Professional Documents
Culture Documents
Steel Design by Sermpun
Steel Design by Sermpun
คํานํา
สารบัญ
บรรณานุกรม 311-314
ประวัติผู้เขียน 315-317
บทที่ 1
1.1 ความหมาย
สิ่ ง ปลู ก สร้ า งใดๆด้า นวิ ศ วกรรมโยธา ก่ อ นที่ จ ะทํา การก่ อ สร้ า งตามแบบก่ อ สร้ า ง
(ประกอบด้วย แบบแปลนด้านสถาปัตยกรรม แบบแปลนด้านวิศวกรรมโครงสร้าง แบบแปลนด้านงาน
ระบบ ลฯ) ได้ จะต้องทําการวิเคราะห์ โครงสร้ างก่ อน จากนั้นจึ งนําผลที่ได้จากการวิเคราะห์ไป
ออกแบบด้านความแข็งแรงขององค์อาคารต่างๆของอาคารได้ จึงเป็ นที่มาของวลีที่ว่า “การวิเคราะห์
และออกแบบโครงสร้าง” ดังนั้นผูเ้ รี ยนควรทําความเข้าใจในความหมายของกลุ่มวลีกล่าว
การวิเคราะห์ หมายถึง กระบวนวิธีการเพื่อหาระบบแรงภายใน และการเปลี่ยนรู ปของ
โครงสร้างที่กาํ ลังสนใจ ภายใต้กรอบของมาตรฐานที่นิยมใช้และเป็ นที่ยอมรับ
2
1.5.6 ขั้นตอนการเขียนรายละเอียดผลของการออกแบบ
ในขั้น ตอนนี้ มองได้ว่ า เป็ นบทสรุ ป ของกระบวนการวิ เ คราะห์ แ ละออกแบบ
โครงสร้างจะผิดพลาดไม่ได้ แม้วา่ จะปฎิบตั ิตามขั้นตอนที่ 1 ถึงขั้นตอนที่ 5 อย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว
หากการให้รายละเอียดไม่ถูกต้องตามแบบจําลองโครงสร้างและมาตรฐานแล้ว การออกแบบตาม
ขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาถือว่าล้มเหลว เมื่อนําไปใช้ก่อสร้างจริ งอาจนํามาซึ่ งการสู ญเสี ยทั้งชีวิตและ
ทรัพย์สินได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของการใช้งานอาคารนั้นๆ
การให้รายละเอียดผลของการออกแบบในที่น้ ี ประกอบด้วย 2 ส่ วนหลัก คือ ส่ วนที่
หนึ่ ง การให้ร ายละเอี ย ดขนาดของหน้า ตัด ปริ ม าณและการวางเหล็ก เสริ ม ส่ ว นที่ ส อง การให้
รายละเอียดของจุดต่อระหว่างองค์อาคารต่างๆ และจุดต่อระหว่างองค์อาคารที่ต่อเนื่ องกับส่ วนที่เป็ น
ฐานรองรับ ในเบื้องต้นแนะนําให้ศึกษาเพิ่มเติมได้จากตํารารายละเอียดเหล็กเสริ มงานคอนกรี ต ชมรม
วิศวกรรมโยธาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงแบบมาตรฐานของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมโยธาธิ การ
และผังเมือง ลฯ ดังแสดงในภาพที่ 1.1
มีคานรับ
ชานพักบันได
(ก) แบบแปลนด้านวิศวกรรมโครงสร้าง
ไม่มีคานรับ
ชานพักบันได แผ่นพื้นสําเร็ จรู ปวางตั้ง
ฉากคาน B1
(ข) แบบแปลนด้านสถาปัตยกรรม
ภาพที่ 1.2 แสดงการขัดแย้งกันของคานรองรับระหว่างแบบแปลนด้านวิศวกรรมโครงสร้างและแบบ
แปลนด้านสถาปั ตยกรรม
ที่มา (กรมโยธาธิการและผังเมือง, ออนไลน์, 2548)
0 0
12
มีแผ่นพื้นสําหรับ ไม่มีแผ่นพื้นวางบนดิน
จอดรถยนต์ สําหรับจอดรถยนต์
SG S PS
PS
S ST
ค่า I สู ง = BL3/12
(แข็งแรง)
ด้ านกว้ าง B
ค่า I ตํ่า = B3L/12
(อ่อนแอ)
ด้ านยาว L
ภาพที่ 1.4 แสดงทิศทางการวางตัวของส่ วนต่างๆของโครงสร้างตามหลักการโมเมนต์ความเฉื่ อยของ
พื้นที่
15
สามารถวางไว้บนแผ่นพื้นได้โดยตรง แต่ในขั้นตอนของการวิเคราะห์แผ่นพื้น
จะต้องทําการแปลงนํ้าหนักของผนังไปเป็ นนํ้าหนักบรรทุกแผ่สมํ่าเสมอ
13) ทิศทางการวางหน้าตัดเสา (โดยเฉพาะกรณี ของหน้าตัดรู ป 4 เหลี่ยมผืนผ้า) ควร
วางให้ ห น้ า กว้า งของเสา (หรื อ ความลึ ก ) อยู่ใ นทิ ศ ทางขนานด้า นสั้ นของ
โครงสร้างอาคาร
14) ทิศทางการวางหน้าตัดเสา (ที่เสริ มเหล็กแบบไม่สมมาตร) ควรวางหน้าตัดเสา
ด้านที่มีการวางเหล็กแกนที่ทาํ ให้เกิดโมเมนต์ความเฉื่ อยของพื้นที่มากสุ ด อยู่
ในทิศทางขนานด้านสั้นของโครงสร้างอาคาร
15) การวางฐานราก ควรวางด้านยาวอยูใ่ นทิศทางขนานด้านสั้นของโครงสร้าง
16) กรณี ฐานรากแผ่รูปทรงสี่ เหลี่ ยมจัตุรัส ควรวางในลักษณะที่ เหล็กเสริ มล่ าง
(เหล็กหลัก) มีทิศทางขนานด้านสั้นของโครงสร้างอาคาร
17) กรณี ฐานราเสาเข็ม ควรวางกลุ่มเสาเข็มในทิศทางที่กระจายห่ างจากเสาตอม่อ
มากสุ ด ให้มีทิศทางขนานด้านสั้นของโครงสร้างอาคาร
1.12 บทสรุป
ในการวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้างนอกจากจะต้องรู ้และเข้าใจขั้นตอนหลักของการ
ออกแบบแล้ว ผูเ้ รี ยนจําเป็ นต้องมีองค์ความรู ้พ้ืนฐานที่สาํ คัญในบางประการควบคู่กนั ไปด้วยเสมอ ใน
4 ส่ วน ดังนี้ คือ ส่ วนที่หนึ่ ง อย่างน้อยที่สุดต้องสามารถอ่านและเคลียร์ แบบก่อสร้างได้ ซึ่ งส่ งผล
โดยตรงต่ อการวางผังขององค์อาคารต่ างๆของโครงสร้ างอาคาร และช่ ว ยลดการขัด แย้งของแบบ
ก่อสร้างในขณะก่อสร้างจริ ง ส่ วนที่สอง ต้องเข้าใจหลักการวางผังขององค์อาคารต่างๆของโครงสร้าง
อาคาร ทั้งนี้ โดยรวมก็เพื่อช่วยเสริ มในส่ วนของความมัน่ คงและแข็งแรงของอาคาร ส่ วนที่สาม ต้องรู ้
หลักการส่ งถ่ายแรงและลําดับการออกแบบองค์อาคารต่างๆของอาคาร ซึ่ งจะทําให้เรารู ้ว่าควรจะวาง
ลําดับการวิเคราะห์และออกแบบองค์อาคารอะไรก่อนและหลัง ส่ วนที่สี่ ต้องรู ้วิธีการจัดกลุ่มขององค์
อาคารต่างๆซึ่ งจะช่วยทําให้การวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้างสะดวกและรวดเร็ วยิง่ ขึ้น แต่ตอ้ งไม่
ลืมเรื่ องของระบบหน่วยวัด ซึ่ งต้องเข้าใจวิธีการแปลงหน่วยไปมาระหว่างระบบหน่ วยวัดต่างๆ ทั้งนี้
เพราะการวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้างต้องถูกต้องทั้งในส่ วนเชิงตัวเลขและหน่วยวัดด้วยเสมอ
บทที่ 2
2.1 ความหมาย
นํ้าหนักบรรทุก ในที่น้ ี หมายถึง ระบบแรงภายนอกทั้งหมด (ทั้งที่เกิดโดยเงื่อนไขของ
ธรรมชาติและเงื่ อนไขโดยผูใ้ ช้อาคารหรื อมนุ ษย์) ที่เมื่อกระทําต่อโครงสร้ างแล้ว ส่ งผลให้เกิ ด
ระบบแรงภายในและการเปลี่ยนรู ปต่อโครงสร้างนั้นๆ
24
ตามมาตรฐานของ AASHTO
0 ที่มา (Federal Highway Administration, Online, 2005)
0
Pn = แรงลมกระทําในแนวตั้งฉาก
ด้านต้นลม กับหลังคา = (2Psinθ)/(1+sin2θ)
ด้านท้ายลม
θθ
P = แรงลมกระทําในแนวราบตั้งฉากกับตัวอาคาร
0 ภาพที่ 2.6 แสดงผลของแรงลมกระทําต่อหลังคาและตัวอาคาร
b1 b2
B
b1/2 b2/2 h1
F = P x พ.ท. รอบจุดต่อ
= P x (B x H), kg./จุดต่อ
h1/2 h1
H
h2/2
F
หน่วยเมอร์แคลลี่ เขตพื้นที่ 2 (Zone 2A) มีความรุ นแรง 5 - 7 หน่วยเมอร์ แคลลี่ เขตพื้นที่ 3 (Zone
2B) มีความรุ นแรง 7 - 8 หน่วยเมอร์แคลลี่ อาคารที่อยูใ่ นเขตนี้อาจเสี ยหายปานกลาง
ผลของนํ้าหนักบรรทุกจากแรงแผ่นดิ นไหวทําให้เกิดแรงเฉื อนที่ส่วนฐานของ
อาคาร ซึ่ งในปั จจุบนั มีวิธีการวิเคราะห์หาแรงดังกล่าวอยู่ 2 วิธี กล่าวคือ วิธีที่หนึ่ ง เรี ยกว่าวิธีทาง
พลศาสตร์ ซึ่ ง เป็ นวิ ธี ที่ ล ะเอี ย ดและถู ก ต้อ ง แต่ ค่ อ นข้า งยุ่งยาก วิ ธี ที่ส อง เรี ย กว่า วิ ธี แ รงสถิ ต
เทียบเท่า ซึ่ งเป็ นวิธีที่ง่าย สะดวกและรวดเร็ ว ไม่ยงุ่ ยากเหมือนวิธีทางพลศาสตร์ แต่ในที่น้ ี ผเู ้ ขียน
จะกล่าวถึงเฉพาะวิธีแรงสถิตเทียบเท่า เท่านั้น ซึ่ งสมาคมวิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทยอนุโลม
ให้ใช้วิธีน้ ีแทนวิธีทางพลศาสตร์ได้ แต่โครงสร้างอาคารต้องอยูภ่ ายใต้กรอบข้อจํากัดบางประการ
เช่น รู ปทรงโดยรวมของอาคารต้องมีความสมมาตร และมีความสู งได้ไม่เกิน 75 เมตร ที่สาํ คัญคือ
แรงดังกล่าวจะต้องจัดวางให้กระทําผ่านจุดศูนย์กลางมวล (cm.) และจุดศูนย์กลางความแข็งเกร็ ง
(cr.) ของโครงสร้างเท่านั้น ดังแสดงในภาพที่ 2.11 แต่ให้พึงระวังในกรณี ที่แรงกระทําในแนวราบ
มีท้ งั แรงลมและนํ้าหนักบรรทุกจากแรงแผ่นดินไหวพร้อมๆกัน ตามกฎกระทรวง กําหนดการรับ
นํ้าหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคารและพื้นดิ นที่รองรั บอาคารในการต้านทาน
แรงสัน่ สะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2550 ข้อที่ 4 ระบุไว้ว่าในการวิเคราะห์และออกแบบส่ วน
ต่ า งๆของโครงสร้ า งอาคาร ให้ใ ช้ผ ลที่ ม ากที่ สุ ด ที่ เ กิ ด จากแรงลมและนํ้า หนัก บรรทุ ก จากแรง
แผ่นดินไหวค่าใดค่าหนึ่งเท่านั้น
การคิดผลของแรงลมและนํ้าหนักบรรทุกจากแรงแผ่นดินไหวที่มีต่อโครงสร้าง
นั้น ตามหลักการที่ถูกต้องแล้วจะต้องให้แรงทั้งสองส่ วนกระทําอย่างน้อยใน 2 แนวแกนที่ต้ งั ฉาก
กัน เสมอ แต่ ถ ้า หากต้อ งการผลที่ ล ะเอี ย ดมากยิ่ง ขึ้ น จะต้อ งให้แ รงทั้ง สองส่ ว นกระทํา ใน 2
แนวแกนที่ต้ งั ฉากกันและกระทําเป็ นมุมเอียงกับโครงสร้างอาคารด้วย เช่น นํ้าหนักบรรทุกกรณี ที่ 3
: 0.75[นํ้าหนักบรรทุกคงที่ (DL) + นํ้าหนักบรรทุกจรบนอาคาร (LL) + แรงลม (WL) หรื อนํ้าหนัก
บรรทุกจากแรงแผ่นดินไหว (EQ)] สามารถทําได้ดงั นี้ 0.75[(DL) + (LL) + (WLx)], 0.75[(DL) +
(LL) + (WLy)], 0.75[(DL) + (LL) + (WLxy)], 0.75[(DL) + (LL) + (WLx)], 0.75[(DL) + (LL) +
(WLy)], 0.75[(DL) + (LL) + (WLxy)]
40
2D
3D F4
F4
F3 F3
F2 F2
F1 F1
เมื่อ
V = แรงเฉื อนกระทําที่ฐานของโครงสร้าง (มีผรู ้ ู ้แนะนํา 0.10W ≤ V ≤ 0.35W)
Z = สปส. ขึ้นอยูก่ บั เขตแผ่นดินไหว
− zone 1; Z = 0.1875
− zone 2; Z = 0.375
I = สปส. ขึ้นอยูก่ บั ความสําคัญของโครงสร้าง (1.00-1.50)
− โรงพยาบาล สถานีดบั เพลิง อาคารศูนย์สื่อสาร = 1.50
− อาคารที่ชุมนุมคนครั้งหนึ่งๆ เกิน 300 คน = 1.25
42
− อาคารอื่น ๆ = 1.00
K = สปส. ขึ้นอยูก่ บั ประเภทของโครงสร้าง (0.67-1.33)
− โครงสร้างที่ให้กาํ แพงรับแรงเฉื อน หรื อโครงแกงแนงรับแรง
ทั้งหมดแนวราบ ใช้ = 1.33
− โครงข้อแข็งรับแรงทั้งหมดแนวราบใช้ = 0.67
− โครงสร้ างที่ ออกแบบให้โครงข้อแข็งรั บแรงร่ วมกับกําแพงรั บ
แรงเฉื อนหรื อโครงแกงแนงรับแรงทั้งหมดแนวราบใช้ = 0.80
− หอถังนํ้า รองรับด้วยเสาไม่นอ้ ยกว่า 4 ต้นและมีแกงแนงยึดไม่ได้
ตั้งอยูบ่ นอาคารใช้ = 2.50
− โครงอาคารอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ใช้ = 1.00
C = สปส. ขึ้นอยูก่ บั คุณสมบัติทางพลศาสตร์ของโครงสร้าง
1 0.90h
− C = 15√T ≤ 0.12 และ T = โดย h = ความสู งทั้งหมด
√D
และ D = ความกว้างอาคารด้านที่ขนานนํ้าหนักบรรทุกจากแรง
แผ่นดินไหว (โดย 0.12 ≤ KC ≤ 0.25)
S = สปส. ความสัมพันธ์ระหว่างชั้นดินและโครงสร้าง (1.00-1.50)
− S ชั้นหิ น = 1.0
− S ชั้นดินแข็ง = 1.2
− S ชั้นดินอ่อน = 1.5
W = นํ้าหนักบรรทุกคงที่ท้ งั หมดของโครงสร้าง
Ft = แรงกระทําด้านข้างชั้นบนสุ ด = 0.07TV ≤ 0.25V
Fi = แรงที่ได้จากการกระจายแรงเฉื อนที่ฐานไปเป็ นแรงกระทําด้านข้างยังชั้น
ต่างๆ
43
F3 W3h3
h3
F2 W2h2
Fi h2 Wxhx
F1 W1h1
h1
V
D
วัสดุในงานออกแบบองค์ อาคารของโครงสร้ าง
แม้ว่าจะเข้าใจในกระบวนการวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้างมาบ้างแล้วเป็ นอย่างดี
แต่ถา้ หากยังขาดซึ่ งองค์ความรู ้พ้ืนฐานที่จาํ เป็ นของวัสดุ ซึ่ งจะใช้ในการออกแบบองค์อาคารของ
โครงสร้างแล้ว การออกแบบดังกล่าวทั้งหมดก็ไม่อาจเสร็ จสมบูรณ์ได้ ดังนั้นเนื้อหาในบทนี้จึงเน้น
ไปที่องค์ความรู ้ พ้ืนฐานด้านคุณสมบัติของวัสดุ ที่จาํ เป็ นและเพียงพอต่อการออกแบบโครงสร้าง
อาคารในเชิงปฏิบตั ิ โดยไม่เน้นไปในทางทฤษฎีและวิธีการทดสอบวัสดุ ประกอบด้วย องค์ความรู ้
ด้านคอนกรี ต ด้านเหล็กเสริ มคอนกรี ต ด้านเหล็กรู ปพรรณ ด้านดินและเสาเข็มรองรับฐานราก แต่
พึงระลึกอยู่เสมอว่าในการเลือกใช้วสั ดุ น้ ัน อย่างน้อยที่สุดต้องมีคุณสมบัติเป็ นไปตามมาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เสมอ
3.1 คอนกรีต
เป็ นวัส ดุ ที่ สํา คัญ ในการก่ อสร้ างองค์อ าคารมากว่ า วัสดุ ประเภทอื่ น ๆ แต่ สิ่ ง ที่ วิศ วกร
ผูอ้ อกแบบต้องการหรื อคาดหวังจากคอนกรี ต คือ กําลังอัด กําลังเฉื อนและความคงทน ซึ่ งทั้ง 3
ส่ วนขึ้ น อยู่กับอัตราส่ วนนํ้าต่ อสารซี เมนต์และกระบวนการในการผลิ ต คอนกรี ต และในการ
ออกแบบองค์อาคารของโครงสร้าง มาตรฐานการออกแบบระบุให้ใช้คุณสมบัติของคอนกรี ตต้อง
เป็ นไปตามมาตรฐาน มอก. และควรมีการเก็บแท่งตัวอย่างคอนกรี ตเพื่อทดสอบคุณสมบัติ ซึ่ ง
จะต้องระบุไว้ในรายการประกอบแบบด้วย
3.1.1 กําลังอัดของคอนกรีต
ตามมาตรฐานสําหรับอาคารคอนกรี ตเสริ มเหล็กโดยวิธีหน่ วยแรงใช้งาน ภาค 1
ข้อที่ 1201 และกฎกระทรวงฉบับที่ 6 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
ได้ให้นิยามไว้วา่ กําลังอัดของคอนกรี ต หาได้จากการทดสอบแท่งตัวอย่างคอนกรี ตขนาด Ø 15 cm.
x 30 cm. ซึ่งผสมด้วยปูนซีเมนต์ปอร์ดแลนด์ประเภทที่ 1 บ่มชื้นที่อายุ 28 วัน ตามวิธีการที่ระบุไว้ใน
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เลขที่ มอก. 409
46
3.1.3 คุณสมบัติของคอนกรีต
คอนกรี ต เป็ นที่ ทราบโดยทัว่ ไปแล้วว่าเป็ นวัสดุ ที่มีคุณสมบัติเด่ นด้านการรั บ
แรงอัด และแรงเฉื อนได้ดี แต่ ใ นกระบวนการของการวิ เคราะห์ แ ละออกแบบโครงสร้ า งนั้น
จําเป็ นต้องทราบค่าคุณสมบัติพ้ืนฐานที่สาํ คัญด้วย เช่น
1) หน่วยนํ้าหนัก
3
− คอนกรี ตล้วน = 2,323 kg/m.
3
− คอนกรี ตเสริ มเหล็ก = 2,400 kg/m.
3
− คอนกรี ตอัดแรง = 2,450 kg/m.
2) สัมประสิ ทธ์การขยายตัวเชิงเส้นเนื่องจากอุณหภูมิ
6
− คอนกรี ตล้วน = 9.4 x 10 cm./cm.°C
6
− คอนกรี ตเสริ มเหล็ก = 7.7 x 10 cm./cm.°C
3) โมดูลสั ยืดหยุน่ = 4,270 x ω1.5 x √fc’ ksc.
48
3.2 เหล็กเสริมคอนกรีต
เป็ นวัส ดุ ที่ สํา คัญ ในการก่ อ สร้ า งองค์อ าคารคอนกรี ต เสริ ม เหล็ก แต่ สิ่ ง ที่ วิ ศ วกร
ผูอ้ อกแบบต้องการหรื อคาดหวังจากเหล็กเสริ ม คือ กําลังดึงและความคงทน และในการออกแบบ
องค์อาคารของโครงสร้าง มาตรฐานการออกแบบระบุให้ใช้คุณสมบัติของเหล็กเสริ มต้องเป็ นไป
ตามมาตรฐาน มอก. และควรมีการเก็บตัวอย่างเพื่อทดสอบคุณสมบัติ ซึ่งจะต้องระบุไว้ในรายการ
ประกอบแบบด้วย
โดยทัว่ ไปเหล็กเสริ มที่ผลิตในประเทศไทย มีคุณสมบัติพ้นื ฐานที่สาํ คัญหรื ออีกนัยหนึ่ง
คือ ค่าคงที่ สําหรับใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบ ดังนี้
–6 0
− สัมประสิ ทธ์การขยายตัวเชิงเส้นเนื่ องจากอุณหภูมิ = 13 × 10 cm./cm. C
− โมดูลส ั ยืดหยุน่ = 2.0 – 2.1 × 106 ksc.
3
− หน่ วยนํ้าหนัก 7,850 kg./m.
2) เมื่อรับนํ้าหนักบรรทุกอัด
− กรณี ในเสาปลอกเกลียว ให้ใช้ fs = 0.4fy แต่ไม่เกิน 2,100 ksc.
− กรณี ในเสาปลอกเดี่ ยว ให้ใช้ 0.85 เท่าในเสาปลอกเกลียวแต่ไม่เกิ น
1,750 ksc.
3.4 ดินรองรับโครงสร้ าง
สิ่ งปลูกสร้ า งทุก ประเภทบนโลกใบนี้ ล้ว นแล้วแต่วางตัวไม่ อยู่ในดิ นก็อยู่บนดิ น นั้น
หมายความว่าดินเป็ นส่ วนที่ทาํ หน้าที่พยุงสิ่ งปลูกสร้าง ด้วยเหตุน้ ี ดินจึงเป็ นวัสดุที่มีความสําคัญ
มากไม่ยงิ่ หย่อนไปกว่า คอนกรี ต เหล็กเสริ ม และเหล็กรู ปพรรณ ดังนั้นในการออกแบบองค์อาคาร
ของโครงสร้ างโดยเฉพาะส่ วนฐานราก ขนาดขององค์อาคารที่ออกแบบ ควรมี พ้ืนฐานมาจาก
คุณสมบัติของดิ นในบริ เวณพื้นที่ที่จะก่อสร้าง ซึ่ งในทางปฏิบตั ิ ค่าความสามารถในการรับแรง
แบกทานของดินในบริ เวณพื้นที่ที่จะก่อสร้าง สามารถทราบได้จาก 3 แนวทาง คือ
56
เป็ นไปตามที่ ได้ก าํ หนดเลื อกใช้ใ นขั้น ตอนของการวิ เคราะห์ แ ละออกแบบหรื อไม่ โดยวัส ดุ
บางอย่างสามารถทดสอบง่ายได้โดยตรงในสถานที่ก่อสร้าง เช่ น ดิน เสาเข็ม วัสดุบางอย่าง เช่น
คอนกรี ต เหล็กเสริ ม เหล็กรู ปพรรณ ไม่สามารถทดสอบได้โดยตรงในสถานที่ก่อสร้าง ก็ตอ้ งเก็บ
ตัวอย่างของวัสดุแล้วส่ งไปทดสอบคุณสมบัติต่างๆยังหน่วยงานหรื อสถาบันที่เชื่อถือได้
บทที่ 4
การเปลี่ยนรู ป ไม้และเหล็ก
อลูมิเนี่ยม
นํ้าหนักบรรทุกจร และทฤษฎีการออกแบบ
นํ้าหนักบรรทุกตายตัว แรงปฏิกิริยา 1.
นํ้าหนักบรรทุกจร แรงภายใน 2.
การเปลี่ยนรู ป 3.
การเปลี่ยนรู ป ไม้และเหล็ก
4.4 บทสรุ ป
อาจกล่าวโดยสรุ ปได้ว่า การที่จะสามารถออกแบบโครงสร้างได้น้ นั จะต้องมีองค์ความรู ้
พื้นฐานที่สาํ คัญ ดังนี้คือ
1. ต้องทราบเรื่ องมาตรฐานและข้อบัญญัติของการออกแบบโครงสร้าง
− สําหรับโครงสร้างคอนกรี ตเสริ มเหล็ก
− สําหรับโครงสร้างคอนกรี ตอัดแรง
− สําหรับโครงสร้างไม้และเหล็ก
2. ต้องทราบเรื่ องคุณสมบัติพ้ืนฐานของวัสดุที่ใช้ออกแบบโครงสร้าง
− กรณี อ อกแบบโครงสร้ า งคอนกรี ต เสริ ม เหล็ก ต้อ งทราบคุ ณ สมบัติ ข อง ดิ น
เสาเข็ม คอนกรี ต เหล็กเสริ มคอนกรี ต
− กรณี ออกแบบโครงสร้ างคอนกรี ตอัดแรง ต้องทราบคุ ณ สมบัติ ของ คอนกรี ต
ลวดอัดแรงกําลังสูง
− กรณี ออกแบบโครงสร้ างไม้และเหล็ก ต้องทราบคุณสมบัติของ ไม้ ตะปูหรื อ
สลักเกลียว เหล็กรู ปพรรณ และลวดเชื่อม
3. ต้องทราบวิธีในการคํานวณหานํ้าหนักบรรทุก
− โดยต้องอ่านแบบก่อสร้างได้
− จัดแบ่งกลุ่มของนํ้าหนักบรรทุก เพื่อให้ได้ค่าแรงภายในสู งสุ ด โดยปกติใช้ตาม
มาตรฐานหรื อข้อบัญญัติของการออกแบบโครงสร้าง
4. ต้องทราบเรื่ องการส่ งถ่ายแรง ซึ่ งเกี่ยวเนื่ องโดยตรงกับลําดับการออกแบบองค์อาคาร
ของโครงสร้าง
5. ต้องทราบวิธีการสร้างแบบจําลองโครงสร้างเพื่อการวิเคราะห์ ทั้งในส่ วนของนํ้าหนัก
บรรทุกและองค์อาคารของโครงสร้าง ซึ่งแต่ละส่ วนต้องถูกต้องและเหมาะสม หรื อเข้า
ใกล้ความจริ งให้มากที่สุด
6. ต้องทราบวิธีการวิเคราะห์โครงสร้าง
− วิธีอย่างง่ายหรื อวิธีโดยประมาณ ด้วยการใช้สมการหรื อตารางสําเร็ จรู ปรวมถึง
หลักการรวมผล
− วิธีโดยละเอียด เช่น สมการสามโมเมนต์ การกระจายโมเมนต์ ลฯ
7. ต้องทราบวิธีการออกแบบองค์อาคารของโครงสร้างในแต่ละส่ วน
8. ต้องทราบเรื่ องการเขียนแบบแสดงรายละเอียดของการออกแบบ
64
บทที่ 5
5.2 การออกแบบแปหรือระแนง
มีวิธีการ ขั้นตอน และสมการที่ใช้ในการออกแบบแต่ละขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1) ข้อมูลที่ตอ้ งทราบก่อนการออกแบบ
(1) ความยาวจริ งตามแนวแกน (L; m.)
(2) ความลาดเอียงของโครงหลังคา (θ)
(3) ชั้นคุณภาพของเหล็กที่เลือก (ทราบค่า Fy และ Fu)
(4) นํ้าหนักบรรทุก
(5) แรงรวมที่กระทําในแนวดิ่ง = ω; ดังนั้นแรง กระทําในแนวแกนต่างๆ คือ
− กรณี ไม่มีเหล็กท่อนกันโก่ง
− ωx = ωSin (θ)
− ωy = ωCos (θ)
2
− Mx = ωCosθL /8
2
− My = ωSinθL /8
− กรณี มีเหล็กท่อนกันโก่ง โมเมนต์ในแนวแกน y ที่จะนําไปตรวจสอบหน่ วย
แรงดัดหาได้ดงั นี้
2
− My = ωSinθL /8 เมื่อไม่ใส่ เหล็กท่อนกันโก่ง
2
− My = ωSinθL /32 เมื่อใส่ เหล็กท่อนกันโก่งที่กลางช่วงแป
2
− My = ωSinθL /175 เมื่อใส่ เหล็กท่อนกันโก่งที่ระยะทุกๆ L/3
67
ω
ωy
ωx
y
x
θ
2) ขั้นตอนการออกแบบ
−
หมายเหตุ: กรณี ต่อด้วยสลักเกลียวให้บวกเพิ่มสมการทั้ง 2 ด้วยพื้นที่ของรู เจาะ
(2) นําไปเปิ ดตารางเหล็กรู ปพรรณ เพื่อเลือกขนาดหน้าตัด
3) ตรวจสอบขนาดหน้าตัดเหล็กที่เลือกจากตารางเหล็ก 2 ส่ วน (ซึ่งต้องผ่าน) คือ
−
−
หมายเหตุ: กรณี ต่อด้วยสลักเกลียวให้บวกเพิ่มสมการด้วยพื้นที่ของรู เจาะ
นําไปเปิ ดตารางเหล็กรู ปพรรณ เพื่อเลือกขนาดหน้าตัดของเหล็ก
3) ตรวจสอบขนาดเหล็กที่เลือกจากตารางเหล็ก 2 ส่ วน (ซึ่งต้องผ่าน) คือ
ถ้า
ถ้า
− หาค่าโมดูลสั หน้าตัดจาก
− จากนั้นนําไปเปิ ดตารางเหล็กรู ปพรรณ แล้วเลือกขนาดหน้าตัดเหล็ก
4) ตรวจสอบขนาดเหล็กที่เลือกจากตารางเหล็ก ใน 3 ส่ วน คือ
(2)
(3) Sx′ ∗ fb′ ≥ M
เมื่อ d = ความลึกของหน้าตัด
t w = ความหนาของแผ่นเอว
Sx’ = โมดูลสั หน้าตัดของขนาดหน้าตัดที่เลือกออกแบบ
ค่า fb’ หาได้จากการเปรี ยบเทียบค่าของระยะคํ้ายันจริ ง (Lb; m.) กับค่าระยะ
D t
0.707D
0.707D
D
t=D
(1) ความหนาของแผ่นเหล็กประกับ
(2) การหาความหนาที่ถูกต้องแม่นยําเป็ นเรื่ องยาก เพื่อความสะดวกอาจเลือกใช้
ดังนี้
(3) การเลือกใช้จากประสบการณ์ทาํ งาน (ความชํานาญ)
(4) ไม่นอ้ ยกว่าความหนาตํ่าสุ ดของกลุ่มองค์อาคารที่มาต่อ
(5) ไม่นอ้ ยกว่าขนาดของขาเชื่อม แต่ไม่ควรตํ่ากว่า 6 mm.
R
R
t
B
เสา
L
0.6wCosθ
0.6w
แรงลม w 0.6wCosθ
0.6w
0.6wCosθ A
0.6w
แรงลม w 0.6wCosθ/2
0.6w P
P
แรงลม w θ
P
P/2
R
t
B
R
เสา
∆L ∆L
Ø + 3 mm.
เมื่อ ∆L = ความยาวที่เปลี่ยนแปลงไป; m.
L = ความยาวเดิม; m.
∆T = การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ = Tmax.–Tmin.; ๐C
∝ = สัมประสิ ทธ์การขยายตัวเชิงเส้นเนื่องจากอุณหภูมิ; m./m./๐C
= 13x10-6
m n
(2) ความหนาของแผ่นเหล็กรอง
2
− fmax = [P/(BL)] + [(6M)/(BL )]
2
− fmin = [P/(BL)] - [(6M)/(BL )]
− fp = fmin + [(L+d)/(2L)][fmax-fmin]
− M = (1.95)[(fp+fmax)((L-d)/2)((L-d)/4)]; kg.-m. (ค่ า
โดยประมาณ)
− t = √[(6M)/(0.75Fy)]; cm.
(3) ขนาดและจํานวนของสลักสมอหรื อสลักเกลียวยึดฐานเสา
ในเบื้องต้นแรงกระทําด้านข้างอาจใช้ค่าประมาณอยูท่ ี่ 10% - 35% ของนํ้าหนัก
บรรทุก
2
− A ≥ H/(0.40Fy); cm.
2
− n = A/[(π Ø )/4]; ตัว/ฐาน
(2) กรณี เมื่อ [P/(BL)] - [(6M)/(BL2)] เป็ นลบ (รับโมเมนต์ดดั มาก e = M/P ≥ L/6)
(1) ขนาดของแผ่นเหล็กรองฐานเสา (แทนค่าแล้วทําให้หน่วยแรงไม่เกิน 0.25fc’)
2
− [P/(BL)] + [(6M)/(BL )] ≤ 0.25Fc’
(2) ความหนาของแผ่นเหล็กรอง
− x = 3[(L/2)-(M/P)]; m.
83
2) เมื่อต่อด้วยการเชื่อม
− แรงเฉื อนที่รอยเชื่อมรับได้ Fv = (0.707D)x(fv); kg./unit length
− ดังนั้นความยาวรอยเชื่อมที่ตอ ้ งการ L = F/Fv; cm.
เมื่อ F = แรงกระทํา; kg.
Ab = พื้นที่หน้าตัดของสลักเกลียว; cm.2
fv = หน่วยแรงเฉื อนที่ยอมให้ของสลักเกลียวหรื อรอยเชื่อม; ksc.
fb = หน่วยแรงแบกทานที่ยอมให้ของสลักเกลียว; ksc.
n = จํานวนระนาบ
D = ขนาดของรอยเชื่อม; cm.
L = ความยาวของรอยเชื่อม; cm.
t = ความหนาของเหล็ก; cm.
∅ = เส้นผ่าศูนย์กลางของสลักเกลียว; cm.
1) เมื่อต่อด้วยสลักเกลียว
− ในการออกแบบต้องตรวจสอบในทั้ง 2 ส่ วน แล้วเลือกใช้ค่ามากสุ ด
− แรงเฉื อนที่สลักเกลียวรับได้ Fv = n(Ab)x(fv); kg./bolt
ดังนั้นจํานวนสลักเกลียวที่ตอ้ งการ N1 = T/Fv; bolts
− แรงแบกทานที่สลักเกลียวรับได้ Fb = n(∅t)x(fb); kg./bolt
ดังนั้นจํานวนสลักเกลียวที่ตอ้ งการ N2 = T/Fb; bolts
− แรงเฉื อนโดยตรง
Vx1 = Px/L, Vy1 = Py/L
− แรงเฉื อนทางอ้อม
Xav = ((L21/2)+(L23/2))/L, Yav = (L22/2)/L
Ix = (L32/12)+(L1+L2)(L2/2)2
Iy = (L31/12)+L1((L1/2)-Xav)2+(L33/12)+L3((L3/2)-Xav)2+L2(Xav)2
Vx2 = (M)(Ymax)/(Ix+Iy), Vy2 = (M)(Xmax)/(Ix+Iy),
− แรงเฉื อ นสุ ท ธิ ม ากที่ สุ ด ที่ ก ระทํา ต่ อ รอยเชื่ อ ม (ไกลสุ ด ) V =
2 2
√[(Vx1+Vx2) +(Vy1+Vy2) ] ≤ กําลังรับแรงเฉื อนของรอยเชื่อม
เมื่อ P = แรงกระทํา; kg.
e = ระยะเยื้องศูนย์; cm.
Vx1, Vy1 = แรงเฉื อนตัวที่ 1 ในแนวแกน x และแกน y ตามลําดับ; kg.
Vx2, Vy2 = แรงเฉื อนตัวที่ 2 ในแนวแกน x และแกน y ตามลําดับ; kg.
M = ผลรวมโมเมนต์บิดรอบจุด cg. เนื่องจากแรงย่อยของแรง P เยื้องศูนย์;
kg.-cm.
= Σ(Mx+My) บวก/ลบ ตามทิศทางการหมุนโดย Mx = (Py)(ex),
My = (Px)(ey)
Xav, Yav = ตําแหน่งจุด cg. ของรอยเชื่อม; cm.
L1, L2, L3 = ความยาวของรอยเชื่อมแต่ละส่ วน; cm.
L = ผลรวมความยาวทั้งหมดของรอยเชื่อม; cm.
Ix, Iy = โมเมนต์ที่สองของพื้นที่ของรอยเชื่อมรอบแกน x และ y ตามลําดับ;
cm.4
Xmax = ระยะตามแนวแกน x ของรอยเชื่อมส่ วนที่ไกลสุ ดวัดจากจุด cg.; cm.
Ymax = ระยะตามแนวแกน y ของรอยเชื่อมส่ วนที่ไกลสุ ดวัดจากจุด cg.; cm.
5.10.4 การออกแบบจุดต่ อเพื่อรั บแรงเฉือนและโมเมนต์ ดัด (หรื อรั บแรงเยือ้ งศู นย์ นอก
ระนาบ)
ในที่น้ ี วิธีการวิเคราะห์หาแรงต่างๆที่เกิดบริ เวณจุดต่อเป็ นวิธี Elastic Analysis ซึ่ ง
ระบบแรงที่เกิดขึ้นประกอบด้วย แรงเฉื อนโดยตรงและแรงดึงทางอ้อม ที่เกิดจากโมเมนต์เนื่ องจากแรง
เยื้องศูนย์
93
1) เมื่อต่อด้วยสลักเกลียว
− แรงเฉื อนโดยตรง
V = P/A; kg. ≤ กําลังรับแรงเฉือนของรอยเชื่อม
− แรงดึงทางอ้อม (แรงดึงสู งสุ ดในรอยเชื่อม)
T = PeC/Ix; kg. ≤ กําลังรับแรงดึงของรอยเชื่อม
2 2
− แรงเฉื อนสุ ทธิ มากที่สุดที่กระทําต่อรอยเชื่ อม V = √[(V) +(T) ] ≤ กําลังรับ
แรงเฉื อนของรอยเชื่อม
เมื่อ P = แรงกระทํา; kg.
A = พื้นที่หน้าตัดของกลุ่มรอยเชื่อม; cm.2
e = ระยะเยื้องศูนย์; cm.
C = ระยะจากจุด cg. ไปยังรอยเชื่อมที่ไกลสุ ด; cm.
Ix = โมเมนต์ที่สองของพื้นที่ของกลุ่มรอยเชื่อม (ขนาด 1 หน่วย)
รอบแกน x ที่จุด cg.; cm.4
95
1) เมื่อต่อด้วยสลักเกลียว
− แรงเฉื อนที่สลักเกลียวรับได้ Fv = (Ab)x(fv); kg./bolt
ดังนั้นจํานวนสลักเกลียวที่ตอ้ งการ N1 = Py/Fv; bolts
− แรงแบกทานที่สลักเกลียวรับได้ Fb = (∅t)x(fb); kg./bolt
ดังนั้นจํานวนสลักเกลียวที่ตอ้ งการ N2 = Py/Fb; bolts
− แรงดึงที่สลักเกลียวรับได้ Ft = (Ab)x(ft); kg./bolt
ดังนั้นจํานวนสลักเกลียวที่ตอ้ งการ N3 = Px/Ft; bolts
2) เมื่อต่อด้วยการเชื่อม
− หน่ วยแรงเฉื อนที่รอยเชื่อมรับ fws = Py/DL; ksc.
− หน่ วยแรงดึงที่รอยเชื่อมรับ fwt = Px/DL; ksc.
2 2
− ดังนั้นหน่ วยแรงเฉื อนทั้งหมดที่เกิด fw = √[(fws) +(fwt) ]; ksc. ≤ กําลังรับ
แรงเฉื อนของรอยเชื่อม
เมื่อ P = แรงกระทํา; kg.
Py = แรงกระทําในแนวแกน y หรื อแรงเฉือน; kg.
Px = แรงกระทําในแนวแกน x หรื อแรงดึง; kg.
Ab = พื้นที่หน้าตัดของสลักเกลียว; cm.2
fv = หน่วยแรงเฉื อนที่ยอมให้ของสลักเกลียวหรื อรอยเชื่อม; ksc.
fb = หน่วยแรงแบกทานที่ยอมให้ของสลักเกลียว; ksc.
ft = หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ของสลักเกลียว; ksc.
D = ขนาดของรอยเชื่อม; cm.
L = ความยาวของรอยเชื่อม; cm.
t = ความหนาของเหล็ก; cm.
∅ = เส้นผ่าศูนย์กลางของสลักเกลียว; cm.
N = จํานวนสลักเกลียว
99
1) ออกแบบเหล็กฉาก
− ความยาวของขาเหล็กฉากที่ตอ ้ งการ N = (R/(tw(0.75Fy)))-k; cm.
− ระยะ e = (N/2)+0.30-t; cm.
2
− ความหนาเหล็กฉาก t = (-R+√(R +0.5FybR(N/2+0.30)))/(0.25Fyb); cm.
5.11 บทสรุป
การออกแบบโครงสร้างเหล็กรู ปพรรณ มีวิธีการเป็ นขั้นตอนที่ตายตัว จึงค่อนข้างง่ายไม่
ยุง่ ยากซับซ้อนเช่นกันกับในขั้นตอนของการวิเคราะห์โครงสร้าง แต่หลักการที่สาํ คัญและถูกต้องคือ
การออกแบบจะต้องออกแบบตามหลักการส่ งถ่ายแรง และต้องเป็ นไปตามมาตรฐานหรื อข้อบัญญัติ
ของการออกแบบเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิง่ ระยะแอ่นหรื อโก่งตัว จะต้องมีการตรวจสอบด้วยเสมอ
สมการและขั้นตอนการออกแบบโครงสร้างเหล็กรู ปพรรณ ในบทนี้ เป็ นเพียงพื้นฐานการ
ออกแบบเริ่ มแรกเท่านั้น หากเข้าใจในวิธีการและหลักการเบื้องต้นแล้ว ควรมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มใน
รายละเอียดของแต่ละหัวข้อที่ลึกซึ้งให้มาก
บทที่ 6
6.2.1 ติดตั้งโดยปกติทวั่ ไป
1) ดับเบิ้ลคลิ้กที่ไฟล์โปรแกรม OriginalMultiframe4D8.51
103
6.5 การทํางานของโปรแกรม
การใช้งานเพื่อการจําลองโครงสร้ างในแต่ละขั้นตอน (ตั้งแต่ตน้ จนจบ) ต้องสอดคล้องกับ
หน้าต่างการทํางานเท่านั้น ซึ่ งมีอยูด่ ว้ ยกัน 7 หน้าต่างคือ 1.Frame 2.Data 3.Load 4.Result 5.Plot
6.CalcSheet 7.Report ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อเราเปิ ดโปรแกรมขึ้นมาก็จะเข้าสู่ หน้าต่างของ Frame เอง
โดยอัตโนมัติ
110
ในขณะเดียวกันหากเราต้องการเพิ่มคุณสมบัติของวัสดุ ก็สามารถทําได้เช่นเดียวกัน
กับขั้นตอนดังที่ได้กล่าวมาก่อนแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนจาก Main Menu → Edit → Materials → Add
Materials…จะปรากฏหน้าต่าง Material ให้ทาํ การป้ อนค่าคุณสมบัติจนครบ จากนั้นคลิ้กที่ปุ่ม OK
115
การตั้งค่าการแสดงผลเชิงสัญลักษณ์น้ ี สามารถทําการปรับเปลี่ยนได้ตลอดการทํางาน
ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสม
บทที่ 7
จะปลากฎผลดังภาพที่แสดง
123
7.2 จําลอง (ขึน้ รู ปทรง) โครงสร้ าง: ทํางานในหน้าต่าง Frame (Window → 1Frame) เสมอ
สามารถกระทําได้ใน 3 วิธีการ คือ
1) การดึงเข้าจากไฟล์ขอ้ มูล CAD ซึ่งจะต้องเป็ นไฟล์นามสกุล DXF
124
1) การลบชิ้นส่ วน ให้คลิ้กเลือกชิ้ นส่ วนที่ตอ้ งการ → กดปุ่ ม Del หรื อคลิ้กที่ปุ่ม Delete
Member
2) การแบ่งชิ้นส่ วน ให้คลิ้กเลือกชิ้นส่ วนที่ตอ้ งการ → คลิ้กที่ปุ่ม Subdivide Member →
จากนั้นให้กาํ หนด No. of subdivisions และกําหนด Length (โดยการดับเบิ้ลคลิ้กเข้าไป
แล้วป้ อนค่าความยาว) จากนั้นคลิ้กที่ปุ่ม OK
6) การทําให้ชิ้นส่ วนโค้ง ให้คลิ้กเลือกชิ้นส่ วนที่ตอ้ งการ → ที่ Main Menu คลิ้กที่ Geometry
→ Convert Member to Arc…→ กําหนดชิ้ นส่ วนที่จะแบ่งย่อยออก (Number of
Segments) กําหนดขนาดของความโค้ง (Arc Size) กําหนดทิศทางที่ จะโค้ง (Radial
Direction) ตามระบบแกน Local Axes จากนั้นคลิ้กที่ปุ่ม OK
ใส่ จุดรองรั บให้กับจุ ดต่อ ด้วยการลากเม้าเลื อกจุ ดต่อที่ ตอ้ งการกําหนดให้เป็ นจุ ดรองรั บ
จากนั้นไปคลิ้กเลือกประเภทของจุดรองรับที่ Joint Toolbar
132
3) การถอดหรื อลบจุ ดรองรั บหรื อแก้ไ ขประเภทของจุ ด รองรั บ ให้เ ลื อกจุ ด ต่อที่ ตอ้ งการ
กําหนดค่า จากนั้น หากต้องแก้ไขประเภทของจุดรองรับ (หรื อใส่ จุดรองรับใหม่)ให้ไป
คลิ้กเลือกประเภทของจุดรองรับที่ Joint Toolbar ได้เลย หรื อหากต้องการถอดหรื อลบจุด
รองรับ ให้ไปคลิ้กเลือก ที่ Joint Toolbar ได้เลยเช่นเดียวกัน
ผลที่ได้ดงั ภาพที่แสดง
136
2) การลบหรื อยกเลิกนํ้าหนักบรรทุกที่ป้อนค่าไปแล้ว
7.7 ดูผลการวิเคราะห์ โครงสร้ าง: ทํางานในหน้าต่าง Result และ Plot (Window → 4Result หรื อ
Window 5Plot)
143
เมื่อคลิ้กเลือกแล้วจะปรากฏหน้าต่างดังภาพที่แสดง
ของชิ้นส่ วนที่ตอ้ งการออกแบบเสี ยก่อน เช่น Bending… Tension… Compression… Combined… และ
Steel Grade…ดังภาพที่แสดง
จากนั้นจะปรากฏหน้าจอของโปรแกรมขึ้นมา ดังภาพที่แสดง
156
3. จากนั้นดับเบิ้ลคลิ้กปุ่ มเม้าซ้ายที่รูปที่เราสร้างขึ้น
4. จากนั้นทําการกําหนดค่าคุณลักษณะพื้นฐานของรู ปร่ างหน้าตัด เช่น กว้าง ลึก หนา ลฯ
159
6. จะปรากฏผลดังภาพที่แสดง
จะปรากฏผลดังภาพที่แสดง
จะปรากฏผลดังภาพที่แสดง
165
9.2 เกณฑ์ กาํ หนดทีใ่ ช้ ในการออกแบบองค์ อาคาร: เป็ นไปตามข้ อบัญญัติกรุ งเทพมหานคร
9.2.1 คอนกรีต
1) องค์อาคารของโครงสร้ างใช้กาํ ลังอัด (แท่งตัวอย่างคอนกรี ตรู ปทรงกระบอก
หล่อด้วยปูนซี เมนต์ปอร์ ตแลนด์ประเภทที่ 1 บ่มชื้นต่อเนื่ อง 28 วัน) fc’ = 173
ksc.
2) หน่วยแรงอัดที่ผวิ fc = 0.375fc’ ≤ 65 ksc.
3) หน่วยแรงเฉื อนแบบคานกว้าง v = 0.29√fc’, ksc.
4) หน่วยแรงเฉื อนทะลวง v = 0.53√fc’, ksc.
5) หน่วยแรงแบกทาน กรณี รับเต็มเนื้อที่ fc = 0.25fc’, ksc.
9.2.2 เหล็กรูปพรรณ
1) กําลังคราก Fy = 2,400, ksc.
2) หน่วยแรงเฉื อน fv = 0.40Fy, ksc.
3) หน่วยแรงดึง fs = 0.60Fy, ksc.
4) หน่วยแรงอัด fa = 0.60Fy, ksc.
5) หน่วยแรงดัดรอบแกนหลัก fb = 0.60Fy, ksc.
6) หน่วยแรงดัดรอบแกนรองใช้ fb = 0.75Fy, ksc.
9.2.3 ดินรองรับฐานแผ่
กําลังรับแรงแบกทานของดิน ในที่น้ ี กาํ หนดเลือกใช้ที่ 8 ตันต่อตารางเมตร (ทั้งนี้
ข้อมูลที่ถูกต้อง ขึ้นอยูก่ บั ผลการทดสอบดินในสนามที่ระดับความลึกเดียวกับระดับของฐานราก
เช่น การทดสอบกําลังรับนํ้าหนักของดินโดยใช้แผ่นเหล็กกด หรื อหากไม่มีผลการทดสอบใดๆเป็ น
ที่น่าเชื่อถืออนุ โลมให้ใช้ตามข้อบัญญัติ กทม. ได้ หรื อหาได้จากข้อมูลบริ บทแวดล้อมของอาคาร
ข้างเคียง)
9.2.4 นํา้ หนักบรรทุกจรบนอาคาร
1) ส่ วนโครงหลังคา ใช้ต่าํ สุ ด 30 ksm.
2) ส่ วนระเบียง ใช้ต่าํ สุ ด 100 ksm.
3) ส่ วน ห้องนอน ห้องครั ว ห้องรั บประทานอาหาร ห้องรั บแขกและห้องนํ้า ใช้
ตํ่าสุ ด 150 ksm.
4) ส่ วนบันไดใช้ต่าํ สุ ด 200 ksm.
5) แรงลม (0 < H < 10 m.) ตามข้อบัญญัติ กทม. ใช้ต่าํ สุ ด 50 ksm.
169
(ก) แบบแปลนโครงสร้างโครงหลังคา
(ข) แบบจําลองโครงสร้างเพื่อการวิเคราะห์และออกแบบ
ก. กรณี ออกแบบโดยละเอียด
1. หาข้อมูลที่จะใช้ออกแบบ (พิจารณาจากแบบแปลนโครงหลังคาและภาพตัดขวาง)
1) เลือกใช้เหล็กรู ปพรรณ มอก. 107 ชั้นคุณภาพ HS41 (Fy = 2,400 ksc., Fu =
4,100 ksc.)
2) ความยาวจริ งแปตามแนวแกนที่ ย าวที่ สุด เป็ นตัวควบคุ มการออกแบบ (L) =
2.2/2 = 1.10 m. (ช่วงกริ ด ค ง)
3) ระยะห่ างระหว่างแปที่มากที่สุดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ (@) = 0.34 m.
(ตามแบบ 0.32-0.34 m.)
179
ภาพแสดงการหามุมลาดเอียงของโครงหลังคา
180
ภาพแสดงการกระทําของนํ้าหนักบรรทุกในแต่ละแนวแกน
182
ภาพแสดงการกระทําของนํ้าหนักบรรทุกในแต่ละแนวแกน
1) แรงปฏิกิริยา (Ray = Rby) = ωyL/2 = (32.28 x 1.10)/2 = 17.75 kg.
2) แรงภายใน
− แรงตามแนวแกน (N) = 0 kg. (เพราะว่าวางตัวในแนวราบตามยาวจึงไม่มี
แรงตามแนวแกน)
− แรงเฉื อน (V) = R = ωyL/2 = 17.75 kg.
183
ภาพแสดงการกระทําของนํ้าหนักบรรทุกในแนวแกน Y
ภาพแสดงการกระทําของนํ้าหนักบรรทุกในแนวแกน X
− โมเมนต์ดดั
รอบแกน X-X, Mx = ωyL2/8 = (32.28 x 1.102)/8 = 4.88 kg.-m.
รอบแกน Y-Y, My = ωxL2/8 = (17.07 x 1.102)/8 = 2.58 kg.-m.
4. ออกแบบขนาดหน้าตัด
ในเบื้องต้นจะออกแบบโดยใช้ค่าโมเมนต์ดดั สูงสุ ดมาควบคุมการออกแบบ ดังนี้
1) หาค่าโมดูลสั หน้าตัด (Sx) = Mmax/(0.60Fy) = (4.88 x 100)/(0.60 x 2,400) =
0.339 cm.3
2) เปิ ดตารางเหล็กกล่องสี่ เหลี่ยมจัตุรัส เลือกขนาดเหล็กโดยใช้ค่า Sx = 0.339
cm.3 เป็ นค่าตํ่าสุ ดในการเลือกขนาดหน้าตัดเหล็ก
จากตาราง เลือกเหล็กกล่องขนาด []-25 x 25 x 1.60 mm. (As’ = 1.432 cm.2,
Ix = 1.28 cm.4, Sx = Sy = 1.02 cm.3 > 0.339 cm.3, rx = ry = rmin = 0.34 cm.,
หนัก 1.12 kg./m. < 5x0.34 = 1.70 kg./m….ผ่าน)
184
Cross Secondary
Calculate Modulus of Radius of
Side Length Thickness Sectional Moment of
Weight Section Gyration
Area Area cm4
DxD T W A Ix, Iy Zx, Zy rx, ry
in. mm. mm. kg./m. cm2 cm4 cm3 cm.
1.60 1.12 1.432 1.28 1.02 0.34
2.0 1.36 1.74 1.48 1.19 0.92
1x1 25x25 2.3 1.53 1.97 1.61 1.29 0.90
2.6 1.65 2.10 1.63 1.31 0.88
3.2 1.91 2.44 1.75 1.40 0.85
5. ตรวจสอบหน่วยแรงที่ยอมให้
1) หน่วยแรงดัดที่เกิดขึ้นจริ ง
− f bx = Mx/Sx = (4.88 x 100)/1.02 = 478.43 ksc.
− f by = My/Sy = (2.58 x 100)/1.02 = 252.94 ksc.
2) ตรวจสอบหน่วยแรงทั้งสอง (f bx /0.60Fy) + (f by /0.75Fy) ≤ 1.0
− [478.43/(0.60 x 2,400)] + [252.94/(0.75 x 2,400)] = 0.508 ≤ 1.0…ผ่าน
6. ตรวจสอบระยะโก่ง
ในที่น้ ีใช้ ∆y ≤ L/360 (ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยจึงเลือกค่านี้ตรวจสอบ)
∆y = (5ωyL4)/(384IE) = [5 x (32.28/100 ) x (1.10 x 100)4 ]/[384 x 1.28 x 2.04 x106] =
0.236 cm. ≤ (1.10 x 100)/360 = 0.31 cm.…ผ่าน
สรุ ป: ใช้เหล็ก []-25 x 25 x 1.60 mm. (หนัก 1.12 kg./m.)
185
ข. กรณี ออกแบบโดยประมาณ
1. หานํ้าหนักบรรทุก และแยกเป็ นนํ้าหนักบรรทุกกระทํากรณี ต่างๆ
1) นํ้าหนักบรรทุกคงที่ (DL.)
2
− นํ้าหนักของแปเอง (SW.) = 5 kg./m.
2
− นํ้าหนักของวัสดุมุง (FL.) = 50 kg./m. (CPAC)
− นํ้า หนัก ประกอบอื่ น ๆ เช่ น ระบบฝ้ าเพดาน+ฉนวน+ไฟฟ้ า+พัด ลม = 15
kg./m.2
2) นํ้าหนักบรรทุกจร (LL.)
2
− นํ้าหนักจรบนหลังคาตาม กม. (LL.) = 30 kg./m.
2
− แรงลมกระทําในแนวราบที่ความสู ง 0-10 m. (WL.) = 50 kg./m.
-1
− tan (1.74/3.0) = 30.11 องศา (Sin 30.11 = 0.502, Cos 30.11 = 0.865)
2 2
− แรงลมกระทําตั้งฉากกับแปคือ [2x50x0.502]/[1+0.502 ] = 40.10 kg./m.
หานํ้าหนักบรรทุกสู งสุ ดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ
แบบที่ 1: ไม่คิดแรงลม
− DL. + LL. = (70 + 30) x 0.34 = 34 kg./m.
แบบที่ 2: คิดแรงลม = 50 kg./m.2 เพิ่มเข้าในแนวดิ่งโดยตรง
− (DL. + LL. + WL.) = (70 + 30 + 50)] x 0.34 = 51 kg./m.
แบบที่ 3: คิดแรงลม = 40.10 kg./m.2 เพิ่มเข้าในแนวดิ่งโดยตรง
− (DL. + LL. + WL.) = (70 + 30 + 40.10)] x 0.34 = 47.63 kg./m.
แบบที่ 4:
− DL. = 70 x 0.34 = 23.80 kg./m.
− DL. + LL. = 70 + 30 = 100 x 0.34 = 34 kg./m.
− 0.75 (DL. + LL. + WL.) = [0.75(70 + 30 + 40.10)] x 0.34 = 35.73 kg./m.
2. วิเคราะห์หาแรงภายใน
1) เมื่อนํ้าหนักบรรทุกเป็ นแบบที่ 1
186
2) เมื่อนํ้าหนักบรรทุกเป็ นแบบที่ 2
3) เมื่อนํ้าหนักบรรทุกเป็ นแบบที่ 3
4) เมื่อนํ้าหนักบรรทุกเป็ นแบบที่ 4
3. ออกแบบขนาดหน้าตัด
จากนั้นกระบวนการและขั้นตอนต่างๆก็ทาํ ได้เช่นเดียวกับหัวข้อที่ 4. กรณี ออกแบบโดย
ละเอียด ต่างกันเพียงในขั้นตอนของการตรวจสอบหน่วยแรงที่ยอมให้ ซึ่งวิธีออกแบบโดยประมาณนี้
จะใช้เพียงหน่วยแรงดัดตามแนวแกนหลัก คือ f bx = Mx/Sx โดย (f bx /0.60Fy) ≤ 1.0 เท่านั้น
187
(ก) แบบแปลนโครงสร้างโครงหลังคา
(ข) แบบจําลองโครงสร้างเพื่อการวิเคราะห์และออกแบบ
188
1. หาข้อมูลที่จะใช้ออกแบบ (พิจารณาจากแบบแปลนโครงหลังคาและภาพตัดขวาง)
1) เลือกใช้เหล็กรู ปพรรณ มอก. 1228 ชั้นคุณภาพ SSC400 (Fy = 2,400 ksc., Fu =
4,100 ksc.)
2) ความยาว (จริ ง) ของจันทันตามแนวเอียงที่ยาวสุ ด (Li) = 3/Cos30.11 = 3.47 ใช้
= 3.50 m.
3) ความยาวจันทันตามแนวราบ (Projected Length) ที่ยาวสุ ด (L1) = 3 m.
4) ระยะคํายันด้านข้างทุกๆ 0.34 m. (ในที่น้ ี แปหรื อระแนงเป็ นตัวคํ้ายันที่ปีกบน
ของจันทัน)
5) ระยะห่ างระหว่างจันทันที่มากที่สุดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ (@) = 1.10 m.
6) วัสดุมุง + ฝ้ าเพดาน + ฉนวน (ถ้ามี) + พัดลม (ถ้ามี) + ดวงโคม
2. หานํ้าหนักบรรทุกที่กระทําต่อจันทัน แล้วแยกเป็ นนํ้าหนักบรรทุกกระทําในกรณี ต่างๆ
1) นํ้าหนักบรรทุกต่างๆ ประกอบด้วย
(1) นํ้าหนักทั้งหมดจากขั้นตอนการออกแบบแป (ในแนวดิ่ง)
2
− DL + LL = (5 + 50 + 15 + 30 ) = 100 kg./m.
2 2
− WL = 40.10xCos(30.11) = 34.69 kg./m. แต่ใช้ 35 kg./m.
− รวมเป็ นนํ้าหนักบรรทุ กในแนวดิ่ งจากขั้นตอนการออกแบบแปคื อ =
135 kg./m.2
(2) นํ้าหนักของจันทันเอง (5% - 7% ของนํ้าหนักบรรทุก) = 135 x (5/100) =
6.75 ใช้ 7 kg./m.2
2) รวมเป็ นนํ้าหนักบรรทุกทั้งหมดสําหรับออกแบบจันทันคือ = 135 + 7 = 142 ซึ่ ง
แบ่งออกเป็ น
2
− นํ้าหนักบรรทุกคงที่ = (5 + 50 + 15) + 7 = 77 kg./m.
2
− นํ้าหนักบรรทุกจร = 30 kg./m.
2
− แรงลม = 35 kg./m.
3) เปรี ยบเทียบนํ้าหนักบรรทุกในกรณี ต่างๆ แล้วใช้ค่าสู งสุ ดเป็ นกรณี ควบคุมการ
วิเคราะห์และออกแบบ (เมื่อมีระยะห่างระหว่างจันทันสูงสุ ด = 1.10 m.)
(1) DL. = 77 x 1.10 = 84.70 kg./m.
(2) DL. + LL. = (77 + 30) x 1.10 = 110 kg./m.
(3) 0.75 (DL. + LL. + WL.) = [0.75(77 + 30 + 35)] x 1.10 = 117.15 kg./m.
189
1) แรงปฏิกิริยา
2 2 2 2
− Ra = [ωt/(2L)](L - l ) = [136/(3x2)](3 – 1.5 ) = 153 kg.
2 2
− Rb = Vb1 + Vb2 = [ωt/(2L)](L + l) = [136/(3x2)](3 + 1.5) = 459 kg.
2) แรงภายใน
− แรงตามแนวแกน (N) = 0 kg. (เนื่ องจากเป็ นการวิเคราะห์เมื่อจันทันวางตัว
ในแนวราบ)
− แรงเฉื อน Va = Ra = 153 kg.
− แรงเฉื อน Vb1 (บริ เวณ R2) = ωtl = 136 x 1.5 = 204 kg.
2 2 2 2
− แรงเฉื อน Vb2 (บริ เวณ R2) = [ωt/(2L)](L + l ) = [136/(3x2)](3 + 1.5 ) =
255 kg.
190
แผนภาพแสดงผลการวิเคราะห์โครงสร้างโดยใช้สมการสําเร็ จรู ป
3) ระยะโก่ง
4 2 2 3 2 2 2 2
− สมการในช่ ว งยาว 3.0 m. = [ ωtX/(24IEL)][L -2L X +LX -2l L +2l X ]
พิจารณาที่ระยะ x = 1.50 m. จะได้ = [((136/100) x 150)/(24 x I x 2.04x106
x 300)][3004-2(3002 x 1502) + (300 x 1503) – 2(1502x 3002) + 2(1502x
1502)] = (28.125/I)
2 3 3
− ระหว่างช่ วงปลายยื่น 1.5 m. = [ωtl/(24IE)][4l L-L +3l ] = [((136/100) x
150)/(24 x I x 2.04 x106][(4 x 300 x 1502)-3003+(3 x 1503)] = (42.188/I)
ข. กรณี คิดโดยวิธีประมาณ
M = [ω(L1xLi)]/8 = 136 x (3x3.5)/8 = 178.50 kg.-m. > 153 kg.-m.
4. ออกแบบขนาดหน้าตัด
ในที่ นี่ อ อกแบบโดยใช้ค่ า โมเมนต์ดัด สู ง สุ ด จากกรณี คิ ด แบบละเอี ย ดมาควบคุ ม การ
ออกแบบ ได้ดงั นี้
1) หาค่า โมดูลสั หน้าตัด (Sx) = Mmax/(0.60Fy) = (153 x 100)/(0.60 x 2,400) =
10.42 cm.3
191
Radius of Center
Center of Secondary Modulus
Dimensions Gyration of
Sectional Weight Gravity Moment of of Section
mm. of Area Shear
Area cm2 kg./m. cm. Area cm4 cm3
cm. cm.
HxAxC t Cx Cy Ix Iy rx ry Zx Zy Sx Sy
4.5 9.469 7.43 0 1.86 139 30.9 3.82 1.81 27.7 9.82 4.3 0
4.0 8.548 6.71 0 1.86 127 28.7 3.85 1.83 25.4 9.13 4.3 0
3.2 7.007 5.50 0 1.86 107 24.5 3.90 1.87 21.3 7.81 4.4 0
100x50x20 2.8 6.205 4.87 0 1.88 99.8 23.2 3.96 1.91 20.0 7.44 4.3 0
2.3 5.172 4.06 0 1.86 80.7 19.0 3.95 1.92 16.0 6.06 4.4 0
2.0 4.537 3.56 0 1.86 71.4 16.9 3.97 1.93 14.3 5.4 4.4 0
1.6 3.672 2.88 0 1.87 58.4 14.0 3.99 1.95 11.7 4.47 4.5 0
(ก) แบบแปลนโครงสร้างโครงหลังคา
(ข) แบบจําลองโครงสร้างเพื่อวิเคราะห์และออกแบบ
194
1. หาข้อมูลที่จะใช้ออกแบบ (พิจารณาจากแบบแปลนโครงหลังคาและภาพตัดขวาง)
1) เลือกใช้เหล็กรู ปพรรณ มอก. 1228 ชั้นคุณภาพ SSC400 (Fy = 2,400 ksc., Fu =
4,100 ksc.)
2) ความยาวตะเฆ่สนั ตามแนวราบที่ยาวที่สุด (คานช่วงใน) = √(32 +32) = 4.24 m.
3) ความยาวตะเฆ่สนั ตามแนวเอียงที่ยาวที่สุด = 4.24/Cos30.11 = 4.90 m.
4) ระยะคํายันด้านข้าง (ตามแนวเอียง) จากจันทันทุกๆ = 4.90/3 = 1.63 m.
5) ระยะคํายันด้านข้าง (ตามแนวดิ่ง) จากจันทันทุกๆ = 4.24/3 = 1.41 m.
6) พื้นที่รับนํ้าหนักบรรทุก = (3 x 3) = 9 m.2 ใช้ 9/2 = 4.50 m.2
7) วัสดุมุง + ฝ้ าเพดาน + ฉนวน (ถ้ามี) + พัดลม (ถ้ามี) + ดวงโคม
2. นํ้าหนักที่กระทําต่อตะเฆ่สนั ตะเฆ่ราง
1) นํ้าหนักบรรทุกต่างๆ ประกอบด้วย
− นํ้าหนักบรรทุกรวมจากการออกแบบแป = (5 + 50 + 15 + 30 + 35) = 135
kg./m.2
−
นํ้าหนักบรรทุกรวมจากการออกแบบจันทัน = 135 + 7 = 142 kg./m.2
− นํ้าหนักตัวเอง (ใช้ 5%-7% นํ้าหนักบรรทุก) = 142 x (5/100) = 9.94 ใช้ 10
kg./m.2
2) รวมเป็ นนํ้าหนักบรรทุกทั้งหมดที่ทาํ ต่อตะเฆ่สันตะเฆ่ราง = 142 + 10 = 152
kg./m.2 ซึ่งแบ่งออกเป็ น
2
− นํ้าหนักบรรทุกคงที่ = (5 + 50 + 15) + 7 + 10 = 87 kg./m.
2
− นํ้าหนักบรรทุกจร = 30 kg./m.
2
− แรงลม = 35 kg./m. (กระทําในแนวดิ่ง)
3) เปรี ยบเทียบนํ้าหนักบรรทุกในกรณี ต่างๆ แล้วใช้ค่าสู งสุ ดเป็ นกรณี ควบคุมการ
ออกแบบ
ก่อนอื่น เราจะต้องทําการแปลงนํ้าหนักบรรทุกต่อพื้นที่ (ในแนวดิ่ง) ไปเป็ นนํ้าหนัก
บรรทุกกระทําเป็ นจุด เมื่อพื้นที่ในการคิดนํ้าหนักบรรทุกเป็ นรู ปทรงสามเหลี่ยมคือ 9/2 =
4.50 m.2
1) แรงปฏิกิริยา
− Ray = V2 = (ωtL)(2/3) = (289 x 4.24)(2/3) = 816.91 kg.
− Rby = V1 = (ωtL)/3 = (289 x 4.24)/3 = 408.45 kg.
2) แรงภายใน
− แรงตามแนวแกน (N) = 0 kg. (ทั้งนี้ เนื่ องจากวิเคราะห์เมื่อวางตัวอยู่ใน
แนวราบ)
− แรงเฉื อน Ray = V2 = 816.91 kg.
− แรงเฉื อน Rby = V1 = 408.45 kg.
− โมเมนต์ดด ั Mmax = (2ωtL)/(9√3) = 0.1283ωtL = 0.1283 x 289 x 4.24 =
157.21 kg.-m.
3) ระยะโก่ง
∆max = [(0.01304)(ωtL4)]/(IE)
= [(0.01304)((289/100) x (4.24x100)4)]/(I x 2.04 x106) = (597.08/I) cm.
4. ออกแบบขนาดหน้าตัด
ในกรณี น้ ี ให้พึงระวังค่าระยะโก่งให้มาก ซึ่ งทั้งนี้ ค่าดังกล่าวอาจจะเป็ นตัวควบคุมการ
ออกแบบ แทนที่จะเป็ นค่าโมดูลสั หน้าตัด (Sx) ควบคุมการออกแบบ
1) หาค่าโมดูลสั หน้าตัดและค่าโมเมนต์ความเฉื่อยของพื้นที่
− ออกแบบโดยวิธี Stress Control จาก โมดูลส ั หน้าตัด(S) = Mmax/(0.60Fy)
= (157.21 x 100)/(0.60 x 2,400) = 10.92 cm.3
− ออกแบบโดยวิธี Deflextion Control จาก 597.08/I = L/240 ดังนั้น I =
(597.08 x 240)/(4.24 x 100) = 337.97 cm.4 (หากใช้เป็ นเหล็กคู่...ค่าดังกล่าว
จะเป็ น 337.97/2 = 168.99 cm.4/ท่อน)
2) เปิ ดตารางเหล็กตัวซี เลือกขนาดเหล็กโดยใช้ค่า Sx = 10.92 cm.3 และ Ix =
337.97 เป็ นค่าตํ่าสุ ดในการเลือกขนาดหน้าตัดเหล็ก ซึ่ งจากตารางเหล็กจะเห็น
ว่า
− หากออกแบบโดยใช้ค่ าโมดู ล ส ั หน้าตัดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ ใช้
เพียงขนาด C-100 x 50 x 20 x 2.30 mm. (As’ = 5.172 cm.2, Ix = 80.70
cm.4, Sx = 16.10 cm.3 > 10.92 cm3, หนัก 4.06 kg./m. คิดเป็ น (4.06x4.90)/9
= 2.21 kg./m.2 < 10 kg./m.2) ก็ผา่ น
197
6. ตรวจสอบระยะโก่ง ∆y ≤ L/240
∆max = 597.08/(2 x 181) = 1.65 cm. ≤ (4.24 x 100)/240 = 1.77 cm.…ผ่าน
สรุ ป: ใช้เหล็ก 2C-125 x 50 x 20 x 3.20 mm. (หนัก 2 x 6.13 kg./m.)
(ก) แบบแปลนโครงสร้างโครงหลังคา
1. หาข้อมูลที่จะใช้ออกแบบ (พิจารณาจากแบบแปลนโครงหลังคาและภาพตัดขวาง)
1) เลือกใช้เหล็กรู ปพรรณ มอก. 1228 ชั้นคุณภาพ SSC400 (Fy = 2,400 ksc., Fu =
4,100 ksc.)
2) ความยาวของอกไก่ที่ยาวที่สุดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ = 2.20 m.
3) ระยะคํายันด้านข้าง = 2.20/2 = 1.10 m. (จากจันทัน ให้พิจารณาที่แบบแปลน
โครงสร้างโครงหลังคา)
2. หานํ้าหนักบรรทุกที่กระทําต่ออกไก่
1) แรงปฏิกิริยาที่ส่งถ่ายมาจากจันทัน = 2 x 153 = 306 kg. (กระทําที่ตรงกลาง
อกไก่คือระยะ 2.20/2 = 1.10 m.)
ภาพแสดงการส่ งถ่ายแรงจากจันทันไปยังอกไก่
2) ใช้น้ าํ หนักตัวเอง 10 kg./m. (เป็ นนํ้าหนักบรรทุกชนิ ดแผ่สมํ่าเสมอเต็มช่วงคิด
เป็ น = [(10x2.2)x100]/306 = 7.19% ของนํ้าหนักที่มากระทํา)
3. วิเคราะห์หาแรงภายใน (แรงตามแนวแกน แรงเฉื อน และโมเมนต์ดดั ) และระยะโก่ง
เนื่ องจากเป็ นคานช่วงเดียวอย่างง่ายและเพื่อความรวดเร็ ว ในที่น้ ี จะวิเคราะห์โครงสร้าง
โดยใช้วิธีของหลักการรวมผล
200
ภาพแสดงแบบจําลองโครงสร้างเพื่อการวิเคราะห์และออกแบบ
1) แรงปฏิกิริยา
− R = Ray = Rby = (ωL)/2 + (P/2) = (10 x 2.20)/2 + (2 x 153)/2 = 164 kg.
2) แรงภายใน
− แรงตามแนวแกน (N) = 0 kg.
− แรงเฉื อน V = R = 164 kg.
− โมเมนต์ดด ั Mmax = (ωL2/8) + (PL/4) = [(10 x 2.202)/8] + [(2 x 153 x
2.20)/4] = 174.35 kg.-m.
3) ระยะโก่ง
∆max = [(5/384)(ωL4)]/(IE) + (PL3)/(48IE)
= [(5/384)(10/100)(2204)]/(I x 2.04 x106) + [(2 x 153 x 2203)/(48 x I x 2.04 x106) =
(1.495/I) + (33.28/I) cm.
4. ออกแบบขนาดหน้าตัด
1) หาค่า โมดูลสั หน้าตัด (Sx) = Mmax/(0.60Fy) = (174.35 x 100)/(0.60 x 2,400)
= 12.11 cm.3
2) เปิ ดตารางเหล็กตัวซี เลือกขนาดเหล็กโดยใช้ค่า Sx = 12.11 cm.3 เป็ นค่าตํ่าสุ ดใน
การเลือกขนาดหน้าตัดเหล็ก
จากตารางเหล็ก เลือกเหล็กตัวซี ขนาด C-100 x 50 x 20 x 2.0 mm. (As’ = 4.537
cm.2, Ix = 71.40 cm.4, Sx = 14.30 cm.3, Sy = 5.40 cm.3, หนัก 3.56 kg./m.)
201
5. ตรวจสอบหน่วยแรง
1) ตรวจสอบการคํ้ายันด้านข้าง (ในแนวดิ่ง) โดย
− ระยะคํ้ายันจริ งด้านข้าง (Lb) = 220/2 = 110 cm.(เป็ นระยะห่ างจากการ
วางตัวของจันทัน)
− ระยะคํ้ายันตํ่าสุ ดทางทฤษฎี (Lc) = (637.2 x 5)/(√2,400) = 65.03 cm.
− ระยะคํ้ายันสู งสุ ดทางทฤษฎี (Lu) = (1406,000 x ((5 x 0.20) + ((2-0.20) x
0.20)))/(10 x 2,400) = 79.67 cm.
2) หาหน่วยแรงดัดที่ยอมให้
− เนื่ องจากอยูใ่ นเงื่อนไข Lb > Lc > Lu
− ดังนั้นจึงใช้ค่าหน่ วยแรงดัดที่ยอมให้ Fb’ ≤ 0.60Fy
− ในที่น้ ี เพื่อความสะดวกและรวดเร็ วจะใช้ Fb’ = 0.55 x 2,400 = 1,320 ksc.
3) ได้ค่าโมเมนต์ตา้ นทานสู งสุ ดของหน้าตัด (Mall) = Fb’ x Sx = 1,320 x 14.30 =
18,876 kg.-cm. = 188.76 kg.-m. > 174.35 kg.-m.…ผ่าน
4) ตรวจสอบหน่วยแรงเฉื อน [V/(dtw)] ≤ 0.40Fy
− [164/(10 x 0.20)] = 82.00 ksc. ≤ 0.40Fy…ผ่าน
202
6. ตรวจสอบค่าระยะโก่ง ∆y ≤ L/240
∆max = [1.495/71.40] + [33.28/71.40] = 0.487 cm ≤ [2.20 x 100]/240…ผ่าน
สรุ ป: ใช้เหล็ก C-100 x 50 x 20 x 2 mm. (หนัก -3.56 kg./m.)
9.8 ออกแบบเสาดั่งเหล็กรูปพรรณ
1. หาข้อมูลที่จะใช้ออกแบบ (พิจารณาจากแบบแปลนโครงหลังคาและภาพตัดขวาง)
1) เลือกใช้เหล็กรู ปพรรณ มอก. 1228 ชั้นคุณภาพ SSC400 (Fy = 2,400 ksc., Fu =
4,100 ksc.)
2) ความสู งของเสาดัง่ = 1.74 m.
3) ลักษณะการต่อที่ปลายบนและล่าง เป็ นแบบบานพับ
4) พื้นที่รับนํ้าหนักบรรทุกเทียบเท่า (Tributary Area) = 3 x (2.60) = 7.80 m.2
(ก) แบบแปลนโครงสร้างโครงหลังคา
203
3. ออกแบบขนาดหน้าตัด
้ งการ = Fc/(0.60Fy) = 1,500/(0.60 x 2,400) = 1.042 cm.2
− หาพื้นที่หน้าตัด (A) ที่ตอ
3
− เปิ ดตารางเหล็กตัวซี (รางนํ้ารี ดเย็น) เลือกขนาดเหล็กโดยใช้ค่า A = 1.041 cm.
เป็ นค่าตํ่าสุ ดในการเลือกขนาดหน้าตัดเหล็ก
จากตาราง เลือกเหล็กตัวซีขนาด C-75 x 45 x 15 x 2.30 mm. (As’ = 4.137 cm.2, Ix =
37.10 cm.4, Sx = 9.90 cm.3, Sy = 4.24 cm.3, rx = 3.00 cm., ry = 1.69 cm., หนัก
3.25 kg./m.)
204
4. ตรวจสอบหน่วยแรง
1) หาหน่วยแรงอัดที่ยอมให้
− หาค่า K จากตารางเมื่อการต่อที่ปลายบน-ล่าง เป็ น hinge ได้ K = 1.0
− หา Cc = KL/rmin = [(1)(1.74 x 100)]/1.69 = 102.96 < 200 (สําหรับ
โครงสร้างหลัก)…ผ่าน
2 6 2
− หา S = √[(2Esπ )/Fy] =√ [(2 x 2.04 x 10 x (22/7) )/2,400] =129.58
− เนื่ องจากค่าของ Cc < S ดังนั้นหน่ วยแรงอัดที่ยอมให้ (Fac) จึงหาได้จาก
สมการ
Fac = [1-0.5(Cc/S)2][Fy]/[(5/3) + (3/8)(Cc/S) – (1/8)(Cc/S)3]
Fac = [1-0.5(0.795)2][2,400]/ [(5/3) + (3/8)(0.795) – (1/8)(0.795)3]
= 698.38 ksc.
เมื่อค่า (Cc/S) = (102.96/129.58) = 0.795
ภาพแสดงตารางค่า K ตามสภาพเงื่อนไขที่ปลายทั้งสองของดัง่
2) ตรวจสอบขนาดหน้าตัดที่เลือกออกแบบ
− ความสามารถในการรับแรงอัดตามแนวแกนได้จากสมการ (Fac)(As’) ≥ Fc
= (698.38 x 4.137) = 2,889.903 kg. > 1,500 kg….ผ่าน
สรุ ป: ใช้เหล็ก C-75 x 45 x 15 x 2.30 mm. (หนัก 4.137 kg./m.)
บทที่ 10
การออกแบบโครงข้ อหมุนอาคารโรงงาน
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นของบทที่ 9 การวิเคราะห์และออกแบบองค์อาคารของ
อาคารโรงงานก็ เ ช่ น เดี ย วกัน กล่ า วคื อ หลัง จากที่ ไ ด้เ รี ย นรู ้ อ งค์ค วามรู ้ พ้ื น ฐานที่ จ าํ เป็ นต่ า งๆ ที่
เกี่ยวเนื่ องกับกระบวนการวิเคราะห์และออกแบบองค์อาคารของโครงสร้างมาพอสมควรแล้ว เพื่อให้
เกิ ดความรู ้ และความเข้าใจที่ ดีย่ิงขึ้ น ควรมีการลงมือปฏิบตั ิจริ งตามแนวทางเบื้ องต้น ดังที่ได้กล่าว
มาแล้ว ดังนั้นเนื้ อหาทั้งหมดในบทนี้ จึงเป็ นการสาธิ ตถึงวิธีการและขั้นตอนต่างๆของการออกแบบ
องค์อาคารแต่ละส่ วนของโครงสร้างอาคารโรงงานจากแบบก่อสร้างจริ ง (เฉพาะบางส่ วน) ตามลําดับ
ของการส่ งถ่ายแรงจากบนสุ ดลงสู่ ฐานราก ฉะนั้น เมื่อได้เรี ยนรู ้ และทําความเข้าใจถึงวิธีการและ
ขั้นตอนของการออกแบบแต่ละองค์อาคารดีแล้ว เพื่อความรู ้ความเข้าใจที่ต่อเนื่ อง ควรมีการฝึ กปฏิบตั ิ
อย่างสมํ่าเสมอ จะทําให้เราเองเกิดความชํานาญและมีความมัน่ ใจยิง่ ๆขึ้น
โดยทั่ว ไปอาคารโรงงานมัก มี ช่ ว งห่ า งระหว่ า งเสาในแต่ ล ะด้า นค่ อ นข้า งมาก อัน
เนื่ องมาจากพื้นฐานความต้องการด้านพื้นที่การใช้งานที่ มากขึ้ น ดังนั้นระบบโครงสร้ างที่มีความ
เหมาะสมสามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้คือโครงสร้างเหล็กรู ปพรรณ เช่น โครงหลังคา
เป็ นโครงถักเหล็กวางบนเสาเหล็ก แต่เนื่ องจากโครงสร้ างเหล็กรู ปพรรณมักมี ขนาดของหน้าตัด
ค่อนข้างเล็ก เมื่ อเที ย บกับขนาดหน้า ตัด ของโครงสร้ า งคอนกรี ตเสริ มเหล็ก เมื่ อพิ จารณาในสภาพ
เงื่อนไขเดียวกัน ประกอบกับโครงสร้างโดยรวมของโครงสร้างเหล็กรู ปพรรณ มักเกิดจากการนําองค์
อาคารต่างๆมาต่อเข้าด้วยกัน อาจต่อด้วยการเชื่ อมหรื อต่อด้วยสลักเกลียว ซึ่ งทําให้มีความเป็ นเนื้ อ
เดียวกันขององค์อาคารตรงรอยต่อน้อยกว่าในองค์อาคารของโครงสร้างคอนกรี ตเสริ มเหล็ก โดยรวม
แล้วจึ งมีผลทําให้การเปลี่ยนรู ปของโครงสร้ างมีมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีแรงกระทําด้านข้าง เช่ น
แรงลม ดังนั้นระบบคํ้ายันต้านแรงลมในระนาบต่างๆของโครงสร้างเหล็กรู ปพรรณจึงมีความสําคัญ
ค่อนข้างมาก ในขณะเดียวกันระบบแรงกระทําด้านข้าง (นอกเหนื อจากนํ้าหนักบรรทุกที่กระทําใน
แนวดิ่ง) ประกอบด้วย แรงลมและแรงแผ่นดินไหว แต่ท้ งั นี้แรงที่มีอิทธิ พลต่อการออกแบบองค์อาคาร
ของอาคารโรงงานคือแรงลม ส่ วนแรงจากแผ่นดินไหวนั้นมีผลที่ค่อนข้างน้อย ทั้งนี้กเ็ พราะด้วยเหตุผล
เรื่ องมวลของโครงสร้ า ง (แรงที่ เ กิ ด ขึ้ น ในองค์อาคาร เป็ นผลเนื่ องมาจากความเฉื่ อยของมวลของ
โครงสร้าง) กล่าวคือ อาคารโรงงานโดยทัว่ ไปมีเพียง 1 ถึง 2 ชั้นโดยเน้นไปที่มิติดา้ นความกว้างและ
206
10.3.1 คอนกรีต
1) องค์อาคารของโครงสร้ างใช้กาํ ลังอัด (แท่งตัวอย่างคอนกรี ตรู ปทรงกระบอก
หล่อด้วยปูนซี เมนต์ปอร์ ตแลนด์ประเภทที่ 1 บ่มชื้นต่อเนื่ อง 28 วัน) fc’ = 173
ksc.
2) หน่วยแรงอัดที่ผวิ fc = 0.375fc’ ≤ 65 ksc.
3) หน่วยแรงเฉื อนแบบคานกว้าง v = 0.29√fc’, ksc.
4) หน่วยแรงเฉื อนทะลวง v = 0.53√fc’, ksc.
5) หน่วยแรงแบกทาน กรณี รับเต็มเนื้อที่ fc = 0.25fc’, ksc.
10.3.2 เหล็กรู ปพรรณ
1) กําลังคราก Fy = 2,400, ksc.
2) หน่วยแรงเฉื อน fv = 0.40Fy, ksc.
3) หน่วยแรงดึง fs = 0.60Fy, ksc.
4) หน่วยแรงอัด fa = 0.60Fy, ksc.
5) หน่วยแรงดัดรอบแกนหลัก fb = 0.60Fy, ksc.
6) หน่วยแรงดัดรอบแกนรองใช้ fb = 0.75Fy, ksc.
10.3.3 กําลังรับนํา้ หนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็ม
กําลังรับนํ้าหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็ม ในที่น้ ี กาํ หนดเลือกใช้เสาเข็มคอนกรี ต
อัดแรงขนาดหน้าตัด 0.26 x 0.26 x L m. รับนํ้าหนักบรรทุกปลอดภัย 30 ตัน/ต้น (แต่ท้ งั นี้ ขอ้ มูลที่
ถูกต้องขึ้นอยู่กบั ผลการทดสอบดิ นในสนาม หรื อหากไม่มีผลการทดสอบใดๆเป็ นที่น่าเชื่ อถือ
อนุโลมให้ใช้ตามข้อบัญญัติ กทม.ด้ หรื อหาได้จากข้อมูลดินบริ บทแวดล้อมของอาคารข้างเคียงที่
มีลกั ษณะเช่นเดียวกัน)
ภาพที่แสดงภาพตัดตามขวางของโครงหลังคา (แบบจําลองโครงสร้าง)
P=-20.80 กก./ตร.ม.
7.62-8.60 m.
P=-19.70 กก./ตร.ม. P=-19.70 กก./ตร.ม.
6.10-7.62 m.
4.57-6.10 m. P=20.95 กก./ตร.ม. P=-13.10 กก./ตร.ม.
ภาพแสดงค่าแรงดันลมที่กระทําตามขวางในแต่ละระดับความสูง (วิธีที่ 1)
218
ภาพแสดงค่าแรงดันลมที่กระทําตามยาวที่ระดับหลังคา (วิธีที่ 1)
จากแรงดันลมที่ ได้ดงั กล่าว จะต้องทําการแปลงแรงดันลมไปเป็ นแรงลมที่กระทําต่อ
โครงสร้าง ทําได้โดยคูณความดันลมที่แต่ละระดับความสู งด้วยช่วงห่ างระหว่างเสา (ในที่น้ ี คือ 5 m.)
ซึ่งการกระทําดังกล่าวเป็ นการมองในลักษณะที่แรงดันลมกระทําเต็มพื้นที่ (โดยไม่มีช่องว่างใดๆ)
B = 5 m.
ภาพแสดงพื้นที่ที่รับแรงดันลม
219
ภาพแสดงค่าแรงลมที่กระทําตามขวางในแต่ละระดับความสูง (วิธีที่ 1)
ภาพแสดงค่าแรงลมที่กระทําตามยาวที่ระดับหลังคา (วิธีที่ 1)
ภาพแสดงค่าแรงดันลมที่กระทําตามขวางในแต่ละระดับความสูง (วิธีที่ 2)
221
P=-18.33 กก./ตร.ม.
ภาพแสดงค่าแรงดันลมที่กระทําในแนวดิ่งระดับความสูงของหลังคา (วิธีที่ 2)
จากแรงดันลมที่ได้จะต้องทําการแปลงแรงดันลมไปเป็ นแรงลมที่กระทําต่อโครงสร้าง
ทําได้โดยคูณความดันลมที่แต่ละระดับความสู งด้วยช่ วงห่ างระหว่างเสา (ในที่น้ ี คือ 5 m.) ซึ่ งการ
กระทําดังกล่าวเป็ นการมองในลักษณะที่แรงดันลมกระทําเต็มพื้นที่ (โดยไม่มีช่องว่างใดๆ)
B = 5 m.
ภาพแสดงพื้นที่ที่รับแรงดันลม
222
ภาพแสดงค่าแรงลมที่กระทําตามขวางที่แต่ละระดับความสูง (วิธีที่ 2)
F=-91.65 กก./ม.
ภาพแสดงค่าแรงลมกระทําในแนวดิ่งที่ระดับความสูงของหลังคา (วิธีที่ 2)
จากค่าแรงลมที่กระทําต่อโครงสร้างของทั้งสองวิธี (ในมาตรฐานเดียวกัน) จะเห็นว่าใน
กรณี ของอาคารที่ไม่สูงมากนัก การหาค่าแรงลมที่กระทําด้านข้างของโครงสร้างโดยวิธีการที่ 2 จะให้
ค่าที่สูงกว่าวิธีที่ 1 และสามารถหาค่าได้ค่อนข้างสะดวกและรวดเร็ วกว่า แต่หากลองพิจารณา
เปรี ยบเทียบกับแรงลมตามมาตรฐานแรงลมในกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (2527) ข้อที่ 17 ออกตามความใน
พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ปี พ.ศ. 2522 เมื่อความสู งของอาคารไม่เกิน 10 เมตร (อาคารสู ง 8.60
m.) ใช้แรงดันลม 50 ksm. ดังนั้นแรงลมที่กระทําต่อด้านข้างหรื อตามขวางของอาคารคือ 50 ksm. x 5
m. = 250 kg./m. ซึ่งยังคงมีค่าสู งกว่าแรงลมที่กระทําตามขวางที่แต่ละระดับความสู ง (วิธีที่ 2) แต่ใช้
ง่ายและสะดวกรวดเร็ วกว่า
223
ระดับความสูง 6 m.
ภาพแสดงระดับความสูงของโครงหลังคา
จากรู ปขยายโครงหลังคา จะเห็นว่าแป (มีช่วงห่ าง @ 1.25 m.) เกือบทั้งหมดวางอยูท่ ี่ระดับ
6+1.27 = 7.27 m. ขึ้นไป ดังนั้นจึงใช้แรงดันลมในแนวราบที่ระดับความสู ง 7.62-8.60 m. คือ P =
38.62 ksm. เพื่อความเหมาะสมจึงใช้ที่ 40 ksm.
ภาพแสดงค่าแรงดันลมที่กระทําตามขวางสําหรับออกแบบแปที่ระดับ 7.62-8.60 m.
224
ภาพลักษณะของการวางแปและแรงที่กระทํา
1. ข้อมูลที่จะใช้ออกแบบ (พิจารณาจากแบบแปลนโครงหลังคาและรู ปตัดขวาง)
1) เลือกใช้เหล็กรู ปพรรณ มอก. 107 ชั้นคุณภาพ HS41 (Fy = 2,400 ksc., Fu =
4,100 ksc.)
2) ความยาวจริ งแปตามแนวแกน (L; m.): ที่ยาวที่สุดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ =
5.0 m. โดยใส่ เหล็กเส้นยึดกันหย่อนที่ก่ ึงกลางช่วง
3) ระยะห่ างระหว่างแป (@; m.): ที่มากที่สุดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ = 1.25
m.
4) มุมลาดเอียงของโครงหลังคา (θ; องศา): ที่มากที่สุดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ
= 7.24 องศา
5) วัสดุมุง (เหล็กรี ดขึ้นรู ปหนา 0.35 m.) + ฝ้ าเพดาน + ฉนวน (โฟม PE.) + ดวง
โคม + พัดลม (ถ้ามี)
225
2. หานํ้าหนักที่กระทําต่อแป
1) นํ้าหนักบรรทุกคงที่ (DL.)
2
− สมมติใช้น้ าํ หนักตัวเอง (SW.) = 5 kg./m. …(ประมาณ 5-10 kg./m.)
2
− นํ้าหนักของวัสดุมุง (FL.) = (0.35/1,000)x7,850 = 2.75 ใช้ 5 kg./m.
− นํ้า หนัก ประกอบอื่ น ๆ เช่ น ระบบฝ้ าเพดาน+ฉนวนกัน ความร้ อ น+ไฟฟ้ า
ดวงโคม+พัดลม+ระบบท่อ = 15 kg./m.2
2) นํ้าหนักบรรทุกจร (LL.): สําหรับอาคาร
2
− นํ้าหนักจรบนหลังคา (LL.) = 30 kg./m.
ระยะยก = 1.27 ม.
θ
ภาพแสดงการหามุมลาดเอียงโดยประมาณของโครงหลังคา
− แรงดันลมกระทําในแนวราบที่ความสู ง ระดับ 7.62-8.60 m. (WL.) = 40
kg./m.2
226
5) วิเคราะห์หานํ้าหนักบรรทุกในแต่ละแนวแกน
− ωx = ωSin (7.24) = 68.75 x Sin (7.24) = 8.66 kg./m.
− ωy = ωCos (7.24) = 68.75 x Cos (7.24) = 68.20 kg./m.
68.75 kg./m.
68.20 kg./m.
y 8.66 kg./m.
x
68.20 กก./m.
Ry1 = ωyL/ = [68.20x5]/2 = 170.50 kg. Ry2 = ωyL/ = [68.20x5]/2 = 170.50 kg.
228
8.66 กก./m.
Ry1 = ωxL/ = [8.66x5]/2 = 21.65 kg. Ry2 = ωxL/ = [8.66x5]/2 = 21.65 kg.
สรุ ป
1) แรงปฏิกิริยา (Ry1 = Ry2) = ωyL/ = [68.20x5]/2 = 170.50 kg.
2) แรงภายใน
− แรงตามแนวแกน (N) = 0 kg. (ในที่น้ ี หมายถึงเฉพาะในส่ วนของแป)
− แรงเฉื อน (V) = Ry1 = Ry2 = 170.50 kg.
− โมเมนต์ดด ั Mx = 213.13 kg.-m. และ My = 6.77 kg.-m.
4. ออกแบบตามข้อกําหนด
− หาค่า โมดู ลส ั หน้าตัด Sx = Mmax/[0.60Fy] = [213.13x100]/[0.60x2,400] =
3
14.80 cm. เปิ ดตารางเหล็กรู ปตัวซี
2
− เลือกเหล็กตัวซี ขนาด C-100x50x20x2.30 mm. (As’ = 5.172 cm. , Ix = 80.70
cm.4, Iy = 19.0 cm.4, Sx = 16.10 cm.3, Sy = 6.06 cm.3, rx = 3.95 cm., ry = 1.92
cm., หนัก 4.06 kg./m. ≤ 5 kg./m.)
229
5. ตรวจสอบหน่วยแรงที่ยอมให้
1) หน่วยแรงดัดที่เกิดขึ้นจริ ง
− f bx = Mx/Sx = [213.13x100]/16.10 = 1,323.79 ksc.
− f by = My/Sy = [6.77x100]/6.06 = 111.72 ksc.
2) หน่วยแรงที่ยอมให้ [f bx /0.60Fb] + [f by /0.75Fb] ≤ 1.0
[1,323.79/(0.60x2,400)]+[111.72/(0.75x2,400)] = 0.98 ≤ 1.0…ผ่าน
6. ตรวจสอบระยะโก่ง
ตรวจสอบค่าการแอ่นตัว ∆y ≤ L/360 (ในที่น้ ีเพื่อความปลอดภัยสูงสุ ดจึงเลือกใช้ L/360)
3 3 6
∆y = [5ωL ]/[384IE] = [5x(68.20/100)x(5x100) ]/[384x80.70x 2.04 x10 ] = 0.007 cm. ≤
[5x100]/360…ผ่าน
สรุ ป: ใช้เหล็ก C-100x50x20x2.30 mm. (หนัก 4.06 kg./m.)
ภาพแสดงจํานวนแปที่วางต่อด้านของโครงหลังคา
230
2. นํ้าหนักบรรทุกที่กระทํา
68.75 กก./m.
68.20 กก./m.
y 8.66 กก./m.
x
1.25 m.
ภาพแสดงนํ้าหนักบรรทุกที่เหล็กเส้นยึดกันหย่อนจะต้องรับ
− นํ้าหนักบรรทุกสูงสุ ด คือกรณี DL+LL = ω = 68.75 kg./m.
− ωx = ωSin (7.24) = 68.75 x Sin (7.24) = 8.66 kg./m.
− ωy = ωCos (7.24) = 68.75 x Cos (7.24) = 68.20 kg./m.
− ดังนั้นแรงดึงที่เหล็กท่อนกันโก่งจะต้องรับคือ 11 x (8.66x2.5) = 238.15 kg.
3. ออกแบบขนาดของเหล็กเส้นยึดกันหย่อน
2
− ต้องการพื้นที่หน้าตัด As = 238.15/(0.50x2400) = 0.20.cm. (กรณี เลือกใช้
เหล็กเส้นกลมผิวเรี ยบ)
− ซึ่ งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ∅ = √[(4As)/π] = √[(4x0.20)/(22/7)] = 0.50 cm.
= 5 mm.
− มาตรฐาน AISC แนะนําว่าควรมีขนาด ∅ ≥ 5/8 นิ้ ว (15.88 mm.)
ดังนั้นเลือกออกแบบ RB 19 mm.
4. ตรวจสอบอัตราส่ วนความชะลูด
kl/r = L/(∅/4) = (4L)/∅ = (4x1.25x100)/(19/10) = 263.16 < 300…ผ่าน
231
ภาพแสดงนํ้าหนักบรรทุกกระทําที่จุดต่อของโครงข้อหมุน T2
233
3. ผลการวิเคราะห์โครงข้อหมุน T2
การวิเคราะห์โครงข้อหมุน (ทั้ง T1 และ T2) อาจจะทําการวิเคราะห์ได้ดว้ ยการ
คํานวณมือ (โดยวิธีการตัดจุดต่อหรื อวิธีตดั แยกส่ วน) หรื อใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบก็ได้
ทั้งนี้ ข้ ึนอยู่กบั ความชํานาญและปั จจัยเสริ มอื่นๆของแต่ละบุคคล แต่ในที่น้ ี เพื่อความสะดวก รวดเร็ ว
และเข้ากับยุคสมัย จึงใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการวิเคราะห์ ได้ผลการวิเคราะห์ดงั ภาพที่แสดง
ภาพแสดงแรงตามแนวแกนที่เกิดขึ้นในองค์อาคารของโครงข้อหมุน T2
ภาพแสดงแรงปฏิกิริยาและการเปลี่ยนรู ปของโครงข้อหมุน T2
จากภาพที่แสดง ได้ผลการวิเคราะห์ดงั นี้ แรงตามแนวแกนที่เป็ นแรงดึ งสู งสุ ดคือ
169.49 kg. (องค์อาคารยาว 1.45 m.) และแรงตามแนวแกนที่เป็ นแรงอัดสู งสุ ดคือ 122.74 kg. (องค์
อาคารยาว 1.05 m.) แรงปฏิกิริยา (ในแนวดิ่ง) เพื่อความรวดเร็ วใช้ค่าที่มากสุ ดไปกระทําต่อโครงข้อ
หมุน T1 คือ 2(147.73) kg.
234
ภาพแสดงแบบจําลองโครงสร้างของโครงข้อหมุน T1
235
5. ผลการวิเคราะห์โครงข้อหมุน T1
ภาพแสดงแรงตามแนวแกนที่เกิดขึ้นในองค์อาคารของโครงข้อหมุน T1
236
ภาพแสดงแรงปฏิกิริยาที่กระทําต่อเสารองรับโครงข้อหมุน T1
ภาพแสดงการเปลี่ยนรู ปของโครงข้อหมุน T1
จากภาพที่แสดง ได้ผลการวิเคราะห์ดงั นี้
− องค์อาคารหลัก (ในที่น้ ี คือกรอบโดยรอบหรื ออักนัยคือคอร์ ดบนและคอร์ ด
ล่าง) เกิดแรงตามแนวแกนที่เป็ นแรงอัดสู งสุ ดที่คอร์ ดล่างคือ 19,830. kg.
(ยาว 1.011 m.) และแรงดึงสู งสุ ดที่คอร์ ดบนคือ 20,164.76 kg. (ยาว 1.011
m.)
237
ตรวจสอบขนาดเหล็กที่เลือกออกแบบ
(Fac )(As’) > 122.74 kg. ผ่าน
KL/rmin = (1x1.05x100)/0.87 = 120.69 < 200
2 6 2
√[(2Esπ )/Fy] = √[(2x2.10x10 x3.143 )/2,400] = 131.42
เมื่อ
Fac = (12x3.1432x2.10x106)/(23x120.692) = 743.05 ksc.
ดังนั้น (Fac )(As’) = 743.05x1.78 = 1,322.63 kg. > 122.74 kg....ผ่าน
239
ภาพแสดงขนาดขององค์อาคารที่เลือกออกแบบ
ภาพแสดงการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ
241
3) ออกแบบขนาดองค์อาคารของโครงข้อหมุน T1
โครงข้อ หมุ น ดัง กล่ า วเป็ นโครงข้อ หมุ น หลัก เพื่ อ ความละเอี ย ดขึ้ น จึ ง
แบ่งกลุ่มการออกแบบเป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มองค์อาคารหลัก (ในที่น้ ี คือกรอบโดยรอบหรื ออีกนัยคือ
คอร์ดบนและคอร์ดล่าง) ได้แรงตามแนวแกนที่เป็ นแรงอัดสู งสุ ดคือ 19,830 kg. (ยาว 1.011 m.) และแรง
ดึงสู งสุ ดคือ 20,164.76 kg. (ยาว 1.011 m.) ซึ่ งจะใช้แรงอัดสู งสุ ดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ และ
กลุ่มองค์อาคารรอง (ในที่น้ ีคือองค์อาคารถักในแนวดิ่งและแนวเอียง) ได้แรงตามแนวแกนที่เป็ นแรงอัด
สู งสุ ดคือ 6,095.59 kg. (ยาว 1.621 m.) และแรงดึงสู งสุ ดคือ 3,640.91 kg. (ยาว 1.05 m.) ซึ่ งจะใช้
แรงอัดสู งสุ ดเป็ นตัวควบคุมการออกแบบ
จากลักษณะของการยึดที่ปลาย หัว-ท้าย ขององค์อาคาร (เป็ นจุดต่อหมุน) ซึ่ ง
จากเงื่อนไขดังกล่าวนําไปหาค่า K ได้จากตารางซึ่งในที่น้ ีได้ค่า K = 1 ในทั้ง 2 กลุ่ม
(1) ออกแบบกลุ่มองค์อาคารหลัก
ออกแบบขนาดขององค์อาคาร
− หาพื้นที่หน้าตัดเหล็ก As = Fc/(0.60Fy) = 19,830/(0.60x2,400) =
13.771 cm.2
− นําค่า As ไปเปิ ดตารางเพื่อเลือกขนาดของเหล็กจากรู ปร่ างหน้าตัดที่
ต้องการในที่น้ ีคือเหล็กท่อกลม ซึ่งจากตารางเลือกหน้าตัดขนาด O-
114.3x4 mm. (As’ = 15.52 cm.2 > 13.77; rmin = r = 3.88 cm.)
242
− ตรวจสอบขนาดเหล็กที่เลือกออกแบบ
(Fac )(As’) > 19,830 kg.
KL/rmin = (1x1.011x100)/3.88 = 26.06 < 200
243
2 6 2
√[(2Esπ )/Fy] = √[(2x2.10x10 x3.143 )/2,400] = 131.42
Fac = [1-0.5x(26.06/131.42)2]x2,400/[(5/3)+3/8(26.06/131.42)-
1/8(26.06/131.42)3] = 1,352.17 ksc.
ดังนั้น (Fac )(As’) = 1,352.17x15.52 = 20,985.722 kg. > 19,830
kg....ผ่าน
สรุ ป กลุ่มองค์อาคารหลักของโครงข้อหมุน T1 ใช้เหล็กท่อกลม O-114.3x4
mm. (หนัก 12.18 kg./m.)
O-114.3x4 mm. (หนัก 12.18 กก./m.)
ภาพแสดงขนาดเหล็กที่เลือกใช้สาํ หรับองค์อาคารกลุ่มหลัก
หรื อสามารถออกแบบโดยใช้โปรแกรมช่วยในการออกแบบก็ได้ ซึ่ งในที่น้ ี
ใช้ Neosteeldesign v5 ออกแบบพอเป็ นแนวทาง ดังภาพที่แสดง
244
ภาพแสดงการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ
ออกแบบรอยต่อระหว่างองค์อาคาร
− ผลการวิเคราะห์แรงตามแนวแกนสู งสุ ด = 20,164.76 kg.
− ใช้ลวดเชื่ อมเกรด E 60 xx มีกาํ ลังรับแรงเฉื อน = 0.30x4,200 =
1,260 ksc.
245
Fac = [1-0.5x(81.05/131.42)2]x2,400/[(5/3)+3/8(81.05/131.42)-
1/8(81.05/131.42)3] = 1,040.08 ksc.
246
ภาพแสดงขนาดเหล็กที่เลือกใช้สาํ หรับองค์อาคารกลุ่มรอง
ออกแบบรอยต่อระหว่างองค์อาคาร
− ผลการวิเคราะห์แรงตามแนวแกนสู งสุ ด = 6,095.59 kg.
− ใช้ลวดเชื่ อมเกรด E 60 xx มีกาํ ลังรับแรงเฉื อน = 0.30x4,200 =
1,260 ksc.
− เลือกใช้ขนาดขาเชื่อม 4 mm. (เมื่อแต่ละองค์อาคารที่ใช้หนาไม่เกิน 6
mm. ให้ใช้ขนาดขาเชื่อมเท่ากับความหนาขององค์อาคารที่มาต่อกัน
แต่ตอ้ งไม่นอ้ ยกว่า 3 mm.) ดังนั้นความยาวของขาเชื่อมขนาด 4
mm. หาได้จาก 6,095.59/(0.707x(4/10)xL) < 1,260 (ใช้หลักหน่วย
แรงเฉื อน = แรง/พื้นที่ขนานกับแนวแรง)
− ดังนั้นต้องการรอยเชื่ อมยาว L = 6,095.59/(0.707x0.4x1,260) =
17.11 cm.
สรุ ป ใช้ขาเชื่อมขนาด 4 mm. เชื่อมโดยรอบ
10.6.2 ออกแบบรอยต่ อระหว่ างโครงข้ อหมุนกับเสารองรับ
1. ออกแบบฐานรองรับที่หวั เสา
1) ข้อมูลออกแบบ
− เสารองรับโครงข้อหมุนเป็ นเสาคอนกรี ตเสริ มเหล็กขนาด 40x40 cm.
− แรงปฏิกิริยาที่เป็ นแรงกระทําในแนวดิ่ ง (กดเสา) คือ 4,843.19 kg.
เลือกใช้ 5,000 kg.
− แรงปฏิกิริยาที่เป็ นแรงกระทําในแนวราบ (กระชากเสาหรื อเฉื อนสลัก
เกลียว) ถึงแม้ว่าผลจากการวิเคราะห์จะปรากฎว่าไม่มีแรงดังกล่าวอยู่
แต่ในที่น้ ี จะใช้ที่ 4,843.19x0.35 = 1,695.12 kg. (คาดคะเนผลที่อาจเกิด
248
จากแรงลมและแรงแผ่นดินไหว โดยเฉพาะแรงแผ่นดินไหวเพื่อความ
สะดวกและรวดเร็ ว มีผรู ้ ู ้บางท่านแนะนําว่า สปส. แรงกระทําด้านข้าง
เนื่องจากแรงแผ่นดินไหวที่ทาํ ให้เกิดแรงเฉื อนที่ฐานไม่น่าจะเกิน 0.35)
− กําลังอัดของคอนกรี ต fc’ = 173 ksc.
− ขนาดองค์อาคารของโครงข้อหมุนที่วางบนหัวเสา คือ เหล็กท่อกลม O-
114.30x4 mm.
ภาพแสดงการหาขนาดและความหนาของแผ่นเหล็กรับแรงแบกทานที่หวั เสา
− ดังนั้น t = √[6M/(fbL)], √((6x12,753.83)/(0.75x2,400x40)) = 1.03 cm.
ใช้ 1.20 cm.
− แต่ ถ า้ ต้อ งการใช้ส มการที่ ผ มทํา ไว้คื อ t = √[R/(0.75Fy)] =
√[5000/(0.75x2,400)] = 1.67 cm.
สรุ ป ใช้แผ่นเหล็กรับแรงแบกทานที่หวั เสาขนาด 40x40x1.20 cm.
2. ขนาดของสลักสมอยึด
พิจารณาแรงที่กระทําต่อสลักสมอทั้งผลอันเนื่ องจากแรงแผ่นดิ นไหวและแรงลม
ในที่น้ ี จะใช้แรงลมที่คาํ นวณได้โดยวิธีที่ 2 ตามมาตรฐาน UBC-94 มาใช้ออกแบบ ประกอบด้วย
แรงลมยกโครงหลังคา (จะมีหรื อไม่ ขึ้นอยู่กบั มุมลาดเอียงของโครงหลังคา ซึ่ งจะทําให้เกิดทั้งแรงดึง
และแรงถอนในสลักสมอ) หักลบด้วยนํ้าหนักบรรทุกคงที่ท้ งั หมดของโครงหลังคา (รวมทั้งวัสดุมุง ฝ้ า
250
F=-91.65 kg./m.
ภาพแสดงแรงลมที่เป็ นแรงยกกระทําต่อโครงหลังคา
กรณี เกิดทั้งแรงดึงและแรงถอนในสลักสมอออกจากหัวเสาเนื่ องจากแรงลมยกโครง
หลังคา ซึ่ งเป็ นแรงยกของลมต่อช่ วงกว้าง 5 m. กระทําที่หัวเสาทั้งสองด้านคือ (91.65x23)/2 =
1,053.98 kg. (เพื่อความปลอดภัย เนื่ องจากแรงยกเนื่ องจากแรงลมค่อนข้างน้อย จึ งไม่นาํ นํ้าหนัก
บรรทุกคงที่ท้ งั หมดของโครงหลังคามาลบออก)
กรณี เกิดแรงเฉื อนในสลักสมอเนื่องจากแรงลมในแนวราบที่ระดับโครงหลังคา (ช่วง
6 - 8.32 m.) ดังนั้นจึงใช้แรงลมที่ระดับ 6.10 - 8.60 m. มีค่าดังนี้ 182.95x(7.62-6.10)+193.10x(8.60-
7.62) = 467.32 kg./2 ด้าน ดังนั้นในเสาแต่ละด้านจะรับแรงในแนวราบ = 467.32/2 = 233.66 kg.
กรณี เกิดแรงเฉื อนในสลักสมอเนื่ องจากแรงแผ่นดินไหว 4,843.19x0.35 = 1,695.12
kg.
7.62-8.60 m. F=-193.10 kg./m.
6.10-7.62 m. F=-182.95 kg./m.
ภาพแสดงแรงลมที่กระทําด้านข้างที่ระดับความสูงต่างๆ
251
ภาพแสดงระยะในการเจาะช่องบนแผ่นเหล็ก
− ความกว้างของช่องที่จะเจาะ = ขาดเส้นผ่าศูนย์กลางของน๊อต + ระยะเผื่อ
(ใช้ 3 mm.) = 20+3 = 23 mm.
− ความยาวช่องที่ตอ ้ งเจาะ = Ø+∆L = Ø+[∝∆TL]
= (20/10)+[(13x10-6)(50x23x100)] = 3.495 cm. ใช้ 3.50 cm.
สรุ ป เจาะช่องสําหรับการขยายตัวเนื่องจากอุณหภูมิขนาด 2.30x3.50 cm.
252
ภาพแสดงตําแหน่งการวางตัวของเสาเข็มและเสาตอม่อ
255
Masking allows you to select members to include or exclude from the active list. Mask To Selection
makes all the selected members active while Mask Out Selection makes all of the selected inactive.
The selection can contain any number of members in any part of the frame.
If you mask and clip at the same time, the active member list will comprise those members which
will be visible due to the effects of both clipping and masking.
Color
When selecting color from the view menu there may be a problem which occurs when thousands or
millions of colors are selected in the monitor's control panel. You can work around this if you set the
colors to 256.
1. Some joints may have stiffness associated with them but no mass. ie if the sections of all member
attached to a particular joint have zero mass and no joint masses are applied to that node. The same
problem may be caused by a very large ratio of stiffness to mass which shouldn't occur in a "real"
structure.
2. Some nodes may have mass associated with them but no stiffness. This is rare.
3. Even if the above problems are not present the solution may still not converge. The problem then is
due to the fact that in some cases natural frequency will be missed which causes an interruption of the
analysis. When the missed frequency is picked up later in the analysis, the solver is not able to
recommence in some cases. This tends to occur in simpler frames where multiple natural frequencies
will often be grouped at a given value.
One suggestion would be to make the frame more complex by subdividing the members to create
more nodes and improve convergence.
Importing Coordinates
It is possible to read joint coordinates into Multiframe. This option is described in the users manual.
The easiest way to see the file format required is to create a simple file in Multiframe and use Save
As with the FORTRAN Text option for the file format and have a look at the resulting file in a word
processor or text editor.
You can also paste joint coordinates into Multiframe from a spreadsheet. The only limitation of this
option is that you must already have created the structure with the appropriate joint and member
numbering before pasting in the data. However this is still quite useful for regular structures like
curved beams and the like.
Joint Order
Multiframe adopts the convention that joint 1 is always the joint to the left of the member in the front
view and in the case of members which are vertical joint 1 is at the bottom, joint 2 at the top.
In the case of a member which lies in the xy plane, joint 1 will be the joint on the left and joint 2 will
be the joint on the right. In the case of a member which lies in the xz plane, joint 1 will be the joint on
272
the left as viewed in the right hand view and joint 2 will be the joint on the right as viewed in the
right hand view.
Modal Shapes
The modal shapes created after analysis are non-dimensional and merely reflect the shape the
structure would have when vibrating at a given natural frequency. Currently dimensions are shown
but the shape is actually scalable to any size. We don't show the induced stresses or actions that result
from dynamic analysis as these are not meaningful.
Natural Frequencies
For any continuous structure there are theoretically infinite natural frequencies, but generally
engineers dealing with real structures only need to consider those natural frequencies that are likely to
occur in the real world. These are usually the lowest natural frequencies for the structure.
Multiframe4D calculates from the lowest natural frequency upwards to a possible of 20 natural
frequencies.
To carry out a modal analysis using computational methods we approximate the continuous system
by discretising the structure into a finite number of degrees of freedom. Each degree of freedom
allows us to calculate one natural frequency. The more degrees of freedom the more accurate the
solution.
A good rule of thumb is that the minimum number of degrees of freedom should be at least double
the required natural frequencies. Multiframe enforces this rule.
Each node has 6 degrees of freedom. A structure with 2 nodes, one fixed, would eliminate the
degrees of freedom for that node, so you are left with 6 degrees of freedom in total. Thus considering
the rule above, Multiframe4D will only return a maximum of 3 natural frequencies.
273
The solution is to use the subdivide command to increase the number of nodes in the structure and
therefore the degrees of freedom. If you experiment with different levels of discretisation you will
notice improvements in the accuracy of the solution for the higher natural frequencies as the number
of nodes is increased.
Orientation of Members
When you have generated a dome, you will find that the reason the orientation of the members is not
exactly what you expect is because of the convention that Multiframe uses for determining which is
joint 1 and which is joint 2 on a member.
The orientation depends on this ordering since the orientation is defined relative to a vertical plane
passing through the two joints and looking in the direction from joint 2 towards joint 1. Multiframe
adopts the convention that joint 1 is always the joint to the left of the member in the front view and in
the case of members which are vertical joint 1 is at the bottom, joint 2 at the top.
In the case of a member which lies in the xy plane, joint 1 will be the joint on the left and joint 2 will
be the joint on the right. In the case of a member which lies in the xz plane, joint 1 will be the joint on
the left as viewed in the right hand view and joint 2 will be the joint on the right as viewed in the
right hand view.
For other members which are at arbitrary orientation, the joint numbering will stay the same as that
when the joints were generated. It is important to consider the order of the joints in the member when
viewing it's orientation. If you are viewing the table of members in the Data Window you will need to
check the numbers of joint 1 and joint 2 in the left columns when reviewing the member orientation.
The graphical displays in the windows should be correct if you take this into account.
Pinned, fixed
The default behavior of Multiframe in regards to pinned and fixed joints and members is that all
members and all joints are initially fully rigid. This means that there is complete moment transfer
274
across each joint. If you make a joint pinned, then this releases the moments and torsion at the ends of
all the members attached to that joint. It also sets the rotations of that joint to zero.
If however you release the moments at the end of a member using the Member Type command, then
in the Member Type dialogue you have an option of which moments and torsion to release.
In general you will want to use a pinned joint when analyzing a truss structure and you will want to
use the pins at the end of a member when you want to have a rigid frame where a part of the frame is
pinned.
You should not pin a joint and also pin the end of a member attached to that joint.
Also keep in mind that releasing moments on a member releases the local rotations and moments
whereas applying a pinned joint restraint releases the global rotations and moments.
Multiframe is automatically set up to save files in the DXF format. On the Macintosh, you can do this
by selecting Save As, and then selecting 2D or 3D DXF from the pop up menu of the resulting dialog
box. On Windows, you can do this by selecting the Export menu item.
Section Libraries
Multiframe automatically looks for a file named "SectionsLibrary.slb" in the same folder as the
program. If it finds a file with this name, this library will be used. If you want Multiframe to use a
different library (like the wood library), you need to rename the standard Section Library to say
"Steel Library". Then, when the program starts up, it will not find a library with the standard name
("SectionsLibrary.slb") and it will prompt you to locate the library you wish to use. Note that you can
also use this technique to have a number of sections libraries (for example one per project) available
275
for use. Multiframe, Section Maker and Steel Designer are set up to use the same utilities disk you
received with your original order, and thus the same sections libraries.
Stopping Analysis
You can stop analysis or rendering in Multiframe by pressing the ESC key on Windows or pressing
command - period on the Macintosh.
Trusses
The default behavior of Multiframe in regards to pinned and fixed joints and members is that all
members and all joints are initially fully rigid. This means that there is complete moment transfer
across each joint. If you make a joint pinned, then this releases the moments and torsion at the ends of
all the members attached to that joint. It also sets the rotations of that joint to zero.
If however you release the moments at the end of a member using the Member Type command, then
in the Member Type dialogue you have an option of which moments and torsion to release.
In general you will want to use a pinned joint when analyzing a truss structure and you will want to
use the pins at the end of a member when you want to have a rigid frame where a part of the frame is
pinned.
You should not pin a joint and also pin the end of
Importing DXF
When importing data, Section Maker will connect together any lines whose ends are within 5mm
276
(0.1969 inches) of each other. If your lines touch in your CAD system then the rescaling should not
affect this.
Once you have placed the DXF shape into Section Maker the properties will be displayed in the
Properties window. You will need to assign materials to the shape to compute these properties
correctly.
Symbol Definitions
fy Yield stress.
fu Ultimate tensile stress.
rx Radius of gyration about the X axis.
ry Radius of gyration about the Y axis.
rz Radius of gyration about the principal axis (for when the principal axis is neither the x or y axis
such as for an angle section).
Sx Elastic section modulus about the X axis.
Sy Elastic section modulus about the Y axis.
I1 Moment of Inertia about the Major principal axis at the centroid (Strongest axis).
I2 Moment of Inertia about the Minor principal axis at the centroid.
Angle that the Major principal Axis makes with the x axis.
The following values depend on the position of the centroid of the current section:
xc The distance along the x axis of the current section centroid.
yc The distance along the y axis of the current section centroid.
(If you select all shapes and choose Align to Centroid from the Shape menu then these will both be
0.0).
Ixc Moment of Inertia about the X axis through the centroid.
Iyc Moment of Inertia about the Y axis through the centroid.
(If you select all shapes and choose Align to Centroid from the Shape menu then they will be
equivalent to Ix and Iy).
Ixyc Product of Inertia about the centroid.
These values define the extents of the section.
xl X (left ) the left most extent of the section on the x axis.
277
ตาราง ข -1 แสดงคุณสมบัติของหน้าตัด
ตาราง ง -1 แสดงคุณสมบัติของเหล็กท่อดํา
ตาราง ง -2 แสดงคุณสมบัติของเหล็กท่อเหลี่ยมแบบ
ตาราง ง -3 แสดงคุณสมบัติของเหล็กท่อเหลี่ยม
ตาราง ง -4 แสดงคุณสมบัติของเหล็กตัวซี
ตาราง ง -5 แสดงคุณสมบัติของเหล็กฉาก
ตาราง ง -6 แสดงคุณสมบัติของเหล็กไอบีม
ตาราง ง -7 แสดงคุณสมบัติของเหล็กรางนํ้า
ตาราง ง -8 แสดงคุณสมบัติของเหล็กไวด์แฟรงค์
ตาราง ง -9 แสดงคุณสมบัติของเหล็กเอชบีม
แผ่ น ดิ น ไหวในประเทศไทย .
2
แหล่งข้อมูล http://www.dmr.go.th/ewt_dl_link.php?nid=74&filename=earthquake_thai
(วันที่คน้ ข้อมูล : 12 ตุลาคม 2554).
คณะกรรมการวิ ช าการสาขาวิ ศ วกรรมโยธา วิ ศ วกรรมสถานแห่ ง ประเทศไทยในพระบรม_
ราชูปถัมภ์, สมาคม. (2540). ศั พท์ วิทยาการวิศวกรรมโยธา (แก้ไขปรับปรุ งครั้งที่ 1).
กรุ งเทพฯ: วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์.
คณะกรรมการวิชาการสาขาวิศวกรรมโยธาโยธา วิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทยในพระบรม_
ราชูปถัมภ์, สมาคม. (2553). มาตรฐานสํ าหรับอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยวิธีหน่ วย
แรงใช้ งาน (พิมพ์ครั้งที่ 11). กรุ งเทพฯ: วิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทยในพระบรม
ราชูปถัมภ์.
คณะอนุ กรรมการสาขาโครงสร้างเหล็ก วิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์,
สมาคม. (2540). มาตรฐานสํ าหรั บอาคารเหล็กรู ปพรรณ (พิมพ์ครั้ งที่ 2). กรุ งเทพฯ:
วิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์.
คณะอนุ กรรมการสาขาโครงสร้างเหล็ก วิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์,
สมาคม. (2540). การอบรมเชิ งปฏิบัติการ เรื่ อง การออกแบบอาคารเหล็กรู ปพรรณ.
กรุ งเทพฯ:วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์.
ชมรมวิศวกรรมโยธาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2536). รายละเอียดเหล็กเสริมงานคอนกรีต (พิมพ์
ครั้งที่ 9). กรุ งเทพฯ: ส. เอเซียเพลส.
ณรงค์ กุหลาบ. (2543). การออกแบบคอนกรี ตเสริ มเหล็ก. ปทุมธานี : สยามสเตชัน่ เนอรี่ ซัพ_
พลายส์.
312
Lam, D., Ang, T.C., & Chiew, S.P. (2004). Structural Steelwork: Design to Limite State
Theory(3rd ed.). England : Elsevier Ltd.
Massimi, M., Mickute, M., & Edwards, C. (2010). Structures Variety – Wood Frame System.
[Online]. Available : http://woodframesystem.wordpress.com/wood-frame-
system/loads/ (Access date : 5 October 2011).
McCormac, J.C. (1992) . Structural Steel Design: ASD Method(4th ed.). USA : Harper Collins.
Mckenzie, W. M.C. (2006). Examples in Structural Analysis. New York: CRC Press.
Munach, R. (2011). How it Works: Building Loads. [Online]. Available :
http://www.finehomebuilding.com/design/articles/how-it-works-building-loads.aspx
(Access date : 3 October 2011).
Newnan, A. (2004). Metal Building System Design and Specifications(2nd ed.). USA :
McGRAW-HILL.
Pasala., D. (1999). Design of Steel Structures(2nd ed.). INDIA: S. CHAND & COMPANY.
Ray, S.S., (1998). Structural Steelwork Analysis and Design. USA : Blackwell Science Ltd.
Salmon, C.G., & Johnson, J.E. (1996). Steel Structures Design and Behavior(4th ed.). New
York : HarperColline College.
Schierle, G.G., (2002). Truss and Space Truss. n.p.
Trahair, N.S., et al. (2008). The Behavior and Design of Steel Structures to EC3(4th ed.).
New York : Taylor & Francis.
ประวัต(ิ โดยย่ อ)
- ประจําศูนย์เทรนนิ่งวิศวกรรม ตั้มซิวิล 2