You are on page 1of 14

รายงาน

เรื่อง BLOCKCHAIN

จัดทำโดย

นายชัยรัชต์ บ้งพรม

รหัสนักศึกษา 63322970108

เสนอ

อาจารย์ ณัฐวัตร คมเฉียบ


รายงานนีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของวิชาการซ่อมบำรุงระบบไมโครคอมพิวเตอร์

ภาคเรียนที่ 3 ปี การศึกษา 2564

มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบราชธานี

คำนำ

รายงานเล่มนีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของวิชาการซ่อมบำรุงระบบไมโคร
คอมพิวเตอร์เพื่อให้ศก
ึ ษาหาความรู้ในเรื่อง เทคโนโลยีบล็อคเชนและได้
ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็ นประโยชน์ต่อการเรียน

ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนีจ
้ ะเป็ นประโยชน์กับผู้อ่านที่กำลังหาข้อมูล
เรื่องเทคโนโลยีบล็อคเชนอยู่ หากมีข้อแนะนำหรือผิดพลาดประการณ์ใด ผู้
จัดทำขอนอบรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นด
ี ้ ้วย

ผู้จัดทำ

นายชัยรัชต์
บ้งพรม
สารบัญ

หน้า

Blockchain คืออะไร
1

โลกที่ต้องพึง่ พาตัวกลาง กับธุรกิจที่เกิดขึน


้ จากคำว่า Trust
2

ธนาคารนัน
้ มีหน้าที่ทำอะไร
3
Blockchain ทำงานอย่างไร?
4

การกระจายบัญชีให้ทุกคนถือ
4

ทำไมถึงเรียกว่า Blockchain ?
5
Blockchain คืออะไร?

Blockchain คือเทคโนโลยีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบ
กระจายศูนย์ หรือที่เรียกว่า Distributed Ledger Technology (DLT) ซึง่
เป็ นรูปแบบการบันทึกข้อมูลที่ใช้หลักการ Cryptography ร่วมกับกลไก
Consensus โดยข้อมูลที่ถูกบันทึกในระบบ Blockchain นัน
้ จะสามารถ
ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยาก ช่วยเพิ่มความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือ
ของข้อมูล

จุดกำเนิดของ Blockchain

เมื่อปี 2008 ในช่วงวิกฤตเศษฐกิจครัง้ ใหญ่ที่เราเรียกว่า Global


Financial Crisis บุคคลนิรนามที่ใช้ช่ อ
ื ว่า Satoshi Nakamoto ได้ให้กำเนิด
สิ่งที่เรียกว่าบิทคอยน์ขน
ึ ้ มา โดยออกแบบให้บิทคอยน์เป็ นเงินดิจิทัลสกุล
แรกในประวัติศาสตร์ที่ใครๆก็สามารถใช้ได้ ทุกคนสามารถถือเงินและโอน
เงินหากันได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางใด ๆ เช่นธนาคาร และที่สำคัญ มันไม่ได้
ถูกสร้างหรือควบคุมโดยรัฐหรือองค์กรใด ๆ

ณ วันนัน
้ ไม่ใช่เพียงบิทคอยน์ แต่เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain ก็
ถือกำเนิดขึน
้ ด้วย

ซึ่ง Blockchain นี่แหละ คือเทคโนโลยีที่ทำให้บิทคอยน์ทำในสิ่งที่ไม่มี


ใครเคยทำได้มาก่อน
บางคนอาจจะคิดว่า Blockchain นัน
้ มีไว้สร้างสกุลเงิน จริง ๆ แล้วสกุลเงิน
นัน
้ ก็เป็ นเพียงหนึ่งใน Application ของ Blockchain เท่านัน
้ เองครับ

หลัก ๆ แล้ว Blockchain เป็ นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถสร้างระบบที่ไม่


ต้องพึง่ พาตัวกลางอีกต่อไป หรือที่เรียกว่า Trustless System ซึ่ง Bitcoin
Network ถือว่าเป็ นระบบแรก โดยมีตัว Bitcoin ที่เป็ นสกุลเงินใช้งานบน
นัน
้ ไม่มี Bitcoin ก็ไม่มี Blockchain

อาจเป็ นเพราะโจทย์ของ Satoshi Nakamoto คือ ทำยังไงถึงจะสร้าง


สกุลเงินที่ไร้ตัวกลาง ไร้คนควบคุม เขาก็เลยคิดเทคโนโลยีที่เรียกว่า
Blockchain ขึน
้ มาเพื่อทำให้เขาสร้างบิทคอยน์ได้สำเร็จ

ถ้าเรานึกกลับกันว่า Satoshi Nakamoto ไม่ได้ต้องการสร้างสกุลเงิน


บิทคอยน์นี ้ เราอาจไม่เห็นเทคโนโลยี Blockchain กันก็เป็ นได้ครับ

โลกที่ต้องพึ่งพาตัวกลาง กับธุรกิจที่เกิดขึน
้ จากคำว่า Trust

คอยน์แมนขอยกตัวอย่างตัวกลางที่ทุกคนคุ้นเคยที่สุดก่อน ซึง่ ก็คือเรื่องการ


โอนเงินนัน
้ เอง
จากรูปข้างบนนี ้ เราจะเห็นได้ว่า A และ B ฝากเงินกับ Bank 1 ใน
ขณะที่ C และ D ฝากเงินกับ Bank 2 ดังนัน

A โอนหา B โดยผ่าน Bank 1

ถ้า A จะโอนหา D โดยผ่านทัง้ Bank 1 และ Bank 2

ทัง้ นีท
้ งั ้ นัน
้ ทุกคนต้องพึ่งธนาคารตัวกลางในการโอนเงินหากัน
ธนาคารนัน
้ มีหน้าที่ทำอะไร

1. ธนาคารจดบันทึกว่าใครมีเงินเท่าไหร่ ในตัวอย่างนี ้ Bank 1 ก็จะบันทึกว่า


A มี 100 บาท B มี 100 บาท

2. ธนาคารช่วยทำธุรกรรมให้เรา ในตัวอย่างนี ้ สมมุติว่า A อยากโอนเงิน 50


บาท ให้ D ทาง Bank 1 จะเชคว่า A มีเงินจริงไหม ก่อนที่จะไปคุยกับ Bank
2 หลังจากนัน
้ A จะถูกหักเงิน 50 บาท และ Bank 2 ก็จะเครดิตเงิน 50
บาทให้กับ D
สรุปแล้ว เราต้องใช้ธนาคารเพราะเราไม่สามารถแสดงความเป็ น
เจ้าของเงินในรูปแบบดิจิทัลได้

เราไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของเงินที่โอนมาได้ ผลของการมี
ตัวกลาง

เวลาเราจะทำธุรกรรมอะไร ไม่ว่าจะเช็คเงินในบัญชี โอนเงินให้ใคร ถอนเงิน


เราก็ต้องขออนุญาตธนาคาร ไม่ว่าจะผ่านแอป ทำจาก ATM หรือทำหน้า
เคาท์เตอร์ สิ่งนีเ้ รียกได้ว่า Server-Client Architecture

แน่นอนว่าธุรกิจตัวกลางต้องทำกำไร มันทำให้ cost นัน


้ สูง ยิ่งเราผ่าน
ตัวกลางหลายที่ มันยิ่งแพง แต่แพงไม่พอ มันทำให้เกิดความล่าช้าขึน
้ ด้วย
นึกภาพเราโอนเงินไปต่างประเทศว่าทัง้ แพงและนานขนาดไหน (เงินเราอยู่
ไหนแล้ว จะหายไปไหมก็ไม่ร้)ู

ที่สำคัญที่สุด เราต้องเชื่อใจเสมอว่าตัวกลางนีจ
้ ะไม่โกงเรา จะไม่แอบแก้
ข้อมูล หรือไม่มีการให้เอื้อประโยชน์ลูกค้าคนอื่น

Blockchain ทำงานอย่างไร?

เรารู้กันแล้วว่าความเชื่อใจคือแก่นของธุรกิจตัวกลางต่าง ๆ โดยเฉพาะ
ธนาคาร
Blockchain นัน
้ เป็ นเทคโนโลยีที่จะสามารถมาสร้างระบบที่กระจาย
อำนาจความเชื่อใจของตัวกลาง ทำให้เราไม่จำเป็ นต้องเชื่อตัวกลางคนใดคน
นึงอีกต่อไป หรือทำให้เราทำธุรกรรมกันแบบ Peer-to-Peer ได้นน
ั ้ เอง

การกระจายบัญชีให้ทุกคนถือ

ที่นม
ี ้ าดูกันว่า เราจะทำยังไงให้ A B C และ D โอนเงินหากันได้โดยไม่ต้อง
ผ่านธนาคาร

ซึ่งคอนเซปของ Blockchain เนี่ยบอกว่า แทนที่จะให้ธนาคารเก็บข้อมูล


บัญชีพวกเรา ทำไมเราไม่ให้ทุกคนใช้บัญชีเล่มเดียวกัน แล้วให้ทุกคนนัน
้ ได้
ก๊อปปี ้ อันเดียวกันไปเก็บหละ?
ดูจากรูปข้างบนแล้ว ถ้าทุกคนมีข้อมูลบัญชีอันเดียวกัน

เราสามารถเช็คได้เลยว่าใครมีเงินเท่าไหร่ เราก็ไม่ต้องเป็ นห่วงแล้วใช่


ไหมครับว่าคนนีม
้ ีเงินจริงไม่จริง ถ้าสมมติ B แอบแก้บญ
ั ชีตัวเอง จากมี 100
เป็ น 1000 บัญชีของ B ก็จะไม่ตรงกับ A C และ D ทุกคนก็จะรู้ว่า B นัน
้ โกง
นัน
้ เอง

เวลามีการโอน เช่น A โอนให้ D ข้อมูลธุรกรรมก็จะถูก Broadcast


ประกาศให้ทุกคนรู้และอัพเดทบัญชีตามกัน ดังนัน
้ ถ้าโอนแล้วมาบอกทีหลัง
ว่าไม่ได้โอน ก็ไม่ได้ใช่ไหมละครับ

ทำไมถึงเรียกว่า Blockchain ?

Blockchain คือวิธีการเก็บข้อมูลบัญชีรูปแบบหนึ่ง นึกภาพง่าย ๆ ว่า พอมี


ธุรกรรม Transaction ใหม่ ๆ เข้ามา มันก็จะถูกกองรวม ๆ กันไว้ พอได้
จำนวนหนึ่งเราก็จะจัดบรรจุธุรกรรมเหล่านัน
้ ลงกล่องบัญชี (Block) และ
ทำการปิ ดกล่อง พอเราปิ ดกล่องเสร็จ เราก็จะได้กล่องใหม่หรือ Block ใหม่
ขึน
้ มานัน
้ เอง

สิ่งที่ทำให้ Blockchain ต่างจากการเก็บบัญชีแบบอื่นคือ เราไม่ได้กลับ


ไปเปิ ดกล่องบัญชีเก่าเพื่อแก้หรืออัพเดทข้อมูลธุรกรรม แต่กล่องธุรกรรมใหม่
จะถูกสร้างขึน
้ เรื่อยๆไปในทางเดียว โดยจะเชื่อมและอ้างอิง reference กับ
กล่องเก่าอยู่เสมอ ในลักษณะของกล่องหลายๆกล่องที่มีโซ่เชื่อมกัน มันถึง
เรียกว่า Blockchain นัน
้ เอง

ยกตัวอย่างจากรูปข้างบน พอเราสร้าง Block 4 แล้ว เราไม่สามารถ


ย้อนกลับไปแก้ข้อมูลใน Block 1 2 หรือ 3 ได้ ผลก็คือข้อมูลธุรกรรมจะถูก
เก็บถาวร

ข้อมูลธุรกรรมของ Block ก่อนหน้าจะถูก Cryptographic Hash ไว้


(การเข้ารหัสทางเดียว ไว้เพื่อแค่เช็คว่าข้อมูลนัน
้ เป็ นต้นฉบับจริง ไม่ถูกใคร
เปลี่ยนแปลง)โดยที่ Block ใหม่ที่ถูกสร้างก็จะมี Hash ของ Block เก่าระบุ
อยู่ด้วย (จึงอ้างอิงกลับได้ว่า Block ก่อนหน้าคืออันไหน) ถ้าหากมีคนแอบ
ไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลธุรกรรม Block เก่า แม้แต่เพียงนิดเดียว Hash ก็จะ
เปลี่ยน ทำให้เรารู้ว่ามีการแอบแก้ไข ตัวอย่างเช่นรูปข้างล่าง เราจะเห็นได้ว่า
ประโยค “How are you” ถ้าแค่เติมเครื่องหมายคำถาม “?” เข้าไป ผล
ลัพท์ Hash ก็จะเปลี่ยนไปทันที

อ้างอิง

Blockchain คืออะไร? การปฏิวัติตัวกลางครัง้ ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ –


FINNOMENA.[ออนไลน์].2022,แหล่งที่มา :
https://www.finnomena.com/coinman/blockchain/ [23 มิถุนายน
2565]

You might also like