Professional Documents
Culture Documents
หนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์บนเส้นทางปรัชญาของโชเพนเฮาเออร์ (Schopenhauer)
หนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์บนเส้นทางปรัชญาของโชเพนเฮาเออร์ (Schopenhauer)
หนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์บนเส้นทาง
ปรัชญาของโชเพนเฮาเออร์ (Schopenhauer)
วนิดา ข�ำเขียว
ภาคีสมาชิก ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
ราชบัณฑิตยสภา
บทคัดย่อ
อาร์ทูร์ โชเพนเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) เป็นนักปรัชญาอเทวนิยมชาวเยอรมันที่
สามารถหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ได้โดยใช้แนวคิดทางปรัชญาของตนเอง และใช้ปัญญาในการเพ่ง
พินจิ ชีวติ จนเห็นถึงความไม่มอี ะไร (nothingness) ในปรากฏการณ์ทงั้ หลาย แล้วสละความต้องการทาง
โลกและปลูกฝังคุณธรรมแห่งความรักให้มอี ยูใ่ นจิตใจ เขาเชือ่ ว่าจะช่วยให้เจตจ�ำนงอันเป็นพลังดิน้ รนทีน่ ำ�
มนุษย์ไปสู่ความทุกข์นั้นลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนสลายไปในที่สุด
ค�ำส�ำคัญ : เจตจ�ำนง, เจตจ�ำนงที่จะมีชีวิต, การเพ่งพินิจ, ความทุกข์และความไม่มีอะไร
ชีวประวัติและความเป็นมาของชีวิต
โชเพนเฮาเออร์เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๗๘๘ ที่เมืองดานซิก (Danzig) ในอดีตนั้น
เมืองนี้เคยเป็นของเยอรมนีแต่ปัจจุบันเป็นของโปแลนด์ บิดาของโชเพนเฮาเออร์มีนามว่า ไฮน์ริช ฟลอริส
โชเพนเฮาเออร์ (Heinrich Floris Schopenhauer) ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ร�่ำรวยของดานซิก เขาเป็นคนที่มี
นิสัยมุ่งมั่นแต่มีความวิตกกังวลสูง อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นคนรักอิสรภาพและเป็น
คนทีไ่ ม่ชอบพึง่ พาใคร มารดาของโชเพนเฮาเออร์มนี ามว่า โยฮันนา เฮนเรียต ทรอยซีเนอร์ โชเพนเฮาเออร์
(Johanna Henrieth Troisiener Schopenhauer) ซึ่งเป็นนักเขียนนวนิยายที่มีชื่อเสียงและมาจาก
ตระกูลที่ร�่ำรวยมั่งคั่ง มารดาของเขาเป็นคนชอบสังคม รักอิสรภาพ และเป็นคนอารมณ์ร้อน เนื่องจาก
มารดาของเขามีอายุน้อยกว่าบิดาถึง ๒๐ ปี จึงไม่ใคร่มีความสุขในชีวิตสมรสเพราะทัศนคติที่แตกต่างกัน
ส่วนน้องสาวของโชเพนเฮาเออร์คือ หลุยส์ อาเดเลด ลาวีเนีย โชเพนเฮาเออร์ (Luise Adelaide Lavinia
Schopenhauer) มีอายุอ่อนกว่าเขาถึง ๙ ปี โชเพนเฮาเออร์เติบโตมาท่ามกลางธุรกิจและการเงินที่มั่งคั่ง
บิดาของเขามีความตั้งใจที่จะให้บุตรชายเป็นผู้สืบทอดธุรกิจของครอบครัว ดังนั้น โชเพนเฮาเออร์
จึงมิได้รับการศึกษาที่เป็นไปตามระบบเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ครั้นมีอายุได้ ๕ ปี ครอบครัวต้องย้ายออก
จากเมืองดานซิกไปอยู่ที่เมืองฮัมบูร์ก (Hamburg) และเพื่อเป็นการปลูกฝังแนวคิดในด้านการค้า
ระหว่างประเทศ บิดาของเขาจึงพาท่องเทีย่ วและอยูใ่ นสังคมชนชัน้ สูง จนกระทัง่ โชเพนเฮาเออร์มอี ายุ ๙ ปี
ได้ถูกส่งไปอยู่ในครอบครัวฝรั่งเศสถึง ๒ ปี เพื่อศึกษาภาษาและชีวิตความเป็นอยู่ของคนฝรั่งเศส
จากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวกลับไปบ้านที่เมืองฮัมบูร์ก เพื่อเข้าโรงเรียนประจ�ำ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาเกิดความ
สนใจในด้านวรรณกรรมและคิดว่าจะด�ำเนินอาชีพเป็นนักประพันธ์ บิดาของเขาจึงยื่นข้อเสนอให้เลือก
ระหว่างการเป็นนักประพันธ์ที่จะต้องอยู่ในฮัมบูร์ก เพื่อศึกษาวรรณกรรม ภาษาละติน และวิชาการเขียน
กับการเลือกอาชีพเป็นพ่อค้าซึ่งจะได้ท่องเที่ยวทั่วทวีปยุโรปเพื่อศึกษางานด้านการค้า โชเพนเฮาเออร์
ตัดสินใจเลือกเดินทางท่องเที่ยวยุโรปพร้อมกับครอบครัวเพื่อดูงานด้านการค้า ขณะอายุ ๑๕ ปี และ
การเดินทางในครั้งนั้นได้ใช้เวลานานถึง ๒ ปี ซึ่งท�ำให้เขามีโอกาสศึกษาวิถีชีวิตของคนในแต่ละวัฒนธรรม
อีกทัง้ ยังได้เห็นความยากจน ความเจ็บป่วยและความทุกข์ยากของมนุษย์ ทัง้ หมดนี้ ต่อไปจะมีผลต่อทัศนคติ
ของเขาที่มีต่อโลกในเวลาต่อมา
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เม.ย.-มิ.ย. ๒๕๕๙
วนิดา ข�ำเขียว 53
เมื่อกลับจากยุโรปแล้วโชเพนเฮาเออร์ได้ฝึกงานเป็นเสมียนในบริษัทของครอบครัวนานถึง
๔ เดือน บิดาก็มาเสียชีวิต ศพของบิดาถูกพบในคลองใกล้กับกุดังสินค้าของครอบครัวและดูเหมือนกับว่า
เป็นการฆ่าตัวตาย โชเพนเฮาเออร์ในขณะนัน้ มีอายุ ๑๗ ปี และมีประสบการณ์ทางการค้าน้อยมาก การตาย
ของบิดามีสว่ นท�ำให้เขาถอดใจไม่อยากเป็นพ่อค้าอีกต่อไป แต่กระนัน้ เขาก็พยายามทีจ่ ะท�ำตามความตัง้ ใจ
ของบิดาโดยด�ำเนินธุรกิจที่บิดาได้วางรากฐานไว้ให้ทั้ง ๆ ที่เขามีความทุกข์ใจเป็นอย่างมากจนไม่สามารถ
เรียนหนังสือได้อีกต่อไป ต่อมาบ้านของตระกูลโชเพนเฮาเออร์ต้องถูกขายไป มารดาและน้องสาวได้พา
กันย้ายไปอยู่ที่เมืองไวมาร์ (Weimar) อันเป็นศูนย์กลางทางด้านวรรณกรรมของเยอรมนีในสมัยนั้น
โชเพนเฮาเออร์รู้สึกว่าตนเองถูกทอดทิ้งให้เผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ ตามล�ำพัง ความทุกข์และความ
สิน้ หวังได้เกิดขึน้ ในใจ ท�ำให้เขารูส้ กึ เกลียดงานเสมียนและเกลียดโลกของพ่อค้า เขาตัดสินใจทิง้ อาชีพพ่อค้า
และกลับไปศึกษาต่อที่เมืองไวมาร์โดยอาศัยอยู่กับมารดาและน้องสาว มารดาของเขาเป็นคนชอบสังคม
จึงไม่ใคร่มีเวลาให้กับเขามากนัก ท�ำให้โชเพนเฮาเออร์มีอิสระอย่างมากมายในการใช้ชีวิตแบบลูกคนรวย
ที่บิดาทิ้งมรดกไว้ให้และชอบท�ำอะไรตามใจตนเอง เขามักจะมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับมารดาอยู่เสมอ
และไม่เคยชื่นชมในวิถีชีวิตของมารดาที่ชอบมีอิสรภาพในความรัก อย่างไรก็ตาม มารดาของเขาเป็นพลัง
ส�ำคัญที่ท�ำให้เขาทิ้งชีวิตพ่อค้าและกลับไปศึกษาต่อ ท�ำให้มีโอกาสอยู่ในสังคมปัญญาชนซึ่งล้วนแล้วแต่
เป็นเพื่อนของมารดาทั้งนั้น โดยเฉพาะโยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเท (Johann Wolfgang von Goethe)
เป็นบุคคลที่สนิทสนมและมีอิทธิพลต่อโชเพนเฮาเออร์มากจนน�ำไปสู่งานเขียนที่มีชื่อเสียงใน ค.ศ. ๑๘๑๖
ที่ชื่อว่า “Über Sehn und die Farben” (On vision and Colors)
ใน ค.ศ. ๑๘๐๙ โชเพนเฮาเออร์ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน (Göttingen) ขณะนั้น
เขาอายุได้ ๒๑ ปี เขาเลือกศึกษาทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ แต่พอถึงภาคการศึกษาที่ ๓
เขาตัดสินใจเปลี่ยนไปศึกษาทางปรัชญาและได้ศึกษาปรัชญาคลาสสิก (classic) อย่างลุ่มลึก โดยเฉพาะ
ปรัชญาของเพลโต (Plato) และคานท์ (Kant) อีกทัง้ ยังศึกษาแนวคิดในพระพุทธศาสนาและคัมภีรอ์ ปุ นิษทั
ของศาสนาฮินดู ซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวคิดของเขาในเวลาต่อมา๑
ใน ค.ศ. ๑๘๑๑ โชเพนเฮาเออร์ตัดสินใจย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน (Berlin) เพื่อ
จะได้ฟังการบรรยายของฟิชเทอ (Fichte) และชไลเออร์มาเคอร์ (Schleiermaker) ขณะนั้นเขาศึกษา
ในสาขาวิทยาศาสตร์และวรรณคดี
ใน ค.ศ. ๑๘๑๓ เขามีอายุได้ ๒๕ ปี และพร้อมที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาเอก
เพื่อน�ำเสนอต่อมหาวิทยาลัยเยนา (Jena) เรื่อง “The Fourfold Root of the Principle of Sufficient
ผลงานส�ำคัญที่เกิดจากความมุ่งมั่น
ผลงานของโชเพนเฮาเออร์มีทั้งหนังสือและบทความ แต่ผลงานที่ส�ำคัญและได้รับการตีพิมพ์
อย่างแพร่หลายมี ดังนี้
๑. Über die vierfache Wurzel des Satzes vom zureichenden Grunde (On the
Fourfold Root of the Principle of Sufficient Reason) พิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. ๑๘๑๓ และพิมพ์
ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ใน ค.ศ. ๑๘๔๗
๒. Über das Sehn und die Farben (On Vision and Colors) พิมพ์ใน ค.ศ. ๑๘๑๖
๓. Die Welt als Wille und Vorstellung (The World as Will and Idea) พิมพ์ครั้งแรก
ใน ค.ศ. ๑๘๔๔ มี ๒ เล่ม และพิมพ์อีกเป็นครั้งที่ ๓ ใน ค.ศ. ๑๘๕๙ มี ๒ เล่ม
๔. Über den Willen in der Natur (On the Will in Nature) พิมพ์ใน ค.ศ. ๑๘๓๖
๕. Über die Freiheit des Menschlichen Willens (On the Freedom of the Human
Will) พิมพ์ใน ค.ศ. ๑๘๓๙
๖. Über die Grundlage der Moral (On the Basis of Morality) พิมพ์ใน ค.ศ. ๑๘๔๐
๗. Die Beiden Grundprobleme der Ethik (The Two Fundamental Problems of
Ethics) พิมพ์ใน ค.ศ. ๑๘๔๑
๘. Parerga und Paralipomena (Parerga and Paralipomena) ตีพิมพ์ใน ค.ศ. ๑๘๕๑๖
จากการศึกษาประวัติและผลงานของโชเพนเฮาเออร์ ท�ำให้เห็นประเด็นส�ำคัญซึ่งเป็นแนวคิด
ที่ท�ำให้เขาสามารถเผชิญกับปัญหาจนผ่านพ้นวิกฤตการณ์ของชีวิตและประสบกับความส�ำเร็จซึ่งมีดังนี้
๑. แนวคิดในเรื่องโลกและชีวิต
๒. แนวคิดในเรื่องการฆ่าตัวตายและการหลุดพ้นจากความทุกข์
๑. แนวคิดในเรื่องโลกและชีวิต
ผลงานต่าง ๆ ของโชเพนเฮาเออร์นนั้ ได้รบั อิทธิพลมาจากแนวคิดของเพลโตและคานท์ อีกทัง้ ยัง
ได้รบั กระแสความคิดมาจากพระพุทธศาสนาและอุปนิษทั ของศาสนาพราหมณ์–ฮินดู ทัง้ หมดนีไ้ ด้สง่ ผลให้
โชเพนเฮาเออร์น�ำความคิดทั้งของตะวันตกและตะวันออกมาบูรณาการกันได้อย่างลงตัว ซึ่งท�ำให้เขาเชื่อ
ว่าตนเองได้เข้าถึงความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์แล้วและเกิดการรู้แจ้งว่าโลกที่ปรากฏแก่ตานี้เป็นเพียงโลก
แห่งปรากฏการณ์ เป็นมายาที่หาความแท้จริงไม่ได้เลย และเป็นโลกที่มีอยู่โดยถูกรับรู้ โชเพนเฮาเออร์
๖ R.J. Hollingdale. (2004). p. 37.
The Journal of the Royal Society of Thailand
Vol. 41 No. 2 April-June 2016
58 หนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์บนเส้นทางปรัชญาของโชเพนเฮาเออร์ (Schopenhauer)
คิด ว่ า ทุ ก อย่ า งในโลกนี้มีอยู่อย่างสัมพันธ์กันภายใต้ ห ลั ก การที่ เ รี ย กว่ า หลั ก แห่ ง เหตุ ผ ลที่ เ พี ย งพอ
(Principle of Sufficient Reason) เขาได้พบว่าหลักการนีป้ ระกอบไปด้วย เวลา อวกาศ และความเป็นเหตุ
เป็นผล มนุษย์ทุกคนมีโครงสร้างและกลไกของจิตที่เหมือนกันและมีแบบเดียวกันคือ หลักเหตุผลเพียงพอ
การที่มนุษย์เป็นเช่นเดียวกับวัตถุอื่น ๆ คืออยู่ภายใต้หลักแห่งเหตุผลเพียงพอนี้ มนุษย์จึงรับรู้โลกได้โดย
ผ่านกายของตน และความเป็นจริงที่มนุษย์ค้นหาก็พบได้ในกายนี้อีกเช่นกัน การกระท�ำของกายเกิด
มาจากเจตจ�ำนงที่แสดงออกมา และทุกสิ่งก็เช่นกันล้วนเป็นการส�ำแดงออกของเจตจ�ำนง วัตถุทั้งหมด
จึงมีอยู่อย่างเป็นปรากฏการณ์โดยมีเจตจ�ำนงเป็นแก่นของสรรพสิ่ง
โชเพนเฮาเออร์เชื่อว่าเขาได้บรรลุเห็นความจริงแล้วว่าเจตจ�ำนงเป็นความจริงแท้สูงสุด
ซึง่ มีความเป็นจริงในตัวเอง ซึง่ อยูน่ อกเวลาและอวกาศและยังอยูน่ อกหลักเหตุผลเพียงพอ เจตจ�ำนงมีความ
เป็นอิสระและมีการดิน้ รนตลอดเวลา แต่กเ็ ป็นแก่นแท้ของสรรพสิง่ ทุกสิง่ ทีม่ นุษย์เห็นและทุกสิง่ ทีป่ รากฏ
ขึน้ มาในเอกภพล้วนแล้วแต่เป็นการส�ำแดงออกของเจตจ�ำนงในระดับต่าง ๆ โดยระดับต�ำ่ สุดคือสิง่ ไม่มชี วี ติ
สูงขึ้นมาคือ พืช สัตว์ และมนุษย์ ไปตามล�ำดับ เจตจ�ำนงในระดับที่สูงมากจะมีความทุกข์มาก มนุษย์ซึ่งมี
เจตจ�ำนงในระดับสูงจึงมีทกุ ข์มากกว่าสัตว์ พืช และสิง่ อืน่ ๆ เพราะมนุษย์ไม่เพียงแต่มกี ารรับรูไ้ ด้เท่านัน้ แต่
ยังสามารถคิดได้ด้วยเหตุผล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีส�ำนึกที่เข้มข้นและมักสร้างความทุกข์ให้แก่ตนเอง
ยิ่งกว่าได้รับความทุกข์จากธรรมชาติ
เจตจ�ำนงในทัศนะของโชเพนเฮาเออร์เหนือกว่าปัญญาเพราะเจตจ�ำนงสร้างสมองซึ่งเป็นที่ตั้ง
ของปัญญาและท�ำให้มนุษย์เกิดส�ำนึก อีกทัง้ ยังสามารถล้มแผนการต่าง ๆ ทีเ่ หตุผลได้วางไว้ การทีท่ กุ อย่าง
เคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาก็เป็นผลมาจากการส�ำแดงออกของเจตจ�ำนง และความ
เปลี่ยนแปลงนี้เองเป็นลักษณะแห่งการดิ้นรนของเจตจ�ำนงเพื่อความมีอยู่ โชเพนเฮาเออร์จึงเรียกว่า
“เจตจ�ำนงที่จะมีชีวิต” (The-will-to-live) เมื่อทุกสิ่งดิ้นรนไปย่อมท�ำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างระดับ
ต่าง ๆ ซึง่ จะสังเกตได้วา่ พืชดิน้ รนให้ชวี ติ รอดโดยดูดแร่ธาตุในดิน สัตว์ดนิ้ รนให้มชี วี ติ รอดโดยกินพืช มนุษย์
ดิ้นรนเพื่อชีวิตรอดโดยกินพืชและสัตว์ อีกทั้งยังต่อสู้กันเองอีกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา ซึ่งจะพบได้
จากประวัตศิ าสตร์ของมนุษยชาตินนั้ มีการต่อสูฆ้ า่ ฟันกันตลอดเวลา จึงท�ำให้เกิดสงครามและความวุน่ วาย
ในสังคม โชเพนเฮาเออร์คดิ ว่าสันติภาพเป็นเพียงแค่การหยุดพักและการหยุดพักจะเกิดขึน้ ได้ตอ่ เมือ่ มนุษย์
ผ่านการต่อสู้กับคนอื่น ๆ มาแล้ว ดังนั้นความกังวล ความเหนื่อยยากและความวุ่นวายล้วนแล้วแต่เป็นสิ่ง
ที่มนุษย์ต้องเผชิญมาตลอดชีวิต และยังจะต้องเผชิญอีกต่อไป มนุษย์ไม่มีวันที่จะมีความสุขได้อย่างถาวร
และความสุขที่เกิดขึ้นจากความพอใจมิใช่อะไรอื่นนอกจากความทุกข์ที่มีคุณค่าในเชิงบวก เมื่อใดก็ตามที่
มนุษย์ได้ในสิ่งที่สมปรารถนาแล้วมิใช่ว่ามนุษย์ได้บรรลุถึงจุดสิ้นสุดของความอยาก แต่พวกเขาจะต้องเกิด
ความอยากใหม่อีกต่อไป ทั้งนี้เป็นเพราะมนุษย์มีแก่นแท้คือเจตจ�ำนง ซึ่งมีลักษณะเป็นความอยาก
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เม.ย.-มิ.ย. ๒๕๕๙
วนิดา ข�ำเขียว 59
แนวคิดในเรื่องการฆ่าตัวตายและการหลุดพ้นจากความทุกข์
ศาสนาที่นับถือพระเจ้านั้นโชเพนเฮาเออร์คิดว่าล้วนเป็นศาสนาที่ต่อต้านการฆ่าตัวตาย โดย
เฉพาะศาสนายิวมีแนวคิดทีค่ อ่ นข้างรุนแรงถึงแก่ตำ� หนิวา่ การฆ่าตัวตายเป็นอาชญากรรมอย่างหนึง่ เพราะ
เป็นการท�ำลายตนเองและแสดงถึงความขีข้ ลาดซึง่ มีแต่คนบ้าเท่านัน้ ทีก่ ระท�ำเช่นนี้ โชเพนเฮาเออร์คดิ ว่าถ้า
การฆ่าตัวตายเป็นอาชญากรรมดังนัน้ ก็นา่ จะน�ำเรือ่ งนีม้ าเปรียบเทียบกับอาชญากรรมอืน่ ๆ ทีเ่ กิดขึน้ เช่น
การฆาตกรรมและการท�ำทารุณกรรมต่อผู้อื่น ซึ่งจะเห็นได้ว่าการกระท�ำเหล่านี้มักกระตุ้นผู้คนจนเกิดการ
เรียกร้องให้มบี ทลงโทษผูก้ ระท�ำให้สาสมหรือมีการแก้แค้นเพือ่ ตอบแทน ส่วนการฆ่าตัวตายนัน้ สิง่ ทีต่ ามมา
คือ ผูค้ นส่วนมากให้ความสงสารและเกิดความเศร้าใจต่อผูต้ าย พวกทีช่ อบประณามคนฆ่าตัวตายส่วนมาก
เป็นพวกนักบวชหรือคนสอนศาสนาทีผ่ คู้ นในสังคมยกย่องและให้เกียรติไปยืนเทศนาต่อหน้าผูค้ นทัง้ หลาย
แต่คนที่ฆ่าตัวตายซึ่งเป็นพวกสมัครใจในการจากโลกนี้ไปกลับถูกคนของศาสนาปฏิเสธที่จะให้มีการฝังศพ
ตามพิธกี รรมทางศาสนาอย่างสมเกียรติ โชเพนเฮาเออร์คดิ ว่าการกระท�ำเช่นนีเ้ ป็นเรือ่ งทีไ่ ม่เหมาะสมเป็น
อย่างยิง่ ทีใ่ คร ๆ จะไปรุมลงโทษพวกฆ่าตัวตายโดยใช้หลักการทางศีลธรรม และการฆ่าตัวตายก็มไิ ด้เกิดขึน้ มา
ด้วยสาเหตุแห่งความคับแค้นในชีวติ เท่านัน้ แม้พวกนักบวชในศาสนาตะวันออกทีถ่ อื พรต อดอาหาร หรือมี
การบ�ำเพ็ญทุกรกิรยิ าก็มกี ารปฏิบตั ทิ ถี่ อื ได้วา่ เป็นการฆ่าตัวตายเช่นกัน โชเพนเฮาเออร์เชือ่ ว่าสภาพทีแ่ ท้จริง
ของมนุษย์คือความทุกข์และการมีชีวิตอยู่ในโลกเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายเพราะความตายคือ
การหยุดความมีอยูข่ องความทุกข์ แต่กระนัน้ โชเพนเฮาเออร์กไ็ ม่เห็นด้วยทีจ่ ะฆ่าตัวตายเพือ่ หนีความทุกข์
การฆ่าตัวตายเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึง่ ของการยืนยันอย่างเข้มแข็งของเจตจ�ำนงเพือ่ ปฏิเสธเงือ่ นไขต่าง ๆ
๗ Ibid. p. 43.
The Journal of the Royal Society of Thailand
Vol. 41 No. 2 April-June 2016
60 หนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์บนเส้นทางปรัชญาของโชเพนเฮาเออร์ (Schopenhauer)
๘ Schopenhauer. (1819). The World as Will and Representation. Vol. 1. Translated by E.F.J. Payne. p. 398.
๙ Will Durant. (1961). The Story of Philosophy. p. 434.
๑๐ Ibid. p. 443.
๑๑ Schopenhauer. (1844). The World as Will and Representation. Vol. 2. Translated by E.F.J. Payne. p. 508.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เม.ย.-มิ.ย. ๒๕๕๙
วนิดา ข�ำเขียว 61
๑. เป็นคนฉุนเฉียวและเจ้าอารมณ์
๒. เป็นคนเย่อหยิ่งทะนงตน
๓. เป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง
๔. เป็นคนทะเยอทะยาน
๕. เป็นคนอยากรู้อยากเห็น
๖. เป็นคนชอบวิตกกังวล๑๓
ด้วยลักษณะทีก่ ล่าวมานีท้ ำ� ให้โชเพนเฮาเออร์เป็นคนมีอตั ตาสูงและมักเกิดปัญหากับคนรอบข้าง
เขาจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ตามล�ำพัง แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนรักสัตว์ เขาจึงเลี้ยงแมวและสุนัขด้วยความใส่ใจ
ท�ำให้เขามีชีวิตที่สงบและไม่โดดเดี่ยวมากนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อโชเพนเฮาเออร์ออกจากสังคมในช่วงที่อายุได้ ๔๕ ปี คือ ค.ศ. ๑๘๓๓ เขา
ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบและด�ำเนินชีวิตบนเส้นทางปรัชญาที่เขาน�ำเสนอคือปฏิเสธความต้องการและหยุด
การดิ้นรนในชีวิต เขาปฏิบัติภารกิจประจ�ำวันซ�้ำกันทุกวันอย่างไม่เบื่อหน่าย โดยมีสุนัขพุดเดิลเป็นเพื่อน
ซึง่ ท�ำให้เห็นถึงแนวคิดในเรือ่ งการหลุดพ้นจากทุกข์ทแี่ ฝงอยูใ่ นการด�ำเนินชีวติ ของเขา ในทีน่ สี้ รุปได้มดี งั นี้
๑. เพ่งพินจิ ชีวติ จนเห็นแต่ความเป็นมายาทีป่ รากฏและเห็นว่าความจริงแท้คอื เจตจ�ำนงทีม่ อี ยู่
ในโลกและเอกภพ
๒. ด�ำเนินชีวิตด้วยการมีความรักที่ฝังแน่นในจิตใจ
๓. ด�ำเนินชีวิตด้วยความเสียสละและไม่เห็นแก่ตัว
๔. ลดความดิ้นรน
๕. ท�ำวิถีชีวิตในการท�ำงานให้สมดุลกับวิถีชีวิตในการเพลิดเพลินกับความสุข
สรุป
ดังได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นจะเห็นได้ว่าแนวคิดของโชเพนเฮาเออร์มีลักษณะแบบอเทวนิยมที่
ไม่อ้างอิงถึงพระผู้สร้างโลก เขาเชื่อว่าเขาได้พบความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์แล้ว และรู้แจ้งชัดถึงโลก
ที่ปรากฏแก่ตานี้ว่าเป็นเพียงโลกแห่งปรากฏการณ์ เป็นมายาที่ไม่มีความเป็นจริงและมีอยู่โดยถูกรับรู้
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีอยู่อย่างสัมพันธ์กันภายใต้หลักแห่งเหตุผลที่เพียงพอ มนุษย์ทุกคนมีโครงสร้างและ
กลไกของจิตแบบเดียวกันคือหลักเหตุผลเพียงพอซึ่งเหมือนกับวัตถุอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้หลักการนี้เช่นกัน
มนุษย์จึงสามารถรับรู้โลกได้โดยผ่านร่างกาย และร่างกายนี้ก็สามารถค้นหาความจริงได้ ซึ่งท�ำให้พบว่า
๑๓ Will Durant. (1961). Op.cit. pp. 434 – 435.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เม.ย.-มิ.ย. ๒๕๕๙
วนิดา ข�ำเขียว 63
ตนอย่างไม่กระตือรือร้นมากมายนักต่อความทะเยอทะยาน ซึ่งดูเหมือนกับว่าเขาอาจจะก�ำลังทดลอง
วิธีปฏิเสธเจตจ�ำนง แต่ถึงกระนั้นมีหลายครั้งที่เขาแสดงออกถึงความกระวนกระวายและความอยาก
รู้อยู่บ้างด้วยการติดตามผลงานที่เขาส่งไปยังส�ำนักพิมพ์ต่าง ๆ ว่ามีการตอบรับจากสังคมมากน้อย
เพียงใด เมื่อไม่ได้รับผลตามต้องการเขาไม่ทุกข์ใจอะไรมากนักและยังคงเขียนหนังสือหรือบทความ
ส่ ง ส� ำนั ก พิ ม พ์ ต ่ อ ไป ในขณะเดี ย วกั น โชเพนเฮาเออร์ ไ ด้ ว างแผนชี วิ ต ไว้ อ ย่ า งเคร่ ง ครั ด ในแต่ ล ะวั น
โดยท� ำ ให้ วิ ถี ชี วิ ต ในการท� ำ งานกั บ วิ ถี ชี วิ ต ในการเพลิ ด เพลิ น กั บ ความสุ ข ส่ ว นตั ว เกิ ด การสมดุ ล กั น
ตอนบั้นปลายชีวิตของเขาจึงเป็นช่วงที่อารมณ์ฝ่ายลบค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ จิตใจของเขาจึง
มีความสงบมากขึ้น จนกระทั่งเขาได้รับรางวัลจากสมาคมในประเทศนอร์เวย์ ชีวิตของโชเพนเฮาเออร์
เริ่มดีขึ้นตามล�ำดับจนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นักเขียนประวัติปรัชญาส่วนมากจึงกล่าวถึง
มุ ม มองของเขาในช่ ว งนี้ ว ่ า มี ก ารเปลี่ ย นแปลงไปโดยมองโลกในแง่ ดี ม ากขึ้ น ความเหน็ ด เหนื่ อ ยที่
โชเพนเฮาเออร์ต้องต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคตลอดมาเริ่มลดน้อยลงเมื่ออายุของเขามากขึ้น ก�ำลังใจและ
ก�ำลังปัญญาที่เขาใช้อย่างสมดุลกันได้เกิดผลผลิตทางปรัชญาไว้มากมาย สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ในชีวิตของเขาคือความไม่ท้อแท้และก�ำลังใจที่ดิ้นรนต่อสู้กับอุปสรรคโดยใช้ปัญญามากกว่าที่จะคิดสั้น
ในการฆ่าตัวตาย เมื่อเขาเชื่อว่าเขาหยั่งเห็นความจริงของโลกและชีวิตแล้ว เขาลองปฏิบัติโดยใช้วิธีที่เขา
เชื่อว่าเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์นั่นคือการเพ่งพินิจชีวิตและด�ำเนินชีวิตด้วยการเป็นผู้มี
ความรักฝังอยู่ในจิตใจและมีความเสียสละแบบไม่เห็นแก่ตัว คุณธรรมเหล่านี้เขาเชื่อว่าจะท�ำให้เจตจ�ำนง
ลดการดิ้นรนน้อยลง
หลายคนในสมัยนั้นที่รู้จักโชเพนเฮาเออร์ต่างวิจารณ์กันว่าเขาเป็นคนฉุนเฉียว อัตตาสูง ชอบ
เสียดสีสังคม แต่นั่นเป็นลักษณะนิสัยที่มีมาตั้งแต่วัยรุ่น ครั้นต่อมาเมื่อเกิดมรสุมของชีวิตที่ท�ำให้ไม่ได้รับ
ในสิ่งที่สมปรารถนาเขาจึงหยุดดิ้นรนชั่วขณะ เมื่อรู้ว่าตนเองเกือบเป็นโรคประสาท เขายังคงเขียนปรัชญา
ตามที่เขาเชื่อมั่นและศรัทธาว่าตนเองได้ค้นพบแล้วซึ่งความมีอยู่จริงทางอภิปรัชญาคือเจตจ�ำนงซึ่งเป็น
แก่นแท้ของสรรพสิ่ง แนวคิดของเขาจะให้ความจริงแก่เราได้หรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องส�ำคัญ เท่ากับการที่เขา
ต่อสู้ชีวิตและอุปสรรคด้วยความอดทน อันเป็นแบบอย่างที่ดีของบุคคลที่มีชีวิตล้มเหลวหรือไม่ได้รับใน
สิ่งที่สมปรารถนา แต่ได้ศึกษาหาแนวทางของการเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ จนสามารถหลุดพ้นจาก
ความทุกข์ได้อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งหนทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์ของโชเป็น
เฮาเออร์มที งั้ วิธเี พ่งพินจิ ศิลปะ เพือ่ เป็นทางผ่านไปสูค่ วามสงบของจิตใจ และวิธกี ารเพ่งพินจิ ชีวติ แล้วสละ
ความต้องการทางโลกเพื่อให้เจตจ�ำนงสลายไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดพอถึงที่สุดแล้ววิธีการเหล่านั้นต้อง
ท�ำให้มนุษย์เห็นถึงความไม่มีอะไร (nothingness) ด้วยเหตุนี้บุคคลส่วนมากจึงสรุปกันว่าโชเพนเฮาเออร์
เป็นพวกสุญนิยม (nihilism) แต่ถงึ แม้นว่าจะเป็นสุญนิยม แต่ไม่ได้ยอมรับวิธกี ารฆ่าตัวตายว่าเป็นทางออก
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เม.ย.-มิ.ย. ๒๕๕๙
วนิดา ข�ำเขียว 65
ของการหลุดพ้นจากความทุกข์ โชเพนเฮาเออร์ได้เขียนไว้ในบทความที่ว่าด้วยเรื่องความทุกข์ของโลก
(On the Suffering of the World) ซึ่งถูกรวบรวมไว้ใน Parerga and Paralipomena โดยเขาได้ชี้ให้
เห็นถึงความจ�ำเป็นที่มนุษย์ทุกคนต้องมีคุณธรรมหลักเมื่ออยู่ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยทุกข์นี้ คุณธรรม
เหล่านั้นได้แก่ ความอดกลั้น ความอดทน การให้อภัยและความเมตตา แล้วใช้ปัญญาเห็นทุกอย่างว่า
เป็นทุกข์จนถึงเห็นความไม่มีอะไรที่มีอยู่ในสรรพสิ่ง บุคคลใดก็ตามที่ท�ำเช่นนี้ได้ก็เท่ากับว่าผู้นั้นปฏิเสธ
เจตจ�ำนงจึงดับเจตจ�ำนงได้และไม่มีทุกข์อีกต่อไป๑๔
อาร์ทูร์ โชเพนเฮาเออร์
https://en.wikipedia.org/wiki/Arthur_Schopenhauer
บรรณานุกรม