรังวัด ในปั จจุบนั ซอฟต์แวร์เชิงพาณิ ชย์ท8ใี ช้ในการประมวลผล ข้อมูลเฟสคลื8นส่งไต้โดยจะได้รบั มาพร้อมกับชุด
เครื8องรับสัญ ญาณ GNSS แบบรังวัด สําหรับการสํารวจด้วยภาพถ่ายในภาระ กิจการรังวัดพิกดั จุดควบคุมภาพใน
ภาคพืนV ดินนันV ควรจะรับสัญญาณด้วยเครือ8 งรับสัญญาณแบบรังวัดและใช้ขอ้ มูลเฟสคลืน8 ส่ง ในการประมวลเท่านันV จึงจะมี
ความถูกต้องทางตําแหน่ งของหมุตบังคับในระดับทีเ8 หมาะสม ซึง8 วิธกี ารรังวัดในภาคสนามในปั จจุบนั สามารถแบ่งได้ดงั
แสดงในตารางที8 4-1 ซึง8 มีรายละเอียดดังนีV

;. การรังวัดแบบสถิต (Static Survey) เป็ นวิธพี Vนื ฐานของการวัดระยะโดยใช้คลื8นส่งโดยใช้เครื8องรับ


ตังV แต่ o เครือ8 ง ขึนV ไป เครือ8 งรับเครือ8 งหนึ8งนําไปวางอยู่ ณ จุดทีท8 ราบค่าพิกดั เพื8อใช้อา้ งอิง ส่วนเครือ8 งทีเ8 หลือวางไว้ ณ
จุดทีต8 อ้ งการหาตําแหน่งเพิม8 เติม โดยปกติจะตังV เครือ8 งรับสัญญาณไว้ไม่น้อยกว่า 9‡ นาที แต่ถา้ จะให้ได้ผลการรังวัดทีด8 ี
ควรจะรังวัดนาน ;-o ชัวโมง 8 ทังV นีVเพื8อให้มขี อ้ มูลของการวัดระยะเพียงพอทีจ8 ะประมวลผลหาจํานวนคลื8นเต็มรอบทีไ8 ม่
สามารถวัดได้ โดยหลักการแล้ววิธกี ารนีVใช้หาตําแหน่ งสัมพัทธ์ระหว่างจุดสองจุดทีอ8 ยู่ห่างกันเป็ นระยะทางยาวได้ แต่
การใช้ซอฟต์แวร์เชิงพาณิ ชย์หรือซอฟต์แวร์ของโรงงานผลิตเครื8องรับนันV ระยะทางสูงสุดที8ให้ความถูกต้องได้ตาม
ข้อกําหนดของเครือ8 งรับจะอยูป่ ระมาณ o•-p• กิโลเมตรเท่านันV
o. การรังวัดแบบสถิตชนิดเร็ว (Rapid Static Survey) มีวธิ กี ารทํางานเหมือนกับการรังวัดแบบสถิต
ข้างต้น แต่ตอ้ งการข้อมูลน้อยกว่าเพื8อนํ ามาประมวลผลหาจํานวนคลื8นเต็มรอบในการหาตําแหน่ งของจุดทีอ8 ยู่ห่างจาก
จุดอ้างอิงไม่เกิน ‡ กิโลเมตร จะใช้เวลาในการเก็บข้อมูลราว ;• - o• นาที อัลกอริทมึ ทีใ8 ช้ในการประมวลผลวิธรี งั วัด
สถิตอย่างเร็วจะแตกต่างจาก วิธรี งั วัดแบบสถิตธรรมดาตามปกติจะใช้ได้สําหรับจุดที8อยู่ห่างจากจุดอ้างอิงไม่เกิน ;‡
กิโลเมตร
p. การรังวัดแบบจลน์ (Kinematic Survey) ถูกพัฒนาขึนV เพือ8 ให้สามารถหาตําแหน่งของจุดทีต8 อ้ งการได้
เร็วขึนV คือจะใช้เวลาในการรับข้อมูล ณ จุดทีต8 อ้ งการในเวลาไม่ถงึ หนึ8งนาที แต่วธิ กี ารนีVกม็ จี ุดต้อย คือ มีวธิ กี ารเริม8 งาน
(Initialization) ผ่าน การรับสัญ ญาณเริม8 ต้นซึ8งจะใช้เวลาประมาณ ‡-;• นาที และในระหว่างทํางานต้องสามารถรับ
ดาวเทียมอย่างต่อเนื8อง โดยจะเป็ นวิธกี ารทํางานเพือ8 ให้สามารถประมวลผลหาจํานวนตสินV เต็มรอบได้ สิง8 ทีต8 อ้ งคํานึงถึง
ณ ขณะทํางานคือเครื8องรับจะต้องรับสัญญาณต่อเนื8องจากดาวเทียมอย่างน้อย 9 ดวงตลอดเวลา แม้กระทังในขณะที 8 8
กําลังเคลื8อนย้ายจากจุดหนึ8งไปยังอีกจุดหนึ8ง ถ้าหากรับสัญญาณดาวเทียมได้น้อยกว่า 9 ตวงเมื8อโต จะต้องทําขันV ตอน
ของวิธกี ารเริม8 งานใหม่อกี ครังV หนึ8ง แล้วจึงไป รังวัดทีจ8 ดุ อืน8 ๆ ต่อไปได้อกี ในการรังวัดแบบจลน์นVี เครือ8 งรับเครือ8 งหนึ8งจะ
ถูกวางไว้ทจ8ี ุดอ้างอิงทีร8 ตู้ ําแหน่ งแล้วตลอดเวลา เครื8องอื8น ๆ เมื8อทําขันV ตอนวิธกี ารเริม8 งานแล้ว จึงนํ าไปวางตามจุดที8
ต้องการหาตําแหน่ง
9. การรังวัดแบบจลน์ ทนั ทีทนั โต (Real-time Kinematic Survey: RTK) วิธนี Vีรูจ้ กั กันในชื8อย่อว่า RTK
เป็ นวิธกี ารทํางานรังวัดแบบจสน์นนเอง ั8 แต่แสดงผลลัพธ์ คือ ค่าพิกดั ตําแหน่ งได้ทนั ทีในสนาม โดยเหตุทก8ี ารทํางานยัง
เป็ นการหาตําแหน่ งแบบสัมพัทธ์ หมายความว่าข้อมูลจากทังV สองจุดต้องนํ ามาประมวลผลร่วมกัน ดังนันV จึงต้องใช้
คลื8นวิทยุในการรับส่งข้อมูลระหว่างกัน เนื8องจากจุดอ้างอิงเป็ นจุดรูต้ ําแหน่ งอยู่แล้ว ในการทํางานแบบ RTK นีV จึงเป็ น
การส่งข้อมูลทีร8 บั สัญญาณดาวเทียม ได้ไปยังจุดทีต8 อ้ งการหาตําแหน่งเครือ8 งรับทีจ8 ุดต้องการหาตําแหน่งจะรับข้อมูลแล้ว

นํ าไปประมวลผล แล้วแสดงค่าพิกตั ได้อย่างรวดเร็วในทันที ระยะห่างระหว่างจุดที8ใช้ทํางานได้ไม่เกิน ;‡ กิโลเมตร


นอกจากนีVยงั ขึนV อยูก่ บั กําลังของคลืน8 วิทยุทใ8ี ช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่างกัน

4.3.3 การรังวัดพิ กดั ภาคพืนu ดิ นสําหรับการสํารวจภาพถ่าย (Ground Observation for Photogrammetry)


9.p.p.; การรังวัดพิกดั ภาคพืนV ดินทีเ8 หมาะสมสําหรับการสํารวจด้วยภาพถ่ายจากเครือ8 งบิน
การสํารวจด้วยภาพถ่ายจากเครื8องบินแต่ละครังV นันV จะครอบคลุมพืนV ทีก8 ารสํารวจขนาดทีค8 ่อนข้างใหญ่
การเลือกใช้ การรังวัดด้วยระบบดาวเทียมนําหนพิภพ (GNSS) จึงเป็ นวิธกี ารทีเ8 หมาะสม ซึง8 เทคนิคการรังวัดด้วยระบบ
ดาวเทียมนํ าหนพิภาพ GNSS ที8นํามาใช้สําหรับงานในลักษณะนีVมที งั V วิธี Static, Rapid Static, Kinematic, และ KTK
อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้วธิ เี ทคนิ คการรังวัดที8เหมาะสมนันV จะขึVน อยู่กบั งบประมาณความถูกต้องที8ต้องการ และ
ระยะเวลาในการทํางาน ซึง8 วิศวกรสํารวจจําเป็ นอย่างยิง8 ทีจ8 ะต้องคํานึงถึงปั จจัยเหล่านีVในการออกแบบ ทังV นีVรายละเอียด
เทคนิคการรังวัดหาค่าพิกดั ด้วยดาวเทียมจีพเี อส ได้สรุปไว้ในตารางที8 9-;

ตารางทีU V-X รายละเอียดเทคนิควิธกี ารรังวัดหาค่าพิกดั ด้วยระบบดาวเทียมน้²าหนพิภพ (GNSS) โดยสรุป


วิธกี ารทีใ8 ช้ อุปกรณ์ทจ8ี าํ เป็ นต่อการทํางาน วิธกี ารทํางานในสนาม ค่าความถูกต้อง
Static เครื8อ งรับ แบบรัง วัด เนิ ด ความ ตังV เครื8อ งรับ สัญ ญาณดาวเทีย ม 5 มม. – 2.5 ซม.
เดียวหรือหลายความถี8 นํ า หนพิภ พทังV สองอยู่ก ับ ที8 ;-o
ชัวโมง
8 และในระหว่างทํางานต้อง
มี พาวเทียมอย่างน้อย 9 ดวง
Rapid Static เครื8อ งรับ แบบรัง วัด เนิ ด ความ ตังV เครื8อ งรับ สัญ ญาณดาวเทีย ม 1-3 ซม.
เดียวหรือหลายความถี8 นํ าหนพิภพทังV สองอยู่กบั ที;8 •-o•
นาที และในระหว่างทํางานต้องมี
จํ า นวนดาวเที ย มอย่ า งน้ อ ย 9
ดวง
Kinematic เครื8อ งรับ แบบรัง วัด เนิ ด ความ สามารถเคลื8 อ นย้ า ยเครื8อ งรับ 1-5 ซม.
เดียวหรือหลายความถี8 สัญญาณดาวเทียมนําหนพิภพไป
ตามจุ ด ที8ต้อ งการหาค่ า พิก ัด ได้
แต่ตอ้ งทําการ เริม8 ต้น (initializin)
สัญ ญาณใช้เวลาประมาณ ‡-;•
นาที และในระหว่างทํางานต้อ ง
ส าม ารถ รั บ ด าว เที ย ม อ ย่ าง
ต่อเนื8อง
RTK เครื8อ งรับ แบบรัง วัด ชนิ ด หลาย สามารถเคลื8 อ นย้ า ยเครื8อ งรับ 1-5 ซม.
ค วาม ถี8 เ ท่ านั V น และ อุ ป ก รณ์ สัญญาณดาวเทียมนําหนพิภพไป
สื8อสารใช้ได้ทงั V เครื8องรับส่งวิทยุ ตามจุดที8 ต้องการหาค่าพิกดั ได้
หรือโทรศัพท์มอื ถือ แต่ ต้องรอจุดละ ใช้ได้ท งั V เครื8อง
รับ ส่ ง วิ ท ยุ ห รือ ประมาณ ;-o
นาที โดยในระหว่างท้างานต้องมี
ดาวเทียมอย่างน้ อย ‡ ตวง และ
ต้องรับค่าปรับแก้จากสถานีฐาน
ใต้

9.p.p.o การรังวัดพิกดั ภาคพืนV ดินทีเ8 หมาะสมสําหรับการสํารวจด้วยภาพถ่ายจาก UAV


การสํารวจด้วยภาพถ่ายจาก UAV แต่ละครังV นันV จะครอบคลุมพืนV ทีก8 ารสํารวจขนาดทีไ8 ม่ควรเกิน o•-o‡
ตร.กม. ดังนันV การเลือกใช้ระบบรังวัดพิกดั ด้วยดาวเทียม GNSS จึงเป็ นวิธกี ารทีเ8 หมาะสมเช่นเดียวกับภาพถ่ายจาก
เครื8องบิน แต่เนื8องจากการเลือกใช้ UAV ในการสํารวจนันV ส่วนใหญ่แล้วจะเป็ นงานทีต8 อ้ งแข่งกับเวลาและถูกจํากัดด้วย
งบประมาณ เทคนิคการรังวัดพิกดั ด้วยดาวเทียม GNSS ที8นํามาใช้นิยมเลือกมาใช้สําหรับงานนีVคอื วิธี Rapid Static
และ RTK อย่างไรก็ตามวิธี Static ยังคงมีความสําคัญในการโยงยึดระบบพิกดั ของการทํางานเข้ากับหมุดหลักฐานของ
หน่ วยงานทางรายการ เช่น หมุดหลักฐานของกรมแผนที8ทหาร หมุดหลักฐานของกรมที8ดนิ และหมุดหลักฐานของ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็ นต้น
อนึ8งในกรณี ท8พี Vนื ที8ขนาดเล็กและ/หรือไม่มอี ุปกรณ์ รบั สัญ ญาณดาวเทียม GNSS การใช้งานวงรอบ
(Treversing) ร่วมกับการระตับ (Leveling) เข้ามาสร้างจุตบังคับภาพถือเป็ นอีกหนึ8งทางเลือกทีส8 ามารถกระทําได้ โดยใน
ปั จจุบนั สามารถทีจ8 ะดําเนินการได้โดยใช้กล้องประมวลผลรวม (Total Station) ในการรังวัดพิกดั ทางราบและกล้องระดับ
อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Leveling) ในการถ่ายระดับเข้าจุดควบคุมต่าง ๆ ทีไ8 ด้วางแผนไว้
4.3.3.p การรังวัดพิกดั ภาคพืนV ดินทีเ8 หมาะสมสําหรับการสํารวจด้วยภาพระยะใกล้
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็ นการรังวัดสําหรับงานอนุ รกั ษ์ทางสถาปั ตกรรมโดยต้องมีการติดจุดควบคุมไว้บน
อาคาร หรือ สิง8 ก่อสร้างต่าง ๆ การรังวัดพิกดั ภาพพืVนดินสามารถกระทําได้โดยการสร้างงานวงรอบและงานระดับให้
กระจายรอบอาคาร แล้วใช้เป็ นสถานีฐานในการรังวัดพิกดั บนอาคาร จากนันV จึงเป็ นการรังวัดพิกดั จุดควบคุมภาพด้วย
วิธกี ารเล็งสกัด (Intersection) และการระดับแบบตรีโกณมิติ (Trigonometric Leveling) ดังรูปที8 4-12 เพื8อให้ได้ค่าพิกดั
ฉาก 3 มิตสิ าํ หรับ ใช้เป็ นจุดบังคับภาพ

รูปทีU 4-12 การหาพิกดั ทางราบด้วยวิธเี ล็งสกัดและทางดิง8 ด้วยวิธกี ารระดับแบบตรีโกณมิติ


(ดัดแปลงจาก ภูรทิ ตั แสนสุทธิวจิ ติ ร 2557)

4.4 การประมวลผลปรับแก้บล็อกรังสีการถ่ายภาพ (Bundle Block Adjustment Computation)


ในส่วนต้นของบทนีVได้แสดงทีม8 าของสมการสภาวะร่วมเส้นซึง8 เป็ นสมการทีแ8 สดงความสัมพันธ์ระหว่างพิกดั ของ
วัตถุ บนภาพและพิกดั วัตถุบนภาคพืนV ดินโดยอาศัยสภาวะร่วมเส้นทางเดินของแสงจากจุดเปิ ดถ่ายภาพไปยังจุดบนภาพ

ซึง8 เป็ นแนว เส้นตรงเดียวกันกับทางเดินของแสงจากจุดเปิ ดถ่ายภาพไปยังจุดบนพืนV ดิน และเมือ8 พิจารณาสมการสภาวะ


ร่วมเส้น ให้ชดั เจน จะพบว่าองค์ป ระกอบภาพถ่ ายภายนอก ซึ8งประกอบด้วยค่าพิกดั ของตําแหน่ งจุดเปิ ดถ่ ายภาพ
( ) และ ค่าการ วางตัวของภาพถ่าย ( ) นันV เป็ นตัวแปรสําคัญในการช่วยหาค่าตาแหน่ งของพิกดั วัตถุ
บนพืนV ดิน ดังนันV การทีจ8 ะนําสมการสภาวะร่วมเส้นมาประยุกต์ใช้นนั V จําเป็ นอย่างยิง8 ทีจ8 ะต้องเข้าใจถึงหลักคิดสําคัญ ๆ ที8
เกีย8 วข้อง ซึง8 ได้แก่
(1) การเล็งสกัดย้อนภาพถ่ายเดียว (Single-photo Resection) สําหรับการวิเคราะห์หาค่าองค์ประกอบ
ภาพถ่าย
ภายนอก
(2) การเล็งสกัดภาพถ่ายคู่ (Tw-photo Intersection) สําหรับการวิเคราะห์หาค่าพิกดั ฉาก 3 มิตขิ องจุต
ต่างๆบนวัตถุ
(3) โครงข่ายสามเหลีย8 มของภาพถ่าย (Photo Triangulation) สําหรับการวิเคราะห์หาค่าองค์ประกอบ
ภาพถ่ายภายนอกไปพร้อมกันหลายภาพพร้อมกับการวิเคราะห์หาค่าพิกดั ฉาก 3 มิตขิ องจุดต่าง ๆ บนวัตถุควบคูก่ นั ไป
ด้วย

4.4.1 การใช้สมการสภาวะร่วมเส้น (Utilization of Colinearity Condition)


4.4.1.1 หลักการของวิธกี ารเล็งสกัดย้อนภาพถ่ายเดีย8 ว
การเล็ ง ย้ อ นภาพถ่ า ยเดี8 ย ว (Single-photo Resection) เป็ นวิ ธี ก ารที8 ใ ช้ สํ า หรับ หาการจั ด วาง
องค์ประกอบภาพ ภายนอก (Exterior Orientation) ประกอบด้วย ของภาพถ่ายแต่ละใบ (นัน8
คือ Unknown = 6 ตัว) โดยอาศัยหลักการวัดพิกดั ภาพถ่ายของจุดทีม8 ลี กั ษณะเด่นชัด (well-identified Point) โดยในทีน8 Vี
จะเรียกว่า จุดควบคุมภาพถ่าย (Photo Control Point) โดยแต่ละจุดควบคุมภาพถ่าย 1 จุด จะได้คา่ สังเกตเป็ นพิกดั บน
ภาพ (x,y) ซึง8 เมือ8 พิจารณาสมการสภาวะร่วมเส้นแล้วจะเห็นว่า มีคา่ สังเกตเกิดขึนV 2 ค่า ซึง8 สามารถทีจ8 ะนํามาใช้ในการ
สร้างสมการค่าสังเกตได้ 2 สมการ ดังนันV ในการสร้างระบบสมการสําหรับหา Exterior Orientation ทังV 6 ตัว ต้องใช้
จํานวนจุดควบคุมภาพถ่ายอย่างน้ อย 3 จุด ดังรูปที8 4-13 สําหรับการสร้างสมการค่าสังเกต 6 สมการโดยแต่ละจุด
ควบคุมภาพถ่ายจําเป็ นทีจ8 ะต้องมีคา่ พิกดั ภาคพืนV ดิน

รูปทีU 4-13 หลักการของกระบวนการเล็งสกัดย้อนภาพถ่ายเดีย8 ว (ดัดแปลงจาก Etnima, 2015)


อาศัยหลักการของสมการสภาวะร่วมเส้น (Co-linearity Equation) โยงค่าพิกดั ภาคพืนV ดินเข้ากับพิกดั ภาพถ่าย
โดยสมการนีV จะได้อธิบ ายความสัมพัน ธ์ระหว่างแนวลําแสงจากจุดเปิ ดถ่ ายภาพ จุดพิกดั บนภาพถ่ ายและ จุดพิก ดั
ภาคพืนV ดิน ซึง8 โยงยึดจุดทังV สามในแต่ละแนวลําแสงไว้เข้าด้วยกัน แนวลําแสงทุกแนวจะร่วมกันตรึงภาพถ่ายเข้าไว้กบั
จุดเปิ ดถ่ายและพิกดั ภาคพืนV ดิน
9.9.;.o การคํานวณปรับแก้ในการเล็งสกัดย้อนภาพถ่ายเดีย8 วโดยวิธลี สี ต์สแควร์ หรือ วิธกี าํ ลังสองน้อย
ทีส8 ดุ
หลัก สํ า คัญ ในการพิ จ ารณาปั ญหาด้ ว ยวิธีลี ส ต์ ส แควร์ นั Vน ต้ อ งคํ า นึ ง ถึ ง จํ า นวนค่ า สัง เกตหรือ ค่ า รัง วัด
(Observation) ต้องมีจํานวนมากกว่าจํานวนตัวแปรทีไ8 ม่ทราบค่า (Unknown: U) เมื8อนํ ามาประยุกต์ใช้ร่วมกับสมการ
สภาวะร่ ว มเส้ น เพื8 อ ใช้ ใ นการหาค่ า องค์ ป ระกอบภาพถ่ า ยภายนอก ซึ8 ง มี จํ า นวนตั ว แปรที8 ไ ม่ ท ราบค่ า อยู่ 6
ตัว ของภาพถ่ายแต่ละใบ โดยทัวไปแล้
8 วการแก้สมการทีม8 ตี วั แปรไม่ทราบค่าอยูถ่ งึ 6 ตัว จะต้อง
ใช้สมการทังV สินV 6 สมการ ซึง8 ก็คอื ต้องรังวัดค่าพิกดั ของจุดควบคุมภาพถ่ายทังV บนภาพและในภาคพืนV ดินอย่างน้อย 3
จุด เพือ8 สร้างสมการทังV สินV 6 สมการตังV ทีก8 ล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตาม หากต้องคํานวณปรับแก้ดว้ ยวิธลี สี ต์สแควร์จะต้อง
ใช้จดุ ควบคุมภาพถ่ายจํานวน 4 จุดขึนV ไป ซึง8 จะสามารถนํามาสร้าง เป็ นสมการค่าสังเกตได้ถงึ 8 สมการ
แนวทางการคํานวณปรับแก้ดว้ ยลีสต์สแควร์ดว้ ยวิธสี มการค่าสังเกตสําหรับการเล็งสกัดย้อนภาพถ่ายเดียวเพือ8
หา องค์ประกอบภาพถ่ายภายนอก มีดงั นีV

1. หาจํานวนสมการและจํานวนตัวแปรทีไ8 ม่ทราบค่า

สมมุตใิ ห้มกี ารรังวัดจุดควบคุมภาพถ่ายมา 4 จุด ซึง8 หมายถึง จํานวนค่าสังเกตซึง8 ในส่วนนีVจะสังเกตที8


ได้มกี ารรังวัดมา มีทงั V สินV 8 ค่า นันคื
8 อ n=8 ซึง8 ถึงจํานวนสมการ 8 สมการ และ
จํานวนตัวไม่ทราบ ค่า u = 6 คิดเป็ นค่าองศาความเป็ นอิสระ (Degree of Freedom) = r = 1-4 = 8-6 = 2 จะได้วา่

(4-25)

2. สมการตามแบบจําลองทางคณิตศาสตร์ดว้ ยวิธสี มการค่าสังเกต Law Lb4V E F(xa) จะได้วา่


(4-26)

(4-27)

(4-28)

(4-29)

(4-30)

(4-31)

(4-32)

(4-33)

กําหนดให้

3. ค่าประมาณเริม8 ต้น (Approximated Values) ของค่าพารามิเตอร์การจัดวางภาพภายนอก (Exterior


Orientation Parameter) ทีป8 ระกอบด้วยพารามิเตอร์ เป็ นตัวไม่ทราบค่า (Unknowns) จํานวน
6 ค่า หรือ u=6
(4-34)
9. เวกเตอร์คา่ ประมาณของค่าสังเกตเป็ นดังนีV

(4-35)

5. แมทริกช์สมั ประสิทธิ šของพารามิเตอร์ทม8ี กี ารแทนค่าประมาณ


(4-36)

•. การหาค่าเวกเตอร์คา่ ต่างของการวัด
(4-37)
›. การหาแมทริกช์ปกติ
(4-38)
¢. การหาแมทริกช์ U
(4-39)
Ž. เวกเตอร์คา่ ตรวจแก้พารามิเตอร์
(4-40)
;•. เวกเตอร์คา่ พารามิเตอร์ทป8ี รับแก้แล้ว
(4-41)
;;. เวกเตอร์คา่ ตรวจแก้คา่ การวัด
(4-42)
;o. เวกเตอร์คา่ สังเกตุชทีป8 รับแก้แล้ว
(4-43)
จากนันV คํานวณหาตัวไม่ทราบค่า (unknown)โดยการวนซํVาจากขันV ที8 p ถึง ;o ซึ8งจะกําหนดเป็ นจํานวนรอบ
หรือ เงื8อนไขอื8น เช่น ให้คํานวณวนซํVาจนกระทัง8 มีค่าน้ อยมาก ๆ ผลลัพธ์ท8ไี ด้จากกระบวนการนีVคอื
การจัดวาง ภาพภายนอก ของภาพทีก8 าํ ลังพิจารณา

4.1.1 การเล็งสกัดภาพคู่ (Two-photo Intersection)


กําหนดให้ทราบค่าการจัดวางตัวภายนอก (Exterior Orientation Parameters) ของทังV สองภาพ (รูปที8 9-;9)
คือ สําหรับ “ภาพซ้าย” และ สําหรับ “ภาพขวา” และมี
ค่าพิกดั ของจุดใด ๆ ทีว8 ดั ได้ในรูปของ Photo Coordinate เป็ น p1,(x1, y1) และ p2(x2, y2) ตามลําดับ โดยอาศัยค่าพิกดั
บนภาพคูช่ อ้ น ณ จุด ๆ เดียวกัน (ในทีน8 Vีคอื p1,[x1, y1] และ p2[x2, y2]) มาร่วมกับสมการสภาวะร่วมของเส้นเพือ8 ใช้สร้าง
ระบบสมการทีจ8 ําลอง การตัดกันของรังสีแสง จะทําให้สามารถหาค่าพิกดั ของจุด P ใดๆ ทีป8 รากฏอยู่ในส่วนซ้อนของ
ภาพถ่าย และผลลัพ ธ์ท8อี อกมา เป็ นค่าพิกดั ภาคพืVนดินของวัตถุ (Xp, Yp, Zp) โดยจะเรียกหลักการนีVว่า การลงสกัด
ภาพถ่ายคู่ (Two-photo Intersection) หรือ การเล็งสกัดเชิงปริภูม ิ (Spicee Intersection) ดังรูปที8 9-;9 โดยต้องทราบ
ค่าการจัดวางตัวภายนอกของภาพทังV สองมา ก่อนเพือ8 นํามาใช้เป็ นค่าคงทีใ8 นสมการสภาวะร่วมของเส้นของเส้นตรงสอง
เส้นทีต8 ดั กัน ณ จุด P บนวัตถุ
อนึ8ง ค่าพิกดั ของภาพถ่าย p1,(x1, y1) และ p2(x2, y2) นีVท8รี งั วัดได้จะวัตในระบบพิกดั ของเครื8องมือ ซึ8งต้องทํา
แปลงพิ ก ั ด เครื8อ งมื อ เหล่ า นั Vน ให้ เ ป็ นค่ า พิ ก ั ด ภาพถ่ า ยด้ ว ยสมการการแปลงค่ า พิ ก ั ด แบบสมพรรค (Afline
Transformation) ทังV นีV เพื8อให้เกิดสอดคล้องกันของสภาพทีแ8 นวลําแสงทีผ8 ่าน Perspective Center ผ่านจุดภาพนันV ๆ
บนภาพถ่าย และผ่านไปถึงพิกดั ของจุดทีก8 ําลังพิจารณา (Xp, Yp, Zp) ซึง8 ถือเป็ นตัวไม่ทราบค่า (Unknowns, U) นันV คือ
U=3
แนวทางการคํานวณปรับแก้วธิ สี มการค่าสังเกตสําหรับการเล็งสกัตภาพถ่ายคูเ่ พือ8 หาพิกดั วัตถุ มีดงั นีV
;. หาจํานวนสมการและจํานวนตัวแปรทีไ8 ม่ทราบค่า
สมมติให้ค่าการจัดวางภาพภายนอกสําหรับภาพซ้ายเป็ น และ สําหรับภาพขวา
เป็ น เป็ นค่าคงทีใ8 นระบบสมการ และมีค่าพิกดั ภาคพืนV ดินของจุด P ทีต8 อ้ งการหาเป็ น
(X, Y, Z) และทําการรังวัตพิกดั บนภาพถ่าย “ซ้าย” p1 เป็ น (X1, Y1) และพิกดั บนภาพถ่าย “ขวา” p2 เป็ น (X2, Y*) นันV
คือ จํานวนค่าสังเกตซึง8 เป็ นพิกดั ภาพถ่ายทีไ8 ด้มกี ารรังวัดมามีทงั V สินV o ค่า (x1,y1,x2,y2) ซึง8 หมายถึง จํานวนสมการ n =
9 และ จํานวนตัวไม่ทราบค่า u = 3
นันคื
8 อ r = n-u = 4 - 3 = 1

(4-44)

รูปที8 9-;9 การคํานวณพิกดั วัตถุจากคูภ่ าพสามมิตทิ อ8ี าศัยการเล็งสกัดภาพคู่ (Two-photo Intersection) (ดัดแปลงจาก
Wolf et al., 2014)
o. สมการตามแบบจําลองทางคณิตศาสตร์ดว้ ยวิธสี มการค่าสังเกต La = Lb+v = F(Xa) จะได้วา่

(4-45)

(4-46)

(4-47)

(4-48)

เมือ8 กําหนดให้

p. เวกเตอร์ค่าประมาณเริม8 ต้น (Approximated Values) ของค่าพิก ดั ภาคพืVน ดิน ของจุด P (Xp, Yp, Zp) เป็ น ตัวไม่
ทราบค่า (Unknowns) จํานวน p ค่า หรือ u = 3 ดังนีV
(4-49)

4. เวกเตอร์คา่ ประมาณของค่าสังเกตเป็ นดังนีV

(4-50)

‡. แมทริกช์สมั ประสิทธิ šของพารามิเตอร์ทม8ี กี ารแทนค่าประมาณ X0 จะได้เป็ นแมทริกช์ A ดังนีV

(4-51)

•. การหาค่าเวกเตอร์คา่ ต่างของการวัด
(4-52)
›. การหาแมทริกช์ปกติ
(4-53)
¢. การหาแมทริกช์ U
(4-54)
Ž. เวกเตอร์คา่ ตรวจแก้พารามิเตอร์
(4-55)
;•. เวกเตอร์คา่ พารามิเตอร์ทป8ี รับแก้แล้ว
(4-56)

;;. เวกเตอร์คา่ ตรวจแก้คา่ การวัด


(4-57)
;o. เวกเตอร์คา่ สังเกตทีป8 รับแก้แล้ว
(4-58)
จากนันV คานวณหาตัวไม่ทราบค่า (unknown) โดยการวนซํVาจากชันV ที8 p ถึง ;o ซึ8งจะกําหนดเป็ นจํานวนรอบ
หรือ เงื8อ นไขอื8น เช่ น ให้คํ า นวณวนซํV า จนกระทัง8 ค่ า น้ อ ยมากๆ และท้ า ยที8สุ ด ผลลัพ ธ์ท8ีไ ด้จ าก
กระบวนการ คํานวณปรับแก้การเล็งสกัดภาพถ่ายคูน่ Vีคอื ค่าพิกดั ภาคพืนV ดินของจุต P (Xp, Yp, Zp) ทีก8 าํ ลังพิจารณา
4.1.2 การปรับแก้บล็อคการถ่ายภาพ (Bundle Block Adjustment)
จากทีก8 ล่าวไว้ในบทที8 ; ผลลัพธ์ทไ8ี ด้จากการประมวลในการสํารวจด้วยภาพประกอบด้วยงานหลักต่อไปนีV (;)
ค่าพิกดั ฉาก p มิตขิ องวัตถุใด ๆ (E, N, h)
(o) ภาพถ่ายตัดแก้ออร์โธ
(p) กลุม่ ของจุดสามมิติ หรือ พอยต์คลาวด์ (Point Cloud)
(9) แบบจําลองพืนV ผิวและแบบจําลองระดับ
(‡) แผนทีล8 ายเส้น
ผลลัพ ธ์ท8ีได้เหล่านีV เกิดขึVน ภายหลังจากการประมวลภาพถ่ ายที8มกี ารวางแผนการถ่ ายภาพในลักษณะของ
โครงข่าย สามเหลีย8 มการถ่ายภาพ (Photo Triangulation Network) โดยหากภาพถ่ายทีว8 ่านีVเป็ นภาพถ่ายทางอากาศ
ซึ8 ง อาจจะได้ จ าก เครื8อ งบิ น หรือ อากาศยานไร้ค นขับ ก็ จ ะเรีย กว่ า โครงข่ า ยสามเหลี8ย มทางอากาศ (Aerial,
Triangulation หรืออีกชื8อหนึ8งคือ Aero-Triangulation) โดยการประมวลผลภาพในลักษณะของโครงข่ายการถ่ายภาพนีV
จะเป็ นการวิเคราะห์หาค่าองค์ประกอบ ภาพถ่ายภายนอก (Exterior Orientation Parameter) ไปพร้อมกันทังV บล็อคของ
การถ่ายภาพ โดยแต่ละภาพถ่ายในบล็อคนันV จะมีส่วนซ้อนด้านหน้าและส่วนซ้อนด้านข้างเป็ นต้นเชื8อม และมีจุดผ่าน
และจุดโยงยืดท้าหน้ าที8เหมือนกาวที8หยอดไว้เป็ นจุด ๆ ซึ8งในบทนีVจะขอเรียกจุดเหล่านีVว่า จุดประสาน (Connection
Point) ดังรูปที8 9-;‡ ทีเ8 ชือ8 มโยงทุกภาพในบล็อคการบิน ถ่ายภาพให้มคี วามแข็งแรงและยึดติดกันเป็ นผืนเดียว ส่งผลให้
เมือ8 ดําเนินการคํานวณปรับแก้เพือ8 หาค่าองค์ประกอบภาพ ภายนอกสามารถทีจ8 ะดําเนินการไปพร้อมกันทุกภาพได้ ทังV นีV
เพราะค่าพิกดั ภาคพืนV ดินของจุดประสานเหล่านีVจะถูกคํานวณ ขึนV มาพร้อมกันด้วย ซึง8 นับเป็ นการเพิม8 จํานวนจุดควบคุม
ภาพถ่าย (Photo Control Points) ในบล็อกของภาพถ่ายของทุก ภาพไปโดยปริยาย และเนื8องจากกระบวนการคํานวณ
ปรับแก้โครงข่ายสามเหลีย8 มทางอากาศได้เพิม8 ค่าพิกดั ภาคพืนV ดินของจุต ประสานต่างๆ ขึนV มาใหม่เพิม8 เติมขึนV จากจุด
ควบคุมเดิมทีไ8 ด้รงั วัตจากภาคสนาม จึงนิยมเรียกกระบวนการนีVวา่ การขยายจุด ควบคุม (Photo Control Extension) ที8
นับได้วา่ เป็ นการเพิม8 จุดควบคุมภาพถ่ายได้อกี หนทางหนึ8ง ซึง8 เป็ นการลดปริมาณงาน รังวัดภาคสนามเป็ นจํานวนมาก
โดยเหตุนVี การคํานวนปรับแก้โครงข่ายสามเหลีย8 มทางอากาศจึงถือเป็ นกระบวนการหลักใน การคํานวณปรับแก้ของการ
สํารวจด้วยภาพถ่าย

กระบวนการค้านวณปรับแก้โครงข่ายสามเหลีย8 มทางอากาศ (ตูรปู ที8 9-;•) จึงประกอบไปด้วยการทํางานใน o


ส่วน หลัก คือ (;) การเล็งสกัดย้อนภาพถ่ายเดียวเพือ8 หาค่าองค์ประกอบภาพภายนอกในแต่ละภาพของบล็อค และ (o)
การเล็งสกัด ภาพถ่ายคู่เพื8อหาค่าพิกตั ภาคพืนV ดินของจุดประสานต่างๆ ซึง8 ต้องมีประกอบไปด้วย จุตควบคุมภาพถ่าย
และ จุตประสาน ภาพถ่าย โดยจุดควบคุมภาพถ่ายนีVควรเป็ นจุตโตๆบนภาพถ่ายทีม8 ลี กั ษณะเด่นชัด สามารถระบุชดั ทาง
ตําแหน่ งได้อย่างชัดเจน บนภาพและในสนามทีเ8 รียกว่า “well Identified Point” กล่าวคือ เมื8อลงไปรังวัดในภาคสนาม
จุดเหล่านีVควรจะต้องสามารถ ค้นหาได้งา่ ย และควรทีจ8 ะมีการกระจายตามตําแหน่งในรูปที8 9-;› และเนื8องจากจุดเหล่านีV
มีความเด่นชัดการรังวัดพิกดั ของจุด

4.4.3 การปรับแก:บล็อกการถ,ายภาพ ( Bundle block Adjustment )


จากที่กล+าวไว.ในบทที่ 1 ผลลัพธ]ที่ได.จากการประมวลในการสำรวจด.วยภาพประกอบด.วยงานหลักต+อไปนี้
(1) ค+าพิกัดฉาก 3 มิติของวัตถุใดๆ ( E , N , h )
(2) ภาพถ+ายตัดแก.ออร]โธ

(3) กลุ+มของจุดสามมิติ หรือ พอยต]คลาวด] (Point Cloud)


(4) แบบจำลองผิวดินและแบบจำลองระดับ
(5) แผนที่ลายเส.น
ผลลัพธ]ที่ได.เหล+านี้เกิดขึ้นภายหลังจากการประมวลภาพถ+ายที่มีการวางแผนการถ+ายภาพในลักษณะของโครงข+าย
สามเหลี่ยมการถ+ายภาพ (Photo Triangulation Network) โดยหากภาพถ+ายที่ว+านี้เป–นภาพถ+ายทางอากาศ ซึ่งอาจจะได.จาก
เครื่องบิน หรือ อากาศยานไร.คนขับ ก็จะเรียกว+า โครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศ (Aerial Triangulation) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ
(Aero- Triangulation) โดยการประมวลผลภาพในลักษณะของโครงข+ายการถ+ายภาพนี้จะเป–นการวิเคราะห]หาค+าองค]ประกอบ
ภาพถ+ายภายนอก (Exterior Orientation Parameter) ไปพร.อมกันทั้งบล็อกของการถ+ายภาพ โดยแต+ละภาพในบล็อคนั้นจะมี
ส+วนซ.อนด.านหน.าและส+วนซ.อนด.านข.างเป–นต.นเชื่อม และมีจุดผ+านและจุดโยงยึดทำหน.าที่เหมือนกาวที่หยอดไว.เป–นจุด ๆ ซึ่งใน
บทนี้จะขอเรียกจุดเหล+านี้ว+า จุดประสาน (Connection Point) ดังรูปที่ 4-15 ที่เชื่อมโยงทุกภาพในบล็อคการบินถ+ายภาพให.มี
ความแข็งแรงและยึดติดกันเป–นผืนเดียว ส+งผลให.เมื่อดำเนินการคํานวณปรับแก.เพื่อหาค+าองค]ประกอบภาพ ภายนอกสามารถที่
จะดำเนินการไปพร.อมกันทุกภาพได. ทั้งนี้เพราะค+าพิกัดภาคพื้นดินของจุดประสานเหล+านี้จะถูกคํานวณ ขึ้นมาพร.อมกันด.วย ซึ่ง
นับเป–นการเพิ่มจำนวนจุดควบคุมภาพถ+าย (Photo Control Points) ในบล็อกของภาพถ+ายของทุกภาพไปโดยปริยาย และ
เนื่องจากกระบวนการคํานวณปรับแก.โครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศได.เพิ่มค+าพิกัดภาคพื้นดินของจุดประสานต+างๆขึ้นมาใหม+
เพิ่มเติมขึ้นจากจุดควบคุมเดิมที่ได.รังวัดจากภาคสนาม จึงนิยมเรียกกระบวนการนี้ว+า การขยายจุดควบคุม (Photo Control
Extension) ที่นับได.ว+า เป–นการเพิ่มจุดควบคุมภาพถ+ายได.อีกหนทางหนึ่ง ซึ่งเป–นการลดปริมาณงานรังวัดภาคสนามเป–นจำนวน
มาก โดยเหตุนี้ การคํานวนปรับแก.โครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศจึงถือเป–นกระบวนการหลักในการคํานวณปรับแก.ของการ
สํารวจด.วยภาพถ+าย
กระบวนการคำนวณปรับแก.โครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศ (ดูรูปที่ 4-16) จึงประกอบไปด.วยการทำงานใน 2 ส+วน
หลัก คือ (1) การเล็งสกัดย.อนภาพถ+ายเดียวเพื่อหาค+าองค]ประกอบภาพภายนอกในแต+ละภาพของบล็อค และ (2) การเล็งสกัด
ภาพถ+ายคู+เพื่อหาค+าพิกัดภาคพื้นดินของจุดประสานต+างๆ ซึ่งต.องมีประกอบไปด.วย จุดควบคุมภาพถ+าย และ จุดประสาน
ภาพถ+าย โดยจุดควบคุมภาพถ+ายนี้ควรเป–นจุดโดๆบนภาพถ+ายที่มีลักษณะเด+นชัด สามารถระบุชัดทางตำแหน+งได.อย+างชัดเจน
บนภาพและในสนามที่เรียกว+า “well Identified Point” กล+าวคือ เมื่อลงไปรังวัดในภาคสนาม จุดเหล+านี้ควรจะต.องสามารถ
ค.นหาได.ง+ายและควรที่จะมีการกระจายตามตำแหน+งในรูปที่ 4-17 และเนื่องจากจุดเหล+านี้มีความเด+นชัดการรังวัดพิกัดของจุด
ควบคุมภาพถ+ายก็จะสามารถดำเนินการหมายได.อย+างแม+นยําตามไปด.วย นอกจากนี้ ต.องมีการวัดพิกัดภาพของจุดประสานต+าง
ๆ (จุดผ+านและจุดโยงยึด) เพื่อให.ได.ค+าพิกัดภาคพื้นดินอันจะช+วยเสริมในการคํานวณปรับแก.บล็อคถ+ายภาพ ทั้งนี้จุดประสานที่
เป–นจุดผ+านควรจะมีอย+างน.อย 6 จุดบริเวณส+วนซ.อนด.านหน.า และจุดประสานที่เป–นจุดโยงยึด ควรจะมีอย+างน.อย 2 จุด ทั้งนี้ใน

การนับจุดผ+านอาจจะนับรวมเอาจุดโยงยึดเข.าไว.ด.วย (Fiag , 1976) โดยเหตุนี้ จึงเรียกจุดควบคุมภาพทั้ง 2 ชนิดนี้ว+า จุด


ประสานภาพถ+าย
จุดประสานที่เป–นเสมือน “กาว” ที่ประสานภาพถ+ายในบล็อคการถ+ายภาพเข.าไว.ด.วยกัน

จุดประสานที่หมายเอาวัตถุเดียวกัน ซึงปรากฏบน
ส=วนซ>อนของภาพถ=ายต=าง ๆ

จุดควบคุมภาพภาคพื้นดิน
ภาพถ=ายใบแรกที่ประสานภาพอื
่นไว>

ซึ่งจุดเหล+านี้จะโยงยึดภาพในบล็อคเข.าไว.ด.วยกันที่นับเป–นการขยายจุดควบคุมภาพถ+ายอีกทางหนึ่ง

รูปที่ 4-15 บทบาทของจุดประสาน (จุดผ+าน/จุดโยงยึด) ในงานโครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศโดย(ก) จุด


ประสานจะทำหน.าที่เหมือนกาวที่ยึดติด (ข) ชุดภาพถ+ายที่ปรากฏจุดประสานต+างๆ เข.าไว.ด.วยกันและเมื่อ (ค) ผ+าน
กระบวนการคำนวณปรับแก.โครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศแล.วจุดประสานเหล+านี้จะมีค+าพิกัดภาคพื้นดิน ซึง่ หลังจากนี้จุด
ประสานจะทำตัวเป–นเสมือนจุดควบคุมได.อีก (ดัดแปลงจาก Linder ,2016)

รูปที่ 4-16 ความสัมพันธ]ระหว+างสมการสภาวะร+วมเส.น โครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศ การเล็งสกัดย.อนภาพถ+ายเดี่ยวและ


การเล็งสกัดภาพถ+ายคู+ รวมถึงผลลัพธ]ที่เกี่ยวข.องในแต+ละกระบวนการ

รูปที่ 4-17 ความสัมพันธ]ระหว+างจุดควบคุม จุดประสาน และส+วนซ.อน (ดัดแปลงจาก Linder ,2016)

4.4.3.1 จุดควบคุมภาพถ+าย
จุดควบคุมภาพถ+าย (Photo Control Point) จะต.องมีลักษณะที่เห็นเด+นชัดทั้งบนภาพถ+ายและในสนามภาคพื้นดิน
โดยจุดควบคุมภาพถ+ายนี้จะต.องมีการรังวัดค+าพิกัดภาคพื้นดินมีค+าพิกัดฉากสามมิติ ทั้งนี้ควรจะต.องมีการไปรังวัดในสนามด.วย

เครื่องมือและวิธีการที่ให.ความละเอียดถูกต.องสูงในระดับที่เหมาะสมและสามารถนํามาควบคุมงานโครงข+ายสามเหลี่ยมทาง
อากาศ และหากพิจารณาในมิติของการคํานวณปรับแก.โครงข+ายสามเหลี่ยมผ+านสมการสภาวะร+วมเส.นจะเห็นว+า ค+าพิกัดของ
จุดควบคุมภาคพื้นดินจะนําไปใช.เป–นค+าคงที่ในสมการ และมีค+าพิกัดบนภาพถ+ายเป–นค+าสังเกตที่รังวัดมาแล.วแปลงให.อยู+ในรูป
ของระบบพิกัดภาพถ+ายทางอากาศผ+านการแปลงตัวยสมการสมพรรศ (Affine Transformation) อันจะทำให.เกิดเป–นค+าพิกัด
ที่ น ำมาใช.ในกระบวนการปรับ แก. ทั้ งนี้ ค+าพิ กัดบนภาพของจุดควบคุมภาพถ+าย 1 จุด ประกอบไปด.วย (x,y) ซึ่งจะทำให.
สามารถสร.างสมการเพิ่มขึ้นได. 2 สมการเสมอ ดังสมการที่ 4-59 และ 4-60 โดยไม+ทำให.เกิดตัวไม+ทราบค+าเพิ่มขึ้น

โดยที่ (Xi ,Yi ) คือ ค+าพิกัดบนภาพถ+ายของจุดควบคุมภาพใดๆ ที่มีการรังวัดค+าพิกัดภาคพื้นดิน ซึ่งจุดควบคุมภาพถ+ายนี้


ต.องปรากฏบนภาพใดภาพหนึ่งในบล็อคของโครงข+ายการถ+ายภาพทางอากาศ และ Xg, Yg, Zg, เป–นค+าพิกัดภาคพื้นดินของจุด
ควบคุมภาพถ+ายที่มีการรังวัดภาคสนามมาด.วยเครื่องมือที่มีความละเอียดและความถูกต.องที่เพียงพอ ทั้งนี้กําหนดให.ค+าคงที่ p
คือดัชนีลำดับของภาพถ+ายอนึ่ง ในทางปฏิบัติ ถ.าหากว+าจุดควบคุมภาพหนึ่งๆ นั้น ปรากฏตั้งแต+ 2 ภาพขึ้นไปถือเป–นผลดี
ในทางวิศวกรรมทั้งนี้เพราะเป–นการลดต.นทุนในการทำงานภาคสนาม อีกทั้งยังทำให.สามารถวัดค+าพิกัดภาพถ+ายได.เพิ่มขึ้น ซึ่ง
จะช+วยเพิ่มสมการค+าสังเกตเพิ่มขึ้นอีกสองสมการต+อหนึ่งการวัดค+าพิกัดบนภาพถ+ายเพิ่มขึ้นหนึ่งภาพเสมอ และยิ่งมีการเพิ่ม
จำนวนสมการค+าสังเกตให.เพิ่มขึ้นมากเท+าใด ยิ่งมีผลดีต+อผลการคํานวณปรับแก.มีความละเอียดถูกต.องและน+าเชื่อถือมากขึ้นไป
ด.วย โดยจุดควบคุมที่มีการรังวัดค+าพิกัดฉากสามมิติในภาคพื้นดินมาครบนี้ จะเรียกว+า จุดควบคุมภาคพื้นดินแบบเต็ม (Full
Ground Control Point)
ในบางครั้งที่ อ าจจะมี ค+ าพิ กั ด เฉพาะในแนวดิ่ งเพื่ อ เสริม บางจุ ด ได. โดยจะเรีย กว+ า จุ ด ควบคุ ม ภาพถ+ ายชนิ ด ระดั บ
(Leveling Control Point) ซึ่งโดยทั่วไปจะใช.วิธีการรังวัดโดยการถ+ายค+าระดับ (Differential Leveling) ด.วยกล.องระดับ และ
การเลือกตำแหน+งของจุดควบคุมภาพถ+ายชนิดระดับนี้ควรจะเลือกจุดในภูมิประเทศที่มีลักษณะที่ราบเรียบ ทั้งนี้เพราะ (1) ง+าย
ต+อการปฏิบัติงานภาคสนาม และ (2) ในกรณีที่ผู.รังวัดทำการรังวัตพิกัดบนภาพแล.วเกิดคลาดเคลื่อนทางตำแหน+งไปบ.าง ก็จะ
ทำให.ผลของการคํานวณปรับแก.ไม+ได.รับผลกระทบมากนัก ที่เป–นดังนี้เพราะเป–นการรังวัดค+าพิ กัดทางดิ่งเพี ยงอย+างเดียว
อย+างไรก็ตามในป•จจุบันจุดควบคุมภาพถ+ายชนิตระดับ ได.รับความนิยมลดลงเนื่องจากการรังวัดค+าพิกัดในสนามด.วยการรังวัด
พิกัดด.วยระบบดาวเทียม GNSS สามารถที่จะรังวัดได.พร.อมกันทั้งสามแกนอีกทั้งยังมีความสะดวก รวดเร็ว และประหยัด
ค+าใช.จ+าย
4.4.3.2 จุดประสาน (Connection Point)
จุดประสานในที่นี้ประกอบด.วย (1) จุดผ+าน และ (2) จุดโยงยึด ซึ่งก็คือ จุดควบคุมภาพถ+ายขนิดหนึ่งที่สามารถชี้ชัด
ตำแหน+ งบนภาพถ+ าย แต+ ไม+ จำเป– น ต. อ งหาค+ าพิ กั ด หรือ ค. น หาในสนาม ทั้ งนี้ อ าจจะเป– น จุด แบบธรรมชาติ ห รือ เปW าแบบให.

สัญญาณที่สร.างขึ้นเองก็ได. โดยจุดประสานที่เป–นจุดผ+านจะต.องปรากฏในส+วนซ.อนด.านหน.าตามแนวบิน ขณะที่จุดประสานที่


เป–นจุดโยงยึดจะปรากฎอยู+ในส+วนซ.อนด.านข.างที่เกยกันระหว+างแนวบิน ประเด็นสำคัญคือ การรังวัดค+าพิกัดบนภาพของวัตถุ
หรือเปWาเพื่อจุดประสาน 1 จุด จะทำให.เกิดตัวแปรที่ไม+ทราบ ซึ่งเป–นพิกัดภาคพื้นดิน (Xt , Yt, Zt) เพิ่มขึ้น 3 ตัว โดยค+า พิกัดบน
ภาคพื้นดินของจุดประสานนั้นๆ จะสามารถพิจารณาออกมาได.ก็ต+อเมื่อจุดประสานนั้นๆ สามารถวัดค+าพิกัดบน ภาพถ+ายใต.
อย+างน.อย 2 ภาพ ซึ่งเป–นไปตามหลักของการเล็งสกัดภาพคู+ที่เมื่อรังวัดพิกัดภาพ 2 จุด ซึ่งหมายถึง การสร.างสมการ สังเกต
จำนวน 4 สมการดังสมการที่ 4.61 ถึง 4-64 ดังนี้
1. สมการค+าสังเกตสำหรับภาพแรกที่พิจารณา เป–นดังนี้

2. สมการค+าสังเกตของภาพคู+ซ.อนถัดไป เป–นดังนี้

เมื่อกำหนดให.
Xi+1 , Yi+1 คือค+าพิกัดภาพถ+ายของจุดที่ปรากฏบนภาพในลำดับถัดมา
Xt , Yt , Zt คือค+าพิกัดของจุดผ+านที่ให.เป–นตัวไม+ทราบค+าในระบบสมการเป–นตัวเดียวกับที่กำหนดในสมการ
ค+าสังเกต i คือดัชนีของจุดการรังวัดพิกัดภาพถ+ายแต+ละภาพ
p คือดัชนีลำดับของภาพถ+าย
โดยอาศัยสมการค+าสังเกตเหล+านีใ้ นการคำนวณปรับแก.บล็อคโครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศจะทำให.ค+าพิกัด
ภาคพื้นดินของจุดประสานนั้นๆจะถูกคำนวณออกมาเป–นผลลัพธ]ที่ได.จากการคำนวณปรับแก.เพื่อที่จะนำไปใช.งานต+อไป อนึ่ง
หากว+าพบจุดประสานหนึ่งๆปรากฏบนภาพถ+ายมากกว+า 2 ภาพ ผู.รังวัดจะต.องทำการวัดพิกัดบนภาพเพิ่มต+อไป และในการ
รังวัดพิกัดบนภาพเพิ่มขึ้นมา 1 จุดของจุดประสานที่กำลังพิจารณาอยู+นี้จะช+วยในการเพิ่มจำนวนสมการค+าสังเกตขึ้นอีก 2
สมการต+อการวัดพิกัดบนภาพใหม+ๆที่เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ภาพ โดยการวัดพิกัดภาพที่เพิ่มขึ้นเหล+านี้จะเพิ่มเฉพาะจำนวนสมการค+า
สังเกตแต+ไม+เพิ่มตัวแปรไม+ทราบค+า และยิ่งจำนวนสมการค+าสังเกตเพิ่มมากขึ้นเท+าใด สิ่งเพิ่มความละเอียดถูกต.องและความน+า
เชื่อในการคำนวณปรับแก.ขึ้นเท+านั้น
4.4.3.3 ตำแหน+งของจุดควบคุมและจุดประสานภาพถ+าย
ตำแหน+งของจุดควบคุมภาพถ+ายโดยส+วนใหญ+จะถูกออกแบบให.อยู+ตามขอบพื้นที่โดยรอบของบล็อคและบางส+วนใน
กลางบล็อค ขณะที่ตำแหน+งของจุดประสาน (จุดผ+าน/จุดโยงยึด) จะถูกออกแบบให.อยู+ในบริเวณส+วนซ.อนต+างๆ โดยสำหรับ

บล็อคแบบปกติที่มีส+วนซ.อนด.านหน.า 60% และส+วนซ.อนด.านข.าง 20% นั้น จุดผ+านจะต.องกําหนดให.มีอย+างน.อย 6 จุด


กระจายอยู+บนส+วนซ.อนด.านหน.าในแนวบินเดียวกันตังรูปที่ 4-18 ขณะที่จุดโยงยึดนั้นจะกำหนดให.มีอยู+ในทุกส+วนซ.อนด.านข.าง
โดยจุดผ+านและจุดโยงยึดนี้ Fiag (1976) ได.ระบุว+า สามารถใช.เป–นจุดเดียวกันได.

รูปที่ 4-18 โครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศที่เกิดเรขาคณิตของการเดินทางของลำแสง


(ดัดแปลงจาก Gomarasca,2009)

4.4.3.4 การกำหนดความละเอียดถูกต.องของจุดควบคุมภาคพื้นดิน
ในทางปฏิบัติการกำหนดความละเอียดถูกต.องของจุดควบคุมภาพพื้นดินที่นิยมใช.กัน พิจารณาจากสมการที่
4-65 ดังนี้
(4.65)
เมื่อ H แทนความสูงแนวบิน (เมตร) และ แทนความละเอียดถูกต.องของควบคุมทางดิ่ง

ตัวอย,างที่ 4-1 จงคำนวณหาความถูกต.องทางดิ่งในเชิงปฏิบัติ เมื่อบินถ+ายภาพมาตราส+วน 1:15,000 ด.วยกล.องที่มีความยาว


โฟกัส 153 มม. ที่ความสูงแนวบินเฉลี่ย 2300 เมตร เหนือพื้นดิน
จาก
นั่นคือ =0.345 เมตร
ดังนั้น ที่ระดับความสูงแนวบินเฉลี่ย 2,300 เมตร เหนือระดับพื้นดิน ค+าความถูกต.องทางดิ่งในเชิงปฏิบัติเป–น 0.345 เมตร
4.4.3.5 ตัวอย+างการวิเคราะห]โครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศด.วยโปรแกรม efoto

โปรแกรม efoto เป–นโปรแกรมฟรีแวร]ที่พัฒนาขึ้นเพื่อส+งเสริมการเรียนรู.ในการสำรวจด.วยภาพถ+าย ซึ่งออกแบบมา


เพื่อให.เกิดความรู.ความเข.าใจในกระบวนการต+าง ๆ ที่เกี่ยวข.องกับการประมวลผลภาพถ+าย ซึ่งแบ+งการทำงานออกเป–นโมดูล
สำคัญ 3 โมดูลหลักที่เกี่ยวข.องกับการวิเคราะห]โครงข+ายสามเหลี่ยมทางทางอากาศ ดังนี้
(1) โมดูล Interior Orientation สำหรับใช.คํานวณปรับแก.เพื่อวิเคราะห]หาพารามิเตอร]การแปลงค+าพิกัดโดยใช.อิงอยู+กับ
การแปลงค+าพิกัดด.วยวิธีสมพรรค (Affine Transformation) มีตัวอย+างการทำงานดังนี้
1.1 การวัดพิกดั ภาพของจุดดัชนี (รูปที่ 4-19) ทั้ง 4 จุดเพื่อใช.หาค+าสัมประสิทธ]การแปลงภาพค+าพิกัดบน
ภาพถ+ายด.วยวิธีสมพรรค ดังรูปที่ 4-20 โดยจะเป–นการแปลงระหว+างระบบพิกัดเครื่องมือเป–นระบบพิกัด ภาพถ+ายที่มีศูนย]
กำเนิด ณ จุดศูนย]กลางดัชนีตามลักษณะทางเรขาคณิตของภาพถ+ายทางอากาศ

รูปที่ 4-19 การใช.โปรแกรม efoto ในการวัดพิกัดภาพ ณ จุดดัชนีเพื่อหาค+าสัมประสิทธ]การแปลงภาพถ+ายด.วยวิธีสมพรรค


(Affine Transformation Parameters)

1.2 การคำนวณปรับแก.เพื่อหาค+าสัมประสิทธ]การแปลงค+าพิกัดด.วยวิธสี มพรรคอันประกอบด.วย A0 ,A1, A2 ,B0, B1


และ B2 ดังรูปที่ 4-20

รูปที่ 4-20 (ก) ผลลัพธ]ในการคำนวณปรับแก.เพื่อหาค+าสัมประสิทธ]การแปลงค+าพิกัดด.วยยวิธีสมพรรค และ (ข) ค+าเศษเหลือที่


แสดงถึงคุณภาพของค+าสังเกตและ แสดงถึงคุณภาพของการรังวัดพิกัดบนภาพถ+าย

(2) โมดูล Space Resection สำหรับใช.วัดพิ กัดจุดควบคุมภาพถ+าย ดังรูปที่ 4-21 เพื่ อใช.ในการคำนวณปรับแก.ด.วยวิธี
Single Photo Resection เพื่อหาองค]ประกอบภาพภายนอกของภาพดังรูปที่ 4-22 ที่แสดงผลลัพธ]ที่ได.จากคำนวณพร.อมทั้ง
คุณภาพของข.อมูลที่ได.จากการรังวัดบนภาพถ+าย

รูปที่ 4-21 การใช.โปรแกรม efoto สำหรับใช.วัดพิกัดจุดควบคุมภาพถ+ายเพื่อปรับแก.ด.วยวิธี Single Photo Resection

รูปที่ 4-22 (ก) ผลลัพธ]ในการคำนวณปรับแก.เพื่อหาค+าองค]ประกอบภาพถ+ายภายนอก และ (ข) ค+าเศษเหลือที่แสดงถึงคุณภาพ


ของค+าสังเกตและ แสดงถึงคุณภาพของการรังวัดพิกัดบนภาพถ+าย

(3) โมดูล Photo Triangulation ดังรูปที่ 4-23 สำหรับใช.คำนวณปรับแก.บล็อคโครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศเพื่อ


องค]ประกอบภาพถ+ายภายนอกของภาพแต+ละใบพร.อม ๆ กับค+าพิกัดของจุดที่ต.องการทราบค+า ดังรูปที่ 4-24 โดยโมดูลนี้ได.
แสดงให.เห็นถึงจุดเด+นของโครงข+ายสามเหลีย่ มภาพถ+ายในการขยายขีดความสามารถของจุดควบคุมในการคำนวณปรับแก.
บล็อคลำแสงการถ+ายภาพเพื่อพิจารณาหาค+าองค]ประกอบภาพถ+ายภายนอกของภาพทุกใบในบล็อคการถ+ายภาพในคราว
เดียวกัน

รูปที่ 4-23 การใช.โปรแกรม efoto สำหรับการคำนวณปรับแก.บล็อกโครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศ


เพือ่ หาองค]ประกอบภาพถ+ายภายนอกของภาพถ+ายแต+ละใบ

รูปที่ 4-24 ผลลัพธ]ในการคำนวณปรับแก.บล็อกโครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศ


เพื่อหาค+าองค]ประกอบภาพถ+ายภายนอกของภาพถ+ายแต+ละใบ

บทที่ 5

การมองภาพสามมิติ ระยะเหลือ่ ม และการวัดความสูง


Stereoscopic Viewing and Stereoscopic Parallax
and Height Measurement
5.1 การมองภาพสามมิติ (Stereoscopic Viewing)
ความสามารถในการมองเห็นภาพสามมิติของมนุษย] หรือ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว+า Stereopsis นั้นเป–นคำที่เกิดจาก
การสนธิคำในภาษากรีกโบราณ 2 คำคือ คำว+า Stereo ที่หมายถึง สามมิติ และคำว+า Opsis ที่หมายถึง การปรากฏหรือการ
มองเห็น โดยการมองเห็นภาพสามมิตินี้ช+วยให.มนุษย]สามารถรับรู.ความใกล.และไกลของสิ่งต+าง ๆ ผ+านการส+งข.อมูลภาพจาก
ดวงตาทั้งสองข.างซึ่งมองไปยังวัตถุชิ้นเดียวกันด.วยมุมมองที่ต+างกันเล็กน.อย แล.วข.อมูลจากดวงตาทั้งสองจะถูกฉายไปยังจอ
ประสาทตาทั้งสองข.าง ทั้งนี้โดยปกติทั่วไปนั้นดวงตาของมนุษย]มีตำแหน+งการเรียงอยู+ในแนวนอนจึงส+งผลให.ภาพที่จอประสาท
ตาแต+ละข.างรับรู.นั้นจะแตกต+างกันตามแนวนอน และความแตกต+างเช+นนี้เราจะเรียกว+า ความต+างตามแนวนอน (Horizontal
Disparities) หรืออาจเรียกว+า ความต+างที่สองตา (Binocular Disparities) ซึ่งจะทำการแปลความโดยเปลือกสมองส+วนการ
มองเห็ น (Visual Cortex) เกิ ด เป– น การรั บ รู. ค วามลึ ก (Depth Perception) กล+ า วคื อ ความต+ า งที่ ส องตามองเห็ น ด. ว ยมุ ม
ทัศนียภาพที่มีความแตกต+างกันเล็กน.อยตามธรรมชาตินี้ได.แสดงให.ถึงความสำคัญของภาพสองมิติที่ฉายผ+านจอประสาทตาแต+
ละข.างแล.วก+อให.เกิดการผสานรวมกันที่สมองเกิดเป–นภาพสามมิติ (Stereoscopy) ทำให.มนุษย]สามารถรับรู.ความลึกที่ช+วยใน
การจําแนกความใกล.ใกลของสิ่งต+าง ๆ ได. โดยปกติแล.วกิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย]ล.วนที่เกี่ยวข.องกับการมองเห็นจะ
ทำงานสัมพันธ]กันกับการรับรู.ความลึกที่แสดงถึงระยะใกล.-ไกลของวัตถุต+าง ๆ รอบตัว โดยการรับรู.ความลึกนี้สามารถทำได.
ผ+านการมองเห็ น ใน 2 ลักษณะด.วยกัน คือ (1) การมองแบบภาพคู+ช.อน (Stereoscopic) และ (2) การมองแบบภาพเดี่ยว
(Monoscopic)
โดยปกติแล.ว มนุษย]มองเห็นสามมิติผ+านความสามารถในการมองเห็นด.วยตาทั้งสองข.างพร.อมกันซึ่งในที่นี้จะเรียกว+า
การมองเห็นแบบมองสองตา (Binocular Vision) ที่ช+วยให.มนุษย]มีขีดความสามารถในการมองของดวงตาที่ช+วยกะประมาณ
ความลึกได.ที่เรียกว+า การมองเห็นแบบสามมิติ (Stereoscopic Viewing) ขณะที่การใช.ดวงตาเพียงข.างเดียวในการมองเห็นนั้น
จะเรียกว+า การมองเห็นแบบตาเดียว (Monocular Vision) ซึ่งจะแตกต+างจากการมองภาพสามมิติแบบปกติ กล+าวคือ คนทั่วไป
ที่มองเห็นแบบสองตาก็จะมีความสามารถในการมองตาเดียวได. โดยทำการป¨ดตาข.างหนึ่งและการมองเห็นตาเดียวนี้จะส+งผลให.
การรับรู.ความลึกของสมองต.องกระทำผ+านการพิจารณาบริบทแวดล.อมต+าง ๆ เช+น (1) ขนาดของวัตถุใกล.ในบริเวณใกล.เคียงมา
ช+วยให.มีการกะประมาณขนาดสัมพัทธ]ของวัตถุ (2) การบดบังกันของวัตถุที่อยู+ใกล.เคียงกัน (3) เงาที่เกิดจากวัตถุต+าง ๆ และ
(4) การโฟกัสของสายตาเมื่อมองวัตถุที่ระยะทางแตกต+างกัน อย+างไรก็ตาม ผลลัพธ]ในการมองแบบตาเดียวนี้จะได.เพียงการกะ
ประมาณความลึกอย+างหยาบเท+านั้น ในขณะที่การมองแบบสองตาจะทำให.เกิดการมองเห็นภาพสามมิติที่มีการรับรู.ความลึกที่

ให.ความละเอียดถูกต.องสูงกว+ามาก และในการสํารวจด.วยภาพถ+ายนั้น การรับรู.ความลึกผ+านการมองแบบสองตาหรือตาเดียวก็


แล.วแต+ ต+างถูกนำมาใช.ในการปฏิบัติงานทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย+างยิ่งการมองแบบสองตาที่ช+วยให.เกิดการมองสามมิติถือเป–นอีก
หนึ่งกรรมวิธีที่สำคัญที่ช+วยในกระบวนการผลิตแผนที่

5.1.1 ตวงตามนุษยw (The Human Eye)


ความเข.าใจที่เกี่ยวข.องกับรายละเอียดทางกายภาพและทางสรีระวิทยาของดวงตามนุษย]มีส+วนสำคัญอย+างยิ่งต+อความ
เข.าใจในปรากฏการณ]การรับรู.ความลึกจากการมองเห็นสามมิติของมนุษย]ได.อย+างถ+องแท.ขึ้น สิ่งแรกที่ต.องทราบคือ ดวงตาของ
มนุษย]มีหลักในการทำงานเช+นเดียวกับกล.องถ+ายภาพ โดยอาศัยการพิจารณารูปตัดขวางของดวงตามนุษย]ตั้งแสดง ในรูปที่ 5-1
ก จะเห็นว+า ดวงตามีรูปร+างเป–นทรงกลมประกอบด.วยรูเป¨ดรูปร+างกลมที่เรียกว+า รูม+านตา (Pupil) จะหดหรือขยายตัวได.โดย
อัตโนมัติเพื่อกำหนดปริมาณแสงที่จะเข.าสู+ดวงตา รูม+านตาอยู+ติดกับกระจกตา (Cornea) ที่มีลักษณะเป–นสารโปร+งแสงฉาบเพื่อ
ปกปWองรูม+านตา เมื่อแสงเดินทางมาตกกระทบดวงตา แสงก็จะผ+านทะลุไปยังกระจกตาเข.าสู+นัยน]ตาทางม+าน ตา (Iris) แล.วเดิน
ทางผ+านเลนส]ตา (Lens) ที่อยู+ด.านหลังรูม+านตา โดยแสงเมื่อเดินทางผ+านกระจกตาและเลนส]ตาก็เกิดการหักเหตามกฎของส
เนลส] (Snell's Law) และการหักเหนี้จะช+วยให.แสงไปโฟกัสที่จอรับภาพ (Retina) ทำให.เกิดภาพของวัตถุที่ตามองอยู+ทั้งนี้
จอรับภาพประกอบด.วยเนื้อเยื่อที่ละเอียดอ+อน และส+วนสำคัญที่สุดของจอรับภาพคือ เซ็นทรัลโฟเวีย (Central Fovea) ซึ่งมี
ลักษณะเป–นหลุมเล็ก ๆ อยู+ใกล.จุดตัดของแกนทัศน]ของตากับจอรับภาพ เซ็นทรัลโฟเวีย คือบริเวณที่การมองเห็นเด+นชัดที่สุด
จอรับภาพทำหน.าที่เช+นเดียวกับสารเคลือบไวแสงของฟ¨ล]มถ+ายภาพหรือเซนเซอร]รับภาพในกล.องดิจิทัล เมื่อจอรับภาพได.รับ
แสงจะเกิดความรู.สึกมองเห็นแล.วส+งความรู.สึกนี้ผ+านประสาทตา (Optic Nerve) ไปยังเปลือกสมองส+วนการมองเห็น (Visual
Cortex) ที่ตั้งอยู+ในสมองกลีบท.ายทอยด.านหลังของสมองดังแสดงในรูปที่ 5-1ข เพื่อประมวลข.อมูลภาพที่ได.รับเกิดเป–นการ
มองเห็นภาพสามมิติ

รูปที่ 5-1 (ก) ภาพตัดขวางดวงตา (ดัดแปลงจาก Sequeira,2015) และ


(ข) ระบบประสาทตาและเปลือกสมองส+วนการเห็น (ดัดแปลงจาก Larsson ,2015)

โดยทั่วไปแล.วเลนส]ตาของมนุษย]จะมีลักษณะนูนสองด.านและประกอบด.วยตัวกลางหักเหชนิดโปร+งแสง เลนส]ตา
สามารถทรงตัวได.ต.องอาศัยกล.ามเนื้อหลายมัดที่ช+วยในการเคลื่อนไหวและมีแกนทัศน]ของตา (Optical Axis) ที่เปรียบเสมือน
เวกเตอร]เส.นตรงที่ชี้ไปยังวัตถุที่กําลังจ.องมองเช+นเดียวกับกล.องถ+ายภาพที่เมื่อจะถ+ายภาพจะต.องมีการเล็งไปยังวัตถุที่ต.อง
ถ+ายภาพนั้น และดวงตาของมนุษย]มีการปรับโฟกัสเมื่อมองวัตถุระยะที่ต+าง ๆ กัน กล+าวคือ เมื่อดวงตาเพ+งมองไปยังวัตถุที่อยู+
ไกล กล.ามเนื้อที่ยึดเลนส]ตาจะเกร็งตัวส+งผลทำให.ผิวความโค.งของเลนส]ตาแบนลงเพื่อเพิ่มความยาวโฟกัสสามารถมองเห็นวัตถุ
ที่อยู+ใกลได.อย+างชัดเจน ในทางตรงข.ามเมื่อวัตถุอยู+ใกล.ดวงตาก็จะเกิดพฤติกรรมในทางตรงข.ามกับนัยข.างต.นที่ได.กล+าวไว. ทั้งนี้
ความสามารถในการปรั บ โฟกั ส ของดวงตาเพื่ อ ดู ใ กล. ไ กลที่ ร ะยะต+ า ง ๆ กั น นั้ น เรี ย กว+ า สมรรถภาพการปรั บ ชั ด
(Accommodation)
5.1.2 การรับรู:ความลึกด:วยการมองสามมิติ (Stereoscopic Depth Perception)
การโฟกัสของดวงตาเพื่อมองไปยังจุด ๆ หนึ่งทำให.แกนทัศน]ของดวงตาทั้งสองข.างเบนเข.าหากันแล.วตัดกันที่จุด ๆ
หนึ่งเกิดเป–นมุมเหลื่อม (Parallactic Angle) ซึ่งเมื่อวัตถุตั้งอยู+ใกล.จะมีมุมเหลื่อมที่ใหญ+กว+าวัตถุที่อยู+ไกลออกไป จากรูปที่ 5-2
จะเห็นว+าแกนทัศน]ของดวงตาข.างซ.าย (L) และดวงตาด.านขวา (R) ซึ่งอยู+ห+างจากกันเป–นระยะฐานตา (Eye Base: b) ซึ่งก็คือ
ระยะห+างระหว+างรูม+านตา (Interpupillary Distance) ในที่นี้ให.เป–นระยะ b โดยขณะที่ดวงตาของเพ+งมองเพื่อโฟกัสสายตาไป
ยังจุด A แกนทัศน]ของดวงตาก็จะเบนเข.าหากันเกิดมุมเหลื่อม ในทํานองเดียวกัน เมื่อดวงตาเพ+งมองที่จุด B แกนทัศน]ก็
เบนเข.าหากันเกิดเป–นมุมเหลื่อม และการแปรเปลี่ยนขนาดของมุมเหลื่อมนี้ช+วยให.สมองรับรู.ได.ทันทีโดยอัตโนมัติถึงความ
ไกลใกล.ที่ สัมพั น ธ]กับ ระยะ และ ตามลำดับ และในขณะเดียวกัน ก็ช+วยให. สมองสามารถที่ จะพิ จารณาความลึก
ระหว+างจุด A และจุด B ( ) ผ+านการรับรู.ความแตกต+างทางขนาดของมุมเหลื่อมทั้งสองที่สมองของมนุษย]
เนื่องจากระยะใกล.สุดที่มนุษย]ซึ่งมาสายตาปกติสามารถรับรู.ความลึกจากการมองสามมิติคือระยะประมาณ 25 ซม. ซึ่ง
เป–นระยะที่สามารถมองเห็นได.อย+างชัดเจนและสบายตา กล+าวคือ หากดวงตาของมนุษย]สามารถเพ+งมองวัตถุที่อยู+ใกล.กว+า 25
ซม. ถึงแม.เป–นสิ่งที่กระทำได.แต+จะส+งผลให.กล.ามเนื้อดวงตาทำงานหนัก ส+งผลให.เมื่อยตาและในบางครั้งอาจจะเกิดอาการปวด
หัวได. อนึ่งระยะฐานตา (Eye Base) ของมนุษย]โดยทั่วไป (b) โดยเฉลี่ยอยู+ที่ประมาณ 6.3 ถึง 6.9 ซม. โดยอาศัยหลักการนี้เมื่อ
วิเคราะห]รูปที่ 5-2 อย+างละเอียดจะพบว+า ขนาดมุมเหลื่อมที่ใหญ+ที่สดุ ที่อาจจะเป–นไปได.สำหรับมนุษย]ที่มีสายตาปกติ โดย

กำหนดระยะโฟกัสที่ 25 ชม. จะมีค+ามุมเหลื่อมเกิดประมาณเท+ากับ และมุม


เหลื่อมนี้จะมีการ เปลี่ยนแปลงขนาดโดยจะมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ไปตามระยะที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ขีดความสามารถของมนุษย]ในรับรู.เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงมุมเหลื่อมในการประเมินความต+างของความลึกนี้
ถือเป–นสิ่งทีน่ +าฟ•งอย+างมาก ทั้งนี้โดยปกติของมนุษย]จะมีค+าเฉลี่ยอยู+ที่ประมาณ 3 ฟ¨ลิปดา (second of arc) และสำหรับบางคน
อาจจะมีความสามารถที่สูงถึง 1 ฟ¨ลิปดา ซึ่งแสดงให.เห็นว+ากระบวนการสํารวจด.วยภาพถ+ายนั้นสามารถที่จะนํามาวิเคราะห]
ความสูงของวัตถุและการแปรเปลี่ยนลักษณะความสูงต่ำของภูมิประเทศผ+านการรับรู.ความลึกโดยอาศัยการเปรียบเทียบความ
แตกต+างของมุมเหลื่อมได.เป–นอย+างดี

รูปที่ 5-2 การรับรู.ความลึกด.วยการมองสามมิติเป–นฟ•งก]ชันของมุมเหลื่อม (ดัดแปลงจาก Jensen,2007)

5.1.3 หลักการของการมองภาพสามมิติ (Stereoscopy)


เมื่อนำหลักการของมุมเหลื่อมที่ได.กล+าวถึงส+วนก+อนหน.ามาพิจารณารูปที่ 5-3 โดยกําหนดให.มีจุดภาพ และ


อยู+บนแผ+นใสซึ่งมีรูปร+างเหมือนกับวัตถุ ทุกประการ และเมื่อมองวัตถุ ผ+านแผ+นโปร+งแสง ณ โดยที่ตาซ.ายและตาขวามอง
ผ+านจุดภาพ และ ตามลำดับ จะเห็นว+า แกนทัศน]ของตาทั้งสองข.างจะตัดกัน ณ ตำแหน+ง ซึ่งเป–นตำแหน+งเดียวกัน
กับที่วัตถุ ตั้งอยู+ ดังนั้น หากมีการขยับดึงเอาวัตถุ ออกไป สมองก็จะไม+รู.สึกถึงการเปลี่ยนแปลง หากแต+ว+าสมองจะยังคง
เห็นวัตถุ อยู+ในตำแหน+งเดิมผ+านการมองจุดภาพ และ แต+ถ.าหากว+า มีการเลื่อนจุดภาพมาไว.ที่ตําแหน+ง และ
ให.ออกห+างกันจะส+งผลมุมเหลื่อมเล็กลงไปพร.อม ๆ กับการที่สมองรู.สึกว+า วัตถุ นั้นอยู+ไกลออกไปโดยไปอยู+ที่ตำแหน+ง
แต+ถ.าหากมีการขยับให.จุดภาพเข.าใกล.กันที่ตำแหน+ง และ มุมเหลื่อมก็จะโตขึ้นและสมองก็จะเห็นวัตถุ เข.ามา
ใกล.ขึ้นที่ตำแหน+ง

รูปที่ 5-3 ความลึกปรากฏของวัตถุ ที่เปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนความห+างของจุดภาพ


(ดัดแปลงจาก Wolf et al,2014)

จากหลักการข.างต.นได.แสดงให.เห็นว+า การมองเห็นทรวดทรงสามมิติของวัตถุใด ๆ นั้นสามารถที่กระทำได.โดยการใช.


จุดภาพของวัตถุนั้น ๆ ผ+านวิธีการของภาพถ+ายดังแสดงในรูปที่ 5-4ก ที่สมมติให.มีการบินถ+ายภาพถ+ายทางอากาศคู+หนึ่งซึ่งมี
ตำแหน+งจุดเป¨ดถ+ายภาพเป–น L1 และ L2 พร.อมทั้งกําหนดให.จุดเป¨ดถ+ายทั้งสองนี้ห+างกันเป–นระยะ B ซึ่งในการสํารวจด.วย
ภาพถ+ายจะเรียกว+า ระยะฐานถ+ายภาพในอากาศ (Air Base: B) และบินถ+ายภาพที่ระดับสูงแนวบินเดียวกัน H เมตรเหนือระดับ
ภูมิประเทศ ทั้งนี้บนภาพถ+ายทางอากาศคู+นี้จะปรากฏมีภาพของอาคารบนภาพถ+าย โดยที่ตำแหน+งยอดและฐานของอาคารซึ่ง
เป–นตำแหน+ง ณ จุด M และ N ตามลำดับจะปรากฏเป–นจุด m1 และ n1 ในภาพข.าย และ m2 และ n2 ในภาพขวาตามลำดับ
และหากนําภาพทั้งสองมาวางบนโต«ะแล.วสามารถบังคับให.ตาซ.ายมองเห็นเฉพาะภาพซ.าย และบังคับให.ตาขวาเห็นมองเฉพาะ
ภาพขวาได. อาคารนี้จะปรากฏต+อการรับรู.ของผู.มองในลักษณะภาพสามมิติผ+านการมองภาพถ+ายได. และยิ่งไปกว+านั้น สมอง
ของผู.มองก็สามารถที่จะรับรู.ได.ถึงความสูงของอาคารตามค+ามุมเหลื่อมที่แปรเปลี่ยนไป กล+าวคือ เมื่อตามองผ+านบริเวณพื้นที่
ส+วนซ.อน (Overlap Area) ดังรูปที่ 5-4ข สมองจะเกิดการรับรู.สภาพสามมิติอย+างต+อเนื่องไปทั่วทั้งบริเวณ ความรู.สึกนี้เกิดจาก
การเปลี่ยนของมุมเหลื่อมเมื่อมองไปยังจุดจำนวนอนันต]ที่ประกอบกันขึ้นเป–นพื้นที่นั้น รูปจําลองที่มองเห็นนี้เรียกว+า รูปจําลอง
สามมิติ (Stereoscopic Model หรือ Stereo Model) และภาพถ+ายคู+นี้เรียกว+า ภาพคู+ซ.อนหรือคู+ภาพสามมิติ (Stereo Pair)

รูปที่ 5-4 (ก) ภาพคู+ซ.อนสามมิติที่ถ+าย ณ จุดเป¨ดภาพถ+าย L1 และ L2 โดยมีอาคารปรากฎในบริเวณส+วนซ.อนของภาพถ+าย


(ดัดแปลงจาก วิชา จิวาลัย และปรีชา วงศ]วิทวัส,2531) และ (ข) การมองเห็นรูปจำลองของอาคารสามมิติบนภาพคู+ซ.อน
(Stereoscopic Model) บนภาพคู+ซ.อน (ดัดแปลงจาก Jensen,2007)

5.1.4 กล:องมองภาพสามมิติ (Stereoscopes)


กล.องมองภาพสามมิตินั้นมีส+วนช+วยอย+างมากในการมองภาพให.เกิดเป–นภาพสามมิติ ทั้งนี้เนื่องจากโดยปกติแล.ว
การที่มนุษย]จะสามารถมองภาพถ+ายคู+ซ.อนซึ่งมีลักษณะทางกายภาพเป–นแผ+นแบน ๆ สองมิติ ให.เกิดการรับรู.เป–นภาพสามมิติได.
นั้นเป–นเรื่องที่ทำได.ยาก โดยเหตุนี้ จึงเป–นอย+างยิ่งที่จะต.องมีเครื่องมือทัศนูปกรณ]ช+วยการปรับโฟกัสการมองภาพของดวงตาไป
ยังภาพถ+ายแต+ละใบควบคู+ไปพร.อม ๆ กับการช+วยให.สมองรับรู.ถึงมุมเหลื่อม ณ จุด ๆ ใดที่กําลังพิจารณาบนภาพถ+ายคู+ซ.อน
แล.วเกิดการสร.างเป–นรูปจําลองสามมิติผ+านการรับรู.ของสมอง ที่เสมือนหนึ่งว+า เรามองทะลุลงไปใต.โต«ะดังรูปที่ 5-5ก ผ+านการ
ใช.เครื่องมือที่เรียกว+า กล.องมองภาพสามมิติ ซึ่งเป–นกล.องที่ได.ออกแบบมาเฉพาะสำหรับช+วยในการมองภาพสามมิติ โดยที่ผ+าน
นั้นได.มีการพัฒนากันอย+างต+อเนื่องในหลายลักษณะตั้งแต+แบบอนาล็อค (Analog Type) ไปจนถึงแบบดิจิทัล (Digital Type)
ดังนี้
5.1.4.1 กล.องมองภาพสามมิติแบบกระเป¬า (Pocket Stereoscope)
กล.องมองภาพสามมิติแบบกระเป¬าเป–นกล.องพื้นฐานแบบอนาล็อคที่มีหลักการทำงานหมือนกันกับกล.องมองภาพ
สามมิติชนิดอื่น ๆ คือ การเป–นเครื่องมือที่ช+วยในการบังคับให.ภาพข.าย (a1) ปรากฏเฉพาะตาช.าย และภาพขวา (a2) ปรากฏ
เฉพาะตาขวา แล.วเกิดเป–นการรับรู.ภาพสามมิติของวัตถุ A ดังภาพสรุปหลักการที่ได.แสดงไว.ในรูปที่ 5-5ก กล.องมองภาพสาม
มิติแบบกระเป¬าดังรูปที่ 5.5ข ประกอบด.วยเลนส]นูนธรรมดาสองอันติดอยู+บนกรอบทีส่ ามารถปรับระยะระหว+างเลนส]ปรับให.
พอดีกับระยะฐานตา (De) ของผู.ใช.ได. ขาของกล.องมองภาพสามมิติแบบกระเป¬าจะสั้นกว+าความยาวโฟกัส (he) ของเลนส]ที่ใช.
เล็กน.อยดังแสดงในรูปที่ 5-5ก ทั้งนี้เพื่อให.แน+ใจว+าเมื่อวางกล.องดังกล+าวเหนือภาพแล.วรังสีแสงจากจุดภาพจะได.เบนเข.าหากัน
เล็กน.อยเมื่อแสงผ+านเลนส] เกิดเป–นภาพสามมิติที่สมองรับรู.ด.วยการอาศัยลำแสงตีบเข.าเล็กน.อยจะเหมือนกับมองวัตถุที่
ระยะไกลออกไป นอกจากนีเ้ ลนส]ยังทำหน.าที่ขยายขนาดภาพด.วยจึงทำให.เห็นรายละเอียดชัดขึ้น กล.องมองภาพสามมิติแบบ
กระเป¬านี้มีจดุ เด+นในมิติของการใช.งานเนื่องจากความซับซ.อนในการใช.งานน.อยมาก อีกทั้งสามารถพับเก็บได.จึงค+อนข.างสะดวก
ต+อการนําไปใช.งานในภาคสนามได.

.
รูปที่ 5-5 (ก)หลักการทำงาน และ (ข)ตัวอย+างกล.องมองภาพสามมิติแบบกระเป¬า

(ดัดแปลงจาก Lillesand et al,2008)


5.1.4.2 กล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงา (Mirror Stereoscope)
กล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงาเป–นกล.องแบบอนาล็อคดังแสดงในรูปที่ 5-6 ค+อนข.างสะดวกต+อการใช.งาน
โดยจะช+วยในการแยกภาพถ+ายออกจากกัน ณ เวลามองสามมิติที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับกล.องมองภาพสามมิติแบบกระเป¬า มี
ส+วนสำคัญอย+างมากในการช+วยแก.ป•ญหาภาพถ+ายบดบังกันในบริเวณส+วนซ.อน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นทั้งรูปจำลองสามมิติ
พร.อมกันได.โดยอาศัยการจัตภาพให.เกิดเป–นภาพสามมิติในครั้งเดียว โดยหลักการทำงานของกล.องมองภาพสามมิติแบบกระจก
เงา (ดูรูปที่ 5-7) จะอาศัยกระจกเงาด.านข.าง (Wing Mirror) อันใหญ+จำนวนสองอัน พร.อมด.วยกระจกเงาของมอง (Eyepiece
Mirror) เล็กๆ อีกจำนวนสองอัน ทั้งนี้กระจกทุกตัวติดทำมุม 45 องศากับแนวราบ จากรูปที่ 5-7 จะเห็นว+า แสดงจากจุดภาพ
a1 และ a2 สะท.อนผ+านกระจกเงาด.านข.างเข.าสู+กระจกเงาช+องมองแล.วเข.าสู+ดวงตา ซึ่งทำให.เกิดเป–นมุมเหลื่อม และด.วยมุม
เหลื่อมนี้เอง สมองของมนุษย]จะรับรู.ความลึกของจุด A บนภูมิประเทศ และอาศัยหลักการในทํานองเดียวกันด.วยมุมเหลื่อมที่
แตกต+างกันระหว+าง และ จะช+วยให.เห็นความสูงต+างของภูมิประเทศ ณ จุด A และจุด B ได.ดังแสดงในรูปที่ 5-7

รูปที่ 5-6 กล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงา (ดัดแปลงจาก Japan Association of Remote Sensing [JARS],1999)

ปกติกล.องสามมิติแบบกระจกเงาจะติดเลนส]เหนือกระจกเงาช+องมองเหมือนในรูปที่ 5-6 และเลนส]ชุดนี้สามารถที่จะ


ปรับเปลี่ยนระยะห+างให.เหมาะสมกับระยะฐานตาของแต+ละบุคคล นอกจากนี้ ความยาวโฟกัสของเลนส]ยังสามารถปรับให.โฟกัส
ให.เหมาะกับสายตาของผู.ใช.งานได.อีกด.วย ยิ่งไปกว+านั้น เลนส]ยังสามารถปรับเพิ่มกําลังขยายได.อีกด.วยซึ่งถือเป–นส+วนสำคัญ
อย+างมากต+องานแปลภาพถ+าย อย+างไรก็ตาม หากเลนส]มีกำลังขยายสูงก็จะทำให.มุมทัศนียภาพ (Field of View) แคบลง ซึ่งส+ง
โดยตรงต+อความสามารถมองเห็นรูปจำลองสามมิติในประเด็นของความครอบคลุมพื้นที่ของการมองเห็น ณ ขณะหนึ่ง ๆ โดยจะ
ไม+สามารถมองเห็นภาพสามมิติได.อย+างทั่วทั้งหมดในคราวเดียว และหากต.องการที่จะดูข.อมูลแบบจำลองสามมิติให.ทั่งถึงทั้ง

บริเวณของภาพถ+ายทางอากาศ ผู.รังวัดก็อาจจะจำเป–นต.องมีการขยับกล.องมองภาพสามมิติให.เคลื่อนที่ไปมาเพื่อที่จะพิจารณา
แบบจําลองสามมิติ ณ จุดที่กําลังสนใจอยู+
5.1.4.2.1 ขั้นตอนการใช.งานกล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงา
1. จัดภาพถ+ายทางอากาศโดยเลือกให.ให.เงาทาบไปทางขวามือหรือพุ+งเข.าหาผู.มอง ทั้งนี้เพื่อไม+ให.เกิดภาวะภาพสาม
มิติที่เกิดการหกกลับ ( Pseudoscopic )
2. การมองภาพสามมิติจะถูกต.องและดูได.อย+างสบายตาได.ก็ต+อเมื่อเส.นฐานของตาขนานกับเส.นแนวบินที่เกิดขึ้นจาก
เส.นตรงที่เชื่อมจุดกลางภาพ (Fiducial-Center Point) และจุดสังยุค (Conjugate Point)
3. หมายแนวบินลงบนภาพถ+ายทั้งสองให.ชัดเจนแล.ว
4. ทำการแปะยึดกระดาษกาวที่ภาพถ+ายด.านซ.ายจากนั้นทำการเลื่อนเข.าออกภาพถ+ายด.านขวาจนกระทั่งมองเห็น
เป–นภาพถ+ายทางอากาศเกิดเป–นภาพสามมิติที่สบายตาผ+านการใช.กล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงา

รูปที่ 5-7 หลักการทำงานของกล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงา


(ดัดแปลงจาก วิชา จิวาลัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส,2531)

5.1.4.3 แว+นมองภาพสามมิติสำหรับการสํารวจด.วยภาพถ+ายเชิงเลข (Shuttle Glasses for Digital Photogrammetry)


ในยุคแห+งการสำรวจด.วยภาพถ+ายเชิงเลขเครื่องมือช+วยในการมองภาพสามมิติแบบดิจิทัลที่นิยมนำมาใช.กันอย+าง
แพร+หลายจะถูกออกแบบในลักษณะของแว+นตาซึ่งจะมีการประดิษฐ]คิดค.นเป–นแว+นตาในรูปแบบต+าง ๆ เช+น แว+นอนากลี๊ฟ
(Anaglyph Glasses) และแว+นชัทเทิล (Shuttle Glasses) เป–นต.น ซึ่งจะมีหลักการทำงานเช+นเดียวกับเครื่องมือแบบอนาล็อค
คือช+วยในการมองภาพโดยจะช+วยให.ภาพ “ซ.าย” ปรากฏในสายตาซ.าย และภาพ “ขวา "ปรากฏต+อสายตาขวา แล.วส+งต+อ
สัญญาณภาพไปยังเปลือกสมองส+วนการมองเห็นแล.วก+อให.เกิดการรับรู.ภาพเป–นแบบจำลองสามมิติขึ้นได. มีรายละเอียดดังนี้
1) แว+นอนากลี๊ฟ (Anaglyph Glasses) หรือที่นิยมเรียกว+า แว+นเขียวแดง (รูปที่ 5-8ก) เป–นแว+นตาอย+างง+ายสำหรับ
การมองภาพสามมิติที่ราคาถูกมาก และมีหลักทำงานโดยการนำภาพคู+สามมิติมาซ.อนทับกันและให.สีในรูปแบบที่เป–นสีคอมพลี
เมนทารี (Complementary) อย+างเช+น สีแดงกับสีน้ำเงิน ซึ่งเป–นสี 2 สีที่เมื่อสายตามองเห็นผ+านกรองแสงสีหนึ่งแล.วสีเดียวกัน
นี้จะต.องไม+สามารถทะลุผ+านมาปรากฏให.เห็นได. ในขณะที่อีกสีหนึ่งที่เป–นสีคอมพลีเมนทารีกันจะสามารถผ+านมาปรากฏให.เห็น
เป–นสีเข.ม กล+าวคือ จอภาพสามมิติจะปล+อยภาพสีออกมาทั้ง 2 สี (รูปที่ 5-8ข) คือ สีน้ำเงินสำหรับภาพจากมุมหนึ่ง และสีแดง
สำหรับภาพจากอีกมุมหนึ่งออกมาพร.อมกัน เลนส]สีน้ำเงินจะกรองเอาแสงสีน้ำเงินออกเหลือเฉพาะแสงสีแดงผ+านเข.าสู+ดวงตา
ข.างที่ตรงกับเลนส]สีน้ำเงิน ขณะเดียวกันเลนส]สีแดงก็จะกรองเอาแสงสีแดงออกให.เหลือแต+แสงสีน้ำเงินผ+านเข.าสู+ดวงตาข.างที่
ตรงกับเลนส]แดง เพียงเท+านี้ภาพจากมุมด.านซ.ายก็จะเข.าสู+ตาซ.าย และภาพจากมุมด.านขวาก็จะเข.าสู+ตาขวา แล.วไปผสานกันใน
สมองเกิดเป–นภาพสามมิติเกิดขึ้นมาได.
2) แว+นชัทเทิล (Shuttle Glasses) เป–นแว+นที่ช+วยให.มองเห็นสามมิติ (รูปที่ 5-9) โดยที่แว+นประกอบด.วยกระจก
สองข.างที่เป–นจอภาพผลึกเหลว (Liquid Crystal Display: LCD) ถูกควบคุมด.วยอิเล็กทรอนิกส]เข.าจังหวะ (Synchronizing)
โดยการทำให.กระจกทึบแสดงหรือโปร+งแสดงสลับกัน ในขณะที่จอภาพจะถูกควบคุมด.วยอิเล็กทรอนิกส]เช+นกัน ทำให.ภาพ
แสดงผลภาพซ.ายหรือภาพขวาสลับกันด.วยเทคนิคต+าง ๆ เช+น การสลับเส.น (Line Interlacing) การสลับเฟรม (Alternate
Frame) หรือ การแบ+งจอ (Split Screen) เป–นต.น เพื่อให.ภาพถ+ายจากมุมด.านซ.ายเข.าตาซ.าย และภาพถ+ายจะมุมด.านขวาเข.า
ตาขวา เพื่อที่สมองจะได.ไปผสมผสานกันแล.วสร.างเป–นภาพสามมิติขึ้น ณ ขณะที่มองผ+านแว+นชัทเทิล

รูปที่ 5-8 (ก) แว+นอนากลี๊ฟ (Anaglyph Glasses) หรือแว+นเขียวแดงสำหรับการมองภาพสามมิติ


(ดัดแปลงจาก Amazon.com,2016)
และ (ข) หลักการทำงานของแว+นอนากลี๊ฟในการมองภาพสามมิติ (ดัดแปลงจาก Victor,2011)

รูปที่ 5-9 แว+นชัทเทิล (Shuttle Glasses) และอุปกรณ]รับส+งสัญญาณสามมิติ


(ดัดแปลงจาก Uitimate3dheaven,2016)

5.2 การวัดความสูงจากภาพถ,ายทางอากาศ (Height Measurement from Aerial Photography)


5.2.1 การใช:มุมเหลื่อมเพื่อพิจารณาความลึกของวัตถุ
(Usingof Parallactic Angle for Determining Depth Perception)
จากที่กล+าวมาข.างต.นจะได.แสดงให.เห็นว+า การมองเห็นแบบจําลองสามมิติเป–นการรับรู.ความลึก การโฟกัสของ
สายตา และขนาดสัมพัทธ]ของวัตถุ ซึ่งโดยปกติแล.วการที่สมองของมนุษย]จะรับรู.รูปจําลองสามมิติของสิ่งต+าง ๆ ผ+านการ
มองเห็นของดวงตาทั้งสองข.างที่จ.องมองวัตถุใด ๆ แล.วเกิดการตัดกันของรังสีในแนวแกนทัศน]ของสายตาที่เป–นแนวเส.นตรง
จากจุดบนภาพไปยังตวงตาแต+ละข.าง ผลจากการตัดกันของรังสีทั้งสองเส.นนี้ก+อทําให.เกิดมุมเหลื่อม (Paralactic Angle) ที่มี
ความสัมพันธ]กับความใกล.ไกลของวัตถุ กล+าวคือ หากมุมเหลื่อมที่เกิดขึ้นมีขนาดใหญ+ก็จะเห็นวัตถุนั้น ๆ อยู+ใกล. ในทางตรงข.าม
หากมุมเหลื่อมมีขนาดเล็กก็จะเห็นวัตถุนั้น ๆ อยู+ใกล เมื่อภาพสองภาพที่สามารถนํามาวิเคราะห]สามารถมองเห็นวัตถุบนภาพ
เป–นสามมิติได.ด.วยการใช.อุปกรณ]ช+วยซึ่งอาจจะเป–นทัศนูปกรณ]ทั้งในแบบอนาล็อคหรือแบบดิจิทัลก็ได. โดยจะเรียกภาพสอง
ภาพนี้ว+า “ภาพคู+สามมิติ (Stereoscopic Photo-pair หรือที่นิยมเรียกว+า Stereo Pair)"
รูปที่ 5-10 เป–นการจัดวางภาพคู+สามมิติสําหรับภาพถ+ายทางอากาศที่ดําเนินการโดยอาศัยการวิเคราะห]จุดกลางภาพ
(Fiducial Center) ซึ่งพอจะอนุมานได.ว+าเป–นจุดมุขยสําคัญ (Principal Point) ผ+านการลากเส.นเชื่อมโยงระหว+างจุดดัชนีคู+ตรง
ข.ามกัน เกิดเป–นจุตกลางภาพ O1 และ 02 ของภาพซ.ายและภาพขวาตามลําดับ และให.หมายเอาวัตถุ ณ ตําแหน+งจุต O1 และ
02 ของภาพซ.ายและภาพขวา เพื่อนําไปหาตำแหน+งของวัตถุเดียวกันในอีกภาพ กล+าวคือ หาวัตถุ ณ ตําแหน+งจุด 01 ในภาพ
ขวา โดยระบุให.เป–น 01" และ วัตถุ ณ ตําแหน+งจุต 02 เป–น 02' บนภาพซ.าย ทั้งจุด 01" และ O2 เป–นจุดสังยุค (Conjugate
Point) จากนั้ น ลากเส. น ตรงเชื่ อ มจุ ด 01 02 01' และ 02 จะเกิ ด เป– น เส. น ทางแนวบิ น ถ+ ายภาพเกิ ด ขึ้ น จากนั้ น ทํ าการขยั บ
ภาพถ+ายไปยังตําแหน+ง A, B หรือ C หรือจนกระทั่งมองภาพสามมิติในกล.องมองภาพสามมิติ ทั้งนี้ควรพยายามรักษาเส.นฐาน
ของตาให.ขนานกับแนวบินเพื่อให.เกิดการมองภาพสามมิติผ+านกล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงาได.อย+างสบายตาตลอดเวลา
ทีท่ ําการปฏิบัติงาน

รูปที่ 5-10 ภาพคู+ซ.อนสามมิติที่จัดไว.อย+างถูกต.องสําหรับการมองสามมิติ (ตัดแปลงจาก Nash, 1972)


5.2.1.1 ความเหลื่อมตามแกน Y (Y Parallax)


การเกิดความเหลือ่ มตามแกน Y นี้เป–นสาเหตุประการสําคัญประการหนึ่งที่เป–นอุปสรรคต+อการมองเห็นภาพสามมิติ
และยังเป–นทําให.เกิดการปวดเมื่อยกล.ามเนื้อตา (Eye Strain) ทั้งนี้เป–นเพราะสภาวะที่จุดเดียวกันของวัตถุบนภาพซ.ายและ
ภาพขวาที่ปรากฏไม+ขนานกันแนวบินดังรูปที่ 5-11 โดยหากเกิดเพียงเล็กน.อยจะส+งผลทําให.ผู.ใช.เกิดอาการเมื่อยตาได.ง+าย แต+
หากว+าเกิดมากจะส+งผลทําให.มองไม+เห็นเป–นภาพสามมิติ แต+ก็สามารถที่จะพอหลีกเลี่ยงได.โดยการจัดวางภาพอย+างระมัดระวัง
ยิ่งไปกว+านั้น การเกิดความเหลื่อมตามแกน Y ก็สามารถที่จะเกิดได.จากสาเหตุอื่น ๆ เช+น การเปลี่ยนระดับแนวบิน (Unequal
Flying Height between Photographs) ดังรูปที่ 5-12 และ จากการถ+ายภาพเอียง (Tilted in Photography) ดังรูปที่ 5 -
13 ทั้งนี้การเกิดความเหลื่อมตามแกน Y ถือเป–นอุปสรรคสําคัญอย+างมากในการวัดความสูงจากภาพถ+ายทางอากาศประการ
หนึ่ง

รูปที่ 5-11 ความเหลื่อมตามแกน Y ที่เกิดจากการจัดวางภาพถ+ายทางอากาศไม+ถูกต.องที่แสดงแนวเชื่อมต+อจุด 01 02 01" และ


02 ไม+อยู+ในแนวเดียวกันกับที่ควรจะเป–นจึงเกิดความเหลื่อมตามแกน Y เป–นระยะ Py, และ Py, สําหรับจุด C และ d
ตามลําดับ (ดัดแปลงจาก วิชา จิวาลัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)

รู ปที& 5-12 ความเหลื่อมตามแกน Y อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนระดับบินจึงส+งผลต+อมาตราส+วนภาพถ+ายซึ่งสังเกตจากพิจารณา


ระยะ cd ณ จุต 1 และ di ในภาพซ.าย (L) และจุด 2 และ d2 ในภาพขวา (R) ส+งผลให.เกิดเป–นระยะเหลื่อมทางแกน Y
ขนาด Py, และ Pye สําหรับจุด c และ d ตามลําดับ (ดัดแปลงจาก วิชา จิวาลัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)

รูปที่ 5-13 ความเหลื่อมตามแกน Y ที่เกิดจากภาพถ+ายเอียงจึงเป–นผลให.รูปสี่เหลี่ยม UVwX โนภาพซ.าย (L) มีการบิตในภาพ


ขวา (R) จนเกิดเป–นความเหลื่อมตามแกน Y เป–นระยะ Py, และ Py, ตามลําดับ
(ตัดแปลงจาก วิชา จิวาลัย แสะ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)

5.2.2 ระยะเหลื่อมของภาพคู,ซ:อน (Stereoscopic Paralax)


หลักการของระยะเหลื่อมของภาพคู+ข.อนใต.แสดงไว.ในรูปที่ 5-14 ซึ่งแสดงการเลื่อนไปของตําแหน+งของต.นไม.และ
ภู เขาที่ ป รากฏให. เห็ น เที ยบกับ กรอบที่ ใช.อ.างอิงทั้ งนี้ เนื่ องมาจากการเปลี่ยนตําแหน+ งมุมมองของผู.โดยสารในรถยนต] โดย
ตําแหน+งของต.นไม.ที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดเป–นระยะเหลื่อมของตําแหน+งยอดต.นไม. และในทํานองเดียวกันก็เกิดเป–นระยะ
เหลื่อมของยอดภู เขา จะสังเกตเห็ น ว+า เมื่อเคลื่อนภาพด.านซ.าย (รูป ที่ 5-14ก) มาทาบลงบนภาพด.านขวา (รูป ที่ 5-14ข)
ตําแหน+งของทั้งต.นไม.และภูเขามีการเปลี่ยนตําแหน+งเกิดเป–นระยะเหลื่อม ตําแหน+งต.นไม.ซึ่งอยู+ใกล.จะมีระยะเหลื่อมสูงกว+า
ตําแหน+งยอดภูเขาซึ่งอยู+ใกลออกไป ทั้งนี้หากเปรียบกับมุมมองที่มองเห็นของดวงตาจะเห็นว+า รูปที่ 5-14ก เปรียบเสมือนภาพ
ที่ปรากฏ ณ ดวงตาข.างซ.าย และรูปที่ 5-14ข ที่เสมือนภาพที่ปรากฏ ณ ดวงตาข.างขวา อนึ่งเพื่อให.เกิดความเข.าใจในการเห็น
ระยะเหลื่อมเราสามารถที่จะทําการทดลองอย+างง+ายๆ ได.โดยยื่นมือข.างใดข.างหนึ่งไปข.างหน.าพร.อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นทาบกับขอบ
ประตูหรือหน.าต+างด.านใดด.านหนึ่งโดยการมองสองตา หลังจากนั้นให.หลับตาทีละข.างโดยเริ่มจากตาข.ายก+อน พร.อม ๆ กับการ
สังเกตปลายนิ้วซื้อยู+ที่ส+วนขอบประตูเป–นตําแหน+ง T1 หลังจากนั้นให.หลับตาขวาจะ สังเกตเห็นปลายนิ้วชี้ขยับไปตําแหน+งใหม+
T2 ในการเคลื่อนของนิ้วที่ปรากฏให.เห็นเทียบกับกรอบอ.างอิงจากตําแหน+ง T1 ไปยังตําแหน+ง T2 นี้คือระยะเหลื่อมที่เกิดขึ้น
จากการเปลี่ยนตําแหน+งมองนั่นเอง โดยหากตําแหน+งปลายนิ้ว (เสมือนจุดภาพแทนวัตถุ) อยู+ใกล.ตาก็จะทําให.มีความห+างหรือ
ระยะเหลื่อมมากเมื่อเทียบกับตําแหน+งปลายนิ้วอยู+ไกลจากตาซึ่งจะมีระยะเหลื่อมที่น.อยกว+า การทดลองได.ชี้ให.เห็นว+า ระยะ
เหลื่อมของวัตถุนี้สามารถนํามาวิเคราะห]ถึงความลึกของวัตถุใด ๆ ได.

รูปที่ 5-14 ระยะเหลื่อมอันเกิดจากการเปลี่ยนตําแหน+งมุมมองอันเนื่องจากจากการเคลื่อนที่ของรถยนต]ส+งผลให.เกิดการเลื่อน


ไปของตําแหน+งต.นไม.และยอดเขา โดยตําแหน+งในรูป (ก) เกิดการเคลื่อนเออกไปเมื่อเทียบกับตําแหน+งในรูป (ข) ที่ใช.อ.างอิง
(ตัดแปลงจาก Mikhail et al., 2001)

ตัวอย+างในรูปที่ 5-14 ที่กล+าวมาแล.วนี้ได.แสดงให.เห็นว+า การถ+ายภาพเพื่อให.เกิตระยะเหลื่อมสําหรับใช.ในการ วิเคราะห]


ลักษณะความสูงต+ําของภูมิประเทศนั้นสามารถทีจ่ ะกระทําได.ผ+านการตั้งเวลาการถ+ายภาพขณะที่ยานพาหนะ/อากาศ
ยานที่ติดกล.องนั้นเคลื่อนนี้ อาทิเช+น โนการถ+ายภาพถ+ายทางอากาศนั้นจําเป–นจะต.องตั้งเวลาการถ+ายภาพของกล.องบน
เครื่องบิน โดยกําหนดให.กล.องถ+ายภาพทางอากาศมีการเป¨ดหน.ากล.องถ+ายภาพด.วยช+วงเวลาที่เท+า ๆ กันไปเพื่อบันทึกตําแหน+ง
ของจุดภาพต+าง ๆ ของภูมิประเทศไว. ทั้งนี้การเปลี่ยนตําแหน+งของจุดภาพของวัตถุใด ๆ บนพื้นที่ภูมิประเทศจากภาพหนึ่งไป
ยังภาพถัดไปอันเนื่องมาจากการตั้งเวลาเป¨ดถ+ายภาพไปควบคู+กับการเคลื่อนที่ของเครื่องบินนี้ทําให.เกิดเป–นระยะเหลื่อมของ
ภาพคู+ซ.อนสามมิติ (Stereoscopic Parallax)
เมื่อพิจารณารูปที่ 5-15 โดยกําหนดให.ทิศทางแกน X เป–นแนวขนานกันกับแนวบินถ+ายภาพ (Flight Line) จะเห็นว+า
ระยะเหลื่อมจะเกิดขึ้นได.ในทุก ๆ จุตาพที่ปรากฏบนภาพคู+ซ.อนเสมอ และตําแหน+งของจุดเป¨ดถ+ายภาพ L1 และ L2 ซึ่ง ปรากฏ
บนภาพถ+ายเป–นจุดมุขยสําคัญ (Principal Point: PP) PP1 และ PP2 ตามล.าดับ และจุดมุขยสําคัญของภาพถ+าย ด.านข.ายที่ไป
ปรากฏบนภาพถ+ายด.านขวาเกิดเป–นจุดมุขยสําคัญสังยุค (Conjugate Principal Point: CPP) CPP1 และจุดมุขย สําคัญสังยุต
บนภาพถ+ายด.านขวา CPp2 ก็ไปปรากฏบนภาพถ+ายด.านซ.าย ทั้งนี้ในแต+ละภาพใต.บันทึกภาพอาคาร M และ N โดยที่อาคาร M
สูงกว+าอาคาร N โดยบนภาพถ+ายด.านซ.ายจะมีพิกัดในแนวแกน X ซึ่งเป–นระยะห+างของจุดภาพเทียบกับจุด มุขยสําคัญของภาพ
ด.านซ.ายเป–น XIII และ Xn ตามลําดับ ในทํานองเดียวกันบนภาพถ+ายด.านขวาเป–น Xm” และ Xn และ หากนําภาพถ+ายทั้งสอง
มาช.อนทับกันโดยให.จุด L1 และ L2 มาอยู+ที่เดียวกัน จะเห็นถึงระยะเหลื่อมของอาคาร A เป–น Pm = Km - Xm” และอาคาร
N เป–น Pn = -Xn – Kn’ ทั้งนี้ต.องมีเครื่องหมายบวกและลบที่ถูกต.อง โดยจะเห็นว+า xn อยู+ด.านซ.าย ของจุดมุขยสําคัญจะมีค+า
เป–นลบ ในขณะที่ Xm, Xm" และ Xn” อยู+ด.านขวามีค+าเป–นบวก และแนวแกนบินถ+ายภาพนี้สามารถ สร.างได.โดยลากเส.นตรง

เชื่อมระหว+างจุดมุขยสําคัญ (PP1 และ PP2) และจุดมุขยสําคัญสังยุค (CPP1 และ CPP2) เพื่อใช.เป–น แนวเส.นตรงอ.างอิงเพื่อ
ใช.ในการวัดระยะเหลื่อม อนึ่งขอให.เป–นที่เข.าใจกันว+า ระบบพิกัตภาพถ+ายสําหรับการหาระยะเหลื่อมนั้น เทียบกับระบบแกน
ตามแนวบินการวัดเพื่อหาระยะเหลื่อมอาจทําได.ทั้งวิธีมองภาพเดี่ยว (Monoscopic Method) ดังรูปที่ 5 - 17 หรือภาพคู+ซ.อน
(Stereoscopic Methods) ดังรูปที่ 5-19

รูปที่ 5-15 ภาพตัดขวางแสดงหลักการของระยะเหลื่อมบนคู+ภาพสามมิติของภาพถ+ายดิ่ง (ตัดแปลงจาก Jensen, 2007)

รูปที่ 5-16 ภาพตัดขวางแสดงการเกิดระยะเหลื่อม Pm และ Pn ของจุด AM และ N หลังจากการนําคู+ภาพสามมิติขอภาพถ+าย


ยิ่งมาวางให.ตเปµตถ+ายของทั้งสองภาพทับเป–นจุดกัน
(ดัดแปลงจาก Jensen, 2007)

รูปที่ 5-17 การวัดระยะเหลื่อมโดยวิธีมองภาพเดี่ยว (Monoscopic Method) ซึ่งได.จากการวัดค+า d และ D


แล.วนํามาคํานวณหาระยะเหลื่อมจาก p = X - X= D - d
(ตัดแปลงจาก Lilesand et al., 2008)

5.2.3 หลักการของจุดลอย (Principle of Floating Mark) ผ,านเครื่องมองสามมิติแบบกระจกเงา


ในการมองจุดลอย (Floating Mark) ซึ่งในที่นี้คือ การมองหมายเลิ้ง (Mark) ซึ่งเป–นเครื่องหมายที่อยู+บนไม.วัดระยะ
เหลื่อมผ+านการใช.เครื่องมองสามมิติแบบกระจกเงาที่ช+วยให.เกิดการมองเห็นแบบจําลองสามมิติ (Stereoscopic Model) ดัง
แสดงสรุปหลักการในรูปที่ 5-18 ซึ่งทําให.เห็นเป–นภาพของจุดลอยบนแบบจําลองสามมิติที่หากมีการเลื่อนหมายเล็งปรับเลื่อน
(Moveable Mark) บนภาพขวาเข.าหรือออกตามแนวแกน X ซึ่งขนานกับแนวบินถ+ายภาพ ก็จะเห็นว+า จุดดังกล+าวสามารถที่
จะลอยขึ้นหรือลงได.ตามการเลื่อนเข.าหรือเลื่อนออกของหมายเล็งปรับเลื่อน อาศัยหลักการของจุดลอยนี้เอง ผู.รังวัดสามารถ
น้ำไปประยุกต]ใช.ในการวัดค+าระยะเหลื่อม ณ จุดใด ๆ บนรูปจําลองสามมิติได.ด.วยการนําจุดลอยไปสัมผัสหรือแตะจุดนั้นบน
แบบจําลองสามมิติที่มองผ+านเครื่องมองภาพสามมิติไปพร.อมกับการวัดระยะเหลื่อมบนไม.วัดระยะเลื่อม ทั้งนี้การเลื่อนเข.าออก
ของหมายเลิ้งนี้ก+อให.เกิดการเปลี่ยนแปลงค+าระยะเหลื่อมที่อาจจะมากขึ้นหรือน.อยลงขึ้นกับค+าความสูงของจุดลอยบนรูป
สองสามมิติ ตาซ.าย

รูปที่ 5-18 ภาพตัดขวางแสดงหลักการของจุดลอย (ดัดแปลงจาก วิชา จิวาสัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)

5.2.4 การวัดระยะเหลื่อมโดยวิธีการภาพสามมิติ (Stereoscopic Methods of Parallax Measurement)


โดยใช.หลักการของจุดลอย ระยะเหลื่อมของจุดต+าง ๆ สามารถวัดได.โดยวิธีการภาพสามมิติ ซึ่งต.องอาศัยกล.องมอง
ภาพสามมิติแบบกระจกเงา ร+วมกับได.วัตระยะที่เรียกว+า ไม.วัดระยะเหลื่อม (Parallax Bar) ดังรูปที่ 5-6 และ 5-19 โดยมัก
เรียกรวมกันว+า สเตอริโอมิเตอร] (Stereo Meter)

รูปที่ 5-19 การใช.ไม.วัดระยะเหลื่อม (Parallax Bar) วัดบนภาพเพื่อวิเคราะห]หาระยะเหลื่อม


(ดัดแปลงจาก วิชา จิวาลัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)
5.2.4.1 การใช.ไม.วัดระยะเหลื่อม มีขั้นตอนโดยสรุปดังต+อไปนี้
1. จัดวางภาพถ+ายทั้งสองก+อนอย+างระวังเพื่อให.เกิดภาพสามมิติอย+างสบายตา ทั้งนี้แนวบินของภาพถ+ายทั้ง
สองจะต.องต+อกันเป–นแนวเส.นตรง
2. วางไม.วัดระยะเหลื่อมลงบนภาพถ+ายดังรูปที่ 5-19 แล.วคลายหมุดและเลื่อนเครือ่ งหมายถึงตัวซ.าย โดย
ในที่ นี้ เรี ย กว+ า หมายเล็ งยื ด นิ่ ง (Fixed Mark) เพื่ อ หมายลงบนจุ ต m ของภาพข. ายแล. ว ยึ ด ตรึ งให. อ ยู+ กั บ ที่ แ ล. ว ปรั บ เลื่ อ น
เครื่องหมายกึ่งตัวซ.ายซึ่งเป–นการปรับหมายเล.งปรับเลื่อน (Moveable Mark) ไปทางซ.ายหรือขวาเทียบกับหมายเล.งยืดนิ่ง
จนกว+าจุดลอยจะทับกับวัตถุ แล.วอ+านค+าบนไม.วัดระยะเหลื่อม
3. หาค+าคงตัวของไม.วัดระยะเหลื่อม (Parallax Bar Constant: C) ระยะระหว+างจุดหมุดสําคัญเป–นค+าคงที่
D และระยะจากหมายเล็งยืดนิ่งไปยังดัชนีเป–นค+าคงที่ K โดยจากรูปที่ 5-19 สามารถพิจารณาค+าระยะเหลื่อมของจุด m
(Pm) ได.จากสมการที่ 5-1 ดังนี้

(5-1)
เมื่อ (D – K) คือค+า C เป–นค+าคงตัวไม.วัดระยะเหลื่อม และ Fm เป–นค+าที่อ+านได.จากไมโครมิเตอร] แทนค+า C
ลงในสมการ 5-1 จะได.สมการที่ 5-2 ดังนี้

(5-2)
อนึ่งค+า ri) ในสมการที่ 5-2 นี้จะขึ้นกับไมโครมิเตอร]ของไม.วัดระยะเหลื่อม กล+าวคือ หากค+าตัวเลขเพิ่มขึ้น
ตามระยะเหลื่อมที่เพิ่มจะเรียกว+า “ค+าอ+านแบบก.าวหน.า (Forward-reading)” ค+า fn ที่ใช.จะเป–นบวก แต+หากค+าตัวเลขลดลง
เมื่อระยะเหลื่อมเพิ่มขึ้นจะเรียกว+า “ค+าอ+านแบบถอยกลับ (Backward-reading)” ทั้งเครื่องหมายพืชคณิตของ ๓ ต.องกลับกัน
และเพื่อหาค+าคงตัวของไม.วัดระยะเหลื่อม (Parallax-bar Constant) ในสมการที่ 5-2 ให.ทําการอ+านค+า " จากไมโครมิเตอร]
หลังจากวางอุตสอยลงไปที่จุด ๆ หนึ่ง พร.อมกันนี้ดําเนินการวัดระยะเหลื่อมของจุดนั้นโดยตรงด.วยวิธีมองภาพเดี่ยว
(Monoscopic Method) เพื่อหาค+า p ด.วยสมการที่ 5-1 และจาก ก และ F ที่ได. ณ จุดนั้น แล.วจึงใช.สมการที่ 5-3 พิจารณา
หาค+า C ดังนี้
(5-3)

5.2.4.2 สมการระยะเหลื่อม (Parallax Equation)


รูปที่ 5-20 แสดงให.เห็นถึงเรขาคณิตของภาพคู+ซ.อนที่ระยะฐานถ+ายภาพในอากาศเป–น B และถ+าย ณ ระดับความสูง
(H) จากระดับอ.างอิง โดยภาพของจุดวัตถุ M ปรากฏบนภาพถ+ายซ.ายและภาพถ+ายขวาคือ จุด m และ m" ตามลําดับ ตําแหน+ง
ของจุต M บนพื้นดินมีค+าพิกัตภาคพื้นดินทางราบเป–น Xm และ Ym ณ ระบบพิกัตภาคพื้นดิน XY ที่มีจุดกําเนิตที่จุดมุขยสําคัญ
PP1 ของภาพถ+ายซ.ายบนระนาบอ.างอิง แกน X อยู+ในระนาบดิ่งเดียวกันกับแกน X และ X' ของระบบพิกัดภาพถ+ายชายและ
ขวา ตามลําดับ และแกน Y ผ+านจุดมุขยสําคัญที่ระดับอ.างอิงของภาพถ+ายข.ายและตั้งฉากกับแกน X

รูปที่ 5-20 เรขาคณิตของภาพคู+ซ.อน (ดัดแปลงจาก วิชา จิวาลัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)
จากรูปที่ 5-20 ทําการพิจารณาสามเหลี่ยมคล.าย L1Omy และ L1M0My จะได.ว+า

(5-4)

จัดรูปใหม+จะได.ว+า (5-5)

และจากสามเหลี่ยมคล.าย LOm, และ L,M, FM, จะได.ว+าน (5-


6)

ซึ่งทําให.ได. (5-
7)

ทํานองเดียวกัน จากสามเหลี่ยมคล.าย , และ จะได.ว+า


(5-8)

จะได.ว+า (5-9)

เมื่อสมการ 5-7 เท+ากับ 5-9 เท+ากันและจัดรูปใหม+จะได.สมการที่ 5-10 ดังนี้

5-10)

แทนค+า Pm สําหรับ Xm – X’m ในสมการที่ 5-10 จะได.สมการที่ 5-11 ดังนี้

(5-11)

ต+อไปแทนค+าสมการที่ 5-11 ลงไปในแต+ลงสมการที่ 5-5 และ 5-7 แล.วจัดรูปใหม+จะได.สมการที่ 5-12 และ 5-13 ดังนี้

(5-12)

(5-13)

เราจะเรียกสมการที่ 5-11, 5-12 และ 5-13 นี้ว+า สมการระยะเหลื่อม (Parallax Equation) โดยที่ hM เป–นค+า
ระดับของจุด M เหนือระดับอ.างอิง, H เป–นระดับบินเหนือระดับอ.างอิง, B เป–นระยะฐานการบินถ+ายภาพทางอากาศ, f เป–น
ความยาวโฟกัสของกล.อง, pm เป–นระยะเหลื่อมของจุด M, Xm และ Ym เป–นพิกัดภาคพื้นดินทางราบของจุด M และ Xm
และ Ym เป–นพิกัตภาพถ+ายของจุต m วัตเทียบกับแกนแนวบินบนภาพซ.าย ในทํานองเดียวกัน X’m และ y’m เป–นพิกัด
ภาพถ+ายของจุด m’ วัดเทียบกับแกนแนวบินบนภาพขวา สมการระยะเหลื่อมนี้มีประโยชน]ต+อนักสํารวจด.วยภาพถ+ายอย+าง
มาก เนื่องจากเพราะสามารถรังวัดพื้นที่ที่เป–นส+วนซ.อนของคู+ภาพสามมิติในการทํางานเป–นอย+างดี ทั้งนี้ในการปฏิบัติงานนั้น
จําเป–นจะต.องมีข.อมูลพื้นที่ฐานสําคัญที่ประกอบด.วยค+าความยาวโฟกัส f ของกล.องถ+ายภาพ จุดควบคุมบนพื้นดินที่เพียงพอต+อ
การคํานวณค+าระยะฐานการบินถ+ายภาพทางอากาศ B และ ระดับความสูงแนวบิน H

ตัวอย,างที่ 5-1 ภาพถ+ายทางอากาศคู+ซ.อนถูกถ+ายที่ความสูง 1,235 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ถ+ายด.วยกล.อง


แบบเมตริค ซ] (Metric Carrera) รุ+น RMK A 15/23 ด. วยเลนส] Carl Zeiss แบบมุ ม กว.าง (Wide Angle) มี ค วามยาวโฟกั ส
153.00 มม. ระยะฐานการถ+ายภาพทางอากาศ (Air Base) 400 ม. เมื่อจัดวางภาพถ+ายจนกระทั้ งมองเห็ น ภาพสามมิติได.
เหมาะสมแล.วใช.ไม.วัดระยะเหลื่อม (Parallax Bar) ของจุดมุขยสําคัญ 01 และ 02 ได.เป–น 12.58 และ 13.02 มม. ตามลําดับ
ทั้งนี้บนภาพซ.ายและภาพขวาวัดระยะ 5 และ 6" ได. 93.75 และ 93.31 มม. ดังรูปที่ 5-21 วัดค+าจาก Parallax Bar ณ จุต M
และ N ได. 10.95 และ 15.28 มม., ตามลําดับ พร.อมกันนี้ ทําการวัดพิกัดภาพ (x,y) ของจุต M (53.41, 50.84) มม. และจุด N
(88.92, 46.69) มม. บนภาพซ.าย จงพิจารณาหาค+าระดับ ณ จุต M และ N และค+าต+างระดับรวมถึงหาระยะราบของแนวเส.น
MN จากสมการระยะเหลื่อม
จากรูปที่ 5-21 นํามาพิจารณาหาค+าคงที่ C จากสมการที่ 5-3 จะได.ว+า
มม.
และ มม.
มม.
พิจารณาหาระยะเหลื่อม pin ที่จุด M และ p, และที่จุด N จากสมการที่ 5.2 จะได.ว+า
มม.
และ มม.
พิจารณาค+าระดับของจุด M และ N จากสมการระยะเหลื่อม (สมการที่ 5-11) จะได.ว+า
ม. รทก.

และ ม. รทก.
ค+าต+างระดับของจุต TM และ N เป–น AFWN = hw - hw = 597,566 - 567.461 = 30.105 เมตร
จากสมการที่ 5-12 และ 5-13
ณ จุต M มีค+าพิกัดทางราบ
ม.

ม.
ณ จุต N มีค+าพิกัดทางราบ

ม.

ม.
พิจารณาระยะราบของแนวเส.น

นั้นคือ ระยะราบของแนวเส.น AMN (DwN) เท+ากับ 438.435 เมตร และ
ค+าต+างระดับของจุต M และ N (AFP ww) เป–น 30.105 เมตร
ในกรณีที่มีค+าพิกัดภาคพื้นดินของหมุดบังคับภาพ (Photo Control Point) ปรากฏอยู+ในพื้นที่ส+วนซ.อน เราสามารถ
นํ ามาใช.ในการพิ จารณาหาระยะฐานถ+ายภาพในอากาศ (Air Base) ได. โดยนํ าค+ าพิ กั ต ภาคพื้ น ดิ น ของหมุ ด บั งคั บ ภาพมา
คํานวณหาระยะทางราบ ตามทฤษฎีได.ดังนี้
(5-14)
แทนค+าสมการที่ 5-12 และ 5-13 ลงในสมการที่ 5-14 จะสมการที่ 5-15 ถึง 5-17 ดังนี้

(5-14)

(5-15)

(5-15)

(5-16)

ตัวอย,างที่ 5-2 ภาพถ+ายทางอากาศคู+ช.อนซึ่งถ+ายด.วยกล.องมีความยาวโฟกัส 152.45 มม. ปรากฎหมุดบังคับภาพสองจุด A


และ B ในบริเวณพื้นที่ส+วนซ.อนด.านหน.า (Overlap Area) โดยมีค+าพิกัตภาพและพิกัตภาคพื้นดินดังแสดงในตารางด.านล+าง จง
พิจารณาหาระยะฐานถ+ายภาพในอากาศ (Air Base) สําหรับการถ+ายภาพครั้งนี้โดยใช.สมการที่ 5-17

จากสมการที่ 5-1 จะได.ว+า

นําพิกัดภาคพื้นดินมาหาระยะ
จะได.ว+า ม.
ม.
หลังจากนั้นพิจารณาระยะฐานถ+ายภาพในอากาศจากระยะพาราแล็กซ] และ พร.อมด.วยพิกัดภาพ พิกัดภาคพื้นดิน
และระยะทางราบ AB จะได้ระยะฐานถ่ายภาพในอากาศ ม.

นั่นคือ ระยะฐานถ+ายภาพในอากาศของภาพถ+ายทางอากาศคู+ซ.อนนี้เป–น 411.898 ม.


5.2.4.3 การหาค+าระดับจากความต+างระยะเหลื่อม (Elevation by Parallax Differences)


การหาค+าระดับจากความต+างระยะเหลื่อมอาศัยหลักการวิเคราะห]ความต+างระยะเหลื่อมระหว+างจุดสองจุดใด ๆ มา พิจารณา
หาค+าความแตกต+างของค+าระดับของจุดคู+นั้น ๆ จากสมการที่ 5-12 และ 5-13 ที่ได.อธิบายในส+วนที่แล.วได.ให.นิยาม ระยะ
เหลื่อมของภาพสามมิติพร.อมทั้งแสดงให.เห็นความสัมพันธ]กับระดับสูงแนวบินเหนือระนาบอ.างอิง (H) ระยะฐานถ+ายภาพใน
อากาศ (E) และความยาวโฟกัสของกล.อง (ก ในส+วนนี้จะใช.ความต+างระยะเหลื่อมซึ่งเป–นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถใช.ในการใช.
หาระดับความสูงตั้งแสดงในรูปที่ 5-22 โดยสมมติให. จุต N เป–นหมุดควบคุมทางยิ่งที่ทราบค+าระดับเป–น เหนือระดับ
อ.างอิง และสิ่งที่กําลังพิจารณาในที่นี้คือ ค+าระดับของจุด M ซึ่งจัดเป–นการหาระดับความสูงจากความต+างระยะเหลื่อม (Height
by Measuring Parallax Differences)

รูปที่ 5-22 การหาระดับความสูงจากความต+างระยะเหลื่อม (ต.ตแปลงจาก วิชา จิวาลัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)

จัดรูปสมการที่ 5-11 ใหม+จะได.สมการที่ 5-18 และ 5-19 สมการของระยะเหลื่อมของจุต m และจุต n ดังนี้


(5-18)

(5-19)

ผลต+างระยะเหลื่อม ได.จากการเอาสมการ 5-18 ลบออกจากสมการ 5-19 และจัดรูปใหม+ใต.สมการที่ 5-20

(5-20)

จัดรูปสมการที่ 5-20 ใหม+ตามสมการที่ 5-21 ถึง 5-25 จะได.ดังนี้

(5-21)

(5-22)

(5-23)

(5-24)

(5-25)

ให. เป–นผลต+างระยะเหลื่อม พร.อทั้งแทนค+า จากสมการ 5- 18 และ

ลงในสมการ 5-25 แล.วจัดรูปสมการใหม+จะได.สมการที่ 5-29 ซึ่งสามารถนํามาพิจารณาค+าระดับ ดังนี้

(5-26)

(5-27)

(5-28)

(5-29)

แสดงให.เห็นว+า หากรู.ค+าระดับของจุดควบคุม 1 จุด เราสามารถใช.ค+าต+างระยะเหลื่อมในการหาค+าระดับของจุดอื่น ๆ ในคู+ภาพ


สามมิติ (Stereo Pair) ได.
ตัวอย,างที่ 5-3 ในการวิเคราะห]หาค+าระดับ ณ จุด M จากภาพถ+ายทางอากาศคู+ซ.อนซึ่งถ+ายที่ความสูง (H) 1200.001 เมตร
รทก. โดยได.ดําเนินการวัดค+าระยะเหลื่อม ณ จุด M ( ) ได. 126.06 มม. และค+าระยะเหลื่อม ณ จุด N ( ) ได. 114.06
มม. ทั้งนี้กําหนดให.ค+าระดับจุด N ( ) เป–น 398.001 ม. รทก. จงพิจารณาค+าระดับ ณ จุด M ( ) โดยไม+ต.องใช.ค+าระยะ
ฐาน ถ+ายภาพในอากาศ

นั่นคือ ค+าระตับ ณ จุด M เป–น 474 ม. รทก.

ตัวอย,างที่ 5-3 ภาพถ+ายทางอากาศคู+ข.อนถ+ายที่ความสูง 1,235 เมตร รทก. ด.วยกล.องรุ+น RMK A 15/23 ที่ใช.เลนส] Carl
Zeiss แบบมุมกว.าง (Wide Angle) มีความยาวโฟกัส 153.00 มม. และมีระยะฐานการถ+ายภาพทางอากาศ (Air Base: B) เป–น
400 เมตร ดําเนินการวัดระยะเหลื่อม ณ จุด M ( ) และ N ( ) ได.เป–น 91.68 และ 96.01 มม. ตามลําดับ พร.อมกันนี้
ทราบค+า ระดับของจุตควบคุมทางดิ่ง C ว+า มีค+าระดับเป–น 590.702 ม. รทก. และได.รังวัดระยะเหลื่อม ณ จุต C ( ) ได.เป–น
92.92 มม. จงพิจารณาหาค+าระดับของจุด M และ N โดยใช.สมการความต+างระยะเหลื่อม (สมการที่ 5-29)
สําหรับจุด M จะได.ว+า
สมการที่ 5-29 จะได.ว+า
สําหรับจุด N จะได.ว+า
สมการที่ 5-29 จะได.ว+า
นั่นคือ ค+าระดับ ณ จุต M และ จุต N เป–น 584.096 ม. และ 613.586 ม. ตามลําดับ สมการโดยประมาณสําหรับการหาค+าต+าง
ระดับจากความต+างระยะเหลื่อมนั้นสามารถที่จะพิจารณาได.จากงสมการที่ 5-30 ถึง 5-36 ดังนี้
จากสมการที่ 5-11 จะได.ว+า (5-30)
(5-31)
(5-32)
(5-33)

(5-34)

(5-35)

(5-36)
ตัวอย,างที่ 5-4 การบิ นถ+ายภาพเหนือตึกตั้งแสดงในรูป ที่ 5-23 ด.วยความสูงแนวบิ น (H) 700 ม. เหนือระดับ ภู มิป ระเทศ
กําหนดให.ระยะห+างระหว+างจุดมุขยสําคัญ (Principal Point) และจุดมุขยสําคัญ สังยุค (Conjugate Principal Point) เป–น
ระยะ b ดังรูปเท+ากับ 86 มม. และมีค+ารังวัดบนภาพดังแสดงในรูปที่ 5-23 จงพิจารณาความสูงของตึก AMN (ระยะ AMN)
โดยใช. ระยะเหลือ่ ม
จากสมการที่ 5-1 จะได.ว+า ระยะเหลื่อมที่จุด m คือ = 39 - (-29) = 68 มม.
ระยะเหลื่อมที่จุต N คือ = 43 – (-33) = 76 มม.
จากสมการที่ 5-36 จะได.ว+า
นั่นคือ ความสูงของตึก MN เป–น 65.1 ม. เหนือระดับภูมิประเทศ

รูปที่ 5-23 ตัวอย+างการหาความสูงของตึก MN ผ+านการวัดระยะเหลื่อม (ดัดแปลงจาก Mikhail et al., 2001)


5.2.5 การวัดความสูงจากความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความต,างระดับ
(Measuring Elevation from Height Relief Displacement)
5.2.5.1 มาตราส+วนของภาพถ+ายงเหนือภูมิประเทศที่แปรเปลี่ยนความสูง
มาตราส+วนของภาพถ+ายทางอากาศจะถูกกําหนดให.บันทึกครอบคลุมภูมิประเทศด.วยมาตราส+วนเฉลี่ย (Nominal Scale) ทั้งนี้
เพื่อให.ง+ายต+อการนําไปใช.งานและกําหนดชั้นความละเอียดถูกต.องในการทําแผนที่ในเบื้องต.น โดยรูปที่ 5-24 ที่ได. แสดง
ความสั ม พั น ธ]ระหว+างระดั บ สู งแนวบิ น เหนื อ ภู มิ ป ระเทศและความยาวโฟกั ส ของภาพถ+ ายในการวิเคราะห] ห ามาตราส+ วน
ภาพถ+ายของภาพทางอากาศที่เป–นภาพถ+ายดิ่งเหนือภูมิประเทศพื้นราบตั้งแสดงในสมการที่ 5-37 ดังนี้
(5-37)
เมื่อ H' เป–นความสูงแนวบินเหนือภูมิประเทศ และ H เป–นความสูงแนวบินเหนือระดับอ.างอิง
h เป–นค+าระดับของภูมิประเทศเหนือระดับอ.างอิง
ในขณะที่มาตราส+วนของภาพถ+ายดิ่งเหนือภูมิประเทศสูง ๆ ต+ํา ๆ ซึ่งมีความสูงแนวบินก็จะมีการแปรเปลี่ยนตามไป
ด.วยดังรูปที่ 5-25 โดยในการนําไปใช.จําเป–นอย+างยิ่งที่จะต.องมีการวิเคราะห]หามาตราส+วนเฉลี่ยของภาพถ+าย (Average Photo
Scale) ซึ่งสามารถพิจารณาได. ดังแสดงในสมการที่ 5-38 ดังนี้
(5-38)

เมื่อ เป–นค+าระดับเฉลี่ยของภูมิประเทศเหนือระดับอ.างอิง

รูปที่ 5-24 เรขาคณิตของภาพถ+ายติ่งเหนือพื้นที่ราบ (ตัดแปลงจาก Jensers, 2007)


ตัวอย,าง 5-5 จากรูปที่ 5-24 ภาพถ+ายดิ่งซึ่งถ+ายด.วยกล.องแบบมุมกว.างความยาวโฟกัส 153.0 มม. บินถ+ายที่ความสูง 1,830
ม. เหนือภูมิประเทศ จงพิจารณามาตรส+วนของภาพถ+ายนี้

ตัวอย,าง 5-6 จากรูปที่ 5-25 ในภูมิประเทศแห+งหนึ่งมีค+าระดับสูงสุด ค+าระดับความสูงเฉลี่ย และ ค+า


ระดับต่ำสุด เป–น 610, 460 และ 310 ม. รทก. ตามลําดับ จงพิจารณามาตราส+วนใหญ+สุด มาตราส+วนเล็กสุด และ
มาตราส+วนเฉลี่ย ใน การบินถ+ายเหนือภูมิประเทศแห+งนี้ที่ระดับความสูงแนวบิน 3000 ม. รทก. ด.วยกล.องที่มีความยาวโฟกัส
152.4 มม.

รูปที่ 5-25 ภาพตัดขวางแสดงเรขาคณิตของภาพถ+ายสิ่งที่มีความสูงต+างของภูมิประเทศที่หลากหลาย


(ตัดแปลงจาก Jensen, 2007)
อาศัยหลักการของสามเหลี่ยมคล.าย พิจารณารูปที่ 5-26 จะได.สมการที่ 5-39 ถึง 5-44 ตั้งนี้
(5-39)

(5-40)

(5-41)

(5-42)

(5-43)

(5-44)
จะเห็นว+า จุด N มีมาตราส+วนภาพถ+ายที่แตกต+างจากจุด M

รูปที่ 5-26 ความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความสูงต+างของภูมิประเทศภาพถ+ายดิ่งของจุด M และ N


(ดัดแปลงจาก wwolf et al., 2000)
ตัวอย,างที่ 5-7 ภาพถ+ายดิ่งถ+ายด.วยกล.องแบบมุมกว.างความยาวโฟกัส 152.4 มม. ที่ระดับความสูงแนวบิน 1385.000 ม.
ทก. ภาพของจุต M และ N ซึ่งปรากฏเป–นตภาพ m และ 7 ตามลําดับ บนภาพถ+าย เมื่อดําเนินการวัตพิกัตภาพถ+าย (ที่แก. ผล
ที่เกิดจากการยืดหดและความเพี้ยนแล.ว) ได.ค+าพิกัดดังนี้ Kim = 40.64 มม., Yim = 43.88 มม. *, = 52.35 มม., และ yo E
48.27 มม. จงพิจารณาหาระยะราบของแนวเส.น mn ทั้งนี้กําหนดให.ค+าระดับของจุต 1 และ N เป–น 148,000 และ 204,000
4. ตามลําดับ
จากสมการที่ 5-41 และ 5-42 จะใต.ว+า
นั่นคือ ม. และ ม.
จากสมการที่ 5-43 และ 5-44 จะได.ว+า และ
นั่นคือ ม. และ ม.

จากสูตรระยะทาง
ม.
นั่นคือ ระยะทาง = 1036 ม.
5.2.5.2 ความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความสูงต+ําของภูมิประเทศ
จากการวิเคราะห]มาตราส+วนภาพถ+ายในส+วนก+อนหน.าจะเห็นว+า มาตราส+วนของภาพถ+ายทางอากาศโดยทั่วไปนั้นจะ ไม+เท+ากัน
ทั่วทั้งบริเวณภาพถ+าย ทั้งนี้เนื่องมาจากการแปรเปลี่ยนความสูงต+ําของภูมิประเทศหรือวัตถุใด ๆ ในพื้นที่เมื่อเทียบกับ ความสูง
เฉลี่ยของภูมิประเทศ (Average Ground Level: ASL) และเราจะเรียกปรากฏการณ] ที่เกิดขึ้นนี้ว+า ความคลาดเคลื่อน บน
ภาพถ+ายเนื่องจากความสูงต+ําของภูมิประเทศ (Relief Displacement) โดยอาศัยปรากฏการณ]นี้เอง เราสามารถวัดความ สูง
ของวัตถุใด ๆ ได.บนภาพถ+ายเดี่ยวผ+านหลักการที่ได.สรุปไว.ในรูปที่ 5.27 ซึ่งเป–นภาพของหอคอยโตเกียว (Tokyo Tower)
ประเทศญี่ปุ¸นที่มีความสูง h และปรากฏบนภาพถ+ายเดี่ยวเป–นระยะ d และมีระยะจากจุดมุขยสําคัญไปยังยอดของหอคอย
โตเกียวเป–นระยะ F

รูปที่ 5-27 หลักการวัดความสูงจากของความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความสูงต+ําของภูมิประเทศที่สามารถนํามาประยุกต]ใช.ใน


การหาความสูงของหอคอยโตเกียว (Tokyo Tower) ประเทศญี่ปุ¸นบนภาพถ+ายเตี๋ยว

(ดัดแปลงจาก Litlesand et al., 2008)


จากรูปที่ 5-27 จะได.สมการมาตราส+วน (Scale Equation) ดังแสดงในสมการที่ 5-45 ดังนี้
(5-45)
กําหนดให.

H’ = ความสูงแนวบินเหนือระดับภูมิประเทศ (ระนาบวัตถุ)
H = ความสูงแนวบินเหนือระนาบอ.างอิง (Reference Datum)
d = ระยะจากฐานถึงยอตของวัตถุบนภาพ
r = ระยะจากจุดมุขยสําคัญไปยังวัตถุบนภาพ
h = ความสูงของวัตถุ (วัดจากฐานไปถึงยอด)
จากสมการมาตราส+วน (สมการที่ 5-45) จัดรูปใหม+ควบคู+กับการพิจารณารูปที่ 5-26 จะได.สมการที่ 5-46 ถึงสมการที่
5-51
(5-46)

(5-47)

(5-48)

(5-49)
(5-50)

(5-51)
แทนสมการที่ 5-48 และ 5-51 ลงในสมการมาตราส+วน (สมการที่ 5-45} จะได.สมการที่ 5-52 ถึงสมการที่ 5-54 ซึ่งใน
ที่นี้จะ เรียกสมการที่ 5-54 ว+า สมการความเคลื่อนเนื่องจากความต+างระดับ
(5-52)

(5-53)
(5-54)
จากสมการความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความต+างระดับ (สมการที่ 5-54) จะเห็นว+า ค+าความคลาดเคลื่อนจะแปรผัน

ตามระยะทางตามแนวรัศ มี แ ละความสู งของวัต ถุ ที่ เพิ่ ม ขึ้ น เรื่อ ย ๆ อย+ างสม+ํ าเสมอในลั ก ษณะตามระยะทางจาก
ศูนย]กลาง ภาพถ+ายจะเพิ่มตามความสูงของวัตถุเพิ่มอย+างผกผันกับความสูงแนวบินเหนือวัตถุ และแปรผกผันกับความ
สูงแนวบิน และเมื่อ นํามาจัดรูปใหม+เป–นสมการที่ 5-55 ก็จะสามารถนําไปพิจารณาความสูงของวัตถุได.ปรากฏการณ]
ความคลาดเคลื่อนเนือ่ งจาก ความต+างระดับนี้ได.
(5-55)
ตัวอย,างที่ 5-8 จากรูปที่ 5-28 ต.องการวัดความสูงของอาคารที่ปรากฏบนภาพถ+ายทางอากาศซึ่งบินถ+ายที่ระดับความสูง (H)
เป–น 1372,000 ม. เหนือระนาบอ.างอิง ทั้งนี้ได.ทําวัตการวัดระยะบนภาพถ+ายโดยได.วัดระยะตามแนวรัศมีจากจุดมุขยสําคัญถึง
ยอดตึก (r) ได. 76.2 มม. และวัดระยะ Displacement ได.เป–น 2.55 มม. จงคํานวณหาค+าความสูงของอาคาร (ระยะดิ่ง MN)
วิเคราะห]ความสูงแนวบินเหนือระดับภูมิประเทศ จะได.ว+า
ม.
วิเคราะห]หาความสูงอาคารจากสมการที่ 5-55 ได.ดังนี้
ม.
จะได.ว+า อาคารหลังนี้สูง 40,893 ม. เหนือระดับภูมิประเทศ (ระนาบวัตถุดังรูปที่ 5-28)

รูปที่ 5-28 ตัวอย+างของการวัดค+าความสูงจาก Relief Displacement


(ตัดแปลงจาก Jensen, 2007)
5.3 แบบฝ†กหัด (Exercise)
1. จงอธิบายกลไกการในการรับรู.ภาพสามมิติของมนุษย]ผ+านการมองเห็นที่นํามาใช.ในการสํารวจด.วยภาพถ+าย
2. จงอธิบายความสําคัญของมุมเหลื่อม (Paralactic Angle) ในการสํารวจด.วยภาพถ+าย
3. จงอธิบายสาเหตุและผลกระทบความเหลื่อมทางแกน Y ที่มีผลต+อการมองภาพสามมิติ
4. จงพิจารณาหาระยะเหลื่อมของจุต Q, R, S และ T จากตารางด.านล+าง พร.อมทั้งเรียงลําดับจุตที่มีค+าระดับสูงที่สุด
ไปยังจุด ที่มีค+าระดับต+ําที่สุด

5. ภาพถ+ายทางอากาศคู+ซ.อนซึ่งถ+ายด.วยกล.องมีความยาวโฟกัส 153.00 มม. ปรากฏหมุตบังคับภาพสองจุด M และ N


ในบริเวณพื้นที่ส+วนซ.อนด.านหน.า (Overlap Area) โดยมีค+าพิกัดภาพและพิกัดภาคพื้นดินดังแสดงในตารางด.านล+าง
จง พิจารณาหาระยะฐานการถ+ายภาพทางอากาศ (Air Base) ในการถ+ายภาพครั้งนี้

6. ภาพถ+ายทางอากาศขนาดมาตรฐาน 230 X 230 มม. ถ+ายด.วยกล.องแบบเมตริคซ] (Mectric Camera) รุ+น RMK A


15/23 ด.วยเลนส] Carl Zeiss แบบมุมกว.าง (Wide Angle) มีความยาวโฟกัส 152.45 มม. มีมาตราส+วนภาพถ+าย
1:10,000 ปรากฏว+ามีคอนโดมีเนียมเป–นอาคารอยู+สูง 120 ม. เหนือภูมิประเทศ จงพิจารณาหาความเป–นไปได.ที่จะเกิด
ความ คลาดเคลื่อนเนื่องความสูงต+างของยอดอาคารที่จะเคลื่อนออกไปจากตําแหน+งที่ควรจะเป–น พร.อมทั้งวาดภาพ
ประกอบการอธิบาย
7. จงอธิบายภาพยอดและโคนของเสาไฟฟWาบนภาพถ+ายทางอากาศแบบมาตรฐานขนาด 230 x 230 มม.ด.วยกล.อง
แบบมุมกว.างมีความยาวโฟกัส 153.00 มม. โดยเมื่อทําการวัดระยะจากจุตมุขสําคัญของภาพถ+ายไปยังยอดและโคน

ของเส.นไฟฟWา ได.ระยะเป–น 129.108 และ 126.009 มม. ตามลําดับ จงพิจารณาหาความสูงของเสาไฟฟWาต.นนี้ ทั้งนี้


กําหนดให.ความสูง แนวบินเป–น 975.360 ม. เหนือภูมิประเทศ
บทที่ 6

แบบจําลองความสูง
Digital Elevation Model

6.1 การนําเสนอลักษณะภูมิประเทศแบบต,างๆ (Terrain Representation)


ในความเป– น จริ ง นั้ น ภู มิ ป ระเทศ (Topography) มี ลั ก ษณะเป– น พื้ น ผิ ว ต+ อ เนื่ อ ง (Continuous Surface) ที่ แ ปร
เปลี่ยนไปในลักษณะที่ไม+แน+นอนในแต+ละพื้นที่ โดยภูมิประเทศบางแห+งอาจมีการเปลี่ยนแปลงระดับสูงต่ำอย+างฉับพลัน เช+น ภู
กระดึงที่ มีลักษณะภูมิป ระเทศยกตัวขึ้นแล.วตัดที่ ยอดเกิดเป– นภู เขาหิ นทรายยอดตัด ดังแสดงในรูป ที่ 6-1 ขณะที่ ทุ+ งนาใน
ภาคเหนือบางแห+งมีลักษณะเรียงขึ้นเป–นขั้นบันไดอย+างต+อเนื่อง ดังรูปที่ 6-2 หรือ บางแห+งเป–นหน.าผาสูงอย+างผานกเค.าในรูปที่
6-3 เป–นต.น โดยลักษณะภูมิประเทศตามที่กล+าวมานั้นก็ถือเป–นกรณีเฉพาะเท+านั้น ขณะที่ภูมิประเทศที่มีอยู+ส+วนใหญ+ที่มนุษย]ใช.
ในการตั้งถิ่นฐานส+วนใหญ+จะมีลักษณะการต+อเนื่องและมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่ค+อยเป–นค+อยไป จากที่กล+าวมานั้นจะ
เห็นว+า ลักษณะภูมิประเทศบนโลกใบนี้มีความหลากหลาย และในทางวิศวกรรมสํารวจได.มีการคิดค.นวิธีการในการจัดเก็บ
ลักษณะภูมิประเทศต+าง ๆ เหล+านี้ไว.อย+างเป–นระบบตั้งแต+อดีตจนถึงป•จจุบัน ยกตัวอย+างเช+น การจัดเก็บและแสดงลักษณะภูมิ
ประเทศในรูปแบบของเส.นขั้นความสูง (Contour Line) หรือ การจัดเก็บข.อมูลในรูปแบบของแบบจําลองระดับสูงเชิงเลข
(Digital Elevation Model: DEM) หรือ การจัดเก็บข.อมูลในรูปแบบของพอยต]คลาวน] (Point Cloud) ซึ่งในที่นี้จะเรียกข.อมูล
เหล+านี้ว+า ข.อมูลรูปลักษณ]ของพื้นผิวโลกเชิงเลข (Digital Terrain Data)
ไม+ว+าจะเป–นแสดงผลลักษณะภูมิประเทศในรูปแบบใด ผลลัพธ]สุดท.ายก็ล.วนแล.วแต+เป–นหนึ่งในข.อมูลภูมิสารสนเทศ
ด.วยกันทั้งนั้น เราสามารถเก็บบันทึกข.อมูลที่เกี่ยวข.องกับภูมิประเทศเหล+านี้โดยการใช.ระบบสนเทศภูมิศาสตร] (Geographic
Information System: GIS) เพื่อแสดงความสูงต่ำของลักษณะภูมิประเทศ และสิ่งเหล+านี้ถือเป–นข.อมูลสารสนเทศเชิงปริภูมิ
(Spatial Information) ในส+วนที่เกี่ยวข.องกับตําแหน+งที่วิศวกรโยธาที่สนใจในการสํารวจด.วยภาพถ+ายจําเป–นต.องรู. ทั้งนี้เพราะ
ในยุคป•จจุบันที่เรานิยมกันอย+างมากที่จะเก็บข.อมูลภูมิสารสนเทศลงในแบบจําลองข.อมูล (Data Model) แบบใดแบบหนึ่ง
ก+อนที่จะนําไปจัดเก็บในระบบฐานข.อมูล โดยเหตุนี้ ความรู.เกี่ยวกับข.อมูลรูปลักษณ]พื้นผิวโลกที่แสดงผลในระบบสารสนเทศ
ภู มิ ศ าสตร]จะเป– น สิ่งที่ วิศ วกรโยธาที่ สนใจในการสํารวจด. วยภาพถ+ายจําเป– น อย+างยิ่งที่ จะต. อ งเรียนรู. โดยข.อ มู ลรูป ลัก ษณ]
พื้นผิวโลกนั้นสามารถแสดงผลได.โดยอาศัย 4 วิธีการคือ (1) เส.นชั้นความสูง (2) ข.อมูลจุดคละ (3) ข.อมูลกริด และ (4) ฟ•งก]ชั่น
พื้นผิว

รูปที่ 6-1 ภูกระดึงที่มีลักษณะภูมิประเทศเป6นการยกตัวเป6นภูเขาหินทรายยอดตัด


(ดัดแปลงจาก พรรณทิวๆ บรรพต, 2556)

รูปที่ 6-2 ลักษณะภูมิประเทศที่เป6นนาขั้นบันไดบLานปMาบงเปNยง อ.แมPแจPม จ.เชียงใหมP


(ดัดแปลงจาก Painaidi, 2013)

รูปที่ 6-3 ผานกเคLาเป6นภูเขาสูงตระหงPานในเขตอุทยานแหPงชาติภูผามPาน อLาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกPน


ลักษณะภูมิประเทศที่เป6นหนLาผาคลLายนกเคLาแมวที่กางปNกออกสองขLาง
(ดัดแปลงจาก สํานักงานเกษตรอําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกPน, 2558)

6.1.1 เส:นขั้นความสูง (Contour Line)


โดยทั่ ว ไปแล. ว งานทางด. า นวิ ศ วกรรมโยธานิ ย มใช. ค+ า ระดั บ สู ง ของภู มิ ป ระเทศ (Terrain Elevation) เพื่ อ แสดง
รูปลักษณ]ภูมิประเทศด.วยเส.นขั้นความสูง ซึ่งได.จากหลายแหล+งด.วยกัน เช+น การสํารวจภาพพื้นดิน (Ground Surveying) หรือ
การสํารวจด.วยภาพถ+ายผ+านการผลิตด.วยเครื่องร+างแผนที่ 3 มิติ (Stereo Plotter) เป–นต.น แต+ไม+ว+าจะเป–นข.อมูลเส.นขั้นความ
สูงที่ได.จากกระบวนการรังวัตแบบใดก็ตาม สิ่งที่ผลิตออกมาก็คือ เส.นชั้นความสูง ซึ่งเป–นการนําเสนอข.อมูลลักษณะภูมิประเทศ
ที่เป–นความสูงต่ำผ+านการเขียนเป–นเส.นลงบนกระดาษที่มีลักษณะแบนราบ โดยเหตุนี้เอง ผู.เชี่ยวชาญด.านภูมิสารสนเทศหลาย
ท+านจึงนิยามการนําเสนอลักษณะความสูงต่ำของภูมิประเทศผ+านการใช.เส.นชั้นความสูงว+าเป–นการจําลองภูมิประเทศแบบ 2.5
มิติ (2.5D Terrain Model) จากอดีตที่ผ+านมาจนกระทั่งป•จจุบัน เส.นขั้นความสูงถือเป–นข.อมูลหลักที่ถูกนํามาใช.ในการแสดงให.
เห็นถึงรูปลักษณะของพื้นที่ภูมิประเทศต+าง ๆ โดยแสดงให.เห็นถึงความสูงต่ำของผิวโลก ซึ่งรวมถึงลักษณะของสันเขาและหุบ
เขา สายธาร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติบนผิวโลกที่เกิดจากการกระทําของมนุษย] เช+น อาคารบ.านเรือน ถนน และ
ลําคลอง เป–นต.น ทั้งนี้เส.นชั้นความสูงถือข.อมูลส+วนสําคัญที่นิยมนําไปใช.ในการออกแบบสิ่งก+อสร.างในทางวิศวกรรมโยธาต+าง ๆ

อาทิเช+น การออกแบบวางแนวเส.นทางที่เป–นการวางโค.งแนวตั้งและการประเมินงานตัดงานถม การออกแบบฝายเพื่อการ


พัฒนาไฟฟWาพลังน้ำขนาดเล็ก หรือกระทั่ง การออกแบบระบบรางในการพัฒนาระบบรถไฟฟWารางเบาในเมืองขอนแก+น เป–นต.น

รูปที่ 6-4 ขLอมูลรูปลักษณaพื้นผิวโลกที่แสดงผลดLวยเสLนชั้นความสูง


(ดัดแปลงจาก GRASS Development Team, 2014)

เส.นขั้นความสูงเป–นการแสดงรูปลักษณ]ภูมิประเทศผ+านกลุ+มของเส.นที่บอกค+าระดับสูงของภูมิประเทศด.วยช+วงเส.น ชั้น
ความสูง (Contour Interval) ที่เป–นระยะห+างแนวดิ่งหรือค+าต+างระดับระหว+างคู+เส.นชั้นความสูงโดยต.องเป–นค+าคงที่สําหรับ
แผนที่หนึ่ง ๆ และต.องที่เหมาะสมสอดคล.องกับมาตราส+วนแผนที่นั้น ทั้งนี้เพราะช+วงเส.นชั้นความสูงจะเป–นดัชนีชี้วัดที่ใช.บ+ง
บอกถึงความละเอียดในการเก็บข.อมูล เส.นชั้นความสูงจัดเป–นวิธีแสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศที่วิศวกรโยธาคุ.นเคยมากที่สุด
และจากคุณสมบัติที่ดีของเส.นชั้นความสูงว+า เส.นชั้นความสูงหนึ่ง ๆ จะมีค+าระดับบนเส.นเดียวกันเท+ากันทั้งเส.น โดยเส.นชั้น
ความสูงหนึ่ง ๆ จะถูกลากไปบนพื้นผิวโลกในบริเวณพื้นที่ที่มีค+าระดับเดียวกัน ซึ่งปกติแล.วค+าระดับความสูงของเส.นชั้นความสูง
ก็คือระยะทิ้งจากตําแหน+งจุดต+าง ๆ บนเส.นถึงพื้นผิวระตับอ.างอิง (Datum) ซึ่งพื้นผิวระดับอ.างอิงนี้จะเป–นทั้งระดับอ.างอิงที่เป–น
ระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) และระดับอ.างอิงที่เป–นระดับสมมุติ (รสม.) ขึ้นมาก็ได.ขึ้นอยู+กับลักษณะและความจําเป–นในงาน
แต+ละประเภท ดังนั้น การมีความเข.าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติของเส.นชั้นความสูงจึงถือเป–นสิ่งจําเป–น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
6.1.1.1 ชนิดเส.นชั้นความสูง
การเขียนเส.นชั้นความสูงมี 3 ลักษณะด.วยกัน (วิชัย เยี่ยงวีรชน, 2548) ดังแสดงรูปที่ 6-5 มีรายละเอียดดังนี้
1 เส-นชั้นความสูงดัชนี (Index Contour) คือ เส.นชั้นความสูงเริ่มต.นที่ค+าระดับ 0 เมตร เหนือระดับพื้นผิวอ.างอิง
โดย เส.นขั้นความสูงทุกเส.นที่เป–นเส.นขั้นความสูงดัชนีนั้น ควรจะต.องมีลักษณะเด+นชัดบนแผนที่ ทั้งนี้สามารถ

นําเสนอ ด.วยการใช.ความหนาหรือสีที่แตกต+างจากเส.นชั้นความสูงประเภทอื่น และต.องกํากับด.วยค+าระดับความสูง


บ น เ ส. น ชั้ น ค ว า ม สู ง อ ย+ า ง ส ม่ ำ เ ส ม อ ส ว ย ง า ม

2 เส-นชั้นความสูงชDวงกลาง (Intermediate Contour Line) คือ เส.นขั้นความสูงต+างๆ ที่อยู+เขียนระหว+างเส.นชั้นความ


สูงดัชนี โดยต.องเขียนด.วยเส.นที่บางกว+าหรือใช.สีที่อ+อนกว+าเส.นชั้นความสูงดัชนี และไม+มีตัวเลขค+าระดับความสูง
กํากับไว.
3 เส-นขั้นความสูงเติมเต็ม (Supplementary Contour Line) คือ เส.นขั้นความสูงเขียนแทรกเพิ่มเติมระหว+างเส.นขั้น
ความสูงช+วงกลาง โดยจะมีการเขียนเส.นขั้นความสูงชนิดนี้ก็เฉพาะกรณีที่เป–นพื้นราบเรียบมากจนทําให.เส.นชั้น
ความสูงที่ปรากฏบนแผนที่มีระยะห+างมากเกินไปจนทําให.การออกแบบหรือแปลความหมายของลักษณะภูมิ
ประเทศทําได.อย+างลําบาก จนทําให.ต.องมีการเขียนเส.นชั้นความสูงส+วนเติมเต็มเพิ่มขึ้นมา ซึ่งต.องเขียนด.วยเส.นประ
และมีสีสันที่เบากว+าเส.นชั้นความสูงชนิดอื่น

รูปที่ 6-5 เสLนชั้นความสูง 3 ชนิดประกอบดLวย (1) เสLนชั้นความสูงดัชนี (2) เสLนขั้นความสูงชPวงกลาง


และ (3) เสLนชั้นความสูงเติมเต็ม (ดัดแปลงจาก วิชัย เยี่ยงวีรชน, 2548)

6.1.1.2 คุณลักษณะเส.นชั้นความสูง
1. ระยะราบระหว+างเส.นชั้นความสูงเป–นปฏิภาคกลับกับความลาดเอียงของพื้นดิน
2. บริเวณพื้นที่ขรุขระและไม+สม่ำเสมอเส.นชั้นความสูงจะไม+เป–นเส.นเรียบ
3. บริเวณพื้นที่ผิวดินเรียบเส.นชั้นความสูงจะมีระยะห+างสม่ำเสมอและขนานกัน
4. ทิศทางของเส.นชั้นความสูงจะตั้งฉากกับแนวลาดเอียงสูงสุด
5. เส.นชั้นความสูงจะลากตัดกับสันเขาหรือร+องน้ำเป–นมุมฉาก

6. เส.นชั้นความสูงที่แสดงลักษณะของพื้นที่เป–นหรือแอ+งจะมีลักษณะเป–นวงเส.นป¨ด โดยพิจารณาจากค+าระดับของ
เส.นข.างเคียง หากค+าระดับของเส.นชั้นความสูงข.างเคียงไม+แสดงให.ทราบว+า เป–นเนินหรือแอ+งจะใช.สัญลักษณ]
แสดงให.ทราบ เช+นใช.วิธีแรเงาส+วนที่เป–นแอ+ง เรียกว+า “Depression Contour
7. เส.นชั้นความสูงแต+ละเส.นจะไม+รวมเป–นเส.นเดียวกันหรือตัดกัน นอกจากในกรณีของหน.าผาสูงชันหรือเป–นชะโงกเขา
และถ้ำ
8. เส.นขั้นความสูงเส.นหนึ่งจะไม+แยกออกเป–นสองเส.น
9. เส.นชั้นความสูงเส.นหนึ่งจะไม+อยู+ระหว+างเส.นขั้นความสูง 2 เส.น ที่มีค+าระดับสูงกว+าหรือต่ำกว+า แต+จะมีลักษณะ
เป–นคู+กันได.
10. เส.นขั้นความสูงที่ลากผ+านแนวเส.นร+องน้ำ (Stream Line) จะมีลักษณะเป–นรูปตัววี (V-Shape) หรือหักมุมกลับ
โดยหันมุมชี้ขึ้นไปทางด.านที่สูงกว+าหรือต.นน้ำ
11. เส.นขั้นความสูงที่ลากผ+านแนวสันเขา (Ridge Line) จะมีลักษณะเป–นรูปโค.งวกกลับคล.ายตัวยู (U-Shape) หัน
ด.านมนไปทางที่มีค+าระดับต่ำกว+า

6.1.1.3 ตัวอย+างรูปของเส.นชั้นความสูงตามลักษณะภูมิประเทศแบบต+างๆ
การเขียนเส.นขั้นความสูงแทนลักษณะภูมิประเทศแบบต+าง ๆ (วิชัย เยี่ยงวีรชน, 2548) เช+น ภูเขาและยอดเขาดังรูป ที่
6-6 (เส.นชั้นความสูงล.อมเป–นวงซ.อนกันหลายวง ๆ และเส.นชั้นความสูงรอบในสุดมีระดับความสูงสูงสุด) หน.าผาดังรูปที่ 6-7
สันเขาดังรูปที่ 6-8 สันเขารูปอานม.าดังรูปที่ 6-9 จมูกเขาดังรูปที่ 6-10 (คือ ส+วนที่แยกออกจากแนวสันเขาใหญ+ลาดลงสู+หุบเขา
ใหญ+ เส.นชั้นความสูงบริเวณจมูกเขามีลักษณะโค.งยื่นไปสู+ลําน้ำสายใหญ+ ส+วนสองข.างของจมูกเขาขนาบด.วยลําน้ำสาขา) ร+อง
น้ำดังรูปที่ 6-11 และ แอ+งน้ำดังรูปที่ 6-12 ทั้งนี้เส.นชั้นความสูงสามารถใช.แสดงลักษณะภูมิประเทศแบบอื่นได.อีกเช+น ร+อง
ระบายน้ำในเมือง แนวถนนน หรือเกาะกลางถนน เป–นต.น โดยการเขียนเส.นชั้นความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศแบบอื่นก็
ล.วนแล.วแต+มีการประยุกต]และปรับปรุงจากตัวอย+างพื้นฐานเหล+านี้

รูปที่ 6-6 เสLนชั้นความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศที่เป6นภูเขาและยอดเขา (Hil and Peak) (ตัดแปลงจาก Titlery, 2013)


รูปที่ 6-7 เสLนชั้นความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศของหนLาผา (Chiff) ที่ซLอนทับหรือชิดกันมาก (ตัดแปลงจาก Tilery, 2013)

รูปที่ 6-8 เสLนขั้นความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศที่เป6นสันเขา (Ridge) (ดัดแปลงจาก Tilery, 2013)

รูปที่ 6-9 เสLนชั้นความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศที่เป6นสันเขารูปอานมLา (Saddle) (ตัดแปลงจาก Titlery, 2013)


รูปที่ 6- 10 เสLนชันความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศที่เป6นจมูกเขา (Spur) (ตัดแปลงจาก Titlery, 2013)

รูปที่ 6- 11 เสLนขั้นความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศที่เป6นรPองน้ำ (ดัดแปลงจาก Titlery, 2013)


รูปที่ 6-12 เสLนขั้นความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศที่เป6นแอPง (Sink) เสLนชั้นความสูงแสดงแอPงน้ำลLอมเป6นวงเดียวหรือหลาย


วงลLอมรอบกัน (ดัดแปลงจาก Tilery, 2013)

6.1.2 ข:อมูลกริด (Grid Data)


การจัดเก็บข.อมูลระดับสูงเชิงเลขลงในพื้นที่ขนาดเล็ก ๆ ที่มีรูปร+างสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดและขนาดคงที่ (Cells)
ดังแสดงในรูปที่ 6-4 บันทึกข.อมูลความสูงต่ำจํานวนมากแทนลักษระภูมิประเทศ โดยข.อมูลในกลุ+มนี้ที่รู.จักกันและนิยม
ใช. ง านกั น ในวงการภู มิ ส ารสนเทศ คื อ แบบจํ า ลองระดั บ สู ง เข็ ง เลข (Digital Elevation Model: DEM) และ
แบบจําลองพื้นผิว เชิงเลข (Digital Surface Model: DSM) เป–นระบบการจัดเก็บข.อมูลลักษณะภูมิประเทศในรูปแบบ
ราสเตอร]ที่เป–นตารางกริต สําหรับบันทึกค+าระดับสูงในแต+ละ Cell เพื่อแสดงการแปรเปลี่ยนความสูงต่ำของพื้นผิวโลก
ที่มีลักษณะต+อเนื่อง ดังรูปที่ 6-14 การใช.ข.อมูลกริดแสดงรูปลักษณ]ผิวโลกทั้ง DEM และ DSM นี้ถือเป–นรูปแบบที่ได.รับ
ความนิยมอย+างยิ่งในป•จจุบัน ซึ่งจะได. กล+าวอย+างละเอียดไว.ส+วนที่ 6.2

รูปที่ 6-13 ตัวอยPางของคPาระดับสูงเข็งเลข DEFM-95 9", SRTM. 3" DEM และ ASTER 1DEM ที่มีความละเอียดทางราบของแตPละ Cell เป6น
270, 90 และ 30 เมตร ตามลLาดับ (ดัดแปลงจาก Hirt et al., 2010)

6.1.3 ข:อมูลจุดคละ (Random Point Data)


ในบางครั้ง รูปลักษณะภูมิประเทศจะแสดงได.ด.วยกลุ+มของจุดที่กระจายอย+างคละทั่วทั้งพินที่ซึ่งจุดเหล+านี้จะ
ประกอบด.วยค+าพิกัดฉากสามมิติ สําหรับกระบวนการใช.งานจุดเหล+านี้บนเครื่องคอมพิวเตอร]นั้น จุดเหล+านี้สามารถ
แสดงผลได. ถึง 2 รูปแบบ คือ (1) โครงข+ายสามเหลี่ยมที่ไม+สม่ำเสมอ (Triangulated irregular Network: TIN) และ
(2) พอยต]คลาว (Point Cloud) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
6.1.3.1 โครงข+ายสามเหลี่ยมที่ไม+สม่ำเสมอ (Triangulated irregular Network: TIN)
โครงข+ า ยสามเหลี่ ย มที่ ไม+ ส ม่ ำ เสมอ หรื อ ที่ นิ ย มเรี ย กกั น ในวงการวิ ศ วกรรมสํ า รวจว+ า ข. อ มู ล TIN เป– น
แบบจําลอง ข.อมูลเวคเตอร]แบบ Topological ซึ่งแทนพื้นผิวโลกด.วยผิวหน.าของสามเหลี่ยมซึ่งเชื่อมต+อกันจํานวนมาก
ดังรูป ที่ 6-14ก โดย จุดยอดแต+ละจุดของสามเหลี่ยมจะถูกบั นทึ กค+าพิ กัดทางราบ (x,y) และค+าความสูง (2) โดย
โครงสร.างของข.อมูล TN แสดงอยู+ ในรูปที่ 6-14ข ตาราง Node บันทึกชื่อหรือหมายเลขสามเหลี่ยมและหมายเลข
node ที่เป–นสุดยอด ตาราง Edge บันทึก หมายเลขของสามเหลี่ยม 3 รูป ซึ่งอยู+ชิดกับสามเหลี่ยมนั้นๆ ส+วนอีก 2
ตารางที่เหลือบันทึกค+าพิกัด x, y และค+าระดับ (2) ของ Node ต+างๆ ด.วยโครงสร.างแบบ TN นี้ ทําให.ค+าความซัน
(Slope) และทิศทางของความซัน (Aspect) สามารถถูกบันทึกลง สําหรับสามเหลี่ยมแต+ละรูป ในลักษณะของค+า
Attribute ของ Polygon จุดเด+นของ TIN คือ การที่สามารถควบคุมความ หนาวแน+นของจุดตามรูปลักษณ]พื้นผิวได.
ง+าย

รูปที่ 6-14 (ก) ตัวอยPาง TIN ในการแสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศ และ (ข) โครงสรLางขLอมูล TIN
6.1.3.2 พอยต]คลาวด] (Point Cloud)
พอยต]คลาวด]เป–นการแสดงรูปลักษณ]พื้นผิวโลกด.วยกลุ+มของจุดสามมิติ โดยมีโครงสร.างการจัดเก็บค+าตําแหน+งของ
วัตถุบนพื้นผิวโลกด.วยในรูปแบบพิกัด (X, Y, Z) ซึ่งอาจจะมีการบันทึกค+าข.อมูลสี (Color Information) แบบแดง-เขียว-
น้ำเงิน (รูปที่ 6-15ก) ของพื้นผิวนั้นๆเข.าไว.ด.วยกัน การแสดงรูปลักษณ]พื้นผิวโลกด.วย Point Cloud นี้จะเป–นการแสดง
กลุ+มของจุด สามมิตินับล.านจุดที่มาแสดงความต+อเนื่องของพื้นผิว ดังรูปที่ 6-15ข โดยสามารถนํามาพิจารณาลักษณะ
ของวัถตุได. เช+น การ เปลี่ยนแปลงของพื้นผิว การวัดระยะทางระหว+างจุดต+าง ๆ บนวัตถุ รวมถึงพิจารณาหามุมองศา เป–น
ต.น

รูปที่ 6-15 (ก) ตัวอยPางขLอมูล Point Cloud ในรูปแบบของตารางขLอมูล และ


(ข) การแสดงรูปลักษณaของพื้นผิวโลกดLวย Point Cloud

6.1.4 ฟŽงกwชั่นพื้นผิว (Surface Function)


ฟ•งก]ชั่นพื้นผิวเป–นการใช.สมการในทางคณิตศาสตร]ในการอธิบายรูปลักษณ]พื้นผิวโลก โดยสมการเดียวอธิบาย ลักษณะ
พื้นผิวทั้งพื้นที่ เช+น Polynomial Trend Surface, Inverse-Distance-weighted Surface และ Spline Surface เป–นต.น ดัง
ตัวอย+างในรูปที่ 6-16

รูปที่ 6-16 การใชLฟˆงกaชนั่ พื้นผิวในการอธิบายรูปลักษณaพื้นผิวโลก (ดัดแปลงจาก Childs, 2004)

6.2 ข:อมูลแบบจําลองความสูงแบบต,าง ๆ (Digital Terrain Data)


ในช+วงเวลาสิบกว+าปµที่ผ+านมา แบบจําลองความสูง ซึ่งเป–นชื่อที่นิยมใช.กันในประเทศไทย แต+ถ.าจะเรียกให.ถูกต.องตาม
ศัพท]บัญญัติ จะต.องเรียกว+า แบบจําลองระดับสูงเข็งเลข (DEM) ได.กลายเป–นข.อมูลภูมิสารสนเทศพื้นฐานที่มีบทบาทสําคัญใน
การศึกษาและจัดการป•ญหาทางวิศวกรรมโยธา ตั้งแต+การวิเคราะห]ภัยพิบัติน้ำท+วม การประเมินผลกระทบด.านสิ่งแวดล.อม
ตลอดจนการจําลองการเติบโตของเมืองรวมไปถึงการหาแหล+งพลังงานทดแทน (ปริญญา จินตาประเสริฐ และคณะ, 2553)
โดย DEM นั้นเป–นระบบการจัดเก็บและแสดงการแปรเปลี่ยนความสูงต่ำของภูมิประเทศที่เป–นเชิงเลข DEM มีความละเอียด
ทางราบ หลายแบบด.วยกัน เช+น 1 arc -Second, 2 arc -second, และ 3 arc -Second เป–นต.น โดยหน+วยวัดความละเอียด
ของ DEM ที่ เป– น arc -second นี้ เริ่มต.น ใช.งานโดย USGS ซึ่งค+อนข.างจะตีความลําบากหากต.องการน้ ำมาใช.ในงานด.าน
วิศวกรรมโยธา ที่คุ.น ขึ้นอยู+กับหน+วยวัดเป–นความละเอียดเป–นเมตร ดังนั้น จึงเป–นเรื่องที่วิศวกรโยธาจําเป–นอย+างยิ่งที่จะต.องทํา
ความเข.าใจกับการ แปลง arc -second ให.เป–นเมตร ซึ่งสามารถพิจารณาได.ดังนี้
6.2.1 ความละเอียดของแบบจําลองระดับสูงเชิงเลข
ในป•จจุบัน DEM ที่ให.บริการอยู+มีหลายประเภทได.กําหนดความละเอียดของ DEFM ในแต+ละ Cell ด.วยหน+วยของ
GSD เป–น arc -second ซึ่งค+อนข.างเป–นอุปสรรคในการตีความของวิศวกรโยธา ดังนั้น เพื่อให.วิศวกรโยธามีความรู.ความเข.าใจ
ใน ประเด็นนี้ได.อย+างชัดเจน เนื้อหาในส+วนี้จึงเป–นการอธิบายการแปลงความละเอียดในหน+วย arc -Second ให.เป–นเมตร จาก
ปกติ เราจะรู.จักความสัมพันธระหว+างมุมกับระยะในรูปที่ 6-17 ด.วยสูตร ดังนี้
s=R
กําหนดให. 5 แทนความยาวตามเส.นโค.ง
R แทนรัศมีโลกเฉลี่ย (ประมาณ 6,371,000 เมตร)

แทนมุมในหน+วย radaians
โดยเหตุนี้ ระยะ 1 arc-second จึงเท+ากับ เมตร
หมายเหตุ ตัวคูณ คือ การแปลงหน+วยของมุมในหน+วยองศา ให.เป–น radians

รูปที่ 6-17 ความสัมพันธ]ระหว+างมุมกับระยะอันเป–นที่มาของสูตร

6.2.2 ประเภทของ DEM ที่จำแนกตามรูปแบบของความครอบคลุมในการให:บริการ


การจำแนกประเภทของ DEM สามารถที่จะดำเนินการจำแนกได.ในหลายลักษณะ ดังนี้
1. การจำแนก DEM ตามรูปแบบการให.บริการ
2. การจำแนกประเภท DEM ตามความละเอียดทางราบ
3. การจำแนก DEM ตามกระบวนการรังวัด
การจำแนกประเภทของ DEM ตามรูปแบบการให.บริการในรูปแบบแรกสุดนี้เหมาะสมกับการนำไปใช.ในนวงการ
วิศวกรรมโยธามากที่สุด ทั้งนี้เพราะวิศวกรโยธาเป–นกลุ+มวิชาชีพที่รู.จักข.อมูล DEM แต+ยังคงมีอยู+ค+อนข.างจำกัด ทว+า DEM เป–น
ข.อมูลที่มีประโยชน]สูงมากต+อการนนำไปประยุกต]ใช.งานด.านวิศวกรรมโยธา ดังนั้น หากวิศวกรโยธามีความรู.ความเข.าใจ
เกี่ยวกับข.อมูล DEM ในมิติของรูปแบบการให.บริการว+า DEM ประเภทไหนบ.างที่ให.บริการที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งโลก และ DEM
แบบไหนบ.างที่มีให.บริการเฉพาะประเทศไทย โดยความเข.าใจในส+วนนี้มีความสำคัญอย+างมากต+อวิศวกรโยธาและวิศวกรสำรวจ
ในยุค AEC ที่ต.องมีการทำงานกับบริษัทข.ามชาติ ความรู.ความเข.าใจเกี่ยวกับ DEM มีส+วนสำคัญอย+างยิ่งต+อการตัดสินใจเพื่อนำ

ข.อมูล DEM มาใช.งานได.อย+างเหมาะสม ดังนั้น การอธิบายในส+วนนี้ จึงได.เลือกที่จะอธิบายโดยเริ่มจากลักษณะการให.บริการ


เป–นจุดเริ่มต.น และจึงอธิบายเจาะลงไปในรายละเอียดของ DEM แต+ละตัว ซึ่งหากแบ+ง DEM ในลักษณะนี้จะสามารถแบ+งได.
DEM ได.เป–น 2 แหล+งใหญ+คือ
(1) ข.อมูล DEM ที่มีระดับความสูงที่ครอบคลุมทั้งโลก (Global Elevation Data) ได.แก+
(1) Globe DEM
(2) DTED
(3) GTOPO30
(4) GLS DEM
(5) SRTM DEM
(6) ASTER GDEM
(7) Global ALOS 3D DSM
(2) ข.อมูล DEM ที่มีระดับความสูงที่ครอบคลุมเฉพาะระดับประเทศ (National Elevation Data) ได.แก+
(1) DEM ที่ให.บริการโดยกรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม (RTSD DEM)
(2) DEM ที่ให.บริการโดยกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ] (MOAC DEM)
โดยละเอียดของข.อมูลแต+ละประเภทจะได.อธิบายดังต+อไปนี้
1. ข.อมูล DEM ที่มีระดับความสูงที่ครอบคลุมทั้งโลก (Global Elevation Data)
นับเป–นเวลากว+าสิบปµแล.ว ที่ข.อมูล DEM ในกลุ+ม Global Elevation Data นี้ได.พัฒนาขึ้นมาเพื่อให.มีการใช.กันทั่วโลก
และยิ่งไปกว+านั้น ข.อมูล DEM ประเภทนี้ยังมีความระเอียดทางราบที่ดีกว+าบริบทที่คณะกรรมการนานาชาติ International
Steering Committee for Global Mapping (ISCGM) กำหนดไว. (สุริยะ ผลพูน, 2552) ทั้งนี้ข.อมูล DEM ในกลุ+มนี้เหมาะแก+
การนำไปวิเคราะห] พัฒนาหรือประยุกต]ใช.ในระดับภูมิภาคหรือระดับทวีป รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอากาศในภาวะโลกร.อน การ
ช+วยในการทำแผนที่สิ่งปกคลุมดินมาตราส+วนเล็ก (ในระดับทวีป) ตลอดจนการหาแนวระบายน้ำในแบบจำลองทางชลศาสตร]
นอกจากนี้ยังสามารถใช.ในการปรับแก.เชิงเรขาคณิตและเชิงคลื่นของภาพถ+ายดาวเทียมความละเอียดทางราบปลานกลางและ
ความละเอียดทางราบต่ำ (Medium-and Coarse Resolution) โดยได.อธิบายรายละเอียดของ DEM แต+ละประเภทไว.ดังนี้
1.1 ข.อมูล GLOBE DEM หรือ The Global land One-km Base Elevation
ข.อมูล GLOBE DEM หรือ The Global land One-km Base Elevation เป–นความร+วมมือกันในระดับนานาชาติ
ที่จะสร.างแบบจำลองระดับสูงเชิงเลขให.ครอบคลุมทั่วโลกโดยออกแบบให.มีความละเอียดทางราบ 30 arc-second (คิดเป–น 1
กม.) และมีการประมาณค+าความถูกต.องทางค+าระดับสูงไว.อยู+ระหว+าง 10 ถึง 500 เมตร ที่ระดับความเชื่อมั่น 90% โดยข.อมูล
GLOBE DEM นี้ได.มีการตรวจสอบจากผูเ. ชี่ยวชาญ อีกทั้งถูกออกแบบให.เป¨ดกว.างสำหรับการใช.งานตลอดจน
การพัฒนาด.านต+างๆรวมไปถึงเรื่องของเอกสารที่ได.มีการประสานงานไปยังองค]กรและหน+วยงานทางวิทยาศาสตร]ต+างๆ เป–น
ผลงานของ The Common on Earth Observation Satellite (CEOS) และ The International Geosphere-Biosphere
Program’s Data and Information System (IGBP-DIS) ทั้ งนี้ ข.อมู ล GLOBE DEM นี้ มาจากแหล+งข.อมู ลทั้ งสิ้น 11 แหล+ง

เช+นข.อมูล DTED ข.อมูล DEM ของประเทศต+างๆ ตลอดจน แผนที่ภูมิประเทศกระดาษที่ได.มีการแปลงให.อยู+ในระบบดิจิทัล


ข.อมูล GLOBE DEM นี้มีความครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต+เส.นรุ.งที่ 180 องศาตะวันออก และเส.นแวงที่ 90 องศาเหนือถึง 90 องศา
ใต. มีระบบพิกัดอ.างอิงทางราบคือ World Geodetic System 1984 (WGS84) และค+าระดับสูงเป–นเมตร รทก.

สาม ารถดาวน] โห ลดจากเว็ บ ไซต] ข อง NOAA’s National Centers for Environmental Information (NCEI) ด. ว ย
URL:https://www.ngdc.noaa.gov/mgg/topo/gltiles.html และในการดาวน]โหลดนี้สามารถดาวน]โหลดระวางที่สนใจ ซึ่ง
แบ+งข.อมูลออกเป–น 16 ระวาง ดังรูปที่ 6-18 และประเทศไทยตั้งอยูใ+ นบริเวณระวางที่ H

รูปที่ 6-18 ระวางข.อมูล Globe DEM ซึ่งได.แบ+งออกเป–น 16 ระวางสำหรับการดาวน]โหลดไปใช.งาน


ในแต+ละพื้นที่ (ดัดแปลงมาจาก Virtual Terrain Project, 2016)

1.2 ข.อมูล Digital Terrain Elevation Data (DTED)


ข.อมูล DTED ให.บริการโดย The National Geospatial Agency (NGA) หรือชื่อที่รู.จักกันในอดีต คือ
The National Imagery and Mapping Agency (NIMA) ตารางที่ 6-1 ได. แ สดงให. เห็ น ว+ า DTED มี ด. ว ยกั น หลายระดั บ
(Level) คือ Level 0, Level 1, Level 2 โดยมีขนาดของกริตแต+ละช+องเป–น 30, 3 และ 1 arc-second ตามลำดับ ข.อมูล
DTED มีพื้นฐานอ.างอิงทางราบเป–น WGS84 และพื้นหลักฐานอ.างอิงทางดิ่งจะอิงกับระดับน้ำทะเลปลานกลางโดยอาศัยการ
ประยุกต]ใช.แบบจำลองยีออยด] EGM96 ทั้งนี้ข.อมูล DTED Level 0 ซึ่งมีความครอบคลุมกระจายไปทุกประเทศดังแสดงในรูปที่

6-19 จะมีลักษณะคล.ายๆ กับข.อมูล GTOPO30 ที่ความละเอียดทางราบ 1 กม. แต+มีคุณภาพดีกว+า และเป–นชั้นข.อมูลที่เป¨ด


ให.แก+สาธารณะ แต+ในขณะที่ความละเอียดอื่นๆที่ดีกว+านี้จะไม+เป¨ดให.บริการเผยยแพร+ต+อสาธารณะ ไม+ว+าจะเป–น Level 1
(ความละอียดทางราบเป–น 100 เมตร) มีความถูกต.องทางตำแหน+งราบเป–น 50 เมตร และทางดิ่งเป–น 30 เมตร ที่ระดับ
ความเชื่อมั่น 90% ในขณะที่ Level 2 (ความละเอียดทางราบเป–น 30 เมตร) มีความถูกต.องทางตำแหน+งทางราบเป–น 23
เมตร และทางดิ่งเป–น 18 เมตร

รูปที่ 6-19 ระวางข.อมูล DTED Level 0 ซึ่งความระเอียดทางราบ 1 กม. ซึ่งกระจายครอบคลุมทั่วโลก


(ดัดแปลงจาก National Geospatial-Intelligence Agency [NGA], 2016)

ตารางที่ 6-1 สรุปความละเอียดทางราบและมาตราส+วนแผนที่ที่เหมาะสมสำหรับข.อมูล DTED แต+ละประเภท


ระดับความระเอียดข.อมูล มาตราส+วนแผนที่ ความละเอียดทางราบของ DEM cell
DTED Level 0 มาตราส+วนเล็ก 30 arc-second 1 km
DTED Level 1 มาตราส+วนกลาง 3 arc-second 100 m
DTED Level 2 มาตราส+วนใหญ+ 1 arc-second 30 m

1.3 ข.อมูล GTOPO30 หรือ Global 3D Arc Second Elevation Data


ข.อมูล GTOPO30 สร.างเพื่อตอบสนองความต.องการของกลุ+มผู.ใช.ข.อมูลภูมิสารสนเทศในสเกลระดับภูมิภาค
ตลอดจนระดั บ ทวี ป โดยหน+ ว ยงาน U.S. Geological Survey’s EROS Data Center รวบรวมข. อ มู ล ระดั บ ความสู ง จาก
หลากหลายแห+งทั้งภายในและภายนอกประเทศสหรัฐอเมริกาและพัฒนามาเป–นข.อมูล GTOPO30 ซึ่งใช.เป–นระยะเวลากว+า 3 ปµ
แล.วเสร็จในปµ ค.ศ. 1997 แหล+งข.อมูลที่นำมาใช.ในโครงการนี้ ดังรูปที่ 6-20 ได.แก+ DTED, USGS DEM, New Zealand DEM
และ Antarctic Digital Database เป–นต.น (USGS, 2015) โดยการนี้เองทำให.ความถูกต.องของข.อมูล GTOPO30 ค+อนข.างที่
จะหลากหลาย กล+าวคือ ข.อมูลระดับความสูงในบริเวณที่สร.างจากขข.อมูลราสเตอร]จะให.ความถูกต.องที่ดีกว+าข.อมูลที่สร.างจาก
แหล+งข.อมู ลเวกเตอร] โดยเฉพาะอย+างยิ่งในบริเวณที่ ข.อมู ลสร.างจาก 3-arc-second DTED และ USGS DEM จะให. ค วาม
ถูกต.องทางดิ่งในระดับ 30 ม. ที่ระดับความเชื่อมั่น 90% ทั้งนี้ข.อมูล GTOPO30 ได.แบ+งข.อมูลออกเป–น 33 ระวางดังรูปที่ 6-
21 โดยดาวน]โหลดได.ที่ https://earthexplorer.usgs.gov/ ซึ่งเป–นเว็บไซต]ของ USGS

รูปที่ 6-20 แหล+งข.อมูลที่ใช.ผลิตข.อมูล GTOPO30 เช+น DTED, USGS DEM, และ New Zealand DEM เป–นต.น
(ดัดแปลงจาก USGS, 2015)

รูปที่ 6-21 ระวางข.อมูล GTOPO ซึ่งได.มีการแบ+งออกเป–น 33 ระวางสำหรับการดาวน]โหลดไปใช.งานในแต+ละพื้นที่


(ดัดแปลงจาก Danielson & Gesch, 2010)
1.4 ข.อมูล GLCF DEM
ข. อ มู ล GLCF DEM เป– น การรวบรวม DEM ที่ มี ค วามถู ก ต. อ งสู งๆ จากหลายแหล+ งมาไว.ด. วยกั น โดยโครงการ The
Global Land Cover Facility (GLCF) ภายใต. University of Maryland แหล+งข.อมูลที่ใช.ในโครงการนี้ (รูปที่ 6-22) ได.แก+
National Elevation Dataset (NED) ชองประเทศสหรัฐอเมริกา, Canadian Digital Elevation Dataset (CDED)
ของประเทศแคนนาดา และ Shuttle Radar Topography Mission (SRTM) DEM โดย NASA ประเทศแคนนาดา
เป–นต.น โดยหน+วยงาน Global Land Cover Facility (GLCF) ภายใต.โครงการชื่อ Global Land Survey Digital Elevation
Model (GLSDEM) ความละเอียดทางราบ 90 เมตร ดาวน]โหลดได.ที่ GLCF ผ+าน ftp://ftp.glcf.umd.edu/glcf/GLSDEM

รูปที่ 6-22 แหล+งข.อมูลสำหรับผลิต GLCF DEM ซึ่งประกอบด.วย SRTM DEM, GTOPO30 และ CDED เป–นต.น
(ดัดแปลงจาก Global Land Cover Facility, 2016)

1.5 ข.อมูล Shuttle Radar Topography Mission (SRTM) DEM


ข.อมูล SRTM DEM เป–นโครงการร+วมระหว+าง NGA กับ NASA โดยที่โครงการ SRTM นี้เป–นโครงการใช.กระสวย
อวกาศซึ่งมีมนุษย]ควบคุมกวาดพื้นที่บนผิวโลกโดยใช.เรดาร]สองย+านความถี่ คือ แบนด] X และ แบนด] C โครงการนี้ได.ใช.จุดเด+น
ของเรดาร]ที่เก็บข.อมูลแบบทะลุเมฆได.จึงสามารถเก็บข.อมูลได.ทุกสภาพอากาศ และเก็บข.อมูลได.ตลอดเวลาทั้งกลางวันและ
กลางคืนทำให.ข.อมูลชุดนี้จึงจัดเป–นกวาดข.อมูลภูมิประเทศให.สำเร็จทั้งโลกในคราวเดียวอันเป–นโครงการแรกของโลกที่ประสบ
ความสำเร็ จ เทคนิ ค ที่ ใช. ในการประมวลข. อ มู ล ชนิ ด นี้ อ าศั ย เทคนิ ค การแทรกสอดข. อ มู ล เรดาร] ช+ อ งเป¨ ด สั งเคราะห] (SAR
Interferometry: InSAR) โครงการนี้ ได.ผลผลิตข.อมูล DEM ที่ มีคุณ ภาพสูงทั้ งในมิติรายละเอียดของภู มิป ระเทศ มิติความ
ถูกต.องเชิงตำแหน+ง ตลอดจนมิติความละเอียดทางราบ ข.อมูล SRTM นี้จะครอบคลุมตั้งแต+เส.นรุ.งที่ 180 องศาตะวันตก ถึง
180 องศาตะวันออก และครอบคลุมตั้งแต+เส.นแวงที่ 60 องศาเหนือ ถึง 56 องศาใต. โดยใช.ข.อมูล SRTM ได.แบ+งความละเอียด
ทางราบออกเป–น 2 ระดับ (สุริยะ ผลพูน, 2548) คือ
(1) 90-m SRTM DEM มีความละเอียดทางราบ 3 arc-second (90 ม.)
(2) 30-m SRTM DEM มีความละเอียดทางราบ 1 arc-second (30 ม.)
SRTM DEM ทั้งสองแบบนี้สามารถดาน]โหลดได.ที่ USGS ผ+าน https://eathexplorer.usgs.gov// แล.วเลือกที่
หมวด Digital Elevation category ทั้งนี้งานวิจัยโดย Mukul et al. (2017) ได.ศึกษาความถูกต.องทางดิ่งของข.อมูล
30-m SRTM DEM และ 90-m SRTM DEM ว+า มีค+าคลาดเคลื่อนมาตรฐานเฉลี่ยประมาณ 23 ม. และ 48 ม. ตามลำดับ
(ในกรณีที่มีการขจัด Void และ กรองข.อมูลส+วนที่ผิดพลาดออกไปจะมีความสูงถึง 10 ม. และ 14 ม. ตามลำดับ)

1.6 ข.อมูล ASTER GDEM


ข.อมูล ASTER Global Digital Elevation Model (GDEM) เป–นแบบจำลองค+าระดับสูงเชิงเลขโดยของ NASA และ
Japan’s Ministry of Economy, Trade and industry (METI) ซึ่งผลิตขึ้นจากเทคนิคการสำรวจด.วยภาพถ+ายจากข.อมูลภาพ
ดาวเที ย ม (Satellite Photogrammetry Technique, รู ป ที่ 6-23ก) ที่ เป– น การประมวลผลภาพคู+ ซ. อ นจาการวิ เคราะห]
ข.อมูลภาพดาวเทียม Advanced Spaceborne Thermal Emission and Reflection Radiometer (ASTER) ดังรูปที่ 6-23
ข ซึ่งมีความครอบคลุมพื้นที่บนดิน 99% ของโลก ตั้งแต+เส.นแวงที่ 80 N ถึง 80 S ดังรูปที่ 6-24 มีความละเอียดของแต+ละ
Cell เป– น 30 ม. และมี ค+ าคลาดเคลื่ อ นมาตรฐานเฉลี่ ย ของค+ าระดั บ สู งอยู+ ที่ 7-10 ม. และดาวน] โหลดได. ที่ USGS ผ+ าน
https://earthexplorer.usgs.gov/

(ก)

(ข)

รูปที่ 6-23 (ก) หลักการทำงานของดาวเทียม ASTER ในโหมดในกวาดข.อมูลแบบ Stereo Pair สำหรับการผลิต DEM
(ข) กระบวนการในการผลิต ASTER GDEM จากข.อมูลแบบ Stereo Pair ของดาวเทียม ASTER
(ดัดแปลงจาก ประจวบ เรียบร.อย, 2553)

รูปที่ 6-24 ความครอบคลุมของข.อมูล ASTER GDEM ที่มีให.บริการ


(ดัดแปลงจาก NASA Jet Propulsion Laboratory, 2010)

1.7 ข.อมูล JAXA’s Global ALOS 3D World


ข.อมูล JAXA’s Global ALOS 3D World เป–นข.อมูลแสดงรูปลักษณ]พื้นผิวโลกที่เป–นแบบจะลองพืน้ ผิว (DSM) ซึ่ง
แตกต+างจาก DEM ตรงที่ข.อมูลค+าความสูงแบบ DSM ผนวกเอาความสูงของพืชพันธุ] อาคาร และสิ่งปลูกสร.างเอาไว.ด.วยใน
ขณะที่ข.อมูล DEM จะตัดข.อมูลความสูงเหล+านี้ออกไปให.เหลือเฉพาะค+าความสูงขอพื้นผิวโลกจริงๆ ข.อมูล ALOS World 3D
DSM นี้ ผ ลิ ต โดย The Japan Aerospace Exploration Agency’s (JAXA) จากข. อ มู ล ภาพดาวเที ย ม Advanced Land
Observing Satellite “DAICHI” (ALOS) ด.วยการใช.ข.อมูล ALOS ในโหมด PRISM ที่เป–นการถ+ายแบบสามมิติ ดังรูปที่ 6-25
และประมวลผลด.วยเทคนิค Satellite Photogrammetry ซึ่งขั้นตอนดังรูปที่ 6-26 มีความครอบคลุมพื้นโลกตั้งแต+เส.นแวงที่
60 N ถึง 60 S ดังรูปที่ 6-27 ดาวน]โหลดได.ที http://www.eorc.jaxa.jp/ALOS/en/aw30d30/data/index.htm โดยต.อง
มีการลงทะเบียนผู.ใช.งานและได.รับอนุมัติก+อน

รูปที่ 6-25 ข.อมูลดาวเทียม ALOS ที่ถ+ายในโหมด PRISM ที่เป–นการวาดภาพแบบสามมิติซึ่งถ+ายโดยการวางภาพใน


ทิศมุ+งหน.า (Forward) ทิศดิ่ง (Nadir) และทิศย.อนหลัง (Backward) ในการสร.างส+วนซ.อน
(ดัดแปลงจาก PASCO, 2018)

รูปที่ 6-26 กระบวนการผลิตข.อมูล DEM จากข.อมูลสภาพดาวเทียม ALOS ในโหมด PRISM


ที่ถูกนำมาประมวลผลด.วยเทคนิค Satellite Photogrammetry
(ดัดแปลงจาก Habib et al, 2017)

รูปที่ 6-27ระวางข.อมูล ALOS World 3D DSM ที่มีความครอบคลุมพื้นโลกตั้งแต+เส.นแวงที่ 60 องศาเหนือ ถึง 60 องศใต.


(ดัดแปลงจาก Gisresources, 2015)

2. ข.อมูล DEM ที่มีระดับความสูงที่ครอบคลุมเฉพาะระดับประเทศ (National Elevation Data)


ในช+วงเวลากว+า 10 ปµที่ผ+านมา รัฐบาลไทยได.จัดสรรงบประมาณให.กับหน+วยราชการในการผลิตข.อมูล DEM ให.
ครอบคลุมพื้นที่อาณาเขตประเทศไทย มีด.วยกัน 2 ประเภท คือ (1) ข.อมูล RTSD DEM จากโครงการจัดทำแผนที่ชุด L7018
ของกรมแผนที่ ท หาร (RSTD DEM) และ (2) ข. อ มู ล DEM จากโครงการจั ด ทำแผนที่ เพื่ อ บริห ารทรัพ ยากรธรรมชาติ แ ละ
ทรัพย]สินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ] (MOAC DEM) มีรายละเอียดดังนี้
2.1 ข.อมูล RSTD DEM
ข.อมูล RSTD DEM จัดผลิตโดยกรมแผนที่ทหาร (Royal Thai Surveying Department: RTSD) ได.ดำเนินการ
จัดจ.างหน+วยงานแผนที่สหรัฐอเมริกา (NGA) ในการผลิตและประมวลผลข.อมูล ทั้งนี้ข.อมูล DEM ชุดนี้ครอบคลุมทั้วประเทศ มี
ทั้งสิ้นจำนวน 830 ระวาง ดังรูปที่ 8-28 ซึ่งขนาดชองแต+ละระวางครอบคลุมพื้นที่ 27.5 กม. x 27.5 กม. โดย ณ ป•จจุบันมี
ราคาระวางละ 2,500 บาท RTSD DEM มี ร ะบบพิ กั ด ทางราบอิ ง พื้ น หลั ก ฐาน WGS84 และค+ า ระดั บ ทางดิ่ ง อ. า งอิ ง กั บ
ระดับน้ำทะเลปานกลาง ข.อมูล RTSD DEM ได.ออกแบบให.มีความละเอียดทางราบ 30 เมตร แบบจำลองระดับสูงเชิงเลขชุดนี้
ได.ถูกออกแบบให.มีความถูกต.องทางดิ่งโดยเฉลี่ย 7 ถึง 15 เมตรหรือดีกว+าตามมาตรฐานการทำแผนที่ของ NGA และจะมี
ความถูกต.องที่ดีกว+านี้สำหรับบริเวณที่ราบโล+งไม+ค+อยมีสิ่งปกคลุม (Waisurasingha et al.) ผู.สนใจสามารถติดต+อประสานได.ที่
ศูนย]ข.อมูลทางแผนที่ กรมแผนที่ทหาร

สารบัญแสดงแผนที่ชุด L7018 S

รูปที่ 6-28 ระวางข.อมูลแบบจำลองความสูงของกรมแผนที่ทหาร (RTSD DEM)


ที่กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ มีทั้งสิ้นจำนวน 830 ระวาง
(ดัดแปลงจาก กรมแผนที่ทหาร, 2559)
2.2 MOAC DEM
ข.อมูล MOAC DEM เป–นแบบจำลองระดับสูงเชิงเลขที่จัดทำโดยกระทรวงกระเกษตรและสหกรณ] (Ministry of
Agriculture and Cooperatives: MOAC) โดยสร.างขึ้นจากข.อมูลภาพถ+ายทางอากาศซึ่งบินถ+ายเมื่อ ปµ ค.ศ. 2002-2003 ซึ่ง
เผยแพร+และให.บริการโดยกรมพัฒนาที่ดิน และจะให.บริการเฉพาะกับหน+วยงานราชการเท+านั้น ทั้งนี้ MOAC DEM จัดทำขึ้น
พร.อมๆ กับ การผลิตแผนที่ ภ าพถ+ายออร]โธสีเชิงเลข 1:4,000 และข.อมูล MOAC DEM มีความครอบคลุมประเทศไทยทั้ ง
ประเทศ มีทั้งสิ้นจำนวน 37,451 ระวาง แต+ละระวางครอบคลุมพื้นที่ 4 กม. X 4 กม. โดยมีราคา 1,000 บาทต+อระวาง ข.อมูล
MOAC DEM มีความละเอียดทางราบ 5 เมตร มีเกณฑ]ความถูกต.องทางดิ่ง ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ดังนี้
2.2.1 บริเวณพื้นที่ราบ และบริเวณที่มีความลาดชันไม+เกิน 35 % ความถูกต.องอยู+ในเกณฑ] 2 เมตร หรือดีกว+า
2.2.2 บริเวณพื้นที่สูงชัน มีความลาดชันเกิน 35 % ความถูกต.องอยู+ในเกณฑ] 4 เมตร หรือดีกว+า

6.3 การใช:ประโยชนwจากแบบจำลองความสูงในงานวิศวกรรมโยธา
(Utilization of DEM for Civil Engineering Works)
ข.อมูลแบบจำลองระดับสูงเชิงเลข (DEM) ได.กลายเป–นข.อมูลพื้นฐานที่ถูกนำมาใช.ในการนำเสนอรูปลักษณ]พื้นผิวโลก
โดยความาสูงต่ำของพื้นผิวโลกในเชิงดิจิทัล รวมถึงได.กลายเป–นหนึ่งในส+วนสำคัญที่สุดของโครงสร.างข.อมูลที่ใช.วิเคราะห]งาน
ทางด.านภูมิสารสนเทศ (Geomatics) ตลอดจนงานทางด.านวิทยาศาสตร]อื่นๆ อันเกี่ยวข.องกับผิวโลก (Geoscience) และ
ข.อมูล DEM ถือเป–นข.อมูลสารสนเทศที่อธิบายลักษณะภูมิประเทศ (Topographic Information) ที่เป–นกุญแจสำคัญในการ
สำรวจด.วยภาพถ+าย โดยข.อมูล DEM เป–นวัตถุดิบในการตัดแก.ข.อมูลภาพถ+ายปกติที่ยังมีความผิดเพี้ยนอันเนื่องมาจากการฉาย
ผ+านศูนย]ทัศน] (Perspective Projection) ที่ทำให.เกิดความคลาดเคลื่อนของจุดภาพอันเนื่องมาจากความเอียงของแนวแกน
กล. อ ง (Tilt) และความคลาดเนื่ อ งจากความต+ า งระดั บ (Relief Displacement) ให. ก ลายเป– น ข. อ มู ล ภาพถ+ า ยออร] โ ธ
(Orthophoto) ที่ขจัดความคลาดเคลื่อนเหล+านี้ออกไปจนกลายเป–นการฉายแบบตกตั้งฉาก (Orthographic Projection) ซึ่ง
จะได.กล+าวถึงโดยละเอียดในบทที่ 7
ในมิติของการสำรวจด.วยภาพดาวเทียมจากระยะไกล (Remote Sensing) นั้น ข.อมูล DEM ได.ถูกนำมาเป–นเงื่อนไข
สำคัญในการปรับแก.คุณลักษณะต+างๆ อันผิดเพี้ยนของข.อมูลภาพถ+ายดาวเทียมอันเนื่องมาจากรูปลักษณ]ของพื้นผิวซึ่งเป–น
สาเหตุทำให.เกิดป•ญหาของค+าการส+องสว+างของภูมิประเทศในเชิงอนุพันธุ] (Differential Terrain Illumination) บนข.อมูลภาพ
ดาวเทียม โดย Nichol & Hang (2013) ได.กล+าวว+า บทบาทของ DEM มีความสำคัญอย+างยิ่งในการเข.ามาเป–นตัวแปรสำคัญใน
การสร. า งแบบจำลองที่ ใช. ในการปรั บ แก. ไม+ ว+ า จะเป– น การปรั บ แก. ลั ก ษณะทางเรขาคณิ ต (Geometric Correction) หรื อ
แม.กระทั่งการปรับแก.คุณลักษณะเชิงคลื่น (Radiometric Correction) ตลอดจนการปรับแก.ความคลาดเคลื่อนชั้นบรรยากาศ
(Atmospheric Correction)
นอกจากนี้ การวิเคราะห]ต+างๆ ที่เกี่ยวข.องกับข.อมูล DEM มีความสำคัญ อย+างยิ่งต+อการประยุกต]ใช.ร+วมกับข.อมูล
ราสเตอร] (Raster) ในระบบสารสนเทศภู มิ ศ าสตร] (Geographical Information System: GIS) ทั้ งในมิ ติ ข องการบริห าร
จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย+างการบริหารจัดการน้ำ หรือ ในมิติของการตัดสินใจต+างๆ ก็ยังต.องการใช.ข.อมูล DEM เข.าไปร+วม
ประกอบในกระบวนการตัดสินใจแบบหลายหลักเกณฑ] หรือแม.กระทั่งเฉพาะข.อมูล DEM เองก็เป–นข.อมูลขั้นพื้นฐานในการ
วิเคราะห]เพื่อประยุกต]ใช.ในงานภภูมิสัณฐาน (Geomorphology)
จากที่ได.เกริ่นไว.ทั้งหมดนี้เพื่อให.วิศวกรโยธาได.เล็งเห็นถึงความสำคัญและการนำเอา DEM ไปในแง+มุมต+างๆ โดยจะ
เห็ น ว+ า DEM นั้ น มี ป ระโยชน] อ ย+ า งยิ่ ง ต+ อ การนำไปประยุ ก ต] ใช. ในทุ ก วงการวิ ศ วกรรม ดั ง นั้ น เนื้ อ หาต+ อ จากนี้ ไปจะเป– น
รายละเอียดในการนำ DEM มาใช.ประโยชน] โดยเริ่มจากการตรวจสอบความถูกต.องของ DEM และฟ•งก]ชั่นพื้นฐานทาง GIS ใน
การวิเคราะห] DEM ที่มปี ระโยชน]ต+องานวิศวกรรมโยธา

6.3.1 การประเมินความถูกต:องของ DEM (Accuracy Assessment of DEM)


ในการที่จะนำเอาข.อมูล DEM จากแหล+งต+างๆที่กล+าวมาข.างต.นมาใช.นั้น มีความจำเป–นอย+างยิ่งที่จะต.องมีการประเมิน
ถึงความถูกต.องเชิงตำแหน+งของข.อมูลโดยเฉพาะอย+างยิ่งความถูกต.องทางดิ่ง ซึ่งได.แก+ (1) การวิเคราะห]และประเมินความ
ถู ก ต. อ งโดยรวม (Global Accuracy) ของแบบจำลองชนิ ด ต+ า งๆ ได. แ ก+ MOAC DEM, RTSD DEM, GDEM, SRTM DEM
รวมถึง GLS DEM โดยเทียบกับข.อมูลที่ได.จากงานรังวัดดาวเทียม GPS แบบ Rapid Static และ (2) แบบจำลองความคลาด
เคลื่อนของ DEM เพื่อสร.างพื้นผิวความถูกต.อง (Accuracy Surface) ใช.สำหรับทำนายความคลาดเคลื่อนของข.อมูล DEM ณ ที่
ตำแหน+งใดๆ ที่กำลังสนใจ
6.3.1.1 การประเมินความถูกต.องในภาพรวม
การประเมินความถูกต.องในภาพรวม (Global Accuracy Assessment) เป–นการตรวจสอบค+าทางสถิติพื้นฐานของ
ข.อมูล DEM เป–นการเปรียบเทียบคุณลักษณะโดยรวมในทางสถิติของ DEM แต+ละชนิดเพื่อที่จะประเมินเบื้องต.นถึงคุณลักษณะ
ทางสถิติ ได.แก+ ค+าระดับต่ำสุด (Minimum Elevation) ค+าระดับสูงสุด (Maximum Elevation) และค+าเฉลี่ยของค+าระดับ
(Mean Elevation) นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบค+าระดับจาก DEM กับค+าระดับอ.างอิงเพื่อพิจารณาเป–นค+าคลาดเคลื่อน
สัมบูรณ]เฉลี่ย (Mean Absolute Error: MAE) ค+าส+วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของค+าระดับ (Standard Deviation of Elevation)
ของแต+ ล ะข. อ มู ล DEM ที่ เรี ย กอี ก ชื่ อ ว+ า ค+ า คลาดเคลื่ อ นกำลั งสองน. อ ยที่ สุ ด (Root-Mean-Square Error: RMSE) และค+ า
Accuracy Z ซึ่งจะได.กล+าวถึงดังนี้
1. การวิเคราะห]ทางสถิติเพื่อคำนวณหาค+าความคลาดเคลื่อนระหว+างระดับของ DEM และค+าระดับบของ DEM
และค+าระดับอ.างอิง โดยการประเมินค+าความคลาดเคลื่อนจากสมการต+อไปนี้
(6-1)
เมื่อ แทน ค+าความคลาดเคลื่อนที่ตำแหน+ง (x,y) ใดๆ
แทน ค+าระดับของจุดใดๆที่ได.จากงานรังวัด DGPS
แทน ค+าระดับของจุดใดๆบนข.อมูล DEM
และค+าความคลาดเคลื่อนที่ได.มาทำการประเมินค+า Mean Absolute Error (MAE) จากสมการต+อไปนี้
(6-2)

และค+า RMS Error ได.จากสมการต+อไปนี้


(6-3)

และนำค+า RMS Error ไปหาค+า Accuracy Z จากสมการ


(6-4)

จากการศึกษาที่ผ+านมา ได.แก+ Rodriguez et al. (2006) และ Gorokhovich & Voustianiouk (2006) เป–นต.น ได.
เสนอแนวทางในการประเมินความถูกต.องในภาพรวม (Global Accuracy Assessment) ผ+านการประเมินความถูกต.องทางดิ่ง
ของข.อมูล DEM เทียบกับค+าระดับสูงอ.างอิงซึ่งอาจจะได.มาโดยหลายวิธี อาทิ ค+าระดับสูงที่ได.จากแผนที่มาตราส+วนใหญ+ หรือ
รังวัดค+าพิกัดตรวจสอบด.วยระบบดาวเทียม GPS ยกตัวอย+างเช+น Gorokhovich & Voustianiouk (2006) ได.มีการศึกษาความ
ถูกต.องเชิงตำแหน+งสัมบูรณ]ทางดิ่งบริเวณเกาะภูเก็ต โดยผลการศึกษาพบว+า 90-m SRTM DEM บริเวณนี้มีความถูกต.องอยู+
ประมาณ 7.58 ม. ในเวลาต+อมาได.มีการศึกษาของ สุริยะ ผลพูน, ชาติชาย ไวยสุระสิงห], & ขรัตน] มงคลสวัสดิ์ (2553) ได.
วิเคราะห]ความถูกต.องของ DEM บริเวณพื้นที่ ต.บ.านโคกโพธิ์ อ.สระโคร จ.หนองคาย โดยพบว+า 90-m SRTM DEM มีค+าความ
ถูกต.องในระดับเดียวกันกับ 30-m RTSD DEM และ 5-m MOAC DEM รวมถึงได.มีการวิเคราะห]ทดลองเปรียบเทียบกับการ
รังวัดค+าระดับโดยแสดงเป–นรูปตัดตามแนวยาว (Profile) ด.วยวิธีการใช.กล.องระดับอิเล็กทรอนิกส] รุ+น NAK3003 ให.ผลดังรูป 6-
30 นอกจากนี้ ชาติชาย ไวยสุระสิงห], เจษฎา ทองแท+ง, & สุริยะ ผลพูน (2553) ได.มีการนำเอาค+าอ.างอิงที่ได.จากรังวัด DGPS
แบบ Rapid Static จำนวน 58 จุดเป–นข.อมูลอ.างอิงค+าระดับ เพื่อใช.ในการประเมินความถูกต.องแบบของจำลองระดับแต+ละ
ชนิด ซึ่งประกอบด.วย 5-m MOAC DEM, 30-m RTSD DEM, 30-m GDEM, 90-m SRTM DEM, และ 90-m GLS DEM ดัง
แสดงไว.ในตารางที่ 6-2 โดยผลลัพ ธ]ที่ ได. แสดงถึงค+ าเฉลี่ยระดั บ ของ DEM จะเห็ น ว+า ค+ าระดั บ เฉลี่ยของ DEM แต+ ละตั วที่
ค+อนข.างใกล.เคียงกันโดยอยู+ในช+วง 517-529 ม. และมีค+าส+วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของค+าระดับที่ใกล.เคียงกันคือ (127-129) ม.
นอกจากนี้ ยังได.มีการประเมินค+าเปรียบเทียบทางสถิติอื่นๆ เช+น ค+า Mean Absolute Error (MAE) ค+า RMS Error และค+า
Accuracy Z โดยผลลัพธ]ที่ได.จากขั้นตอนนี้จะได.แสดงไว.ในตาราง 6-3 โดยจะเห็นว+าข.อมูล MOAC DEM จะมีความถูกต.องสูง
กว+าข.อมูลแบบจำลองอื่นๆมาก ดังจะเห็นได.จาก RMS Error อยู+มีค+าใกล. 2 ม. ในขณะที่ข.อมูล DEM อื่นๆ มีค+า RMS Error
ค+อนข.างสูง โดยเฉพาะอย+างยิ่ง ข.อมูล GDEM มีความถูกต.อง ค+อนข.างต่ำเมื่อเทียบกับจำลองระดับสูงชนิดอื่นๆ มากและค+า
MAE ก็มีทิศทางในทำนองเดียวกัน และจากค+า Error Range ของ MOAC DEM ที่มีค+าต่ำกว+าค+าที่ได.จากข.อมูล DEM อื่นๆ นั้น
แสดงให.เห็นคือความถูดต.องของ MOAC DEM ที่ค+อนแคบกว+าข.อมูล DEM ชนิดอื่นๆ และด.วยเหตุนี้เองในการดำเนินการ
วิเคราะห]ขั้นต+อไปจึงได.เลือกเอา MOAC DEM เป–นข.อมูลอ.างอิงสำหรับการสร.างแบบจำลอง Error ให. DEM ชนิดอื่นๆ

รูปที่ 6-29 ประยุกต]ใช.รูปตัดตามแนวยาว (Profile) ที่ได.จาก DEM ชนิดต+างๆ เพื่อเปรียบเทียบกับค+าระดับที่ได.จากการรังวัด


ถ+ายค+าระดับกล.องระดับอิเล็กทรอนิกส] รุ+น NAK3003
(ดัดแปลงจาก สุริยะ ผลพูน และคณะ, 2553)

ตารางที่ 6-2 ค+าทางสถิติพื้นฐานของค+าระดับของข.อมูล DEM โดยเน.นที่ DEM ซึ่งที่มีความละเอียดทางราบไม+เกิน 90


เมตร (ชาติชาย ไวยสุระสิงห] และคณะ, 2553)

ตารางที่ 6-3 ค+าความคลาดเคลื่อนของค+าระดับของข.อมูล DEM แต+ละชนิดซึ่งเปรียบเทียบกับค+าระดับที่ได.งานรังวัด


ดาวเทียมจีพีเอส (GPS) ด.วยวิธี Rapid Static จำนวน 58 จุด
(ชาติชาย ไวยสุระสิงห] และคณะ, 2553)

ชาติชาย ไวยสุระสิงห] และคณะ (2561) ประยุกต]ใช.อากาศยานไร.คนขับในการประเมินความถูกต.องของแบบจำลอง


ความสูง/แบบจำลองพื้นผิว (DEM/DSM) ในพื้นที่เขต อ.เมือง จ.ขอนแก+น ดังรูปที่ 6-30ก โดยการผลิตข.อมูล DSM ความ
ละเอี ยดสู งจาก UAV Photogrammetry เพื่ อ ใช. เป– น ข.อ มู ล อ. างอิ ง พร.อ มด. วยการปรับ ปรุงวิธี Runway Method (Becek,
koppe, & Kutoglu, 2016) โดยการพั ฒ นาวิ ธี Street Profile Checking ซึ่ ง เป– น กระบวนการประเมิ น ความถู ก ต. อ งของ
DEM/DSM ผ+านการวิเคราะห]รูปตัดตามยาวของถนน ดังรูปที่ 6-30ข และผลลัพธ]ชี้ว+าข.อมูล NGA DEM และ SRTM DEM
เป– น ข. อ มู ล ตั ว เดี ย วกั น นอกจากนี้ การใช. วิ ธี Street Profile Checking เข. า มาช+ ว ยตรวจสอบนั้ น แสดงให. เห็ น ถึ ง การ
เปรียบเทียบข.อมูล UAV DSM, ALOS W3D DSM และ RTSD DEM ด.วยรูปแบบของรูปตัดตามยาวของถนน ซึ่งพบว+าข.อมูล
DEM/DSM เหล+านี้มีแนวโน.มในภาพรวมของค+าระดับ ไปในทิ ศทางเดียวกัน และยังเห็ นถึงความแปรปรวนที่ สูงของข.อมูล
ASTER GDEM เมื่อเทียบกับข.อมูล DEM/DSM อื่นๆ ดังรูปที่ 6-30ข ซึ่งวิธี Street Profile Checking ที่พัฒ นาขึ้นนี้ถือเป–น
วิธีการที่สนใจและในอนาคตควรมีการนำไปทดลองใช.เพื่อการตรวจสอบข.อมูล DEM/DSM ในพิ้นทึ่ศึกษาอื่นๆ ต+อไปด.วย

รูปที่ 6-30 (ก) ข.อมูล DEM และ DSM จากแหล+งต+างๆ ที่นำมาวิเคราะห] และ (ข) ผลการเปรียบเทียบค+าระดับของ
DEM/DSM จากแหล+งต+างๆ ด.วยวิธี Street Profile Checking โดยอ.างอิงกับ DSM ที่ได.จาก UAV Photogrammetry
(ดัดแปลงจาก ชาติชาย ไวยสุระสิงห] และคณะ 2561)

6.3.2 การจำลองการกระจายความคลาดเคลื่อนเพือ่ สร:างพื้นผิวความคลาดเคลื่อน (Error Surface)


ในการสร.างแบบจำลองลักษณะการกระจายของความคลาดเคลื่อนของข.อมูล DEM ได.นั้นจะต.องทำการสร.างจุดสุ+ม
เลือก (Random Point) โดย เจษฎา ทองแท+ง (2553) ได.ทำการสุ+มจุดมาจำนวน 997 จุดซึ่งจุดเหล+านี้จะมีหนน.าที่สำหรับใช.
ในการบันทึกเอาค+าคลาดเคลื่อนสัมพัทธ]ระหว+างค+าระดับจาก MOAC DEM และค+าระดับจากข.อมูล DEM ต+างๆ ทั้ง RTSD
DEM, GDEM, SRTM DEM หรือแม.กระทั่ง GLSD DEM ค+าคลาดเคลื่อน ณ ตำแหน+ง (x,y) ทั้ง 997 จุดที่สุ+มมานี้จะถูกนำมาใช.
เป–นตัวแทนในทางสถิติเพื่อจำลองการกระจายของความคลาดเคลื่อน โดยจุดที่สุ+มมานั้นแบ+งข.อมูลออกเป–น 2 ส+วนคือ (1)
ข.อมูลสำหรับสร.างจำลองความคลาดเคลื่อน (Training Sample) จำนวน 598 จุด (คิดเป–น 60% ของจุดระดับตัวอย+างที่สุ+ม
มา) ดังแสดงเป–นจุดสีแดงดังแสดงในรูปที่ 6-30 และ (2) ข.อมูลสำหรับตรวจสอบและยืนยันความถูกต.องของแบบจำลองความ
คลาดเคลื่อน (Test Sample) จำนวน 399 จุด (คิดเป–น 40%) จุดสีเขียวดังแสดงในรูป 6-31 และพร.อมกันนี้ได.ทำการคำนวณ
ค+าความถูกต.องโดยรวม (Global Accuracy) ดังแสดงในตารางที่ 6-3 ซึ่งในลำดับถัดมา ข.อมูล Training Sample จะถูกนำมา
จำลองพื้นผิวความถูกต.องที่แสดงการกระจายตัวของความคลาดเคลื่อนโดยอาศัยฟ•งก]ชั่น Inversed Distance Weighting
(IDW) ยกกำลัง 5 โดยผลลัพธ]จากนี้ ได.แสดงไว.ในรูป 6-32 ซึ่งจะเห็นว+า การกระจายตัวของความคลาดเคลื่อนบน Error
Surface บนข.อมูล RTSD มีความคลาดเคลื่อนค+อนข.างน.อยเมื่อเทียบกับข.อมูล GDEM

รูปที่ 6-31 การสุ+มเลือกจุดระดับจาก MOAC DEM จำนวน 997 จุดเพื่อเป–นค+าอ.างอิงสำหรับเปรียบเทียบกับจุดระดับของ


ข.อมูล DEM ชนิดต+างๆ ได.แก+ RTSD DEM, GDEM, SRTM DEM และ GLSD DEM
(ดัดแปลงจาก ชาติชาย ไวยสุระสิงห] และคณะ, 2553)

ตาราง 6-4 ค+าความคลาดเคลื่อนของ DEM แต+ละชนิดที่มีความละเอียดทางราบ 30 เมตรขึ้นไป โดยเปรียบเทียบกับค+า


ระดับที่ได.จาก MOAC DEM ซึ่งเป–น DEM อ.างอิงที่มีความละเอียดทางราบเท+ากับ 5 เมตร ของ MOAC DEM
(ชาติชาย ไวยสุระสิงห] และคณะ, 2553)

รูปที่ 6-32 (ก) – (ง) พื้นผิวความคลาดเคลื่อน (Error Surface) ที่แสดงการกระจายตัวของความคลาดเคลื่อนของ RTSD


DEM, GDEM, SRTM DEM และ GLS DEM ตามลำดับ
(ดัดแปลงจาก ชาติชาย ไวยสุระสิงห] และคณะ, 2553)

6.3.3 ฟŽงกwชั่นพื้นฐานทาง GIS ในการวิเคราะหwข:อมูล DEM


6.3.3.1 ฟ•งก]ชั่นเกี่ยวกับคุณลักษณะของพื้นผิวโลก (Topographic Functions)
ในที่นี้คำว+า ภูมิประเทศ (Topography) หมายถึงคุณลักษณะของพื้นผิวโลก นั่นคือ ระดับความสูงต่ำของพื้นที่นั่นเอง
ในทาง GIS อาจกล+าวได.ว+า ข.อมูล DEM เป–นตัวแทนลักษณะภูมิประเทศที่ถูกบันทึกในรูปข.อมูลระดับความสูงต่ำดังรูปที่ 6-33ก
ที่มีการวางตัวในลักษณะของตารางกริด (Grid) ดังรูปที่ 6-33ข ซึ่งเท+ากับเป–นรูปแบบของข.อมูลราสเตอร]นั้นเองโดยฟ•งก]ชั่น
เกี่ยวกับคุณลักษณะของพื้นผิวโลกนี้คือ ฟ•งก]ชั่นสำหรับคำนวณค+าต+างๆ ซึ่งอธิบายลักษณะภูมิประเทศ ณ ตำแหน+งต+างๆ ทั้งนี้
Topographic Functions ที่ใช.กันอยู+ทั่วไป คือ ค+าความลาดชัน (Slope) และทิศทางความชัน (Aspect) ซึ่งเป–นค+าคำนวณได.
จากค+าระดับความสูงต่ำของจุดต+างๆ นั้นเอง
ความลาดชัน (Slope) คือ อัตรราการเปลี่ยนแปลงค+าต+างระดับเทียบกับระยะทางราบดังแสดงในรูปที่ 6-33 ทั้งนี้
การวัดความลาดชัน (Slope) โดยสามารถวิเคราะห]จากสมการที่ 6-1 และ 6-2
(6-1)

ร.อยละความลาดชัน (6-2)

ทั้งนี้หากพิจารณาด.วยสมการที่ 6-1 ก็จะทำได.ผลลัพธ]ออกมาในรูปองศา ยกตัวอย+างเช+น ความลาดชัน 30 องศาเป–น


ต.น ในขณะที่พิจารณาด.วยสมการ 6-2 ก็จะทำให.ได.ผลลัพธ]ออกมาในรูปร.อยละ ยกตัวอย+างเช+น ความลาดชันร.อยละ 375 เป–น
ต.น

รูปที่ 6-33 (ก) การบันทึกข.อมูลลักษณะภูมิประเทศในรูปแบบของ (ข) ข.อมูล DEM ซึ่งสามารถนำมาใช.เป–นข.อมูลพืน้ ฐาน


ในการวิเคราะห]ลักษณะ (ค) การวัดความลาดชัน (Slope) โดยวิเคราะห]จาก สูตร ซึ่งสามรถ


ให.ผลลัพธ]ออกมาในรูปขององศา และ สูตร ร.อยละความลาดชัน
(ดัดแปลงจาก Environmental Systems Research Institute [ESRI], 2016)
ในขณะที่ทิศทางความลาดชัน (Aspect) คือ ทิศทางที่พื้ นผิวนั้นหันไปหาหรือก็คือทิศทางของความชันสูงสุดของ
ระนาบพื้นผิวนั้น ความชันสูงสุดของแต+ละระนาบเรียกว+า Gradient ทิศทางความชันมักวัดด.วยองศาของแอซิมุธ (azimuth)
แล.วนิยมแปลงออกมาเป–นทิศทาง ดังแสดงในรูปที่ 6-34 ซึ่งวิเคราะห]ขึ้นจากหน.าต+างเคลื่อนที่ (Moving Window) ขนาด 3x3
จากรูปที่ 6-35ก จะมีการนำค+าระดับที่จุด e นำไปคำนวณเปรียบเทียบ Cell รอบด.านเพื่อพิจารณาอัตราการเปลี่ยนแปลงค+า
ระดับโดยเทียบกับ Cell ในแนวแกน x และแกน y และเมื่อได.ค+าผลลัพธ]อยู+ในเกณฑ]ดังรูปที่ 6-35ข ก็จะมีการกำหนดทิศทาง
ตามเกณฑ]ในแต+ละทิศทาง

รูปที่ 6-34 (ก) การบอกลักษณะทิศทางความลาดชัน (Aspect) ของ (ข) ข.อมูล DEM ซึ่งได. (ค) ข.อมูล Aspect ที่แสดงทิศทาง
ของลักษณะภูมิประเทศถึงทิศทางของระนาบใดๆ ในข.อมูล DEM
(ดัดแปลงจาก ESRI, 2016)

รูปที่ 6-35 (ก) Moving Window ขนาด 3x3 เพื่อวิเคราะห] Aspect ยกตัวอย+างเช+น การวิเคราะห] (ข) ข.อมูล DEM เพื่อหาค+า
อัตราการเปลี่ยนแปลงตามแนวแกน x และแกน y เพื่อจะนำมาใช.ในการวิเคราะห]และให.ผลลัพธ]ออกมาเป–น (ค) ข.อมูล
Aspect ซึ่งค+าต+างๆ จะแสดงทิศทางของลักษณะภูมิประเทศถึงทิศทางของระนาบใดๆ ในข.อมูล DEM
(ดัดแปลงจาก ESRI, 2016)

6.3.3.2 ฟ•งก]ชั่นการส+องสว+าง (Illumination Function)


ฟ•งก]ชั่นการส+องสว+างเป–นการสร.างภาพจำลองที่เกิดจากการส+องแสงลงไปบนผิวสามมิติโดยการคำนวณความเข.มของ
แสงที่จะตกกระทบพื้นที่ตำแหน+งต+างๆ แล.วแสดงเป–นภาพออกมา ทั้งนีก้ ารคำนวณจะพิจารณาจากป•จจัย 3 ประการคือ
1) ลักษณะและตำแหน+งของแหล+งกำเนิดแสง ดังรูป 6-36ก
2) สภาพความสูงต่ำของภูมิประเทศและลักษณะของการสะท.อนแสงของพื้นผิว
3) ตำแหน+งและทิศทางการมองของผู.มองดังรูปที่ 6-36ข และ 6-36ค เป–นตัวอย+างรูปแสดงผลลัพธ]ที่ได.จากฟ•งก]ชั่นนี้
ซึง่ เรียกว+าเป–น Shade Relief Image หรือ Hillshade (รูปที่ 6-36ง)
โดยรูป Hillshade นี้มีประโยชน]อย+างมากในการทำให.ผู.ใช.ทั่วๆ ไปรับรู.ถึงลักษณะความสูงต่ำของภูมิประเทศ
ดังนั้นจึงมักนิยมให.เป–นภาพจากหลัก (Background Image) ในแผนที่แสดงระดับสูงเชิงเลข DEM โดยการเพิ่มข.อมูลแผนที่
อื่นๆ ลงบนข.อมูล Hillshade ซึ่งเรียกว+า การสร.างม+านฉากหลัง (Drape) โดยจะทำให.ระดับสูงเชิงคณิตมีมิติขึ้นมาดังรูป 6-36จ
และรูปที่ 6-37 โดยจะเห็นว+า ภายหลังจาก Drape ข.อมูล DEM ดังรูปที่ 6-76ก ลงบนข.อมูล Hillshade ดังรูปที่ 6-37ข แล.ว
จะช+วยเน.นมิติความลึกให.มีขึ้นในการแสดงผลข.อมูล DEM ดังรูปที่ 6-37ค

รูปที่ 6-36 (ก) – (ข) หลักการชองฟ•งก]ชั่น Illumination ในการผลิต (ง) Shade Relief Image และ (จ) เมื่อนำไปแสดงซ.อน
หลังกับ DEM ที่เป–นลักษณะภูมิประเทศเพื่อแสดงมิติความลึก (ดัดแปลงจาก ESRI, 2016)

รูปที่ 6-37 (ก) มาซ.อนหลังด.วยข.อมูล Hillshade เพื่อแสดง (ค) ลักษณะภูมิประเทศเพื่อแสดงมิติความลึก


(ดัดแปลงจาก ESRI, 2016)
6.3.3.3 ฟ•งก]ชั่นมุมมองทัศนียภาพ (Perspective View)
ฟ•งก]ชั่นมุมมองทัศนียภาพเป–นการแสดงข.อมูลพื้นผิวอาจถูกนำเสนอในรูปของภาพ 3 มิติ แทนที่จะเป–นการนำเสนอ
ด.วยแผนที่ ซึ่งมี 2 มิติ ดังกล+าวเรียกว+า Perspective View ดังรูปที่ 6-38ก ซึ่งสามารถจะแสดงพร.อมกับการซ.อนฉากพื้นหลัง
ด.วย Hillshade ดังรูปที่ 6-38ข

รูปที่ 6-38 การใช.ฟ•งก]ชั่น Perspective view ในการแสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศแบบ 3 มิติ


(ดัดแปลงจาก ESRI, 2016)

6.3.3.4 ฟ•งก]ชั่นโครงข+ายลำน้ำ (Stream Network Function)


ฟ•งก]ชั่นโครงข+ายลำน้ำจากข.อมูล DEM ดังรูปที่ 6-39 โดยค.นหาออกจากจุดเริ่มต.นใดๆ โดยไปทีละชั้น (step-by-
step) โดยใช.กฎเกณฑ]ในการตัดสินใจเฉพาะกรณีหนึ่งๆ จากนั้น ก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนพบข.อมูลที่วัดกับเงื่อนไขกฎเกณฑ]ที่
กำหนด ทั้งนี้มีไว.เพื่อหาเส.นทางที่น้ำจะไหลไปบนพื้นผิวโลก กฎที่ใช.คือน้ำจะไหลจากจุดที่ทุกพื้นที่รอบๆ จุดนั้น สูงกว+าจุดนั้น
ทั้งหมด (เป–นแอ+งน้ำนั่นเอง) หรือไปถึงแม+น้ำสายใหญ+ ดังตัวอย+างในรูปที่ 6-40 ที่ Hengt rt al. (2010) ได.ใช.ฟ•งก]ชั่นโครงข+าย
ลำน้ำ (Stream Network Function) ในโปรแกรม SAGA นำมาวิเคราะห]เส.นทางการไหลของน้ำได.

รูปที่ 6-39 การใช.ฟ•งก]ชั่นโครงข+ายลำน้ำ (Stream Network Function) จากข.อมูล DEM


(ดัดแปลงจาก Hengl el al, 2010)

รูปที่ 6-40 ตัวอย+างผลลัพธ]ที่ได.จากฟ•งก]ชั่นโครงข+ายลำน้ำ (Stream Network Function) ในโปรแกรม SAGA


(ดัดแปลงจาก Hengl et al, 2010)

6.3.3.5 ฟ•งก]ชั่นวิเคราะห]การมองเห็นกัน (Inter-visibility Functions)


ฟ•งก]ชั่นวิเคราะห]การมองเห็นกันนี้บางครั้งเรียกฟ•งก]ชั่น Viewshed Modeling หรือ Viewshed Mapping โดยคำว+า
Viewshed หมายถึงพื้นที่ที่สามารถมองเห็นได. (ด.วยแนวสายตาโดยตรง) จากจุดใดจุดหนึ่งที่กำหนด ดังแสดงในรูปที่ 6-41
ฟ•งก]ชั่น Inter-visibility นี้จะถูกนำมาประยุกต]ใช.เพื่อการหาพื้นที่ดังกล+าว ซึ่งอาจนำมาใช.หาจุดตั้งกังหันลมเพื่อการผลิตไฟฟWา
(Wind Turbine) ได. ทั้งนี้ฟ•งก]ชั่นวิเคราะห]การมองเห็นกันตรงนี้ต.องใช.ข.อมูลความสูงต่ำของภูมิประเทศอย+าง DEM ในการ
วิเคราะห] ก ารบั งกั น ของจุด ต+ างๆ การคำนวณต. อ งรู.ต ำแหน+ งจุด สองจุด ความสูงของผู.สังเกตจากผิวโลกและความสูงของ
เปWาหมายจากผิวโลก ที่ได.แสดงหลักการของการมองเห็นกันระหว+างจุดต+างๆ ดังแสดงในรูปที่ 6-42

รูปที่ 6-41 หลักการของการมองเห็นระหว+างจุดต+างๆ บนพื้นผิวโลก (ดัดแปลงจาก Clarke, 1995)

You might also like