Professional Documents
Culture Documents
รายงานการสำรวจด้วยภาพถ่ายม.ขอนแก่น (บท 4-5-6) โดยกลุ่ม 3
รายงานการสำรวจด้วยภาพถ่ายม.ขอนแก่น (บท 4-5-6) โดยกลุ่ม 3
บทที% &
โครงข่ายสามเหลี%ยมของงานสํารวจด้วยภาพถ่าย
Photogrammetric Triangulation
รูปทีU V-X สภาวะทีแ8 นวเวกเตอร์เส้นตรงทีเ8 ป็ นรังสีของแสงทีล8 ากจากตําแหน่งเปิ ดถ่ายภาพ ( Xo ,Yo ,Zo) และจุดของ
วัตถุบนภาพ (xa ya) เกิดเป็ นเวกเตอร์ ซึง8 จะเป็ นแนวเส้นตรงเดียวกับเวกเตอร์เส้นตรงทีเ8 ป็ นรังสีของแสงซึง8 ลาก
จากตําแหน่งเปิ ดถ่ายภาพ ( Xo ,Yo ,Zo) จุดบนวัตถุทม8ี คี า่ พิกดั (XA ,YA ,ZA) เกิดเป็ นเวกเตอร์ (ดัดแปลงจาก Wolf
et al, 2014)
(4-1)
จากสมการที8 4-1 เมื8อ ทํ า การคู ณ มทริก ซ์ M เข้า กับ เวกเตอร์คํ า พิก ัด ของ จะได้ ส มการแสดง
ความสัมพันธ์ของค่าพิกดั ในแต่ละแนวแกนตังสมการที8 4-2 ถึง 4-4 ดังนีV
(4-2)
(4-3)
(4-4)
จากรูปที8 9-o ทีแ8 สดงระบบพิกดั ทีข8 นานกับระบบพิกดั XYZ จะเห็นว่า การพัฒนาสมการของสภาวะ
ร่วมเส้น (Development of the collinearity Condition Equation) สามารถพิจารณาได้จากสามเหลีย8 มคล้ายในรูปที8 9-o
จะได้สมการที8 9-‡ ดังนีV
(4-5)
จากนันV แทนค่า ลงในสมการที8 4-2, 4-3 และ 4-4 ตามลําดับ จะได้สมการทีแ8 สดงค่าของ
ในรูป สมการที8 4-9 ถึง 4-11 ตามลําดับ
(4-9)
(4-10)
(4-11)
(9-;9) จากนันV นําเอาสมการที8 9-;o และ 9-;p หารด้วยสมการที8 9-;9 จะได้สมการที8 9-;‡ และ 9-;• ดังนีV
(4-15)
(4-16)
(4-18)
จากรูปที8 4-1 จะได้ว่า ดังนันV จึงสามารถที8จะแทนค่า ในสมการที8 4-17 และ 4-18 ได้สมการที8 4-19
และ 4-20 ดังนีV
(4-19)
(4-20)
และเมื8อนํ าเอาค่าจุดมุขยสําคัญเข้ามาร่วมกับ สมการที8 4-19 และ 4-20 จะให้ได้สมการที8 4-21และ 4-22 ซึง8 จะเรียกว่า
สมการสภาวะร่วมเส้น ดังนีV
(4-21)
(4-22)
รูปทีU V-l (ก) ตัวอย่างเป้ าทีอ8 อกแบบไว้สาํ หรับวิธหี มายจุดด้วยศูนย์ถ่วง (ตัดแปลงจาก ชาติชาย ไวยสุระสิงห์, o‡9‡)
และ (ข) การวิเคราะห์เชิงเรขาคณิตของเป้ าบนวัตถุ (ตัดแปลงจาก Matsuoka, 2015)
(4-24)
รูปทีU V-m (ก) ตัวอย่างการติดเป้ าบนวัตถุ และ (ข) การหมายจุดบนเป้ าโดยใช้วธิ ศี นู ย์ถ่วง
(ตัดแปลงจาก ชาติชาย ไวยสุระสิงห์, 2545)
".$.%.& การจับคู่ภาพฐานพืน5 ที8 (Area-based Matching) ทีเ8 ริม8 ต้นจากการกําหนดตําแหน่ งทีต8 อ้ งการหมาย
ภาพเพื8อ ใช้รูป แบบ (Pattern) บนภาพอ้างอิง (Reference Image) ดังรูป ที8 4-5ก เพื8อ ใช้เป็ น ต้น แบบในการค้น หา
ตําแหน่ งบนภาพ สืบต้น (Search Image) ดังรูปที8 4-9ช ผ่านการไล่เรียงเปรียบเทียบด้วยหน้ าต่างเคลื8อนที8 (Moving
Window) บนภาพสืบค้น เพือ8 คํานวณหาความสอดคล้องระหว่างรูปแบบบนภาพอ้างอิงกับตําแหน่งใด ๆ บนภาพสืบค้น
โดยการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ บนภาพ (Image Correlation) ด้วยเงื8อนไขว่า บริเวณโดบนภาพสืบค้นทีเ8 ป็ นตําแหน่ ง
วัต ถุ เดียวกัน ของทังV สองภาพจะมีค่า สหสัม พัน ธ์ท8ีสูงมากกว่าบริเวณอื8น ๆ โดยการวิเคราะห์ในรูป แบบนีV สามารถ
ประยุกต์ใช้วธิ อี น8ื ได้ เช่น วิธกี ารจับคูภ่ าพด้วยวิธี กําลังสองน้อยทีส8 ดุ (Least Squares Matching: LSM)
รูปทีU 4-9 การกําหนดตําแหน่งทีต8 อ้ งการหมายภาพเพือ8 ใช้รปู แบบ (Pattern) บน (ก) ภาพอ้างอิง (Reference Image)
เพือ8 ใช้เป็ นต้นแบบในการค้นหาตําแหน่งบน (ช) ภาพสืบค้น (Search Image) (ดัดแปลงจาก Jean et al., 2001)
9.o.p.o การจับคู่ลกั ษณะเด่น (Feature Matching) เป็ นการวิเคราะห์เพื8อหาจุดเด่นของรูปภาพแล้ว
นํ ามาใช้ในการ จับคู่ภาพอัตโนมัติ ซึ8งมีการพัฒนาขึนV อย่างหลากหลาย โดยในปั จจุบนั วิธที ใ8ี ต้ความนิยมอย่างมากคือ
ขันV ตอนวิธกี ารแบบ SIFT (Scale Invariant Feature Transform) ซึ8งเป็ นวิธกี ารค้นหาจุดเด่น ๆ บนภาพแต่ละภาพที8
เหมือนกัน โดยไม่ขVนึ กับขนาดหรือ ทิศทางของวัตถุในภาพ ซึ8งลักษณะเด่นที8ใต้จากวัตถุชVนิ เดียวกันจะมีลกั ษณะที8
คล้ายคลึงกันโดยวิธกี ารของ SIFT นีVประกอบด้วย 4 ขันV ตอน คือ
(1) การตรวจวัดเพื8อหาปริภูมคิ ่าในมิตขิ นาดและระยะทาง (Scale-space Extrema Detection)
ทีเ8 ริม8 ต้นโดยการ วิเคราะห์หาลักษณะเด่นของภาพซึง8 ไม่ขนVึ กับขนาดหรือทิศทางผ่านการเบลอภาพ (Blur) ด้วยฟั งก์ชนั 8
เกาส์เซียน (Gaussian Function) ทังV ต้องมีการแบ่งภาพให้เป็ นชันV ๆ ซึ8งเรียกแต่ละชันV นีVว่า Octave จากนันV ดําเนินการ
เบลอภาพในแต่ละ Octave ด้วยการเบลอภาพทีร8 ะดับต่าง ๆ กล่าวคือ ใน Octave หนึ8งๆ จะมีการเบลอภาพในหลาย
ระดับ ซึ8งเริม8 เบลอภาพจากระดับปกติแล้วค่อยๆเพิม8 (Scale Parameter) เพื8อเพิม8 ความเข้มข้นในการเบลอภาพ
แล้วทําซํVากับ Octave ต่าง ๆ ต่อไปเรือ8 ย ๆ ทังV นีV Octave ต่อไปจะมีขนาดของรูปเป็ นครึง8 หนึ8งของ Octave เติมไปเรือ8 ย
ๆ
(o) การระบุตําแหน่ งจุดสนใจ (Keypoint LKalization) โดยเป็ นขันV ตอนวิเคราะห์เพื8อหาจุดที8
น่ าจะเป็ นลักษณะสําคัญของภาพ ผ่านกระบวนการจับคู่ภาพของแต่ละ Octave เพื8อวิเคราะห์หาความต่างของแต่ละ
ผลลัพธ์ทไ8ี ด้จากการเบลอ ภาพ (Difference of Gaussian: DoG) โดยดําเนินการวิเคราะห์ในทุกๆภาพทีเ8 ป็ นสมาชิกใน
แต่ละ Octave และทําซํVาจน ครบทุก Octave ดังรูปที8 9-;•ก
(3) การกําหนดขนาดและทิศทางของจุดสนใจ (Orientation Assignment) เพื8อดําเนินการเก็บ
รวบรวมขนาด m(x, y) และ ทิศทาง (x, y) ของ gradient ของบริเวณรอบ ๆ Keypoints เพื8อกําหนดทิศทางให้กบั
Keypoint นันV ๆ
(4) การสร้า งคํ า อธิบ ายลัก ษณะเด่ น ของจุ ด สนใจ (Keypoint Descriptor) ดํ า เนิ น การแบ่ ง
ภาพถ่ายออกเป็ นหน้ าต่างย่อย ๆ 16x16 บาน (หน้ าต่างแต่ละบาน คือ บริเวณที8จะทําการเก็บข้อมูลทิศทาง ซึ8งจะมี
ขนาดคือ 1.5* ) รอบ Keypoint และ ทําการแบ่งออกเป็ นหน้าต่างขนาด 4x4 บาน จะได้ทงั V หมด 16 ชุด โดยแต่ละชุด
จะทําการคํานวณหาขนาดและทิศทางของ Gradient แล้วสร้างเป็ น Histogram ที8มขี นาด 8 bin (แกน X แบ่ง 8 ช่วง
ช่วงละ 45 องศา) โดยทีข8 นาดของ Histogram ใน แต่ละส่วนจะขึนV กับขนาดตัวถ่วงนํV าหนักซึ8งก็คอื ระยะทางทีห8 ่างจาก
Keypoint ดังนันV เมื8อคํานวณเสร็จสินV ผลลัพธ์ท8ไี ด้คอื 4x4x8=128 ซึ8งจะทําการ Normalize ต่อ และจะใช้เป็ นเวกเตอร์
แสดงลักษณะ (Feature Vector) ของแต่ละ Keypoint นันV เองดังรูปที8 4-10ข
คลืน8 ส่งที8 ความถี8 L1 ได้เพียงความถีเ8 ดียวเท่านันV ซึง8 เครือ8 งรับชนิดนีVมรี าคาถูกกว่าเครือ8 งรับแบบสองความถี8 ทังV นีVเพราะ
เมื8อนํ าข้อมูลรังวัดพิกดั ดาวเทียมความถี8เดียวมาประมวลผลแบบเฟสของคลื8นส่งจะให้ค่าความถูกต้องทีน8 ้อยกว่าการ
ประมวลผลในแบบเดียวกันโดยใช้ขอ้ มูลรังวัดพิกดั ตาวเทียมแบบสองความถี8 (L1 และ L2)
2. เครือ8 งรับสัญญาณ GNSS ทีส8 ามารถรับสัญญาณดาวเทียม GPS แบบสองความถีแ8 ละหลาย
ระบบดาวเที ย มนํ า หน (Dual-Frequency Receiver and Multi-GNSS Receiver) ดัง รู ป ที8 4-11ข และ 4-11ค เป็ น
เครือ8 งรับสัญญาณ GNSS ทีส8 ามารถดาวเทียมทีร8 บั สัญญาณดาวเทียม GPS ของประเทศสหรัฐอเมริการทีค8 วามถี8 1 และ
L2 ยิง8 ไป กว่านันV ในปั จจุบนั เครื8องรับสัญญาณดาวเทียมได้ถูกพัฒนาให้สามารถรับสัญญาณดาวเทียม GPS ความถี8
L5 พร้อมด้วยขีดความสามารถรับสัญญาณดาวเทียมในระบบอื8นๆเช่น ระบบดาวเทียม GLONASS ของประเทศ รัสเซีย
ระบบดาวเทียม Baidu ของประเทศจีน ระบบดาวเทียม 0755 ของประเทศญี8ป่ ุน และระบบดาวเทียม GALILEO ของ
สหภาพยุโรป เป็ นต้น
รูปทีU 4-11 (ก) เครือ8 งรับสัญญาณดาวเทียมนําหนพิภพ (GNSS) แบบมือถือ (ข) และ (ค) เครือ8 งรับสัญญาณดาวเทียม
นําหนพิภพ GNSS ทีร8 บั สัญญาณดาวเทียม GPS แบบสองความถีแ8 ละหลายระบบดาวเทียมนําหน
(Dual-Frequency Receiver and Multi-GNSS Receiver)
4.3.2 เทคนิ คในการรังวัดด้วยดาวเทียมจีพีเอสแบบสัมพัทธ์ (Differential or Relative GPs Positioning)
โดยส่วนใหญ่แล้วการรังวัดหาตําแหน่ งค่าพิกดั ของจุดควบคุมภาพถ่ายนันV ต้องการความถูกต้องทางตําแหน่ งสูง
ทังV นีV เพราะเป็ น งานรังวัด ควบคุม จึงจําเป็ น อย่างยิ8งที8จะต้อ งใช้ก ารหาค่าพิก ดั แบบสัม พัท ธ์ ซึ8งเป็ น การใช้เครื8อ งรับ
สัญญาณดาวเทียม อย่างน้อย 2 เครือ8 ง โดยจะเป็ นการวางเครือ8 งรับสัญญาณ GNSS เครือ8 งหนึ8งอยูท่ จ8ี ุดทีท8 ราบค่าพิกดั
แล้วซึ8งอาจจะเป็ นหมุด หลักฐานกรมแผนทีท8 หาร หรือหมุดหลักฐานกรมทีด8 นิ หรือหมุดหลักฐานของกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ เป็ นต้น ทังV นีVเครือ8 งหนึ8งตังV ทีจ8 ดุ ทราบค่าพิกดั โดยจะถูกเรียกว่า สถานีฐาน (Base Station) ส่วนเครือ8 งรับอีก
เครือ8 งจะถูกนําไปวางตรงจุดทีต8 อ้ งการ ทราบค่าพิกดั ทีจ8 ะถูกเรียกว่า โรเวอร์ (Rover) ผลทีไ8 ด้จากการทํางานในลักษณะ
นีVคอื ตําแหน่งเปรียบเทียบของจุดหนึ8งกับอีกจุดหนึ8ง หรือเป็ นเส้นฐานทีม8 ที ศิ ทางระหว่างจุดทีน8 ําเครือ8 งรับทังV สองไปตังV รับ
สัญ ญาณ โดยการหาค่ าพิก ัด แบบสัม พัท ธ์เรีย กว่า Differential GPS (DSPS) โดยการใช้ข้อ มูล เฟสของคลื8น ส่งมา
1. หาจํานวนสมการและจํานวนตัวแปรทีไ8 ม่ทราบค่า
(4-25)
(4-27)
(4-28)
(4-29)
(4-30)
(4-31)
(4-32)
(4-33)
กําหนดให้
(4-35)
(4-36)
•. การหาค่าเวกเตอร์คา่ ต่างของการวัด
(4-37)
›. การหาแมทริกช์ปกติ
(4-38)
¢. การหาแมทริกช์ U
(4-39)
Ž. เวกเตอร์คา่ ตรวจแก้พารามิเตอร์
(4-40)
;•. เวกเตอร์คา่ พารามิเตอร์ทป8ี รับแก้แล้ว
(4-41)
;;. เวกเตอร์คา่ ตรวจแก้คา่ การวัด
(4-42)
;o. เวกเตอร์คา่ สังเกตุชทีป8 รับแก้แล้ว
(4-43)
จากนันV คํานวณหาตัวไม่ทราบค่า (unknown)โดยการวนซํVาจากขันV ที8 p ถึง ;o ซึ8งจะกําหนดเป็ นจํานวนรอบ
หรือ เงื8อนไขอื8น เช่น ให้คํานวณวนซํVาจนกระทัง8 มีค่าน้ อยมาก ๆ ผลลัพธ์ท8ไี ด้จากกระบวนการนีVคอื
การจัดวาง ภาพภายนอก ของภาพทีก8 าํ ลังพิจารณา
(4-44)
รูปที8 9-;9 การคํานวณพิกดั วัตถุจากคูภ่ าพสามมิตทิ อ8ี าศัยการเล็งสกัดภาพคู่ (Two-photo Intersection) (ดัดแปลงจาก
Wolf et al., 2014)
o. สมการตามแบบจําลองทางคณิตศาสตร์ดว้ ยวิธสี มการค่าสังเกต La = Lb+v = F(Xa) จะได้วา่
(4-45)
(4-46)
(4-47)
(4-48)
เมือ8 กําหนดให้
p. เวกเตอร์ค่าประมาณเริม8 ต้น (Approximated Values) ของค่าพิก ดั ภาคพืVน ดิน ของจุด P (Xp, Yp, Zp) เป็ น ตัวไม่
ทราบค่า (Unknowns) จํานวน p ค่า หรือ u = 3 ดังนีV
(4-49)
(4-50)
(4-51)
•. การหาค่าเวกเตอร์คา่ ต่างของการวัด
(4-52)
›. การหาแมทริกช์ปกติ
(4-53)
¢. การหาแมทริกช์ U
(4-54)
Ž. เวกเตอร์คา่ ตรวจแก้พารามิเตอร์
(4-55)
;•. เวกเตอร์คา่ พารามิเตอร์ทป8ี รับแก้แล้ว
(4-56)
(4-57)
;o. เวกเตอร์คา่ สังเกตทีป8 รับแก้แล้ว
(4-58)
จากนันV คานวณหาตัวไม่ทราบค่า (unknown) โดยการวนซํVาจากชันV ที8 p ถึง ;o ซึ8งจะกําหนดเป็ นจํานวนรอบ
หรือ เงื8อ นไขอื8น เช่ น ให้คํ า นวณวนซํV า จนกระทัง8 ค่ า น้ อ ยมากๆ และท้ า ยที8สุ ด ผลลัพ ธ์ท8ีไ ด้จ าก
กระบวนการ คํานวณปรับแก้การเล็งสกัดภาพถ่ายคูน่ Vีคอื ค่าพิกดั ภาคพืนV ดินของจุต P (Xp, Yp, Zp) ทีก8 าํ ลังพิจารณา
4.1.2 การปรับแก้บล็อคการถ่ายภาพ (Bundle Block Adjustment)
จากทีก8 ล่าวไว้ในบทที8 ; ผลลัพธ์ทไ8ี ด้จากการประมวลในการสํารวจด้วยภาพประกอบด้วยงานหลักต่อไปนีV (;)
ค่าพิกดั ฉาก p มิตขิ องวัตถุใด ๆ (E, N, h)
(o) ภาพถ่ายตัดแก้ออร์โธ
(p) กลุม่ ของจุดสามมิติ หรือ พอยต์คลาวด์ (Point Cloud)
(9) แบบจําลองพืนV ผิวและแบบจําลองระดับ
(‡) แผนทีล8 ายเส้น
ผลลัพ ธ์ท8ีได้เหล่านีV เกิดขึVน ภายหลังจากการประมวลภาพถ่ ายที8มกี ารวางแผนการถ่ ายภาพในลักษณะของ
โครงข่าย สามเหลีย8 มการถ่ายภาพ (Photo Triangulation Network) โดยหากภาพถ่ายทีว8 ่านีVเป็ นภาพถ่ายทางอากาศ
ซึ8 ง อาจจะได้ จ าก เครื8อ งบิ น หรือ อากาศยานไร้ค นขับ ก็ จ ะเรีย กว่ า โครงข่ า ยสามเหลี8ย มทางอากาศ (Aerial,
Triangulation หรืออีกชื8อหนึ8งคือ Aero-Triangulation) โดยการประมวลผลภาพในลักษณะของโครงข่ายการถ่ายภาพนีV
จะเป็ นการวิเคราะห์หาค่าองค์ประกอบ ภาพถ่ายภายนอก (Exterior Orientation Parameter) ไปพร้อมกันทังV บล็อคของ
การถ่ายภาพ โดยแต่ละภาพถ่ายในบล็อคนันV จะมีส่วนซ้อนด้านหน้าและส่วนซ้อนด้านข้างเป็ นต้นเชื8อม และมีจุดผ่าน
และจุดโยงยืดท้าหน้ าที8เหมือนกาวที8หยอดไว้เป็ นจุด ๆ ซึ8งในบทนีVจะขอเรียกจุดเหล่านีVว่า จุดประสาน (Connection
Point) ดังรูปที8 9-;‡ ทีเ8 ชือ8 มโยงทุกภาพในบล็อคการบิน ถ่ายภาพให้มคี วามแข็งแรงและยึดติดกันเป็ นผืนเดียว ส่งผลให้
เมือ8 ดําเนินการคํานวณปรับแก้เพือ8 หาค่าองค์ประกอบภาพ ภายนอกสามารถทีจ8 ะดําเนินการไปพร้อมกันทุกภาพได้ ทังV นีV
เพราะค่าพิกดั ภาคพืนV ดินของจุดประสานเหล่านีVจะถูกคํานวณ ขึนV มาพร้อมกันด้วย ซึง8 นับเป็ นการเพิม8 จํานวนจุดควบคุม
ภาพถ่าย (Photo Control Points) ในบล็อกของภาพถ่ายของทุก ภาพไปโดยปริยาย และเนื8องจากกระบวนการคํานวณ
ปรับแก้โครงข่ายสามเหลีย8 มทางอากาศได้เพิม8 ค่าพิกดั ภาคพืนV ดินของจุต ประสานต่างๆ ขึนV มาใหม่เพิม8 เติมขึนV จากจุด
ควบคุมเดิมทีไ8 ด้รงั วัตจากภาคสนาม จึงนิยมเรียกกระบวนการนีVวา่ การขยายจุด ควบคุม (Photo Control Extension) ที8
นับได้วา่ เป็ นการเพิม8 จุดควบคุมภาพถ่ายได้อกี หนทางหนึ8ง ซึง8 เป็ นการลดปริมาณงาน รังวัดภาคสนามเป็ นจํานวนมาก
โดยเหตุนVี การคํานวนปรับแก้โครงข่ายสามเหลีย8 มทางอากาศจึงถือเป็ นกระบวนการหลักใน การคํานวณปรับแก้ของการ
สํารวจด้วยภาพถ่าย
จุดประสานที่หมายเอาวัตถุเดียวกัน ซึงปรากฏบน
ส=วนซ>อนของภาพถ=ายต=าง ๆ
จุดควบคุมภาพภาคพื้นดิน
ภาพถ=ายใบแรกที่ประสานภาพอื
่นไว>
ซึ่งจุดเหล+านี้จะโยงยึดภาพในบล็อคเข.าไว.ด.วยกันที่นับเป–นการขยายจุดควบคุมภาพถ+ายอีกทางหนึ่ง
4.4.3.1 จุดควบคุมภาพถ+าย
จุดควบคุมภาพถ+าย (Photo Control Point) จะต.องมีลักษณะที่เห็นเด+นชัดทั้งบนภาพถ+ายและในสนามภาคพื้นดิน
โดยจุดควบคุมภาพถ+ายนี้จะต.องมีการรังวัดค+าพิกัดภาคพื้นดินมีค+าพิกัดฉากสามมิติ ทั้งนี้ควรจะต.องมีการไปรังวัดในสนามด.วย
เครื่องมือและวิธีการที่ให.ความละเอียดถูกต.องสูงในระดับที่เหมาะสมและสามารถนํามาควบคุมงานโครงข+ายสามเหลี่ยมทาง
อากาศ และหากพิจารณาในมิติของการคํานวณปรับแก.โครงข+ายสามเหลี่ยมผ+านสมการสภาวะร+วมเส.นจะเห็นว+า ค+าพิกัดของ
จุดควบคุมภาคพื้นดินจะนําไปใช.เป–นค+าคงที่ในสมการ และมีค+าพิกัดบนภาพถ+ายเป–นค+าสังเกตที่รังวัดมาแล.วแปลงให.อยู+ในรูป
ของระบบพิกัดภาพถ+ายทางอากาศผ+านการแปลงตัวยสมการสมพรรศ (Affine Transformation) อันจะทำให.เกิดเป–นค+าพิกัด
ที่ น ำมาใช.ในกระบวนการปรับ แก. ทั้ งนี้ ค+าพิ กัดบนภาพของจุดควบคุมภาพถ+าย 1 จุด ประกอบไปด.วย (x,y) ซึ่งจะทำให.
สามารถสร.างสมการเพิ่มขึ้นได. 2 สมการเสมอ ดังสมการที่ 4-59 และ 4-60 โดยไม+ทำให.เกิดตัวไม+ทราบค+าเพิ่มขึ้น
2. สมการค+าสังเกตของภาพคู+ซ.อนถัดไป เป–นดังนี้
เมื่อกำหนดให.
Xi+1 , Yi+1 คือค+าพิกัดภาพถ+ายของจุดที่ปรากฏบนภาพในลำดับถัดมา
Xt , Yt , Zt คือค+าพิกัดของจุดผ+านที่ให.เป–นตัวไม+ทราบค+าในระบบสมการเป–นตัวเดียวกับที่กำหนดในสมการ
ค+าสังเกต i คือดัชนีของจุดการรังวัดพิกัดภาพถ+ายแต+ละภาพ
p คือดัชนีลำดับของภาพถ+าย
โดยอาศัยสมการค+าสังเกตเหล+านีใ้ นการคำนวณปรับแก.บล็อคโครงข+ายสามเหลี่ยมทางอากาศจะทำให.ค+าพิกัด
ภาคพื้นดินของจุดประสานนั้นๆจะถูกคำนวณออกมาเป–นผลลัพธ]ที่ได.จากการคำนวณปรับแก.เพื่อที่จะนำไปใช.งานต+อไป อนึ่ง
หากว+าพบจุดประสานหนึ่งๆปรากฏบนภาพถ+ายมากกว+า 2 ภาพ ผู.รังวัดจะต.องทำการวัดพิกัดบนภาพเพิ่มต+อไป และในการ
รังวัดพิกัดบนภาพเพิ่มขึ้นมา 1 จุดของจุดประสานที่กำลังพิจารณาอยู+นี้จะช+วยในการเพิ่มจำนวนสมการค+าสังเกตขึ้นอีก 2
สมการต+อการวัดพิกัดบนภาพใหม+ๆที่เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ภาพ โดยการวัดพิกัดภาพที่เพิ่มขึ้นเหล+านี้จะเพิ่มเฉพาะจำนวนสมการค+า
สังเกตแต+ไม+เพิ่มตัวแปรไม+ทราบค+า และยิ่งจำนวนสมการค+าสังเกตเพิ่มมากขึ้นเท+าใด สิ่งเพิ่มความละเอียดถูกต.องและความน+า
เชื่อในการคำนวณปรับแก.ขึ้นเท+านั้น
4.4.3.3 ตำแหน+งของจุดควบคุมและจุดประสานภาพถ+าย
ตำแหน+งของจุดควบคุมภาพถ+ายโดยส+วนใหญ+จะถูกออกแบบให.อยู+ตามขอบพื้นที่โดยรอบของบล็อคและบางส+วนใน
กลางบล็อค ขณะที่ตำแหน+งของจุดประสาน (จุดผ+าน/จุดโยงยึด) จะถูกออกแบบให.อยู+ในบริเวณส+วนซ.อนต+างๆ โดยสำหรับ
4.4.3.4 การกำหนดความละเอียดถูกต.องของจุดควบคุมภาคพื้นดิน
ในทางปฏิบัติการกำหนดความละเอียดถูกต.องของจุดควบคุมภาพพื้นดินที่นิยมใช.กัน พิจารณาจากสมการที่
4-65 ดังนี้
(4.65)
เมื่อ H แทนความสูงแนวบิน (เมตร) และ แทนความละเอียดถูกต.องของควบคุมทางดิ่ง
(2) โมดูล Space Resection สำหรับใช.วัดพิ กัดจุดควบคุมภาพถ+าย ดังรูปที่ 4-21 เพื่ อใช.ในการคำนวณปรับแก.ด.วยวิธี
Single Photo Resection เพื่อหาองค]ประกอบภาพภายนอกของภาพดังรูปที่ 4-22 ที่แสดงผลลัพธ]ที่ได.จากคำนวณพร.อมทั้ง
คุณภาพของข.อมูลที่ได.จากการรังวัดบนภาพถ+าย
บทที่ 5
โดยทั่วไปแล.วเลนส]ตาของมนุษย]จะมีลักษณะนูนสองด.านและประกอบด.วยตัวกลางหักเหชนิดโปร+งแสง เลนส]ตา
สามารถทรงตัวได.ต.องอาศัยกล.ามเนื้อหลายมัดที่ช+วยในการเคลื่อนไหวและมีแกนทัศน]ของตา (Optical Axis) ที่เปรียบเสมือน
เวกเตอร]เส.นตรงที่ชี้ไปยังวัตถุที่กําลังจ.องมองเช+นเดียวกับกล.องถ+ายภาพที่เมื่อจะถ+ายภาพจะต.องมีการเล็งไปยังวัตถุที่ต.อง
ถ+ายภาพนั้น และดวงตาของมนุษย]มีการปรับโฟกัสเมื่อมองวัตถุระยะที่ต+าง ๆ กัน กล+าวคือ เมื่อดวงตาเพ+งมองไปยังวัตถุที่อยู+
ไกล กล.ามเนื้อที่ยึดเลนส]ตาจะเกร็งตัวส+งผลทำให.ผิวความโค.งของเลนส]ตาแบนลงเพื่อเพิ่มความยาวโฟกัสสามารถมองเห็นวัตถุ
ที่อยู+ใกลได.อย+างชัดเจน ในทางตรงข.ามเมื่อวัตถุอยู+ใกล.ดวงตาก็จะเกิดพฤติกรรมในทางตรงข.ามกับนัยข.างต.นที่ได.กล+าวไว. ทั้งนี้
ความสามารถในการปรั บ โฟกั ส ของดวงตาเพื่ อ ดู ใ กล. ไ กลที่ ร ะยะต+ า ง ๆ กั น นั้ น เรี ย กว+ า สมรรถภาพการปรั บ ชั ด
(Accommodation)
5.1.2 การรับรู:ความลึกด:วยการมองสามมิติ (Stereoscopic Depth Perception)
การโฟกัสของดวงตาเพื่อมองไปยังจุด ๆ หนึ่งทำให.แกนทัศน]ของดวงตาทั้งสองข.างเบนเข.าหากันแล.วตัดกันที่จุด ๆ
หนึ่งเกิดเป–นมุมเหลื่อม (Parallactic Angle) ซึ่งเมื่อวัตถุตั้งอยู+ใกล.จะมีมุมเหลื่อมที่ใหญ+กว+าวัตถุที่อยู+ไกลออกไป จากรูปที่ 5-2
จะเห็นว+าแกนทัศน]ของดวงตาข.างซ.าย (L) และดวงตาด.านขวา (R) ซึ่งอยู+ห+างจากกันเป–นระยะฐานตา (Eye Base: b) ซึ่งก็คือ
ระยะห+างระหว+างรูม+านตา (Interpupillary Distance) ในที่นี้ให.เป–นระยะ b โดยขณะที่ดวงตาของเพ+งมองเพื่อโฟกัสสายตาไป
ยังจุด A แกนทัศน]ของดวงตาก็จะเบนเข.าหากันเกิดมุมเหลื่อม ในทํานองเดียวกัน เมื่อดวงตาเพ+งมองที่จุด B แกนทัศน]ก็
เบนเข.าหากันเกิดเป–นมุมเหลื่อม และการแปรเปลี่ยนขนาดของมุมเหลื่อมนี้ช+วยให.สมองรับรู.ได.ทันทีโดยอัตโนมัติถึงความ
ไกลใกล.ที่ สัมพั น ธ]กับ ระยะ และ ตามลำดับ และในขณะเดียวกัน ก็ช+วยให. สมองสามารถที่ จะพิ จารณาความลึก
ระหว+างจุด A และจุด B ( ) ผ+านการรับรู.ความแตกต+างทางขนาดของมุมเหลื่อมทั้งสองที่สมองของมนุษย]
เนื่องจากระยะใกล.สุดที่มนุษย]ซึ่งมาสายตาปกติสามารถรับรู.ความลึกจากการมองสามมิติคือระยะประมาณ 25 ซม. ซึ่ง
เป–นระยะที่สามารถมองเห็นได.อย+างชัดเจนและสบายตา กล+าวคือ หากดวงตาของมนุษย]สามารถเพ+งมองวัตถุที่อยู+ใกล.กว+า 25
ซม. ถึงแม.เป–นสิ่งที่กระทำได.แต+จะส+งผลให.กล.ามเนื้อดวงตาทำงานหนัก ส+งผลให.เมื่อยตาและในบางครั้งอาจจะเกิดอาการปวด
หัวได. อนึ่งระยะฐานตา (Eye Base) ของมนุษย]โดยทั่วไป (b) โดยเฉลี่ยอยู+ที่ประมาณ 6.3 ถึง 6.9 ซม. โดยอาศัยหลักการนี้เมื่อ
วิเคราะห]รูปที่ 5-2 อย+างละเอียดจะพบว+า ขนาดมุมเหลื่อมที่ใหญ+ที่สดุ ที่อาจจะเป–นไปได.สำหรับมนุษย]ที่มีสายตาปกติ โดย
.
รูปที่ 5-5 (ก)หลักการทำงาน และ (ข)ตัวอย+างกล.องมองภาพสามมิติแบบกระเป¬า
บริเวณของภาพถ+ายทางอากาศ ผู.รังวัดก็อาจจะจำเป–นต.องมีการขยับกล.องมองภาพสามมิติให.เคลื่อนที่ไปมาเพื่อที่จะพิจารณา
แบบจําลองสามมิติ ณ จุดที่กําลังสนใจอยู+
5.1.4.2.1 ขั้นตอนการใช.งานกล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงา
1. จัดภาพถ+ายทางอากาศโดยเลือกให.ให.เงาทาบไปทางขวามือหรือพุ+งเข.าหาผู.มอง ทั้งนี้เพื่อไม+ให.เกิดภาวะภาพสาม
มิติที่เกิดการหกกลับ ( Pseudoscopic )
2. การมองภาพสามมิติจะถูกต.องและดูได.อย+างสบายตาได.ก็ต+อเมื่อเส.นฐานของตาขนานกับเส.นแนวบินที่เกิดขึ้นจาก
เส.นตรงที่เชื่อมจุดกลางภาพ (Fiducial-Center Point) และจุดสังยุค (Conjugate Point)
3. หมายแนวบินลงบนภาพถ+ายทั้งสองให.ชัดเจนแล.ว
4. ทำการแปะยึดกระดาษกาวที่ภาพถ+ายด.านซ.ายจากนั้นทำการเลื่อนเข.าออกภาพถ+ายด.านขวาจนกระทั่งมองเห็น
เป–นภาพถ+ายทางอากาศเกิดเป–นภาพสามมิติที่สบายตาผ+านการใช.กล.องมองภาพสามมิติแบบกระจกเงา
เชื่อมระหว+างจุดมุขยสําคัญ (PP1 และ PP2) และจุดมุขยสําคัญสังยุค (CPP1 และ CPP2) เพื่อใช.เป–น แนวเส.นตรงอ.างอิงเพื่อ
ใช.ในการวัดระยะเหลื่อม อนึ่งขอให.เป–นที่เข.าใจกันว+า ระบบพิกัตภาพถ+ายสําหรับการหาระยะเหลื่อมนั้น เทียบกับระบบแกน
ตามแนวบินการวัดเพื่อหาระยะเหลื่อมอาจทําได.ทั้งวิธีมองภาพเดี่ยว (Monoscopic Method) ดังรูปที่ 5 - 17 หรือภาพคู+ซ.อน
(Stereoscopic Methods) ดังรูปที่ 5-19
รูปที่ 5-18 ภาพตัดขวางแสดงหลักการของจุดลอย (ดัดแปลงจาก วิชา จิวาสัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)
(5-1)
เมื่อ (D – K) คือค+า C เป–นค+าคงตัวไม.วัดระยะเหลื่อม และ Fm เป–นค+าที่อ+านได.จากไมโครมิเตอร] แทนค+า C
ลงในสมการ 5-1 จะได.สมการที่ 5-2 ดังนี้
(5-2)
อนึ่งค+า ri) ในสมการที่ 5-2 นี้จะขึ้นกับไมโครมิเตอร]ของไม.วัดระยะเหลื่อม กล+าวคือ หากค+าตัวเลขเพิ่มขึ้น
ตามระยะเหลื่อมที่เพิ่มจะเรียกว+า “ค+าอ+านแบบก.าวหน.า (Forward-reading)” ค+า fn ที่ใช.จะเป–นบวก แต+หากค+าตัวเลขลดลง
เมื่อระยะเหลื่อมเพิ่มขึ้นจะเรียกว+า “ค+าอ+านแบบถอยกลับ (Backward-reading)” ทั้งเครื่องหมายพืชคณิตของ ๓ ต.องกลับกัน
และเพื่อหาค+าคงตัวของไม.วัดระยะเหลื่อม (Parallax-bar Constant) ในสมการที่ 5-2 ให.ทําการอ+านค+า " จากไมโครมิเตอร]
หลังจากวางอุตสอยลงไปที่จุด ๆ หนึ่ง พร.อมกันนี้ดําเนินการวัดระยะเหลื่อมของจุดนั้นโดยตรงด.วยวิธีมองภาพเดี่ยว
(Monoscopic Method) เพื่อหาค+า p ด.วยสมการที่ 5-1 และจาก ก และ F ที่ได. ณ จุดนั้น แล.วจึงใช.สมการที่ 5-3 พิจารณา
หาค+า C ดังนี้
(5-3)
รูปที่ 5-20 เรขาคณิตของภาพคู+ซ.อน (ดัดแปลงจาก วิชา จิวาลัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)
จากรูปที่ 5-20 ทําการพิจารณาสามเหลี่ยมคล.าย L1Omy และ L1M0My จะได.ว+า
(5-4)
จัดรูปใหม+จะได.ว+า (5-5)
ซึ่งทําให.ได. (5-
7)
(5-8)
จะได.ว+า (5-9)
5-10)
(5-11)
ต+อไปแทนค+าสมการที่ 5-11 ลงไปในแต+ลงสมการที่ 5-5 และ 5-7 แล.วจัดรูปใหม+จะได.สมการที่ 5-12 และ 5-13 ดังนี้
(5-12)
(5-13)
เราจะเรียกสมการที่ 5-11, 5-12 และ 5-13 นี้ว+า สมการระยะเหลื่อม (Parallax Equation) โดยที่ hM เป–นค+า
ระดับของจุด M เหนือระดับอ.างอิง, H เป–นระดับบินเหนือระดับอ.างอิง, B เป–นระยะฐานการบินถ+ายภาพทางอากาศ, f เป–น
ความยาวโฟกัสของกล.อง, pm เป–นระยะเหลื่อมของจุด M, Xm และ Ym เป–นพิกัดภาคพื้นดินทางราบของจุด M และ Xm
และ Ym เป–นพิกัตภาพถ+ายของจุต m วัตเทียบกับแกนแนวบินบนภาพซ.าย ในทํานองเดียวกัน X’m และ y’m เป–นพิกัด
ภาพถ+ายของจุด m’ วัดเทียบกับแกนแนวบินบนภาพขวา สมการระยะเหลื่อมนี้มีประโยชน]ต+อนักสํารวจด.วยภาพถ+ายอย+าง
มาก เนื่องจากเพราะสามารถรังวัดพื้นที่ที่เป–นส+วนซ.อนของคู+ภาพสามมิติในการทํางานเป–นอย+างดี ทั้งนี้ในการปฏิบัติงานนั้น
จําเป–นจะต.องมีข.อมูลพื้นที่ฐานสําคัญที่ประกอบด.วยค+าความยาวโฟกัส f ของกล.องถ+ายภาพ จุดควบคุมบนพื้นดินที่เพียงพอต+อ
การคํานวณค+าระยะฐานการบินถ+ายภาพทางอากาศ B และ ระดับความสูงแนวบิน H
และ ม. รทก.
ค+าต+างระดับของจุต TM และ N เป–น AFWN = hw - hw = 597,566 - 567.461 = 30.105 เมตร
จากสมการที่ 5-12 และ 5-13
ณ จุต M มีค+าพิกัดทางราบ
ม.
ม.
ณ จุต N มีค+าพิกัดทางราบ
ม.
ม.
พิจารณาระยะราบของแนวเส.น
ม
นั้นคือ ระยะราบของแนวเส.น AMN (DwN) เท+ากับ 438.435 เมตร และ
ค+าต+างระดับของจุต M และ N (AFP ww) เป–น 30.105 เมตร
ในกรณีที่มีค+าพิกัดภาคพื้นดินของหมุดบังคับภาพ (Photo Control Point) ปรากฏอยู+ในพื้นที่ส+วนซ.อน เราสามารถ
นํ ามาใช.ในการพิ จารณาหาระยะฐานถ+ายภาพในอากาศ (Air Base) ได. โดยนํ าค+ าพิ กั ต ภาคพื้ น ดิ น ของหมุ ด บั งคั บ ภาพมา
คํานวณหาระยะทางราบ ตามทฤษฎีได.ดังนี้
(5-14)
แทนค+าสมการที่ 5-12 และ 5-13 ลงในสมการที่ 5-14 จะสมการที่ 5-15 ถึง 5-17 ดังนี้
(5-14)
(5-15)
(5-15)
(5-16)
นําพิกัดภาคพื้นดินมาหาระยะ
จะได.ว+า ม.
ม.
หลังจากนั้นพิจารณาระยะฐานถ+ายภาพในอากาศจากระยะพาราแล็กซ] และ พร.อมด.วยพิกัดภาพ พิกัดภาคพื้นดิน
และระยะทางราบ AB จะได้ระยะฐานถ่ายภาพในอากาศ ม.
รูปที่ 5-22 การหาระดับความสูงจากความต+างระยะเหลื่อม (ต.ตแปลงจาก วิชา จิวาลัย และ ปรีชา วงศ]วิทวัส, 2531)
(5-19)
(5-20)
(5-21)
(5-22)
(5-23)
(5-24)
(5-25)
(5-26)
(5-27)
(5-28)
(5-29)
ตัวอย,างที่ 5-3 ภาพถ+ายทางอากาศคู+ข.อนถ+ายที่ความสูง 1,235 เมตร รทก. ด.วยกล.องรุ+น RMK A 15/23 ที่ใช.เลนส] Carl
Zeiss แบบมุมกว.าง (Wide Angle) มีความยาวโฟกัส 153.00 มม. และมีระยะฐานการถ+ายภาพทางอากาศ (Air Base: B) เป–น
400 เมตร ดําเนินการวัดระยะเหลื่อม ณ จุด M ( ) และ N ( ) ได.เป–น 91.68 และ 96.01 มม. ตามลําดับ พร.อมกันนี้
ทราบค+า ระดับของจุตควบคุมทางดิ่ง C ว+า มีค+าระดับเป–น 590.702 ม. รทก. และได.รังวัดระยะเหลื่อม ณ จุต C ( ) ได.เป–น
92.92 มม. จงพิจารณาหาค+าระดับของจุด M และ N โดยใช.สมการความต+างระยะเหลื่อม (สมการที่ 5-29)
สําหรับจุด M จะได.ว+า
สมการที่ 5-29 จะได.ว+า
สําหรับจุด N จะได.ว+า
สมการที่ 5-29 จะได.ว+า
นั่นคือ ค+าระดับ ณ จุต M และ จุต N เป–น 584.096 ม. และ 613.586 ม. ตามลําดับ สมการโดยประมาณสําหรับการหาค+าต+าง
ระดับจากความต+างระยะเหลื่อมนั้นสามารถที่จะพิจารณาได.จากงสมการที่ 5-30 ถึง 5-36 ดังนี้
จากสมการที่ 5-11 จะได.ว+า (5-30)
(5-31)
(5-32)
(5-33)
(5-34)
(5-35)
(5-36)
ตัวอย,างที่ 5-4 การบิ นถ+ายภาพเหนือตึกตั้งแสดงในรูป ที่ 5-23 ด.วยความสูงแนวบิ น (H) 700 ม. เหนือระดับ ภู มิป ระเทศ
กําหนดให.ระยะห+างระหว+างจุดมุขยสําคัญ (Principal Point) และจุดมุขยสําคัญ สังยุค (Conjugate Principal Point) เป–น
ระยะ b ดังรูปเท+ากับ 86 มม. และมีค+ารังวัดบนภาพดังแสดงในรูปที่ 5-23 จงพิจารณาความสูงของตึก AMN (ระยะ AMN)
โดยใช. ระยะเหลือ่ ม
จากสมการที่ 5-1 จะได.ว+า ระยะเหลื่อมที่จุด m คือ = 39 - (-29) = 68 มม.
ระยะเหลื่อมที่จุต N คือ = 43 – (-33) = 76 มม.
จากสมการที่ 5-36 จะได.ว+า
นั่นคือ ความสูงของตึก MN เป–น 65.1 ม. เหนือระดับภูมิประเทศ
5.2.5 การวัดความสูงจากความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความต,างระดับ
(Measuring Elevation from Height Relief Displacement)
5.2.5.1 มาตราส+วนของภาพถ+ายงเหนือภูมิประเทศที่แปรเปลี่ยนความสูง
มาตราส+วนของภาพถ+ายทางอากาศจะถูกกําหนดให.บันทึกครอบคลุมภูมิประเทศด.วยมาตราส+วนเฉลี่ย (Nominal Scale) ทั้งนี้
เพื่อให.ง+ายต+อการนําไปใช.งานและกําหนดชั้นความละเอียดถูกต.องในการทําแผนที่ในเบื้องต.น โดยรูปที่ 5-24 ที่ได. แสดง
ความสั ม พั น ธ]ระหว+างระดั บ สู งแนวบิ น เหนื อ ภู มิ ป ระเทศและความยาวโฟกั ส ของภาพถ+ ายในการวิเคราะห] ห ามาตราส+ วน
ภาพถ+ายของภาพทางอากาศที่เป–นภาพถ+ายดิ่งเหนือภูมิประเทศพื้นราบตั้งแสดงในสมการที่ 5-37 ดังนี้
(5-37)
เมื่อ H' เป–นความสูงแนวบินเหนือภูมิประเทศ และ H เป–นความสูงแนวบินเหนือระดับอ.างอิง
h เป–นค+าระดับของภูมิประเทศเหนือระดับอ.างอิง
ในขณะที่มาตราส+วนของภาพถ+ายดิ่งเหนือภูมิประเทศสูง ๆ ต+ํา ๆ ซึ่งมีความสูงแนวบินก็จะมีการแปรเปลี่ยนตามไป
ด.วยดังรูปที่ 5-25 โดยในการนําไปใช.จําเป–นอย+างยิ่งที่จะต.องมีการวิเคราะห]หามาตราส+วนเฉลี่ยของภาพถ+าย (Average Photo
Scale) ซึ่งสามารถพิจารณาได. ดังแสดงในสมการที่ 5-38 ดังนี้
(5-38)
เมื่อ เป–นค+าระดับเฉลี่ยของภูมิประเทศเหนือระดับอ.างอิง
(5-40)
(5-41)
(5-42)
(5-43)
(5-44)
จะเห็นว+า จุด N มีมาตราส+วนภาพถ+ายที่แตกต+างจากจุด M
จากสูตรระยะทาง
ม.
นั่นคือ ระยะทาง = 1036 ม.
5.2.5.2 ความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความสูงต+ําของภูมิประเทศ
จากการวิเคราะห]มาตราส+วนภาพถ+ายในส+วนก+อนหน.าจะเห็นว+า มาตราส+วนของภาพถ+ายทางอากาศโดยทั่วไปนั้นจะ ไม+เท+ากัน
ทั่วทั้งบริเวณภาพถ+าย ทั้งนี้เนื่องมาจากการแปรเปลี่ยนความสูงต+ําของภูมิประเทศหรือวัตถุใด ๆ ในพื้นที่เมื่อเทียบกับ ความสูง
เฉลี่ยของภูมิประเทศ (Average Ground Level: ASL) และเราจะเรียกปรากฏการณ] ที่เกิดขึ้นนี้ว+า ความคลาดเคลื่อน บน
ภาพถ+ายเนื่องจากความสูงต+ําของภูมิประเทศ (Relief Displacement) โดยอาศัยปรากฏการณ]นี้เอง เราสามารถวัดความ สูง
ของวัตถุใด ๆ ได.บนภาพถ+ายเดี่ยวผ+านหลักการที่ได.สรุปไว.ในรูปที่ 5.27 ซึ่งเป–นภาพของหอคอยโตเกียว (Tokyo Tower)
ประเทศญี่ปุ¸นที่มีความสูง h และปรากฏบนภาพถ+ายเดี่ยวเป–นระยะ d และมีระยะจากจุดมุขยสําคัญไปยังยอดของหอคอย
โตเกียวเป–นระยะ F
H’ = ความสูงแนวบินเหนือระดับภูมิประเทศ (ระนาบวัตถุ)
H = ความสูงแนวบินเหนือระนาบอ.างอิง (Reference Datum)
d = ระยะจากฐานถึงยอตของวัตถุบนภาพ
r = ระยะจากจุดมุขยสําคัญไปยังวัตถุบนภาพ
h = ความสูงของวัตถุ (วัดจากฐานไปถึงยอด)
จากสมการมาตราส+วน (สมการที่ 5-45) จัดรูปใหม+ควบคู+กับการพิจารณารูปที่ 5-26 จะได.สมการที่ 5-46 ถึงสมการที่
5-51
(5-46)
(5-47)
(5-48)
(5-49)
(5-50)
(5-51)
แทนสมการที่ 5-48 และ 5-51 ลงในสมการมาตราส+วน (สมการที่ 5-45} จะได.สมการที่ 5-52 ถึงสมการที่ 5-54 ซึ่งใน
ที่นี้จะ เรียกสมการที่ 5-54 ว+า สมการความเคลื่อนเนื่องจากความต+างระดับ
(5-52)
(5-53)
(5-54)
จากสมการความคลาดเคลื่อนเนื่องจากความต+างระดับ (สมการที่ 5-54) จะเห็นว+า ค+าความคลาดเคลื่อนจะแปรผัน
ตามระยะทางตามแนวรัศ มี แ ละความสู งของวัต ถุ ที่ เพิ่ ม ขึ้ น เรื่อ ย ๆ อย+ างสม+ํ าเสมอในลั ก ษณะตามระยะทางจาก
ศูนย]กลาง ภาพถ+ายจะเพิ่มตามความสูงของวัตถุเพิ่มอย+างผกผันกับความสูงแนวบินเหนือวัตถุ และแปรผกผันกับความ
สูงแนวบิน และเมื่อ นํามาจัดรูปใหม+เป–นสมการที่ 5-55 ก็จะสามารถนําไปพิจารณาความสูงของวัตถุได.ปรากฏการณ]
ความคลาดเคลื่อนเนือ่ งจาก ความต+างระดับนี้ได.
(5-55)
ตัวอย,างที่ 5-8 จากรูปที่ 5-28 ต.องการวัดความสูงของอาคารที่ปรากฏบนภาพถ+ายทางอากาศซึ่งบินถ+ายที่ระดับความสูง (H)
เป–น 1372,000 ม. เหนือระนาบอ.างอิง ทั้งนี้ได.ทําวัตการวัดระยะบนภาพถ+ายโดยได.วัดระยะตามแนวรัศมีจากจุดมุขยสําคัญถึง
ยอดตึก (r) ได. 76.2 มม. และวัดระยะ Displacement ได.เป–น 2.55 มม. จงคํานวณหาค+าความสูงของอาคาร (ระยะดิ่ง MN)
วิเคราะห]ความสูงแนวบินเหนือระดับภูมิประเทศ จะได.ว+า
ม.
วิเคราะห]หาความสูงอาคารจากสมการที่ 5-55 ได.ดังนี้
ม.
จะได.ว+า อาคารหลังนี้สูง 40,893 ม. เหนือระดับภูมิประเทศ (ระนาบวัตถุดังรูปที่ 5-28)
แบบจําลองความสูง
Digital Elevation Model
เส.นขั้นความสูงเป–นการแสดงรูปลักษณ]ภูมิประเทศผ+านกลุ+มของเส.นที่บอกค+าระดับสูงของภูมิประเทศด.วยช+วงเส.น ชั้น
ความสูง (Contour Interval) ที่เป–นระยะห+างแนวดิ่งหรือค+าต+างระดับระหว+างคู+เส.นชั้นความสูงโดยต.องเป–นค+าคงที่สําหรับ
แผนที่หนึ่ง ๆ และต.องที่เหมาะสมสอดคล.องกับมาตราส+วนแผนที่นั้น ทั้งนี้เพราะช+วงเส.นชั้นความสูงจะเป–นดัชนีชี้วัดที่ใช.บ+ง
บอกถึงความละเอียดในการเก็บข.อมูล เส.นชั้นความสูงจัดเป–นวิธีแสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศที่วิศวกรโยธาคุ.นเคยมากที่สุด
และจากคุณสมบัติที่ดีของเส.นชั้นความสูงว+า เส.นชั้นความสูงหนึ่ง ๆ จะมีค+าระดับบนเส.นเดียวกันเท+ากันทั้งเส.น โดยเส.นชั้น
ความสูงหนึ่ง ๆ จะถูกลากไปบนพื้นผิวโลกในบริเวณพื้นที่ที่มีค+าระดับเดียวกัน ซึ่งปกติแล.วค+าระดับความสูงของเส.นชั้นความสูง
ก็คือระยะทิ้งจากตําแหน+งจุดต+าง ๆ บนเส.นถึงพื้นผิวระตับอ.างอิง (Datum) ซึ่งพื้นผิวระดับอ.างอิงนี้จะเป–นทั้งระดับอ.างอิงที่เป–น
ระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) และระดับอ.างอิงที่เป–นระดับสมมุติ (รสม.) ขึ้นมาก็ได.ขึ้นอยู+กับลักษณะและความจําเป–นในงาน
แต+ละประเภท ดังนั้น การมีความเข.าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติของเส.นชั้นความสูงจึงถือเป–นสิ่งจําเป–น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
6.1.1.1 ชนิดเส.นชั้นความสูง
การเขียนเส.นชั้นความสูงมี 3 ลักษณะด.วยกัน (วิชัย เยี่ยงวีรชน, 2548) ดังแสดงรูปที่ 6-5 มีรายละเอียดดังนี้
1 เส-นชั้นความสูงดัชนี (Index Contour) คือ เส.นชั้นความสูงเริ่มต.นที่ค+าระดับ 0 เมตร เหนือระดับพื้นผิวอ.างอิง
โดย เส.นขั้นความสูงทุกเส.นที่เป–นเส.นขั้นความสูงดัชนีนั้น ควรจะต.องมีลักษณะเด+นชัดบนแผนที่ ทั้งนี้สามารถ
6.1.1.2 คุณลักษณะเส.นชั้นความสูง
1. ระยะราบระหว+างเส.นชั้นความสูงเป–นปฏิภาคกลับกับความลาดเอียงของพื้นดิน
2. บริเวณพื้นที่ขรุขระและไม+สม่ำเสมอเส.นชั้นความสูงจะไม+เป–นเส.นเรียบ
3. บริเวณพื้นที่ผิวดินเรียบเส.นชั้นความสูงจะมีระยะห+างสม่ำเสมอและขนานกัน
4. ทิศทางของเส.นชั้นความสูงจะตั้งฉากกับแนวลาดเอียงสูงสุด
5. เส.นชั้นความสูงจะลากตัดกับสันเขาหรือร+องน้ำเป–นมุมฉาก
6. เส.นชั้นความสูงที่แสดงลักษณะของพื้นที่เป–นหรือแอ+งจะมีลักษณะเป–นวงเส.นป¨ด โดยพิจารณาจากค+าระดับของ
เส.นข.างเคียง หากค+าระดับของเส.นชั้นความสูงข.างเคียงไม+แสดงให.ทราบว+า เป–นเนินหรือแอ+งจะใช.สัญลักษณ]
แสดงให.ทราบ เช+นใช.วิธีแรเงาส+วนที่เป–นแอ+ง เรียกว+า “Depression Contour
7. เส.นชั้นความสูงแต+ละเส.นจะไม+รวมเป–นเส.นเดียวกันหรือตัดกัน นอกจากในกรณีของหน.าผาสูงชันหรือเป–นชะโงกเขา
และถ้ำ
8. เส.นขั้นความสูงเส.นหนึ่งจะไม+แยกออกเป–นสองเส.น
9. เส.นชั้นความสูงเส.นหนึ่งจะไม+อยู+ระหว+างเส.นขั้นความสูง 2 เส.น ที่มีค+าระดับสูงกว+าหรือต่ำกว+า แต+จะมีลักษณะ
เป–นคู+กันได.
10. เส.นขั้นความสูงที่ลากผ+านแนวเส.นร+องน้ำ (Stream Line) จะมีลักษณะเป–นรูปตัววี (V-Shape) หรือหักมุมกลับ
โดยหันมุมชี้ขึ้นไปทางด.านที่สูงกว+าหรือต.นน้ำ
11. เส.นขั้นความสูงที่ลากผ+านแนวสันเขา (Ridge Line) จะมีลักษณะเป–นรูปโค.งวกกลับคล.ายตัวยู (U-Shape) หัน
ด.านมนไปทางที่มีค+าระดับต่ำกว+า
6.1.1.3 ตัวอย+างรูปของเส.นชั้นความสูงตามลักษณะภูมิประเทศแบบต+างๆ
การเขียนเส.นขั้นความสูงแทนลักษณะภูมิประเทศแบบต+าง ๆ (วิชัย เยี่ยงวีรชน, 2548) เช+น ภูเขาและยอดเขาดังรูป ที่
6-6 (เส.นชั้นความสูงล.อมเป–นวงซ.อนกันหลายวง ๆ และเส.นชั้นความสูงรอบในสุดมีระดับความสูงสูงสุด) หน.าผาดังรูปที่ 6-7
สันเขาดังรูปที่ 6-8 สันเขารูปอานม.าดังรูปที่ 6-9 จมูกเขาดังรูปที่ 6-10 (คือ ส+วนที่แยกออกจากแนวสันเขาใหญ+ลาดลงสู+หุบเขา
ใหญ+ เส.นชั้นความสูงบริเวณจมูกเขามีลักษณะโค.งยื่นไปสู+ลําน้ำสายใหญ+ ส+วนสองข.างของจมูกเขาขนาบด.วยลําน้ำสาขา) ร+อง
น้ำดังรูปที่ 6-11 และ แอ+งน้ำดังรูปที่ 6-12 ทั้งนี้เส.นชั้นความสูงสามารถใช.แสดงลักษณะภูมิประเทศแบบอื่นได.อีกเช+น ร+อง
ระบายน้ำในเมือง แนวถนนน หรือเกาะกลางถนน เป–นต.น โดยการเขียนเส.นชั้นความสูงแสดงลักษณะภูมิประเทศแบบอื่นก็
ล.วนแล.วแต+มีการประยุกต]และปรับปรุงจากตัวอย+างพื้นฐานเหล+านี้
รูปที่ 6-13 ตัวอยPางของคPาระดับสูงเข็งเลข DEFM-95 9", SRTM. 3" DEM และ ASTER 1DEM ที่มีความละเอียดทางราบของแตPละ Cell เป6น
270, 90 และ 30 เมตร ตามลLาดับ (ดัดแปลงจาก Hirt et al., 2010)
รูปที่ 6-14 (ก) ตัวอยPาง TIN ในการแสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศ และ (ข) โครงสรLางขLอมูล TIN
6.1.3.2 พอยต]คลาวด] (Point Cloud)
พอยต]คลาวด]เป–นการแสดงรูปลักษณ]พื้นผิวโลกด.วยกลุ+มของจุดสามมิติ โดยมีโครงสร.างการจัดเก็บค+าตําแหน+งของ
วัตถุบนพื้นผิวโลกด.วยในรูปแบบพิกัด (X, Y, Z) ซึ่งอาจจะมีการบันทึกค+าข.อมูลสี (Color Information) แบบแดง-เขียว-
น้ำเงิน (รูปที่ 6-15ก) ของพื้นผิวนั้นๆเข.าไว.ด.วยกัน การแสดงรูปลักษณ]พื้นผิวโลกด.วย Point Cloud นี้จะเป–นการแสดง
กลุ+มของจุด สามมิตินับล.านจุดที่มาแสดงความต+อเนื่องของพื้นผิว ดังรูปที่ 6-15ข โดยสามารถนํามาพิจารณาลักษณะ
ของวัถตุได. เช+น การ เปลี่ยนแปลงของพื้นผิว การวัดระยะทางระหว+างจุดต+าง ๆ บนวัตถุ รวมถึงพิจารณาหามุมองศา เป–น
ต.น
แทนมุมในหน+วย radaians
โดยเหตุนี้ ระยะ 1 arc-second จึงเท+ากับ เมตร
หมายเหตุ ตัวคูณ คือ การแปลงหน+วยของมุมในหน+วยองศา ให.เป–น radians
สาม ารถดาวน] โห ลดจากเว็ บ ไซต] ข อง NOAA’s National Centers for Environmental Information (NCEI) ด. ว ย
URL:https://www.ngdc.noaa.gov/mgg/topo/gltiles.html และในการดาวน]โหลดนี้สามารถดาวน]โหลดระวางที่สนใจ ซึ่ง
แบ+งข.อมูลออกเป–น 16 ระวาง ดังรูปที่ 6-18 และประเทศไทยตั้งอยูใ+ นบริเวณระวางที่ H
รูปที่ 6-20 แหล+งข.อมูลที่ใช.ผลิตข.อมูล GTOPO30 เช+น DTED, USGS DEM, และ New Zealand DEM เป–นต.น
(ดัดแปลงจาก USGS, 2015)
รูปที่ 6-22 แหล+งข.อมูลสำหรับผลิต GLCF DEM ซึ่งประกอบด.วย SRTM DEM, GTOPO30 และ CDED เป–นต.น
(ดัดแปลงจาก Global Land Cover Facility, 2016)
(ก)
(ข)
รูปที่ 6-23 (ก) หลักการทำงานของดาวเทียม ASTER ในโหมดในกวาดข.อมูลแบบ Stereo Pair สำหรับการผลิต DEM
(ข) กระบวนการในการผลิต ASTER GDEM จากข.อมูลแบบ Stereo Pair ของดาวเทียม ASTER
(ดัดแปลงจาก ประจวบ เรียบร.อย, 2553)
สารบัญแสดงแผนที่ชุด L7018 S
6.3 การใช:ประโยชนwจากแบบจำลองความสูงในงานวิศวกรรมโยธา
(Utilization of DEM for Civil Engineering Works)
ข.อมูลแบบจำลองระดับสูงเชิงเลข (DEM) ได.กลายเป–นข.อมูลพื้นฐานที่ถูกนำมาใช.ในการนำเสนอรูปลักษณ]พื้นผิวโลก
โดยความาสูงต่ำของพื้นผิวโลกในเชิงดิจิทัล รวมถึงได.กลายเป–นหนึ่งในส+วนสำคัญที่สุดของโครงสร.างข.อมูลที่ใช.วิเคราะห]งาน
ทางด.านภูมิสารสนเทศ (Geomatics) ตลอดจนงานทางด.านวิทยาศาสตร]อื่นๆ อันเกี่ยวข.องกับผิวโลก (Geoscience) และ
ข.อมูล DEM ถือเป–นข.อมูลสารสนเทศที่อธิบายลักษณะภูมิประเทศ (Topographic Information) ที่เป–นกุญแจสำคัญในการ
สำรวจด.วยภาพถ+าย โดยข.อมูล DEM เป–นวัตถุดิบในการตัดแก.ข.อมูลภาพถ+ายปกติที่ยังมีความผิดเพี้ยนอันเนื่องมาจากการฉาย
ผ+านศูนย]ทัศน] (Perspective Projection) ที่ทำให.เกิดความคลาดเคลื่อนของจุดภาพอันเนื่องมาจากความเอียงของแนวแกน
กล. อ ง (Tilt) และความคลาดเนื่ อ งจากความต+ า งระดั บ (Relief Displacement) ให. ก ลายเป– น ข. อ มู ล ภาพถ+ า ยออร] โ ธ
(Orthophoto) ที่ขจัดความคลาดเคลื่อนเหล+านี้ออกไปจนกลายเป–นการฉายแบบตกตั้งฉาก (Orthographic Projection) ซึ่ง
จะได.กล+าวถึงโดยละเอียดในบทที่ 7
ในมิติของการสำรวจด.วยภาพดาวเทียมจากระยะไกล (Remote Sensing) นั้น ข.อมูล DEM ได.ถูกนำมาเป–นเงื่อนไข
สำคัญในการปรับแก.คุณลักษณะต+างๆ อันผิดเพี้ยนของข.อมูลภาพถ+ายดาวเทียมอันเนื่องมาจากรูปลักษณ]ของพื้นผิวซึ่งเป–น
สาเหตุทำให.เกิดป•ญหาของค+าการส+องสว+างของภูมิประเทศในเชิงอนุพันธุ] (Differential Terrain Illumination) บนข.อมูลภาพ
ดาวเทียม โดย Nichol & Hang (2013) ได.กล+าวว+า บทบาทของ DEM มีความสำคัญอย+างยิ่งในการเข.ามาเป–นตัวแปรสำคัญใน
การสร. า งแบบจำลองที่ ใช. ในการปรั บ แก. ไม+ ว+ า จะเป– น การปรั บ แก. ลั ก ษณะทางเรขาคณิ ต (Geometric Correction) หรื อ
แม.กระทั่งการปรับแก.คุณลักษณะเชิงคลื่น (Radiometric Correction) ตลอดจนการปรับแก.ความคลาดเคลื่อนชั้นบรรยากาศ
(Atmospheric Correction)
นอกจากนี้ การวิเคราะห]ต+างๆ ที่เกี่ยวข.องกับข.อมูล DEM มีความสำคัญ อย+างยิ่งต+อการประยุกต]ใช.ร+วมกับข.อมูล
ราสเตอร] (Raster) ในระบบสารสนเทศภู มิ ศ าสตร] (Geographical Information System: GIS) ทั้ งในมิ ติ ข องการบริห าร
จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย+างการบริหารจัดการน้ำ หรือ ในมิติของการตัดสินใจต+างๆ ก็ยังต.องการใช.ข.อมูล DEM เข.าไปร+วม
ประกอบในกระบวนการตัดสินใจแบบหลายหลักเกณฑ] หรือแม.กระทั่งเฉพาะข.อมูล DEM เองก็เป–นข.อมูลขั้นพื้นฐานในการ
วิเคราะห]เพื่อประยุกต]ใช.ในงานภภูมิสัณฐาน (Geomorphology)
จากที่ได.เกริ่นไว.ทั้งหมดนี้เพื่อให.วิศวกรโยธาได.เล็งเห็นถึงความสำคัญและการนำเอา DEM ไปในแง+มุมต+างๆ โดยจะ
เห็ น ว+ า DEM นั้ น มี ป ระโยชน] อ ย+ า งยิ่ ง ต+ อ การนำไปประยุ ก ต] ใช. ในทุ ก วงการวิ ศ วกรรม ดั ง นั้ น เนื้ อ หาต+ อ จากนี้ ไปจะเป– น
รายละเอียดในการนำ DEM มาใช.ประโยชน] โดยเริ่มจากการตรวจสอบความถูกต.องของ DEM และฟ•งก]ชั่นพื้นฐานทาง GIS ใน
การวิเคราะห] DEM ที่มปี ระโยชน]ต+องานวิศวกรรมโยธา
จากการศึกษาที่ผ+านมา ได.แก+ Rodriguez et al. (2006) และ Gorokhovich & Voustianiouk (2006) เป–นต.น ได.
เสนอแนวทางในการประเมินความถูกต.องในภาพรวม (Global Accuracy Assessment) ผ+านการประเมินความถูกต.องทางดิ่ง
ของข.อมูล DEM เทียบกับค+าระดับสูงอ.างอิงซึ่งอาจจะได.มาโดยหลายวิธี อาทิ ค+าระดับสูงที่ได.จากแผนที่มาตราส+วนใหญ+ หรือ
รังวัดค+าพิกัดตรวจสอบด.วยระบบดาวเทียม GPS ยกตัวอย+างเช+น Gorokhovich & Voustianiouk (2006) ได.มีการศึกษาความ
ถูกต.องเชิงตำแหน+งสัมบูรณ]ทางดิ่งบริเวณเกาะภูเก็ต โดยผลการศึกษาพบว+า 90-m SRTM DEM บริเวณนี้มีความถูกต.องอยู+
ประมาณ 7.58 ม. ในเวลาต+อมาได.มีการศึกษาของ สุริยะ ผลพูน, ชาติชาย ไวยสุระสิงห], & ขรัตน] มงคลสวัสดิ์ (2553) ได.
วิเคราะห]ความถูกต.องของ DEM บริเวณพื้นที่ ต.บ.านโคกโพธิ์ อ.สระโคร จ.หนองคาย โดยพบว+า 90-m SRTM DEM มีค+าความ
ถูกต.องในระดับเดียวกันกับ 30-m RTSD DEM และ 5-m MOAC DEM รวมถึงได.มีการวิเคราะห]ทดลองเปรียบเทียบกับการ
รังวัดค+าระดับโดยแสดงเป–นรูปตัดตามแนวยาว (Profile) ด.วยวิธีการใช.กล.องระดับอิเล็กทรอนิกส] รุ+น NAK3003 ให.ผลดังรูป 6-
30 นอกจากนี้ ชาติชาย ไวยสุระสิงห], เจษฎา ทองแท+ง, & สุริยะ ผลพูน (2553) ได.มีการนำเอาค+าอ.างอิงที่ได.จากรังวัด DGPS
แบบ Rapid Static จำนวน 58 จุดเป–นข.อมูลอ.างอิงค+าระดับ เพื่อใช.ในการประเมินความถูกต.องแบบของจำลองระดับแต+ละ
ชนิด ซึ่งประกอบด.วย 5-m MOAC DEM, 30-m RTSD DEM, 30-m GDEM, 90-m SRTM DEM, และ 90-m GLS DEM ดัง
แสดงไว.ในตารางที่ 6-2 โดยผลลัพ ธ]ที่ ได. แสดงถึงค+ าเฉลี่ยระดั บ ของ DEM จะเห็ น ว+า ค+ าระดั บ เฉลี่ยของ DEM แต+ ละตั วที่
ค+อนข.างใกล.เคียงกันโดยอยู+ในช+วง 517-529 ม. และมีค+าส+วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของค+าระดับที่ใกล.เคียงกันคือ (127-129) ม.
นอกจากนี้ ยังได.มีการประเมินค+าเปรียบเทียบทางสถิติอื่นๆ เช+น ค+า Mean Absolute Error (MAE) ค+า RMS Error และค+า
Accuracy Z โดยผลลัพธ]ที่ได.จากขั้นตอนนี้จะได.แสดงไว.ในตาราง 6-3 โดยจะเห็นว+าข.อมูล MOAC DEM จะมีความถูกต.องสูง
กว+าข.อมูลแบบจำลองอื่นๆมาก ดังจะเห็นได.จาก RMS Error อยู+มีค+าใกล. 2 ม. ในขณะที่ข.อมูล DEM อื่นๆ มีค+า RMS Error
ค+อนข.างสูง โดยเฉพาะอย+างยิ่ง ข.อมูล GDEM มีความถูกต.อง ค+อนข.างต่ำเมื่อเทียบกับจำลองระดับสูงชนิดอื่นๆ มากและค+า
MAE ก็มีทิศทางในทำนองเดียวกัน และจากค+า Error Range ของ MOAC DEM ที่มีค+าต่ำกว+าค+าที่ได.จากข.อมูล DEM อื่นๆ นั้น
แสดงให.เห็นคือความถูดต.องของ MOAC DEM ที่ค+อนแคบกว+าข.อมูล DEM ชนิดอื่นๆ และด.วยเหตุนี้เองในการดำเนินการ
วิเคราะห]ขั้นต+อไปจึงได.เลือกเอา MOAC DEM เป–นข.อมูลอ.างอิงสำหรับการสร.างแบบจำลอง Error ให. DEM ชนิดอื่นๆ
รูปที่ 6-30 (ก) ข.อมูล DEM และ DSM จากแหล+งต+างๆ ที่นำมาวิเคราะห] และ (ข) ผลการเปรียบเทียบค+าระดับของ
DEM/DSM จากแหล+งต+างๆ ด.วยวิธี Street Profile Checking โดยอ.างอิงกับ DSM ที่ได.จาก UAV Photogrammetry
(ดัดแปลงจาก ชาติชาย ไวยสุระสิงห] และคณะ 2561)
ร.อยละความลาดชัน (6-2)
รูปที่ 6-34 (ก) การบอกลักษณะทิศทางความลาดชัน (Aspect) ของ (ข) ข.อมูล DEM ซึ่งได. (ค) ข.อมูล Aspect ที่แสดงทิศทาง
ของลักษณะภูมิประเทศถึงทิศทางของระนาบใดๆ ในข.อมูล DEM
(ดัดแปลงจาก ESRI, 2016)
รูปที่ 6-35 (ก) Moving Window ขนาด 3x3 เพื่อวิเคราะห] Aspect ยกตัวอย+างเช+น การวิเคราะห] (ข) ข.อมูล DEM เพื่อหาค+า
อัตราการเปลี่ยนแปลงตามแนวแกน x และแกน y เพื่อจะนำมาใช.ในการวิเคราะห]และให.ผลลัพธ]ออกมาเป–น (ค) ข.อมูล
Aspect ซึ่งค+าต+างๆ จะแสดงทิศทางของลักษณะภูมิประเทศถึงทิศทางของระนาบใดๆ ในข.อมูล DEM
(ดัดแปลงจาก ESRI, 2016)
รูปที่ 6-36 (ก) – (ข) หลักการชองฟ•งก]ชั่น Illumination ในการผลิต (ง) Shade Relief Image และ (จ) เมื่อนำไปแสดงซ.อน
หลังกับ DEM ที่เป–นลักษณะภูมิประเทศเพื่อแสดงมิติความลึก (ดัดแปลงจาก ESRI, 2016)