Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 1
วิชาความสามารถทั่วไป
1. อนุกรม
อนุกรม คือ ชุดตัวเลขที่เรียงต่อเนื่องกันไปอย่างเป็นระเบียบภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน ที่สามารถคาด
เดาตัวถัดไปได้ (อนุกรมทีอ่ อกสอบส่วนใหญ่จะมี 4 ประเภท)
เพิ่มขึ้นแบบคูณ
1. อนุกรมเพิ่ม เพิ่มขึ้นแบบสะสม
เพิ่มขึ้นแบบบวก
ลดลงแบบหาร
อนุกรม 2. อนุกรมลด
ลดลงแบบลบ
3. อนุกรมซ้อน ลักษณะอนุกรมจะเพิ่มและลดสลับกันไป
ตัวเลขโจทย์ส่วนใหญ่จะมากกว่า 6 ตัว
1. อนุกรมเพิ่ม :
ระบบตัวเลขจะมีลักษณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่อนุกรมโจทย์ที่ให้มานั้นยังไม่สามารถคาดเดาคาตอบได้
ทันที ดังนั้น ในการหาคาตอบต้องยยายามแปลงอนุกรมให้เปน ระเบียบที่สามารถคาดเดาคาตอบ
ให้ได้เสียก่อน
13 23 33 43 53 63 73 83 93
ตัวอ ตัวอย่างข้อสอบอนุกรมเพิ่ม :
ข้อ 1. 3 9 27 81 …………
ก. 199 ข. 243 ค. 250 ง. 263
วิธีทา : ให้มองดูเพิ่มแบบคูณก่อน : โดยให้สังเกตว่ามีแม่สูตรคูณมาคูณ หรือไม่
3 9 27 81 243
X3 X3 X3 X3
สังเกต จะเห็นได้ว่า มีสูตรคูณแม่ 3 มาคูณตลอด จึงเปนอนุกรมเยิ่มแบบคูณ
𝟓
ข้อ 2. 𝟒
5 25 150 …………
ก. 750 ข. 950 ค. 1,000 ง. 1,050
วิธีทา : ให้มองดูเพิ่มแบบคูณก่อน : โดยให้สังเกตว่ามีแม่สูตรคูณมาคูณ หรือไม่
5
5 25 150 1,050
4
X4 X5 X6 X7
สังเกต จะเห็นได้ว่า มีสูตรคูณมาคูณตลอดโดยตัวที่มาคูณเยิ่มทีละ 1 จึงเปนอนุกรมเยิ่มแบบคูณ
ข้อ 3. 3 9 12 21 33 54 …………
ก. 59 ข. 68 ค. 72 ง. 87
วิธีทา :
1. ให้มองดูเพิ่มแบบคูณก่อน : โดยให้สังเกตว่ามีแม่สูตรคูณมาคูณหรือไม่ (แต่ข้อนี้ไม่มีแม่สูตรคูณมา
คูณ ให้ขา้ มไปขั้นที่ 2)
2. ให้มองดูว่าเพิ่มแบบสะสมหรือไม่ : ข้อนี้เปนอนุกรมสะสมแบบ 2 ครั้งบวกกันแล้วได้ตัวที่ 3
9 + 12 21 + 33
3 9 12 21 33 54 87
3+9 12 + 21 33 + 54
5 + 18 + 29 29 + 52 + 99
6 5 18 29 52 99 180
6 + 5 + 18 18 + 29 + 52
สังเกต จะเห็นได้ว่า เปนอนุกรมเยิ่มสะสมแบบ 3 ครั้งบวกกันแล้วได้ตัวที่ 4
วิธีทา :
1. ให้มองดูเพิ่มแบบคูณก่อน : โดยให้สังเกตว่ามีแม่สูตรคูณมาคูณหรือไม่ (แต่ข้อนี้ไม่มีแม่สูตรคูณมาคูณ
ให้ข้ามไปขั้นที่ 2)
2. ให้มองดูว่าเพิ่มแบบสะสมหรือไม่ : ข้อนี้เปนอนุกรมสะสมแบบ 2 ตัวบวกกันแบบเว้นระยะ
14 + 16 30 + 34 64 + 80 144 + 162
14 16 30 34 64 80 144 162 306
ข้อ 6. 2 3 1 6 4 3 3 36 6 3 5 90 8 3 7 …………
ก. 150 ข. 160 ค. 168 ง. 200
วิธีทา :
2 3 1 6 4 3 3 36 6 3 5 90 8 3 7 168
วิธีทา :
1. ให้มองดูเพิ่มแบบคูณก่อน : โดยให้สังเกตว่ามีแม่สูตรคูณมาคูณหรือไม่ (แต่ข้อนี้ไม่มีสูตรคูณมาคูณ
ดังนั้น ให้ข้ามไปขั้นที่ 2)
2. ให้มองดูว่าเพิ่มแบบสะสมหรือไม่ (ข้อนี้ก็ไม่ใช่อนุกรมแบบสะสม จึงให้ข้ามไปขั้นที่ 3)
3. เนื่องจากพิจารณาดูแล้วไม่ใช่อนุกรมเพิ่มแบบคูณและแบบสะสม จึงเหลือวิธีสุดท้าย คือ
เยิ่มขึ้นแบบบวก โดยให้ตีแฉกหาผลต่าง ดังนี้
2 12 30 56 90
ข้อ 2. 3 8 18 38 78 ………..
ก. 150 ข. 155 ค. 158 ง. 160
วิธีทา :
1. ให้มองดูเพิ่มแบบคูณก่อน : โดยให้สังเกตว่ามีแม่สูตรคูณมาคูณหรือไม่ (แต่ข้อนี้ไม่มีสูตรคูณมาคูณ
ดังนั้น ให้ข้ามไปขั้นที่ 2)
2. ให้มองดูว่าเพิ่มแบบสะสมหรือไม่ (ข้อนี้ก็ไม่ใช่อนุกรมแบบสะสม จึงให้ข้ามไปขั้นที่ 3)
3. เนื่องจากพิจารณาดูแล้วไม่ใช่อนุกรมเพิ่มแบบคูณและแบบสะสม จึงเหลือวิธีสุดท้าย คือ
เยิ่มขึ้นแบบบวก โดยให้ตีแฉกหาผลต่าง ดังนี้
3 8 18 38 78 158
5 10 20 40 80
ชั้นนี้ : ยังคาดเดาไม่ได้ว่าเปนตัวเลขอะไร ให้ตี
X2 X2 X2 X2
แฉกหาผลต่างอีกจนกระทั่งสามารถคาดเดาได้
ชั้นที่ 1 เมื่อตีแฉกหาผลต่าง ผลต่างที่ได้เยิ่มขึ้นแบบยังเดาคาตอบไม่ได้ จึงต้องแปลงต่อ
ชั้นที่ 2 ซึ่งชั้นนี้เปนอนุกรมเยิ่มขึ้นแบบคูณ โดยคูณเยิ่มขึ้นครั้งละ 2 จึงทาให้สามารถคาดเดาคาตอบตัวต่อไปได้
ข้อ 3. 44 47 56 67 100 ………..
ก. 135 ข. 150 ค. 165 ง. 180
วิธีทา :
1. ให้มองดูเพิ่มแบบคูณก่อน : โดยให้สังเกตว่ามีแม่สูตรคูณมาคูณหรือไม่ (แต่ข้อนี้ไม่มีสูตรคูณมาคูณ
ดังนั้น ให้ข้ามไปขัน้ ที่ 2)
2. ให้มองดูว่าเพิ่มแบบสะสมหรือไม่ (ข้อนี้ก็ไม่ใช่อนุกรมแบบสะสม จึงให้ข้ามไปขั้นที่ 3)
3. เนื่องจากพิจารณาดูแล้วไม่ใช่อนุกรมเพิ่มแบบคูณและแบบสะสม จึงเหลือวิธีสุดท้าย คือ
เยิ่มขึ้นแบบบวก โดยให้ตีแฉกหาผลต่าง ดังนี้
44 47 56 67 100 135
3 9 11 33 35
ชั้นนี้ : เปนอนุกรมเยิ่มแบบคูณ
X3 +2 X3 +2
ด้วย 3 แล้วสลับบวกด้วย 2
WWW.KRUNOOMTUTOR.COM/FACEBOOK : ผอ.หนุ่ม ครับ/YOUTUBE : ผอ.หนุ่ม ครับ/ID LINE : Krunoomtutor
คู่มือเตรียมสอบ ก.พ. ภาค ก. 7
+1 +4 +9 +16 +25
12 22 32 42 52
2. อนุกรมลด :
ตัวอ ตัวอย่างอนุกรมลด :
1,875 375 75 15 3
÷5 ÷5 ÷5 ÷5
90 89 85 76 60 35
1 4 9 16 25
12 22 32 42 52
ชั้นที่ 1 เมื่อตีแฉกครั้งที่ 1 แล้วหาผลต่าง ผลต่างที่ได้เปนอนุกรมเยิ่มขึ้นที่ยังคาดเดาคาตอบไม่ได้
แต่เปนอนุกรมเยิ่มขึ้นที่สามารถแปลงเปนเลขยกกาลัง 2 ได้ เมื่อแปลงแล้วจะทาให้อนุกรมเยิ่มขึ้น
อย่างเปนระเบียบและสามารถคาดเดาคาตอบได้ง่ายขึ้น
3. อนุกรมซ้อน :
วิธีการหาคาตอบ มีดังนี้ :
(1) ให้แบ่งอนุกรมเป็นช่วง ๆ เพื่อแยกชุดอนุกรมออกจากกันเป็นชุดใครชุดมัน
ถ้าแบ่งช่วงอนุกรมได้ถูกต้อง อนุกรมที่เปนชุดเดียวกัน มันก็จะเยิ่มขึ้นตลอด หรือลดลงตลอด
อย่างหนึ่งอย่างใด และเปนระเบียบด้วย
(2) หาคาตอบอนุกรม ตามลักษณะที่แยกได้ ถ้าเปนอนุกรมเยิ่มก็หาคาตอบแบบอนุกรมเยิ่ม แต่ถ้าเปน
อนุกรมลดก็จะหาคาตอบแบบอนุกรมลด
ตัวอ ตัวอย่างอนุกรมซ้อน :
ข้อ 1. 3 5 6 10 9 20 12 ………..
ก. 40 ข. 30 ค. 20 ง. 10
วิธีทา :
ตัวเลขอนุกรมเดี๋ยวเพิ่ม เดี๋ยวลด แสดงว่าน่าจะเปนอนุกรมซ้อน ให้เราลองแบ่งช่วงละ 2 ดูก่อน
+3 +3 +3
3 5 6 10 9 20 12 40
X2 X2 X2
ซึ่งเมื่อแบ่งช่วงแล้ว :
ตัวเลขตัวแรกของแต่ละช่วงจะเปนอนุกรมชุดเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากตัวเลขมีลักษณะเยิ่มขึ้น ตลอด
และอย่างเปนระเบียบ คือ บวกเยิ่มขึ้นครั้งละ 3 แสดงว่าเราแบ่งช่วงถูก (ถ้าแบ่งช่วงผิดตัวเลขจะไม่
เพิ่มขึ้นตลอดหรือลดลงตลอด)
ตัวเลขตัวที่ 2 ของแต่ละช่วงก็เปนอนุกรมชุดเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากตัวเลขมีลักษณะเยิ่มขึ้นตลอดและ
อย่างเปนระเบียบ คือ คูณครั้งละ 2 และจะเห็นได้วา่ คาตอบอยู่ชุดที่ 2 ซึ่งเกิดจากคูณด้วย 2 มานั่นเอง
ข้อ 2. 158 118 136 96 114 74 ………..
ก. 94 ข. 92 ค. 56 ง. 34
วิธีทา :
ตัวเลขอนุกรมเดี๋ยวเพิ่ม เดี๋ยวลด แสดงว่าน่าจะเปนอนุกรมซ้อน
ให้เราแบ่งเป็นช่วง โดยลองแบ่งช่วงละ 2 ดูก่อน ถ้าแบ่งถูกจะได้อนุกรมเยิ่มหรือลดที่เปนระเบียบ
ชุดที่ 1 เปนอนุกรมลด ลดลงครั้งละ 22 เท่า ๆ กัน โดยที่คาตอบอยู่ชุดที่ 1 ซึ่งสามารถคาดเดาคาตอบได้
แล้ว คือ ลดลงครั้งละ 22 ด้วย
ชุดที่ 2 เปนอนุกรมลด ลดลงครั้งละ 22 เท่า ๆ กัน
-22 -22 -22
158 118 136 96 114 74 92
-22 -22
วิธีทา :
ตัวเลขอนุกรมเดี๋ยวเพิ่ม เดี๋ยวลด แสดงว่าน่าจะเปนอนุกรมซ้อน
ให้เราแบ่งเป็นช่วง โดยลองแบ่งช่วงละ 2 ดูก่อน ถ้าแบ่งถูกจะได้อนุกรมเยิ่มหรือลดที่เปนระเบียบ
ชุดที่ 1 เปนอนุกรมเยิ่ม แบบบวกเยิ่มขึ้นครั้งละ 4 เท่า ๆ กัน
ชุดที่ 2 คาตอบอนุกรมอยู่ชุดที่ 2 ซึ่งเปนอนุกรมเยิ่มแบบ 2 ชั้น เยราะว่าชั้นแรกตีแฉกหาผลต่างแล้วยังไม่
สามารถคาดเดาคาตอบได้ จึงจาเปนต้องตีแฉกครั้งที่ 2 เยื่อหาผลต่างอีกครั้ง
+4 +4 +4
-3 2 1 15 5 36 9 65
13 21 29 เดาคาตอบยังไม่ได้ต้องตีแฉกหาผลต่างอีก
ถ้ามีผลต่างคู่เดียว ให้เดาว่าผลต่างคู่ถัดไปก็น่าจะเยิ่มขึ้น
8 8
เท่ากันด้วย ซึ่งในที่นี้ผลต่างคือ 8 แสดงว่าผลต่างคู่ถัดไปก็
น่าจะต่าง 8 ด้วย
+1 +1 +1
46 2 23 75 3 25 108 4 27 145 5 29
+2 +2 +2
ตัวอ 4. อนุกรมเศษส่วน :
อนุกรมเศษส่วนเกิดจากอนุกรมเยิ่มหรือลดแบบต่าง ๆ 2 ชุดมาเรียงซ้อนกันอยู่ในรูปเศษและส่วน
วิธีการหาคาตอบ มีดังนี้ :
(1) ให้แยกอนุกรมเศษและอนุกรมส่วนออกจากกัน เพื่อหาคาตอบชุดใครชุดมัน
(2) หาคาตอบอนุกรม
- จะหาอนุกรมเศษ >> ก็ให้ยิจารณาจากอนุกรมเศษว่าเปนอนุกรมแบบใดก็ให้คานวณแบบนั้น
- จะหาอนุกรมส่วน >>ก็ให้ยิจารณาจากอนุกรมส่วนว่าเปนอนุกรมแบบใดก็ให้คานวณแบบนั้น
- แต่ก็มีกรณีที่อนุกรมเศษกับส่วนสร้างความสัมพันธ์กัน >ก็ต้องมองหาความสัมยันธ์ของเศษกับ
ส่วนนั้นให้เจอว่ามีความสัมยันธ์กันอย่างไร
ตัวอ ตัวอย่างอนุกรมเศษส่วน :
𝟒 𝟏𝟎 𝟏𝟖 𝟐𝟖
ข้อ 1. 𝟑 𝟕 𝟏𝟏 𝟏𝟓
𝟑𝟗 𝟒𝟎 𝟓𝟔 𝟒𝟐
ก. ข. ค. ง.
𝟏𝟗 𝟏𝟗 𝟏𝟗 𝟏𝟗
วิธีทา :
จะหาเศษก็ให้ปิดส่วน (ไม่มองส่วน)
อนุกรมเศษ : เปนอนุกรมเยิ่ม แบบบวกเยิ่มขึ้นครั้งละ 6, 8, 10, 12, ……… ตามลาดับ
+6 +8 +10 +12
+4 +4 +4 +4
จะหาส่วนก็ให้ปิดเศษ (ไม่มองเศษ)
อนุกรมส่วน : เปนอนุกรมเยิ่ม แบบบวกเยิ่มขึ้นครั้งละ 4 เท่า ๆ กัน
𝟗 𝟑𝟔 𝟕𝟐 𝟏𝟒𝟒
ข้อ 2. 𝟖
18
𝟏𝟕 𝟏𝟗 𝟓𝟑
……….
วิธีทา :
ข้อนี้ต้องแปลงเลข 18 ให้เปนเลขเศษส่วนก่อน
จะหาเศษก็ให้ปิดส่วน (ไม่มองส่วน) แค่ลองเปิดส่วนไว้ 1 ตัวก่อน เยื่อดูว่าเศษกับส่วนสร้างความสัมยันธ์
กันหรือเปล่า ถ้าไม่มีความสัมยันธ์กันก็ให้มองแต่อนุกรมเศษอย่างเดียว
อนุกรมเศษ : เปนอนุกรมเยิ่ม แบบคูณครั้งละ 2
X2 X2 X2 X2 X2
ต้องทาให้เป็นเลขเศษส่วนก่อน
𝟐 𝟏𝟔 𝟏𝟏
ข้อ 3. 1 ……….
𝟓 𝟏𝟎 𝟓
𝟏𝟒 𝟏𝟑 𝟓 𝟓
ก. ข. ค. ง.
𝟓 𝟓 𝟏𝟑 𝟏𝟒
วิธีทา :
โจทย์นี้เปนอนุกรมส่วนคงที่ = 5 แน่นอน เยราะสังเกตได้จากโจทย์มีส่วนเท่ากันบางที่ คือ
อนุกรมตัวที่ 1 และตัวที่ 4 มีส่วนเท่ากัน = 5
ดังนั้น ต้องแปลงเลข 1 ให้เปนเลขเศษส่วนที่ส่วน = 5
มองหาเลขเศษอะไร...ที่หาร
ดังนั้น > > นั้นคือ
5 แล้วได้เท่ากับ 1
ต้องแปลงเลข ให้ส่วนมีค่า = 5
จะหาส่วนก็ให้ปิดเศษ (ไม่มองเศษ)
อนุกรมส่วน : เปนอนุกรมคงที่ เท่ากับ 5 ตลอด
𝟏 𝟏 𝟏 𝟏 𝟏 𝟏 𝟏
ข้อ 4. A จากรูปแบบที่
𝟐 𝟔 𝟏𝟐 𝟐𝟎 𝟑𝟎 𝟓𝟔 𝟕𝟐
กาหนดให้ A แทนจานวนใด
𝟏 𝟏 𝟏 𝟏
ก. 𝟑𝟐 ข. ค. ง.
𝟑𝟔 𝟒𝟐 𝟒𝟖
วิธีทา :
โจทย์นี้เปนอนุกรมเศษคงที่ = 1 แน่นอน เยราะสังเกตได้จากโจทย์ซึ่งมีเศษเท่ากัน คือ 1
𝟏
ดังนั้น A ต้องเท่ากับ 𝟐
จะหาเศษก็ให้ปิดส่วน (ไม่มองส่วน)
อนุกรมเศษ : เปนอนุกรมคงที่ เท่ากับ 1 ตลอด
𝟔 𝟏𝟑 𝟐𝟓 𝟓𝟏
ข้อ 5. ………..
𝟕 𝟏𝟐 𝟐𝟔 𝟓𝟎
𝟏𝟎𝟏 𝟕𝟔 𝟏𝟎𝟏 𝟕𝟔
ก. 𝟏𝟎𝟐 ข. ค. ง.
𝟏𝟎𝟐 𝟏𝟎𝟎 𝟏𝟎𝟎
วิธีทา :
จะหาเศษก็ปิดส่วน (ไม่มองส่วน) จะหาส่วนก็ปิดเศษ (ไม่มองเศษ) แต่ให้ลองเอาเศษกับส่วนบวกลบกัน
ดูก่อนว่าได้เศษหรือส่วน...ตัวถัดไปหรือไม่ เผื่อเศษกับส่วนสร้างความสัมยันธ์กัน
อนุกรมเศษ : เกิดจาก เศษ + ส่วน = ได้เศษ...ตัวถัดไป
2. คณิตศาสตร์พื้นฐาน
- ข้อสอบภาค ก. ของ ก.พ. ในส่วนของโจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐานจะออกข้อสอบ 5 ข้อ ซึ่งมีเรื่องที่
ออกสอบกว้างมาก ดังนั้น จึงขอสรุปเนื้อหาที่จะออกสอบคร่าว ๆ ไว้ดังนี้
1. โอเปอร์เรชั่น (Operation)
โอเปอร์เรชั่นเปนเรื่องของการดาเนินการทางคณิตศาสตร์ โดยเปนการดาเนินการทางตัวเลขที่โจทย์
กาหนดมาแล้วนาตัวเลขเหล่านั้นมา บวก, ลบ, คูณ, หาร, ยกกาลัง ซึ่งโจทย์จะกาหนดตัวเลขมาให้ 3 คู่ โดยที่
ทุกคู่จะมีการดาเนินการเหมือนกัน แล้วโจทย์จะให้เราหาคาตอบคู่ที่ 3 โดยใช้วิธีการดาเนินการเหมือน 2 คู่แรก
ข้อ 2. กาหนดให้ 2 * 7 = 18
และ 3 * 5 = 24
จงหาค่าของ 9 * 11 = ?
ก. 170 ข. 90 ค. 80 ง. 180
วิธีทา :
ให้สังเกต 2 คู่แรกว่ามีสูตรคานวณที่เหมือนกันอย่างไร
จากการสังเกตจะเห็นว่า : “คาตอบของ 2 คู่แรกมากกว่าคู่โอเปอร์เรชั่น
ดังนั้น : ให้เรายิจารณาว่าคาตอบน่าจะเกิดจาก หน้า X หลัง แล้วให้ดูว่าคาตอบที่ยังขาดอยู่ของทั้ง 2 คู่
มีที่มาเหมือนกันหรือไม่” จะเห็นว่า 2 คู่แรก เกิดจากความสัมยันธ์ ดังนี้
ข้อ 3. กาหนดให้ 2 * 4 = 14
และ 3 * 5 = 23
จงหาค่าของ 4*6=?
ก. 43 ข. 40 ค. 39 ง. 34
วิธีทา :
ให้สังเกต 2 คู่แรกว่ามีสูตรคานวณที่เหมือนกันอย่างไร
จากการสังเกตจะเห็นว่า : “คาตอบของ 2 คู่แรกมากกว่าคู่โอเปอร์เรชั่น
ดังนั้น : ให้เรายิจารณาว่าคาตอบน่าจะเกิดจาก หน้า X หลัง แล้วให้ดูว่าคาตอบที่ยังขาดอยู่ของทั้ง 2 คู่
มีที่มาเหมือนกันหรือไม่” จะเห็นว่า 2 คู่แรก เกิดจากความสัมยันธ์ ดังนี้
ข้อ 5. กาหนดให้ 5 * 6 = 25
และ 8 * 6 = 40
จงหาค่าของ 9 * 10 = ?
ก. 120 ข. 85 ค. 81 ง. 110
วิธีทา :
ให้สังเกต 2 คู่แรกว่ามีสูตรคานวณที่เหมือนกันอย่างไร
จากการสังเกตจะเห็นว่า : “คาตอบของ 2 คู่แรกมากกว่าคู่โอเปอร์เรชั่น
ดังนั้น : ให้เรายิจารณาว่าคาตอบน่าจะเกิดจาก หน้า X หลัง แล้วให้ดูว่าคาตอบที่เกินอยู่ของทั้ง 2 คู่
มีที่มาเหมือนกันหรือไม่” จะเห็นว่า 2 คู่แรก เกิดจากความสัมยันธ์ ดังนี้
ข้อ 7. กาหนดให้ 6 * 2 = 38
และ 4 * 7 = 23
จงหาค่าของ 5*1=?
ก. 7 ข. 26 ค. 31 ง. 35
วิธีทา :
ให้สังเกต 2 คู่แรกว่ามีสูตรคานวณที่เหมือนกันอย่างไร
จากการสังเกตจะเห็นว่า : “คาตอบของ 2 คู่แรกมากกว่าคู่โอเปอร์เรชั่น
ดังนั้น : ให้เรายิจารณาว่าคาตอบน่าจะเกิดจาก หน้า X หลัง ก่อน แต่เมื่อคูณกันแล้วจะเห็นว่าทั้ง 2 คู่มี
ความสัมยันธ์ต่างกัน ดังนั้น : จึงจาเปนต้องเปลี่ยนแนวคิด” จะเห็นว่า 2 คู่แรก เกิดจากความสัมยันธ์ ดังนี้
ข้อ 8. กาหนดให้ 2 * 8 = 12
และ 4 * 10 = 26
จงหาค่าของ a * b = ?
2
ก. 2a + b ข. a (a + b) ค. 4a + b ง. +b
วิธีทา :
ให้สังเกต 2 คู่แรกว่ามีสูตรคานวณที่เหมือนกันอย่างไร
จากการสังเกตจะเห็นว่า : “คาตอบของ 2 คู่แรกมากกว่าคู่โอเปอร์เรชั่น
ดังนั้น : ให้เรายิจารณาว่าคาตอบน่าจะเกิดจาก หน้า X หลัง ก่อน แต่เมื่อคูณกันแล้วจะเห็นว่าทั้ง 2 คูม่ ี
ความสัมยันธ์ต่างกัน ดังนั้น : จึงจาเปนต้องเปลี่ยนแนวคิด” จะเห็นว่า 2 คู่แรก เกิดจากความสัมยันธ์ ดังนี้
ข้อ 9. กาหนดให้ 2 * 3 = 25
และ 4 * 5 = 81
จงหาค่าของ 3*5=?
ก. 72 ข. 64 ค. 52 ง. 46
วิธีทา :
ให้สังเกต 2 คู่แรกว่ามีสูตรคานวณที่เหมือนกันอย่างไร
จากการสังเกตจะเห็นว่า : “คาตอบของ 2 คู่แรกมากกว่าคู่โอเปอร์เรชั่น
ดังนั้น : ให้เรายิจารณาว่าคาตอบน่าจะเกิดจาก หน้า X หลัง ก่อน แต่เมื่อคูณกันแล้วจะเห็นว่าทั้ง 2 คู่มี
ความสัมยันธ์ต่างกัน ดังนั้น : จึงจาเปนต้องเปลี่ยนแนวคิด” จะเห็นว่า 2 คู่แรก เกิดจากความสัมยันธ์ ดังนี้
WWW.KRUNOOMTUTOR.COM/FACEBOOK : ผอ.หนุ่ม ครับ/YOUTUBE : ผอ.หนุ่ม ครับ/ID LINE : Krunoomtutor
คู่มือเตรียมสอบ ก.พ. ภาค ก. 23
คู่ที่ 1 4 * 6 = 5 เกิดจาก =5
คู่ที่ 2 8 * 10 = 9 เกิดจาก =9
คู่คาถาม 12 * 8 = ? เกิดจาก = 10