Professional Documents
Culture Documents
วิชา การออกแบบระบบท่อ
และระบบชลประทานภายใต้แรงดัน
( )
เครืองสูบนําเพือการชลประทาน
และ
การออกแบบท่อส่งนํา
นิมิตร เฉิดฉันท์พพิ ฒ
ั น์
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน
สารบัญ เรือง เครืองสูบนําเพือการชลประทาน
บทที หน้า
.การจํ าแนกประเภทของเครืองสูบนํา
. ความหมายของเครืองสูบนํา
. ประเภทของเครืองสูบนํา
. ทฤษฎีเกียวกับเครืองสูบนํา
. การเพิมเฮดให้ กับของเหลวโดยเครืองสูบนํา
. เฮด กับ อัตราการสูบของเครืองสูบนํา
. กฎความคล้ ายคลึง (Affinity Laws)
. ความเร็วจําเพาะ (Specific Speed, Ns)
. ลักษณะการทํางานของเครืองสูบนํา
. ความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราการสูบและขนาดเครืองสูบนํา
. เฮดรวม (Total Head ,H ) ของเครืองสูบนํา
. คาวิเตชัน (Cavitation)
. การคํานวณค่า NPSHa
. ค่า NPSH ทีต้ องการ (NPSHr)
. กราฟสมรรถนะเครืองสูบนํา
. กราฟ H – Q
. กราฟเฮดของระบบ (System Head Curve)
. การเลือกเครืองสูบนําจากกราฟ
. ข้อมู ลเกียวกับเครืองสูบนําเพือประกอบการพิจารณาเลือกใช้งาน
. ประเภทของเครืองสูบนีจะเลือกใช้
. การเลือกใช้ ความเร็วรอบของเครืองสูบนํา
. การเลือกใช้ เครืองสูบนํากรณีเฮดสูง ปานกลางและตํา
. การคํานวณปริมาณนําทีต้องการสูบ
. ปริมาณการสูบนําเพือการชลประทาน
. อัตราการสูบนําเพือการระบายนํา
. การคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
. ข้ อมูลทีต้องการ
. การคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
สารบัญเรือง การออกแบบท่อส่งนํา
บทที หน้ า
.ชนิดท่อส่งนําเพือการชลประทาน
การเลือกชนิดท่อส่งนํา
.การคํานวณค่าการสูญเสียเฮดในระบบท่อ
. ชนิดของการสูญเสียเฮดในระบบท่อ
. ทฤษฎีสาํ หรับคํานวณค่าการสูญเสียเฮดหลัก
. สูตรสําหรับคํานวณค่าการสูญเสียเฮดรอง
.การออกแบบท่อส่งนํา
. การคํานวณปริมาณนําทีจะส่ง
. การคํานวณขนาดท่อ
. การคํานวณการสูญเสียพลังงานในเส้นท่อ
. การคํานวณเส้นลาดชลศาสตร์
. การคํานวณและออกแบบโครงสร้ างคํายันในระบบท่อ
. การคํานวณ water hammer
. การกําหนดชันคุณภาพท่อ
. ตัวอย่างการคํานวณออกแบบท่อส่งนํา
Hydraulics Engineering 1
บทที
สมการพืนฐานของการไหลภายในท่อ
Basic Equation of Flow in Closed Conduit
คําศัพท์ทให้
ี ความหมายของคําว่า ท่อ มีอยูห่ ลายคําด้วยกัน โดยจะมีความหมายแตกต่างกันตามลักษณะดังนี
- Closed conduit หมายถึง ท่อแบบปิ ด
- Pipes หมายถึง ท่อทีมีหน้าตัดเป็ นรูปวงกลม
- Duct หมายถึง ราง หรือท่อทีมีหน้าตัดไม่เป็ นรูปวงกลม
ในบทนี คําว่า ท่อ จะหมายถึงท่อทีมีหน้าตัดเป็ นรูปวงกลมเท่านัน และในระบบท่อทีเราจะทําการศึกษากันนัน
หมายถึงระบบท่อทีมีองค์ประกอบดังต่อไปนี
- Pipes (ตัวท่อ)
- Fitting Devices (อุปกรณ์ประกอบท่อ) เช่น ข้อต่อ ข้องอ ข้อลดขนาด ข้อขยายขนาด เป็ นต้น
- Flow Meter (มาตรวัดอัตราการไหล)
- Flowrate control devices (อุปกรณ์ควบคุมการไหล) เช่น ประตูนํา หรือวาล์วชนิดต่างๆ เป็ นต้น
- Pump or Turbine (เครืองสูบ หรือกังหัน) เป็ นอุปกรณ์ทเพิ
ี ม หรือลดพลังงานในระบบ
1.1.3) พิจารณาจากการเปรียบเทียบกับเวลา
เมือพิจารณาทีจุดใดจุดหนึงในสนามการไหล หากในช่วงเวลาทีทําการวิเคราะห์ ค่าของตัวแปรต่างๆ ที
เกียวข้อง ไม่มกี ารเปลียนแปลงไปตามเวลา จะถือว่า การไหลนันเป็ นการไหลแบบคงที หรือทีเราเรียกว่า Steady
Flow ในทางตรงกันข้าม หากในช่วงเวลาทีวิเคราะห์ เมือเวลาผ่านไป ค่าของตัวแปรต่างๆ ทีเกียวข้อง มีการ
เปลียนแปลงอย่างเห็นได้ชดั จะถือว่า การไหลนันเป็ นการไหลแบบไม่คงที หรือทีเราเรียกว่า Unsteady Flow
1.1.4) พิจารณาจากพฤติกรรมการเคลือนทีของอนุภาคของไหล
หากพิจารณาจากพฤติกรรมการเคลือนตัวของอนุภาคของไหลในสนามการไหล เราสามารถแบ่งประเภท
การไหลได้เป็ น ลักษณะคือ
- การไหลแบบราบเรียบ (Laminar Flow) อนุภาคของของไหลจะเคลือนทีอย่างเป็ นระเบียบ ไปตาม
เส้นทางทีแน่นอน (เคลือนทีไปตาม Streamline) การไหลประเภทนีมักจะเกิดกับการไหลของของไหลที
มีความหนืดสูง หรือการไหลทีมีความเร็วตํา
- การไหลแบบปั นป่ วน (Turbulent Flow) อนุ ภาคของของไหลเคลือนทีไม่เป็ นระเบียบ อนุ ภาคของของ
ไหลมีเส้นทางการเคลือนทีไม่แน่นอน สภาพการไหลในสนามการไหลมีความปั นป่ วน การไหลประเภท
นีมักเกิดกับของไหลทีมีความหนืดตํา หรือการไหลทีมีความเร็วสูง
ส่วนการไหลแบบแปรเปลียน (Transition flow) เป็ นสภาวะทีการไหลกําลังจะเปลียนจาการไหลแบบ
ราบเรียบ ไปเป็ น การไหลแบบปั นป่ วน ซึงเป็ นช่วงของการไหลทีไม่สามารถทํานายพฤติกรรมได้ กล่าวคือ ภายใต้
เงือนไขเดียวกัน พฤติกรรมสามารถเป็ นไปได้ทงแบบราบเรี
ั ยบ หรือปั นป่ วน หรือเป็ นทังสองแบบสลับกัน
1.1.5) พิจารณาจากลักษณะการหมุนตัวของอนุภาคของไหล
หากพิจารณาจากลักษณะของการเคลือนตัวของอนุภาคของของไหล สามารถแบ่งได้ ลักษณะคือ
- การไหลแบบหมุน (Rotational Flow) คือการไหลทีอนุ ภาคของของไหลเคลือนทีไปพร้อมกับการหมุน
- การไหลแบบไม่หมุน (Irrotational Flow) คือการไหลทีอนุภาคของของไหลเคลือนทีไปแต่ไม่มกี ารหมุน
โดยส่วนมากในการวิเคราะห์ปัญหาเกียวกับการไหลจะสมมุตใิ ห้การไหลเป็ นแบบ Irrotational Flow
รูปที . การไหลผ่านปริมาตรควบคุม
Q In Q Out --------- ( . )
หรือ A V In A V Out --------- ( . )
P1 V12 P V2
z1 z2 2 2 --------- ( .6)
2g 2g
P1 V12 P2 V22
z1 z2 h f hm --------- ( . )
2g 2g
รูปที . พลังงานกับการไหลในท่อ
รูปที . การเคลือนย้ายโมเมนตัมของของไหลผ่านปริมาตรควบคุม
VD VD
Re --------- ( .9)
เมือ V = ความเร็วเฉลียของการไหลในท่อ
D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ
= ความหนาแน่นของของไหล
= ความหนืดสัมบูรณ์ (Absolute Viscosity ; Water at 22 C 1.0 10 3 )
o
L V2
hf f --------- ( .10)
D 2g
เมือ V = ความเร็วเฉลียของการไหลในท่อ
D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ
L = ความยาวท่อ
g = ความเร่งเนืองจากแรงโน้มถ่วง
f = ค่าสัมประสิทธิความเสียดานของดาร์ซี (Darcy-Weisbach friction factor)
ตารางที 1 ค่าความหยาบผิวของวัสดุชนิดต่างๆ
. . ) สมการ Hazen-Williams
เมือ V = ความเร็วเฉลียของการไหลในท่อกลม
C = สัมประสิทธิการไหล Hazen-Williams coefficient (ตาราที )
R = รัศมีชลศาสตร์ของท่อ (Hydraulic radius)
S = ความลาดชันของระดับพลังงาน
หากพิจารณาการไหลในท่อกลมทีมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ D จะได้วา่
2
A D D
R = = 4 =
P D 4
hf
และ จากรูปที S =
L
นําไปแทนค่าในสมการที ( . ) จะได้ว่า
D 0.63 hf 0.54
V = 0.8492 C
4 L
h
V1.852 = 0.1465 C1.852 D1.167 f
L
1.852
V
hf = 6.822 L D 1.167 --------- ( . )
C
Manning's formula เป็ น empirical formula ทีพัฒนาขึนในปี ค.ศ. โดย Robert Manning เพือใช้
กับการไหลในทางนําเปิ ด แต่สามารถนํามาใช้กบั การไหลในทางนําแบบปิ ดได้เช่นเดียวกัน โดยสมการจะกล่าวถึง
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความเร็วของการไหล การลดลงของความดันอันเนืองมาจากแรงเสียดทานบนผนังท่อ และ
ค่าความหยาบผิวของวัสดุทใช่
ี ทาํ ท่อ (Roughness coefficient) ซึงมีรปู แบบของสมการดังสมการที ( . )
1 2 1
V R3 S2 (SI Unit) --------- ( . )
n
เมือ V = ความเร็วเฉลียของการไหลในท่อกลม
n = สัมประสิทธิความเสียดทานของวัสดุ Manning's roughness coefficient (ตารางที )
R = รัศมีชลศาสตร์ของท่อ (Hydraulic radius)
S = ความลาดชันของระดับพลังงาน
หากพิจารณาการไหลในท่อกลมทีมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ D จะได้วา่
2
A D D
R = = 4 =
P D 4
hf
และ จากรูปที S =
L
นําไปแทนค่าในสมการที จะได้วา่
2 1
1 D 3 hf 2
V =
n 4 L
n2 V 2 L n2 Q 2 L
hf = 6.350 4 = 10.294 16 --------- ( .1 )
D 3 D3
พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด A กับ D
2
PA VA PD VD2
zA = z D hf
2g 2g
zA 0 0 = z D 0 0 hf
z A zD = hf
hf = (49.25) - ( .6 ) = 160 --------- (3)
VD 0.450 0.25
สมมุตคิ ่า V = .450 m/s : Re = = = .1 X105
1 10 6
16.60
S 0.0011 ; C 130
15000
สมมุตขิ นาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ D = cm
0.15 mm
= 0.000
D 1000 mm
Q 0.025
V = = = . m/s
A
4 1.002
VD 0.0321.00
Re = = 3.2 10 4
O 1 106
จาก Moody diagram f 0.02 5 แทนค่าในสมการที ( )
0.032 2
.0 1 = 0.0235
1.00
. 01 > 0.00
ด้านซ้ายของสมการมีคา่ มากกว่าด้านขวาอยูม่ าก แสดงว่า เส้นผ่าศูนย์กลางทีสมมุตนิ นไม่
ั เหมาะสม
สมมุตขิ นาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อ D = 50 cm
0.15 mm
= 0.0003
D 500 mm
Q 0.025
V = = = .127 m/s
A
4 0.502
VD 0.127 0.50
Re = = 6.4 10 4
O 1 10 6
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อทีเหมาะสมคือ cm Ans
V2
hm k --------- ( . )
2g
รูปที . 7 สัมประสิทธิการสูญเสียพลังงานรองของทางเข้าแบบโค้งมนรัศมี R
o
รูปที . การไหล และสัมประสิทธิการาสูญเสียพลังงานรอง ของข้องอแบบ Smooth Bend มุม
รูปที . วาล์วชนิดต่างๆ
- หาค่าผลต่างของระดับนํา( Z )
Q 0.04
จาก Q = VA V = = 2
A 4 0.10
V = 5.09 m/s
VD 5.09 0.1
หาค่าเรย์โนลด์นมั เบอร์ Re = =
1 106
Re = 5.09X105
สมมุต ิ f = . แทนค่าในสมการที ( )
V2
= 0.017 500 14.5
2g
V = 5.464
VD 5.464 0.1
Re = = = 5.46 X 105
1 10
6
3
0.045 10
= = 0.00045
D 0.10
เมือพิจารณาจาก Moody diagram : f 0.0172 ซึงไม่เท่ากับค่า f ทีสมมุต ิ แสดงว่าค่า f ทีได้ยงั ไม่ถกู ต้อง
สมมุต ิ f = . 3 แทนค่าในสมการที ( )
V2
= 0.0173 500 14.5
2g
V = 5.446
VD 5.446 0.1
Re = = = 5.45 X 105
1 10
6
0.045 103
= = 0.00045
D 0.10
บทที
การไหลคงทีในระบบท่อปิ ด
Steady Flow in Pipe System
. ) การวิเคราะห์การไหลของการต่อท่อแบบท่อเดียว และการต่อท่อแบบอนุกรม
(Single Pipe and Series Pipe)
วิธที าํ หา z โดยเริมจากการพิจารณาสมการพลังงานจาก A ไป E
P V2 P V2
z A A A z E E E h f hm
2g 2g
VE2 VE2
z A 0 0 zE 0 hf hm z
h f hm 1
2g 2g
Q 0.015 Q 0.015
VBC 3.395 m / s ; VDE 5.305 m / s
A BC 4 0.075 2
A DE 4 0.060 2
V D 3.395 0.075
R e BC BC BC 2.5 10 5
6
10
VDE D DE 5.305 0.060
R e DE 3.2 10 5
6
10
Stainless steel 0.045 mm
3 3
D BC 0.045 10 0.0006 ; D DE 0.045 10 0.0008
0.075 0.060
Moody Diagram fBC 0.0190 ; fDE 0.0195
2
LBC VBC 50 3.3952
h f BC fBC 0.0190 7.441 m
DBC 2g 0.075 2g
LDE VDE2 20 5.305 2
h f DE fDE 0.0195 9.324 m
DBC 2g 0.060 2 g
V2 3.3952
hm BC k BC BC 0.5 ent. 0.294 m
2g 2g
2
VDE D 0.075
hm CD k CD ; DE 0.8 k CD 0.05
2g DBC 0.060
5.3052
0.05 cont . 0.072 m
2g
2
VDE 5.3052
hm DE k CD 10 valve 14.344 m
2g 2g
แทนค่าใน ( )
5.305 2
z 7.441 9.324 0.294 0.072 14.344 32.909 m Ans
2g
หาอัตราการไหลโดยเริมจากพิจารณาสมการความต่อเนือง
2 2
A BC DBC 0.075
VBC A BC VDE A DE VDE VBC V V 1.5625 VBC
A DE D BC 0.060 BC
DE
จากสมการที ( )
2 2 2 2 2
VDE LBC VBC LDE VDE VBC VDE VDE2
z fBC fDE 0.5 0.05 10
2g DBC 2 g DBC 2 g 2g 2g 2g
50 V 2 20 V2
3.5 fBC 0.5 BC fDE 10.05 DE 2
0.075 2 g 0.06 2g
Trial & Error
สมมุต ิ VBC 1.0000 m / s VDE 1.5625 m / s
1.0000 0.075 1.5625 0.060
R e BC 7.5 10 4 ; R e DE 9.4 10 4
10 6 10 6
D BC 0.0006 ; D DE 0.0008 Moody Diagram fBC 0.0215 ; fDE 0.0215
แทนค่าใน ( )
50 1.0000 2 20 1.5625 2
3.5 0.0215 0. 5 0.0225 10.05
0.075 2g 0.06 2g
3.5 2.898
สองข้างของสมการไม่เท่ากัน สมมุตคิ า่ V ใหม่
ในกรณีทระบบเชื
ี อมต่อกับเครืองสูบ (Pump) เครืองสูบจะทําหน้าทีเปลียนพลังงานกล (hP) ทีได้รบั มาจากแหล่ง
พลังงานเช่น มอเตอร์ ให้กลายเป็ นพลังงานของของไหล (HP) ดังนัน เมือของไหลหรือระบบไหลผ่านเครืองสูบ เฮด
พลังงานรวมของระบบจะเพิมสูงขึน โดยพลังงานทีของไหลได้รบั จะมีคา่ มากหรือน้อยเพียงไรนัน ขึนอยู่กบั ประสิทธิภาพ
ของเครืองสูบ (Efficiency) (ซึงจะกล่างถึงโดยละเอียดในบทต่อไป)
H
PhP HW hP W --------- ( . )
P
ในกระบวนการออกแบบ บางครังอาจต้องคํานวณค่ากําลังงานของมอร์เตอร์ทจะใช้ ี เพือสูบนํา (PP) ซึงเราสามารถ
คํานวณได้จาก
PW
PPP PWP PP P --------- ( . )
P
โดย PWP QHP --------- ( . )
ในกรณีทระบบเชื
ี อมต่อกับกังหัน (Turbine) กังหันนําจะทําหน้าทีเปลียนพลังงานของของไหล (HP) ให้กลายเป็ น
พลังงานกล (hT) เพือนําไปใช้กบั กิจกรรมต่างๆ เช่น ส่งพลังงานทีได้ให้กบั เครืองกําเนิดกระแสไฟฟ้า ดังนัน เมือของ
ไหลหรือระบบไหลผ่านกังหัน เฮดพลังงานรวมของของไหลจะลดตําลง โดยพลังงานทีออกจากังหันจะมีคา่ มากหรือน้อย
เพียงไรนัน ขึนอยู่กบั ประสิทธิภาพของตัวกังหันนัน (Efficiency) (ซึงจะกล่างถึงโดยละเอียดในบทต่อไป)
THT hT --------- ( . )
ในกระบวนการออกแบบ บางครังอาจต้องคํานวณค่ากําลังงานได้จากกังหัน (PT) ซึงเราสามารถคํานวณได้จาก
PP PPWT --------- ( . )
โดย PWT QH T --------- ( . )
hf = hfGE h fDB
2
L GE VGE L DB VDB2
= fGE fDB
D GE 2 g D DB 2 g
2 2
7.5 2.546 33.0 4.527
hf = 0.0225 0.0240
0.1 2g 0.075 2g
hf = 11.588 m
การสูญเสียพลังงานรอง จะเกิดขึนทีทางเข้า (foot valve : kG = 2.0) ประตูนํา (Gate valve : kvalve = 2.5)
ข้องอ O ทังสองตัว (F และ C : kF = kC = 1.5) และบริเวณทางออก (B : kB = 1) ดังนันการสูญเสียพลังงาน
รองทังหมดจึงมีคา่ เท่ากับ (ค่า k ของอุปกรณ์ต่างๆ โจทย์ระบุมาให้)
2 2
VGE VDB
hm = k G k F k valve
kC kB
2g 2g
2 2
2.546 4.527
= 2 .0 1 . 5 2 . 5 1.5 1.0
2g 2g
hm = . m
กําลังงานทีนําได้รบั
PW = QH P = 9810 0.02 42.682
= 8374.208 Watt
กําลังงานทีกําลังของเครืองสูบ
PW 8374 .208
PP = =
P 0.65
= 12883.398 Watt
PP = 12.883 k Watt Ans
พิจารณาสมการพลังงานระหว่างจุด I กับ A
2 2
P V PA VA
zI I I = zA h f hm
W 2g W 2g
2
PI VDB
15.5 = 25.0 0 0 h f hm
W 2g
2
PI V
= 9.5 DB h f hm --------- (2)
W 2g
2
PI 4.527
= 9. 5 3.008 1.045
W 2g
= 12.508 m
PI = 12.508 W = 122.703 kPa Ans
2 2
L GE VGE L V
hf = h fGE = fGE fDB DB DB
D GE 2 g D DB 2 g
2
7.5 2.546
= 0.0225 = 0.557 m
0.1 2g
2
hm = k G kF k valve VGE
2g
2.546 2
= 2.0 1.5 2.5 = 1.982 m
2g
PE 2.546 2
แทนค่าใน ( ) = 1.5 0.557 1.982
W 2g
= -4.369 m
P
E Patm PE 10.33 4.37 5.96 m
W abs W W
hf = hfB E h fF H
L BE VBE2 L FH VFH2
= fBE fFH
D BE 2 g D FH 2 g
2 2
150 2.546 35 1.132
= 0.016 0.015
0.5 2g 0.75 2g
hf = . m
กําลังงานทีนําได้รบั จากของไหล
PW = QH T = 9810 0.5 81.366
= 399.100 k Watt
กําลังงานทีกําลังของเครืองสูบ
PP = T PW = 0.55 400.125
= 219.050 k Watt Ans
รูปที . การต่อท่อแบบขนาน
รูปที . ตัวอย่างการวิเคราะห์การไหลในระบบท่อแบบขนาน
2 2
L V V
hf hm BD = fBD BD BD k DF BD
DBD 2 g 2g
2
10 VBD
= 0.0235 0. 5 1. 5
0.10 2g
2
V
= 4.35 BD
2g
LDF VDF2 V2
hf hm DF = fDF k DF DF
DDF 2 g 2g
2
15 VDF
= 0.0285 0.9 1.5 0.39 1.0
0.05 2g
2
V
= 12.34 DF
2g
LDJ VDJ2 V2
hf hm DJ = fDJ k DJ DJ
D DJ 2 g 2g
2
20 VDJ
= 0.0285 0.9 1.5 0.39 1.5 1
0.05 2g
2
V
= 16.69 DJ
2g
แทนค่าในสมการที ( )
2 2
V V
9.84 DF = 16.69 DJ
2g 2g
VDF = (1.302) VDJ --------- (5)
แทนค่าในสมการที (4)
V2 V2 V2
2 30 12 = 2 4.35 BD 12.34 DF 16.69 DJ
2g 2g 2g
2 2
VBD VDJ VDJ2
= 8.70 20.919 16.69
2g 2g 2g
VBD2 VDJ2
= 8 . 70
37 . 609 --------- (6)
2g 2g
หากพิจารณาจากอัตราการไหล จะเห็นได้วา่
QBD = QDF + QDJ
4 0.12 VBD = 4 0.05 2 VDF 4 0.05 2 VDJ
(4) VBD = VDF + VDJ
จากสมการที ( )
(4) VBD = (1.302) VDJ + VDJ
( . ) VBD = VDJ --------- (7)
แทนค่าสมการที ( ) ในสมการที ( )
VBD2
1.738 VBD 2
= 8.70 2g 37.609
2g
2
= 8.70 37.609 1.738 2 VBD
2g
VBD = 2.403 m/s
VDJ = (1.738) 2.403 = 4.176 m/s
VDF = (1.302) 4.176 = 5.438 m/s
QBD = 4 0.10 2.403 = 0.01887 m /s
2 3
= 18.87 l/s
QDF = 4 0.05 4.176
2
= 0.00820 3
m /s = 8.20 l/s
QDJ = 4 0.05 2 5.438 = 0.01067 3
m /s = 10.67 l/s Ans
พิจารณาเส้นทาง - -
L1 V12 L3 V32 L 4 V42
hf13 4 = f1 f3 f4
D1 2 g D3 2g D4 2g
300 V12 240 V22 450 V42
= 0.020 0.025 0.020
0.15 2 g 0.10 2g 0.15 2 g
hf13 4 =
1
40 V12 60 V22 60 V42 --------- ( )
2g
แทนค่า ( ) และ ( ) ใน ( )
PA VA2 PD VD2
zA = zD h f1 3 4
W 2g W 2g
V12 V42
5.60
2.5bar
= 1.30
1.5bar
1
40 V12 60 V32 60 V42
W 2g W 2g 2g
. =
1
40 V12 60 V32 60 V42
2g
. =
1
100 V12 60 V32 --------- ( )
2g
นําสมการ ( ) - ( ) จะได้
60 V32 = 50 V22
V2 = 1.2 V3 --------- ( )
จากสมการที ( )
284.366 60 V32
V12 = --------- ( )
100
นําสมการ ( )
5.0625 V12 = V22 2 V2 V3 V32 --------- ( )
แทนค่า ( ) และ ( ) ใน ( )
284.366 60 V32
5.0625 = 1.2 V32 2 1.2 V32 V32
100
แก้สมการจะได้ V32 1.392 m s V2 1.2 V3 V2 1.525 m s
V2 V3
V1 V4 1.296 m s
2.25
Q1 Q 4 2
4 0.15 1.296 0.0229 m 3 s 22.9 l s
Q 2 4 0.10 2 1.525 0.0120 m 3 s 12.0 l s
Q 3 4 0.10 2 1.392 0.0109 m 3 s 10.9 l s Ans
พิจารณาการสูญเสียพลังงานในท่อเส้นใดๆ
hLi = h f j hm j
m L j Vj2 m p Vj2
=
fj k k
j 1 D j 2 g j 1 k 1 2g
p
8 k k Q i2
m 8f L Q 2 m
i
= j j
k 1 =
2
j 1 g D j 5 j 1 g 2 D 4j
p
k k
8 m f L
hLi = j j k 1 Q i2 --------- ( . )
g j 1 D5j
2
D 4j
p
k
8 m fj L j
k
ถ้ากําหนดให้ Gi l 1 --------- ( . )
2 j 1 5 4
g D Dj
j
Major Loss Minor Loss
เมือ i คือท่อเส้นทางใดๆ j คือจํานวรท่อทีเชือมต่อแบบอนุกรมบนเส้นทาง i และ l คือจํานวณอุปกรณ์
ประกอบ หรือตําแหน่งทีทําให้เกิดการสูญเสียพลังงานรอง
ซึงสามารถสร้างระเบียบวิธใี นการคํานวณได้ดงั นี
1) เมือพิจารณาระดับเฮดพลังงานรวมทีปลายท่อทางเข้า และทางออก ของท่อแต่ละเส้น จะมีคา่ เท่ากับระดับนํา
ในอ่างเก็บนํา ดังนัน
Hi Z i (ในกรณีตวั อย่างนีทราบค่า ZA , ZB และ ZC)
) คํานวณค่า Gi ของท่อแต่ละเส้น โดยใช้สมการที ( . ) หรือ ( . ) (GAD , GDB และ GDC)
3) สมมุตคิ ่าระดับของเฮดพลังงานรวมทีจุดทีปลายท่อแต่ละเส้นมาเชือมต่อกัน (สมมุตคิ ่า HD)
4) หาค่าการสูญเสียพลังงานในท่อแต่ละเส้น โดยคํานวณค่าผลต่างของเฮดพลังงานระหว่างทางเข้าและทางออก
(จุด A , B และ C) กับจุดทีท่อมาเชือมต่อกัน (จุด D)
หาค่า hLDB hL AD = HA - HD
หาค่า hLDB ถ้า HD>HB (ไหลจาก D ไป B) hLDB = HD - HB
ถ้า HD<HB (ไหลจาก B ไป D) hLDB = HB - HD
หาค่า hLDC ถ้า HD>HC (ไหลจาก D ไป C) hLDC = HD - HC
ถ้า HD<HC (ไหลจาก C ไป D) hLDC = HC - HD
(ถ้าระดับเฮดพลังงานรวมระหว่างจุดสองจุดเท่ากันนําจะไม่ไหล)
5) คํานวณอัตราการไหลในท่อแต่ละเส้นจากสมการที ( . )
hL AD hLDB hLDC
Q AD ; Q DB ; Q DC
G AD GDB GDC
6) ตรวจสอบผลรวมของอัตราการไหลผ่านจุดเชือมต่อ หากไม่สอดคล้องกับสมการที ( . ) ต้องสมมุตคิ า่ ระดับ
เฮดพลังงานทีจุดเชือมต่อใหม่ และทําการคํานวณซํา จนกว่าจะได้ผลทีสอดคล้องกับสมการที ( . )
รูปที . ขันตอนการวิเคราะห์ระบบท่อแบบแขนง
- คํานวณค่าอัตราการไหลทีจุด D Q in Q out
D D
0.021 ≠ 0.000+0.009 สมมุตคิ ่า HD ใหม่
- สมมุตคิ ่าระดับเฮดพลังงานทีจุด D → HD = . 0m
Σ hL AD = HA - HD = 8.75 - . 0 = . m (ไหลจาก A→D)
Σ hL DB = HD - HB = . 0 - 6.50 = . m (ไหลจาก D→B)
Σ hL DC = HD - HC = . 0 - 2.75 = . m (ไหลจาก D→C)
hLi
- คํานวณค่าอัตราการไหล Q i
Gi
1.35
Q AD 0.016 m 3 / s
533.164
0.90 4.65
Q DB 0.006 m 3 / s ; Q DC 0.010 m 3 / s
26895.04 44825.07
- คํานวณค่าอัตราการไหลทีจุด D Q in Q out
D D
0.016 = 0.006+0.010
Q AD 0.016 m 3 / s ; Q DB 0.006 m 3 / s ; Q DC 0.010 m 3 / s Ans
- ตรวจสอบอัตราการไหลทีจุด D Q1 Q 2 Q 3
- สมมุติ HD = 4.00 m
hL1 0.75
Σ hL 1 = HA - HD = 4.75 - 4.00 = 0.75 m Q1 0.0152 m3 / s
G1 3264.27
VB2 VB2
Σ hL 2 = HD - HB = HD Z B 4.00 0.25
2g 2g
V22 8Q 22
G 2 Q 22 = 3.75 = 3.75
2g g2D 42
8Q 22
41313.43Q 22 = 3.75 แก้สมการจะได้ Q2 = 0.0094 m3/s
2 4
g 0.10
VC2 VB2
Σ hL 3 = HD - HC = HD Z C 4.00 0.25
2g 2g
V32 8Q 32
G 3Q 32 = 4.25 = 4.25
2g g 2D 34
8Q 32
61970.14 Q 32 = 4.25 แก้สมการจะได้ Q3 = 0.0082 m3/s
2
g 0.10 4
- ตรวจสอบอัตราการไหลทีจุด D Q1 Q 2 Q 3
- สมมุติ HD = 3.785 m
hL 1 0.965
Σ hL 1 = HA - HD = 4.75 - 3.785 = 0.965 m Q1 0.0172 m 3 / s
G1 3264.27
VB2 VB2 8Q 22
Σ hL 2 = HD - HB = HD Z B 3.785 0.25 G 2Q 22 3.535
2g 2g g2D 42
8Q 22
41313.43Q 22 = 3.535 แก้สมการจะได้ Q2 = 0.0092 m3/s
2 4
g 0.10
VC2 VB2 8Q 32
Σ hL 3 = HD - HC = HD Z C 3.785 0.25 G3Q 32 4.035
2g 2g g2D 34
8Q 32
61970.14 Q 32 = 4.035 แก้สมการจะได้ Q3 = 0.0080 m3/s
2 4
g 0.10
- ตรวจสอบอัตราการไหลทีจุด D Q 1 Q 2 Q 3
∴ Q = 0.0 2 m3/s Q2 = 0.0092 m3/s และ Q3 = 0.0080 m3/s Ans
. . ) การวิเคราะห์ท่อแขนงทีไม่ได้เชือมต่อกับอ่าง
Pi Vi 2
HD Zi = hL
2g
Pi 8Q Di2
HD Zi = GDiQ Di2
g2DDi4
P
HD Z i i
Q iD = --------- ( . )
8
GiD
g2DDi4
ซึงสามารถสร้างระเบียบวิธใี นการคํานวณได้ดงั นี
1) พิจารณาระดับเฮดระดับ และเฮดความดัน ทีปลายท่อทางเข้า และทางออก ของท่อแต่ละเส้น
) คํานวณค่า Gi ของท่อแต่ละเส้น โดยใช้สมการที ( . ) หรือ ( . ) (GAD , GDB และ GDC)
3) สมมุตคิ ่าระดับของเฮดพลังงานรวมทีจุดทีปลายท่อแต่ละเส้นมาเชือมต่อกัน (สมมุตคิ า่ HD)
4) คํานวณอัตราการไหลในท่อแต่ละเส้นจากสมการที ( . ) และ ( . ) โดยผลทีได้จะสัมพันธ์กบั ทิศทางของ
การไหลดังนี
ZA
PA
HD Z A PA HD
- ถ้า 8 หาค่าได้ นําจะไหลจาก A ไป D Q AD 8
G AD G AD
g2D4AD g2D4AD
P
HD Z A A
แต่ถา้ หาค่าไม่ได้ นําจะไหลจาก D ไป A Q DA
8
G AD
g2D4AD
ZB
PB
HD Z B PB HD
- ถ้า 8 หาค่าได้ นําจะไหลจาก B ไป D Q BD 8
GBD GBD
g2DBD
4
g2DBD4
P
HD ZB B
แต่ถา้ หาค่าไม่ได้ นําจะไหลจาก D ไป B Q
DB 8
GBD
g2DBD4
รูปที 1 ขันตอนการวิเคราะห์ระบบท่อแบบแขนง
8 fj L j k
วิธที าํ - คํานวณ GA GB และ GC Gi
2 5
g D j D 4j
8 f1 L1 k1 8 0.020100 3.5
G1 6599.57
g2 D15 D14 g2 0.125 5 0.125 4
8 f2 L 2 k 2 8 0.025100 3.5
G2 23548.65
g2 D52 D 42 g2 0.100 5 0.100 4
8 f3 L3 k 3 8 0.025150 5.5
G3 35529.55
g2 D53 D34 g2 0.1005 0.100 4
- สมมุต ิ HD = . m
Z A PA HD 4.500 0.3bar 1.000
Q1 0.0323 m3 s A D
8 8
G1 6599.57
g2D14 g2 0.125 4
Z B PB HD 3.500 0.1bar 1.000
Q2 0. 0124 m 3
s B D
8 8
G2 23548.65
g2D 42 g2 0.100 4
Z C PC HD 3.25 0 1.000
Q3 0.0081 m 3
s C D
8 8
G3 35529.55
g2D34 g2 0.100 4
- หากพิจารณาอัตราการไหลทีจุด D นําจากทุกจุดไหลเข้ามาทีจุด D ซึงเป็ นไปไม่ได้
- สมมุต ิ HD = . m
Z A PA HD 4.500 0.3bar 6.500
Q1 0.0130 m3 s A D
8 8
G1 6599.57
g2D14 g2 0.125 4
Z B PB HD
Q2 หาค่าไม่ได้
8
G2
g2D 42
P 0.1bar
HD Z C C 6.500 3.500
Q2 0.0090 m3 s D B
8 8
G3 23548.65
g2D34 g2 0.100 4
Z C PC HD
Q3 หาค่าไม่ได้
8
G3
g2D34
P 0
HD Z C C 6.500 3.25
Q3 0.0095 m 3
s D C
8 8
G3 35529.55
g2D34 g2 0.100 4
- พิจารณาอัตราการไหลทีจุด D จะได้ Q1 Q 2 Q 3
- สมมุต ิ HD = . m
Z A PA HD 4.500 0.3bar 5.923
Q1 8
8 0.0162 m3 s A D
G1 6599.57
g2D14 g2 0.125 4
Z B PB HD
Q2 หาค่าไม่ได้
8
G2
g2D 42
P 0.1bar
HD Z C C 5.923 3.500
Q2 0.0076 m3 s D B
8 8
G3 23548.65
g2D34 g2 0.100 4
Z C PC HD
Q3 หาค่าไม่ได้
8
G3
g2D34
P 0
HD Z C C 5.923 3.25
Q3 0.0086 m 3
s D C
8 8
G3 35529.55
g2D34 g2 0.100 4
- พิจารณาอัตราการไหลทีจุด D จะได้ Q 1 Q 2 Q 3
∴ Q = . l/s Q2 = 7.6 l/s และ Q3 = 8.6 l/s Ans
บทที
การไหลภายในท่อแบบไม่คงตัว
( Unsteady flow in pipe)
. บทนํา
ทฤษฎีการไหลแบบคงตัว (Steady flow) ได้มกี ารอธิบายไว้แล้วในบทที แต่ในสภาพความเป็ นจริงตาม
ธรรมชาตินนลั
ั กษณะการไหลของนําส่วนมากเป็ นการไหลแบบไม่คงตัว (Unsteady flow) เช่นการไหลในทางนํา
ธรรมชาติ การไหลในท่อทีมีความเร็วมาก หรือการไหลผ่านสิงกีดขวางต่างๆ เป็ นต้น ลักษณะการไหลแบบคงตัวและ
แบบไม่คงตัวแสดงเปรียบเทียบให้เห็นและเข้าใจได้งา่ ยดังรูปที . ของบทที สําหรับในบทนีจะได้กล่าวถึงสมการ
ของการไหลภายในท่อแบบไม่คงตัว และการคํานวณถึงค่าความดันทีมีการเปลียนแปลงเมือความเร็วของไหลถูกกระทํา
ให้ลดลงอย่างรวดเร็ว
U
P1 D P2
รูปที . การไหลระหว่างสองจุดในท่อ
เมือ
P1
D
U
P2
จาก w C f .(dynamicpressure )
และ Cf
4
แทนค่า
3-3
du z z 1 2
( AL) ( p1 p2 ) A ( AL) g ( 1 2 ) u DL
dt L 42
หารด้วย Ag ตลอด (A = D2 / ) และใช้ P* = p + gz
L du 1 L 2
( p *1 p * 2 ) u
g dt g 2 gD
1
( p *1 p * 2 ) หมายถึง เฮดสถิต (piezometric head)
g
L 2
u หมายถึง เฮดเนืองจากความฝืด (friction head)
2 gD
L du L u2
( H 1 H 2 ) ( ) (.)
g dt D 2g
L du du
สําหรับกรณีการไหลแบบคงที ( u คงที) นัน เทอม มีคา่ เป็ นศูนย์ ( 0) สมการข้างบนจะมี
g dt dt
ความหมายเป็ น ว่าค่าการสูญเสียเฮดอันเนืองจากความฝืด มีคา่ เท่ากับ ผลต่างของเฮดรวมระหว่างการไหลผ่านท่อ
ในช่วงนันๆ หรือ
H1 – H2 = ค่าการสูญเสียเฮดเนืองจากความฝืดระหว่างจุด กับจุด
ความเร็ วคลืน C
บริ เวณทีนําบีบอัดตัวมี วาล์ว
ความเร็วนํา U ความดัน เพิม P
ในกรณีทความเร็
ี วการไหลมีการเปลียนแปลงอย่างรวดเร็ว ตามรูปที - ความดันทีเกิดขึนชัวขณะ
(Pressure transient)จะมีคา่ สูง มีการเกิดคลืนเคลือนทีไปมาตามแนวความยาวท่อ ปรากฎการณ์ลกั ษณะนีเรียกว่า การ
เกิดวอเตอร์แฮมเมอร์ (Water hammer) และเมือไรจะถือว่าเป็ นการปิ ดวาล์ว เร็ว หรือ ช้า จะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป
p
K
หรือ p K ( )
หรือถ้าเขียนในรูปของการเปลียนแปลงของค่าความหนาแน่น จะได้
p K
ค่า Bulk modulus ของนํามีคา่ ประมาณ . GPa (2.2 x 10 9 Pa)
3-5
U
C U=0
P
P+P
+
(ก)
C
U+C
P P+P
+
(ข)
รูปที - การเคลือนทีของคลืน
หากพิจารณาตามรูปที - (ก) เป็ นการเคลือนทีของคลืนแบบไม่ต่อเนืองด้วยความเร็ว C (ความเร็วของคลืน
เสียงทีเดินทางในนํา ทีเรียกว่า Cerelity ) ไปทางด้านซ้ายมือเนืองมาจากการปิ ดวาล์ว จะพบว่าด้านหน้าจะเป็ นของไหล
ทีกําลังเคลือนทีด้วยความเร็ว u ซึงบริเวณดังกล่าวนีจะยังไม่ถูกผลกระทบจากการปิ ดวาล์ว สมบัตขิ องของไหลจะ
เปลียนจาก(p, ) ไปเป็ น ( P+P , + ) ในขณะใดๆจะถือว่าท่อมีสภาพแข็งเกร็ง (Rigid)(ขนาดพืนทีหน้าตัดไม่
มีการเปลียนแปลง)
ในการวิเคราะห์สามารถทําให้งา่ ยเข้าโดยการบวกค่าความเร็ว C ลงไปตามทิศทางการไหลไปทางด้านซ้ายมือ
จากสมการต่อเนือง รูปที - (ข)
(C u ) A ( )
หารด้วย CA จะได้
u
1 1
c
u
หรือ (.)
c
จากสมการโมเมนตัม
มวล x อัตราการเปลียนแปลงความเร็ว = แรง
(C u ) A.(u ) A ( p p) A
ดังนัน
(C u )u p
3-6
ตัวอย่างที นํา (ค่า = กิโลกรัม ต่อ ลูกบาศก์เมตร K = 2.2 GPa) ไหลในท่อด้วยความเร็ว . เมตร ต่อ
วินาที และถูกทําให้หยุดไหลกะทันหัน กําหนดให้ความหนาของผนังท่อมีมากพอและท่อเป็ นชนิดแข็งเกร็ง (rigid pipe)
)จงคํานวณค่าความเร็วของคลืนนําวอเตอร์แฮมเมอร์
)ค่าความดันทีเพิมขึน
วิธที าํ
K
)จาก C
2.2 x10 9
C
1000
= . เมตร ต่อ วินาที ตอบ
)จาก p Cu
= x . x .
= . x Pa ตอบ
ท่อขนาด D ความหนา t
ความดันเพิม P
เพือทีจะนําผลการเปลียนแปลงขนาดหน้าตัดของท่อมาคิดรวมในสมการต่อเนือง จะต้องทราบความสัมพันธ์
ระหว่างการเปลียนแปลงขนาดหน้าตัดกับค่าความดันทีเพิมขึน โดยปกติคา่ ความดันภายใน ( Internal pressure) จะถูก
สมดุลโดยการเพิมขึนของค่าความเค้นตามแนวเส้นรอบวง (Hoop stress or circumferential stress ,) ซึงจะไป
เกียวข้องกับค่าการเปลียนแปลงเส้นผ่าศูนย์กลางและขนาดพืนทีหน้าตัดจากการขยายตัวของท่อ
จากรูปที - การเพิมขึนของค่าความดัน P ทําให้เกิดค่าความเค้น , ถ้า D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายในของ
ท่อ
2t pD
ต่าจาก ความเค้น = ค่า Young’s modulus x ค่าอัตราส่วนการเปลียนแปลงความยาว (Strain)
D D
E E
D D
ดังนัน
D D
P
D 2 Et
สมการข้างต้นนีคืออัตราการเปลียนแปลงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง อันเนืองมาจากการเพิมขึนของความดัน
อย่างไรก็ตามหากต้องการเป็ นรูปสมการอัตราการเปลียนแปลงของพืนทีหน้าตัด ดังนัน จาก
D 2
A
4
dA 2D
A D D
dD 4
A 2D
A D
ดังนัน
A D
P
A Et
3-8
U+C C
หน้ าตัด A หน้ าตัด A+A
P, P+P, +
รูปที - ท่อมีการเปลียนรูปร่างเมือความดันเพิ ม
u A A
1 (1 )(1 ) 1 .....2 nd order..term
C A A
หรือ
u A
C A
จากสมการโมเมนตัม
u P
C C 2
P
(จากการบีบอัดตัว)
K
และ
A D
P (จากการเกิดการยืดหยุน
่ ตัว)
A Et
จะได้
P P DP
C 2 K Et
หรือ
1 1 D
C 2
K Et
เพือความสะดวกในการเขียนรูปสมการ หากนํามาเปรียบเทียบกับรูปสมการของท่อชนิดแข็งเกร็ง จะทําให้สมการ
ข้างบนมีรปู เป็ น
3-9
1 1
/
C 2
K
เมือ
K / = effective bulk modulus
และ
1 1 D
/
( ) (.)
K K Et
K/
C (.)
1 1 200 x10 3
( )
K/ 2.2 x109 5 x10 3 x 210 x109
K / 1.55 109 Pa
3-10
1.55 x10 9
ดังนัน C
1000
= ม. ต่อ วินาที
จาก
P Cu
P 1000x1245x0.50
P 6.22 x105 Pa
. อนุกรมเวลาของเหตุการณ์ภายหลังทีมีการปิ ดวาล์ว
เมือพิจารณาการไหลจากแหล่งนําขนาดใหญ่(จุดทีให้คา่ ความดันคงที การเปลียนแปลงความดันเป็ น ) ด้วย
ความเร็ว U0 หากวาล์วบริเวณปลายท่อถูกปิ ดโดยทันทีทนั ใด คลืนความดันจะสะท้อนกลับไปมาตลอดแนวท่อ เวลาที
คลืนความดันใช้เดินทาง จากจุดปลายท่อไปยังอีกจุดหนึง จะเป็ นไปตามสมการ
L
t
C
ในการเคลือนทีของคลืนภายในท่อ มีลาํ ดับเหตุการณ์ ดังนี
)เมือเวลา t = 0 วาล์วถูกปิ ด นําจะพุง่ กระทบกับถูกวาล์วโดยทันที ด้วยค่าความดันทีเพิมขึน + P และ ณ
เวลานีคลืนความดันจะเริมแผ่ถอยหลังไปตามท่อ
3-11
U = +U0 C P = +P
P=0
PU= =+P
0 วาล์ว
U = +U0 C
P=0 U=0 วาล์ว
U = - U0 C P = +P
P=0 U=0 วาล์ว
U = - U0 C P = +P
P=0 U=0 วาล์ว
เมือเวลา 2t < t < 3t คลืนทีมีคา่ ความดันเป็ นลบ จะเคลือนทีตรงไปยังแหล่งนํา ทิงไว้ให้มวลนํา
ด้านหลังมีคา่ ความดันลดลงเป็ น P = - P (รูปที - )
)ทีเวลา t = 3t คลืนมาถึงแหล่งนํา มวลนําตลอดแนวท่อจะอยู่ในสภาพนิง แต่จะมีคา่ ความดันตํากว่า
ความดันบริเวณแหล่งนํา ดังนันจะเกิดการเคลือนทีกลับไปตามแนวท่อด้วยความเร็ว U = U0
U = + U0 C P = -P
P=0 U=0 วาล์ว
+P
t t
-P
วาล์ว
จุด A
t t
+P
/ t / t
/ t / t
-P
แทนค่าต่างๆ ได้
3-15
1 1 D
/
( )
K K Et
1 1 500 x10 3
( )
K/ 2.0 x109 200 x109 x10 x10 3
K / 1.333 109 Pa
1.333 x10 9
C
1000
ความเร็วคลืน = ม.ต่อ วินาที ตอบ
)ความดันทีเพิม, P
P Cu
= x x .
= 2.31 x Pa ตอบ
ลําดับการเกิดความดันทีระยะห่างจากวาล์วออกไป เมตร พิจารณาตามรูปที กล่าวคือ ระยะ เมตร เท่ากับ
/ = 1 / 1.33 มีความหมายว่า ความดันทีเพิมเท่ากับ P จะเกิดทีระยะ เมตรจากวาล์วเมือเวลาผ่านไป
เท่ากับ t / . วินาที โดยที t คือระยะเวลาทีคลืนเดินทางจากวาล์วไปถึงอ่างเก็บนําหรือบริเวณทีมีความดัน
เท่ากับ
ในทีนี
t = L / C
= 1155 / 1155
= 1 วินาที
ดังนันทีระยะ เมตร จะเริมเกิดความดัน เมือเวลาผ่านไป / . วินาที
1.4786 x10 9
C
1000
ความเร็วคลืน หากปิ ดวาล์วแบบกระทันหัน = เมตร ต่อ วินาที
เมือทราบความเร็วคลืน นํามาคํานวณเวลาทีคลืนเดินทางจากวาล์วไปยังต้นทางและกลับมายังวาล์วอีก
ครัง จากสูตร
2L
t
C
2x100
t
1216
= . วินาที
3-17
L du
h
g dt
เมือ h = เฮดทีเพิมเมือมีการเปลียนแปลงความเร็วการไหล ม.
L = ความยาวท่อ เมตร
g = ค่าความเร่งเนืองจากแรงโน้มถ่วง . ม. / วินาที
du / dt = อัตราการเปลียนแปลงความเร็วเทียบกับเวลา
แทนค่า
100 2.50
h x
9.81 5
= . ม. ตอบ
P Cu
= x x .
= 3.14 x Pa
= . Bars. ตอบ
-1
บทที
การออกแบบท่อส่งนํา
. ชนิ ดและการใช้งานท่อส่งนํา
ในการก่อสร้างระบบท่อ มีการเลือกใช้ท่อชนิดต่างๆจากเหตุผลความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน
เหมาะสมกับสภาพพืนที ความสะดวกต่อการจัดหาท่อและอุปกรณ์ทงเหตุ ั ผลด้านการตลาดและงบประมาณ
อย่างไรก็ตามในปั จจุบนั ได้มชี นิดของท่อส่งนําทีถูกผลิตออกจําหน่ายกันมากมายหลายชนิดแต่ละชนิดมี
จุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดีและข้อจํากัดแตกต่างกันไป ดังจะได้อธิบายรายละเอียดของท่อแต่ละชนิดให้ทราบ
ดังต่อไปนี
) การเลือกชนิ ดท่อส่งนํ า ชนิดของท่อทีมีการใช้ในระบบท่อแรงดัน มีดงั นี
ท่อเหล็ก (Steel pipe)
ท่อเหล็กอาบสังกะสี (Galvanize steel pipe)
ท่อพีวซี ี (Polyvinyl chloride pipe ,PVC)
ท่อพีอี (Polyethylene pipe ,PE)
ท่อเอชดีพอี ี (High density polyethylene pipe, HDPE)
ท่อซีเมนต์ใยหิน(Asbestos cement pipe ,AC)
ท่อคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforce concrete pipe)
ท่อคอนกรีตอัดแรง (Pre-stress concrete pipe)
ท่อเสริมใยแก้ว(Glassfiber reinforce polyester pipe ,GRP)
รูปที . ท่อเหล็ก
ข) ท่อเหล็กอาบสังกะสี
ทําจากเหล็กกล้าซึงเป็ นสนิมได้ยาก ผ่านการอาบสังกะสี สามารถทําเกลียวได้งา่ ย ท่อเหล็กอาบ
สังกะสีสว่ นใหญ่จะผลิตมายาว เมตร ปลายท่อทําเกลียวมาให้พร้อม มีแบบหนาปานกลาง ทีท่อจะคาดสีนํา
เงิน และอย่างหนาทีท่อคาดสีเหลือง การต่อท่อใช้ขอ้ ต่อแบบต่างๆ เช่นข้อต่อตรง ข้อต่องอ องศา เป็ นต้น
คุณสมบัตขิ องท่อเหล็กอาบสังกะสี คือ
-มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทกได้ ไม่หกั งอง่าย
-ทนต่อความดันและอุณหภูมทิ สูี งๆ อย่างกรณีนําไปใช้เป็ นท่อนําร้อน เป็ นต้น
-ราคาค่อนข้างสูง
-ถ้าใช้ไปนานๆอาจเกิดสนิมได้ โดยเฉพาะทีฝั งอยูใ่ นดิน อาจเป็ นอันตรายถ้านํา
นําในท่อมารับประทาน
ค) ท่อพีวีซี
ท่อพีวซี ี (PVC) เป็ นชือเรียกทีคนทัวไปรูจ้ กั มักคุน้ กันเป็ นอย่างดี PVC ย่อมาจากคําว่า โพลีไวนิล
คลอไรด์ (Polyvinyl chloride) เป็ นพลาสติกชนิดหนึงทีมีคณ ุ สมบัตทิ ดีี หลายอย่าง เช่น มีความเหนียวยืดหยุน่
ตัวได้ ทนต่อแรงดันนําได้ด ี ทนต่อการกัดกร่อนของกรดหรือด่างได้ด ี ใช้เป็ นฉนวนไฟฟ้ าได้ดเี พราะไม่เป็ น
ตัวนําไฟฟ้ า เป็ นวัสดุไม่ตดิ ไฟ มีผวิ มันเรียบช่วยให้การไหลของนําได้ดี มีนําหนักเบาและราคาถูก แต่มขี อ้ เสีย
คือ เปราะ กรอบ และแตกหักง่าย ไม่ทนทานต่อแรงกระแทกและแสงแดดหรือแสงยูวี (UV)
ท่อพีวซี ี ทีใช้กนั ในประเทศไทยส่วนใหญ่มคี วามยาวประมาณ 4 เมตร ยกเว้นท่อพีวซี บี างประเภท ซึง
อาจยาว 3 หรือ 6 เมตรบ้าง ท่อพีวซี ี ทีนิยมใช้ในงานก่อสร้าง แบ่งออกเป็ น 3 ชนิด โดยแบ่งแยกการใช้งาน
ตามสีต่างๆ เช่น สีฟ้า สีเหลือง สีเทา หรือสีขาว
ชนิ ดที 1 ท่อพีวีซีสีฟ้า ผลิตขึนตามมาตรฐาน มอก.17-2532 (ท่อพีวซี แี ข็งสําหรับใช้เป็ นท่อนําดืม) เป็ น
-3
รูปที . ท่อพีวีซี
-4
ง) ท่อพีอี
สําหรับท่อพีอ ี (PE) นันย่อมาจากคําว่า โพลีเอทิลนี (Polyethylene) ส่วนท่อพีบี (PB) ย่อมาจากคํา
ว่า โพลีบวิ ทีลนี (Polybutylene) ท่อพีอแี ละท่อพีบ ี เป็ นท่อพลาสติกสีดาํ ทีมีความหนาแน่นสูง ผลิตขึนตาม
มาตรฐาน มอก.910-2532 (ท่อโพลิบวิ ทิลนี สําหรับใช้เป็ นท่อนําดืม) ทังท่อพีอแี ละท่อพีบี มีการผลิตได้สอง
รูปแบบคือ ชนิดอ่อนและชนิดแข็ง ชนิดอ่อนหมายถึง ท่อทีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ½ ถึง 4 นิว ทีสามารถ
ม้วนความยาวท่อได้ถงึ 200 เมตร ส่วนชนิดแข็งหมายถึง ท่อทีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 6 นิว ซึง
จะม้วนและขนส่งได้ลําบาก จึงนิยมตัดเป็ นท่อนๆ ความยาวท่อนละ 4 ถึง 6 เมตร
ท่อพีอแี ละท่อพีบมี คี ุณสมบัตพิ เิ ศษหลายอย่าง เช่น มีความยืดหยุน่ ตัวและโค้งไปมาได้สงู มาก ทน
แรงดันได้สงู ถึง 200 ปอนด์/ตารางนิว ทนทานต่อการฉีกขาด ทนทานต่อแรงกระแทกได้เป็ น 2 เท่าของ
ท่อพีวซี ี ทนทานต่อความร้อน/ความเย็น ใช้เป็ นฉนวนไฟฟ้ าได้ดี คงทนต่อสารเคมี มีผวิ เรียบมัน จึงมีแรง
เสียดทานในเส้นท่อน้อย ทนทานต่อแสงยูว ี (UV) อายุใช้งานยาวนานถึง 50 ปี มีนําหนักเบากว่าท่อพีวซี แี ละ
ท่อเหล็ก โดยมีนําหนักเพียง 2/3 ของท่อพีวซี ี และ 1/5 ของท่อเหล็ก สําหรับข้อด้อยของท่อพีอแี ละท่อพีบคี อื
ราคาค่อนข้างแพง การประกอบท่อจะต้องใช้อุปกรณ์หรือช่างทีชํานาญงานโดยเฉพาะ ทังนี การต่อท่อพีอแี ละ
ท่อพีบ ี สามารถทําได้ 3 แบบคือ แบบเชือมหลอมละลายด้วยความร้อน แบบใช้เครืองมือผายปากท่อให้กว้าง
และยึดด้วยข้อต่อเกลียว และแบบกัดเกลียวทีปลายท่อแล้วยึดด้วยข้อต่อเกลียว
ท่อพีอแี ละท่อพีบสี ามารถนําไปใช้งานต่างๆ ได้มากมาย เช่น ใช้กบั ท่อประปาทีมีแรงดันสูง หรือต้อง
สัมผัสแสงแดด หรือต้องรับแรงกดในกรณีทท่ี อต้องลอดใต้ถนน ใช้ในงานท่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ท่อแก๊ส
ท่อร้อยสายไฟฟ้ า ท่อใต้นํา ท่อนําร้อน ท่อลําเลียงสารเคมี โดยท่อพีอี เหมาะสําหรับการใช้งานทีแรงกดดันสูง
มาก หรือท่อทีมีขนาดใหญ่มาก เช่น ใช้ในงานชลประทาน ใช้งานอุตสาหกรรมต่างๆ ใช้ในงานท่อลอดใต้ดนิ
หรือลอดใต้แม่นํา ส่วนท่อพีบี เหมาะสําหรับการใช้งานทีแรงกดดันปานกลาง หรือท่อทีมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก
และนิยมใช้ในงานท่ออุตสาหกรรมทีต้องทนความร้อนสูงกว่าท่อพีอี เช่น ใช้เป็ นท่อนําร้อนสําหรับงานท่อ
ประปาทัวไป ใช้ในงานเกษตรกรรม และใช้ในงานอุตสาหกรรมทัวไป
รูปที . ท่อพีอี
ท่อ HDPE. ตาม มอก. - แบ่งออกเป็ น ชันคุณภาพ ตามความดัน ได้แก่ PN3.2, PN4,
PN6, PN6.3, PN8, PN10, PN12.5, PN16, PN20 และ PN25 ความดันใช้งานทีอุณหภูม ิ องศา
เซลเซียส มีคุณสมบัตทิ นทานต่อการกัดกร่อนดีเป็ นพิเศษ ทนต่อสารเคมีได้ทุกชนิด แต่เป็ นเชือเพลิง
อุณหภูมใิ ช้งานไม่ควรเกิน องศาเซลเซียส ทนต่อแสง UV ได้จํากัด ไม่เป็ นสนิมและไม่จบั คราบหินปูน
ท่อ HDPE. เหมาะสําหรับใช้วางใต้ดนิ เหมาะกับแนวท่อทีมีการเปลียนแปลงระดับหรือทิศทางบ่อย
ๆ สามารถวางท่อในบริเวณทีลุม่ มีนําขังหรือวางใต้นําหรือบริเวณทีดินอ่อนได้ การซ่อมแซมท่อทําได้ไม่
สะดวกเพราะอุปกรณ์ท่อหายากต้องใช้เครืองมือและผูเ้ ชียวชาญเฉพาะ พบปั ญหาการรัวซึมไม่มากเว้นแต่
รอยเชือมไม่ด ี และหากการกลบฝังไม่ถูกวิธี ท่อลอยพ้นผิวดินอาจเกิดเพลิงไหม้ได้
ฌ) ท่อเสริ มใยแก้ว,GRP (Glass fiber reinforce polyester pipe) ท่อ GRP. ตาม มอก. -
แบ่งออกเป็ น ชันคุณภาพ ตามความดัน ได้แก่
- ชันคุณภาพ PN 6 รับแรงดันใช้งาน กก./ตร.ซม.
- ชันคุณภาพ PN 10 รับแรงดันใช้งาน กก./ตร.ซม.
- ชันคุณภาพ PN 16 รับแรงดันใช้งาน กก./ตร.ซม.
ท่อ GRP. มีคณุ สมบัตทิ นทานต่อการกัดกร่อนได้ด ี ขยายตัวตามอุณหภูมไิ ด้น้อย เมืออุณหภูมสิ งู ขึน
ความสามารถในการรับแรงภายในท่อไม่เปลียนแปลง ผิวภายในท่อไม่เป็ นสนิม ท่อ GRP. เหมาะสําหรับใช้
วางใต้ดนิ และบนดิน แต่ไม่เหมาะทีจะวางบนดินในบริเวณทีอาจถูกกระแทกได้งา่ ย เนืองจากท่อมีความเปราะ
และมีโอกาสตกท้องช้างเนืองจากนําหนักนําในท่อหากระยะห่างของฐานรองรับท่อไม่เหมาะสม และเมือวาง
ท่อใต้ดนิ รับแรงกดมากเกินกําหนดท่อจะเสียรูปทรงทําให้เกิดเสียหาย รัว แตก การซ่อมแซมท่อต้องทําทังช่วง
ไม่สามารถซ่อมเป็ นจุด ๆ ได้ ไม่เหมาะกับแนวท่อทีมีการเปลียนแปลงระดับหรือทิศทางบ่อย ๆ มีโอกาสเกิด
การรัวไหลจากข้อต่อและแหวนยางกันซึม
-8
. การใช้งานท่อส่งนํารับแรงดันประเภทต่างๆ
. . เปรียบเทียบท่อส่งนํา
ตารางที . แสดงการเปรียบเทียบเพือให้เห็นว่าระหว่างท่อเหล็ก ท่อพีวซี ี ท่อเอซี ท่อเอชดีพอี แี ละ
ท่อ GRP มีความแตกต่างหรือเหมือนกันในแต่ดา้ นอย่างไร
-9
ตารางที . เปรียบเทียบลักษณะและสมบัติของท่อ
ชนิดท่อ มาตรฐานและชันคุณภาพ
ท่อเหล็ก มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
ท่อ พีวซี ี มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
ท่อซีเมนต์ใยหิน (AC) มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
ท่อ HDPE มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
ท่อ GRP มอก. - แบ่งเป็ น ชันคุณภาพ
. . การเลือกใช้ท่อตามลักษณะการก่อสร้างในแต่ละพื นที
ตารางที . แสดงถึงการเลือกใช้ชนิ ดท่อให้เหมาะสมกับสภาพพืนทีทีจะทําการก่อสร้างงานวางท่อ
สภาพพืนที ความเหมาะสม
ท่อเหล็ก ท่อพีวซี ี ท่อ AC ท่อ HDPE ท่อ GRP
วางท่ อ ใต้ ดิ น พื นที ตามไหล่ ท าง ปริ ม าณ
การจราจรไม่หนาแน่น
วางท่ อ ใต้ ด ิน พื นที ตามไหล่ ท างรับ ปริม าณ
การจราจรหนาแน่น ดินกัดกร่อน
วางท่ อ ใต้ด ิน พืนทีเป็ น ลูก เนิ น สูงตําติดต่ อ กัน
หรือแนวท่อคดโค้งมาก หรือวางในดินอ่อน พืนที
ชุ่มนํา (Swamp) หรือจําเป็ นต้องวางใต้นําหรือวาง
ในเขตเทศบาล หรือสุขาภิบาล ชุมชนหนาแน่ น
ซึงการซ่อมท่อทําได้ลําบาก ดินกัดกร่อน
วางท่อบนดิน/ หิน มีฐานรองรับพืนดินทรุดตัวไม่
เท่ากันหรือ พืนทีโล่งแจ้งห่างไกลชุมชนหรือวาง
ข้ามทางนํา
วางท่ อ บนดิน / หิน มีฐ านรองรับ พืนทีป่ าเขา
หรื อ วางท่ อ บนดิ น / ใต้ ด ิน ที ต้ อ งการความ
แข็งแรงสูงหรือวางท่อใต้ผวิ จราจร
-14
วางท่อข้ามทางนํา มีฐานรองรับ
วางท่อใต้ผวิ จราจร
วางท่อบนดิน / หิน ในพืนทีโล่งแจ้ง ห่างไกล
ชุมชน
วางท่อบนดิน / หินในพืนทีป่ าเขา ห่างไกลชุมชน
วางท่อใต้ดนิ ตามไหล่ทาง จราจรหนาแน่น
ตารางที . อัตราการใช้นําของคนและสัตว์
การคํานวณปริ มาณความต้องการนําระบบประปา
.ความต้องการนําเฉลียรายวัน (Average daily demand) ใช้คา่ - ลิตร ต่อคน ต่อ วัน ใช้คา่ นี
สําหรับเป็ นเกณฑ์ในการตรวจสอบความพอเพียงของแหล่งนําดิบทีจะจัดหามาใช้
.ความต้องการนําในวันใช้นําสูงสุด (Maximum dairy demand) ค่านีใช้สาํ หรับคํานวณ ออกแบบระบบ
นําดิบ (ระบบสูบนําดิบ ระบบสํารองนําดิบ) และระบบผลิตนําประปา (ระบบสร้างตะกอน ระบบตกตะกอนและระบบ
กรองนํา) คิดปริมาณความต้องการ เท่ากับ . - . เท่าของความต้องการนําเฉลียรายวัน
.ความต้องการนําในชัวโมงใช้นําสูงสุด (Maximum hourly demand) ใช้สาํ หรับคํานวณออกแบบระบบ
จ่ายนําประปา (ขนาดหอถังสูง ขนาดถังเก็บนําใส ขนาดท่อจ่ายนําไปยังบ้านเรือน ฯลฯ) คิดปริมาณเท่ากับ . - .
เท่าของความต้องการนําในวันใช้นําสูงสุด
.ความต้องการนําเพือการดับเพลิง (Fire fighting demand) สําหรับใช้คาํ นวณออกแบบระบบท่อจ่าย
นําประปา เป็ นไปตามตารางที . และ . ดังนี
ตารางที . ปริมาณนําดับเพลิงทีต้องนําไปรวมกับปริมาณความต้องการใช้นําในวันใช้นําสูงสุด
จํานวนประชากร ปริมาณนําเพือการดับเพลิง
(คน) ลูกบาศก์เมตร ต่อ นาที ลูกบาศก์เมตร ต่อ ชัวโมง
< 10,000 >2 >120
20,000 4 240
30,000 5 300
40,000 6 360
50,000 7 420
4-18
) ปริ มาณความต้องการนําเพือการเพาะปลูก
ในการคํานวณปริมาณความต้องการเพือการเพาะปลูก จะอาศัยค่าชลภาระ (Water duty) และขนาดพืนที
เพาะปลูกมาเป็ นข้อมูลสําหรับคํานวณ ตามสูตร
4.4.2 การคํานวณขนาดท่อ
เมือได้วางแนวท่อแต่ละสายไปตามความเหมาะสมของภูมปิ ระเทศแล้ว ผูอ้ อกแบบก็สามารถคํานวณหา
ปริมาณนําในแต่ละช่วงของท่อสายแยกซอย สายซอย ตลอดจนสายท่อประธานซึงครอบคลุมพืนทีโครงการได้ใน
ลักษณะรวมพืนทีขึนมา ดังนัน ท่อจึงมีขนาดใหญ่ลดหลันกันเป็ นลําดับ จากท่อประธาน ท่อสายซอย และท่อสายแยก
ซอย สําหรับวิธกี ารคํานวณขนาดท่อ จะพิจารณาจากปริมาณนําทีจะต้องไหลผ่านท่อนัน ๆ พร้อมกับกําหนดค่า
ความเร็วจํากัดของท่อแต่ละชนิดในแต่ละสาย เช่น สายประธาน สําหรับท่อ PVC ความเร็วไม่ควรเกิน 0.60 ม./วินาที
เป็ นต้น การคํานวณขนาดท่อหน้าตัดวงกลม จะใช้สมการต่อเนือง (Continuity equation) คือ
Q AV (-)
เมือออกแบบเป็ นท่อกลม
d 2 V
Q (-)
4
4Q
หรือ d (-)
V
4.4.3 การคํานวณการสูญเสียพลังงานในเส้นท่อ
การสูญเสียพลังงานในท่อเนืองจากความต้านทานต่าง ๆ จะแบ่งออกเป็ นสองประเภทด้วยกัน คือ
1. การสูญเสียเฮดหลัก (Major loss) โดยปกติการสูญเสียหลักจะเกิดขึนจากความเสียดทานของผิวท่อ ขนาด
ของท่อ ความเร็วในการไหล และความยาวท่อ ถ้าผิวท่อขรุขระ ความยาวท่อ และความเร็วในการไหลสูง การสูญเสีย
พลังงานจะสูงตามไปด้วย แต่การสูญเสียพลังงานจะลดลงถ้าท่อมีขนาดโตขึน
2. การสูญเสียเฮดรอง (Minor loss) หมายถึงการสูญเสียพลังงานเนืองจากการไหลในท่อเมือของไหลผ่าน
ทางเข้า ข้อต่อชนิดต่าง ๆ ข้องอ ประตูนํา ฯลฯ ปกติถา้ ท่อมีความยาวมากเช่น ในระบบท่อประปา การชลประทาน
ระบบท่อ ค่าการสูญเสียรองนีจะมีค่าของการสูญเสียน้อยเมือเปรียบเทียบกับการสูญเสียหลัก แต่ถา้ ท่อทีมีความยาวไม่
มากนัก มีขอ้ ต่อ ข้องอ หลายแห่งตามสภาพภูมปิ ระเทศแล้ว ค่าการสูญเสียรองก็จะมีคา่ มากเช่นกัน
4.3.1 การหาค่าการสูญเสียเฮดหลัก (Major loss) การสูญเสียหลักในท่อกลม ท่อกลมเป็ นท่อทีใช้ในงาน
วิศวกรรมเป็ นส่วนใหญ่คา่ การสูญเสียหลักในท่อชนิดดังกล่าวสามารถหาได้จากหลายด้วยกัน สูตรหนึงทีนิยมและเป็ น
สูตรทีให้คา่ การคํานวณทีถูกต้องและใช้ได้ครอบคลุมทังการไหลแบบราบเรียบและปั นป่ วนคือสูตร Darcy-Weisbach
L V2
hf f ………………………………( - )
D 2g
V2
hm k ………………………………..( - )
2g
เมือ hm = การสูญเสียเฮดรอง
K = สัมประสิทธิของการสูญเสียเฮดรอง ใช้จากตารางที ของบทที
V = ความเร็วในการไหล (ม./วินาที)
g = อัตราเร่งเนืองจากแรงดึงดูดของโลก (ม./วินาที 2 )
4-21
2
PA VA
HA Z A …………………………………..( . )
2g
2
PA VA
ZA HA ……………………………….( - )
2g
.คํานวณค่าการสูญเสียเฮดทีจุดดังกล่าวซึงอาจเป็ นการสูญเสียเฮดรองเนืองจากการไหลเข้าปากท่อ
(Entrance Loss) นําค่าทีได้ไปลบออกจากเฮดรวมในข้อที จะได้เป็ นเฮดรวมทีบริเวณปากทางเข้าท่อ
.คํานวณค่าเฮดความเร็วทีจุดดังกล่าวด้วยสูตร V2/2g นําไปลบออกจากค่าเฮดรวมในข้อที จะได้คา่ เฮด
สถิตย์ทจุี ดดังกล่าวนี
.เช่นเดียวกันเมือจะหาค่าเฮดสถิตย์ทจุี ดถัดไปทางด้านท้ายนํา ให้นําค่าเฮดรวมทีจุดก่อนหน้านี ลบออกด้วย
ค่าการสูญเสียเฮดทังหมดทีเกิดขึน(ค่าการสูญเสียเฮดหลักรวมกับค่าการสูญเสียเฮดรอง)จากจุดก่อนหน้านีจนมาถึงจุด
ปั จจุบนั แล้วลบออกด้วยค่าเฮดความเร็วทีจุดปั จจุบนั อีกทีหนึง จะได้คา่ เป็ นเฮดสถิตย์ทจุี ดปั จจุบนั หรือเขียนเป็ น
สมการ
2
PB VB
Z B H A hlA B hmA B ..............................( - )
2g
เมือ นําไหลจากจุด A ไปยังจุด B
HA = เฮดรวมทีจุด A
hlA-B = ค่าการสูญเสียเฮดรองจากจุด A ไปยังจุด B
hmA-B = ค่าการสูญเสียเฮดหลักจากจุด A ไปยังจุด B
ลักษณะของความดันในท่อมีความสัมพันธ์กบั เส้นลาดชลศาสตร์และแนวท่อดังนีคือ
-หากแนวท่ออยูต่ ากว่
ํ าเส้นลาดชลศาสตร์ ค่าความดันภายในท่อบริเวณนันจะมีคา่ เป็ นบวก หรือความดันสูง
กว่าค่าความดันบรรยากาศ
-หากแนวท่ออยูส่ งู กว่าเส้นลาดชลศาสตร์ ค่าความดันภายในท่อบริเวณนันจะมีค่าเป็ นลบ หรือความดันตํา
กว่าค่าความดันบรรยากาศ
รูปที . เส้นลาดพลังงานและเส้นลาดชลศาสตร์ของระบบท่อเดียว
4-23
g
K
C (- )
Kd
1
Et
CV
P (- )
1000 g
CV
h (- )
g
4-28
4.4.6 การกําหนดชันคุณภาพท่อ
การออกแบบความดันภายในท่อ
การเลือกชันคุณภาพของท่อ (Class of pipe) จะต้องอาศัยข้อมูลคือความดันสูงสุดทีคาดว่าจะเกิดขึนในเส้น
ท่อระหว่างการใช้งาน ความดันภายในทีเกิดขึนประกอบด้วย ความดันสถิต (Static pressure) และความดันจลน์
(Dynamic) ในทีนีก็คอื ความดันจากการเกิด Water hammer ค่าความดันสถิตสูงสุด มีหลักในการเลือกใช้ออกแบบดังนี
.กรณีส่งนําจากท่อระบบเปิ ด (Open type) จะใช้คา่ ความดันสูงสุดจากเส้น Hydraulic Grade Line ในขณะมี
การส่งนําในท่อ
.กรณีเป็ นระบบท่อแบบปิ ด (Close type) ใช้คา่ ความดันเมือระบบท่ออยูใ่ นสถานะหยุดส่งนํา
.กรณีระบบท่อมี ถังความดัน (Pressure tank) เป็ นต้นทาง.ใช้ความดันสูงสุดทีได้จากถังความดันนัน
.กรณีระบบท่อมีเครืองสูบนําเป็ นต้นกําเนินเฮด ใช้ความดันสูงสุดทีได้จากเครืองสูบนํานันในขณะส่งนํา
เมือนําค่า Water hammer ทีคํานวณได้ไปรวมกับค่า Pressure head สูงสุดของท่อสายนัน ๆ ก็จะทราบว่า
ท่อจะต้องรับความดันสูงสุดเท่าใด อยู่ Class ใด เช่น ถ้าแนวศูนย์กลางท่ออยูต่ ากว่
ํ าแนวเส้น Hydraulic grade line =
35 ม. นันคือ คิดเป็ นความดันนํา 3.5 กก./ตร.ซม. (ค่าแรงดันนํา 1 กก./ ตร.ซม. จะเท่ากับค่าความสูงของนําประมาณ
10 ม.) เมือค่าความดัน Water hammer เท่ากับ 1.427 กก./ ตร.ซม. ฉะนัน ท่อจะต้องรับแรงดันได้ไม่น้อยกว่า 4.927
กก./ ตร.ซม. สมมติเมือใช้ท่อ PVC และใช้คา่ ความปลอดภัยเป็ น 1.5 เท่าของ Working pressure จะได้คา่ ความดันที
ท่อต้องรับอย่างน้อย = 7.39 กก./ ตร.ซม. ฉะนัน ชันคุณภาพท่อทีใช้ Class 8.5 หรือ 13.5 กก./ตร.ซม. เป็ นต้น ใน
ทํานองเดียวกันเราก็ใช้วธิ กี ารคํานวณค่าชันคุณภาพเหล่านีกับท่อทุก ๆ สายทังระบบ ก็จะได้ชนคุั ณภาพของท่อส่งนํา
รับแรงดันทุกสาย ซึงโดยทัวไป มักจะเอาค่าสูงสุดของแต่ละสายมาคํานวณดังกล่าว
กล่าวโดยสรุปก็คอื ในการออกแบบระบบท่อ จะต้องคิดค่า Static Pressure รวมกับค่า Water hammer
pressure ทีเรียกว่า Normal pressure ซึงจะต้องมีคา่ ไม่เกินค่าความดันใช้งาน ตามขนาดชันคุณภาพของท่อ
4-30
. . ตัวอย่างการคํานวณออกแบบท่อส่งนํา
ตัวอย่างที ต้องการส่งนําด้วยอัตรา . ลบ.ม.ต่อวินาที ด้วยระบบท่อแรงดัน ให้ออกแบบชนิดและขนาดท่อที
เหมาะสมสําหรับอัตราการไหลดังกล่าวนี พร้อมทังคํานวณค่าการสูญเสียเฮดทังหมดในเส้นท่อ และคํานวณเส้นลาดชล
ศาสตร์ (HGL) วิ ธีทาํ
หาขนาดท่อใช้สตู ร Q = AV
เมือ Q = 0.165 ลบ.ม.ต่อวินาที
D 2
A = พืนทีหน้าตัดท่อ = ( D=เส้นผ่าศูนย์กลางภายในของท่อ)
4
V = ความเร็วการไหล เลือกใช้คา่ ความเร็วออกแบบไม่เกิน . เมตร ต่อวินาที
แทนค่าสูตร จะได้
D 2
0.165 0.70
4
D = 0.547 เมตร
เลือกใช้ท่อทีมีจาํ หน่ ายตามท้องตลาดทีมี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในเท่ากับ หรือมากกว่า 600 ม.ม.
หลังจากเลือกขนาดท่อตามท้องตลาดได้แล้ว และหากมีขนาดต่างไปจากผลทีคํานวณได้ ต้องตรวจสอบค่า
ความเร็วทีเกิดขึนจริงอีกครังหนึง จาก
Q
V
A
4 0.165
หรือ V = 0.584 ม.ต่อ วินาที (ไม่เกิน . ม.ต่อวินาที ) ใช้ได้
(0.600) 2
L V2
สูตรคํานวณค่าการสูญเสียเฮดหลัก hf f
D 2g
L = 2500 เมตร
D = 0.600 เมตร (จากการออกแบบขนาดท่อ)
V = 0.548 เมตร ต่อ วินาที (ความเร็ว ทีเกิดขึนจริง)
4-31
f = ค่า friction factor หาจาก Moody Diagram โดยต้องใช้ขอ้ มูล ค่า Reynold
No.(Re ) และค่า ความขรุขระสัมพัทธ์ (/D)
VD
Re
0.548 0.600
Re 7
= 3.8059x105
8.639 10
0.00000152
= 2.533 10 6 (ออกแบบเป็ นท่อ พีวซี )ี
D 0.600
2500 0.548 2
h f 0.0145 = . เมตร
0.600 2 9.81
V2
hl k
2g
หาค่าการสูญเสียจากอุปกรณ์แต่ละตัวแล้วนํามารวมกัน ค่า K จากตารางที บทที
ข้อต่อ องศา จํานวน ตัว ค่า K = .
ข้อต่อ องศา จํานวน ตัว ค่า K = .
ข้อต่อแบบสามทาง (Tee) จํานวน ตัว ค่า K = 2.0
ประตูนําแบบ gate valve จํานวน ตัว ค่า K = 0.15
= . ม.
ต่อไปให้คาํ นวณเส้นลาดชลศาสตร์ Hydraulic grade line (HGL)
ความยาวท่อทังหมด เมตร
ค่าการสูญเสียเฮด . เมตร
1.383
ความลาดชันของเส้นพลังงาน = 5.532 4
2500
หรือเท่ากับ 1 : 1808
นันคือจากระยะต้นทางท่อ (กม. + ) จนถึงกม. + เมตร ระดับศูนย์กลางท่อจะต้องตํากว่า กม.
+ ไม่น้อยกว่า . เมตร นําจึงจะไหลถึงกม. + หรือพูดในอีกด้านหนึงจะต้องวางท่อให้เอียงลาดลง .
เมตรเพือไปชดเชยกับเฮดความดันทีสูญเสียไปนันเอง
9.81
2.07 10 8
C 1000 = . ม. ต่อ วินาที
2.07 10 8 0.60
1
3.0 10 8 0.015
คํานวณเฮดความดันทีเพิมกรณีเกิดคลืน สมการที ( - )
266.46 0.548
h = . ม. นํา
9.81
4-33
ตัวอย่างที จากแปลนแนวท่อส่งนําทีกําหนดให้
.จงคํานวณหาค่า Total dynamic head ของเครืองสูบนํา
.คํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
.คํานวณเฮดความดัน (P/γ) ทีจุด A
10.665 LQ 1.852
hf
C 1.852 D 4.871
m3 m3
Q 200 0.0556
hr s
m3 m3
Q 150 0.0146
hr s
m3 m3
Q 50 0.0139
hr s
4-34
เส้นท่อ PAB
ท่อเส้น AB ขนาด นิว จากตารางท่อ PVC ที Class 8.5 มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายใน = 150 มม.
.คํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
QH
จาก WHP
3960
m3 m3
Q 200 0.0556
hr s
TDH = 17.392 ม.
0.0556 x17.392
WHP
3960
4-35
= 12.698 แรงม้า
.คํานวณ เฮดความดันทีจุด A
ใช้สมการ Bernoulli ทีจุดผิวนํา (จุดS) กับจุด A
P V2 P V2
( Z ) s TDH ( Z ) A hl ( S A)
2g 2g
แทนค่า
4 x0.0556 m
ความเร็ว V ในท่อทีจุด A เท่ากับ V 1.808
(0.198) 2
s
P 1.808 2
(0 0 10.0) s 17.392 ( 20) A 0.0629 6029
2 x9.81
P
( )A . ม. ตอบ
4-1
. อุปกรณ์ ในระบบท่อส่งนํา
ในระบบท่อส่งนํานันจําเป็ นต้องมีอุปกรณ์ซงติ
ึ ดตังรวมกับท่อเพือทําหน้าทีควบคุมบังคับนําให้ไหลไปใน
ทิศทางและอัตราทีต้องการ อุปกรณ์ทจํี าเป็ นต้องใช้ในระบบท่อส่งนําทีพบเสมอๆ ก็ม ี เช็ควาล์ว (Check Valve) วาล์ว
ปิ ดเปิ ดนําแบบต่างๆ และวาล์วระบายอากาศ (Air Release Valve) รูปร่างลักษณะของอุปกรณ์ในระบบท่อเหล่านีแสดง
ไว้ในรูปที 1 ถึง 6
4.5.1 ประตูนํา(หรือวาล์ว) ชนิ ดต่างๆ
1) เช็ควาล์ว (Check Valve – รูปที 4-8) เป็ นวาล์วทีทําหน้าทีป้ องกันไม่ให้นําไหลย้อนกลับ ลินของวาล์วแบบ
นีจะปิ ดเมือความเร็วของการไหลเป็ นศูนย์หรือเมือมีการไหลย้อนกลับ ในกรณีทปลายท่ ี อส่งนําอยู่สงู กว่าปั มจําเป็ นต้อง
ติดตังเช็ควาล์วไว้ป้องกันมิให้นําไหลย้อนกลับมาทําความเสียหายต่อเครืองสูบนําได้
2) เกทวาล์ว (Gate Valve – รูปที 4-9 ) เป็ นวาล์วหรือประตูนําทีใช้งานกันทัวๆ ไป บานประตูมลี กั ษณะเป็ น
ลินเข้า - ออกในลักษณะตังฉากกับทิศทางของการไหล ส่วนใหญ่จะใช้แบบเปิ ดเต็มทีหรือปิ ดสนิท ไม่นิยมใช้แบบเปิ ด
เพียงบางส่วนเพือควบคุมการไหล
6) วาล์วระบายอากาศ (Air Release Valve – รูปที 4-13 และ 4-14 ) วาล์วระบายอากาศนับว่าเป็ นอุปกรณ์
ทีมีความสําคัญมากชินหนึงในระบบท่อส่งนํา ทังนีเพราะ โดยทัว ๆไปแล้วจะมีอากาศปนติดมากับนําทีสูบมาด้วยเสมอ
เมือความดันของนําลดลงหรือนํามีอณ ุ หภูมสิ งู ขึนฟองอากาศก็จะแยกตัวออกมาและไปสะสมกันในบริเวณทีแนวท่อโค้ง
งอขึน โพรงอากาศนีจะทําให้การไหลผ่านในบริเวณดังกล่าวมีลกั ษณะเป็ นแบบการไหลในทางนําเปิ ดซึงจะเป็ นผลทําให้
สูญเสียพลังงานมาก และอาจเป็ นตัวการก่อให้เกิดความดันในระบบท่อแปรปรวนได้ ดังนันจึงควรติดตังวาล์วให้ทํา
หน้าทีระบายอากาศส่วนนีออกไปเสีย
การระบายอากาศออกจากท่อผ่านวาล์วจะถูกควบคุมโดยลูกลอย เมืออากาศไหลเข้ามาสะสมในวาล์วดังกล่าว
นีมากพอลูกลอยก็จะลดระดับลงเป็ นเหตุให้เข็มซึงอุดช่องระบายเปิ ดออก อากาศก็จะถูกระบายออกไป ขันตอนการ
ทํางานของวาล์วระบายอากาศแสดงไว้ในภาพที 6 วาล์วระบายอากาศควรจะติดตังบนหลังท่อในบริเวณทีท่อส่งนําโค้ง
ขึนจนทําให้เป็ นแหล่งสะสมฟองอากาศได้ นอกจากนันควรติดตังทุกระยะ 0.50 ถึง 1.0 กิโลเมตรบนแนวท่อทีลาดลง
โดยเฉาะอย่างยิงแนวทีลาดลงค่อนข้างชัน การติดตังวาล์วระบายอากาศทีพบเสมอๆ คือในบริเวณท่อตัดผ่านทางนําซึง
จําเป็ นต้องให้ท่อโค้งงอขึนดังแสดงในรูปที 4-15 และ 4-16
7) บานปิ ดเปิ ดทางเดียว( flap valve) หมายถึง
1. บานหรือลินปิ ดเปิ ดติดอยูท่ ตอนปลายท่
ี อจ่ายนําของเครืองสูบนํา เพือป้ องกันการไหลกลับของนํา เมือ
เครืองสูบนําหยุดทํางาน
2. บานหรือลินปิ ดเปิ ดควบคุมระดับนําเพือป้ องกันนําท่วม มักออกแบบให้เปิ ดเมือระดับนําด้านเหนือนําสูงกว่า
ระดับท้ายนําเพือระบายนําและปิ ดเมือระดับนําด้านท้ายนําสูงขึนเท่ากับหรือ มากกว่าระดับนําด้านเหนือนํา เพือป้ องกัน
ไม่ให้นําไหลกลับบางครังเรียก flap gate
การเลือกใช้วาล์วชนิดใด เพือให้ทาํ หน้าทีในระบบท่อส่งนํา สามารถดูได้ตามตารางที 4-4
ชนิดวาล์ว การใช้งาน
ควบคุมการไหล หยุดการไหล ป้ องกันไหลย้อน ป้ องกันwater
hammer
Gate Valve √ √
Butterfly Valve √ √
Check Valve √ √
Flap Valve √
Foot Valve √
4-5
ขนาด
ท่อ 400 500 600 700 800 900 1000 1200 1350 1500
(มม.)
ขนาด
แอร์
100 100 100 100 100 100 150 150 150 150
วาล์ว
(มม.)
ก็เพราะว่าถ้าความเร็วของการไหลไม่มากพอโพรงอากาศในท่อจะเป็ นสิงกีดขวางการไหลโดยทําให้การไหลในช่วง
ดังกล่าวมีลกั ษณะเป็ นการไหลในทางนําเปิ ดแทนทีจะเป็ นการไหลเต็มท่อ
3) Air chamber เป็ นอุปกรณ์ช่วยลดความรุนแรงของวอเตอร์แฮมเมอร์อกี แบบหนึงทีมีลกั ษณะเป็ นถังบรรจุ
อากาศต่อเข้ากับหลังท่อ อากาศในถังซึงยืดหดตัวได้ดกี ว่านําก็จะทําหน้าทีผ่อนคลายความรุนแรงลงเมือมีความดัน
เพิมขึนอย่างฉับพลันนอกจากนันอุปกรณ์ชนิดนียังใช้ต่อเข้ากับด้านจ่ายของปั มแบบสูบชักก่อนส่งนําเข้าสู่ระบบ เพือให้
การไหลสมําเสมอตลอดเวลาอีกด้วย
4) Surge Suppressor เป็ นอุปกรณ์ทมีี ลกั ษณะคล้ายกับ Air Chamber แต่แทนทีจะใช้อากาศเป็ นตัวผ่อน
คลายแรงดันก็เปลียนไปใช้สปริงแทน อุปกรณ์ชนิดนีใช้กบั ท่อขนาดเล็ก เช่น ท่อนําใช้ในบ้านมากกว่าทีจะใช้กบั ระบบ
ท่อขนาดใหญ่
5) Surge Tank เป็ นถังช่วยลดความดันทีเพิมขึนจากวอเตอร์แฮมเมอร์ในระบบขนาดใหญ่ซงมี ึ ทงประเภท
ั
เปิ ดดัานบนของถังเเละแบบปิ ด สําหรับแบบเปิ ดนันความสูงของถังจะต้องมากพอทีจะไม่ให้นําไหลล้นออกมา
ได้ ส่วนในแบบปิ ดจะมีลกั ษณะคล้ายกับ Air Chamber แต่มที อ่ ขนาดเดียวกันกับท่อส่งนําเป็ นตัวจ่ายนําเข้าไปในถัง
อีกทีหนึง การลดความรุนแรงของความดันจะถูกควบคุมโดยการไหลของนํ าเข้าไปใน Surge Tank และการยืดหดตัว
ของอากาศในถัง
ในระบบท่อส่งนําทีมีความยาวมากและมีความลาดเทสูงขึนจากปั มหรือท่อไม่ยาวมากแต่มคี วามลาดเทจากปั ม
ชันมาก การติดตังเช็ควาล์วประเภทไม่ปิดกระทันหัน (Non-slam) ซึงออกแบบให้ปิดเมือความเร็วเป็ นศูนย์ คือไม่
เปิ ดโอกาสให้นําในท่อไหลย้อนกลับมาก็จะช่วยลดแรงจากวอเตอร์แฮมเมอร์ลงได้ นอกจากนัน ถ้าหากก่อน
เดินเครืองสูบนําปริมาณนําในท่อยังมีอยูไ่ ม่เต็มเมือเริมเดินเครืองควรจะเปิ ดประตูจ่ายนําเพียง 3/4 ของอัตราการสูบที
ต้องการต่อเมือมีนําบรรจุเต็มท่อแล้วจึงค่อย ๆ เปิ ดประตูนําเพิมขึน วิธที กล่
ี าวนีจะช่วยลดความดันจากวอเตอร์แฮม
เมอร์ลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิงในกรณีทต้ี นกําลังเป็ นมอเตอร์ซงมี ึ รอบคงทีตลอดช่วงการทํางาน
. การวางท่อส่งนํา
. . การออกแบบโครงสร้างคอนกรีตคํายันท่อ (Concrete Thrust Block Design)
การออกแบบโครงสร้างคอนกรีตคํายันท่อแรงดันตรงจุดทีเกิดแรงกระทําเช่นข้องอ สามทาง ข้อ
ลดและวาล์วรวมถึงบริเวณจุดปลายท่อทีปิ ดอยู่ บริเวณดังกล่าวจะเกิดแรงกระทําต่อตัวท่ออันเนืองจากมี
แรงดันภายในท่อทีไม่สมดุลเกิดขึนเกิดแรงกระทกและการสันสะเทือนอยูต่ ลอดเวลา สําหรับท่อฝังดินนัน
ขนาดโครงสร้างคอนกรีตคํายันท่อจะขึนกับความสามารถในการรับนําหนักของดินบริเวณนัน(ค่าBearing
Stress) สําหรับพวกข้องอต่างๆทีงอในแนวดิง(Vertical Plane)และฝังไม่ลกึ จากผิวดิน อาจใช้เพียงแท่ง
คอนกรีตล้วนขนาดใหญ่ซงมีึ นําหนักมากหน่ อยช่วยถ่วงนําหนักก็พอได้แล้ว รูปแบบมาตรฐานของแท่ง
คอนกรีตแบบต่างๆ สําหรับต้านทานแรงดันท่อแสดงไว้ในรูปที -
1.ข้องอ (Bend)
T 2( PA QV ) sin (. )
2
เมือ
T= แรงลัพท์กระทําบริเวณข้องอ (Resultant thrust (N))
P = ความดันบริเวณข้องอ (Pa)
A = พืนทีหน้าตัดท่อ (m²)
p = ความหนาแน่นของนํา (1000 kg/m³ at 15° C)
Q = อัตราการไหลภายในท่อ (m³/s)
V = ความเร็วของการไหล (m/s)
= มุมของข้องอ (degrees)
เมือไม่นําค่าเฮดความเร็วมาคิด, สมการข้างบนจะกลายเป็ น
T 1.54 10 5 HD 2 sin (. )
2
เมือ
H = เฮด (m)
D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกท่อ(mm)
T = แรงลัพท์กระทํา (kN)
ตารางที - และ - แสดงแรงกระทํา (Thrust Load) ต่อข้องอ (Bend) และข้อลด (Reducer) ของท่อ
ขนาดต่างๆ
4-3
T 7.70 10 5 HD 2 (- )
T 0.77 10 5 H ( D 2 d 2 ) (- )
โดยทัวไปโครงสร้างคํายันท่อ(Thrust Block)จะถูกออกแบบให้สามารถถ่ายแรงไปยังพืนทีระนาบสัมผัส
ดิน(ทีไม่ควรเป็ นดินถมแต่ควรเป็ นดินเดิม) ดังนันสมการคํานวณขนาดพืนทีของระนาบดินเดิมทีจะ
รองรับแรง คือ
T
A f (. )
b
เมือ
A = พืนทีตังฉากกับแนวแรง (m2)
T = แรงกระทํา (kN)
b = ค่า bearing Strees ของดิน (kPa)
f = ค่าส่วนเผือความปลอดภัย(Factor of Safety)
ดังนัน
90
T 1.54 10 5 112.17 (826) 2 sin
2
= 833.378 KN
ขนาดของพืนทีสัมผัสระหว่างคอนกรีตบล็อก กับ ดิน หาจาก
T
A f
b
833.378
A 1.1 9.16 ตร.ม. (ใช้ค่า FS =1.1)
100
The size of the concrete thrust block is based on the local soil stifness, backfill materials
and installation conditions. Any movement should be limited to 15mm. The flanged socket
connectors should be o more than 500mm in length, connecting to a rocker pipe (Figure 6.8).
รูปที - Typical valve restraint for direct buried flanged valves (illustration only, not to scale)
Alternatively, the valve body can also be anchored allowing access for servicing by having a thrust
block adjacent to the valve. The limit of use is dependent on the strength of the steel or ductile iron
4-8
flanged pipe with thrust flange. For small thrust loads, only one side of the valve needs to be
anchored.
The size of the thrust block is based on the local soil stiffness, backfill material and
installation conditions. Limit lateral movement to preserve the leak tightness of the joint.
If steel or ductile iron flanged x spigot stubs are used, the use of a flexible steel coupling or dual
bolting mechanical coupling is recommended.
Consideration must be given to the possibility of back pressure on a closed valve which could create
a thrust load in the opposite direction. To accomodate this possibility the structural support system
can be designed to handle load in either direction. The details are left up to the design engineer.
Table 6.9 - Approximate hydrostatic forces on rubber ring jointed fittings per 10 metres
hystrostatic head (kN)
Tee / Closed
Pipe Pipe OD Bend Bend Bend Bend
0 0 0 0 end
DN (mm) 90 45 22.5 11.25
and Valve
4-9
Table 6.10 - Estimated horizontal soil-bearing capacities (kPa) - apply minimum factor of
safety of 1.1 for thrust block design
4-10
Soil group Minimum soil cover above fitting supported by thrust block
description as per
AS 1786
0.75 metre 1.0 metre 1.25 metre 1.5 metre
GW, SW 57 76 95 114
GP, SP 48 64 80 97
GM, SM 48 64 80 96
GC, SC 79 92 105 119
CL 74 85 95 106
ML 69 81 93 106
OH
Ref. http://www.iplex.com.au/iplex.php?page=lib&lib=31&sec=231&chap=293
-1
. . การขุดร่องวางท่อ
ก) ความกว้างของร่องคู ขึนอยูก่ บั ลักษณะของพืนทีทีแนวท่อพาดผ่าน โดยทัวไปจะกําหนดค่าความกว้างของร่องคู
ตรงหลังท่อ เป็ นไปตามสูตรการคิด ดังนี
-กรณีทอ่ มีขนาดเส้นผ่ศน
ู ย์กลางตํากว่า มิลลิเมตร
B = D + 40 (ซม.) (. )
B = D + 60 (ซม.) (4.19)
เมือ
B = ความกว้างของร่องคูวางท่อ (ซม.)
D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกท่อ (ซม.)
สําหรับรูปร่างของการขุดร่องคูวางท่อ มีลกั ษณะดังปรากฏตามรูปที 4-23
กรณี วางท่อในร่องดินทีขุดแล้วถมกลับ
We HBd (. )
We C d HB 2 d (. )
H
2 ku ( )
1 e Bd
Cd (. )
2ku
2 P (1 i )
Ws (. )
(b 2 H tan )(nL ( n 1)c a )
เมือ
Ws = นําหนักของรถทีถ่ายลงสูท
่ ่อ (กก./ตร.ม.)
H =ความลึกของดินถมหลังท่อ (ม)
P = นําหนักรถทีถ่ายลงล้อหลัง ข้าง
กรณีรถ HS20-44
P = (กก.)
a = ความกว้างของล้อทีสัมผัสพืน = 0.50 (ม.)
b = ความยาวของล้อทีสัมผัสกับพืน = . (ม)
L = ระยะห่างระหว่างล้อหลังด้านด้านกว้างของรถ = . (ม)
C = ระยะห่างของล้อระหว่างรถแต่ละคัน (ม)
n = จํานวนรถทีวิงผ่านท่อ (คัน)
= มุมกระจายความเค้น โดยทัวไปใช้เท่ากับ องศา
I = ค่าสัมประสิทธิของการกระแทก
= . เมือ H . ม.
= 0.65 – . H เมือ 1.50 H . ม.
=0 เมือ H 6.50 ม.
-4
k .We .R 4
Se = (. )
E .I
ตารางที . แสดงค่ามุมสัมผัสท่อสําหรับชนิดดินฐานราก
. ) การยุบตัวของท่อในแนวดิงเนืองจากนําหนักรถ
0 . 03 .Wt .R 4
St = (4.26 )
E .I
. ) การยุบตัวของท่อในแนวดิงทังหมด
S = Se st ( - )
Kx = ค่าสัมประสิทธิระยะเคลือนทีแนวราบขึนกับมุมสัมผัสท่อ
ดูตารางที 7.2 กก./ซม
E = ค่าโมดูลสั ความยืดหยุ่นของดิน ดูตารางที 7.3 กก./ซม
R = รัศมีเฉลียของท่อ ซม.
และ Dx < % ของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในของท่อ
มุมสัมผัสท่อ ( ) Kh Kx
. .
. .
. .
. .
Ww W p
We Wt ( )
R 2r (- )
Sin
-9
r 2
R
รูปที - แสดงปฏิ กิริยาทีฐานรองรับท่อ
-10
900 1200
1800
ดินธรรมดาหรือ
ดินแข็ง 0.15-0.30 ม. 1200
ดินอ่อน > 0.50 ม. วัสดุฐานรากชนิด GW,GP ,
GC,SW,SP หรือ SM,SC,ML
We W p
1.50 (- )
Fb
เมือ
We ( soil w ) H (- )
(D 2o D 2 )
Wp i
p (- )
4 Do
D 2 o w D o w
Fb (- )
4 Do 4
-12
Do D
2
H 1.5 w 1 i (- )
4( s w ) Dc p
โดยที
H = ความลึกปลอดภัยของดินถมหลังท่อ ม.
Di = ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางภายในท่อ ม.
Do = ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางภายนอกท่อ ม.
w = ค่าความหนาแน่นของนํา กก./ ลบ.ม.
s = ค่าความหนาแน่นของดินอิมตัวด้ วยนํา กก./ ลบ.ม.
p = ค่าความหนาแน่นของวัสดุทําท่อ กก./ ลบ.ม.
We= นําหนักของดินถมหลังท่อ กก./ ตร.ม.
Wp= นําหนักของท่อ กก./ ตร.ม.
Fb = แรงลอยตัว กก./ ตร.ม.
ในกรณีทีจําเป็ นต้ องฝั งท่อไม่ลกึ ทําให้ นําหนักจากดินถมหลังท่อไม่พอต้ านทานต่อแรงลอยตัว จะใช้ วิธีการเพิม
นําหนักด้ วยการหุ้มพอกด้ วยคอนกรี ตเพือให้ มีนําหนักเพิมขึนจนต้ านทานแรงลอยตัวได้ แต่จะทําให้ ค่าก่อสร้ างเพิมขึน
5-1
บทที
ทฤษฎีและการคํานวณเกียวกับเครืองสูบนํา
. หลักการและทฤษฎีเครืองสูบนํา
. . ความหมายของเครืองสูบ
เครืองสูบ (Pump) หมายถึง เครืองจักรกลทีทําหน้าทีถ่ายโอนพลังงานกลจากเครืองต้นกําลัง มาให้กบั ของไหลที
ไหลผ่านเครืองนัน ทังนีหากเครืองจักรนันทําหน้าทีถ่ายทอดพลังงานให้กบั ของเหลวจนทําให้ของเหลวนันเคลือนทีจาก
จุดหนึงไปยังอีกจุดหนึงโดยเฉพาะจากทีตําไปยังทีสูงกว่ามักจะเรียกเครืองจักรนีว่าเครืองสูบ (Pump) แต่หากถ่ายทอด
พลังงานไปให้ของไหลทีเป็ นก๊าซเช่นอากาศจนทําให้อากาศเกิดการเคลือนทีเครืองจักรเหล่านีก็ได้แก่พดั ลม (Fan)
เครืองเป่ า (Blower) เป็ นต้น แต่หากเครืองจักรเหล่านีทําหน้าทีให้ของไหลประเภทก๊าซเกิดการบีบอัดตัวจนเกิดความดัน
สูงก็มกั เรียกว่าเครืองอัด (Compressor) เป็ นไปตามลักษณะการทํางานของเครืองจักรนันๆ สําหรับเครืองสูบทีเกียวข้อง
อยูใ่ นชีวติ ประจําวันเสมอได้แก่เครืองสูบนํา (Water Pump) และเครืองสูบนํามัน (Oil Pump) หรือสูบสารเคมีประเภท
ของเหลวอืนๆทีมีลกั ษณะคล้ายๆกัน
โครงสร้างของเครืองสูบทัวไปจะประกอบด้วยตัวเรือน (Casing or Housing) แกนหมุนหรือเพลา (Shaft)
ใบพัด (Impeller) และครีบใบพัด (Vane or Blade)
. . การเพิ มเฮด (Head) ให้กบั ของเหลวโดยเครืองสูบนํา
เฮด(Head) หรือพลังงานต่อหน่วยนําหนักของของหลว ทีของเหลวได้รบั มาจากเครืองสูบนํา สามารถอธิบายได้
โดยสมการออยเลอร์ (Euler Equation) กรณีเป็ นเครืองสูบแบบแรงเหวียง (พวก Dynamic Pump) ได้ดงั นีคือ
รูปที - ลักษณะการไหลของของนําบริเวณใบพัดเครืองสูบนํา
เงือนไขการวิ เคราะห์การไหลทางทฤษฎี
ในการวิเคราะห์การไหลทางทฤษฎีนนั ได้กําหนดสมมติฐานทีใช้สาํ หรับการวิเคราะห์ไว้ดงั นี
.สมมติการไหลแบบ มิต ิ คือไหลในทิศทางตามแนวรัศมีของใบพัด (Radial)กับไหลในทิศทางตังฉากกับ
รัศมีหรือทิศสัมผัสเส้นรอบวง(Tangential) (รูปที - )
5-2
W2 V2
V2
2
2
Flow Direction
U2
Subscript:
W1
1 1 - inlet
V1 2 - exit
V1
1
U1
(ก)
radial
W V W
Vr
circumferential
V U
(ข) (ค)
จากตัวแปรทีเกียวข้อง ประกอบด้วย
= มุมของใบ (Blade) ใบพัด ทราบได้จากรูปร่างของใบพัดและตัวใบทีถูกสร้างขึนมา
U = ความเร็วในทิศสัมผัสเส้นรอบวงของใบพัด(Impeller)
= r
Vr = ความเร็วการไหลทีแตกมาจาก V ในทิศเส้นรัศมีของใบพัด เมือทราบจะใช้นํามาคํานวณอัตรา
การไหลออกจากเครืองสูบ
V = ค่าความเร็วสัมบูรณ์ ( V U W )
W = ความเร็วการไหลทิศสัมผัสผิวใบ(Blade)ของใบพัด
V = ความเร็วทีแตกมาจากความเร็ว V
เลข แสดงจุดทีนําเข้าสู่ใบของใบพัด
เลข แสดงจุดทีนําออกจากใบของใบพัด
ดังนันจากรูปสามเหลียมแทนความเร็วการไหลภาพที - ก็จะสามารถหาความเร็วลัพธ์การไหลทีเกิดขึนได้
ต่อไปจะดูความสัมพันธ์ต่างๆอันเกิดจากการหมุนของใบพัดว่าจากตัวแปรทัง ตัวข้างต้นกับค่าความหนาแน่น
(Density) ของนํา สามารถทําให้เกิดเฮดทีเพิมขึนกับนําได้อย่างไร
(ก) (ข)
dF = ( /g )h r22 dr d
hr 2 2 drd
dP
ghrd
r 2 dr
dP
g
ทําการอินทิเกรต dP ระหว่างจุดทีนําเข้าสู่ใบพัด (จุดที ) ทีรัศมี R1 และทีจุดนําออก (จุดที ) รัศมี R2 จะได้
(จาก U = r)
2 2
(U 2 U 1 )
P2 P1 2 ( R2 2 R1 2 )
2g g 2
เมือเขียนในรูปของเฮด จะได้
2 2
U 2 U1
H 2 H1 (.)
2g
2 2 2 2
U 2 U1 W W2
Hp 1
2g 2g
เฮดทีเกียวข้องอีกค่าหนึงในการทํางานของใบพัดคือเฮดความเร็ว ดังนันค่าเฮดทางทฤษฎีทของไหลได้
ี รบั
เพิมขึน จะเป็ น
2 2 2 2 2 2
U U1 W W2 V V2
Hp 2 1 1
2g 2g 2g
W1 U 1 V1 2U 1V1COS 1
2 2 2
5-5
W 2 U 2 V2 2U 2V2 COS 2
2 2 2
จะได้
1
Hp (U 2V2 COS 2 U 1V1COS 1 )
g
1
หรื อ Hp (U 2V 2 U 1V 1 ) (.)
g
1
Hp U 2V 2 (.)
g
จากสูตร
U 2 V 2
Cot 2
Vr 2
แทนค่าจะได้
U 2 2 U 2Vr 2 Cot 2
Hp (.)
g g
เมือ
b2 = ความกว้างของช่องภายในตัวเรือนเครืองสูบ (Volute)
U Cot 2 Q
2
U2
Hp 2 (.)
g 2r2 b2 g
5-6
) กฎความคล้ายคลึงของอัตราการไหล
หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรชนิดอัตราการไหล(อัตราการสูบ)ของเครืองสูบตัวแรกกับตัวทีสอง พบว่า
อัตราส่วนอัตราการไหลระหว่างเครืองสูบตัวทีหนึงกับตัวทีสอง จะมีคา่ เท่ากับอัตราส่วนของความเร็วรอบเครืองสูบตัวที
หนึงกับสองคูณด้วยอัตราส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางของใบพัดระหว่างสองตัวนัน ดังสมการ (5.8) ถึง ( . )
q1 n1 d 1
( . )
q2 n2 d 2
q1 n1 (.)
q2 n2
q1 d1 (. )
q2 d2
เมือ
q = อัตราการไหล
n = ความเร็วรอบ
d = เส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด
หมายเลข หมายถึง ใบพัดต้นแบบหรือของเครืองสูบตัวแรก และหมายเลข หมายถึงใบพัดของ
เครืองสูบจําลองหรือเครืองสูบตัวทีสอง
5-8
สูตรความสัมพันธ์ของอัตราการสูบข้างบนนีสามารถนําไปใช้ได้กบั เครืองสูบเกือบทุกชนิด
) กฎความคล้ายคลึงของเฮด
หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรชนิดเฮดของเครืองสูบตัวแรกกับตัวทีสอง โดยทีอัตราส่วนระหว่างเฮดของ
เครืองสูบตัวทีหนึงกับสองจะมีคา่ เท่ากับค่ายกกําลังสองของอัตราส่วนระหว่างความเร็วรอบคูณด้วยค่ายกกําลังสองของ
อัตราส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด ดังสมการ
2 2
H1 n d1 (. )
1
H2 n2 d2
2
H1 n
1 (. )
H2 n2
กรณีหากเครืองสูบมีความเร็วรอบเท่ากัน ( n1 = n2 ) จะได้
2
H1 d (. )
1
H2 d2
เมือ
H = เฮด
n = ความเร็วรอบ
d = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด
กฎความคล้ายคลึงของเฮดดังสมการข้างบนนี จะเหมาะสมต่อการนําไปใช้กบั เฉพาะเครีองสูบ
ชนิดเซนติฟิวกอลประเภทการตามแกนใบพัด(Axial Flow) และการไหลแบบผสม(Mixed Flow)
)กฏความคล้ายคลึงของกําลัง (Power)
3 3
P1 n d1
1 (. )
P2 n2 d2
3
P1 n (. )
1
P2 n2
กรณีหากเครืองสูบมีความเร็วรอบเท่ากัน ( n1 = n2 ) จะได้
3
P1 d 1
(. )
P2 d 2
เมือ
P = กําลัง
n = ความเร็วรอบ
d = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด
สําหรับสูตรอืนๆเกียวกับความสัมพันธ์ระหว่างเครืองสูบแบบจําลอง (Model) กับ เครืองสูบต้นแบบ
(Prototype) มีดงั นี
n1 d 2 h1
(. )
n2 d1 h2
2 4
h1 q1 3 n1 3
(. )
h2 q 2 n2
1
2
q1 d1 h1 2
(. )
q 2 d 2 h2
3
q1 n1 d1
(. )
q 2 n2 d 2
3
2
p1 h1 2 d1
(. )
p 2 h2 d 2
3 5
p1 n1 d1
(. )
p 2 n 2 d2
5-10
d1 n 2
จะได้วา่ (. )
d 2 n1
วิ ธีทาํ
เส้นผ่าศูนย์กลางใบพัดคงทีเนืองจากเป็ นเครืองสูบตัวเดิม (d1 = d2 ) แต่ความเร็วรอบเพิม % หรือ
n2 = 1.10 n1
( )การหาค่าอัตราการสูบ q ทีเครืองสูบจะทํางานได้ เมือความเร็วรอบเพิม %
จาก
q1 n1
q2 n2
q1 n 2
q2
n1
= 1.10 q1
นันคือ เครืองสูบจะทํางานโดยให้อตั ราการสูบเพิมขึน %
( ) การหาค่า h ของเครืองสูบทีทํางานให้ได้เมือความเร็วรอบเพิม %
จาก
2
h1 n1
h2 n2
2
h1 n2
h2 2
n1
= 1.21 h1
นันคือ h ของเครืองสูบจะเพิมขึน 21 %
5-11
( ) การหาค่า p ของเครืองสูบทีทํางานให้ได้เมือความเร็วรอบเพิม %
จาก
3
p1 n1
p 2 n 2
3
pn
p 2 1 32
n1
= 1.33 p1
นันคือ p ของเครืองสูบจะได้เพิมขึน 33 %
N Q (. )
N s
เมือ 3
H 4
Ns = ความเร็วจําเพาะ (ไม่มหี น่วย)
N = ความเร็วรอบ (รอบ ต่อ นาที)
Q = อัตราการสูบ (ลบ.ม. ต่อ ชม.)
H = เฮดรวม (Total Dynamic Head) (เมตร)
หน่วยทีใช้ขา้ งบนเป็ นหน่วยของระบบเมตริก แต่สามารถใช้เป็ นหน่วยของ US (อเมริกา) หรือ UK (อังกฤษ)
โดยที
Q หน่วย US จะเป็ น gpm ของระบบ UK เป็ น gpm
H หน่วย US จะเป็ น ฟุต ของระบบ UK เป็ น ฟุต
ซึงจะทําให้คา่ ความเร็วจําเพาะทีได้แตกต่างไป ทังนีสามารถแปลงค่าของ Ns ได้ดงั นี
Ns (US) = . Ns (metric )
Ns (Metric ) = 0.614 Ns (US)
Ns (Metric) = . Ns (UK)
ตัวอย่างที ใบพัดของเครืองสูบตัวหนึง มีความเร็วรอบ รอบ ต่อ นาที อัตราการสูบ ลบ.ม. ต่อ ชม. และ
ได้เฮดเท่ากับ ม. ค่าความเร็วจําเพาะของใบพัดชุดนีเป็ นเท่าไร ?
วิ ธีทาํ
แทนค่า N = 1760 รอบ ต่อ นาที Q = 1500 ลบ.ม.ต่อ ชม. และ H = 100 ม. ลงในสมการที ( . ) ได้
Ns = ซึงเป็ นค่าซึงใช้หน่วยของระบบเมตริก เมือต้องการแปลงเป็ นค่าในระบบหน่วยอืนๆ จะ
ได้
Ns = . x = 3514 (US)
Ns = /0.67 = 3218 (UK)
5-12
( ) Ns กับ กฎความคล้ายคลึง
ใบพัดทีมีความคล้ายคลึงกันทางเรขาคณิตทุกใบ จะมีคา่ ความเร็วจําเพาะ ค่าเดียวกัน ดังนันจึงใช้คา่
ความเร็วจําเพาะเป็ นเบอร์ระบุสดั ส่วนและรูปทรงของใบพัด เพือความเข้าใจดูรปู ที - และ - ใบพัดทัง อันมีคา่
Ns เท่ากันคือ แต่ใบพัดทังคูม่ ขี นาดไม่เท่ากันแต่มคี วามคล้ายคลึงกัน ดังนันความหมายของค่า Ns อาจกล่าวให้
เข้าใจง่ายเข้าว่าหมายถึงค่าทีใช้บ่งบอกถึงรูปร่างของใบพัดทีคล้ายกันแต่อาจมีขนาดต่างกัน นันเอง
รูปที - ใบพัดทีมีความคล้ายคลึงกันจะมีค่าความเร็วจําเพาะเท่ากัน
รูปที - ค่าความเร็วจําเพาะของใบพัดสําหรับเครืองสูบประเภทต่างๆ
วิ ธีทาํ
สมมติวา่ เลือกใช้เครืองสูบแบบ Radial Flow และเลือกทีค่าความเร็วจําเพาะ (Ns) เท่ากับ จากสมการ
N Q
N s 3
H 4
5-13
หรือ
3
N H 4
N s
แทนค่า Ns = 500
H = 95 เมตร
Q = ลบ.ม. ต่อ ชม.
ได้ N = 1451.78 รอบ ต่อ นาที หรือเลือก รอบ ต่อ นาที
คําอธิ บาย
จากตัวอย่างเรืองความเร็วจําเพาะ อธิบายได้วา่ หากเลือกปั มชนิดไหลตามแนวรัศมี (Radial Flow) ที
ความเร็วจําเพาะ เท่ากับ เมือมีเฮดเท่ากับ ม. และต้องการได้ Q = ลบ.ม./ชม. หากมี เฮด (H) = ม. และ
ต้องการได้ Q = ลบ.ม./ชม. จะต้องเลือกเครืองสูบทีมีใบพัดรูปร่างคล้ายคลึงกัน(รูปร่างเหมือนกันแต่ขนาดไม่
เท่ากันและมีคา่ Ns= 500) โดยต้องให้หมุนด้วยความเร็วรอบเท่ากับ รอบต่อนาที นันเอง
. ประเภทของเครืองสูบ
. . แบ่งตามหลักการขับดันของไหล สามารถจําแนกได้เป็ น ประเภทใหญ่ๆ คือ
-เครืองสูบแบบให้การไหลหรือเคลือนทีต่อเนือง (Dynamic Pump) มีลกั ษณะการทํางานโดยเครืองสูบเพิม
ความเร็วให้ของไหลโดยของไหลไหลผ่านใบพัดทีกําลังหมุนจนเกิดแรงเหวียงหนีศนู ย์กลาง เนืองจากมีชนส่ ิ วนสําคัญคือ
ใบพัดทําให้เครืองสูบประเภทนีมีชอเรี
ื ยกอีกอย่างหนึงว่า เครืองจักรใบพัด (Turbo machine)
-เครืองสูบแบบของไหลแทนที (Positive Displacement Pump) มีลกั ษณะการทํางานโดยจะใช้ชนส่ ิ วนของ
เครืองจักรทําการอัดและดันของไหลเพือให้เกิดการแทนทีและเคลือนทีของของไหลในห้องสูบอย่างต่อเนือง
(ก) เครืองสูบแบบให้การไหลหรือเคลือนทีต่อเนื อง ( Dynamic Pump) แบ่งตามทิศทางของการไหล
ภายในห้องสูบหรือเรือนปั ม ได้เป็ น ประเภท คือ
ประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัด (Radial Flow Pump)
ประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด (Axial Flow Pump)
ประเภทไหลแบบผสม (Mixed Flow Pump)
ประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัด จะอาศัยแรงเหวียงหนีศนู ย์กลางทีเกิดขึนในเรือนเครืองสูบ(Pump Case)
ของเหลวจะไหลออกจากใบพัดในทิศทางตังฉากกับเพลาซึงใบพัดชนิดนีจะให้ เฮด (Head) มากกว่าประเภทไหลแบบ
ผสมและประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด แต่จะให้อตั ราการสูบ (Flow Rate) น้อยกว่า
ประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด ทิศทางการไหลจะขนานกับเพลาใบพัด(Axis)เครืองสูบประเภทนีจะ
ให้เฮด น้อยกว่าประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัดประเภทไหลแบบผสม แต่อตั ราการสูบมากกว่า
ประเภทไหลแบบผสม ทิศทางการไหลออกจากใบพัดทํามุมเอียง 45°- 80° กับแกนเพลาใบพัดเครืองสูบ
ประเภทนีจะให้เฮด มากกว่า ประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด แต่น้อยกว่า ประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัด อัตรา
การสูบน้อยกว่า
เครืองสูบนําในงานชลประทานส่วนมาก(หรือทีนิยมใช้กนั อยูเ่ กือบทังหมด) เป็ นสูบแบบไหลต่อเนือง (
Dynamic Pump) ทํางานโดยการถ่ายเทพลังงาน จากต้นกําลังไปสูข่ องเหลว โดยการหมุนของใบพัด (Impeller) โดยมี
เรือนปั ม (Case) ทําหน้าทีรวบรวมของเหลวทีถูกเหวียงหรือ ดัน ออกจากใบพัด ไปสูช่ ่องทางจ่าย ลักษณะของเครือง
สูบชนิดไหลแบบต่อเนืองประเภทไหลตามแนวรัศมีใบพัด (Radial Flow Pump) ทีพบบ่อยก็คอื เครืองสูบชนิดหอยโข่ง
หรือแบบเซนตริฟิวกอล (Centrifugal Pump) รูปที 5-8 , 5-9 และรูปที 5.10 แสดงลักษณะของการทํางานของเครืองสูบ
ประเภทไหลตามแนวรัศมี ส่วนรูปที 5-11 เป็ นลักษณะของเครืองสูบประเภทไหลตามแนวแกน
ใบพัด
ช่องในตัวเรือนปั ม
รูปที - ลักษณะการทํางานของใบพัดเครืองสูบนําแบบไหลในแนวรัศมีใบพัด(รูปใหม่)
แกนใบพัด
ทางนําออก
ฟั นเฟื อง(Gear)
ทางนําเข้ า
ทางนําออก
ลูกสูบ ทางนําเข้า
. . การแบ่งประเภทของเครืองสูบตามลักษณะการเพิ มพลังงานให้แก่ของเหลว
นอกเหนือจากการแบ่งประเภทเครืองสูบโดยดูตามลักษณะการขับดันของไหลออกจากตัวเครืองสูบดังกล่าวไว้
แล้วในหัวข้อที 1.2.1 แล้ว หากแบ่งประเภทเครืองสูบตามลักษณะการถ่ายทอดพลังงานให้กบั ของไหลภายในตัวเครือง
สูบ สามารถแบ่งออกได้แบ่งเป็ น
. แบบเซนตริฟิวกอล (Centrifugal Pump) เพิมพลังงานให้ของไหลโดยอาศัยแรงเหวียงหนีศนู ย์กลาง
. แบบโรตารี (Rotary Pump) ลักษณะเป็ นเครืองสูบทีมีใบพัด(Vane) ทีติดอยูก่ บั ตัวหมุนทีเป็ นวงกลม
(Rotor) โดยมีจุดหมุนอยู่เยืองออกจากจุดศูนย์กลางของวงกลมโรเตอร์นีทําให้การหมุนของโรเตอร์ภายในเรือนปั มมี
ลักษณะเป็ นลูกเบียว เมือโรเตอร์หมุนจะเกิดลักษณะเคลือนเข้าชิดและห่างออกจากทังทางเข้า (Inlet) และทางออก
(Exhaust) ของของเหลวเกิดลักษณะการดูดและผลักของไหลออกอย่างต่อเนือง
. แบบลูกสูบชัก (Reciprocating) เพิมพลังงานโดยการอัดและดันของไหลโดยตรงในกระบอกสูบ
. แบบอืนๆ เป็ นการเพิมพลังงานโดยอาศัยกลไกอืนๆนอกเหนือจากข้างต้นเช่นแบบฟันเฟื อง
Pump
ต้องทํางานภายใต้เฮดทีไม่สงู ในขณะเดียวกันหากต้องการให้เครืองสูบนันสามารถสูบส่งนําได้เฮด
สูงๆ(อาจจะหมายถึงระยะยกสูงหรือระยะทางไกล)อัตราการสูบทีได้จะต้องน้อยลงตามมา
สําหรับเส้นกราฟแสดงประสิทธิภาพ(ประสิทธิภาพของเครืองสูบหมายถึงอัตราส่วนระหว่างกําลัง
ทีเครืองสูบถ่ายทอดให้กบั ของไหล กับ กําลังทีเครืองสูบได้รบั มาจากต้นกําลังหรือ Water
horsepower/Brake horsepower)จะมีลกั ษณะเป็ นกราฟโค้งควํา แสดงให้เห็นว่าเครืองสูบนําตัว
นันๆจะให้ประสิทธิภาพทีดีทสุี ดทีค่าอัตราการสูบและเฮดค่าใดค่าหนึงเพียงค่าเดียว
การอ่านค่าจากกราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบ
การนํากราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบไปใช้งานควรกระทําด้วยความถูกต้อง ดังต่อไปนี
.จากค่าอัตราการสูบทีทราบ ลากเส้นจากจุดดังกล่าวขึนไปในแนวดิงเพือไปตัดกับเส้นกราฟ
เฮดของเครืองสูบทีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัดค่าทีสนใจ
.ค่าอืนๆทีเหลืออยูแ่ ละต้องการทราบค่าเช่นประสิทธิภาพ กําลัง ก็ให้อา่ นจากจุดตัดนีโดยอาศัย
การประมาณค่าแบบInterpolate ระหว่างจุดทีทราบค่าใกล้เคียง
. . กราฟเฮดของระบบสูบ (System Head Curve)
หมายถึง กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเฮด( Head) กับอัตราการสูบ (Discharge) ของ
ระบบสูบ (ระบบสูบ ประกอบด้วย ตัวเครืองสูบและอุปกรณ์ ประกอบท่อทังด้านดูดและส่งพร้อมอุปกรณ์)
กราฟเฮดของระบบจะใช้บ่งบอกว่า เมือเราต้องการสูบนําเข้าสูร่ ะบบท่อระบบหนึง เมือ เฮด (เฮดด้านดูด
+ ด้านจ่าย + เฮดสูญเสียต่างๆ) แปรเปลียนไปจะมีผลต่ออัตราการสูบ ของระบบอย่างไร (รูปที . )
ลักษณะรูปร่างของกราฟเฮดของระบบสูบจะไม่ขนอยู
ึ ่กบั ลักษณะของตัวเครืองสูบนํา รูปร่างพืนฐาน
โดยทัวไปของกราฟจะเป็ นรูปพาราโบลาตามรูปสมการของค่าการสูญเสียเฮดในระบบท่อ(มีคา่ เลขยก
-4
เฮด
อัตราการสูบ
.ระบบสูบจากแหล่งนําตําไปยังแหล่งนําสูงกว่า กรณีนีระบบจะมีเฮดสถิตย์เพิมเข้ามาเนืองจาก
ต้องสูบจากทีตําขึนไปบนทีสูง ดังรูปที .
เฮดสถิตย์
เฮด
เฮดสถิตย์
0
อัตราการสู บ
รูปที . กราฟเฮดระบบเมือสูบนําจากทีตําขึนทีสูง
H3
H2
H1
Q1 Q2 Q3
. . การเลือกเครืองสูบนําจากกราฟ
ในการเลือกเครืองสูบนํา จะเลือกเครืองสูบทีสามารถให้ เฮด และ อัตราการสูบ
เป็ นไปตามทีต้องการ ในการเลือกเครืองสูบนําจะอาศัยการตัดกันระหว่างเส้นกราฟ H-Q กับเส้นกราฟ
เฮดของระบบ จุดตัดทีได้จากเส้นกราฟทังคู่จะเรียกว่า จุดทํางานของเครืองสูบนํา (Operating Point) จุด
ทีปั มทํางาน (Operating Point) หมายถึง จุดทีแสดงความสอดคล้องกันระหว่างอัตราการสูบและเฮดทีได้
จากปั มตัวนันๆ กับ ระบบสูบนํา ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้ปัมยีห้อหนึง ซึงผูผ้ ลิตกําหนดให้ Performance
Curve มารูปหนึง และจากการวางแนวออกแบบระบบท่อเส้นหนึงเมือนํามาคํานวณเฮดของระบบทีค่า Q
ต่างๆทําให้ได้ System Head Curve มารูปหนึงเช่นกัน เมือลากเส้นออกจากจุดตัดไปยังแกนของเฮด
และแกนของอัตราการสูบ จะได้คา่ H1 และ Q1 ตามลําดับ จากรูป H1 และ Q1 เป็ นเฮด และอัตราการ
สูบ ทีจะได้จากเครืองสูบนีและ สอดคล้องกับ H และ Q ของระบบสูบนํานี ดังแสดงไว้ตามรูปที 5.23 (ก)
และ (ข)
-7
Q1
(ก)
H System head
H-Q curve curve
H1
Q1 Q
ตัวอย่างที 4 การเลือกเครืองสูบนําจากกราฟ
จากกราฟแสดงผลการทํางานของเครืองสูบนําตัวหนึง(รูปที - ) สมมติว่าต้องการเฮดรวม
เท่ากับ 120 ฟุตและอัตราการสูบเท่ากับ 900 แกลลอน ต่อ นาที จงเลือกว่าต้องใช้เครืองสูบนําที
ความเร็วรอบ ประสิทธิภาพและกําลังของเครืองต้นกําลังทีจะมาใช้ขบั เครืองสูบนํานี
-9
. การคํานวณเฮดรวมของระบบสูบนํา
. . เฮดรวม (Total Dynamic Head ,H ) ของระบบสูบนํา
เฮดรวม ในทีนีหมายถึง พลังงานทังหมดทีเครืองสูบจะต้องถ่ายทอดให้กบั ของเหลวเพือให้ของเหลวสามารถ
เคลือนทีไปยังตําแหน่ งทีต้องการได้ เฮดรวมในระบบสูบนําจะประกอบด้วยเฮดหลักๆซึงถือได้ว่าเป็ นเฮดพืนฐานที
เครืองสูบจะต้องสร้างขึนมาให้ได้เป็ นอย่างน้อยรวมกันอยู่ ตัวคือ เฮดสถิต (Static Head) และ เฮดเนืองจากความ
ฝื ด หรือเขียนเป็ นสมการได้เป็ น
H = Ha + Hf ( . )
เมือ
Had
P
Has
แหล่งนํา
2
V (5.27 )
H H as H ad hls hld d
2g
เมือ
H = เฮดรวม (Total dynamic head) (เมตร)
Has = เฮดสถิตย์ดา้ นดูด (Static suction lift) (เมตร)
Had = เฮดสถิตย์ดา้ นส่ง (Static discharge head)(เมตร)
5-4
Had
Has
P
2
Vd
H H as H ad hls hld (. )
2g
เมือ
H = เฮดรวม (เมตร)
Has = เฮดสถิตย์ทางด้านดูด(เมตร)
Had = เฮดสถิตย์ทางด้านจ่าย(เมตร)
hls = ค่าการสูญเสียเฮดของท่อดูด(เมตร)
hld = ค่าการสูญเสียเฮดของท่อส่ง(เมตร)
Vd = ความเร็วเฉลียของการไหลทีปลายท่อส่ง(เมตร)
5-5
P
Ha
2
Vd
H H a hld (5.29)
2g
เมือ
Ha = เฮดสถิต (เมตร)
hld = เฮดความฝืดด้านท่อส่ง (เมตร)
Vd = ความเร็วเฉลียทีปลายท่อส่ง
Had
P
Has
2
V
H H as H ad hls hld d hw (. )
2g
หรือสมการ ( .)จะเป็ น
2
Vd
H H a hld hw (. )
2g
Pd Ps (5.33)
H H as H ad hls hld
เมือ คือค่านําหนักจําเพาะของของไหลทีสูบ Pd
Had
Has
Ps
)กรณีจุดศูนย์กลางเครืองสูบอยู่ตากว่
ํ าถังความดันด้านดูด และถังด้านดูดมีคา่ ความดันเป็ น Ps (สูงกว่า
บรรยากาศ)และถังด้านส่งมีคา่ ความดันเป็ น Pd (สูงกว่าบรรยากาศ)ดังรูปที - การคิดเฮดรวมของระบบสูบจะเป็ นไป
ตามสมการ
Pd Ps
H H as H ad hls hld
( . )
5-8
Pd
Ps Had
Has
P
Pd Ps (. )
H H as H ad hls hld
ตัวอย่างที การคํานวณเฮดในระบบสูบนํา
จากรูปเป็ นระบบสูบนําแห่งหนึง จงคํานวณหาค่า
. Dynamic Suction Head ของระบบสูบนํานี ( . ม.)
. Dynamic Discharge Head ( . ม.)
. Total Dynamic Head ( . ม.)
5-9
. ม.
P
. ม..
hls = 0.67 m.
วิ ธีทาํ
. Dynamic Suction Head = Static head + Friction loss ของท่อดูด
= 2.50 + 0.67 ม.
= 3.17 m.
วิ ธีทาํ
5-10
จากสมการที . - .
Pd Ps
H H as H ad hls hld
Has = เฮดสถิตด้านดูด
= - 6.0 + 7.60 (ความดัน 22 นิวปรอท ตํากว่าความดันบรรยากาศ) = 1.60 เมตร
Had = เฮดสถิตด้านท่อส่ง
= 15.0 + 7.0 (ความดันในถังด้านส่ง) = 22.0 เมตร
hld + hls = ค่าการสูญเสียเฮดเนืองจากความฝืดทังท่อดูดและส่ง = 6.70 เมตร
. การคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา
. . ข้อมูลทีต้องการ
ในการคํานวณกําลังของเครืองสูบนํา ประกอบด้วย
. อัตราการสูบนําทีต้องการ (Pump flow rate)
. เฮดรวมทีเครืองสูบนําต้องทํางานให้ได้ (Total Dynamic Head) (ศึกษาวิธกี าร
คํานวณจากหัวข้อที ) ทังนีค่าเฮดทีต้องการให้เครืองสูบทํางานจะขึนอยูก่ บั
-ระดับความสูงตําทีต้องการสูบนําส่งไปให้
-ความลึกของแหล่งนําทีต้องการสูบ
-ความดันใช้งานของอุปกรณ์จ่ายนําต่างๆเช่นหัวจ่ายนําในระบบการให้นําแบบสปริง
เกลอร์ แรงดันทีหัวฉีดนําสําหรับดับเพลิง เป็ นต้น
QH
WHP (. )
3956
QH
หรือ WHP
102
หรืออาจคํานวณ จากสูตร
QH
WHP (. )
273
-2
100QH
BHP (. )
3956
WHP
BHP ( . )
5.53 สรุปขันตอนการคํานวณหากําลังของเครืองสูบนํา
ในการคํานวณหากําลังของเครืองสูบนําทีจะใช้สบู นําเพือให้ได้อตั ราการสูบและสามารถยกนําให้
ส่งไปยังระดับต่างๆตามทีต้องการ (Head) มีขนตอนการคํ
ั านวณพอสรุปได้โดยสังเขป ดังนีคือ
1.เริมจากการคํานวณ ออกแบบระบบท่อส่งนําซึงจะได้ชนิดท่อทีใช้ ขนาดท่อทีใช้ ความยาวท่อ
แนวต่างๆ ค่าความดันใช้งาน(Working Pressure)ของระบบท่อระบบนีรวมทังระดับของท่อทีจุดต่างๆ
เทียบกับจุดศูนย์กลางของเครืองสูบนํา และอุปกรณ์ประกอบทังหมดในระบบท่อ
2.ข้อมูลทังหมดทีมีของระบบท่อในข้อ 1. จะนํามาใช้ในการคํานวณหาเฮดรวม (Total Dynamic
Head, TDH) ของระบบท่อดังกล่าว
3. จากค่า TDH ทีได้ในข้อที 2. พร้อมกับทราบข้อมูลอัตราการสูบทีต้องการ(Q) นําไปคํานวณ
กําลัง(แรงม้า)ของเครืองสูบทีต้องการ
4. สมมติคา่ ประสิทธิภาพของเครืองสูบทีคาดว่าจะเป็ น (สมมติจากข้อมูลเครืองสูบนําทัวๆไปที
ให้ค่าประสิทธิภาพ) นําไปคํานวณหาค่ากําลังของต้นกําลังทีต้องการนํามาใช้ขบั เคลือนเครืองสูบนํา
-3
WHP
จากสูตร BHP
บทที
การติ ดตังเครืองสูบนํา
. ข้อมูลเกียวกับเครืองสูบนําเพือประกอบการพิ จารณาเลือกใช้งาน
. . ประเภทของเครืองสูบนี จะเลือกใช้
ในการทีจะเลือกใช้เครืองสูบนําประเภทไดนามิกส์ ในการตัดสินใจว่าควรเป็ น Radial flow
Axial flow หรือ Mixed flow นัน อาจใช้ขอ้ มูลตามตารางที . ประกอบ
. . การเลือกใช้ความเร็วรอบของเครืองสูบนํา
. เริมต้นจาก ทําการกําหนดค่าความเร็วจําเพาะทีเหมาะสมตาม Head และ Q ทีต้องการ
. จากนันคํานวณค่าความเร็วรอบ ตามสมการ
3
N H 4
N s
1
Q 2
กรณี เฮดปานกลาง
-จะใช้แบบ Mixed Flow ใช้กบั เฮดตังแต่ - เมตร
-กรณีเป็ นเครืองสูบแบบหอยโข่งแบบเพลานอนใบพัดแบบ Mixed Flow เฮด เมตร สําหรับงาน
ชลประทาน งานระบายนํ าและอุตสาหกรรม
-กรณีเครืองสูบแบบหอยโข่งแบบเพลาตังใบพัดแบบ Mixed Flow เฮด เมตร สําหรับงานประปา
งานชลประทาน งานกําจัดนําเสีย ระบายนํา และงานอุตสาหกรรม
-เครืองสูบนําแบบเพลาตังมีครีบผันนํา เฮด เมตร สําหรับงานประปา งานชลประทานระบบท่อ
กรณี เฮดตํา
-ใช้สาํ หรับงานทีต้องการอัตราการสูบสูง ใช้ใบพัดแบบ Mixed Flow หรือ Axial Flow
. ใบพัดแบบ Mixed Flow เฮด – เมตร (แบบเพลานอน) งานสูบนําดิบ งานชลประทาน
ระบายนํา งานหล่อเย็น
. ใบพัดแบบ Axial Flow เฮดไม่เกิน – เมตร (แบบเพลานอน) สําหรับงานระบายนํา
ชลประทาน และอุตสาหกรรม
นิยมใช้กบั บ่อนําใต้ดนิ แต่กม็ ที นิี ยมใช้กบั แหล่งนํ าประเภทหนอง คลอง บึงต่างๆโดยการติดตังก็ทาํ โดย
วางตัวเครืองลงไปยังก้นแหล่งนําและทําการยึดตัวเครืองไว้กบั หลักหรือตอม่อเพือให้อยู่กบั ที เครืองสูบ
ชนิดจุ่มมีขอ้ ดีคอื ไม่ตอ้ งการการเติมนําเข้าตัวเครืองก่อนการสูบทีเรียกว่า การล่อนํา (Prime) ทังนี
เนืองจากตัวเครืองสูบจมอยู่ในนําอยูแ่ ล้วรูปที - เป็ นภาพอย่างง่ายแสดงการติดตังเครืองสูบชนิดจุ่ม
ท่อจ่ายนําไปยังพืนที
ตัวเครืองสูบนําแบบจุม่
พร้อมมอเตอร์
มอเตอร์
เพลาภายในท่อ
ใบพัดหลายชัน
ข้อจํากัด
. มีขดี จํากัดของระยะดูด ไม่ควรเกิน เมตร ( ฟุต)
. ต้องมีการเติมนําก่อนสูบ (priming)
3. ก่อนเดินเครืองสูบหากนําไม่เต็มเครืองสูบจะทําความเสียหายให้กบั เครืองสูบ
. เมือเดินเครืองสูบนําในสภาพทีเฮดรวม (TDH) ตํากว่าทีออกแบบไว้ จะมีผลทําให้มอเตอร์
ทํางานหนัก(overload)
) เครืองสูบแบบเทอร์ไบน์ แนวดิ ง (Vertical Turbine Pump)
ข้อดี
. เหมาะใช้งานสูบนําสําหรับบ่อบาดาล
. เป็ นเครืองสูบทีให้เฮดรวมและอัตราการสูบ และมีประสิทธิภาพ สูง
. ใช้ได้ทงกั
ั บต้นกําลังชนิดเครืองยนต์และไฟฟ้ า
4. ไม่ตอ้ งมีการเติมนําก่อนการสูบ
. ใช้งานได้ดกี บั สภาพทีระดับนําในบ่อสูบขึนๆลงๆ
ข้อจํากัด
. มีความยุ่งยากในขันตอนการติดตัง การตรวจสอบและซ่อมบํารุง
. ราคาค่าลงทุนเริมต้นสูง
. ต้องมีการปรับปรุงใบพัดสมําเสมอ เพือให้เครืองสูบทํางานอย่างมีประสิทธิภาพสูง
. การบํารุงรักษาและการซ่อมแซม มีราคาแพง
) เครืองสูบนําแบบจุ่ม (Submersible Pump)
-7
ข้อดี
. ใช้ได้ดกี บั บ่อบาดาลทีลึกมากๆ
. สามารถใช้ได้กบั บ่อบาดาลทีมีลกั ษณะคดงอได้
. ติดตังง่าย
. เครืองสูบทีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า จะมีราคาถูกกว่า
ข้อจํากัด
1. ขนาดใหญ่ขนึ ราคาจะแพงมากขึนตาม
. ใช้ได้เฉพาะกับต้นกําลังทีใช้ไฟฟ้ าเท่านัน
. มีผลกระทบจากฟ้ าแลบ ฟ้ าผ่าได้งา่ ย
. ต้องให้มนี ําไหลผ่านมอเตอร์ (Water movement past motor is required)
. ท่อดูดและอุปกรณ์
โดยทัวไปท่อดูด (Suction Pipe) มีความสําคัญต่อการทํางานของเครืองสูบนํามากกว่าท่อ
ด้านส่ง(Discharge Pipe)ทังนีเพราะว่าจะต้องไหลจากท่อดูดเข้าไปสูเ่ ครืองสูบนํา ปัญหาต่างๆทีเกิดขึน
ทางท่อดูด เป็ นต้นว่าขนาดเล็กเกินไปมีรอยรัวตามข้อต่อ หรือปั ญหาอืนๆ ต่างก็มผี ลไปถึงประสิทธิภาพ
การทํางานของเครืองสูบทังสิน ในการออกแบบระบบสูบนํา สิงทีจะต้องพิจารณาทางด้านดูดของเครือง
สูบก็มลี กั ษณะและขนาดของท่อ อุปกรณ์ทปลายท่ี อดูดและการติดตังท่อดูดและอุปกรณ์
) ลักษณะของท่อดูด
กฎเกณฑ์โดยทัวๆไปสําหรับกํา หนดลักษณะและขนาดของท่อดูดมีดงั นีคือ
.จะต้องเป็ นท่อแข็ง หรือพลาสติกทีมีการเสริมกําลังหรือแข็งแรงพอทีจะไม่แบนตีบเนืองจาก
ความกดดันของบรรยากาศในขณะทีปั มกําลังทํางาน
.จะต้องมีขนาดไม่เล็กกว่าขนาดหน้าจานทางด้านดูดของปั ม และถ้าหากเป็ นไปได้ควรจะมี
ขนาดโตกว่า ขนาดมาตรฐาน เช่น ขนาดท่อมาตรฐาน , , , และ มิลลิเมตร ถ้า
ขนาดหน้าจานทางดูดของปั มเท่ากับ มม. ก็ควรจะใช้ทอ่ ดูดขนาด มม.หรือโตกว่าเป็ นต้น ไม่ใช้
ท่อดูดทีมีขนาดเล็กกว่าขนาดของหน้าจานทางดูดของปั มอย่างเด็ดขาด ในกรณีทใช้ ี ทอ่ ดูดโตกว่าหน้า
จานทางดูด ข้อลด (Reducer) ทีใช้เชือมต่อต้องเป็ นข้อลดแบบคางหมู (Eccentric Reducer) เพือ
ป้ องกันไม่ให้เกิดโพรงอากาศในบริเวณทีมีการลดขนาดนัน
.ความเร็วของการไหลในท่อดูดจะต้องไม่เกินกว่าทีกําหนด เช่น ท่อดูดทีมีขนาด มม. (
นิว) ความเร็วของนําในท่อจะต้องไม่เกินประมาณ . เมตรต่อวินาที ( ฟุตต่อวินาที) หรือถ้าจะใช้ท่อ
ดูดขนาด มม. อัตราการสูบจะต้องไม่เกินประมาณ ลิตรต่อวินาทีเป็ นต้น
4.การเปลียนทิศทางของท่อดูดควรจะใช้อปุ กรณ์ทมีี รศั มีความโค้งโต และการต่ออุปกรณ์ท่อ
ต่างๆจะต้องแน่นสนิท อากาศจากภายนอกซึงมีความดันประมาณ บรรยากาศไม่สามารถผ่านเข้าไป
ได้
-8
) อุปกรณ์ ทีปลายท่อดูด
อุปกรณ์ ทปลายท่
ี อดูดนันมีไว้เพือวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึงหรือหลายอย่างรวมกัน คือ
.เพือช่วยให้ของเหลวไหลเข้าไปในท่อดูโอย่างสมําเสมอ มีการสูญเสียพลังงานน้อย อุปกรณ์
ตารางที - การเลือกใช้ขนาดท่อดูดตามค่าอัตราการสูบขนาดต่างๆ
. . การคํานวณค่า NPSHa
คํานวณได้จากสูตร ต่อไปนี
เมือ
Ha = ค่าความดันสัมบูรณ์ทผิี วของเหลว
= ความดันเกจบริเวณผิวของเหลว + ความดันบรรยากาศบริเวณผิวของเหลว
hs = เฮดทางด้านดูดวัดเทียบจากระดับศูนย์กลางใบพัด มีคา่ เป็ น ลบ เมือจุด
ศูนย์กลางเครืองสูบอยูเ่ หนือผิวของเหลวทีจะทําการสูบ
hl = การสูญเสียเฮดเนืองจากการไหลผ่านท่อดูด
hva = เฮดความดันของไอนําอิมตัว
hv = เฮดความเร็วของท่อดูด
ค่าความดันไอนํา
ความดันบรรยากาศ
ค่าเฮดสถิตด้านดูด
ค่าเฮดความเร็ ว
ค่า NPSHa
เพือความสะดวกอาจใช้สมการต่อไปนีหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างความดันบรรยากาศ กับระดับ
พืนโลก โดยสมการแรกเป็ นความสัมพันธ์แบบเชิงเส้นตรง ส่วนอีกสมการเป็ นความสัมพันธ์แบบ
exponential
อุณหภูมิ 0 10 20 30 40 60 80 100
(องศา C)
ความดันไอนํา 0.06 0.13 0.24 0.43 0.75 2.03 4.83 10.30
(ม.)
17.27T
hva 0.0623 exp( ) (.)
T 237.30
เมือ
Ns = ความเร็วจําเพาะด้านดูด ( – (จุดทีใบพัด
ทํางานได้ประสิทธิภาพสูงสุด))
N = ความเร็วรอบของใบพัด(รอบ/นาที)
Q = อัตราการสูบ (แกลลอน /นาที)
-4
4
N Q 3
NPSH
r
N s
แทนค่า
Ns = ความเร็วจําเพาะด้านดูด ( – (จุดทีใบพัดทํางานได้
ประสิทธิภาพสูงสุด)) ในทีนีใช้เท่ากับ รอบ /นาที
N = ความเร็วรอบของใบพัด เท่ากับ รอบ /นาที
Q = . ลบ.ม./นาที = . gpm (US.)( cum = 264.17 gpm)
ได้ NPSHr = . ฟุต = . เมตร ตอบ
NPSH a H a hs hl hva hv
แทนค่า
Ha = ค่าความดันบรรยากาศ = . ม.
hs = เฮดทางด้านดูดวัดเทียบกับระดับศูนย์กลางใบพัด มีคา่ เป็ น ลบ เมือปั ม
อยูเ่ หนือผิวของเหลว ดังนัน กรณี hs = + . ม.
hl = การสูญเสียเฮดเนืองจากการไหลผ่านท่อดูด = . ม.
hva = เฮดความดัน ของไอนํ าอิมตัว = . ม.
hv = เฮดความเร็ว = V2/2g = . ม.
ได้ NPSHa = . ม.
. . วิ ธีการเพิมค่า NPSHa
เพือลดปั ญหาการเกิดคาวิเตชันในตัวเครืองสูบ ทําได้โดยการเพิมค่า NPSHa ขึน โดยมีวธิ กี าร
ดังนี
.เพิมขนาดของท่อดูดให้มขี นาดใหญ่ขนจนค่ ึ าความเร็วการไหลผ่านท่อดูด มีคา่ . ม. ต่อ
วินาที การเพิมขนาดท่อจะทําให้คา่ การสูญเสียเฮดมีคา่ ลดลง (hl ลดลง)
.ลดอุปกรณ์ทางด้านท่อดูดให้มนี ้อยทีสุดเท่าทีจะทําได้ เช่นข้อต่อ ข้องอ ข้อโค้ง ต่างๆเป็ นต้น
จะทําให้ลดค่าการสูญเสียเฮดของท่อด้านดูดลง
.ถ้าเป็ นไปได้ควรติดตังให้ตวั เครืองสูบอยูต่ ากว่
ํ าระดับผิวนําในบ่อสูบ หรือพยายามให้ระยะ
ระหว่างจุดศูนย์กลางเครืองสูบกับระดับนํ าในบ่อสูบสันทีสุดเท่าทีจะเป็ นไปได้ กรณีแรกจะทําให้คา่ hs
มีคา่ เป็ นบวก ส่วนกรณีหลังจะทําให้ระยะ hs มีคา่ น้อยลง
.ในกรณีสบู นําจากถัง หากสามารถทําได้ให้เพิมค่าความดันในถังขึน แต่ตอ้ งควบคุมความดัน
ในถังให้มคี ่าตํากว่าระดับนําในถัง กรณีเป็ นการทําให้คา่ Ha เพิมขึน
. การต่อเครืองสูบนํา
. . การต่อเครืองสูบนําแบบอนุกรม (Pump in series)
เมือนําเครืองสูบนํามากกว่าหนึงตัวทีลักษณะคล้ายคลึงกัน (Similar pump) มาต่อกันในลักษณะ
เป็ นอนุกรม(Series) กล่าวคือนําปลายท่อด้านจ่ายของเครืองสูบตัวใดๆไปต่อเข้ากับปลายท่อด้านดูดของ
เครืองสูบอีกตัว ผลการทํางานทีได้จากเครืองสูบชุดดังกล่าว มีดงั นี
-อัตราการสูบทีผ่านเครืองสูบแต่ละตัวจะมีคา่ เท่ากัน
-เฮดทีได้มคี า่ เท่ากับเฮดทีได้จากทังเครืองสูบแต่ละตัว รวมกัน
ประเด็นทีต้องนํามาพิจารณาหากจะต่อเครืองสูบนําแบบขนานคือ
.เครืองสูบทุกตัวจะให้เฮดออกมาเท่าๆกัน ก็ต่อเมือเครืองสูบทุกตัวเดินเครืองด้วยความเร็วรอบเท่ากัน
และมีขนาดใบพัดเท่ากัน
.ในทางปฏิบตั เิ ครืองสูบสองตัวทีต่อขนานกันจะให้อตั ราการสูบน้อยกว่าอัตราการสูบทีคิดจากเครืองสูบ
แต่ละตัวรวมกัน เนืองจากในระบบมีคา่ การสูญเสียเกิดขึน (ในทางทฤษฎีถอื ว่าเมือต่อแบบขนาน อัตรา
การสูบ ทีได้เท่ากับอัตราการสูบทีได้จากแต่ละเครืองรวมกัน)
. . สมการที ใช้เมือมีการต่อเครืองสูบ
จากทีกล่าวไปแล้วเมือนําเครืองสูบตังแต่สองตัวขึนไปมาต่อกันไม่ว่าจะเป็ นแบบอนุกรมหรือแบบ
ขนาน สามารถสรุปเป็ นสมการสําหรับคํานวณผลการทํางานของเครืองสูบทีได้จากการนําเครืองสูบมาต่อ
กันดังนี
รูปที - ลักษณะการต่อเครืองสูบแบบอนุกรม
H T ( H 1 H 2 .......) (.)
QT (Q1 Q2 .......) (.)
( H 1 H 2 .....)
(.)
H H
( 1 2 .....)
1 2
Q( H 1 H 2 ....)
P (.)
550
-8
Q1 H1 เครื องสู บ
QT HT
Q2 H2 เครื องสูบ
รูปที - ลักษณะการต่อเครืองสูบแบบขนาน
H T ( H 1 H 2 .......) (. )
QT (Q1 Q2 .......) (. )
(Q1 Q2 .....)
(. )
Q Q
( 1 2 .....)
1 2
H (Q1 Q2 ....)
P (. )
550
) การกําหนดขนาดและรูปร่างของสถานี สบู นํ า
ปั จจัยทีใช้พจิ ารณากําหนดขนาดและรูปร่างของสถานีสบู นําประกอบด้วย
( ) ชนิดและขนาดของเครืองสูบนําทีใช้รวมทังอุปกรณ์ประกอบ
( ) ขนาดของท่อดูด (Suction bore)
( ) ตําแหน่งและขนาดของบ่อสูบ (Pump sump)
( ) ระยะห่างระหว่างเครืองสูบทีเหมาะสมต่อการปฏิบตั งิ าน
( ) ขนาดความกว้างและความสูง ทีพอเพียงต่อการขนย้ายเครืองสูบและอุปกรณ์เข้าหรือออกจากอาคาร
( ) ขนาดความสูงต้องพอเพียงต่อการใช้ Overhead travelling crane สําหรับการยกชินส่วนทียาวทีสุดได้
( ) คํานึงถึงระดับความสูงของ Motor floor ทีเพียงพอต่อการป้ องกันนําท่วม
) นําหนักทีกระทําบนสถานี สบู นํา
การออกแบบโครงสร้างของตัวสถานีสบู นํา จะต้องทราบถึงนําหนักบรรทุกและแรงทีกระทําต่อโครงสร้างต่างๆ
ตังแต่ฐานรากจนถึงหลังคาของอาคาร ชนิดของแรงกระทํากับสถานีสบู นํา มีดงั นี
.แรงกระทําลงสูฐ่ านรากของโรงสูบนํา ประกอบด้วย
ก) นําหนักของตัวเครืองสูบนําและส่วนประกอบทังหมด
ข) นําหนักทีเพิมขึนขณะมีการเดินเครืองสูบนํา (Equipment operation load) ถือเป็ นประเภท
นําหนักบรรทุกเคลือนไหว ( Dynamic load ) ทีเกิดขึนในขณะเครืองสูบนําทํางาน โดยปรกติจะคิดเพิมขึนอีก
เปอร์เซ็นต์ของนําหนักเครืองสูบรวมกับอุปกรณ์และนําหนักนําในท่อ
ค) นําหนักของตัวอาคารสถานีสบู นําเหนือฐานรากทังหมด
ง) นําหนักจรต่างๆ (Live load) โดยปรกติจะใช้ดงั นี
- กิโลกรัม ต่อ ตารางเมตร สําหรับห้องควบคุม
- กิโลกรัม ต่อ ตารางเมตร สําหรับ ห้องเครือง
. แรงกระทําด้านข้างต่อโครงสร้างอาคาร ได้แก่ แรงดันนําและแรงดันดิน
. แรงกระทําแบบกระแทก (Impact) ทีรางเครน (Crane way) มีวธิ คี ดิ ดังนี
-แรงในแนวดิงให้คดิ เพิมอีก % ของแรงทีเกิดขึนจริงสูงสุดทีล้อเครน (Maximum wheel
load)
-แรงทางขวาง คิดเพิมขึน % ของนําหนัก Trolley รวมกับนําหนักทียก
-แรงทีเกิดขึนตามยาวบนราง ให้คดิ เพิมขึน % ของแรงทีเกิดขึนจริงสูงสุดทีล้อเครน (Maximum
wheel load)
รูปที - ลักษณะของบ่อสูบทีเหมาะสมและไม่เหมาะสม
มากขึนก่อนทีจะไหลถึงท่อดูด ลักษณะของตะแกรงกันสวะคือจะต้องมีความโปร่ง(หมายถึงมีระยะห่างของช่องตะแกรง)
มากพอสมควร ค่าความโปร่งของตะแกรงคํานวณด้วยสูตร ดังนี
Aw
Vs (.)
As
เมือ
Vs = ค่าความโปร่งของตะแกรงกันสวะ
Aw = พืนทีหน้าตัดของนําทีทังหมดทีไหลผ่านตะแกรง (ตร.ม.)
As = พืนทีหน้าตัดของตะแกรงส่วนทีเป็ นพืนทีทึบของเนือวัสดุททํี าตะแกรงนัน
(ตร.ม.)
โดยทัวไปค่าความโปร่งของตะแกรงควรมีคา่ อยูร่ ะหว่าง . - . หากค่าความโปร่งน้อยกว่า . แสดง
ว่าตะแกรงทึบเกินไป ผลทีตามมาคือเกิดการสูญเสียเฮดของนํามากขึนเมือมีการไหลผ่านตะแกรงนัน ในทางตรงกัน
ข้ามหากตะแกรงมีคา่ ความโปร่งมากกว่า . การสูญเสียเฮดจะน้อยลงแต่ความสามารถในการทีตะแกรงจะช่วยปรับ
สภาพความเร็วของการไหลก็จะน้อยลงตามไปด้วย
สูตรการคํานวณค่าการสูญเสียเฮด (Head Loss) เมือมีการไหลผ่านตะแกรงมีดงั นี
4
t v 21
h f sin ( ) 3 (.)
b 2g
เมือ
Hf = ค่าการสูญเสียเฮดทีตะแกรงกันสวะ (ม.)
= ค่าสัมประสิทธิ ตามรูปที........ (มีค่าอยู่ระหว่าง . – . )
= มุมทีตะแกรงเอียงทํามุมกับแนวราบ (องศา) (มีค่าระหว่าง – องศา)
t = ความหนาของตะแกรง (มม.) (มีคา่ ประมาณ – มม.)
b = ระยะระหว่างช่องซีตะแกรง (มม.) (มีค่าประมาณ - มม.)
V1= ความเร็วของนําก่อนถึงตะแกรง (ม.ต่อ วินาที)
g = อัตราเร่งเนืองจากแรงโน้มถ่วงของโลก ( . ม.ต่อ วินาที ต่อ วินาที)
ค่า hf ทีออกแบบควรมีคา่ อยูร่ ะหว่าง . – . เมตร สําหรับตะแกรงแบบธรรมดา และมีคา่ ระหว่าง
. – . กรณีเป็ นตะแกรงแบบอัตโนมัต ิ
6-7
)คลองชักนํา(Intake channel)
การนํานําเข้ามาสูบ่ อ่ สูบนําทําได้ วิธคี อื ขุดคลองชักนําจากแหล่งนําเข้ามายังบ่อสูบนํา หรือโดยการถมดิน
บริเวณทีจะตังเครืองสูบนําเข้าไปใกล้กบั แหล่งนํา ทังนีจะต้องพิจารณาจากลักษณะภูมปิ ระเทศและราคาค่าก่อสร้างเป็ น
สําคัญ กรณีทเป็
ี นคลองชักนํามีเกณฑ์การพิจารณาดังนี
)บริเวณปากคลองชักนํา ในกรณีทชัี กนําจากแม่นําหรือคลองธรรมชาติจะต้องเป็ นบริเวณทีไม่มกี ารตกตะกอนและ
มีตลิงของแม่นําหรือคลองธรรมชาติทมัี นคง มีปริมาณนําเพียงพอและสมําเสมอเพือชักนํามาสูบ่ ่อสูบได้
)มีสภาพภูมปิ ระเทศทีเหมาะสมไม่เป็ นทีสูง ๆ ตํา ๆ เพือลดปริมาณดินขุดดินถม
)ความเร็วของนําในคลองชักนําไม่ควรเกิน . ม./วินาที เพือป้ องกันการกัดเซาะ
Vo = C.dm (.)
m คือ ค่าเลขยกกําลัง = .
เสถียรภาพของชันดิน กรณีทอาคารรั
ี บนําวางอยูบ่ นชันดิน การวิเคราะห์เสถียรภาพของชันดินจะใช้วธิ ี
ของ Bishop's Simplified Method โดยการคํานวณหาค่าปลอดภัย (Factor of Safety) ดังนี
1 sec
F.S = cb (W Ub) tan (6.4)
W sin tan tan
1
FS
6-8
w
N = 2.g (.)
w
g = . ม./ วินาที
D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหินเรียง (เมตร)
E = . สําหรับการเรียงในลักษณะหินทิง
Vb 2.57 d (.)
D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหินเรียงทีจะเลือกใช้ (นิว)
1
Vb d1 S 1 (.)
2
โดยที Vb = ความเร็วของกระแสนําทีพืนของร่องนํา (ฟุต ต่อ วินาที)
d1 = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหินเรียงทีจะเลือกใช้ (นิว)
S = ความถ่วงจําเพาะของหินทีจะใช้
) ความยาวอย่างน้อยของหินเรียงด้านเหนือนํา
Lr = D (.)
n ชนิดของวัตถุและผิวสัมผัสระหว่างนํากับตัวอาคารหรือผิวคลอง
. ผิวคอนกรีตดาดคลอง
. ผิวท่อคอนกรีตทีหล่อกับที
. ผิวท่อคอนกรีตทีหล่อสําเร็จ
. คลองดินขุดใหม่
. ท่อโลหะทัวไป
1
2. ส่วนประกอบของไฮดรอลิคแรม
ไฮดรอลิคแรมมีส่วนประกอบสําคัญดังแสดงในรูปที1คือ (1) ท่อส่งนําเข้าไฮดรอลิคแรม(Drive Pipe) (2) ถังรับ
นํา(Valve Box) (3) วาล์วทิงนํา (Waste Valve) ซึงสามารถปิ ดเปิ ดโดยอัตโนมัตเิ พือเพิมแรงดันในถังรับนําตามหลัก
Water Hammer (4) วาล์วป้ องนําไหลย้อนกลับ (Check Valve) หรือวาล์วส่งนํา (Delivery Valve) ซึงเชือมต่อกับถัง
แรงดัน (5) ถังแรงดัน(Pressure Chamber) รับนําจากถังรับนําเมือความดันนําในถังรับนําสูงขึนอันเนืองจาก
ปรากฏการณ์ Water Hammer (6) ท่อจ่ายนํา (Delivery Pipe) เพือนํานําไปใช้ประโยชน์
ส่วนประกอบสําคัญของไฮดรอลิคแรมคือวาล์วทิงนํา ซึงต้องมีกลไกให้ปิด-เปิ ดได้อย่างอัตโนมัต ิ ตามแรงดัน
นํา เมือเมือแรงดันนําในถังรับนําสูงพอ วาล์วจะเปิ ด ทําให้นําไหลผ่านวาล์วถือเป็ นนําทิง (Waste Water) เมือวาล์วทิง
นําเปิ ด ความดันในถังรับนําจะลดลง เมือแรงดันลดลงถึงระดับหนึงวาล์วจะปิ ดอย่างรวดเร็ว ทําให้เกิดปรากฏการณ์
Water Hammer ความดันนําในถังรับนําจะเพิมขึน ทําให้นําไหลผ่าน Check Valve เข้าสู่ถงั แรงดัน วาล์วทิงนําจะ
ทํางานปิ ด-เปิ ดหมุนเวียนต่อเนืองเป็ นจังหวะอย่างต่อเนืองเพือทําการสูบนํา รายละเอียดวาล์วทิงนําแสดงอยูใ่ นรูปที 2
(คมเดชและคณะ. 2557)
2
รู ปที - รายละเอียดไฮดรอลิคแรม
3. หลักการทํางานของไฮดรอลิ คแรม
𝑄 =𝑄 (7.1)
𝑄 =𝑄 (7.2)
เมือ QW = อัตราการสูญเสียนําผ่านวาล์วทิงนําเฉลียในหนึงช่วงการทํางาน(m3/s)
QD = อัตราการสูบนําเฉลียในหนึงช่วงการทํางาน(m3/s)
Q0= อัตราการไหลของนําในท่อเฉลียในช่วงเวลา t1, t2ตามลําดับ (m3/s)
t1 = ระยะเวลาทีวาล์วทิงนําเปิ ด(s)
t2 = ระยะเวลาทีวาล์วทิงนําปิ ด (s)
𝐸 (%) = 100 ( )
(7.3)
4. ทฤษฎีการคํานวณ
รูปที 7- 4 ไดอะแกรมไฮดรอลิคแรมประกอบการคํานวณ
𝑉 = (7.4)
เมือ
V0 = Steady State Velocity ทีวาล์วทิงนํา (m/s)
H = ความสูงของนําในแหล่งนํา (Supply Head)วัดจากการระดับผิวนําถึงระดับศูนย์กลางของ
วาล์วทิงนํา (m)
C1 = สัมประสิทธิการสูญเสียพลังงานในระบบท่อ ซึงประกอบด้วย Friction Loss และ Minor Losses ใน
ระบบท่อ Minor Losses ทีสําคัญได้แก่ Losses ที Entrance, Valve, Bend, Exit
𝐶 =1+𝐾 +𝐾 +𝐾 +𝑓 (7.5)
6
ถ้าให้ 𝐶 = (7.6)
𝑉 = 𝑉 (7.7)
เมือ
Vm = ความเร็วนําในท่อที Steady State (m/s)
V0 = ความเร็วนําทีวาล์วทิงนําที Steady State (m/s)
AD = พืนทีหน้าตัดของวาล์วทิงนําขณะเปิ ด (cm ) = 𝜋
Euler Equation
( ) ⌈ ⌉
+ + =0 (7.9)
Integrate the above Equation with respect to distance (s) from point 1 to point 2 (หรือ ระยะ L ในรูปที
7-4
7
1 𝜕𝑉 𝜕(𝐻 + ) 𝑓𝑉⌈𝑉⌉
+ + 𝑑𝑠 = 0
𝑔 𝜕𝑡 𝜕𝑠 2𝑔𝐷
1 𝜕𝑉 𝜕(𝐻 + ) 𝑓𝑉⌈𝑉⌉
𝑑𝑠 = − + 𝑑𝑠
𝑔 𝜕𝑡 𝜕𝑠 2𝑔𝐷
𝐿 𝜕𝑉 𝑉 𝑉 𝐿𝑉
=− 𝐻+ + 𝐻+ −𝑓
𝑔 𝜕𝑡 2𝑔 2𝑔 𝐷 2𝑔
At point 2
H2=0
At point 1
H1=H
𝐿 𝜕𝑉 𝑉 𝐿𝑉
=𝐻− −𝑓
𝑔 𝜕𝑡 2𝑔 𝐷 2𝑔
=𝐻− 1+𝑓
After integrating V with respect to s, then the remaining derivative is a function of time only, an
ordinary derivative.
𝑑𝑡 =
ให้ 𝐶 = 1 + 𝑓
8
𝑑𝑡 = (11)
จากสมการที (3), 𝐻 = 𝐶
𝐿 𝑑𝑉
𝑑𝑡 =
𝑔 𝐶 −𝐶
2𝐿 𝑑𝑉
𝑑𝑡 =
𝐶 𝑉 −𝑉
2𝐿 𝑑𝑉
𝑑𝑡 =
𝐶 𝑉 −𝑉
2𝐿 1 𝑉 +𝑉
𝑡= 𝑙𝑛
𝐶 2𝑉 𝑉 −𝑉
𝑡= 𝑙𝑛 (12)
Flow establishment time is infinite and the logarithm does not remain bounded as V approaches Vo.
𝐿 1.99𝑉
𝑡= 𝑙𝑛
𝐶𝑉 0.01𝑉
𝐿
𝑡= 𝑙𝑛(1.99)
𝐶𝑉
.
𝑡= (13)
(1) หลังจากเปิ ดวาล์วจะใช้เวลากีวินาที นําจึงไหลด้วยความเร็ว 99% ของSteady State Velocity ถ้าไม่คดิ การ
สูญเสียพลังงาน
(2) คํานวณข้อ (1) ใหม่ ถ้ากําหนดให้คดิ Friction Loss แต่ไม่คดิ Minor Losses
(3) คํานวณข้อ (2) ใหม่ ถ้าคิด Minor Losses ด้วย กําหนดว่า Entrance Loss Coefficient (KE)=0.5 และ Valve
Loss Coefficient (KV)=5.0
(1) C1=1
2𝑔𝐻 2𝑥9.81𝑥25
𝑉 = = = 22.145 𝑚/𝑠
𝐶 1
5.293𝐿 5.293𝑥3,000
𝑡= = = 717 𝑠
𝐶𝑉 1𝑥22.145
2𝑔𝐻 2𝑥9.81𝑥25
𝑉 = = = 2.335 𝑚/𝑠
𝐶 90
5.293𝐿 5.293𝑥3,000
𝑡= = = 75.56 𝑠
𝐶𝑉 90𝑥2.335
2𝑔𝐻 2𝑥9.81𝑥25
𝑉 = = = 2.266 𝑚/𝑠
𝐶 95.5
5.293𝐿 5.293𝑥3,000
𝑡= = = 73.377 𝑠
𝐶𝑉 95.5𝑥2.266
RIM-D1 x D2 HD
เมือ
D1คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อส่งนํา (Drive Pipe)(in.)
D2คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อจ่ายนํา (Delivery Pipe) (in.)
RIM = Royal Initiated Machine
HD=Hydraulic Ram
ความเร็วนําคงตัวทีวาล์วทิงนํา (V0)
𝑉 = = (14)
.
เมือ
H=ความสูงของนํา (Supply Head) (m)
L=ความยาวท่อ (m)
d=เส้นผ่าศูนย์กลางท่อ (m)
ความเร็วนําสูงสุดในท่อ (Vm)
𝑉 = 𝑉 (15)
AD=พืนทีหน้าตัดวาล์วทิงนํา
Ad=พืนทีหน้าตัดท่อ
จํานวนครังทีไฮดรอลิคแรมทํางานในหนึงนาที หาได้จากสมการ
60
No. of Operating Cyclesper minutes= (18)
t1 t 2
𝑄 =𝜋 𝑡 (19)
12
𝑄 =𝜋 𝑡 (18)
เมือ
Qw = ปริมาณนําทีไหลผ่านวาล์วทิงนําลินทิง (m /min)
QD = ปริมาณนําทีไหลสูบส่งไปใช้งาน (m /min)
d =ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อส่งนํา (m)
ประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการสูบนําของไฮดรอลิคแรม จะสามารถคํานวณได้จากสูตร
( )
𝐸 (%) = 100 ( )
(20)
เมือ E2=ประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการสูบนําของไฮดรอลิคแรม(%)
H=2 m.
L=10 m.
HD=30 m.
𝑑 12.7
𝐴 =𝜋 = 3.14 = 126.6 𝑐𝑚
4 4
2𝑔𝐻 2 𝑥 9.81 𝑥 2
𝑉 = = = 3.68 𝑚/𝑠
1 + 0.024 1 + 0.024 𝑥
.
𝐴 34.5
𝑉 = 𝑉 = 𝑥 3.68 = 1.003 𝑚/𝑠
𝐴 126.6
𝐿𝑉 10 𝑥 1.003
𝑡 = = = 0.51 𝑠
𝑔𝐻 9.81 𝑥 2
𝐿𝑉 10 𝑥 1.003
𝑡 = = = 0.034 𝑠
𝑔𝐻 9.81 𝑥 30
t1+t2=0.51+0.034=0.544 s
𝑑 𝑉 60
𝑄 =𝜋 𝑡
4 2 𝑡 +𝑡
0.127 1.003 60
= 3.14 0.51 = 0.3572 𝑚 /𝑚𝑖𝑛
4 2 0.544
𝑑 𝑉 60
𝑄 =𝜋 𝑡
4 2 𝑡 +𝑡
14
0.127 1.003 60
= 3.14 0.034 = 0.0238 𝑚 /𝑚𝑖𝑛
4 2 0.544
𝑄 0.0238
𝐸 = 100 = 100 = 6.3%
(𝑄 + 𝑄 ) (0.0238 + 0.3572)
𝑄 (𝐻 + 𝐻) 0.0238 𝑥 (30 + 2)
𝐸 = 100 = 100 = 99.9%
(𝑄 + 𝑄 )𝐻 (0.3572 + 0.0238) 𝑥 2
ตารางที 1 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-6 x 2 HD
ยกนําสูง HD(m)
ความสูงของระดับนําที 3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
แหล่งนํา H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 61 40 21 15
2 100 58 41 34 22
3 98 71 56 38 30 24
4 105 82 58 45 36 30
5 138 110 77 62 50 42 32
6 174 140 102 80 67 55 42 34
7 170 124 93 80 68 52 42
8 200 148 117 96 82 63 51
9 172 136 113 97 75 61
10 196 157 130 112 87 71
15
ตารางที 2 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-5 x 1½ HD
ยกนําสูง HD(m)
ความสูงของระดับนําที 3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
แหล่งนํา H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 52 35 19 13
2 85 50 35 27 18
3 137 84 61 48 33 26 20
4 122 89 71 50 39 32 27
5 114 95 68 53 43 37 28
6 148 119 86 67 55 47 36 29
7 148 108 85 70 59 46 38
8 172 126 100 83 71 55 45
9 147 117 97 83 65 53
10 168 134 112 95 75 61
ตารางที 3 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-4 x 1¼ HD
ยกนําสูง HD(m)
3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
ความสูงของระดับนําทีแหล่งนํา H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 40 27 15 10
2 66 38 27 20 13
3 105 64 42 36 25 19
4 93 68 54 38 29 24 20
5 92 73 52 41 33 28 22
6 113 91 66 52 42 36 27 22
7 112 81 64 53 45 35 28
8 131 96 76 64 54 42 34
9 113 90 74 64 49 41
10 128 103 85 73 57 47
ตารางที 4 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-3 x 1 HD
ยกนําสูง HD(m)
ความสูงของระดับนําทีแหล่งนํา 3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 20 14 7 5
2 34 19 14 11 7
16
3 54 33 24 18 13 10
4 47 35 27 19 15 12 10
5 46 37 26 21 17 14 10
6 57 47 34 26 22 18 14 12
7 57 42 33 27 23 17 14
8 67 50 39 32 28 22 17
9 57 46 38 32 25 20
10 65 52 54 37 29 23
ตารางที 5 ความสามารถในการสูบนําชองไฮดรอลิคแรมRIM-2 x ¾ HD
ยกนําสูง HD(m)
ความสูงของระดับนําทีแหล่งนํา 3 5 10 15 20 30 40 50 60 80 100
H(m) ปริมาณนําทีสูบได้QD(l/min)
1 12 8 4 3
2 20 11 8 6 4
3 32 19 14 11 7 5
4 28 21 16 12 9 7
5 27 22 16 12 10 8
6 35 28 20 15 13 11 8
7 35 25 19 17 14 10 8
8 40 30 24 19 16 13 10
9 35 27 23 19 15 12
10 39 31 27 22 17 14
ตารางที 6 อัตราการใช้นําในการขับไฮดรอลิคแรมแบบต่างๆ
ความสูงของระดับนําทีแหล่งนํา H(m)
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
ไฮดรอลิคแรม ปริมาณนําทีไหลผ่านวาล์วทิงนําQw (l/min)
RIM-6 x 2 HD 230 330 404 467 522 575 614 652 686 714
RIM-5 x 1½ HD 196 281 346 400 446 488 533 557 586 610
RIM-4 x 4 x 1¼ HD 150 215 260 305 344 370 402 425 448 466
RIM-3 x 1 HD 77 110 133 155 175 190 206 218 228 238
RIM-2 x ¾ HD 56 66 79 94 104 112 125 130 137 132
17
8. เอกสารอ้างอิ ง
คมเดช พัวพงษ์ไพโรจน์ ธนกฤต หิรญ ั วิบลู ย์ วราวุธ วุฒิวณิ ชย์ และจิระกานต์ ศิรวิ ชิ ญ์ไมตรี ( ). การพัฒนาวาล์ว
ทิงนําของเครืองตะบันนํา. โครงงานวิศวกรรมชลประทาน ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์
กําแพงแสน. น.
Streeter, V.L. and E.B.Wylie (1975). Fluid Mechanics, 6th Edition. McGraw-Hill Kogakusha, Ltd., Tokyo.752 p.
Larock, B.E., Jeppson, R.W. and G.Z Watters (2000).Hydraulic of Pipe Systems. CRC Press LLC, USA.
537p.