Professional Documents
Culture Documents
นางสาวอมรรัตน์ นํามาตเสนา
สังคมวิทยาทางกฎหมาย สําคัญอย่างไร ?
สังคมวิทยาเป็ นความพยายามศึกษาค้ นคว้ าข้ อเท็จจริ ง ( Ascertainment of Facts) โดยใช้ วิธีรวบรวมข้ อมูลและทำสถิติ
ซึง่ เราเรี ยกว่า Empirical Method (วิธีการที่ได้ จากประสบการณ์โดยการทดลองหรื อสังเกต)
- ตอนต้ นของศตวรรษที่ 19 เป็ นยุคของ กฎหมายบ้ านเมือง (Positivism) ครอบง่า ความคิดในทางกฎหมายของโลก แนว
ความคิด common law ดังเดิ ้ มก็มีลกั ษณะ เป็ นแนวความคิดในสํานักกฎหมาย บ้ านเมืองเหมือนกันในแง่ถือว่ากฎหมาย
ที่มี อยูส่ มบูรณ์แล้ ว ความคิดอย่างนี ้เมื่อนาน เข้ าก็ทำให้ นกั กฎหมายขาซินเฉยเมยไม่มีค วามรู้สกึ ยินดียินร้ ายหรื อมี
ปฏิกิริยาต่อ ปั ญหาที่เกิดขึ ้นในชีวิตจริ งเ อร จริ ง เพราะเขาสนุก อยู่กบั ตัวบทและระบบกฎหมายของเขา และมีความเชื่อ
ว่าการเล่นแร่แปรธา กับต่อ บทและข้ อความในระบบกฎหมายนัน้ สามารถที่จะให้ ความเป็ นธรรมแก่สงั คมได้
นักคิดในสำนักกฎหมายทางสังคมวิทยา
Montesquieu (1689-1775)
8-9/39
ךกฎหมายทังหลายในลั
้ กษณะสำคัญที่เป็ นทัว่ ไปคือ ความ สัมพันธ์ที่จําเป็ นจะต้ องเช่นนัน้ อันเกิดขึ ้นจากเหตุผลของเรื่ อง
เพราะฉะนัน้ มนุษย์ก็มีกฎหมายของมนุษย์ พระเจ้ าก็มีกฎหมายของ พระเจ้ า สัตว์ก็มีกฎหมายของสัตว์ อันเป็ นแนวคิดของ
นักกฎหมาย ธรรมชาติ ในแง่ที่วา่ “ความผิดถูกอยู่ในตัวของมันเองตามเหตุผล ของเรื่ อง (nature of things)” มิใช่เป็ นสิ่ง
ที่ตงขึ
ั ้ ้นได้ ตามความชอบ
นอกจากนี ้ เขายังแสดงถึงเหตุผลในเรื่ องของกฎหมายว่า แต่ละเรื่ องมี สิ่งแวดล้ อมหรื อบริ บท (context) เขามองชีวิต
สังคมรูปแบบต่าง ๆ โดยเน้ นว่า เหตุการณ์ภายนอก เช่น ดินฟ้าอากาศ ประวัติศาสตร์ จำนวนพลเมือง ความอุดม สมบูรณ์
สภาพธรรมชาติวา่ อยู่ใกล้ ทะเล หรื อบนภูเขา วิธีการหากินด้ วยการประมง หรื อล่าสัวต์ เป็ นคนเร่ร่อนหรื อชาวนา หรื อชาว
ที่ราบชาวเขา สิ่งเหล่านี ้เป็ นสิ่งปรุง แต่งกฎหมาบ
มองเตสกิเออ มองว่า กฎหมายไม่ใช่คำสัง่ ของรัฎฐาธิปัตย์ แต่เป็ นกฎเกณฑ์ที่ เกิดขึ ้นในสังคมแต่ละสังคม จึงเป็ นไปตาม
หลักเหตุผลของเรื่ อง หรื อลักษณะของ เรื่ องนัน้
เขาจึงเผยแพร่แนวคิด และเริ่ มต้ นสอนนักกฎหมายว่า การเรี ยนกฎหมายมิใช่ การเรี ยนเฉพาะระบบกฎหมายที่เป็ นอยู่ หรื อ
เพียงเฉพาะการอ่านตัวบทเท่านัน้ แต่ต้องศึกษาสภาพสังคมด้ วย จึงเป็ นผู้เริ่ มวิชาสังคมวิทยากฎหมาย (Sociology of
law)
Savigny
ผู้มีความคิดโน้ มเอียงไปในทางสังคมวิทยา โดยเขาสอนให้ นกั กฎหมาย มองกฎหมายด้ วยสายตากว้ างไกล คือ ค้ นจาก
ต้ นตอที่เป็ นตัวบทหรื อหาเหตุผล จากตัวบทกฎหมายและถูกผิดจากความคิดด้ วยเหตุผล ซึง่ เป็ นวิธีสร้ างระบบ กฎหมาย
อย่างที่ปรากฏในศตวรรษที่ 16-17-18 เป็ นการรวบรวมผลงานของ Glossator มาจนถึงนักกฏหมายธรรมชาติสมัยใหม่
และก่อให้ เกิด ประมวลกฎหมายในที่สดุ แต่ผลงานเหล่านี ้ก็เป็ นเพียงผลงานด้ านนิติศาสตร์ โดย
แท้ คือ เพื่อให้ ร้ ูและเข้ าใจกำหมายที่ใช้ บงั คับอยู่ให้ ดีขึ ้น โดยเขาเสนอแนะว่า ทำ อย่างไรนันไม่
้ พอ ต้ องเอามาวิพากษ์
วิจารณ์ศกึ ษาในแง่ประวัติศาสตร์ ทางภาษา ให้ เข้ าใจตัวบทกฎหมายยิ่งกว่าที่เป็ นอยู่
เขาจึงมีคณ ุ ปู การต่อวิชานิติศาสตร์ ในแง่ปลดปล่อยนักกฎหมายให้ มี สายตาที่ยาวและกว้ างขึ ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการ
ค้ นคว้ าในแง่ Germanist คือ สํานักกฎหมายชนเผ่าเยอรมันที่ศกึ ษา Volkgiest จากขนบธรรมเนียม จารี ตประเพณีของ
ชาวบ้ าน คือ ไปคลุกคลีอยู่กบั ชาวบ้ านจริ ง ๆ ซึง่ การศึกษา แบบนันเกื
้ อบจะเรี ยกได้ วา่ เป็ นงานภาคสนาม (field work)
คือ การไปสัมผัส กับชีวิตจริ ง ๆ ของชาวบ้ าน เราอาจจะเรี ยกงานของเขาในลักษณะอย่างนี ้ ว่าเป็ น “การศึกษาวิจยั ทางข้ อ
เท็จจริ ง” (Empirical Research) ดังนันเขาจึ
้ งมี คุณปู การในแง่ที่สง่ เสริ มการศึกษาทางประวัติศาสตร์ (Historical
Research) และทางข้ อเท็จจริ งเพื่อรวบรวมข้ อมูลที่เป็ นปรากฏการณ์ในสังคมมาช่วยวิชา นิติศาสตร์ มองในแง่นี ้นับได้ วา่
Savigny เป็ นผู้นําทางความคิดในยุคแรกที่จะ ทำให้ นกั กฎหมายเข้ าสูส ่ มัยใหม่ เพื่อเตรี ยมกรุยทางเข้ าสูส่ มัยใหม่ที่จะเน้ น
การศึกษาทางสังคมวิทยา (Sociological Study) และการศึกษาวิจยั ทาง ข้ อเท็จจริ ง (Empirical Research)
Duquit (1859 – 1928)
ดูกีห์ กล่าวว่า สภาพสังคมจะต้ องมองเป็ นองค์รวมให้ มากที่สดุ กล่าวคือ สังคมมีววิ ฒ ั นาการมาจากความเป็ นอิสระของคน
โดยคน แต่ละคนจะมีความต้ องการในสิ่งที่จำเป็ นเพื่อการดำรงชีวิตอย่าง หลากหลาย เขาเห็นว่า ตามความเป็ นจริ งคนเรา
จะอยู่คนเดียวไม่ได้ เลย ต่างต้ องพึง่ พาอาศัยและช่วยเหลือให้ บริ การซึง่ กันและกันเป็ น เครื อข่าย (a far-reaching web
of services) และข้ อนี ้เป็ น ข้ อเท็จจริ งที่ต้องเกิดขึ ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อการดำรงอยู่ของ มนุษย์
“ทุกคนมีภาระที่จะต้ องปฏิบต
ั ิตามหน้ าที่ของตนในสังคม กฎหมายคือสิ่งที่บงั คับให้ ทกุ คนปฏิบตั ิตามหน้ าที่ กฎหมายจึง
เป็ นระบบของหน้ าที่ไม่ใช่ระบบของสิทธิ และถ้ าคนจะมีสิทธิ ใดก็ตามสิทธินนแท้
ั ้ จริ งแล้ วคือหน้ าที่ของตนเท่านัน”
้
17-18/39
L
นักนิติศาตร์ ชาวเยอรมันได้ รับการขนานนามว่า เป็ นผู้นำในการ วิวฒ ั นาการวิชาสังคมวิทยาทางกฎหมาย (Precursor of
Sociology of Law) เขาได้ เป็ นผู้ได้ ค้นพบวิชาการสังคมวิทยากฎหมายโดยบังเอิญในขณะ ที่กำลังมีการร่ างประมวล
กฎหมายแพ่งของเยอรมันในตอนปลายศตวรรษที่ 19 เชาสนใจศึกษาปรากฏการณ์ของสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมาย เริ่ ม
ค้ นคว้ าด้ วยการวิจยั ข้ อมูลที่เกี่ยวกับข้ อเท็จจริ งในสังคม (Social facts) โดยข้ อเท็จจริ งเหล่านี ้ก็มีภมู ิอากาศ (climate)
เชื ้อชาติ (Race) ภูมิศาสตร์ (geography) ศาสนา (Religion) ปรัชญา (Philosophy) สภาพทาง เศรษฐกิจ (Economic
Conditions) องค์กรทางการเมือง (Political organization) เป็ นต้ น
ต้ น
เยียริ่ งมีความคิดเห็นว่า กฎหมายเป็ นเพียงส่วนหนึง่ ของการดำเนินชีวิตของ มนุษย์ กฎหมายเป็ นเครื่ องมือสำหรับใช้ เพื่อ
ตอบสนองความจำเป็ นของสังคม จุดหมายของกฎหมายจึงได้ แก่ การส่งเสริมและคุ้มครองประโยชย์ของสังคม และการ
ตีความกฎหมายขององค์กรที่มีหน้ าที่ตีความจะต้ องมุ่งไปสูจ่ ดุ หมาย ของกฎหมาย และจําเป็ นต้ องส่งเสริ มกิจกรรมของ
สังคมไปเพื่อจุดหมายของ สังคม และจุดหมายของสังคมสามารถทำให้ บรรลุผลได้ ด้วยกฎเกณฑ์ 4 ประการ คือ หลักการ
ว่าด้ วยปั จจัยแห่งการขับเคลื่อนสังคม โดย
- กฏเกณฑ์คท
ู่ ี่สอง คือ มาตรการบังคับการอ้ อม (Unorganized Coercion) ซึง่ เป็ นมาตรการทางประเพณีสงั คม (Social
Convention) และจรรยาบรรณ
ได้ แก่ หน้ าที่ (ความสำนึก) และความรัก (ความสมัครใจ) (duty and love)
เยียริ่ ง เห็นว่ากฏหมายเป็ นเครื่ องมือ (feature) ของรัฐและกฎหมายจะ ต้ องใช้ บงั คับให้ ตรงตามความมุง่ หมาย
(purpose) ของกฎหมาย เขาได้ ว่า สภาพสังคมมีปัจจัย (factors) หลายอย่างที่มีความสัมพันธ์ซงึ่ กันและกัน โดยปั จจัย
จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ ้นตามธรรมชาติ
แรงงาน
3 ปั จจัยที่เกี่ยวกับกฎหมายโดยตรง (purely legal conditions) เช่น การเก็บภาษีและการบังคับการตามบทกฏหมาย
Ehrlich (1862-1922)
เยียลิช พยายามชี ้ว่า ศูนย์กลางของการพัฒนาทางกฎหมายนัน้ หาได้ อยู่ที่การ นิติบญ ั ญัติ นิติศาสตร์ หรื อในคำพิพากษา
ตัดสินของศาลไม่ แต่อยู่ที่ตวั สังคม สังคมจะ เปิ ดเผยให้ ทราบถึงการดำรงอยู่ของกฎหมายอีกประการหนึง่ ที่ประชาชนใน
แต่ละ ท้ องถิ่นหรื อชุมชนถือปฏิบตั ิกนั ทัง้ ๆ ที่มิใช่เป็ นกฎหมายซึง่ รัฐประกาศใช้ บงั คับ (State law)หรื อเรี ยกว่า กฎหมาย
ในชีวิตจริ งของมนุษย์
ตราขึ ้น
กฎหมายที่มีชีวิต ควรมีบทบาทสำคัญในการใช้ ตดั สินปั ญหา ความขัดแย้ งซึง่ ผลปี ระโยชน์ตา่ ง ๆ เคียงคูก่ บั กฎหมายของ
รัฐในเชิงคานอำนาจกัน และควรปรับกฎหมาย ของรัฐให้ สอดคล้ องกับกฎหมายที่มีชีวิต
ในการสร้ างโครงสร้ างของสังคม นักนิติศาสตร์ เป็ นบุคคลหนึง่ ที่มีภาระหน้ าที่ ในฐานะที่เป็ นวิศวกรสังคม (Social
Engineer) อันเป็ นภาระหน้ าที่ที่นกั กาหมาย ควรก้ าหนดบทบาทในการเป็ นวิศวกรทางสังคมในทางนิติศาสตร์
เป็ นนักนิติปรัชญาในระยะกลางของศตวรรษที่ 20 เขาทำให้ ชาวอเมริ กนั ภูมิใจว่า ชาวอเมริ กนั มีนกั ปรัชญาที่เก่งหรื อมีชื่อ
เสียงเท่าเทียมกันในประเทศ ยุโรป โดย Roscoe Pound เป็ นอาจารย์สอนกฎหมายอยู่ที่ Harvard Law School และ
เขียนหนังสืออย่างต่อเนื่องกันมากมายหลายเล่ม ผลงานของเขา เริ่ มปรากฏตังแต่
้ ต้นศตวรรษที่ 20 (ค.ศ.1919) เล่ม
สำคัญได้ แก่ A survey of Social Interest (1943-1944)
Roscoe
Pound ได้ ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการกฎหมายของ สหรัฐอเมริ กาทังประเทศ
้ ทังในด้
้ านการสอนกฎหมายใน
มหาวิทยาลัยและในด้ าน การตรากฎหมายของสภานิติบญ
ั ญัติทงสภาของสหรั
ั้ ฐและสภาของมลรัฐ เขาเห็น ว่า การร่าง
กฎหมาย การตีความกฎหมาย การใช้ กฎหมาย จะต้ องพิจารณาถึง ข้ อเท็จจริ งทางสังคม (social facts)
Roscoe Pound มีความเห็นว่า ประเทศสหรัฐอเมริ กาในฐานะที่เป็ น ประเทศคอมมอนลอร์ ยงั เน้ นการให้ ความสำคัญใน
สิทธิของปั จเจกชนมากเกินไป และในการที่จะปรับกฎเกณฑ์ทางกฎหมายให้ เป็ นไปตามความมุ่งหมาย จะต้ อง เริ่ มต้ นด้ วย
การดาเนินการเป็ น 5 ขัน้ ดังนี ้
1. จัดทํารายการและแยกประเภทเกี่ยวกับผลประโยชน์ (interest)
ไว้ แล้ ว
4. กําหนดวิธีการ ประเภทต่าง ๆ
(means)
ที่กฎหมายจะให้ ความคุ้มครองแก่ประโยชน์
5 ปรับเปลี่ยนหลักเกณธ?ในการประเมินคุณค่าของประโยชน์ ตามระยะเวลา (evolution of the principles of
valuation of the interests)
1. ประโยชน์ของปั จเจกชน (individual interests) แยกออกเป็ นประโยชน์ที่ เกี่ยวกับ personality เช่น สิทธิเสรี ภาพ
ประโยชน์เกี่ยวกับ domestic relations เช่น สถาบันครอบครัว การสมรส ประโยชน์เกี่ยวกับ substance เช่น สิทธิใน
ทรัพย์สิน เสรีภาพในการชุมนุม เป็ นต้ น
2. ประโยชน์ของส่วนรวม (Public interests) แยกออกเป็ นประโยชน์ของรัฐ
1. กฎหมาย (rule)
2. หลักการ (principle)
3. แนวความคิด (conceptions)
4. ลัทธิความเชื่อ (doctrines)
ทฤษฏีวิศวกรรมสังคม (Social Engineering Theory) คือ การพิจารณาว่ากฎหมาย เป็ นกลไกหรื อเครื่ องมือที่สร้ างขึ ้น
เพื่อคานผลประโยชน์ตา่ ง ๆ ในสังคมเพื่อให้ เกิดความสมดุล เสมือนเป็ นการก่อสร้ างหรื อกระท้ าวิศวกรรมสังคม และผล
ของการพิจารณาบทบาทของ กฎหมายเช่นนี ้ ทําให้ มีการสร้ างหรื อตรากฎหมายในลักษณะเข้ าไปแทรกแซงการจัดระเบียบ
ทางเศรษฐกิจหรื อถ่วงดุลผลประโยชน์ตา่ ง ๆ ในสังคมให้ มีความเสมอภาค หรื อเป็ นธรรมมาก ขึ ้น
ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ กล่าวว่า นักกฎหมายในปั จจุบนั ยอม รับว่า สาระของผลงานของ Pound มี
ประโยชน์อย่างมากมาย เพราะแนวความคิด ของเขาได้ เพิ่มเติมแนวความคิดทางกฎหมายให้ สมบูรณ์ขึ ้นจากเดิมที่มีการ
กล่าวถึง องค์ประกอบเพียงสองส่วน คือ กฎหมายกับสังคม (law and society) แต่แนว ความคิดของเขาได้ เชื่อม (vital
connection) องค์ประกอบสามส่วนของกฎหมาย เข้ าด้ วยกัน คือ กฎหมาย (laws) การบริ หารกฎหมาย (the
administration of laws) และสังคม (the life of society) เขาได้ กาหนดการะที่เป็ นทังความ ้ รับผิดชอบและเป็ นทัง้
หน้ าที่เชิงสร้ างสรรค์ ให้ แก่นกั กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ พิพากษาในฐานะที่เป็ นวิศวกรสังคม นอกจากนัน้ เขายังได้
ทำให้ นกั กฎหมาย ตระหนักว่า ในการขัดแย้ งระหว่างประโยชน์ ที่มีอยู่อย่างหลากหลายนัน้ กฏหมาย มีหน้ าที่ที่จะปรับ
ประโยชน์ให้ เข้ าด้ วยกัน
Anthropology โดยสรุ ปคือ เรี ยนเรื่ องคน เรี ยนเพื่อรู้ จกั คนสมัย โบราณ เขาได้ ขยายอาณาเขตของวิชานิติศาสตร์ ไปสูก่ าร
ศึกษา จารี ตประเพณี ของชนเผ่าต่างๆที่ด้อยพัฒนาเพื่อเบิกทางให้ แก่ Legal Anthropology สมัยใหม่ อย่างไรก็ดี
แนวทางใหม่ก็เป็ นแนวทางที่เกิดขึ ้นตังแต่
้ สมัยใหม่ ทำให้ นกั กฎหมายมีทศั นคติที่กว้ างขึ ้น ในสมัยใหม่จงึ สอนว่า นัก
กฎหมายจะรู้ แต่กฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ ต้ องเรี ยนวิชาอื่นเพื่อมาประกอบด้ วย แต่มีข้อที่ ต้ องเตือนว่า อย่างทิ ้งกฎหมาย
เพราะการสอน Sociology of Law และ Philosophy of Law อาจทำให้ หลุดไปจากความเป็ นนักกฎหมายง่าย จึงต้ อง
พยายามยืดนิติศาสตร์ โดยแท้ ควบคูไ่ ปด้ วย