Professional Documents
Culture Documents
สรุป พรบ.5ฉบับ ก.พ.63 (1) -1
สรุป พรบ.5ฉบับ ก.พ.63 (1) -1
2562
บังคับใช้ นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ฉ. 2 ประกาศ 26 เมษายน 2562)
ผู้รักษาการพรบ. นายกรัฐมนตรี
ส่วนราชการ ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทวง กรม และหน่วย่งานอื่นของรัฐที่ อยู่ในกากับ
ของราชการฝ่ายบริหาร ไม่รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เป้าหมาย 1. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เกินความจาเป็น
5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อเหตุการณ์
6. ประชาชนได้รับการอานวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ
7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่าเสมอ
แผนปฏิบัติราชการ แผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ต้องทาเป็น แผน 5 ปี ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ / แผนแม่บท /
แผนการปฏิรูปประเทศ / แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ / นโยบายของครม.ที่แถลงต่อรัฐสภา
*** ระยะแรกให้ทาเป็น แผน 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 - 2565
แพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง การบริการประชาชนและการติดต่อประสานงานระหว่างส่วนราชการ ต้องทาโดยใช้ แพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
ที่ สานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กาหนด (ภายใน 90 วันนับแต่ประกาศ)
หน่วยงานราชการต้องนาแพลตฟอร์มไปใช้ ภายใน 2 ปี นับจากพ้นระยะเวลา 90 วันหลังประกาศ
(กรณีที่ไม่สามารถเริ่มใช้ได้ันตามก
ทั าหนด ให้หัวหน้าส่วนราชการนั้นเสนอ ก.พ.ร. ให้พิจารณาขยาย
ระยะเวลาดังกล่าว)
การทบทววนภารกิจของ ให้ส่วนราชการทบทวนภารกิจของตนว่ามีความจาเป็น หรือสมควรยกเลิก/ปรับปรุง/เปลี่ยนแปลง โดยคานึงถึง
ส่วนราชการ ยุทธศาสตร์ชาติ / แผนแม่บท /แผนการปฏิรูปประเทศ / แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ / นโยบายของ
ครม.ที่แถลงต่อรัฐสภา / กาลังเงินงบประมาณของประเทศ / ความคุ้มค่าของภารกิจ /สถานการณ์อื่นประกอบกัน
กรณียุบเลิก / โอน / รวม ห้ามไม่ให้จัดตั้งส่วนราชการที่มีภารกิจหรืออานาจหน้าที่ลักษณะเดียวกันขึ้นอีก เว้นแต่
มีเหตุผลและความจาเป็นเพื่อรักษาคตวามมั่นคงของรัฐ / เศรษฐกิจชองประเทศ / รักษาผลประโยชน์ร่วมของ
ประชาชน และได้รับความเห็นชอบจากก.พ.ร.
เป้าหมาย 1 เพื่อให้เกิดความผาสุกและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน / ความสงบ / ปลอดภัยของสังคมส่วนรวม /
เกิดประโยชน์สุขของ ตลอดจนประโยชน์สุขของประเทศ
ประชาชน ประชาชนเป็นศูนย์กลางที่จะได้รับการบริการจากรัฐ
การกาหนดภารกิจของรัฐ / ส่วนราชการ ต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐ นโยบายของครม. และ
มุ่งให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
ซื่อสัตย์ สุจริต ตรวจสอบได้ ก่อนเริ่มดาเนินการต้องศึกษาวิเคราะห์ผลดี -เสีย ให้ครบทุกด้าน
ภารกิจใดที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน ส่วนราชการต้องดาเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
หรือชี้แจงทาความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงประโยชน์ที่ส่วนรวมจะได้รับ
เป็นหน้าที่ของข้าราชการในการรับฟังความคิดเห็นและความพึงพอใจของสังคมและประชาชน
เมื่อพบปัญหาจากการดาเนินการ หากเป็นอุปสรรคจากส่วนราชการอื่นหรือระเบียบข้อบังคับที่ออกมา
สามารถแจ้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้อทราบ รวมถึงแจ้งก.พ.ร.ด้วย
เป้าหมาย 2 ส่วนราชการต้องมีแผนปฏิบัติราชการไว้เป็นการล่วงหน้า ต้องมีรายละเอียดขั้นตอน / ระยะเวลา /
เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจ งบประมาณที่ต้องใช้ / เป้าหมายของภารกิจ / ผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ / ตัวชี้วัดความสาเร็จ
ของรัฐ ส่วนราชการต้องมีการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามแผนตามเกณฑ์ที่กาหนดขึ้น
กรณีที่ภารกิจใดมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการ ให้กาหนดแนวทางปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดการ
แผนบริหารราชการ บริหารราชการแบบบูรณาการร่วมกัน
แผ่นดิน (แผน 4 ปี) ให้ส่วนราชการมีหน้าที่สนับสนุนการปฏิบัติราชการของผู้ว่าราชการ/หัวหน้าคณะผูแ้ ทนใน
แผนนิติบัญญัติ (ยกเลิก) ต่างประเทศ เพื่อให้การบริหารราชการแบบบูรณาการในจังหวัด/ต่างประเทศ
ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ภายใน เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
ก.พ.ร. กาหนดมาตรการกากับการปฏิบัติราชการโดยวิธีการจัดทาความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
ก.พ. จานวน หมายเหตุ
นายก / รองนายก (ประธาน) 1 นายกมอบหมาย
รัฐมนตรี (รองประธาน) 1 นายกกาหนด
ปลัดกระทรวงการคลัง 1
ผู้อานวยการสานักงบประมาณ 1
เลขาธิการคณะกรรมกรมพัฒนฯ 1
ผู้ทรงคุณวุฒิ 5–7 โปรดเกล้าแต่งตั้ง | ด้านบริหารทรัพยากรบุคคล / การบริหารและการจัดการ / กฎหมาย
เลขาธิการก.พ. 1 เลขานุการ โดยตาแหน่ง
** ผู้ทรงคุณวุฒิ วาระ 3 ปี เป็นซ้าได้
ถ้าเหลือไม่น้อยกว่า 3 คน ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป / ถ้าตาแหน่งว่างลง ต้องแต่งตั้งภายใน 30 วัน ยกเว้นเหลือไม่ถึง 180 วัน
อานาจหน้าที่
1. เสนอแนะ / ให้คาปรึกษาครม. เกี่ยวกับนโยบาย / ยุทธศาสตร์ การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ ในด้านมาตรฐานค่าตอบแทน /
การบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล / การวางแผนกาลังคน เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางดาเนินการ
2. รายงานครม. เพื่อพิจารณาปรับปรุงเงินเดือน / เงินประจาตาแหน่ง / เงินเพิ่มค่าครองชีพ สวัสดิการข้าราชการฝ่ายพลเรือน
3. กาหนดหลักเกณฑ์ / วิธีการ / มาตรการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลข้าราชการพลเรือนเพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทาง
4. ให้ความเห็นชอบ กรอบอัตรากาลังของส่วนราชการ
5. ออกกฎ ก.พ. / ระเบียบ เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อปฏิบัติการตามพรบนี้
6. ตีความ / วินิจฉัย ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้บังคับพรบ.นี้ กาหนดแนวทางปฏิบัติในกรณีที่เป็นปัญหา มติของก.พ. ในข้อนี้ เมื่อ
ได้รับความเห็นชอบจากครม.แล้ว ให้บังคับได้ตามกฎหมาย
7. ก ากั บ / ดู แ ล / ติ ด ตาม / ตรวจสอบ / ประเมิ น ผล การบริ ห ารทรั พ ยากรบุ ค คลของข้ าราชการพลเรื อ นในกระทรวง กรม
เพื่ อ รั กษาความเป็ นธรรมและมาตรฐานด้ านการบริหารทรัพ ยากรบุ คคล ตรวจสอบ / ติ ด ตามการปฏิ บั ติต ามพรบ.นี้ มี อานาจ
เรียกเอกสาร หลักฐานจากส่วนราชการมาชี้แจงข้อเท็จ มีอานาจออกระเบียบให้รายงานเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลไปยัง
ก.พ.
8. กาหนดนโยบาย / ออกระเบียบ เกี่ยวกับทุนเล่าเรียนหลวง / ทุน ของรัฐบาล ให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคล
ของข้าราชการฝ่ายพลเรือน จัดสรรผู้รับทุนที่สาเร็จการศึกษาแล้ว เข้ารับราชการในหน่วยงานของรัฐ
9. ออกข้อบังคับ / ระเบียบ การจัดการศึกษา ควบคุม / ดูแ ล / ให้ความช่วยเหลือ บุคลากรภาครัฐ / นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง /
นักเรียนทุนของรัฐบาล / นักเรียนทุนส่วนตัวที่อยู่ในความดูแลของก.พ. เก็บเงินชดเชยค่าใช้จ่ายในการดูแลจัดการศึกษา (ถือเป็นเงิน
รายรับของส่วนราชการที่เป็นสถานอานวยบริการอันเป็นสาธารณประโยชน์
10. กาหนดหลักเกณฑ์ / วิธีการเพื่อรับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับปริญญา เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการ
11. กาหนดอัตราค่าธรรมเนียม ในการปฏิบัติการเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล
12. พิจารณา / จัดระบบ / แก้ไข ทะเบียนประวัติ เกี่ยวกับ วัน เดือน ปีเกิด ควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือน
** กรณีก.พ. พบว่าส่วนราชการไม่ปฏิบัติตามพรบ.นี้ ให้ แจ้งให้ส่วนราชการนั้นดาเนินการแก้ไขในเวลาที่กาหนด หากไม่ดาเนินการ
ตามที่แจ้ง ให้ถือว่าหน่วยราชการนั้น กระทาผิดวินัย ก.พ. สั่งการลงโทษตามอานาจหน้าที่ กรณีผู้ไม่ปฏิบัติตามนั้นเป็นรัฐมนตรีเจ้า
สังกัด ให้ก.พ.รายงานต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร
** ก.พ. มีอานาจแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการวิสามัญ (อ.ก.พ. วิสามัญ) ทาการใดๆแทนได้
คณะอนุกรรมการสามัญ (อ.ก.พ. สามัญ) เป็นองค์กรบริหารทรัพยากรบุคคลในส่วนราชการต่างๆ แบ่งเป็น
อ.ก.พ. กระทรวง / อ.ก.พ. กรม / อ.ก.พ. จังหวัด / อ.ก.พ.ประจาส่วนราชการอื่น (การกาหนดชื่อ อานาจหน้าที่ ให้ตามที่กาหนดในกฏก.พ.)
อ.ก.พ. กระทรวง อ.ก.พ. กรม อ.ก.พ. จังหวัด
ประธาน รัฐมนตรีเจ้าสังกัด 1 อธิบดี 1 ผู้ว่าราชการ 1
รองประธาน ปลัดกระทรวง 1 รองอธิบดี 1 รองผู้ว่าราชการ 1
ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้าน HR, MNG, LAW ผู้ทรงคุณวุฒิ 1-3 ผู้ทรงคุณวุฒิ 1-3 ผู้ทรงคุณวุฒิ 1-3
ไม่เป็นขรก.ในหน่วยงาน
ขรก.ในหน่วยงาน บริหาร ระดับสูง 1-5 บริหาร / อานวยการ 1-6 บริหาร / อานวยการ 1-6
อนุกรรมการโดยตาแหน่ง ผู้แทนจากสนง. ก.พ. 1 -
อานาจหน้าที่ กาหนดนโยบาย ระบบ ระเบียบวิธีHRM ให้สอดคล้องกับก.พ. กาหนดแนวทางและวิธี HRM
พิจารณาการเกลี่ยอัตรากาลังภายในส่วนราชการ -
พิจารณาการดาเนินการทางวินัย การสั่งให้ออกจากราชการ พิจารณาโทษวินัยและสั่งให้ออก
คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)
กรรมการ 7 คน (เลือกกันเองเป็นประธาน) / อายุ 45 – 70 ปี / วาระ 6 ปี / วาระเดียว / ทางานเต็มเวลา / K โปรดเกล้าแต่งตั้ง /
เลขาธิการก.พ. เป็นเลขานุการ
คัดเลือกโดย คณะกรรมการคัดเลือก
o ประธานศาลปกครองสูงสุด (ประธาน)
o รองประธานศาลฎีกา
o กรรมการก.พ. (ผู้ทรงคุณวุฒิ)
o เลขาธิการก.พ. (เลขานุการ)
คุณสมบัติในการคัดเลือก อย่างใดอย่างหนึ่ง
o เป็น / เคยเป็น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการใหญ่ๆของขรก.พลเรือนต่างๆ เช่นคกกครู, ตารวจ, ก.พ., อุดมศึกษา
o เป็น / เคยเป็น กรรมการกฤษฎีกา
o รับราชการ / เคย ตาแหน่งไม่ต่ากว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ / ตุลาการ / หัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้น
o รับราชการ / เคย ตาแหน่งไม่ต่ากว่าอัยการพิเศษประจาเขต
o รับราชการ / เคย ตาแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง
o เป็น / เคย สอนในมหาวิทยาลัย วิชาสาขานิติศาสตร์ / รัฐศาสตร์ / รัฐประศาสนศาสตร์ / เศรษฐศาสตร์ / สังคมศาสตร์ /
วิชาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน และมีตาแหน่งไม่ต่ากว่า ร.ศ. อย่างน้อย 5 ปี
ลักษณะต้องห้าม
o เป็นข้าราชการ / พนักงานของรัฐ / สมาชิกพรรคการเมือง / กรรมการในรัฐวิส าหกิ จ องค์กรกลางบริหารงานบุค คลใน
หน่วยงานรัฐ / ประกอบอาชีพที่ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กาหนดในพรฎ
** ผู้ได้รับคัดเลือก หากพบว่ามีลักษณะต้องห้าม ผู้นั้นต้องลาออกจากสิ่งนั้นและแสดงหลักฐานต่อเลขานุการก.พ.ค. ภายใน 15 วัน
ถ้ากรรมการเหลือน้อยกว่า 5 คน ให้คัดเลือกเพิ่ม
อานาจหน้าที่
1. เสนอแนะต่อ ก.พ. หรือองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่น เพื่อให้ดาเนินการจัดให้มี / ปรับปรุงนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคล
ในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
2. พิจารณา วินิจฉัยอุทธรณ์ (ข้าราชการที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ออกจากราชการ)
3. พิจารณา วินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ (ที่เกิดจากผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป อยู่ในระดับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง นายกรัฐมนตรี)
4. พิจารณาคุ้มครองระบบคุณธรรม (กรณีที่เห็นว่ากฎ ระเบียบ คาสั่งที่ออกตามพรบ.นี้ไม่สอดคล้องกับระบบคุณธรรม)
5. ออกกฎ ก.พ.ค. / ระเบียบ / หลักเกณฑ์ / วิธีปฏิบัติการตามพ.ร.บ.นี้
6. แต่งตั้งบุคคล เพื่อเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ / กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์
** ก.พ.ค. / กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ / กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ > ได้เงินประจาตาแหน่ง ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่นเดียวกับ
ตาแหน่งบริหารระดับสูง
** ก.พ.ค. มีอานาจ ไม่รับอุทธรณ์ / ยกอุทธรณ์ / มีคาวินิจฉัยให้ยกเลิกคาสั่งลงโทษ และให้เยียวยาความเสียหายให้ผู้อุทธรณ์
ระบบคุณธรรม 1. การรับบุคคลบรรจุราชการคานึงถึงความสามารถ / เสมอภาค / เป็นธรรม /ประโยชน์ของราชการ
2. การบริหารทรัพยากรบุคคล คานึงผลสัมฤทธิ์ / ประสิทธิภาพ / ไม่เลือกปฏิบัติ / เป็นธรรม
3. การพิจารณาความดีความชอบ / เลื่อนตาแหน่ง เป็นธรรม / ดูจากผลงาน ศักยภาพ พฤติกรรม
4. การดาเนินคดีทางวินัย ยุติธรรม / ปราศจากอคติ
5. การบริหารทรัพยากรบุคคลด้วยความเป็นธรรมทางการเมือง
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการพลเรือน ซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้งตามที่บัญญัติในลักษณะ 4 ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ข้าราชการพลเรือน ข้ า ราชการพลเรื อ น ซึ่ ง รั บ ราชการโดยได้ รั บ บรรจุ แ ต่ ง ตั้ ง ให้ ด ารงต าแหน่ ง ในพระองค์ พ ระมหากษั ต ริ ย์
ในพระองค์ ตามที่ได้กาหนดในพระราชกฤษฎีกา
คุณสมบัติข้าราชการพลเรือน
สัญชาติไทย / อายุไม่ต่ากว่า 18 ปี / เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ลักษณะต้องห้าม
ดารงตาแหน่งทางการเมือง / เป็นคนไร้ความสามารถ / เสมือนไร้ความสามารถ / วิกลจริต / อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการ หรือถูกสั่งให้
ออกจากราชการไว้ก่อน / เป็นกรรมการบริหารหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม / ล้มละลาย / เคย ก.พ.อาจพิจารณายกเว้นเป็นการเฉพาะราย
ต้องโทษจาคุกความผิดทางอาญา / เคยทุจริตในการสอบเข้ารับราชการ มติของก.พ. ต้องได้เสียงไม่น้อยกว่า 4/5 (ลงมติลับ)
เคยถูกลงโทษให้ออก / ปลดออก / ไล่ออก จากรัฐวิสาหกิจ ต้องออกจากราชการไปเกิน 2 ปีแล้ว ถึงจะพิจารณายกเว้นให้
เคยถูกลงโทษให้ออก / ปลดออก เพราะกระทาผิดวินัยตามพรบ.นี้ (ต้องไม่ใช่เกิดออกจากราชการเพราะทุจริตต่อหน้าที่)
เคยถูกลงโทษไล่ออก เพราะกระทาผิดวินัยตามพรบ.นี้ ต้องออกจากราชการไปเกิน 3 ปีแล้ว ถึงจะพิจารณายกเว้นให้
การกาหนดตาแหน่ง
ประเภท ทั่วไป วิชาการ อานวยการ บริหาร
ระดับ ปฏิบัติงาน
ชานาญงาน ปฏิบัติการ
อาวุโส ชานาญการ
ทักษะพิเศษ ชานาญการพิเศษ ระดับต้น
เชี่ยวชาญ ระดับสูง ระดับต้น
ทรงคุณวุฒิ ระดับสูง**
คาอธิบายประเภท ต า แ ห น่ ง ที่ ไ ม่ ใ ช่ อี ก 3 ต าแหน่ ง ที่ จ าเป็ น ต้ อ งใช้ หัวหน้าส่วนราชการที่ต่ากว่า หัวหน้า / รองหัวหน้า
ประเภท ผู้ ส าเร็ จ การศึ ก ษาระดั บ ระดับกรม ส่วนราชการระดับ
ปริญญา ตามที่ก.พ.กาหนด กระทรวง หรือ กรม
การบรรจุและแต่งตั้ง ** คร่าวๆส่วนภูมิภาค ผู้ว่าฯเป็นผู้ สั่งบรรจุและแต่งตั้ง
อธิบดี / ผู้ที่อธิบดีมอบหมาย สั่งบรรจุ และ แต่งตั้ง (รวมถึงประเภททั่วไปสังกัดสานักงานรัฐมนตรี)
อธิบดี สั่งบรรจุ และ แต่งตั้ง โดยความเห็นชอบของปลัดกระทรวง
ปลัดกระทรวง สั่งบรรจุ และ แต่งตั้ง
ปลัดกระทรวงเสนอ > รมต.เจ้าสังกัดเสนอต่อ > ค.ร.ม.อนุมัติ > ปลัดกระทรวง สั่งบรรจุ , นายกรัฐมนตรีกราบทูลโปรดเกล้าแต่งตั้ง
รมต.เจ้าสังกัดเสนอต่อ > ค.ร.ม.อนุมัติ > รมต.เจ้าสังกัด สั่งบรรจุ , นายกรัฐมนตรีกราบทูลโปรดเกล้าแต่งตั้ง
** บริหาร ระดับสูง เป็นผู้สั่งบรรจุ แต่งตั้งตาแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง / กรม
เป็นผู้สั่งบรรจุ แต่งตั้งตาแหน่งรองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง / กรม
ทดลองปฏิบัติราชการ 1. ผู้ที่ได้รับบรรจุและแต่งตั้งจากการสอบคัดเลือก
2. ผู้ที่เข้าด้วยเหตุพิเศษ ได้รับการบรรจุแต่งตั้งโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน
3. พนักงานท้องถิ่น / ข้าราชการอื่นที่ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือนที่โอนมาเป็นข้าราชการพลเรือน
เพื่อให้รู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการ / การเป็นข้าราชการที่ดี
ถ้าผลการประเมินต่ากว่ามาตรฐานที่กาหนด สามารถสั่งให้ออกจากราชการได้
ผู้ที่ถูกสั่งให้ออกระหว่างทดลองปฏิบัติราชการ ให้เสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
การย้าย การโอน การโอนข้าราชการจากกระทรวงหนึ่งไปดารงตาแหน่งในต่างประเทศสังกัดอีกกระทรวงหนึ่งเป็นการ
การเลื่อน ชั่วคราว ตามระยะเวลาที่กาหนด ทาได้
การย้าย / โอน ข้าราชการไปดารงตาแหน่งที่ต่ากว่าเดิม ทาไม่ได้
การบรรจุข้าราชการ ที่ได้ออกจากราชการไป เนื่องจากถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพื่อไปรับราชการทหาร
เมื่อกลับเข้ามาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนอีกครั้ง ให้สามารถนับเวลาราชการก่อนหน้านั้นมารวมได้
การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่น / ข้าราชการอื่นที่ไม่ใช่พลเรือนสามัญ ให้นับเวลาราชการเดิมรวมได้
จรรยาข้าราชการ 1. การยึดมั่น / ยืนหยัดทาในสิ่งที่ถูกต้อง
2. ความซื่อสัตย์สุจริต / รับผิดชอบ
3. การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใส / สามารถตรวจสอบได้
4. การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
5. การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
วินัย (ข้อปฏิบัติ) 1. ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ / สุจริต / เที่ยงธรรม
ม. 82 2. ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติครม. นโยบายรัฐบาล
3. ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดี / ความก้าวหน้าแก่ราชการ ด้วยความอุตสาหะ เอาใจใส่
4. ปฏิบัติตามคาสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการ โดยชอบด้วยกฎหมาย
หากเห็นว่าคาสั่งนั้นจะทาให้เสียหายแก่ราชการ ต้องเสนอความเห็นเป็นหนังสือ ทันทีให้ทบทวนคาสั่ง
หากยังยืนยันให้ปฏิบัติตามคาสั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม
5. ต้องอุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ ไม่ละทิ้ง / ทอดทิ้งหน้าที่ราชการ
6. ต้องรักษาความลับของทางราชการ
7. ต้องสุภาพเรียบร้อย รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือกันในการปฏิบัติงาน
8. ต้องต้อนรับ ให้ความสะดวก เป็นธรรม ให้การสงเคราะห์แก่ประชาชน
9. ต้องวางตนเป็นกลางทางการเมืองในขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการและอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับประชาชน
10. ต้องรักษาชื่อเสียงของตน รักษาเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย
วินัย (ข้อห้ามปฏิบัติ) 1. ไม่รายงานเท็จ / ปกปิดข้อความที่ควรแจ้ง ต่อผู้บังคับบัญชา
ม. 83 2. ไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทาการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตครั้งคราว
3. ไม่อาศัย / ยอมให้ผู้อื่นอาศัยตาแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ส่วนตน
4. ไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ
5. ไม่กระทาการ / ยอมให้ผู้อื่นกระทาการหาผลประโยชน์อันทาให้เสียเกียรติศักดิ์ของตาแหน่ง
6. ไม่เป็นกรรมการผู้จัดการ / ผู้จัดการ ในห้างหุ้นส่วน หรือ บริษัท
7. ไม่กระทาการกลั่นแกล้ง / กดขี่ / ข่มเหงกันในการปฏิบัติราชการ
8. ไม่กระทาการอันล่วงละเมิด / คุกคามทางเพศ
9. ไม่ดูหมิ่น / เหยียดหยาม / กดขี่ / ข่มเหงประชาชนผู้ติดต่อราชการ
ความผิดวินัยร้ายแรง 1. ปฏิบัติ / เว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง
ปฏิบัติ / เว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต
2. ละทิ้ง / ทอดทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
3. ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันเกิน 15 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร
4. กระทาอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
5. ดูหมิ่น / เหยียดหยาม / กดขี่ / ข่มเหง ประชาชนผู้มาติดต่อราชการอย่างร้ายแรง
6. กระทาความผิดอาญาจนได้รับโทษจาคุก/หนักกว่า เว้นแต่จะเป็นความผิดโดยประมาท/ผิดลหุโทษ
7. กระทาผิดวินัยตามม. 82,83 อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
8. ไม่กระทาตามกฎก.พ.
โทษทางวินัย 5 สถาน 1. ภาคทัณฑ์
2. ตัดเงินเดือน
3. ลดเงินเดือน
4. ปลดออก
5. ไล่ออก
** การลงโทษให้ทาเป็นคาสั่ง ต้องเหมาะสมกับความผิด / ยุติธรรม / ปราศจากอคติ ต้องระบุกรณีและมาตรา
การดาเนินการทางวินัย เมื่อพบการกระทาผิด ผู้บังคับบัญชารายงานผู้มีอานาจบรรจุแต่งตั้งดาเนินการ (หรือมอบหมาย)
ถ้าผู้มีอานาจบรรจุแต่งตั้ง ไม่ดาเนินการหรือว่าปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ถือว่าผิดวินัย
หากไม่เห็นว่ามีมูล > ยุติเรื่องได้
ถ้ามีมูลและไม่ใช่ความผิดวินัยร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษได้ โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ถ้ามีมูลและเป็นความผิดร้ายแรง ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ถ้ามีมูล
ความผิดไม่ร้ายแรง > ภาคทัณฑ์/ ตัดเงินเดือน / ลดเงินเดือน ความผิดร้ายแรง > ปลดออก / ไล่ออก
ปลดออก ได้สิทธิบาเหน็จ บานาญ เสมือนผู้นั้นลาออก
ข้าราชการลาออกไปแล้ว แต่ถูกกล่าวหาว่ากระทาความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ในขณะที่รับราชการนั้น ผู้
มีอานาจดาเนินการทางวินัยมีอานาจดาเนินการสืบสวน พิจารณา ดาเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษได้
เสมือนผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ
o ถูกยื่นฟ้องคดีอาญา ตั้งแต่ก่อนออกจากราชการ ให้ดาเนินการสอบสวนและต้องสั่งลงโทษ
ภายใน 3 ปี นับแต่ผู้นั้นออกจากราชการ
o ถูกยื่นฟ้องคดีอาญา หลังจากออกจากราชการ ให้ดาเนินการสอบสวน ภายใน 1 ปี และต้อง
สั่งลงโทษภายใน 3 ปี นับแต่ผู้นั้นออกจากราชการ
o กรณีศาลปกครอง มีคาพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนคาสั่งลงโทษ เพราะกระบวนการ
ดาเนินการทางวินัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้มีอานาจดาเนินการทางวินัยให้แล้วเสร็จ ภายใน
2 ปี นับแต่วันที่มีคาพิพากษาถึงที่สุด
ถ้าผลการสอบสวนพิจารณาปรากฎว่าผู้นั้นกระทาผิดวินัยไม่ร้ายแรง ให้งดโทษ
กรณีปปช. ชี้มูลความผิดข้าราชการที่ออกจากราชการแล้ว ให้ดาเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษ ตาม
หลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่กาหนดไว้ในกฎหมายประกอปรธน. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ถ้าผลการสอบสวนพิจารณาปรากฎว่าผู้นั้นกระทาผิดวินัยไม่ร้ายแรง ให้งดโทษ
การสั่งพัก / สั่งให้ออก ผู้มีอานาจบรรจุสามารถสั่งพักราชการ / สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนหรือ
จากราชการไว้ก่อน พิจารณาคดีได้ หากต่อมาพบว่าไม่ได้ทาผิด /ทาผิดแต่ไม่ถึงกับต้องให้ออก ก็ให้ สั่งกลับมาปฏิบัติราชการ
กรณีไม่ได้ผิดวินัยร้ายแรง แต่ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ผู้นั้นยังคงมีสถานภาพเป็นข้าราชการพล
เรือนสามัญ เสมือนว่าถูกสั่งพักราชการ
ทั่วไป การลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญ มีกฎหมายว่าด้วยวินัยราชการโดยเฉพาะ ผู้บังคับบัญชาสามารถ
พิจารณาดาเนินการตามกฎหมายดังกล่าวได้เลย แล้วให้รายงานต่อ อ.ก.พ. กระทรวงที่สังกัดให้พิจารณา
ถ้า อ.ก.พ.กระทรวง / ก.พ. มีมติไม่เห็นด้วย สามารถสั่งสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมได้
ถ้าผู้แทนก.พ. (ที่อยู่ในอ.ก.พ.กระทรวง) เห็นว่าอ.ก.พ.กระทรวง / ผู้บังคับบัญชา ไม่ปฏิบัติตามพรบ.นี้
หรือปฏิบัติไม่เหมาะสม ให้รายงานต่อก.พ. พิจารณาดาเนินการต่อไป แล้วให้ใช้มติของก.พ. ในการ
ดาเนินการ | ถ้าผู้ถูกลงโทษ อุธรณ์คาสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชา ต่อ ก.พ.ค. ให้ก.พ.แจ้งกรณีดังกล่าว
ต่อ ก.พ.ค. เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์
เพิ่มโทษ / ลดโทษ / ให้ผู้สั่งมีคาสั่งใหม่ ในคาสั่งดังกล่าวให้สั่งยกเลิกคาสั่งลงโทษเดิม พร้อมระบุวิธีการดาเนินการเกี่ยวกับ
งดโทษ / ยกโทษ โทษที่ได้รับไปแล้ว
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ผู้บังคับบัญชาดาเนินการทางวินัยตามพรบ.นี้ได้เลย
ที่โอนมา แต่ถ้าเป็นเป็นเรื่องที่อยู่ในระหว่างสืบสวนพิจารณา ให้ผู้บัญชาการเดิมสอบสวนให้เสร็จแล้วค่อยส่งผลมา
ให้พิจารณาต่อ การสั่งลงโทษทางวินัย พิจารณาความผิดและลงโทษใช้กฎเกณฑ์ของต้นสังกัดเดิม
การออกจากราชการ 1. ตาย
2. พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ
3. ลาออกจากราชการและได้รับอนุญาตให้ลาออก
ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้น ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน
4. ถูกสั่งให้ออก
5. ถูกสั่งลงโทษปลดออก / ไล่ออก
การลาออก ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้น ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน
กรณียื่นหนังสือลาออก น้อยกว่า 30 วัน ผู้มีอานาจบรรจุพิจารณาตามความเหมาะสม
สามารถยับยั้งการลาออกได้ไม่เกิน 90 วัน
การลาออกที่มีผลนับตั้งแต่วนั ที่ผู้นนั้ ขอลาออก (ไม่ต้องยื่นล่วงหน้า มีผลได้เลย) คือลาออกเพื่อไปดารงตาแหน่ง
1. ตาแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
2. ตาแหน่งทางการเมือง
3. เพื่อไปสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา / สมาชิกสภาท้องถิ่น / ผู้บริหารท้องถิ่น
อุทธรณ์ ผู้ที่ถูกสั่งลงโทษ / ให้ออกจากราชการ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อก.พ.ค ภายใน 30 วัน หลังทราบคาสั่ง
ก.พ.ค. อาจพิจารณาวินิจฉัยเอง / ตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ก็ได้
ก.พ.ค. ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จภายใน 120 วันหลังได้รับอุทธรณ์ ขยายได้ +60 +60
เมื่อวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว ให้ผู้มีอานาจบรรจุดาเนินการตามคาวินิจฉัย ภายใน 30 วัน
ถ้าไม่เห็นด้วย ให้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุด ภายใน 90 วัน
คัดค้านกรรมการวินิจฉัย 1. รู้เห็นเหตุการณ์ในการกระทาผิดวินัยที่ผู้อุทธรณ์ถูกลงโทษ / การถูกสั่งให้ออกจากราชการ
อุทธรณ์ กรณี 2. มีส่วนได้เสียในการกระทาผิดวินัยของผู้อุทธรณ์
3. มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้อุทธรณ์
4. เป็นผู้กล่าวหา / เคยเป็นผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษ/สั่งให้ออกจากราชการ
5. เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดาเนินการทางวินัย / การสั่งให้ออกจากราชการ
6. มีความเกี่ยวพันทางเครือญาติหรือทางการสมรสกับบุคคลข้อ 1 – 4
การร้องทุกข์ ร้องกรณีคับข้อใจการปฏิบัติ/ไม่ปฏิบัติต่อตนของผู้บังคับบัญชา ให้ร้องต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป
ร้องปลัดกระทรวง / นายกรัฐมนตรี ร้องต่อ ก.พ.ค. (พิจารณาเองหรือตั้งกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์)
คัดค้านกรรมการวินิจฉัย 1. เป็นผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุให้เกิดความคับข้องใจ
ร้องทุกข์ กรณี 2. มีส่วนได้เสียในเรื่องที่ร้องทุกข์
3. มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ร้องทุกข์
4. มีความเกี่ยวพันทางเครือญาติหรือทางการสมรสกับบุคคลข้อ 1 – 3
พระราชบัญญัติ มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562
บังคับใช้ วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ประกาศวันที่ 15 เมษายน 2562)
ผู้รักษาการพรบ. นายกรัฐมนตรี
หน่วยงานของรัฐ กระทรวง / ทบวง / กรม / ส่วนราชการที่มีชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม / ราชการส่วนท้องถิ่น / รัฐวิสาหกิจ /
องค์การมหาชน หรือ หน่วยงานอื่นของรัฐในฝ่ายบริหาร
** ไม่หมายรวมถึง หน่วยงานธุรการของรัฐสภา / องค์กรอิสระ / ศาล / องค์กรอัยการ
องค์กรกลาง องค์กรที่มีหน้าที่จัดทาประมวลจริยธรรมสาหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบ
บริหารงานบุคคล คณะกรรมการ...ข้าราชการพลเรือน / ข้าราชการพลเรือนในสถาบันศึกษา / ข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา / ข้าราชการตารวจ
คณะกรรมการกลางบริหารงานบุคคลของเจ้าหน้าที่ของรัฐในฝ่ายบริหาร
คณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น
กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่มีองค์กรกลางบริหารงานบุคคลรับผิดชอบ ให้องค์กรต่อไปนี้เป็นผู้จัดทา
คณะรัฐมนตรี : ข้าราชการการเมือง
สภากลาโหม : ข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนกลาโหม
สานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ : ผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน : ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานขององค์กรมหาชน
**กรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.) เป็นผู้วินิจฉัยว่าองค์กรใดต้องจัดทาประมวลให้จนท.ใด
มาตรฐานทางจริยธรรม หลักเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประกอบด้วย
(ม.5) 1. ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
*ใช้เป็นหลักในการจัดทา 2. ซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสานึกที่ดี รับผิดชอบต่อหน้าที่
ประมวลจริยธรรมของ 3. กล้าตัดสินใจและกระทาในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
หน่วยงานของรัฐ 4. คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว มีจิตสาธารณะ
5. มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
6. ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
7. ดารงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ
กรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.)
กรรมการ ผู้แต่งตั้ง จานวน หมายเหตุ
นายก / รองนายก นายกรัฐมนตรี 1 ประธาน
คกก.ก.พ. (ผู้แทน) 1 รองประธาน
คกก.ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ผู้แทน) กรรมการโดยตาแหน่ง 5 คน 1
คกก.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ผู้แทน) 1
คกก.ข้าราชการตารวจ (ผู้แทน) 1
คกก.มาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ผู้แทน) 1
สภากลาโหม (ผู้แทน) 1
ผู้ทรงคุณวุฒิ นายกรัฐมนตรี 1-5 อายุ 45 ปีขึ้นไป
(วาระ 3 ปี ห้ามเกิน 2 วาระ) ด้านจริยธรรม กฎหมาย HR
เลขาธิการก.พ. เลขานุการ
ข้าราชการในสนง.ก.พ. เลขาธิการก.พ. ผู้ช่วยเลขานุการ
กรรมการ (เฉพาะกาล) ก.ม.จ. เชิญเป็นกรรมการครั้งคราว
ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการที่ทาหน้าที่บริหารงานรัฐวิสาหกิจ/องค์การมหาชน/หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่และ
อานาจโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องที่จะพิจารณา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม
** ผู้ทรงคุณวุฒิ พ้นตาแหน่งได้ด้วย ก.ม.จ.มีมติให้ออก คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย (ถ้า
ตาแหน่งขาด นายกแต่งตั้งเพิ่ม ยกเว้นเวลาเหลือไม่ถึง 180 วัน)
** ก.ม.จ. ต้องทบทวนมาตรฐาน ทุก 5 ปี (หรือเร็วกว่านั้น ตามสถานการณ์
** การประชุม นับองค์ประชุมครึ่งหนึ่ง / การชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก / ถ้าเสียงเท่ากันให้ปธ.ออกเสียงชี้ขาด
** ปธ. / กรรมการ / ปธ.อนุกรรมการ / อนุกรรมการ ได้เบี้ยประชุม
อานาจหน้าที่ ก.ม.จ. เสนอแนะ / ให้คาปรึกษา เกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านมาตรฐานทางจริยธรรม / การส่งเสริม
จริยธรรมภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรี
กาหนดแนวทาง /มาตรการในการขับเคลื่อน ดาเนินการรักษาจริยธรรม / กลไกและการบังคับใช้
ประมวลจริยธรรม สาหรับเจ้าหน้าที่รบ เพื่อให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคล หรือผู้บังคับ บัญชานาไปใช้
ในกระบวนการบริหารงานบุคคลอย่างเป็นธรรม
กาหนดแนวทางการส่งเสิรม / พัฒนาเสริมสร้างประสิทธิภาพ ให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
มาตรฐานทางจริยธรรม
กากับ / ติดตาม / ประเมินผลการดาเนินการตามมาตรฐานจริยธรรม
อย่างน้อยต้องให้หน่วยงานของรัฐประเมิน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรม /
ประเมินพฤติกรรมทางจริยธรรมสาหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น
ตรวจสอบรายงานประจาปี และรายงานสรุปผลการดาเนินงานต่อครม. อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ตีความและวินจิ ฉัยปัญหาที่เกิดจากการบังคับใช้พ.ร.บ.นี้
การรักษาจริยธรรมของ ให้หน่วยงานของรัฐดาเนินการ ดังต่อไปนี้
เจ้าหน้าที่รัฐ ให้มีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาจริยธรรมประจาหน่วยงานของรัฐ
(ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่/ภารกิจในด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาลหรือคณะกรรมการและกลุ่มงานจริยธรรม
ประจาหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่แล้วเป็นผู้รับผิดชอบก็ได้)
ดาเนินกิจกรรมส่งเสริม / สนับสนุน / ให้ความรู้ / ฝึกอบรม / พัฒนาเจ้าหน้าที่
ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ สร้างเครือข่ายร่วมกั บเอกชน
ทุกสิ้นปีงบประมาณ ทารายงานประจาปีตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ม.จ. กาหนด แล้วส่งให้ ก.ม.จ.
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2562
บังคับใช้ นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เว้นแต่ม. 63/15-19 (การบังคับโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี)
บังคับใช้เมื่อพ้น 180 วัน
ผู้รักษาการพรบ. นายกรัฐมนตรี (มีอานาจออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพรบ.นี้)
ไม่ให้ใช้บังคับแก่ 1. รัฐสภาและคณะรัฐมนตรี
2. องค์กรที่ใช้อานาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ
3. การพิจารณาของนายก/รัฐมนตรีในงานทางนโยบายโดยตรง
4. การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลและการดาเนินงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาคดี การ
บังคับคดีและการวางทรัพย์
5. การพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์และการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา
6. นโยบายต่างประเทศ
7. ราชการทหาร
8. กระบวนการยุติธรรมทางอาญา
9. องค์การทางศาสนา
กรณีจะยกเว้นหน่วยงานอื่นๆ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาตามข้อเสนอของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง
วิธีปฏิบัติราชการทาง การเตรียมการ/การดาเนินการ ของเจ้าหน้าที่ เพื่อจัดให้มีคาสั่งทางปกครอง/กฎ และรวมถึงการดาเนินการใดๆ
ปกครอง ในทางปกครองตามพรบ.นี้