You are on page 1of 233

เอกสารประกอบการสอน

วิชา การออกแบบระบบท่อ
และระบบชลประทานภายใต้แรงดัน
( )

เครืองสูบนําเพือการชลประทาน
และ
การออกแบบท่อส่งนํา

นิมิตร เฉิดฉันท์พพิ ฒ
ั น์
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน
สารบัญ เรือง เครืองสูบนําเพือการชลประทาน
บทที หน้า
.การจํ าแนกประเภทของเครืองสูบนํา
. ความหมายของเครืองสูบนํา
. ประเภทของเครืองสูบนํา
. ทฤษฎีเกียวกับเครืองสูบนํา
. การเพิมเฮดให้ กับของเหลวโดยเครืองสูบนํา
. เฮด กับ อัตราการสูบของเครืองสูบนํา
. กฎความคล้ ายคลึง (Affinity Laws)
. ความเร็วจําเพาะ (Specific Speed, Ns)
. ลักษณะการทํางานของเครืองสูบนํา
. ความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราการสูบและขนาดเครืองสูบนํา
. เฮดรวม (Total Head ,H ) ของเครืองสูบนํา
. คาวิเตชัน (Cavitation)
. การคํานวณค่า NPSHa
. ค่า NPSH ทีต้ องการ (NPSHr)
. กราฟสมรรถนะเครืองสูบนํา
. กราฟ H – Q
. กราฟเฮดของระบบ (System Head Curve)
. การเลือกเครืองสูบนําจากกราฟ
. ข้อมู ลเกียวกับเครืองสูบนําเพือประกอบการพิจารณาเลือกใช้งาน
. ประเภทของเครืองสูบนีจะเลือกใช้
. การเลือกใช้ ความเร็วรอบของเครืองสูบนํา
. การเลือกใช้ เครืองสูบนํากรณีเฮดสูง ปานกลางและตํา
. การคํานวณปริมาณนําทีต้องการสูบ
. ปริมาณการสูบนําเพือการชลประทาน
. อัตราการสูบนําเพือการระบายนํา
. การคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
. ข้ อมูลทีต้องการ
. การคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
สารบัญเรือง การออกแบบท่อส่งนํา

บทที หน้ า
.ชนิดท่อส่งนําเพือการชลประทาน
การเลือกชนิดท่อส่งนํา
.การคํานวณค่าการสูญเสียเฮดในระบบท่อ
. ชนิดของการสูญเสียเฮดในระบบท่อ
. ทฤษฎีสาํ หรับคํานวณค่าการสูญเสียเฮดหลัก
. สูตรสําหรับคํานวณค่าการสูญเสียเฮดรอง
.การออกแบบท่อส่งนํา
. การคํานวณปริมาณนําทีจะส่ง
. การคํานวณขนาดท่อ
. การคํานวณการสูญเสียพลังงานในเส้นท่อ
. การคํานวณเส้นลาดชลศาสตร์
. การคํานวณและออกแบบโครงสร้ างคํายันในระบบท่อ
. การคํานวณ water hammer
. การกําหนดชันคุณภาพท่อ
. ตัวอย่างการคํานวณออกแบบท่อส่งนํา
Hydraulics Engineering 1

บทที
สมการพืนฐานของการไหลภายในท่อ
Basic Equation of Flow in Closed Conduit

เนือหาในบทนีจะเป็ นการกล่าวถึงพฤติกรรมของการไหลในรางแบบปิ ด (ท่อปิ ด) หรือการไหลภายใต้แรงดัน


(Flow in Pressure Conduit or Flow in Closed Conduit) ในทีนีคือการไหลของของไหลภายในท่อปิ ดทีมีของไหลไหล
อยู่เต็มพืนทีหน้าตัดของท่อ ไม่มผี วิ อิสระ การไหลอยูภ่ ายใต้ความดันตลอดช่วงของการพิจารณา

รูปที . ความแตกต่างของหน้าตัดการไหลของการไหลภายในรางแบบปิ ด กับการไหลในรางแบบเปิ ด

คําศัพท์ทให้
ี ความหมายของคําว่า ท่อ มีอยูห่ ลายคําด้วยกัน โดยจะมีความหมายแตกต่างกันตามลักษณะดังนี
- Closed conduit หมายถึง ท่อแบบปิ ด
- Pipes หมายถึง ท่อทีมีหน้าตัดเป็ นรูปวงกลม
- Duct หมายถึง ราง หรือท่อทีมีหน้าตัดไม่เป็ นรูปวงกลม
ในบทนี คําว่า ท่อ จะหมายถึงท่อทีมีหน้าตัดเป็ นรูปวงกลมเท่านัน และในระบบท่อทีเราจะทําการศึกษากันนัน
หมายถึงระบบท่อทีมีองค์ประกอบดังต่อไปนี
- Pipes (ตัวท่อ)
- Fitting Devices (อุปกรณ์ประกอบท่อ) เช่น ข้อต่อ ข้องอ ข้อลดขนาด ข้อขยายขนาด เป็ นต้น
- Flow Meter (มาตรวัดอัตราการไหล)
- Flowrate control devices (อุปกรณ์ควบคุมการไหล) เช่น ประตูนํา หรือวาล์วชนิดต่างๆ เป็ นต้น
- Pump or Turbine (เครืองสูบ หรือกังหัน) เป็ นอุปกรณ์ทเพิ
ี ม หรือลดพลังงานในระบบ

1.1) การจําแนกประเภทของการไหล (Flow classification)

เนืองจากคุณสมบัตหิ ลายประการของของไหลสามารถเปลียนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อม (เช่นอุณหภูมิ ความ


ดัน เป็ นต้น) และเวลา ในสภาพปั ญหาหนึงๆ ถึงแม้การไหลจะเกิดขึนทีตําแหน่งเดียวกัน แต่พฤติกรรมของการไหลอาจ
ไม่เหมือนกัน ดังนันการวิเคราะห์จงึ จําเป็ นต้องคํานึงถึงสมมุตฐิ านทีสอดคล้องกับสภาพปั ญหานันๆ

1.1.1) ของไหลจริง และของไหลจินตภาพ (Real Fluid and Ideal Fluid)


ในสนามการไหลของของไหลจริง (Real Fluid) ของไหลจะได้รบั อิทธิพลของแรงเค้นเฉือนอันเนืองมาจาก
ความหนืด อนุภาคของไหลในแต่ละจุดในสนามการไหลจะมีความเร็วแตกต่างกัน เช่น การไหลในท่อ อนุภาคของ
ไหลทีอยูใ่ กล้กบั ผนังท่อจะมีความเร็วช้ากว่าอนุภาคของไหลทีกึงกลางท่อ เป็ นต้น ส่วนของไหลจินตภาพ (Ideal
Fluid) เป็ นการไหลทีสมมุตใิ ห้ของไหลไม่ได้รบั อิทธิพลของแรงเค้นเฉือนอันเนืองจากความหนืด ดังนันในสนามการ

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


2 Hydraulics Engineering

ไหลจะไม่เกิดแรงเค้นเฉือนระหว่างอนุภาคของของไหล และความเร็วของอนุภาคของไหลจะเท่ากัน ซึงจะเท่ากับ


ความเร็วเฉลีย เพือสะดวกในการคํานวณเมือกล่าวถึงการไหลส่วนมากมักจะหมายถึง การไหลจินตภาพ

1.1.2) พิจารณาจากคุณสมบัตใิ นการบีบอัดของของไหล (Compressibility)


หากของไหลอัดตัวได้ (Compressible Fluid) เมือเคลือนทีในสนามการไหล และเมือความดันในสนามการ
ไหลเปลียนแปลงไป ปริมาตรของของไหลจะเกิดการเปลียนแปลง ซึงจะส่งผลต่ออัตราการไหล การวิเคราะห์จงึ มี
ความซับซ้อนมากขึน ในทางตรงกันข้าม หากของไหลอัดตัวไม่ได้ (Incompressible Fluid) เมือเคลือนทีในสนาม
การไหล ของไหลจะมีปริมาตรคงทีไม่เปลียนแปลงไปตามขนาดของความดัน ในการวิเคราะห์อตั ราการไหลก็จะมี
ความซับซ้อนน้อยลง โดยส่วนมากของไหลมีสถานะเป็ นของเหลว จะถือว่าของไหลนันเป็ น ของไหลทีอดตัวไม่ได้

1.1.3) พิจารณาจากการเปรียบเทียบกับเวลา
เมือพิจารณาทีจุดใดจุดหนึงในสนามการไหล หากในช่วงเวลาทีทําการวิเคราะห์ ค่าของตัวแปรต่างๆ ที
เกียวข้อง ไม่มกี ารเปลียนแปลงไปตามเวลา จะถือว่า การไหลนันเป็ นการไหลแบบคงที หรือทีเราเรียกว่า Steady
Flow ในทางตรงกันข้าม หากในช่วงเวลาทีวิเคราะห์ เมือเวลาผ่านไป ค่าของตัวแปรต่างๆ ทีเกียวข้อง มีการ
เปลียนแปลงอย่างเห็นได้ชดั จะถือว่า การไหลนันเป็ นการไหลแบบไม่คงที หรือทีเราเรียกว่า Unsteady Flow

1.1.4) พิจารณาจากพฤติกรรมการเคลือนทีของอนุภาคของไหล
หากพิจารณาจากพฤติกรรมการเคลือนตัวของอนุภาคของไหลในสนามการไหล เราสามารถแบ่งประเภท
การไหลได้เป็ น ลักษณะคือ
- การไหลแบบราบเรียบ (Laminar Flow) อนุภาคของของไหลจะเคลือนทีอย่างเป็ นระเบียบ ไปตาม
เส้นทางทีแน่นอน (เคลือนทีไปตาม Streamline) การไหลประเภทนีมักจะเกิดกับการไหลของของไหลที
มีความหนืดสูง หรือการไหลทีมีความเร็วตํา
- การไหลแบบปั นป่ วน (Turbulent Flow) อนุ ภาคของของไหลเคลือนทีไม่เป็ นระเบียบ อนุ ภาคของของ
ไหลมีเส้นทางการเคลือนทีไม่แน่นอน สภาพการไหลในสนามการไหลมีความปั นป่ วน การไหลประเภท
นีมักเกิดกับของไหลทีมีความหนืดตํา หรือการไหลทีมีความเร็วสูง
ส่วนการไหลแบบแปรเปลียน (Transition flow) เป็ นสภาวะทีการไหลกําลังจะเปลียนจาการไหลแบบ
ราบเรียบ ไปเป็ น การไหลแบบปั นป่ วน ซึงเป็ นช่วงของการไหลทีไม่สามารถทํานายพฤติกรรมได้ กล่าวคือ ภายใต้
เงือนไขเดียวกัน พฤติกรรมสามารถเป็ นไปได้ทงแบบราบเรี
ั ยบ หรือปั นป่ วน หรือเป็ นทังสองแบบสลับกัน

1.1.5) พิจารณาจากลักษณะการหมุนตัวของอนุภาคของไหล
หากพิจารณาจากลักษณะของการเคลือนตัวของอนุภาคของของไหล สามารถแบ่งได้ ลักษณะคือ
- การไหลแบบหมุน (Rotational Flow) คือการไหลทีอนุ ภาคของของไหลเคลือนทีไปพร้อมกับการหมุน
- การไหลแบบไม่หมุน (Irrotational Flow) คือการไหลทีอนุภาคของของไหลเคลือนทีไปแต่ไม่มกี ารหมุน
โดยส่วนมากในการวิเคราะห์ปัญหาเกียวกับการไหลจะสมมุตใิ ห้การไหลเป็ นแบบ Irrotational Flow

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 3

รูปที . (ก) ของไหลจินตภาพ (ข) ของไหลจริง

รูปที .3 ของไหลทีอัดตัวได้ และไม่ได้ ภายในสนามการไหลทีมีการเปลียนแปลงความดัน

รูปที .4 การไหลแบบ Steady flow และ Unsteady flow

รูปที . การไหลแบบราบเรียบ และการไหลแบบปั นป่ วน

รูปที . การไหลแบบหมุน และการไหลแบบไม่หมุน

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


4 Hydraulics Engineering

1.2) สมการพืนฐานของการไหลในท่อ (Basic Equation for Pressure Conduit Flow)

. . ) สมการความต่อเนื อง (Continuity Equation)

หากพิจารณาสมการการเคลือนย้ายของเรโนด์ (Raynolds Transport Theorem) โดยใช้ปริมาตรมาทําการ


วิเคราะห์จะได้วา่
Dsys CV  In     Out
   --------- ( . )
Dt t
D
ถ้าของไหลมีสถานะเป็ นของเหลว ซึงถือว่าบีบอัดตัวได้น้อยมาก (incompressible fluid) ดังนัน sys  0
Dt
CV  In     Out
  --------- ( . )
t

รูปที . การไหลผ่านปริมาตรควบคุม

และหากการไหลเกิดขึนในท่อ โดยมีของเหลวไหลอยูเ่ ต็มท่อ (closed conduit) เมือพิจารณาปริมาตรควบคุม


CV
ระหว่างจุดสองจุด ปริมาตรของไหลในปริมาตรควบคุมจึงไม่มกี ารเปลียนแปลง ดังนัน 0
t

 In   Out  --------- ( . )

 คืออัตราการเคลือนย้ายของปริมาตร ซึงก็คอื อัตราการไหล (Q) สมการที ( . ) จึงเขียนใหม่ได้เป็ น


เนืองจาก 

 Q In   Q Out --------- ( . )
หรือ   A  V In    A  V  Out --------- ( . )

ซึงเราจะเรียกสมการที ( . ) และ ( . ) ว่า สมการความต่อเนื อง (Continuity Equation) ของการไหลในท่อ

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 5

.2. ) สมการพลังงาน (Energy Equation)

สมการพลังงาน (Energy Equation) หรืออีกชือหนึงคือ สมการเบอร์นูลลี (Bernoulli Equation) คือสมการ


ความสัมพันธ์ของพลังงานต่อหนึงหน่วยนําหนัก (Energy Head) ของอนุภาคของไหลทีเคลือนทีจากจุดหนึงไปอีกจุด
หนึง โดยของไหลจะเคลือนทีไปตาม streamline ซึงสมการความสัมพันธ์จะอยูใ่ นรูป

P1 V12 P V2
z1    z2  2  2 --------- ( .6)
 2g  2g

เมือ Z = Potential Head (เฮดระดับ)


P V2
= Pressure Head (เฮดความดัน) = Velocity Head (เฮดความเร็ว)
 2g

การไหลในท่อ เมือของไหลเคลือนทีผ่านระบบท่อ จะเกิดการสูญเสียพลังงานขึน (Head Loss ; hL) โดยการ


สูญเสียพลังงานนีจะมีอยูส่ องรูปแบบคือ
- การสูญเสียพลังงานหลัก (Major Loss ; hf) คือการสูญเสียพลังงานทีเกิดจากการทีของไหลถ่ายเท
พลังงานให้กบั ผนังท่อ เมือของไหลไหลผ่านท่อไกลเท่าไหร่ การสูญเสียพลังงานก็จะยิงเพิมขึน
- การสูญเสียพลังงานรอง (Minor Loss ; hm) คือการสูญเสียพลังงานทีเกิดจากการทีของไหลไหลผ่านจุด
ทีมีการเปลียนแปลงขนาด หรือทิศทางของความเร็ว ซึงการสูญเสียพลังงานลักษณะนีจะเกิดขึนบริเวณ
ทางเข้า-ออก ข้องอต่างๆ หรือบริเวณทีมีการติดตังอุปกรณ์ประกอบต่างๆ

ดังนันเมือพิจารณาผลของการสูญเสียพลังงาน สมการที ( . ) สามารถเขียนใหม่ได้เป็ น

P1 V12 P2 V22
z1    z2     h f   hm --------- ( . )
 2g  2g

นันหมายความว่า เมืออนุภาคของไหลเคลือนทีไปตามแนวเส้นท่อจากเหนือนําไปท้ายนํา หากนําผลรวมของเฮด


ทีด้านท้ายนํา มารวมกับค่าการสูญเสียพลังงานตามแนวเส้นทางการเคลือนที ผลทีได้จะมีคา่ เท่ากับผลรวมของเฮดที
ด้านเหนือนําเสมอ ดังรูปที . โดยเส้นทีบอกถึงระดับของเฮดพลังงานรวมนันเราจะเรียกว่า เส้นระดับพลังงาน
(Energy Grade Line ; E.G.L.) และเส้นทีบอกถึงระดับผลรวมของเฮดระดับ กับเฮดความดัน จะเรียกว่า ระดับชล
ศาสตร์ (Hydraulic Grade Line ; H.G.L.) ในบางครัง เส้นระดับชลศาสตร์ อาจถูกเรียกว่า เฮดสถิต (Static head หรือ
Piezomatic head)

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


6 Hydraulics Engineering

รูปที . พลังงานกับการไหลในท่อ

. .3) สมการโมเมนตัม (Momentum Equation)

สมการโมเมนตัม เป็ นสมการทีอธิบายถึงผลกระทบจากแรงภายนอก ทีมีผลต่อการเปลียนแปลงขนาดหรือทิศทาง


ของการไหล เช่นในกรณีของการไหลในท่อทีมีการลดขนาดหรือข้องอชนิดต่างๆ บริเวณผิวของผนังท่อจะส่งแรงกระทํา
ไปยังกับของไหล ทําให้ขนาดและทิศทางของความเร็วเปลียนแปลงไป เป็ นต้น พฤติกรรมของแรงภายนอกทีมีผลต่อ
การเปลียนแปลงความเร็วของการไหล จะอาศัยหลักการจากกฎอิมพัลส์โมเมนตัม (Impulse momentum) และ ทฤษฎี
การเคลือนย้ายของเรย์โนด์ (Reynolds Transport Theorem) ซึงจะได้สมการโมเมนตัมเชิงเส้น (Linearly Momentum
Equation) ดังสมการที ( . )
  
 F    Out  Q Out  VOut    In  Q In  VIn  --------- ( . )

เมือ F = ผลรวมของแรงกระทําภายนอกทีกระทํากับ control volume

 In  Q In  VIn  = ผลรวมของโมเมนตัมทีไหลเข้าสู่ control volume

  Out  Q Out  VOut  = ผลรวมของโมเมนตัมทีไหลออกจาก control volume

รูปที . การเคลือนย้ายโมเมนตัมของของไหลผ่านปริมาตรควบคุม

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 7

1.3) พฤติกรรมของการไหลในท่อ (Behavior of flow in pipe)

ในปี ค.ศ. ออสบอร์น เรย์โนลด์ (Osborne Reynolds) ได้ทาํ การศึกษาพฤติกรรมของการไหลในท่อ โดย


ใช้เครืองมือ ลักษณะดังรูปที . โดยสามารถแบ่งพฤติกรรมการไหลของของไหลภายในท่อได้เป็ น ลักษณะคือ

รูปที . เครืองมือทดสอบการไหล และพฤติกรรมการไหลของ เรย์โนลด์

- การไหลแบบราบเรียบ (Laminar Flow) จะเกิดกับการไหลของของไหลทีมีความหนืดสูง หรือความเร็ว


ในการไหลตํา อนุภาคของของไหลจะเคลือนทีอย่างเป็ นระเบียบไปตาม streamline

- การไหลแบบปั นป่ วน (Turbulent Flow) จะเกิดกับการไหลของของไหลทีมีความหนืดตํา หรือความเร็ว


ในการไหลมาก แนวเส้นทางการเคลือนทีของอนุภาคของไหลเคลือนทีไม่เป็ นระเบียบ แปรปรวน

- การไหลในช่วงแปรเปลียน (Transition Flow) เป็ นช่วงทีไม่สามารถคาดเดาได้ ในบางตําแหน่งหรือบาง


ช่วงเวลา พฤติกรรมของการไหลอาจเป็ นไปได้ทงแบบราบเรี
ั ยบหรือปั นป่ วน เพราะเป็ นช่วงทีการไหล
กําลังจะพัฒนาพฤติกรรม จากการไหลแบบราบเรียบ ไปเป็ นการไหลแบบปั นป่ วน

พฤติกรรมทัง ลักษณะ สอดคล้องกับค่าของกลุ่มตัวแปรไร่มติ กิ ลุม่ หนึง ซึงเรียกว่า เรย์โนลด์ นัมเบอร์


(Reynolds Number ; Re) กล่าวคือ
Re < 2000 - Laminar flow
< Re < 4000 - Transition flow
Re > 4000 - Turbulent flow
โดย Reynolds Number ของการไหลในท่อกลมคํานวณได้จาก

VD VD
Re   --------- ( .9)
 

เมือ V = ความเร็วเฉลียของการไหลในท่อ
D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ
 = ความหนาแน่นของของไหล
 = ความหนืดสัมบูรณ์ (Absolute Viscosity ;  Water at 22 C  1.0  10 3 )
o

 = ความหนืดคิเนมาติก (Kinematic Viscosity ;  Water at 22 o C


 1.0  10 6 )

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


8 Hydraulics Engineering

1.4) การสูญเสียพลังงานหลัก (Friction head loss or Major loss : hf)

การสูญเสียเฮดของการไหลในท่อ หรือทีเราเรียกว่า การสูญเสียพลังงานหลัก คือการสูญเสียเฮดทีเกิดจากผล


ของแรงเสียดทานอันเนืองมาจากผลของความหนืดของของไหล และแรงเสียดทานระหว่างระหว่างของไหลกับผนังท่อ
โดยการสูยเสียเฮดนันจะขึนอยู่กบั ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อ ความยาวของท่อ ความหยาบของวัสดุทใช้ ี ทาํ ท่อ
ความหนืดของของไหล และความเร็วในการไหล

. .1) สมการ Darcy-Weisbach

Darcy-Weisbach Equation คือสมการทีใช้คาํ นวณค่าการสูญเสียพลังงานหลักของการไหลในท่อ ทีคิดค้น


โดยวิศวกรชาวฝรังเศสทีชือ Henry Darcy ในปี ค.ศ. จากนัน ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันชือ Julius
Weisbach ได้นําผลงานของ ดาร์ซี ออกนําเสนอในปี ค.ศ.

L V2
hf  f  --------- ( .10)
D 2g

เมือ V = ความเร็วเฉลียของการไหลในท่อ
D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ
L = ความยาวท่อ
g = ความเร่งเนืองจากแรงโน้มถ่วง
f = ค่าสัมประสิทธิความเสียดานของดาร์ซี (Darcy-Weisbach friction factor)

โดยค่าสัมประสิทธิความเสียทานของดาร์ซ ี (Darcy-Weisbach friction factor : f) จะขึนอยูก่ บั พฤติกรรมของการ


ไหลในท่อ ซึงต่อมาได้มกี ารนําเสนอสมการทีใช้คาํ นวณหาค่าสัมประสิทธิความเสียทานดังนี

- ค่าสัมประสิทธิความเสียดทานของการไหลแบบราบเรียบ (Friction factor for laminar flow)


 64
f  64   --------- ( .11)
 VD Re
เราเรียกสมการที (11) ว่า Hangen-Poiseuille law เนืองจากเป็ นสมการทีคิดค้นโดยวิศวกรชาวเยอรมันทีชือ
Hangen และนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรังเศสทีชือ Poiseuille

- ค่าสัมประสิทธิความเสียดทานของการไหลแบบปั นป่ วนในท่อผนังเรียบ


(Friction factor for turbulent flow in smooth pipe)
Prandtl ได้สร้างสมการ โดยอาศัยขอมูลจากการทดลองของ Nikuradse (ลูกศิษย์ของ Prandtl) ได้ดงั นี
1
 2.00 logR e  f   0.80 --------- ( .12)
f

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 9

- ค่าสัมประสิทธิความเสียดทานของการไหลแบบปั นป่ วนในท่อผนังหยาบ


(Friction factor for turbulent flow in rough pipe)
Colebrook ได้นําเสนอสมการการหาค่าสัมประสิทธิความเสียดทานในกรณีทความขรุ
ี ขระของผนังท่อมี
ผลกระทบในระดับปานกลางดังนี
1   D 2.51 
 2 log   --------- ( .13)
f  3.7 Re f 

- ค่าสัมประสิทธิความเสียดทานของการไหลแบบปั นป่ วนสมบูรณ์


(Friction factor for complete turbulent flow in rough pipe)
ในกรณีการไหลในท่อขรุขระมาก (Fully rough flow) Karman ได้นําเสนอสมการของการหาค่าสัมประสิทธิ
ความเสียดทานไว้ดงั นี
1  3.7 
 2 log  --------- ( .14)
f  D
 

รูปที . เปรียบเทียบการกระจายตัวของความเร็ว ของการไหลแบบต่างๆ ในท่อกลม

และเพือให้ง่ายต่อการใช้งาน ในปี ค.ศ. 1944 Lewis F. Moody ได้รวบรวมสมการของ Hangen-


Poiseuille สมการของ Prandtl สมการของ Colebrook และสมการของ Karman นํามาสร้างเป็ นกราฟ
ความสัมพันธ์ระหว่าง Reynolds number (Re) Relative roughness ( D ) กับ friction factor (f) ซึงเรียกว่า
Moody Diagram ดังรูปที .

ตารางที 1 ค่าความหยาบผิวของวัสดุชนิดต่างๆ

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


10 Hydraulics Engineering

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 11

. . ) สมการ Hazen-Williams

Hazen-Williams formula เป็ น empirical formula ทีพัฒนาขึนเพือใช้กบั การไหลของนําในท่อกลมเท่านัน โดย


กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ความเร็วของการไหล (ความเร็วทีเหมาะสม V < 3.0 m/s) การลดลงของความดันอัน
เนืองมาจากแรงเสียดทานบนผนังท่อ และคุณสมบัตทิ างกายภาพของท่อ (ขนาดท่อทีเหมาะสมคือ D > 5 cm) ซึงมี
รูปแบบของสมการดังสมการที ( . )

V  0.8492  C  R 0.63  S 0.54 (SI Unit) --------- ( .15)

เมือ V = ความเร็วเฉลียของการไหลในท่อกลม
C = สัมประสิทธิการไหล Hazen-Williams coefficient (ตาราที )
R = รัศมีชลศาสตร์ของท่อ (Hydraulic radius)
S = ความลาดชันของระดับพลังงาน

รูปที . การสูญเสียพลังงานหลัก และความชันของระดับพลังงาน

หากพิจารณาการไหลในท่อกลมทีมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ D จะได้วา่
 2
A D D
R = = 4 =
P D 4
hf
และ จากรูปที S =
L
นําไปแทนค่าในสมการที ( . ) จะได้ว่า
 D  0.63  hf 0.54
V = 0.8492  C      
4  L 
h
V1.852 = 0.1465  C1.852  D1.167  f
L
1.852
V
hf = 6.822  L     D 1.167 --------- ( . )
C

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


12 Hydraulics Engineering

จากสมการ Hazen-Williams formula สามารถนํามาสร้างแผนภูมทิ ช่ี วยให้การคํานวณ ซึงเรียกว่า Hazen-


Williams formula nomograph แผนภูมกิ ารคํานวณนีเป็ นแผนภูมทิ สร้
ี างขึนสําหรับการไหลในท่อกลม ของนําที
O
อุณหภูมิ C ดังรูปที .

รูปที . แผนภูมกิ ารคํานวณ สมการ Hazen-Willeams (Hazen-Willeams nomograph)

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 13

ตารางที 2 Hazen-Williams coefficient

ตารางที 3 Manning's roughness coefficient

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


14 Hydraulics Engineering

. .3) สมการ Manning

Manning's formula เป็ น empirical formula ทีพัฒนาขึนในปี ค.ศ. โดย Robert Manning เพือใช้
กับการไหลในทางนําเปิ ด แต่สามารถนํามาใช้กบั การไหลในทางนําแบบปิ ดได้เช่นเดียวกัน โดยสมการจะกล่าวถึง
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความเร็วของการไหล การลดลงของความดันอันเนืองมาจากแรงเสียดทานบนผนังท่อ และ
ค่าความหยาบผิวของวัสดุทใช่
ี ทาํ ท่อ (Roughness coefficient) ซึงมีรปู แบบของสมการดังสมการที ( . )

1 2 1
V  R3 S2 (SI Unit) --------- ( . )
n

เมือ V = ความเร็วเฉลียของการไหลในท่อกลม
n = สัมประสิทธิความเสียดทานของวัสดุ Manning's roughness coefficient (ตารางที )
R = รัศมีชลศาสตร์ของท่อ (Hydraulic radius)
S = ความลาดชันของระดับพลังงาน

หากพิจารณาการไหลในท่อกลมทีมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ D จะได้วา่
 2
A D D
R = = 4 =
P D 4
hf
และ จากรูปที S =
L
นําไปแทนค่าในสมการที จะได้วา่
2 1
1  D  3  hf  2
V =    
n 4  L 
n2  V 2  L n2  Q 2  L
hf = 6.350 4 = 10.294 16 --------- ( .1 )
D 3 D3

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 15

ตัวอย่างที .1 ท่อ Cast iron เส้นผ่าศูนย์กลาง mm ยาว 15 km เชือมต่ออ่างเก็บนําสองแห่งลักษณะดังรูป ระดับ


นําทีจุด A อยู่ท ี + 49. m หากไม่พจิ ารณาการสูญเสียพลังงานรอง จงตอบคําถามต่อไปนี

- ถ้าอัตราการไหลเท่ากับ 25 l/s จงหาระดับนํา


ทีจุด D
- ถ้าระดับนําทีจุด D เท่ากับ + .6 m จงหา
อัตราการไหลผ่านท่อเส้นนี

วิธที าํ พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด A กับ D


P V2 P V2
zA  A  A = z D  D  D   hf
 2g  2g
zA  0  0 = z D  0  0  hf
zD = z A  hf --------- (1)
การสูญเสียพลังงานหลัก จะเกิดขึนเมือของไหลเดินทางผ่านท่อจากจุด B ถึงจุด C
L V2 15000  V 2 V2
hf = f BC = f = 60000  f --------- (2)
D 2g  0.25  2g 2g
Q 0.025
จาก Q = VA  V = = V = 0.509 m/s
A   2
4 0. 25
VD  0.509  0.25 
หาค่าเรย์โนลด์นมั เบอร์ Re = = = 1.27X105
 1 10  6

ท่อทํามาจาก Cast iron  = 0.25 mm


 0.25  10 3
 = = 0.001
D 0.25
จาก Moody diagram f ≈ 0.0 17
 0.509  2
แทนค่า V และ f ใน ( ) hf = 60000   0.0217  = .19 m
2g
แทนค่า hf ใน ( ) zD = ( . ) - ( .19) = 32.06 m Ans

พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด A กับ D
2
PA VA PD VD2
zA   = z D     hf
 2g  2g
zA  0  0 = z D  0  0  hf
z A zD = hf
hf = (49.25) - ( .6 ) = 160 --------- (3)

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


16 Hydraulics Engineering

การสูญเสียพลังงานหลัก จะเกิดขึนเมือของไหลเดินทางผ่านท่อจากจุด B ถึงจุด C


LBC V 2 15000  V 2 V2
hf = f = f = 60000  f แทนค่าใน ( )
D 2g  0.25  2 g 2g
V2
160 = 60000  f --------- (4)
2g
 0.25  10 3
ท่อทํามาจาก Cast iron :  = 0.25 mm  = = 0.001
D 0.25
เมือพิจารณาสมการ ( ) ไม่สามารถคํานวณได้นืองจากติดตัวแปร ตัวคือ f และ V จึงต้องทําการ Trial & Error
VD 1.000  0.25 
สมมุตคิ ่า V = 1.000 m/s : Re = = = 2.50X105
 1 10 6 
จาก Moody diagram f ≈ 0.02
1 2
แทนค่า V และ f ใน ( ) 160 = 60000   0.0210 
2g
160 ≠ . แสดงว่า V ทีสมมุต ิ ไม่ถูกต้อง สมมุตคิ า่ V ใหม่

VD  0.450  0.25 
สมมุตคิ ่า V = .450 m/s : Re = = = .1 X105
 1 10 6

จาก Moody diagram f ≈ 0.02 9


 0.500  2
แทนค่า V และ f ใน ( ) 160 = 60000   0.0217 
2g
160 ≠ 13.56 แสดงว่า V ทีสมมุต ิ ไม่ถูกต้อง สมมุตคิ า่ V ใหม่
VD  0.500  0.25 
สมมุตคิ ่า V = . 0 m/s : Re = = = . 5X105
 
1 10  6

จาก Moody diagram f ≈ 0.02
 0.500  2
แทนค่า V และ f ใน ( ) 160 = 60000   0.0217 
2g
160 ≅ 59 แสดงว่า V ทีสมมุต ิ ใกล้เคียงความเป็ นจริง
∴ V = 0.500 m/s
Q = VA = 0.500  4  0.25 2 = 0.0245 m3/s
= 24.5 l/s Ans

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 17

ตัวอย่างที .2 จงเปรียบเทียบผลการคํานวณจากตัวอย่างที 1 กับผลการคํานวณทีได้จากสมการ Hazen-Williams

วิธที าํ จากตัวอย่างที . พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุดเริมต้น A กับจุดสินสุด D จะได้


z = hf
วิเคราะห์ดว้ ยสมการ Hazen-Williams
 V 1.852 1.167
hf = 6.822  L     D
C
1.852
 0.025 
z = 6.822  15000      0.25 1.167
  0.25 2 C 
4 
จากตารางที - cast iron ค่า C เท่ากับ
1.852
 0.025 
z = 6.822  15000      0.25 1.167
  0.25 130  
2
4 
จะได้ z = . m
∴ zD = 49.25 - 17.98 = 31.27 m Ans

หากวิเคราะห์ดว้ ย Hazen-Williams nomograph


1) ระบุตําแหน่งของอัตราการไหล และเส้นผ่าศูนย์กลาง บน Nomograph
2) ลากเส้นตรงผ่านตําแหน่งของอัตราการไหล และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไปตัดกับเส้น Turning point
) จากจุดตัด ลากเส้นตรงผ่านขนาดของค่า C ไปชนกับเส้นบอกขนาดของค่า Energy slope (S)
h z
4) อ่านค่า S แลคํานวณค่า z โดยพิจารณา Energy slope  S   f   z  S  L
L L

จาก Nomograph สามารถอ่านค่า S ได้เท่ากับ . ซึงสามารถคํานวณค่า z ได้เท่ากับ . m


(ค่าทีได้จาก Nomograph ใกล้เคียงกับ ค่าทีคํานวณได้จากสมการ)
zD = 49.25 - . = 31.2 m Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


18 Hydraulics Engineering

จากตัวอย่างที . พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุดเริมต้น A กับจุดสินสุด D จะได้


z = hf
hf = 49.25 - 32.65 = 16.60 m
วิเคราะห์ดว้ ยสมการ Hazen-Williams
 V 1.852 1.167
hf = 6.822  L     D
C
1.852
 Q 
hf = 6.822  L     D 1.167
  D2C 
4 
1.852
 Q 
16.60 = 6.822  15000      0.25 1.167
   0.25 2  130 
4 
3
Q = 0.0239 m /s Ans
หากวิเคราะห์ดว้ ย Hazen-Williams nomograph
h z
1) พิจารณา Energy slope  S   f 
L L
2) ระบุตําแหน่งของค่า S และค่า C บน Nomograph
3) ลากเส้นตรงผ่านตําแหน่งของค่า S และค่า C ไปตัดกับเส้น Turning point
) จากจุดตัด ลากเส้นตรงผ่านขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ไปชนกับเส้นบอกขนาดของค่าอัตราการไหล
) อ่านค่าอัตราการไหลทีได้

16.60
S  0.0011 ; C  130
15000

จาก Nomograph สามารถอ่านค่า Q = 0.024 m3/s Ans


(ค่าทีได้จาก Nomograph ใกล้เคียงกับ ค่าทีคํานวณได้จากสมการ)

เมือเปรียบเทียบผลการคํานวณกับตัวอย่างที . จะเห็นได้วา่ ผลทีได้มคี วามแตกต่างกันอยูบ่ า้ ง แต่ถอื ว่าไม่


มากนัก ส่วนจะเลือกใช้คา่ ใดนัน อาจต้องพิจารณาปั จจัยอืนประกอบ

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 19

ตัวอย่างที . จงเปรียบเทียบผลการคํานวณจากตัวอย่างที .1 กับผลการคํานวณทีได้จากสมการ Manning

วิธที าํ จากตัวอย่างที . พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุดเริมต้น A กับจุดสินสุด D จะได้


z = hf
วิเคราะห์ดว้ ยสมการ Manning
n2  V 2  L
hf = 6.350 4
D3
n2  Q 2  L
z = 6.350
4 D2 2 D 3
4

จากตารางที - Cast iron ค่า n = 0.012


0.0122  0.0252  15000
z = 6.350 16 = 22.59 m Ans

 2
4 0.25 3

จากตัวอย่างที . พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุดเริมต้น A กับจุดสินสุด D จะได้


z = hf
hf = 49.25 - 32.65 = 16.60 m
n2  Q 2  L
จาก z = 6.350
4 D2 2 D 3
4

จากตารางที - Cast iron ค่า n = 0.012


0.0122  Q 2  15000
16.60 = 6.350
4 0.252 2 0.25 3
4

Q = 0.021 m3/s Ans

เมือเปรียบเทียบผลการคํานวณกับตัวอย่างที . จะเห็นได้วา่ ค่าความแตกต่างของระดับนําทีคํานวณ


ได้ต่างกันค่อนข้างมาก แต่อตั ราการไหลทีคํานวณได้ได้แตกต่างกันไม่มากนัก ส่วนจะเลือกใช้คา่ ใดนัน อาจต้อง
พิจารณาปั จจัยอืนประกอบ

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


20 Hydraulics Engineering

ตัวอย่างที . ต้องการออกแบบท่อส่งนําผ่านพืนทีราบระยะทาง กม. โดยใช้ท่อทีทําจากเหล็กชุบสังกะสี


(galvanized iron) อัตราการส่งนํามันทีใช้ในการออกแบบคือ 15 ลิตรต่อนาที ถ้าข้อกําหนดของการออกแบบคือ
ความดันภายในท่อส่งจะลดลงได้ไม่เกิน 0.5 kPa ต่อระยะทาง กม. จงออกแบบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อ

วิธที าํ พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุดเริมต้นท่อส่งนํา ( ) กับจุดสินสุดท่อส่งนํา ( )


P V2 P V2
z1  1  1 = z 2  2  2  hf
 w 2g  w 2g
เนืองจากท่ออยูใ่ นแนวราบ z 1  z 2 และท่อมีเส้นผ่าศูนย์กลางคงที V1  V2  V จะได้วา่
P2 P1
 = hf
w w
ใช้สมการ Darcy-Weisbach ในการหาค่าการสูญเสียพลังงาน
P L V2 12,000 V 2
= f = f --------- (1)
w D 2g D 2g
จากข้อกําหนด ความดันจะลดลงได้ไม่เกิน .5 kPa ดังนันความดันทังสองจุดจะแตกต่างกันเท่ากับ
P = (0.5x103 Pa/km) (12 km) = 6 kPa
แทนค่าในสมการที ( )
6 kPa 12,000 V 2
≥ f
 9810  D 2g
2
V
.0 1 ≥ f --------- (2)
D
ท่อ galvanized iron  = .15 mm
อัตราการไหลในท่อ Q = 1500 l/min = 25 l/s
สมมุตขิ นาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ D = 10 cm
 0.15 mm
=  0.0015
D 100 mm
Q  0.025
V = = = 3.183 m/s
A 
4 0.12 
VD  3.183 0.1
Re = =  3.2  10 5
O 1 10  6

จาก Moody diagram f  0.0275 ถ้าแทนค่าในสมการที ( ) ด้านซ้ายของสมการจะต้องมากกว่า


ด้านขวาของสมการเล็กน้อยจึงจะเหมาะสม
 3.183 2
. 01 ≥  0.0275
 0.1
. 01 < 2.786
แสดงว่า เส้นผ่าศูนย์กลางทีสมมุตนิ นยั
ั งไม่ถกู ต้อง

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 21

สมมุตขิ นาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ D = cm
 0.15 mm
=  0.000
D 1000 mm
Q  0.025 
V = = = . m/s
A 
4 1.002 
VD  0.0321.00
Re = =  3.2  10 4
O 1 106 
จาก Moody diagram f  0.02 5 แทนค่าในสมการที ( )
 0.032 2
.0 1 =  0.0235
1.00
. 01 > 0.00
ด้านซ้ายของสมการมีคา่ มากกว่าด้านขวาอยูม่ าก แสดงว่า เส้นผ่าศูนย์กลางทีสมมุตนิ นไม่
ั เหมาะสม
สมมุตขิ นาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ D = 50 cm
 0.15 mm
=  0.0003
D 500 mm
Q  0.025 
V = = = .127 m/s
A 
4 0.502 
VD  0.127 0.50 
Re = =  6.4  10 4
O 1 10 6

จาก Moody diagram f  0.021 แทนค่าในสมการที ( )


 0.127 2
.0 1 =  0.021
 0.50
. 01 ≥ 0.0007
ด้านซ้ายของสมการมีคา่ มากกว่าด้านขวาของสมการเล็กน้อย แสดงว่า เส้นผ่าศูนย์กลางทีสมมุตใิ หม่นนั
เหมาะสม ซึงทําให้ท่อสามารถส่งนําได้ในอัตราทีกําหนด และความดันทีสูญเสียไปตลอดความยาวท่อ ไม่เกิน
ค่าทีกําหนด

 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อทีเหมาะสมคือ cm Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


22 Hydraulics Engineering

1.5) การสูญเสียพลังงานรอง (Minor loss : hm)

Minor Loss เป็ นการสูญเสียเฮดในจุดทีมีการเปลียนแปลงขนาด หรือทิศทางของความเร็วของการไหลโดย


ฉับพลัน ซึงจะเกิดขึนบริเวณทีของไหลไหลผ่านอุปกรณ์ประกอบท่อต่างๆ เช่น วาล์ว ข้อต่อ ข้อลดขนาด ข้อขยายขนาด
ข้องอชนิดต่างๆ ทางเข้า-ออก เป็ นต้น ซึงการสูญเสียพลังงานรองนีจะขึนอยู่กบั รูปแบบการเปลียนแปลงความเร็วของ
การไหลในอุปกรณ์ และเฮดความเร็ว ดังนันการคํานวณค่าการสูญเสียพลังงานรอง ซึงส่วนใหญ่จะกําหนดให้อยูใ่ นรูป
ของผลคูณระหว่าง ค่าสัมประสิทธิการสูญเสียพลังงานรอง (Minor loss coefficient : k) กับ เฮดความเร็ว (Velocity
Head) ดังสมการที ( . )

V2
hm  k --------- ( . )
2g

โดยค่า k จะขึนอยูก่ บั ประเภทของอุปกรณ์ทไหลผ่


ี าน

ตารางที 4 สัมประสิทธิการสูญเสียพลังงานรอง (Minor loss coefficient : K)

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 23

รูปที . การไหลบริเวณปลายทางเข้าท่อแบบมุมฉาก แบบปลายยืน และแบบลบมุมโค้ง

รูปที . ลักษณะการไหล และ การเปลียนแปลงความดัน บริเวณทางเข้าท่อแบบมุมฉาก

รูปที . 7 สัมประสิทธิการสูญเสียพลังงานรองของทางเข้าแบบโค้งมนรัศมี R

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


24 Hydraulics Engineering

รูปที . การไหลบริเวณปลายทางออกท่อแบบมุมฉาก แบบปลายยืน และแบบลบมุมโค้ง

รูปที . สัมประสิทธิการสูญเสียพลังงานรองของท่อลดขนาดแบบทันทีทนั ใด (Sudden contraction)

รูปที . สัมประสิทธิการสูญเสียพลังงานรองของท่อขยายขนาดแบบทันทีทนั ใด (Sudden contraction)

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 25

o
รูปที . การไหล และสัมประสิทธิการาสูญเสียพลังงานรอง ของข้องอแบบ Smooth Bend มุม

รูปที . การไหล และสัมประสิทธิการาสูญเสียพลังงานรอง ของข้องอแบบ Mitered Bend

รูปที . ข้อต่อ และข้องอชนิดต่างๆ

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


26 Hydraulics Engineering

รูปที . วาล์วชนิดต่างๆ

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 27

ตัวอย่างที .5 ระบบท่อลักษณะดังรูป เชือมต่อระหว่างถังเก็บนําใบที 1 กับ 2 ระดับนําในถังทังสองแตกต่างกันเท่ากับ


z จงตอบคําถามต่อไปนี
- ถ้าอัตราการไหลเท่ากับ 40 l/s จงหา
ผลต่างของระดับนําระหว่างถังทังสอง
- ถ้าระดับนําในถังทังสองต่างกัน 35 m
จงหาอัตราการไหล

วิธที าํ พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด A กับ B


2 2
PA VA PH VH
zA   = z H     h f   hm
 2g  2g
zA  0  0 = z H  0  0   hf   hm
Z =  h f   hm --------- (1)
การสูญเสียพลังงานหลัก จะเกิดขึนเมือของไหลเดินทางผ่านท่อจากจุด B ถึงจุด G และเนืองจาก
เส้นผ่าศูนย์กลางท่อมีขนาดคงทีตลอดทังเส้น และทําจากวัสดุชนิดเดียวกัน ดังนัน
2
L V
 hf = hfB G = f
D 2g
2
 10  10  10  20  V
= f
 0.10  2g
2
V
  hf = f  500 --------- (2)
2g
การสูญเสียพลังงานรอง จะเกิดขึนเมือของไหลเดินทางผ่านทางเข้า-ออก หรืออุปกรณ์ต่างๆ ในดังนันใน
โจทย์ขอ้ นีพบว่า การสูญเสียพลังงานรองจะเกิดขึนทีทางเข้า (B : kB = 0.5) ประตูนําแบบกะโหลก (Globe
valve : kvalve = 10) ข้องอ O ทังสองตัว (E และ F : kE = kF = 1.5) และบริเวณทางออก (G : kG = 1) ดังนัน
การสูญเสียพลังงานรองทังหมดจึงมีคา่ เท่ากับ (ค่า k ของอุปกรณ์ต่างๆ ได้จากตารางที )
2 2 2 2 2
V V V V V
 hm = k B  k valve  k E  k F  k G
2g 2g 2g 2g 2g
2
= kB  k valve  k E  k F  k G  V
2g
2
V
=  0.5  10  1.5  1.5  1.0 
2g
2
V
 hm = 14.5  --------- ( )
2g
นําสมการที ( ) และ ( ) ไปแทนค่าใน ( )
2 2
V V
Z = f  500  14.5 
2g 2g
2
V
Z =  500  f  14.5  --------- ( )
2g

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


28 Hydraulics Engineering

- หาค่าผลต่างของระดับนํา( Z )
Q 0.04
จาก Q = VA  V = =  2
A 4  0.10
V = 5.09 m/s

VD  5.09  0.1
หาค่าเรย์โนลด์นมั เบอร์ Re = =
 1 106 
Re = 5.09X105

ท่อทํามาจาก Wrought iron  = 0.045 mm (จากตารางที )


 0.045  103
 = = 0.00045
D 0.10
จาก Moody diagram f = 0.0175

แทนค่า V และ f ในสมการที ( )


5.092
Z =  0.0175 500   14.5  
2g
Z = 30.70 m Ans

- หาค่าอัตราการไหล Q เมือผลต่างของระดับนําเท่ากับ m ( Z = 35 m) โดยใช้วธิ ที เรี


ี ยกว่า “Trial & Error”
สมมุต ิ f = . แทนค่าในสมการที ( )
V2
=  0.020  500    14.5  
2g
V = 5.294
VD  5.294  0.1
Re = = = 5.29 X 105
 1 10 
6
3
 0.045  10
= = 0.00045
D 0.10

เมือพิจารณาจาก Moody diagram : f  0.0175 ซึงไม่เท่ากับค่า f ทีสมมุต ิ แสดงว่าค่า f ทีได้ไม่ถูกต้อง

สมมุต ิ f = . แทนค่าในสมการที ( )
V2
=  0.017  500    14.5  
2g
V = 5.464
VD  5.464  0.1
Re = = = 5.46 X 105
 1 10 
6

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 29

3
 0.045  10
= = 0.00045
D 0.10
เมือพิจารณาจาก Moody diagram : f  0.0172 ซึงไม่เท่ากับค่า f ทีสมมุต ิ แสดงว่าค่า f ทีได้ยงั ไม่ถกู ต้อง

สมมุต ิ f = . 3 แทนค่าในสมการที ( )
V2
=  0.0173 500   14.5  
2g
V = 5.446
VD  5.446 0.1
Re = = = 5.45 X 105
 1 10 
6

 0.045  103
= = 0.00045
D 0.10

เมือพิจารณาจาก Moody diagram : f  0.0173 ซึงใกล้เคียงกับค่าทีสมมุติ แสดงว่าค่า f ทีได้ถกู ต้อง


 V = 5.446 m/s
 Q =  5.446   4  0.10 2  = 0.0427 m3/s
= 42.7 l/s Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


30 Hydraulics Engineering

1.6) ปรากฏการณ์ Water Hammer

ปรากฏการณ์ water hammer เป็ นปรากฏการณ์ทเกิ ี ดขึนเมือการไหลของของไหลในท่อมีการเปลียนแปลง


แบบทันทีทนั ใด เช่น การเปิ ด-ปิ ดวาล์ว หรือการเปิ ดปิ ดเครืองสูบ เป็ นต้น ซึงจะทําให้เกิดคลืนความดันขึนภายในท่อ
โดยคลืนความดันดังกล่าวจะเคลือนทีไปกลับตามความยาวของท่อ ปรากฏการณ์นจะส่ี งผลให้ความดันภายในท่อ
เปลียนแปลงไปอย่างมากตามจังหวะการเคลือนทีของคลืนความดัน ผลจาการเปลียนแปลงความดันทีว่านี อาจ
ก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวท่อ หรืออุปกรณ์กระกอบอืนๆได้ ดังนันในกระบวนการออกแบบระบบท่อ ปรากฏการณ์
water hammer จึงเป็ นส่วนหนึงทีจะต้องถูกนํามาพิจารณา

รูปที .xxx การเกิดแรงกระแทกของการไหลในท่อ

หากพิจารณาสมการโมเมนตัมเชิงเส้นของของไหลทีกําลังเคลือนทีในท่อทีทําจากวัสดุแข็งเกรง (Rigid body)


โดยของไหลเป็ นของไหลทีบีบอัดตัวไม่ได้ (Incompressible fluid)
V V
F = m V = m 2 1
t t
ถ้าการไหลหยุดลงแบบทันทีทนั ใด (instantaneous) นันหมายความว่า t 0 ดังนัน
V V
F = m 2 1  F  
0
ซึงจากสมการจะเห็นได้วา่ หากพิจารณาของไหลเปรียบเสมือนก้อนวัตถุ แรงทีเกิดขึนเนืองจาการหยุดการ
เคลือนทีแบบทันทีทนั ใดนันจะมีคา่ สูงมาก (เท่ากับ ) แต่เนืองจากเป็ นของไหล แรงดังกล่าวจะแสดงออกมาในรูปของ
ความดัน โดยจะทําให้ความดันมีการเปลียนแปลงอย่างมาก
ในทางปฏิบตั ิ การเปิ ดปิ ดวาล์วมักจะไม่เกิดขึนแบบทันทีทนั ใด (t ≠0 ) ประกอบกับวัสดุทใช้
ี ทําท่อมีความ
ยืดหยุน่ (Elastic) และของไหลสามารถบีบอัดตัวได้ (Compressible fluid) จึงทําให้คา่ ความดันทีเพิมขึน อาจจะไม่มาก
ถึงระดับ  แต่กย็ งั ถือว่ามากพอสมควร

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 1

บทที
การไหลคงทีในระบบท่อปิ ด
Steady Flow in Pipe System

ในการออกแบบระบบท่อมีวตั ถุประสงค์เพือลําเลียงของไหลจากจุดหนึงไปยังอีกจุดหนึง ซึงจะต้องออกแบบให้


ระบบสามารถส่งของไหลไปถึงทีหมายได้ในปริมาณ และความดัน ตามทีต้องการ โดยในกระบวนการวิเคราะห์ปัญหา
จะต้องคํานึงถึง สภาพพืนที พลังงานทีจุดเริมต้น พลังงานทีปลายทาง การสูญเสียพลังงานทีจะเกิดขึนเมือของไหลไหล
ผ่านระบบท่อ นอกจากนี หากระบบท่อเชือมต่อกับ เครืองจักรเช่น เครืองสูบ หรือ กังหัน ก็จะต้องคํานึงถึงการเพืมหรือ
ลดพลังงานทีจะเกิดขึนเนืองจาเครืองจักรนันๆ ด้วย

เนืองจากการออกแบบระบบท่อ มีรปู แบบในการจัดวางทีหลากหลาย ขึนอยู่กบั ความเหมาะสม และสภาพปั ญหา


ความสลับซับซ้อนในการวิเคราะห์กจ็ ะแตกต่างกันไปตามรูปแบบทีถูกเลือก ดังนันในบทนีจึงเป็ นกล่าวถึงหลักการใน
การวิเคราะห์การไหลแบบคงทีในระบบท่อปิ ดแบบต่างๆ

. ) การวิเคราะห์การไหลของการต่อท่อแบบท่อเดียว และการต่อท่อแบบอนุกรม
(Single Pipe and Series Pipe)

การต่อท่อแบบเดียว (single pipe) คือระบบการลําเลียงของไหลจากจุดหนึงไปอีกจุดหนึงโดยใช้ท่อขนาดเดียว


ส่วนการต่อท่อแบบอนุกรม (series pipe) จะแตกต่างกับท่อเดียวตรงที ระหว่างทางมีท่อหลายขนาด ซึงทังสองแบบนัน
มีหลักในการวิเคราะห์เหมือนกันคือ
- การสูญเสียเฮดพลังงานของทังระบบท่อ เกิดจากการสูญเสียพลังงานหลักในท่อแต่ละเส้น และการสูญเสีย
พลังงารรองเมือของไหลไหลผ่านอุปกรณ์ประกอบท่อ รวมถึงมาตรวัดต่างๆ
m n
 hL =  h f   hm --------- ( . )
i 1 j 1
และเมือพิจารณาร่วมสมการพลังงานจะได้วา่
P1 V12 P2 V22 m n
z1    HP  z 2    HT   hf   hm --------- ( .2)
 2g  2g i 1 j 1
- อัตราการไหลของระบบท่อ จะเท่ากับอัตราการไหลในท่อแต่ละเส้น
Q  Q 1  Q 2  Q 3  ...  Q n --------- ( .3)

รูปที 2.1 การต่อท่อแบบอนุกรม

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


2 Hydraulics Engineering

ตัวอย่างที . จากรูป จงตอบคําถามต่อไปนี


- z เท่ากับเท่าไรถ้าอัตราการไหลเท่ากับ l/s
- จงหาอัตราการไหล เมือ z เท่ากับ . m

วิธที าํ หา z โดยเริมจากการพิจารณาสมการพลังงานจาก A ไป E
P V2 P V2
z A  A  A  z E  E  E   h f   hm
 2g  2g
VE2 VE2
z A  0  0  zE  0    hf   hm  z 
  h f   hm  1
2g 2g
Q 0.015 Q 0.015
VBC    3.395 m / s ; VDE    5.305 m / s
A BC 4 0.075 2
A DE 4 0.060 2
V D 3.395  0.075
R e BC  BC BC   2.5  10 5
6
 10
VDE D DE 5.305  0.060
R e DE    3.2  10 5
6
 10
Stainless steel    0.045 mm
3 3
D BC  0.045  10  0.0006 ; D DE  0.045  10  0.0008
0.075 0.060
Moody Diagram  fBC  0.0190 ; fDE  0.0195
2
LBC VBC  50  3.3952
  h f BC  fBC  0.0190   7.441 m
DBC 2g  0.075  2g
LDE VDE2  20  5.305 2
  h f DE  fDE  0.0195   9.324 m
DBC 2g  0.060  2 g
V2 3.3952
 hm BC   k BC BC  0.5 ent.   0.294 m
2g 2g
2
VDE D 0.075 
 hm CD   k CD ;  DE   0.8  k CD  0.05 
2g  DBC 0.060 

5.3052
 0.05 cont .   0.072 m
2g
2
VDE 5.3052
 hm DE   k CD  10 valve   14.344 m
2g 2g

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 3

แทนค่าใน ( )
5.305 2
z    7.441  9.324    0.294  0.072  14.344   32.909 m Ans
2g

หาอัตราการไหลโดยเริมจากพิจารณาสมการความต่อเนือง
2 2
A BC  DBC   0.075 
VBC A BC  VDE A DE  VDE  VBC    V   V  1.5625 VBC
A DE  D  BC  0.060  BC
 DE 
จากสมการที ( )
2 2 2 2 2
VDE LBC VBC LDE VDE VBC VDE VDE2
z   fBC  fDE  0.5   0.05   10 
2g DBC 2 g DBC 2 g 2g 2g 2g
 50  V 2  20  V2
3.5   fBC  0.5  BC   fDE  10.05  DE   2 
 0.075  2 g  0.06  2g
Trial & Error
สมมุต ิ VBC  1.0000 m / s  VDE  1.5625 m / s
1.0000  0.075 1.5625  0.060
R e BC   7.5  10 4 ; R e DE   9.4  10 4
10 6 10 6
D BC  0.0006 ; D DE  0.0008  Moody Diagram  fBC  0.0215 ; fDE  0.0215
แทนค่าใน ( )
 50  1.0000 2  20  1.5625 2
3.5   0.0215  0. 5    0.0225  10.05 
 0.075  2g  0.06  2g
3.5  2.898
สองข้างของสมการไม่เท่ากัน สมมุตคิ า่ V ใหม่

สมมุต ิ VBC  1.100 m / s  VDE  1.719 m / s


1.100  0.075 1.719  0.060
R eBC   8.3  10 4 ; R e DE   1.0  10 5
6 6
10 10
D BC  0.0006 ; D DE  0.0008  Moody Diagram  fBC  0.0213 ; fDE  0.0215
แทนค่าใน ( )
 50  1.100 2  20  1.719 2
3.5   0.0213  0. 5    0.0215  10.05 
 0.075  2g  0.06  2g
3.5  3.499
สองข้างของสมการใกล้เคียงกัน ดังนัน
Q  A DE VDE  A BC VBC  4 0.0752 1.1  0.00486 m 3 / s  4.86 l / s Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


4 Hydraulics Engineering

ในกรณีทระบบเชื
ี อมต่อกับเครืองสูบ (Pump) เครืองสูบจะทําหน้าทีเปลียนพลังงานกล (hP) ทีได้รบั มาจากแหล่ง
พลังงานเช่น มอเตอร์ ให้กลายเป็ นพลังงานของของไหล (HP) ดังนัน เมือของไหลหรือระบบไหลผ่านเครืองสูบ เฮด
พลังงานรวมของระบบจะเพิมสูงขึน โดยพลังงานทีของไหลได้รบั จะมีคา่ มากหรือน้อยเพียงไรนัน ขึนอยู่กบั ประสิทธิภาพ
ของเครืองสูบ (Efficiency) (ซึงจะกล่างถึงโดยละเอียดในบทต่อไป)
H
PhP  HW  hP  W --------- ( . )
P
ในกระบวนการออกแบบ บางครังอาจต้องคํานวณค่ากําลังงานของมอร์เตอร์ทจะใช้ ี เพือสูบนํา (PP) ซึงเราสามารถ
คํานวณได้จาก
PW
PPP  PWP  PP  P --------- ( . )
P
โดย PWP  QHP --------- ( . )

ในกรณีทระบบเชื
ี อมต่อกับกังหัน (Turbine) กังหันนําจะทําหน้าทีเปลียนพลังงานของของไหล (HP) ให้กลายเป็ น
พลังงานกล (hT) เพือนําไปใช้กบั กิจกรรมต่างๆ เช่น ส่งพลังงานทีได้ให้กบั เครืองกําเนิดกระแสไฟฟ้า ดังนัน เมือของ
ไหลหรือระบบไหลผ่านกังหัน เฮดพลังงานรวมของของไหลจะลดตําลง โดยพลังงานทีออกจากังหันจะมีคา่ มากหรือน้อย
เพียงไรนัน ขึนอยู่กบั ประสิทธิภาพของตัวกังหันนัน (Efficiency) (ซึงจะกล่างถึงโดยละเอียดในบทต่อไป)
THT  hT --------- ( . )
ในกระบวนการออกแบบ บางครังอาจต้องคํานวณค่ากําลังงานได้จากกังหัน (PT) ซึงเราสามารถคํานวณได้จาก
PP  PPWT --------- ( . )
โดย PWT  QH T --------- ( . )

ปรากฏการณ์ทสํี าคัญอย่างหนึงก็คอื ปรากฏการณ์โพลง (Cavitations) ซึงเป็ นปรากฏการณ์ทเกิี ดขึนในจุดทีความ


ดันสัมบูรณ์ลดลงจนตํากว่าความดันไอของของไหล จึงทําให้ของไหลละเหยกลายเป็ นไอ ซึงมักจะเกิดขึนกับเหตุการณ์ที
ของไหลเคลือนทีผ่านวัตถุดว้ ยความเร็วสูง เช่น บริเวณโซนดูด (suction zone) ของเครืองสูบ หรือจุดทีมีความดันตํา
ภายในท่อ เป็ นต้น บริเวณทีเกิดปรากฏการณ์ดงั กล่าว จะเกิดการสันสะเทือนอย่างรุนแรง และจะทําให้เกิดการกัดกร่อน
ขึนกับพืนผิวของวัตถุในบริเวณนัน ซึงอาจก่อให้เกิดความเสียหายขึนได้ ดังนันในขันตอนการออกแบบ ควรตรวจสอบ
ความดันในระบบ โดยเฉพาะในจุดทีมีความดันตํา เช่นบริเวณข้อต่อลดขนาด โซนดูดของเครืองสูบ เป็ นต้น (ดังรูปที
. -ก คือปรากฏการณ์ cavitations และการกัดกร่อนทีเกิดกับใบพัดของเครืองสูบนํา ส่วนรูปที . -ข คือปรากฏการณ์
cavitations ทีเกิดขึนบนผิวของวัตถุทรงกลมเมือของไหลไหลผ่านด้วยความเร็วสูง)

รูปที . ปรากฏการณ์ cavitations

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 5

ตัวอย่างที . ต้องการสูบนําจากบ่อขึนถังสูง ด้วยอัตราการ


สูบ 20 l/s ลักษณะดังรูป โดยระดับนําทีบ่อเท่ากับ -1.5 m
และระดับนําทีถังสูงเท่ากับ + 25.0 m จงตอบคําถาม
ต่อไปนี
- ถ้าเครืองสูบมีประสิทธิภาพ 65 % จงหากําลังงานที
ใช้ในการสูบนํา
- จงหาความดันในท่อทีจุด I (ความยาวท่อช่วง B-I
เท่ากับ 9 m)
- จงตรวจสอบว่าจะเกิดปรากฏการณ์ cavitations ขึน
ในระบบหรือไม่ (ความดันไอของนําเท่ากับ . m
และความดันบรรยากาศเท่ากับ . m)

วิธที าํ พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด H กับ A


2 2
PH VH PA VA
zH    HP = zA     h f   hm
 W 2g  W 2g
HP = z H  z A    hf   hm --------- (1)
Q 0.02
จาก Q = VA  VGE = =  2 = 2.546 m/s
A GE 4  0.10 
Q 0.02
VDB = =  2
= 4.527 m/s
A DB 4  0 . 075 
การสูญเสียพลังงานหลัก จะเกิดขึนเมือของไหลเดินทางผ่านท่อจากจุด G ถึงจุด B ผ่านท่อสองเส้นคือ
GE และ DB ดังนันการสูญเสียพลังงานหลักจึงหาได้จาก
 2.546  0.1
หาค่าเรย์โนลด์นมั เบอร์ ท่อ GE R e GE =
1 10  6 
R e GE = 2.546X105
 = 0.15 mm (จากโจทย์)
 0.15
 = = 0.0015
D 100
จากราฟ Moody diagram fGE = 0.0225
 4.527  0.075 
หาค่าเรย์โนลด์นมั เบอร์ ท่อ GE R e DB =
1 10  6 
R e DB = 3.395X105
 = 0.15 mm (จากโจทย์)
 0.15
 = = 0.002
D 75
จากราฟ Moody diagram fDB = 0.024

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


6 Hydraulics Engineering

 hf = hfGE  h fDB
2
L GE VGE L DB VDB2
= fGE  fDB
D GE 2 g D DB 2 g
2 2
 7.5   2.546   33.0   4.527 
 hf =  0.0225    0.0240
 0.1 2g  0.075  2g
 hf = 11.588 m

การสูญเสียพลังงานรอง จะเกิดขึนทีทางเข้า (foot valve : kG = 2.0) ประตูนํา (Gate valve : kvalve = 2.5)
ข้องอ O ทังสองตัว (F และ C : kF = kC = 1.5) และบริเวณทางออก (B : kB = 1) ดังนันการสูญเสียพลังงาน
รองทังหมดจึงมีคา่ เท่ากับ (ค่า k ของอุปกรณ์ต่างๆ โจทย์ระบุมาให้)
2 2
VGE VDB
 hm =  k G  k F  k valve  
 kC  kB 
2g 2g
2 2
 2.546   4.527 
=  2 .0  1 . 5  2 . 5    1.5  1.0 
2g 2g
 hm = . m

นํา  hf และ  hm ไปแทนค่าใน ( )


HP =   25.0     1.5    11.588  4.594
= 42.682 m

กําลังงานทีนําได้รบั
PW = QH P =  9810  0.02  42.682 
= 8374.208 Watt
กําลังงานทีกําลังของเครืองสูบ
PW  8374 .208 
PP = =
P  0.65 
= 12883.398 Watt
PP = 12.883 k Watt Ans

พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด I กับ A
2 2
P V PA VA
zI  I  I = zA     h f   hm
 W 2g  W 2g
2
PI VDB
  15.5    =   25.0   0  0   h f   hm
 W 2g
2
PI V
= 9.5  DB   h f   hm --------- (2)
W 2g

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 7

การสูญเสียพลังงานหลัก จะเกิดขึนเมือของไหลเดินทางผ่านท่อจากจุด I ถึงจุด B ดังนันการสูญเสีย


พลังงานหลักจึงหาได้จาก
 hf = h fIB
L IB VDB2
= fDB
D DB 2 g
2
 9.0   4.527 
=  0.0240 
 0.075  2g
= 3.008 m
การสูญเสียพลังงานรอง จะเกิดขึนทีทางออก (kB = 1.0) ดังนันการสูญเสียพลังงานรองจึงมีคา่ เท่ากับ
V2
 hm = k B  DB
2g
2
 4.527 
=  1.0 
2g
 hm = . m

แทนค่าผลรวมของการสูญเสียพลังงานหลัก และการสูญเสียพลังงานรองในสมการที (2)

2
PI  4.527
= 9. 5    3.008    1.045 
W 2g
= 12.508 m
PI = 12.508   W = 122.703 kPa Ans

เมือพิจารณาระบบท่อ จุดทีมีความเสียงทีจะเกิดปรากฏการณ์ cavitations มากทีสุดคือจุด E


พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด H กับ E
P V2 P V2
zH  H  H = z E  E  E   hf   hm
 W 2g  W 2g
PE VE2
P = zH    hf   hm --------- (3)
W 2g

2 2
L GE VGE L V
 hf = h fGE = fGE  fDB DB DB
D GE 2 g D DB 2 g
2
 7.5   2.546
=  0.0225 = 0.557 m
 0.1 2g

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


8 Hydraulics Engineering

2
 hm = k G  kF  k valve  VGE
2g
 2.546 2
=  2.0  1.5  2.5  = 1.982 m
2g

PE  2.546 2
แทนค่าใน ( ) =   1.5     0.557  1.982
W 2g
= -4.369 m
P 
 E   Patm  PE  10.33    4.37   5.96 m
 
 W abs  W  W

ซึงจะเห็นได้วา่ ความดันสัมบูรณ์ทจุี ด E มากกว่าความดันไอของนํา (PE>PV) ดังนัน ในระบบท่อนีจึงไม่


เกิดปรากฏการณ์ Cavitations Ans

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 9

ตัวอย่างที . โรงผลิตกระแสไฟฟ้ าพลังนํา มีการติดตังระบบต่างๆ ในลักษณะดังรูป ระดับนําในอ่างเก็บนําอยูท่ ี


+210.0 ม.รทก. และระดับฟนําด้านท้ายเขือนอยูท่ ี +125.5 ม.รทก. ถ้าเดินเครืองกําเนิดกระแสไฟฟ้ าโดยการปล่อยนํา
ผ่านกังหันด้วยอัตรา 0.5 cms กังหันมีประสิทธิภาพ % จงหากําลังงานทีกังหันส่งให้กบั เครืองกําเนิดกระแสไฟฟ้ า

วิธที าํ พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด A กับ I


2 2
PA VA P V
zA   = z I  I  I  H T   h f   hm
 W 2g  W 2g
HT = z A  zI    hf   hm --------- (1)
Q 0.50
จาก Q = VA  VBE = =  2
= 2.546 m/s
A BE 4  0 . 50 
Q 0.50
VFH = =  2
= 1.132 m/s
A FH 4  0.75 

การสูญเสียพลังงานหลัก จะเกิดขึนเมือของไหลเดินทางผ่านท่อจากจุด B ถึงจุด H ผ่านท่อสองเส้นคือ BE


และ FH ดังนันการสูญเสียพลังงานหลักจึงหาได้จาก
 2.456  0.5 
หาค่าเรย์โนลด์นมั เบอร์ ท่อ BE R e BE =
1 10  6 
R e BE = 1.228X106
 = 0.20 mm (จากโจทย์)
 0.20
 = = 0.0004
D 500
จากราฟ Moody diagram fBE = 0.016
 1.132  0.75 
หาค่าเรย์โนลด์นมั เบอร์ ท่อ FH R e FH =
1  10  6 
R e FH = 8.49X105
 = 0.15 mm (จากโจทย์)
 0.15
 = = 0.0002
D 750
จากราฟ Moody diagram fFH = 0.015

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


10 Hydraulics Engineering

 hf = hfB E  h fF H
L BE VBE2 L FH VFH2
= fBE  fFH
D BE 2 g D FH 2 g
2 2
 150   2.546   35   1.132 
=  0.016    0.015 
 0.5  2g  0.75  2g
 hf = . m

การสูญเสียพลังงานรอง จะเกิดขึนทีทางเข้า (ตะแกรงดักขยะ : kB = 3.50) ประตูนํา (Gate valve : kvalve


= 0.39) ข้องอ 45O ทังสองตัว (C และ D : kC = kD = 0.20) ข้องอ 90O (kG = 0.30) และบริเวณทางออก (H : kH
= 1.00) ดังนันการสูญเสียพลังงานรองทังหมดจึงมีคา่ เท่ากับ
2 2
VBE VFH
 hm = k B  k C  k D  k valve   k G  k H 
2g 2g
2
 2.546  1.132  2
=  3.50  0.2  0.2  0.39    0.3  1.0 
2g 2g
 hm = . m

นํา  hf และ  hm ไปแทนค่าใน ( )


HT =   210.0     125.5   1.632   1.502 
= . m

กําลังงานทีนําได้รบั จากของไหล
PW = QH T =  9810  0.5  81.366 
= 399.100 k Watt
กําลังงานทีกําลังของเครืองสูบ
PP = T PW =  0.55  400.125 
= 219.050 k Watt Ans

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 11

.2) การต่อท่อแบบขนาน (Parallel Pipes)

การต่อท่อแบบขนาน คือการต่อท่อหลายๆ เส้น โดยทีแต่ละเส้นทางของการไหลจะเริมต้นจากจุดเดียว และ


สินสุดทีจุดเดียวกัน ดังตัวอย่างรูปที .

รูปที . การต่อท่อแบบขนาน

จากรูปที . เมือพิจารณษการไหลจากจุด A ไปยังจุด B ของไหลสามารถเคลือนทีได้หลายเส้นทาง โดยอัตรา


การไหลจะถูกแบ่งออกทีจุด A ซึงอัตราการไหลแยกไปในแต่ละเส้นทางจะมีขนาดไม่เท่ากัน และท้ายสุดจะกลับมา
รวมกันทีจุด B หากกําหนดให้ระบบท่อระหว่างจุด A กับจุด B คือปริมาตรควบคุม เมือวิเคราะห์ดว้ ยสมการความ
ต่อเนืองจะได้วา่
 QIn =  Q Out
Q = Q 1  Q 2  ...  Q n --------- ( . )

หากพิจารณาการสูญเสียพลังงานระหว่างการเคลือนทีจากจุด A ไปจุด B ทีจุด A ของไหลก่อนทีจะแยกตัว


ออกไปคือของไหลในระบบเดียวกันจึงมีพลังต่อหนึงหน่วยนําหนักเท่ากัน และเมือของไหลแยกตัวออกไป แล้วกลับมา
รวมกันใหม่ ของไหลจึงกลับเข้าสูร่ ะบบเดียวกันใหม่อกี ครัง พลังต่อหนึงหน่วยนําหนักก็จะกลับมาเท่ากันเช่นเดิม ดังนัน
ระหว่างการเดินทาง ของไหลในแต่ละเส้นจะปรับสภาพการเคลือนที (ความเร็วในการเคลือนที) เพือปรับสมดุลของการ
สูญเสียพลังงานในท่อแต่ละเส้นให้มขี นาดเท่ากัน

 hf 1   hm1   hf 2   hm 2  ...   hfi   hmi  ...   hfn   hmn --------- ( . )

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


12 Hydraulics Engineering

รูปที . ตัวอย่างการวิเคราะห์การไหลในระบบท่อแบบขนาน

รูปที . คือการยกตัวอย่างระบบท่อแบบขนาน ของไหลจะไหลจากถังใบที 1 ไปยังถังใบที 2 โดยของไหล


สามารถเดินทางได้สามเส้นทางคือ เส้นทางแรก ABCDEFG เส้นทางทีสองคือ ABCDHIEFG และเส้นทางสุดท้ายคือ
ABCJKLG ซึงทังสามเส้นทางเริมต้นจากจุดเดียวกัน และสินสุดลงทีจุดเดียวกัน เมือพิจารณาพลังงานทีจุดเริมต้น (จุด
A) ทังสามเส้นทางมีพลังงานเริมต้นเท่ากัน ส่วนทีจุดสินสุด (จุด G) พลังงานทีเหลืออยู่ของทังสามเส้นทางก็เท่ากัน
เช่นเดียวกัน ดังนันไม่ว่าของไหลจะเดินทางไปตามเส้นทางใด การสูญเสียพลังงานทีเกิดขึนระหว่างการเดินทางจะมีคา่
เท่ากัน ฉะนันปั ญหาของการไหลในท่อแบบขนานจึงอาศัยหลักของการสูญเสียพลังงานทีเท่ากันนีเป็ นหลักการในการ
วิเคราะห์ ดังนันหากพิจารณาสมการพลังงานของการไหลตามรูปที . จะได้วา่

z A  z B  z   h f   hm BCDEF   h f   hm BCDHIEF   h f   hm BCJKL

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 13

ตัวอย่างที . ระบบท่อขนานเชือมต่ออ่างเก็บนําสองแห่งลักษณะดังรูป ถ้าสภาพการไหลในท่อทังสามเส้นเป็ นแบบ


Fully rough flow (complete turbulent) จงหาอัตราการไหลในท่อทังสามเส้น

วิธที าํ พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด A กับ G ของไหลสามารถเดินทางได้สองเส้นทางคือ ABCDEFG และ


ABCDHIJG ดังนันจะได้วา่
2 2
PA VA PG VG
zA   = zG     hf   hm BD   hf   hm DF
 W 2g  W 2g
z A  zG =  hf   hm BD   hf   hm DF --------- (1)
PA VA2 PG VG2
zA   = zG     hf   hm BD   hf   hm DJ
 W 2g  W 2g
z A  zG =  hf   hm BD   hf   hm DJ --------- (2)
นําสมการที ( ) ลบกับสมการที ( ) จะได้
 hf   hm DF =  hf   hm DJ --------- ( )
นําสมการที ( ) บวกกับสมการที ( ) จะได้
2z A  z G  = 2 hf   hm BD   hf   hm DF   hf   hm DJ --------- ( )

เนืองจากสภาพการไหลเป็ นแบบ Fully rough flow ค่า f จึงแปรผันกับ เพียงอย่างเดียว
D

   0 . 20
 0.002  fBD  0.0235
 D BD 100
        0.20  0.004  f  f  0.0285
DF DJ
 D DF  D DJ 50

2 2
L V V
 hf   hm BD = fBD BD BD    k DF BD
DBD 2 g 2g
2
  10   VBD
=   0.0235    0. 5  1. 5  
  0.10   2g
2
V
=  4.35 BD
2g

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


14 Hydraulics Engineering

LDF VDF2 V2
 hf   hm DF = fDF    k DF DF
DDF 2 g 2g
2
  15   VDF
=   0.0285   0.9  1.5  0.39  1.0  
  0.05   2g
2
V
= 12.34  DF
2g

LDJ VDJ2 V2
 hf   hm DJ = fDJ    k DJ DJ
D DJ 2 g 2g
2
  20   VDJ
=   0.0285   0.9  1.5  0.39  1.5  1 
  0.05   2g
2
V
= 16.69  DJ
2g

แทนค่าในสมการที ( )
2 2
V V
 9.84  DF = 16.69  DJ
2g 2g
VDF = (1.302) VDJ --------- (5)

แทนค่าในสมการที (4)
 V2   V2   V2 
2 30  12  = 2  4.35  BD     12.34  DF     16.69  DJ 
 2g   2g   2g 
2 2
 VBD   VDJ   VDJ2 
=   8.70      20.919      16.69  
 2g   2g   2g 
 VBD2   VDJ2 
=   8 . 70  
   37 . 609   --------- (6)
 2g   2g 

หากพิจารณาจากอัตราการไหล จะเห็นได้วา่
QBD = QDF + QDJ
 4  0.12  VBD =  4  0.05 2  VDF   4  0.05 2  VDJ
(4) VBD = VDF + VDJ

จากสมการที ( )
(4) VBD = (1.302) VDJ + VDJ
 ( . ) VBD = VDJ --------- (7)

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 15

แทนค่าสมการที ( ) ในสมการที ( )


VBD2  

 1.738 VBD 2 
=  8.70 2g    37.609
   
2g

   
2
= 8.70  37.609  1.738 2  VBD
2g
VBD = 2.403 m/s
VDJ = (1.738) 2.403 = 4.176 m/s
VDF = (1.302) 4.176 = 5.438 m/s
QBD =  4  0.10   2.403  = 0.01887 m /s
2 3
= 18.87 l/s
QDF =  4  0.05   4.176 
2
= 0.00820 3
m /s = 8.20 l/s
QDJ =  4  0.05 2   5.438  = 0.01067 3
m /s = 10.67 l/s Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


16 Hydraulics Engineering

ตัวอย่างที .5 ระบบท่อเชือมต่อกันลักษณะดังรูป ถ้าสภาพการไหลในท่อทังสามเส้นเป็ นแบบ Fully rough flow


(complete turbulent) คุณสมบัตติ ่างๆ ของท่อแสดงดังตาราง ทีจุด A และ D มาตรวัดความดันเกจอ่านค่าได้ . bar
และ . bar ตามลําดับ จงหาอัตราการไหลในท่อทังสีเส้น (ไม่คดิ การสูญเสียพลังงานรอง)

วิธที าํ พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด A กับ D ของไหลสามารถเดินทางได้สองเส้นทางคือ ผ่านท่อเส้นที - -


และ - - ดังนันจะได้ว่า
PA VA2 PD VD2
zA   = zD     hf   hm 
 W 2g  W 2g
2
P V PD VD2
zA  A  A = zD 
   hf --------- (1)
 W 2g  W 2g
จากสมการความต่อเนืองจะได้วา่ Q1  Q 2  Q 3  Q 4
 2  2
 4 D 1 V1 = 4 D 4 V4  V1  V4 --------- ( )
 2  2
 4 D 1 V1 = 4 D 2 V2  4 D 32 V3
 0.15 2 V1 =  0.10 2 V2   0.10 2 V3
2.25 V1 = V2  V3 --------- ( )
พิจารณาเส้นทาง - -
L1 V12 L 2 V22 L 4 V42
 hf1 2  4 = f1  f2  f4
D1 2 g D 2 2g D 4 2g
300 V12 200 V22 450 V42
= 0.020  0.025  0.020
0.15 2g 0.10 2 g 0.15 2 g
 hf1 2  4 =
1
40 V12  50V22  60 V42  --------- ( )
2g
แทนค่า ( ) และ ( ) ใน ( )
2
P V PD VD2
zA  A  A = zD     hf1 2  4
 W 2g W 2g
V12 V42
5.60 
2.5bar
 = 1.30 
1.5bar
 
1
40 V12  50 V22  60 V42 
W 2g W 2g 2g
. =
1
40V12  50V22  60V42 
2g
. =
1
100V12  50 V22  --------- ( )
2g

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 17

พิจารณาเส้นทาง - -
L1 V12 L3 V32 L 4 V42
 hf13  4 = f1  f3  f4
D1 2 g D3 2g D4 2g
300 V12 240 V22 450 V42
= 0.020  0.025  0.020
0.15 2 g 0.10 2g 0.15 2 g
 hf13  4 =
1
40 V12  60 V22  60 V42  --------- ( )
2g
แทนค่า ( ) และ ( ) ใน ( )
PA VA2 PD VD2
zA   = zD     h f1 3  4
 W 2g W 2g
V12 V42
5.60 
2.5bar
 = 1.30 
1.5bar
 
1
40 V12  60 V32  60 V42 
W 2g W 2g 2g
. =
1
40 V12  60 V32  60 V42 
2g
. =
1
100 V12  60 V32  --------- ( )
2g
นําสมการ ( ) - ( ) จะได้
60 V32 = 50 V22
V2 = 1.2  V3 --------- ( )
จากสมการที ( )
284.366  60 V32
V12 = --------- ( )
100
นําสมการ ( )
5.0625 V12 = V22  2 V2 V3  V32 --------- ( )
แทนค่า ( ) และ ( ) ใน ( )
 284.366  60 V32 
5.0625  = 1.2 V32  2 1.2 V32  V32
 100 
แก้สมการจะได้ V32  1.392 m s  V2  1.2  V3  V2  1.525 m s
V2  V3
V1  V4   1.296 m s
2.25

Q1  Q 4  2
4 0.15  1.296   0.0229 m 3 s  22.9 l s
Q 2  4  0.10  2 1.525   0.0120 m 3 s  12.0 l s
Q 3  4  0.10  2 1.392   0.0109 m 3 s  10.9 l s Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


18 Hydraulics Engineering

. ) การต่อท่อแบบแขนง (Branching Pipes)

การต่อท่อแบบแขนง คือการต่อท่อหลายๆ เส้น แยกออกจากจุดใดจุดหนึง โดยทีปลายท่อแต่ละเส้นจะไม่กลับมา


บรรจบทีเดียวกัน ดังตัวอย่างรูปที 12 เป็ นการต่อท่อแบบแขนงของท่อ เส้น ซึงมีหลักในการวิเคราะห์อยู่วา่ ของเหลว
จะเคลือนทีจากจุดทีมีพลังงานมากกว่า ไปยังจุดทีมีพลังงานน้อยกว่าเสมอ ดังนันเมือพิจารณาจากรูป จุด A มีพลังงาน
มากทีสุดดังนัน ของเหลวจะไหลจากกจุด A ไปตามท่อเส้นที ไปยังจุด D และทีจุด D นี หากระดับพลังงานมากกว่าที
จุด B หรือ C การไหลจะแยกออกสองทาง โดยจะไหลจากจุด D ไปยังจุด B ผ่านท่อเส้นที และไหลจากจุด D ไปยังจุด
C ผ่านท่อเส้นที ตามลําดับ แต่หากระดับพลังงานทีจุด D ตํากว่าระดับพลังงานทีจุด B ของเหลวก็จะไหลจากจุด B ไป
ยังจุด D ผ่านท่อเส้นที ไปรวมกับของเหลวทีไหลมาจากท่อเส้นที และไหลต่อไปยังจุด C ผ่านท่อเส้นที

รูปที . การต่อท่อแบบแขนง (Branching Pipes) กับอ่างเก็บนํา อ่าง

พิจารณาการสูญเสียพลังงานในท่อเส้นใดๆ
 hLi =  h f j   hm j
m  L j Vj2  m  p Vj2 
= 
 fj       k k  
j 1 D j 2 g  j 1 k 1 2g 
 
p
 8 k k Q i2 
m  8f L Q  2 m 

i 
= j j
   k 1 =
 2
j 1 g    D j 5  j 1 g   2  D 4j 
   
 
p
  k k 
8 m  f  L
 hLi =    j j  k 1   Q i2 --------- ( . )
g j 1 D5j
2
D 4j 
 

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 19

 p 
  k 
8 m  fj  L j 
k

ถ้ากําหนดให้ Gi    l 1 --------- ( . )
2 j  1 5 4 
g D Dj
 j 
 Major Loss Minor Loss 
เมือ i คือท่อเส้นทางใดๆ j คือจํานวรท่อทีเชือมต่อแบบอนุกรมบนเส้นทาง i และ l คือจํานวณอุปกรณ์
ประกอบ หรือตําแหน่งทีทําให้เกิดการสูญเสียพลังงานรอง

ในกรณีทท่ี อแต่ละเส้น (เส้นที i ใดๆ) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากันตลอดทังเส้น


8f  L 8f  k
Gi  j j  j --------- ( . )
g2D5j g2D4j
Major Loss Minor Loss

แทนค่าสมการ ( . ) หรือ ( . ) ในสมการ ( . )


2
 hLi = GiQ i
 hLi
Qi = --------- ( . )
Gi

หากกําหนดให้จุดทีท่อมารวมกัน (จุด D) ให้เป็ นปริมตรควบคุม เมือวิเคราะห์ดว้ ยสมการความต่อเนือง จะได้ว่า


 Q Din =  QD out --------- ( . )

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


20 Hydraulics Engineering

. . ) การวิ เคราะห์ท่อแขนงเชื อมต่ออ่างเก็บ


ในกรณีนีจะเป็ นการการวิเคราะห์ท่อแขนงทีเชือมต่อกับอ่างเก็บนํา อ่าง (ดังรูปที . )
Pi Vi 2
จากรูปที . กําหนดให้ Hi= Zi   --------- ( . )
 2g
เมือพิจารณาสมการพลังงานของการไหลจากจุดหนึงไปยังอีกจุดหนึง จะได้วา่
P V2 P V2
Z1  1  1 = Z 2  2  2   hL
 2g  2g
H = H2   hL --------- ( . )

ซึงสามารถสร้างระเบียบวิธใี นการคํานวณได้ดงั นี
1) เมือพิจารณาระดับเฮดพลังงานรวมทีปลายท่อทางเข้า และทางออก ของท่อแต่ละเส้น จะมีคา่ เท่ากับระดับนํา
ในอ่างเก็บนํา ดังนัน
Hi  Z i (ในกรณีตวั อย่างนีทราบค่า ZA , ZB และ ZC)
) คํานวณค่า Gi ของท่อแต่ละเส้น โดยใช้สมการที ( . ) หรือ ( . ) (GAD , GDB และ GDC)
3) สมมุตคิ ่าระดับของเฮดพลังงานรวมทีจุดทีปลายท่อแต่ละเส้นมาเชือมต่อกัน (สมมุตคิ ่า HD)
4) หาค่าการสูญเสียพลังงานในท่อแต่ละเส้น โดยคํานวณค่าผลต่างของเฮดพลังงานระหว่างทางเข้าและทางออก
(จุด A , B และ C) กับจุดทีท่อมาเชือมต่อกัน (จุด D)
หาค่า  hLDB  hL AD = HA - HD
หาค่า  hLDB ถ้า HD>HB (ไหลจาก D ไป B)  hLDB = HD - HB
ถ้า HD<HB (ไหลจาก B ไป D)  hLDB = HB - HD
หาค่า  hLDC ถ้า HD>HC (ไหลจาก D ไป C)  hLDC = HD - HC
ถ้า HD<HC (ไหลจาก C ไป D)  hLDC = HC - HD
(ถ้าระดับเฮดพลังงานรวมระหว่างจุดสองจุดเท่ากันนําจะไม่ไหล)
5) คํานวณอัตราการไหลในท่อแต่ละเส้นจากสมการที ( . )
 hL AD  hLDB  hLDC
Q AD  ; Q DB  ; Q DC 
G AD GDB GDC
6) ตรวจสอบผลรวมของอัตราการไหลผ่านจุดเชือมต่อ หากไม่สอดคล้องกับสมการที ( . ) ต้องสมมุตคิ า่ ระดับ
เฮดพลังงานทีจุดเชือมต่อใหม่ และทําการคํานวณซํา จนกว่าจะได้ผลทีสอดคล้องกับสมการที ( . )

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 21

รูปที . ขันตอนการวิเคราะห์ระบบท่อแบบแขนง

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


22 Hydraulics Engineering

ตัวอย่างที . ระบบท่อเชือมต่ออ่างเก็บนําสามแห่งลักษณะดังรูป ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ความยาว และค่าความ


หยาบผิวของวัสดุทใช้
ี ทําท่อ แสดงดังตาราง ถ้าสภาพการไหลในท่อทังสามเส้นเป็ นแบบ complete turbulent และไม่
คิดการสูญเสียพลังงานรอง จงหาอัตราการไหลในท่อทังสามเส้น

วิธที าํ - พิจารณาเฮดพลังงานทีจุด A B และ C


H A  Z A  8.75 m ; HB  Z B  6.50 m ; HC  Z C  2.75 m
8fj  L j
- คํานวณ GA GB และ GC Gi 
g2D5j

D AD  0.15  0.001  f  0.0196  G AD  8fAD2 L5AD  8 0.0196  250


 5331.64
150 g D AD 2
g 0.15 
5

0.15 8fDB  LDB 8 0.0217150 


D DB   0.0015  f  0.0217  GDB    26895.04
100 g 2D DB
5
g 2 0.10 5 
0.15 8fDC  LDC 8 0.0217 250
D DC   0.0015  f  0.0217  GDC    44825.07
100 g 2D DC
5
g 0.10
2 5

- สมมุตคิ ่าระดับเฮดพลังงานทีจุด D → HD = 6.50 m


Σ hL AD = HA - HD = 8.75 - 6.50 = 2.25 m (ไหลจาก A→D)
Σ hL DB = HD - HB = 6.50 - 6.50 = 0.00 m (ไม่ไหล)
Σ hL DC = HD - HC = 6.50 - 2.75 = 3.75 m (ไหลจาก D→C)
 h Li
- คํานวณค่าอัตราการไหล Q i 
Gi
2.25
Q AD   0.021 m 3 / s
533.164
0 3.75
Q DB   0 m 3 / s ; Q DC   0.009 m 3 / s
26895.04 44825.07

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 23

- คํานวณค่าอัตราการไหลทีจุด D  Q in   Q out
D D
0.021 ≠ 0.000+0.009 สมมุตคิ ่า HD ใหม่

- สมมุตคิ ่าระดับเฮดพลังงานทีจุด D → HD = . 0m
Σ hL AD = HA - HD = 8.75 - . 0 = . m (ไหลจาก A→D)
Σ hL DB = HD - HB = . 0 - 6.50 = . m (ไหลจาก D→B)
Σ hL DC = HD - HC = . 0 - 2.75 = . m (ไหลจาก D→C)
 hLi
- คํานวณค่าอัตราการไหล Q i 
Gi
1.35
Q AD   0.016 m 3 / s
533.164
0.90 4.65
Q DB   0.006 m 3 / s ; Q DC   0.010 m 3 / s
26895.04 44825.07
- คํานวณค่าอัตราการไหลทีจุด D  Q in   Q out
D D
0.016 = 0.006+0.010
  Q AD  0.016 m 3 / s ; Q DB  0.006 m 3 / s ; Q DC  0.010 m 3 / s Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


24 Hydraulics Engineering

ตัวอย่างที . แปลงเกษตรกรรมแห่งหนึง ทําการให้นําแก่พชื ด้วยระบบการให้นําทางผิวดิน โดยการปล่อยนําผ่าน


ปลายท่อ B และ C ลงสูผ้ วิ ดินโดยตรง ลักษณะดังรูป ถ้าสมมุตใิ ห้สภาพการไหลในท่อทังสามเส้นเป็ นแบบ complete
turbulent และไม่คดิ การสูญเสียพลังงานรอง จงหาอัตราการไหลในท่อทังสามเส้น (คุณสมบัตขิ องท่อกําหนดดังตาราง)

วิธที าํ - พิจารณาเฮดพลังงานทีจุด A B และ C


VB2 VB2 VC2 VC2
H A  Z A  4.75 m HB  Z B   0.25  HC  Z C   0.25 
2g 2g 2g 2g
8fj  L j
- คํานวณ GA GB และ GC Gi 
g2D5j
8f1  L1 8 0.020150 8f2  L 2 8 0.025 200
G1    3264.27 G2    41313.43
g2D15 g 0.15 
2 5
g2D52 g2 0.105 
8f3  L3 8 0.025 300 
G3    61970.14
g2D53 g 0.10
2 5

- สมมุต ิ HD = 1.00 m
 hL1 3.75
Σ hL 1 = HA - HD = 4.75 - 1.00 = 3.75 m  Q1    0.0339 m 3 / s
G1 3264.27
VB2 VB2
Σ hL 2 = HD - HB = HD  Z B   1.00  0.25  เนืองจาก  hLi  GiQ i2
2g 2g
V22 8Q 22
G 2 Q 22 = 0.75  = 0.75 
2g g2D 42
8Q 22
41313.43Q 22 = 0.75  แก้สมการจะได้ Q2 = 0.0042 m3/s
g 2  0.10  4
VC2 VB2
Σ hL 3 = HD - HC = HD  Z C   1.00    0.25  
2g 2g
2 2
V 8Q 3
G 3 Q 32 = 1.25  3 = 1.25 
2g g2D 34
8Q 32
61970.14 Q 32 = 1.25  แก้สมการจะได้ Q3 = 0.0045 m3/s
2 4
g  0.10 

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 25

- ตรวจสอบอัตราการไหลทีจุด D  Q1  Q 2  Q 3
- สมมุติ HD = 4.00 m
 hL1 0.75
Σ hL 1 = HA - HD = 4.75 - 4.00 = 0.75 m  Q1    0.0152 m3 / s
G1 3264.27
VB2 VB2
Σ hL 2 = HD - HB = HD  Z B   4.00  0.25 
2g 2g
V22 8Q 22
G 2 Q 22 = 3.75  = 3.75 
2g g2D 42
8Q 22
41313.43Q 22 = 3.75  แก้สมการจะได้ Q2 = 0.0094 m3/s
2 4
g  0.10 
VC2 VB2
Σ hL 3 = HD - HC = HD  Z C   4.00    0.25  
2g 2g
V32 8Q 32
G 3Q 32 = 4.25  = 4.25 
2g g 2D 34
8Q 32
61970.14 Q 32 = 4.25  แก้สมการจะได้ Q3 = 0.0082 m3/s
2
g  0.10  4
- ตรวจสอบอัตราการไหลทีจุด D  Q1  Q 2  Q 3
- สมมุติ HD = 3.785 m
 hL 1 0.965
Σ hL 1 = HA - HD = 4.75 - 3.785 = 0.965 m  Q1    0.0172 m 3 / s
G1 3264.27
VB2 VB2 8Q 22
Σ hL 2 = HD - HB = HD  Z B   3.785  0.25   G 2Q 22  3.535 
2g 2g g2D 42
8Q 22
41313.43Q 22 = 3.535  แก้สมการจะได้ Q2 = 0.0092 m3/s
2 4
g  0.10 
VC2 VB2 8Q 32
Σ hL 3 = HD - HC = HD  Z C   3.785    0.25    G3Q 32  4.035 
2g 2g g2D 34
8Q 32
61970.14 Q 32 = 4.035  แก้สมการจะได้ Q3 = 0.0080 m3/s
2 4
g  0.10 
- ตรวจสอบอัตราการไหลทีจุด D  Q 1  Q 2  Q 3
∴ Q = 0.0 2 m3/s Q2 = 0.0092 m3/s และ Q3 = 0.0080 m3/s Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


26 Hydraulics Engineering

. . ) การวิเคราะห์ท่อแขนงทีไม่ได้เชือมต่อกับอ่าง

ในหัวข้อนีจะกล่าวถึงการคํานวณการไหลในท่อแขนง ทาง ซึงทราบค่าความดันทีปลายทางเข้าออกดังรูป


ที . และท่อแต่ละเส้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์เท่ากันตลอดทังเส้น

รูปที . การต่อท่อแบบแขนง (Branching Pipes) แยก ทาง

จากรูปหากพิจารณาสมการพลังงานของการไหลจากจุดใดๆ ไปยังจุดเชือมต่อ จะได้วา่


Pi Vi 2 PD VD2
Zi   = ZD     hL
 2g  2g
PD VD2
กําหนดให้ HD  Z D   แทนในสมการพลังงาน
 2g
P Vi 2
Zi  i  HD =  hL 
 2g
P 8QiD2
Zi  i  HD = GiDQiD2 
 g2DiD4
P
Z i  i  HD

Q iD = 8 --------- ( . )
GiD 
g2DiD4
ในทางตรงกันข้ามจากรูปหากพิจารณาสมการพลังงานของการไหลจากจุดเชือมต่อ ไปยังจุดใดๆ จะได้วา่
P V2 P V2
ZD  D  D = Zi  i  i   hL
 2g  2g

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 27

Pi Vi 2
HD  Zi  =  hL 
 2g
Pi 8Q Di2
HD  Zi  = GDiQ Di2 
 g2DDi4
 P
HD   Z i  i 
  
Q iD =  --------- ( . )
8
GiD 
g2DDi4
ซึงสามารถสร้างระเบียบวิธใี นการคํานวณได้ดงั นี
1) พิจารณาระดับเฮดระดับ และเฮดความดัน ทีปลายท่อทางเข้า และทางออก ของท่อแต่ละเส้น
) คํานวณค่า Gi ของท่อแต่ละเส้น โดยใช้สมการที ( . ) หรือ ( . ) (GAD , GDB และ GDC)
3) สมมุตคิ ่าระดับของเฮดพลังงานรวมทีจุดทีปลายท่อแต่ละเส้นมาเชือมต่อกัน (สมมุตคิ า่ HD)
4) คํานวณอัตราการไหลในท่อแต่ละเส้นจากสมการที ( . ) และ ( . ) โดยผลทีได้จะสัมพันธ์กบั ทิศทางของ
การไหลดังนี
 
ZA 
PA
 HD  Z A  PA   HD
  

- ถ้า 8 หาค่าได้ นําจะไหลจาก A ไป D Q AD   8
G AD  G AD 
g2D4AD g2D4AD
 P 
HD   Z A  A 
  
แต่ถา้ หาค่าไม่ได้ นําจะไหลจาก D ไป A Q DA  
8
G AD 
g2D4AD
 
ZB 
PB
 HD  Z B  PB   HD
  

- ถ้า 8 หาค่าได้ นําจะไหลจาก B ไป D Q BD   8
GBD  GBD 
g2DBD
4
g2DBD4

 P 
HD   ZB  B 
  
แต่ถา้ หาค่าไม่ได้ นําจะไหลจาก D ไป B Q  
DB 8
GBD 
g2DBD4

6) ตรวจสอบผลรวมของอัตราการไหลผ่านจุดเชือมต่อ หากไม่สอดคล้องกับสมการที ( . ) ต้องสมมุตคิ า่ ระดับ


เฮดพลังงานทีจุดเชือมต่อใหม่ และทําการคํานวณซํา จนกว่าจะได้ผลทีสอดคล้องกับสมการที ( . )

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


28 Hydraulics Engineering

รูปที 1 ขันตอนการวิเคราะห์ระบบท่อแบบแขนง

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 29

ตัวอย่างที . ระบบท่อเชือมต่อจุดสามจุดลักษณะดังรูป ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ความยาว ค่า friction factor และ


minor loss coefficient แสดงดังตาราง ทีจุด A อ่านค่ามาตรวัดความดันเกจได้ . bar ทีจุด B อ่านค่ามาตรวัดความ
ดันเกจได้ 1. bar ทีจุด C ปลายท่อเปิ ดออกสูอ่ ากาศ จงหาอัตราการไหลในท่อทังสามเส้น

8  fj  L j  k 
วิธที าํ - คํานวณ GA GB และ GC Gi   
2  5
g  D j D 4j 

8  f1  L1  k1  8   0.020100  3.5  
G1        6599.57
g2  D15 D14  g2   0.125 5  0.125 4 

8  f2  L 2  k 2  8   0.025100  3.5  
G2        23548.65
g2  D52 D 42  g2   0.100 5  0.100 4 

8  f3  L3  k 3  8   0.025150   5.5  
G3        35529.55
g2  D53 D34  g2   0.1005  0.100 4 

- สมมุต ิ HD = . m
   
 Z A  PA   HD  4.500  0.3bar   1.000
     
Q1      0.0323 m3 s  A  D 
8 8
G1  6599.57 
g2D14 g2  0.125 4
   
 Z B  PB   HD  3.500  0.1bar   1.000
     
Q2      0. 0124 m 3
s  B  D
8 8
G2  23548.65 
g2D 42 g2  0.100 4
   
 Z C  PC   HD  3.25  0   1.000
     
Q3      0.0081 m 3
s  C  D
8 8
G3  35529.55 
g2D34 g2  0.100 4
- หากพิจารณาอัตราการไหลทีจุด D นําจากทุกจุดไหลเข้ามาทีจุด D ซึงเป็ นไปไม่ได้

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


30 Hydraulics Engineering

- สมมุต ิ HD = . m
   
 Z A  PA   HD  4.500  0.3bar   6.500
     
Q1      0.0130 m3 s  A  D 
8 8
G1  6599.57 
g2D14 g2  0.125 4
 
 Z B  PB   HD
  
Q2   หาค่าไม่ได้
8
G2 
g2D 42
 P   0.1bar 
HD   Z C  C  6.500   3.500 
     
Q2      0.0090 m3 s  D  B 
8 8
G3  23548.65 
g2D34 g2  0.100 4
 
 Z C  PC   HD
  
Q3   หาค่าไม่ได้
8
G3 
g2D34
 P   0
HD   Z C  C  6.500   3.25  
     
Q3      0.0095 m 3
s D  C
8 8
G3  35529.55 
g2D34 g2  0.100 4
- พิจารณาอัตราการไหลทีจุด D จะได้  Q1  Q 2  Q 3
- สมมุต ิ HD = . m
   
 Z A  PA   HD  4.500  0.3bar   5.923
     
Q1   8  
8  0.0162 m3 s  A  D 
G1  6599.57 
g2D14 g2  0.125 4

Flow in Pressure Conduit ธัญดร ออกวะลา


Hydraulics Engineering 31

 
 Z B  PB   HD
  
Q2   หาค่าไม่ได้
8
G2 
g2D 42
 P   0.1bar 
HD   Z C  C  5.923   3.500 
     
Q2      0.0076 m3 s  D  B 
8 8
G3  23548.65 
g2D34 g2  0.100 4
 
 Z C  PC   HD
  
Q3   หาค่าไม่ได้
8
G3 
g2D34
 P   0
HD   Z C  C  5.923   3.25  
     
Q3      0.0086 m 3
s D  C
8 8
G3  35529.55 
g2D34 g2  0.100 4
- พิจารณาอัตราการไหลทีจุด D จะได้  Q 1  Q 2  Q 3
∴ Q = . l/s Q2 = 7.6 l/s และ Q3 = 8.6 l/s Ans

ธัญดร ออกวะลา Flow in Pressure Conduit


3-1

บทที
การไหลภายในท่อแบบไม่คงตัว
( Unsteady flow in pipe)
. บทนํา
ทฤษฎีการไหลแบบคงตัว (Steady flow) ได้มกี ารอธิบายไว้แล้วในบทที แต่ในสภาพความเป็ นจริงตาม
ธรรมชาตินนลั
ั กษณะการไหลของนําส่วนมากเป็ นการไหลแบบไม่คงตัว (Unsteady flow) เช่นการไหลในทางนํา
ธรรมชาติ การไหลในท่อทีมีความเร็วมาก หรือการไหลผ่านสิงกีดขวางต่างๆ เป็ นต้น ลักษณะการไหลแบบคงตัวและ
แบบไม่คงตัวแสดงเปรียบเทียบให้เห็นและเข้าใจได้งา่ ยดังรูปที . ของบทที สําหรับในบทนีจะได้กล่าวถึงสมการ
ของการไหลภายในท่อแบบไม่คงตัว และการคํานวณถึงค่าความดันทีมีการเปลียนแปลงเมือความเร็วของไหลถูกกระทํา
ให้ลดลงอย่างรวดเร็ว

. ความดันทีเกิดขึนชัวขณะ ( Pressure transients)


เมือมีการไหลของนําภายในท่อจะมีมวลของนําขนาดใหญ่เคลือนทีอยู่ หากมีการทําให้มวลของนํานีเกิดการ
หยุดเคลือนทีโดยกะทันหันเช่นโดยการปิ ดวาล์ว จะทําให้ความดันในท่อเพิมขึนโดยทันที ความดันทีเพิมขึนนีนันจะเกิด
จากการลดลงของค่าโมเมนตัมของมวลนําจนหมดไปเหลือค่าเป็ นศูนย์ ในระยะเวลา t และสามารถคํานวณค่าความดัน
ทีเพิมขึนนีได้จากสูตร (ดูรปู ที . ประกอบ)

U
P1 D P2

รูปที . การไหลระหว่างสองจุดในท่อ

จากกฎข้อที ของนิวตัน แรง = มวล x ความเร่ง


F  mA
0 U
( P1  P2 ) A  AL( )
t
LU
P  ; P  P1  P2 (.)
t

เมือ

จากสมการข้างบนจะพบว่าถ้าเวลา t มีคา่ น้อยๆ ค่า p จะมีคา่ สูงมาก ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีนําไหล


ภายในท่อด้วยความเร็ว . ม. ต่อ วินาทีในช่วงความยาวท่อ ม. หากท่อนีถูกปิ ดด้วยวาล์วจนสนิท ภายใน
ระยะเวลา วินาที จะเกิดค่าความดันทีเพิมขึนเท่ากับ
3-2

1000(kg / m 3 ) x1000(m) x1(m / sec)


p 
1(sec)
kg
p  10 6
m  sec 2
p  106 Pa
หรือ p  10atm

จากตัวอย่างนีจะเห็นว่าค่าความดันทีเกิดขึนในชัวขณะ จะส่งผลเสียหายต่อตัวท่อและอุปกรณ์ได้ อย่างไรก็


ตามค่าความดันนีสามารถนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน เช่นเครืองสูบนําแบบแรม (Ram) หรือทีเรียกว่า
เครืองสูบแบบไอดรอลิกส์แรม (Hydraulics ram)

. สมการการไหลภายในท่อแบบไม่คงที กรณี ของไหลเป็ นชนิ ดอัดตัวไม่ได้


(Unsteady incompressible pipe flow equation)

P1
D
U
P2

รูปที การไหลระหว่าง จุดในท่อเอียง


ตามรูปที - เมือนําผลจากค่าความฝืดของผนังท่อ (Friction) ความลาดเทของแนวท่อ (Slope) ในช่วงความ
ยาวท่อ L ของไหลเป็ นชนิดอัดตัวไม่ได้(Incompressible fluid)และกําลังไหลด้วยความเร็ว u

จาก แรง = มวล x ความเร่ง


du
หรือ F  m
dt
แรงในทีนีประกอบด้วย แรงจากความดัน + แรงจากนําหนักของของไหล + แรงเสียดทานจากผนังท่อ
หรือ
F  ( p1 A  p2 A)  mg sin    wDL

จาก  w  C f .(dynamicpressure )

และ Cf 
4
แทนค่า
3-3

du z z 1 2
( AL)  ( p1  p2 ) A  ( AL) g ( 1 2 )  u DL
dt L 42
หารด้วย Ag ตลอด (A = D2 / ) และใช้ P* = p + gz
L du 1 L 2
 ( p *1  p * 2 )  u
g dt g 2 gD
1
( p *1  p * 2 ) หมายถึง เฮดสถิต (piezometric head)
g
L 2
 u หมายถึง เฮดเนืองจากความฝืด (friction head)
2 gD

หากคิดว่าในกรณีท่อสันมาก จากสมการข้างบนแสดงให้เห็นว่า ไม่วา่ ท่อจะมีความลาดเอียงคงทีหรือไม่กต็ าม


ยิงกว่านันหากค่าความเร็วการไหลมีคา่ คงทีแล้ว ค่าความดันทีแตกต่าง จะมีคา่ เท่ากับค่าความต่างของเฮดรวม (Total
head) ดังนันรูปสมการการไหลแบบไม่คงที จะสามารถเขียนได้เป็ น

L du L u2
 ( H 1  H 2 )  ( ) (.)
g dt D 2g

L du du
สําหรับกรณีการไหลแบบคงที ( u คงที) นัน เทอม มีคา่ เป็ นศูนย์ (  0) สมการข้างบนจะมี
g dt dt
ความหมายเป็ น ว่าค่าการสูญเสียเฮดอันเนืองจากความฝืด มีคา่ เท่ากับ ผลต่างของเฮดรวมระหว่างการไหลผ่านท่อ
ในช่วงนันๆ หรือ

H1 – H2 = ค่าการสูญเสียเฮดเนืองจากความฝืดระหว่างจุด กับจุด

ในกรณีความเร็วมีการเปลียนแปลงอย่างช้าๆ ความดันก็จะเปลียนแปลงอย่างช้าๆด้วยแต่กย็ งั มีผลอยู่ ในกรณี


นีหมายถึงมีการปิ ดวาล์วลงอย่างช้าๆสมการทีหามาได้จะถูกนําไปใช้ในการวิเคราะห์เกียวกับ ถังลดแรงดัน (Surge
tank ) หรือ วาล์วลดความดัน

ความเร็ วคลืน C
บริ เวณทีนําบีบอัดตัวมี วาล์ว
ความเร็วนํา U ความดัน เพิม P

รุปที 3-3 ลักษณะของมวลนํ าบริเวณวาล์วทีถูกปิ ด


3-4

ในกรณีทความเร็
ี วการไหลมีการเปลียนแปลงอย่างรวดเร็ว ตามรูปที - ความดันทีเกิดขึนชัวขณะ
(Pressure transient)จะมีคา่ สูง มีการเกิดคลืนเคลือนทีไปมาตามแนวความยาวท่อ ปรากฎการณ์ลกั ษณะนีเรียกว่า การ
เกิดวอเตอร์แฮมเมอร์ (Water hammer) และเมือไรจะถือว่าเป็ นการปิ ดวาล์ว เร็ว หรือ ช้า จะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป

. วอเตอร์แฮมเมอร์ (Water hammer)


การปิ ดวาล์วนําทีกําลังเคลือนทีอยูใ่ นท่อโดยทันทีทนั ใด จะทําให้คา่ ความดันเพิมขึนอย่างมากทันที ในทาง
ปฏิบตั ขิ องไหลทีอยู่บริเวณวาล์วจะมีการบีบอัดตัว จากนันจะเกิดคลืนย้อนกลับไปตามแนวท่อด้วยความเร็ว C (เท่ากับ
ความเร็วของคลืนเสียง) การเคลือนทีของคลืนในท่อจะทําให้เกิดเสียงดังขึนเหมือนกับกับการตอกหรือเคาะผนังท่อด้วย
ค้อนดังนันจึงเรียกว่า วอเตอร์แฮมเมอร์ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าปรากฏการณ์ดงั ทีกล่าวไปแล้วจะเกิดขึนเนืองมาจากการ
ปิ ดวาล์วอย่างรวดเร็ว แต่ยงั มีกรณีการเกิดค่าความดันทีเป็ นลบเพิมขึนได้เช่นกันจากกรณีการเปิ ดวาล์วอย่างรวดเร็ว
และนําไปสู่ปรากฏการณ์ทเรี ี ยกว่า คาวิ เตชัน (Cavitation) ได้เช่นเดียวกัน

. . ความเร็วของคลืนความดัน ในท่อทีมีลกั ษณะแข็ง (Rigid pipe)


สมบัตดิ า้ นความยืดหยุน่ ของของไหลทีจะระบุอยู่ในค่า Bulk modulus,K ซึงหมายถึงค่าอัตราส่วนระหว่างค่า
ความดันทีเปลียนแปลง กับ ค่าอัตราส่วนการเปลียนแปลงของปริมาตร (Volumetric strain) หรือสมการ

p
K 


 
หรือ p  K ( )

หรือถ้าเขียนในรูปของการเปลียนแปลงของค่าความหนาแน่น จะได้

p  K

ค่า Bulk modulus ของนํามีคา่ ประมาณ . GPa (2.2 x 10 9 Pa)
3-5

U
C U=0
P
P+P

+ 

(ก)

C
U+C
P P+P
 + 

(ข)

รูปที - การเคลือนทีของคลืน
หากพิจารณาตามรูปที - (ก) เป็ นการเคลือนทีของคลืนแบบไม่ต่อเนืองด้วยความเร็ว C (ความเร็วของคลืน
เสียงทีเดินทางในนํา ทีเรียกว่า Cerelity ) ไปทางด้านซ้ายมือเนืองมาจากการปิ ดวาล์ว จะพบว่าด้านหน้าจะเป็ นของไหล
ทีกําลังเคลือนทีด้วยความเร็ว u ซึงบริเวณดังกล่าวนีจะยังไม่ถูกผลกระทบจากการปิ ดวาล์ว สมบัตขิ องของไหลจะ
เปลียนจาก(p, ) ไปเป็ น ( P+P , + ) ในขณะใดๆจะถือว่าท่อมีสภาพแข็งเกร็ง (Rigid)(ขนาดพืนทีหน้าตัดไม่
มีการเปลียนแปลง)
ในการวิเคราะห์สามารถทําให้งา่ ยเข้าโดยการบวกค่าความเร็ว C ลงไปตามทิศทางการไหลไปทางด้านซ้ายมือ
จากสมการต่อเนือง รูปที - (ข)
 (C  u ) A  (    )
หารด้วย CA จะได้
u 
1 1
c 
u 
หรือ  (.)
c 
จากสมการโมเมนตัม
มวล x อัตราการเปลียนแปลงความเร็ว = แรง
 (C  u ) A.(u )  A  ( p  p) A
ดังนัน
 (C  u )u  p
3-6

แต่เนืองจาก u <<<<< C ดังนัน จะได้


p  Cu (.)

แทนค่าสมการ ( . ) และ ( . ) ใน p  K จะได้

u
Cu  K
C
จะได้สมการ ความเร็วของคลืนความดัน ในท่อชนิดแข็งเกร็ง เป็ น
K
C (.)

เมือ K = ค่า bulk modulus
 = ค่าความหนาแน่นของของไหล
C = ค่าความเร็วของเสียงเคลือนทีในของไหล

ตัวอย่างที นํา (ค่า  = กิโลกรัม ต่อ ลูกบาศก์เมตร K = 2.2 GPa) ไหลในท่อด้วยความเร็ว . เมตร ต่อ
วินาที และถูกทําให้หยุดไหลกะทันหัน กําหนดให้ความหนาของผนังท่อมีมากพอและท่อเป็ นชนิดแข็งเกร็ง (rigid pipe)
)จงคํานวณค่าความเร็วของคลืนนําวอเตอร์แฮมเมอร์
)ค่าความดันทีเพิมขึน
วิธที าํ
K
)จาก C

2.2 x10 9
C
1000
= . เมตร ต่อ วินาที ตอบ
)จาก p  Cu
= x . x .

= . x Pa ตอบ

. . ความเร็วของคลืนความดันในท่อชนิ ดอ่อน (Non-rigid pipes)


ในทางปฏิบตั จิ ะถือว่าค่าความดันทีเพิมขึนมีคา่ มากพอทีจะทําให้ท่อมีการเปลียนแปลงรูปร่างได้โดยการเพิม
ขนาดของหน้าตัด ในขณะทีท่อมีการขยายตัวนันก็จะมีการดูดซับเอาความเร็วของคลืนความดันไว้ดว้ ย
3-7


ท่อขนาด D ความหนา t
ความดันเพิม P

รูปที - ความสัมพันธ์ระหว่างความดันทีเพิ มกับความเค้นทีผนังท่อ

เพือทีจะนําผลการเปลียนแปลงขนาดหน้าตัดของท่อมาคิดรวมในสมการต่อเนือง จะต้องทราบความสัมพันธ์
ระหว่างการเปลียนแปลงขนาดหน้าตัดกับค่าความดันทีเพิมขึน โดยปกติคา่ ความดันภายใน ( Internal pressure) จะถูก
สมดุลโดยการเพิมขึนของค่าความเค้นตามแนวเส้นรอบวง (Hoop stress or circumferential stress ,) ซึงจะไป
เกียวข้องกับค่าการเปลียนแปลงเส้นผ่าศูนย์กลางและขนาดพืนทีหน้าตัดจากการขยายตัวของท่อ
จากรูปที - การเพิมขึนของค่าความดัน P ทําให้เกิดค่าความเค้น , ถ้า D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายในของ
ท่อ

2t  pD
ต่าจาก ความเค้น = ค่า Young’s modulus x ค่าอัตราส่วนการเปลียนแปลงความยาว (Strain)
D D
 E E
D D
ดังนัน
D D
 P
D 2 Et

สมการข้างต้นนีคืออัตราการเปลียนแปลงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง อันเนืองมาจากการเพิมขึนของความดัน
อย่างไรก็ตามหากต้องการเป็ นรูปสมการอัตราการเปลียนแปลงของพืนทีหน้าตัด ดังนัน จาก
D 2
A
4
dA 2D
A  D  D
dD 4
A 2D
 
A D
ดังนัน
A D
 P
A Et
3-8

U+C C
หน้ าตัด A หน้ าตัด A+A
P,  P+P, +

รูปที - ท่อมีการเปลียนรูปร่างเมือความดันเพิ ม

ค่าความดันทีเพิมขึนยังคงเป็ นไปตามสมการ P  Cu (พิจารณาค่าความเร่งของของไหลทีจุดศูนย์กลาง


ท่อ) แต่ในการพิจารณาจากสมการต่อเนือง จะต้องนําค่าการเปลียนแปลงพืนทีหน้าตัดเข้ามาคิดด้วย
 (C  u ) A  (    )c( A  A)
หารด้วยค่า CA ตลอด

u  A  A
1  (1  )(1  )  1   .....2 nd  order..term
C  A  A
หรือ
u  A
 
C  A
จากสมการโมเมนตัม
u P

C C 2
 P
 (จากการบีบอัดตัว)
 K
และ
A D
 P (จากการเกิดการยืดหยุน
่ ตัว)
A Et
จะได้
P P DP
 
C 2 K Et
หรือ
1 1 D
 
C 2
K Et
เพือความสะดวกในการเขียนรูปสมการ หากนํามาเปรียบเทียบกับรูปสมการของท่อชนิดแข็งเกร็ง จะทําให้สมการ
ข้างบนมีรปู เป็ น
3-9

1 1
 /
C 2
K
เมือ
K / = effective bulk modulus
และ
1 1 D
/
(  ) (.)
K K Et

ดังนันจะสมการ ความเร็วของคลืนความดัน , C ในท่อชนิดทีมีความอ่อนตัว (Non - rigid pipes) คือ

K/
C (.)

ตัวอย่างที จากตัวอย่างที หากค่า D มีค่าเท่ากับ มม.และท่อมีความหนาเท่ากับ มม.จงหาค่า C และ P ใน


กรณี
. ) ท่อเหล็ก ค่า E = 210 GPa.
. ) ท่อพีวซี ี ค่า E = 2.60 GPa.
วิ ธีทาํ
. ) กรณีเป็ นท่อเหล็ก ค่า Modulus of elasticity ,E = 210 GPa.
K/
จาก C

1 1 D
และ /
(  )
K K Et
เมือ นํา = กิโลกรัม ต่อ ลูกบาศก์เมตร
K= . GPa.
E= GPa.
D= มม. = x - ม.
-
t = x ม.
แทนค่า

1 1 200 x10 3
 (  )
K/ 2.2 x109 5 x10 3 x 210 x109

K /  1.55  109 Pa
3-10

1.55 x10 9
ดังนัน C
1000

= ม. ต่อ วินาที
จาก
P  Cu
P  1000x1245x0.50
P  6.22 x105 Pa

. )กรณีเป็ นท่อพีวซี ี ค่า E = . GPa


1 1 D
จาก /
(  )
K K Et
1 1 200 x10 3
 (  )
K/ 2.2 x109 2.6 x109 x5 x10 3
K /  0.063  109 Pa
0.063 x10 9
C
1000
= ม.ต่อ วินาที ตอบ
จาก P  Cu
= x x .
= 1.255 x Pa ตอบ

. อนุกรมเวลาของเหตุการณ์ภายหลังทีมีการปิ ดวาล์ว
เมือพิจารณาการไหลจากแหล่งนําขนาดใหญ่(จุดทีให้คา่ ความดันคงที การเปลียนแปลงความดันเป็ น ) ด้วย
ความเร็ว U0 หากวาล์วบริเวณปลายท่อถูกปิ ดโดยทันทีทนั ใด คลืนความดันจะสะท้อนกลับไปมาตลอดแนวท่อ เวลาที
คลืนความดันใช้เดินทาง จากจุดปลายท่อไปยังอีกจุดหนึง จะเป็ นไปตามสมการ

L
t 
C
ในการเคลือนทีของคลืนภายในท่อ มีลาํ ดับเหตุการณ์ ดังนี
)เมือเวลา t = 0 วาล์วถูกปิ ด นําจะพุง่ กระทบกับถูกวาล์วโดยทันที ด้วยค่าความดันทีเพิมขึน + P และ ณ
เวลานีคลืนความดันจะเริมแผ่ถอยหลังไปตามท่อ
3-11

U = +U0 C P = +P
P=0
PU= =+P
0 วาล์ว
U = +U0 C
P=0 U=0 วาล์ว

รูปที - ลักษณะคลืนในท่อเมือเวลา < t < t

เมือเวลาเป็ น < t < t คลืนความดันจะเคลือนเข้าหานําบริเวณส่วนทียังไม่ได้รบั ผลกระทบ (U = U0


และ P = 0) ซึงบริเวณด้านหลังของแนวคลืน(Shock) จะมีสภาพอยู่นงและนํ
ิ าบริเวณนีถูกบีบอัดตัว (U = 0 และ P =
+ P ) (ดูรปู ที -)
)ทีเวลา t = t คลืนเดินทางมาถึงอ่างเก็บนํา มวลนําทังหมดในท่ออยูใ่ นสภาพหยุดนิง อย่างไรก็ตามมวล
เหล่านีถูกบีบอัดตัวจนเกิดภาวะความดันทีสูงขึนมากกว่าความดันในอ่างเก็บนํา ทําให้เริมถูกดันกลับจากอ่างเก็บนํา
ด้วยความเร็ว U0 เกิดเป็ นคลืนกระแทก (Water hammer)

U = - U0 C P = +P
P=0 U=0 วาล์ว

รูปที - ลักษณะคลืนในท่อเมือเวลา t < t < 2t

เมือเวลา t < t < 2t คลืนสะท้อนกลับไปทางด้านวาล์ว การบีบอัดตัวของมวลนําจะค่อยๆลดลง


(ดูรปู ที - )
3)ทีเวลา t = 2t คลืนเดินทางกลับมาถึงวาล์ว มวลนําตลอดแนวท่อลดความดันลง (Decompressed) แต่
อย่างไรก็ตามมวลของนํายังคงเคลือนทีและยังไม่ถกู ทําให้หยุดทันทีทนั ใด
3-12

U = - U0 C P = +P
P=0 U=0 วาล์ว

รูปที - ลักษณะคลืนในท่อเมือเวลา 2t < t < 3t

เมือเวลา 2t < t < 3t คลืนทีมีคา่ ความดันเป็ นลบ จะเคลือนทีตรงไปยังแหล่งนํา ทิงไว้ให้มวลนํา
ด้านหลังมีคา่ ความดันลดลงเป็ น P = - P (รูปที - )
)ทีเวลา t = 3t คลืนมาถึงแหล่งนํา มวลนําตลอดแนวท่อจะอยู่ในสภาพนิง แต่จะมีคา่ ความดันตํากว่า
ความดันบริเวณแหล่งนํา ดังนันจะเกิดการเคลือนทีกลับไปตามแนวท่อด้วยความเร็ว U = U0

U = + U0 C P = -P
P=0 U=0 วาล์ว

รูปที - ลักษณะคลืนในท่อเมือเวลา 3t < t < 4t

จากรูปที - เมือเวลา 3t < t < 4t คลืนความดันเดินทางมุ่งตรงกลับไปยังวาล์ว หากไม่นําเรือง


การสูญเสียเนืองจากความฝืดมาคิดรวมด้วย จะพบว่าในหนึงรอบของการเกิดคลืนความดันจะใช้เวลาเท่ากับ 4t
โดยที
4L
4t 
C
ข้อสังเกตต่อการเกิดคลืนเมือมีการปิ ดวาล์ว มีดงั นี
.บริเวณอ่างเก็บนํา(ทีเรียกว่า บริเวณขอบเขตเปิ ด (Open boundary)) ความดันบริเวณนีมีคา่ = 0 เสมอ ความเร็วมี
ค่าเปลียนทิศไปมาตามช่วงของการเกิดคลืน
3-13

.บริเวณวาล์ว (ทีเรียกว่าบริเวณขอบเขตปิ ด Solid boundary) ความดันบริเวณนีจะเปลียนไปมาตามช่วงของการเกิด


คลืน แต่ในขณะทีความเร็วบริเวณนีจะมีค่าคงทีเท่ากับ
.ความต่อเนืองของความดันทีบริเวณวาล์ว แสดงดังรูปที - กล่าวคือความดันจะอยูร่ ะหว่าง  P ในช่วงการเกิด
คลืนวิงไปและกลับมายังตําแหน่งเดิม ( 2L / C )

+P

t t

-P

รูปที - ลําดับการเกิดความดันบริ เวณวาล์ว

วาล์ว

จุด A

รูปที - จุด A บนแนวท่อทีระยะ L/4 จากวาล์ว

ลําดับของการเกิดความดัน ณ จุดใดๆบนเส้นท่อ จากรูปที - เป็ น จุด A มีระยะห่างจากวาล์วเท่ากับ L/4


แสดงตามรูปที - ช่วงความยาวของกราฟความดันทีมีคา่ เป็ น บวก หรือ ลบ ดูได้จากว่าจุดทีพิจารณานันอยูท่ ี
ตําแหน่ งเป็ นสัดส่วนเท่าไรของความยาวท่อนับจากวาล์ว (ในทีนีคือจุด A ทีระยะสัดส่วนเท่ากับ L / 4
3-14

t t

+P

/ t / t

/ t / t

-P

รูปที - ลําดับการเกิ ดความดัน ณ จุด A บนแนวท่อ

)ตามความเป็ นจริง กราฟความดันทีมีลกั ษณะเป็ นรูปสีเหลียมนีนันเส้นกราฟจะต้องมีลกั ษณะเป็ นเส้นทีเอียงลงจาก


สาเหตุการเกิดการสูญเสียเนืองจากความฝืด ค่าความดันเป็ นลบ (เส้นกราฟทีอยู่ดา้ นล่าง) จะไม่สามารถมีคา่ ได้ตากว่
ํ า
ศูนย์อย่างสมบูรณ์

ตัวอย่างที ท่อสายหนึงมีความยาว เมตร ส่งนําด้วยความเร็วเท่ากับ เมตร ต่อ วินาทีไปยังปลายท่อผ่าน


วาล์ว ท่อมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ มม. ความหนาของผนังท่อเท่ากับ มม.ค่า Bulk modulus ของนํา
เท่ากับ . GPa และค่า Young ‘s modulus ของวัสดุท่อเท่ากับ GPa. หากทําการปิ ดวาล์วอย่างทันทีทน
ั ใด
)คํานวณว่าความเร็วของคลืน
)หาค่าความดันทีเปลียน ทีเกิดขึนทันทีทนั ใด บริเวณวาล์ว และทีตําแหน่ งห่างจากวาล์วออกไป เมตร
(ไม่คดิ ว่ามีการสูญเสียเฮด)
วิ ธีทาํ
)คํานวณเป็ นท่ออ่อน (Non rigid pipe)
K/
จาก C

1 1 D
และ /
(  )
K K Et

แทนค่าต่างๆ ได้
3-15

1 1 D
/
(  )
K K Et
1 1 500 x10 3
 (  )
K/ 2.0 x109 200 x109 x10 x10 3
K /  1.333 109 Pa
1.333 x10 9
C
1000
ความเร็วคลืน = ม.ต่อ วินาที ตอบ

)ความดันทีเพิม, P
P  Cu
= x x .
= 2.31 x Pa ตอบ
ลําดับการเกิดความดันทีระยะห่างจากวาล์วออกไป เมตร พิจารณาตามรูปที กล่าวคือ ระยะ เมตร เท่ากับ
/ = 1 / 1.33 มีความหมายว่า ความดันทีเพิมเท่ากับ P จะเกิดทีระยะ เมตรจากวาล์วเมือเวลาผ่านไป
เท่ากับ t / . วินาที โดยที t คือระยะเวลาทีคลืนเดินทางจากวาล์วไปถึงอ่างเก็บนําหรือบริเวณทีมีความดัน
เท่ากับ
ในทีนี
t = L / C
= 1155 / 1155
= 1 วินาที
ดังนันทีระยะ เมตร จะเริมเกิดความดัน เมือเวลาผ่านไป / . วินาที

. การปิ ดวาล์วอย่าง ช้า และ อย่างทันทีทนั ใด


เมือกล่าวว่ามีการปิ ดวาล์วอย่างทันทีทนั ใด ในทางปฏิบตั ยิ อ่ มไม่สามารถปฏิบตั ไิ ด้ แต่จะถือว่าเมือใดเรียกว่า
ปิ ดวาล์วอย่างช้าๆ และเมือใดเรียกว่าการปิ ดวาล์วอย่างรวดเร็ว นันจะถือระยะเวลาทีทําการปิ ดวาล์วเทียบกับระยะเวลา
ทีคลืนความดันเดินทางจากวาล์วไปและกลับ เป็ นเกณฑ์ ดังนี
L
ถ้า t closure  2 ถือว่า ปิ ดวาล์วกะทันหัน ในการวิเคราะห์ใช้ทฤษฎีของวอเตอร์แฮมเมอร์
C
L
ถ้า t closure  2 ถือว่า ปิ ดวาล์วอย่างช้าๆ ในการวิเคราะห์ใช้ทฤษฎีการไหลแบบไม่คงที ของของ
C
ไหลแบบอัดตัวไม่ได้

ตัวอย่างที นําไหลภายในท่อความยาว เมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง มม. ด้วยความเร็วคงทีเท่ากับ .


เมตร ต่อ วินาที ท่อมีความหนา มม. ค่า bulk modulus ของนําเท่ากับ . GN / m2 ค่า Young”s modulus ของเหล็กเท่ากับ
GN / m2 ให้คาํ นวณว่าความดันของนํ าภายในท่อจะเพิมขึนเท่าไร เมือ
3-16

. การไหลของนําลดลงอย่างสมําเสมอจนหยุด ภายในเวลา วินาที


. เมือทําการปิ ดวาล์วทีปลายท่ออย่างรวดเร็ว
วิ ธีทาํ
. ต้องพิสจู น์ว่าจากการไหลด้วยความเร็วคงทีแล้วค่อยๆลดลงจนหยุดไหลภายในเวลา วินาทีนนจะถื
ั อว่า
เป็ นการทําให้หยุดไหลแบบกระทันหันหรือไม่ โดยการคํานวณเหาเวลาเวลา วินาทีนเทีี ยบกับเวลาทีคลืนนําเดินทาง
ไปกลับในเส้นท่ออย่างไร(ในกรณีทมีี การปิ ดวาล์ทนั ที)
จากสูตร ความเร็วคลืนเมือมีการปิ ดวาล์วทันที
K
C

และ
1 1 D
/
(  )
K K Et

นํา = กิโลกรัม ต่อ ลูกบาศก์เมตร


K= . GPa.
E= GPa.
D= มม. = x - ม.
-
t = x ม.
แทนค่า
1 1 200x10 3
 (  )
K/ 2.07 x109 5 x10 3 x 207 x109
ดังนัน

1.4786 x10 9
C
1000
ความเร็วคลืน หากปิ ดวาล์วแบบกระทันหัน = เมตร ต่อ วินาที
เมือทราบความเร็วคลืน นํามาคํานวณเวลาทีคลืนเดินทางจากวาล์วไปยังต้นทางและกลับมายังวาล์วอีก
ครัง จากสูตร

2L
t
C
2x100
t
1216
= . วินาที
3-17

หมายความว่า ถ้าทําให้นําหยุดไหลภายในเวลา เท่ากับหรือน้อยกว่า . วินาทีแล้ว จะเกิดความดัน


เพิมขึนอย่างรุนแรง เกิดภาวะทีเรียกว่า วอเตอร์แฮมเมอร์ แต่ในกรณีตวั อย่างนีทําการปิ ดนําแบบค่อย
เป็ นค่อยไปในเวลา วินาที ซึงใช้เวลานานกว่าเวลาทีจะถือว่าปิ ดวาล์วแบบกะทันหัน ( . วินาที )
อยู่มาก ค่าความดันเพิมคํานวณจึงคํานวณตามสูตร การไหลแบบไม่คงทีเมือมีการเปลียนแปลงความเร็ว
แบบค่อยเป็ นค่อยไป คือ

L du
h 
g dt
เมือ h = เฮดทีเพิมเมือมีการเปลียนแปลงความเร็วการไหล ม.
L = ความยาวท่อ เมตร
g = ค่าความเร่งเนืองจากแรงโน้มถ่วง . ม. / วินาที
du / dt = อัตราการเปลียนแปลงความเร็วเทียบกับเวลา
แทนค่า
100 2.50
h  x
9.81 5
= . ม. ตอบ

. กรณีปิดวาล์วอย่างรวดเร็ว ความดันเพิม จะคํานวณตามหลักของการเกิดวอเตอร์แฮมเมอร์ คือ

P  Cu
= x x .
= 3.14 x Pa
= . Bars. ตอบ
-1

บทที
การออกแบบท่อส่งนํา
. ชนิ ดและการใช้งานท่อส่งนํา
ในการก่อสร้างระบบท่อ มีการเลือกใช้ท่อชนิดต่างๆจากเหตุผลความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน
เหมาะสมกับสภาพพืนที ความสะดวกต่อการจัดหาท่อและอุปกรณ์ทงเหตุ ั ผลด้านการตลาดและงบประมาณ
อย่างไรก็ตามในปั จจุบนั ได้มชี นิดของท่อส่งนําทีถูกผลิตออกจําหน่ายกันมากมายหลายชนิดแต่ละชนิดมี
จุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดีและข้อจํากัดแตกต่างกันไป ดังจะได้อธิบายรายละเอียดของท่อแต่ละชนิดให้ทราบ
ดังต่อไปนี
) การเลือกชนิ ดท่อส่งนํ า ชนิดของท่อทีมีการใช้ในระบบท่อแรงดัน มีดงั นี
ท่อเหล็ก (Steel pipe)
ท่อเหล็กอาบสังกะสี (Galvanize steel pipe)
ท่อพีวซี ี (Polyvinyl chloride pipe ,PVC)
ท่อพีอี (Polyethylene pipe ,PE)
ท่อเอชดีพอี ี (High density polyethylene pipe, HDPE)
ท่อซีเมนต์ใยหิน(Asbestos cement pipe ,AC)
ท่อคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforce concrete pipe)
ท่อคอนกรีตอัดแรง (Pre-stress concrete pipe)
ท่อเสริมใยแก้ว(Glassfiber reinforce polyester pipe ,GRP)

ก) ท่อเหล็ก ท่อเหล็กเป็ นผลิตภัณฑ์ทสามารถนํ


ี าไปใช้ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมได้หลากหลาย
ประเภท เช่น ธุรกิจการประปา ก๊าซ นํามัน สารเคมี รวมทังงานก่อสร้างประเภทต่างๆ เป็ นต้น ใน ปั จจุบนั ได้
มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ขยายไปสูก่ ลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เฟอร์นิเจอร์
เครืองจักรกล ท่อร้อยสายไฟฟ้า เป็ นต้น การผลิตท่อเหล็กของไทยมีทงที ั เป็ นท่อเหล็กกล้า ท่อเหล็กหล่อ และ
ท่อเหล็กไร้สนิม (Stainless Steel) ประเภทมีตะเข็บขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตังแต่ 0.5 - 120 นิว โดยนิยม
ผลิตท่อตะเข็บตรงขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 - 8 นิว ประเภททีเชือมด้วยความต้านทานไฟฟ้ า
(Electric Resistance Weld Pipe, ERW) เช่น ท่อเหล็กชุบสังกะสี ท่อเหล็กดํา และท่อเฟอร์นิเจอร์ เป็ นต้น
วัตถุดบิ หลักทีใช้ในการผลิตได้แก่ เหล็กแผ่นทังประเภทรีดร้อน รีดเย็น และสแตนเลส ซึงในอดีตต้องนําเข้า
แต่ปัจจุบนั สามารถผลิตได้ภายในประเทศ ยกเว้นสแตนเลสทีส่วนใหญ่ยงั คงต้องพึงพาการนําเข้าจาก
ต่างประเทศ

ท่อเหล็กสามารถใช้กบั ความเร็วนําสูงๆ แต่ไม่ควรเกิน . เมตร ต่อ วินาทีเนืองจากจะมีเสียงดัง


เกิดการกัดกร่อนทีผนังท่อ ความเร็วออกแบบทีใช้ประมาณ . – . เมตร ต่อ วินาที การก่อสร้างด้วยระบบ
ท่อชนิดท่อเหล็กจะทําให้มตี น้ ทุนสูงกว่าท่อชนิดอืน เนืองจากท่อมีราคาค่อนข้างแพง

ความแข็งแรงของท่อเหล็ก ขึนอยูก่ บั ความหนาและคุณสมบัตขิ องแผ่นเหล็กทีใช้ เหมาะสําหรับใช้


วางบนดิน วางใต้ดนิ วางข้ามแม่นํา ลําคลอง วางเกาะสะพาน วางลอดถนน เนืองจาก ราคาแพงและอาจ
เกิดสนิมได้งา่ ยเมือฝังไว้ใต้ดนิ ส่วนใหญ่จงึ ใช้เฉพาะส่วนทีโผล่เหนือผิวดิน หรือบริเวณทีต้องรับแรงกดจาก
ภายนอกมาก แต่ไม่เหมาะกับแนวท่อทีมีการเปลียนแปลงระดับหรือทิศทางบ่อย ๆ การซ่อมแซมทําได้ไม่
สะดวกเพราะท่อมีนําหนักมาก การต่อท่อแยกหรือการตัดเปลียนหรือการซ่อมแซมสามารถหาอุปกรณ์ได้งา่ ย
-2

แต่ตอ้ งใช้ผชู้ าํ นาญ ปั ญหาทีพบบ่อยสําหรับท่อเหล็ก คือ เป็ นสนิมทําให้อายุการใช้งานท่อลดลง โดยเฉพาะ


การใช้งานในพืนทีดินเค็ม หรือนําเค็มหากไม่มรี ะบบป้ องกันการกัดกร่อน อายุการใช้งานของท่อเหล็กจะ
ลดลง

รูปที . ท่อเหล็ก

ข) ท่อเหล็กอาบสังกะสี
ทําจากเหล็กกล้าซึงเป็ นสนิมได้ยาก ผ่านการอาบสังกะสี สามารถทําเกลียวได้งา่ ย ท่อเหล็กอาบ
สังกะสีสว่ นใหญ่จะผลิตมายาว เมตร ปลายท่อทําเกลียวมาให้พร้อม มีแบบหนาปานกลาง ทีท่อจะคาดสีนํา
เงิน และอย่างหนาทีท่อคาดสีเหลือง การต่อท่อใช้ขอ้ ต่อแบบต่างๆ เช่นข้อต่อตรง ข้อต่องอ องศา เป็ นต้น
คุณสมบัตขิ องท่อเหล็กอาบสังกะสี คือ
-มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทกได้ ไม่หกั งอง่าย
-ทนต่อความดันและอุณหภูมทิ สูี งๆ อย่างกรณีนําไปใช้เป็ นท่อนําร้อน เป็ นต้น
-ราคาค่อนข้างสูง
-ถ้าใช้ไปนานๆอาจเกิดสนิมได้ โดยเฉพาะทีฝั งอยูใ่ นดิน อาจเป็ นอันตรายถ้านํา
นําในท่อมารับประทาน

ค) ท่อพีวีซี
ท่อพีวซี ี (PVC) เป็ นชือเรียกทีคนทัวไปรูจ้ กั มักคุน้ กันเป็ นอย่างดี PVC ย่อมาจากคําว่า โพลีไวนิล
คลอไรด์ (Polyvinyl chloride) เป็ นพลาสติกชนิดหนึงทีมีคณ ุ สมบัตทิ ดีี หลายอย่าง เช่น มีความเหนียวยืดหยุน่
ตัวได้ ทนต่อแรงดันนําได้ด ี ทนต่อการกัดกร่อนของกรดหรือด่างได้ด ี ใช้เป็ นฉนวนไฟฟ้ าได้ดเี พราะไม่เป็ น
ตัวนําไฟฟ้ า เป็ นวัสดุไม่ตดิ ไฟ มีผวิ มันเรียบช่วยให้การไหลของนําได้ดี มีนําหนักเบาและราคาถูก แต่มขี อ้ เสีย
คือ เปราะ กรอบ และแตกหักง่าย ไม่ทนทานต่อแรงกระแทกและแสงแดดหรือแสงยูวี (UV)
ท่อพีวซี ี ทีใช้กนั ในประเทศไทยส่วนใหญ่มคี วามยาวประมาณ 4 เมตร ยกเว้นท่อพีวซี บี างประเภท ซึง
อาจยาว 3 หรือ 6 เมตรบ้าง ท่อพีวซี ี ทีนิยมใช้ในงานก่อสร้าง แบ่งออกเป็ น 3 ชนิด โดยแบ่งแยกการใช้งาน
ตามสีต่างๆ เช่น สีฟ้า สีเหลือง สีเทา หรือสีขาว
ชนิ ดที 1 ท่อพีวีซีสีฟ้า ผลิตขึนตามมาตรฐาน มอก.17-2532 (ท่อพีวซี แี ข็งสําหรับใช้เป็ นท่อนําดืม) เป็ น
-3

ท่อทีนิยมใช้ในงานสุขาภิบาลในอาคาร เช่น ใช้เป็ นท่อประปาสําหรับระบบนํ าดืม ซึงต้องรับแรงดันนํา หรือใช้


กับระบบเครืองสูบนํา หรืองานท่อระบายนํา มีความหนาตามระดับการรับแรงดันได้ของท่อ โดยมีหน่ วยระบุถงึ
ความสามารถในการรับแรงกดดันได้ของท่อ เป็ น กิโลกรัม/ตารางเซ็นติเมตร เช่น มาตรฐานท่อพีวซี ขี นาด 8.5
หรือ 13.5 กิโลกรัม/ตารางเซ็นติเมตร (PVC-8.5 หรือ PVC-13.5) ใช้เป็ นท่อประปาสําหรับระบบนําดืมหรือ
ระบบเครืองสูบนํา ซึงต้องรับแรงดันนํามาก สําหรับท่อระบายนําทิงหรือท่อนําโสโครกซึงไม่มแี รงดันนํา นิยม
ใช้มาตรฐานท่อขนาด 5 กิโลกรัม/ตารางเซ็นติเมตร (PVC-5) ท่อพีวซี สี ฟี ้ าเหล่านี เหมาะสําหรับใช้งานภายใน
อาคารหรือในทีร่มเท่านัน ไม่ควรใช้งานภายนอกอาคารทีต้องสัมผัสกับแสงแดดเนืองจากไม่ทนต่ออุณหภูมทิ ี
สูง และไม่ควรใช้กบั อาคารทีทรุดตัวได้งา่ ย เพราะจะทําให้ทอ่ แตกหักหรือฉีกขาดออกจากกันได้
ชนิ ดที 2 ท่อพีวีซีสีเหลือง ผลิตขึนตามมาตรฐาน มอก. 216-2524 (ท่อพีวซี แี ข็งสําหรับใช้รอ้ ย
สายไฟฟ้ าและสายโทรศัพท์) เป็ นท่อทีผลิตขึนมาเพือใช้ในงานร้อยสายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์โดยเฉพาะ โดย
คํานึงถึงมาตรฐานความเป็ นฉนวนไฟฟ้ าเป็ นหลัก ท่อพีวซี สี เี หลืองนีเหมาะสําหรับใช้รอ้ ยสายไฟภายในอาคาร
หรือในร่มเท่านัน ไม่ควรใช้รอ้ ยสายไฟภายนอกอาคาร
ชนิ ดที 3 ท่อพีวีซีสีเทา เป็ นท่อทีผลิตขึนเพือใช้งานด้านการเกษตร เช่น เป็ นท่อระบายนําทางการ
เกษตร หรือระบายนําสิงปฎิกลู หรือใช้ระบายนําในงานชัวคราวทีไม่ตอ้ งรับแรงดันนําหรือไม่ตอ้ งการความ
แข็งแรงของท่อมากนัก ราคาค่อนข้างถูก ท่อพีวซี สี เี ทาทีใช้งานด้านการเกษตรนี ยังไม่มกี ารกําหนดมาตรฐาน
ขึนอยูก่ บั ผูผ้ ลิต อย่างไรก็ตาม สําหรับท่อพีวซี สี เี ทาใช้สาํ หรับระบายนําในงานอุตสาหกรรม ทีจําเป็ นต้อง
คํานึงถึงความปลอดภัยด้านสิงแวดล้อม เช่น อาจมีสารเคมีหรือของมีพษิ ระบายออกมาด้วย ต้องใช้ทอ่
มาตรฐาน มอก. 999-2533 (ท่อพีวซี แี ข็งสําหรับใช้ในงานอุตสาหกรรม)
สําหรับงานส่งนําหากใช้เป็ นท่อประธาน (Main Line) ความเร็วการไหลไม่ควรเกิน . เมตร ต่อ
วินาที ในท่อสายซอยความเร็วไม่ควรเกิน . เมตร ต่อวินาที
ในการขนส่งและเก็บรักษาท่อพีวซี ี ต้องปฏิบตั ติ ามคําแนะนําของผูผ้ ลิต และต้องทําด้วยความ
ระมัดระวังเพือมิให้เกิดความเสียหายแก่ท่อ ห้ามลากท่อไปบนผิวดินหรือผิวถนนและต้องระวังมิให้ท่อกระทบ
กระแทกกับสิงมีคมต่างๆ โดยเฉพาะปลายท่อทีต่อด้วยข้อต่อแบบหัวสวมกันรัวด้วยแหวนยางจะต้องมีสงที ิ
ห่อหุม้ ปลายท่อ เพือป้ องกันความเสียหายเนืองจากการขุดดินหรือถูกทําให้เป็ นรอยโดยวิธกี ารต่างๆ ท่อ
จะต้องเก็บไว้ในร่มทีมีอากาศถ่ายเทดี หากจําเป็ นต้องเก็บรักษากลางแจ้ง ต้องมีสงห่ ิ อหุม้ ปกคลุมท่อที
เหมาะสมเพือมิให้ท่อถูกแสงแดดโดยตรงและมิให้ท่อสกปรกเปรอะเปื อน ความสูงของกองท่อต้องไม่สงู กว่าที
ผูผ้ ลิตแนะนําและต้องมีไม้หมอนหนุนท่อทีชันล่างสุด การหนุนด้วยไม้หมอนจะต้องจัดระยะระหว่างไม้หมอน
ให้เหมาะสมเพือป้ องกันการโค้งบิดงอของตัวท่อ

รูปที . ท่อพีวีซี
-4

ง) ท่อพีอี
สําหรับท่อพีอ ี (PE) นันย่อมาจากคําว่า โพลีเอทิลนี (Polyethylene) ส่วนท่อพีบี (PB) ย่อมาจากคํา
ว่า โพลีบวิ ทีลนี (Polybutylene) ท่อพีอแี ละท่อพีบ ี เป็ นท่อพลาสติกสีดาํ ทีมีความหนาแน่นสูง ผลิตขึนตาม
มาตรฐาน มอก.910-2532 (ท่อโพลิบวิ ทิลนี สําหรับใช้เป็ นท่อนําดืม) ทังท่อพีอแี ละท่อพีบี มีการผลิตได้สอง
รูปแบบคือ ชนิดอ่อนและชนิดแข็ง ชนิดอ่อนหมายถึง ท่อทีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ½ ถึง 4 นิว ทีสามารถ
ม้วนความยาวท่อได้ถงึ 200 เมตร ส่วนชนิดแข็งหมายถึง ท่อทีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 6 นิว ซึง
จะม้วนและขนส่งได้ลําบาก จึงนิยมตัดเป็ นท่อนๆ ความยาวท่อนละ 4 ถึง 6 เมตร
ท่อพีอแี ละท่อพีบมี คี ุณสมบัตพิ เิ ศษหลายอย่าง เช่น มีความยืดหยุน่ ตัวและโค้งไปมาได้สงู มาก ทน
แรงดันได้สงู ถึง 200 ปอนด์/ตารางนิว ทนทานต่อการฉีกขาด ทนทานต่อแรงกระแทกได้เป็ น 2 เท่าของ
ท่อพีวซี ี ทนทานต่อความร้อน/ความเย็น ใช้เป็ นฉนวนไฟฟ้ าได้ดี คงทนต่อสารเคมี มีผวิ เรียบมัน จึงมีแรง
เสียดทานในเส้นท่อน้อย ทนทานต่อแสงยูว ี (UV) อายุใช้งานยาวนานถึง 50 ปี มีนําหนักเบากว่าท่อพีวซี แี ละ
ท่อเหล็ก โดยมีนําหนักเพียง 2/3 ของท่อพีวซี ี และ 1/5 ของท่อเหล็ก สําหรับข้อด้อยของท่อพีอแี ละท่อพีบคี อื
ราคาค่อนข้างแพง การประกอบท่อจะต้องใช้อุปกรณ์หรือช่างทีชํานาญงานโดยเฉพาะ ทังนี การต่อท่อพีอแี ละ
ท่อพีบ ี สามารถทําได้ 3 แบบคือ แบบเชือมหลอมละลายด้วยความร้อน แบบใช้เครืองมือผายปากท่อให้กว้าง
และยึดด้วยข้อต่อเกลียว และแบบกัดเกลียวทีปลายท่อแล้วยึดด้วยข้อต่อเกลียว
ท่อพีอแี ละท่อพีบสี ามารถนําไปใช้งานต่างๆ ได้มากมาย เช่น ใช้กบั ท่อประปาทีมีแรงดันสูง หรือต้อง
สัมผัสแสงแดด หรือต้องรับแรงกดในกรณีทท่ี อต้องลอดใต้ถนน ใช้ในงานท่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ท่อแก๊ส
ท่อร้อยสายไฟฟ้ า ท่อใต้นํา ท่อนําร้อน ท่อลําเลียงสารเคมี โดยท่อพีอี เหมาะสําหรับการใช้งานทีแรงกดดันสูง
มาก หรือท่อทีมีขนาดใหญ่มาก เช่น ใช้ในงานชลประทาน ใช้งานอุตสาหกรรมต่างๆ ใช้ในงานท่อลอดใต้ดนิ
หรือลอดใต้แม่นํา ส่วนท่อพีบี เหมาะสําหรับการใช้งานทีแรงกดดันปานกลาง หรือท่อทีมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก
และนิยมใช้ในงานท่ออุตสาหกรรมทีต้องทนความร้อนสูงกว่าท่อพีอี เช่น ใช้เป็ นท่อนําร้อนสําหรับงานท่อ
ประปาทัวไป ใช้ในงานเกษตรกรรม และใช้ในงานอุตสาหกรรมทัวไป

รูปที . ท่อพีอี

จ) ท่อเอชดีพีอี ท่อ HDPE. เป็ นท่อพลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติก ผลิตตามมาตรฐาน มอก.


- เส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกมีขนาดอยูร่ ะหว่าง - , มม. ยาวท่อนละ . เมตร และ
. เมตร
-5

ท่อ HDPE. ตาม มอก. - แบ่งออกเป็ น ชันคุณภาพ ตามความดัน ได้แก่ PN3.2, PN4,
PN6, PN6.3, PN8, PN10, PN12.5, PN16, PN20 และ PN25 ความดันใช้งานทีอุณหภูม ิ องศา
เซลเซียส มีคุณสมบัตทิ นทานต่อการกัดกร่อนดีเป็ นพิเศษ ทนต่อสารเคมีได้ทุกชนิด แต่เป็ นเชือเพลิง
อุณหภูมใิ ช้งานไม่ควรเกิน องศาเซลเซียส ทนต่อแสง UV ได้จํากัด ไม่เป็ นสนิมและไม่จบั คราบหินปูน
ท่อ HDPE. เหมาะสําหรับใช้วางใต้ดนิ เหมาะกับแนวท่อทีมีการเปลียนแปลงระดับหรือทิศทางบ่อย
ๆ สามารถวางท่อในบริเวณทีลุม่ มีนําขังหรือวางใต้นําหรือบริเวณทีดินอ่อนได้ การซ่อมแซมท่อทําได้ไม่
สะดวกเพราะอุปกรณ์ท่อหายากต้องใช้เครืองมือและผูเ้ ชียวชาญเฉพาะ พบปั ญหาการรัวซึมไม่มากเว้นแต่
รอยเชือมไม่ด ี และหากการกลบฝังไม่ถูกวิธี ท่อลอยพ้นผิวดินอาจเกิดเพลิงไหม้ได้

รูปที 4.4 ท่อ HDPE

ฉ)ท่อเอซี (ท่อซีเมนต์ใยหิน ท่อ AC)


ท่อ A.C. เหมาะสําหรับใช้วางใต้ดนิ และบนดิน แต่ไม่เหมาะทีจะวางบนดินในบริเวณทีอาจถูก
กระแทกได้ง่าย เนืองจากท่อมีความเปราะและมีโอกาสตกท้องช้างเนืองจากนําหนักนําในท่อหากระยะห่างของ
ฐานรองรับท่อไม่เหมาะสม ไม่เหมาะกับแนวท่อทีมีการเปลียนแปลงระดับหรือทิศทางบ่อยๆ เพราะต้องใช้ขอ้
ต่อมากทําให้มโี อกาสเกิดการแตกร้าวมากขึน การซ่อมแซมไม่ตอ้ งใช้เครืองมือพิเศษ ไม่ตอ้ งใช้ผชู้ าํ นาญ
เฉพาะท่อ AC Type I ไม่ทนทานต่อซัลเฟต จึงไม่ควรใช้บริเวณชายทะเลหรือบริเวณทีมีดนิ ซัลเฟตผสมอยู่สงู
ควรใช้ท่อ Type V แทน ปั ญหาสําหรับท่อ AC คือ มีการแตกรัว แตกหัก และแตกระเบิดได้งา่ ยกว่าท่อชนิด
อืน ท่อ AC มีอายุการใช้งานประมาณ 30 ปี
ท่อเอซีทใช้
ี เป็ นท่อประธาน ความเร็วการไหลไม่ควรเกิน . ม./วินาที หากใช้เป็ นท่อสายซอย
ความเร็วการไหลไม่ควรเกิน . ม./วินาที ชันความดันทีมีการผลิตจําหน่ายท่อตาม มอก. - แบ่ง
ออกเป็ น ชันคุณภาพ ตามแรงดันทดสอบ ได้แก่ PP5, PP6, PP10, PP12, PP15, PP18, PP20,
PP24, PP25, PP30, PP35 และ PP36 โดยแรงดันใช้งานจะเท่ากับครึงหนึงของแรงดันทดสอบในแต่ละ
ชันคุณภาพ เป็ นท่อทีมีนําหนักเบากว่าท่อเหล็ก ไม่ควรใช้ในระบบท่อนําสําหรับอุปโภค บริโภค
-6

รูปที 4.5 ท่อซีเมนต์ใยหิ น

ช) ท่อคอนกรีตเสริ มเหล็ก ไม่นิยมใช้ในงานส่งนํามากนักเพราะปัญหาเรืองการแตกร้าว รัวซึม


บริเวณ ข้อต่อ ข้องอ ฐานรองท่อ โดยทัวไปจะรับแรงดันภายในได้ระหว่าง . - . กิโลกรัม ต่อ ตาราง
เซนติเมตร (ksc.)

รูปที 4.6 ท่อคอนกรีตเสริ มเหล็ก


-7

ซ) ท่อคอนกรีตอัดแรง ปั จจุบนั ไม่ค่อยนิยมใช้มากนัก เนืองจากมีนําหนักมาก ขันตอนการ


ดําเนินการวางท่อต้องพิถพี ถิ นั ตามหลักวิชาการมาก

รูปที 4.7 ท่อคอนกรีตอัดแรง

ฌ) ท่อเสริ มใยแก้ว,GRP (Glass fiber reinforce polyester pipe) ท่อ GRP. ตาม มอก. -
แบ่งออกเป็ น ชันคุณภาพ ตามความดัน ได้แก่
- ชันคุณภาพ PN 6 รับแรงดันใช้งาน กก./ตร.ซม.
- ชันคุณภาพ PN 10 รับแรงดันใช้งาน กก./ตร.ซม.
- ชันคุณภาพ PN 16 รับแรงดันใช้งาน กก./ตร.ซม.
ท่อ GRP. มีคณุ สมบัตทิ นทานต่อการกัดกร่อนได้ด ี ขยายตัวตามอุณหภูมไิ ด้น้อย เมืออุณหภูมสิ งู ขึน
ความสามารถในการรับแรงภายในท่อไม่เปลียนแปลง ผิวภายในท่อไม่เป็ นสนิม ท่อ GRP. เหมาะสําหรับใช้
วางใต้ดนิ และบนดิน แต่ไม่เหมาะทีจะวางบนดินในบริเวณทีอาจถูกกระแทกได้งา่ ย เนืองจากท่อมีความเปราะ
และมีโอกาสตกท้องช้างเนืองจากนําหนักนําในท่อหากระยะห่างของฐานรองรับท่อไม่เหมาะสม และเมือวาง
ท่อใต้ดนิ รับแรงกดมากเกินกําหนดท่อจะเสียรูปทรงทําให้เกิดเสียหาย รัว แตก การซ่อมแซมท่อต้องทําทังช่วง
ไม่สามารถซ่อมเป็ นจุด ๆ ได้ ไม่เหมาะกับแนวท่อทีมีการเปลียนแปลงระดับหรือทิศทางบ่อย ๆ มีโอกาสเกิด
การรัวไหลจากข้อต่อและแหวนยางกันซึม
-8

รูปที 4.8 ท่อ GRP

. การใช้งานท่อส่งนํารับแรงดันประเภทต่างๆ
. . เปรียบเทียบท่อส่งนํา
ตารางที . แสดงการเปรียบเทียบเพือให้เห็นว่าระหว่างท่อเหล็ก ท่อพีวซี ี ท่อเอซี ท่อเอชดีพอี แี ละ
ท่อ GRP มีความแตกต่างหรือเหมือนกันในแต่ดา้ นอย่างไร
-9

ตารางที . เปรียบเทียบลักษณะและสมบัติของท่อ

รายละเอียด ท่อเหล็ก ท่อพีวีซี ท่อเอซี ท่อเอชดีพีอี ท่อGRP


.ลักษณะทัวไป
. ชนิดท่อ Rigid pipe Rigid pipe Rigid pipe Rigid pipe Rigid pipe
. เหล็ก เรซิน ใยหิน ปูนซีเมนต์ เรซิน เรซิน ทราย
ส่วนประกอบ
หลักวัสดุทํา
ท่อ
. กรรมวิธ ี จากแผ่น ผลิตจาก ผลิตจากซีเมนต์เสริมด้วยใย หลอมแล้วดึงผ่านแบบ พันด้วยเส้นใย
การผลิต เหล็กเหนียว เทอร์โมโม หิน หรือพันบนแบบ
นํามาม้วน พลาสติก ม้วนบนแกนเหล็ก เหล็ก
ขึนรูปแล้ว (Thermoplas
เชือมรอยต่อ tic) หลอม
แล้วดึงผ่าน
แบบ
. แหล่ง ต่างประเทศ ทังในและ ทังในและต่างประเทศ ทังในและต่างประเทศ ทังในและ
ของวัตถุดบิ ต่างประเทศ ต่างประเทศ
. ขนาด - - - - -
ระบุทผลิ
ี ตใน
ประเทศ(มม.)
. ความ , ,6 4,5 6,12 หรือขดเป็ นม้วน 6,9,12และตาม
ยาวทีผลิตใน ต้องการ
ประเทศ(ม.)
. ชนิดของ -Flange -Rubber ring -Rubber ring joint -Flange ,nipple -Rubber ring
ข้อต่อ -Mechanical socket -Gibault joint -Butt welding joint
coupling -Solvent -Bell and
--Spigot cement spigot joint
and socket
end
. อุปกรณ์ อุปกรณ์ทอ่ อุปกรณ์ทอ่ อุปกรณ์ทอ่ เหล็กหล่อ อุปกรณ์ทอ่ พีอ ี อุปกรณ์ทอ่ ไฟ
ท่อ เหล็กเหนียว เหล็กหล่อ เบอร์กลาส
เหล็กหล่อ อุปกรณ์ทอ่
เหล็กหล่อ
. มอก. - มอก. - มอก. - มอก. - มอก. -
มาตรฐาน SFS,DIN
การผลิต ISO, ASTM,AWWA,
ASTM,JIS, DIN
AWWA
2. สมบัติ
. ความ . . . . .
หนาแน่ น
(กรัม /ลบ.
ซม.)
-10

. ความดัน - ,8.5,13.5 5,6,10,12,15,18,20,24,25,30 .,,,.,, , ., 6,10,16


ใช้งาน(กก./ ,35,36 , ,
ตร.ซม.)
2.3 ความดัน เท่าของ เท่าของ เท่าของความดันใช้งาน . เท่าของความดันใช้ เท่าของความ
ทดสอบ ความดันใช้ ความดันใช้ งาน ดันใช้งาน
(Factory test งาน งาน
pressure)
. ความ -ความ -ความทนแรง -ความดันแตก > MPa -ความต้านทานแรงดึง -ความต้านทาน
แข็งแรงของ ต้านทานแรง กระแทก>75 (ตามมอก. ) MPa แรงดึงตาม
ท่อ ดึง > 0 กก.(ตาม -ความต้านแรงอัดแตกตาม (ISO/DIS6259) แนวแกน(ตาราง
(Strength) MPa(ตาม มอก. ) ขวาง > 44MPa (ตามมอก. -ความยืด > 60% ที มอก. )
มอก. ) -ความเค้น ) (ISO/DIS6259) -ความต้านทาน
-ความเค้น ตามแนวเส้น -ความต้านแรงดัดโค้ง แรงดึงตามแนว
คราก > 165 รอบวง> ตามยาว> . MPa (ตาม เส้นรอบวง
MPa(ตาม . MPa( มอก. ) (ตารางที
มอก. ) ตามมอก. ) มอก. )
-ความ -ความ -ความต้านทาน
ยืด>23% ต้านทานแรง แรงกดตาม
(ตามมอก. ดึง - แนวแกน(ตาราง
) MPa(AST ที มอก. )
MD - -ความแข็งดึงที
T) ความผิดรูป %
-ความ (ตารางที
ต้านทานแรง มอก. )
กด -
MPa(AS
TM D790-
59T)
-ความยืด
-
%(ASTM
D747)
2.5การรับ สูงมาก ปานกลาง สูง ปานกลาง สูง
นําหนัก
บรรทุกหลัง
ท่อ
. การผิด สูงมาก ตํา สูง ต่า สูง
รูปของท่อ
(Stiffness)
. ความ สูง ตํา ปานกลาง ตํา ปานกลาง
แข็งแรงตาม (สามารถPipe
แนวยาว jacking)
(Longitudina
l
compressio
n)
-11

2.8 การปรับ - องศา - องศา - องศา ท่อยืดหยุน่ - องศา


มุมระหว่าง
ท่อแต่ละท่อน
(Allowable
joint
deflection)
. การ ตํา สูง ตํา สูง สูง
ต้านทานการ
กัดกร่อน
. ผิว เป็ นสนิม ไม่เป็ นสนิม ค่า water absorption 20% ไม่เป็ นสนิม ไม่จบั คราบ ไม่เป็ นสนิม ไม่
ภายในท่อ ไม่จบั คราบ หินปูน จับคราบหินปูน
หินปูน
2.11 ตํา สูง(ทนต่อ ตํา(ทนต่อสารเคมี มีขอ้ จํากัด) สูง(ทนต่อสารเคมีได้มา สูง
การต้านทาน สารเคมีได้มา กชนิด)
สารเคมี กชนิด)
. ไม่ควรเกิน ไม่ควรเกิน ไม่ควรเกิน องศา ไม่ควรเกิน องศา ไม่ควรเกิน
อุณหภูมกิ าร องศา องศา องศา
ใช้งาน
. การทน ทนได้ด ี ทนได้น้อย ทนได้ด ี ทนได้ในระดับหนึง ทนได้
ต่อแสง UV มาก
. การ ปานกลาง สูง ปานกลาง สูง ตํา
ขยายตัวตาม
อุณหภูมิ
. ความ สูงขึน ตําลง สูงขึน ตําลง ปานกลาง
ดันใช้งาน
เมืออุณหภูมิ
สูงขึน
. ค่า C(ท่อใหม่) = C(ท่อใหม่) = C(ท่อใหม่) = 110 C(ท่อใหม่) = 140-150 C(ท่อใหม่) =
สัมประสิทธิ 110 140 C(ท่อเก่า)= 100 C(ท่อเก่า)= 130 140-150
ความเสียด C(ท่อเก่า)= C(ท่อเก่า)= C(ท่อเก่า)=
ทาน(Hazen- 100 130 130
Williams)
2.17 น้อยกว่า
ประมาณอายุ
การใช้งาน
(ปี )
.ลักษณะการนําไปใช้งาน
. การใช้ เหมาะใช้ เหมาะกับ เหมาะใช้งานทังบนดินและใต้ เหมาะสําหรับงานใต้ดนิ เหมาะใช้งานทัง
งาน งานทังบน งานใต้ดนิ ดิน บนดินและใต้ดนิ
ดินและใต้ดนิ หรือบริเวณที
ไม่ถูกแสง
แสงแดด
. สภาพ รอยเชือม ท่อหรือข้อต่อ ท่อหรือข้อต่ออาจแตกร้าว ไม่มผี ลกระทบ ท่อหรือข้อต่อ
ดินมีการทรุด ของท่ออาจมี อาจแตกร้าว อาจแตกร้าว
ตัว การรัวหรือ
ร้าว
-12

. แนวท่อ ไม่สามารถ ไม่สามารถ ไม่สามารถโค้งงอได้ต้องใช้ขอ้ สามารถโค้งงอได้ ไม่สามารถโค้ง


เปลียนระดับ โค้งงอได้ โค้งงอได้ต้อง ต่อมาก งอได้ต้องใช้ขอ้
หรือทิศทาง ต้องเชือมต่อ ใช้ขอ้ ต่อมาก ต่อมาก
บ่อย มาก
. การ ไม่สะดวก สะดวกเพราะ สะดวกแต่ตอ้ งระวังชํารุด สะดวกและไม่ชํารุด สะดวกแต่ตอ้ ง
ขนส่งและ เพราะ นําหนักเบา ระวังชํารุด
เคลือนย้าย นําหนักมาก
. ค่าใช้จ่าย แพงเพราะ ถูกเพราะ แพงเพราะนํ าหนักมาก ถูกเพราะนําหนักเบา ถูกเพราะ
ในการขนส่ง นําหนักมาก นําหนักเบา นําหนักเบา

. การกอง กองเก็บ ต้องเก็บในที กองเก็บกลางแจ้งได้ ต้องเก็บในทีร่ม กองเก็บ


เก็บ กลางแจ้งได้ ร่ม กลางแจ้งได้
. การวาง วางยาก วางได้งา่ ย วางได้งา่ ย วางง่ายแต่ตอ้ งชํานาญ วางได้ง่าย
ท่อใต้ดนิ ต้องชํานาญ และเครืองมือพิเศษ
และ
เครืองมือ
พิเศษ
. เทคนิค -เชือมต่อชน -ต่อปลาย -ต่อโดยแหวนยางกันซึม -เชือมต่อแบบ butt -ต่อปลายปาก
การต่อท่อ -ต่อโดยหน้า ปากระฆังกับ หรือข้อต่อเหล็ก Gibault welding ระฆังกับปลาย
จาน ปลายเรียบ -สะดวกสามารถสอดท่อได้ -ต่อโดยหน้าจาน เรียบ
-ต่อโดย -โดยใช้แหวน เลย -ต่อด้วย stub end -หรือใช้ขอ้ ต่อ
mechanical ยางกันซึม -ไม่ต้องใช้เครืองมือพิเศษ -สะดวกแต่ตอ้ งใช้ความ กับแหวนยาง
coupling -สะดวก -ต่อท่อในร่องดิน ชํานาญและ -สะดวกสามารถ
-ไม่สะดวก สามารถสอด เครืองมือเชือม สอดท่อได้เลย
ต้องใช้ความ ท่อได้เลย -เชือมต่อท่อบนดินแล้ว -ไม่ตอ้ งใช้
ชํานาญ -ไม่ตอ้ งใช้ วางในร่อง เครืองมือพิเศษ
-ใช้เครืองมือ เครืองมือ -ต่อท่อในร่อง
พิเศษ พิเศษ ดิน
-เชือมต่อท่อ -ต่อท่อในร่อง
ในร่องดิน ดิน
. การตัด ทําได้ยาก ทําได้งา่ ย ทําได้งา่ ย ทําได้ยาก ใช้ผชู้ าํ นาญ ทําได้งา่ ย
ต่อหรือการ ใช้ผชู้ าํ นาญ และเครืองเชือม
ต่อท่อแยก และเครือง
เชือม
. การ ทําได้ยาก ทําได้งา่ ย ทําได้งา่ ย ทําได้ยากต้องใช้ผู้ ทําได้งา่ ย
ซ่อมแซมท่อ ต้องใช้ผู้ ชํานาญและเครืองมือ
ชํานาญ พิเศษ

. . ชนิ ดของท่อแบ่งตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อตุ สาหกรรม (มอก.)


เนืองจากท่อหลายชนิดทีผลิตในประเทศไทย ต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อตุ สาหกรรมหรือ
มอก.อย่างไรก็ตามแต่ละชนิดท่อผลิตขึนและได้รบั การรับรองมาตรฐานมอก.ต่างกันและมีชนคุ
ั ณภาพท่อที
แตกต่างกัน ดังนันจึงขอสรุปชนิดท่อทีได้รบั รองมาตรฐานและมีชนคุ
ั ณภาพท่อ ตามตารางที .
-13

ตารางที . การได้รบั รองมาตรฐานของแต่ละชนิ ดท่อและชันคุณภาพ

ชนิดท่อ มาตรฐานและชันคุณภาพ
ท่อเหล็ก มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
ท่อ พีวซี ี มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
ท่อซีเมนต์ใยหิน (AC) มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
ท่อ HDPE มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
ท่อ GRP มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ

. . ขนาดท่อและชนิ ดของท่อทีมีจาํ หน่ ายในประเทศไทย


ตารางที . ได้แสดงสรุปให้ทราบว่าขนาดท่อกับชนิดท่อใดบ้างทีมีจาํ หน่ ายตามท้องตลาดในปัจจุบนั

ขนาด ท่อเหล็ก ท่อพีวซี ี ท่อ AC ท่อ HDPE ท่อ GRP


เส้นผ่าศูนย์กลาง
ภายใน (มม.)
100-250     
300-550     
600-1000     

. . การเลือกใช้ท่อตามลักษณะการก่อสร้างในแต่ละพื นที
ตารางที . แสดงถึงการเลือกใช้ชนิ ดท่อให้เหมาะสมกับสภาพพืนทีทีจะทําการก่อสร้างงานวางท่อ

สภาพพืนที ความเหมาะสม
ท่อเหล็ก ท่อพีวซี ี ท่อ AC ท่อ HDPE ท่อ GRP
วางท่ อ ใต้ ดิ น พื นที ตามไหล่ ท าง ปริ ม าณ
    
การจราจรไม่หนาแน่น
วางท่ อ ใต้ ด ิน พื นที ตามไหล่ ท างรับ ปริม าณ
    
การจราจรหนาแน่น ดินกัดกร่อน
วางท่ อ ใต้ด ิน พืนทีเป็ น ลูก เนิ น สูงตําติดต่ อ กัน
หรือแนวท่อคดโค้งมาก หรือวางในดินอ่อน พืนที
ชุ่มนํา (Swamp) หรือจําเป็ นต้องวางใต้นําหรือวาง     
ในเขตเทศบาล หรือสุขาภิบาล ชุมชนหนาแน่ น
ซึงการซ่อมท่อทําได้ลําบาก ดินกัดกร่อน
วางท่อบนดิน/ หิน มีฐานรองรับพืนดินทรุดตัวไม่
เท่ากันหรือ พืนทีโล่งแจ้งห่างไกลชุมชนหรือวาง     
ข้ามทางนํา
วางท่ อ บนดิน / หิน มีฐ านรองรับ พืนทีป่ าเขา
หรื อ วางท่ อ บนดิ น / ใต้ ด ิน ที ต้ อ งการความ     
แข็งแรงสูงหรือวางท่อใต้ผวิ จราจร
-14

วางท่อข้ามทางนํา มีฐานรองรับ     
วางท่อใต้ผวิ จราจร     
วางท่อบนดิน / หิน ในพืนทีโล่งแจ้ง ห่างไกล
    
ชุมชน
วางท่อบนดิน / หินในพืนทีป่ าเขา ห่างไกลชุมชน     
วางท่อใต้ดนิ ตามไหล่ทาง จราจรหนาแน่น     

. หลักการวางแนวท่อส่งนํา (Pipe layout)

ในการออกแบบระบบสูบนํานัน ก่อนทีจะถึงการออกแบบเครืองสูบ จะต้องออกแบบระบบท่อมาก่อน


และเมือจะทําการออกแบบขนาดท่อพร้อมอุปกรณ์ ก็จะต้องผ่านขันตอนการวางแนวท่อมาก่อนเช่นเดียวกัน
หลักในการวางแนวท่อส่งนําเพือให้สง่ นําไปยังตําแหน่งหรือบริเวณทีต้องการนัน มีหลักทีใช้ในการพิจารณา
ประกอบการปฏิบตั งิ านวางแนวท่อส่งนํา ดังนี คือ
1. ควรจะวางให้แนวท่อจากเครืองสูบนําไปยังจุดทีต้องการใช้นํา มีลกั ษณะเป็ นแนวตรง สันและอยู่
ในระดับหรือมีความลาดสมําเสมอมากทีสุดเท่าทีจะทําได้ แต่ระบบท่อดังกล่าวยังคงสามารถส่งนําได้
ครอบคลุมพืนทีมากทีสุดตามต้องการ
2. จะต้องคํานึงถึงความสะดวกสบายในการติดตังและการบํารุงรักษาในอนาคตไว้ดว้ ย เช่นในกรณีท ี
เป็ นท่อใต้ดนิ แนวท่อจะต้องไม่ปิดทับด้วยแผ่นคอนกรีตหนาซึงการซ่อมจะทําได้กต็ ่อเมือต้องมีการทุบแผ่น
คอนกรีตแล้วเท่านัน ทําให้การทํางานมีความยุง่ ยากลําบากและมีคา่ ใช้จ่ายทีสูงขึนตาม
3. ในกรณีทมีี การวางแนวท่อตัดผ่านถนน ควรจะออกแบบให้มที อ่ หรือปลอกทีแข็งแรง ฝั งลอดถนน
แล้วให้ท่อส่งซึงมีขนาดเล็กกว่าเดินในท่อดังกล่าวอีกทีหนึง
4. อุปกรณ์ของระบบท่อควรมีเท่าทีจําเป็ นเพราะส่วนใหญ่มรี าคาแพงและเมือมีการไหลผ่านอุปกรณ์
เหล่านีจะเกิดการสูญเสียเฮดมาก การเปลียนทิศทางแนวท่อควรใช้อุปกรณ์ทมีี รศั มีความโค้งทียาวขึนเพือให้
การสูญเสียพลังงานทีอุปกรณ์เหล่านีน้อยทีสุด
5. ในกรณีทแนวท่
ี อมีการเปลียนแปลงระดับลักษณะขึนๆลงๆ ช่วงท่อส่วนทีโค้งขึนอาจจะมีโพรง
อากาศอยูม่ ากจนทําให้นําไหลไม่เต็มท่อ ดังนัน ควรจะพิจารณาติดตังวาล์วระบายอากาศไว้ในตําแหน่ง
ดังกล่าวด้วย
6. กรณีการวางท่อแบบใต้ดนิ ท่อควรจะวางบนดินในร่องขุดทีมีการกระทุง้ แน่นหรือบนฐานรากที
เหมาะสมเพือป้ องกันมิให้เกิดความเค้นในเส้นท่อหรือทีหน้าจานของเครืองสูบนํา เนืองจากการทรุดตัวไม่
เท่ากัน
7. ในกรณีทเป็ ี นท่อซีเมนต์ใยหิน (Asbestos cement pipe) ท่อทีต่อเข้าด้วยกันนันมิได้ยดึ ติดกัน
แน่ นเป็ นท่อนเดียวกันเหมือนกับท่อเหล็ก ดังนันแรงดันทีเกิดขึนจากการเปลียนแปลงโมเมนตัมภายในท่อ
อาจจะทําให้รอยต่อเหล่านีหลุดออกจากกันได้ ดังนัน เมือมีการเปลียนแปลงทิศทางการไหลก็จาํ เป็ นต้องมี
แท่นคอนกรีตยึดทุกแห่ง ลักษณะของแท่นคอนกรีตยึดอุปกรณ์ชนิดต่างๆ อาจดูได้จากแบบมาตรฐานของการ
ประปาส่วนภูมภิ าคซึงให้ไว้ภาคผนวก
8. ในกรณีทท่ี อส่งมีความยาวมาก ผูอ้ อกแบบจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาหาทางป้ องกันวอเตอร์
แฮมเมอร์ (Water hammer) ด้วย
4-16

. การออกแบบขนาดท่อส่งนํา (Design of pipe size)


การออกแบบระบบท่อส่งนํานัน โดยทัวไปวิศวกรผูอ้ อกแบบมักจะพิจารณาวางแผนขันตอนต่าง ๆ ในการ
คํานวณออกแบบ หลังจากได้พจิ ารณาวางแนวระบบท่อส่งนําไว้เรียบร้อยแล้ว ดังต่อไปนี
1. คํานวณปริมาณนําทีจะส่งให้ทงหมด
ั พร้อมประมาณนําต้นทุนเฉลีย
2. คํานวณขนาดท่อทีจะใช้ในแต่ละสายทังระบบ
3. คํานวณการสูญเสียพลังงานในเส้นท่อของระบบทังหมด
4. คํานวณ Hydraulic Grade Line ตามแนวท่อทังระบบ
5. คํานวณ และออกแบบอาคารประกอบในระบบท่อทีจําเป็ นในสายท่อนัน ๆเช่น Thrust block ตอม่อและ
คานรับท่อ (กรณีไม่สามารถฝั งท่อลงดินได้) บ่อดักตะกอน ข้อต่อคอนกรีตรับแรงดัน ฯลฯ
6. คํานวณหาค่า Water hammer หรือความดัน Surge ในเส้นท่อแต่ละช่วงท่อเพือนําไปพิจารณาชันคุณภาพ
ของท่อรับแรงดันทีเหมาะสม
7. กําหนดชันคุณภาพของท่อทีใช้ในระบบส่งนํารับแรงดันทุก ๆ สาย
8. คํานวณขนาดของเครืองสูบนําพอสังเขป กรณีตอ้ งใช้อาคารควบคุมระดับนําหรือจําเป็ นต้องสูบนําเข้าระบบ
ท่อส่งโดยตรง
9. เขียนแบบระบบท่อส่งนํา พร้อมตรวจสอบอาคารประกอบในระบบท่อทังระบบว่าได้วางถูกต้องตามหลัก
วิชาการหรือไม่ เช่น ประตูนํา ประตูระบายอากาศ (Air valve) บ่อดักตะกอน พร้อมจุดทีตังเเนวเส้นท่อทุก ๆ สายว่าตํา
กว่าเส้น Hydraulic grade line หรือไม่
10. ตรวจสอบความถูกต้องของแบบก่อนทีจะนําไปใช้กอ่ สร้าง
4.4.1 การคํานวณปริ มาณนําทีจะส่ง
ปริมาณความต้องการนําทังหมดทีต้องส่งเข้าระบบท่อหากเป็ นงานส่งนําเพือการชลประทานจะประกอบด้วย
ปริมาณนําทีต้องส่งไปเพือการเพาะปลูกพืช และหากรวมถึงนําเพือการอุปโภคบริโภคของคนและสัตว์เลียงทังหมดแล้ว
ก็จะได้ปริมาณนําเพือใช้ในการออกแบบทังระบบ ในขณะเดียวกันจําเป็ นทีจะต้องประมาณปริมาณนําต้นทุนด้วยว่า
เพียงพอหรือไม่ เพราะหากปริมาณนําต้นทุนมีจาํ นวนจํากัด ก็จะสามารถส่งนําได้เท่ากับหรือน้อยกว่าปริมาณนําต้นทุน
เท่านัน ฉะนัน ผูอ้ อกแบบและคํานวณทุกคนจึงต้องพิจารณาเป็ นพิเศษไว้ดว้ ย เพือจะระบุบอกไปในแบบก่อสร้างได้วา่
สามารถส่งนําให้ได้มากน้อยแค่ไหน สําหรับข้อมูลพืนฐานทีใช้ในการหาปริมาณความต้องการใช้นํามีดงั นี:-
1) นําเพือการอุปโภค - บริ โภค
ในการคํานวณปริมาณนําทีต้องการส่งไปให้เพือใช้สาํ หรับการอุปโภค บริโภค จะอาศัยข้อมูลอัตราความ
ต้องการใช้นําของคน และสัตว์มาเป็ นข้อมูลพืนฐานในการคํานวณ ดังนันหากต้องการออกแบบขนาดอัตราการส่งนํา
ผ่านท่อจริง ก็จะต้องหาข้อมูลจํานวนคนและสัตว์ในบริเวณพืนทีเป้ าหมายมาใช้คาํ นวณร่วมกับอัตราการใช้นํา ดังตาราง
ที .
4-17

ตารางที . อัตราการใช้นําของคนและสัตว์

ผูใ้ ช้นํา หน่วย อัตราการใช้นํา


คน (ชนบทและท้องถินทีต้องการประหยัดนํา ) ลิตร/วัน-คน -
คน (ท้องถินทีมีนําอุดมสมบูรณ์) ลิตร/วัน-คน -
วัว ควาย ลิตร/วัน-ตัว
หมู ลิตร/วัน-ตัว
ไก่ ลิตร/วัน ต่อ ตัว

การคํานวณปริ มาณความต้องการนําระบบประปา
.ความต้องการนําเฉลียรายวัน (Average daily demand) ใช้คา่ - ลิตร ต่อคน ต่อ วัน ใช้คา่ นี
สําหรับเป็ นเกณฑ์ในการตรวจสอบความพอเพียงของแหล่งนําดิบทีจะจัดหามาใช้
.ความต้องการนําในวันใช้นําสูงสุด (Maximum dairy demand) ค่านีใช้สาํ หรับคํานวณ ออกแบบระบบ
นําดิบ (ระบบสูบนําดิบ ระบบสํารองนําดิบ) และระบบผลิตนําประปา (ระบบสร้างตะกอน ระบบตกตะกอนและระบบ
กรองนํา) คิดปริมาณความต้องการ เท่ากับ . - . เท่าของความต้องการนําเฉลียรายวัน
.ความต้องการนําในชัวโมงใช้นําสูงสุด (Maximum hourly demand) ใช้สาํ หรับคํานวณออกแบบระบบ
จ่ายนําประปา (ขนาดหอถังสูง ขนาดถังเก็บนําใส ขนาดท่อจ่ายนําไปยังบ้านเรือน ฯลฯ) คิดปริมาณเท่ากับ . - .
เท่าของความต้องการนําในวันใช้นําสูงสุด
.ความต้องการนําเพือการดับเพลิง (Fire fighting demand) สําหรับใช้คาํ นวณออกแบบระบบท่อจ่าย
นําประปา เป็ นไปตามตารางที . และ . ดังนี

ตารางที . ปริมาณนําดับเพลิงทีต้องนําไปรวมกับปริมาณความต้องการใช้นําในวันใช้นําสูงสุด
จํานวนประชากร ปริมาณนําเพือการดับเพลิง
(คน) ลูกบาศก์เมตร ต่อ นาที ลูกบาศก์เมตร ต่อ ชัวโมง
< 10,000 >2 >120
20,000 4 240
30,000 5 300
40,000 6 360
50,000 7 420
4-18

ตารางที . ปริมาณนําเพือการดับเพลิงทีต้องสํารองไว้ในถังนําใส หรือถังสูง


จํานวนประชากร (คน) ปริมาณนําสํารอง (ลบ.ม.)
< 10,000
20,000
30,000
40,000

.ปริมาณนําทีสูญเสีย (Leak) กําหนดไว้เท่ากับ - % ของค่าความต้องการนําเฉลีย

) ปริ มาณความต้องการนําเพือการเพาะปลูก
ในการคํานวณปริมาณความต้องการเพือการเพาะปลูก จะอาศัยค่าชลภาระ (Water duty) และขนาดพืนที
เพาะปลูกมาเป็ นข้อมูลสําหรับคํานวณ ตามสูตร

อัตราการส่งนํา = ค่าชลภาระ x ขนาดพืนทีเพาะปลูก (-)

4.4.2 การคํานวณขนาดท่อ
เมือได้วางแนวท่อแต่ละสายไปตามความเหมาะสมของภูมปิ ระเทศแล้ว ผูอ้ อกแบบก็สามารถคํานวณหา
ปริมาณนําในแต่ละช่วงของท่อสายแยกซอย สายซอย ตลอดจนสายท่อประธานซึงครอบคลุมพืนทีโครงการได้ใน
ลักษณะรวมพืนทีขึนมา ดังนัน ท่อจึงมีขนาดใหญ่ลดหลันกันเป็ นลําดับ จากท่อประธาน ท่อสายซอย และท่อสายแยก
ซอย สําหรับวิธกี ารคํานวณขนาดท่อ จะพิจารณาจากปริมาณนําทีจะต้องไหลผ่านท่อนัน ๆ พร้อมกับกําหนดค่า
ความเร็วจํากัดของท่อแต่ละชนิดในแต่ละสาย เช่น สายประธาน สําหรับท่อ PVC ความเร็วไม่ควรเกิน 0.60 ม./วินาที
เป็ นต้น การคํานวณขนาดท่อหน้าตัดวงกลม จะใช้สมการต่อเนือง (Continuity equation) คือ

Q  AV (-)

เมือออกแบบเป็ นท่อกลม

d 2 V
Q (-)
4

4Q
หรือ d (-)
V

เมือ Q = อัตราการไหลในเส้นท่อ (ลบ.ม. ต่อ วินาที)


d = เส้นผ่าศูนย์กลางภายในของท่อ (ม.)
4-19

V = ความเร็วเฉลียของการไหลภายในเส้นท่อ (ม. ต่อ วินาที)

สําหรับขันตอนนี ให้เลือกกําหนดความเร็วการไหลทีเหมาะสมตามรูปที . หรือหากกรณีเป็ นท่อพีวซี ี อาจ


เลือกใช้คา่ ความเร็วทีเหมาะสม ตามตารางที . จากนันไปแทนค่าในสมการที ( - ) แล้วแก้สมการหาค่า d
เมือได้ขนาดท่อ d จากสมการที ( - ) แล้ว ให้ปรับค่าตัวเลขให้เป็ นเลขลงตัวและเป็ นขนาดทีมีจาํ หน่ ายตามท้องตลาด
4Q
จากนันนําไปตรวจสอบค่าความเร็วการไหลทีจะเกิดขึนจริงเมือใช้ขนาดท่อทีปรับค่า โดยการแทนค่าในสูตร V 
d 2
หากพบว่า ความเร็วทีเกิดขึนจริง มีคา่ ไม่เกินจากค่าความเร็วทีกําหนดไว้ ถือว่าขนาดท่อทีออกแบบไว้ใช้ได้

รูปที . ความเร็วของการไหลภายในท่อทีแนะนํ าให้ใช้

ตารางที . ความเร็วของการไหลทียอมให้ กรณีเป็ นท่อพีวซี ี

ขนาดท่อ(มม.) ความเร็วการไหลออกแบบ(ม./วินาที) ความเร็วสูงสุดทียอมให้(ม./วินาที)


ตํากว่า . -. .
- 0.50 – . .
- 0.70 – . .
- 0.90 – . .
4-20

4.4.3 การคํานวณการสูญเสียพลังงานในเส้นท่อ
การสูญเสียพลังงานในท่อเนืองจากความต้านทานต่าง ๆ จะแบ่งออกเป็ นสองประเภทด้วยกัน คือ
1. การสูญเสียเฮดหลัก (Major loss) โดยปกติการสูญเสียหลักจะเกิดขึนจากความเสียดทานของผิวท่อ ขนาด
ของท่อ ความเร็วในการไหล และความยาวท่อ ถ้าผิวท่อขรุขระ ความยาวท่อ และความเร็วในการไหลสูง การสูญเสีย
พลังงานจะสูงตามไปด้วย แต่การสูญเสียพลังงานจะลดลงถ้าท่อมีขนาดโตขึน
2. การสูญเสียเฮดรอง (Minor loss) หมายถึงการสูญเสียพลังงานเนืองจากการไหลในท่อเมือของไหลผ่าน
ทางเข้า ข้อต่อชนิดต่าง ๆ ข้องอ ประตูนํา ฯลฯ ปกติถา้ ท่อมีความยาวมากเช่น ในระบบท่อประปา การชลประทาน
ระบบท่อ ค่าการสูญเสียรองนีจะมีค่าของการสูญเสียน้อยเมือเปรียบเทียบกับการสูญเสียหลัก แต่ถา้ ท่อทีมีความยาวไม่
มากนัก มีขอ้ ต่อ ข้องอ หลายแห่งตามสภาพภูมปิ ระเทศแล้ว ค่าการสูญเสียรองก็จะมีคา่ มากเช่นกัน
4.3.1 การหาค่าการสูญเสียเฮดหลัก (Major loss) การสูญเสียหลักในท่อกลม ท่อกลมเป็ นท่อทีใช้ในงาน
วิศวกรรมเป็ นส่วนใหญ่คา่ การสูญเสียหลักในท่อชนิดดังกล่าวสามารถหาได้จากหลายด้วยกัน สูตรหนึงทีนิยมและเป็ น
สูตรทีให้คา่ การคํานวณทีถูกต้องและใช้ได้ครอบคลุมทังการไหลแบบราบเรียบและปั นป่ วนคือสูตร Darcy-Weisbach

L V2
hf  f ………………………………( - )
D 2g

เมือ hf = การสูญเสียเฮดหลัก (ม.)


f = แฟคเตอร์ของความเสียดทาน จาก Moody Diagram หาจาก Moody diagram รูปที .
(ของบทที )
L = ความยาวท่อ (ม.)
D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายในของท่อ (ม.)
V = ความเร็วในการไหล (ม./วินาที)
4.3.2 การหาค่าการสูญเสียเฮดรอง (Minor loss) ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การสูญเสียรองเกิดขึนเนืองจากการ
ไหลของนําผ่านทางเข้า ข้อต่อ ข้องอ ประตูนํา (Valve) และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบท่อ ค่าการสูญเสียเฮดรองหาได้จาก
สูตร

V2
hm  k ………………………………..( - )
2g

เมือ hm = การสูญเสียเฮดรอง
K = สัมประสิทธิของการสูญเสียเฮดรอง ใช้จากตารางที ของบทที
V = ความเร็วในการไหล (ม./วินาที)
g = อัตราเร่งเนืองจากแรงดึงดูดของโลก (ม./วินาที 2 )
4-21

4.4.4 การคํานวณเส้นลาดชลศาสตร์ (Hydraulic grade line)


Hydraulic grade line หรือ เส้นลาดชลศาสตร์ คือ เส้นทีลากต่อเชือมจุดต่างๆ (Locus) ของค่าเฮดสถิตซึง
ได้แก่ เฮดความดัน รวมกับ ค่าเฮดระดับ หรือค่า P/ + Z ไปตามแนวท่อ ดังแสดงในรูปที .

รูปที . เส้นลาดชลศาสตร์และเส้นลาดพลังงานของการไหลในท่อและทางนํ าเปิ ด

การคํานวณเพือสร้างเส้นลาดชลศาสตร์ (HGL) นันจะใช้สมการเบอร์นูล ี มาช่วยในการคํานวณ กล่าวคือ


ค่าพลังงานทังหมดของการไหลทีจุด A ใดๆบนเส้นท่อมีคา่ เท่ากับ H โดยที

2
PA VA
HA    Z A …………………………………..( . )
 2g

และ ณ จุด A เดียวกันบนเส้นท่อจะมีคา่ เฮดสถิตย์ เท่ากับ

2
PA VA
 ZA  HA  ……………………………….( - )
 2g

เมือทําการหาค่าเฮดสถิตย์ไปเรือยๆตามแนวท่อแล้วลากเส้นต่อเชือม จะได้เป็ นเส้นลาดชลศาสตร์ ขึนมา


อย่างไรก็ตามการลากเส้นลาดชลศาสตร์ในแนวเส้นท่อ สามารถสรุปเป็ นขันตอนตังแต่ตน้ ท่อไปยังปลายท่อ
กรณีทอ่ เส้นเดียว ได้ดงั นี
.คํานวณค่าเฮดรวม ( H พลังงานรวม) ทีบริเวณจุดต้นท่อ หรืออาจเป็ นจุดทีทราบค่าอยูแ่ ล้วกรณีเป็ นเครือง
สูบหรือถังความดัน
4-22

.คํานวณค่าการสูญเสียเฮดทีจุดดังกล่าวซึงอาจเป็ นการสูญเสียเฮดรองเนืองจากการไหลเข้าปากท่อ
(Entrance Loss) นําค่าทีได้ไปลบออกจากเฮดรวมในข้อที จะได้เป็ นเฮดรวมทีบริเวณปากทางเข้าท่อ
.คํานวณค่าเฮดความเร็วทีจุดดังกล่าวด้วยสูตร V2/2g นําไปลบออกจากค่าเฮดรวมในข้อที จะได้คา่ เฮด
สถิตย์ทจุี ดดังกล่าวนี
.เช่นเดียวกันเมือจะหาค่าเฮดสถิตย์ทจุี ดถัดไปทางด้านท้ายนํา ให้นําค่าเฮดรวมทีจุดก่อนหน้านี ลบออกด้วย
ค่าการสูญเสียเฮดทังหมดทีเกิดขึน(ค่าการสูญเสียเฮดหลักรวมกับค่าการสูญเสียเฮดรอง)จากจุดก่อนหน้านีจนมาถึงจุด
ปั จจุบนั แล้วลบออกด้วยค่าเฮดความเร็วทีจุดปั จจุบนั อีกทีหนึง จะได้คา่ เป็ นเฮดสถิตย์ทจุี ดปั จจุบนั หรือเขียนเป็ น
สมการ

2
PB VB
 Z B  H A  hlA B  hmA B  ..............................( - )
 2g
เมือ นําไหลจากจุด A ไปยังจุด B
HA = เฮดรวมทีจุด A
hlA-B = ค่าการสูญเสียเฮดรองจากจุด A ไปยังจุด B
hmA-B = ค่าการสูญเสียเฮดหลักจากจุด A ไปยังจุด B

ลักษณะของความดันในท่อมีความสัมพันธ์กบั เส้นลาดชลศาสตร์และแนวท่อดังนีคือ
-หากแนวท่ออยูต่ ากว่
ํ าเส้นลาดชลศาสตร์ ค่าความดันภายในท่อบริเวณนันจะมีคา่ เป็ นบวก หรือความดันสูง
กว่าค่าความดันบรรยากาศ
-หากแนวท่ออยูส่ งู กว่าเส้นลาดชลศาสตร์ ค่าความดันภายในท่อบริเวณนันจะมีค่าเป็ นลบ หรือความดันตํา
กว่าค่าความดันบรรยากาศ

รูปที . เส้นลาดพลังงานและเส้นลาดชลศาสตร์ของระบบท่อเดียว
4-23

รูปที . เส้นลาดพลังงานและเส้นลาดชลศาสตร์ จากท่อออกจากอ่างเก็บนํากรณี ท่อมีขนาด


แตกต่างกัน ไม่คิดค่าการสูญเสียพลังงาน

รูปที . เส้นลาดพลังงานและเส้นลาดชลศาสตร์ จากท่อออกจากอ่างเก็บนํากรณี ท่อมีขนาดเท่ากัน


และคิ ดค่าการสูญเสียพลังงาน
4-24

รูปที . ตัวอย่างเส้นลาดชลศาสตร์ ในระบบท่อกรณี นําไหลและไม่ไหล

การคํานวณเส้นลาดชลศาสตร์ Hydraulic grade line นัน ควรจะเพิมค่าการสูญเสียพลังงานรวมของท่อทัง


ระบบอีก ประมาณ 5 – 10 % ของค่าการสูญเสียทังหมด เพือให้แน่ ใจว่านํามีแรงดันพออย่างทัวถึงถ้าหากกําหนดให้
กม. 0+000 ของระบบท่อส่งนํา เป็ นจุดหลักในการคํานวณ ก็จะถือว่าทีจุดนี ค่าการสูญเสียเริมต้นเท่ากับศูนย์สาํ หรับ
ระบบท่อ ฉะนัน หากแนวศูนย์กลางท่อทีตําแหน่งนีอยูต่ ากว่ ํ าระดับนําหน้าอ่างเท่าไหร่ จะถือว่าค่า Pressure head ของ
เส้นท่อทีจุดนันมีค่าเท่ากับระยะระหว่างศูนย์กลางท่อถึงระดับนําใช้การเฉลีย เช่น ถ้าศูนย์กลางท่อที กม. 0+000 อยู่ตาํ
กว่าระดับนําใช้การเฉลียเท่ากับ 4 ม. ค่า Pressure head เฉลียจะเท่ากับ 4 ม. ด้วยสําหรับ head ทีจุดปลายสุดของ
ระบบท่อส่งนํา จะขึนอยูก่ บั ค่าระดับทีจุดนันอยูต่ ากว่
ํ าระดับเหนืออ่างเท่าไหร่ แล้วหักค่าการสูญเสียในท่อทังระบบของ
โครงการ หรือหมายถึงระดับทีแนวศูนย์กลางท่อทีจุดนันอยูต่ ากว่ํ า Hydraulic grade line เท่าไหร่ ซึงค่าทีได้ไม่ควร
น้อยกว่า Velocity head ของปริมาณนําทีต้องการ ในทํานองเดียวกัน แนวศูนย์กลางท่อทีตําแหน่งใด ๆ จะต้องอยูต่ ํา
กว่า เส้น Hydraulic grade line ทีตําแหน่งนันเสมอ โดยมักจะวางให้ตากว่ํ าประมาณ 3.50 ม. เพือให้มแี รงดันมากพอที
นําจะไหลผ่านไปได้
ตัวอย่าง ส่งนําผ่านระบบท่อเดียวจากแหล่งนํา A ไปยังแหล่งนํา B ตามรูป จงเขียนเส้น HGL ของแนวท่อนี
4-25

วิธที าํ Plot เส้น EGL.


. เฮดรวมต้นท่อเริมทีผิวนําของถัง A ทีจุด A EGL.A = . ม.
. เฮดรวมทีปากทางเข้าท่อ = EGL. B เท่ากับเฮดผิวนํา ลบ ด้วยการสูญเสียปากทางเข้า
Q 0.35  4
V    4.82 เมตร ต่อ วินาที
A  (0.304) 2
0.50  4.82 2
ค่า entrance loss he   0.59 ม.
2  9.81
EGL. B = 10.00 – 0.59 = 9.41 ม.
ดังนันค่าเฮดสถิตย์ทจุี ด A - เฮดความเร็วในท่อทีจุด A
4.82  4.82
= 9.41   8.23 ม.
2  9.81
. เฮดรวมทีจุด C เท่ากับ เฮดรวมทีปากท่อ ลบด้วย การสูญเสียในเส้นท่อ
การสูญเสียในเส้นท่อใช้สตู ร Darcy –Wisbach ได้เท่ากับ . เมตร
ค่าเฮดรวมทีจุด C เท่ากับ เฮดรวมทีจุด B - Lossในเส้นท่อถัง A – B = 9.41 – 4.20 =5.21 ม.
ดังนัน EGL. C = 5.21 ม.
.เฮดรวมทีจุด D EGL.D = EGL.C – Exit loss
4.82  4.82
= 5.21  1.0  4.02 ม. Say 4.00 ม.
2  9.81
หมายเหตุ ค่า Loss ทังหมดจากถัง A ไปยัง B จะต้องเท่ากับระดับต่างของผิวนําทังสองถัง คือ . เมตร
เมือได้ค่าเฮดรวมแต่ละจุดแล้ว นํามาคํานวณค่าเฮดสถิตย์ของแต่ละจุด ดังนี
Plot เส้น HGL.
.ค่า HGL.แต่ละจุดเท่ากับ EGL. - V2/2g
2. HGL.A = EGL.A – 0 = 10.00 ม.
2
V 4.82  4.82
. HGLB  EGLB  B  9.41   8.22 ม.
2g 2  9.81
2
V 4.82  4.82
. HGLC  EGLC  C  5.21   4.02 ม.
2g 2  9.81
2
VD
. HGLD  EGLD   4.02  0  4.02 ม. Say 4.00 ม.
2g
ลากเส้นเชือมต่อค่าต่างๆจะได้เส้น ลาดพลังงานและเส้นลาดชลศาสตร์
4-26

4.4.5 การคํานวณค่าความดันเพิ มจาก Water Hammer


การกระแทกของนําอันเนืองมาจากความดันทีเกิดขึนเมือนําทีเคลือนตัวอยู่ภายในถูกทําให้หยุดลงอย่าง
กระทันหัน เช่น เมือประตูนํา (Valve) ทีปลายท่อซึงมีนําอยูเ่ ต็ม ถูกปิ ดโดยทันที นําทีไหลอยู่ในท่อจะหยุดอย่าง
กระทันหัน และความเร็วในการไหลลดลงอย่างรวดเร็ว พลังงานจลน์ทสะสมไว้ ี ในนํา จะแปลงรูปเป็ นความดันสูงที
ด้านหลังของประตูนํา และนําจะอัดตัวพยายามขยายตัวท่อให้กว้างขึน ความดันทีสูงขึนเรือย ๆ จะวนเวียนอยู่ดว้ ย
ความเร็วคงทีระดับหนึงในขณะทีคลืนความดันวิงขึนสูต่ อนบน ปรากฏการณ์นีเรียกว่า Water Hammer หรืออีกนัยหนึง
Water Hammer จะเกิดขึนในระบบท่อ เมือนําทีเคลือนตัวอยูภ่ ายในเกิดการเปลียนแปลงความเร็ว เพือทีจะรักษา
Momentum ภายในเส้นท่อให้มคี า่ คงเดิม ดังนันส่วนหนึงของพลังงานจลน์ของนําจะเปลียนไปเป็ นพลังงานศักย์ และใน
ทีสุดจะสูญไปกับความเสียดทานในนํา หรือ ผนังท่อ เพือทีจะทําให้ความดันมีคา่ คงเดิมโดยหลักทัวไป Water Hammer
เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี
- การเปิ ด และ ปิ ด (สนิทหรือเป็ นบางส่วน) ของประตูนํา (Valve)
- การเริมต้น และการหยุดของเครืองสูบนํา
- การเปลียนแปลงความเร็วของ Turbine
- การเปลียนระดับของแหล่งนํา
- ปฏิกริ ยิ าลูกคลืนของแหล่งนํา (Reservoir Wave Action)
ฯลฯ
ความดัน Water Hammer นี อาจแบ่งได้เป็ น 2 ประเภท คือ
1. Transient คือ สภาวะระหว่างกลาง (Intermediate Condition) ซึงจะเกิดขึนในระบบ เมือนําเคลือนตัวจาก
สถานะคงตัวหนึงไปยังอีกสถานะคงตัวหนึง ตัวอย่างทีเห็นได้งา่ ย เช่นการปิ ดประตูนําเพียงตัวเดียว
4-27

2. Oscillatory คือ สภาวะทีเกิดขึนสมําเสมอในช่วงเวลาหนึง ความดันประเภทนีมีความเกียวพันกับปฏิกริ ยิ า


ของเครืองสูบนําประเภททีใช้ลกู สูบ และประตูนําลดความดัน (Relief Valve) ความดันเพียงเล็กน้อยทีเกิดขึน สามารถ
ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และทําให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงทีสุด ถ้าความถีเพิมขึนจนใกล้เคียงกับกําทอน
ธรรมชาติ (Natural Resonant) ของระบบท่อ ทฤษฎี Elastic Wave ซึงวิเคราะห์ความดัน Water Hammer นี ได้รบั
การปรับปรุงและพัฒนาโดยนักวิจยั หลายท่าน โดยใช้เวลาหลายปี และเทคนิคทีค้นพบก็จะนําซึงคําตอบทีน่ าพอใจ เมือ
ประยุกต์เข้ากับสภาวะการอย่างถูกต้อง ตัวอย่างซึงง่ายแก่การเข้าใจ คือการคํานวณเกียวกับความดันทีเพิมขึนในท่อ
เนืองจากการปิ ดประตูนําอย่างรวดเร็ว แนวท่อซึงประกอบด้วย ข้อต่อซึงขยายตัวได้ จะถูกยึดเพือต่อต้านการเคลือนตัว
ในแนวนอน ความดัน Water Hammer ทีมีค่ามากทีสุดนัน มีความสัมพันธ์กบั ความเร็วเปลียนแปลงสูงสุดของการ
เคลือนตัวของนํา ในขณะทีอัตราการเคลือนตัวของ Pressure Wave มีความสัมพันธ์กบั ความเร็วของเสียงในนํานัน
(แปรเปลียนไปตามวัสดุทใช้ ี ในการผลิตท่อ) ความเร็วคลืน สามารถคํานวณได้จากสมการ

g
K

C (- )
Kd
1
Et

เมือ c = ความเร็วคลืนความดัน (ม./วินาที)


K = Bulk Modulus ของของไหล (นํา มีคา่ 2.07x108 กก./ตร.ม.)
d = เส้นผ่าศูนย์กลางภายใน ของท่อ (ม.)
E = ค่าโมดูลสั ความยืดหยุน่ (Modulus of Elasticity) ของผนังท่อ
-มีค่า 3.0 x108 กก./ตร.ม.สําหรับท่อ พี.วี.ซี
t = ความหนาของท่อ (ม.)
 = นําหนักจําเพาะของของไหล(นํา เท่ากับ กก./ลบ.ม.)
g = ความเร่งเนืองจากแรงโน้มถ่วงของโลก ( . ม. ต่อ วินาที )

ความดันทีเพิมจาก Water Hammer สูงสุด คํานวณได้จากสมการ

CV
P (- )
1000 g

หรือ คิดเป็ นเฮดความดันทีเพิม

CV
h (- )
g
4-28

เมือ V = ความเร็วการไหลก่อนเกิด Water hammer (ม./วินาที)


P = ความดันเพิมเนืองจาก Water hammer (กก./ตร.ซม.)
h = เฮดความดันทีเพิม (ม.นํา)

ในการประมาณค่าความดันเพิมเนืองจากการเกิดWater hammer อันเกิดเนืองมาจากการปิ ด เปิ ดวาล์ว


กะทันหันหากไม่ตอ้ งการใช้สตู รเบืองต้นคํานวณ อาจหาค่าจากตารางที .

ตารางที 4.8 ค่าความดันเพิ มจาก Water hammer อันเกิ ดจากการเปิ ด ปิ ด วาล์วกะทันหัน


(หน่ วย กก./ตร.ซม.)

ความเร็วของการไหล (ม. ต่อ วินาที)


ค่า d/t . . . . . . .
.0 . . . . . . .
. . . . . . 17.54 .
. . . . . . 15.51 .
. . . . . . 14.04 .
. . . . . . 12.39 .
. . . . . . . .
. . . . . . . .
. . . . . . . .
. . . . . . . .
. . . . . . . .
. . . . . . . .
. . . . . . . .
. . . . . . . .

จากตารางที . d คือ เส้นผ่าศูนย์กลางภายในท่อ และ t คือ ค่าความหนาของผนังท่อ

การลดความรุนแรงของการเกิ ด Water hammer


.ทําให้การเปลียนแปลงความเร็วในการไหลน้อยลง โดยปกติมหี ลักเกณฑ์ในการปฏิบตั โิ ดยทัวไป ดังนี
-ทําให้ความเร็วการไหลภายในท่อช้าลง ให้อยูใ่ นช่วงไม่เกิน . เมตร ต่อ วินาที
-ปิ ด หรือเปิ ดวาล์วอย่างช้าๆโดยเฉพาะอย่างยิงเมือวาล์วเปิ ดอยูร่ ะหว่าง - %
-ไม่ควรเดินหรือหยุดเครืองสูบนําในขณะทีวาล์วด้านจ่ายอยูใ่ นสภาพเปิดไว้เต็มที
4-29

.ป้ องกันการลดลงของความดัน โดยการ


-ติดตัง Air valve เพือป้ อนอากาศเข้าไปในท่อเมือความดันในท่อลดลง
-ติดตัง Surge tank เพือป้ อนนําเข้าท่อเวลาความดันลดลง
-ใช้ Surge suppressor ส่งนําจาก Water absorption tank เข้าไปทางด้านท่อจ่าย เพือป้ องกัน
ไม่ให้ความดันลดลงเวลาไฟดับ
.ป้ องกันการเพิมขึนของความดัน
-ใช้ Check valve แบบค่อยๆปิ ด เพือชะลอการทํางานของ Check valve เวลามีนําไหลย้อนทาง
-ติดตัง Safety valve เพือระบายนําออกเมือความดันเพิมขึนถึงระดับหนึง

4.4.6 การกําหนดชันคุณภาพท่อ
การออกแบบความดันภายในท่อ
การเลือกชันคุณภาพของท่อ (Class of pipe) จะต้องอาศัยข้อมูลคือความดันสูงสุดทีคาดว่าจะเกิดขึนในเส้น
ท่อระหว่างการใช้งาน ความดันภายในทีเกิดขึนประกอบด้วย ความดันสถิต (Static pressure) และความดันจลน์
(Dynamic) ในทีนีก็คอื ความดันจากการเกิด Water hammer ค่าความดันสถิตสูงสุด มีหลักในการเลือกใช้ออกแบบดังนี
.กรณีส่งนําจากท่อระบบเปิ ด (Open type) จะใช้คา่ ความดันสูงสุดจากเส้น Hydraulic Grade Line ในขณะมี
การส่งนําในท่อ
.กรณีเป็ นระบบท่อแบบปิ ด (Close type) ใช้คา่ ความดันเมือระบบท่ออยูใ่ นสถานะหยุดส่งนํา
.กรณีระบบท่อมี ถังความดัน (Pressure tank) เป็ นต้นทาง.ใช้ความดันสูงสุดทีได้จากถังความดันนัน
.กรณีระบบท่อมีเครืองสูบนําเป็ นต้นกําเนินเฮด ใช้ความดันสูงสุดทีได้จากเครืองสูบนํานันในขณะส่งนํา
เมือนําค่า Water hammer ทีคํานวณได้ไปรวมกับค่า Pressure head สูงสุดของท่อสายนัน ๆ ก็จะทราบว่า
ท่อจะต้องรับความดันสูงสุดเท่าใด อยู่ Class ใด เช่น ถ้าแนวศูนย์กลางท่ออยูต่ ากว่
ํ าแนวเส้น Hydraulic grade line =
35 ม. นันคือ คิดเป็ นความดันนํา 3.5 กก./ตร.ซม. (ค่าแรงดันนํา 1 กก./ ตร.ซม. จะเท่ากับค่าความสูงของนําประมาณ
10 ม.) เมือค่าความดัน Water hammer เท่ากับ 1.427 กก./ ตร.ซม. ฉะนัน ท่อจะต้องรับแรงดันได้ไม่น้อยกว่า 4.927
กก./ ตร.ซม. สมมติเมือใช้ท่อ PVC และใช้คา่ ความปลอดภัยเป็ น 1.5 เท่าของ Working pressure จะได้คา่ ความดันที
ท่อต้องรับอย่างน้อย = 7.39 กก./ ตร.ซม. ฉะนัน ชันคุณภาพท่อทีใช้ Class 8.5 หรือ 13.5 กก./ตร.ซม. เป็ นต้น ใน
ทํานองเดียวกันเราก็ใช้วธิ กี ารคํานวณค่าชันคุณภาพเหล่านีกับท่อทุก ๆ สายทังระบบ ก็จะได้ชนคุั ณภาพของท่อส่งนํา
รับแรงดันทุกสาย ซึงโดยทัวไป มักจะเอาค่าสูงสุดของแต่ละสายมาคํานวณดังกล่าว
กล่าวโดยสรุปก็คอื ในการออกแบบระบบท่อ จะต้องคิดค่า Static Pressure รวมกับค่า Water hammer
pressure ทีเรียกว่า Normal pressure ซึงจะต้องมีคา่ ไม่เกินค่าความดันใช้งาน ตามขนาดชันคุณภาพของท่อ
4-30

. . ตัวอย่างการคํานวณออกแบบท่อส่งนํา
ตัวอย่างที ต้องการส่งนําด้วยอัตรา . ลบ.ม.ต่อวินาที ด้วยระบบท่อแรงดัน ให้ออกแบบชนิดและขนาดท่อที
เหมาะสมสําหรับอัตราการไหลดังกล่าวนี พร้อมทังคํานวณค่าการสูญเสียเฮดทังหมดในเส้นท่อ และคํานวณเส้นลาดชล
ศาสตร์ (HGL) วิ ธีทาํ
หาขนาดท่อใช้สตู ร Q = AV
เมือ Q = 0.165 ลบ.ม.ต่อวินาที
D 2
A = พืนทีหน้าตัดท่อ = ( D=เส้นผ่าศูนย์กลางภายในของท่อ)
4
V = ความเร็วการไหล เลือกใช้คา่ ความเร็วออกแบบไม่เกิน . เมตร ต่อวินาที
แทนค่าสูตร จะได้
D 2
0.165   0.70
4
D = 0.547 เมตร
เลือกใช้ท่อทีมีจาํ หน่ ายตามท้องตลาดทีมี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในเท่ากับ หรือมากกว่า 600 ม.ม.
หลังจากเลือกขนาดท่อตามท้องตลาดได้แล้ว และหากมีขนาดต่างไปจากผลทีคํานวณได้ ต้องตรวจสอบค่า
ความเร็วทีเกิดขึนจริงอีกครังหนึง จาก
Q
V 
A

4  0.165
หรือ V  = 0.584 ม.ต่อ วินาที (ไม่เกิน . ม.ต่อวินาที ) ใช้ได้
 (0.600) 2

และจากข้อมูลการวางแนวท่อทีดําเนินการ กําหนดชนิดท่อเป็ นท่อพีวซี ี ท่อมีความยาวทังสิน เมตร


พบว่ามีจํานวนข้อต่อ องศา จํานวน ตัว ข้อต่อ องศา จํานวน ตัว และข้อต่อสามทาง (Tee) จํานวน ตัว
ติดตังประตูนําแบบ gate valve จํานวน ตัว ต่อไปจะทําการตรวจสอบว่าตังแต่ตน้ ท่อถึงปลายทาง มีค่าการสูญเสีย
เฮดไปทังหมด เท่าไร
ค่าการสูญเสียเฮดในเส้นท่อประกอบด้วยการสูญเสียเฮดหลักและการสูญเสียเฮดรอง ในทีนีจะใช้สตู ร Darcy-
Weisbach คํานวณค่าการสูญเสียเฮดหลัก

L V2
สูตรคํานวณค่าการสูญเสียเฮดหลัก hf  f
D 2g
L = 2500 เมตร
D = 0.600 เมตร (จากการออกแบบขนาดท่อ)
V = 0.548 เมตร ต่อ วินาที (ความเร็ว ทีเกิดขึนจริง)
4-31

f = ค่า friction factor หาจาก Moody Diagram โดยต้องใช้ขอ้ มูล ค่า Reynold
No.(Re ) และค่า ความขรุขระสัมพัทธ์ (/D)

VD
Re 

ค่า  คือค่าความหนืดจลน์ (Dynamic viscosity) ของนําทีอุณหภูมริ าว - องศาเซลเซียส เท่ากับ . x10-7 ตร.


ม.ต่อวินาที แทนค่าได้

0.548  0.600
Re  7
= 3.8059x105
8.639  10
 0.00000152
 = 2.533  10 6 (ออกแบบเป็ นท่อ พีวซี )ี
D 0.600

จากกราฟ Moody diagram ได้คา่ f เท่ากับ . นําไปแทนค่าสูตร

2500  0.548 2
h f  0.0145 = . เมตร
0.600 2  9.81

ต่อไปคํานวณ ค่าการสูญเสียเฮดรอง (Minor losses)


จากสูตรการสูญเสียเฮดรองเนืองจากอุปกรณ์แต่ละชนิด

V2
hl  k
2g
หาค่าการสูญเสียจากอุปกรณ์แต่ละตัวแล้วนํามารวมกัน ค่า K จากตารางที บทที
ข้อต่อ องศา จํานวน ตัว ค่า K = .
ข้อต่อ องศา จํานวน ตัว ค่า K = .
ข้อต่อแบบสามทาง (Tee) จํานวน ตัว ค่า K = 2.0
ประตูนําแบบ gate valve จํานวน ตัว ค่า K = 0.15

0.548 2 0.548 2 0.548 2 0.548 2


hl  (25  0.40 )  (15  0.70 )  (4  2.0 )  (10  0.15 )
2  9.81 2  9.81 2  9.81 2  9.81
= . ม.

ดังนัน คิดเป็ นการสูญเสียเฮดทังหมด = . +.


4-32

= . ม.
ต่อไปให้คาํ นวณเส้นลาดชลศาสตร์ Hydraulic grade line (HGL)
ความยาวท่อทังหมด เมตร
ค่าการสูญเสียเฮด . เมตร
1.383
ความลาดชันของเส้นพลังงาน =  5.532  4
2500
หรือเท่ากับ 1 : 1808
นันคือจากระยะต้นทางท่อ (กม. + ) จนถึงกม. + เมตร ระดับศูนย์กลางท่อจะต้องตํากว่า กม.
+ ไม่น้อยกว่า . เมตร นําจึงจะไหลถึงกม. + หรือพูดในอีกด้านหนึงจะต้องวางท่อให้เอียงลาดลง .
เมตรเพือไปชดเชยกับเฮดความดันทีสูญเสียไปนันเอง

ต่อไปคํานวณตรวจสอบแรงดันทีเพิมขึนกรณีเกิด Water hammer


จากสมการ ( - )
g
K

C
Kd
1
Et
ในทีนีเป็ นท่อพีวซี ี มีค่า E = 3.0x108 กก.ต่อ ตร.ม.
ความหนาท่อ (t) เท่ากับ มม. = . ม.
เส้นผ่าศูนย์กลางภายใน (d) เท่ากับ . ม.
ค่า bulk modulus (K) ของนํา 2.07x108 กก./ตร.ม. แทนค่า ได้

9.81
2.07  10 8 
C 1000 = . ม. ต่อ วินาที
2.07  10 8 0.60
1
3.0  10 8  0.015

คํานวณเฮดความดันทีเพิมกรณีเกิดคลืน สมการที ( - )

266.46  0.548
h = . ม. นํา
9.81
4-33

ตัวอย่างที จากแปลนแนวท่อส่งนําทีกําหนดให้
.จงคํานวณหาค่า Total dynamic head ของเครืองสูบนํา
.คํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
.คํานวณเฮดความดัน (P/γ) ทีจุด A

วิธที าํ 1.คํานวณ TDH


คํานวณค่า TDH ของท่อแต่ละเส้น คือ PAB และ PAC แล้วใช้คา่ ทีมากเป็ นค่าควบคุม
จาก TDH = เฮดสถิต + เฮดทีสูญเสียทังหมดตังแต่ปลายท่อดูดถึงปลายท่อส่ง
เส้นท่อ PAC
เอดสถิต = +20.000 – 10.000 = 10.00 ม.
เฮดสูญเสีย คํานวณโดยใช้สมการ Hazen Williams
h fPAB  h fs  h fPA  h fAB

10.665 LQ 1.852
hf 
C 1.852 D 4.871
m3 m3
Q  200  0.0556
hr s
m3 m3
Q  150  0.0146
hr s
m3 m3
Q  50  0.0139
hr s
4-34

C ท่อ PVC ใช้


ท่อเส้น PA ขนาด นิว จากตารางท่อ PVC ที Class 8.5 มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายใน = 198.40 มม.
ท่อเส้น AC ขนาด นิว จากตารางท่อ PVC ที Class 8.5 มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายใน = 150 มม.
Loss ท่อดูด ขนาด นิว
10.665 x5.0 x0.05561.852
h fs 
1501.852 0.198 4.871
= 0.0629 ม.

Loss ท่อเส้น PA ขนาด นิว


10.665 x500.0 x0.05561.852
h fPA 
1501.852 0.198 4.871
= . ม.
Loss ท่อเส้น AC ขนาด นิว
10.665 x300.0 x0.01461.852
h fAC 
1501.852 0.150 4.871
=1.039 ม.
TDH ท่อสาย PAC เท่ากับ . + . + . + . = 17.392 ม.

เส้นท่อ PAB
ท่อเส้น AB ขนาด นิว จากตารางท่อ PVC ที Class 8.5 มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายใน = 150 มม.

10.665 x 200.0 x0.01391.852


h fAB 
1501.852 0.150 4.871
= 0.746 ม.
TDH ท่อสาย PAB เท่ากับ . + . + . + 0.746 = 17.098 ม.
ดังนัน ใช้ค่า TDH สําหรับออกแบบเครืองสูบนําเท่ากับ . ม. ตอบ.

.คํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
QH
จาก WHP 
3960
m3 m3
Q  200  0.0556
hr s
TDH = 17.392 ม.
0.0556 x17.392
WHP 
3960
4-35

= 12.698 แรงม้า
.คํานวณ เฮดความดันทีจุด A
ใช้สมการ Bernoulli ทีจุดผิวนํา (จุดS) กับจุด A

P V2 P V2
(   Z ) s  TDH  (   Z ) A  hl ( S  A)
 2g  2g
แทนค่า
4 x0.0556 m
ความเร็ว V ในท่อทีจุด A เท่ากับ V   1.808
 (0.198) 2
s

P 1.808 2
(0  0  10.0) s  17.392  (   20) A  0.0629  6029
 2 x9.81
P
( )A  . ม. ตอบ

4-1

. อุปกรณ์ ในระบบท่อส่งนํา

ในระบบท่อส่งนํานันจําเป็ นต้องมีอุปกรณ์ซงติ
ึ ดตังรวมกับท่อเพือทําหน้าทีควบคุมบังคับนําให้ไหลไปใน
ทิศทางและอัตราทีต้องการ อุปกรณ์ทจํี าเป็ นต้องใช้ในระบบท่อส่งนําทีพบเสมอๆ ก็ม ี เช็ควาล์ว (Check Valve) วาล์ว
ปิ ดเปิ ดนําแบบต่างๆ และวาล์วระบายอากาศ (Air Release Valve) รูปร่างลักษณะของอุปกรณ์ในระบบท่อเหล่านีแสดง
ไว้ในรูปที 1 ถึง 6
4.5.1 ประตูนํา(หรือวาล์ว) ชนิ ดต่างๆ
1) เช็ควาล์ว (Check Valve – รูปที 4-8) เป็ นวาล์วทีทําหน้าทีป้ องกันไม่ให้นําไหลย้อนกลับ ลินของวาล์วแบบ
นีจะปิ ดเมือความเร็วของการไหลเป็ นศูนย์หรือเมือมีการไหลย้อนกลับ ในกรณีทปลายท่ ี อส่งนําอยู่สงู กว่าปั มจําเป็ นต้อง
ติดตังเช็ควาล์วไว้ป้องกันมิให้นําไหลย้อนกลับมาทําความเสียหายต่อเครืองสูบนําได้
2) เกทวาล์ว (Gate Valve – รูปที 4-9 ) เป็ นวาล์วหรือประตูนําทีใช้งานกันทัวๆ ไป บานประตูมลี กั ษณะเป็ น
ลินเข้า - ออกในลักษณะตังฉากกับทิศทางของการไหล ส่วนใหญ่จะใช้แบบเปิ ดเต็มทีหรือปิ ดสนิท ไม่นิยมใช้แบบเปิ ด
เพียงบางส่วนเพือควบคุมการไหล

รูปที 4-8 เช็ควาล์ว


4-2

รูปที 4-9 เกทวาล์ว (Gate Valve)

3) วาล์วผีเสือ ( Butterfly Valve – รูปที 4-10 ) เป็ นวาล์วทีลินหมุนรอบก้านและปิ ดสนิทจานหมุนตังฉากกับ


ทิศทางการไหลและจานสัมผัสกับบ่ารองลินในตัวเรือน วาล์วแบบนีใช้ได้ทงงานเปิ ั ด - ปิ ดและปรับอัตราการไหล ส่วน
ใหญ่จะใช้ในระบบท่อทีมีความดันตําและยอมให้มกี ารรัวผ่านรองลินได้มาก
4) วาล์วแบบลูกทรงกลม ( Ball Valve – รูปที 4-11 ) เป็ นวาล์วทีเปิ ด - ปิ ดโดยการหมุนลูกทรงกลมซึงมี
รูเจาะผ่านศูนย์กลาง ในตําแหน่ งเปิ ดเต็มทีรูดงั กล่าวจะอยูใ่ นแนวเดียวกับทิศทางการไหล และจะปิ ดสนิทเมือหมุนทรง
กลมไปเป็ นมุม 90 องศา วาล์วแบบนีส่วนใหญ่นิยมใช้ควบคุมปริมาณการไหลและความดันในท่อ วาล์วแบบนีมีขนาด
ไม่เกิน 100 มม.

ภาพที 4-10 วาล์วผีเสือ ( Butterfly Valve )


4-3

รูปที 4-11 วาล์วแบบลูกทรงกลม ( Ball Valve )

รูปที 4-12 วาล์วแบบโกลบ (Globe Valve)


4-4

5) วาล์วแบบโกลบ (Globe Valve – รูปที 4-12 ) เป็ นวาล์วทีออกแบบไว้ เพือใช้ในการปรับอัตราการไหล


บ่อยๆ ลินเปิ ด - ปิ ดมีลกั ษณะเป็ นจานหรือลูกอุดเคลือนทีขึนลงโดยก้านซึงตังฉากกับรองลินซึงมีลกั ษณะเป็ นแหวน ทิศ
ทางการไหลผ่านช่องลินอาจทํามุม 90 องศา หรือมุมอืนกับทิศทางการไหลเข้าและออกจากวาล์ว

6) วาล์วระบายอากาศ (Air Release Valve – รูปที 4-13 และ 4-14 ) วาล์วระบายอากาศนับว่าเป็ นอุปกรณ์
ทีมีความสําคัญมากชินหนึงในระบบท่อส่งนํา ทังนีเพราะ โดยทัว ๆไปแล้วจะมีอากาศปนติดมากับนําทีสูบมาด้วยเสมอ
เมือความดันของนําลดลงหรือนํามีอณ ุ หภูมสิ งู ขึนฟองอากาศก็จะแยกตัวออกมาและไปสะสมกันในบริเวณทีแนวท่อโค้ง
งอขึน โพรงอากาศนีจะทําให้การไหลผ่านในบริเวณดังกล่าวมีลกั ษณะเป็ นแบบการไหลในทางนําเปิ ดซึงจะเป็ นผลทําให้
สูญเสียพลังงานมาก และอาจเป็ นตัวการก่อให้เกิดความดันในระบบท่อแปรปรวนได้ ดังนันจึงควรติดตังวาล์วให้ทํา
หน้าทีระบายอากาศส่วนนีออกไปเสีย
การระบายอากาศออกจากท่อผ่านวาล์วจะถูกควบคุมโดยลูกลอย เมืออากาศไหลเข้ามาสะสมในวาล์วดังกล่าว
นีมากพอลูกลอยก็จะลดระดับลงเป็ นเหตุให้เข็มซึงอุดช่องระบายเปิ ดออก อากาศก็จะถูกระบายออกไป ขันตอนการ
ทํางานของวาล์วระบายอากาศแสดงไว้ในภาพที 6 วาล์วระบายอากาศควรจะติดตังบนหลังท่อในบริเวณทีท่อส่งนําโค้ง
ขึนจนทําให้เป็ นแหล่งสะสมฟองอากาศได้ นอกจากนันควรติดตังทุกระยะ 0.50 ถึง 1.0 กิโลเมตรบนแนวท่อทีลาดลง
โดยเฉาะอย่างยิงแนวทีลาดลงค่อนข้างชัน การติดตังวาล์วระบายอากาศทีพบเสมอๆ คือในบริเวณท่อตัดผ่านทางนําซึง
จําเป็ นต้องให้ท่อโค้งงอขึนดังแสดงในรูปที 4-15 และ 4-16
7) บานปิ ดเปิ ดทางเดียว( flap valve) หมายถึง
1. บานหรือลินปิ ดเปิ ดติดอยูท่ ตอนปลายท่
ี อจ่ายนําของเครืองสูบนํา เพือป้ องกันการไหลกลับของนํา เมือ
เครืองสูบนําหยุดทํางาน
2. บานหรือลินปิ ดเปิ ดควบคุมระดับนําเพือป้ องกันนําท่วม มักออกแบบให้เปิ ดเมือระดับนําด้านเหนือนําสูงกว่า
ระดับท้ายนําเพือระบายนําและปิ ดเมือระดับนําด้านท้ายนําสูงขึนเท่ากับหรือ มากกว่าระดับนําด้านเหนือนํา เพือป้ องกัน
ไม่ให้นําไหลกลับบางครังเรียก flap gate
การเลือกใช้วาล์วชนิดใด เพือให้ทาํ หน้าทีในระบบท่อส่งนํา สามารถดูได้ตามตารางที 4-4

ตารางที 4-4 การใช้งานของวาล์ประเภทต่างๆ

ชนิดวาล์ว การใช้งาน
ควบคุมการไหล หยุดการไหล ป้ องกันไหลย้อน ป้ องกันwater
hammer
Gate Valve √ √
Butterfly Valve √ √
Check Valve √ √
Flap Valve √
Foot Valve √
4-5

รูปที 4-13 ลักษณะการทํางานของวาล์วระบายอากาศ

(1) วาล์วเปิ ดเมือไม่มนี ําอยูใ่ นท่อ (2) เมือมีนําไหลเข้าท่ออากาศจะถูกระบายออกไปและวาล์วจะปิ ด (3) เมือมีนําเต็ม


เมือฟองอากาศมาสะสมกันมากขึนลูกลอยจะตกและวาล์วจะเปิ ดเพือระบายอากาศออกไปอีก

รูปที 4-14 วาล์วระบายอากาศขนาดใหญ่ ( Double Air Release Valve)


ทีใช้ในท่อส่งนําขนาดใหญ่
4-6

รูปที 4-15 การติ ดตังผ่านคูหรือทางนํา ให้สงั เกตการณ์ ติดตังสมอคอนกรีตยึดท่อและการติดตังวาล์ว


ระบายอากาศเหนื อท่อ

รูปที - ตําแหน่ งทีควรติ ดตังวาล์วระบายอากาศ


4-7

สําหรับเกณฑ์การเลือกขนาดของวาล์วระบายอากาศเบืองต้น สําหรับใช้กบั ท่อส่งนําขนาดต่าง เป็ นไปตามตารางที 4-5

ตารางที 4-5 เกณฑ์กาํ หนดขนาดของวาล์วระบายอากาศ

ขนาด
ท่อ 400 500 600 700 800 900 1000 1200 1350 1500
(มม.)

ขนาด
แอร์
100 100 100 100 100 100 150 150 150 150
วาล์ว
(มม.)

8) ประตูระบายตะกอน (Blow off Valve) ติดตังไว้บริเวณทีท่อส่งนําผ่านทีตํา อายุการใช้งานประมาณ 3 - 5


ปี ควรเปิ ดประตูระบายตะกอน ปี ละ 2 - 3 ครัง (ขึนอยูก่ บั ปริมาณตะกอน) ใช้ประโยชน์เพือระบายตะกอนทรายทีจะอุด
ตันในท่อทําให้เป็ นอุปสรรคต่อการส่งนําควรพิจารณาติดตังประตูระบายตะกอนออกจากเส้นท่อนําทุกๆปลายเส้นท่อ
เพือระบายตะกอนออกจากเส้นท่อนําทุกๆ ระยะ เดือน ต่อหนึงครัง การติดตังท่อระบายตะกอนมีหลักเกณฑ์การ
ติดตัง ดังนี
ก. ขนาดท่อ Ø นิว ใช้ท่อระบายตะกอน ขนาดท่อ Ø นิว
ข. ขนาดท่อ Ø นิว ใช้ท่อระบายตะกอน ขนาดท่อ Ø นิว

4.5.2 อุปกรณ์ป้องกันวอเตอร์แฮมเมอร์ (Water Hammer)


การป้ องกันวอเตอร์แฮมเมอร์ จากการหยุดเดินเครืองสูบนําอาจทําได้โดยการลดความเร็วของเครืองยนต์ลงที
ละน้อยเป็ นขันๆจนอัตราการไหลน้อยมากแล้วจึงดับเครืองยนต์ ในกรณีทต้ี นกําลังเป็ นมอเตอร์ซงมี ึ รอบการหมุน
คงทีก็ให้ใช้วธิ ปี ิ ดประตูจ่ายนําลงทีละน้อยเป็ นขันๆ เช่นเดียวกันจนกระทังปิ ดสนิทหรือเกือบสนิทแล้วจึงปิ ดสวิทช์ การ
เริมเดินเครืองสูบนําก็ทาํ ในลักษณะเดียวกันแต่ยอ้ นขันตอน อย่างไรก็ตาม บางครังมีความจําเป็ นต้องหยุดเดินเครือง
อย่างกะทันหัน หรืออาจมีสาเหตุมาจากกระแสไฟฟ้ าขัดข้อง เครืองยนต์เสีย เป็ นต้น ดังนันในระบบทีมีโอกาสเกิด
วอเตอร์แฮมมอร์ได้งา่ ยจึงควรมีอปุ กรณ์ป้องกันช่วย เช่น Pressure relief valve , Air inlet-relief valve , Air
chamber, Surge suppressor และ Surge tank เป็ นต้น
1) Pressure relief valve เป็ นวาล์ว ทีทําหน้าทีในลักษณะเดียวกันกับวาล์วนิรภัย (safety valve) กล่าวคือ
เมือความดันในท่อสูงกว่าทีกําหนดไว้ มันก็จะ เปิ ดกว้างออกและระบายนําทิงเพือลดความดันลง ความดันทีตังไว้อาจ
ควบคุมโดยสปริงหรือนําหนักก็ได้(รูปที 4-17) อุปกรณ์แบบนีเหมาะสําหรับท่อทีมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ซึงการระบาย
นําทิงจะมีผลช่วยให้ลดความดันในท่อลงไดับา้ ง
2) Air inlet-relief valve เป็ นวาล์วทีจะเปิ ดให้อากาศไหลเข้ามาในท่อโดยอัตโนมัตเิ มือความดันในท่อตํากว่า
ความดันของบรรยากาศ ซึงจะเป็ นการป้ องกันไม่ให้ทอ่ แบนลง อุปกรณ์ดงั กล่าวนียังใช้สาํ หรับระบายอากาคออกจาก
ท่อด้วย โดยการติดตังไว้หลังท่อในบริเวณทีอยูส่ งู กว่าแนวท่อส่วนอืน อากาศทีติดมากับนําก็จะไหลเข้าไปในอุปกรณ์นี
แล้วทําให้ลูกลอยลดระดับลงวาล์วเปิ ดและอากาศก็จะถูกระบายออกไป การทีจําเป็ นต้องระบายอากาศในท่อออกไป
4-8

ก็เพราะว่าถ้าความเร็วของการไหลไม่มากพอโพรงอากาศในท่อจะเป็ นสิงกีดขวางการไหลโดยทําให้การไหลในช่วง
ดังกล่าวมีลกั ษณะเป็ นการไหลในทางนําเปิ ดแทนทีจะเป็ นการไหลเต็มท่อ
3) Air chamber เป็ นอุปกรณ์ช่วยลดความรุนแรงของวอเตอร์แฮมเมอร์อกี แบบหนึงทีมีลกั ษณะเป็ นถังบรรจุ
อากาศต่อเข้ากับหลังท่อ อากาศในถังซึงยืดหดตัวได้ดกี ว่านําก็จะทําหน้าทีผ่อนคลายความรุนแรงลงเมือมีความดัน
เพิมขึนอย่างฉับพลันนอกจากนันอุปกรณ์ชนิดนียังใช้ต่อเข้ากับด้านจ่ายของปั มแบบสูบชักก่อนส่งนําเข้าสู่ระบบ เพือให้
การไหลสมําเสมอตลอดเวลาอีกด้วย
4) Surge Suppressor เป็ นอุปกรณ์ทมีี ลกั ษณะคล้ายกับ Air Chamber แต่แทนทีจะใช้อากาศเป็ นตัวผ่อน
คลายแรงดันก็เปลียนไปใช้สปริงแทน อุปกรณ์ชนิดนีใช้กบั ท่อขนาดเล็ก เช่น ท่อนําใช้ในบ้านมากกว่าทีจะใช้กบั ระบบ
ท่อขนาดใหญ่
5) Surge Tank เป็ นถังช่วยลดความดันทีเพิมขึนจากวอเตอร์แฮมเมอร์ในระบบขนาดใหญ่ซงมี ึ ทงประเภท

เปิ ดดัานบนของถังเเละแบบปิ ด สําหรับแบบเปิ ดนันความสูงของถังจะต้องมากพอทีจะไม่ให้นําไหลล้นออกมา
ได้ ส่วนในแบบปิ ดจะมีลกั ษณะคล้ายกับ Air Chamber แต่มที อ่ ขนาดเดียวกันกับท่อส่งนําเป็ นตัวจ่ายนําเข้าไปในถัง
อีกทีหนึง การลดความรุนแรงของความดันจะถูกควบคุมโดยการไหลของนํ าเข้าไปใน Surge Tank และการยืดหดตัว
ของอากาศในถัง
ในระบบท่อส่งนําทีมีความยาวมากและมีความลาดเทสูงขึนจากปั มหรือท่อไม่ยาวมากแต่มคี วามลาดเทจากปั ม
ชันมาก การติดตังเช็ควาล์วประเภทไม่ปิดกระทันหัน (Non-slam) ซึงออกแบบให้ปิดเมือความเร็วเป็ นศูนย์ คือไม่
เปิ ดโอกาสให้นําในท่อไหลย้อนกลับมาก็จะช่วยลดแรงจากวอเตอร์แฮมเมอร์ลงได้ นอกจากนัน ถ้าหากก่อน
เดินเครืองสูบนําปริมาณนําในท่อยังมีอยูไ่ ม่เต็มเมือเริมเดินเครืองควรจะเปิ ดประตูจ่ายนําเพียง 3/4 ของอัตราการสูบที
ต้องการต่อเมือมีนําบรรจุเต็มท่อแล้วจึงค่อย ๆ เปิ ดประตูนําเพิมขึน วิธที กล่
ี าวนีจะช่วยลดความดันจากวอเตอร์แฮม
เมอร์ลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิงในกรณีทต้ี นกําลังเป็ นมอเตอร์ซงมี ึ รอบคงทีตลอดช่วงการทํางาน

รูปที 4-17 อุปกรณ์ป้องกันความเสียหายจากวอเตอร์แฮมเมอร์


(a) Pressure Relief Valve (b) Air Inlet - Relief Valve
และ (c) แสดงการติ ดตังอุปกรณ์ ทงสองแบบนี

4-9

รูปที - ถัง Surge Tank แบบปิ ด

เพือทีจะป้ องกันความเสียหายแก่ระบบท่อโดยมีสาเหตุมาจากการเกิดวอเตอร์แฮมเมอร์ ควรจะได้มกี าร


วิเคราะห์หาระดับความรุนแรงของแรงนีแล้วหามาตรการป้ องกัน การวิเคราะห์หาแรงจากวอเตอร์แฮมเมอร์ของนําควร
จะทําเมือลักษณะของระบบหรือสภาวะการทํางานเข้าข่ายดังต่อไปนี
( ) เฮดสถิตย์มากกว่า เมตร และความยาวของท่อมากกว่า เท่า ของเฮดสถิตย์
( ) ระดับตามความยาวของท่อจ่ายอยู่สงู กว่าระดับแนวเส้นตรงซึงเชือมต่อระหว่างเครืองสูบนํากับ
ปลายท่อมาก
( ) มีการเปิ ด-ปิ ดวาล์วอย่างฉับพลัน
( ) เปิ ดเครืองสูบนําในขณะทีช่วงความยาวของท่อจากตัวเครืองสูบนําถึงวาล์วทางด้านจ่ายไม่มนี ําอยูห่ รือมี
ความดันตํากว่าความดันของบรรยากาศ
( ) ท่อยาวเกินกว่าทีคลืนความดันจะเคลือนตัวไปกลับ (*) ได้ใน วินาที(ถ้าเป็ นท่อเหล็กต้องยาวเกิน
ม.)
( ) ปิ ดประตูนําเร็วกว่า เท่าของ *
( ) ท่อดูดยาวมากกว่าปกติ
( ) ท่อวางสูงกว่าผิวดิน
ค่า * = L/a เมตร ต่อ วินาที
เมือ L = ความยาวท่อ (เมตร)

4.5.3 วาล์วลดความดัน (Pressure Reducing Valve)


Pressure Reducing Valve หรือ วาล์วลดความดัน มีหน้าทีลดแรงดันทีมากเกินไปเพือให้เหมาะสมกับการ
ใช้งานในระบบนัน เช่น ในระบบท่อสูบส่งนําทีต้องส่งนําไปยังทีไกลๆ จําเป็ นต้องส่งด้วยแรงดันสูง ซึงการส่งด้วยแรงดัน
4-10

สูงนีแรงดันทางด้านต้นทางจะสูงมาก หากชุมชนหรือหมู่บา้ นต่อท่อไปใช้เลยจะทําให้อปุ กรณ์ในบ้านเสียหายได้ เราจึง


ต้องติดตังวาล์วลดความดัน เพือลดแรงดันให้เหมาะสมก่อนต่อเข้าบ้านเรือน
วาล์วลดความดัน มีทงชนิ
ั ด High Flow และ Low Flow (High Flow ทํางานเมือมีอตั ราการไหลมากหรือมี
ผูใ้ ช้นํามาก) (Low Flow ทํางานเมือมีผใู้ ช้นําน้อย) หากแบ่งเป็ นเปอร์เซ็นต์การไหล High Flow จะอยูท่ ี 75-80% ส่วน
Low Flow จะอยูท่ ี 20-25% ของอัตราการไหล เหตุผลทีออกแบบลักษณะนีคือ เมือมีผใู้ ช้นําน้อยจะให้ วาล์วลดความ
ดันตัวเล็ก หรือ Direct Acting ทํางานก่อน และหากมีผใู้ ช้นําเพิมมากขึน วาล์วลดความดัน ตัวใหญ่กจ็ ะทํางานพร้อมกัน
กับวาล์วตัวเล็ก ทังนีเพือป้ องกันการเกิดเสียงดังของ วาล์วลดความดัน ตัวใหญ่ทไม่ ี สามารถควบคุมแรงดันได้เมือมี
อัตราการไหลตํามากๆ วาล์วเกิดการกระพือ
4-1

. การวางท่อส่งนํา
. . การออกแบบโครงสร้างคอนกรีตคํายันท่อ (Concrete Thrust Block Design)
การออกแบบโครงสร้างคอนกรีตคํายันท่อแรงดันตรงจุดทีเกิดแรงกระทําเช่นข้องอ สามทาง ข้อ
ลดและวาล์วรวมถึงบริเวณจุดปลายท่อทีปิ ดอยู่ บริเวณดังกล่าวจะเกิดแรงกระทําต่อตัวท่ออันเนืองจากมี
แรงดันภายในท่อทีไม่สมดุลเกิดขึนเกิดแรงกระทกและการสันสะเทือนอยูต่ ลอดเวลา สําหรับท่อฝังดินนัน
ขนาดโครงสร้างคอนกรีตคํายันท่อจะขึนกับความสามารถในการรับนําหนักของดินบริเวณนัน(ค่าBearing
Stress) สําหรับพวกข้องอต่างๆทีงอในแนวดิง(Vertical Plane)และฝังไม่ลกึ จากผิวดิน อาจใช้เพียงแท่ง
คอนกรีตล้วนขนาดใหญ่ซงมีึ นําหนักมากหน่ อยช่วยถ่วงนําหนักก็พอได้แล้ว รูปแบบมาตรฐานของแท่ง
คอนกรีตแบบต่างๆ สําหรับต้านทานแรงดันท่อแสดงไว้ในรูปที -

รูปที - รูปแบบมาตรฐานของแท่งคอนกรีตคํายันท่ อฝั งดิ นบริ เวณข้อต่อและประตูนํา


4-2

ในการออกแบบนัน ค่าเฮดสูงสุดบริเวณข้อต่ออาจใช้คา่ จากค่าความดันใช้งานสูงสุด ค่าความดัน


สูงสุดตามชันคุณภาพของท่อทีออกแบบไว้หรือค่าความดันทีได้จากการทดสอบท่อก็ได้ขนอยู ึ ่กบั ว่าค่า
ไหนสูงทีสุดให้ใช้เฮดค่านันมาออกแบบ ขนาดของแรงกระทําบริเวณดังกล่าว คํานวณได้จากสูตร ดังนี

1.ข้องอ (Bend)


T  2( PA  QV ) sin (. )
2
เมือ
T= แรงลัพท์กระทําบริเวณข้องอ (Resultant thrust (N))
P = ความดันบริเวณข้องอ (Pa)
A = พืนทีหน้าตัดท่อ (m²)
p = ความหนาแน่นของนํา (1000 kg/m³ at 15° C)
Q = อัตราการไหลภายในท่อ (m³/s)
V = ความเร็วของการไหล (m/s)
 = มุมของข้องอ (degrees)

เมือไม่นําค่าเฮดความเร็วมาคิด, สมการข้างบนจะกลายเป็ น


T  1.54  10 5 HD 2 sin (. )
2

เมือ
H = เฮด (m)
D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกท่อ(mm)
T = แรงลัพท์กระทํา (kN)

ตารางที - และ - แสดงแรงกระทํา (Thrust Load) ต่อข้องอ (Bend) และข้อลด (Reducer) ของท่อ
ขนาดต่างๆ
4-3

2.ข้อต่อแบบสามทางและบริเวณปลายปิ ด (Tees or closed ends)

T  7.70  10 5 HD 2 (- )

ขนาดของแรงกระทําในกรณีนีจะมีคา่ เท่ากับแรงกระทําบนข้องอ 60 องศา เมือท่อมีขนาดเดียวกัน

3.ข้อต่อลดขนาดแบบค่อยเป็ นไป (Tapers)

T  0.77  10 5 H ( D 2  d 2 ) (- )

เมือ D และ d หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกท่อใหญ่และเล็กตามลําดับ (มม.)


อย่างไรก็ตามสามารถหาค่าแรงดันลัพท์ของข้อลดแบบค่อยเป็ นไปโดยการคํานวณหาผลต่าง
ของแรงบริเวณปลายปิ ดของท่อแต่ละขนาดก็ได้

ตารางที - แรงกระทํา(Kgf)ต่อข้องอ จากค่าความดันภายในท่อ P= ม.นํา( 1 kgf/cm2)

ชือเรียก Brance มุมงอ(องศา)


ขนาดศก. Pipe . . /
ท่อ Terminal
20
62
102
154
214
366
560
794
4-4

รูปที . รูปแบบมาตรฐานคอนกรีตคํายันท่อบริ เวณข้อต่อสําหรับท่อ GRP


4-5

ตารางที - แรงกระทําต่อข้อลด(Kgf) จากค่าความดันภายในท่อ ม.นํา

ชือเรียกขนาด แรงกระทํา ชือเรียกขนาด แรงกระทํา ชือเรียกขนาด แรงกระทํา


ศก.ท่อ ศก.ท่อ ศก.ท่อ
x55 x 264 250x200 193
100x80 200x125 212 300x150 580
125x100 200x150 153 300x200 428
150x100 250x125 406 300x250 234
150x125 250x150 346

โดยทัวไปโครงสร้างคํายันท่อ(Thrust Block)จะถูกออกแบบให้สามารถถ่ายแรงไปยังพืนทีระนาบสัมผัส
ดิน(ทีไม่ควรเป็ นดินถมแต่ควรเป็ นดินเดิม) ดังนันสมการคํานวณขนาดพืนทีของระนาบดินเดิมทีจะ
รองรับแรง คือ

T
A f (. )
b
เมือ
A = พืนทีตังฉากกับแนวแรง (m2)
T = แรงกระทํา (kN)
b = ค่า bearing Strees ของดิน (kPa)
f = ค่าส่วนเผือความปลอดภัย(Factor of Safety)

ตัวอย่างที ท่อขนาด DN 750 PN10 SN 5000 ฝังใต้ดนิ มีความลึกดินทับหลังท่อเท่ากับ 1.00 เมตร


ท่อนีรับความดันเท่ากับ 1100 kPa. ให้ออกแบบโครงสร้างรับแรงดันท่อบริเวณข้องอ 90 องศา โดยข้อ
มูลค่า Bearing Stress ของดินบริเวณดังกล่าว เท่ากับ 100 kPa
วิ ธีทาํ จากสูตร

T  1.54  10 5 HD 2 sin
2
แทนค่า H = 1100 KPa = 112.17 ม.นํา
D = 826 มม.(ท่อDN 750 มีเส้นผ่าศูนย์กลางภายนอก = 826 มม. )
 = 90 องศา
4-6

ดังนัน
90
T  1.54  10 5  112.17  (826) 2 sin
2
= 833.378 KN
ขนาดของพืนทีสัมผัสระหว่างคอนกรีตบล็อก กับ ดิน หาจาก
T
A f
b
833.378
A  1.1  9.16 ตร.ม. (ใช้ค่า FS =1.1)
100

ตัวอย่างที........ ข้อลดขนาด A DN1200 x 1000 PN16 SN 10000 ติดตังในแนวท่อแห่งหนึง จงคํานวณแรงกระทําที


ข้อลดแห่งนีหากมีความดันสูงสุดเกิดขึนเท่ากับ KPa.

วิ ธีทาํ ความดัน KPa =152.96 ม.นํา


DN 1200 x1000 มีเส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกเท่ากับ x1025 มม.
ดังนันแรงกระทํา
T  0.77  10 5 H ( D 2  d 2 )
T  0.77  10 5  152.96(1229 2  1025 2 )
= 541.56 KN.
4.ตัวยึดวาล์ว (Anchorage of valves )
การส่งนําผ่านท่อภายใต้แรงดันทีเกิดขึนทําให้จะต้องทําการยึดวาล์วไว้ให้แน่นหนาเพือป้ องกันกระทําให้วาล์ว
นันหลุดออกจากตัวท่อได้เมือมีการปิ ดวาล์วนําขึน ในการทําตัวยึดวาล์ว มีอยูห่ ลายวิธดี ว้ ยกันแต่ละวิธวี ่าเหมาะสม
หรือไม่ขนอยู
ึ ก่ บั ขนาดของท่อและลักษณะการดําเนินการส่งนําผ่านท่อนันๆ
อย่างไรก็ตามโดยทัวไปจะใช้วธิ กี ารพิจารณาจาก ปั จจัยพืนฐานคือวาล์วเหล่านันติดตังกับท่อแล้วอยูใ่ นบ่อ
คอนกรีต (chambers) อีกทีหนึงดังปรากฎตามรูปที - หรือติดตังกับท่อทีฝั งอยูใ่ นดินเลย(ตามรูปที - และ - )
วาล์ทมีี ขนาดเล้กจะติดตังกับท่อแล้วฝั งในดินไปเลยไม่จาํ เป็ นต้องทําบ่อคอนกรีต( concrete chamber)ครอบวาล์วไว้
ส่วนวาล์วทีมีขนาดใหญ่จะติดตังวาล์วโดยวางไว้บนพืนบ่อคอนกรีตทีมีฐานขึนมารองรับ(Valve pit) ทีตัววาล์วจะมีขอ้ ต่อ
แบบหน้าจานช่วยต้านแรงดัน (valve connector with thrust flange) ตรงรอยต่อแบบหน้าจานนีสามารถหล่อคอนกรีต
หุม้ ไปได้เลยพร้อมกับผนังของบ่อวาล์วคอนกรีตนัน
วาล์วทีถูกฝั งโดยตรงไปในดินกับท่อและมีแท่งคอนกรีตหล่อหุม้ ไว้ (ดูรปู ที - และ - ) จะต้องมีการ
ออกแบบแท่งคอนกรีตนีให้ถกู ต้อง เหมาะสมจนสามารถต้านทานแรงดันนําอยูไ่ ด้ (ในขณะมีการปิ ดวาล์ว) ขนาดของ
แท่งคอนกรีตยึดวาล์วขึนอยูก่ บั ความแน่นของดิน ชนิดของดินถมหลังท่อและลักษณะของการติดตัง
4-7

The size of the concrete thrust block is based on the local soil stifness, backfill materials
and installation conditions. Any movement should be limited to 15mm. The flanged socket
connectors should be o more than 500mm in length, connecting to a rocker pipe (Figure 6.8).

รูปที - Typical valve restraint for direct buried flanged valves (illustration only, not to scale)

รูปที - Typical valve restraint for direct buried socketed valves


(illustration only, not to scale)

Alternatively, the valve body can also be anchored allowing access for servicing by having a thrust
block adjacent to the valve. The limit of use is dependent on the strength of the steel or ductile iron
4-8

flanged pipe with thrust flange. For small thrust loads, only one side of the valve needs to be
anchored.
The size of the thrust block is based on the local soil stiffness, backfill material and
installation conditions. Limit lateral movement to preserve the leak tightness of the joint.
If steel or ductile iron flanged x spigot stubs are used, the use of a flexible steel coupling or dual
bolting mechanical coupling is recommended.

Installed in valve chambers (figure 6.6)


This method can be used for all but the larger, high pressure valves. The limit of use is dependent
on the ability to place the structural support system into the valve chamber. The support system
must be designed to accept the total axial thrust without over-stressing the valve flanges or the
reinforced concrete valve chamber walls. The valve chamber acts as the thrust block and must be
designed as such. The thrust restraint is placed on the compression side of the valve to transfer the
thrust directly to the chamber wall. The other end of the pipe system is relatively free to move
axially allowing for movement due to temperature change and Posson effect.

Consideration must be given to the possibility of back pressure on a closed valve which could create
a thrust load in the opposite direction. To accomodate this possibility the structural support system
can be designed to handle load in either direction. The details are left up to the design engineer.

Table 6.9 - Approximate hydrostatic forces on rubber ring jointed fittings per 10 metres
hystrostatic head (kN)

Tee / Closed
Pipe Pipe OD Bend Bend Bend Bend
0 0 0 0 end
DN (mm) 90 45 22.5 11.25
and Valve
4-9

300 345 13.22 7.15 3.65 1.83 9.35


375 426 20.16 10.91 5.56 2.79 14.25
450 507 28.55 15.45 7.88 3.96 20.19
525 587 38.27 20.71 10.56 5.31 27.06
600 667 49.41 26.74 13.63 6.85 34.94
675 747 61.98 33.54 17.10 8.59 43.83
750 826 75.78 41.01 20.91 10.50 53.59
900 923 94.63 51.21 26.11 13.12 66.91
1000 1025 116.70 63.16 32.20 16.18 82.52
1100 1127 141.17 76.40 38.95 19.57 99.76
1200 1229 167.77 90.80 46.29 23.26 118.63
1300 1331 196.90 106.56 54.32 27.29 139.14
1400 1433 228.09 123.44 62.93 31.62 161.28
1500 1535 261.88 141.73 72.25 36.30 185.60
1600 1637 297.65 161.09 82.12 41.26 210.47
1700 1739 336.11 181.90 92.73 46.59 237.51
1800 1841 376.46 203.74 103.86 52.18 266.19
1900 1943 419.60 227.08 115.77 58.16 296.51
2000 2045 464.51 251.39 128.16 64.39 328.46
2100 2148 512.81 277.53 141.48 71.08 362.38
2200 2249 561.81 304.05 155.00 77.88 397.26
2300 2351 614.32 332.47 169.49 85.15 434.11
2400 2453 668.35 361.71 184.40 92.64 472.59
2500 2555 725.55 392.67 200.18 100.57 512.71
2600 2657 784.64 424.64 216.48 108.76 554.46
3000 3065 1043 564.71 287.88 144.64 737.82
Note: For concentric reducers the resultant thrust will be the difference between the "closed end" forces
for the two pipes sizes.

Table 6.10 - Estimated horizontal soil-bearing capacities (kPa) - apply minimum factor of
safety of 1.1 for thrust block design
4-10

Soil group Minimum soil cover above fitting supported by thrust block
description as per
AS 1786
0.75 metre 1.0 metre 1.25 metre 1.5 metre
GW, SW 57 76 95 114
GP, SP 48 64 80 97
GM, SM 48 64 80 96
GC, SC 79 92 105 119
CL 74 85 95 106
ML 69 81 93 106
OH

Ref. http://www.iplex.com.au/iplex.php?page=lib&lib=31&sec=231&chap=293
-1

. . การขุดร่องวางท่อ
ก) ความกว้างของร่องคู ขึนอยูก่ บั ลักษณะของพืนทีทีแนวท่อพาดผ่าน โดยทัวไปจะกําหนดค่าความกว้างของร่องคู
ตรงหลังท่อ เป็ นไปตามสูตรการคิด ดังนี
-กรณีทอ่ มีขนาดเส้นผ่ศน
ู ย์กลางตํากว่า มิลลิเมตร

B = D + 40 (ซม.) (. )

-กรณีทอ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า มิลลิเมตร ขึนไป

B = D + 60 (ซม.) (4.19)

เมือ
B = ความกว้างของร่องคูวางท่อ (ซม.)
D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกท่อ (ซม.)
สําหรับรูปร่างของการขุดร่องคูวางท่อ มีลกั ษณะดังปรากฏตามรูปที 4-23

รูปที 4-23 ลักษณะการขุดร่องคูฝังท่อ


ข) ความลึกของดิ นถมหลังท่อ ค่าความลึกของชันดินเหนือหลังท่อขึนไปจะต้องมีคา่ เหมาะสมคือมีความลึกพอทีจะทํา
ให้เมือเกิดนําหนักกดสูงสุดลงบนบริเวณนีแล้ว ไม่เกิดอันตรายหรือความเสียหายขึนกับตัวท่อ ค่าความลึกของดินทับ
หลังท่อกําหนดใช้ตามตารางที 7.1
-2

ตารางที 7.1 ความลึกของดินถมหลังท่อ

ลักษณะบริเวณทีท่อผ่าน ความลึกดินถมหลังท่อ น้อยสุด (ม.)


ถนนสาธารณะ ถนนทีไม่ได้แบ่งเป็ นทางเดินคนหรือรถ .
ทางเดิน .
ถนนส่วนบุคคล .
บริเวณภายในทีพักอาศัย .

ค) การคํานวณแรงกดบนหลังท่อ แรงกดทีกระทําบนหลังท่อทีฝั งดิน แบ่งเป็ นแรงทีเกิดจากนําหนักดินถมหลังท่อ


และนําหนักจากปัจจัยภายนอกกระทํา (Surcharge load) เช่นนําหนักรถ นําหนักจรอืนๆ เป็ นต้น

)นําหนักเนื องจากดิ นถมหลังท่อ แรงกดทีเกิดขึนบนหลังท่ออันเนืองมาจากดินถมหลังท่อขึนอยูก่ บั การวาง


ท่อในชันดิน เช่นการวางท่อในร่องดินทีขุดแล้วถมกลับ หรือการวางท่อบนดินเดิมแล้วมีวสั ดุถมทับหลังท่อ ทัง กรณี
จะมีสมการทีใช้ในการคํานวณแตกต่างกัน แต่ในทีนีจะให้สมการคํานวณแรงกดกรณีวางท่อในร่องดินทีขุดแล้วถมกลับ
ดังต่อไปนี

กรณี วางท่อในร่องดินทีขุดแล้วถมกลับ

กรณีดนิ ถมหลังท่อลึก น้อยกว่าหรือเท่ากับ . เมตร

We  HBd (. )

กรณีดนิ ถมหลังท่อลึกมากกว่า . เมตร ขึนไป

We  C d HB 2 d (. )
H
 2 ku ( )
1 e Bd
Cd  (. )
2ku 

เมือ We = แรงกดบนท่อของนําหนักดินถม กก/ม.


Cd = ค่าสัมประสิทธิของแรงกด
 = นําหนักจําเพาะของดินถมหลังท่อ กก./ลบ.ม.
Bd = ความกว้างของร่องขุด ม.
e = ฐานของ Natural logarithms = 2.71828
k = ค่าสัมประสิทธิแรงดันดินของ Rankine
u’ = ค่าสัมประสิทธิความฝืดระหว่างดินทีกลบกับผนังด้านข้างของร่องดิน
H = ความลึกดินถมหลังท่อ ม.
-3

ค่า ku’ มีคา่ ดังนี


= . สําหรับ granular materials without cohesion
= 0.165 สําหรับ Max.for sand and gravel
= 0.150 สําหรับ Max. for saturated top soil
= 0.130 สําหรับ Ordinary max for clay
= 0.110 สําหรับ max. for saturated clay
) แรงกดเนื องจาก Surcharge load หมายถึงนําหนักเนืองจากยานพาหนะต่างๆทีวิงทับบนพืนดินบริเวณ
ฝั งท่อ เช่นนําหนักจากรถบรรทุก รถไฟและอืนๆ ในการคํานวณโดยทัวไปจะสมมติให้นําหนักทีกระทําแผ่กระจายลงไป
ยังตัวท่อ ซึงเป็ นไปตามสมการ Kogler ดังนี (ดูรปู ที - ประกอบ)

2 P (1  i )
Ws  (. )
(b  2 H tan  )(nL  ( n  1)c  a )

เมือ
Ws = นําหนักของรถทีถ่ายลงสูท
่ ่อ (กก./ตร.ม.)
H =ความลึกของดินถมหลังท่อ (ม)
P = นําหนักรถทีถ่ายลงล้อหลัง ข้าง
กรณีรถ HS20-44
P = (กก.)
a = ความกว้างของล้อทีสัมผัสพืน = 0.50 (ม.)
b = ความยาวของล้อทีสัมผัสกับพืน = . (ม)
L = ระยะห่างระหว่างล้อหลังด้านด้านกว้างของรถ = . (ม)
C = ระยะห่างของล้อระหว่างรถแต่ละคัน (ม)
n = จํานวนรถทีวิงผ่านท่อ (คัน)
 = มุมกระจายความเค้น โดยทัวไปใช้เท่ากับ องศา
I = ค่าสัมประสิทธิของการกระแทก
= . เมือ H  . ม.
= 0.65 – . H เมือ 1.50  H  . ม.
=0 เมือ H  6.50 ม.
-4

รูปที 4-24 ลักษณะการกระจายแรงกดบนท่ อทีฝั งอยู่ใต้ ดินเนืองมาจากนําหนักบรรทุกจรกระทํา

ง) การคํานวณหาค่ าการยุบตัวของท่ อ ท่อทีฝั งอยู่ใต้ ดินเมือมีนําหนักจากดินทีกลบทับหลังท่อและนําหนักบรรทุกจร


กระทํา ท่อจะเกิดการยุบตัว ลักษณะการยุบตัวของท่อแบ่งได้ เป็ น ลักษณะคือ การยุบตัวในแนวดิง และการยุบตัวใน
แนวราบ สําหรับสาเหตุทีทําให้ ท่อเกิดการยุบตัวมากหรื อน้ อย ขึนอยูก่ บั
. ขนาดนําหนักทังหมดทีกระทํากับตัวท่อ
. ชนิดของท่อทีเลือกใช้
. ความกว้ างของร่ องดินขุดวางท่อ ถ้ ากว้ างมากเกินไปก็จะทําให้ ท่อมีโอกาสยุบตัวในแนวราบมากขึน
. คุณภาพการบดอัดดินถมหลังท่อ
. คุณสมบัติของดินฐานรากทีวางท่อ
( ) การยุบตัวของท่อในแนวดิ ง แบ่งเป็ น กรณี คือ
. ) การยุบตัวของท่อในแนวดิงเนืองจากดินถม

k .We .R 4
Se = (. )
E .I

เมือ Se = การยุบตัวของท่อในแนวดิงเนืองจากนําหนักดินถม ซม.


We = นําหนักของดินถม กก./ซม2
R = รัศมีเฉลียของท่อ ซม.
E = ค่าโมดูลสั ความยืดหยุ่นของท่อ กก./ซม2
= 2.10 x 106 สําหรับท่อเหล็กเหนียว
I = โมเมนต์ความเฉือย ซม4
t3
=
12
k = ค่าสัมประสิทธิกําหนดโดยมุมรองรับท่อ 2 
-5

= 0.100 สําหรับ 2  = 60


= 0.084 สําหรับ 2  = 90
= 0.070 สําหรับ 2  = 120
2 = มุมสัมผัสท่อดังแสดงในตารางที 7.1
(ดูรปู ที - )ประกอบ

รู ปที - ลักษณะทีท่อถูกกระทําด้ วยนําหนักจากดินถม

ตารางที . แสดงค่ามุมสัมผัสท่อสําหรับชนิดดินฐานราก

ชนิดวัสดุฐานราก มุมสัมผัสท่อสําหรับ มุมสัมผัสท่อสําหรับ


ก่อสร้าง (2  ) ออกแบบ (2  )
GW, GP, GC, SW, SP 120 90
SM, SC 120 60
ML 120 60
-6

. ) การยุบตัวของท่อในแนวดิงเนืองจากนําหนักรถ

0 . 03 .Wt .R 4
St = (4.26 )
E .I

เมือ St = การยุบตัวของท่อในแนวดิงเนืองจากนําหนักรถ ซม.


Wt = นําหนักรถทีถ่ายลงล้อและกระจายสู่ทอ่ กก./ซม
R = รัศมีเฉลียของท่อ ซม.
E = ค่าโมดูลสั ความยืดหยุ่นของท่อ กก./ซม
I = โมเมนต์ความเฉือย ซม

รูปที - การยุบตัวของท่อแนวดิ งเนื องจากแรงทังหมด

. ) การยุบตัวของท่อในแนวดิงทังหมด

S = Se  st ( - )

และ S < % ของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในของท่อ


( ) การยุบตัวของท่อในแนวราบ

2 .Kx .We  Wt .R 4


DX = (- )

E .I  0 . 061 .E .R 3 
เมือ Dx = การยุบตัวของท่อในแนวราบเนืองจากนํ าหนักดินถม
และนําหนักรถ ซม.
-7

Kx = ค่าสัมประสิทธิระยะเคลือนทีแนวราบขึนกับมุมสัมผัสท่อ
ดูตารางที 7.2 กก./ซม
E = ค่าโมดูลสั ความยืดหยุ่นของดิน ดูตารางที 7.3 กก./ซม
R = รัศมีเฉลียของท่อ ซม.
และ Dx < % ของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในของท่อ

ตารางที . แสดงค่า Kh และ Kx

มุมสัมผัสท่อ (  ) Kh Kx
 . .
 . .
 . .
. .

ตารางที . แสดงค่า E (กก./ซม ) (ข้อมูลจาก U.S.B.R.data, )

E depending on compaction (ksc)


No Lightly Compacted Properly
Classification
Compaction P.D. 85% Compacted
Of Eart
R.D. 40% P.D. = 85 - 95%
R.D. = 40 - 70%
Fine – grained, plasticity : middle to high No data available, need consultation, otherwise, E= 0
Fine – grained, plasticity : nil to middle
3.5 14 28
CL, ML, ML - CL
Fine – grained W. more than 25% coarse
Grain, plasticity : nil to middle CL, ML,
7 28 70
ML – CL coarse – grained with more
than 12% fine grain, GM, GC, SM, SC
Coarse – grained with less than 12% fine
14 70 140
grain, GW, GP, SW, SP
P.D. = Proctor Density, R.D. = Relative Density

จ) หน่ วยแรงดัด (Flexural Stress)ทีเกิดกับท่ อ


เมือท่อฝังดินมีแรงกระทําทังจากนําหนักดินทับหลังท่อและนําหนักจร จะเกิดหน่วยแรงดัดขึนในผนังท่อ ท่อจะ
ปลอดภัยจากความเสียหายอันเนืองจากแรงดัดก็ต่อเมือหน่วยแรงทีเกิดขึนในผนังท่อมีค่าน้ อยกว่า หน่วยแรงทียอมให้ ของ
-8

วัสดุทีใช้ ทําผนังท่อนันๆ ตัวแปรทีมีผลต่อการเกิดหน่วยแรงดัดในผนังท่อมากหรือ น้ อย ประกอบด้ วย รู ปร่างของหน้ าตัดท่อ


สมบัติเชิงกลของวัสดุทีใช้ ทําท่อเช่น ค่าโมดูลสั ความยืดหยุ่นของวัสดุท่อ ขนาดของนําหนักทีกระทําต่อท่อ สมบัติของดิน
ขนาดของท่อ เป็ นต้ น หน่วยแรงดัดทีเกิดขึน คํานวณจากสูตร ได้ ดงั นี

2  K b .R 2 .E .I  0 . 061 .K b  0 . 083 .K x .E .R 5 


Sb = . (We + Wt).  (4-29)
f .z  
E .I  0 . 061 .E .R 3  

เมือ Sb = หน่ วยแรงดัดบริเวณส่วนล่างของท่อ กก./ซม.2


f = สัมประสิทธิ รูปร่าง = 1.5
Z = Section Modulus ซม.3
We = นําหนักดินถม กก./ซม.2
Wt = นําหนักรถ กก./ซม.2
R = รัศมีเฉลียของท่อ ซม.
E = โมดูลสั ความยืดหยุ่นของท่อ กก./ซม.
ท่อเหล็ก = . x กก./ซม.
I = โมเมนต์ความเฉือย ซม.
Kh = สัมประสิทธิของโมเมนต์ดดั ทีส่วนล่างของท่อขึนกับมุมสัมผัสท่อ
(ดูตารางที - )
Kx = สัมประสิทธิของระยะเคลือนทีในแนวราบขึนกับมุมสัมผัสท่อ
(ดูตารางที - )
E = ค่าโมดูลสั ความยืดหยุ่นของดิน
(ดูตารางที - ) กก./ซม
ทังนี Sb จะต้องน้อยกว่าหน่วยแรงดัดทียอมให้ของวัสดุทาํ ท่อทีกําหนดให้ ท่อนันจึงจะ
ปลอดภัยจาการความเสียหายเนืองจากการดัด (ท่อเหล็กเหนียว Sb = , กก./ซม )

ฉ) หน่ วยแรงปฏิ กิริยาทีฐานรองรับท่อ


การคํานวณหาค่าหน่วยแรงปฏิกริ ยิ าทีบริเวณฐานท่อ หมายถึงการหาค่าแรงต่อหน่ วยพืนทีทีกดทับ
จากท่อกระทําต่อดินบริเวณทีท่อพาดผ่านนัน แรงดังกล่าวจะมีค่ามากหรือน้อยขึนอยูก่ บั นํ าหนักของท่อกับนํา
และดินถมหลังท่อ นําหนักจร ขนาดของท่อ ลักษณะฐานรองท่อ เป็ นต้น สูตรคํานวณแรงปฏิกริ ยิ าของดิน
บริเวณฐานรองรับท่อ (R) คือ

Ww  W p
We  Wt  ( )
R 2r (- )
Sin
-9

เมือ R = หน่วยแรงปฏิกริ ยิ าทีฐานรองรับท่อ ตัน/ม.


We = นําหนักดินถมหลังท่อ ตัน/ม.
Wt = นําหนักรถทีกระจายลงท่อ ตัน/ม.
WW = นําหนักนําในท่อ ตัน/ม.
Wp = นําหนักท่อ ตัน/ม.
r = รัศมีภายนอกของท่อ ม.
 = ครึงหนึงของค่ามุมสัมผัสท่อ (มุมสัมผัสท่อ = ) องศา
มุม  ของฐานรากท่อแบบต่างๆแสดงตามรูปที 4-28

ทังนี ค่า R จะต้องน้อยกว่ากําลังรับแรงกดปลอดภัยต่อหน่วยพืนทีของดินฐานราก(Allowable soil


bearing capacity)

We+ Wt+ Ww+ Wp

r 2

R
รูปที - แสดงปฏิ กิริยาทีฐานรองรับท่อ
-10

900 1200

( ก) ฐานรากยึดแน่น 900 (ข) ฐานรากยึดแน่น 1200

1800

( ค) ฐานรากยึดแน่น 1800 (ง ) ฐานรากยึดแน่น 3600

รูปที 4-28 ฐานรากคอนกรีต


-11

ดินธรรมดาหรือ
ดินแข็ง 0.15-0.30 ม. 1200
ดินอ่อน > 0.50 ม. วัสดุฐานรากชนิด GW,GP ,
GC,SW,SP หรือ SM,SC,ML

รูปที - ฐานรากวัสดุชนิ ดต่าง

ช) การคํานวณค่าแรงยกตัวของท่อ (Uplift force)


ท่อทีฝั งดินทีมีสภาพอิมตัวด้วยนํา(Saturated) นําในดินนันจะมีแรงดันพยายามทําให้ท่อลอยตัวขึน ถ้าหาก
นําหนักดินทีกดทับหลังท่อมีไม่เพียงพออาจทําให้ท่อนันลอยตัวขึนมาได้ สูตรคํานวณค่าแรงยกตัวของนําทีกระทํากับ
ท่อ มีดงั นี

We  W p
 1.50 (- )
Fb

เมือ

We  ( soil   w ) H (- )

 (D 2o  D 2 )
Wp  i
p (- )
4 Do
D 2 o  w D o w
Fb   (- )
4 Do 4
-12

จากสมการ ( - ) – ( - ) ความลึกของดินถมหลังท่อทีปลอดภัย คือ

Do   D   
2

H 1.5 w  1   i    (- )
4( s   w )    Dc   p
   

โดยที
H = ความลึกปลอดภัยของดินถมหลังท่อ ม.
Di = ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางภายในท่อ ม.
Do = ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางภายนอกท่อ ม.
w = ค่าความหนาแน่นของนํา กก./ ลบ.ม.
s = ค่าความหนาแน่นของดินอิมตัวด้ วยนํา กก./ ลบ.ม.
p = ค่าความหนาแน่นของวัสดุทําท่อ กก./ ลบ.ม.
We= นําหนักของดินถมหลังท่อ กก./ ตร.ม.
Wp= นําหนักของท่อ กก./ ตร.ม.
Fb = แรงลอยตัว กก./ ตร.ม.
ในกรณีทีจําเป็ นต้ องฝั งท่อไม่ลกึ ทําให้ นําหนักจากดินถมหลังท่อไม่พอต้ านทานต่อแรงลอยตัว จะใช้ วิธีการเพิม
นําหนักด้ วยการหุ้มพอกด้ วยคอนกรี ตเพือให้ มีนําหนักเพิมขึนจนต้ านทานแรงลอยตัวได้ แต่จะทําให้ ค่าก่อสร้ างเพิมขึน
5-1

บทที
ทฤษฎีและการคํานวณเกียวกับเครืองสูบนํา

. หลักการและทฤษฎีเครืองสูบนํา
. . ความหมายของเครืองสูบ
เครืองสูบ (Pump) หมายถึง เครืองจักรกลทีทําหน้าทีถ่ายโอนพลังงานกลจากเครืองต้นกําลัง มาให้กบั ของไหลที
ไหลผ่านเครืองนัน ทังนีหากเครืองจักรนันทําหน้าทีถ่ายทอดพลังงานให้กบั ของเหลวจนทําให้ของเหลวนันเคลือนทีจาก
จุดหนึงไปยังอีกจุดหนึงโดยเฉพาะจากทีตําไปยังทีสูงกว่ามักจะเรียกเครืองจักรนีว่าเครืองสูบ (Pump) แต่หากถ่ายทอด
พลังงานไปให้ของไหลทีเป็ นก๊าซเช่นอากาศจนทําให้อากาศเกิดการเคลือนทีเครืองจักรเหล่านีก็ได้แก่พดั ลม (Fan)
เครืองเป่ า (Blower) เป็ นต้น แต่หากเครืองจักรเหล่านีทําหน้าทีให้ของไหลประเภทก๊าซเกิดการบีบอัดตัวจนเกิดความดัน
สูงก็มกั เรียกว่าเครืองอัด (Compressor) เป็ นไปตามลักษณะการทํางานของเครืองจักรนันๆ สําหรับเครืองสูบทีเกียวข้อง
อยูใ่ นชีวติ ประจําวันเสมอได้แก่เครืองสูบนํา (Water Pump) และเครืองสูบนํามัน (Oil Pump) หรือสูบสารเคมีประเภท
ของเหลวอืนๆทีมีลกั ษณะคล้ายๆกัน
โครงสร้างของเครืองสูบทัวไปจะประกอบด้วยตัวเรือน (Casing or Housing) แกนหมุนหรือเพลา (Shaft)
ใบพัด (Impeller) และครีบใบพัด (Vane or Blade)
. . การเพิ มเฮด (Head) ให้กบั ของเหลวโดยเครืองสูบนํา
เฮด(Head) หรือพลังงานต่อหน่วยนําหนักของของหลว ทีของเหลวได้รบั มาจากเครืองสูบนํา สามารถอธิบายได้
โดยสมการออยเลอร์ (Euler Equation) กรณีเป็ นเครืองสูบแบบแรงเหวียง (พวก Dynamic Pump) ได้ดงั นีคือ

รูปที - ลักษณะการไหลของของนําบริเวณใบพัดเครืองสูบนํา

เงือนไขการวิ เคราะห์การไหลทางทฤษฎี
ในการวิเคราะห์การไหลทางทฤษฎีนนั ได้กําหนดสมมติฐานทีใช้สาํ หรับการวิเคราะห์ไว้ดงั นี
.สมมติการไหลแบบ มิต ิ คือไหลในทิศทางตามแนวรัศมีของใบพัด (Radial)กับไหลในทิศทางตังฉากกับ
รัศมีหรือทิศสัมผัสเส้นรอบวง(Tangential) (รูปที - )
5-2

2.ในขณะทีใบพัดหมุน ถือว่าทุกๆส่วนของใบพัดมีนําอยู่เต็ม ไม่มชี ่องว่างทีเป็ นอากาศอยูเ่ ลย


.เส้นสายธารการไหลมีแนวเส้นเหมือนกับรูปร่างใบ (Blade) ของใบพัดเครืองสูบ
.ในการวิเคราะห์ใช้สมบัตขิ องของไหลประเภทไม่มคี วามหนืด (Invisible Fluid) และอัดตัวไม่ได้
(Incompressible fluid)
จากรูปที - เมือนํารูปเวคเตอร์ของความเร็วการไหลบริเวณใบของใบพัดทังด้านเข้าและออกจากใบพัดมา
เขียน โดยทีสัญลักษณ์ต่างๆ มีดงั นี

W2 V2

V2
2
2
Flow Direction
U2
Subscript:
W1
1 1 - inlet
V1 2 - exit
V1
 1
U1
(ก)

radial
W V W
Vr
   circumferential

V U

(ข) (ค)

รูปที - รูปสามเหลียมแทนความเร็วของการไหลบริ เวณใบพัด


5-3

จากตัวแปรทีเกียวข้อง ประกอบด้วย
 = มุมของใบ (Blade) ใบพัด ทราบได้จากรูปร่างของใบพัดและตัวใบทีถูกสร้างขึนมา
U = ความเร็วในทิศสัมผัสเส้นรอบวงของใบพัด(Impeller)
= r
Vr = ความเร็วการไหลทีแตกมาจาก V ในทิศเส้นรัศมีของใบพัด เมือทราบจะใช้นํามาคํานวณอัตรา
การไหลออกจากเครืองสูบ
  
V = ค่าความเร็วสัมบูรณ์ ( V  U  W )
W = ความเร็วการไหลทิศสัมผัสผิวใบ(Blade)ของใบพัด
V = ความเร็วทีแตกมาจากความเร็ว V
เลข แสดงจุดทีนําเข้าสู่ใบของใบพัด
เลข แสดงจุดทีนําออกจากใบของใบพัด
ดังนันจากรูปสามเหลียมแทนความเร็วการไหลภาพที - ก็จะสามารถหาความเร็วลัพธ์การไหลทีเกิดขึนได้
ต่อไปจะดูความสัมพันธ์ต่างๆอันเกิดจากการหมุนของใบพัดว่าจากตัวแปรทัง ตัวข้างต้นกับค่าความหนาแน่น
(Density) ของนํา สามารถทําให้เกิดเฮดทีเพิมขึนกับนําได้อย่างไร

(ก) (ข)

รูปที - รูป Free Body ของใบพัดเครืองสูบ

จากภาพที - เป็ นรูปอิสระ(Free Body Diagram) ของรัศมีใบพัดวัดจากจุดศูนย์กลางไปยังจุดใดๆของการไหล


บนใบ (Blade) ในทุกๆระยะรัศมีทเพิ
ี มขึนเท่ากับ dr เมือนํามาคํานวณมวลของนําทีจุดนัน จะได้ว่า
จาก dm = dV (.)
dm = ( /g )h x rd x dr

แรงเหวียงทีกระทําบนก้อนมวลเล็ก ทีกําลังพิจารณานี มีคา่ เท่ากับ dF


dF = dm x a
= ( /g )h x rd x dr x r x 2
5-4

dF = ( /g )h r22 dr d

เมือคิดเป็ นความดันทีเพิมขึน จากแรงเหวียง จะได้เป็ น


dP = dF/dA

hr 2 2 drd
dP 
ghrd

r 2 dr
dP 
g
ทําการอินทิเกรต dP ระหว่างจุดทีนําเข้าสู่ใบพัด (จุดที ) ทีรัศมี R1 และทีจุดนําออก (จุดที ) รัศมี R2 จะได้
(จาก U = r)

2 2
  (U 2  U 1 )
P2  P1   2 ( R2 2  R1 2 ) 
2g g 2

เมือเขียนในรูปของเฮด จะได้

2 2
U 2  U1
H 2  H1  (.)
2g

สมการนีอธิบายถึง เฮดทีของไหลได้รบั เมือของไหลนันถูกแรงเหวียงกระทํา หากคิดว่าไม่มกี ารสูญเสียพลังงาน


เกิดขึนเมือมีการไหลในบริเวณใบพัด เฮดนีเรียกว่า เฮดศักย์ (Potential Head) หรือ เฮดทางทฤษฎี
ทังนีนอกเหนือจากแรงเหวียงทีมีผลต่อเฮดศักย์ดงั กล่าวแล้ว ผลจากการเปลียนแปลงความเร็วของการไหลเมือผ่าน
ใบพัดยังทําให้คา่ เฮดศักย์เปลียนแปลงด้วย ดังนันสมการของเฮดศักย์ (Hp) จึงมีคา่ เป็ น

2 2 2 2
U 2  U1 W  W2
Hp   1
2g 2g
เฮดทีเกียวข้องอีกค่าหนึงในการทํางานของใบพัดคือเฮดความเร็ว ดังนันค่าเฮดทางทฤษฎีทของไหลได้
ี รบั
เพิมขึน จะเป็ น

2 2 2 2 2 2
U  U1 W  W2 V  V2
Hp  2  1  1
2g 2g 2g

จากรูปที - (ข) และ (ค)

W1  U 1  V1  2U 1V1COS  1
2 2 2
5-5

W 2  U 2  V2  2U 2V2 COS  2
2 2 2

จะได้
1
Hp  (U 2V2 COS 2  U 1V1COS 1 )
g

1
หรื อ Hp  (U 2V 2  U 1V 1 ) (.)
g

สมการนีคือสมการออยเลอร์สาํ หรับเครืองสูบแบบแรงเหวียง (Centrifugal Pump)


โดยปรกติ V1 จะมีคา่ น้อยมาก ดังนันสมการจะเป็ น

1
Hp  U 2V 2 (.)
g

จากสูตร
U 2  V 2
Cot 2 
Vr 2
แทนค่าจะได้
U 2 2 U 2Vr 2 Cot 2
Hp   (.)
g g

จากสมการ ออยเลอร์ จะเห็นว่า เฮดทีของเหลวได้รบั มาจากพลังงานอันเกิดจากการทํางานของเพลาเครืองจักร จะ


แปรผันตาม
- ความเร็วรอบของเพลา (ใบพัดทีหมุนเร็วกว่า จะได้เฮดมากกว่าใบพัดทีหมุนช้ากว่า)
- มุมของใบหรือครีบ (Blade) ของใบพัด

. . เฮด กับ อัตราการสูบ ของเครืองสูบนํ า

จาก Q  2r2 b2Vr 2 (5.6)

เมือ
b2 = ความกว้างของช่องภายในตัวเรือนเครืองสูบ (Volute)

เมือแทนค่าลงในสมการ ( . ) จะได้ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการสูบนํา กับ เฮด ทีได้ จะเป็ นไปตามสมการ

U Cot  2 Q
2
U2
Hp   2 (.)
g 2r2 b2 g
5-6

สมการที ( . ) คือความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการสูบกับเฮดทีได้จากเครืองสูบชนิดอาศัยแรงเหวียงของใบพัด เป็ น


ความสัมพันธ์ทางทฤษฎี ไม่ได้คาํ นึงถึงการเกิดการสูญเสียพลังงาน เมือนําสมการทีได้ไปเขียนเป็ นกราฟจะได้ดงั รูปที
- เปรียบเทียบให้เห็นระหว่างผลทีได้ทางทฤษฎีกบั สิงทีเกิดขึนจริง ซึงจากกราฟแสดงให้เห็นว่า head ทางทฤษฎี
ทีของไหลได้รบั จะ ลดลง เป็ นสัดส่วนโดยตรงกับการเพิมของอัตราการสูบ

รูปที - ความสัมพันธ์ระหว่าง เฮด กับ อัตราการไหลของเครืองสูบ

จากกราฟให้หมายความว่าเมือเครืองสูบเพิมเฮดให้กบั ของเหลวเท่ากับ H1 จะได้อตั ราการสูบจากเครืองเท่ากับ


Q1 แต่เมือเครืองสูบเดียวกันนีให้เฮดกับของเหลวลดลงเป็ น H2 (H1 > H2 ) สามารถทําให้อตั ราการสูบออกมาเป็ น
Q2 ซึงมีคา่ มากกว่า Q1 หรือกล่าวได้วา่ เครืองสูบทีสามารถสูบนําได้ท ี เฮด สูงๆ นัน จะให้อตั ราการไหลน้อยกว่าเครือง
สูบทีสูบด้วยเฮดทีตํากว่า

. . กฎความคล้ายคลึง (Affinity Laws)


หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆทีเกียวข้องกับการทํางานของเครืองสูบตัวหนึงได้แก่เฮด อัตราการ
ไหล เส้นผ่าศูนย์กลางของใบพัด ความเร็วรอบ กําลังและประสิทธิภาพ กับเครืองสูบตัวอืนๆทีมีความคล้ายคลึงกัน
ความสัมพันธ์ทได้ี สามารถนํามาใช้คาํ นวณเพือทํานายหรือหาค่าตัวแปรอืนๆเมือมีตวั แปรตัวใดตัวหนึงเปลียนแปลงไป
ชินส่วนสําคัญของเครืองสูบทีนํามาใช้เปรียบเทียบความคล้ายคลึงคือใบพัด ใบพัดของเครืองสูบตัวต่อไปทีถูกสร้าง
ขึนมาให้มคี วามคล้ายคลึงกันทางเรขาคณิตนัน พบว่าลักษณะการทํางานทีได้จากใบพัดเหล่านีก็จะมีความคล้ายคลึงกัน
เป็ นไปตามความสัมพันธ์ ดังนี
5-7

รูปที . ลักษณะความคล้ายคลึงของใบพัดของเครืองสูบระหว่างใบพัดต้นแบบ(ตัวทีหนึ ง (Prototype)กับ


ใบพัดทีจําลองขึน(Model) (ตัวทีสอง)

) กฎความคล้ายคลึงของอัตราการไหล
หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรชนิดอัตราการไหล(อัตราการสูบ)ของเครืองสูบตัวแรกกับตัวทีสอง พบว่า
อัตราส่วนอัตราการไหลระหว่างเครืองสูบตัวทีหนึงกับตัวทีสอง จะมีคา่ เท่ากับอัตราส่วนของความเร็วรอบเครืองสูบตัวที
หนึงกับสองคูณด้วยอัตราส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางของใบพัดระหว่างสองตัวนัน ดังสมการ (5.8) ถึง ( . )

q1 n1 d 1
 ( . )
q2 n2 d 2

กรณีหากเครืองสูบมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัดเท่ากัน (d1 = d2 ) จะได้วา่

q1 n1 (.)

q2 n2

กรณีหากเครืองสูบทังสองตัวมีความเร็วรอบเท่ากัน (n1 = n2 ) จะได้

q1 d1 (. )

q2 d2

เมือ
q = อัตราการไหล
n = ความเร็วรอบ
d = เส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด
หมายเลข หมายถึง ใบพัดต้นแบบหรือของเครืองสูบตัวแรก และหมายเลข หมายถึงใบพัดของ
เครืองสูบจําลองหรือเครืองสูบตัวทีสอง
5-8

สูตรความสัมพันธ์ของอัตราการสูบข้างบนนีสามารถนําไปใช้ได้กบั เครืองสูบเกือบทุกชนิด

) กฎความคล้ายคลึงของเฮด
หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรชนิดเฮดของเครืองสูบตัวแรกกับตัวทีสอง โดยทีอัตราส่วนระหว่างเฮดของ
เครืองสูบตัวทีหนึงกับสองจะมีคา่ เท่ากับค่ายกกําลังสองของอัตราส่วนระหว่างความเร็วรอบคูณด้วยค่ายกกําลังสองของ
อัตราส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด ดังสมการ

2 2
H1  n   d1  (. )
  1   
H2  n2   d2 

กรณีหากเครืองสูบมีขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางใบพัดเท่ากัน ( d1 = d2 ) จะได้ว่า

2
H1  n 
  1  (. )
H2  n2 

กรณีหากเครืองสูบมีความเร็วรอบเท่ากัน ( n1 = n2 ) จะได้
2
H1  d  (. )
  1 
H2  d2 

เมือ
H = เฮด
n = ความเร็วรอบ
d = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด
กฎความคล้ายคลึงของเฮดดังสมการข้างบนนี จะเหมาะสมต่อการนําไปใช้กบั เฉพาะเครีองสูบ
ชนิดเซนติฟิวกอลประเภทการตามแกนใบพัด(Axial Flow) และการไหลแบบผสม(Mixed Flow)

)กฏความคล้ายคลึงของกําลัง (Power)

3 3
P1  n   d1 
  1    (. )
P2  n2   d2 

กรณีหากเครืองสูบมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัดเท่ากัน (d1 = d2 ) จะได้ว่า


5-9

3
P1 n  (. )
  1 
P2  n2 
กรณีหากเครืองสูบมีความเร็วรอบเท่ากัน ( n1 = n2 ) จะได้

3
P1  d 1 
  (. )
P2  d 2 

เมือ
P = กําลัง
n = ความเร็วรอบ
d = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด
สําหรับสูตรอืนๆเกียวกับความสัมพันธ์ระหว่างเครืองสูบแบบจําลอง (Model) กับ เครืองสูบต้นแบบ
(Prototype) มีดงั นี

n1 d 2 h1
 (. )
n2 d1 h2

2 4
h1  q1  3  n1 3
    (. )
h2  q 2   n2 

1
2
q1  d1   h1  2
    (. )
q 2  d 2   h2 

3
q1  n1  d1 
    (. )
q 2  n2  d 2 

3
2
p1  h1  2  d1 
    (. )
p 2  h2   d 2 

3 5
p1  n1   d1 
    (. )
p 2  n 2   d2 
5-10

หากเป็ นกรณีท ี h1 = h2 ดังนัน


2 2
h1  d1   n1 
     1 (. )
h2  d 2   n2 

d1 n 2
จะได้วา่  (. )
d 2 n1

ตัวอย่างที เรืองกฎแห่งความคล้ายคลึง (Affinity Law)


สมมติวา่ มีเครืองสูบตัวหนึง หากทําการเดินเครืองโดยการเพิมความเร็วรอบของการหมุนของใบพัดขึนอีก
% อยากทราบว่าเกิดการเปลียนแปลงเกียวกับอัตราการสูบ เฮดและกําลังอย่างไร เมือใช้กฎของความคล้ายคลึง
ในการหา ?

วิ ธีทาํ
เส้นผ่าศูนย์กลางใบพัดคงทีเนืองจากเป็ นเครืองสูบตัวเดิม (d1 = d2 ) แต่ความเร็วรอบเพิม % หรือ
n2 = 1.10 n1
( )การหาค่าอัตราการสูบ q ทีเครืองสูบจะทํางานได้ เมือความเร็วรอบเพิม %
จาก
q1 n1

q2 n2
q1 n 2
q2 
n1

= 1.10 q1
นันคือ เครืองสูบจะทํางานโดยให้อตั ราการสูบเพิมขึน %

( ) การหาค่า h ของเครืองสูบทีทํางานให้ได้เมือความเร็วรอบเพิม %
จาก
2
h1  n1 
 
h2  n2 

2
h1 n2
h2  2
n1
= 1.21 h1

นันคือ h ของเครืองสูบจะเพิมขึน 21 %
5-11

( ) การหาค่า p ของเครืองสูบทีทํางานให้ได้เมือความเร็วรอบเพิม %
จาก

3
p1  n1 
 
p 2  n 2 
3
pn
p 2  1 32
n1
= 1.33 p1

นันคือ p ของเครืองสูบจะได้เพิมขึน 33 %

. . ความเร็วจําเพาะ (Specific Speed, Ns)


หมายถึง ความเร็วรอบของใบพัดซึงจะให้อตั ราการไหล หน่วย และเฮด หน่ วย ภายใต้สภาพการทํางาน
เดียวกับเครืองสูบต้นแบบ (Prototype) สูตรคํานวณ มีดงั นี

N Q (. )
N s 
เมือ 3
H 4
Ns = ความเร็วจําเพาะ (ไม่มหี น่วย)
N = ความเร็วรอบ (รอบ ต่อ นาที)
Q = อัตราการสูบ (ลบ.ม. ต่อ ชม.)
H = เฮดรวม (Total Dynamic Head) (เมตร)
หน่วยทีใช้ขา้ งบนเป็ นหน่วยของระบบเมตริก แต่สามารถใช้เป็ นหน่วยของ US (อเมริกา) หรือ UK (อังกฤษ)
โดยที
Q หน่วย US จะเป็ น gpm ของระบบ UK เป็ น gpm
H หน่วย US จะเป็ น ฟุต ของระบบ UK เป็ น ฟุต
ซึงจะทําให้คา่ ความเร็วจําเพาะทีได้แตกต่างไป ทังนีสามารถแปลงค่าของ Ns ได้ดงั นี
Ns (US) = . Ns (metric )
Ns (Metric ) = 0.614 Ns (US)
Ns (Metric) = . Ns (UK)

ตัวอย่างที ใบพัดของเครืองสูบตัวหนึง มีความเร็วรอบ รอบ ต่อ นาที อัตราการสูบ ลบ.ม. ต่อ ชม. และ
ได้เฮดเท่ากับ ม. ค่าความเร็วจําเพาะของใบพัดชุดนีเป็ นเท่าไร ?

วิ ธีทาํ
แทนค่า N = 1760 รอบ ต่อ นาที Q = 1500 ลบ.ม.ต่อ ชม. และ H = 100 ม. ลงในสมการที ( . ) ได้
Ns = ซึงเป็ นค่าซึงใช้หน่วยของระบบเมตริก เมือต้องการแปลงเป็ นค่าในระบบหน่วยอืนๆ จะ
ได้
Ns = . x = 3514 (US)
Ns = /0.67 = 3218 (UK)
5-12

( ) Ns กับ กฎความคล้ายคลึง
ใบพัดทีมีความคล้ายคลึงกันทางเรขาคณิตทุกใบ จะมีคา่ ความเร็วจําเพาะ ค่าเดียวกัน ดังนันจึงใช้คา่
ความเร็วจําเพาะเป็ นเบอร์ระบุสดั ส่วนและรูปทรงของใบพัด เพือความเข้าใจดูรปู ที - และ - ใบพัดทัง อันมีคา่
Ns เท่ากันคือ แต่ใบพัดทังคูม่ ขี นาดไม่เท่ากันแต่มคี วามคล้ายคลึงกัน ดังนันความหมายของค่า Ns อาจกล่าวให้
เข้าใจง่ายเข้าว่าหมายถึงค่าทีใช้บ่งบอกถึงรูปร่างของใบพัดทีคล้ายกันแต่อาจมีขนาดต่างกัน นันเอง

รูปที - ใบพัดทีมีความคล้ายคลึงกันจะมีค่าความเร็วจําเพาะเท่ากัน

รูปที - ค่าความเร็วจําเพาะของใบพัดสําหรับเครืองสูบประเภทต่างๆ

ตัวอย่างที ความสัมพันธ์ระหว่าง Ns กับความเร็วรอบ N ทีใช้


ต้องการสูบนําให้ได้ในอัตรา ลบ.ม. ต่อ ชม. สมมติวา่ จากการวางตําแหน่งเครืองสูบพร้อมทังระบบท่อ
แล้วมาคํานวณเฮดรวม (Total Head) ได้เท่ากับ ม. จงหาว่าควรทีจะเลือกใช้ความเร็วรอบทีเหมาะสมเท่าไร
สําหรับเครืองสูบตัวนีจึงจะทําให้ได้อตั ราการสูบตามทีต้องการ ?

วิ ธีทาํ
สมมติวา่ เลือกใช้เครืองสูบแบบ Radial Flow และเลือกทีค่าความเร็วจําเพาะ (Ns) เท่ากับ จากสมการ
N Q
N s  3
H 4
5-13

หรือ
3
N H 4
N  s

แทนค่า Ns = 500
H = 95 เมตร
Q = ลบ.ม. ต่อ ชม.
ได้ N = 1451.78 รอบ ต่อ นาที หรือเลือก รอบ ต่อ นาที

คําอธิ บาย
จากตัวอย่างเรืองความเร็วจําเพาะ อธิบายได้วา่ หากเลือกปั มชนิดไหลตามแนวรัศมี (Radial Flow) ที
ความเร็วจําเพาะ เท่ากับ เมือมีเฮดเท่ากับ ม. และต้องการได้ Q = ลบ.ม./ชม. หากมี เฮด (H) = ม. และ
ต้องการได้ Q = ลบ.ม./ชม. จะต้องเลือกเครืองสูบทีมีใบพัดรูปร่างคล้ายคลึงกัน(รูปร่างเหมือนกันแต่ขนาดไม่
เท่ากันและมีคา่ Ns= 500) โดยต้องให้หมุนด้วยความเร็วรอบเท่ากับ รอบต่อนาที นันเอง

2.5 แบบฝึ กหัด


1.จงอธิบายถึงลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างเฮดและอัตราการสูบ ทีได้จากเครืองสูบนํา
2.กฏความคล้ายคลึง นําไปใช้ประโยชน์เกียวกับเครืองสูบนําอย่างไร
3.ค่าความเร็วจําเพาะคืออะไร นําไปใช้อย่างไร
-1

. ประเภทของเครืองสูบ
. . แบ่งตามหลักการขับดันของไหล สามารถจําแนกได้เป็ น ประเภทใหญ่ๆ คือ
-เครืองสูบแบบให้การไหลหรือเคลือนทีต่อเนือง (Dynamic Pump) มีลกั ษณะการทํางานโดยเครืองสูบเพิม
ความเร็วให้ของไหลโดยของไหลไหลผ่านใบพัดทีกําลังหมุนจนเกิดแรงเหวียงหนีศนู ย์กลาง เนืองจากมีชนส่ ิ วนสําคัญคือ
ใบพัดทําให้เครืองสูบประเภทนีมีชอเรี
ื ยกอีกอย่างหนึงว่า เครืองจักรใบพัด (Turbo machine)
-เครืองสูบแบบของไหลแทนที (Positive Displacement Pump) มีลกั ษณะการทํางานโดยจะใช้ชนส่ ิ วนของ
เครืองจักรทําการอัดและดันของไหลเพือให้เกิดการแทนทีและเคลือนทีของของไหลในห้องสูบอย่างต่อเนือง
(ก) เครืองสูบแบบให้การไหลหรือเคลือนทีต่อเนื อง ( Dynamic Pump) แบ่งตามทิศทางของการไหล
ภายในห้องสูบหรือเรือนปั ม ได้เป็ น ประเภท คือ
ประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัด (Radial Flow Pump)
ประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด (Axial Flow Pump)
ประเภทไหลแบบผสม (Mixed Flow Pump)
ประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัด จะอาศัยแรงเหวียงหนีศนู ย์กลางทีเกิดขึนในเรือนเครืองสูบ(Pump Case)
ของเหลวจะไหลออกจากใบพัดในทิศทางตังฉากกับเพลาซึงใบพัดชนิดนีจะให้ เฮด (Head) มากกว่าประเภทไหลแบบ
ผสมและประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด แต่จะให้อตั ราการสูบ (Flow Rate) น้อยกว่า
ประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด ทิศทางการไหลจะขนานกับเพลาใบพัด(Axis)เครืองสูบประเภทนีจะ
ให้เฮด น้อยกว่าประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัดประเภทไหลแบบผสม แต่อตั ราการสูบมากกว่า
ประเภทไหลแบบผสม ทิศทางการไหลออกจากใบพัดทํามุมเอียง 45°- 80° กับแกนเพลาใบพัดเครืองสูบ
ประเภทนีจะให้เฮด มากกว่า ประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด แต่น้อยกว่า ประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัด อัตรา
การสูบน้อยกว่า
เครืองสูบนําในงานชลประทานส่วนมาก(หรือทีนิยมใช้กนั อยูเ่ กือบทังหมด) เป็ นสูบแบบไหลต่อเนือง (
Dynamic Pump) ทํางานโดยการถ่ายเทพลังงาน จากต้นกําลังไปสูข่ องเหลว โดยการหมุนของใบพัด (Impeller) โดยมี
เรือนปั ม (Case) ทําหน้าทีรวบรวมของเหลวทีถูกเหวียงหรือ ดัน ออกจากใบพัด ไปสูช่ ่องทางจ่าย ลักษณะของเครือง
สูบชนิดไหลแบบต่อเนืองประเภทไหลตามแนวรัศมีใบพัด (Radial Flow Pump) ทีพบบ่อยก็คอื เครืองสูบชนิดหอยโข่ง
หรือแบบเซนตริฟิวกอล (Centrifugal Pump) รูปที 5-8 , 5-9 และรูปที 5.10 แสดงลักษณะของการทํางานของเครืองสูบ
ประเภทไหลตามแนวรัศมี ส่วนรูปที 5-11 เป็ นลักษณะของเครืองสูบประเภทไหลตามแนวแกน

รูปที - เครืองสูบนําชนิ ดไหลในแนวรัศมีใบพัด(ใช้รปู ใหม่)


-2

ใบพัด

ช่องในตัวเรือนปั ม

รูปที - ลักษณะการทํางานของใบพัดเครืองสูบนําแบบไหลในแนวรัศมีใบพัด(รูปใหม่)

รูปที - ลักษณะการไหลบริ เวณใบพัดของเครืองสูบนําแบบ Centrifugal

แกนใบพัด

รูปที - ลักษณะใบพัดและการไหลของเครื องสูบชนิ ดไหลตามแนวแกนใบพัด


(Axial Flow Pumps)
-3

ภาพที - ลักษณะของใบพัดเครืองสูบชนิ ดไหลแบบผสม (Mixed Flow Pumps)

(ข) เครืองสูบชนิ ดสูบแบบไหลแทนที (Positive Displacement Pump) ชนิดของเครืองสูบประเภทไหล


แทนที ทีรูจ้ กั กันทัวไป ได้แก่ เครืองสูบแบบโรตารี แบบฟันเฟื อง และแบบลูกสูบชัก (รูปที - และ - , - )

รูปที - เครืองสูบแบบโรตารี (Rotary Pump)

ทางนําออก

ฟั นเฟื อง(Gear)

ทางนําเข้ า

รูปที - ลักษณะภายในห้องสูบของเครืองสูบแบบฟั นเฟื อง (Gear Pump)


-4

ทางนําออก

ลูกสูบ ทางนําเข้า

รูปที - รูปร่างของเครืองสูบแบบลูกสูบชัก(ใช้รปู ใหม่)

. . การแบ่งประเภทของเครืองสูบตามลักษณะการเพิ มพลังงานให้แก่ของเหลว
นอกเหนือจากการแบ่งประเภทเครืองสูบโดยดูตามลักษณะการขับดันของไหลออกจากตัวเครืองสูบดังกล่าวไว้
แล้วในหัวข้อที 1.2.1 แล้ว หากแบ่งประเภทเครืองสูบตามลักษณะการถ่ายทอดพลังงานให้กบั ของไหลภายในตัวเครือง
สูบ สามารถแบ่งออกได้แบ่งเป็ น
. แบบเซนตริฟิวกอล (Centrifugal Pump) เพิมพลังงานให้ของไหลโดยอาศัยแรงเหวียงหนีศนู ย์กลาง
. แบบโรตารี (Rotary Pump) ลักษณะเป็ นเครืองสูบทีมีใบพัด(Vane) ทีติดอยูก่ บั ตัวหมุนทีเป็ นวงกลม
(Rotor) โดยมีจุดหมุนอยู่เยืองออกจากจุดศูนย์กลางของวงกลมโรเตอร์นีทําให้การหมุนของโรเตอร์ภายในเรือนปั มมี
ลักษณะเป็ นลูกเบียว เมือโรเตอร์หมุนจะเกิดลักษณะเคลือนเข้าชิดและห่างออกจากทังทางเข้า (Inlet) และทางออก
(Exhaust) ของของเหลวเกิดลักษณะการดูดและผลักของไหลออกอย่างต่อเนือง
. แบบลูกสูบชัก (Reciprocating) เพิมพลังงานโดยการอัดและดันของไหลโดยตรงในกระบอกสูบ
. แบบอืนๆ เป็ นการเพิมพลังงานโดยอาศัยกลไกอืนๆนอกเหนือจากข้างต้นเช่นแบบฟันเฟื อง

ทีกล่าวมาเป็ นประเภทของเครืองสูบทีมีอยูใ่ นปั จจุบนั แต่อาจมองภาพไม่เข้าใจทังหมด ดังนันเพือให้เห็น


ภาพรวมของประเภทเครืองสูบทังหมดแยกตามแต่ละลักษณะ จึงได้แสดงไว้เป็ นรูปภาพดังปรากฏตามรูปที -
-5

Pump

Dynamic Pump Displacement Pump

Centrifugal Pump Reciprocating Pump Rotary Pump

-Overhung Pump -Piston -Gear Pump


-Between Bearing Pump - Packed Plunger - Lobe Pump
-Vertically Suspended Pump -Diaphragm -Vane Pump
- Sealless Pump -Screw Pump
- Submersible Pump
- Horizontal Self –priming
Pump
รูปที - ประเภทของเครืองสูบนํา

1.3 แบบฝึ กหัด


1. เครืองสูบนําแบ่งได้เป็ นประเภทใหญ่และแยกย่อยได้เป็ นอะไรบ้าง
2. ให้อธิบายความหมายของเครืองสูบนําแบบ Radial Flow, Axial Flow และ Mixed Flow Pump
3. หลักการทํางานของเครืองสูบแบบ Dynamic เป็ นอย่างไร จงอธิบาย
4. หลักการทํางานของเครืองสูบแบบไหลแทนที เป็ นอย่างไร จงอธิบาย
-1

. กราฟแสดงผลการทํางานเครืองสูบนํา (Pump Performance Curve)


ผลการทํางานของเครืองสูบรวมทังค่าต่างๆทีเกิดขึนระบบท่อส่งนําสามารถแสดงผลออกมาใน
รูปของกราฟเพือทําให้เข้าใจได้งา่ ย กะทัดรัดและสะดวกต่อการนําไปใช้งาน กราฟดังกล่าว ประกอบด้วย
.กราฟเฮด-อัตราการสูบ (Head-Discharge Curve Or H – Q Curve)
.กราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบ ( Pump Performance Curve)
.กราฟเฮดของระบบสูบ (System Head Curve)

. . กราฟเฮด-อัตราการสูบ (Head-Discharge Curve Or H – Q Curve)


เป็ นกราฟทีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการสูบทีได้จากเครืองสูบ ( Discharge ,Q ) และ
เฮด (Head,H)กราฟทีได้เป็ นผลจากการทดสอบเครืองสูบรุน่ ใดๆทีผลิตออกมาจากโรงงานทีมีลกั ษณะ
เฉพาะเจาะจง เช่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด ความเร็วรอบเป็ นต้น (รูปที . )
. . กราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบ ( Pump Performance Curve)
นอกจากเส้นกราฟความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการสูบกับเฮดดังได้กล่าวแล้วอาจจะมีเส้นกราฟแสดง
ค่าอืนๆรวมอยูใ่ นรูปเดียวกันด้วย ทําให้เรียกเป็ นชือกราฟนีว่า กราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบ(
Pump Performance Curve หรือ Characteristic Curve ) (รูปที . ) เส้นกราฟอืนๆประกอบด้วย
-เส้นกราฟแสดงประสิทธิภาพของเครืองสูบ (Efficiency)
-เส้นกราฟแสดงค่าเฮดสุทธิดา้ นดูดค่าบวกทีต้องการ (NPSHr,Required Net Positive
Suction Head)
-เส้นกราฟแสดงค่ากําลัง(Power)หรือแรงม้าทีเครืองสูบนันต้องการจากต้นกําลัง (Brake
Horsepower)

รูปที . ตัวอย่างกราฟเฮด – อัตราการสูบของเครืองสูบนํายีห้อหนึ ง


-2

รูปที . Pump Performance Curve หรือ Characteristic Curve

จากกราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบ จะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการสูบ กับ


เฮดทีเครืองสูบ สามารถทํางานให้ได้นนจะมี
ั ลกั ษณะเป็ นปฏิภาคกัน กล่าวคือถ้าจะให้เครืองสูบ
ทํางานให้ได้อตั ราการสูบมากขึน เครืองสูบนันจะต้องทํางานภายใต้เฮดทีลดลงหรือพูดให้งา่ ยเข้าคือ
-3

ต้องทํางานภายใต้เฮดทีไม่สงู ในขณะเดียวกันหากต้องการให้เครืองสูบนันสามารถสูบส่งนําได้เฮด
สูงๆ(อาจจะหมายถึงระยะยกสูงหรือระยะทางไกล)อัตราการสูบทีได้จะต้องน้อยลงตามมา
สําหรับเส้นกราฟแสดงประสิทธิภาพ(ประสิทธิภาพของเครืองสูบหมายถึงอัตราส่วนระหว่างกําลัง
ทีเครืองสูบถ่ายทอดให้กบั ของไหล กับ กําลังทีเครืองสูบได้รบั มาจากต้นกําลังหรือ Water
horsepower/Brake horsepower)จะมีลกั ษณะเป็ นกราฟโค้งควํา แสดงให้เห็นว่าเครืองสูบนําตัว
นันๆจะให้ประสิทธิภาพทีดีทสุี ดทีค่าอัตราการสูบและเฮดค่าใดค่าหนึงเพียงค่าเดียว
การอ่านค่าจากกราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบ
การนํากราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบไปใช้งานควรกระทําด้วยความถูกต้อง ดังต่อไปนี
.จากค่าอัตราการสูบทีทราบ ลากเส้นจากจุดดังกล่าวขึนไปในแนวดิงเพือไปตัดกับเส้นกราฟ
เฮดของเครืองสูบทีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัดค่าทีสนใจ
.ค่าอืนๆทีเหลืออยูแ่ ละต้องการทราบค่าเช่นประสิทธิภาพ กําลัง ก็ให้อา่ นจากจุดตัดนีโดยอาศัย
การประมาณค่าแบบInterpolate ระหว่างจุดทีทราบค่าใกล้เคียง
. . กราฟเฮดของระบบสูบ (System Head Curve)
หมายถึง กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเฮด( Head) กับอัตราการสูบ (Discharge) ของ
ระบบสูบ (ระบบสูบ ประกอบด้วย ตัวเครืองสูบและอุปกรณ์ ประกอบท่อทังด้านดูดและส่งพร้อมอุปกรณ์)
กราฟเฮดของระบบจะใช้บ่งบอกว่า เมือเราต้องการสูบนําเข้าสูร่ ะบบท่อระบบหนึง เมือ เฮด (เฮดด้านดูด
+ ด้านจ่าย + เฮดสูญเสียต่างๆ) แปรเปลียนไปจะมีผลต่ออัตราการสูบ ของระบบอย่างไร (รูปที . )

รูปที . กราฟเฮด - อัตราการสูบ (System curve) กับ กราฟแสดงผลการทํางานของ


เครืองสูบนํา

ลักษณะรูปร่างของกราฟเฮดของระบบสูบจะไม่ขนอยู
ึ ่กบั ลักษณะของตัวเครืองสูบนํา รูปร่างพืนฐาน
โดยทัวไปของกราฟจะเป็ นรูปพาราโบลาตามรูปสมการของค่าการสูญเสียเฮดในระบบท่อ(มีคา่ เลขยก
-4

กําลังเท่ากับ . หรือใกล้เคียง) เส้นกราฟอาจจะเริมจากค่าอัตราการไหลและเฮดทีเป็ นศูนย์ในกรณีระบบ


สูบนันไม่มคี า่ เฮดสถิต(เฮดของระบบมีแต่เฮดทีเกิดจาการสูญเสียไปจากการไหลผ่านท่อ) สําหรับระบบ
ท่อจําพวกระบบสปริงเกลอร์หรือระบบนําหยดนันอาจจะมีเส้นกราฟมากกว่าหนึงเส้นอันเนืองมาจากใน
ระบบท่อเองถูกออกแบบไว้ให้สามารถทําการเคลือนย้ายตําแหน่ งของท่อไปยังตําแหน่งต่างๆได้ตามที
กําหนดไว้ระหว่างทําการส่งนํ า(เรียกระบบพวกนีว่าระบบทีเคลือนย้ายแนวท่อตามเวลา-Periodic move
system,ระบบเคลือนย้ายแบบต่อเนือง-Continuous move system) เมือนํากราฟเฮดของระบบสูบไป
พล๊อตบนรูปเดียวกับกราฟแสดงการทํางานของเครืองสูบ จุดทีกราฟ เส้นตัดกันเรียกว่า จุดทีเครืองสูบ
ทํางาน(Operating point) ดังรูปที . เพือความเข้าใจขอยกตัวอย่างลักษณะของกราฟเฮดของระบบ
สูบแบบต่างๆดังนี
.ระบบสูบจากแหล่งนําหนึงไปยังอีกแหล่งนําหนึงทีมีระดับเดียวกัน กรณีนีกราฟเฮดของระบบจะ
เริมจากค่าอัตราการสูบเท่ากับศูนย์และเฮดก็จะมีคา่ เท่ากับศูนย์ เนืองจากขณะทีไม่มอี ตั ราการไหล
เกิดขึนจะไม่เกิดการสูญเสียเฮดในระบบท่อขึนเช่นเดียวกัน และเฮดสถิตย์อนั เนืองจากการต่างระดับของ
แหล่งนําทังสองไม่มี

เฮด

อัตราการสูบ

รูปที . กราฟเฮดระบบเมือสูบนําจาก แหล่งทีมีระดับเดียวกัน


-5

.ระบบสูบจากแหล่งนําตําไปยังแหล่งนําสูงกว่า กรณีนีระบบจะมีเฮดสถิตย์เพิมเข้ามาเนืองจาก
ต้องสูบจากทีตําขึนไปบนทีสูง ดังรูปที .

เฮดสถิตย์

เฮด

เฮดสถิตย์
0
อัตราการสู บ

รูปที . กราฟเฮดระบบเมือสูบนําจากทีตําขึนทีสูง

. . ขันตอนการสร้างกราฟเฮดของระบบสูบ( System Head Curve)


.เริมจาก เครืองสูบนํา และ ระบบท่อทีได้กาํ หนดขนาดท่อและแนวท่อไว้เรียบร้อยแล้ว
.สมมติคา่ อัตราการสูบทีค่าต่างๆกันหลายค่า ซึงจะผ่านเข้าสูร่ ะบบท่อ
.แต่ละอัตราการสูบทีสมมติขนึ ให้คาํ นวณค่า Total Dynamic Head ตามหลักชลศาสตร์
ของระบบท่อ (ดูจากหัวข้อชลศาสตร์การไหลในท่อ)
.ข้อมูลทีได้คอื Q และ H นําไปพล๊อตกราฟดังตัวอย่างแสดงไว้ตามรูปที .
-6

H3

H2

H1

Q1 Q2 Q3

รูปที . การสร้างการ System Head Curve

. . การเลือกเครืองสูบนําจากกราฟ
ในการเลือกเครืองสูบนํา จะเลือกเครืองสูบทีสามารถให้ เฮด และ อัตราการสูบ
เป็ นไปตามทีต้องการ ในการเลือกเครืองสูบนําจะอาศัยการตัดกันระหว่างเส้นกราฟ H-Q กับเส้นกราฟ
เฮดของระบบ จุดตัดทีได้จากเส้นกราฟทังคู่จะเรียกว่า จุดทํางานของเครืองสูบนํา (Operating Point) จุด
ทีปั มทํางาน (Operating Point) หมายถึง จุดทีแสดงความสอดคล้องกันระหว่างอัตราการสูบและเฮดทีได้
จากปั มตัวนันๆ กับ ระบบสูบนํา ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้ปัมยีห้อหนึง ซึงผูผ้ ลิตกําหนดให้ Performance
Curve มารูปหนึง และจากการวางแนวออกแบบระบบท่อเส้นหนึงเมือนํามาคํานวณเฮดของระบบทีค่า Q
ต่างๆทําให้ได้ System Head Curve มารูปหนึงเช่นกัน เมือลากเส้นออกจากจุดตัดไปยังแกนของเฮด
และแกนของอัตราการสูบ จะได้คา่ H1 และ Q1 ตามลําดับ จากรูป H1 และ Q1 เป็ นเฮด และอัตราการ
สูบ ทีจะได้จากเครืองสูบนีและ สอดคล้องกับ H และ Q ของระบบสูบนํานี ดังแสดงไว้ตามรูปที 5.23 (ก)
และ (ข)
-7

Q1

(ก)

H System head
H-Q curve curve

H1

Q1 Q

(ข) การเลือกเครืองสูบจากกราฟ H-Q กับกราฟ System head

รูปที 5.23 การเลือกเครืองสูบนําจากกราฟ

ในทางปฏิบตั สิ าํ หรับการเลือกเครืองสูบนํานัน ผูใ้ ช้จะมีคา่ เฮดรวม และอัตราการสูบทีต้องการ


เป็ นข้อมูลอยู่เพียงค่าเดียวไม่ได้เป็ นเส้นกราฟเฮดของระบบ ดังนันจะอาศัยการลากเส้นตรงแนวดิงจาก
ค่าอัตราการสูบทีต้องการ ไปตัดกับเส้นแนวราบทีลากจากจุดค่าเฮดรวมทีต้องการ จุดตัดตกอยู่บนเส้น
หรือใกล้เส้นกราฟ H-Q ของเครืองสูบรุน่ ใด ก็จะเลือกใช้เครืองสูบรุ่นนัน ตามรูปที .
-8

รูปที 5.24 การเลือกเครืองสูบนําจากค่าเฮดรวมและอัตราการสูบที ต้องการ

ตัวอย่างที 4 การเลือกเครืองสูบนําจากกราฟ
จากกราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบนําตัวหนึง(รูปที - ) สมมติว่าต้องการเฮดรวม
เท่ากับ 120 ฟุตและอัตราการสูบเท่ากับ 900 แกลลอน ต่อ นาที จงเลือกว่าต้องใช้เครืองสูบนําที
ความเร็วรอบ ประสิทธิภาพและกําลังของเครืองต้นกําลังทีจะมาใช้ขบั เครืองสูบนํานี
-9

รูปที 5.25 กราพแสดงผลการทํางานของเครืองสูบนํา สําหรับตัวอย่างที


วิ ธีทาํ
จากรูปกราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบนําทีเลือกมา จะประกอบด้วย
เส้นกราฟของความเร็วรอบขนาดต่างๆตังแต่ 1200 รอบ ต่อนาที จนถึง 1900 รอบ ต่อ นาที
เส้นกราฟกําลังของต้นกําลัง,BPH ตังแต่ 10 – 70 BPH
เส้นกราฟประสิทธิภาพของเครืองสูบ ตังแต่ 50 – 72 %
เส้นกราฟ Net Positive Suction Head ทีต้องการ
ทําการลากเส้นแนวตังจากแกนอัตราการสูบทีต้องการ 900 แกลลอน ต่อ นาที ไปตัดกับเส้นแนวราบที
ลากจากแกนเฮดรวม (เส้นประ) จุดทีเส้นตัดกันจะอยูบ่ ริเวณเส้นกราฟต่างๆ ดังนี
-เส้นความเร็วรอบ 1600 รอบ ต่อ นาที หมายถึงควรเลือกใช้เครืองสูบทีความเร็วรอบนี จะได้
เฮดและอัตราการสูบทีต้องการ
-อยูร่ ะหว่างเส้นประสิทธิภาพ 70 – 72 % หมายถึงเครืองสูบนีจะทํางานได้ตามสภาพทีต้องการ
ทีประสิทธิภาพของเครืองสูงสุดอยูท่ ี ประมาณ 70 – 72 % เท่านัน
-จุดตัดอยูใ่ กล้กบั เส้น BHP ทีประมาณ 40 BHP หมายถึงเครืองสูบนีต้องการกําลังของเครืองที
จะมาเดินเครืองสูบ ประมาณ 40 แรงม้า (ตัวเลขทีถูกต้องให้คาํ นวณตามสมการในบทที )
อย่างไรก็ตาม หากมีการเลือกรุน่ ของเครืองสูบนําให้มคี า่ ต่างไปจากข้างต้น จะมีผลดังนีคือ
-10

-ถ้าเลือกเครืองสูบให้เดินด้วยความเร็วรอบมากกว่า 1600 รอบ ต่อนาที เช่น 1800 รอบ ต่อ


นาที ทีเฮดเท่าเดิมจะทําให้ผลการสูบนําได้อตั ราการสูบทีมากกว่าทีต้องการ ในขณะเดียวกันจะทําให้
ประสิทธิภาพของเครืองสูบนีในขณะสูบนําจะลดลง
-ถ้าเลือกเครืองสูบทีความเร็วรอบน้อยกว่า รอบ ต่อนาที เช่น รอบ ต่อ นาที
หมายถึงหากต้องการให้ได้อตั ราการสูบเท่าเดิม สภาพของระบบจะต้องมีเฮดไม่เกิน ฟุตเท่านัน โดย
เครืองสูบให้ประสิทธิภาพสูงสุดช่วง – %

ตัวอย่างที การเลือกเครืองสูบนําจากแคตตาลอก (Cataloque)


จากรูปที - เป็ นแคตตาลอก (Cataloque) เครืองสูบนําของบริษทั ผูผ้ ลิตรายหนึง สามารถ
นํามาใช้ประกอบการเลือกรุ่นของเครืองสูบนําได้โดยตรงดังนี

รูปที - กราฟ H – Q ของเครืองสูบนําแยกตามรุ่นต่างๆ

จากรูป จะเห็นว่าเครืองสูบนําแต่ละรุน่ จะสามารถทํางานให้ได้เฮดและ อัตราการสูบในขอบเขต


หนึงๆ เมือมีขอ้ มูลผลการออกแบบระบบว่าต้องการทีเฮดและอัตราการสูบเท่าไร นํามาเลือกรุน่ ของ
เครืองสูบได้ตามแคตตาลอกนี เช่น คํานวณเฮดรวมได้เท่ากับ ฟุต อัตราการสูบทีต้องการคือ
GPM จากกราฟจะเลือกใช้เครืองสูบนํารุน่ G9A-3F
5-1

. การคํานวณเฮดรวมของระบบสูบนํา
. . เฮดรวม (Total Dynamic Head ,H ) ของระบบสูบนํา
เฮดรวม ในทีนีหมายถึง พลังงานทังหมดทีเครืองสูบจะต้องถ่ายทอดให้กบั ของเหลวเพือให้ของเหลวสามารถ
เคลือนทีไปยังตําแหน่ งทีต้องการได้ เฮดรวมในระบบสูบนําจะประกอบด้วยเฮดหลักๆซึงถือได้ว่าเป็ นเฮดพืนฐานที
เครืองสูบจะต้องสร้างขึนมาให้ได้เป็ นอย่างน้อยรวมกันอยู่ ตัวคือ เฮดสถิต (Static Head) และ เฮดเนืองจากความ
ฝื ด หรือเขียนเป็ นสมการได้เป็ น

H = Ha + Hf ( . )
เมือ

Ha คือ เฮดสถิตย์ ซึงหมายถึง ความแตกต่างระหว่างระดับทีผิวของของไหลทางด้าน


ดูดกับระดับ ณ ผิวของของไหลทางด้านส่ง หรือ ความแตกต่างระหว่างระดับ ณ ผิวของของไหลทางด้านดูดกับระดับ
สูงสุดของพืนทีทีต้องการจะยกของไหลขึน เมือทําการวัดในแนวดิง แล้วแต่วา่ ค่าไหนจะมากกว่ากัน

รูปที 5-27 การคิ ดค่าเฮดสถิตกรณี ตลอดแนวท่อส่งบางจุดมีค่าระดับสูงกว่าผิวนําของแหล่งนําปลายทาง

Hf คือ เฮดเนืองจากความฝืด หมายถึงเฮดทีเครืองสูบจะต้องสร้างขึนมาเพือเอาชนะ หรือ


ชดเชยเฮดทีต้องสูญเสียไปเนืองจากความฝืดเมือมีการไหลผ่านเส้นท่อทังท่อดูดและท่อส่ง (Friction Losses) รวมกับ
เฮดทีต้องสูญเสียไปเมือมีการไหลผ่านอุปกรณ์ต่างๆในระบบท่อ (Minor Losses)
ในการทํางานของระบบสูบนัน ผูใ้ ช้ยงั มีความต้องการให้เครืองสูบสร้างเฮดให้เพิมขึนเพือให้ได้เฮดค่าที
ต้องการอีก ค่าคือเฮดใช้งาน กับ เฮดความเร็ว โดยที เฮดใช้งาน (Working Pressure) ณ ตําแหน่งใดๆ ในระบบท่อที
ต้องการให้เกิดขึน หมายถึงค่าความดันใดๆทีผูใ้ ช้ตอ้ งการให้เกิดขึนในเส้นท่อขณะมีการสูบนํา ส่วนเฮดความเร็ว
(Velocity Head)หมายถึงค่าพลังงานอันเกิดจากความเร็วของการไหลบริเวณปลายท่อจ่าย
ชนิดของเฮดต่างๆ ในระบบสูบนําทีกล่าวมาข้างต้น สามารถนํามาแยกย่อออกเป็ นเฮดชนิดต่างๆทีมีชอเรี ื ยก
แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนีและเพือให้เกิดความเข้าใจทีดีขนให้ึ ดตู ามรูปที - (ก) และ (ข) ประกอบคําอธิบาย
5-2

(ก)กรณีเครืองสูบอยูเ่ หนือผิวของเหลว (ข)กรณีเครืองสูบอยูต่ ากว่


ํ าผิว
ของเหลว

รูปที - ชนิ ดของเฮด (Head)ต่างๆ ในระบบสูบนํ า

. เฮดสถิ ตย์ด้านท่อดูด (Static Suction Lift) คือ ระยะในแนวดิงวัดจากผิวนําของแหล่งนําทีจะทําการสูบ


ไปยังจุดศูนย์กลางของเครืองสูบนํา แต่ถา้ หากผิวของของเหลวทีจะสูบอยูส่ งู กว่าจุดศูนย์กลางของเครืองสูบ เฮดค่านีจะ
ถูกเรียกเป็ น Static Suction Head แทน
. เฮดสถิ ตย์ด้านท่อส่ง (Static Discharge Head ) คือระยะในแนวดิงวัดจากปลายท่อด้านส่งมายังจุด
ศูนย์กลางเครืองสูบ(กรณีปลายท่อส่งอยูส่ งู กว่าระดับผิวนํา)หรือวัดจากผิวนํามายังจุดศูนย์กลางเครืองสูบ(กรณีระดับผิว
นําอยูส่ งู กว่าปลายท่อส่ง)
เมือทําการรวมค่าเฮดสถิตตังแต่ตน้ ทางไปจนถึงปลายทาง ก็จะได้คา่ เฮดสถิตย์รวม (Total Static Head) ซึง
จะมีคา่ เท่ากับระยะทางในแนวดิงทีวัดจากระดับของผิวนําทางด้านดูดวัดไปยังระดับผิวนําหรือระดับสูงสุดทางด้านท่อส่ง
. ไดนามิ กส์เฮดด้านท่อดูด (Dynamic Suction Head) คือ เฮดทีเกิดจากค่าเฮดสถิตย์ดา้ นท่อดูด รวม
กับ ค่าการสูญเสียเฮดทังหมดของท่อดูด บางครังเรียกว่า เฮดรวมด้านดูด (Total Suction Head)
. ไดนามิ กส์เฮดด้านท่อส่ง ( Dynamic Discharge Head) คือ เฮดทีเกิดจากค่าเฮดสถิตย์ดา้ นท่อส่ง รวม
กับค่าการสูญเสียเฮดทังหมดของท่อส่งและเฮดความเร็วบริเวณปลายท่อส่ง (V2d / g ) บางครังจะเรียกไดนามิกส์เฮด
ด้านท่อส่ง ว่า เฮดรวมด้านส่ง (Total Discharge Head) อย่างไรก็ตามบางครังอาจไม่นําเอาค่า เฮดความเร็ว ทีบริเวณ
ปลายท่อส่งมาคิดเนืองจากมีคา่ ไม่มาก ทังนีเพราะค่าความเร็วการไหลในท่อส่งนิยมกําหนดไว้สงู สุดไม่เกิน . เมตร
ต่อ วินาที เมือแทนค่าลงในสูตร จะทําให้ได้คา่ เฮดความเร็วมีคา่ ประมาณ . เมตรเท่านัน
. เฮดความดัน (Pressure Head หรือ Working Pressure) ในการใช้เครืองสูบเพือกิจการใดๆยกตัวอย่าง
เช่นเพือการชลประทานด้วยระบบท่อแรงดัน ได้แก่ระบบสปริงเกลอร์ ระบบชลประทานแบบไมโคร (จําพวกระบบนํา
หยด มินิสปริงเกลอร์ มินิสเปรย์) หัวจ่ายนําของระบบเหล่านีต้องการแรงดันเพือให้จ่ายนําออกมาด้วยความเร็วและ
อัตราการไหลตามทีต้องการหรือตามทีออกแบบไว้ เฮดใช้งานของอุปกรณ์เหล่านีจะถูกระบุมาพร้อมสรรพจากโรงงาน
ผูผ้ ลิต ดังนันในการคํานวณเฮดรวมของเครืองสูบนําจะต้องรวมเฮดเหล่านีเข้าไปด้วยเพือให้ในระบบท่อมีคา่ เฮดเพิมขึน
พอเพียงสําหรับการทํางานของอุปกรณ์นนๆ ั
5-3

. ไดนามิกส์เฮดทังหมด (Total Dynamic Head) คือ ไดนามิกส์เฮดด้านท่อดูด รวมกับไดนามิกส์เฮดด้าน


ท่อส่งและเฮดความดัน(หรือเฮดใช้งาน) บางครังนิยมเรียกไดนามิ กส์เฮดทังหมดว่า เฮดรวม (Total Head) ก็มี
เนืองจากในการติดตังเครืองสูบนํานันมีรปู แบบการติดตังโดยทัวไปอยู่ แบบคือกรณีตดิ ตังเครืองสูบแล้วจุด
ศูนย์กลางเครืองสูบนําอยูส่ งู กว่าระดับผิวนําทางด้านดูด กรณีตดิ ตังแล้วจุดศูนย์กลางของเครืองสูบอยูต่ ากว่
ํ าระดับผิว
นํา และกรณีทเครื
ี องสูบเป็ นชนิดทีมีแกนของใบพัดวางในแนวดิงและจุม่ ลงไปในของไหล ทําให้การคิดเฮดของเครืองสูบ
จากการรวมค่าเฮดต่างๆจากข้อ ถึง ทีกล่าวไปแล้วมีความแตกต่างกันไป ซึงมีวธิ กี ารคิดในรายละเอียดดังต่อไปนี

. . การคิ ดเฮดรวมกรณี สบู นําจากแหล่งนํ าไปยังอีกแหล่งนํา

( ) การคิ ดเฮดรวมของเครืองสูบนํา กรณี แนวจุดศูนย์กลางเครืองสูบอยู่เหนื อระดับผิวของเหลว


ด้านดูด

Had

P
Has

แหล่งนํา

รูปที - ระบบสูบนํากรณี เครืองสูบอยู่เหนื อผิวนํ าในบ่อสูบ

ในกรณีทาํ การติดตังเครืองสูบให้ตาํ แหน่งจุดศูนย์กลางของเครืองสูบวางอยูเ่ หนือผิวของนําทีจะทําการสูบ(รูปที -


) กรณีเครืองสูบจะต้องสร้างพลังงานส่วนหนึงไปใช้ยกนําจากแหล่งนําเพือให้ขนมา ึ ดังนันรูปสมการการคํานวณหา
เฮดรวม จึงต้องนําค่าเฮดสถิตย์ดา้ นดูดมารวมกับเฮดอืนๆ ดังนี

2
V (5.27 )
H  H as  H ad  hls  hld  d
2g

เมือ
H = เฮดรวม (Total dynamic head) (เมตร)
Has = เฮดสถิตย์ดา้ นดูด (Static suction lift) (เมตร)
Had = เฮดสถิตย์ดา้ นส่ง (Static discharge head)(เมตร)
5-4

hls = ค่าการสูญเสียเฮดของท่อดูดตลอดสาย (เมตร)


hld = ค่าการสูญเสียเฮดของท่อจ่ายตลอดสาย(เมตร)
Vd = ความเร็วเฉลียของการไหลทีปลายท่อส่ง(เมตร)

( )การคิ ดเฮดรวมของเครืองสูบ กรณี แนวจุดศูนย์กลางเครืองสูบอยู่ตากว่


ํ าระดับผิวของเหลวด้านดูด

Had

Has
P

รูปที - ระบบสูบนํากรณี เครืองสูบอยู่ตากว่


ํ าผิวนําในบ่อสูบ

จากรูปจะเห็นว่าเครืองสูบถูกติดตังให้มรี ะดับของจุดศูนย์กลางของตัวเครืองอยูต่ ากว่


ํ าระดับของผิวนําที
ต้องการจะสูบส่งไป(รุปที - ) กรณีนเครืี องสูบจะออกแรงหรือสร้างพลังงานน้อยกว่ากรณีแรกเนืองจากเฮดของนําใน
แหล่งนําจะมีพลังงานทีช่วยเพิมให้กบั เครืองสูบอยูส่ ่วนหนึง ทําให้คา่ เฮดรวมของเครืองสูบทังระบบจะมีคา่ ลดลง
เนืองจากค่าเฮดสถิตย์ดา้ นท่อดูดจะมีเครืองหมายเป็ นลบ เป็ นไปตามสมการ ดังนีคือ

2
Vd
H   H as  H ad  hls  hld  (. )
2g

เมือ
H = เฮดรวม (เมตร)
Has = เฮดสถิตย์ทางด้านดูด(เมตร)
Had = เฮดสถิตย์ทางด้านจ่าย(เมตร)
hls = ค่าการสูญเสียเฮดของท่อดูด(เมตร)
hld = ค่าการสูญเสียเฮดของท่อส่ง(เมตร)
Vd = ความเร็วเฉลียของการไหลทีปลายท่อส่ง(เมตร)
5-5

( )การคิ ดเฮดรวมของเครืองสูบ กรณี เพลาเครืองสูบวางในแนวดิ ง

P
Ha

รุปที - ระบบสูบนํากรณี เครืองสูบมีเพลาอยู่ในแนวดิ ง

เครืองสูบบางชนิดมีแกนของใบพัดวางในแนวดิง(รูปที - ) ตัวใบพัดทีติดอยูก่ บั แกนเพลาจุม่ ลงไปใน


ของเหลวทีจะสูบ กรณีนีการคิดค่าเฮดสถิตจะคิดจากระดับทีแตกต่างกันระหว่างผิวนําของแหล่งนําด้านดูดกับผิวนําของ
แหล่งนําปลายทาง ส่วนเฮดเนืองจากความฝืดและเฮดใช้งานคิดเหมือนทีผ่านมา รูปสมการเป็ นดังนี

2
Vd
H  H a  hld  (5.29)
2g

เมือ
Ha = เฮดสถิต (เมตร)
hld = เฮดความฝืดด้านท่อส่ง (เมตร)
Vd = ความเร็วเฉลียทีปลายท่อส่ง

( ) การคิดเฮดรวมกรณี สบู นําจากแหล่งนําไปตามระบบท่อ


การคิดเฮดรวมในกรณีนีค่าเฮดสถิตย์รวมจะใช้คา่ ความต่างของระดับระหว่างผิวนําของแหล่งนําด้านดูดกับ
ระดับของจุดศูนย์กลางท่อด้านจ่าย ณ จุดทีมีค่าระดับสูงทีสุด โดยนําไปรวมกับเฮดเนืองจากความฝื ดและเฮดใช้งาน ดัง
ปรากฏดังรูปที -
5-6

Had

P
Has

รูปที - ระบบสูบนํ ากรณี สบู นํ าไปตามระบบท่อทัวไป

สมการเฮดรวม กรณีจุดศูนย์กลางเครืองสูบอยู่สงู กว่าระดับนําในบ่อสูบ จะป็ น

2
V
H  H as  H ad  hls  hld  d  hw (. )
2g

หรือหากเป็ นกรณีจุดศูนย์กลางเครืองสูบวางตํากว่าระดับนําในบ่อสูบ สมการที( .) จะกลายเป็ น


2
V
H   H as  H ad  hls  hld  d  hw (. )
2g

หรือสมการ ( .)จะเป็ น
2
Vd
H  H a  hld   hw (. )
2g

เมือ hw = ค่าความดันใช้งาน (Working Pressure) ทีต้องการ ณ จุดใดๆบนเส้นท่อ

( ) การคิ ดเฮดรวมของเครืองสูบ กรณี สบู นําจากถังแรงดัน (Pressure Tank)ไปสู่ถงั แรงดัน


ในบางครังอาจมีการสูบนําจากถังเก็บนําทีมีความดันอยูภ่ ายใน ไปส่งให้กบั ถังนําทีมีความดัน ในกรณีนี การ
คิดค่าเฮดรวมของระบบสูบนํา โดยมีวธิ กี ารคิด ดังนี
)กรณีจุดศูนย์กลางเครืองสูบอยู่สงู กว่าระดับนําในถังความดันด้านดูด หากถังด้านดูดมีค่าความดันเป็ น Ps
(สูงกว่าบรรยากาศ) และถังด้านส่งมีคา่ ความดันเป็ น Pd (สูงกว่าบรรยากาศ) ดังรูปที - การคิดเฮดรวมของระบบสูบ
จะเป็ นไปตามสมการ
5-7

Pd Ps (5.33)
H  H as  H ad  hls  hld  
 

เมือ  คือค่านําหนักจําเพาะของของไหลทีสูบ Pd

Had

Has
Ps

รูปที - เฮดรวมกรณี จดุ ศูนย์กลางเครืองสูบอยู่สงู กว่าระดับนําในถังความดัน

)กรณีจุดศูนย์กลางเครืองสูบอยู่ตากว่
ํ าถังความดันด้านดูด และถังด้านดูดมีคา่ ความดันเป็ น Ps (สูงกว่า
บรรยากาศ)และถังด้านส่งมีคา่ ความดันเป็ น Pd (สูงกว่าบรรยากาศ)ดังรูปที - การคิดเฮดรวมของระบบสูบจะเป็ นไป
ตามสมการ

Pd Ps
H   H as  H ad  hls  hld  
  ( . )
5-8

Pd

Ps Had

Has
P

รูปที - เฮดรวมกรณี จดุ ศูนย์กลางเครืองสูบอยู่ตากว่


ํ าระดับนําในถังความดัน

)กรณีถงั ด้านดูดมีความดันภายในถังเป็ นสุญญากาศ (Vacuum) และภายในถังด้านจ่ายมีคา่ ความดันเป็ น


บวก,Pd (สูงกว่าความดันบรรยากาศ) การคิดเฮดรวมทําโดย บวก ค่าความดันทีถังนําทัง ด้านเข้าไปในสมการ หรือ
ได้เป็ น
Pd Ps (. )
H   H as  H ad  hls  hld  
 

4.กรณีถงั ด้านดูดมีความดันภายในถังเป็ นบวก,Pd และถังด้านส่งมีคา่ ความดันเป็ นสูญญากาศ ค่าเฮดรวมของ


เครืองสูบคํานวณโดยการนําค่าความดันทีถังนําทัง ด้านไปลบออกไปจากสมการ หรือได้เป็ น

Pd Ps (. )
H   H as  H ad  hls  hld  
 

ตัวอย่างที การคํานวณเฮดในระบบสูบนํา
จากรูปเป็ นระบบสูบนําแห่งหนึง จงคํานวณหาค่า
. Dynamic Suction Head ของระบบสูบนํานี ( . ม.)
. Dynamic Discharge Head ( . ม.)
. Total Dynamic Head ( . ม.)
5-9

Q = 230 cum/hr hld = 0.80 m.


v =3.0m/s

. ม.

P
. ม..
hls = 0.67 m.

วิ ธีทาํ
. Dynamic Suction Head = Static head + Friction loss ของท่อดูด
= 2.50 + 0.67 ม.
= 3.17 m.

2. Dynamic Discharge Head = Static head + Friction loss ของท่อจ่าย +


velocity head ปลายท่อจ่าย
= 4.50 + 0.80 + ((3x3) / 2x9.81)
= 5.75 m.
3. Total Dynamic Head = (1) + (2)
= 8.92 m.
ตัวอย่างที 7 จากระบบสูบนําดังรูปด้านล่าง จงคํานวณค่าเฮดรวมของระบบดังกล่าวนี สมมติวา่ ค่าFriction Losses
ของการไหลผ่านท่อตังแต่ท่อด้านดูดจนถึงปลายท่อด้านจ่ายทังหมดเท่ากับ 6.70 เมตร

วิ ธีทาํ
5-10

จากสมการที . - .

Pd Ps
H   H as  H ad  hls  hld  
 

Has = เฮดสถิตด้านดูด
= - 6.0 + 7.60 (ความดัน 22 นิวปรอท ตํากว่าความดันบรรยากาศ) = 1.60 เมตร
Had = เฮดสถิตด้านท่อส่ง
= 15.0 + 7.0 (ความดันในถังด้านส่ง) = 22.0 เมตร
hld + hls = ค่าการสูญเสียเฮดเนืองจากความฝืดทังท่อดูดและส่ง = 6.70 เมตร

ดังนัน เฮดรวม เท่ากับ


H = 1.60 + 22.0 + 6.70
= 30.30 เมตร

3.3 แบบฝึ กหัด


1.ติดตังเครืองสูบนําอยูส่ งู กว่าระดับนําในอ่างเก็บนํา 4.00 ม.พืนทีเป้ าหมายทีต้องการสูบนําไปส่งให้อยูส่ งู กว่า
ระดับนําในอ่างเก็บนําเท่ากับ 12.00 ม. จากการคํานวณค่าการสูญเสียเฮดในระบบท่อพบว่า ในช่วงท่อดูดสูญเสียไป
1.50 ม.ในช่วงความยาวของท่อส่งมีการสูญเสียเฮดไปทังหมด 8.20 ม. จงคํานวณ
1.1 ค่า Static Suction lift ?
1.2 ค่า Static Discharge Head ?
1.3 ค่า Dynamic Suction Head ?
1.4 ค่า Dynamic Discharge Head ?
1.5 ค่า Total Dynamic Head ?
2. จากโจทย์ในข้อ 1. หากระบบสูบนําดังกล่าวนีเป็ นการส่งไปให้กบั ระบบสปริงเกลอร์ทต้ี องการความดันที
หัวฉีดเท่ากับ 20.0 ม. จงคํานวณค่าต่างๆ ตามข้อ 1.
-1

. การคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
. . ข้อมูลทีต้องการ
ในการคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา ประกอบด้วย
. อัตราการสูบนําทีต้องการ (Pump flow rate)
. เฮดรวมทีเครืองสูบนําต้องทํางานให้ได้ (Total Dynamic Head) (ศึกษาวิธกี าร
คํานวณจากหัวข้อที ) ทังนีค่าเฮดทีต้องการให้เครืองสูบทํางานจะขึนอยูก่ บั
-ระดับความสูงตําทีต้องการสูบนําส่งไปให้
-ความลึกของแหล่งนําทีต้องการสูบ
-ความดันใช้งานของอุปกรณ์จ่ายนําต่างๆเช่นหัวจ่ายนําในระบบการให้นําแบบสปริง
เกลอร์ แรงดันทีหัวฉีดนําสําหรับดับเพลิง เป็ นต้น

. . การคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา โดยทัวไปจะคํานวณอยู่ ค่า คือ


. กําลังของตัวเครืองสูบนํา (Water horse power , WHP)
. กําลังของต้นกําลังทีจะมาขับเคลือนเครืองสูบนํา (Brake horse power, BHP)

)กําลังของตัวเครืองสูบนํา (Water horse power , WHP) หมายถึงกําลังทีเครืองสูบนําถ่ายเทให้กบั


นํา จนทําให้นําเคลือนตัวไปยังตําแหน่งทีต้องการได้ทงปริ
ั มาณและความดัน คํานวณจากสูตร ดังนี คือ

QH
WHP  (. )
3956

เมือ WHP = กําลังทีเครืองสูบถ่ายเทให้กบั นํา (แรงม้า) ( แรงม้า = . วัตต์)


Q = อัตราการสูบนํา (GPM) ( 15850. 32 GPM = 1 CMS)
H = เฮดรวม (ฟุต) ( . ฟุต = ม.)

QH
หรือ WHP 
102

เมือ WHP มีหน่วยเป็ น กิโลวัตต์


Q มีหน่วยเป็ น ลิตร ต่อ วินาที และ
H มีหน่วยเป็ น เมตร(นํา)

หรืออาจคํานวณ จากสูตร

QH
WHP  (. )
273
-2

เมือ WHP มีหน่วยเป็ น แรงม้า


Q มีหน่วยเป็ น ลบ.ม. / ชม.
H มีหน่วยเป็ น เมตร
)กําลังของต้นกําลังที จะมาขับเคลือนเครืองสูบนํา (Brake horse power, BHP) หมายถึง กําลัง
ของต้นกําลัง เช่นมอเตอร์ เครืองยนต์ ทีจะมาฉุดเครืองสูบให้ทาํ งานจนได้WHP ตามทีต้องการ คํานวณ
จากสูตร

100QH
BHP  (. )
3956

เมือ BHP = กําลังของต้นกําลัง (แรงม้า)


Q = อัตราการสูบนํา (GPM)
H = เฮดรวม ( ฟุต)
 = ประสิทธิภาพของเครืองสูบนํา (% )
หรือคํานวณจาก สูตร

WHP
BHP  ( . )

5.53 สรุปขันตอนการคํานวณหากําลังของเครืองสูบนํา
ในการคํานวณหากําลังของเครืองสูบนําทีจะใช้สบู นําเพือให้ได้อตั ราการสูบและสามารถยกนําให้
ส่งไปยังระดับต่างๆตามทีต้องการ (Head) มีขนตอนการคํ
ั านวณพอสรุปได้โดยสังเขป ดังนีคือ
1.เริมจากการคํานวณ ออกแบบระบบท่อส่งนําซึงจะได้ชนิดท่อทีใช้ ขนาดท่อทีใช้ ความยาวท่อ
แนวต่างๆ ค่าความดันใช้งาน(Working Pressure)ของระบบท่อระบบนีรวมทังระดับของท่อทีจุดต่างๆ
เทียบกับจุดศูนย์กลางของเครืองสูบนํา และอุปกรณ์ประกอบทังหมดในระบบท่อ
2.ข้อมูลทังหมดทีมีของระบบท่อในข้อ 1. จะนํามาใช้ในการคํานวณหาเฮดรวม (Total Dynamic
Head, TDH) ของระบบท่อดังกล่าว
3. จากค่า TDH ทีได้ในข้อที 2. พร้อมกับทราบข้อมูลอัตราการสูบทีต้องการ(Q) นําไปคํานวณ
กําลัง(แรงม้า)ของเครืองสูบทีต้องการ
4. สมมติคา่ ประสิทธิภาพของเครืองสูบทีคาดว่าจะเป็ น (สมมติจากข้อมูลเครืองสูบนําทัวๆไปที
ให้ค่าประสิทธิภาพ) นําไปคํานวณหาค่ากําลังของต้นกําลังทีต้องการนํามาใช้ขบั เคลือนเครืองสูบนํา
-3

ตัวอย่างที ต้องการสูบนําไปยังพืนที ด้วยอัตรา ลิตร ต่อ วินาที ทังนีจากการวางแนวท่อและปั ม


พบว่า มีเฮดรวม (Total Head) เท่ากับ เมตร จงคํานวณว่าจะต้องใช้ปัมกีแรงม้า? และหากสมมติว่า
เลือกเครืองสูบทีมีประสิทธิภาพประมาณ % ให้คํานวณว่าต้นกําลังทีจะมาเดินเครืองสูบนําควรมีกาํ ลัง
เท่าไร ?
วิ ธีทาํ
QH
จากสูตร WHP 
273
แทนค่า Q = 15 ลิตร/วินาที
= 0.015 ลบ.ม./วินาที
= 54 ลบ.ม./ชม.
H = 10 เมตร
WHP = 1.97 แรงม้า

WHP
จากสูตร BHP 

แทนค่า BHP = 1.97 / 0.60


= 3.28 แรงม้า
-1

บทที
การติ ดตังเครืองสูบนํา

. ข้อมูลเกียวกับเครืองสูบนําเพือประกอบการพิ จารณาเลือกใช้งาน
. . ประเภทของเครืองสูบนี จะเลือกใช้
ในการทีจะเลือกใช้เครืองสูบนําประเภทไดนามิกส์ ในการตัดสินใจว่าควรเป็ น Radial flow
Axial flow หรือ Mixed flow นัน อาจใช้ขอ้ มูลตามตารางที . ประกอบ

ตารางที 6.1 ข้อมูลของเครืองสูบนําประเภทไดนามิ กส์

ประเภทเครือง ความเร็วจําเพาะ เฮดทีให้ ขนาดหน้ าจาน


สูบ ด้านจ่าย
เพลานอน เพลาตัง

Radial flow 100-600 ชันเดียว 10 -150 ชันเดียว 10 – 200 ม. > 40 มม.


ม. หลายชัน > 10 ม.
หลายชัน > 50 ม.
Mixed flow 400-1400 4 - 15 ม. ชันเดียว 4 - 60 ม. > 200 มม.
หลายชัน > 10 ม.
Axial flow 1300-2000 < 6 ม. < 8 ม. > 200 มม.

หมายเหตุ : คําว่า ชัน หรือ stage ของเครืองสูบนําหมายถึง จํานวนของใบพัดทีมีอยูข่ องเครืองสูบนัน

. . การเลือกใช้ความเร็วรอบของเครืองสูบนํา
. เริมต้นจาก ทําการกําหนดค่าความเร็วจําเพาะทีเหมาะสมตาม Head และ Q ทีต้องการ
. จากนันคํานวณค่าความเร็วรอบ ตามสมการ
3
N H 4
N  s
1
Q 2

3. อย่างไรก็ตาม โดยทัวไปเมือทราบค่าเฮดรวม และอัตราการสูบทีต้องการแล้วนําไปเลือกเครืองสูบ


จากกราฟแสดงผลการทํางาน(Pump Characteristic Curve) จะสามารถอ่านจากกราฟได้เลยว่าควรจะ
ใช้ความเร็วรอบทีเหมาะสมเท่าใด
-2

. . การเลือกใช้เครืองสูบนํากรณี เฮดสูง ปานกลางและตํา


มีหลักการทัวไปทีใช้ประกอบสําหรับการเลือกประเภทของเครืองสูบเพือให้เหมาะสมกับสภาพที
ต้องการ ดังนี
กรณี เฮดรวมมีค่าสูง
เครืองสูบชนิด Radial Flow สามารถนําไปใช้กบั งานทีต้องการเฮดสูงๆ แบบมาตรฐานมีดงั นี
. แบบเพลานอน ใบพัดชันเดียว ใช้ในงานประปา งานทัวไปในอาคารงานชลประทาน ที
มีเฮดไม่เกิน เมตร
. แบบหอยโข่ง ใบพัดหลายชัน ใช้ได้สาํ หรับอัตราการสูบตังแต่ 0.10 - 3.0 ลบ.ม./วินาที
เฮด ม. เหมาะสําหรับงานประปา ชลประทาน และอุตสาหกรรม
. แบบดูดสองด้าน เฮด ม. สําหรับงานประปา ชลประทาน และอุตสาหกรรม
. เพลาตังแบบมีครีบผันนํา ใบพัดหลายชัน อัตราการสูบ Q = 5 ลบ.ม./วินาที เฮด เมตร
สําหรับงานสูบนําบาดาล ชลประทาน และอุตสาหกรรม

กรณี เฮดปานกลาง
-จะใช้แบบ Mixed Flow ใช้กบั เฮดตังแต่ - เมตร
-กรณีเป็ นเครืองสูบแบบหอยโข่งแบบเพลานอนใบพัดแบบ Mixed Flow เฮด เมตร สําหรับงาน
ชลประทาน งานระบายนํ าและอุตสาหกรรม
-กรณีเครืองสูบแบบหอยโข่งแบบเพลาตังใบพัดแบบ Mixed Flow เฮด เมตร สําหรับงานประปา
งานชลประทาน งานกําจัดนําเสีย ระบายนํา และงานอุตสาหกรรม
-เครืองสูบนําแบบเพลาตังมีครีบผันนํา เฮด เมตร สําหรับงานประปา งานชลประทานระบบท่อ

กรณี เฮดตํา
-ใช้สาํ หรับงานทีต้องการอัตราการสูบสูง ใช้ใบพัดแบบ Mixed Flow หรือ Axial Flow
. ใบพัดแบบ Mixed Flow เฮด – เมตร (แบบเพลานอน) งานสูบนําดิบ งานชลประทาน
ระบายนํา งานหล่อเย็น
. ใบพัดแบบ Axial Flow เฮดไม่เกิน – เมตร (แบบเพลานอน) สําหรับงานระบายนํา
ชลประทาน และอุตสาหกรรม

. การเลือกใช้งานของเครืองสูบนําบางประเภท (นอกเหนื อจากแบบเซนตริ ฟิวกอล)


6.2.1 เครืองสูบนําแบบจุ่ม(Submersible Pumps)
เครืองสูบนําแบบจุ่ม เป็ นเครืองสูบชนิดทีวางตัวเครืองสูบและต้นกําลัง ไว้ใต้ผวิ นําของแหล่งนําที
จะทําการสูบ เครืองสูบชนิดนีประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ า ตัวเครืองสูบ ประกอบเข้าเป็ นหน่วยเดียวกัน
เครืองสูบแบบนีจะมีรปู ร่างเป็ นทรงกระบอกเพือให้สะดวกต่อการจุ่มลงในบ่อหรือแหล่งนํ าทีเป็ น
ทรงกระบอกเช่นเดียวกัน เช่นบ่อนํ าตืน บ่อบาดาล เป็ นต้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเครืองสูบแบบจุ่มจะ
-3

นิยมใช้กบั บ่อนําใต้ดนิ แต่กม็ ที นิี ยมใช้กบั แหล่งนํ าประเภทหนอง คลอง บึงต่างๆโดยการติดตังก็ทาํ โดย
วางตัวเครืองลงไปยังก้นแหล่งนําและทําการยึดตัวเครืองไว้กบั หลักหรือตอม่อเพือให้อยู่กบั ที เครืองสูบ
ชนิดจุ่มมีขอ้ ดีคอื ไม่ตอ้ งการการเติมนําเข้าตัวเครืองก่อนการสูบทีเรียกว่า การล่อนํา (Prime) ทังนี
เนืองจากตัวเครืองสูบจมอยู่ในนําอยูแ่ ล้วรูปที - เป็ นภาพอย่างง่ายแสดงการติดตังเครืองสูบชนิดจุ่ม

ท่อจ่ายนําไปยังพืนที

ตัวเครืองสูบนําแบบจุม่
พร้อมมอเตอร์

รูปที - การติ ดตังเครืองสูบชนิ ดจุม่ ในบ่อนําใต้ดิน


-4

. .2 เครืองสูบแบบเทอร์ไบน์ และแบบเจ็ท (Turbines and Jet Pumps)


เครืองสูบแบบเทอร์และแบบเจ็ทเป็ นเครืองสูบแบบแรงเหวียง หรือแบบเซนตริฟิวกอนชนิดหนึง
ทีผูกติดกับเพลาแล้วหย่อนไปวางไว้ใต้นําโดยมีมอเตอร์วางอยูเ่ หนือผิวนํา(รูปที 6-2) เพลาทีต่อไปยัง
เครืองสูบจะถูกติดตังอยูใ่ นท่อ นําทีถูกสูบจากเครืองจะไหลผ่านท่อนีขันมาและถูกต่อไปยังพืนทีที
ต้องการเครืองสูบแบบเทอร์ไบน์ เป็ นเครืองสูบทีมีประสิทธิภาพและนิยมใช้เนืองจากเป็ นเครืองสูบทีให้
เฮดและอัตราการสูบสูง เนืองจากใบพัดจะมีหลายชัน(Multi Stages)แต่ละชันของใบพัดทีต่อซ้อนอยู่
เหนือกันไปจะทําหน้าทีเหมือนเครืองสูบนําแต่ละตัวทีคอยสูบนําส่งต่อกันไป การติดตังเครืองสูบแบบ
เทอร์ไบน์สาํ หรับสูบนําจากแม่นําลําคลองทําโดยการชักลากนําโดยแรงโน้มถ่วงของโลกเข้ามายังบ่อสูบที
มีเครืองสูบเทอร์ไบน์นีติดตังอยู่ เครืองสูบนําจะถูกจุ่มลงในบ่อสูบนีโดยมีมอเตอร์ทใช้
ี หมุนเพลาขับใบพัด
ติดอยูบ่ นพืนด้านบนของบ่อสูบ ดังนันจะเห็นว่าระหว่างเครืองสูบแบบจุ่มและเครืองสูบแบบเทอร์ไบน์
นอกจากอัตราการสูบและเฮดทีได้จะต่างกันแล้ว ความแตกต่างระหว่างเครืองสูบทังสองจะอยูท่ การ ี
ติดตังมอเตอร์นนเอง

มอเตอร์

เพลาภายในท่อ

ใบพัดหลายชัน

รูปที 6.2 เครืองสูบแบบเทอร์ไบน์


-5

6.2.3 เครืองสูบแบบเพิ มกําลัง ( Booster Pumps)


เครืองสูบนําส่วนใหญ่จะทํา งานโดยการยกนําจากแหล่งนําแห่งหนึงไปยังอีกแห่งหนึง
เช่นสูบนํ าจากหนองนําทีไม่มคี วามดันไปยังระบบสปริงเกลอร์ปลายทางเลย เครืองสูบแบบเพิมกําลังเป็ น
เครืองสูบทีใช้เพิมความดันเข้าสู่ระบบสูบนํา ณ ตําแหน่ งใดระหว่างทาง ยกตัวอย่างให้เข้าใจเช่นหาก
ต้องการส่งนําไปสูร่ ะบบสปริงเกลอร์ทต้ี องการความดันใช้งานเท่ากับ 80 PSI แต่หากว่าระบบสูบนําทีมี
อยูส่ ามารถให้ความดันได้เพียง 50 PSI ในกรณีตอ้ งทําการติดตังเครืองสูบนําเพิมความดันระหว่างทาง
เพือเพิมความดันให้ได้ทปลายทางเป็
ี น 80 PSI

. ข้อดี ข้อจํากัด ของเครืองสูบนําบางประเภท


ดังได้กล่าวมาข้างต้นว่าเครืองสูบนํามีหลายประเภท มีลกั ษณะการทํางานทีแตกต่างกันไป ใน
หัวข้อนีจะได้สรุปถึงข้อดี ข้อเสียของเครืองสูบนําบางประเภททีมีการใช้งานกันอยูอ่ ย่างแพร่หลาย เพือใช้
เป็ นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกใช้เครืองสูบนําต่อไป
) เครืองสูบนําแบบเซนตริ ฟิวกอล (Centrifugal Pump)
ข้อดี
. ภายใต้สภาพการสูบนําทีเป็ นไปตามทีกําหนด จะให้ประสิทธิภาพสูง
. ติดตังง่าย
. มีความประหยัด ราคาไม่แพงและปรับใช้งานกับสภาพต่างๆได้งา่ ย
. ใช้ได้ทงกั
ั บต้นกําลังประเภทเครืองยนต์และไฟฟ้ า
. เมือมีการเพิมเฮดการสูบ (TDH) ไม่ทําให้เครืองเกิดภาวะทํางานหนักเกินไป (overload)
. เครืองสูบแบบเซนตริฟิวกอลชนิดติดตังแนวดิง (vertical centrifugal) มีลกั ษณะเป็ นแบบปั ม
จุ่มทําให้ไม่ตอ้ งการการเติมนํา (priming) ก่อนการสูบ
เครืองสูบแบบเซนตริฟิวกอลติดตังแนวดิง หมายถึงเครืองสูบแบบเซนตริฟิวกอลทีติดตังใน
ลักษณะทีเพลาซึงมาใช้หมุนใบพัดเครืองสูบอยูแ่ นวดิง ทําให้ลกั ษณะของเครืองสูบเมือทําการติดตังแล้ว
ใบพัดจะอยูใ่ นตําแหน่ งใต้นําอยูต่ ลอดเวลา ส่วนมอเตอร์จะอยูเ่ หนือตัวเครืองสูบขึนไปและอยูเ่ หนือนํา
ทําให้ไม่ต้องการการเติมนําก่อนเริมสูบนํา ดังนันในการติดตังแบบนีจําเป็ นต้องออกแบบให้เครืองสูบ
ลอยตัวอยู่ได้ในนํากรณีทระดั
ี บนํามีการขึนลงตลอดเวลา ส่วนเครืองสูบเซนตริฟิวกอลแบบแกนแนวราบ
แสดงดังรูปที 6-3
-6

รูปที 6-3 ลักษณะเครืองสูบเซนตริ ฟิวกอลแกนแนวราบ ( Horizontal centrifugal pump)

ข้อจํากัด
. มีขดี จํากัดของระยะดูด ไม่ควรเกิน เมตร ( ฟุต)
. ต้องมีการเติมนําก่อนสูบ (priming)
3. ก่อนเดินเครืองสูบหากนําไม่เต็มเครืองสูบจะทําความเสียหายให้กบั เครืองสูบ
. เมือเดินเครืองสูบนําในสภาพทีเฮดรวม (TDH) ตํากว่าทีออกแบบไว้ จะมีผลทําให้มอเตอร์
ทํางานหนัก(overload)
) เครืองสูบแบบเทอร์ไบน์ แนวดิ ง (Vertical Turbine Pump)
ข้อดี
. เหมาะใช้งานสูบนําสําหรับบ่อบาดาล
. เป็ นเครืองสูบทีให้เฮดรวมและอัตราการสูบ และมีประสิทธิภาพ สูง
. ใช้ได้ทงกั
ั บต้นกําลังชนิดเครืองยนต์และไฟฟ้ า
4. ไม่ตอ้ งมีการเติมนําก่อนการสูบ
. ใช้งานได้ดกี บั สภาพทีระดับนําในบ่อสูบขึนๆลงๆ
ข้อจํากัด
. มีความยุ่งยากในขันตอนการติดตัง การตรวจสอบและซ่อมบํารุง
. ราคาค่าลงทุนเริมต้นสูง
. ต้องมีการปรับปรุงใบพัดสมําเสมอ เพือให้เครืองสูบทํางานอย่างมีประสิทธิภาพสูง
. การบํารุงรักษาและการซ่อมแซม มีราคาแพง
) เครืองสูบนําแบบจุ่ม (Submersible Pump)
-7

ข้อดี
. ใช้ได้ดกี บั บ่อบาดาลทีลึกมากๆ
. สามารถใช้ได้กบั บ่อบาดาลทีมีลกั ษณะคดงอได้
. ติดตังง่าย
. เครืองสูบทีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า จะมีราคาถูกกว่า
ข้อจํากัด
1. ขนาดใหญ่ขนึ ราคาจะแพงมากขึนตาม
. ใช้ได้เฉพาะกับต้นกําลังทีใช้ไฟฟ้ าเท่านัน
. มีผลกระทบจากฟ้ าแลบ ฟ้ าผ่าได้งา่ ย
. ต้องให้มนี ําไหลผ่านมอเตอร์ (Water movement past motor is required)

. ท่อดูดและอุปกรณ์
โดยทัวไปท่อดูด (Suction Pipe) มีความสําคัญต่อการทํางานของเครืองสูบนํามากกว่าท่อ
ด้านส่ง(Discharge Pipe)ทังนีเพราะว่าจะต้องไหลจากท่อดูดเข้าไปสูเ่ ครืองสูบนํา ปัญหาต่างๆทีเกิดขึน
ทางท่อดูด เป็ นต้นว่าขนาดเล็กเกินไปมีรอยรัวตามข้อต่อ หรือปั ญหาอืนๆ ต่างก็มผี ลไปถึงประสิทธิภาพ
การทํางานของเครืองสูบทังสิน ในการออกแบบระบบสูบนํา สิงทีจะต้องพิจารณาทางด้านดูดของเครือง
สูบก็มลี กั ษณะและขนาดของท่อ อุปกรณ์ทปลายท่ี อดูดและการติดตังท่อดูดและอุปกรณ์
) ลักษณะของท่อดูด
กฎเกณฑ์โดยทัวๆไปสําหรับกํา หนดลักษณะและขนาดของท่อดูดมีดงั นีคือ
.จะต้องเป็ นท่อแข็ง หรือพลาสติกทีมีการเสริมกําลังหรือแข็งแรงพอทีจะไม่แบนตีบเนืองจาก
ความกดดันของบรรยากาศในขณะทีปั มกําลังทํางาน
.จะต้องมีขนาดไม่เล็กกว่าขนาดหน้าจานทางด้านดูดของปั ม และถ้าหากเป็ นไปได้ควรจะมี
ขนาดโตกว่า ขนาดมาตรฐาน เช่น ขนาดท่อมาตรฐาน , , , และ มิลลิเมตร ถ้า
ขนาดหน้าจานทางดูดของปั มเท่ากับ มม. ก็ควรจะใช้ทอ่ ดูดขนาด มม.หรือโตกว่าเป็ นต้น ไม่ใช้
ท่อดูดทีมีขนาดเล็กกว่าขนาดของหน้าจานทางดูดของปั มอย่างเด็ดขาด ในกรณีทใช้ ี ทอ่ ดูดโตกว่าหน้า
จานทางดูด ข้อลด (Reducer) ทีใช้เชือมต่อต้องเป็ นข้อลดแบบคางหมู (Eccentric Reducer) เพือ
ป้ องกันไม่ให้เกิดโพรงอากาศในบริเวณทีมีการลดขนาดนัน
.ความเร็วของการไหลในท่อดูดจะต้องไม่เกินกว่าทีกําหนด เช่น ท่อดูดทีมีขนาด มม. (
นิว) ความเร็วของนําในท่อจะต้องไม่เกินประมาณ . เมตรต่อวินาที ( ฟุตต่อวินาที) หรือถ้าจะใช้ท่อ
ดูดขนาด มม. อัตราการสูบจะต้องไม่เกินประมาณ ลิตรต่อวินาทีเป็ นต้น
4.การเปลียนทิศทางของท่อดูดควรจะใช้อปุ กรณ์ทมีี รศั มีความโค้งโต และการต่ออุปกรณ์ท่อ
ต่างๆจะต้องแน่นสนิท อากาศจากภายนอกซึงมีความดันประมาณ บรรยากาศไม่สามารถผ่านเข้าไป
ได้
-8

) อุปกรณ์ ทีปลายท่อดูด
อุปกรณ์ ทปลายท่
ี อดูดนันมีไว้เพือวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึงหรือหลายอย่างรวมกัน คือ
.เพือช่วยให้ของเหลวไหลเข้าไปในท่อดูโอย่างสมําเสมอ มีการสูญเสียพลังงานน้อย อุปกรณ์

รูปที - ปลายท่อดูดและอุปกรณ์ (a) ไม่มีอปุ กรณ์ใช้งานชัวคราว (b) กะโหลกกรองนําซึงมีฟตุ


วาล์ว ภายใน (c) ปากแตร ช่วยให้การไหลเข้าท่ อดีขึน

รูปที - ลักษณะของกะโหลกกรองนําพร้อมฟุตวาล์ว(a) เมือประกอบเสร็จเรียบร้อย (b) ชิ นส่วน

ภายในของรูป (a)(c) กะโหลกกรองนําซึงมีฟุตวาล์วภายใน ชุด (d) กะโหลกกรองนําทีมีฟุตวาล์วซึง


เรียกว่า Poppet Valveทีทําหน้าทีเช่นที กล่าวนีคือปากแตร(Belled – type Intake)
2.เพือป้ องกันไม่ให้สงแปลกปลอมไหลปนกั
ิ บนําเข้าไปในท่อดูด ซึงอาจจะเข้าไปอุดตันในใบพัด
ได้ อุปกรณ์ททํี าหน้าทีดังกล่าวคือ กะโหลกกรองนํา (Strainer)
-9

.เพือป้ องกันไม่ให้นําในท่อดูดและในเรือนปั มรัวออกไปเมือปัมหยุดทํางาน เพือจะได้ไม่ตอ้ งเติม


นําใหม่ทุกครังทีเริมต้นสูบนําใหม่ อุปกรณ์ททํี าหน้าทีดังกล่าวคือฟุตวาล์ว(Foot Vave)
อุปกรณ์ทปลายท่
ี อดูดทังสามอย่างอาจจะประกอบรวมมาเป็ นชุดหรือเป็ นชินๆแบบใดแบบหนึงก็ได้ดงั รูป
ที 6-4 และ -
รูปที - (a) เป็ นปลายท่อดูดทีไม่มอี ปุ กรณ์อะไรเลย ไม่เหมาะสมทีจะใช้ในลักษณะนีเป็ นการ
ถาวร เพราะว่าจะมีการสูญเสียพลังงานในการไหลเข้าท่อสูงมาก ควรจะมีกะโหลกกรองนํ าพร้อมฟุต
วาล์วดังเช่นในรูปที - หรือ - เพือป้ องกันมิให้มสี งแปลกปลอมเข้
ิ าไปในท่อดูดซึงอาจจะไปอุดตันใน
ใบพัดได้ นอกจากนันฟุตวาล์วจะช่วยเก็บรักษานําไว้จะได้ไม่ตอ้ งเติมนําใหม่ทุกครังทีเดินเครืองใหม่
ปากแตรในภาพที - ( c) อาจจะมีฟุตวาล์วอยู่ภายในด้วยหรือไม่กไ็ ด้ อุปกรณ์ชนนี ิ จะช่วยลดการ
สูญเสียพลังงานทีปลายท่อดูดลงได้มาก นอกจากนันปากแตรยังช่วยลดโอกาสทีจะเกิดนําวน(Vortex) ซึง
ทําให้อากาศเข้าไปในท่อดูด ทําให้เสียการเป็ นสูญญากาศในห้องสูบและสูบนํ าไม่ขนึ และอาจเป็ นสาเหตุ
ให้เครืองสูบชํารุดได้เพราะไม่มนี ําเป็ นตัวถ่ายเทความร้อน
3)การคํานวณขนาดของท่อดูด(Bore)
ขนาดของท่อดูด(D) กําหนดโดยสมการ

D  1000(0.08  0.10)Q 0.50 (.)

เพือความสะดวกในการกําหนดขนาดท่อสูบ อาจใช้ตารางที . ในการเลือกขนาดของท่อด้านดูด

ตารางที - การเลือกใช้ขนาดท่อดูดตามค่าอัตราการสูบขนาดต่างๆ

อัตราการสูบ ขนาดของท่อดูด อัตราการสูบ ขนาดของท่อดูด อัตราการสูบ ขนาดของท่อดูด


(ลบ.ม./นาที) (มม.) (ลบ.ม./นาที) (มม.) (ลบ.ม./นาที) (มม.)
. - . . - . 350 . - . 1000
. - . . - . 400 . - . 1200
. - . . - . 450 . - . 1350
. - . . - . 500 . - . 1500
. - . . - . 600 . -400.00 1650
. - . . - . 700 .00-480.00 1800
. - . . -90.00 800 . -600.00 2000
. - . . -115.00 900 600.00-740.00 2200
-1

. การเกิ ดคาวิ เตชัน (Cavitation)


หมายถึง การเกิดฟองอากาศและฟองอากาศเหล่านีเกิดการแตกตัวขึนทําให้เกิดการกัดกร่อน
และมีเสียงดังขึนภายในเรือนปั ม ฟองอากาศเหล่านีเกิดขึนได้เนืองจากค่าความดันสัมบูรณ์ทเกิ ี ดขึนใน
ของไหลบริเวณเรือนปั มมีค่าตํากว่าค่าความดันไออิมตัวของของไหลนัน ทําให้ของไหลนันเกิดการระเหย
เป็ นไอขึนได้แม้ว่าอุณหภูมจิ ะไม่เพิมสูงขึนก็ตาม (โดยปรกติจะทําให้นําเดือด ระเหยเป็ นไอได้กต็ ่อเมือ
ลดความดันโดยการเพิมความเร็วขึน หรือเพิมอุณหภูมใิ ห้กบั นํานัน ทังนีที ณ ผิวโลกทีระดับนําทะเล
ปานกลาง นําจะเริมเดือดทีอุณหภูมิ องศาเซลเซียส แต่นําเดือดได้ทอุี ณหภูมติ ํากว่านี หากความดัน
มีคา่ ตํากว่าความดันบรรยากาศทีระดับนําทะเลปานกลาง (ประมาณ . psi)) การเกิดคาวิเตชันอาจ
เกิดขึนได้ทงกัั บเครืองสูบนํา เทอร์ไบน์ ในวาล์วของระบบท่อและบริเวณใบพัดของเรือ
สําหรับในกรณีของเครืองสูบนํานัน เพือไม่ให้เกิดสภาวะ Cavitation จะต้องทําการติดตังเครืองสูบ
นําให้มคี วามดันสัมบูรณ์บริเวณหน้าใบพัดให้มคี า่ มากพอ ค่าความดันสัมบูรณ์ทเกิ ี ดขึนนีเรียกว่า ค่า
Available Net Positive Suction Head ( NPSHa)
เมือเกิดคาวิเตชันขึนแล้ว จะทําให้เกิดปั ญหาขึนดังต่อไปนี
.เครืองสูบมีเสียงดังและมีอาการสัน
.ทําให้ประสิทธิภาพของเครืองสูบนําลดลง
.ค่าเฮดและอัตราการสูบลดลง
.ใบพัด ผนังของตัวเรือนเครืองสูบ (Volute case)และวาล์วเกิดการเสียหาย

. . การคํานวณค่า NPSHa
คํานวณได้จากสูตร ต่อไปนี

NPSH a  H a  hs  hl  hva  hv (6.1)

เมือ
Ha = ค่าความดันสัมบูรณ์ทผิี วของเหลว
= ความดันเกจบริเวณผิวของเหลว + ความดันบรรยากาศบริเวณผิวของเหลว
hs = เฮดทางด้านดูดวัดเทียบจากระดับศูนย์กลางใบพัด มีคา่ เป็ น ลบ เมือจุด
ศูนย์กลางเครืองสูบอยูเ่ หนือผิวของเหลวทีจะทําการสูบ
hl = การสูญเสียเฮดเนืองจากการไหลผ่านท่อดูด
hva = เฮดความดันของไอนําอิมตัว
hv = เฮดความเร็วของท่อดูด

ความสัมพันธ์ของค่าความดันต่างๆตามสมการที 6.1 แสดงให้เข้าใจตามรูปที 6-6


-2

ค่าความดันไอนํา

ค่าการสู ญเสี ยเฮดด้านดูด

ความดันบรรยากาศ
ค่าเฮดสถิตด้านดูด
ค่าเฮดความเร็ ว

ค่า NPSHa

รูปที - ความสัมพันธ์ของ Available Net Positive Suction Head ( NPSHa)

ค่าความดันบรรยากาศและความดันไอนําอิมตัว สามารถหาได้จากตามตารางที . และ . ตามลําดับ

ตารางที . ค่าความดันบรรยากาศที ระดับความสูงต่างๆ

ระดับ (ร.ท.ก.) 0 200 400 800 1000 1500 2000 3000


(ม.)
ความดันบรรยากาศ 10.33 10.20 9.85 9.38 9.17 8.64 8.12 7.16
(ม.)

เพือความสะดวกอาจใช้สมการต่อไปนีหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างความดันบรรยากาศ กับระดับ
พืนโลก โดยสมการแรกเป็ นความสัมพันธ์แบบเชิงเส้นตรง ส่วนอีกสมการเป็ นความสัมพันธ์แบบ
exponential

แบบสมการเส้นตรง, H a  10.30  0.00105Z (.)

293  0.0065Z 5.26


แบบ exponential H a  10.33( ) (.)
293

เมือ Ha = ค่าความดันบรรยากาศเฉลียทีบริเวณผิวโลก ในรูปเฮดของนํา (เมตร)


Z = ระดับผิวโลก วัดเทียบกับระดับนําทะเลปานกลาง (เมตร)
-3

ตารางที . ค่าความดันไอนําอิ มตัว

อุณหภูมิ 0 10 20 30 40 60 80 100
(องศา C)
ความดันไอนํา 0.06 0.13 0.24 0.43 0.75 2.03 4.83 10.30
(ม.)

ความสัมพันธ์ระหว่างค่าความดันไอนํ าอิมตัวกับอุณหภูมิ อาจใช้สมการดังต่อไปนี สําหรับ


คํานวณ

17.27T
hva  0.0623 exp( ) (.)
T  237.30

เมือ hva มีหน่วยเป็ น เมตร และ T มีหน่วยเป็ น องศาเซลเซียส

. . ค่า NPSH ทีต้องการ (Required net positive suction head ,NPSHr)


หมายถึงค่าความดันสัมบูรณ์ตาสุ
ํ ดบริเวณหน้าใบพัด ทีต้องการสําหรับเครืองสูบแต่ละตัวทีได้ถูก
ออกแบบไว้จากผูผ้ ลิตเครืองสูบนําเพือทีจะทําให้ไม่เกิดสภาพคาวิเตชันขึน จะเรียกว่า ค่า NPSH ที
ต้องการ (Required NPSH) หรือ NPSHr ค่า NPSHr นี โดยทัวไปจะเพิมตามค่าอัตราการสูบใน
เครืองสูบตัวใดๆ เนืองจากเมือความเร็วการไหลเพิมขึนภายในเครืองสูบ จะมีผลทําให้คา่ ความดันลดลง
โดยปรกติเครืองสูบทีตัวใหญ่กว่าจะมีคา่ NPSHr มากกว่า มีความหมายว่าคาวิเตชันจะมีโอกาสสร้าง
ปั ญหาให้เครืองสูบทีมีขนาดใหญ่ได้มากกว่าเครืองสูบขนาดเล็ก ดังนันหากไม่ตอ้ งการให้เกิด Cavitation
จะต้องติดตังเครืองสูบ
จนให้ได้คา่ NPSHa มากกว่า NPSHr
ค่า NPSHr คํานวณได้ จากสูตร ดังนี
4
 N Q  3
( .)
NPSHr   
 N 
 s 

เมือ
Ns = ความเร็วจําเพาะด้านดูด ( – (จุดทีใบพัด
ทํางานได้ประสิทธิภาพสูงสุด))
N = ความเร็วรอบของใบพัด(รอบ/นาที)
Q = อัตราการสูบ (แกลลอน /นาที)
-4

NPSHr = ค่า NPSH ทีต้ องการ (ฟุต)

ตัวอย่างที การคํานวณเพือตรวจสอบ การเกิ ดคาวิ เตชัน


เครืองสูบนําแบบหอยโข่งตัวหนึง มีอตั ราการสูบ เท่ากับ . ลบ. ม. /นาที ทีเฮดรวมเท่ากับ
เมตร ความเร็วรอบของปั มนีเท่ากับ รอบ /นาที ใช้สบู นําทีอุณหภูมปิ ระมาณ องศาเซลเซียส
แหล่งนําอยูท่ ระดั
ี บความสูงประมาณ + . ร.ท.ก. ศูนย์กลางปั มอยูต่ ากว่ ํ าผิวนําเท่ากับ . ม.สมมติ
การสูญเสียเฮดผ่านท่อดูดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายใน นิว เท่ากับ . ม. จงตรวจสอบว่าการติดตัง
ส่วนประกอบของปั มทางด้านดูด มีความเหมาะสมหรือไม่?
วิ ธีทาํ
.) ทําการหาค่า NPSH r จากสูตร

4
 N Q  3
NPSH   
r  
  N s  

แทนค่า
Ns = ความเร็วจําเพาะด้านดูด ( – (จุดทีใบพัดทํางานได้
ประสิทธิภาพสูงสุด)) ในทีนีใช้เท่ากับ รอบ /นาที
N = ความเร็วรอบของใบพัด เท่ากับ รอบ /นาที
Q = . ลบ.ม./นาที = . gpm (US.)( cum = 264.17 gpm)
ได้ NPSHr = . ฟุต = . เมตร ตอบ

.) หาค่า NPSHa จากสูตร

NPSH a  H a  hs  hl  hva  hv
แทนค่า
Ha = ค่าความดันบรรยากาศ = . ม.
hs = เฮดทางด้านดูดวัดเทียบกับระดับศูนย์กลางใบพัด มีคา่ เป็ น ลบ เมือปั ม
อยูเ่ หนือผิวของเหลว ดังนัน กรณี hs = + . ม.
hl = การสูญเสียเฮดเนืองจากการไหลผ่านท่อดูด = . ม.
hva = เฮดความดัน ของไอนํ าอิมตัว = . ม.
hv = เฮดความเร็ว = V2/2g = . ม.
ได้ NPSHa = . ม.

) เปรียบเทียบ พบว่า NPSHa > NPSHr แสดงว่าการติดตังตําแหน่ งเครืองสูบมีความเหมาะสม


-5

. . วิ ธีการเพิมค่า NPSHa
เพือลดปั ญหาการเกิดคาวิเตชันในตัวเครืองสูบ ทําได้โดยการเพิมค่า NPSHa ขึน โดยมีวธิ กี าร
ดังนี
.เพิมขนาดของท่อดูดให้มขี นาดใหญ่ขนจนค่ ึ าความเร็วการไหลผ่านท่อดูด มีคา่ . ม. ต่อ
วินาที การเพิมขนาดท่อจะทําให้คา่ การสูญเสียเฮดมีคา่ ลดลง (hl ลดลง)
.ลดอุปกรณ์ทางด้านท่อดูดให้มนี ้อยทีสุดเท่าทีจะทําได้ เช่นข้อต่อ ข้องอ ข้อโค้ง ต่างๆเป็ นต้น
จะทําให้ลดค่าการสูญเสียเฮดของท่อด้านดูดลง
.ถ้าเป็ นไปได้ควรติดตังให้ตวั เครืองสูบอยูต่ ากว่
ํ าระดับผิวนําในบ่อสูบ หรือพยายามให้ระยะ
ระหว่างจุดศูนย์กลางเครืองสูบกับระดับนํ าในบ่อสูบสันทีสุดเท่าทีจะเป็ นไปได้ กรณีแรกจะทําให้คา่ hs
มีคา่ เป็ นบวก ส่วนกรณีหลังจะทําให้ระยะ hs มีคา่ น้อยลง
.ในกรณีสบู นําจากถัง หากสามารถทําได้ให้เพิมค่าความดันในถังขึน แต่ตอ้ งควบคุมความดัน
ในถังให้มคี ่าตํากว่าระดับนําในถัง กรณีเป็ นการทําให้คา่ Ha เพิมขึน

. การต่อเครืองสูบนํา
. . การต่อเครืองสูบนําแบบอนุกรม (Pump in series)
เมือนําเครืองสูบนํามากกว่าหนึงตัวทีลักษณะคล้ายคลึงกัน (Similar pump) มาต่อกันในลักษณะ
เป็ นอนุกรม(Series) กล่าวคือนําปลายท่อด้านจ่ายของเครืองสูบตัวใดๆไปต่อเข้ากับปลายท่อด้านดูดของ
เครืองสูบอีกตัว ผลการทํางานทีได้จากเครืองสูบชุดดังกล่าว มีดงั นี
-อัตราการสูบทีผ่านเครืองสูบแต่ละตัวจะมีคา่ เท่ากัน
-เฮดทีได้มคี า่ เท่ากับเฮดทีได้จากทังเครืองสูบแต่ละตัว รวมกัน

รูปที - ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการสูบ กับ เฮด เมือต่อเครืองสูบแบบอนุกรม


-6

มีบางอย่างทีควรนํามาพิจารณา เมือทําการต่อเครืองสูบแบบอนุกรม ดังนี


.เครืองสูบทุกตัวทีนํามาต่อกันจะต้องมีขนาดความกว้างของใบพัดเท่ากัน โดยเฉพาะหากเครืองสูบแต่
ละตัวให้อตั ราการสูบไม่เท่ากันแล้ว จะทําให้เครืองสูบตัวถัดไปเกิดภาวะคาวิเตชันเกิดขึน ถ้าเครืองสูบตัว
แรกสูบนําและจ่ายให้ในอัตราทีน้อยกว่าอัตราการสูบของเครืองสูบตัวทีสอง
.เครืองสูบทุกตัวต้องเดินเครืองด้วยความเร็วรอบเท่ากัน
.ตัวเรือนเครืองสูบตัวทีสองต้องมีความมันคงแข็งแรงพอพียงทีจะต้านทานความดันทีเพิมขึน
.ก่อนเริมต้นเดินเครืองสูบสูบนํา ตรวจสอบจนแน่ ใจว่ามีนําเต็มเครืองสูบทุกตัว
.ให้เดินเครืองสูบนําตัวแรกก่อนแล้วจึงสตาร์ทเดินเครืองตัวทีสองตาม

รูปที - ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการสูบ กับ เฮด เมือต่อเครืองสูบแบบขนาน

. . การต่อเครืองสูบนําแบบขนาน (Pump in parallel)


เป็ นการนํ าเครืองสูบตังแต่สองตัวขึนไป โดยให้ท่อด้านจ่าย(Discharge pipe)ของเครืองสูบแต่ละ
ตัว ผลการทํางานทีได้จากเครืองสูบชุดดังกล่าว มีดงั นี
-อัตราการสูบรวมทีได้ออกมาจะมีคา่ เท่ากับอัตราการสูบจากเครืองสูบแต่ละตัวรวมกัน และอัตรา
การสูบ ของเครืองสูบแต่ละตัวทีถูกนํามาต่อขนานกันนีจะเกิดการแบ่งอัตราการสูบออกเป็ นแต่ละตัว
เท่าๆกันเกิดขึน
-เฮดทีได้มคี ่าเท่ากับเฮดทีเกิดจากเครืองสูบแต่ละตัว เท่านัน
-7

ประเด็นทีต้องนํามาพิจารณาหากจะต่อเครืองสูบนําแบบขนานคือ
.เครืองสูบทุกตัวจะให้เฮดออกมาเท่าๆกัน ก็ต่อเมือเครืองสูบทุกตัวเดินเครืองด้วยความเร็วรอบเท่ากัน
และมีขนาดใบพัดเท่ากัน
.ในทางปฏิบตั เิ ครืองสูบสองตัวทีต่อขนานกันจะให้อตั ราการสูบน้อยกว่าอัตราการสูบทีคิดจากเครืองสูบ
แต่ละตัวรวมกัน เนืองจากในระบบมีคา่ การสูญเสียเกิดขึน (ในทางทฤษฎีถอื ว่าเมือต่อแบบขนาน อัตรา
การสูบ ทีได้เท่ากับอัตราการสูบทีได้จากแต่ละเครืองรวมกัน)

. . สมการที ใช้เมือมีการต่อเครืองสูบ
จากทีกล่าวไปแล้วเมือนําเครืองสูบตังแต่สองตัวขึนไปมาต่อกันไม่ว่าจะเป็ นแบบอนุกรมหรือแบบ
ขนาน สามารถสรุปเป็ นสมการสําหรับคํานวณผลการทํางานของเครืองสูบทีได้จากการนําเครืองสูบมาต่อ
กันดังนี

Q in เครื องสู บ เครื องสู บ Q T HT

รูปที - ลักษณะการต่อเครืองสูบแบบอนุกรม

เมือต่อเครืองสูบแบบอนุ กรม ผลการทํางานจากเครืองสูบทีได้ จะเป็ นไปตามสมการ

H T  ( H 1  H 2  .......) (.)
QT  (Q1  Q2  .......) (.)
( H 1  H 2  .....)
 (.)
H H
( 1  2  .....)
1  2
Q( H 1  H 2  ....)
P (.)
550
-8

Q1 H1 เครื องสู บ

QT HT

Q2 H2 เครื องสูบ

รูปที - ลักษณะการต่อเครืองสูบแบบขนาน

เมือต่อเครืองสูบแบบขนาน ผลการทํางานจากเครืองสูบทีได้ จะเป็ นไปตามสมการ

H T  ( H 1  H 2  .......) (. )
QT  (Q1  Q2  .......) (. )
(Q1  Q2  .....)
 (. )
Q Q
( 1  2  .....)
1  2
H (Q1  Q2  ....)
P (. )
550

เมือ Q = อัตราการสูบนํา (cfs)


H = เฮดรวม (ft.)
 = นําหนักจําเพาะของนํ า = . ปอนด์ ต่อ ลบ.ฟุต
 = ประสิทธิภาพของเครืองสูบนํา
P = กําลังของเครืองสูบนํา (แรงม้า)
-9

ตัวอย่างที ถ้าหากในระบบท่อระบบหนึงต้องการ Q ออกแบบ เท่ากับ gpm. และเฮด (hp) ของ


ระบบเท่ากับ Ft. หากจะเลือกซือเครืองสูบนําเพือทีจะนํามาติดตังทังแบบเครืองสูบเดียว ต่อกันแบบ
อนุกรม และแบบขนาน จะต้องเลือกเครืองสูบทีมีอตั ราการสูบและเฮดอย่างไร?
วิธีทาํ
. เมือต้องการใช้เครืองเพียงตัวเดียว เลือกแบบ Q = gpm. และเฮด (hp) = Ft.
.เมือต้องการใช้เครือง ตัว มาต่ออนุกรมกัน ให้เลือกเครืองสูบแต่ละตัวให้ม ี Q = 600 gpm. และ
hp = 135 Ft.
.เมือต้องการใช้เครือง ตัว มาต่อขนานกัน ให้เลือกเครืองสูบแต่ละตัวให้มี Q = 300 gpm. และ
hp = 270 Ft.
6-1

. การออกแบบสถานี สบู นํา


ในการออกแบบสถานีสบู นํามีสงที
ิ ต้องพิจารณาและมีหลักเกณฑ์สาํ หรับใช้ประกอบการตัดสินใจ ดังต่อไปนี
คือ
. . การเลือกสถานี สบู นํา มีหลักเกณฑ์ทวไปสํ
ั าหรับการเลือกตําแหน่งทีตังสถานีสบู นํา ดังนี
. เป็ นบริเวณทีมีดนิ ฐานรากมันคง สามารถรับนําหนักจากเครืองสูบพร้อมอุปกรณ์ประกอบและนําหนักของ
อาคารสถานีสบู ได้อย่างปลอดภัย
. ทีตังสถานีสบู ต้องอยูบ่ ริเวณตลิงทีปลอดภัยจากการกัดเซาะ หากหลีกเลียงไม่ได้กค็ วรย้ายตําแหน่งสถานี
สูบเข้าไปให้หา่ งตลิงแล้วใช้วธิ ขี ดุ เป็ นคลองชักนํา (Intake Channel) ไปยังสถานีสบู
. ตําแหน่ งทีตังของสถานีสบู นําจะต้องไม่ทาํ ให้เกิดเฮดทังด้านดูดและด้านส่งมีคา่ สูงเกินไป มิเช่นนันจะทําให้
เกิดการเพิมค่าใช้จ่ายทังค่าลงทุนละค่าปฏิบตั งิ านสูบนํา
. ระดับพืนของสถานีสบู นําทีใช้วางเครืองสูบและอุปกรณ์ต่างๆจะต้องปลอดภัยจากระดับนําท่วม
. ตําแหน่ งตังสถานีสบู นําจะต้องเป็ นจุดทีมีความสมําเสมอของนํา เพือทําให้สามารถสูบนําได้อย่างต่อเนือง
. สถานีสบู นําไม่ควรห่างจากแหล่งพลังงานทีใช้เดินเครืองสูบนําเช่นเสาไฟฟ้ าแรงสูง หรือสถานีบริการนํามัน
จะทําให้เพิมค่าใช้จ่ายทังด้านค่าลงทุนและค่าปฏิบตั งิ านสูบนํา

. . การกําหนดขนาดของสถานี สบู นํา


) ส่วนประกอบของสถานี สบู นํา
สถานีสบู นํามีส่วนประกอบ ดังต่อไปนี
( ) โรงสูบนํา (Pumping House) มีสว่ นประกอบทีสําคัญคือ บ่อสูบนํา (Suction Sump) เครืองสูบนํา
มอเตอร์ ท่อดูด ท่อจ่ายนํา ฯลฯ การออกแบบจะต้องมีขนาดให้พอเพียงทีจะจัดวางอุปกรณ์เหล่านีได้อย่างสะดวก
( ) ห้องควบคุมระบบสูบนํา (Control Room) เป็ นอาคารติดกับสถานีสบู นําหรืออาจเป็ นห้องติดกับบริเวณที
ติดตังเครืองสูบเลยก็ได้ ภายในห้องติดตังอุปกรณ์ควบคุมและตรวจวัดการทํางานของเครืองสูบนํา (Control switch
board) เป็ นห้องทีใช้สาํ หรับให้เจ้าหน้าทีใช้ปฏิบตั งิ านควบคุมการทํางานของระบบสูบนํา
( ) ทีตังหม้อแปลงไฟฟ้ า กรณีทเครืี องสูบนําใช้ตน้ กําลังเป็ นมอเตอร์ไฟฟ้า บริเวณนีจะต้องจัดทํารัวล้อมรอบ
เพือให้เกิดพืนทีทีเป็ นสัดส่วนป้ องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้ าแรงสูง
( ) ถนนภายในบริเวณสถานีสูบนํา โดยทัวไปจะออกแบบเป็ นชนิดถนนลาดยาง แบบ Double surface
treatment ให้สามารถรับนําหนักบรรทุก HS-20-44 ตามมาตรฐาน AASHTO หรือออกแบบเป็ นถนนลูกรัง ขนาดกว้าง
. ม. มีไหล่ทางกว้างข้างละ . ม.
( ) ระบบไฟฟ้ าแสงสว่าง ตามจุดต่างๆภายในบริเวณสถานีสบู นํา
( ) ระบบป้ องกันภัย เช่นมีรวโดยรอบ
ั อุปกรณ์เกียวกับการดับเพลิง เป็ นต้น
( ) ห้องบํารุงรักษาและซ่อมแซม ในส่วนนีอาจจะพิจารณาตามความจําเป็ นว่าควรจะมีหรือไม่
( ) ห้องเก็บอุปกรณ์สาํ รองและเครืองมือ
( ) ระบบปรับอากาศ
( ) ห้องนํา (หากมีความจําเป็ น)
6-2

) การกําหนดขนาดและรูปร่างของสถานี สบู นํ า
ปั จจัยทีใช้พจิ ารณากําหนดขนาดและรูปร่างของสถานีสบู นําประกอบด้วย
( ) ชนิดและขนาดของเครืองสูบนําทีใช้รวมทังอุปกรณ์ประกอบ
( ) ขนาดของท่อดูด (Suction bore)
( ) ตําแหน่งและขนาดของบ่อสูบ (Pump sump)
( ) ระยะห่างระหว่างเครืองสูบทีเหมาะสมต่อการปฏิบตั งิ าน
( ) ขนาดความกว้างและความสูง ทีพอเพียงต่อการขนย้ายเครืองสูบและอุปกรณ์เข้าหรือออกจากอาคาร
( ) ขนาดความสูงต้องพอเพียงต่อการใช้ Overhead travelling crane สําหรับการยกชินส่วนทียาวทีสุดได้
( ) คํานึงถึงระดับความสูงของ Motor floor ทีเพียงพอต่อการป้ องกันนําท่วม
) นําหนักทีกระทําบนสถานี สบู นํา
การออกแบบโครงสร้างของตัวสถานีสบู นํา จะต้องทราบถึงนําหนักบรรทุกและแรงทีกระทําต่อโครงสร้างต่างๆ
ตังแต่ฐานรากจนถึงหลังคาของอาคาร ชนิดของแรงกระทํากับสถานีสบู นํา มีดงั นี
.แรงกระทําลงสูฐ่ านรากของโรงสูบนํา ประกอบด้วย
ก) นําหนักของตัวเครืองสูบนําและส่วนประกอบทังหมด
ข) นําหนักทีเพิมขึนขณะมีการเดินเครืองสูบนํา (Equipment operation load) ถือเป็ นประเภท
นําหนักบรรทุกเคลือนไหว ( Dynamic load ) ทีเกิดขึนในขณะเครืองสูบนําทํางาน โดยปรกติจะคิดเพิมขึนอีก
เปอร์เซ็นต์ของนําหนักเครืองสูบรวมกับอุปกรณ์และนําหนักนําในท่อ
ค) นําหนักของตัวอาคารสถานีสบู นําเหนือฐานรากทังหมด
ง) นําหนักจรต่างๆ (Live load) โดยปรกติจะใช้ดงั นี
- กิโลกรัม ต่อ ตารางเมตร สําหรับห้องควบคุม
- กิโลกรัม ต่อ ตารางเมตร สําหรับ ห้องเครือง
. แรงกระทําด้านข้างต่อโครงสร้างอาคาร ได้แก่ แรงดันนําและแรงดันดิน
. แรงกระทําแบบกระแทก (Impact) ทีรางเครน (Crane way) มีวธิ คี ดิ ดังนี
-แรงในแนวดิงให้คดิ เพิมอีก % ของแรงทีเกิดขึนจริงสูงสุดทีล้อเครน (Maximum wheel
load)
-แรงทางขวาง คิดเพิมขึน % ของนําหนัก Trolley รวมกับนําหนักทียก
-แรงทีเกิดขึนตามยาวบนราง ให้คดิ เพิมขึน % ของแรงทีเกิดขึนจริงสูงสุดทีล้อเครน (Maximum
wheel load)

) บ่อสูบนํา (Suction sump)


เป็ นบ่อทีสร้างขึนเพือให้ปลายท่อดูดถูกติดตังลงในบ่อนี นําจากแหล่งนําทีต้องการสูบไหลมารวมกันในบ่อนีจน
พอทีจะให้ปลายท่อดูดของเครืองสูบนําจุ่มลงไปจนทําให้เครืองสูบสามารถสูบนําได้ตามทีต้องการ การออกแบบรูปร่าง
และลักษณะของบ่อสูบจะต้องทําให้มคี วามเหมาะสมทางด้านชลศาสตร์ (Hydraulic Design) กล่าวคือนําจะต้องไหลเข้า
6-3

สูท่ ่อดูดได้ทนั และไม่เกิดการไหลแบบปั นป่ วนขึน รวมทังระดับนําในบ่อจะต้องไม่ลดลงมากจนทําให้ประสิทธิภาพการ


ทํางานของเครืองสูบลดลง

ก.ลักษณะของบ่อสูบ บ่อสูบทีดีควรมีลกั ษณะโดยทัวไป ดังต่อไปนีคือ


.ควรอยูใ่ นแนวตรง แนวเดียวกับทางนําหรือรางนําเปิ ดทีชักนําจากแหล่งนําเข้ามา ควรหลีกเลียงทีจะมีการ
หักมุมเนืองจากทําให้ความเร็วของการไหลเกิดการเปลียนแปลง
.ไม่ควรมีสงกี
ิ ดขวางใดๆต่อการไหลของนําไปสูท่ ่อดูด
.กรณีมที ่อดูดมากกว่า ท่อ ไม่ควรออกแบบให้แนวท่อดูดวางในลักษณะขนานกับทิศทางนําไหลเข้าสูท่ ่อดูด
เนืองจากท่อดูดแต่ละท่อจะกีดขวางการไหลกันเองทําให้การไหลไม่สมําเสมอและเกิดการไหลวนขึนได้ ถ้าหากเลียง
ไม่ได้จาํ เป็ นต้องออกแบบติดตังแผงกันช่องการไหลให้กบั ท่อดูดแต่ละตัว
.ความเร็วของกระแสนําก่อนไหลเข้าสูบ่ ่อสูบ ไม่ควรเกิน . เมตร ต่อ วินาที และความเร็วของกระแสนํา
ภายในบ่อสูบไม่ควรเกิน . เมตร ต่อวินาที
ข. ขนาดของบ่อสูบ
การกําหนดขนาดของบ่อสูบนํา หากไม่มขี อ้ กําหนดจากบริษทั ผูผ้ ลิตเครืองสูบนําแล้ว จะใช้คา่ มาตรฐานที
กําหนดโดย Hydraulic Institute ของสหรัฐอเมริกา ดังแสดงตามรูปที - โดยมีคา่ ต่างๆ ดังนี
C คือ ระยะความสูงจากปลายท่อดูดไปยังพืนบ่อสูบ (นิว)
B คือ ระยะห่างจากศูนย์กลางท่อดูดถึงกําแพงบ่อสูบ (นิว)
S คือ ความกว้างตําสุดของบ่อสูบกรณีมที ่อดูดเพียงท่อเดียว หรือหากเป็ นกรณีมที อ่ ดูดหลายท่อ จะหมายถึง
ระยะห่างตําสุดระหว่างจุดศูนย์กลางท่อดูดแต่ละท่อ (นิว)
H คือ ความลึกของนําในบ่อสูบ เป็ นค่าตําสุดทียอมให้ โดยคิดจากระดับนําตําสุดบริเวณปลายท่อดูด (นิว)
A คือ ความยาวตําสุดของบ่อสูบ โดยทีความยาวนีต้องยาวมากพอทีจะทําให้เกิดการไหลแบบสมําเสมอ ก่อน
ถึงทีตังของท่อดูด (นิว)
6-4

รูปที - ขนาดมาตรฐานของบ่อสูบ สําหรับเครืองสูบนําขนาด – ลบ.ม.ต่อ ชม.


( - แกลลอน ต่อ นาที) (Hydraulic Institute of America)
6-5

รูปที - ลักษณะของบ่อสูบทีเหมาะสมและไม่เหมาะสม

รูปที - เป็ นข้อมูลแสดงขนาดของบ่อสูบทีถูกต้อง สมควรนําไปใช้และลักษณะการติดตังทีไม่เหมาะสม ควร


หลีกเลียง (Hydraulic Institute of America)
) ตะแกรงป้ องกันสวะ
โรงสูบทีสูบนําจากแหล่งนําธรรมชาติ จําเป็ นทีจะต้องมีตะแกรงป้ องกันสวะหรือเศษวัสดุทลอยมากั
ี บนําเพือ
ป้ องกันไม่ให้เข้าไปทําความเสียหายแก่เครืองสูบนํา และยังมีส่วนช่วยปรับความเร็วของกระแสนําให้มคี วามสมําเสมอ
6-6

มากขึนก่อนทีจะไหลถึงท่อดูด ลักษณะของตะแกรงกันสวะคือจะต้องมีความโปร่ง(หมายถึงมีระยะห่างของช่องตะแกรง)
มากพอสมควร ค่าความโปร่งของตะแกรงคํานวณด้วยสูตร ดังนี

Aw
Vs  (.)
As

เมือ
Vs = ค่าความโปร่งของตะแกรงกันสวะ
Aw = พืนทีหน้าตัดของนําทีทังหมดทีไหลผ่านตะแกรง (ตร.ม.)
As = พืนทีหน้าตัดของตะแกรงส่วนทีเป็ นพืนทีทึบของเนือวัสดุททํี าตะแกรงนัน
(ตร.ม.)
โดยทัวไปค่าความโปร่งของตะแกรงควรมีคา่ อยูร่ ะหว่าง . - . หากค่าความโปร่งน้อยกว่า . แสดง
ว่าตะแกรงทึบเกินไป ผลทีตามมาคือเกิดการสูญเสียเฮดของนํามากขึนเมือมีการไหลผ่านตะแกรงนัน ในทางตรงกัน
ข้ามหากตะแกรงมีคา่ ความโปร่งมากกว่า . การสูญเสียเฮดจะน้อยลงแต่ความสามารถในการทีตะแกรงจะช่วยปรับ
สภาพความเร็วของการไหลก็จะน้อยลงตามไปด้วย
สูตรการคํานวณค่าการสูญเสียเฮด (Head Loss) เมือมีการไหลผ่านตะแกรงมีดงั นี

4
t v 21
h f   sin  ( ) 3 (.)
b 2g
เมือ
Hf = ค่าการสูญเสียเฮดทีตะแกรงกันสวะ (ม.)
 = ค่าสัมประสิทธิ ตามรูปที........ (มีค่าอยู่ระหว่าง . – . )
 = มุมทีตะแกรงเอียงทํามุมกับแนวราบ (องศา) (มีค่าระหว่าง – องศา)
t = ความหนาของตะแกรง (มม.) (มีคา่ ประมาณ – มม.)
b = ระยะระหว่างช่องซีตะแกรง (มม.) (มีค่าประมาณ - มม.)
V1= ความเร็วของนําก่อนถึงตะแกรง (ม.ต่อ วินาที)
g = อัตราเร่งเนืองจากแรงโน้มถ่วงของโลก ( . ม.ต่อ วินาที ต่อ วินาที)
ค่า hf ทีออกแบบควรมีคา่ อยูร่ ะหว่าง . – . เมตร สําหรับตะแกรงแบบธรรมดา และมีคา่ ระหว่าง
. – . กรณีเป็ นตะแกรงแบบอัตโนมัต ิ
6-7

)คลองชักนํา(Intake channel)
การนํานําเข้ามาสูบ่ อ่ สูบนําทําได้ วิธคี อื ขุดคลองชักนําจากแหล่งนําเข้ามายังบ่อสูบนํา หรือโดยการถมดิน
บริเวณทีจะตังเครืองสูบนําเข้าไปใกล้กบั แหล่งนํา ทังนีจะต้องพิจารณาจากลักษณะภูมปิ ระเทศและราคาค่าก่อสร้างเป็ น
สําคัญ กรณีทเป็
ี นคลองชักนํามีเกณฑ์การพิจารณาดังนี
)บริเวณปากคลองชักนํา ในกรณีทชัี กนําจากแม่นําหรือคลองธรรมชาติจะต้องเป็ นบริเวณทีไม่มกี ารตกตะกอนและ
มีตลิงของแม่นําหรือคลองธรรมชาติทมัี นคง มีปริมาณนําเพียงพอและสมําเสมอเพือชักนํามาสูบ่ ่อสูบได้
)มีสภาพภูมปิ ระเทศทีเหมาะสมไม่เป็ นทีสูง ๆ ตํา ๆ เพือลดปริมาณดินขุดดินถม
)ความเร็วของนําในคลองชักนําไม่ควรเกิน . ม./วินาที เพือป้ องกันการกัดเซาะ

สําหรับความเร็วของนําทีจะไม่เกิดการกัดเซาะและตกตะกอน คํานวณจากสูตรของ Kennedy ดังนี

Vo = C.dm (.)

เมือ Vo คือ ความเร็วทีไม่เกินการกัดเซาะและตกตะกอน (ม./วินาที)


C คือ ค่าสัมประสิทธิของการตกตะกอน
= . สําหรับตะกอนละเอียดและเบามาก
= . สําหรับตะกอนละเอียดและเบา
= . สําหรับตะกอนทรายหยาบและเบา
= . สําหรับตะกอนทรายหยาบ
= . สําหรับตะกอนทรายหยาบและหนัก
d คือ ความลึกของนําในคลอง (ม.)

m คือ ค่าเลขยกกําลัง = .

)ความลาดชันด้านข้าง (Side Slope) และชันดินของคลองชักนํา จะต้องออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพดิน


และมีความแข็งแรงพอทีจะทนต่อการกัดเซาะของกระแสนําและจะต้องมีการวิเคราะห์ความมันคงของลาดตลิง (Slope
Stability) ของคลอง เพือให้เกิดความมันใจในความปลอดภัย ดังนี

เสถียรภาพของชันดิน กรณีทอาคารรั
ี บนําวางอยูบ่ นชันดิน การวิเคราะห์เสถียรภาพของชันดินจะใช้วธิ ี
ของ Bishop's Simplified Method โดยการคํานวณหาค่าปลอดภัย (Factor of Safety) ดังนี

 
1  sec 
F.S =  cb  (W  Ub) tan    (6.4)
W sin    tan  tan   
1  
  FS 

6-8

เมือ c = Cohesion ของดิน (kPa)


b = ความหนาแน่นของการแบ่ง Slices (m)
W = นําหนักของ Slice ดินทีแบ่ง (kN)
U = Pore Pressure ทีกระทําตังฉากกับฐานของ Slice (kN)
 = Frictional Angle ของดิน (Degree)

 = มุมเอียงของฐานของ Slice ทีกระทํากับแนวราบ (Degree)

จะเห็นว่าสมการที . มีคา่ FS อยู่ทงสองฝั


ั งของสมการ การแก้สมการด้วยมือจะค่อนข้างยุง่ ยาก จึงเหมาะที
จะแก้สมการด้วยคอมพิวเตอร์
)การปูหนิ ทีคลองชักนํา เป็ นสิงทีควรทําเพือป้ องกันการกัดเซาะของนํา ซึงสามารถคํานวณขนาดของหินทีใช้ปไู ด้ดงั นี
V = E1 .N 3 D (.)

เมือ V = ความเร็วกระแสนํา (ม./วินาที)

   w 
N = 2.g   (.)
 w 

 = นําหนักจําเพาะของหินเรียง โดยทัวไปใช้เท่ากับ กก./ ลบ.ม.

w = นําหนักจําเพาะของนํา = กก. / ลบ.ม.

g = . ม./ วินาที

D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหินเรียง (เมตร)

E = . สําหรับการเรียงในลักษณะหินทิง

หินเรียงควรมีขนาดไม่เล็กกว่า ซม. จํานวน % ปนกับหินขนาดเล็กกว่าลดหลันกันมาอีก %


โดยวางบนชันกรวดและทรายอีกชันหนึง
นอกจากสมการข้างต้นทีใช้สาํ หรับคํานวณหาขนาดของหินเรียง อาจเลือกใช้สมการอืนๆได้อกี ดังนี
สมการของเบอร์รี (Berry’s equation)

Vb  2.57 d (.)

โดยที Vb = ความเร็วของกระแสนําทีพืนของร่องนํา (ฟุต ต่อ วินาที)


6-9

D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหินเรียงทีจะเลือกใช้ (นิว)

สมการของมาวิ สและลอสซี (Mavis and Laushey ‘s equation)

1
Vb  d1 S  1 (.)
2
โดยที Vb = ความเร็วของกระแสนําทีพืนของร่องนํา (ฟุต ต่อ วินาที)
d1 = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหินเรียงทีจะเลือกใช้ (นิว)
S = ความถ่วงจําเพาะของหินทีจะใช้

) ความยาวอย่างน้อยของหินเรียงด้านเหนือนํา

Lr = D (.)

เมือ Lr = ความยาวอย่างน้อยของหินเรียง (เมตร)


D = ความลึกของนําจากระดับพืนถึงระดับผิวนําสูงสุดในการออกแบบ (เมตร)
)คลองชักนําจะต้องมีขนาดเพียงพอกับปริมาณนําสูงสุดทีต้องการจะชักนําเข้าบ่อสูบนํา การออกแบบคลอง
ชักนําจะใช้สมการของ Manning ดังนี
1
Q = A.R 2 / 3 S 1 / 2 (. )
n

เมือ Q คือ อัตราการไหลของนําในคลองชักนํา (ม ./วินาที)


A คือ พืนทีหน้าตัดการไหล (ม )
R คือ รัศมีชลศาสตร์ (ม.) = A/P
P คือ ความยาวของเส้นขอบเปี ยก (ม.)
S คือ ความลาดของผิวนําในคลอง
n คือ สัมประสิทธิความขรุขระของ Manning ดังตารางต่อไปนี
6-10

ตารางที - ค่าสัมประสิ ทธิ ความขรุขระของแมนนิ ง (Manning’s n) สําหรับวัสดุทีใช้ทาํ ผิวคลองชักนํา

n ชนิดของวัตถุและผิวสัมผัสระหว่างนํากับตัวอาคารหรือผิวคลอง

. ผิวคอนกรีตดาดคลอง

. ผิวท่อคอนกรีตทีหล่อกับที

. ผิวท่อคอนกรีตทีหล่อสําเร็จ

. คลองดินขุดใหม่

. คลองธรรมชาติ ไม่คดเคียวและไม่มหี ญ้ารก

. คลองธรรมชาติ คดเคียวเป็ นหลุมเป็ นบ่อ

. คลองทีขุดใหม่เป็ นหิน (Rock Cuts)

. ท่อโลหะทัวไป
1

บทที ไฮดรอลิ คแรม


(Hydraulic Ram)
1. คํานํา
เครืองสูบนําเป็ นเครืองมือสําหรับการสูบนําจากทีตําขึนสูท่ สูี ง เพือให้สามารถส่งนําเพือการอุปโภค บริโภค
การเกษตร อุตสาหกรรมและอืนๆ เครืองสูบนําในปั จจุบนั ส่วนใหญ่ใช้กระแสไฟฟ้า หรือ เครืองยนต์เป็ นต้นกําลังซึงมี
ค่าใช้จ่ายในการสูบนํา นับวันค่าใช้จ่ายในการสูบนําจะสูงขึนเรือยๆ ไฮดรอลิคแรมหรือตะบันนําเป็ นเครืองสูบนําทีไม่
ต้องใช้พลังงานอืนนอกจากพลังงานจากการไหลของนําโดยอาศัยหลักการของ Water Hammer มีการพัฒนาและใช้งาน
ในบริเวณพืนทีนําตกหรือฝานทดนําเป็ นเวลานานกว่าสองร้อยปี ถึงแม้จะมีขอ้ จํากัดหลายประการ อาทิเช่น ต้องมีศกั ย์
นําเหมาะสม อัตราการสูบนําจํากัด มีการสูญเสียนําโดยเปล่าประโยชน์สงู จึงทําให้ใช้ได้กบั บางพืนทีเท่านัน ดังนันใน
ภาวะทีพลังงานมีราคาแพง จึงควรได้มกี ารพัฒนาและส่งเสริมให้มกี ารใช้ประโยชน์จากไฮดรอลิคแรมกันอย่าง
แพร่หลายต่อไป
ไฮดรอลิคแรม มีขอ้ ดี ข้อเสีย ดังต่อไปนี
ข้อดี
(1) เสียค่าบํารุงรักษาตํา
(2) ไม่ตอ้ งการนํามันหล่อลืน
(3) ไม่ตอ้ งการนํามันเชือเพลิงนอกจากนํา
ข้อเสีย
(1) เสียนําเป็ นจํานวนมาก แต่ได้นําใช้ประโยชน์น้อยหรือประสิทธิภาพการใช้นําตํา
(2) เกิดเสียงดังขณะทํางาน

2. ส่วนประกอบของไฮดรอลิคแรม
ไฮดรอลิคแรมมีส่วนประกอบสําคัญดังแสดงในรูปที1คือ (1) ท่อส่งนําเข้าไฮดรอลิคแรม(Drive Pipe) (2) ถังรับ
นํา(Valve Box) (3) วาล์วทิงนํา (Waste Valve) ซึงสามารถปิ ดเปิ ดโดยอัตโนมัตเิ พือเพิมแรงดันในถังรับนําตามหลัก
Water Hammer (4) วาล์วป้ องนําไหลย้อนกลับ (Check Valve) หรือวาล์วส่งนํา (Delivery Valve) ซึงเชือมต่อกับถัง
แรงดัน (5) ถังแรงดัน(Pressure Chamber) รับนําจากถังรับนําเมือความดันนําในถังรับนําสูงขึนอันเนืองจาก
ปรากฏการณ์ Water Hammer (6) ท่อจ่ายนํา (Delivery Pipe) เพือนํานําไปใช้ประโยชน์
ส่วนประกอบสําคัญของไฮดรอลิคแรมคือวาล์วทิงนํา ซึงต้องมีกลไกให้ปิด-เปิ ดได้อย่างอัตโนมัต ิ ตามแรงดัน
นํา เมือเมือแรงดันนําในถังรับนําสูงพอ วาล์วจะเปิ ด ทําให้นําไหลผ่านวาล์วถือเป็ นนําทิง (Waste Water) เมือวาล์วทิง
นําเปิ ด ความดันในถังรับนําจะลดลง เมือแรงดันลดลงถึงระดับหนึงวาล์วจะปิ ดอย่างรวดเร็ว ทําให้เกิดปรากฏการณ์
Water Hammer ความดันนําในถังรับนําจะเพิมขึน ทําให้นําไหลผ่าน Check Valve เข้าสู่ถงั แรงดัน วาล์วทิงนําจะ
ทํางานปิ ด-เปิ ดหมุนเวียนต่อเนืองเป็ นจังหวะอย่างต่อเนืองเพือทําการสูบนํา รายละเอียดวาล์วทิงนําแสดงอยูใ่ นรูปที 2
(คมเดชและคณะ. 2557)
2

รู ปที - รายละเอียดไฮดรอลิคแรม

รูปที - รายละเอียดวาล์วทิ งนํา


3

3. หลักการทํางานของไฮดรอลิ คแรม

ไฮดรอลิคแรมทํางานตามหลักของ Water Hammer ขณะทีนําไหลในท่อด้วยความเร็ว V=Vo ถ้าปิ ดวาล์ว


กระทันหัน นําจะหยุดไหล ความเร็วนําด้านหน้าวาล์วจะลดลงเป็ นศูนย์ (V=0) ขณะเดียวกันความดันนําด้านหน้าวาล์ว
จะเพิมขึนอย่างรวดเร็ว ยิงวาล์วปิ ดเร็วมากขึนเท่าใด ความดันนําจะเพิมสูงขึนเป็ นเงาตามตัว จนสูงกว่าศักย์นําในแหล่ง
นําซึงส่งเข้าสูท่ ่อส่งนําเข้าไฮดรอลิคแรมยิง Vo มีคา่ มาก และยิงปิ ดวาล์วเร็วมากขึน ความดันนําด้านหน้าวาล์วจะมีคา่
มากขึน

ไฮดรอลิคแรมทํางานในวังหวะปิ ดและเปิ ดวาล์วสลับไปมา ช่วงวาล์วทิงนําปิ ดแรงดันนําจะทําให้วาล์วกันนํา


ไหลกลับเปิ ดให้นําไหลผ่านด้วยอัตรา Q ในทางกลับกันช่วงวาล์วทิงนําเปิ ดแรงดันนําจะลดลง วาล์วกันนําไหลกลับจะปิ ด
นําจะถูกระบายทิงผ่านวาล์วนําทิงด้วยอัตราQ หนึงรอบการทํางานของไฮดรอลิคแรมใช้เวลา (t1+t2) วินาที แบ่งเป็ นช่วง
ส่งนํา(วาล์วทิงนําปิ ด, Close) เท่ากับ t2วินาที และช่วงระบายนําทิง (วาล์วทิงนําเปิ ด, Open) เท่ากับt1วินาทีดงั รูปที 3

จากรูปจะสามารถคํานวณหาอัตราการส่งนํา (QD) อัตราการสูญเสียนํา (QW) และประสิทธิภาพการสูบนํา


ของไฮดรอลิคแรม ในแต่ละช่วงจังวะการทํางานได้ดงั สมการ

𝑄 =𝑄 (7.1)

𝑄 =𝑄 (7.2)

เมือ QW = อัตราการสูญเสียนําผ่านวาล์วทิงนําเฉลียในหนึงช่วงการทํางาน(m3/s)
QD = อัตราการสูบนําเฉลียในหนึงช่วงการทํางาน(m3/s)
Q0= อัตราการไหลของนําในท่อเฉลียในช่วงเวลา t1, t2ตามลําดับ (m3/s)
t1 = ระยะเวลาทีวาล์วทิงนําเปิ ด(s)
t2 = ระยะเวลาทีวาล์วทิงนําปิ ด (s)

𝐸 (%) = 100 ( )
(7.3)

เมือ E1(%) = ประสิทธิภาพการสูบนํา


4

Q0 คือ อัตราการไหลของนําผ่านวาล์วทิงนํา ณ เวลาทีวาล์วทิงนําปิ ด

รูปที 7-3 จังหวะการทํางานของไฮดรอลิคแรม

4. ทฤษฎีการคํานวณ

ทฤษฎีการคํานวณทีเกียวข้องกับไฮดรอลิคแรมทีสําคัญคือ การคํานวณความเร็วนําทีไหลผ่านท่อและวาล์ว และ


ระยะเวลาทีเกิด Steady Flow หลังจากเปิ ดวาล์วทิงนํา หรือเรียกว่า Flow Established Time
5

รูปที 7- 4 ไดอะแกรมไฮดรอลิคแรมประกอบการคํานวณ

4.1 การคํานวณความเร็วนําทีวาล์วทิ งนําและความเร็วนําในท่อ

หลังจากเปิ ดวาล์วทิงนํา นําจะไหลด้วยอัตราเร่งเป็ นระยะเวลาช่วงหนึงก่อนทีการไหลในท่อจะทรงตัว (Steady


State หรือ Establishment of Flow) ความเร็วนําทีไหลผ่านวาล์วทิงนําที Steady State จะคํานวณได้จากสมการ

𝑉 = (7.4)
เมือ
V0 = Steady State Velocity ทีวาล์วทิงนํา (m/s)
H = ความสูงของนําในแหล่งนํา (Supply Head)วัดจากการระดับผิวนําถึงระดับศูนย์กลางของ
วาล์วทิงนํา (m)
C1 = สัมประสิทธิการสูญเสียพลังงานในระบบท่อ ซึงประกอบด้วย Friction Loss และ Minor Losses ใน
ระบบท่อ Minor Losses ทีสําคัญได้แก่ Losses ที Entrance, Valve, Bend, Exit

𝐶 =1+𝐾 +𝐾 +𝐾 +𝑓 (7.5)
6

ถ้าให้ 𝐶 = (7.6)

Cv = สัมประสิทธิความเร็วของนํา(Water Velocity Coefficient) มีค่าระหว่าง 0.7 (C1=2.04) ถึง


0.8 (C1=1.56) กรณีไม่คดิ Losses C1=1
g = อัตราเร่งเนืองจากแรงโน้มถ่วงของโลกเท่ากับ 9.81m/s2
H = ความสูงของนําในแหล่งนํา(Supply Head)วัดจากการระดับผิวนําถึงระดับศูนย์กลางของ
ช่องระบายของลินทิงนําของตะบันนํา(m)
ให้ Vm คือ ความเร็วนําในท่อ (Drive Pipe) ที Supply Head (H) สามารถคํานวณหาได้จากสมการ

𝑉 = 𝑉 (7.7)

เมือ
Vm = ความเร็วนําในท่อที Steady State (m/s)
V0 = ความเร็วนําทีวาล์วทิงนําที Steady State (m/s)
AD = พืนทีหน้าตัดของวาล์วทิงนําขณะเปิ ด (cm ) = 𝜋

Ad = พืนทีหน้าตัดของท่อส่งนํา (Drive Pipe) (cm ) = 𝜋

Q0= Qm= AD.V0 = Ad.Vm (7.8)

เมือ Q0 = อัตราการไหลของนําผ่านวาล์วทิงนํา ณ เวลาทีวาล์วทิงนําปิ ด (m3/s)


Qm = อัตราการไหลของนําในท่อ ณ เวลาทีวาล์วทิงนําปิ ด (m3/s)

4.2การคํานวณระยะเวลาทีนํานําไหลแบบคงตัว (Time of Establishment of Flow)

Euler Equation

( ) ⌈ ⌉
+ + =0 (7.9)

Integrate the above Equation with respect to distance (s) from point 1 to point 2 (หรือ ระยะ L ในรูปที

7-4
7

1 𝜕𝑉 𝜕(𝐻 + ) 𝑓𝑉⌈𝑉⌉
+ + 𝑑𝑠 = 0
𝑔 𝜕𝑡 𝜕𝑠 2𝑔𝐷

1 𝜕𝑉 𝜕(𝐻 + ) 𝑓𝑉⌈𝑉⌉
𝑑𝑠 = − + 𝑑𝑠
𝑔 𝜕𝑡 𝜕𝑠 2𝑔𝐷

𝐿 𝜕𝑉 𝑉 𝑉 𝐿𝑉
=− 𝐻+ + 𝐻+ −𝑓
𝑔 𝜕𝑡 2𝑔 2𝑔 𝐷 2𝑔

At point 2

H2=0

at time t=0+, V2=0

at time t=t, V2=V0

At point 1

H1=H

at time t=0+, V1=0

𝐿 𝜕𝑉 𝑉 𝐿𝑉
=𝐻− −𝑓
𝑔 𝜕𝑡 2𝑔 𝐷 2𝑔

=𝐻− 1+𝑓

After integrating V with respect to s, then the remaining derivative is a function of time only, an
ordinary derivative.

=𝐻− 1+𝑓 (10)

𝑑𝑡 =

ให้ 𝐶 = 1 + 𝑓
8

𝑑𝑡 = (11)

จากสมการที (3), 𝐻 = 𝐶

𝐿 𝑑𝑉
𝑑𝑡 =
𝑔 𝐶 −𝐶

2𝐿 𝑑𝑉
𝑑𝑡 =
𝐶 𝑉 −𝑉

2𝐿 𝑑𝑉
𝑑𝑡 =
𝐶 𝑉 −𝑉

2𝐿 1 𝑉 +𝑉
𝑡= 𝑙𝑛
𝐶 2𝑉 𝑉 −𝑉

𝑡= 𝑙𝑛 (12)

เมือ t = Flow Establishment Time (s)

Flow establishment time is infinite and the logarithm does not remain bounded as V approaches Vo.

For the practical purposes, let V=0.99V0

𝐿 1.99𝑉
𝑡= 𝑙𝑛
𝐶𝑉 0.01𝑉
𝐿
𝑡= 𝑙𝑛(1.99)
𝐶𝑉
.
𝑡= (13)

หมายเหตุ ในการออกแบบไฮดรอลิคแรม ควรอกกแบบให้ t1 (Waste Valve Openning Time) เท่ากับ t ใน


สมการที (13)
9

ตัวอย่างที 1ท่อขนาด 0.60 เมตร ยาว 3,000 เมตร รับนําจากอ่างเก็บนําซึงระดับนําในอ่างสูงกว่าศูนย์กลางของวาล์วที


ปลายท่อ 25 เมตร ถ้าท่อทีค่า Steady State Friction Factor (f) เท่ากับ 0.018 และสมมติว่ามีคา่ คงที จงคํานวณหา

(1) หลังจากเปิ ดวาล์วจะใช้เวลากีวินาที นําจึงไหลด้วยความเร็ว 99% ของSteady State Velocity ถ้าไม่คดิ การ
สูญเสียพลังงาน
(2) คํานวณข้อ (1) ใหม่ ถ้ากําหนดให้คดิ Friction Loss แต่ไม่คดิ Minor Losses
(3) คํานวณข้อ (2) ใหม่ ถ้าคิด Minor Losses ด้วย กําหนดว่า Entrance Loss Coefficient (KE)=0.5 และ Valve
Loss Coefficient (KV)=5.0

วิ ธีทาํ H=25 m, L=300 m, D=0.6 m

(1) C1=1

2𝑔𝐻 2𝑥9.81𝑥25
𝑉 = = = 22.145 𝑚/𝑠
𝐶 1

5.293𝐿 5.293𝑥3,000
𝑡= = = 717 𝑠
𝐶𝑉 1𝑥22.145

(2) C1=1+f(L/D)=1+0.018*3,000/0.6 = 90 (No minor losses)

2𝑔𝐻 2𝑥9.81𝑥25
𝑉 = = = 2.335 𝑚/𝑠
𝐶 90

5.293𝐿 5.293𝑥3,000
𝑡= = = 75.56 𝑠
𝐶𝑉 90𝑥2.335

(3) C1=1+KE+KV+f(L/D)=1+0.5+5+0.018*3,000/0.6 = 95.5 (No minor losses)

2𝑔𝐻 2𝑥9.81𝑥25
𝑉 = = = 2.266 𝑚/𝑠
𝐶 95.5

5.293𝐿 5.293𝑥3,000
𝑡= = = 73.377 𝑠
𝐶𝑉 95.5𝑥2.266

5. สูตรการคํานวณไฮดรอลิคแรม อันเนื องจากพระราชดําริ


10

ไฮดรอลิคแรม อันเนืองมาจากพระราชดําริมลี กั ษณะดังรูปที 5และมีวธิ เี รียกชือตามขนาดของท่อส่งนํา (Drive


Pipe) และท่อจ่ายนํา (Delivery Pipe) ดังนี

RIM-D1 x D2 HD

เมือ
D1คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อส่งนํา (Drive Pipe)(in.)
D2คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อจ่ายนํา (Delivery Pipe) (in.)
RIM = Royal Initiated Machine
HD=Hydraulic Ram

Cross sectional view


รูปที 5ไฮดรอลิคแรม อันเนืองจากพระราชดําริ แบบ RIM-2x¾ HD
11

ความเร็วนําคงตัวทีวาล์วทิงนํา (V0)
𝑉 = = (14)
.

เมือ
H=ความสูงของนํา (Supply Head) (m)
L=ความยาวท่อ (m)
d=เส้นผ่าศูนย์กลางท่อ (m)

ความเร็วนําสูงสุดในท่อ (Vm)
𝑉 = 𝑉 (15)
AD=พืนทีหน้าตัดวาล์วทิงนํา
Ad=พืนทีหน้าตัดท่อ

ระยะเวลาทีนําไหลด้วยความเร็ว Vmหลังจากเปิ ดวาล์วทิงนํามีหน่วยเป็ นวินาที (t1) หรือ Waste Valve


Opening Phase
𝑡 = (16)
เมือ
H=ความสูงของนําทีแหล่งนํา (Supply Head) (m)

ระยะเวลาทีเปิ ดวาล์วจ่ายนําเป็ นวินาที (t2) หรือ Waste Valve Closing Phase


𝑡 = (17)
เมือ
HD=ความสูงของนําทีต้องการสูบไปใช้งาน (Delivery Head) (m)

ดังนัน t 1  t 2 คือระยะเวลาไฮดรอลิคแรมทํางานครบ จังหวะ(Cycle) คือ วาล์วทิงนําเปิ ด(Waste Valve


Open) เพือนําไหลด้วยอัตราเร่งแล้วจึงปิ ดวาล์วทิงนํา (Waste Valve Close) พร้อมกับเปิ ดวาล์วจ่ายนําเพือส่งนําไปใช้
งาน

จํานวนครังทีไฮดรอลิคแรมทํางานในหนึงนาที หาได้จากสมการ
60
No. of Operating Cyclesper minutes= (18)
t1  t 2

𝑄 =𝜋 𝑡 (19)
12

𝑄 =𝜋 𝑡 (18)

เมือ

Qw = ปริมาณนําทีไหลผ่านวาล์วทิงนําลินทิง (m /min)

QD = ปริมาณนําทีไหลสูบส่งไปใช้งาน (m /min)

d =ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อส่งนํา (m)

ประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการสูบนําของไฮดรอลิคแรม จะสามารถคํานวณได้จากสูตร
( )
𝐸 (%) = 100 ( )
(20)

เมือ E2=ประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการสูบนําของไฮดรอลิคแรม(%)

6. ตัวอย่างการคํานวณไฮดรอลิ คแรม อันเนื องจากพระราชดําริ

ตัวอย่างที 2 ต้องการติดตังไอดรอลิคแรมแบบ RIM-5 x 1.5 HD จํานวนหนึงเครืองทีบริเ วณฝายทดนําแห่งหนึง


ซึงมีขอ้ มูลดังต่อไปนี

H=2 m.

D1= 5 in. = 5x0.0254=0.127 m.=d

L=10 m.

HD=30 m.

ระยะปิ ด-เปิ ดวาล์วทิงนํา= 1.5 cm. ซึงสามารถคํานวณหา Awได้ดงั รูปที 6

Aw= (10 x 1.5)+2(0.5 x 13 x 1.5)=34.5 cm2


13

รูปที 6การคํานวณ AwของไฮดรอลิคแรมRIM-5 x 1.5 HD

𝑑 12.7
𝐴 =𝜋 = 3.14 = 126.6 𝑐𝑚
4 4

2𝑔𝐻 2 𝑥 9.81 𝑥 2
𝑉 = = = 3.68 𝑚/𝑠
1 + 0.024 1 + 0.024 𝑥
.

𝐴 34.5
𝑉 = 𝑉 = 𝑥 3.68 = 1.003 𝑚/𝑠
𝐴 126.6
𝐿𝑉 10 𝑥 1.003
𝑡 = = = 0.51 𝑠
𝑔𝐻 9.81 𝑥 2
𝐿𝑉 10 𝑥 1.003
𝑡 = = = 0.034 𝑠
𝑔𝐻 9.81 𝑥 30
t1+t2=0.51+0.034=0.544 s

𝑑 𝑉 60
𝑄 =𝜋 𝑡
4 2 𝑡 +𝑡

0.127 1.003 60
= 3.14 0.51 = 0.3572 𝑚 /𝑚𝑖𝑛
4 2 0.544

𝑑 𝑉 60
𝑄 =𝜋 𝑡
4 2 𝑡 +𝑡
14

0.127 1.003 60
= 3.14 0.034 = 0.0238 𝑚 /𝑚𝑖𝑛
4 2 0.544

𝑄 0.0238
𝐸 = 100 = 100 = 6.3%
(𝑄 + 𝑄 ) (0.0238 + 0.3572)

𝑄 (𝐻 + 𝐻) 0.0238 𝑥 (30 + 2)
𝐸 = 100 = 100 = 99.9%
(𝑄 + 𝑄 )𝐻 (0.3572 + 0.0238) 𝑥 2

7. ความสามารถในการสูบนําของไฮดรอลิ คแรม อันเนื องจากพระราชดําริ

ไฮดรอลิคแรม อันเนืองจากพระราชดําริม ี 5 ขนาด ตามขนาดของท่อส่งนํา (Drive Pipe) และท่อจ่ายนํา (Delivery


Pipe) คือ
RIM-2 x ¾ HD
RIM-3 x 1 HD
RIM-4 x 1¼ HD
RIM-5 x 1½ HD
RIM-6 x 2 HD

ไฮดรอลิคแรมแต่ละขนาดมีความสารถในการสูบนําแตกต่างกัน เมือทราบขนาดของไฮดรอลิคแรม และค่า H,


HDจะสามารถหาความสามารถในการสูบนํ า QD(l/mim) ได้ดงั ตารางที 1-5 ตามลําดับ
ตารางที แสดงปริมาณการสูญเสียนําในการขับดันไฮดรอลิคแรมQW(l/min) แต่ละขนาด

ตารางที 1 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-6 x 2 HD
ยกนําสูง HD(m)
ความสูงของระดับนําที 3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
แหล่งนํา H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 61 40 21 15
2 100 58 41 34 22
3 98 71 56 38 30 24
4 105 82 58 45 36 30
5 138 110 77 62 50 42 32
6 174 140 102 80 67 55 42 34
7 170 124 93 80 68 52 42
8 200 148 117 96 82 63 51
9 172 136 113 97 75 61
10 196 157 130 112 87 71
15

ตารางที 2 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-5 x 1½ HD
ยกนําสูง HD(m)
ความสูงของระดับนําที 3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
แหล่งนํา H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 52 35 19 13
2 85 50 35 27 18
3 137 84 61 48 33 26 20
4 122 89 71 50 39 32 27
5 114 95 68 53 43 37 28
6 148 119 86 67 55 47 36 29
7 148 108 85 70 59 46 38
8 172 126 100 83 71 55 45
9 147 117 97 83 65 53
10 168 134 112 95 75 61

ตารางที 3 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-4 x 1¼ HD
ยกนําสูง HD(m)
3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
ความสูงของระดับนําทีแหล่งนํา H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 40 27 15 10
2 66 38 27 20 13
3 105 64 42 36 25 19
4 93 68 54 38 29 24 20
5 92 73 52 41 33 28 22
6 113 91 66 52 42 36 27 22
7 112 81 64 53 45 35 28
8 131 96 76 64 54 42 34
9 113 90 74 64 49 41
10 128 103 85 73 57 47

ตารางที 4 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-3 x 1 HD
ยกนําสูง HD(m)
ความสูงของระดับนําทีแหล่งนํา 3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 20 14 7 5
2 34 19 14 11 7
16

3 54 33 24 18 13 10
4 47 35 27 19 15 12 10
5 46 37 26 21 17 14 10
6 57 47 34 26 22 18 14 12
7 57 42 33 27 23 17 14
8 67 50 39 32 28 22 17
9 57 46 38 32 25 20
10 65 52 54 37 29 23

ตารางที 5 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-2 x ¾ HD
ยกนําสูง HD(m)
ความสูงของระดับนําทีแหล่งนํา 3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 12 8 4 3
2 20 11 8 6 4
3 32 19 14 11 7 5
4 28 21 16 12 9 7
5 27 22 16 12 10 8
6 35 28 20 15 13 11 8
7 35 25 19 17 14 10 8
8 40 30 24 19 16 13 10
9 35 27 23 19 15 12
10 39 31 27 22 17 14

ตารางที 6 อัตราการใช้นําในการขับไฮดรอลิคแรมแบบต่างๆ
ความสูงของระดับนําทีแหล่งนํา H(m)
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
ไฮดรอลิคแรม ปริมาณนําทีไหลผ่านวาล์วทิงนําQw (l/min)
RIM-6 x 2 HD 230 330 404 467 522 575 614 652 686 714
RIM-5 x 1½ HD 196 281 346 400 446 488 533 557 586 610
RIM-4 x 4 x 1¼ HD 150 215 260 305 344 370 402 425 448 466
RIM-3 x 1 HD 77 110 133 155 175 190 206 218 228 238
RIM-2 x ¾ HD 56 66 79 94 104 112 125 130 137 132
17

8. เอกสารอ้างอิ ง

คมเดช พัวพงษ์ไพโรจน์ ธนกฤต หิรญ ั วิบลู ย์ วราวุธ วุฒิวณิ ชย์ และจิระกานต์ ศิรวิ ชิ ญ์ไมตรี ( ). การพัฒนาวาล์ว
ทิงนําของเครืองตะบันนํา. โครงงานวิศวกรรมชลประทาน ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์
กําแพงแสน. น.

นิรนาม (มปป). ไฮดรอลิคแรม อันเนืองมาจากพระราชดําริ. 88 น.

Streeter, V.L. and E.B.Wylie (1975). Fluid Mechanics, 6th Edition. McGraw-Hill Kogakusha, Ltd., Tokyo.752 p.
Larock, B.E., Jeppson, R.W. and G.Z Watters (2000).Hydraulic of Pipe Systems. CRC Press LLC, USA.
537p.

You might also like