Professional Documents
Culture Documents
2557 Fluid Somchai
2557 Fluid Somchai
ผศ.ดร.สมชาย ดอนเจดีย
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
คณะวิศวกรรมศาสตร กําแพงแสนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
คํานํา
วิช ากลศาสตร ของไหลเป น วิ ช าที่ มีความสํ า คั ญอย า งมากต อการเรี ย นของนิ สิ ต นั กศึ กษา ใน
หลั ก สู ต รวิ ศ วกรรมศาสตร ทุ ก สาขา ตํ า ราเล ม นี้ จ ะเน( น เนื้ อ หาที่ เ กี่ ย วข( อ งกั บ วิ ศ วกรรมชลประทาน
วิศวกรรมทรัพยากรน้ํา และวิศวกรรมโยธา เปนหลัก กลศาสตรของไหลคือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม
ของไหลที่สภาวะตาง ๆ อาจแบงได(เปนสองสวนคือสถิตยศาสตรของไหล เปนการศึกษาของไหลในขณะ
หยุดนิ่ง (Fluid Statics) และพลศาสตรของไหล (Fluid Dynamics) เปนการศึกษาของไหลในขณะ
เคลื่อนที่ ของไหลประกอบด(วยกEาชและของเหลว โดยเนื้อหาในตําราเลมนี้จะเน(นการศึกษาการไหลของ
ของเหลวเปนหลัก โดยแบงเนื้อหาออกเปน 7 บท เนื้อหาจะครอบคลุมตามที่สภาวิศวกรกําหนดและได(
เพิ่มเติมเนื้อหาสําหรับนิสิตที่จะต(องเรียนในสาขาวิชาวิศวกรรมชลประทาน วิศวกรรมทรัพยากรน้ําและ
วิศวกรรมโยธา ดังนี้คือ
บทที่ 1 คุณสมบัติของไหล ซึ่งจะกลาวถึงคุณสมบัติที่จําเปนที่ผู(เรียนต(องทราบเพื่อเปนพื้นฐาน
ในการเรียนวิชากลศาสตรของไหล
บทที่ 2 ของไหลสถิต เปนการศึกษาถึงความดัน การวัดความดัน ทั้งความดันสัมบูรณและความ
ดันเกจ แรงที่กระทํากับวัตถุผิวเรียบ และผิวโค(งที่จมอยูในของไหลในขณะที่ของไหลหยุดนิ่งหรือไมมีการ
ไหล
บทที่ 3 สมการควบคุมของการไหล เปนการศึกษาถึงลักษณะการไหล การสร(างสมการควบคุม
การไหล โดยใช(เทคนิคปริมาตรควบคุม และทฤษฎีการเคลื่อนย(ายของเรยโนลด สมการความตอเนื่อง
สมการโมเมนตัมและสมการพลังงาน
บทที่ 4 การวิเคราะหมิติและความคล.ายคลึง เปนการศึกษาถึงการวิเคราะหมิติและการจัดกลุม
ตัวแปรไร(มิติ การใช(หลักความคล(ายคลึงทางด(านชลศาสตรในการสร(างแบบจําลอง การแปรผลจากจําลอง
เปนของจริง
บทที่ 5 การไหลในท2อ เปนการศึกษาถึงลักษณะการไหลในท อปKดภายใต(แรงดัน การหาการ
สูญเสียพลังงานที่เกิดจากการไหลที่ผานทอหรืออุปกรณประกอบทอ การไหลผานระบบทออนุกรมหรือ
ระบบทอขนาน และการวัดอัตราการไหลภายในทอ
บทที่ 6 การไหลในทางน้ําเป5ด เปนการศึกษาลักษณะการไหลในทางน้ําเปKดภายใต(แรงโน(มถวง
ของโลก การคํ า นวณพลั ง งานจํ า เพาะของการไหล และการไหลวิ ก ฤติ การไหลผ า นทางน้ํ า ที่ มี ก าร
เปลี่ยนแปลงระดับท(องน้ํา การคํานวณหาความเร็วและอัตราการไหลที่ไหลผานหน(าตัดการไหลตาง ๆ
และการวัดอัตราการไหลในทางน้ําเปKด
บทที่ 7 เครื่องจักรกลในงานชลศาสตร เปนการศึกษาถึงเครื่องสูบน้ําและกังหันน้ํา
เนื้อหาทั้งหมดจะเปนพื้นฐานสําหรับให(ผู(เรียนในรายวิชาตาง ๆ เชน วิศวกรรมชลศาสตร การ
ออกแบบคลองและอาคารสงน้ํา การออกแบบเขื่อนขนาดเล็กและอาคารสงน้ํา การออกแบบระบบทอและ
ระบบชลประทานภายใต(แรงดันเปนต(น และวิชาอื่น ๆ ที่ต(องใช(ความรู(เรื่องการไหลในการแก(ปMญหาเฉพาะ
ทางในด(านนั้น ๆ ผู(เขียนหวังเปนอยางยิ่งวา ตําราเลมนี้จะเปนประโยชนกับ นิสิต นักศึกษา และผู(ที่สนใจ
ทั่วไป
ผู(เขียนขอขอบพระคุณอาจารยทุกทาน ผู(ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู( ให(คําแนะนําและเปนที่
เป น ที่ ป รึ ก ษาที่ ดี ต ลอดมา คณาจารย บุ ค ลากรของภาควิ ช าวิ ศ วกรรมชลประทานและของคณะ
วิศวกรรมศาสตร กํ า แพงแสน ที่ คอยสนั บสนุ น และช ว ยเหลือในด( านต าง ๆ นิ สิ ต ภาควิ ช าวิศวกรรม
ชลประทานและวิศวกรรมโยธาที่ได(เรียนวิชากลศาสตรของไหลกับผู(เขียน ซึ่งเปนข(อมูลให(ผู(เขียนได(นํามา
ปรับปรุงเอกสารประกอบการสอนจนกลายมาเปนตําราเลมนี้ พี่ เพื่อน และ น(อง ๆ ทุกคนที่คอยสนับสนุน
ผู(เขียน สุดท(ายนี้ผู(เขียนต(องขอบพระคุณ บิดา มารดาและครอบครัวของผู(เขียนที่คอยเปนกําลังใจให(
ผู(เขียนตลอดมา
ผศ.ดร.สมชาย ดอนเจดีย
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
คณะวิศวกรรมศาสตร กําแพงแสน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
15 ธันวาคม 2557
สารบัญ
หน(า
บทที่ 1 คุณสมบัติของไหล 1
นิยามของไหล 1
คุณสมบัติของไหล 2
ความหนาแนน 2
น้ําหนักจําเพาะ 2
ความถวงจําเพาะ 3
ปริมาตรจําเพาะ 3
ความหนืด 4
ความสามารถในการบีบอัดตัวของไหล 13
แรงตึงผิว 14
แบบฝWกหัดท(ายบท 16
บทที่ 2 ของไหลสถิต 21
ความดัน 21
ความดันที่จุดใดจุดหนึ่งในของไหลหยุดนิ่ง 22
การเปลี่ยนแปลงความดันในของไหลสถิต 23
การวัดความดัน 27
แรงดันที่ของไหลกระทํากับผิวระนาบ 42
แรงดันที่กระทํากับผิวระนาบเอียง 43
แรงดันของของไหลบนพื้นผิวโค(ง 48
แรงลอยตัว 53
เสถียรภาพการลอยตัวของวัตถุในของไหล 56
การไหลวนแบบบังคับ 61
แบบฝWกหัดท(ายบท 66
สารบัญ (ตอ)
หน(า
บทที่ 3 สมการควบคุมของการไหล 76
สมการควบคุม 79
ทฤษฎีการเคลื่อนย(ายเรยโนลด 80
สมการกฎการอนุรักษมวล 85
สมการโมเมนตัมเชิงเส(น 93
การหาแรงกระแทกของน้ําบนแผนกั้น 95
สมการพลังงาน 99
สมการของแบรนูลลี 101
แบบฝWกหัดท(ายบท 117
หน(า
บทที่ 5 การไหลในทอ 162
รูปแบบการไหลภายในทอ 162
การไหลชวงทางเข(าและการไหลพัฒนาเต็มที่ 165
การสูญเสียพลังงานภายในทอ 166
การสูญเสียหลัก 167
การสูญเสียรอง 176
การไหลในระบบทอ 185
การตอทอแบบอนุกรม 185
การตอทอแบบขนาน 186
วัดอัตราการไหลในทอ 194
มาตรวัดแบบแผนเจาะรู 196
มาตรวัดแบบทอหัวฉีด 200
มาตรวัดแบบทอเวนจูรี่ 202
มาตรวัดแบบโรตามิเตอร 204
มาตรวัดแบบทอพิโทด 205
แบบฝWกหัดท(ายบท 208
หน(า
สมการควบคุมการไหล 223
สมการความตอเนื่อง 223
สมการโมเมนตตัม 225
สมการพลังงาน 226
พลังงานจําเพาะและการไหลวิกฤต 227
การไหลวิกฤตในทางน้ํารูปสี่เหลี่ยมผืนผ(า 232
การเปลี่ยนแปลงสภาพการไหล 234
การไหลแบบสม่ําเสมอ 240
การคํานวณหาความเร็วการไหลในทางน้ําเปKด 242
ปรากฏการณน้ําโจน 258
การสูญเสียพลังงานในการเกิดปรากฏการณน้ําโจน 261
ประสิทธิภาพของปรากฏการณน้ําโจน 261
ความสูงของปรากฏการณน้ําโจน 261
ความยาวของปรากฏการณน้ําโจน 262
การแบงประเภทของน้ําโจน 262
การวัดอัตราการไหลในทางน้ําเปKด 266
การหาอัตราการไหลผานฝายสันคม 267
ฝายสันคมรูปสี่เหลี่ยม 267
ฝายสันคมรูปสามเหลี่ยม 270
กรณีฝายสันคมรูปสี่เหลี่ยม 271
กรณีฝานสันคมรูปสามเหลี่ยม 271
การไหลลอดผานประตูบานตรง 272
แบบฝWกหัดท(ายบท 277
สารบัญ (ตอ)
หน(า
บทที่ 7 เครื่องจักรกลในงานชลศาสตร 282
เครื่องสูบน้ํา 282
ชนิดของเครื่องสูบน้ํา 282
หลักการทํางานของเครื่องสูบน้ํา 285
กังหันน้ํา 293
กังหันน้ําแบบกระแทก 293
การวิเคราะหหลักการทํางานของกังหัน 295
กังหันน้ําแบบแรงสะท(อน 303
แบบฝWกหัด 305
บรรณานุกรม 308
ภาคผนวก 311
1
บทที่ 1
คุณสมบัติของไหล (Fluid Properties)
สสารนั้นถูกแบงออกเปนสามประเภทด(วยกันคือ ของแข็ง ของเหลว และกEาซ โดยของไหลนั้นจะ
อยูในสถานะของกEาซและของเหลว ของไหลไมสามารถคงรูปอยางถาวรได(หากไมมีภาชนะมาบรรจุ ทําให(
ของไหลต(องมีรูปรางตามตามภาชนะที่บรรจุ ดังนั้นการศึกษากลศาสตรของไหลจึงไมใชการศึกษาของไหล
ที่มีการเคลื่อนที่เพียงอยางเดียว จําเปนต(องศึกษาของไหลทั้งกรณีที่มีการไหลและไมมีการไหล เพื่อเปน
การปูพื้นฐานผู( เรีย น ซึ่งผู( เรี ยนจํ าเปนต( องทราบนิ ยาม และคุ ณสมบัติ ของไหล เพื่อใช( องค ความรู( นี้ใ น
การศึกษาตอไป
เมื่อ γ คือ น้ําหนักจําเพาะ (N/m3) W คือ น้ําหนัก (N) ∀ คือ ปริมาตร (m3) ρ คือ ความ
หนาแนน (kg/m3) g คือ ความเรงเนื่องจากแรงโน(มถวงของโลก (m/s2) เชนเดียวกับความหนาแนน
น้ําหนักจําเพาะของไหลจะไมคงที่โดยจะเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิและความดัน เชน ณ ความดัน 1
บรรยากาศ น้ําที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสจะมีน้ําหนักจําเพาะเทากับ 9,810 N/m3 ซึ่งเปนสภาวะที่น้ํามี
น้ําหนักจําเพาะมากที่สุดเมื่อเทียบกับที่อุณหภูมิอื่น ๆ ณ ความดันบรรยากาศ
3
เมื่อ υ คือ ปริมาตรจําเพาะ (m3/kg) ∀ คือ ปริมาตร (m3) m คือ มวล (kg)
4
m 1, 200
ความหนาแนน ρ= = = 1,261 kg/m 3
∀ 0.952
W 11.77
น้ําหนักจําเพาะ γ= = = 12.36 kN/m 3
∀ 0.952
ρglycerin 1, 261
ความถวงจําเพาะ SG = = = 1.261
ρH O at 4°c 1, 000
2
ความหนืด (Viscosity)
เมื่อของไหลถูกกระทําด(วยแรงเฉือน (Shear Force) จะเกิดแรงต(านทานการไหลเสมอหาก
พิจารณาการหยดของน้ําและน้ํามันเครื่องที่สภาวะอุณหภูมิและความดันเดียวกันพบวาน้ํามันเครื่องจะ
หยดช(ากวาน้ํา ที่เปนเชนนี้เพราะน้ํามันเครื่องมีแรงต(านทานการไหลได(ดีกวาน้ํา แรงต(านทานการไหลนี้คือ
แรงเฉือนที่เกิดขึ้นในแนวขนาน โดยสามารถกลาวได(วา ความสามารถในการต(านทานการเปลี่ยนรูปราง
อันเนื่องมาจากแรงเฉือนนี้เราเรียกวา “ความหนืด” (Viscosity) ไอแซก N(Isaac Newton) นักฟKสิกสชาว
อังกฤษได(บัญญัติกฎความเค(นเฉือนอันเนื่องมาจากการไหลวา ความเค(นเฉือนในเนื้อของไหล ณ จุดใดแปร
ผันโดยตรงกับอัตราการบิดตัวของไหล ณ จุดนั้น หากพิจารณาการไหลของน้ําดังรูปที่ 1.2 ณ ตําแหนงที่ t
และ t+δt จะพบวาอัตราการบิดตัวคือมุม (θ) ที่เปลี่ยนไปในชวงเวลา δt
δθ =
(δv )(δt ) ⇒ δθ =
δv
(1.5)
δy δt δy
เมื่อ τ คือ ความเค(นเฉือน (N/m2) µ คือ ความหนืดสัมบูรณ ของไหล (N⋅s/m2) dv/dy คือ อัตรา
การเปลี่ยนแปลงความเร็ว (v) ตามความลึกการไหล (y) หรือคาความชันของความเร็ว (Velocity
Gradient) หรือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของความเครียดเฉือน จากสมการที่ 1.7 สามารถกลาวได(วา ความ
หนื ด คื อ อั ต ราส ว นระหว า งความเค( น เฉื อ นต อ อั ต ราการเปลี่ ย นแปลงของความเครี ย ดเฉื อ น [
μ = τ (dv dy) ]
6
ข.อกําหนด
- ไมคิดน้ําหนักของแผนเหล็ก
- การไหลอยูในสภาวะสมดุล ทําให(ความเร็วการไหลคงที่และการกระจายความเร็ว
การไหลเปนแบบเชิงเส(นตามความลึกการไหล
วิธีทํา จากข(อกําหนดจะได(
dv
τ=μ หรือ
dy
τ
dv = dy (Ex1.2-1)
μ
τ τ μU
ด(านบน U= h+0 จะได( U= h หรือ τ=
μ μ h
U
นําคา τ และ c ที่ทราบคากลับเข(าไปแทนในสมการ Ex1.2 จะได( v=y ตอบ
h
หาความเค(นเฉือน
dv
จากสมการ τ=μ
dy
d(y(U/h))
τ=μ
dy
U
τ=μ
h
จากสมการความหนืดของนิวตันจะเห็นได(วา ถ(าความหนืดของไหลคงที่ความสัมพันธระหวาง
ความเค(นเฉือนกับความชันของความเร็ว (dv/dy) จะมีลักษณะเปนเส(นตรงที่มีความชันเทากับ µ (รูปที่
1.3) ด(วยเหตุนี้เราจึงสามารถสรุปได(วา ของไหลที่มีคาความหนืดสูง จะต(องใช(ความเค(นเฉือนมากเพื่อที่จะ
ทําให(เกิดการเปลี่ยนแปลงของความเร็ว หรือการเปลี่ยนแปลงของรูปราง
วิธีทํา รูปทั่วไปของสมการพาราโบลาคือ
( v-k ) = c ( y-h )
2
(Ex1.3-1)
( v-6 ) = c ( y-3)
2
(Ex1.3-2)
ณ. ตําแหนงท(องน้ํา y = 0
2
τ = - ×1000×0.9×10-5 ( 2×0-6 ) = 0.036 N/m 2 ตอบ
3
ณ. ตําแหนงผิวน้ํา y = 3
2
τ = - ×1000×0.9×10-5 ( 2×3-6 ) = 0.00 N/m 2 ตอบ
3
Fs = σL w (1.10)
แบบฝ_กหัดท.ายบท
VO
V = VO − 2
y2
D
6. แผนราบแผนหนึ่งมีพื้นที่ที่สัมผัสกับของเหลว 0.1 m2
ถูกดึงให(เคลื่อนที่ไปบนผิวของเหลวในแนวขนานด(วย
ความเร็ว 0.6 m/s ของเหลวหนา 0.03 cm และมีคา
µ = 0.001 kg/m⋅s จงหาแรงดึงที่ใช(กับแผนราบ
7. จากรูปแผนราบมีน้ําหนัก 500 N เคลื่อนที่ลงมา
ตามพื้นเอียง 30º ด(วยความเร็ว 0.25 m/s จงหาความ
หนื ด สั มบู ร ณ (µ) ของของเหลว กํ า หนดแผ น ราบมี
พื้นที่สัมผัสกับของเหลวเทากับ 4 m2
8. ถังทรงกระบอกปริมาตร 0.5 m3 บรรจุกEาซที่ 60ºc ภายใต(ความดันสัมบูรณ 343 x 103 N/m2 ถ(าอัด
อากาศให(มีปริมาตรเปน 0.3 m3 จงหาความดันในถัง เมื่ออุณหภูมิในถังคงที่
9. จงหาคาปKลลารีไรซ ในหลอดแก(วที่จุมในน้ํา ซึ่งมีคาแรงตึงผิว (σ) เปน 71.12 x 10-3 N/m ที่อุณหภูมิ
20ºc ความหนาแนน 998 kg/m3 กําหนด Contact Angle = 0 ºC, เส(นผานศูนยกลางของ
หลอดแก(วเทากับ 3 mm
10.จงหาสูตรที่แสดงผลตางของความดันในฟองสบูทรงกลม โดยให(ใช(สูตรที่หาได(คํานวณแรงตึงผิวของ
ฟองสบูเส(นผานศูนยกลาง 5 cm เมื่อความดันภายในมากกวาความดันบรรยากาศ 1.96 N/m2
11.ของเหลวชนิดหนึ่งมีความหนืดสัมบูรณ µ = 0.048 kg/m⋅s มีความถวงจําเพาะ 0.913 จงหา
Velocity Gradient, dv/dy เมื่อระยะ y หางจากผิวลาง
25, 50, และ 75 mm ตามลําดับ และจงหาคาความเค(น
เนื่ อ งจากแรงเฉื อ นที่ ร ะยะดั ง กล า วด( ว ย กํ า หนดการ
กระจายความเร็วเปนรูปพาลาโบราโดยมีจุดยอดอยูที่จุด
A (ผิวน้ํา) และจุดตั้งต(นที่จุด B (ท(องน้ํา)
12.ของเหลวชนิดหนึ่งถูกอัดในกระบอกสูบมีปริมาตร 1 L ที่ความดัน 1 MN/m2 ตอมาถูกอัดให(มีปริมาตร
995 cm2 ที่ 2 MN/m2 จงหาคาโมดูลัสความยืดหยุน
13.ถ(าคาโมดูลัสความยืดหยุนของน้ําเทากับ 2.2 x 109 Pa จงหาความดันที่ต(องเพิ่มให( เพื่อลดปริมาตรลง
0.6 เปอรเซ็นต
18
14.แรงตึ
แรงตึงผิวของปรอทและน้ําที่อุณหภูมิ 60 ºc เทากับ 0.47 N/m และ 0.0662 N/m ตามลําดับ จงหา
ความสูงแคปปKลลารี่ของไหลทั้งสองในหลอดแก(วรัศมี 0.30 mm โดยมีมุมสัมผัสอากาศ θ =130º
สําหรับปรอท และ 0º สําหรับน้ํา ให(ใช(คาน้ําหนักจําเพาะสําหรับปรอทและน้ําเทากับ 132.3 kN/m3
และ 9.650 kN/m3ตามลําดับ
15.จากรูปเปนลักษณะของการไหลในทางน้ําเปKดที่มีการกระจายความเร็วดังสมการ V = Vmax (y/h)0.5
เมื่อ V คือ ความเร็วการไหลที่ตําแหนงใด ๆ
เมื่อ Vmax คือ ความเร็วสูงสุดการไหลที่ตําแหนง
ผิวน้ํา y คือ ความลึกของน้ําที่ตําแหนงใด ๆ
และ h คือ ความลึกของน้ํา มีคาเทากับ 4 m
จงห าคว ามเค( น เฉื อ นที่ เกิ ด ขึ้ น ที่ ท( อ งน้ํ า
(Bottom) ที่ตําแหนงกึ่ งกลางของความลึ ก
และที่ตําแหนงของผิวน้ํา
16.ทอสงน้ํามัน เส(นผาศูนยกลาง 5 cm สงน้ํามันที่มี
75 x -105 m/2s และ
Kinematic Viscosity เทากับ 0.75
Specific Weight เทากับ 7.9 kN/m3 ถ(าการกระจาย
ตั ว ของความเร็ ว ของไหลในท
ในท อ มี ลั ก ษณะดั ง รู ป โดย
ความเร็วสูงสุดที่กึ่งกลางทอมีคาเทากับ 0.5 m/s จงหา
ความเค(นเฉือนที่เกิดขึ้นบริเวณผนังทอ
17.จากรู
จากรูปเรือแลนอยูในทะเล โดยน้ําทะเลมี Kinematic
Viscosity เทากับ 0.9 x 10-6 m2/s และ Specific
N/m3 ถ(าการกระจายตัวของ
Weight เทากับ 10.3 kN/m
ความเร็วของน้ําทะเลมีมีลักษณะดังรูป ความเร็วของเรือ
มีคาเทากับ 5 m/s จงหาความเค(นเฉือนที่เกิดขึ้น
บริเวณใต(ท(องเรือ
19
18. ของไหลชนิดหนึ่งไหลอยูในทอที่มีขนาด
เส(นผาศูนยกลาง 10 cm โดยลักษณะของความเร็วมี
การกระจายตัวเปนรูปพาราโบลา
พาราโบลาดังรูป ถ(านําของไหล
ชนิดนี้ไปทําการทดสอบในห(องปฏิบัติการปรากฏวา
ของไหลปริมาตร 2 L จะมีมวล 1.75 kg และมี
Kinematic Viscosity เทากับ 4.8x10-5 m2/s จงหา
แรงเฉือนอันเนื่องมาจากความหนืดของไหลที่เกิดขึ้นกับผนังทอ ทุก ๆ ความยาว 1 m
19. แผนเหล็กบางขนาดใหญ
ขนาดใหญเคลื่อนที่ด(วยแรง
4kN/m2 ดังรูปจงหาความเร็วในการเคลื่อนที่
ของแผ น เหล็ ก เมื่ อ รู ป แบบการกระจาย
ความเร็ ว ของไหลเป
เป น แบบเชิ ง เส( น (ไม คิ ด
น้ําหนักของแผนเหล็ก)
20.ระบบเพลามี
ระบบเพลามี รู ป ร า งและขนาดดั ง รู ป ถ( า กระบอก
เพลามีมวล (M) 0.3 kg ความหนืดจลนศาสตรของ
น้ํา มั น (ν) มี คา เท า กั บ 99.0×10-4 m2/s จงหา
ความเร็ ว (V) ของกระบอกเพลาที่ เ คลื่ อ นที่ ล งใน
แนวดิ่งด(วยความเร็วคงที่ (สมมติให(การกระจายตัว
ของความเร็วมีลักษณะเปนเส(นตรง
ตรง)
22. ของไหลชนิดหนึ่งเคลื่อนที่อยูระหวางแผนเรียบย
บยาวมากสองแผนกว(าง 2.5 m ดังรูป โดยแผนทั้งสอง
วางหางกัน 1.0 mm ลักษณะการกระจายความเร็วของไหลเปนรูปพาราโบลา ถ(านําของไหลไปวัดใน
ห(องปฏิบัติการพบวาของ
ไหล 5 Liters จะมีน้ําหนัก
112 N และมีความหนืด
จลนศาสตรเทากับ
3.2x10-5 m2/s จงหาแรง
เฉือนของไหลที่เกิดขึ้นกับ
แผนเรียบทุก ๆ ความยาว 1 m
23. การกระจายความเร็ ว การไหลของน้ํ า ในท อ ที่ ห น( า ตั ด หนึ่ ง เป น ไปตามรู ป และมี ส มการเป น
a D 2
V = − r 2 เมื่อ V คือความเร็วที่ระยะ r, a คือคาคงที่, µ คือความหนืดของน้ํา, D คือเส(น
4µ 4
ผานศูนยกลางทอ และ r คือระยะ
วั ด จากกึ่ ง กลางท อ ที่ ค วามเร็
ามเร็ว ณ
ตํ า แหน ง นั้ น ๆ จงหาผลลั ผลลั พ ธ
ดังตอไปนี้
a. ความเร็วที่ผนังทอ และที่
ระยะ r =D/4
b. ความเค(นเฉือนที่ผนังทอ และที่ระยะ r =D/4
c. จงหาแรงที่น้ํากระทํากับผนังทอในทิศทางของการไหล ตลอดชวงความยาวทอ L
21
บทที่ 2
ของไหลสถิต (Fluid Static)
ของไหลสถิตคือของไหลที่ไมมีการเคลื่อนที่หรือไมมีการไหล เชน น้ําที่บรรจุอยูในแก(ว น้ํามันที่ถูก
บรรจุไว(ในถัง น้ําในสระเก็บน้ํา ปรอทในเทอรโมมิเตอร เปนต(น เมื่อไมมีการไหล การเคลื่อนที่ระหวางชั้น
ของของไหลจึงไมเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไมมีแรงเฉือนเนื่องจากความหนืดของของไหล อนุภาคของของไหลจึง
ได(รับผลกระทบจากความดันและแรงโน(มถวงของโลกเทานั้น เนื้อหาในบทนี้จะได(กลาวถึง พฤติกรรม
พื้นฐานของความดันในของไหลสถิตที่กระทํากับพื้นผิวลักษณะตาง ๆ ทั้งกรณีพื้นผิวจมอยูในของไหล
ทั้งหมดและจมอยูในของไหลบางสวน เพื่อเปนพื้นฐานในการคํานวณหาแรงดันของของไหลที่กระทํากับ
โครงสร(างตาง ๆ และสามารถนําไปประยุกตใช(ในการคํานวณและวิเคราะหปMญหาด(านวิศวกรรมตอไป
ความดัน (Pressure)
แรงที่กระทํากับพื้นผิวสามารถแยกได( 2 กรณี คือ แรงที่กระทําในแนวตั้งฉากกับพื้นผิวเรียกวา
แรงดันและแรงที่กระทําขนานกับพื้นผิวเรียกวาแรงเฉือน หากของไหลอยูนิ่ง แรงที่กระทํากับพื้นผิวจะมี
แตแรงดันเทานั้น แรงดันที่กระทํากับพื้นผิวเกิดขึ้นเนื่องจากความดันของของไหลนั่นเอง ความดันหมายถึง
แรงในเนื้อของไหลที่กระทําในแนวตั้งฉากตอหนวยพื้นที่ จากรูปที่ 2.1 ถ(า dF คือแรงที่กระทําบนพื้นที่
dF
เล็ก ๆ dA บนพื้นที่ A ความดันจะมีคาเปน P= ∫ dA แตถ(าความดันที่กระทํามีคาสม่ําเสมอเทากันทั้งใน
F
พื้นที่ A ความดันจะมีคาเปน P=
A
Px ( dydz ) − Ps ( dydz ) = 0
Px = Ps (2.2)
วิเคราะหในทํานองเดียวกันตามทิศทางแนวแกน z จะสามารถพิสูจนได(วา
Pz = Ps (2.3)
สําหรับกรณีในแนวแกน y สามารถวิเคราะหได(ดังนี้
1
Py ( dxdz ) − Ps ( dxdz ) = γ ( dxdydz )
2
เนื่องจากลิ่มมีขนาดเล็กมากจึงทําให(แรงเนื่องจากน้ําหนักของลิ่มของของไหล ( 12 γ ( dxdydz ) ) มี
ขนาดเล็ ก มากเมื่ อ เปรี ย บเที ย บแรงที่ เ กิ ด ขึ้ น เนื่ อ งจากความดั น ของของไหล จึ ง สามารถตั ด ค า
2 γ ( dxdydz )
1
ออกได(จะได(
Py = Ps (2.4)
รูป ที่ 2.3 แสดงก( อนอนุ ภ าคของไหลทรงลู กบาศก ที่มีขนาดเล็ก โดยกํา หนดให(ความดั น ที่
จุดศูนยถวง (Center of Gravity, C.G, ตําแหนงกึ่งกลางก(อนของไหล) มีคาเทากับ P ดังนั้นจึงมีแรงที่
กระทํากับของไหลรูปลูกบาศกอยู 2 ชนิดคือ แรงที่กระทํากับผิว (Surface Force) และแรงเนื่องจากก(อน
ของของไหล (Body Force) ซึ่งมีคาเทากับน้ําหนักของก(อนของของไหล
พิจารณาแรงที่กระทํากับผิวของก(อนของไหล
∂p
δFx = − (δxδyδz ) (2.5)
∂x
∂p
δFz = − (δxδyδz ) (2.6)
∂z
∂p
δFy = − (δxδyδz ) (2.7)
∂y
∂p ∂p ∂p
δ Fs = − i + j + k (δxδyδz ) (2.8)
∂x ∂y ∂z
พิจารณาการเปลี่ยนแปลงความดันในรูปเวกเตอร จะได(วา ∇ p =
∂p ∂p ∂p
i + j + k
∂x ∂y ∂z
และเมื่อพิจารณาน้ําหนักของก(อนน้ําในรูปเวกเตอรจะได( δw j = γ(δxδyδz ) j
จากกฎข(อที่ 2 ของN ∑ F = ma
δFs − δw j = ρ (δxδyδz )a (2.10)
หากพิจารณาในแนวระนาบพบวาความดันมีคาเทากันหรือไมมีการเปลี่ยนแปลงตามแนวระนาบ
∂p
จะได( i = 0 และ
∂p
k = 0 แสดงวาไมมีการเปลี่ยนแปลงความดันในแนวระนาบหรือสามารถ
∂x ∂y
กลาวอีกนัยหนึ่งวา “ในของไหลที่ระดับเดียวกันจะมีขนาดความดันเทากัน” ดังรูปที่ 2.4
พิจารณาในแนวแกน y จะได(
∂p
j = − γ j
∂y
หรือ
dP
= −γ (2.15)
dy
∫ dP = −γ ∫ dy
P1 y1
(2.16)
P2 − P1 = −γ ( y2 − y1 )
P1 = P2 + γ h (2.17)
P1 = P2 + ∫ γ h P1 (2.18)
h1
เมื่อ Pabs คือ ความดันสัมบูรณ Patm คือ ความดันบรรยากาศ และ Pg คือ ความดันเกจ
29
1.013×105
(a) h= = 10.326 m-H 2O
9810
1.013×105
(b) h= = 759.28 m-Hg
13.6 × 9810
1.013×105
(c) h= = 11.224 m-FluidSG.=0.92
0.92 × 9810
รูปที่ Ex2.2
30
Pgage (5)
ตําแหนง (1) γ (2) h *(3) γh **(4) P1 = P2 + γh Pabs = Patm + Pg
(N/m3) (m) (N/m2) 2
(N/m ) (N/m2)
A - - 0 0 101.33 x 103 (Patm)
3,139.2
B 0.8 x 9,810 0.4 3,139.2 104.47 x 103
(0+3,139.2)
8,632.8
C 0.8 x 9,810 0.7 5,493.6 109.96 x 103
(5,493.6+3139.2)
15,499.8
D 9,810 0.7 6,867 116.83 x 103
(6,867+8,632.8)
แนวทางการคํานวณ
(1) คือน้ําหนักจําเพาะของของไหล คํานวณจาก Specific gravity ของของไหล คูณ γw
(2) h คือ ความสูงของของไหลในชั้นที่พิจารณา
(3) (3) = (1) x (2)
(4) ความดันของไหลที่ชั้นด(านบนบวกด(วยความดันของไหลที่ชั้นที่พิจารณา
(5) ความดันสัมบูรณ ณ.ตําแหนงที่พิจารณา เทากับ ความดันบรรยากาศบวกด(วยความดันเกจ
31
บารอมิเตอร (Barometer)
บารอมิเตอร คือ เครื่องมือวัดความดันบรรยากาศสําหรับวัดคาความดันที่เกิดจากแรงดันของ
อากาศโดยใช(ของเหลวหรือวัสดุแข็งที่สัมผัสโดยตรงกับอากาศ สวนใหญแบงออกได(เปน บารอมิเตอรแบบ
ปรอท และบารอมิเตอรแบบแอนเนอรอยด
Patm = PV + γ Hg h (2.19)
เมื่อ Patm คือ ความดันบรรยากาศ (N/m2) PV คือ ความดันไอ (Vapor Pressure) ในทอมีคา
เทากับ 0.016 N/m2 γHg คือ น้ําหนักจําเพาะของปรอท (N/m3) h คือ ความสูงของปรอท (m) จาก
สมการจะได(
หากพิจารณาคา PV = 0.016 N/m2 และ γHgh = 101,396 N/m2 จะเห็นได(วา คา PV มีคา
น(อยมากจนสามารถตัดทิ้งได( (เพื่อความสะดวกในการคํานวณและคําตอบที่ได(มีคาไมตางกัน) ดังนั้นความ
ดันบรรยากาศจึงสามารถหาได(จากสมการ
Patm = γ Hg h (2.20)
บางครั้งอาจบอกคาความดันอยูในรูปของความสูงของปรอท (mm⋅Hg)
บารอกราฟใช(หลักการเดียวกันกับบอรอมิเตอรแบบตลับ แตตอแขนปากกาให(ไปขีดบนกระดาษ
กราฟที่หุ(มกระบอกหมุนที่หมุนด(วยนาฬิกา เพื่อบันทึกความกดอากาศ
มาโนมิเตอร (Manometer)
มาโนมิเตอรเปนอุปกรณวัดความดันที่อาศัยหลักของความดันสถิตศาสตรของไหล โดยทั่วไปใช(
วัสดุที่ทําจากหลอดแก(วใสบรรจุของเหลวอยูภายใน ของเหลวที่บรรจุภายในหลอดมาโนมิเตอรควรมีการ
เคลื่อนที่ภายในหลอดได(อยางอิสระ ไมยึดเกาะติดที่ผนังหลอด ต(องไมเปลี่ยนสถานะ เชน การแข็งตัวหรือ
การเดือดเปนไอ และไมกัดกรอนหลอดบรรจุ คาความหนาแนนของของเหลวต(องเหมาะสมกับยานความ
ดันใช(งานและระดับความสูงของหลอดมาโนมิเตอร ของเหลวที่ใช(มีหลายชนิด ได(แก ปรอท น้ํามันหรือ
ของไหลที่มีคุณสมบัติตามที่ต(องการใช(งาน การทํางานของมานอมิเตอรจะอาศัยการเปรียบเทียบกับความ
ดันที่รู(คาเชนเดียวกับบารอมิเตอร มาโนมิเตอรเปนอุปกรณวัดความดันในรูปแบบของความดันแตกตาง
โดยพิจารณาจากความแตกตางของระดับความสูงของของเหลวภายในหลอดแก(วสองข(าง โดยมีหลักการ
ทํางานอยางงายเพียงแคนําปลายข(างหนึ่งของมานอมิเตอรปMกเข(าไปยังจุดที่ต(องการทราบคาความดัน และ
คาที่อานได(จะเปนความดันเกจ มานอมิเตอรมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยูกับลักษณะงานที่จะใช(ในแต
ละประเภท อยางไรก็ตามมานอมิเตอรจะถูกออกแบบด(วยพื้นฐานสามแบบด(วยกันคือ พิโซมิเตอร มาโน
มิเตอรรูปตัวยู และมาโนมิเตอรแบบเอียง
พิโซมิเตอร (Piezometer)
พิโซมิเตอรเปนมานอมิเตอรอยางงายที่สุด ประกอบด(วย
หลอดแก(วปลายเปKดวางตัวในแนวดิ่ง โดยปลายมีปลายด(านหนึ่ง
เปKดสูอากาศ ไปติดตั้ง ณ จุดที่ต(องการวัดความดัน ดังรูปที่ 2.10
จากรูปที่ 2.10 เมื่อทราบคาน้ําหนักจําเพาะของของไหล
และความสูง h ในหลอดแก(ว ก็สามารถคํานวณหาความดัน ณ.
ตําแหนง A ได( ดังสมการ
ความดันเกจ PA = γh (2.20)
Pa = Pb
Pm + γ 1h1 = Pn + γ 2 h2
PA + γ 1h1 = Patm + γ 2 h2
สามารถวั ด ค า ที่ มี ผ ลต า งความดั น น( อย ๆ ได( แ ก ไมโครมานอมิ เ ตอร (รู ป ที่ 2.13) โดยการออกแบบ
มานอมิเตอรให(มีพื้นที่หน(าตัดตางกัน ดังรูป
Pj + γ C ( y1 + h ) + γ 1 ( y2 + S − h ) = Pk + γ D ( y1 − h ) + γ 1 ( y2 + h − S ) + γ 2 ( S + S )
PC + γ C ( y1 + h ) + γ 1 ( y2 + S − h ) = PD + γ D ( y1 − h ) + γ 1 ( y2 + h − S ) + γ 2 ( 2 S )
38
hA = Sa
a
h = S
A
a a a
PC − PD = γ D y1 − S − γ C y1 + S + 2 S γ 1 − 1 + γ 2
A A A
a a
PC − PD = 2 γ 1 − 1 + γ 2 − 2 γ S
A A
PC − PD = CS (2.25)
PA = Pn
เมื่อ PA คือ ความดันที่ต(องการวัด (N/m2) Patm คือ ความดันบรรยากาศ (N/m2) γ คือ น้ําหนัก
จําเพาะของของไหลที่ต(องการทําการวัด (N/m3) L คือ ระดับของไหลในแนวเอียง (m) ดังนั้นเวลาใช(งาน
เพี ย งแค อา นค า ระดั บ L และ นํ าไปแทนค าในสมการ ก็ ส ามารถคํ า นวณหาความดั น สั มบู ร ณ ห รื อ
ความดันเกจได(ตามลําดับ
เปลี่ ย นแปลงตามความดั น ที่ ไ ด( รั บ และเมื่ อ ความดั น ลดลงหลอดจะเคลื่ อ นที่ ก ลั บ เข( า สู ตํ า แหน ง เดิ ม
ลักษณะการทํางานของมาตรวัดบูรดองมีหลักการเดียวกับของเด็กเลนที่มีลักษณะเปนขดกระดาษม(วน
โดยเมื่อเปñาลมเข(า ขดกระดาษม(วนจะคลายตัวออก และเมื่อปลอยลมออก ขดกระดาษจะม(วนตัวกลับเข(า
สูสภาพเดิม
รูปที่ Ex2.3
γw = 0.001×13.6×9810 = 133.4 Pa
พิจารณาความดันที่จุด A
หาความดันที่จุด B
= 41.31×103 Pa
FR = PA = γ hA (2.28)
หากพิจ ารณารู ปที่ 2.17 แสดงแรงดั น น้ํา ที่ กระทํ ากั บ ระนาบแนวเอี ย งทํ ามุม θ กับ ผิ วอิ ส ระ
แรงดันที่กระทํากับวัตถุนั้นกระจายทั่วทั้งแผนระนาบโดยมีทิศทางตั้งฉากกับผิววัตถุ แตเพื่อความสะดวก
ในการคํานวณโมเมนตจึงจําเปนต(องหาขนาดของแรงรวมและตําแหนงที่แรงรวมกระทํากับวัตถุนั้น (ซึ่งไม
ใช(ตําแหนงจริงที่แรงกระทํากับวัตถุแตเปนเพียงเสมือนแรงทั้งหมดกระทํากับวัตถุที่ตําแหนงนี้) พิจารณา
ในระบบความดันเกจพบวาแรง (dF) ที่กระทํากับวัตถุมีคาเทากับ ความดัน (Ph) คูณด(วยพื้นที่ (dA)
พิจารณาแรงที่กระทํากับพื้นที่เล็กๆ บนพื้นที่รับแรง dF = γ × h × dA
แรงกระทําทั้งหมดจึงมีคาเทากับ FR = ∫ dF = ∫ γ × h × dA
A A
FR = γsinθ ∫ ydA
A
FR = γy c A ( sinθ )
พิจารณาโมเมนตที่จุด O ของแรงรอบแกน X
FR y P = ∫ ydF
A
= ∫ γ × y 2 × sinθ × dA
A
2
∫ γ × y × sinθ × dA
A
yP =
FR
2
∫ y dA
A
yP = (2.30)
Ay c
I
yP = (2.31)
Ayc
45
I = I C + Ayc2 (2.32)
Ixc + Ay 2c
yP =
Ay c
I xc
yP = yc + (2.33)
Ayc
เราสามารถคํานวณหาแรงรวมทั้งหมดที่กระทํากับวัตถุทางชลศาสตรโดยใช(หลักปริซึมความดัน
พิจารณารูปที่ 2.18 พบวาความดัน (P) แตละจุดที่กระทํากับกําแพงมีคาเทากับน้ําหนักจําเพาะของของ
ไหล (γ) คูณด(วยความลึกของของไหล (h) และมีคาแปรผันในเชิงเส(นตามความลึกของของไหล ที่ตําแหนง
ผิวของของไหล (ตําแหนงที่ 1) ความดันมีคาเทากับศูนย (ในระบบความดันเกจ) และมีคาเทากับ γh ที่พื้น
46
(ตําแหนงที่ 2) ดังนั้นสามารถคํานวณพื้นที่ปริซึมความดันที่กระทํากับผนังมีคาเทากับพื้นที่สามเหลี่ยม
abc ซึ่งมีคาเทากับ γh 2 2 และปริมาตรของปริซึมความดันก็คือแรงรวมที่กระทํากับผนังนั่นเอง จากรูปที่
2.16ปริมาตรของปริซึมความดันมีคาเทากับ w × γh 2 2 เมื่อ w คือความกว(างของผนังสี่เหลี่ยม ดังนั้นจะ
ได(แรงรวมที่กระทําทั้งหมดเทากับ
2
FR = Volume =
1
(γh )(wh ) = w × γh (2.34)
2 2
รูปที่ Ex 2.5
วิธีทํา จาก FR = γhCA
hC = 3.9 sin 60O = 3.38 m
A = 1.2 × 1.8 = 2.16 m2
FR = γW(3.38)(2.16)
= 9810×3.38 ×2.16
= 71,621 N = 71,621 kN
Ixc bd3 1.2 × 1.8 3
จาก yP = + yc ; I xc = = = 0.583 m 4
Ay c 12 12
0.583
yP = + 3.9 = 3.97 m
2.16 × 3.9
∑MHinge = 0
0.97FR = (1.8P)
P = (0.97FR)/1.8
= (0.97×71621)/1.8
= 38,596 N ตอบ
48
FH = γh c A (2.35)
FV = γ∀ (2.37)
จากรูป สามารถหาแรงแนวราบที่กระทํากับพื้นที่ภาพฉายได(จากสมการ
FH = γh c A
1.2
FH =9,810× 2+ × ( 3×1.2 ) =91,821.6 N →
2
ตําแหนงของแรงแนวราบที่กระทํากับผิวโค(งประตูน้ําคือ
Ic
h p = hc +
Ahc
1
×3×1.23
h p =2.6+ 12 =2.65 m (วัดจากผิวน้ําลงมาในแนวดิ่ง)
(1.2×3) ×2.6
แรงแนวดิ่งที่กระทํากับประตูน้ําสามารถหาได(จากน้ําหนักของน้ําที่กดทับดังรูปที่ Ex2.5-3
51
π ×1.2 2
FV2 =W2 =γ∀2 =9,810× × 3=33,284.55 N ↓
4
ตําแหนงของแรง FV2 ที่กระทํากับประตูน้ํา ab คือ ตําแหนงที่กระทํา
ผานจุดเซนทรอยดของปริมาตร abchij หรือหาได(จากจุดเซนทรอยของ
4R 4×1.2
รูปเสี้ยววงกลม abc ซึ่งมีคาเทากับ = =0.51 m วัดจาก
3π 3×π
แนว ac ไปทางขวา
52
หาแรง P
สามารถเขียน Free Body Diagram
ทําการหาโมเมนต์รอบจุด a จะได้
∑M a =0
2.67×91,821.6+0.6×70,632+0.51×33,284.55
P= =152,259 N ← ตอบ
2
53
ผลจากความแตกตางระหวางแรงดันด(านลางกับแรงดันด(านบนที่เกิดขึ้นกับวัตถุนี้ จะทําให(เกิด
แรงแนวดิ่งสุทธิซึ่งมีคาเทากับน้ําหนักปริมาตรของไหล ABCD มีทิศทางดันขึ้นดังรูปที่ 2.24 เรียกวา แรง
ลอยตัว (FB)
W = FB Oil + FB W
= (∀Oil ( 0.8 ) + ∀W )γ W
γ วัตถุ (∀Oil ( 0.8) + ∀W )
=
γW ∀วัตถุ
SGวัตถุ = 0.886
ρวัตถุ = SGวัตถุ x ρW
การหาความสูงเมตราเซนตริกทางทฤษฎี
γ tan θ × I z = FB × BB ′ (2.40)
จากรูป 2.26 ระยะ BB′ มีคาเทากับ BM tan θ และ FB คือ แรงลอยตัวมีขนาดเทากับ γ × ∀ (γ คือ
น้ําหนักจําเพาะของของไหลและ ∀คือ ปริมาตรของวัตถุสวนที่จมอยูในของไหล) สมการที่ 2.34 สามารถ
เขียนได(ใหมดังนี้
59
(
γ tan θ × I z = (γ × ∀ )× BM tan θ ) (2.41)
Iz
เมื่อ BM =
∀
GM = BM − BG (2.41)
IZ
หรือ GM = − BG (2.42)
∀
= ∀γ W
d = 0.18 m
0.3
จุดศูนยถวงของวัตถุ (G) อยูสูง = 0.15 m
2
0.18
จุดศูนยกลางแรงลอยตัว (GB) อยูสูง = 0.09 m
2
ดังนั้น CG = 0.15 – 0.09 = 0.06 m
IX =
(0.3 × 0.63 )
= 0.0054 m 4 IY =
(0.33 × 0.6 )
= 0.00135 m 4
12 12
0.00135
แสดงวาวัตถุจะเริ่มพลิกรอบแกน Y กอน ∴ MB = = 0.042 m
0.0324
การกระจายของความดัน
รูปที่ 3 รูปตัดของการไหลวนแบบบังคับ
ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธระหวางความดันและแรงกระทําตอพื้นที่ dA
ระหวาง Streamline 1 และ Streamlin 2 เราสามารถแสดงแรงลัพธได(ดังนี้
63
ρ ⋅ Vθ2
dp = ⋅ dr (2.46)
r
ρ ⋅ ω2 ⋅ r 2
p − p0 = (2.47)
2
= (2.48)
γ 2g
การกระจายของพลังงานรวม
จากรูปที่ 3a เมื่อพิจารณาพลังงานรวมของ Streamline 1 และ Streamline 2 พบวา
p Vθ2
H=z+ + (2.49)
γ 2g
p + dp (Vθ + dVθ ) 2
H + dH = z + + (2.50)
γ 2g
ดังนั้นเมื่อนําสมการที่ 2.49 ลบออกจากสมการ 2.50 ผลตางของพลังงานรวมทั้งสอง คือ
dp dVθ2 Vθ ⋅ dVθ
dH = + +
γ 2g g
64
dVθ
เนื่องจาก Vθ = ω ⋅ r และ =ω ดังนั้น
dr
dH 2ω 2 r
=
dr g
2ω2 r
หรือ dH=
g
ω2 r 2
H= (2.52)
g
65
รูปร2างของผิวอิสระ
จากรูปที่ 3b เมื่อพิจารณาที่จุด C ซึ่งอยูหางจากจุดต่ําสุดของสวนโค(งในแนวราบเทากับ r บนผิว
อิสระ เราสามารถเขียนสมการ Bernoulli เพื่อแสดงคาพลังงานที่จุด C ได(ดังนี้
pC ω2r 2
H=z+ + (2.53)
γ 2g
ω2r 2
z= (2.54)
2g
แบบฝ_กหัดท.ายบท
หากของไหลด(านซ(ายมือเปลี่ยนจากน้ําสะอาดเปนน้ําเสียที่มีความหนาแนนมากกวาน้ําสะอาดแต
น(อยกวาน้ําทะเลนิสิตคิดวาคาระดับ h ที่คํานวณได(จะมีคามากกวา เทากับ หรือน(อยกวาคาที่คํานวณ
ได(จากข(างต(น
70
23. จากรูป ประตู น้ํ ารู ป สี่ เหลี่ ยมติ ด ตั้งไว(ใ ต( น้ํ า
จงหาขนาดและทิศทางของแรง P ที่น(อย
ที่สุด ที่ทําให(ประตูน้ําเปKดออกพอดีในกรณี
ดังตอไปนี้
เมื่อไมคิดน้ําหนักของบานประตู
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (a)
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (b) ตรงจุดหมุน (hinge)
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (c) ตรงกึ่งกลางประตูน้ํา
เมื่อน้ําหนักของบานประตูมีคาเทากับ 250 kN
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (a)
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (b) ตรงจุดหมุน (hinge)
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (c) ตรงกึ่งกลางประตูน้ํา
71
เมื่อไมคิดน้ําหนักของบาน
ประตู
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (a)
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (b) ตรงจุดหมุน (hinge)
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (c) ตรงกึ่งกลางประตูน้ํา
เมื่อน้ําหนักของบานประตูมีคาเทากับ 250 kN
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (a)
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (b) ตรงจุดหมุน (hinge)
• เมื่อระดับน้ําอยูที่ตําแหนง (c) ตรงกึ่งกลางประตูน้ํา
a. แรงดันและทิศทางที่กระทําในแนวราบบนโค(ง
ABC
b. แรงดันและทิศทางที่กระทําในแนวดิ่งบนโค(ง
ABC
33. ระบบปhองกันน้ําทะเลหนุนดังภาพ จง
หาระดับน้ําในแมน้ําเหนือจุดหมุน A (h) ที่น(อย
ที่สุดที่จะทําให(ประตูน้ําเปKดออก (ไมคิดน้ําหนัก
ของประตูน้ํา) กําหนดประตูกว(าง 2 m
แรงดันของน้ํามัน
บนระนาบ AB
จุดกระทําของแรง
ดังกลาวโดยวัด
จากจุด A
ขนาดของแรง P
ที่ทําให(ประตูอยูในสภาวะสมดุล
75
36. แท ง คอนกรี ต รู ป ทรงลู กบาศก ย าวด( า นละ 0.3 m มี ความถ ว งจํ า เพาะ 2.4 จงหาขนาดและ
ทิศทางของแรงที่จะทําให(คอนกรีตอยูในสภาวะสมดุลและจมในของไหลดังตอไปนี้
a. ปรอท
b. น้ํา
37. จากรูป หากคาความถวงจําเพาะของของไหล
A , B และ D มีคาเทากับ 0.9 , 1.3 และ 2.0
ตามลําดับ จงหาคาความหนาแนนของของ
ไหล C
บทที่ 3
สมการควบคุมของการไหล (Governing Equation of Fluid Motion)
การศึ กษาที่ ผ า นมาได( ก ล า วถึ งของไหลที่ ห ยุ ด นิ่ งหรื อ ของไหลที่ ไ ม มี การไหล อย า งไรก็ ต ามหาก
พิจารณาอนุภาคของของไหลที่กําลังเคลื่อนที่ในสนามของการไหล ความดัน ความเร็วของอนุภาค รวมถึง
แรงตางๆ ที่เกิดขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอยางตอเนื่อง ไปตามตําแหนง และเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อ
หาความสัมพันธของตัวแปรตางๆ เราสามารถวิเคราะหโดยอาศัยหลักการจากสมการควบคุม (Governing
Equation) สมการควบคุมที่ถูกสร(างขึ้นเพื่อศึกษากลศาสตรของของไหล ได(ถูกสร(างขึ้นด(วยกฎตาง ๆ
ด(วยกันดังนี้คือ กฎอนุรักษมวลสาร (Conservation of Mass) กฎอนุรักษโมเมนตัม (Conservation of
Momentum) และกฎอนุรักษพลังงาน (Conservation of Energy)
การศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของของไหลจําเปนต(องเข(าใจถึงจลศาสตรของไหล ซึ่งก็คือการศึกษา
การเคลื่อนที่ของไหลโดยไมพิจารณาถึงแรงกระทําที่ทําให(เกิดการเคลื่อนที่ ซึ่งจําเปนต(องทราบนิยาม
คําศัพท และลักษณะการไหลซึ่งดังนี้
เส(นสายธารการไหล (Stream Line) หมายถึงเส(นที่ลากสัมผัสกับความเร็วของการไหลทุกจุดตาม
การเคลื่อนที่ขณะใดขณะหนึ่งของกลุมอนุภาคของไหล เนื่องจากไมมีความเร็วสวนที่ตั้งฉากกับ
เส(นสายธารไหลจึงไมมีการไหลข(า มเส( นสายธารการไหล สวนลํ าการไหล (Stream Tube)
หมายถึงกลุมเส(นสายธารการไหลที่รวมกันมีลักษณะคล(ายทอ
a) b)
รูปที่ 3.3 ของไหลที่อัดตัวได(กับอัดตัวไมได(
78
Bsys (t ) = B CV (t ) (3.1)
และสามารถพิจารณาอัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาณ B ในระบบเมื่อเทียบกับเวลา
(δB sys δt ) จะสามารถเขียนได(ดังสมการ
δB sys B ( t + δt ) − B sys ( t )
= sys (3.3)
δt δt
δB sys
= BCV (t + δt ) − BCV (t ) − Bin (t + δt ) + Bout (t + δt ) (3.4)
δt δt δt δt
∂ ∫ (ρbd∀ )
B (t + δt ) − BCV (t ) ∂BCV
lim CV = = CV
(3.6)
δt →0 δt ∂t ∂t
δ∀ = δlnδA (3.9)
เมื่อ δln = δl cos θ คือระยะในแนวตั้งฉากกับ δA เนื่องจาก δl = Vδt ดังนั้น δ∀ = Vδt cos θδA
และจากรูปจะได( V cos θ = V ⋅ nˆ เมื่อ n̂ คือเวกเตอรหนึ่งหนวยตั้งฉากกับผิวควบคุมโดยมีทิศชี้ออกจาก
ปริมาตรควบคุม ดังนั้นสมการที่ 3.9 เขียนได(เปน
δ∀ = V ⋅ nˆ δtδA (3.10)
ในทํานองเดียวกันสําหรับอัตราการไหลเข(าผานผิวควบคุมจะได(
และอัตราที่ B ไหลเข(าและออกผานผิวควบคุมทั้งหมด
∑ Mɺ = ∑ Mɺ
In Out (3.18)
∑ (ρ Q ) = ∑ (ρQ )
in out
เอาความเรงเนื่องจากแรงโน(มถวงคูณเข(าทั้งสองด(านจะได(
∑ (γQ ) =∑ (γQ )
in out
และเมื่อของไหลมีความหนาแนนคงที่ใช(
∑Q in = ∑ Q out
(3.19)
วิธีทํา
- หาสมการอัตราการไหลเข(าทอด(านบน (qU)
qU = ay 2 + by + c (Ex3.1-1)
- หาสมการอัตราการไหลออกด(านข(าง (qf)
q f = my + c (Ex.3.1-3)
∂M CV
เมื่ออัตราการไหลเปนแบบคงที่ (Steady flow) =0
∂t
∑ Mɺ In −∑M
ɺ
Out = 0 (Ex3.1-6)
∑Q − ∑Q
In Out =0 (Ex3.1-7)
5
0. 3 0.3
10 2
0 .3 + ∫0 3 y dy − ∫0 0.5 − 3 y dy − 0.01× V2 = 0
1 5 y2
0. 3 0.3
10 y 3
V2 = 0 .3 + − 0 .5 y −
0.01 3 3 0 3 2 0
1 10 0.33 5 0 .3 2
V2 = 0 .3 + × − 0 .5 × 0 . 3 + × = 25.5 m/s
0.01 3 3 3 2
1 5 y2
L L
10 y 3
VL = 0 .3 + − 0 . 5 y −
0.01 3 3 0 3 2 0
1 10 L3 5 L2
VL = 0 . 3 + + − 0 .5 L
0.01 3 3 3 2
dVL
ตําแหนงที่ความเร็วมีคามากที่สุดคือตําแหนงที่ =0
dL
dVL 1 10 2 5
= L + L − 0.5 = 0
dL 0.01 3 3
แก(สมการหาคา L จะได(
(− 5 3) ± (5 3)2 + 4 × (10 3)× 0.5
L= = 0.211 m
2 × (10 3)
ตอบ ตําแหนงความเร็วการไหลมากที่สุดในทอสี่เหลี่ยมเกิดตรงความยาวที่หางออกมาจากด(านเข(า
เทากับ 0.211 m
90
ตัวอย2างที่ 3.3 ของไหล A มีความถวงจําเพาะ 0.9 และของไหล B มีน้ําหนักจําเพาะ 12,500 N/m3 ไหล
มาผสมกันในทอรูปตัว Y ดังรูป เมื่ออัตราการไหลโดยมวลของของไหล A 90 kg3/s และ และอัตราการ
ไหลของของไหล B เทากับ 0.24 m3/s จงหาความหนาแนนของของไหลที่ทางออก เมื่อสภาวะการไหล
เปนแบบคงที่
วิธีทํา เมื่อการไหลเปนแบบคงที่จากสมการความตอเนื่องจะได(
∑ Mɺ In −∑M
ɺ
Out = 0 (Ex3.3-1)
∑ Mɺ In = Mɺ A + ρ B QB
12,500
= 90 + × 0.24
9.81
พิจารณาการไหลออก
∑ Mɺ Out = ρMixQMix
แทนคาทั้งหมดในสมการ จะได(
12,500
90 + × 0.24 − ρ MIX Q MIX = 0 (Ex3.3-2)
9.81
เนื่ องจากระบบเป น ของเหลวอัด ตัว ได(น( อยมาก ประกอบกับ ปริ มาตรควบคุ มเปน แบบคงตัว ไม มีการ
เปลี่ยนแปลงปริมาตร และการไหลไมแปรเปลี่ยนตามเวลา
∴ QA + QB = Qmix
90
+ 0.24 = 0.34 m3/s
0.9 ×1000
12,500
แทนคาใน (Ex3-2) จะได( 90 + × 0.24 − ρ MIX × 0.34 = 0
9.81
90 + (305.81)
ρMix =
0.34
= 1164.15 kg/m3
ตอบ ความหนาแนนของของไหลที่ทางออกเทากับ 1164.15 kg/m3
91
รูปที่ Ex3.4
DB sys ∂BCV
วิธีทํา พิจารณาจากสมการการเคลื่อนย(ายของเรยโนด = − ∑ Bɺ In + ∑ Bɺ Out
Dt ∂t
พิจารณาการไหลเข(า
ɺ In
∑M = ρinQin
= 1.0015ρW (1.0 )
พิจารณาการไหลออก
ɺ Out
∑M = ρ out Q out
= 1.0012ρW (1.0 )
92
= mตะกอน − m2
= ρ ตะกอน ∀ตะกอน − ρ 2 ∀ 2
= ∀(ρตะกอน − ρ2 )
โมเมนตัมหมายถึงความสามารถในการเคลื่อนที่ของวัตถุซึ่งมีคาเทากับผลคูณระหวางมวลและ
ความเร็วของวัตถุ โมเมนตัมเปนปริมาณเวกเตอร สําหรับสมการควบคุมโมเมนตัมเปนการประยุกตใช(กฎ
การเคลื่ อนที่ข(อที่สอง-โมเมนตั มเชิงเส(นของนิวตัน (Newton’s Second Law: The Linear
Momentum) ซึ่งมีความหมายในเชิงของกฎการอนุรักษโมเมนตัม (Conservation of Momentum) วา
แรงลัพธรวมที่กระทําตอปริมาตรควบคุม มีคาเทากับ ผลรวมของอัตราการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม
ภายในปริมาตรควบคุมและอัตราการไหลสุทธิของโมเมนตัมที่ไหลผานพื้นผิวควบคุม จากสมการการ
เคลื่อนย(ายของเรยโนลด (สมการที่ 3.15) โดยให(ปริมาณ B ที่พิจารณาคือโมเมนตัม (mV) จะได(วาสมการ
D (mV )sys ∂
= ∫ ρbd∀ + CS∫ ρbV ⋅ nˆdA (3.20)
Dt ∂t CV
จากกฎข(อที่สองของนิวตัน
∑F = m a = d (mV )
dt
∑ F ( dt ) = m( dV ) (3.21)
D(mV )sys
∑ F sys = (3.22)
Dt
mV
เมื่อ b คือ โมเมนตัมตอหนวยมวล = =V ดังนั้นสมการที่ 3.24 จะสามารถเขียนใหมได(เปน
m
แกน x : ∑ F = ∑ (ρQV )
x x out − ∑ (ρQV x )in (3.26)
แกน y : ∑ F = ∑ (ρQV )
y y out − ∑ (ρQV y )in (3.27)
แกน z : ∑ F = ∑ (ρQV )
z z out − ∑ (ρQV z )in (3.28)
การหาแรงกระแทกของน้ําบนแผ2นกั้น
แผ2นกั้นมีแบบแบน (Horizontal plate)
พิ จ ารณารู ป ที่ 3.8 พบว า เมื่ อ ลํ า น้ํ า เคลื่ อ นที่
ด(วยความเร็วคงที่มากระแทกกับแผนกั้น หากไมคิดแรง
เสี ยดทานในขณะลํา น้ํา เคลื่อนที่ และไม มีการสูญ เสี ย
พลั ง งานในขณะที่ ลํ า น้ํ า พุ ง ชน ลํ า น้ํ า จะไหลไปตาม
พื้นผิวนั้น
จากสมการโมเมนตัมเชิงเส(นของของไหล
พิจารณาแกน y;
∑ F = ∑ (ρQV )
y y out − ∑ (ρQV y )in
รูปที่ 3.8 การกระแทกของลําน้ํา
บนแผนกั้นแบบแบน
∑F y [
= ρQ (V y )out − (V y )in ] (3.29)
− FP = − ρQVin
หรือ
F p = ρQV (3.30)
แผ2นกั้นรูปกรวยมุม 120°
พิจารณารูปที่ 3.9 พบวาเมื่อลําน้ําเคลื่อนที่ด(วยความเร็ว
คงที่มากระแทกกับแผนกั้น หากไมคิดแรงเสียดทานในขณะลําน้ํา
เคลื่อนที่ และไมมีการสูญเสียพลังงานในขณะที่ลําน้ําพุงชน ลําน้ํา
จะไหลไปตามพื้นผิวนั้นซึ่งทํามุม 120° (วัดตามแนวแกน y)
จากสมการโมเมนตัมเชิงเส(นของของไหล
พิจารณาแกน y;
∑ F = ∑ (ρQV )
y y out − ∑ (ρQV y )in รูปที่ 3.9 การกระแทกของลําน้ําบน
แผนกั้นแบบกรวย
∑F y [
= ρQ (V y )out − (V y )in ] (3.31)
97
− FP = ρQ [− 0.5Vin − Vin ]
หรือ
FP = 1.5 ρQVin (3.32)
เมื่อ FP คือแรงต(านการกระแทกของลําน้ํา (N) ซึ่งมีขนาดเทากับแรงกระแทกของน้ําแตทิศทางตรงกัน
ข(าม ρ คือ ความหนาแนนของของไหล (kg/m3) Q คือ อัตราการไหล (m3/s) และ Vin คือ ความเร็วของ
การไหล (m/s)
แผ2นกั้นรูปกึ่งทรงกลม
พิ จ ารณารู ป ที่ 3.10 พบว า เมื่ อ ลํ า น้ํ า เคลื่ อ นที่ ด( ว ย
ความเร็ ว คงที่ มากระแทกกั บ แผน กั้ น หากไม คิด แรงเสีย ดทาน
ในขณะลําน้ําเคลื่อนที่ และไมมีการสูญเสียพลังงานในขณะที่ลํา
น้ําพุงชน ลําน้ําจะไหลไปตามพื้นผิวนั้นซึ่งทํามุม 180° (วัดตาม
แนวแกน y)
จากสมการโมเมนตัมเชิงเส(นของของไหล
พิจารณาแกน y;
∑ F = ∑ (ρQV )
y y out − ∑ (ρQV y )in
รูปที่ 3.10 การกระแทกของลําน้ําบน
แผนกั้นแบบกึ่งทรงกลม
a) b)
∑F s = ma s
∂P dz
เมื่อ F in= PdA , Fout = P + ds dA , m = ρ ⋅ ds ⋅ dA , sin θ = และ dw = γ ⋅ ds ⋅ dA
∂s ds
dV
เนื่องจากความเรง as= และ V = f ( s, t ) ดังนั้นจะได(
dt
∂V ds ∂V dt ∂V ∂V
as = ⋅ + ⋅ =V ⋅ + (3.36)
∂s dt ∂t dt ∂s ∂t
100
∂V
เมื่อการไหลมีสภาวะคงที่ จะทําให( =0 สมการ3.36 จึงสามารถเขียนใหมได(วา
∂t
∂V
as = V ⋅ (3.37)
∂s
∂P dz ∂V
PdA − P + ds dA − (γ ⋅ ds ⋅ dA) = (ρ ⋅ ds ⋅ dA )V (3.38)
∂s ds ∂s
∂P dz ∂V
− ⋅ ds ⋅ dA − (γ ⋅ ds ⋅ dA) = (ρ ⋅ ds ⋅ dA)V ⋅ (3.39)
∂s ds ∂S
เอา ds คูณตลอดจะได(
1 1
dz + dP + VdV = 0
γ g
จัดรูปสมการใหมจะได(
dP V ⋅ dV
dz + + =0 (3.41)
γ g
สมการของแบรนูลลี (Bernoulli)
dP V ⋅ dV
∫ dz + ∫ γ
+ ∫
g
= ∫ 0
จากผลของการปริพันธจะได(
P V2
z+ + =C (3.42)
γ 2g
การประยุกตใช.สมการของแบรนูลลี
พิจารณารูปที่ 3.12 เปนการไหลภายในทอจากหน(าตัดการไหลที่ 1 ไปหน(าตัดการไหลที่ 2
P1V12 P2 V22
z1 + + = z2 + + (3.43)
γ 2g γ 2g
วิธีทํา จากสมการของแบรนูลลี
P1 V12 P V2
z1 + + = z2 + 2 + 2 (Ex3.4-1)
γ 2g γ 2g
P1 P2 V22
(55 − 35) + − + 0 =
γ γ 2g
V2 = 2 ⋅ g ⋅ 20 = 19.81 m/s
π ⋅ 0.12
อัตราการไหล; Q = AV = × 19.81 = 0.15565 m 3 s
4
วิธีทํา
ผลการคํานวณ
3)
2) 5) 6)
1) พื้นที่ 4)
ขนาดเส(นผาน ศูนยกลาง, เฮดระดับ, Z เฮดความเร็ว,
ตําแหนง หน(าตัด, ความเร็ว, V (m/s)
D (m) (m) V2/2g (m)
A (m2/s)
1 - - 0.00 55 0.0
B 0.2 0.0314 4.95 48 1.2
C 0.2 0.0314 4.95 40 1.2
D 0.1 0.0079 19.81 40 20.0
2 0.1 0.0079 19.81 35 20.0
ผลการคํานวณ (ตอ)
7) 8) 9) 10) 11)
ตําแหนง ความดัน, P เฮดความดัน, เฮดรวม, เส(นระดับ เส(นระดับ
(N/m2) P/γ (m) H (m) H.G.L. (m) E.G.L. (m)
1 - 0.0 55.0 55.0 55.0
B 56,418.75 5.75 55.0 53.7 55.0
C 134,898.75 13.75 55.0 53.7 55.0
D - 49,068.05 -5.0 55.0 35.0 55.0
2 - 0.0 55.0 35.0 55.0
วิธีการคํานวณ
1) ตําแหนง (จากข(อมูล) 2) ขนาดเส(นผานศูนยกลาง, Di m (จากข(อมูล)
πDi2
3) พื้นที่หน(าตัด Ai = m2 4) ความเร็ว Vi = Q =
0.15565
m/s
4 Ai Ai
Vi 2
5) เฮดระดับ, Zi m (จากข(อมูล) 6) เฮดความเร็ว,
2g
7) ความดัน, Pi จากสมการของแบรนูลลี พิจารณาระหวางตําแหนง 1 กับตําแหนงที่พิจารณา (ตําแหนง i)
105
V2
Pi = 55 − Z i − i เชน ระหวางตําแหนง 1 กับ B จะได(
2g
4.95 2
PB = 55 − 48 − ⋅ γ w = 56,418.75 N/m 2
2g
Pi Pi Vi 2
8) เฮดความดัน, 9) เฮดรวม H = zi + +
γ γ w 2g
Pi Pi Vi 2
10) เส(นลาดชลศาสตร, H .G.L. = zi + 11) เส(นลาดพลังงาน, E.G.L. = zi + +
γw γ w 2g
สามารถเขียนเส(นลาดชลศาสตร (H.G.L) และ เส(นลาดพลังงาน (E.G.L) ได(ดังรูป
P1 V12 P V2
z1 + + = z2 + 2 + 2 + H L (3.44)
γ 2g γ 2g
P1 V12 P V2
z1 + + = z2 + 2 + 2 + H L (Ex3.6-1)
γ 2g γ 2g
γ γ 2g
V2 = 2 ⋅ g ⋅18 = 18.79 m/s
π ⋅ 0.12
อัตราการไหล; Q = AV = × 18.79 = 0.148 m 3 s
4
P1 P2 V22
(55 − 35) + − + 0 = 3
γ γ 2g
2
V2 = ⋅ g ⋅ 20 = 11.437 m/s
3
π ⋅ 0.12
อัตราการไหล; Q = AV = × 18.79 = 0.09 m 3 s
4
- ความเร็วและอัตราการไหลที่น้ําพุงออกจากทอกรณีมีการสูญเสียพลังงาน 2 m มีคา
เทากับ 18.79 m/s และ 0.148 m3/s ตามลําดับ
- ความเร็วและอัตราการไหลที่น้ําพุงออกจากทอกรณีมีการสูญเสียพลังงานเทากับ 2 เทา
ของเฮดความเร็วที่ตําแหนงที่ 2 มีคาเทากับ 11.437 m/s และ 0.09 m3/s ตามลําดับ
107
พิจารณาแกน x : ∑ F = ∑ (ρQV )
x x out − ∑ (ρQV x )in (Ex3.7-1)
พิจารณาแรงที่กระทํากับข(อลดตอลดขนาด จะได(ดังรูป
เมื่อ
F1 คือแรงดันน้ําที่กระทํากับปริมาตรควบคุม (ข(อตอลดขนาด, เส(นประ) ทางด(านเข(า มีคาเทากับ P1A1
F2 คือแรงดันน้ําที่กระทํากับปริมาตรควบคุม (ข(อตอลดขนาด, เส(นประ) ทางด(านออก มีคาเทากับ P2A2
Fx คือ แรงต(านทานการกระแทกของน้ําซึ่งมีขนาดเทากับแรงกระแทกของน้ําแตทิศทางตรงกันข(าม
(V x )in คือ ความเร็วทางด(านเข(าของทอตามทิศทางแกน x = V1
(Vx )out คือ ความเร็วทางด(านออกของทอตามทิศทางแกน x = V2
ρ in = ρ in = ρ w คือความหนาแนนของน้ํา (ของไหลอัดตัวไมได()
Qin = Qout = Q คืออัตราการไหล (สมการความตอเนื่อง) นําคาตาง ๆ แทนลงในสมการ Ex3.7-2 จะได(
108
P1 A1 − P2 A2 − Fx = ρQ (V2 − V1 ) (Ex3.7-2)
π × 0.6 2 π × 0.4 2
A1 = = 0.283 m 2 , A2 = = 0.126 m 2
4 4
V1 =
(80 1,000 ) = 0.283 m/s , V2 =
(80 1,000 ) = 0.635 m/s
0.283 0.126
P V 2 V 2
P1 = γ w ⋅ ( z2 − z1 ) + 2 + 2 − 1 (Ex3.7-3)
γ 2 g 2 g
Fx = 410.06 N ←
พิจารณาแกน x : ∑ F = ∑ (ρQV )
x x out − ∑ (ρQV x )in (Ex3.8-1)
พิจารณาแรงที่กระทํากับข(อลดตอลดขนาด จะได(ดังรูป
เมื่อ
F1 คือแรงดันน้ําที่กระทํากับปริมาตรควบคุม (ข(อตอลดขนาด, เส(นประ) ทางด(านเข(า มีคาเทากับ P1A1
F2 คือแรงดันน้ําที่กระทํากับปริมาตรควบคุม (ข(อตอลดขนาด, เส(นประ) ทางด(านออก มีคาเทากับ P2A2
Fx คือ แรงต(านทานการกระแทกของน้ําซึ่งมีขนาดเทากับแรงกระแทกของน้ําแตทิศทางตรงกันข(าม
(V x )in คือ ความเร็วทางด(านเข(าของทอตามทิศทางแกน x = V1
(Vx )out คือ ความเร็วทางด(านออกของทอตามทิศทางแกน x = V2
ρ in = ρ in = ρ w คือความหนาแนนของน้ํา (ของไหลอัดตัวไมได()
Qin = Qout = Q คืออัตราการไหล (สมการความตอเนื่อง) นําคาตาง ๆ แทนลงในสมการ Ex3.8-2 จะได(
110
P1 A1 − P2 A2 − Fx = ρQ (V2 − V1 ) (Ex3.8-3)
π × 0.12 π × 0.075 2
A1 = = 7.854 × 10 −3 m 2 , A2 = = 4.418 × 10 −3 m 2
4 4
V1 =
(40 1,000 ) = 5.093 m/s , V2 =
(40 1,000 ) = 9.054 m/s
-3
7.854 × 10 4.418 × 10 -3
Fx = 626.96 N ←
ดังนั้นแรงที่น้ํากระทํากับข(อตอลดมีคาเทากับ 626.96 N →
สําหรับการสูญเสียพลังงานหาได(ดังนี้
P1 P2 V12 V22
H L = ( z1 − z 2 ) + − + − (Ex3.8-4)
γ γ 2g 2g
พิจารณาแกน y : ∑ F = ∑ (ρQV )
y y out − ∑ (ρQV y )in (Ex3.9-1)
พิจารณาแรงที่กระทํากับข(อลดตอลดขนาด จะได(ดังรูป
(V ) คือ ความเร็วทางด(านออกของทอตามทิศทางแกน x = V2
y out
ρ in = ρ in = ρ wคือความหนาแนนของน้ํา (ของไหลอัดตัวไมได()
Qin = Qout = Q คืออัตราการไหล (สมการความตอเนื่อง) นําคาตาง ๆ แทนลงในสมการ Ex3.9-2 จะได(
− P1 A1 − P2 A2 + Fy = ρQ (V2 − (− V1 )) (Ex3.9-3)
π × 0.15 2
A1 = = 0.0177 m 2 = A 2 , V1 = V2 = 2.5 m/s ,
4
Q = A1V1 = 0 .0177 × 2.5 = 0.0442 m 3 /s
P V 2 V 2 V2
P2 = γ w ⋅ ( z1 − z2 ) + 1 + 1 − 2 − 2.5 2 (Ex3.9-4)
γ 2g 2g 2g
250 × 103 2 .5 2 2
P2 = 9,810 × 0 + + 0 − 2 .5 × = 242.19 kN/m
9,810 2g
Fy = 8,711 .76 N ↑
วิธีทํา จากสมการความตอเนื่องจะได(
∑Q in = ∑ Qout (Ex3.10-1)
สมมติน้ําไหลออกทางหน(าตัดที่ 3 จะได(
Q1 = Q2 + Q3
π 0 .4 2 π 0 .2 2
×4 = × 12 + Q3
4 4
Q 3 = 0.1257 m 3 /s
การหาแรงกระทําต(องใช(สมการโมเมนตัม กรณีการไหลเปนแบบคงที่จะได(
พิจารณาแกน x : ∑ F = ∑ (ρQV )
x x out − ∑ (ρQV x )in (Ex3.10-2)
พิจารณาแรงที่กระทํากับข(อตอสามทางดังรูป
114
a) ทิศทางของความเร็ว b) ทิศทางของแรงกระทํา
เมื่อ
F1 คือแรงดันน้ําที่กระทํากับปริมาตรควบคุมที่หน(าตัดที่ 1 (ด(านเข(า) มีคาเทากับ P1A1
F2 คือแรงดันน้ําที่กระทํากับปริมาตรควบคุมที่หน(าตัดที่ 2 (ด(านออก) มีคาเทากับ P2A2
F3x คือแรงดันน้ําที่กระทํากับปริมาตรควบคุมที่หน(าตัดที่ 3 (ด(านออก) มีคาเทากับ P3 A3 cos θ
Fx′ คือ แรงต(านแรงกระแทกของน้ําซึ่งมีขนาดเทากับแรงกระแทกของน้ํา (Fx) แตทิศทางตรงกันข(าม
(Vx )2 คือ ความเร็วทางด(านออกตามในแนวแกน x = −V (ทิศทางความเร็วตรงกันข(ามกับทิศ +x)
2
เชนเดียวกันสามารถหาคา P3 ได(ดังนี้
P V 2 V 2
P3 = γ w × ( z1 − z3 ) + 1 + 1 − 3 (Ex3.10-6)
γ 2g 2g
F3 y − F1 − Fy′ = ( ρ QVy ) − ( ρ QV y )
3 1
(Ex3.10-8)
(
F3 sin θ − F1 + Fy′ = ρ × Q3 × ( −V3 cos θ ) − Q1 × ( −V )1 )
P3 A3 sin θ − P1 A1 + Fy′ = ρ × ( Q1V1 − Q3V3 sin θ ) (Ex3.10-9)
27243.22
ทิศทางที่แรงลัพธกระทํา β = tan −1 = 74.34
7634.92
แบบฝ_กหัดท.ายบท
6. โรงบําบัดน้ําเสียแหงหนึ่งต(องการแยกไขมันออกจากน้ําเสียด(วยถังดักไขมัน หลังจากน้ําเสียไหล
ผานถังดักไขมัน ที่ทางออกสามาถวัดอัตราการไหลของ
น้ําเสียได( 4 L/s ความถวงจําเพาะเทากับ 1.2 และเมื่อ
เวลาผานไป 5 นาที ปริมาณไขมันที่ดักได(เพิ่มขึ้น 72
Kg ความถว งจํ า เพาะของไขมั นเท ากั บ 0.6 ถ( า อัต รา
การไหลของน้ําเสียที่ทางเข(ามีคาคงที่ จงหาอัตราการ
ไหลและความหนาแนนของน้ําเสียกอนเข(าถังดักไขมัน
บทที่ 4
การวิเคราะหมิติและความคล.ายคลึง (Dimensionless Analysis and Similitude)
งานด(านวิศวกรรมที่เกี่ยวข(องกับกลศาสตรของไหล หลายปMญหาลักษณะการไหลมีความซับซ(อน
เชนการไหลผานอาคารลดระดับแบบขั้นบันได การไหลผานอาคารน้ําตก การไหลผานอาคารชลศาสตรที่มี
ความซับซ(อน หรือการออกแบบอาคารชลศาสตรที่ไมเคยออกแบบใช(งานมากอน การวิเคราะหหาลักษณะ
การไหลด(วยทฤษฎีบางครั้งไมสามารถหาคําตอบได(ทั้งหมด ดังนั้นการหาคําตอบด(วยแบบจําลองกายภาพ
จึงเปนแนวทางที่ชวยแก(ปMญหาที่ซับซ(อน และชวยสนับสนุนการตัดสินใจให(กับผู(ออกแบบได(เปนอยางดี
อยางไรก็ตามการใช(แบบจําลองกายภาพจําเปนต(องมีการทดลองเพื่อเก็บข(อมูลและต(องทําการทดลองซ้ํา
หลาย ๆ ครั้งเพื่อให(ได(คําตอบของปMญหาที่ถูกต(อง ดังนั้นหากไมมีการวางแผนที่ดีจะให(มีคาใช(จายในการ
หาคําตอบคอนข(างสูง และอาจต(องใช(เวลานานหากตัวแปรที่เกี่ยวข(องมีจํานวนมาก ในการหาคําตอบของ
ปM ญ หาเหล า นั้ น จํ า เป น ต( อ งจํ า ลองโครงสร( า งทางชลศาสตร และสถานการณ ต า ง ๆ ลงมาทดลองใน
ห( อ งปฏิ บั ติ ก ารซึ่ ง เรี ย กว า แบบจํ า ลอง (Model) โดยต( อ งจํ า ลองให( ส ามารถเป น ตั ว แทนของจริ ง
(Prototype) ได(อยางเหมาะสม ไมเชนนั้นจะได(คําตอบที่ผิดไปจากความเปนจริง ปMญหาดังกลาวสามารถ
ทําได(โดยการใช(หลักความคล(ายคลึง (Similitude) และการวิเคราะหมิติ (Dimensionless Analysis) มา
ชวยวิเคราะหเพื่อจัดกลุมของตัวแปรและวางแผนการทดลอง โดยการศึกษาพฤติกรรมและปรากฏการณที่
สนใจภายใต(สภาวะที่ควบคุมทั้งการไหลภายใต(แรงดันละการไหลในทางน้ําเปKด ซึ่งจะชวยลดจํานวนการ
ทดลองให(น(อยลง ทําให(ได(ผลการทดลอง (Empirical Formulation) ไปใช(ทํานายพฤติกรรมของระบบอื่น
ให(ได(คําตอบที่ถูกต(องมากที่สุด
หน2วยและมิติ
หน2วย (Unit)
หน ว ยคื อลั กษณะนามที่ใ ช( ร ะบุ ถึงปริ มาณ ระบบหน ว ยนั้ น มี มาก ทั้งนี้ ขึ้น อยู กับ ภาษาและ
วัฒนธรรมของแตละประเทศ เชนประเทศไทย ก็มีหนวยของตนเอง เชน ความยาววัดเปน ศอก วา เปน
ต( น ดั ง นั้ น เพื่ อ ให( เ ป น สากลจึ งมี ร ะบบหน ว ยที่ นิ ย มใช( มากที่ สุ ดในปM จ จุ บั น อยู ส องระบบ คื อ System
International Unit หรือที่เรียกวา “ระบบ SI” ตัวยอ SI และ British Gravitational System หรือที่
เรียกวา “ระบบอังกฤษ” ตัวยอ BG โดยในตําราเลมนี้จะได(ใช(ระบบหนวย SI เปนหลัก เนื่องจากเปน
ระบบหนวยที่นิยมใช(สําหรับประเทศไทย สําหรับวิชากลศาสตรของไหลนั้นหนวยวัดปริมาณพื้นฐานมีอยู
4 ปริมาณคือ มวล ความยาว เวลา และแรง โดยมีหนวยและสัญลักษณดังตารางที่ 4.1
122
ความเร็ว (velocity) m/s, km/hr, cm/min LT-1 ft/s, mi/hr, inch/min LT-1
มุม (angle) - - - -
ความเค.น (strain) - - - -
∆p L = f (D, ρ , µ ,V ) (4.1)
(a) (b)
(c) (d)
D (∆p L ) ρVD
= f (4.2)
ρV 2 µ
D(∆p L )
=
L FL−3 ( ) = F 0 L0T 0 = 1 = ไร้ มิติ
ρV 2 (
FL− 4T 2 LT −1 )( )
2
เขียนฟMงชั่นของสมการ
(
F = C D a , N b ,V c , ρ d , µ e ) (E4.1-1)
F D N V ρ µ
MLT-2 L T-1 LT-1 ML-3 ML-1T-1
นํามิติของตัวแปรตาง ๆ มาเขียนสมการให(อยูในระบบเลขยกกําลัง
M; 1 = d+e (E4.1-2)
L; 1 = a+c-3d-e (E4.1-3)
T; -2 = -b-c-e (E4.1-4)
d = 1- e
c = 2-b-e
a = 1-c+3d+e =2+b-e
129
(
F = C D (2+b −e ) , N b , V (2−b−e ) , ρ (1−e ) , µ e ) (E4.1-5)
DN (L ) T −1
=
( )
= L0T 0 = 1 = ไร้ มิติ
V LT −1
µ ML−1T −1
= = M 0 L0T 0 = 1 = ไร้ มิติ
ρVD (ML LT (L )
−3 −1
)( )
โดยเลขยกกําลัง b และ e สามารถเปนเลขจํานวนนับใด ๆ ก็ได( เชน
F DN µ
= C
2 2 (E4.1-7)
ρD V V ρDV
F V ρDV
= C
2 2 (E4.1-8)
ρD V DN µ
k1 = f (k 2 , k3 , k 4 ,..., k n ) (4.5)
Π1 = φ (Π 2 , Π 3 , Π 4 ,..., Π k − r ) (4.6)
ขั้นตอนที่ 1 กําหนดตัวแปรที่เกี่ยวข(องในการทดลองซึ่งเปนขั้นตอนการกําหนดตัวแปรสําหรับนํามา
วิเคราะห ตัว แปรไร(มิตินั้ นเปน ขั้น ตอนที่ย าก ซึ่ งผู( ทํา การทดลองจํา เปน ต(องกํ าหนดตัว แปรที่ เกี่ ยวข(อง
ทั้งหมดให(ครบถ(วนซึ่งต(องมีจํานวนมากพอที่จะสามารถหาคําตอบได( หากกําหนดตัวแปรที่เกี่ยวข(องน(อย
เกินก็ไมสามารถหาคําตอบของปMญหาได(หรือความถูกต(องลดลง หากกําหนดตัวแปรมากเกินไปกลุมตัวแปร
ไร(มิติที่สร(างขึ้นก็จะมากขึ้นไปด(วย ทําให(เสียงบประมาณและเวลาในการทดลองเพิ่มขึ้น อยางไรก็ตามการ
กําหนดตัวแปรที่เกี่ยวข(องควรจะพิจารณาตัวแปรแตละตัวต(องเปนอิสระตอกัน เชน ถ(าความหนาแนน
(ρ ) และน้ําหนักจําเพาะ (γ ) เปนตัวแปรที่สําคัญ เราสามารถกําหนด ρ กับ γ หรือ ρ กับ g ก็ได( แต
131
ไม ควรเลื อกทั้ ง ρ , γ , g เข( า มาทั้ ง สามตั ว แปรเนื่ องจากทั้ ง สามตั ว แปรไม เ ป น อิ ส ระต อกั น (γ = ρg )
ขั้นตอนนี้สมมติตัวแปรที่สําคัญจํานวน k ตัว: k1 , k2 , k3 , k4 ,..., kn และเขียนฟMงกชันความสัมพันธดัง
สมการ
k1 = f (k 2 , k3 , k 4 ,..., k n )
(4.7)
ขั้นตอนที่ 3 กําหนดจํานวนกลุมตัวแปรไร(มิติ
จํานวนกลุมตัวแปรไร(มิติ = จํานวนตัวแปรทั้งหมดที่เกี่ยวข(อง (k) – จํานวนมิติอ(างอิง
พื้นฐาน (r)
ขั้นตอนที่ 7 ตรวจสอบกลุมตัวแปรไร(มิติแตละกลุมวาเปนเปนกลุมตัวแปรไร(มิติหรือไม
ขั้นตอนที่ 8 เขียนสมการสร(างความสัมพันธให(อยูในรูปของเทอมไพนที่สร(างขึ้นดังสมการ
Π1 = φ (Π 2 , Π 3 , Π 4 ,..., Π k − r ) (4.8)
วิธีทํา
ขั้นตอนที่ 1 กําหนดตัวแปรที่เกี่ยวข(องในการทดลอง ในโจทยข(อ 4.1 มีตัวแปรที่เกี่ยวข(องทั้งหมด 6 ตัว
(k=6) ได(แก แรงที่กระทําตอใบพัด (F) ขนาดเส(นผานศูนยกลาง (D) ของเครื่องสูบน้ํา ความเร็วรอบการ
หมุนของใบพัด (N) ความเร็วการไหลของของไหล (V) ความหนาแนนของของไหล (ρ ) และความหนืด
พลศาสตรของของไหล (µ )
ขั้นตอนที่ 2 แสดงมิติของตัวแปรและเลือกระบบมิติพื้นฐานที่จะใช(ในการจัดกลุมตัวแปรไร(มิติวิธีการจัด
กลุมตัวแปรไร(มิติ
ในการจัดกลุมตัวแปรไร(มิติครั้งนี้เลือกใช(ระบบ MLT ในการวิเคราะห
F D N V ρ µ
MLT-2 L T-1 LT-1 ML-3 ML-1T-1
ขั้นตอนที่ 3 กําหนดจํานวนกลุมตัวแปรไร(มิติ
จํานวนกลุมตัวแปรไร(มิติเทากับ 3 เทอม (6-3)
D ρ V
-3
L ML LT-1
ขั้นตอนที่ 5 สร(างกลุมตัวแปรมิติกลุมที่หนึ่ง
Π1 = FD a ρ bV c (E4.2-1)
นํามิติของตัวแปรตาง เขาไปในสมการที่ E4.2-1 (เทอม Π1 มีมิติเทากับ M 0 L0T 0 ) จะได(
( ) (
M 0 L0T 0 = MLT −2 (L ) ML−3
a
) (LT )
b −1 c
(E4.2-2)
M 0 = M 1+b (E4.2-3)
L0 = L1+ a −3b + c (E4.2-4)
T 0 = T −2−c (E4.2-5)
แก(สมการ E4.2-3 ถึง E4.2-5 จะได( b = -1, c = -2 และ a = -2 นําเลขชี้กําลังไปแทนคาในสมการที่
E4.2-1 จะได(
Π1 = FD −2 ρ −1V −2
F
หรือ Π1 = (E4.2-6)
ρD 2V 2
ขั้นตอนที่ 6 สร(างกลุมตัวแปรมิติกลุมอื่น
Π 2 = ND a ρ bV c (E4.2-7)
Π 3 = µD a ρ bV c (E4.2-8)
135
ดําเนินการตามขั้นตอน 5 จะได(กลุมตัวแปรไร(มิติดังนี้
ND
Π2 = (E4.2-9)
V
µ
Π3 = (E4.2-10)
ρVD
ขั้นตอนที่ 7 ตรวจสอบกลุมตัวแปรไร(มิติแตละกลุมวาเปนเปนกลุมตัวแปรไร(มิติหรือไม
F
Π1 =
ρD 2V 2
ND
Π2 =
V
µ
Π3 =
ρVD
µ ρVD
หากนํา คา Π3 = ยกกําลัง -1 จะได( '
Π3 = กลุมตัวแปรไรมิติที่รู(จักดีทางกลศาสตรของไหล
ρVD µ
เรียกวา ตัวเลขเรยโนลด (Reynolds number)
ขั้นตอนที่ 8 เขียนสมการสร(างความสัมพันธให(อยูในรูปของเทอมไพนที่สร(างขึ้นดังสมการ
F ND ρVD
= φ , (E4.2-11)
2 2
ρD V V µ
ความสัมพันธของกลุมตัวแปรไร(มิติสามารถหาได(จากการทดลอง
136
ขั้นตอนที่ 2 แสดงมิติของตัวแปรและเลือกระบบมิติพื้นฐานที่จะใช(ในการจัดกลุมตัวแปรไร(มิติวิธีการจัด
กลุมตัวแปรไร(มิติ
Q V θ H h ρ µ g
ขั้นตอนที่ 3 กําหนดจํานวนกลุมตัวแปรไร(มิติ
จํานวนกลุมตัวแปรไร(มิติเทากับ 5 เทอม (8-3)
ดังนั้นจะได(ตัวแปรซ้ําคือ H , ρ ,V
จํานวนตัวแปรซ้ําจะต(องมีจํานวนเทากับจํานวนมิติอ(างอิง (เทากับ r = 3) ซึ่ง H , ρ ,V
มีมิติอ(างอิงของมิติพื้นฐานครบเทากับจํานวนมิติอ(างอิง
H ρ V
L ML-3 LT-1
ขั้นตอนที่ 5 สร(างกลุมตัวแปรไร(มิติกลุมที่หนึ่ง
Π1 = QH a ρ bV c (E4.3-1)
( ) (
M 0 L0T 0 = L3T −1 (L ) ML−3
a
) (LT )
b −1 c
(E4.3-2)
M0 = Mb (E4.3-3)
T 0 = T −1−c (E4.3-5)
Π1 = QH −2 ρ 0V −1
Q
หรือ Π1 = (E4.2-6)
VH 2
138
ขั้นตอนที่ 6 สร(างกลุมตัวแปรมิติกลุมอื่น
Π 2 = θH a ρ bV c (E4.3-7)
Π 3 = hH a ρ bV c (E4.3-8)
Π 4 = µH a ρ bV c (E4.3-9)
Π1 = gH a ρ bV c (E4.3-10)
ดําเนินการตามขั้นตอน 5 จะได(กลุมตัวแปรไร(มิติดังนี้
h
Π2 = (E4.2-11)
H
µ
Π3 = (E4.2-12)
ρVD
Π4 = θ (E4.2-13)
gH
Π5 = (E4.2-14)
V2
ขั้นตอนที่ 7 ตรวจสอบกลุมตัวแปรไร(มิติแตละกลุมวาเปนเปนกลุมตัวแปรไร(มิติหรือไม
Q
Π1 =
VH 2
h
Π2 =
H
µ
Π3 =
ρVD
Π4 = θ
gH
Π5 = 2
V
ขั้นตอนที่ 8 เขียนสมการสร(างความสัมพันธให(อยูในรูปของเทอมไพนที่สร(างขึ้นดังสมการ
Q h µ gH
2
= φ , ,θ , 2 (E4.3-15)
VH H ρVD V
ความสัมพันธของกลุมตัวแปรไร(มิติสามารถหาได(จากการทดลอง
139
ตัวอย2างที่4.4 ต(องการสร(างเครื่องสูบน้ําแบบใหมเพื่อใช(ให(ตรงตามวัตถุประสงคของการใช(งานในระบบ
ชลประทานของโครงการสงน้ําและบํารุงรักษาแหงหนึ่ง ผู(ออกแบบจึงต(องทําการศึกษาหาประสิทธิภาพ
ของเครื่องสูบน้ําในห(องปฏิบัติการ โดยได(พิจารณาถึงตัวแปรที่เกี่ยวข(องดังนี้คือ อัตรากรสูบน้ํา (Q) กําลัง
ของเครื่องสูบน้ํา (P) ขนาดเส(นผานศูนยกลางของ Rotor (D) ความเร็วรอบการหมุนของ Rotor (N) เฮด
ของน้ํา (H) ความหนาแนนของน้ํา (ρ ) และความเรงเนื่องจากแรงโน(มถวงของโลก (g) จงหากลุมตัวแปร
ไร(มิติเพื่อนํามาหาความสัมพันธและวิเคราะหถึงประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ําตอไป
วิธีทํา
ขั้นตอนที่ 2 แสดงมิติของตัวแปรและเลือกระบบมิติพื้นฐานที่จะใช(ในการจัดกลุมตัวแปรไร(มิติวิธีการจัด
กลุมตัวแปรไร(มิติ ในการจัดกลุมตัวแปรไร(มิติครั้งนี้เลือกใช(ระบบ FLT ในการวิเคราะห
η Q P D N H ρ g
ขั้นตอนที่ 3 กําหนดจํานวนกลุมตัวแปรไร(มิติ
จํานวนกลุมตัวแปรไร(มิติเทากับ 5 เทอม (8-3)
ดังนั้นจะได(ตัวแปรซ้ําคือ D, ρ , N
D ρ N
L FL-4T2 T-1
ขั้นตอนที่ 5 สร(างกลุมตัวแปรไร(มิติกลุมที่หนึ่ง
Π 1 = ηD a ρ b N c (E4.4-1)
(
F 0 L0T 0 = (L ) FL− 4T 2
a
) (T )
b −1 c
(E4.4-2)
F0 = Fb (E4.4-3)
L0 = La −4b (E4.4-4)
T 0 = T 2 b −c (E4.4-5)
แก(สมการ E4.4-3 ถึง E4.4-5 จะได( a = 0, b=0 และ c=0 นําเลขชี้กําลังไปแทนคาในสมการที่ E4.4-1
จะได(
Π 1 = ηD 0 ρ 0 g 0
หรือ Π1 = η (E4.3-6)
จะเห็นได(วาประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ําเปนตัวแปรไร(มิติเนื่องจากเปนตัวแปรที่ไมมีหนวย
141
ขั้นตอนที่ 6 สร(างกลุมตัวแปรมิติกลุมอื่น
Π 2 = QD a ρ b N c (E4.4-7)
Π 3 = PD a ρ b N c (E4.4-8)
Π 4 = HD a ρ b N c (E4.4-9)
Π 5 = gD a ρ b N c (E4.4-10)
ดําเนินการตามขั้นตอน 5 จะได(กลุมตัวแปรไร(มิติดังนี้
Q
Π2 = (E4.4-11)
ND 3
P
Π3 = (E4.4-12)
ρN 3 D 5
H
Π4 = (E4.4-13)
D
g
Π5 = (E4.4-14)
DN 2
ขั้นตอนที่ 7 ตรวจสอบกลุมตัวแปรไร(มิติแตละกลุมวาเปนเปนกลุมตัวแปรไร(มิติหรือไม
Π1 = η
Q
Π2 =
ND 3
P
Π3 =
ρN 3 D 5
H
Π4 =
D
g
Π5 =
DN 2
ขั้นตอนที่ 8 เขียนสมการสร(างความสัมพันธให(อยูในรูปของเทอมไพนที่สร(างขึ้นดังสมการ
Q P H g
η = φ 3
, 3 5
, ,
2
(E4.4-15)
ND ρN D D DN
ความสัมพันธของกลุมตัวแปรไร(มิติสามารถหาได(จากการทดลอง
142
ตัว อย างการนํ าทฤษฎี ของบั คกิ้ งแฮมไพน มาวิเ คราะหมิติ และใช(ศึกษาการไหลผา นอาคารชล
ศาสตร เชน การศึกษาของ Chinnarasri และ คณะ (2008) ได(ใช(เทคนิคการวิเคราะหมิติมาศึกษาถึง
ศึกษาการสลายพลังงานของทางระบายน้ําล(นขั้นบันไดแบบกลองตาขาย (EL) โดยมีตัวแปรที่สําคัญดังรูปที่
4.3
EL = φ (q, H T , h, l ,α , e, g ) (4.9)
โดยมีมิติของตัวแปรตาง ๆ ที่เกี่ยวข(องดังนี้
EL q HT h l α e g
2 -1
L LT L L L - - LT-2
สามารถสร(างกลุมตัวแปรไร(มิติได(ดังนี้
EL q2 h l
= φ 3
, , , α , e
HT gH T
H T H T
ความสัมพันธของกลุมตัวแปรไร(มิติสามารถหาได(จากการทดลอง
143
จากการวิเคราะหกลุมตัวแปรไร(มิติด(วยวิธีตัวแปรซ้ํานั้น รูปแบบของสมการขึ้นอยูกับตัวแปรซ้ําที่
เลือกด(วย ดังตัวอยางการวิเคราะหความดันที่ตกลงตอหนึ่งหนวยความยาวทอ ( ∆p L ) กับตัวแปรอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข(องได(แกขนาดเส(นผานศูนยกลางของทอ (D) ความหนาแนนของของไหล ( ρ ) ความหนืด
พลศาสตรของของไหล ( µ ) ความเร็วเฉลี่ยการไหล (V) เมื่อทําการเลือก D, ρ ,V เปนตัวแปรซ้ําเมื่อ
วิเคราะหกลุมตัวแปรไร(มิติจะได(ความสัมพันธของเทอมไพนคือ D(∆p L ) = φ ρVD เมื่อนําทดลอง
µ
ρV 2
และนําข(อมูลมาพล็อตกราฟหาความสัมพันธจะได(ดังรูปที่ 4.4a แตหากเลือก D, µ ,V เปนตัวแปรซ้ําเมื่อ
Vµ µ
และนําข(อมูลมาพล็อตกราฟหาความสัมพันธจะได(ดังรูปที่ 4.4b
(a) (b)
Π1 = φ (Π 2 , Π 3 )
Π′2 = Π a2 Π b3
144
Π1 = φ1 (Π′2 , Π 3 )
หรือ Π1 = φ2 (Π 2 , Π′2 )
Π nm = Π np
เมื่อ Lr, Ar, และ ∀r คืออัตราสวนความยาว พื้นที่ และ ปริมาตรตามลําดับ Lm, Am, และ ∀mr คื อ ความ
ยาว พื้นที่ และ ปริมาตรของแบบจําลองตามลําดับ และ LP, AP, และ ∀P คื อ คว าม ยา ว พื้ น ที่ แล ะ
ปริมาตรของตัวจริงตามลําดับ
149
อัตราสวนเวลา
Tm
Tr =
TP
อัตราสวนความเร็ว
Vm (L T )m Lm L p Lr
Vr = = = =
VP (L T )P Tm T p Tr
อัตราสวนความเรง
ar =
am
=
(
LT
2
)
m
=
Lm L p
=
Lr
aP (
L T2 )
P
2
Tm T 2
p Tr2
จะเห็นได(วาความคล(ายคลึงทางจลนศาสตรมีความสัมพันธกับมาตราสวนความยาวของ
แบบจําลอง (Lr) ดังนั้นการกําหนดมาตราสวนที่เหมาะสมจึงมีความสําคัญอยางยิ่งสําหรับการศึกษา
แบบจําลองกายภาพ
150
ความคล(ายคลึงทางพลวัตหมายถึงสภาพความคล(ายของอัตราสวนแรงในแบบจําลองตอแรงในต(นแบบ
โดยอัตราสวนแรงตาง ๆ ต(องเปนอัตราสวนเดียวกันหรือสภาพความคล(ายทางพลวัตที่เกิดจากการกําหนด
เทอมไพน ที่เกี่ยวข(องกับอัตราสวนของแรง เชน เรยโนลดนัมเบอร (Re) ฟรุดนัมเบอร (Fr) ของ
แบบจําลองและต(นแบบต(องมีคาเทากัน
Re P =Re m (4.15)
โดยที่
FG คือ แรงเนื่องจากความโน(มถวงของโลก (Gravity force) FG = mg = ρgL3
FI คือ แรงเนื่องจากความเฉื่อย (Inertia force) FI = ma = ρV 2 L2
FP คือ แรงเนื่องจากความดัน (Pressure force) FP = PA = PL2
FV คือ แรงเนื่องจากความหนืด (Viscosity force) FV = µ (du dy )A = µ (V L )A = µVL
FE คือ แรงเนื่องจากความยืดหยุน (Elastic force) FE = EV A = EV L2
FT คือ แรงเนื่องจากความตึงผิว (Tension force) FT = σL
เมื่อ m คือ มวล g คือความเรงเนื่องจากแรงโน(มถวงของโลก a คือ ความเรง P คือความดัน A
พื้นที่ µ คือ ความหนืดสัมบูรณ u คือ ความเร็วการไหล y คือความลึกการไหล EV คือ โมดูลัสความ
ยืดหยุน σ คือ ความตึงผิว (ตัวห(อย P คือจากต(นแบบ และ m คือจากแบบจําลอง)
151
ผลการทดสอบในห(องปฏิบัติการพบวาได(คาตาง ๆ ดังนี้
กําลังงานที่เครื่องสูบน้ําต(องใช(เทากับ 50 Watts
อัตราการสูบน้ําเทากับ 8 l/s
ความเร็วรอบของ Rotor เทากับ 1272.8 rpm
ประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ําเทากับ 64.2 %
จงหา
a) ขนาดเส(นผานศูนยกลางของ Rotor ที่ต(องใช(ในห(องปฏิบัติการ
b) เฮดของน้ําที่ต(องใช(ในห(องปฏิบัติการ
c) กําลังงานที่ต(องใช(ในเครื่องสูบน้ําของจริง
d) อัตราการสูบน้ําของจริง
e) ประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ําจริง
วิธีทํา
จากตัวอยางที่ 4.4 สามารถวิเคราะหกลุมตัวแปรไร(มิติได( η = φ Q
3
,
P
3 5
H g
, , เมื่อ
2
η คือ
ND ρN D D DN
ประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ํา Q คือ อัตรากรสูบน้ํา P คือ กําลังของเครื่องสูบน้ํา D คือ ขนาดเส(นผาน
ศูนยกลางของ Rotor N คือ ความเร็วรอบการหมุนของ Rotor H คื อเฮดของน้ํา ρ คือ ความหนาแนน
ของน้ําและ g คือ ความเรงเนื่องจากแรงโน(มถวงของโลก
b) เฮดของน้ําที่ต(องใช(ในห(องปฏิบัติการ
Lm 1
จากมาตราสวนยอจากของจริง 1:8 จะได( Lr = = ดังนั้นจะได( .
Lp 8
Hm 1 H 20
= ⇒ Hm = P = = 2.5cm
Hp 8 8 8
เพราะฉะนั้นจะต(องควบคุมเฮดของน้ําที่ต(องใช(ในห(องปฏิบัติการเทากับ 30 cm
c) กําลังงานที่ต(องใช(ในเครื่องสูบน้ําของจริง (PP)
P
จากกลุมตัวแปรไร(มิติต(องการหากําลังของเครื่องสูบน้ําดังนั้นเลือกใช( เทอม จะได(
ρN 3 D 5
ความสัมพันธระหวางแบบจําลอง (Model, m) กับต(นแบบ (Prototype, p) ดังนี้
P P
=
3 5
3 5
ρN D m ρN D p
เนื่องจาก ρm = ρP (ใช(น้ําในการทดสอบในห(องปฏิบัติการและน้ําเปนของไหลที่ต(องสูบจริง)
เพราะฉะนั้น PP =
( =
)
Pm ρN 3 D 5 P 50 × 4503 × 2405
= 72,406.4 Watts
(ρN 3 D 5 m )
1272.83 × 305
d) อัตราการสูบน้ําของจริง
Q
จากกลุมตัวแปรไร(มิติต(องการหากําลังของเครื่องสูบน้ําดังนั้นเลือกใช( เทอม จะได(
ND 3
ความสัมพันธระหวางแบบจําลอง (Model, m) กับต(นแบบ (Prototype, p) ดังนี้
Q Q
3
= 3
ND m ND p
เพราะฉะนั้น QP = =
( )
Qm ND 3 P 8 × 450 × 2403
= 1,448.15 l/s
(
ND 3 m )
1272.8 × 303
e) ประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ําจริง
จากกลุมตัวแปรไร(มิติต(องการหากําลังของเครื่องสูบน้ําดังนั้นเลือกใช( เทอม η จะได(
ความสัมพันธระหวางแบบจําลอง (Model, m) กับต(นแบบ (Prototype, p) ดังนี้
ηm = η p
เพราะฉะนั้น η P = 64.2 %
153
จากเทอมไร(มิติของเครื่องสูบน้ํา จะได(สัมประสิทธิ์ที่สําคัญของเครื่องสูบน้ําตามกฎความคล(ายคลึงของ
เครื่องสูบน้ํา (Similarity laws of pump) ได(ดังนี้
gH
สัมประสิทธิ์ของเฮด (Head coefficient, CH) , ซึ่งเกิดจากการนําตัวแปรไรมิติ
N 2D2
H g
× 2
D DN
Q
สัมประสิทธิ์ของอัตราการไหล (Flow coefficient, CQ),
ND 3
γQH
สัมประสิทธิ์กําลัง (Power coefficient, CP), เมื่อ P = γQH ( γ คือน้ําหนัก
ρN 3 D 5
จําเพาะของไหล
ประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ํา (Pump efficiency), η
ซึ่งสามารถนําไปใช(ได(ทุกเครื่องสูบน้ํา โดยมีความสัมพันธระหวางแบบจําลองกับต(นแบบดังนี้
gH gH
2 2 = 2 2
N D m N D p
Q Q
3
= 3
ND m ND p
γQH γQH
=
3 5
3 5
ρN D m ρN D p
ηm = η p
154
จงหาเขียนกราฟแสดงสมรรถนะของเครื่องสูบน้ําต(นแบบ
วิธีทํา
Q Q
สัมประสิทธิ์ของอัตราการไหล CQ ; 3
= 3
ND m ND p
QP =
( =
)
Qm ND 3 P 1700 × 5003
Qm
(ND 3 m )
1200 × 200 3
QP = 22.14Qm (E4.6-1)
gH gH
สัมประสิทธิ์เฮด CH ; 2 2 = 2 2
N D m N D p
HP =
Hm N 2D2 ( )P
=
1700 2 × 500 2
Hm
(
N 2D2 m ) 1200 2 × 200 2
QP = 12.54 H m (E4.6-2)
155
และสามารถสร(างกราฟแสดงสมรรถนะของเครื่องสูบน้ําต(นแบบได(ดังนี้
วิธีทํา
หาขนาดเส(นผานศูนยกลางของวาลวในแบบจําลอง
DP 5
=
Dm 1
DP 100
Dm = = = 20 cm
5 5
หาความเร็วการไหลที่เกิดขึ้นกับวาลวในแบบจําลอง (เนื่องจากเปนการไหลที่มีอิทธิพล
เนื่องจากความหนืดตอแรงเฉื่อยจึงใช(ความคล(ายจากตัวเลขเรยโนลด)
Re P = Re m
VD VD
=
υ P υ m
VD υ
Vm =
υ P D m
−7 = 84.98 m/s
Vm =
9.838 × 10 P 20 m
π×0.2 2
ตอบ ดังนั้นอัตราการไหลของอากาศเทากับ Q = AV = ×84.98 = 2.67 m3 /s
4
157
วิธีทํา
อัตราสวนของแบบต(นแบบตอแบบจําลอง (Lr)
DP 200
Lr = = = 10
Dm 20
หาความลึกการไหลในแบบจําลอง (ym)
yP 8
ym = = = 0.8 m ตอบ
Lr 10
หาความเร็วการไหลที่จะเกิดขึ้นในแบบแบบจําลอง (เนื่องจากเปนการไหลที่มีอิทธิพล
เนื่องจากความแรงโน(มถวงของโลกตอแรงเฉื่อยจึงใช(ความคล(ายจากฟรุดนัมเบอร)
FrP = Frm
V V
=
gy P gy m
V ym 0.8
Vm = ( gy )
m
=
yp
× VP =
8
× 1.0 = 3.16 m/s
gy P ตอบ
158
( ρV L ) × F
2 2
12 × 200 2
ตอบ
(F ) =
D P ( ) P
D m = × 256= 2,565.69 N
( ρV L ) 2 2
m
3.162 × 202
159
แบบฝ_กหัดท.ายบท
1. แรงกระทําตอแผนระนาบ (F)โดยลําของเหลว (jet of liquid) ที่ไหลเข(าปะทะกับแผนระนาบ
ขึ้นอยูกับความหนาแนนของของเหลว (ρ) ความเร็วของลําของเหลว (V) พื้นที่หน(าตัดของลํา
ของเหลว (A) มุมของลําของเหลวที่กระทํากับแนวแผนระนาบ (θ) และระยะหางระหวางหัวฉีด
กับแผนระนาบ (L) จงวิเคราะหหากลุมตัวแปรไร(มิติตามวิธีเรยไลทและวิธีของบัคกิ้งแฮมไพน
บทที่ 5
การไหลในท2อ (Flow in Pipe)
การไหลภายในทอคือการไหลภายใต(แรงดันที่ของไหลจะต(องไหลเต็มหน(าตัดทอ ทอดังกลาวอาจ
มีรูปรางกลม หรือไมกลมก็ได( ตราบใดที่การไหลมีความดันเกิดขึ้น เชนการไหลของน้ําในทอประปา การ
ไหลของน้ําในระบบทอสงน้ําเพื่อการเกษตรเปนต(น การไหลภายในทอจะมีรูปแบบการไหลที่แตกตางกัน
ออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยูกับชนิดและความเร็วของ ๆ ไหล ชนิดและขนาดของทอ
รู ป ที่ 5.1 ประกอบด( ว ยถั งบรรจุ ของเหลวขนาดใหญ ติ ด ตั้ งท อใสและวาล ว ควบคุ มด( า นท( า ย
(ตําแหนง 2) ด(านบนติดตั้งถังขนาดเล็กที่บรรจุของเหลวผสมสี (ของเหลวผสมสีควรมีคุณสมบัติใกล(เคียง
กับของเหลวที่จะทําการทดลองมากที่สุด) มีวาลวควบคุม (ตําแหนงที่ 1) การศึกษาของเรยโนลดมีวิธีการ
ดั ง นี้ เปK ด วาล ว ที่ ตํ า แหน งที่ 2 เล็ กน( อยรอจนกระทั่ ง การไหลเป น แบบคงที่ ทํ า การวั ด อั ต ราการไหล
(สามารถคํานวณความเร็วการไหลได() จากนั้นเปKดวาลวที่ตําแหนงที่ 1 ให(ของเหลวผสมสีไหลผานทอใสรอ
จนกระทั่งเส(นสีมีรูปแบบไมเปลี่ยนแปลง จากนั้นสังเกตรูปแบบของเส(นสี ซึ่งเส(นสีดังกลาวนี้คือเส(นแนว
การไหล ทําการเปKดวาลวน้ําที่ตําแหนง 2 หลาย ๆ คาและสังเกตรูปแบบของเส(นสีที่อัตราการไหลแตกตาง
กัน จากนั้นสามารถนํามาสรุปรูปแบบการไหลได(ดังนี้
163
คาตัวเลขเรยโนลดเปนเทอมไร(มิติ ทําให(ไมมีหนวยดังนั้นจึงสามารถใช(ได(กับทอได(ทุกชนิดและใช(
กับของเหลวได(ทุกชนิดเชนกัน
164
ตั ว อย2 า งที่ 5.1 ของเหลวชนิ ด หนึ่ ง มี ค วามถ ว งจํ า เพาะเท า กั บ 0.89 มี ค วามหนื ด จลศาสตร เ ท า กั บ
0.84x10-6 m2/s ไหลในทอขนาดเส(นผานศูนยกลาง 20 cm ด(วยอัตราการไหล 400 L/s จงหารูปแบบ
การไหลภายในทอดังกลาว
วิธีทํา
Q (400 1,000)
ความเร็วการไหล, V= = = 12.73 m/s
A (π × 0.22 ) 4
หาตัวเลขเรยโนลดจากสมการที่ 5.1
ρVD 12.73 × 0.2
Re = = −6
= 3.03 ×10 6
µ 0.84 × 10
การไหลเข( า ท อตรงตํ า แหน งจุ ด เชื่ อมบรรจบจากแหล งน้ํ า ซึ่ ง จะเรี ย กการไหลเข( า ท อบริ เ วณ
ดังกลาวนี้วา การไหลชวงเข(า (Entrance Region) ดังรูปที่ 5.2 โดยการกระจายความเร็วการไหล
(Velocity Profile) ชวงที่เริ่มเข(าทอ (หน(าตัดที่ 1) จะมีความเร็วใกล(เคียงกันตลอดหน(าตัด และเมื่อไหล
เข( า สู ท อ ผลของความหนื ด ทํ า ให( ข องไหลส ว นที่ ติ ด ผนั ง ท อ ยึ ด ติ ด กั บ ผิ ว ท อ (No-Slip Boundary
Condition) ทําให(เกิดชั้นขอบเขต (Boundary Layer) โดยชั้นขอบเขตคอย ๆ ขยายตัวลูเข(าสูศูนยกลาง
ทอ ทํ าให( ความเร็ วหน( าตัด คอย ๆ คอย ๆ เปลี่ ยนแปลงตามระยะทางที่ไหลไปตามความยาวทอ การ
กระจายความเร็วจะมีการปรับตัวอยางตอเนื่องจนท(ายที่สุดเข(าสูสภาวะสมดุลที่ตําแหนงที่ชั้นขอบเขต
ครอบคลุมถึงแกนกลางทอ ซึ่งก็คือตําแหนงสิ้นสุดของการไหลชวงเข(าและเปนตําแหนงการไหลที่เข(าสูการ
ไหลพัฒนาเต็มที่ (Fully Developed Flow) เมื่อการไหลเข(าสูชวงพัฒนาเต็มที่แล(วการกระจายความเร็ว
การไหลจะไมเปลี่ยนแปลงไปตามระยะทาง จนกวาจะมีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของการไหล เชน
เปลี่ยนขนาดทอ หรือการไหลผานอุปกรณประกอบทอตาง ๆ เชน วาลว ข(องอ เปนต(น
จะเห็นได(วาความยาวชวงทางเข(ากรณีการไหลแบบราบเรียบจะเกิดขึ้นจากอิทธิพลของตัวเลขเรย
โนลดเทานั้น สวนการไหลแบบปMîนปñวนจะมีอิทธิพลของขนาดทอเข(ามาเกี่ยวข(องด(วย อยางไรก็ตามการ
คํานวณหารูปแบบการกระจายความเร็ว ของการไหลในชวงทางเข(ามีความซับซ(อน และยุงยากมาก
เนื่องจากจะมีการแปรเปลี่ยนตามระยะทาง อยางไรก็ตามเมื่อการไหลพัฒนาเข(าสูชวงการไหลพัฒนาเต็มที่
การกระจายความเร็วจะวิเคราะหได(งายขึ้น เนื่องจากการความเร็วจะแปรผันกับระยะตามแนวรัศมี (r) แต
จะไปแปรผันตามระยะทางตามแนวความยาวของทอ
P1 V12 P V2
Z1 + + = Z2 + 2 + 2 + H L
γ 2g γ 2g
P P V 2 V 2
หรื อ H L = (Z1 − Z 2 ) + 1 − 2 + 1 − 2 (5.4)
γ γ 2g 2g
167
P −P
H L = (Z1 − Z 2 ) + 1 2 (5.5)
γ
จากสมการโมเมนตัม
∑ F = ∑ (ρQV ) out
− ∑ (ρQV )in
∑ F = ρQ(V 2 − V1 )
เนื่องจากความเร็วการไหล V1 = V2 ดังนั้น
∑F =0
จากรูปที่ 5.4b
F1 − F2 − W sin θ − F f = 0
P −P
จากสมการที่ 5.5 พบวา H L = (Z1 − Z 2 ) + 1 2 จะได(
γ
τ o (2πRL ) τ o (2πRL ) 2 Lτ o
hf = หรือ hf = = (5.7)
γA γ (πR 2 ) γR
τo α V 2 (5.8)
หรือ
τ o = KV 2 (5.9)
2 LKV 2
hf =
γR
169
4 LKV 2
hf = (5.10)
ρ gD
L V2
hf = f (5.11)
D 2g
ε
f = φ Re, (5.12)
D
โดยที่ Re =
ρVD
เมื่อ ρ คือความหนาแนนของของไหล (kg/m3) V คือความเร็วการไหล
µ
(m/s) D คือ ขนาดเส(นผานศูนยกลางทอ (m) ไหล µ คือ ความหนืดพลวัต (N⋅s/m2) และ ε คือ ความ
ขรุขระของผิวภายในทอ (m) สําหรับความขรุขระของผิวภายในทอแสดงดังตารางที่ 5.1
170
ความขรุขระของผิวภายในทอ
ลักษณะผิวทอ
(mm)
ทองแดง (Copper), ตะกั่ว (Lead), ทองเหลือง (Brass), อลูมิเนียม
Aluminum (ใหม) 0.001-0.002
พีวีซี (PVC), พลาสติก (Plastic), แก(ว (Glass) 0.0015-0.007
อีพ็อกซี่ (Epoxy), ไวนิลเอสเตอร (Vinyl ester) 0.0052
เหล็กกล(าไร(สนิม (Stainless steel) 0.0152
เหล็กเชิงพาณิชย (Commercial steel) 0.045-0.0914
เหล็กยืด (Stretched steel) 0.0152
เหล็กผิวเชื่อม (Weld steel) 0.045
เหล็กชุบสังกะสี (Galvanized steel) 0.152
เหล็กมีสนิม (Rusted steel) 0.152-0.4
เหล็กหลอใหม (New cast iron) 0.244-0.823
เหล็กหลอสึกกรอน (Worn cast iron) 0.823-1.52
เหล็กหลอเปนสนิม (Rusty cast iron) 1.52-2.5
เหล็กแผนหรือผิวถูกเคลือบด(วยแอสฟMลท
(Sheet or asphalted cast iron) 0.01-0.152
คอนกรีตฉาบผิว (Smoothed cement) 0.305
คอนกรีตผิวธรรมดา (Ordinary concrete) 0.3-1.0
คอนกรีตผิวหยาบ (Coarse concrete) 0.3-5.0
ไม(ใสผิวเรียบ (Well planed wood) 0.183-0.94
ε
ในปë ค.ศ. 1933 J.Nikuradse ได(ทําการทดลองเพื่อหาความสัมพันธของ f = φ Re, โดยการ
D
ทดลองโดยใช(ทอผิวหยาบ โดยการนําทรายตาง ๆ มาติดที่ผิวภายในทอด(วยกาวและทําการวัดการสูญเสีย
พลังงานหลัก (เฮดความดันที่หายไป) โดยการแปรผันอัตราการไหล ตัวเลขเรยโนลด (Re) และคาความ
171
1 ε D 2.51
= −2 log +
3.7 Re f (5.13)
f
วิธีทํา
คํานวณตัวเลขเรยโนลด
Q 0.05
V= = = 1.59m / s
A π × 0 .2 2 4
VD 1.59 × 0.2
Re = = −6
= 3.18 ×105
υ 1.003 ×10
L V2 1000 1.59
2
hf = f = 0.019 ×
= 12.2m
D 2g 0.2 2 × 9.81
ρVD VD
Re = = (Ex5.3-4)
µ υ
ε 0.25 × 10 −3
= = 0.00125
D 0.2
ε
นําคา Re และ ที่คํานวณได(ไปเปKดกราฟ Mooddy diagram พบวาคา f = 0.021 แทนคาตาง ๆ
D
ลงในสมการ Ex5.3-3 จะได(
800 2.552
H = 0.021× × = 27.84 m
0.2 2g
V2
hm = K (5.16)
2g
การสูญเสียพลังงานรองเนื่องจากการไหลผ2านวาลว
วาลวมีบทบาทที่สําคัญในการควบคุมทางชลศาสตร เชน ควบคุมอัตราการไหล ปKดกั้นมิให(น้ําไหล
ผา น ปhองกั น การไหลย( อนกลั บ และบางกรณี ใ ช(ล ดความดัน วาล ว มีห ลายชนิด ดั งรู ปที่ 5.7 ขึ้น อยู กับ
วัตถุประสงคของการใช(งาน
j) Foot Valve
วาลวควบคุม (Control valve) การไหล เชน โกลบวาลว (Globe Valve) เกตวาลว (Gate
Valve) วาลวปëกผีเสื้อ (Butterfly Valves) วาลวทรงกรวย (Rotary Cone Valve) วาลวลูกบอล
(Ball Valve) วาลวเข็ม (Needle Valve)
วาลวตัดตอน (Isolating Valve) ทําหน(าที่ไมให(น้ําที่ไหลจากด(านต(นน้ําหรือท(ายน้ําไหลผาน
วาลวลดความดัน (Pressure Relief Valve) ทําหน(าที่ลดความดันในทอให(ลดลงตามคาที่ยอมให(
ในการออกแบบ
เชควาลว (Check Valve) ทําหน(าที่ปhองกันการไหลกลับของของไหลเมื่อเครื่องสูบน้ําปKด
กะทันหันเพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากน้ํากระแทก เชน วาลวแบบบานเหวี่ยง
(Swing check Valve) ฟุตวาลวหรือหัวกะโหลก (Foot Valve) ซึ่งติดตั้งไว(ที่ปลายทอดูด
เมื่อมีการไหลผานวาลวก็จะมีการสูญเสียพลังงานเกิดขึ้นซึ่งจะมากหรือน(อยขึ้นอยูกับชนิดของ
วาลวและขนาดของชองเปKด คาสัมประสิทธิ์การสูญเสียพลังงานรอง (Minor Loss Coefficient, K) ของ
วาลวบางชนิดสามารถหาได(จากรูปที่ 5.8
179
คาสัมประสิทธิ์การสูญเสียพลังงานนั้นขึ้นอยูกับชนิดของวัสดุที่ผลิตด(วย ดังนั้นเพื่อให(ผู(ออกแบบมี
ข(อมูลในการตัดสินใจเบื้องต(น คาการสูญเสียพลังงานรองสําหรับคาสัมประสิทธิ์การสูญเสียพลังงานรองที่
นิยมใช(กันทั่วไปของอุปกรณประกอบทอสามารถหาได(จากตารางที่ 5.2
ตัวอย2างที่ 5.4 น้ําไหลจาก สระ A ไป สระ B โดยผานทอเหล็กหลอใหม (New Cast iron) ซึ่งมีความ
ขรุขระของผิวภายทอเทากับ 0.25 mm และมีขนาดเส(นผานศูนยกลางเทากับ 20 cm ความยาวทอรวม
ทั้งหมด 800 m ทําการติดตั้งวาลวควบคุมน้ําแบบ Gate valve ซึ่งทําการเปKดเต็มที่ และข(องอแบบ
Threaded regular 90° จงหาผลตางของระดับผิวน้ําระหวาง สระ (Pond) A และ สระ B
กําหนด
- การไหลเปนแบบคงที่ (ระดับน้ําใน สระ A และ สระ B มีการเปลี่ยนแปลงน(อยมาก
เนื่องจาก เปนสระขนาดใหญมาก)
- น้ํามีอุณหภูมิคงที่เทากับ 30 องศาเซลเซียส
P2 − P1 V22 − V12
( Z1 − Z 2 ) = + + HL (Ex5.4-2)
γ 2g
H = H L = ∑ h f + ∑ hm
182
หรือ
L V2 V2
H= f + ∑ K × (Ex5.4-3)
D 2g 2g
ρVD VD
Re = = (Ex5.4-4)
µ υ
ε 0.25 × 10 −3
= = 0.00125
D 0.2
ε
นําคา Re และ ที่คํานวณได(ไปเปKดกราฟ Mooddy diagram พบวาคา f = 0.021 จาก
D
ตารางที่ 5.2 คา K ของทางเข(าเทากับ 0.5 (พิจารณาเปนแบบ Square connection) คา K ของทางออก
เทากับ 1 คา K ของ Gate valve เทากับ 0.39 และคา K สําหรับข(องอแบบ Threaded regular 90°
เทากับ 1.5 แทนคาตาง ๆ ลงในสมการ Ex5.4-3 จะได(
หาอัตราการไหลระหว2างสระทั้งสองถ.าระดับน้ําในถังทั้งสองต2างกัน 27.84 m
P1 V12 P V2
Z1 + + = Z2 + 2 + 2 + H L (Ex5.4-1)
γ 2g γ 2g
P2 − P1 V22 − V12
( Z1 − Z 2 ) = + + HL (Ex5.4-2)
γ 2g
27.84 = H L = ∑ h f + ∑ hm
หรือ
L V2 V2
27.84 = f + ∑ K × (Ex5.4-3)
D 2g 2g
800 V
2
27.84 = f + 4.89
0.2 2g
2 g × 27.84 546.22
V= = (Ex5.4-4)
( 4, 000 f + 4.89 ) ( 4, 000 f + 4.89 )
546.22
V= = 2.90 ms
( 4,000×0.015+4.89 )
184
ε
- คํานวณคา Re และ
D
2.90 × 0.2
Re = −7
= 7.24 × 105
8.009 × 10
ε 0.25 × 10 −3
= = 0.00125
D 0.2
546.22
V= = 2.51 ms
( 4,000×0.0205+4.89 )
ε
- คํานวณคา Re และ
D
2.51× 0.2
Re = = 6.27 × 105
8.009 × 10 −7
ε 0.25 × 10 −3
= = 0.00125
D 0.2
จะเห็นได(วาเมื่อการสูญเสียพลังงานเพิ่มขึ้นอัตราการไหลก็จะลดลงเมื่อตัวแปรอื่น ๆ คงที่
185
การตอทอแบบขนานคือการตอทอออกจากจุดเดียวกันแล(วกลับมาพบกันที่จุดรวมอีกครั้งหนึ่งดังรูปที่
รูปที่ Ex5.5-1
P1 V12 P V2
Z1 + + = Z2 + 2 + 2 + H L (Ex5.5-1)
γ 2g γ 2g
P2 − P1 V22 − V12
( Z1 − Z 2 ) = + + HL (Ex5.5-2)
γ 2g
80 = H L = ∑ h f + ∑ hm
เมื่อไมคิดการสูญเสียพลังงานรองดังนั้น จะได(
L V2
80 = ∑ f (Ex5.5-3)
D 2g
L V2 L V2
80 = f + f (Ex5.5-4)
D 2 g D =90 D 2 g D =60
188
1, 000 V
2
800
80 = f 90 + f 60 × 2.252 90
0.9 0.6 2g
2 g × 80
V90 = (Ex5.5-6)
1,111.11 f 90 + 6, 750 f 60
- สมมติคา f60 และ f90 (ในที่นี้สมมติ f60=0.02 และ f90 = 0.015) และนําไปแทนคาในสมการที่
Ex5.5-6 จะได(คา V90 ออกมาดังนี้
2g×80
V90 = = 3.57 ms
1,111.11×0.02+6,750×0.015
และ
VD ε
- คํานวณคา Re = และ
υ D
ε ε
−3 −3
1.5 × 10 1.5 ×10
= = 0.0025 = = 0.0021
D 60 0.6 D 90 0.9
2g×80
V90 = = 2.64 ms
1,111.11×0.027+6,750×0.029
และ
VD ε
- คํานวณคา Re = และ
υ D
ε ε
−3 −3
1.5 × 10 1.5 ×10
= = 0.0025 = = 0.0021
D 60 0.6 D 90 0.9
2g×80
V90 = = 2.54 ms
1,111.11×0.0275+6,750×0.0315
และ
190
VD ε
- คํานวณคา Re = และ
υ D
ε ε
−3 −3
1.5 × 10 1.5 ×10
= = 0.0025 = = 0.0021
D 60 0.6 D 90 0.9
เมื่อเปKดวาลวน้ําเต็มที่ จงตอบคําถามตอไปนี้
- อัตราการไหลจากอางเก็บน้ํา I ไปยังอางเก็บน้ํา II กอนสร(างทอแนวใหมเปนเทาไร
- อัตราการไหลทั้งหมดจากอางเก็บน้ํา I ไปยังอางเก็บน้ํา II หลังสร(างทอแนวใหมเสร็จมีคาเทาไร
192
P1 V12 P V2
Z1 + + = Z2 + 2 + 2 + H L (Ex5.6-1)
γ 2g γ 2g
P2 − P1 V22 − V12
( Z1 − Z 2 ) = + + HL (Ex5.6-2)
γ 2g
H L = H = ∑ h f + ∑ hm
หรือ
L V2 V2
40 = f + ∑ K × (Ex5.6-3)
D 2g 2g
1, 200 V 2 V2
40 = 0.02 × + ( 0.5 + 0.05 + 0.7 + 0.7 + 1)
0.2 2 g 2g
2g×40
V= = 2.53 m s (Ex5.6-4)
(120+2.95 )
คํานวณหาอัตราการไหลผานทอ
π×0.22
พื้นที่หน(าตัดการไหลของทอเทากับ A= = 0.0314 m 2
4
ดังนั้นอัตราการไหลในทอ Q = AV = 0.0314 × 2.53 = 0.0794 m3 /s
หาอัตราการไหลในทอแนวสร(างใหม
พิจารณาสมการพลังงานระหวางจุด 1 กับ จุด 2
P1 V12 P V2
Z1 + + = Z2 + 2 + 2 + H L (Ex5.6-5)
γ 2g γ 2g
P2 − P1 V22 − V12
( Z1 − Z 2 ) = + + HL (Ex5.6-6)
γ 2g
H L = H = ∑ h f + ∑ hm
หรือ
L V2 V2
40 = f + ∑ K × (Ex5.6-7)
D 2g 2g
800 V 2 V2
40 = 0.015 × + ( 0.5 + 0.39 + 1)
0.2 2 g 2g
2g×40
V= = 3.56 m s (Ex5.6-8)
( 60+1.89 )
คํานวณหาอัตราการไหลผานทอ
π×0.32
พื้นที่หน(าตัดการไหลของทอเทากับ A= = 0.071 m 2
4
ดังนั้นอัตราการไหลในทอ Q = AV = 0.071× 3.56 = 0.253 m3 /s
P1 V12 P2 V22
+ = + (5.20)
γ 2g γ 2g
2
D
V1 = 2 V2 (5.21)
D1
2 ( P1 − P2 )
V2 = (5.22)
(
ρ 1 − ( D2 D1 )
4
)
หากกําหนดให( β = D2 D1 สามารถคํานวณหาอัตราการไหลทางทฤษฎีได(เทากับสมการ 5.23
2 ( P1 − P2 )
Qtheory = A2V2 = A2 (5.23)
ρ (1 − β 4 )
P1 P2 V 2 V 2
− = (Z 2 − Z1 ) + 2 − 1 (5.26)
γ γ 2g 2g
หากเราต(องการหาอัตราการไหลที่ผานแผนเจาะรูเราจะต(องทราบอัตราการไหลที่ตําแหนงที่ 1
(Q1) ซึ่งมีคาเทากับความเร็วที่ตําแหนงที่ 1 (V1) คูณด(วยพื้นที่หน(าตัดการไหลที่ตําแหนงที่ 1 (A1) หรือ
197
Q2 = QO (5.27)
A2V2 = AOVO
AO AO V
V2 = VO = VO = O
A2 CC AO CC
Q1 = Q2
A1V1 = A2V2
A2
V1 = V2
A1
CC AO VO A
V1 = = O VO
A1 CC A1
P1 P2 1 V 2
AO
2
− = (Z 2 − Z1 ) + O − VO (5.28)
γ γ 2g CC A1
V 2 1 AO
2 2
P1 P2
− = O −
γ γ 2 g CC A1
เนื่องจากเทอม P γ คือคาเฮดความดันซึ่งมีคาเทากับระดับน้ําในหลอดมานอมิเตอรดังนั้นสามารถ
198
คํานวณหา VO ได(ดังนี้
2 g∆H
VO = (5.29)
( 2
C )
1 C − ( AO A1 )
2
2 g∆H
CV VO = CV (5.30)
( 2
C )
1 C − ( AO A1 )
2
ไหลผานแผนเจาะรูตามสมการ
Q = CO AO 2 g ∆H (5.31)
Q = C N AN 2 g ∆H (5.31)
P1 V12 P V2
Z1 + + = Z2 + 2 + 2 (5.22)
γ 2g γ 2g
P1 P2 V 2 V 2
− = (Z 2 − Z1 ) + 2 − 1 (5.23)
γ γ 2g 2g
โดยหลักการเดียวกัน หากเราต(องการหาอัตราการไหลที่ผานแผนเจาะรูเราจะต(องทราบอัตราการ
ไหลที่ตําแหนงที่ 1 (Q1) ซึ่งมีคาเทากับความเร็วที่ตําแหนงที่ 1 (V1) คูณด(วยพื้นที่หน(าตัดการไหลที่
ตําแหนงที่ 1 (A1) หรือ อัตราการไหลที่ตําแหนงที่ 2 (Q2) ซึ่งมีคาเทากับความเร็วที่ตําแหนงที่ 2 (V2) คูณ
ด(วยพื้นที่หน(าตัดการไหลที่ตําแหนงที่ 2 (A2) เนื่องด(วยอัตราการไหลในทอมีขนาดเทากัน ซึ่งหมายความ
วา Q1 = Q2
Q1 = Q2
A1V1 = A2V2
A
V1 = 2 V2
A1
203
P1 A 2 V 2
P2
− = 1 − 2 2
γ γ A1 2 g
เนื่ อ งจากเทอม P γ คื อ ค า เฮดระดั บ ซึ่ ง มี ค า เท า กั บ ระดั บ น้ํ า ในหลอดมานอมิ เ ตอร ดั ง นั้ น สามารถ
คํานวณหา V2 ได(ดังนี้
2 g∆H
V2 = (5.24)
1 − ( A2 A1 )
2
2 g∆H
CV V2 = CV (5.25)
1 − ( A2 A1 )
2
แผนเจาะรูตามสมการ
Q = CW AW 2 g ∆H (5.26)
มาตรวัดแบบโรตามิเตอร (Rotameter)
มาตรวัดแบบโรตามิเตอรได(อาศัยหลักการสมดุลของแรงสามแรงด(วยกันในการออกแบบสําหรับ
วัดอัตราการไหล ได(แก แรงลอยตัว (Buoyancy force) และ ทุนลอย (Float weight) ทอมีลักษณะใส
และถู ก ออกแบบให( มี ข นาดเส( น ผ า น
ศู น ย ก ลางขยายใหญ ขึ้ น คล( า ยกั บ ช ว ง
ขยายของท อ เวนทู รี ภายในมาตรวั ด
บรรจุ ทุ น ลอยไว( แ บบอิ ส ระและติ ด ตั้ ง
เสกลบอกระดั บ ไว( ด( า นข( า งท อ (รู ป ที่
5.17) หากมี การไหลผ า นเข( า มาตรวั ด
ทุนลอยจะถูกดันขึ้นไปที่ความสูงคาหนึ่ง
หลักจากทุนลอยหยุดนิ่งและเกิดสมดุล
ของแรงทั้ง ดังนั้น หากมีอัต ราการไหล
ห ล ายค า ก็ ส ามาร ถคว ามสั ม พั น ธ
ระหวางคาอัตราการไหลกับระดับความ
สู ง ข อ ง ทุ น ล อ ย ไ ด( ห รื อ ส า ม า ร ถ
คํานวณหาอัต ราการไหลทางทฤษฏีได(
ดังสมการ
รูปที่ 5.17 มาตรวัดอัตราการไหลแบบโรตา (Rota meter)
0.5
2W
Q = Cd Aa net (5.27)
ρA
f
P1 V12 P V2
Z1 + + = Z2 + 2 + 2 (5.28)
γ 2g γ 2g
ρV12
P2 = P1 + (5.29)
2
หากทอมีขนาดเส(นผานศูนยกลางเทากันความเร็วในการไหลภายในทอจะต(องเทากันด(วย หาก
กําหนดให(ความเร็วของการไหลในทอมีคาเทากับ V (V1=V) จากสมการที่ 5.29 สามารถหาความเร็วของ
การไหลในทอได(ดังสมการ
2(P2 − P1 )
V = V1 = (5.30)
ρ
206
รูปที่ E5.7-1
วิธีทํา
จากสมการหาอัตราการไหลผานทอเวนจูรี่
Q = CW AW 2 g ∆H
π×0.052
พื้นที่หน(าตัดการไหลของทอเทากับ Aw = = 0.002 m 2
4
แบบฝ_กหัดท.ายบท
3. น้ําไหลในทอแนวนอนตามรูปถ(าความเร็วที่หน(าตัด
1 เทากับ 1 m/s และที่หน(าตัด 2 เทากับ 4 m/s
และความดันที่หน(าตัด 1 เทากับ 20 kPa จงหา
ความดันที่หน(าตัด
12.จากรูปจงหาอัตราการไหลผานทอ (ไมคิดการสูญเสียพลังงานรอง)
211
บทที่ 6
การไหลในทางน้ําเป5ด (Open Channel Flow)
การไหลในทางน้ําเปKดคือการไหลในชองทางลําเลียงน้ําภายใต(แรงโน(มถวงของโลกที่ผิวน้ําสัมผัส
กับอากาศ และเรียกผิวน้ําที่สัมผัสกับอากาศวาผิวอิสระ (Free Surface) สงผลให(ความดันที่ผิวน้ํามีคา
เท า กั บ ความดั น บรรยากาศ คุ ณสมบั ติ ข(อนี้ แ ตกต า งอย า งชั ด เจนที่ สุ ด กั บ กรณี ก ารไหลภายใต( แรงดั น
(รายละเอียดบทที่ 5) ดังนั้นสามารถกลาวได(วาตราบใดที่การไหลมีผิวอิสระ การไหลนั้นจะถือวาเปนการ
ไหลในทางน้ําเปKด โดยทั่ วไปแล(วการไหลในทางน้ํ าเปKดจะมีตัวแปรที่มีผลตอการไหลมากกวาการไหล
ภายใต(แรงดัน เนื่องจากความลึกและความเร็วการไหลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดชวงระยะทางการไหล
ดังนั้นการวิเคราะหพฤติกรรมการไหลในทางน้ําเปKดจะมีความซับซ(อนและยุงยากมากกวาการไหลภายใต(
แรงดัน ทางน้ําเปKดถูกแบงออกได(เปน 2 ประเภทใหญๆ ได(แก ทางน้ําเปKดตามธรรมชาติและทางน้ําเปKดที่
ถูกสร(างขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถแบงลักษณะของทางน้ําเปKด ตามการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของ
ทางน้ํา ได(ดังนี้ กรณีที่หน(าตัดการไหลและความลาดเอียงไมมีการเปลี่ยนแปลงจะเรียกวาทางน้ําเปKดนั้นวา
ทางน้ําเปKดที่มีรูปรางแนนอน (Prismatic Channel) ดังรูปที่ 6.3 นอกเหนือจากนั้นจะถือวาเปน ทางน้ําที่
มีรูปรางไมแนนอน (Non-Prismatic Channel) ดังรูปที่ 6.4 โดยปกติแล(วทางน้ําที่มนุษยสร(างขึ้นจะเปน
ทางน้ําที่มีรูปรางแนนอนและทางน้ําตามธรรมชาติจะเปนทางน้ําที่มีรูปรางไมแนนอน
214
หน(าตัดทางน้ํา คุณสมบัติ
A = by T=b
P = b+2y D=y
by Z = by1.5
R=
b+2y
สี่เหลี่ยมผืนผ(า
A = ( b+zy ) y T = b+2zy
P = b+2y 1+z 2 D=
( b+zy ) y
b+2zy
1.5
( b+zy ) y ( b+zy ) y
R= Z=
b+2y 1+z 2 b+2zy
สี่เหลี่ยมคางหมู
A = zy 2 T = 2zy
P = 2y 1+z 2 y
D=
2
zy 2 2.5
R= Z= zy
2
2 1+z 2
สามเหลี่ยม
217
1 1 θ-sinθ
P= θd
2 D = d
8 sin θ 2
1 sinθ
1- d
1.5
R= 2 ( θ-sinθ )
4 θ Z = d 2.5
วงกลม θ
32 sin
2
π T = b+2r
A = -2 r 2 + ( b+2r ) y
2
( π 2 ) -2 r 2
P = ( π-2 ) r+b+2y D= y
b+2r
1.5
( ( π 2 ) -2 ) r 2 + ( b + 2r ) y
R=
A Z= y
P b+2r
สี่เหลี่ยมมุมโค(ง (y>r)
A=
T r2
- (1 − z cot −1 z ) T = 2 z ( y-r ) +r 1+z 2
4z z
A
P = 2y 1+z 2 D=
T
A A
R= Z=
P T
สามเหลี่ยมมุมโค(ง
218
d
( Q,V,y,...) =0
dt
d
( Q,V,y,...) ≠ 0
dt
ดังนั้นหากนําเกณฑทั้งเวลาและตําแหนงของการไหลมาพิจารณารวมกัน สามารถจําแนกประเภทของ
การไหลที่เกิดได(ดังนี้
การไหลแบบสม่ําเสมอและไมแปรเปลี่ยนตามเวลา (Steady Uniform Flow) คือ ความลึก
ความเร็ ว อั ต ราการไหล พื้ น ที่ ห น( า ตั ด การไหล ตลอดช ว งความยาวไม มีการเปลี่ ย นแปลงใน
ชวงเวลาที่พิจารณา โดยรูปแบบการไหลแบบนี้เกือบทั้งหมดจะเกิดขึ้นในทางน้ําที่มนุษยสร(างขึ้น
เนื่องจากรูปตัดขวางของทางน้ํามักจะสร(างให(มีรูปรางคงที่ และในการใช(งานเราสามารถควบคุม
ความเร็ว และอัตราการไหลได(
การไหลแปรเปลี่ยนแบบคอยเปนคอยไปแตไมแปรเปลี่ยนตามเวลา (Steady Gradually Varied
Flow)คือสภาพการไหลความลึก ความเร็ว และพื้นที่หน(าตัดการไหล มีการเปลี่ยนแปลงอยาง
ต อ เนื่ อ งแบบค อ ยเป น ค อ ยไปตลอดช ว งความยาวที่ พิ จ ารณา แต ค วามลึ ก ความเร็ ว และ
พื้นที่หน(าตัดการไหลที่จุดใดจุดหนึ่งนั้นจะคงที่ ไมแปรเปลี่ยนตามเวลา
การไหลแปรเปลี่ยนแบบฉับพลันแตไมแปรเปลี่ยนตามเวลา (Steady Rapidly Varied Flow)
คือสภาพการไหลความลึก ความเร็ว และพื้นที่หน(าตัดการไหล มีการเปลี่ยนแปลงอยางฉับพลัน
ในชวงความยาวที่พิจารณา แตความลึก ความเร็ว และพื้นที่หน(าตัดการไหลที่จุดใดจุดหนึ่งนั้นจะ
คงที่ ไมแปรเปลี่ยนตามเวลา
การไหลแบบสม่ําเสมอแปรเปลี่ยนตามเวลา (Unsteady Uniform Flow) คือสภาพการไหล
ความลึก ความเร็ว อัตราการไหล พื้นที่หน(าตัดการไหล เทากันตลอดชวงความยาวที่พิจารณา แต
จะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
การไหลแปรเปลี่ย นแบบคอยเปนคอยไปและแปรเปลี่ย นตามเวลา (Unsteady Gradually
Varied Flow) คือสภาพการไหลความลึก ความเร็ว และพื้นที่หน(าตัดการไหล มีการเปลี่ยนแปลง
อยางตอเนื่องแบบคอยเปนคอยไปตลอดชวงความยาวที่พิจารณาและเปลี่ยนแปลงตามเวลาไป
พร(อมๆ กัน
การไหลแปรเปลี่ยนแบบฉับพลันและแปรเปลี่ยนตามเวลา (Unsteady Rapidly Varied Flow)
คือสภาพการไหลความลึก ความเร็ว และพื้นที่หน(าตัดการไหล มีการเปลี่ยนแปลงอยางฉับพลัน
ในชวงความยาวที่พิจารณาและเปลี่ยนแปลงตามเวลาไปพร(อมๆ กัน
221
VR
Re= (6.2)
ν
∂Q ∆X ∂Q ∆X ∂Q
Q − ∂X 2 − Q + ∂X 2 ⋅ ∆t = − ∂X ⋅ ∆X ⋅ ∆t (6.3)
การเปลี่ยนแปลงปริมาตรสามารถหาได(จาก
∂∀ ∂( A∆X ) ∂ ( A)
⋅ ∆t = ⋅ ∆t = ⋅ ∆X ⋅ ∆t (6.4)
∂t ∂t ∂t
∂Q ∂A
+ =0 (6.6)
∂X ∂t
Q I = Q II (6.9)
A I VI = A II VII (6.10)
225
P1V12 P2 V22
z1 + + = z2 + + + HL (6.12)
γ 2g γ 2g
V12 V2
z1 + y1 + = z2 + y2 + 2 + H L (6.13)
2g 2g
227
ความลาดชันผิวน้ํา SW =
( z1 + y1 ) − ( z1 + y2 ) (6.15)
L
ความลาดชันของพลังงาน Sf =
(z1 ) (
+ y1 + V12 2 g − z1 + y2 + + V22 2 g )=H L
(6.16)
L L
dE d v2
เมื่อ = y+ (6.18)
dy dy 2g
dE d Q2
= y+
dy dy 2gA 2
เมื่อกําหนดให(อัตราการไหลคงที่จะได(
dE Q2 dA
= 1+ -2A -3 ( ) (6.19)
dy 2g dy
dE Q2 Tdy
dy
= 1+
2g
-2A -3 (dy
)
dE Q2T
= 1- (6.20)
dy gA 3
dE
คาความลึกการไหลที่ทําให(พลังงานจําเพาะน(อยที่สุดเมื่อ = 0 จากสมการที่ 6.20 จะได(
dy
Q2T
0 = 1-
gA 3
Q 2T
หรือ =1 (6.21)
gA 3
V
จากสมการที่ 6.1 เมื่อ Fr =
gD
Q
หรือ Fr =
A gD
230
ทําการยกกําลังสองทั้งสองข(างจะได(
Q2
Fr 2 = (6.22)
A 2 gD
2 Q2T
Fr = =1
gA 3
Q 2T
หรือ Fr = = 1=1 (6.23)
gA 3
พิจารณากรณีอัตราการไหลเปลี่ยนแปลง
จากสมการที่ 6.17 ณ. อัตราการไหลหนึ่งคาสามารถพล็อตกราฟความสัมพันธระหวางพลังงาน
จําเพาะกับคาความลึกการไหลได( 1 เส(น (รูปที่ 6.10) อยางไรก็ตามถ(าใช(คาอัตราการไหลหลาย ๆ คาก็จะ
ได(โค(งความสัมพันธหลายเส(นดังรูปที่ 6.13
พิจารณากรณีอัตราการไหลเปลี่ยนแปลงเมื่อพลังงานจําเพาะคงที่
Q2
E = y+
2gA 2
Q = A 2g ( E-y ) (6.24)
Q dA
เมื่อ = 2g ( E-y ) และ =T แทนคาลงในสมการที่ 6.26 จะได(
A dy
gA 2 Q
= T
Q A
Q 2T
หรือ =1 (6.27)
gA 3
การไหลวิกฤตในทางน้ํารูปสี่เหลี่ยมผืนผ.า
ดังรายละเลียดข(างต(นในสภาวะการไหลวิกฤตคาฟรุดนัมเบอรจะเทากับ 1 และมีความสัมพันธดังสมการ
vc
Fr = =1
gDc
vc
หรือ =1 (6.28)
g (A T)c
โดยทั่วไปแมน้ําจะมีขนาดความกว(างมากทําให(การวิเคราะหพื้นที่หน(าตัดการไหลมักจะสมมติให(มี
รูปรางเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ(า ซึ่งพื้นที่หน(าตัดของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ(า (A) มีคาเทากับความกว(าง (b) คูณด(วย
ความลึกการไหล (y) และ ความกว(างผิวน้ํา (T) มีคาเทากับ ความกว(าง (b) ท(องน้ํา แทนคาตาง ๆ ลงใน
สมการที่ 6.28
vc vc
= =1
g ( Ty T ) c gy c (6.29)
v c2
หรือ v c = gy c นําไปแทนคาลงในสมการพลังงานจําเพาะ E c = yc + จะได(
2g
yc 3
E c = yc + = yc (6.30)
2 2
Q2T q 2b2T q2
= 2
= =1
gA 3 g ( by c ) A gy3c
หรือ yc = 3 q 2 g
(ตัวห(อยกํากับ c หมายถึงสภาวะการไหลแบบวิกฤต)
233
V 2.59
Fr = = = 0.77 เปนการไหลต่ํากวาวิกฤต
gy 1.157g
Q 6
ถ(า y = 0.824 m จะได( V= =
A 2×0.824
= 3.64 m s
V 3.64
Fr = = = 1.28 เปนการไหลสูงกวาวิกฤต
gy 0.824 g
v2
H = z+y+
2g
หากไมมีการสูญเสียพลังงานจะทําให( dH dx = 0 จะได(
dz dE
0= +
dx dx
dz dE dy
หรือ 0= + × (6.33)
dx dy dx
dE Q2T Q2T
จากสมการที่ 6.20 และ 6.27 เมื่อ = 1- และ Fr 2 = แทนคาลงในสมการที่ 6.33
dy gA 3 gA 3
dz dy
จะได( 0= + (1-Fr 2 ) (6.34)
dx dx
235
1) ถ(าท(องทางน้ํามีการยกระดับพื้นขึ้น
dz
จากสมการที่ 6.34 ถ(าท(องน้ํามีการยกระดับขึ้นจะทําให( เปนบวก ดังนั้น (1-Fr 2 ) dy ต(องเปน
dx dx
ลบเสมอ ซึ่งเปนได(สองกรณีดังนี้
3) ถ(าท(องน้ําไมมีการเปลี่ยนแปลงระดับ
ถ(าท(องน้ําไมมีการเปลี่ยนแปลงจะทําให( dz
เปนศูนย ดังนั้น (1-Fr 2 ) dy ต(องเปนศูนยด(วยเสมอ
dx dx
ซึ่งจะเปนจริงได(ดังนี้
dy
ต(องเปนศูนย หรือการไหลที่ผิวอิสระไมมีการเปลี่ยนแปลง เชนการไหลของน้ําผานทางน้ําที่
dx
ท(องน้ําคอย ๆ เปลี่ยนแปลง (Step Transition) ซึ่งจะทําให(ระดับน้ําเทากันตลอด ซึ่งไมคอยพบ
มากนัก
Fr = 1 ซึ่งสามารถพบได(กรณีการไหลของน้ําไหลจากอา งเก็ บน้ํา เข(าสู ปากทางน้ําเปK ดที่มี ความ
a) b)
c) d)
รูปที่ 6.14 ลักษณะการไหลเมื่อระดับท(องน้ํามีการเปลี่ยนแปลง
237
ถ(าท(องน้ํามีการยกระดับขึ้นและการไหลทางด(านเหนือน้ําอยูในสภาวะต่ํากวาวิกฤตจะทําให(ระดับผิว
น้ําจะลดต่ําลง (ความลึกของน้ําลดลง) พิจารณาสมการพลังงาน (เลข 1 แทนหน(าตัดการไหลกอนเปลี่ยน
ระดับท(องน้ํา และ 2 แทนหน(าตัดการไหลหลังระดับท(องน้ําถูกยกขึ้น)
V12 V22
y1 + = y2 + + ∆z
2g 2g
2
1.252 ( 5.4 2.4 )
1.8 + = 0.12 + y2 +
2g 2 gy22
0.258
1.76 = y2 +
y22
238
ตรวจสอบสภาวะการไหล
Q 5.4
ถ(า y2 = 1.667 m จะได( V= =
A 2.4×1.667
= 1.35 m s
V 1.35
Fr = = = 0.33 เปนการไหลต่ํากวาวิกฤต
gy 1.667g
Q 5.4
ถ(า y2 = 0.443 m จะได( V= =
A 2.4×0.443
= 5.08 m s
V 5.08
Fr = = = 2.44 เปนการไหลสูงกวาวิกฤต
gy 0.443g
เมื่อท(องน้ํามีการยกระดับขึ้นและการไหลทางด(านเหนือน้ําอยูในสภาวะต่ํากวาวิกฤตจะทําให(ความลึกของ
น้ําลดลง เมื่อพิจารณาคําตอบระดับน้ํา y2 ทั้งสองคําตอบ (1.667 m และ 0.443 m) มีคาน(อยกวาระดับ
น้ํากอนยกระดับพื้น (1.8 m) ทั้ง 2 คา ดังนั้นทําการตรวจสอบวาควรเลือกคาใดได(ดังนี้
พิจารณาหาคาความลึกวิกฤต
2
yc = 3 q 2 g = 3
( 5.4 2.4 ) g = 0.802 m
พลังงานจําเพาะ
3
Ec = y c = 1.5×0.802 = 1.203 m
2
เนื่องจากการไหลที่หน(าตัดกอนพื้นทางน้ํามีการเปลี่ยนแปลง (หน(าตัดที่ 1) เปนการไหลต่ํากวา
วิกฤต ดังนั้นการไหลที่หน(าตัดที่ทางน้ําถูกยกระดับพื้นขึ้น (หน(าตัดที่ 2) ต(องเปนการไหลต่ํากวาวิฤตด(วย
ดังนั้นระดับน้ําที่พื้นที่การยกระดับ เทากับ 1.667 m (เลือกระดับน้ําที่มีคามากกวา 0.802 m) ตอบ
239
วิธีทํา ณ. สภาวะการไหลวิกฤต
Q2 T
=1 (E6.4-1)
gA3
122 × 4 (1 + yc )
3
=1
g ( 4 + 2 yc ) yc
Q 12
Vc = = = 3.58 ms
ความเร็ววิกฤต Ac 4×0.839
a)
b)
c)
การคํานวณหาความเร็วการไหลในทางน้ําเป5ด
สูตรที่ใช(คํานวณหาความเร็วของการไหลแบบสม่ําเสมอสามารถเขียนอยูในรูปสมการทั่วไปได(ดังนี้
V = CR x Sy (6.35)
เนื่องจากเปนการไหลแบบสม่ําเสมอความลึกการไหลและพื้นที่หน(าตัดการไหลที่หน(าตัดที่ 1 และ
หน(าตัดที่ 2 มีคาเทากันทําให( F1 = F2 ดังนั้นสมการที่ 6.35 จะเปน
Wsinθ = Ff (6.37)
Ff = τ o PL (6.38)
τo α v2
หรือ τ o = Kv 2 (6.39)
(
Ff = Kv 2 PL ) (6.40)
(
Wsinθ = Kv 2 PL ) (6.41)
(
γALS = Kv 2 PL )
γ A
v = S (6.42)
K P
244
v = C RS (6.43)
R1/6
C= (6.47)
n
ตารางที่6.3 สัมประสิทธิ์ความขรุขระของแมนนิ่ง
ชนิดของผิว Manning's n
ผิวคอนกรีตเรียบมาก และไม(แผนเรียบ 0.011
ผิวคอนกรีตเรียบ 0.012
ผิวคอนกรีตธรรมดา 0.013
ไม(ซึ่งมีผิวในสภาพดี 0.014
ดินเผา 0.015
คอนกรีตพนและรองน้ําดินซึ่งมีสภาพดีเยี่ยม 0.017
รองน้ําดินในแนวตรง และสภาพดี 0.020
แมน้ําและคลองในสภาพปานกลาง ซึ่งมีวัชพืชปกคลุมตลิ่งบางสวน 0.025
ลําน้ําธรรมชาติในสภาพไมดี คดเคี้ยว และมีวัชพืชปกคลุมมาก 0.035
ลําน้ําในหุบเขา ซึ่งมีผิวเปนหินขรุขระ 0.040-0.050
246
n = ( no + n1 + n2 + n3 + n4 ) m5 (6.48)
ฟลอสกิสและคณะ ได(เสนอสมการหาคาสัมประสิทธิ์ของความขรุขระสมมูลโดยตั้งสมมติฐานวา
แรงตานทานการไหลทั้งหมดตลอดพื้นที่หน(าตัดเทากับผลรวมของแรงตานทานการไหลที่เกิดขึ้นในแตละ
หน(าตัดการไหลยอยและเสนอสมการ
1/ 2
N 2
∑ Pn i i
n = i =1 1/ 2 (6.50)
P
ล็อตเตอรได(ใช(สูตรของแมนนิ่งในแตละหน(าตัดกันหลายยอยโดยตั้งข(อสมมติฐานวาอัตราการไหล
ทั้งหมดเทากับผลรวมของแตละการไหลในแตละหน(าตัดยอย โดยเสนอการหาคาสัมประสิทธิ์ของความ
ขรุขระสมมูลดังสมการ
PR 5/3
n= N (6.51)
PR 5/3
∑i n
i i
i
A A A 3 2/3 1/2
Q= 1 R12/3 + 2 R 2/3
2 + R3 S (6.52)
n1 n2 n3
จากสมการของ Chezy
v = C RS
v 0.6
C= = = 12.25
RS 1.2×0.002
จากสมการของแมนนิ่ง
1 23 12
v= R S
n
V 1.22/30.0021/2
n= = = 0.0842
R 2/3 S 1/ 2 0.6
ตรวจสอบ จากสมการ
1 1/6
C= R
n
1
C= 1.21/6 = 12.25 OK.
0.0842
วิธีทํา คุณสมบัติทางน้ํา
จากสมการของแมนนิ่ง
1 1
Q= AR 2 3S1 2 = ×13.68×1.142/3×0.0011/2 = 31.47 m3 s
n 0.015
วิธีทํา คุณสมบัติทางน้ํา
จากสมการของแมนนิ่ง
1 23 12
V= R S
n
Vn 0.78 × 0.02
S1 2 = 23 = 2/3
= 9.543 ×10-3
R 2.09
S = 0.098
วิธีทํา คุณสมบัติแมน้ํา
พื้นที่หน(าตัดการไหล, A1 = 12 m 2 , A 2 = 80 m 2 , A3 = 15 m 2
เส(นขอบเปëยก, P1 = 8 m, P2 = 14 m, P3 = 10 m
A 12 80 15
รัศมีชลศาสตร, R= , R1 = = 1.5 m, R 2 = = 5.71 m, R 3 = = 1.5 m
P 8 14 10
จากสมการของแมนนิ่งสําหรับทางน้ําหลายสวนอัตราการไหลทั้งหมด
A A A
Q = 1 R12/3 + 2 R22/3 + 3 R32/3 S 1/2
n1 n2 n3
12 80 15
Q= 1.52/3 + 5.712/3 + 1.52/3 0.00021/2 = 184.89 m3 s
0.12 0.02 0.12
วิธีทํา คุณสมบัติทางน้ํา
จากสมการของแมนนิ่ง
1 23 12 1
V= R S = ×1.242/3×0.0011/2 = 2.43 m s
n 0.015
Q = AV = 16 × 2.43 = 38.88 m3 s
วิธีทํา คุณสมบัติทางน้ํา
เส(นขอบเปëยก, P = b+2y 1 + z 2 = 4 + 2 y 1 + 2 2
รัศมีชลศาสตร, R =
( 4+2y ) y
b+2y 5
จากสมการแมนนิ่ง
1 2/3
Q= ARh S 1/ 2
n
1 [(4 + 2 y ) y ]
5/ 3
29 = 0.0011/ 2
0.015 [4 + 4.47 y ]2/3
13.76 =
[(4 + 2 y )y ]
5/ 3
(Ex6.10-1)
[4 + 4.47 y]2 / 3
จากสมการที่ Ex6.10-1 เราสามารถหาคาของความลึก y โดยการใช(วิธี trial and error โดยการ
สมมติคา y แทนลงในด(านขวาของสมการที่ (1) ถ(าได(คาเทากับหรือใกล(เคียง 13.76 แสดงวาคา y ที่
สมมติถูกต(อง พิจารณาจากตัวอยางที่ 6.9 คา y ต(องน(อยกวา 2 m (เพราะอัตราการไหลน(อยกวา)
1.5 10.37
1.8 14.89
1.75 14.07
วิธีทํา คุณสมบัติทางน้ําหน(าตัดทางน้ําหลัก
พื้นที่หน(าตัดการไหล, A m = ( 4+3×2.5 ) ×2.5+1.5× ( 4+15 ) = 57.25 m 2
คุณสมบัติทางน้ําหน(าตัดทางยอย (ทางน้ําที่ถูกน้ําทวม)
1
พื้นที่หน(าตัดการไหล, Al = (10+13) ×1.5 = 17.25 m2
2
เส(นขอบเปëยก, Pl = 10+3.35 = 13.35 m
17.25
รัศมีชลศาสตร, R = = 1.29 m
13.35
จากสมการของแมนนิ่งสําหรับทางน้ําหลายสวน อัตราการไหลทั้งหมดเทากับ
A A
Q = m Rm2/3 + 2 l Rl2/3 S 1/ 2
nm nl
57.25 17.25
Q= 2.892/3 + 2 1.292/3 0.0011/2 = 281.82 m3 s
0.015 0.035
ประโยชนของน้ําโจนมีหลายอยางซึ่งพอที่จะสรุปได(ดังนี้
ชวยทําลายพลังงานของน้ําที่ไหลลงมาจากเขื่อนฝายและอาคารลดระดับจึงชวยลดการกัดเซาะ
ทางด(านท(ายน้ําและลดคาใช(จายที่จะต(องเสียไปในการปhองกันการกัดเซาะ
ชวยยกระดั บผิวน้ําทางด(านท(ายน้ํา ของรางน้ํา ทําให(เราสามารถวัดความลึกของน้ําได(แนนอน
ยิ่งขึ้นและชวยรักษาระดับน้ําในคลองชลประทานให(มีระดับสูง
ชวยเพิ่มน้ํา หนักบนลานคอนกรี ตหรื ออ างท( ายอาคารและยังช วยลดแรงดั นของน้ํ าที่ ดันอยูใ ต(
อาคารชลศาสตรด(วย
259
ชวยผสมสารเคมีเชนคลอรีนที่ใช(ในการทําให(น้ําบริสุทธิ์
ชวยเพิ่มอัตราการไหลของน้ําลอดผานประตูบานตรงโดยการทําให(เกิดน้ําโจนแทนที่จะทําให(เกิด
การไหลแบบทวมท(ายน้ําด(านหลังประตู
ชวยไลอากาศในทอสงน้ําเพื่อไมให(เกิดความดันติดลบ (Air locking)
∑F X = ρ Q (V2 − V1 ) (6.53)
F1 − F2 = ρ Q (V2 − V1 )
1 1
γ by12 − γ by22 = ρQ (V2 − V1 )
2 2
เอา b หารตลอดจะได(
260
1 2 1 2
γ y1 − γ y2 = ρq (V2 − V1 ) (6.54)
2 2
เมื่อ q คืออัตราการไหลตอหนึ่งหนวยความกว(าง q = (Q b)
จากสมการการไหลแบบตอเนื่อง
V1 y1 = V2 y2 = q
q q
หรือ V1 = และ V2 = แทนคาลงในสมการที่ 6.54 จะได(
y1 y2
1 2 1 2 q q
γ y1 − γ y2 = ρq ( − )
2 2 y2 y1
จัดรูปสมการใหมจะได(
y12 − y22 q 2 1 1
= ( − )
2 g y2 y1
y22 y1 y2 q 2
หรือ + − =0 (6.55)
2 2 gy1
y1 y12 q2
y2 = − ± +2
2 4 gy1
y1 8V 2
y2 = −1 + 1 + 1
2 gy1
y2 1
หรือ = 1 + 8Fr12 − 1 (6.56)
y1 2
และวิเคราะหในทํานองเดียวกันจะได(ความสัมพันธ
261
y1 1
= 1 + 8Fr22 − 1 (6.57)
y2 2
การสูญเสียพลังงานในการเกิดน้ําโจน
สามารถหาค า พลั ง งานการไหลที่ สู ญ เสี ย ไป (Energy Losses, ∆E ) เนื่ อ งจากการเกิ ด
ปรากฏการณน้ําโจนได(จากสมการพลังงานระหวางหน(าตัดการไหลที่ 1 กับหน(าตัดการไหลที่ 2 ได(ดังนี้
q2 q2
y1 + = y 2 + + ∆E (6.58)
2 gy12 2 gy22
g y1 y2 ( y22 − y12 )
จากสมการโมเมนตัมจะได( q = 2
นําไปแทนคาลงในสมการที่ 6.58 และจัด
2 ( y2 − y1 )
รูปสมการที่ 6.58 ใหมจะได(
3
(y − y )
∆E = 2 1 (6.59)
4 y1 y2
ประสิทธิภาพของปรากฏการณน้ําโจน
ประสิทธิภาพของปรากฏการณน้ําโจน คือ อัตราสวนของพลังงานจําเพาะหลังเกิดน้ําโจนตอ
พลังงานจําเพาะกอนเกิดน้ําโจนมีความสัมพันธดังสมการ
3/2
E2
=
( )
8Fr12 +1 - 4Fr12 +1
(6.60)
E1 8Fr12 2+Fr12 ( )
ประสิทธิภาพของน้ําโจนไมมีหนวยและขึ้นอยูกับ Fr1 เทานั้น
ความสูงของปรากฏการณน้ําโจน
ความสูงของปรากฏการณน้ําโจน(hj) คือความแตกตางของความลึกของน้ํากอนเกิด (y1) และความลึกของ
น้ําหลังเกิด (y2) น้ําโจน
h j = y2 − y1 (6.61)
262
ความยาวของปรากฏการณน้ําโจน
การแบ2งประเภทของน้ําโจน
สําหรับการไหลแบบเหนือวิกฤตในทางน้ําเปKดที่ไมมีความลาดเท พลังงานของการไหลจะถูกทําลาย
โดยแรงเสี ย ดทานตามพื้ น ทางน้ํ า เป น ผลให( ความเร็ ว ลดลงและความลึ กเพิ่ มขึ้ น ตามทิ ศ ทางการไหล
ปรากฏการณน้ําโจนจะเกิดขึ้นได(ถ(าจํานวนฟรุดนัมเบอร (Froude Number) และความลึกกอนเกิดน้ํา
โจน (ความลึกด(านเหนือน้ํา, y1) และความลึกหลังเกิดน้ําโจน (ความลึกด(านเหนือน้ํา, y2) มีความสัมพันธ
กันดังสมการที่ 6.56 หรือ 6.57 และสามารถแบงประเภทของปรากฏการณการเกิดน้ําโจนบนพื้นราบออก
ได(เปน 5 ประเภทดังรูปที่ 6.21 ได(แก โดยพิจารณาจากคาฟรุดนัมเบอรของการไหลทางด(านเหนือน้ําได(
ดังนี้
a)
b)
c)
d)
e)
∆E =
( y2 − y1 )
4 y1 y2
3
ΔE =
( 2.5-2.0 ) = 6.25×10-3 m ตอบ
4×2.5×2.0
266
P1 V12 P V2
Z1 + + = Z2 + 2 + 2 (6.65)
γ 2g γ 2g
P1 02 0 V22
Z1 + + = Z2 + +
γ 2g γ 2g
P1
หากพิจารณารูปที่ 6.22 พบวา Z1 + มีคาเทากับ P+h เพราะฉะนั้นจะได(
γ
V22
P + h = Z2 +
2g
V22
หรือ = P + h − Z2 = y โดยที่ y = P + h − Z2 (จากรูปที่ 6.24)
2g
จะได(
V2 = 2 gy (6.66)
dQ = V2 dA (6.67)
dQ = 2 gy (bdy ) (6.68)
หากต(องการทราบคาอัตราการไหลที่ไหลผานหน(าตัดฝายทั้งหมดสามารถทําได(โดยการอินทิเกรต
สมการที่ 6.68 จากสันฝายถึงความลึกของน้ําที่มากที่สุด (h)
h
Q = ∫ 2 gy (bdy )
o
h
y 3/ 2
Q = b 2g
3 / 2 o
2
Q= 2 gybh3/ 2 (6.69)
3
ฝายสันคมรูปสามเหลี่ยม (รูปตัววี)
จากหลักการเดียวกับการวิเคราะหการหาความเร็วการไหลผานฝายสันคมรูปสี่เหลี่ยมจะได(
V2 = 2 gy (6.71)
dQ = V2 dA (6.72)
dQ = 2(h − y ) tan(θ 2) 2 gy dy
h
Q = 2 tan (θ 2 ) 2 g ∫ (h − y ) ydy
0
h
θ hy 3 / 2 y 5 / 2
Q = 2 tan 2 g −
2 3 / 2 5 / 2 0
271
θ 4
Q = 2 tan 2 g h 5 / 2
2 15
8 θ
Q= tan 2 g h 5 / 2 (6.73)
15 2
กรณีฝายสันคมรูปสี่เหลี่ยม
Qmeasure
CD = (6.75)
2
2 g bh 3 / 2
3
เมื่อ CD คือสัมประสิทธิ์ของการไหลผานฝาย Qmeasure คืออัตราการไหลที่เกิดจากการวัด b คือ
ความกว(างของฝาย h คือความลึกของน้ําที่วัดจากสันฝายในแนวดิ่งวัดตรงตําแหนงหางออกไปทางด(าน
เหนือน้ําประมาณ 3-4 เทาของความลึก h g คือความเรงเนื่องจากแรงโน(มถวงของโลก
กรณีฝานสันคมรูปสามเหลี่ยม
Qmeasure
CD = (6.76)
8 θ
tan 2 g h 5 / 2
15 2
เมื่อ CD คือ สัมประสิทธิ์ของการไหลผานฝาย Qmeasure คือ อัตราการไหลที่เกิดจากการวัด θ
คือมุมบากของฝาย (degree) h คือความลึกของน้ําที่วัดจากสันฝายในแนวดิ่ง วัดตรงตําแหนง
หางออกไปทางด(านเหนือน้ําประมาณ 3-4 เทาของความลึก h g คือความเรงเนื่องจากแรงโน(มถวงของ
โลก
272
V12 V2
z1 + y1 + = z 2 + y2 + 2 (6.77)
2g 2g
q2 q2
y1 + = y 2 + (6.78)
2 g y12 2 g y 22
2g 1
q = y1 y 2 = y2 2 g y1
y1 + y 2 y
1+ 2
y1
1
q = Cc w 2 g y1 (6.79)
w
1 + Cc
y1
1
และถ( า สมมติ ใ ห( C d = Cc โดยที่ Cd คื อ ค า สั ม ประสิ ท ธิ์ อั ต ราการไหล (Discharge
w
1 + Cc
y1
274
q == C d w 2 g y1 (6.80)
ดังนั้นสําหรับรูปตัดการไหลสี่เหลี่ยมผืนผ(า Q = qb ดังนั้นอัตราการไหลภายใต(สภาพการไหล
อิสระ (Free Flow Discharge, Q f ) ที่ไหลลอดใต(ประตูควบคุมน้ําบานตรงรูปตัดการไหลสี่เหลี่ยมผืนผ(า
จึงสามารถคํานวณได(จาก
Q f = C d wb 2 g y1 (6.81)
y1
y2 y3
Q s = C s y 3b 2 g ( y1 − y 3 ) (6.83)
β
w
C s = α (6.84)
y3
แบบฝ_กหัดท.ายบท
บทที่ 7
เครื่องจักรกลในงานชลศาสตร (Hydraulic Machinery)
เครื่องจักรกลคือเครื่องจักรที่ถายเทพลังงานระหวางตัวหมุน (Rotor) กับของเหลว (Fluid) ซึ่ง
แบงเปน 2 ประเภทคื อประเภทที่ ถายโอนพลั งงานจากตั วหมุนไปยังของเหลวได(แกเครื่องสูบน้ํา และ
ประเภทที่ถายโอนพลังงานจากของเหลวมายังตัวหมุนได(แกกังหันน้ํา
เครื่องสูบน้ํา (Pump)
ไหลตามแนวแกนของใบพัดแตให(อัตราการสูบน(อยกวาเครื่องสูบน้ําอีกสองชนิดจาย
เครื่องสูบน้ําที่เกษตรกรมักใช(เพื่อการเกษตรจะเปนแบบไหลตามแนวรัศมีใบพัดซึ่งมัก
ถูกเรียกวาเครื่องสูบน้ําแบบหอยโขงตามลักษณะของห(องสูบหรือบางครั้งเรียกว า
แบบเซนตริฟุกอล (Centrifugal Pump) ดังรูปที่ 7.1a
1.1.2. ประเภทไหลแบบผสม (Mixed Flow Pump) ทิศทางการไหลออกจากใบพัด
ทํามุมเอียง 45 องศา ถึง 80 องศา กับแกนเพลาของใบพัดดังรูปที่ 7.1b เครื่องสูบ
ประเภทนี้จะให(เฮดมากกวา ประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัดแตน(อยกวาประเภท
ไหลในแนวรัศมีใบพัด
1.1.3. ประเภทไหลตามแนวแกนของใบพัด (Axial Flow Pump) ทิศทางการไหลจะ
ขนานกับเพลาใบพัด (Axis) ดังรูปที่ 7.1c เครื่องสูบประเภทนี้จะให(เฮดน(อยกวา
ประเภทไหลในแนวรัศมีใบพัดประเภทไหลแบบผสมแตให(อัตราการสูบมากกวาเครื่อง
สูบน้ําอีกสองชนิด
a) Rotary Pump b)
รูปที่ 7.2 เครื่องสูบน้ําแบบแรงเหวี่ยง
285
หลักการทํางานของเครื่องสูบน้ํา
เครื่ องสู บน้ํ า เครื่ องจั กรกลทางชลศาสตร ที่ทํา หน(า ที่ ถา ยโอนพลังงานกลที่ ได( รับ มาจากแหล ง
พลังงานให(กลายเปนพลังงานของของเหลว ในรูปของแรงดันดังนั้น เมื่อของเหลว หรือระบบไหลผาน
เครื่องสูบ เฮดพลังงานรวมของระบบจะเพิ่มสูงขึ้น เปนการเพิ่มกําลังงานให(แกของเหลวจากจุดหนึ่งไปยัง
อีกจุดหนึ่ง ดังรูปที่ 7.3 โดยทั่วไปเครื่องสูบน้ําจะถูกเรียกทับศัพทวาวาเครื่องสูบน้ําน้ํา เครื่องสูบน้ํามีทั้ง
แบบที่ใช(มอเตอรไฟฟhา และแบบที่ใช(เครื่องยนต
P1 V12 P V2
z1 + + + H P = z2 + 2 + 2 + ∑ H L (7.1)
γ 2g γ 2g
PW = γQHP (7.2)
PA VA2 P V2
zA + + + H P = zI + I + I + ∑ H LA→I (EX7.1-1)
γ 2g γ 2g
หลักในการพิจารณา
- ความดันที่ผิวน้ําเทากับความดันบรรยากาศ = 0 (พิจารณาในระบบความดันเกจ)
- ความเร็วที่ผิวน้ํามีคาเข(าใกล(ศูนย เนื่องจากตลอดการสูบน้ําระดับน้ําที่ A และ I ไมมีการ
เปลี่ยนแปลงเนื่องจากพิจารณาวาแหลงน้ํามีขนาดใหญ ดังนั้นในการแก(ปMญหานี้จะพิจารณาให(
ความเร็วที่ผิวน้ํา = 0
H P = 20 + ∑ H LA→I (EX7.1-2)
2
VEH
เมื่อ ∑ H LA→I = 1.2 2g
(EX7.1-3)
Q 0.058
ความเร็วของการไหลในทอ EH V= = π 2 = 7.38 m s
A EH 4 0.1
7.382
∑ HLA®I = 1.2× 2g
= 3.33 m
18.44kW
หรือ PP = = 24.71 Hourse Power ตอบ
746
288
HP = (z H − z A ) + ∑ h f + ∑ hm (E7.2-1)
∑ hf = h fG→E + h fD→B
2 2
( 7.5 ) VGE ( 33.0 ) VDB
= fGE + fDB
( 0.1) 2g ( 0.075 ) 2 g
2 2
VGE VDB
∑ hf = ( 75 ) fGE + ( 440 ) fDB (E7.2-2)
2g 2g
289
จาก Q = VA ∴
Q 0.02
VGE = = π 2
A GE 4 ( 0.10 )
แทนคาความเร็วในสมการที่ (E7.2-4)
( 2.456) 2 ( 4.527) 2
HP = 26.5 + ( 81)fGE + ( 442.5 ) fDB (E7.2-5)
2g 2g
290
หาคาเรยโนดนัมเบอร ทอ GE
( 2.456)( 0.1)
R e GE =
(1×10−6 )
R e GE = 2.456X105
ε = 0.15 mm (จากโจทย)
ε 0.15
∴ = = 0.0015
D 100
จากราฟ Moody diagram fGE = 0.0225
หาคาเรยโนดนัมเบอร ทอ GE
( 4.527)( 0.075)
R e DB =
(1×10−6 )
R e DB = 3.395X105
ε = 0.15 mm (จากโจทย)
ε 0.15
∴ = = 0.002
D 75
จากราฟ Moody diagram fDB = 0.024
( 2.456 ) 2 ( 4.527 ) 2
HP = 26.5 + ( 81)( 0.0225) + ( 442.5 )( 0.024 )
2g 2g
= 38.153 m
291
กําลังงานที่น้ําได(รับ
= 7485.62 W
กําลังงานที่กําลังของเครื่องสูบ
PW ( 7485.62)
PP = =
ηP ( 0.65)
= 11516.64 W
PP = 11.516 kW ตอบ
พิจารณาสมการพลังงานระหวางจุด H กับ I
2 2
P V P V
z H + H + H + HP = z I + I + I + ∑ h f + ∑ hm
γ W 2g γ W 2g
PI ( 4.527) 2
( − 1.5 ) + 0 + 0 + ( 38.153 ) = ( + 15.5 ) + + + ∑ h f + ∑ hm
γW 2g
PI
= 20.108 − ∑ h f − ∑ hm (E7.2-6)
γW
∑ hf = h fG → E + h fD →I
2 2
( 7.5 ) VGE ( 24.0 ) VDB
= fGE + fDB
( 0.1) 2g ( 0.075) 2g
( 2.456 ) 2 ( 4.527) 2
= ( 2.0 + 1.5 + 2.5 ) + (1.5 )
2g 2g
∑ hm = 3.411 m
= 8.156 m
กังหันน้ําคือเครื่องจักรกลทางชลศาสตรชนิดหนึ่งที่ทําหน(าที่เปลี่ยนพลังงานชลศาสตรไปเปน
พลังงานกลและจากพลังงานกล เมื่อนํากังหันน้ําไปวางกั้นทิศทางการไหลของน้ํา พลังงานของน้ําจะถูก
ถายทอดจากน้ําไปหมุนใบพัดของกังหัน ซึ่งนั้นมีหน(าที่เปลี่ยนพลังงานจลนที่ได(รับจากน้ําให(เปนพลลังงาน
กล โดยการพลังงานจลน และพลังงานจลนนี้ ก็จะถายทอดจากน้ําไปหมุนใบกังหัน ทําให(เกิดเปนพลังงาน
กล ซึ่งอาจจะเอาไปขับเครื่องกําเนิดไฟฟhาให(เปนพลังงานไฟฟhาอีกทีหนึ่ง
ชนิดของกังหันน้ํา (Type of Turbine)
ชนิดของกังหันน้ําที่ใช(ผลิตกระแสไฟฟhาโดยทั่วไปแบงออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ คือ แบบ
กระแทกและแบบปฏิกิริยา
กังหันน้ําแบบกระแทก (Impulse)
กังหันแบบกระแทก ทํางานโดยเปลี่ยนนความดันของน้ําให(เปนความเร็วทั้งหมดด(วยหัวฉีด ซึ่ง
ความดันรอบๆ กระแสน้ํานี้จะเทากับบรรยากาศ กระแสน้ํานี้จะพุงเข(าชนกระแทกกับกะเปาะ (Bucket)
ของใบกังหัน (Runner) ทําให(เกิดโมเมนตัมโดยหลักการของกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันข(อที่ 2 ซึ่งถ(าการ
ออกแบบที่ ดี น้ํ า ที่ ก ระแทกใบกั ง หั น แล( ว จะมี ค วามเร็ ว เป น ศู น ย แ ละตกลงไปข( า งล า ง กั ง หั น แบบนี้ ที่
แพรหลายมากได(แก แบบเพลตัน (Pelton) ซึ่งถูกคิดค(นโดย Lester Allan Pelton ในปë ค.ศ. 1870 จึง
มักถูกเรียกวากังหันแบบเพลตัน ดังรูปที่ 7.4
294
การวิเคราะหหลักการทํางานของกังหัน
จากรูปที่ 7.4 แสดงลักษณะการทํางานของกังหันแรงกระแทกซึ่งจะรับน้ําที่พุงมาจากหัวฉีดเข(า
กระแทกกะเปาะของกังหัน พิจารณารูปที่ 7.5 เมื่อลําน้ําจากหัวฉีด (Nozzle) มีความเร็วพุงเข(า V1
กระแทกกะเปาะ (Bucket) ของกังหันน้ําจะทําให(กะเปาะของกังหันเคลื่อนที่ด(วยความเร็วตามเส(นรอบวง
ของล(อ (Wheel) เทากับ u จากนั้นกระแสลําน้ําจะกระจายออกและเกิดความเร็วสัมพัทธที่จุดเข(า
กระแทกกะเปาะ (VR ) VR = V jet − u และมีความเร็วกระแสน้ําที่ไหลจากกะเปาะเปน V2 ทํามุม θ กับ
แนวเดิม ดังนั้นความเร็วย(อนกลับในแนวนอนมีคาเทากับ VR cos θ เมื่อกะเปาะถูกกระแทกจากลําน้ําจะ
ทําให(วงล(อหมุนด(วยความเร็วเชิงมุม (ω ) และเมื่อให( r คือรัศมีของวงล(อ ดังนั้นความเร็วเส(นรอบวงของ
ล(อ (u) จึงมีคาเทากับ u = ω × r
เมื่อลําน้ําพุงชนกะเปาะจะเกิดแรงกระแทกของน้ําและสามารถสามารถเขียนสมการโมเมนตัม
ตามทิศทางการไหลโดยใช(หลักการไหลคงที่ในปริมาตรควบคุม (เส(นประ) ได(ดังนี้
∑ F = ∑ ( ρQV )
x out
−∑ ( ρ QV )in (7.3)
− F = ρ QVR ( k cos θ − 1)
สมการที่ 7.8 จะเปนจริงก็ตอเมื่อคา ρ หรือ Q หรือ (1- k cosθ ) หรือ (V jet − 2u ) เทากับศูนย
อย า งไรก็ ต ามค า ρ หรื อ หรื อ (1- k cosθ ) ไม มีโ อกาสเท า กั บ ศู น ย ดั งนั้ น พจน (V jet − 2u ) ต( อ ง
Q
เท ากั บ ศูน ย ดั งนั้ น สามารถสรุ ปได( วา กํ า ลังของกั งหั นจะมีคา มากที่ สุ ดเมื่ อความเร็ ว ของกั งหัน เทา กั บ
297
ρ QV jet2 (1 − k cos θ )
Pmax = (7.9)
4
สมการที่ 7.9 กําลังของกังหันจะมีมากที่สุดเมื่อ k=1 และ θ เทากับ 180 องศา เมื่อแทนคา k=1 และ θ
เทากับ 180 องศา ลงในสมการที่ 7.9 จะได(ดังสมการที่ที่ 7.10 และนําไปพล็อตกราฟความสัมพันธ
ระหวาง P กับ u จะได(ลักษณะดังรูปที่ 7.6
ρ QV jet2
Pmax = (7.10)
2
วิ ธี ทํ า พิ จ ารณาสมการพลั ง งานที่ ตํ า แหน ง ผิ ว น้ํ า ในอ า งเก็ บ น้ํ า (ตํ า แหน ง ที่ 1 ) กั บ ที่ ป ลายท อ หั ว ฉี ด
(ตําแหนงที่2) จะได(
V12
P1 P2 V22
z1 + + = z2 + + + ∑ H L1→2 (Ex7.4-1)
γ 2g γ 2g
300
หลักในการพิจารณา
- ความดันที่ผิวน้ําเทากับความดันบรรยากาศ = 0 (พิจารณาในระบบความดันเกจ)
- ความเร็วที่ผิวน้ํามีคาเข(าใกล(ศูนย เนื่องจากตลอดการปลอยน้ําระดับน้ําในอางเก็บน้ําไมมีการ
เปลี่ยนแปลง ดังนั้นในการแก(ปMญหานี้จะพิจารณาให(ความเร็วที่ผิวน้ํา = 0
V jet2
200 + 0 + 0 = 0 + 0 + + ∑ h f + ∑ hm (Ex7.4-2)
2g
V jet2 2
L Vp
2
L Vp
200 = +f + 0.1 f (Ex7.4-3)
2g D 2g D 2g
Q 1
ความเร็วของน้ําในทอสง =Vp =
π
= 3.54 m s
A ×0.6 2
ขนาดของหัวฉีดหาได(จากสมการความตอเนื่อง Q = AV
πd2
0.6 = × 56.47
4
d = 0.1163 m หรือ เทากับ 11.63 cm
301
เนื่องจากอัตราสวนระหวางเส(นผาศูนยกลางของหัวฉีดตอเส(นผาศูนยกลางของกังหันน้ํามักมีคาอยูเทากับ
1 ตอ 14 ดังนั้น
จํานวนขั้วของเครื่องกําเนิดไฟฟhาที่เลือกใช(ต(องเปนเลขคูจํานวนเต็ม ดังนั้นเลือกจํานวนขั้วของเครื่อง
กําเนิดไฟฟhาเทากับ 20 ดังนั้นต(องทําการคํานวณหาคาตาง ๆ ใหมดังนี้
120 f 120×50
จํานวนรอบ N= = = 300 rpm
nP 20
กําลังของกังหันสามาหาได(จาก
925,179.86
หรือเทากับ P= = 1,240.19 Hourse Power
746
302
เนื่องจากประสิทธิภาพของเพลาและเครื่องกําเนิดไฟฟhาเทากับ 90 เปอรเซ็นตดังนั้น
P 925.18
ηW = = = 0.9671 = 96.71 %
Pmax 956.66
ประสิทธิภาพรวมของกังหันและเครื่องกําเนิดไฟฟhา (η ) เทากับ
กังหันน้ําแบบแรงสะท.อน (Reaction)
กังหันแบบแรงสะท(อนเปนกังหันที่หมุนโดยใช(แรงดันของน้ําที่เกิดจากความตางระดับของน้ํา
ด(านหน(าและด(านท(ายของกังหันกระทําตอใบพัด ระดับด(านท(ายน้ําจะอยูสูงกวาระดับบนของปลายทอ
ปลอยน้ําออกเสมอ กังหันชนิดนี้เหมาะกับอางเก็บน้ําที่มีความสูงปานกลางและต่ํา กังหันแรงสะท(อน แบง
ได(เปน 2 แบบคือ
1. แบบสะท(อนชนิด Francis แบบนี้ความดันของน้ําบางสวนจะเปลี่ยนเปนความเร็ว และ ความดัน
ที่เหลือดันใบกังหัน และ เรงให(น้ําไหลผานใบบังคับไหล (Guide Vane) ซึ่งอยูรอบนอกของใบ
กังหัน เข(าแกนกลางและไหลออกที่แกนกลางของใบกังหัน และ มีความดันเทากับบรรยากาศ
เนื้อที่ทางเข(าของน้ําจะมากกวาเนื้อที่ทางออก ตัวใบกังหันมีลักษณะคล(ายใบพัดของเครื่องสูบน้ํา
แบบปKด (Closed Impeller) ดังรูปที่ 7.5 และการทํางานก็กลับกันกับการทํางานของเครื่องสูบ
น้ําน้ํา
แบบฝ_กหัด
2. จงหากําลังของเครื่องสูบน้ําที่ต(องการในการ
สูบน้ําจากถัง A ไปถัง B ดังรูป ด(วยอัตรา
100 l/s กํ า หนดให( เ ครื่ อ งสู บ น้ํ า มี
ประสิทธิภาพ 75%
3. ในรูปเปนการสูบน้ําจากแทงค A ขึ้นไปยัง
แทงค B โดยต( องการอั ตราการไหล 0.5
m3/s ทอมีขนาดเส(นผาศูนยกลาง 0.3 m
การสูญเสียเฮดในระบบทั้งหมดเมื่อเครื่องสูบ
น้ําทํางาน เทากับ 3.0 m จงหากําลังงานที่
เครื่ อ งสู บ น้ํ า ต( อ งให( กั บ ระบบในหน ว ย
กิโลวัตต (kW)
i) ประสิทธิภาพสูงสุดของกังหันน้ําเกิดขึ้นเมื่อกังหันหมุนด(วยความเร็ว 48 เปอรเซ็นตของ
ความเร็วของกระแสน้ํา
จงหา
- ขนาดของหัวฉีดและความเร็วที่พุงออกจากหัวฉีด
- เส(นผานศูนยกลางความเร็วการหมุนของกังหันเมื่อกังหันนี้ตอกับเครื่องกําเนิดไฟฟhา 50 Hz
- กําลังไฟฟhาที่ได(รับ
- ประสิทธิภาพรวมของกังหันน้ําและเครื่องปMîนไฟ
บรรณานุกรม
บรรณานุกรม (ต2อ)
12. Andrew L. Simon., (1981), Basic Hydraulics, John Wiley & Sons, Newyouk.
13. Bos, M. G., (1989), Discharge Measurement Structures, International Institute for
Land Reclamation and Improvement/ILRI, The Netherlands.
14. Chinnarasri, C., Donjadee, S., and Israngkura, U., (2008), Hydraulic characteristics of
gabion-stepped weirs, Journal of Hydraulic Engineering ASCE, Vol. 134(8), pp.1147-
1152.
15. French, R. H., (1994), Open-Channel Hydraulics, McGraw-Hill, Inc, Singapore.
16. Giles, R. V., (1995), Fluid Mechanics and Hydraulics, Blackwell Science.
17. Graf, W. H., (1998), Fluvial Hydraulics: Flow and Transport Processes in Channels
of Simple Geometry, John Wiley & Son, Inc, England.
18. Herzog, M.A.M., (1999), Practice Dam Analysis. 1 ed. Thomas Telford, London.
Mays, L. W., (2001), Water Resources Engineering, John Wiley & Sons, USA.
19. Hikmet Toprak. (2000), Waste water engineering. Retrived May 29, 2013, from
http://web.deu.edu.tr/atiksu/ana58/friction.html
20. Logan, E., (1995), Handbook of Turbomachinery. 1995. Marcel Deckker.
21. Mehrotra, V.K., (2004), Roller Compacted Concrete Dams. 1 ed. Standard
Publishers Distributors, Delhi.
310
บรรณานุกรม (ต2อ)
22. Munson, B. R., Young, D. F., and Okiishi, T. H., (1994), Fundamentals of fluid
mechanics, John Wiley & Sons, Canada.
23. Nestor, J., and Mendez, V., (1998), Sediment Transport in Irrigation Canals,
A.A.Balkema, Netherlands.
24. Potter, M. C., and Wiggert, D. C., (1997), Mechanics of Fluid, Prentice Hall.
25. Roberson, J. A., and Crowe, C. T., (1985), Engineering Fluid Mechanics, John Wiley
& Sons, USA.
26. Robert et al., (1994), Introduction to Fluid Mechanics, John Wiley & Sons, School
of Mechanical Engineering, Purdue University.
27. Schnitter, Nicholas A. J., (1994), History of Dams, the Useful Pyramids. A.A.
Balkema: Rotterdam, Netherlands.
28. Ven Te Chow. (1959), Open Channel Hydraulics, Mc Graw-Hill, Singapore.
29. White, F. M., (1999), Fluid Mechanics, McGraw-Hill.
311
ภาคผนวก
คํานําหน.าหน2วย (Prefixes)
คํานําหน(าหนวย คือ คํานําหน(าที่นํามาใสไว(ด(านหน(าของหนวย เพื่อหลีกเลี่ยงความไมสะดวกใน
การใช(งานตัวเลขที่มีขนาดใหญมากๆ เชน 8 กิโลm (km) เทากับ 8×103 หรือ 8,000 m (m) ซึ่ง กิโลใช(
สัญลักษณ k มีคาเทากับ 103 ในกรณีที่ปริมาณมีคาน(อย ๆ เชน 2 มิลลิm (mm) เทากับ 2×10-3 หรือ
0.002 m (m) ซึ่ง มิลลิ ใช(สัญลักษณ m (ตัวหน(า) มีคาเทากับ 10-3 สําหรับคํานําหน(าอื่น ๆ แสดงดัง
ตาราง
ตารางที่ ภ1 คํานําหน(าหนวย
prefixes Symbol Factor
yotta Y 1 000 000 000 000 000 000 000 000 1024
zetta Z 1 000 000 000 000 000 000 000 1021
exa E 1 000 000 000 000 000 000 1018
peta P 1 000 000 000 000 000 1015
tera T 1 000 000 000 000 1012
giga G 1 000 000 000 109
mega M 1 000 000 106
kilo k 1 000 103
hecto h 100 102
deca da 10 101
- - 1 100
deci d 0.1 10-1
centi c 0.01 10-2
milli m 0.001 10-3
micro µ 0.000 001 10-6
nano n 0.000 000 001 10-9
pico p 0.000 000 000 001 10-12
femto f 0.000 000 000 000 001 10-15
atto a 0.000 000 000 000 000 001 10-18
zepto z 0.000 000 000 000 000 000 001 10-21
yocto y 0.000 000 000 000 000 000 000 001 10-24
312
ตารางที่ ภ2 คุณสมบัติของน้ําที่อุณหภูมิตางๆ