Professional Documents
Culture Documents
ภาพที่ 3 โครงสร้างของรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวตัดตามขวาง
รากของพืชบางชนิดอาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปเพื่อทําหน้าที่ต่าง ๆ ดังนี้
1. รากสะสมอาหาร เช่น หัวผักกาด (หัวไชเท้า) แครอท มันเทศ มันแกว กระชาย มันสําปะหลัง
2. รากหายใจที่มีปลายรากโผล่ขึ้นมาเหนือดินและผิวน้ํา เช่น รากลําพู โกงกาง และแสม
3. รากที่ช่วยในการค้ําจุนลําต้นพืช เช่น รากเตยทะเล รากไทร
4. รากที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น รากสีเขียวของกล้วยไม้
5. รากที่ใช้ในการยึดเกาะกับผนัง เช่น รากของต้นพลู พริกไทย พลูด่าง
6. รากปรสิตที่ใช้ในการแทงเข้าไปแย่งน้ําและอาหาร เช่น รากกาฝาก รากต้นฝอยทอง
ภาพที่ 6 โครงสร้างของเนื้อไม้แสดงวงปี
ภาพที่ 7 โครงสร้างตัดตามขวางของใบพืช
ใบพืชบางชนิดอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อทําหน้าที่เฉพาะ เช่น
1. ใบของพืชบางชนิดเปลี่ยนเป็นหนามเพื่อลดการคายน้ํา เช่น ใบกระบองเพชร
2. ใบของพืชบางชนิดทําหน้าที่ในการสะสมน้ํา เช่น ใบว่านหางจระเข้
3. ใบของพืชบางชนิดทําหน้าที่ในการสะสมอาหาร (bulb) เช่น ใบหัวหอม
4. ใบของพืชบางชนิดมีก้านใบพองโตช่วยในการลอยน้ํา เช่น ผักตบชวา
5. ใบของพืชบางชนิดทําหน้าที่ในการยึดเกาะและพยุงลําต้น (tendril) เช่น ดองดึง ถั่วลันเตา
6. ใบของพืชบางชนิดเปลี่ยนแปลงไปสําหรับจับแมลง เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลิง
7. ใบของพืชบางชนิดอาจมีสีสันสวยงามสําหรับดึงดูด pollinator เช่น ใบเฟื่องฟ้า ใบต้นคริสต์มาส
8. ใบของพืชบางชนิดอาจใช้ในการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น ใบคว่ําตายหงายเป็น
5. การลําเลียงน้ําและอาหารของพืช
การลําเลียงน้ําในพืชจะเริ่มตั้งแต่การนําน้ําจากในดินเข้ามาภายในราก จากนั้นจึงมีการลําเลียงตามท่อ
ไซเล็มขึ้นไปยอดพืช ก่อนจะมีการคายน้ําออกไปภายนอกทางรูปากใบ ในที่นี้จะอธิบายกลไกการลําเลียงน้ําในพืช
เป็น 3 ส่วนหลักตามบริเวณที่เกิดการลําเลียงน้ํา คือการลําเลียงน้ําจากในดินเข้าสู่ท่อลําเลียงในรากการลําเลียง
น้ําภายในท่อลําเลียงจากรากไปยอด (ใบ) และการลําเลียงน้ําจากใบออกสู่สิ่งแวดล้อม - การคายน้ํา (transpiration)
และการเปิดปิดปากใบ
ภาพที่ 8 โครงสร้างของดอก
การแบ่งประเภทของดอกไม้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ สรุปได้ ดังนี้
1. การแบ่งประเภทของดอกตามองค์ประกอบของชั้นต่าง ๆ ทั้ง 4 ชั้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1.1 ดอกสมบูรณ์ (complete flower) - ดอกที่ประกอบด้วยองค์ประกอบของดอกครบทั้ง 4 ชั้น
- เช่น ชบา พู่ระหง กุหลาบ ลิลลี่ พริก ต้อยติ่ง มะลิ
7. การตอบสนองของพืชและฮอรโมนพืช
การเคลื่อนไหวของพืช (Plant Movement)
การเคลื่อนไหวของพืชสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
1. การเคลื่อนไหวแบบทรอปิก (tropic movement) เป็นการเคลื่อนไหวของพืชที่มีทิศทางสัมพันธ์กับสิ่งเร้า
2. การเคลื่อนไหวแบบแนสติก (nastic movement) ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของพืชที่ไม่มีทางสัมพันธ์
กับสิ่งเร้า
การเคลื่อนไหวแบบทรอปิกเกิดขึ้นได้หลายแบบตามประเภทสิ่งเร้า เช่น การเบนตามแสง (phototropism)
โดยปลายยอดพืชจะมีการเบนเข้าหาแสงเรียกว่า positive phototropism ขณะที่ปลายรากจะมีการเบนหนีออก
จากแสง เรียกว่ า negative phototropism นอกจากนี้ยังพบการเบนตามแรงโน้ม ถ่วงของโลก (positive
gravitropism) ในปลายราก ส่วนปลายยอดพืชจะมีการเคลื่อนไหวต้านแรงโน้มถ่วงของโลก (negative gravitropism)
สําหรับการงอกหลอดเรณูของพืชที่มีทิศทางตามสารเคมีที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ในถุงเอ็มบริโอจัดเป็นการ
ตอบสนองต่อ สารเคมี (positive chemotropism) ได้ ขณะที่การเกี่ ยวพัน ของเถาวั ลย์ ถั่ ว ผัก บุ้ง ตํ าลึ ง
กะทกรกจัดเป็นการตอบสนองต่อการสัมผัสสิ่งเร้า (thigmotropism)
ภาพที่ 1 รูปแบบการกระจายของประชากรแบบต่าง ๆ
ภาพที่ 2 โครงสร้างของอายุประชากรมนุษย์แบบต่าง ๆ
q พลศาสตร์ของประชากร (Population Dynamics)
พลศาสตร์ของประชากรเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร ปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับการเปลี่ยนแปลง รวมถึงรูปแบบของการเติบโตของประชากร การเปลี่ยนแปลงที่ทําให้ขนาดของประชากร
เพิ่มขึ้น คือ ประชากรของสิ่งมีชีวิตมีอัตราการเกิด (birth rate) และ/หรือมีอัตราการอพยพเข้า (immigration)
สูงกว่าอัตราการตาย (death rate) และ/หรืออัตราการอพยพออก (emigration)
รูปแบบการเติบโตของประชากรมี 2 รูปแบบ คือ การเติบโตของประชากรแบบ exponential growth
และ การเติบโตของประชากรแบบ logistic growth ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
การเติบโตของประชากรแบบ exponential growth เป็นแบบที่พบได้น้อยมากในธรรมชาติ พบในบริเวณ
ที่มีทรัพยากรต่าง ๆ (อาหาร ที่อยู่อาศัย) อุดมสมบูรณ์ ไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันกันในประชากร ไม่มีผู้ล่า และ
สิ่งมีชีวิตมีโอกาสที่จะสืบพันธุ์ได้อย่างอิสระ จึงค่อนข้างเป็นประชากรอุดมคติ (ideal population) อย่างไรก็ตาม
ประชากรที่เพิ่งมาตั้งรกรากใหม่ในบริเวณที่มีทรัพยากรต่าง ๆ เป็นจํานวนพอมากก็อาจพบการเติบโตของประชากร
รูปแบบนี้ได้ในช่วงแรก รูปแบบการเติบโตของประชากรแบบ exponential growth นี้จะมีลักษณะคล้ายรูปตัว J
(ภาพที่ 3ก)
ภาพที่ 7 ตัวอย่างของพีระมิดพลังงานหรือพีระมิดของผลผลิตสุทธิ
นอกจากนี้นักนิเวศวิทยายังสามารถนําเสนอพีระมิดทางนิเวศวิทยา (ecological pyramid) ได้อีก 2 ชนิด
คือ พีระมิดจํานวน (pyramid of number) ซึ่งเป็นการแสดงจํานวนของสิ่งมีชีวิตในแต่ละลําดับขั้นการกิน
อาหารว่ามีอยู่เป็นจํานวนเท่าใด อาจจะเป็นพีระมิดหัวตั้งหรือพีระมิดหัวกลับก็ได้ สําหรับพีระมิดอีกแบบหนึ่งที่
นิยมใช้ คือ พีระมิดมวลชีวภาพ (pyramid of biomass) ซึ่งแต่ละขั้นของพีระมิดจะแสดงมวลชีวภาพทั้งหมด
ของลําดับขั้นการกินอาหารนั้น (standing crop) พีระมิดมวลชีวภาพบางชนิดอาจมีฐานที่แคบได้เช่นกัน เช่น
ระบบนิเวศในทะเลส่วนที่ฐานของพีระมิดมักเป็นแพลงก์ตอนพืชขนาดเล็ก ซึ่งมีการสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต
และถูกสิ่งมีชีวิตในลําดับขั้นถัดไปพวกแพลงก์ตอนสัตว์กินเร็วมาก จึงทําให้ประชากรของแพลงก์ตอนพืชมีมวล
ชีวภาพขนาดเล็ก ไม่สามารถพัฒนาเป็นประชากรที่มีขนาดใหญ่หรือมีค่า standing crop มากได้ หรืออาจกล่าว
ได้ว่าแพลงก์ตอนพืชมีอัตราการหมุนเวียน (turnover rate) สูงในช่วงเวลาสั้น ๆ และมีความสามารถในการนํา
สารอนินทรีย์มาสังเคราะห์เป็นสารอินทรีย์และส่งต่อไปยังโซ่อาหารได้รวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าแพลงก์ตอนพืชมี
ค่า standing crop น้อย เมื่อเทียบกับการผลิต (production) ดังนั้นถึงแม้จะมีมวลชีวภาพน้อยแต่ก็สามารถทํา
ให้สิ่งมีชีวิตในลําดับขั้นถัดไปมีอาหารเพียงพอได้เพราะเกิด production สูงกว่าที่แพลงก์ตอนสัตว์สามารถเกิดได้
3. โพรคาริโอต (Prokaryotes)
สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเซลล์เป็นแบบโพรคาริโอต (prokaryotes) แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ โพรคาริ
โอตใน kingdom Eubacteria ซึ่งมีสมาชิกเป็นแบคทีเรียที่แท้จริง และโพรคาริโอตใน kingdom Archaea ซึ่งมี
สมาชิกเป็นแบคทีเรียกลุ่มอาร์เคีย โดยในที่นี้จะอธิบายแยกออกจากกันเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
อาณาจักรยูแบคทีเรีย (domain Eubacteria)
ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในอาณาจักรยูแบคทีเรีย สรุปได้ดังนี้
1. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและมีเซลล์เป็นแบบโพรคารีโอต (prokaryotic cell)
2. สารพันธุกรรมเป็นสารพวก DNA ที่มีลักษณะเป็นวงปิด (circular DNA) และไม่มีโปรตีนฮิสโตน
3. แบคทีเรียทั่วไปมีรูปทรง 3 แบบ คือ รูปทรงกลม (coccus) รูปทรงท่อน (bacillus) รูปทรงเกลียว
(spirillum)
4. ผนังเซลล์ของแบคทีเรียประกอบขึ้นจากสาร peptidoglycan ยกเว้นในแบคทีเรียกลุ่ม mycoplasma
ที่ไม่มีผนังเซลล์เป็นองค์ประกอบ
4. โพรทิสต (Protists)
ในปัจจุบันการจัดจําแนกสิ่งมีชีวิตพวกยูคาริโอตออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ยังมีข้อจํากัดและปัญหาจํานวนมาก
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ยิ่งได้ข้อมูลทางด้านชีววิทยาระดับโมเลกุลมากขึ้น รูปแบบการจัดจําแนกสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริ
โอตยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น ในที่นี้จะยึดรูปแบบการจัดกลุ่มยูคาริโอตตามตํารา Campbell’s Biology
(Reece et al, 2014) ซึ่งแบ่งสิ่งมีชีวิตในกลุ่มยูคาริโอตออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ทั้งหมด 4 supergroup ดังแสดงใน
ภาพที่ 10 อย่างไรก็ตามยังมีโพรทิสต์อีกจํานวนมากที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ
5. พืช (Plants)
ลักษณะสําคัญของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรพืชสามารถสรุปได้ดังนี้
1. สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์และเป็นเซลล์แบบยูคารีโอต (multicellular eukaryote)
2. การดํารงชีวิตเป็นแบบที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ (photoautotroph)
3. มีผนังเซลล์ (cell wall) สําหรับทําหน้าที่ให้ความแข็งแรงกับเซลล์ โดยเป็นสารพวกเซลลูโลส
4. วัฏจักรชีวิตของพืชเป็นวงชีวิตแบบสลับ (alternation of generation)
พืชไม่มีเนื้อเยื่อลําเลียง (Nonvascular Plant หรือ Bryophyte)
ลักษณะสําคัญของพืชในกลุ่มที่ไม่มีเนื้อเยื่อลําเลียง สามารถสรุปได้ดังนี้
1. พืชสีเขียวขนาดเล็ก มักพบในบริเวณที่มีความชื้นสูง
2. ไม่มีราก ลําต้น และใบที่แท้จริง เนื่องจากไม่มีเนื้อเยื่อลําเลียงอยู่ภายในมีโครงสร้างคล้ายรากที่
เรียกว่า rhizoid ช่วยในการดูดน้ํา และส่วนที่คล้ายใบจะมีคิวตินบาง ๆ เคลือบ
3. ในวัฏจักรชีวิตแบบสลับจะพบระยะแกมีโตไฟต์ (gametophyte) เด่นตลอดชีวิต ขณะที่ระยะสปอโรไฟต์
(sporophyte) จะพบเพียงแค่บางช่วงในวงชีวิตเท่านั้นและจะเจริญอยู่บนระยะแกมีโตไฟต์
6. ฟงไจ (Fungi)
ลักษณะของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจสามารถสรุปได้ดังนี้
1. สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้ประกอบขึ้นจากเซลล์ยูคารีโอต โดยอาจจะประกอบจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว
(unicellular fungi) เช่น ยีสต์ หรืออาจจะประกอบจากเซลล์มากกว่า 1 เซลล์ (mold) เช่น เห็ด รา
2. การดํารงชีวิตของฟังไจส่วนใหญ่จะเป็นผู้ย่อยสลาย (saprophyte) บางชนิดอาจเป็นปรสิต
3. ผนังเซลล์ประกอบด้วยสารประเภทไคทิน (chitin)
4. ฟังไจส่วนใหญ่จะมีเส้นใยขนาดเล็ก เรียกว่า ไฮฟา (hypha) ซึ่งอาจมีหรือไม่มีเยื่อกั้นแต่ละเซลล์
(septum) เส้นใยไฮฟามักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เรียกว่า ไมซีเลียม (mycelium) ช่วยในการดูดซึมน้ําและอาหาร
ไมซีเลียมของฟังไจบางชนิดจะมีการรวมกลุ่มกันพัฒนาเป็นโครงสร้างที่โผล่พ้นดิน เรียกว่า fruiting body ใน
กลุ่มที่ดํารงชีวิตเป็นปรสิต เส้นใยจะเปลี่ยนเป็นโครงสร้างสําหรับดูดเอาสารอาหารจากโฮสต์ได้
5. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) ของฟังไจ จะเริ่มจากการรวมไซโตพลาสซึม
ก่อน (plasmogamy) ทําให้เซลล์อยู่ในสภาวะที่มีนิวเคลียส 2 ชุด เรียกว่า dikaryotic stage จากนั้นจึงจะมีการ
รวมกันของนิวเคลียส (karyogamy) ก่อนจะเกิดการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสต่อไป
6. ฟังไจโดยทั่วไปจะมีการสืบพันธุ์ทั้งแบบอาศัยเพศและการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
การจัดจําแนกสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจสามารถจําแนกออกได้เป็น 5 ไฟลัมตามลักษณะของ sexual
spore ดังนี้
1. ไฟลัมไคทริดิโอไมโคตา (phylum Chytridiomycota) มีการสร้าง Zoospore
2. ไฟลัมไซโกไมโคตา (phylum Zygomycota) มีการสร้าง zygospore
3. ไฟลัมโกลเมอโรไมโคตา (phylum Glomeromycota)
4. ไฟลัมแอสโคไมโคตา (phylum Ascomycota) มีการสร้าง ascospore
5. ไฟลัมเบสิดิโอไมโคตา (phylum Basidiomycota) มีการสร้าง basidiospore
1) บริเวณเปลือกไม้ของต้นมะม่วง 2) บริเวณผิวของรากถั่วเขียว
3) บริเวณผิวของรากข้าวโพด 4) บริเวณก้านใบของต้นขึ้นช่าย
5) บริเวณแผ่นใบของต้นหูกวาง
จากข้อมูลที่กําหนดให้ จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. โครงสร้าง A ประกอบขึ้นจากเซลล์ที่ตายแล้วและมีผนังเซลล์ทุติยภูมิเป็นสารพวกลิกนิน
ข. โครงสร้าง B เป็น primary xylem ที่ไม่ได้ทําหน้าที่ในการลําเลียงน้ําแล้ว
ค. โครงสร้าง C เป็น secondary xylem ที่ยังมีความสามารถในการลําเลียงน้ําได้อยู่
ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้อง
1) ค. 2) ก. และ ข. 3) ข. และ ค.
4) ก. และ ค. 5) ก., ข. และ ค.
8. ข้อใดต่อไปนี้เรียงลําดับของโครงสร้างรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจากด้านนอกเข้ามาด้านในได้ถูกต้อง
1) Epidermis → Cortex → Endodermis → Vascular cylinder → Pericycle → Pith
2) Epidermis → Cortex → Endodermis → Pericycle → Vascular cylinder → Pith
3) Epidermis → Cortex → Endodermis → Pericycle → Pith → Vascular cylinder
4) Epidermis → Endodermis → Cortex → Vascular cylinder → Pericycle → Pith
5) Epidermis → Endodermis → Cortex → Pericycle → Vascular cylinder → Pith
ถ้านักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งทําการนําสารตัวอย่างที่ออกมาจากเพลี้ย ไปทําการตรวจสอบกับสารละลาย
เบเนดิกต์และสารละลายไอโอดีน ข้อใดต่อไปนี้ควรเป็นผลการทดลองที่เกิดขึ้น
การทดสอบด้วยสารละลายเบเนดิกต์
การทดสอบด้วยสารละลายไอโดดีน
ก่อนการเกิดไฮโดรไลซิส หลังการเกิดไฮโดรไลซิส
1) สารละลายสีฟ้า ตะกอนสีแดงอิฐ สารละลายสีน้ําตาล
2) สารละลายสีฟ้า สารละลายสีฟ้า สารละลายสีม่วงแกมน้ําเงิน
3) ตะกอนสีแดงอิฐ สารละลายสีฟ้า สารละลายสีม่วงแกมน้ําเงิน
4) ตะกอนสีแดงอิฐ ตะกอนสีแดงอิฐ สารละลายสีน้ําตาล
10. พิจารณาแผนภาพแสดงการทดลองในเรื่อง mass flow hypothesis ของพืชต่อไปนี้
24. ข้อใดต่อไปนี้จับคู่สิ่งมีชีวิตกับกราฟการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตได้ถูกต้องที่สุด
กราฟ A กราฟ B กราฟ C
1) แมวน้ํา ไฮดรา หอยนางรม
2) แมวน้ํา หอยนางรม ไฮดรา
3) ไฮดรา หอยนางรม แมวน้ํา
4) ไฮดรา แมวน้ํา หอยนางรม
5) หอยนางรม ไฮดรา แมวน้ํา
25. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้องเกี่ยวกับขนาดไซโกตและการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต A และ C
1) ขนาดของไซโกตของสิ่งมีชีวิต A ใหญ่กว่าของสิ่งมีชีวิต B มาก
2) ขนาดของไซโกตของสิ่งมีชีวิต A ใหญ่กว่าของสิ่งมีชีวิต B เพียงเล็กน้อย
3) ขนาดของไซโกตของสิ่งมีชีวิต A เท่ากับของสิ่งมีชีวิต B
4) ขนาดของไซโกตของสิ่งมีชีวิต A เล็กกว่าของสิ่งมีชีวิต B เพียงเล็กน้อย
5) ขนาดของไซโกตของสิ่งมีชีวิต A เล็กกว่าของสิ่งมีชีวิต B มาก
เฉลย
1. 2) 2. 3) 3. 4) 4. 4) 5. 5) 6. 4) 7. 1) 8. 2) 9. 1) 10. 2)
11. 4) 12. 4) 13. 3) 14. 2) 15. 3) 16. 4) 17. 1) 18. 5) 19. 2) 20. 4)
21. 5) 22. 4) 23. 1) 24. 5) 25. 4) 26. 3) 27. 2) 28. 4) 29. 3) 30. 3)
31. 2) 32. 2) 33. 3) 34. 2) 35. 2) 36. 5) 37. 3) 38. 3) 39. 4) 40. 5)
1. เฉลย 2) ก. และ ข.
ข้อ ก. การหุบของใบกาบหอยแครงเมื่อมีแมลงเคลื่อนที่ผ่าน เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดย
มีการเคลื่อนที่ของแมลงจัดเป็นสิ่งเร้า
ข้อ ข. การเบนเข้าหาแสงของยอดทานตะวันที่ปลูกไว้ริมหน้าต่าง เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
โดยมีแสงเป็นสิ่งเร้า
ข้อ ค. ไม่เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า แต่เป็นคุณสมบัติในการเติบโตของสิ่งมีชีวิต
2. เฉลย 3) cell → tissue → organ → system → organism
การจัดระบบในสิ่งมีชีวิต สามารถเรียงได้ดังนี้
cell → tissue → organ → system → organism
3. เฉลย 4) เซลล์ไฟเบอร์และเซลล์สเคลอรีดมีผนังเซลล์ทุติยภูมิที่เป็นสารพวกลิกนินหรือซูเบอริน
เซลล์ไฟเบอร์และเซลล์สเคลอรีดมีผนังเซลล์ทุติยภูมิที่มีลิกนินเท่านั้น ไม่พบซูเบอริน
4. เฉลย 4) บริเวณก้านใบของต้นขึ้นช่าย
เนื้อเยื่อที่เห็นในภาพเป็นเนื้อเยื่อคอลเลนไคมา (collenchyma) ซึ่งพบได้ตามมุมของลําต้น
ก้านใบ และใบพืชบางชนิด ดังนั้นเนื้อเยื่อในภาพจึงสามารถพบได้ที่บริเวณก้านใบของต้นขึ้นช่าย
O-NET (ชีววิทยา)
ออกเนื้อหาพื้นฐานที่สายวิทย์ สายศิลป์เรียนคล้ายๆ กัน อยู่รวมในฉบับของวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งในฉบับ
ข้อสอบ นักเรียนจะพบเจอทั้ง ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ มาในรูปแบบข้อคําถามที่
หลากหลาย การทดลอง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันมีข้อสอบแบบปรนัย 5 ตัวเลือกและข้อสอบแบบ
เชิงซ้อนตอบ ใช่/ไม่ใช่
BIO FOCUS
BIO FOCUS 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ในส่วนนี้นักเรียนต้องเข้าใจลักษณะพื้นฐาน 7 ลักษณะของสิ่งมีชีวิต โดยครูมีรหัสลับให้ดังนี้ สืบ สาร
เติบ เร้า ดุล เพาะ ระบบ โดยข้อสอบอาจมีรูปภาพหรือข้อความแล้วให้นักเรียนอนุมานว่าแสดงถึงลักษณะใดของ
สิ่งมีชีวิต
• สืบ : สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์ (reproduction) (แบบอาศัยเพศ แบบไม่อาศัยเพศ)
• สาร : ต้องการสารอาหารและมีปฏิกิริยาภายในเซลล์ (metabolism)
• เติบ : เจริญเติบโต (growth and development)
• เร้า : ตอบสนองต่อสิ่งเร้า(response)
• ดุล : รักษาดุลยภาพ/ภาวะธํารงดุล เพื่อความอยู่รอด (homeostasis)
• เพาะ : มีลักษณะจําเพาะ (individual) โดย DNA เป็นสารพันธุกรรม มี gene เป็นหน่วยควบคุม
• ระบบ : มีการจัดระบบ (organization) เรียงจากซับซ้อนน้อยไปซับซ้อนมาก
แขนงวิชาทางชีววิทยา ลักษณะการศึกษา
Anatomy (กายวิภาคศาสตร์) ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างส่วนต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต
Biochemistry (ชีวเคมี) ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างและกระบวนการเปลี่ยนแปลของสารชีวโมเลกุลใน
สิ่งมีชีวิต
Botany (พฤกษศาสตร์) ศึกษาเกี่ยวกับพืช
Cytology (เซลล์วิทยา) ศึกษาเกี่ยวกับเซลล์
Ecology (นิเวศวิทยา) ศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ด้ ว ยกั น และสิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ
สิ่งแวดล้อม
Entomology (กีฏวิทยา) ศึกษาเกี่ยวกับแมลง
Embryology (คัพภวิทยา) ศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต
Evolution (วิวัฒนาการ) ศึกษาเกี่ยวกับการเจริญเปลี่ยนแปลของสิ่งมีชีวิตจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
Genetics (พันธุศาสตร์) ศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายถอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
Microbiology (จุลชีววิทยา) ศึกษาเกี่ยวกับจุลินทรีย์
Morphology (สัณฐานวิทยา) ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะรูปร่าง โครงสร้างของร่างกาย
Physiology (สรีรวิทยา) ศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่การทํางานของอวัยวะในร่างกาย
Taxonomy (อนุกรมวิธาน) ศึกษาเกี่ยวกับการจัดหมวดหมู่ การตั้งชื่อและการเรียกชื่อสิ่งมีชีวิต
Zoology (สัตววิทยา) ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์
• กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
กล้องจุลทรรศน์ เป็นเครื่องมือที่สําคัญในการศึกษาชีววิทยาและช่วยให้เรามองเห็นในสิ่งที่เล็กมากๆ
อีกด้วย กล้องจุลทรรศน์สามารถขยายขอบเขตของประสาทสัมผัสทางตาให้เห็นสิ่งที่ไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า
เช่น จุลินทรีย์ เซลล์เม็ดเลือด เป็นต้น
ประเภทของกล้องจุลทรรศน์ ในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (Light Microscope)
1.1 กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบธรรมดา (Simple Light Microscope) ประกอบด้วยเลนส์ 2 ชนิด
คือ เลนส์ใกล้วัตถุและเลนส์ใกล้ตา โดยใช้แสงผ่านวัตถุแล้วขึ้นมาที่เลนส์จนเห็นภาพบนวัตถุอย่างชัดเจน ทําให้
เกิดภาพแบบ 2 มิติ เป็นภาพเสมือนหัวกลับ กลับซ้ายเป็นขวา
องค์ประกอบของสารต่างๆ ในร่างกายมนุษย์
สารชีวโมเลกุล คือ สารเคมีต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต เป็นสารอินทรีย์ที่มีธาตุคาร์บอนและ
ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก โดยทั่วไปมีขนาดโมเลกุลใหญ่ เมื่อเทียบกับโมเลกุลทั่วไป พบอยู่ในสิ่งมีชีวิต
1. สารอนินทรีย์ (inorganic substance)
สารอนินทรีย์ เป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและไม่ให้พลังงาน
น้ํา (water)
คาร์บอนิลกลุ่มอัลดีไฮด์ sugar
(aldehyde)
อะมิโน (amino) amino acid, protein
R แทนหมู่อะตอมไฮโดรคาร์บอน (hydrocarbon)
แผนภาพแสดงการสร้างและสลายโมเลกุลขนาดใหญ่
https://www.bioexplorer.net/dehydration-synthesis.html/
คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate)
มอนอแซคคาไรด์ที่มีความสําคัญ ได้แก่
1) น้ําตาลเพนโทส (pentose sugar) ได้แก่
• น้ําตาลไรโบส (ribose sugar) มีสูตรเป็น C5H10O5 เป็นส่วนประกอบสําคัญในโมเลกุลของ
RNA ซึ่งมีความสําคัญในการสังเคราะห์ไรโบโซมและโปรตีน
• น้ําตาลดีออกซีไรโบส (deoxyribose) มีสูตรเป็น C5H10O4 มีความสําคัญเนื่องจากเป็น
ส่วนประกอบของ DNA ซึ่งเป็นส่วนประกอบสําคัญอยู่ใน chromosome ทําหน้าที่ควบคุมกิจกรรมต่างๆ ของเซลล์
glycogen
Cholesterol
โปรตีน (protein)
โปรตีน เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบมากในเซลล์ หรือเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตอันดับ 2 รองจากน้ํา โดย
เป็นส่วนประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ประกอบด้วยหน่วยย่อยคือ กรดอะมิโน (amino acid) เชื่อมติดกัน
ด้วยพันธะ เพปไทด์ (peptide bond)
ส่วนประกอบของโปรตีน
ชนิดของกรดนิวคลีอิก
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ตามชนิดของน้ําตาล
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง DNA และ RNA
ส่วนประกอบ DNA (deoxyribonucleic acid) RNA (ribonucleic acid)
1. Nitrogenous base adenine (A) guanine (G) cytosine (C) และ adenine (A) guanine (G)
thymine (T) cytosine (C) และ uracil (U)
2. Pentose sugar Deoxyribose sugar Ribose sugar
3. Phosphate group Phosphate Phosphate
4. Structure 2 polynucleotides พันกันคล้ายบันไดเวียน 1 polynucleotide (สายเดี่ยว)
5. Function ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สังเคราะห์โปรตีน
เซนทริโอล (Centriole)
ไลโซโซม (Lysosome)
แวคิวโอล (Vacuole)
ไซโทสเกเลตอน (Cytoskeleton)
เพอร์ออกซิโซม (Peroxisome)
ภาพแสดงโครงสร้างเซลล์โพรคาริโอตกับเซลล์ยูคาริโอต
ตารางเปรียบเทียบโครงสร้างเซลล์โพรคาริโอตกับเซลล์ยูคาริโอต
ภาพโครงสร้างและส่วนประกอบของเซลล์พืช ภาพโครงสร้างและส่วนประกอบของเซลล์สัตว์
ตารางเปรียบเทียบโครงสร้างเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
เซลล์พืช เซลล์สัตว์
(Plant Cell) (Animal Cell)
โครงสร้างภายนอก
1. ผนังเซลล์ มี ไม่มี
2. เยื่อหุ้มเซลล์ มี มี
3. แฟลกเจลลัมหรือซิเลีย ไม่มี (ยกเว้นสเปิร์มของพืชบางชนิด) มี (ในบางเซลล์)
โครงสร้างภายใน
1. นิวเคลียส มี มี
2. ไรโบโซม มี มี
3. ไลโซโซม ไม่มี มี
4. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม มี มี
5. กอลจิคอมเพล็กซ์ มี มี
6. แวคิวโอล มี มี
7. เซนทริโอล ไม่มี มี
8. ไซโทสเกเลตอน มี มี
9. ไมโทคอนเดรีย มี มี
10. คลอโรพลาสต์ มี ไม่มี
แผนภาพแสดงวัฏจักรเซลล์
G0 คืออะไรเอ่ย
ในเซลล์บางชนิดจะมีการแบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา เช่น เซลล์เนื้อเยื่อของพืช เซลล์ไขกระดูกเพื่อสร้างเม็ด
เลือดแดง เซลล์เยื่อบุผิว ดังนั้นเซลล์พวกนี้จะอยู่ในวัฏจักรของเซลล์ตลอดเวลา แต่เซลล์อีกบางชนิดเมื่อมีการ
แบ่งตัวเสร็จแล้วจะไม่มีการแบ่งตัวอีกต่อไป ได้แก่ เซลล์ประสาท โดยจะเข้าสู่ระยะ G0 อย่างถาวรจนกระทั่ง
เซลล์ชราภาพ (Cell Aging) และตายไป (Cell Death) ในที่สุดหรืออาจกลับมาแบ่งตัวได้หากมี การกระตุ้น เช่น
Parenchyma ของพืช
MITOSIS VS MEIOSIS
ภาพแสดงโครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์
แผนผังแสดงรูปแบบการเคลื่อนที่ของสารเข้า-ออกเซลล์
• การเคลื่อนที่ของสารเข้า-ออกเซลล์
1. การเคลื่อนที่แบบผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นการเคลื่อนที่ของสารผ่านฟอสโฟลิพิดหรือโปรตีนของ
เยื่อหุ้มเซลล์ แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1.1 การเคลื่อนที่แบบพาสซีฟ (Passive Transport) หมายถึง การเคลื่อนที่ของสารเข้า-ออก
เซลล์ โดยไม่ต้องใช้พลังงานซึ่งไอออน (Ion) และโมเลกุลของสารบางชนิดสามารถเคลื่อนที่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์จาก
บริเวณที่มีความเข้มข้นมากไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นน้อย
- การเคลื่อนที่ของไอออนบางชนิด
เช่น แคลเซียมไอออน (Ca2+)
คลอไรด์ไอออน (Cl-), โซเดียมไอออน (Na+)
และโพแทสเซียมไอออน (K+)
พิโนไซโทซิส - การนําสารอาหารเข้าสู่เซลล์ไข่
(Pinocytosis) ของมนุษย์
การนําสารเข้า - การนําคอเลสเทอรอลเข้าสู่เซลล์
สู่เซลล์โดย
อาศัยตัวรับ
(Receptor
Mediated
ภาพการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สัตว์และเซลล์พืชเมื่ออยู่ในสารละลายแต่ละประเภท
แรงดันออสโมติก (Osmotic Pressure) คือ แรงดันน้ําสูงสุดของสารละลายใดๆ ณ จุดสมดุลของการ
ออสโมซิส โดยแรงดันออสโมติกจะแปรผันตรงกับความเข้มข้นของสารละลาย กล่าวคือ สารละลายที่มีความ
เข้มข้นมากจะมีแรงดันออสโมติกสูง และสารละลายที่มีความเข้มข้นน้อยจะมีแรงดันออสโมติกต่ํา
การรักษาดุลยภาพของกรด-เบสในร่างกายมนุษย์
การเพิ่มหรือลดอัตราการหายใจ
ถ้า CO2 ในเลือดมีปริมาณมากจะส่งผลให้ศูนย์ควบคุมการหายใจซึ่งคือสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
(Medulla Oblongata) ส่งกระแสประสาทไปควบคุมให้กล้ามเนื้อกะบังลมและกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงทํางาน
มากขึ้นเพื่อจะได้หายใจออกถี่ขึ้น
ระบบบัฟเฟอร์ (Buffer) คือ ระบบที่ทําให้เลือดมีค่า pH คงที่แม้ว่าจะมีการเพิ่มของสารที่มีฤทธิ์เป็น
กรดหรือเบส
การควบคุมกรดและเบสของไต
ไต (Kidneys) สามารถปรับระดับกรดหรือเบสออกทางปัสสาวะได้มาก สามารถแก้ไขค่า pH ที่เปลี่ยนแปลง
ไปมากให้เข้าสู่ภาวะสมดุล
การรักษาดุลยภาพของน้ําและแร่ธาตุในสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
VS
ปลาน้ําเค็ม VS ปลาน้ําจืดรักษาสมดุลอย่างไร
การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิร่างกายของสัตว์
1. สัตว์เลือดเย็น (Poikilothermic Animal/Ectotherm) หมายถึง สัตว์ที่มีอุณหภูมิร่างกายไม่คงที่
เพราะจะเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมภายนอกตัวอย่าง เช่น ไส้เดือนดิน หอย แมลง ปลา
สัตว์สะเทินน้ําสะเทินบกและสัตว์เลื้อยคลาน
2. สัตว์เลือดอุ่น (Homeothermic Animal/Endotherm) หมายถึงสัตว์ที่มีกลไกรักษาอุณหภูมิ
ร่างกายให้คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมได้แก่ สัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
อุณหภูมิของเลือด อุณหภูมิของเลือด
สูงกว่า 37°C ต่ํากว่า 37°C
กระตุ้นศูนย์ควบคุม
ที่ไฮโพทาลามัส
ลดอัตรา เพิ่มอัตรา
เมแทบอลิซึม เมแทบอลิซึม
หลอดเลือดขยายตัว หลอดเลือดหดตัว
ต่อมเหงื่อสร้างเหงื่อ ต่อมเหงื่อไม่สร้างเหงื่อ
ขนเอนราบ ขนลุก ร่างกายหนาวสั่น
เพิ่มการระเหย ลดการระเหย
และการแผ่รังสี และการแผ่รังสี
อุณหภูมิของเลือด อุณหภูมิของเลือด
ลดลง เพิ่มขึ้น
อุณหภูมิของเลือด
ปกติ 37°C
ภาพแสดงกลไกการทํางานของเม็ดเลือดขาวเพื่อหลั่งสารก่อภูมิแพ้
Palatine
tonsil
Lingual
tonsil
S
R L
ภาพแสดงตําแหน่งของต่อมทอนซิลในมนุษย์
ตารางแสดงการพิจาณาลักษณะของถั่วลันเตาในการศึกษาของเมนเดล
มีลักยิ้ม ไม่มีลักยิ้ม
ขวัญเวียนขวา ขวัญเวียนซ้าย
ห่อลิ้นได้ ห่อลิ้นไม่ได้
กระดูกโคนนิ้วหัวแม่มือ กระดูกโคนนิ้วหัวแม่มือ
กระดกไปมาได้ กระดกไปมาไม่ได้
แผนภาพแสดงลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง
แผนภาพแสดงลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันแบบไม่ต่อเนื่องและแบบต่อเนื่อง
ภาพการถ่ายทอดลักษณะเด่นแบบสมบูรณ์
2. ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะเด่นเป็นไป
ไม่เต็ม 100% ทั้งนี้เกิดจากการทํางานของยีนเด่นร่วมกับยีนด้อยเพราะยีนเด่นไม่สามารถข่มการแสดงออกของ
ยีนด้อยได้ 100% จึงทําให้จีโนไทป์ที่เป็นเฮเทอโรไซกัสมีลักษณะค่อนไปทางโฮโมไซกัสของลักษณะเด่น (Homozygous
Dominance) และเฮเทอโรไซกัสยีนมีการแสดงออกของฟีโนไทป์ที่เหมือนกัน
ภาพการถ่ายทอดลักษณะเด่นแบบไม่สมบูรณ์
3. ลักษณะเด่นร่วมกัน (Co-Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะใดลักษณะหนึ่งของ
สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการทํางานร่วมกันของยีนที่ควบคุมลักษณะเด่นทั้งคู่ เนื่องจากไม่สามารถข่มกันและกันได้ เช่น
หมู่เลือด AB ในคนที่ถูกควบคุมโดยจีโนไทป์ IAIB เป็นต้น
มัลติเปิลแอลลีล (Multiple Alleles)
มั ล ติ เ ปิ ล แอลลี ล คื อ ยี น ที่ มี แ อลลี ล มากกว่ า 2 แบบขึ้ น ไปซึ่ ง ควบคุ ม ลั ก ษณะพั น ธุ ก รรมเดี ย วกั น
ตัวอย่างเช่นหมู่เลือดระบบ ABO มียีนควบคุมอยู่ 3 แอลลีล
หมู่เลือดระบบ ABO
แอลลีล (Allele) ที่ควบคุมการแสดงออกของหมู่เลือดระบบ ABO มีทั้งหมด 3 แบบดังนี้ IA, IB และ
i ซึ่งหน้าที่ของแอลลีลแต่ละแบบคือควบคุมการสร้างแอนติเจนที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง
หมู่เลือด จีโนไทป์ แอนติเจนที่ผิวเม็ดเลือดแดง แอนติบอดีในพลาสมา
A IAIAหรือ IAi A B
B IBIBหรือ IBi B A
AB IAIB A และ B ไม่มี
O ii ไม่มี A และ B
การให้เลือด
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้เลือด คือ ผู้ให้ (เลือด) และผู้รับ (เลือด) ซึ่งในการให้เลือดผู้ที่มีความเสี่ยงต่อ
ชีวิต คือ ผู้รับ เพราะถ้าเลือดของผู้รับไม่สามารถเข้ากับเลือดของผู้ให้ได้ จะทําให้เซลล์เม็ดเลือดแดงของผู้รับจับ
ตัวกันเป็นกลุ่มแล้วตกตะกอนอุดตันหลอดเลือด ซึ่งจะนําไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุด ดังนั้นผู้ให้และผู้รับควรมี
เลือดหมู่เดียวกันจึงจะปลอดภัยที่สุด
O
AB AB
AB
แผนผังแสดงการให้เลือดในระบบ ABO
เทคนิคการจําเด้อจ้า!!
ผู้ให้ → ผู้รับ O ใจดี AB ใจร้าย O ผู้ให้สากล AB ผู้รับสากล
เพิ่มเติม การพิจารณาหมู่เลือดระบบ Rh
การแสดงออกของยีน
1. เสริมกัน
เพดิกรีหรือพันธุประวัติหรือพงศาวลี (Pedigree)
เพดิก รี คือ แผนภาพแสดงความสั ม พัน ธ์ ในการถ่า ยทอดลักษณะทางพัน ธุกรรมของครอบครั วหรื อ
ตระกูลหนึ่งๆ
รุ่นพ่อแม่
หญิงปกติ
ชายปกติ
ลูกรุ่นที่ 1
หญิงเป็นโรค
ชายเป็นโรค
ลูกรุ่นที่ 2
ภาพเพดิกรีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
Satellite Shortarm
Centromere
Stalk
Centromere
Long arm
ภาพแสดงรูปร่างของโครโมโซม
ข้อสอบบางปีออกโครงสร้าง
“nucleosome : คล้ายลูกปัด” แวะทําความเข้าใจนิดนึงครับ
จํานวน จํานวน
สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิต
โครโมโซม (2n) โครโมโซม (2n)
มนุษย์ (Homo sapiens) 46 สน (Pinus ponderosa) 24
ลิงซิมแพนซิ (Pan trogodytes) 48 กะหล่ําปลี (Brassica oleracea) 18
ม้า (Equus calibus) 64 ถั่วลันเตา (Pisum astivum) 14
สุนัข (Canis familiaris) 78 ฝ้าย (Gossypium hirsuturm) 52
แมว (Feris domesticus) 38 มะเขือเทศ (Lycopercicon esculentum) 24
หนู (Mus musculus) 40 หอม (Allicum cepa) 16
ไก่ (Gallus domesticus) 78 ยาสูบ (Nicotiana tabacum) 48
กบ (Rama pipiens) 26 ข้าว (Oryza sativa) 24
ผึ้ง (Apis mallifera) 32 ข้าวโพด (Zea Mays) 20
แมลงวัน (Musca domestica) 12 กล้วย (Musa paradisiacal) 22
แมลงหวี่ (Drosophila melanogaster) 8 แตงโม (Citrllus vulgalis) 22
ยุงก้นปล่อง (Anopheles dinus) 6 ชา (Cemellia sinensis) 30
ภาพแสดงคารีโอไทป์ของมนุษย์ปกติ
ภาพแสดงสารที่เป็นองค์ประกอบของนิวคลีโอไทด์
อย่าเข้าใจผิดนะครับ
เบสทั้ง 4 ชนิด ที่พบในสายเกลียวคู่ DNA จะอยู่กันเป็นคู่ๆ
โดยมีพันธะไฮโดรเจนยึดเหนี่ยวกันไว้ดังนี้
A คู่ T ยึดกันด้วย 2 พันธะไฮโดรเจน (ไม่ใช่ พันธะคู่ (Double Bond))
C คู่ G ยึดกันด้วย 3 พันธะไฮโดรเจน (ไม่ใช่ พันธะสาม (Triple Bond))
Deoxyribonucleic Acid (DNA) Nucleotides
Sugar Nucleotide Sugar Guanine Cytosine
phosphate base pairs phosphate
backbone backbone
Hydrogen
bonds
Adenine Thymine
Nucleotide
Uracil
Base pair
ภาพซ้ายแสดงสายดีเอ็นเอ ภาพขวาแสดงเบสชนิดต่าง
กฎของชาร์กาฟฟ์
ภาพแสดงสาย mRNA
ตารางเปรียบเทียบองค์ประกอบของ DNA และ RNA ของเซลล์ยูแคริโอต
ข้อมูลเปรียบเทียบ DNA RNA
ตําแหน่งที่พบ ในนิวเคลียส ในไซโทพลาซึมและในนิวเคลียส
จํานวนสายโพลีนิวคลีโอไทด์ 2 1
น้ําตาล Deoxyribose Ribose
ไนโตรจีนัสเบส AGCT AGCU
DNA replication
Protien synthesis
มาลองฝึกอ่าน มาลองฝึกแปลรหัสพันธุกรรมกันเถอะ
กําหนด
ลายพิมพ์นิ้วมือ 2 3 ใช้ได้
ปลายผม 2
เม็ดเลือดแดง 2 2 ใช้ไม่ได้
คราบอสุจิ 3
เลือด 3
ภาพแสดงการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต
การจัดจําแนกแบบ Domain โดยมีการจําแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น 3 โดเมน ได้แก่
1. Archaea (แบคทีเรียโบราณ)
2. Bacteria/Eubacteria
3. Eukarya/Eukaryota
สปีชีส์ (Species) คือ สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันสามารถผสมพันธุ์กันแล้วได้ลูกที่ไม่เป็นหมัน
แผนภาพแสดงการจัดจําแนกสิ่งมีชีวิตเป็น 5 อาณาจักร
ตารางเปรียบเทียบลักษณะของสิ่งมีชีวิต 5 อาณาจักร
อาณาจักร
ลักษณะ ฟังไจ
มอเนอรา โพรทิสตา พืช สัตว์
(เห็ด รา ยีสต์)
1. ไรโบโซม 3 3 3 3 3
2. นิวเคลียส 2 3 3 3 3
3. ผนังเซลล์ 3 3 3 3 2
4. ดีเอ็นเอ 3 3 3 3 3
5. สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่
3 3 2 2 2
มีเซลล์เดียว
6. สังเคราะห์ด้วยแสงได้ 3 3 2 3 2
7. คลอโรพลาสต์ 2 3 2 3 2
ภาพแสดงสิ่งมีชีวิตที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ (อาณาจักรมอเนอรา)
ภาพแสดงเห็ดทําหน้าที่เป็นผู้ย่อยสลายโดยการปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยสลายซากขอนไม้
ประเภทของระบบนิเวศ
จําแนกประเภทของระบบนิเวศได้ ดังนี้
1) ระบบนิเวศธรรมชาติ และใกล้ธรรมชาติ (Natural and Seminatural Ecosystems) : เป็นระบบ
นิเวศที่ต้องพึ่งพลังงานจากดวงอาทิตย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ ระบบนิเวศบนบก และระบบนิเวศทางน้ํา
1. ระบบนิเวศบนบก (Terrestrial Ecosystems) : เป็นระบบนิเวศที่ปรากฏอยู่บนพื้นดินซึ่งแตกต่าง
กันไปโดยใช้ลักษณะเด่นของพืชเป็นหลัก โดยความแตกต่างของระบบนิเวศขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ และปริมาณน้ําฝน
1.1 ระบบนิเวศป่าไม้ (Forest Ecosystems) : เป็นระบบนิเวศที่พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้
1.2 ระบบนิเวศทุ่งหญ้า (Grassland Ecosystems) : เป็นระบบนิเวศที่พืชตระกูลหญ้าเป็นพืชเด่น
1.3 ระบบนิเวศทะเลทราย (Desert Ecosystems) : เป็นพื้นที่ที่มีปริมาณฝนตกน้อย
ระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้น
1. ระบบนิเวศเมือง และอุตสาหกรรม (Urbanindustrial Ecosystems) : เป็นระบบที่มนุษย์สร้าง
ขึ้นมาใหม่ และจําเป็นต้องพึ่งแหล่งพลังงานเพิ่มเติม อาทิ น้ํามันเชื้อเพลิง พลังงานนิวเคลียร์ ยกตัวอย่างระบบ
นิเวศ เช่น ระบบนิเวศชุมชนเมือง นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
2. ระบบนิเวศเกษตร (Agricultural Ecosystems) : เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ระบบนิเวศทางธรรมชาติขึ้นมาใหม่ ยกตัวอย่างระบบนิเวศ เช่น แหล่งเกษตรกรรม ตู้ปลา อ่างเลี้ยงปลา เป็นต้น
• ตัวอย่างโซ่อาหาร
ภาพแสดงโซ่อาหาร
การถ่ายทอดพลังงานจะเริ่มจากผู้ผลิตดึงพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้สร้างอาหาร จากนั้นพลังงานจะ
ถ่ายทอดผ่านการกินไปเป็นทอดๆ ผู้บริโภคจะได้พลังงานเพียง 10% จากอาหารที่บริโภค เรียกว่า “กฎ 10%”
พลังงานส่วนที่เหลือจาก 10% จะถูกใช้ไปในกระบวนการหายใจ และการขับถ่าย และกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อมในรูป
พลังงานความร้อน ผู้บริโภคขั้นสุดท้าย คือ ผู้ย่อยสลายอินทรียสาร (Decomposer)
2) สายใยอาหาร(Food Web)
• หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างโซ่อาหารหลายๆ โซ่อาหารในระบบนิเวศที่มีความซับซ้อน
• ผู้บริโภคแต่ละชนิดไม่ได้กินอาหารชนิดเดียว และไม่ได้เป็นอาหารของสัตว์ชนิดเดียว
ภาพแสดงสายใยอาหาร
เรื่องพีระมิดออกบ่อยๆ นะครับเด็กๆ
การถ่ายทอดสารปนเปื้อนในโซ่อาหารและสายใยอาหาร : การสะสมสารเคมี/สารมลพิษผ่านการกินต่อ
กันในสายใยอาหาร (Food Web)
โดยความเข้มข้นของสารเคมีที่เกิดการสะสมนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (Biomagnification) ตามลําดับขั้นอาหาร
(Tropic Level)
แผนผังแสดงปัจจัยที่มีผลต่อความหนาแน่นของประชากร
70
60
50
40
ระยะที่มีการเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็ว
30
20 ระยะที่มีการเพิ่มของประชากร
อย่างช้าๆ
10
0 รุ่น
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
กราฟแบบเอกซ์โพเนนเชียล (Exponential)
จํานวนเซลล์ยีสต์ ระยะที่มีอัตราการเพิ่มประชากรคงที่
700
600 ระยะที่มีอัตราการเพิ่มประชากรช้าลง
500
400
ระยะที่มีอัตราการเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็ว
300
200 ระยะที่มีอัตราการเพิ่มประชากรอย่างช้าๆ
100
0 เวลา (ชั่วโมง)
2 4 6 8 10 12 14 16 18
การเพิ่มประชากรเป็นแบบ Logistic
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีแบบแผนการรอดชีวิตของประชากร ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงอายุขัย (Life Span) ของ
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดสิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น แมลงมีช่วงอายุขัยสั้น แต่ในสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ช้างและคนมีช่วง
อายุขัยยาวนานเฉลี่ย 70-120 ปี
1,000 รูปแบบที่ 1
100 รูปแบบที่ 2
รูปแบบที่ 3
10
0 ร้อยละของอายุขยั
25 50 75 100
กราฟการรอดชีวิตของประชากรสิ่งมีชีวิต
กราฟการรอดชีวิตของประชากรจะมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่ 1 สิ่งมีชีวิตมีอัตราการรอดชีวิตสูงในวัยแรกเกิดและจะคงที่เมื่อโตขึ้น หลังจากนั้นอัตราการ
รอดชีวิตจะต่ําเมื่อสูงวัยขึ้นสิ่งมีชีวิตดังกล่าว เช่น มนุษย์ ช้าง ม้า สุนัข เป็นต้น
รูปแบบที่ 2 สิ่งมีชีวิตมีอัตราการรอดชีวิตที่เท่ากันในทุกวัย เช่น ไฮดรา นก เต่า เป็นต้น
รูปแบบที่ 3 สิ่งมีชีวิตมีอัตราการรอดชีวิตต่ําในระยะแรกของช่วงชีวิต หลังจากนั้นเมื่ออายุมากขึ้นอัตรา
การรอดชีวิตจะสูง เช่น ปลา หอย และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ (Ecological Succession)
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หมายถึง การแทนที่ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตเป็นยุคๆ
จากยุคแรกจนถึงยุคสังคมสิ่งมีชีวิตขั้นสุด (Climax Community) เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป
การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบ่งตามลักษณะการเกิดออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ (Primary Succession) คือ การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของ
กลุ่มสิ่งมีชีวิตในสถานที่ที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ก่อนเลย
ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ
เรื่องการเปลี่ยนแปลงแทนที่ออกข้อสอบบ่อยนะครับ
2
เวลา (นาที)
II
1 2 3 4 5 6
III
1 2 3 4 5
II
1 2 3 4
III
1 2 3 4
IV
1
ฉลาม
ปลา ดาวทะเล
หมึก
แพลงก์ตอนพืช สาหร่าย
ผูบ้ ริโภคลําดับที่ 2
ผูบ้ ริโภคลําดับที่ 1
ผูผ้ ลิต
จํานวน (ตัว/ต้น)
จากข้อมูลจํานวนของสิ่งมีชีวิตในแต่ละลําดับขั้นของโซ่อาหารสอดคล้องกับพีระมิดมวลชีวภาพและตัวอย่าง
ชนิดของสิ่งมีชีวิตในข้อใด (ONET 62)
นกเหยี่ยว
นกกระจาบ
1) 2) นกกระจาบ
ต้นหว้า
นกเหยี่ยว
ต้นหว้า
นกกระจาบ นกกระจาบ
ตั๊กแตน นกเหยี่ยว
3) 4)
ต้นข้าว ต้นหว้า
นกเหยี่ยว
นกกระจาบ
5)
ต้นหว้า
กบ นก กระต่าย
แมลง หอยทาก
หญ้า
ก่อนสร้างโรงงาน หลังสร้างโรงงาน
แหล่งน้ํา จํานวนแพลงก์ตอน ปริมาณออกซิเจนที่ จํานวนแพลงก์ตอน ปริมาณออกซิเจน
(หน่วย/mL) ละลายในน้ํา (หน่วย/mL) ที่ละลายในน้ํา
(mg/L) (mg/L)
บริเวณที่ 1 50 7 60 6.5
บริเวณที่ 2 55 6 400 1
จากข้อมูล หลังสร้างโรงงาน ข้อความใดกล่าวถูกต้อง (ONET 61)
1) แหล่งน้ําบริเวณที่ 2 มีจํานวนแพลงก์ตอนมากขึ้น ทําให้น้ํามีคุณภาพดีขึ้น
2) แหล่งน้ําบริเวณที่ 1 มีค่า DO สูงกว่าบริเวณที่ 2 บริเวณที่ 1 จึงมีคุณภาพน้ําดีกว่า
3) แหล่งน้ําบริเวณที่ 1 มีค่า BOD สูงกว่าบริเวณที่ 2 บริเวณที่ 1 จึงมีคุณภาพน้ําต่ํากว่า
4) แหล่งน้ําบริเวณที่ 1 แพลงก์ตอนใช้ออกซิเจนมากกว่าบริเวณที่ 2 บริเวณที่ 1 จึงมีค่า BOD สูงกว่า
5) แหล่งน้ําบริเวณที่ 1 มีจํานวนแพลงก์ตอนน้อยกว่าบริเวณที่ 2 แสดงว่า บริเวณที่ 1 ได้รับผลเสียจาก
โรงงานมากกว่า
28. รับประทานไข่ต้มเฉพาะไข่ขาวจะได้รับสารอาหารใดมาก (สามัญ 58)
หลอด A B C D E
1. เติมสาร น้ํา น้ําแป้ง น้ําแป้ง น้ําแป้ง น้ําแป้ง
2. เติมสาร น้ํา น้ํา amylase amylase น้ํา
3. บ่ม 10 นาที ที่อุณหภูมิ 30°C 30°C 30°C 4°C 100°C
4. เติมสาร iodine iodine iodine iodine iodine
ตัวแปรตามของการทดลองนี้คือข้อใด (สามัญ 58)
1) น้ํา และน้ําแป้ง 2) น้ํา และ amylase
3) อุณหภูมิ 4) สีของ iodine ในแต่ละหลอด
5) ความเข้มของสีน้ําเงินในหลอด
29. โครงสร้างใดของเซลล์ไม่มี actin เป็นองค์ประกอบ (สามัญ 58)
1) Centriole
2) Microvilli
3) cytoskeleton
4) pseudopodium
5) cleavage furro (รอยคอดของการแบ่งเซลล์)
แอนติเจน เซลล์จดจําทําหน้าที่
เซลล์บีตรวจจับชนิดของแอนติเจน จดจําชนิดของแอนติเจน
บนเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม
เซลล์พลาสมาเร่งผลิต
แอนติบอดีจําเพาะ
เพื่อกําจัดเชื้อโรค
แอนติบอดี เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม
หรือสิ่งแปลกปลอม หมดความเป็นพิษหรือถูกทําลาย
สารก่อภูมิแพ้เข้า
รวมกับเม็ดเลือดขาว
สารก่อภูมิแพ้เข้า
สู่ร่างกายเป็นครั้ง
สารก่อภูมิแพ้กระตุ้น ที่สอง
เม็ดเลือดขาวให้เป็น
พลาสมา เซลล์
(plasma cell)
พลาสมาเซลล์สร้าง
สารต่อต้าน
เมื่อสารก่อภูมิแพ้
(antibodies) ออกมา
รวมกับสารต่อต้าน
จะทําให้เกิดการหลั่ง
ฮิสตามีน
ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ
2. การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบทุติยภูมิ (Secondary Succession) คือ การเปลี่ยนแปลง
แทนที่ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตในบริเวณที่เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อนแต่ถูกทําลายด้วยปัจจัยบางอย่างเช่นน้ํา
ท่วมนานๆ ไฟไหม้ป่าเป็นต้น
บริเวณที่ 1 ถูกปล่อยทิ้งร้างจนเกิดเป็นระบบนิเวศแบบใหม่ที่พบเฉพาะพืชล้มลุก : ทุติยภูมิ
บริเวณที่ 2 ถูกปล่อยทิ้งร้างจนเกิดเป็นระบบนิเวศแหล่งน้ํา : ทุติยภูมิ
16. เฉลย 4) ความเข้มข้นของเลือด = สูงขึ้น, ต่อมใต้สมอง = หลั่งฮอร์โมน และท่อหน่วยไต = ดูดน้ํากลับ
ถ้ามนุษย์ทํากิจกรรมโดยไม่ดื่มน้ํา ความเข้มข้นของเลือดสูงขึ้น ร่างกายหลั่ง ADH เพื่อปรับ
สมดุลน้ําโดยดูดน้ํากลับมากขึ้น
17. เฉลย 4) ชนิดที่ 2 และ 3 เนื่องจากโปรตีนบนผิวจะจับกับแอนติบอดีแล้วกระตุ้นการหลั่งสารฮิสตามีน
ในภาพแอนติเจน สามารถจับ แอนติเจน/ละอองเรณู 2 กับ 3 เมื่อเกิดอาการแพ้
ร่างกายจะหลั่งสารฮิสตามีน
18. เฉลย 2) ร่างกายจะเกิดภูมิคุ้มกันแบบก่อเอง โดยมีเชื้อโรคอีสุกอีใสเป็นแอนติเจน
ร่างกายจะเกิดภูมิคุ้มกันแบบก่อเอง โดยมีเชื้อโรคอีสุกอีใสเป็นแอนติเจนกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง
แอนติบอดี
19. เฉลย 3) ขั้นตอน 2B ทําให้เกิดการแปรผันทางพันธุกรรม
ขั้นตอน 2B สามารถพบใน Meiosis : Prophase I - Crossing Over
1. บริเวณก่อนการกรอง (คล้ายกับเลือดเข้าไต)
y มีสารทุกชนิด ได้แก่ สารดีขนาดใหญ่ สารดีขนาดเล็ก ของเสียขนาดเล็ก
y มีน้ําผ่าน 720 ลิตร/วัน
y ตัวอย่างสาร ได้แก่
- สารดีขนาดใหญ่ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง (ฮีโมโกลบิน + ออกซิเจน) เซลล์เม็ดเลือดขาว
เกล็ดเลือด โปรตีนอัลบูมิน
- สารดีขนาดเล็ก เช่น กลูโคส กรดอะมิโน วิตามิน แร่ธาตุ
- ของเสียขนาดเล็ก เช่น สารพิษ ยูเรีย บิลิรูบิน
y พบที่อวัยวะ : afferent arteriole, renal artery, aorta
2. บริเวณหลังการกรอง (คล้ายกับน้ํากรอง)
y ผ่านได้เฉพาะสารที่เล็กกว่าโปรตีนอัลบูมิน ได้แก่ สารดีขนาดเล็ก ของเสียขนาดเล็ก
y มีน้ําผ่าน 180 ลิตร/วัน
y ตัวอย่างสาร ได้แก่
- เซลล์เม็ดเลือดขาวที่สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกที่
- สารดีขนาดเล็ก เช่น กลูโคส กรดอะมิโน วิตามิน แร่ธาตุ
- ของเสียขนาดเล็ก เช่น สารพิษ ยูเรีย บิลิรูบิน
y พบที่อวัยวะ : Bowman’s capsule, ท่อหน่วยไต
4. น้ํากรองที่ถูกดูดสารดีกลับไปแล้ว
y มีเฉพาะสารดีขนาดเล็กส่วนเกินและของเสียขนาดเล็ก
y คงเหลือน้ําส่วนเกินในร่างกายประมาณ 1.5 ลิตร/วัน
y ตัวอย่างสาร ได้แก่
- สารดีขนาดเล็กส่วนเกิน เช่น วิตามินส่วนเกิน แร่ธาตุส่วนเกิน กรดส่วนเกิน
- ของเสียขนาดเล็ก เช่น สารพิษ ยูเรีย บิลิรูบิน
y พบที่อวัยวะ : collecting duct (ท่อไตรวม) กรวยไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ
เพื่อขับปัสสาวะออกมา
5. บริเวณหลังจากการดูดของเล็กดีกลับ (คล้ายกับเลือดออกจากไต)
y หลังจากกําจัดของเสียออกไปแล้ว พบสารดีขนาดใหญ่และสารดีขนาดเล็ก
y มีน้ํากลับเข้าสู่ระบบประมาณ 720 ลิตร/วัน
y ตัวอย่างสาร ได้แก่
- สารดีขนาดใหญ่ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง (ฮีโมโกลบิน แต่ไม่พบออกซิเจน) เกล็ดเลือด
โปรตีนอัลบูมิน
- คาร์บอนไดออกไซด์ (ในรูป HCO3-)
- สารดีขนาดเล็ก เช่น กลูโคส กรดอะมิโน วิตามิน แร่ธาตุ
y พบที่อวัยวะ : renal venule, renal vein, inferior vena cava
น้ํา
การควบคุมสมดุลน้ําโดยฮอร์โมน ADH หรือ vasopressin เป็นการควบคุมแบบ negative feedback
แบ่งเป็น 3 สภาวะ ดังนี้คือ
1. สภาวะขาดน้ํา
พบในนักกีฬา และผู้ที่ทํากิจกรรมกลางแดด ซึ่งมีปริมาณน้ําในเลือดต่ําและความเข้มข้นของเลือดสูง
ทําให้แรงดันออสโมติกที่สูงไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหลังให้หลั่ง ADH ออกมา ADH จึงไปกระตุ้นที่ท่อหน่วย
ไตส่วนปลายและท่อรวมดูดให้น้ํากลับ ส่งผลให้ปริมาณน้ําในเลือดเพิ่มขึ้นพร้อมกับปัสสาวะน้อยลงและเข้มข้น
ทําให้ปริมาณน้ําในเลือดสูงเป็นปกติ ความเข้มข้นของเลือดต่ําเป็นปกติ และแรงดันออสโมติกต่ําลงไปยับยั้งต่อม
ใต้สมองส่วนหลังให้หยุดหลั่ง ADH แต่ ADH ยังกระตุ้นการกระหายน้ํา
2. สภาวะน้ําเกิน
พบในผู้ที่ดื่มน้ํามากเกิน ซึ่งมีปริมาณน้ําในเลือดสูงและความเข้มข้นของเลือดต่ํา ทําให้แรงดันออสโมติก
ที่ต่ําไปยับยั้งการหลั่ง ADH ท่อหน่วยไตส่วนปลายและท่อรวมจึงดูดน้ํากลับน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณน้ําในเลือด
ลดลงพร้อมกับปัสสาวะมากขึ้นและเจือจาง ทําให้ปริมาณน้ําในเลือดต่ําเป็นปกติ ความเข้มข้นของเลือดสูงเป็น
ปกติและแรงดันออสโมติกสูงขึ้นเป็นปกติ ดังนั้น ADH จึงลดการกระตุ้นการกระหายน้ํา
3. สภาวะ ADH หลั่งผิดปกติ
ในกรณีที่ ADH สูงเกิน เกิดจาก
สารที่กระตุ้นการหลั่ง ADH เช่น อีเธอร์
มอร์ ฟี น นิ โ คติ น ฮี ส ทามี น เอพิ เ นฟริ น
ส่งผลให้น้ําคั่งในร่างกายมากตัวจึงบวม และ
มีโซเดียมใน plasma ต่ํา (hyponatremia)
ส่วนกรณีที่ ADH ต่ําเกิน เกิดจาก
สารที่ยับยั้งการหลั่ง ADH เช่น คาเฟอีน
แอลกอฮอล์ diuretic (ยาขั บ ปั ส สาวะ)
ส่งผลให้เกิดโรคเบาจืด ซึ่งปัสสาวะมาก และ
เจือจาง
เซลลประสาท
หน่วยย่อยที่สุดของระบบประสาทคือ เซลล์ของประสาท ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ประสาท (neuron/
nerve cell) และเซลล์ค้ําจุน (neuroglial cell/ glial cell) รวมกันเป็นเนื้อเยื่อประสาท (nervous tissue) และ
กลายเป็นอวัยวะในระบบประสาทในที่สุด
เซลล์ประสาทของคนมีประมาณ 10,000 ถึง 100,000 ล้านเซลล์ ส่วนใหญ่อยู่ในสมอง ทําหน้าที่
เกี่ยวกับการรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยแต่ละเซลล์อาจมีการเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับเซลล์ประสาทอื่นๆ จํานวนมาก
ซึ่งขนาดและรูปร่างจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหน้าที่และตําแหน่งที่อยู่ของเซลล์
เซลล์ประสาทประกอบด้วย
1. ตัวเซลล์ (cell body) เป็น แหล่งพลังงานและสังเคราะห์สารสื่อประสาท ภายในประกอบด้วย
นิวเคลียส, ไมโทคอนเดรีย,neurofilament, microtubule และ RER ที่รวมตัวกัน (Nissl body)เพื่อสร้าง
สารสื่อประสาท
2. ใยประสาท (nerve fiber) แบ่งออกเป็น
y เดนไดรต์ (dendrite) เป็ น ส่ ว นของเซลล์ ป ระสาทที่ ยื่ น ออกไปส่ ว นใหญ่ จ ะอยู่ ร อบๆ ตั ว เซลล์
ทําหน้าที่รับกระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์
y แอกซอน (axon) เป็น ส่ วนของใยประสาทที่ ทํา หน้า ที่นํ า กระแสประสาทออกจากตัวเซลล์
เซลล์ประสาทที่มีใยประสาทยาวๆ ซึ่งมักจะเป็นใยประสาทของ axon จะมีเยื่อไมอีลิน (myelin sheath) หุ้มเป็น
ระยะ โดยเยื่อไมอีลินกําเนิดจากเยื่อหุ้มเซลล์ของ Schwann cell ที่มีการม้วนตัวพันรอบแอกซอนซ้อนกันแน่น
เยื่อไมอีลินเป็นสารประเภทไขมันจึงเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดีซึ่งในการส่งกระแสประสาทเกิดจากการมีการแลกเปลี่ยน
ไอออน เฉพาะที่ node of Ranvier ดังนั้นใยประสาทที่หุ้มด้วย myelin sheath จึงมีการเคลื่อนที่ของกระแส
ประสาทแบบกระโดดเป็นช่วงๆ ใยประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจึงส่งกระแสประสาทได้เร็วกว่าใยประสาทที่ไม่มีเยื่อ
ไมอีลินหุ้ม
ระยะนี้ประตู Na+ ปิด แต่ประตู K+ เปิด ทําให้ K+ ไหลออกนอกเซลล์ membrane potential กลับมา
เป็นลบ
5. undershoot (hyperpolarization)
สมอง (brain)
กลไก
ฮอรโมนที่ทําหนาที่รักษาสมดุลในรางกาย
5. เกิดการปลดปล่อย ADP+Pi ออกจาก myosin head ทําให้ myosin head เกิดการดึงรั้งให้ thin
filament เคลื่อนที่เข้าสู่ใจกลางของ sarcromere
6. กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ทําให้ความกว้างของ sarcromere, I-band และ H-band หดสั้นลง
7. มีการเติม ATP กลับเข้าสู่ myosin head ทําให้ myosin แยกตัวออกจาก actin
8. sarcoplasmic reticulum ดูด Ca2+ กลับ ทําให้ tropomyosin และ troponin กลับมาปิดส่วน
myosin-binding site
9. กล้ามเนื้อคลายตัว sarcoplasmic reticulum กลับมาอยู่ในสภาพเดิม
10. rigor mortis = ภาวะที่กล้ามเนื้อเกร็งตัวจากการขาด ATP หลังการเสียชีวิต
อวัยวะสืบพันธุเพศชาย
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชายประกอบด้วย
1. testis (อัณฑะ)
y interstitial cell of Leydig ทําหน้าที่
สร้าง androgen : testosterone ควบคุมลักษณะ
ของเพศชาย เช่น เสียงแตก, มีหนวด, การขยาย
ขนาดของอวัยวะเพศ เป็นต้น
y seminiferous tubule (หลอดสร้าง
อสุจิ : ท่อขดไปมาใน testis)
2. rete testis คือ ท่อรวมจาก seminiferous
tubule ลักษณะเป็นร่างแหอยู่ที่ขั้วของอัณฑะ
3. vas efferens คือ ท่อขนาดเล็กเชื่อมระหว่าง rete testis กับ epididymis
4. epididymis (หลอดเก็บอสุจิ) เป็นท่อยาวพันทบไปทบมาอยู่บริเวณขั้วด้านบนของอัณฑะ ทําหน้าที่
เก็บอสุจิแล้วสร้างอาหารเลี้ยงอสุจิ (ใช้เวลา 3 สัปดาห์จึงเจริญเต็มที่)
*scrotum (ถุงอัณฑะ) ทําหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิ ~34°C ป้องกันการตายของอสุจิ
5. vas deferens (ท่อนําอสุจิ) เป็นทางผ่านของอสุจิที่เปิดไปรวมกับท่อจาก seminal vesicle และ
บริเวณนี้จะเป็นบริเวณที่ทําหมันชายโดยการตัดและผูก vas deferens
*seminal vesicle คือต่อมสร้างน้ําเลี้ยงอสุจิ เป็นท่อ 2 ท่อขดไปมา ทําหน้าที่สร้างอาหารเลี้ยงอสุจิ
(fructose, vitamin C, globulin protein) ควบคุมโดย testosterone
6. prostate gland (ต่อมลูกหมาก) ทําหน้าที่สร้าง prostatic fluid เป็นสารสีขาว มีส่วนประกอบ
ของ citric และacid phosphatase โดยมีฤทธิ์เป็นเบสอ่อน ช่วยลดความเป็นกรดในท่อปัสสาวะและยังช่วยให้
อสุจิแข็งแรงขึ้น
*Cowper’s gland สร้างสารช่วยในการหล่อลื่นท่อปัสสาวะ
7. penis (องคชาต) คือ ทางผ่านของ
น้ําอสุจิและน้ําปัสสาวะออกสู่ภายนอก (น้ําอสุจิมี
สีขาวขุ่น อยู่นอกร่างกายได้ 2-3 ชั่วโมง/ ในร่างกาย
เพศหญิงได้ 2 วัน)
หากนักเรียนเขียนอธิบายกระบวนการข้างต้นดังต่อไปนี้
ก. mRNA มีลําดับเบสดังนี้ 3′ AAUTTCGCACCGGUCGUA 5′
ข. ไรโบโซมหน่วยย่อยขนาดเล็กเข้ามาจับกับ mRNA แล้วหน่วยย่อยขนาดใหญ่จึงเข้ามาจับเพื่อพร้อม
ทํางาน
ค. ไรโบโซมจะเคลื่อนที่ไปบน mRNA ในทิศทางจากปลาย 3′ ไปยังปลาย 5′
ง. tRNAที่มีแอนติโคดอน 5′ CGT 3′ คู่สมกับโคดอนบน mRNA นํากรดอะมิโน 1 ตัวมาเรียงต่อ
จ. tRNA โมเลกุลถัดมานํากรดอะมิโนอีกตัวมาเรียงต่อ แล้วสร้างพันธะเพปไทด์เพื่อเชื่อมกันเป็นสาย
ยาวเรียกว่า พอลิเพปไทด์
คําอธิบายข้างต้นผิดจากหลักการแปลรหัสที่ถูกต้องกี่ข้อ (PAT2 ก.พ. 61)
1) 1 2) 2 3) 3 4) 4 5) 5
8. เมื่อต้องการเพิ่มปริมาณ DNA ด้วยเทคนิค PCR จําเป็นต้องใช้องค์ประกอบใดในหลอดทดลอง
(PAT2 ต.ค. 59)
1) Restriction enzyme, plasmid, nucleotide, DNA polymerase
2) DNA template, primer, nucleotide, DNA polymerase
3) Plasmid, primer, DNA template
4) recombinant DNA, nucleotide, primer
5) DNA polymerase, primer, nucleotide
9. สารอาหารในข้อใดเมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์บุผิวลําไส้เล็กแล้วจะถูกลําเลียงเข้าสู่หัวใจโดยตรงโดยไม่ผ่านตับ
(วิชาสามัญ 62)
1) กลูโคส 2) วิตามินซี
3) กรดไขมัน 4) กาแลกโทส
5) กรดอะมิโน
10. อวัยวะใดที่ทําหน้าที่ทั้งสร้างเอนไซม์และฮอร์โมน (วิชาสามัญ 62)
1) ต่อมน้ําลายและลําไส้เล็ก 2) ตับอ่อนและต่อมหมวกไต
3) ลําไส้เล็กและต่อมหมวกไต 4) ตับอ่อนและกระเพาะอาหาร
5) ต่อมน้ําลายและกระเพาะอาหาร
1. เฉลย 5) สารบางอย่างในแบคทีเรียสายพันธุ์หนึ่งสามารถทําให้แบคทีเรียอีกสายพันธุ์เปลี่ยนลักษณะได้
ถู ก เพราะจากผลการศึ ก ษาของ Friedrich Griffith โดยศึ ก ษาผลการฉี ด Streptococcus
pneumoniae 2 สายพันธุ์เข้าสู่หนูแล้วติดตามผล ได้ผลดังตาราง
วิธีการทดลอง ผลการทดลอง
ฉีดสายพันธุ์ R (Rough) ผิวหยาบ หนูไม่ตาย
ฉีดสายพันธุ์ S (Smooth) ผิวเรียบ มีแคปซูลหุ้ม หนูตาย
ฉีดสายพันธุ์ S ที่ทําให้ตายด้วยความร้อน หนูไม่ตาย
ฉีดสายพันธุ์ S ที่ทําให้ตายด้วยความร้อน + สายพันธุ์ R หนูตาย
โดยสรุปผลการทดลอง : สารบางอย่างจากสายพันธุ์ S ทําให้สายพันธุ์ R เปลี่ยนเป็นสายพันธุ์
S ได้
ตัวเลือกที่ 1), 2), 3) และ 4) ผิด เพราะไม่สอดคล้องกับสรุปผลการทดลองของ Friedrich
Griffith
2. เฉลย 5) ชิ้นส่วน DNA เกลียวคู่นี้ประกอบด้วยพันธะไฮโดรเจนทั้งหมด 36 พันธะ
ถูก เพราะไนโตรจีนัสเบสที่เป็นคู่สมกันจะจับกันด้วยพันธะไฮโดรเจน โดยเบส A กับT จะเชื่อม
กันด้วยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ ส่วนเบส C กับ G จะเชื่อมกันด้วยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ
โดย A กับ T มี 6 คู่ = 6 × 2 = 12 พันธะ และ C กับ G มี 8 คู่ = 8 × 3 = 24 พันธะ
เพราะฉะนั้นชิ้นส่วน DNA เกลียวคู่นี้ประกอบด้วยพันธะไฮโดรเจนทั้งหมด = 12 + 24 = 36 พันธะ
1) ผิด เพราะพันธะไฮโดรเจนเป็นพันธะที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างไนโตรจีนัสเบสของ DNA สายคู่ที่เป็นคู่
สมกัน ไม่ใช่ไนโตรจีนัสเบสของ DNA สายเดียวกัน
2) และ 3) ผิด เพราะพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์เป็นพันธะที่เชื่อมระหว่างน้ําตาลดีออกซี-
ไรโบสจับกับหมู่ฟอสเฟส ซึ่งชิ้นส่วน DNA เกลียวคู่นี้ไม่ได้แสดงโครงสร้างของน้ําตาลดีออกซีไร
โบสกับหมู่ฟอตเฟสให้ จึงต้องทราบว่านิวคลีโอไซด์ประกอบไปด้วยน้ําตาลเพนโทส ไนโตรจีนัสเบส และหมู่
ฟอตเฟส จึงสามารถกําหนดได้ว่าหนึ่งไนโตรจีนัสเบสเท่ากับหนึ่งนิวคลีโอไซด์ โดยพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์เป็น
พันธะที่เชื่อมระหว่างน้ําตาลดีออกซีไรโบสของนิวคลีโอไซด์หนึ่งจับกับหมู่ฟอสเฟสของนิวคลีโอไซด์ที่ติดกัน
ดังนั้น DNA เกลียวคู่นี้จึงประกอบด้วยพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์สายละ 13 พันธะ รวมเป็น 26 พันธะ
พันธะไฮโดรเจน
พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์
3. เฉลย 4) น้ําตาลดีออกซีไรโบสจับกับหมู่ฟอสเฟต
ถูก เพราะเนื่องจากส่วนของ DNA ที่เปรียบขั้นบันไดคือไนโตรจีนัสเบสที่เป็นคู่สมจับคู่กันด้วย
พันธะไฮโดรเจนและส่วนที่เปรียบเสมือนราวบันได คือ น้ําตาลดีออกซีไรโบสจับกับหมู่ฟอสเฟสด้วยพันธะ
ฟอสโฟไดเอสเตอร์
ราวบันได = น้ําตาลดีออกซีไรโบสจับกับ
หมู่ฟอสเฟสด้วยพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์
ขั้นบันได = ไนโตรจีนัสเบสที่เป็นคู่สมจับคู่กัน
ด้วยพันธะไฮโดรเจน