Professional Documents
Culture Documents
ยุติธรรม
และ
การดื้อแพง
จัดทําโดย
นายนิติกร เอกพันธ 641690001010-1
นางสาวอมรรัตน ขันธะวิชัย 641690001005-1
นายธีรกานต ภูขันซาย 641690001003-6
นายธนวัชร มาตรา 641690001022-6
นาย ธนกร มูลสอาด 641690001018-4
นิติศาสตรเชิงสังคมวิทยา
ทฤษฎีนิติศาสตรเชิงสังคมวิทยาเปนทฤษฎีทางนิติปรัชญาที่เนนบทบาท
ความสัมพันธของกฎหมายตอสังคม เปนการพิจารณาถึงบทบาทหนาที่
ของกฎหมายยิ่งกวาการพิจารณาแตเนื้อหาของกฎหมายซึ่งเปนนามธรรม
และที่สําคัญเปนการเนนบทบาทของกฎหมายไปในทางที่จะมุงสราง
กฎหมายใหเปนกลไกของการปกปองผลประโยชนของสวนรวมมากกวา
ประโยชนสวนบุคคล
รูดอลฟ ฟอน เยียริ่ง (Rodolf Von Ihering) นักนิติศาสตรชาวเยอรมันซึ่ง
เปนกอตั้งทฤษฎีนิติศาสตรเชิงสังคมวิทยาไดวางหลักพื้นฐานทฤษฎีนี้วา
กฎหมายเปนเพียงกลไกหรือวิธีการ (mean) ที่จะนําไปสูเปาหมายที่
ตองการ (end) โดยกฎหมายตองเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคม และ
กลไกของกฎหมายมีบทบาทในการสรางความสมดุล หรือการจัดลําดับชั้น
ความสําคัญระหวางประโยชนของเอกชนกับประโยชนของสังคม
ต่อมา ลีออง ดิวกี (Leon Duguit) นักนิตศ ิ าสตร์ชาวฝรั่งเศส และ รอสโก
พาวด์ (Ronscoe Pound)
ได ้วางทฤษฎีอน ื่ เสริมทฤษฎีนต ิ ศ
ิ าสตร์เชิงสังคมวิทยาให ้สมบูรณ์ยงิ่ ขึน ้ โดย
Pound สร ้างทฤษฎีวศ ิ วกรรมสังคม (Social Engineering Theory) ขึน ้ จาก
การพิจารณาว่ากฎหมายเป็ นกลไกหรือเครือ ่ งมือทีส
่ ร ้างขึน
้ เพือ
่ คานผล
ประโยชน์ตา่ งๆ ในสังคมเพือ ่ ให ้เกิดความสมดุล เสมือนเป็ นการก่อสร ้างหรือ
กระทําวิศวกรรมสังคม และผลของการพิจารณาบทบาทของกฎหมายเช่นนี้
ทําให ้มีการสร ้างหรือตรากฎหมายในลักษณะเข ้าไปแทรกแซงการจัดระเบียบ
ทางเศรษฐกิจหรือถ่วงดุลผลประโยชน์ตา่ งๆ ในสังคมให ้มีความเสมอภาค
หรือเป็ นธรรมมากขึน ้
ดังนี้ เราอาจมองทฤษฎีนิติศาสตรเชิง
สังคมวิทยาได 2 ประการ คือ
• ทฤษฎีนิติศาสตรเชิงสังคมวิทยาเปนทฤษฎีในแงตนกําเนิด (origin) ของ
กฎหมายซึ่งมองวากฎหมายเปนผลิตผลของสังคม และ
• ทฤษฎีนิติศาสตรเชิงสังคมวิทยา พิเคราะหอิทธิพลของกฎหมายที่มีตอ
สังคม และกฎหมายเปนเครื่องมืออยางหนึ่งในการควบคุมพฤติกรรมของ
สังคมหรือเปนวิศวกรรมสังคมหรือเปนทฤษฎีที่ใชในการจัดระเบียบสังคม
การดื้อแพง
การดื้อแพง หรือ การขัดขืนอยางสงบ (civil disobedience)
หรือ "อารยะขัดขืน" เปนรูปแบบการตอตานทางการเมืองอยางสงบเพื่อกด
ดันใหรัฐบาลเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางการเมืองที่เปนอยู ในอดีต มีการ
ใชแนวทางดื้อแพงในการเคลื่อนไหวเพื่อตอตานอังกฤษในประเทศ
อินเดีย ในการตอสูกับการแบงแยกสีผิวในแอฟริกาใต ในการเคลื่อนไหวด
านสิทธิพลเมืองของอเมริกา และใน
ยุโรป รวมถึงประเทศแถบสแกนดิเนเวียในการตอตานการยึดครองของนา
ซี แนวคิดนี้ริเริ่มโดยเฮนรี เดวิด ธอ
โร นักเขียนชาวอเมริกันในบทความชื่อดื้อแพง ในชื่อเดิม
วา การตอตานรัฐบาลพลเมือง ซึ่งแนวคิดที่ผลักดันบทความนี้ก็คือการพึ่งต
นเอง และการที่บุคคลจะมีจุดยืนที่ถูกตองเมื่อพวกเขา "ลงจากหลังของคน
อื่น" นั่นคือ การตอสูกับรัฐบาลนั้นประชาชนไมจําเปนตองตอสูทาง
กายภาพ แตประชาชนจะตองไมใหการสนับสนุนรัฐบาลหรือใหรัฐบาล
สนับสนุนตน (ถาไมเห็นดวยกับรัฐบาล) บทความนี้มีอิทธิพลอยางมากตอผู
เพื่อที่จะแสดงออกถึงดื้อแพง ผูขัดขืนอาจเลือกที่จะฝาฝนกฎหมายใด
เปนการเฉพาะ เชน กีดขวางทางสัญจรอยางสงบ หรือเขายึดครองสถานที่
อยางผิดกฎหมาย ผูประทวงกระทําการจลาจลอยางสันติเหลานี้ โดยคาด
หวังวาพวกตนจะถูกจับกุม หรือกระทั่งถูกทํารายรางกายโดยเจาหนาที่. ผู
ประทวงมักจะไดรับการนัดแนะลวงหนา วาควรจะตอบสนองการจับกุมหรือ
ทํารายรางกายอยางไร และจะขัดขืนอยางเงียบ ๆ หรือไมรุนแรง โดยไม
คุกคามเจาหนาที่
สัตยาเคราะหในอินเดีย
มหาตมะ คานธี ผูนําการเคลื่อนไหวดื้อแพง เพื่อตอตานอังกฤษในประเทศ
อินเดีย เรียกแนวทางของตนวา "สัตยาเคราะห" (Satyagraha) หมายถึง การ
ตอสูบนรากฐานของความจริงหรือสัจจะ
• ในสมัยนั้นในประเทศอินเดียมีกฎหมายบังคับใหการผลิตและขายเกลือก
ระทําไดโดยรัฐบาลอังกฤษเทานั้น การผูกขาดเกลือเปนรายไดที่สําคัญ ถึง
แมวาคนอินเดียที่อาศัยอยูชายฝงทะเลจะสามารถผลิตเกลือเพื่อบริโภคเอง
ได ก็จําเปนตองซื้อจากอังกฤษ หากผูใดฝาฝนก็มีโทษถึงจําคุกทีเดียว
• เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1930 มหาตมะ คานธี พรอมกับผูรวมเดินทาง
จํานวน 78 คน เริ่มเดินเทาจากเมือง Sabarmati ไปยังเมือง Dansi เมือง
ชายฝงทะเลที่อยูหางออกไป 240 ไมล เมื่อขบวนเดินผานเมืองใดก็จะมี
ชาวเมืองนับพันเขามารวมเดิน จนขบวนยาวหลายไมล มหาตมะ คานธี
เดินเทาใชเวลา 23 วันก็ถึงที่หมาย เมื่อถึงแลวก็เริ่มการกระทํา "ดื้อแพง"
ดื้อแพงในสหรัฐอเมริกา
• มีรานอาหารหลาย ๆ แหงในรัฐทางใต ปฏิเสธที่จะใหบริการแกคนผิวดํา
จึงมีการดื้อแพงโดยใชวิธี "ซิทอิน" (sit in) คือเขาไปนั่งเฉย ๆ โดย
นักศึกษาผิวดําพากันแตงตัวเรียบรอย ใสสูทผูกไทเขาไปนั่งในราน
อาหารที่ปฏิเสธคนผิวดํา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเขาไปนั่งในทุกที่นั่ง
จนไมมีที่วางเหลือ จนกระทั่งรานนั้นไมสามารถดําเนินธุรกิจตอไปได มี
การกระทําเลียนแบบไปทั่วทุกรัฐทางใต โดยมีคนผิวขาวสวนหนึ่งที่
เห็นใจคนผิวดํารวมขบวนการดวย มีการใชวิธีซิทอินกับสถานที่
สาธารณะตาง ๆ ทั้งสวนสาธารณะ หองสมุด โรงภาพยนตร พิพิธภัณฑ
เมื่อถูกเจาหนาที่จับนักศึกษาเหลานี้ก็ไมยอมประกันตัว ตองการติดคุก
เพื่อใหเปนขาว และใหเปนภาระกับเจาหนาที่
• การตอสูเหลานี้เพื่อกดดันรัฐบาลกลาง จนนํามาสูการออกกฎหมายสิทธิ
เลือกตั้ง (Voting Rights Act) ค.ศ. 1965 และกฎหมายสิทธิพลเมือง (Civil
ดื้อแพงในสังคมไทย
แนวคิดดื้อแพงในทางการเมือง หรือที่นิยมใชคําวา "อารยะขัดขืน" นั้น เริ่ม
แพรหลายในภาษาไทย ในบริบทของการประทวงขับไลนายกรัฐมนตรีทักษิณ
ชินวัตร ในป พ.ศ. 2549 อยางไรก็ตาม คําวา "อารยะขัดขืน" นั้นถูกนํามาใชครั้ง
แรกโดยชัยวัฒน สถาอานันทเมื่อกลาวถึงสถานการณความรุนแรงในภาคใต โดย
ชัยวัฒนอธิบายวา
อารยะขัดขืนเปนเรื่องของการขัดขืนอํานาจรัฐที่ทั้งเปาหมายและตัววิธีการ
อันเปนหัวใจของ Civil Disobedience สงผลในการทําใหสังคมการเมืองโดยรวมมี
'อารยะ' มากขึ้น... การจํากัดอํานาจรัฐนั้นเอง เปนหนทาง 'อารยะ' ยิ่งการจํากัด
อํานาจรัฐโดยพลเมืองดวยวิธีการอยางอารยะคือ เปนไปโดยเปดเผย ไมใชความ
รุนแรง และยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผูใชสันติวิธีแนวนี้ เพื่อให
สังคมการเมือง 'เปนธรรม' ขึ้น เคารพสิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเปน
ประชาธิปไตยยิ่งขึ้น
คุณลักษณะ 7 ประการของ "อารยะขัดขืน" ใน
ฐานะของปฏิบัติการทางการเมือง คือ
• เปนการละเมิดกฎหมาย หรือตั้งใจจะละเมิดกฎหมาย
• ใชสันติวิธี (ไมใชความรุนแรง)
• เปนการกระทําสาธารณะโดยแจงใหฝายรัฐรับรูลวงหนา
• ประกอบดวยความเต็มใจที่จะรับผลทางกฎหมายของการละเมิดกฎหมาย
ดังกลาว
• ปกติกระทําไปเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล
• มุงเชื่อมโยงกับสํานึกแหงความยุติธรรมของผูคนสวนใหญในบานเมือง
• มุงเชื่อมโยงกับสํานึกแหงความยุติธรรม ซึ่งโดยหลักแลวเปนสวนหนึ่ง
ของกฎหมายและสถาบันทางสังคม
คําวา "อารยะขัดขืน"
• ชัยวัฒนไดอธิบายไววา ไดเลี่ยงที่จะใชคําวา "สิทธิการดื้อแพงตอ
กฎหมาย" อยางที่สมชายใช เนื่องจากคําวา "ดื้อแพง" ในภาษาไทยนั้น
มีความหมายในนัยไมสูดี และเสนอคําวา "อารยะขัดขืน" ซึ่งเปนคําที่มี
อคติทางลบแฝงอยูนอยกวา ขณะเดียวกัน ยังเปนคํากิริยาที่คง
คุณลักษณะความเปนคําในเชิงปฏิบัติเอาไว[8]
• "สุดสงวน" คอลัมนิสตประจํานิตยสารสกุลไทย ใหความเห็นวา การนํา
"อารยะ" ซึ่งเปนคําสันสกฤต มาสมาสหรือสนธิกับ "ขัดขืน" ซึ่งเปนคํา
ไทยนั้น ไมเขาหลักเกณฑทางภาษา แตขณะเดียวกันก็นึกไมออกวาจะ
หาคําใดมาใชแทนคําที่ชัยวัฒนใชได[9]
• แกวสรร อติโพธิ ไดใหความเห็นเกี่ยวกับการใช
คําวา อารยะ วาแทจริงแลวคําวา civil นาจะหมายถึงคําวาพลเมือง และ
เสนอวานาจะแปลเปนไทยวา "การแข็งขอไมยอมเปนพลเมือง"[10]
จบการนําเสนอแคนี้ครับ
ขอบคุณครับ