Professional Documents
Culture Documents
อาจารย์อริยพล จิวาลักษณ์
คำนำ
หนังสือเรียนวิชาฟิสิกส์ที่นักเรียนกำลังอ่านอยู่นี้เป็นความพยายามของอาจารย์ที่ได้ขัดเกลาเนื้อหาให้
เหมาะสมกับนักเรียน อาจารย์ได้แบ่งเนื้อหาในแต่ละบทออกเป็นเป็นหัวข้อย่อยๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความ
เข้าใจ ในส่วนของแบบฝึกหัด อาจารย์ได้นำข้อสอบ entrance ย้อนหลัง 40 ปี มาคัดเลือกโดยจัดเรียงตาม
หัวข้อและเรียงลำดับใหม่จากง่ายไปยาก อย่างไรก็ดียังคงมีข้อผิดพลาดในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์คงต้องฝากให้
นักเรียนช่วยกันเรียน ช่วยกัน ทำความเข้าใจ และอาจารย์ยินดีรับ ข้อเสนอแนะจากนักเรียนเพื่อ ให้เอกสาร
ประกอบการเรียนเล่มนี้ดีขึ้นสำหรับรุ่นน้องของนักเรียนต่อไป
อาจารย์อยากให้นักเรียนตระหนักว่าวิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่สร้างความเข้า ใจพื้นฐานให้กับศาสตร์แขนง
ต่างๆ ฟิสิกส์อธิบายธรรมชาติ โดยสอนให้เราคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ เป็นขั้น เป็นตอน และมีเหตุมีผล
อาจารย์คิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับนักเรียนทุกคนที่เรียนในสายวิทยาศาสตร์ การเข้าใจฟิสิกส์
เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา อาจารย์เขียนหนังสือ สอนหนังสือ
วิชาฟิสิกส์ ไม่ได้เพื่อให้ทุกคนมาเรียนฟิสิกส์หรือกลายมาเป็นนักฟิสิกส์ แต่อาจารย์เขียนเพื่อให้พวกเราทุกคนที่
เรีย นวิช านี้ ได้ มีความเข้าใจในฟิส ิกส์มากขึ้น และเมื่อเรียนจบแล้ว จะได้มีฟิส ิกส์ติดตัว ไปบ้าง รวมทั้ง มี
ประสบการณ์และความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับฟิสิกส์
สุดท้ายนี้อาจารย์ขออวยพรให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียนตามที่หวังไว้ทุกประการ
อ.อริยพล จิวาลักษณ์
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
1. ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์
- สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
2. สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
- คลื่นวิทยุ
FM
AM
- ไมโครเวฟ
- รังสีอินฟราเรด
- แสงที่ตามองเห็น
- รังสีอัลตราไวโอเลต
- รังสีเอกซ์
- รังสีแกมมา
3. โพลาไรเซชั่น
- แผ่นโพลารอยด์
กั้นแสงไม่โพลาไรซ์
กั้นแสงโพลาไรซ์
- การสะท้อน
กฎของบรูสเตอร์
- การกระเจิง
นิวโป้งมือขวา 4 นิ้วที่เหลือ
สนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาจะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็ก ⃗
∆E → ⃗⃗
B
นิ้วโป้งมือซ้าย 4 นิ้วที่เหลือ
สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาทำให้เกิดสนามไฟฟ้า ⃗⃗
∆B → ⃗E
• การรวมสัญญาไฟฟ้าของเสียงเข้ากับคลื่นวิทยุ
คลื่นสัญญาณไฟฟ้าของเสียง
- AM (Amplitude Modulation)
f ≈ 1 MHz
แอมพลิจูดของคลื่นวิทยุเปลี่ยนแปลง
- FM (Frequency Modulation)
f ≈ 100 MHz
ความถีข่ องคลื่นวิทยุเปลี่ยนแปลง
• การกระจายเสียง
- คลื่นดิน (ground wave): ส่งตรงๆ ไปถึงผู้รับ จึงไปได้แค่ใกล้ๆ
- คลื่นฟ้า (sky wave): ส่งไปสะท้อนกับบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ก่อนไปถึงผูร้ ับ จึงไปได้ไกลกว่า
AM (ความถี่ต่ำ) สะท้อนกับไอโอโนสเฟียร์ได้ดี จึงใช้ทั้งคลื่นฟ้าและคลื่นดิน → ส่งได้ไกล
FM (ความถีส่ ูง) สะท้อนกับไอโอโนสเฟียร์ได้น้อย จึงใช้แต่คลื่นดิน → ส่งใกล้ๆ ต้องมีสถานีถ่ายทอดเป็นระยะๆ
• การรับเสียง
เมื่อคลื่นวิทยุที่ผสมคลื่นสัญญาณไฟฟ้าของเสียงไปถึงผู้รับ เครื่องรับจะแยกสัญญาณไฟฟ้าของเสียงออกจาก
คลื่นวิทยุ แล้วขยายให้มีแอมพลิจูดสูงขึ้น จากนั้นจึงส่งให้ลำโพงแปลงสัญญาณไฟฟ้านี้ให้ออกมาเป็นเสียงที่หูรับฟังได้
ไมโครเวฟ (microwaves).
- การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์จะมีรังสีอัลตราไวโอเลตแผ่มาด้วย เมื่อผ่านชั้นบรรยากาศของโลกรังสีอัลตราไวโอเลต
บางส่วนจะถูกชั้นบรรยากาศดูดกลืนก่อนกระทบผิวโลก
- ถ้าได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณที่มากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนัง
- สามารถนำไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียในอาหารและในเครื่องมือต่างๆ ได้
รังสีเอกซ์ (x-rays).
• กั้นแสงโพลาไรซ์
ถ้าแกนของแผ่นโพลารอยด์ไม่ขนานกับทิศทางการสั่นของสนามไฟฟ้าจะมีแสงผ่านได้บางส่วน แสงที่ผ่านไปจะ
มีแกนของสนามไฟฟ้าขนานกับแกนของแผ่นโพลารอยด์ แต่มีความเข้มของสนามไฟฟ้าและความเข้มแสงลดลง
n2
tan θB =
n1
θB θB n1
n2
θ2
n2
พิสูจน์ กฎของบรูสเตอร์ tanθB = n1
เมื่อแสงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปกระทบกับโมเลกุลของอากาศหรืออนุภาคในชั้นบรรยากาศ สนามไฟฟ้าของแสงจะถูก
ดูดกลืนโดยอิเล็กตรอนในโมเลกุลของอากาศ ทำให้อิเล็กตรอนสั่นกลับไปกลับมาในแนวเดียวกับสนามไฟฟ้า และปลดปล่อย
แสงที่มีสนามไฟฟ้าในทิศทางเดียวกับการสั่นออกมา แต่เนื่องจากแสงอาทิตย์ที่มาตกกระทบเป็นแสงไม่โพลาไรซ์ กล่าวคือ
ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าที่สั่นในทุกทิศทาง ทำให้อิเล็กตรอนปลดปล่อยแสงออกมาในทุกทิศทาง เรียกว่า ‘การกระเจิง’
z
v⃗
x y
1.1. การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กรูปใดที่เหนี่ยวนำให้เกิดสนามไฟฟ้าได้ถูกต้อง
1. ข้อ ก, ข
2. ข้อ ค, ง
3. ข้อ ก, ข, ค
4. ข้อ ก, ง
___________________________________________________________________________________________
1.2. กำหนดให้สนามแม่เหล็กมีทิศทางตามแนวระดับ ดังรูป
___________________________________________________________________________________________
1.3. กำหนดให้สนามไฟฟ้ามีทิศทางพุ่งขึ้น ในขณะที่สนามไฟฟ้า E มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น ทิศทางของสนามแม่เหล็ก
เหนี่ยวนำจะเป็นตามข้อใด
___________________________________________________________________________________________
1.5. (สสวท’60-6-12-2) ชายคนหนึ่งอยู่ที่เส้นศูนย์สูตรของโลก ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แผ่ขนานกับพื้นไปทางทิศเหนือ
และตรวจพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกไปนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้าอยู่ในแนวทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กจะอยู่ในแนวใด
___________________________________________________________________________________________
1.6. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเคลื่อนไปทางแกน Z ความสัมพันธ์ของสนามแม่เหล็ก B กับสนามไฟฟ้า E เป็นไปตามรูปใด
แหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อยู่ทางทิศใดของตำแหน่ง O
___________________________________________________________________________________________
1.8. (ENT’31) ข้อความต่อไปนี้ข้อใดกล่าวถูกต้องตามทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ก. ขณะประจุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งหรือความหน่วงจะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ข. เมื่อสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามไฟฟ้าโดยรอบยกเว้นบริเวณนั้นเป็นฉนวน
ค. บริเวณรอบตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้าจะเกิดสนามแม่เหล็ก
1. ก, ข และ ค
2. ก และ ค
3. ค เท่านั้น
4. คำตอบเป็นอย่างอื่น
___________________________________________________________________________________________
1.9. (ENT’41 เม.ย.) ข้อความต่อไปนี้ ข้อใดผิดตามทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
1. เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำ จะมีสนามแม่เหล็กเกิดขึ้นรอบๆ ตัวนำนั้น
2. เมื่อประจุมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร่งหรือความหน่วง จะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา
3. ขณะที่มีฟลักซ์แม่เหล็กเปลี่ยนแปลงผ่านวงลวดตัวนำ จะมีกระแสไฟฟ้าในตัวนำนั้น
4. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็ก จะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามไฟฟ้าในบริเวณนั้น ยกเว้นบริเวณนั้นจะเป็นฉนวน
___________________________________________________________________________________________
1.10. (ENT’32) ข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. สนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นรอบๆ ไม่ว่าบริเวณนั้นจะเป็นที่ว่างหรือฉนวน
2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไม่เคลื่อนที่ออกไปในแนวที่ขนานกับสายอากาศ
3. เฟสของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่จุดใดจุดหนึ่งเป็นอย่างเดียวกัน
4. ประจุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่จะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอย่างคงที่
___________________________________________________________________________________________
1.14. (สสวท’60-6-49-2) “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดมีอัตราเร็วเท่ากันในทุกตัวกลาง เท่ากับอัตราเร็วแสง” คำกล่าว
ข้างต้นนี้ถูกต้องหรือไม่ จงอธิบาย
___________________________________________________________________________________________
1.16. (ENT’27) สมมติว่าโลกมีผิวเกลี้ยงกลมดิกและมีรัศมี R หน่วย และเสาอากาศส่งสัญญาณโทรทัศน์อันหนึ่งมีความสูง h
หน่วย อยากทราบว่าสัญญาณโทรทัศน์จากเสาอากาศนี้ที่ไปถึงเครื่องรับบนพื้นดินโดยตรง (โดยไม่ต้องมีสถานีถ่ายทอด
เป็นระยะๆ) นั้น ไปได้ไกลที่สุดประมาณเท่าไร
1. √Rh
2. √2Rh
h2
3.
R
R2
4.
h
2.1. (ENT’42 มี.ค. & A-NET’49) คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ และแสงเลเซอร์ มีความถี่อยู่ในช่วง 104 - 109 เฮิรตซ์, 108 - 1012
เฮิรตซ์ และ 1014 เฮิรตซ์ ตามลำดับ ถ้าส่งคลื่นเหล่านี้จากโลกไปยังดาวเทียมดวงหนึ่ง ข้อต่อไปนี้ข้อใดถูกต้องมากที่สุด
1. คลื่นวิทยุจะใช้เวลาในการเคลื่อนที่ไปถึงดาวเทียมน้อยที่สุด
2. แสงเลเซอร์จะใช้เวลาในการเคลื่อนที่ไปถึงดาวเทียมน้อยที่สุด
3. คลื่นทั้งสามใช้เวลาเดินทางไปถึงดาวเทียมเท่ากัน
4. หาคำตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้กำหนดค่าความยาวคลื่นของคลื่นเหล่านี้
___________________________________________________________________________________________
2.2. (ENT’30) กำหนดให้ t1, t2 และ t3 เป็นเวลาที่คลื่นเสียง (ความถี่ 20 – 2 × 104 Hz) คลื่นวิทยุ (ความถี่ 104 – 109 Hz)
และคลื่นไมโครเวฟ (ความถี่ 108 - 1012 Hz) เดินทางในระยะทางที่เท่ากันตามลำดับ ข้อใดที่ถูกต้อง
1. t1 > t2 > t3
2. t1 < t2 < t3
3. t1 = t2 = t3
4. คำตอบเป็นอย่างอื่น
___________________________________________________________________________________________
2.3. (ENT’33) รังสีอินฟราเรดและคลื่นไมโครเวฟ มีสิ่งที่เหมือนกันในข้อใดบ้าง
ก. เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ข. ประโยชน์ในการสื่อสารดาวเทียม
ค. ตรวจรับได้ด้วยฟิล์มถ่ายรูป
คำตอบข้อใดถูก
1. ก และ ข
2. ก และ ค
3. ข และ ค
4. คำตอบเป็นอย่างอื่น
___________________________________________________________________________________________
2.7. (สสวท’60-6-50-3) ถ้าดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกเป็นระยะทาง 384000 กิโลเมตร จงหาระยะเวลาที่แสงเคลื่อนที่จาก
ดวงจันทร์ถึงโลก
___________________________________________________________________________________________
2.8. (สสวท’60-6-50-4) แสงเคลื่อนที่จากดวงอาทิตย์ถึงโลกใช้เวลา 8 นาที 19 วินาที จงหาระยะทางจากดวงอาทิตย์ถึงโลก
ในหน่วยกิโลเมตร
___________________________________________________________________________________________
3.3. (ENT’39) เมื่อนำโพลารอยด์ 2 แผ่นวางซ้อนกันโดยให้แกนของแผ่นทั้งสองตั้งฉากกัน ส่องดูแสงไม่โพลาไรซ์หลังแผ่นที่ 2
พบว่าไม่มีแสงผ่านออกมาเลย ถ้าต้องการให้มีแสงบางส่วนลอดออกมาได้ควรนำแผ่นโพลารอยด์แผ่นที่ 3 ไว้ที่ใด
1. หน้าแผ่นที่ 1 โดยที่แกนไม่ขนานกับแกนของแผ่นที่ 1 หรือแผ่นที่ 2
2. ระหว่างแผ่นทั้งสอง โดยที่แกนไม่ขนานกับแกนของแผ่นที่ 1 หรือแผ่นที่ 2
3. ระหว่างแผ่นทั้งสอง โดยที่แกนทำมุมใดๆ ก็ได้กับแผ่นที่ 1
4. หลังแผ่นที่ 2 โดยที่แกนทำมุมใดๆ ก็ได้กับแผ่นที่ 2
___________________________________________________________________________________________
3.5. (A-NET’50) ถ้าให้แสงตกกระทบตัวกลางหนึ่งเป็นมุมตกกระทบ 45o พบว่ามุมหักเหเป็น 30o ถ้าต้องการให้แสงสะท้อน
จากตัวกลางนั้นเป็นแสงโพลาไรซ์ ต้องให้แสงตกกระทบด้วยมุมตกกระทบเท่าใด
1
1. sin-1 ( )
√2
-1
2. sin (√2)
3. tan-1 (√2)
1
4. tan-1 ( )
√2
___________________________________________________________________________________________
การกระเจิง (polarization by scattering).
1. 0o
2. 45o
3. 90o
4. 135o
1. สภาพยืดหยุ่นและสภาพพลาสติก
- สภาพยืดหยุ่น
- สภาพพลาสติก
2. ความเค้น ความเครียด และมอดุลัสของยัง
- ความเค้น
- ความเครียด
- มอดุลัสของยัง
3. แรงตึงผิว การโค้งของผิวของเหลว และการซึมตามรูเล็ก
- ความตึงผิว
- การโค้งของผิวของเหลว
- การซึมตามรูเล็ก
4. แรงหนืด
- กฎของสโตกส์
5. ความดัน
- ความดันเกจ ความดันบรรยากาศ และความดันสัมบูรณ์
ความดันเกจ
ความดันบรรยากาศ
ความดันสัมบูรณ์
- เครื่องมือวัดความดัน
แมนอมิเตอร์
บารอมิเตอร์
6. กฎของพาสคัล
7. แรงลอยตัวและหลักของอาร์คิมีดิส
- แรงลอยตัว
- หลักของอาร์คิมีดิส
8. สมการความต่อเนื่อง
9. สมการแบร์นูลลี
- กฎของตอร์รีเชลลี
ดูดความร้อน
__________ __________
(fusion or melting) (vaporisation)
__________ __________
(solidification) (condensation)
__________
(sublimation)
คายความร้อน
m
ρ≡
V
1. สภาพยืดหยุ่นและสภาพพลาสติก.
สภาพยืดหยุ่น (elasticity).
สภาพพลาสติก (plasticity).
o ∆x (m)
L0 ∆L
ሬFԦ F⊥ F⊥ ሬFԦ
F⊥
σ≡
A
∆L
ε≡
L0
σ
Y≡
ε
F/A
Y=
∆L/L0
มอดุลัสของยังเป็นค่าเฉพาะตัวขึ้นกับชนิดของวัสดุ
- วัตถุที่มีค่ามอดุลัสของยังสูง จะสามารถทนต่อแรงภายนอกได้มาก และเปลี่ยนรูปร่างได้ยาก
- วัตถุที่มีค่ามอดุลัสของยังต่ำ จะสามารถทนต่อแรงภายนอกได้น้อย และเปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย
3. แรงตึงผิว.
F F
F
γ≡
L
∴ F = γL
ความตึงผิวเป็นค่าเฉพาะตัวขึ้นกับชนิดของของเหลว โดยความตึงผิวจะมีค่าลดลงเมื่อของเหลวมีอุณหภูมิสูงขึ้นและ
อาจมีค่าเปลี่ยนไปเมื่อของเหลวมีสารเจือปน เช่น น้ำสบู่มีความตึงผิวน้อยกว่าน้ำบริสุทธิ์
เส้นลวดตรงยาว l l F = γ(2l)
ฟิล์มสบู่ F = γ(2l)
ปรอท น้ำ
ปรอท น้ำ
f∝v
สำหรับวัตถุทรงกลมที่มีความเร็วน้อยๆ
f = 6πηrv
กราฟความเร็วกับเวลา: v (m/s)
t (s)
สมการการเคลื่อนที่จะเขียนได้เป็น
mg - FB - 6πηrvปลาย = m (0)
mg = FB + 6πηrvปลาย
F⊥
P≡
A
จงเขียนทิศทางของแรงที่ของเหลวกระทำต่อผนังภาชนะแต่ละด้าน และทิศทางของแรงที่ของเหลวกระทำต่อผิววัตถุแต่ละด้าน
เมื่อวัตถุจมในของเหลว
Pg = ρgh
P = Pg + Pa
คำถามทดสอบความเข้าใจ
ภาชนะทั้งสามมีระดับน้ำสูงเท่ากันและพื้นที่ก้นภาชนะเท่ากัน ดังรูป จงตอบคำถามต่อไปนี้
a) ความดันเกจที่ก้นภาชนะทุกใบเท่ากันหรือไม่
b) ความดันสัมบูรณ์ที่ก้นภาชนะทุกใบเท่ากันหรือไม่
c) แรงที่น้ำกระทำต่อก้นภาชนะทั้งสาม เนื่องจากความดันของน้ำเท่ากันหรือไม่
P0 A
mg h
PA
• แมนอมิเตอร์ (manometer)
ใช้วัด__________ของแก๊สในถังปิด ประกอบด้วยหลอดแก้วรูปตัวยูที่บรรจุของเหลวที่ทราบความหนาแน่น ρ
ปลายด้านหนึ่งเปิดสู่อากาศและปลายอีกด้านต่อเข้ากับถังแก๊สที่ต้องการวัดความดัน จะทำให้ของเหลวในหลอดรูปตัวยู
ด้านที่เปิดสู่บรรยากาศขยับสูงขึ้นกว่าอีกด้านหนึ่งเนื่องจากความดันที่ต่างกัน ผลต่างความสูงของเหลวในหลอดแก้วรูปตัว
ยูสามารถใช้ในการหาความดันเกจได้
Pa
Gas
h
A B
ρ
หลัก: ความดันในของเหลวชนิดเดียวกันที่ระดับความลึกเดียวกันจะมีค่าเท่ากัน
PA = PB
Pgas = Pa + ρgh
Pgas - Pa = ρgh
Pg, gas = ρgh
P0
ρ h
A B
หลัก: ความดันในของเหลวชนิดเดียวกันที่ระดับความลึกเดียวกันจะมีค่าเท่ากัน
PA = PB
Pa = P0 + ρgh
F1
A1 A2
F2
P1 = P2
F1 F2
=
A1 A2
การทดลอง
FB = Wน้ำที่ล้นออกไป
FB = mน้ำที่ล้นออกไป g
FB = ρน้ำ V g
น้ำที่ล้นออกไป
FB = ρน้ำ V g
วัตถุทแี่ ทนที่น้ำ
FB = ρของเหลว Vวัตถุส่วนทีจ่ ม g
FB = F2 - F1
พื้นที่หน้าตัด A F1 h1 FB = P2 A - P1 A
h2 FB = (Pa + ρgh2 )A - (Pa + ρgh1 )A
h
FB = ρgA (h2 - h1 )
F2 FB = ρgAh
FB = ρของเหลว Vวัตถุส่วนที่จม g
สรุปได้ว่า แรงลอยตัวเท่ากับน้ำหนักของของเหลวที่มีปริมาตรเท่ากับปริมาตรของวัตถุส่วนที่จม
ถ้าวัตถุลอยในของเหลว
FB
mg
แสดงว่า FB = mg
ρเหลว Vจม g = (ρวัตถุ Vวัตถุ )g
FB = Wของเหลวที่ถูกแทนทีด่ ้วยวัตถุ
FB = m ของเหลวที่ถูกแทนที่ดว้ ยวัตถุ g
FB = ρของเหลว Vของเหลวที่ถูกแทนที่ด้วยวัตถุ g
FB = ρของเหลว Vวัตถุส่วนทีจ่ ม g
พิจารณาการไหลของของไหลในท่อในท่ออันหนึ่งลักษณะดังรูป ของไหลไหลผ่านท่อบริเวณที่มีพื้นที่หน้าตัด A1
ด้วยความเร็ว v1 และไหลผ่านท่อบริเวณที่มีพื้นที่หน้าตัด A2 ด้วยความเร็ว v2
v1 v2
A1 A2
Av = ค่าคงตัว
A1 v1 = A2 v2
สมการนี้บอกว่าอัตราเร็วจะแปรผกผันกับพื้นที่หน้าตัด
- พื้นที่หน้าตัดใหญ่ อัตราเร็วจะน้อย
- พื้นที่หน้าตัดเล็ก อัตราเร็วจะมาก
พิสูจน์ สมการความต่อเนื่อง A1 v1 = A2 v2
v1 v2
A1 A2
s1
s2
1 2
1 2
v2
h2 = h
P2
v1
h1 = 0
P1
1
P + 2 ρv2 + ρgh = ค่าคงตัว
1 1
P1 + 2 ρv21 + ρgh1 = P2 + 2 ρv22 + ρgh2
สมการนี้บอกว่าที่ระดับเดียวกัน ความดันจะแปรผกผันกับอัตราเร็ว
- อัตราเร็วมาก (พื้นที่หน้าตัดเล็ก) ความดันจะน้อย
- อัตราเร็วน้อย (พื้นที่หน้าตัดใหญ่) ความดันจะมาก
1 1
พิสูจน์ สมการแบร์นูลลี P1 + 2 ρv21 + ρgh1 = P2 + 2 ρv22 + ρgh2
v2
A2
F2 = P2 A2
v1
A1 s2
F1 = P1 A1 h2
h1
s1
พิจารณาของไหลที่ไหลผ่านสองตำแหน่งในท่ออันหนึ่งที่มีระดับความสูงต่างกันและมีขนาดของท่อ
ต่างกัน ดังรูป ของไหลเริ่มต้นไหลจากตำแหน่งสูง h1 = 0 (ซึ่งเป็นระดับอ้างอิง ) ในช่วงเวลาหนึ่ง
ผ่านพื้นที่หน้าตัด A1 ด้วยความเร็ว v1 ได้ระยะ s1 และมีปริมาตร V1 = A1 s1 ในช่วงเวลา
เดียวกัน จะมีของไหลที่ตำแหน่งสูง h2 (จากระดับอ้างอิง) ผ่านพื้นที่หน้าตัด A2 ด้วยความเร็ว v2
ได้ระยะ s2 และมีปริมาตร V2 = A2 s2
เนื่องจากของไหลที่พิจารณาเป็นของไหลอุดมคติซึ่งไม่สามารถบีบอัดได้ ดังนั้นของไหลที่เคลื่อนที่ผ่าน
ตำแหน่งทั้งสองจะมีปริมาตร V เท่ากัน และมวล m เท่ากันตามสมการ m = ρ V
จากทฤษฎีบทงาน-พลังงานจลน์
Wทั้งหมด = ∆Ek
WF1 + WF2 + Wmg = Ek2 - Ek1
1 1
(+F1 s1 ) + (- F2 s2 ) + [- mg(h2 - h1 ) ] = 2 mv22 - 2 mv21
1 1
(+P1 A1 s1 ) + (- P2 A2 s2 ) + [- mgh2 + mgh1 ] = 2 mv22 - 2 mv21
1 1
(+P1 V) + (- P2 V) - mgh2 + mgh1 = mv22 - mv21
2 2
1 1
P1 - P2 - ρgh2 + ρgh1 = 2 ρv22 - 2 ρv21
1 1
P1 + 2 ρv21 + ρgh1 = P2 + 2 ρv22 + ρgh2
จึงสรุปเป็นกฎของตอร์รีเชลลีได้ว่า
“อัตราเร็วของน้ำที่ไหลออกจากรูรั่วมีค่าเท่ากับอัตราเร็วของวัตถุที่ตกอย่างอิสระจากความสูง h”
ชวนคิด น้ำจากรูไหนพุ่งไปตกได้ไกลสุด
H h
2
H
ของแข็ง (Solid)
___________________________________________________________________________________________
2.2. (สสวท’60-5-201-17.2) ลวดทำมาจากอะลูมิเนียมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.0 มิลลิเมตร ยาว 2.00 เมตร ลวดถูกดึงด้วย
แรง 200 นิวตัน จงหาความยาวของลวดที่เปลี่ยนไป กำหนดให้ค่ามอดุลัสของยังเท่ากับ 7.0 × 1010 นิวตันต่อตารางเมตร
___________________________________________________________________________________________
2.3. (ENT’37) ลวดทองแดงเส้นหนึ่งยาว 4 เมตร มีพื้นที่ภาคตัดขวาง 1 × 10-8 ตารางเมตร มีค่ามอดูลัสของยังเป็น 1.1 ×
1011 นิวตัน/ตารางเมตร จะต้องออกแรงดึงเท่าใดจึงจะทำให้ลวดเส้นนี้ยืดออกอีก 1 มิลลิเมตร
1. 0.2 N
2. 0.3 N
3. 0.4 N
4. 0.5 N
HW-2.3 (ENT’46 ต.ค.) ลวดเส้นหนึ่งยาวเท่ากับ L มีพื้นที่ภาคตัดขวางเป็น A และมีค่ามอดูลัสของยังเป็น Y ถ้าต้องการ
ยืดลวดนี้ให้ยาวขึ้น 1% จะต้องใช้แรงดึงเท่าใด
Y
1.
A
YA
2.
100
100Y
3.
LA
YLA
4.
100
___________________________________________________________________________________________
2.6. (ENT’35) เมื่อแขวนมวล M ไว้ที่ปลายเส้นลวดดังรูป จะทำให้เส้นลวดยืดออก 0.12% ของความยาวเดิม ถ้าพื้นที่หน้าตัด
ของมวลเท่ากับ 0.20 ตารางมิลลิเมตร และมีค่ามอดูลั สของยังเท่ากับ 2.0 × 1011 นิวตัน/ตารางเมตร มวล M จะมีค่า
เท่าใด (g = 10 m/s2)
1. 48 กิโลกรัม
2. 24 กิโลกรัม
3. 4.8 กิโลกรัม
4. 2.4 กิโลกรัม
1. 2.5 cm
2. 5 cm
3. 6 cm
4. 10 cm
___________________________________________________________________________________________
2.8. (ENT’32) เส้นลวดที่ทำจากอะลูมิเนียม และเส้นลวดที่ทำจากเหล็กกล้า มีเส้นผ่านศูนย์กลางและความยาวตั้งต้นเท่ากัน
โดยมีค่ามอดูลัสของยังของเหล็กกล้าสูงกว่าของอะลูมิ เนียม ถ้านำวัตถุ 2 ก้อน มวลเท่ากันมาแขวนติดกับปลายเส้นลวด
ทั้งสองนี้ จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ความเค้นของลวดทั้งสองเส้นมีค่าเท่ากัน
ข. ความเครียดตามยาวของเส้นลวดที่ทำจากอะลูมิเนียมจะมีค่ามากกว่าเส้นลวดที่ทำจากเหล็กกล้า
ค. เส้นลวดที่ทำจากอะลูมิเนียมจะยืดออกมากกว่าเส้นลวดที่ทำจากเหล็กกล้า
ง. เส้นลวดที่ทำจากเหล็กกล้าจะยืดออกมากกว่าเส้นลวดที่ทำจากอะลูมิเนียม
คำตอบที่ถูกต้องทีส่ ุดคือ
1. ก, ข และ ค
2. ก และ ค
3. ค เท่านั้น
4. คำตอบเป็นอย่างอื่น
HW-2.9 (ENT’47 ต.ค.) ลวด A กับลวด B ยาวเท่ากัน พื้นที่หน้าตัดของ B เป็นสองเท่าของ A ดึงลวด B ด้วยแรง 50 N
จะต้องดึงลวด A ด้วยแรงกี่นิวตัน จึงจะยาวเท่ากับ B กำหนดว่าค่ามอดูลัสของยังสำหรับ A เป็น 3 เท่าของ B
1. 8.3
2. 33
3. 75
4. 300
1. 4 : 1
2. 2 : 1
3. 1 : 2
4. 1 : 1
___________________________________________________________________________________________
3.3. (สสวท’60-5-211-17.3) วงแหวนบางมากผูกด้วยเชือกวางอยู่บนผิวของเหลวชนิดหนึ่ง วงแหวนนี้มีขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 4.0 เซนติเมตร และมีมวล 1.0 กรัม พบว่า ถ้าต้องการดึงวงแหวนให้หลุดออกจากผิวของเหลวพอดีดังรูป ต้อง
ออกแรงดึงเชือก T เท่ากับ 3.3 × 10-2 นิวตัน จงหาความตึงผิวของของเหลวนี้ (g = 9.8 m/s2)
___________________________________________________________________________________________
4.2. (ENT’26) ในการทดลองเกี่ยวกับวัตถุตก ได้กราฟระหว่างความเร็ว (v) และเวลา (t) ดังรูป การที่ความเร็วผิดไปจาก
แนวเส้นตรงแสดงถึงสาเหตุใดต่อไปนี้
1. แรงเสียดทานคงที่
2. แรงเสียดทานที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาเพิ่ม
3. แรงเสียดทานที่เพิ่มขึ้นเมื่อความเร็วสูง
4. แรงเสียดทานที่ลดลงเมื่อความเร็วสูง
1. ความดันที่ก้นภาชนะทั้งสามใบมีค่าเท่ากัน แต่น้ำหนักของน้ำในภาชนะแต่ละใบมีค่าไม่เท่ากัน
2. ความดันที่ก้นภาชนะทั้งสามใบมีค่าไม่เท่ากัน แต่น้ำหนักของน้ำในภาชนะแต่ละใบมีค่าเท่ากัน
3. ความดันที่ก้นภาชนะและน้ำหนักของน้ำในภาชนะแต่ละใบมีค่าไม่เท่ากัน
4. ความดันที่ก้นภาชนะและน้ำหนักของน้ำในภาชนะแต่ละใบมีค่าเท่ากัน
___________________________________________________________________________________________
5.4. (ENT’47 มี.ค.) นักดำน้ำผู้หนึ่งสามารถทนความดันเกจได้มากที่สุดไม่เกิน 1.5 × 105 ปาสคาล จงหาว่าในขณะดำน้ำลง
ไปในแม่น้ำแห่งหนึ่ง เขาสามารถดำน้ำได้ลึกมากที่ สุดเท่าใด (กำหนดให้ค่าความหนาแน่นของน้ำเป็น 1000 กิโลกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร) (g = 10 m/s2)
1. 10 m
2. 15 m
3. 20 m
4. 25 m
___________________________________________________________________________________________
5.5. (A-NET’51) ความดันสัมบูรณ์ที่ก้นเขื่อนลึก 100 เมตร เป็นกี่บรรยากาศ (g = 9.8 m/s2)
1. 7.8
2. 8.7
3. 9.7
4. 10.7
___________________________________________________________________________________________
5.6. (ENT’45 มี.ค.) ถัง 2 ใบ ใบหนึ่งมีน้ำอย่างเดียว อีกใบหนึ่งมีน้ำและน้ำมัน โดยชั้นของน้ำมันสูง 0.08 เมตร ดังรูป ความ
หนาแน่นของน้ำและน้ำมันเป็น 1,000 และ 850 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ จงหาว่าความดันที่ก้นถังทั้งสองใบ
จะต่างกันเท่าใด (g = 10 m/s2)
1. 15 Pa
2. 80 Pa
3. 120 Pa
4. 150 Pa
1. 4 เท่า
2. 2 เท่า
1
3. เท่า
2
1
4. เท่า
4
___________________________________________________________________________________________
5.8. หลอดแก้วตัวยู ตอนล่างมีปรอทความหนาแน่น 13.6 × 103 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร เทของเหลวอีกชนิดลงในขาข้างหนึ่ง
ปรากฏว่าระดับของเหลวที่เติมสูง 10 เซนติเมตร ส่วนปรอทขยับสูงกว่าเดิม 0.8 เซนติเมตร ความหนาแน่นของของเหลว
อีกชนิดที่เทลงมามีค่าเท่าไร
1. 10 cm
2. 9 cm
3. 5 cm
4. 4.5 cm
b) แรงเฉลี่ยเนื่องจากความดันสัมบูรณ์ที่น้ำเกลือกระทำที่ด้านข้างของถังหนึ่งด้าน
___________________________________________________________________________________________
5.11. (ENT’34) ถ้าระดับน้ำในตู้ปลารูปสี่เหลี่ยมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แรงทั้งหมดที่น้ำกระทำต่อด้านข้างของตู้ปลาจะเพิ่มขึ้น
เป็นกี่เท่า
1. 2
2. 4
3. 6
4. 8
• แมนอมิเตอร์ (manometer)
___________________________________________________________________________________________
5.14. (สสวท’60-5-227-17.5) ในการวัดความดัน P ของแก๊ส ใช้หลอดรูปตัวยูบรรจุปรอทที่มีความหนาแน่น 13.6 × 103
กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ปรอทในหลอดแก้วรูปตัวยูฝั่งขวาสูงกว่าฝั่งซ้า ย 20.5 เซนติเมตร ความดันเกจและความดัน
สัมบูรณ์ของแก๊สเป็นเท่าใด (g = 10 m/s2)
___________________________________________________________________________________________
5.15. (ENT’29) บรรจุปรอทลงในแมนอมิเตอร์แบบหลอดแก้วรูปตัวยู แล้วปรับระดับปรอททั้ง 2 ข้าง ให้อยู่ที่ขีดศูนย์ เรียก
ปลายทั้งสองว่าปลาย A และปลาย B เมื่อนำปลาย B ต่อเข้ากับภาชนะบรรจุก๊าซที่ไม่ทำปฏิกิริยากับปรอทและก๊าซใน
3
ภาชนะมีความดันเป็น เท่าของความดันบรรยากาศ ต้องการทราบว่า ผลต่างของระดับปรอทในปลาย A และ B
4
ต่างกันเท่าใด
1. ปลาย A สูงกว่าปลาย B = 76/3 เซนติเมตร
2. ปลาย B สูงกว่าปลาย A = 76/3 เซนติเมตร
3. ปลาย A สูงกว่าปลาย B = 76/4 เซนติเมตร
4. ปลาย B สูงกว่าปลาย A = 76/4 เซนติเมตร
ρw
1. 2 xm
ρm
ρw
2. x
ρm m
ρm
3. 2 x
ρw m
ρm
4. x
ρw m
___________________________________________________________________________________________
5.17. (ENT’48 มี.ค.) ดูดน้ำหวานความหนาแน่น 1,020 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร จนน้ำหวานไหลเข้าไปในหลอดเป็นระยะ
0.1 เมตร โดยหลอดเอียงทำมุม 60 องศากับแนวดิ่ง ความดันอากาศภายในหลอดเหนือน้ำหวานเป็นเท่าใด (กำหนดให้
ความดันบรรยากาศในขณะนั้นเท่ากับ 1.010 × 105 พาสคัล) (g = 9.8 m/s2)
1. 1.001 × 105 Pa
2. 1.005 × 105 Pa
3. 1.010 × 105 Pa
4. 1.015 × 105 Pa
b) ปริมาตรของเรือส่วนที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำ
___________________________________________________________________________________________
7.2. (สสวท’60-5-251-17) นำแท่งไม้รูปลูกบาศก์มีความยาวด้านละ 0.5 เมตร มีความหนาแน่น 800 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์
เมตร ไปลอยในน้ำที่มีความหนาแน่น 1000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จงหาว่าแท่งไม้จมน้ำลึกเท่าใด
___________________________________________________________________________________________
7.3. (ENT’41 เม.ย.) วัตถุทรงกลมตันลูกหนึ่งลอยอยู่ในของเหลวโดยจมไปครึ่งลูกพอดี กำหนดว่าของเหลวมีความหนาแน่น
1.2 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร จงหาว่าความหนาแน่นของวัตถุมีค่าเท่าใด
1. 0.6 g/cm3
2. 0.8 g/cm3
3. 0.9 g/cm3
4. 1.0 g/cm3
___________________________________________________________________________________________
7.5. (ENT’42 ต.ค.) ขวดใส่ลูกกวาดทรงกระบอกใบหนึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร ลอยอยู่ในน้ำดังรูป จงคำนวณว่า
ขวดและลูกกวาดมีมวลรวมกันเท่ากับเท่าไร
1. 780 g
2. 1,180 g
3. 1,570 g
4. 1,960 g
___________________________________________________________________________________________
5
7.6. (A-NET’52) แผ่นไม้หนาสม่ำเสมอ มีความหนาแน่น เท่าของความหนาแน่นน้ำ เมื่อนำไปลอยน้ำจะรับน้ำหนักได้สงู สุด
7
เป็นกี่เท่าของน้ำหนักของแผ่นไม้เองโดยไม่จม
2
1.
7
2
2.
5
5
3.
7
7
4.
5
HW-7.9 (ENT’43 มี.ค.) พลาสติกสองชิ้น A และ B พลาสติก B มีความหนาแน่นเป็น 1.5 เท่าของพลาสติก A ทั้งสอง
ชิ้นมีรูปทรงเป็นทรงกระบอกกลม ถ้าชิ้น A มีพื้นที่ฐานเป็นสองเท่าของชิ้น B เมื่อนำชิ้น A มาลอยน้ำจะจมลงครึ่งหนึ่งของ
ความสูงทรงกระบอกพอดี จงวิเคราะห์ว่าถ้านำพลาสติกชิ้น B มาลอยน้ำ ชิ้น B จะจมกี่ส่วนของความสูงทรงกระบอก
1. จม 1/4 ของความสูงทรงกระบอก
2. จม 1/2 ของความสูงทรงกระบอก
3. จม 3/4 ของความสูงทรงกระบอก
4. จมทั้งชิ้น
F
1. ρ +
Vg
F
2. ρ -
Vg
F
3.
Vg
4. ρ
___________________________________________________________________________________________
7.13. (ENT’47 ต.ค.) ก้อนวัสดุซึ่งภายในกลวง ชั่งในอากาศหนัก 0.98 N ชั่งในน้ำหนัก 0.49 N ปริมาตรของโพรงเป็นกี่
ลูกบาศก์เซนติเมตร กำหนดว่า เนื้อวัสดุมีความหนาแน่น 4000 kg/m3 (g = 9.8 m/s2)
1. 25
2. 50
3. 75
4. 100
___________________________________________________________________________________________
7.14. น้ำอยู่ในถัง 3 ถัง เหมือนกันทุกประการ เดิมตาชั่งอ่านค่า 100 นิวตันเท่ากัน ถ้าใส่วัตถุที่มีน้ำหนัก 100 นิวตัน แล้วจม,
100 นิวตันแล้วลอย, 100 นิวตันแล้วลอยแต่ใช้เชือกดึงให้จม จงหาว่าตาชั่งใดอ่านค่ามากที่สุดและน้อยที่สุด
___________________________________________________________________________________________
7.16. (สสวท’51-5-20-17.5) บอลลูนที่ยังไม่บรรจุแก๊สลูกหนึ่งพร้อมกระเช้ามีมวลรวมกัน 500 กิโลกรัม จะต้องบรรจุแก๊ส
ฮีเลียมปริมาตรเท่าใด บอลลูนจึงสามารถลอยนิ่งในอากาศบริเวณผิวโลกได้พอดี ถ้าขณะนั้นอุณหภูมิของอากาศเท่ากับ
0 องศาเซลเซียส กำหนดให้ความหนาแน่นของอากาศและแก๊สฮีเลียมมีค่าเท่ากับ 1.29 kg/m3 และ 0.179 kg/m3
ตามลำดับ
___________________________________________________________________________________________
8.2. (สสวท’60-5-252-24) ท่อ M มีพื้นที่หน้าตัด 3.0 × 10-3 ตารางเมตร ต่อกับท่อ N มีพื้นที่ตัดขวาง 1.0 × 10-3 ตาราง
เมตร ท่อทั้งสองวางตัวในแนวราบ ถ้าน้ำไหลเข้าท่อ M ด้วยอัตราเร็ว 0.3 เมตรต่อวินาที จงหา
a) อัตราการไหลของน้ำในท่อทั้งสอง
b) อัตราเร็วของน้ำในท่อ N
___________________________________________________________________________________________
8.4. (ENT’46 มี.ค.) เปิดน้ำจากก๊อกให้ไหลลงในบีกเกอร์ความจุ 1 ลิตร จนเต็มภายในเวลา 10 วินาที ถ้าน้ำไหลออกจากก๊อก
เป็นลำด้วยอัตราเร็ว 0.5 เมตร/วินาที จงหารัศมีของปลายก๊อก
1. 0.4 cm
2. 0.6 cm
3. 0.8 cm
4. 1.3 cm
3
1. P - ρv2
2
1
2. P - ρv2
2
1 2
3. P + ρv
2
3
4. P + ρv2
2
___________________________________________________________________________________________
9.2. (สสวท’60-5-252-25) ถ้าน้ำพุ่งออกจากปลายท่อน้ำดับเพลิงด้วยอัตราเร็ว 20 เมตรต่อวินาที ดังรูป ความดันในท่อ A มี
ค่าเท่าใด กำหนดให้เส้นผ่านศูนย์กลางของท่อ A และ B เท่ากับ 8 เซนติเมตร และ 4 เซนติเมตร ตามลำดับ
___________________________________________________________________________________________
9.3. สายยางรดน้ำต้นไม้มีพื้นที่หน้าตัดภายในของท่อ 3.5 ตารางเซนติเมตร ที่ปลายท่อข้างหนึ่งต่อกับหัวฉีดซึ่งมีพื้นที่หน้าตัด
0.25 ตารางเซนติเมตร เมื่อเปิดน้ำให้ไหลผ่านท่อ โดยคนสวนยกหัวฉีดสูงจากพื้น 1.50 เมตร น้ำที่ไหลผ่านท่อที่วางอยู่บน
พื้นมีความเร็ว 50 เซนติเมตร/วินาที อยากทราบว่าความดันในท่อส่วนที่วางอยู่บนพื้นมีค่าเป็นกี่เท่าของความดัน
บรรยากาศ กำหนดให้ความดันบรรยากาศเท่ากับ 1.00 × 105 พาสคัล
___________________________________________________________________________________________
9.5. พายุไซโคลนพัดผ่านบ้านหลังหนึ่งโดยมีอัตราเร็วลมเหนือหลังคาบ้านเป็น 40 เมตร/วินาที โดยพื้นที่ของหลังคาบ้านเป็น
200 ตารางเมตร และความหนาแน่นอากาศเป็น 0.3 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร จงหาผลต่างระหว่างความดันอากาศเหนือ
หลังคาบ้านกับใต้หลังคาบ้าน และแรงยกที่กระทำต่อหลังคาบ้านมีขนาดเท่าใด
1. 120 นิวตัน/ตารางเมตร, 24,000 นิวตัน
2. 200 นิวตัน/ตารางเมตร, 40,000 นิวตัน
3. 240 นิวตัน/ตารางเมตร, 48,000 นิวตัน
4. 275 นิวตัน/ตารางเมตร, 55,000 นิวตัน
1. พลังงานความร้อน
- เปลี่ยนอุณหภูมิ
- เปลี่ยนสถานะ
- สมดุลความร้อน
2. การถ่ายโอนความร้อน
- การนำความร้อน
- การพาความร้อน
- การแผ่รังสีความร้อน
3. การขยายตัวเชิงความร้อน
4. แก๊สอุดมคติ
- แบบจำลองของแก๊สอุดมคติ
- กฎของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎของเกย์ลูสแซก และกฎของอโวกาโดร
- กฎของแก๊สอุดมคติ
5. ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
- พลังงานจลน์
พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุล
พลังงานจลน์ของโมเลกุลทั้งหมด
- อัตราเร็ว
อัตราเร็ว rms
6. พลังงานภายในระบบ
7. งานที่ทำโดยแก๊ส
8. กฎของเทอร์โมไดนามิกส์
- กฎข้อที่ 0
- กฎข้อที่ 1
9. P-V diagram และกระบวนการทางเทอร์โมไดนามิกส์
- Isobaric
- Isochoric / Isovolumetric
- Isothermal
- Adiabatic
พลังงานความร้อนที่ใช้ในการทำให้สารเปลี่ยนอุณหภูมิ.
Q = mc∆T
Q = C∆T
ความสัมพันธ์ระหว่างความร้อนจำเพาะและความจุความร้อน
C = mc
พลังงานความร้อนที่ใช้ในการทำให้สารเปลี่ยนสถานะ.
Q = mL
1 2 3 4 5
น้ำแข็ง ไอน้ำ
< 0 oC > 100 oC
T (oC)
100
0 Q (J)
Qลด = Qเพิ่ม
+
100 g 100 g
20 oC 80 oC
A B
+ 600 g
200 g 50 oC
10 oC
C D
500 g +
40 oC 250 g
100 oC
E F
ตัวอย่าง 2 น้ำแข็งละลายหมด
ใส่น้ำแข็ง 50 g อุณหภูมิ 0 oC ลงในน้ำ 200 g อุณหภูมิ 30 oC จะได้อุณหภูมิสุดท้ายเท่าใด
ตัวอย่าง 3 น้ำแข็งละลายไม่หมด
ใส่ น ้ ำ แข็ ง 100 g อุ ณ หภู ม ิ 0 oC ลงในน้ ำ 200 g อุ ณ หภู ม ิ 30 oC จะได้ อ ุ ณหภู มิ สุ ดท้ ายเท่าใด
ถ้าน้ำแข็งละลายไม่หมด จงหาด้วยว่ามีน้ำแข็งเหลืออยู่กี่กรัม
เป็นการถ่ายโอนความร้อนโดยอาศัยการเคลื่อนที่ของโมเลกุลของสสารในการพาความร้อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
การปิ้งย่าง: เมื่ออากาศที่อยู่เหนือเตาไฟได้รับความร้อนจนมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะเกิดการขยายตัว (ความหนาแน่น
ลดลง) และลอยตัวสูงขึ้น พาความร้อนจากเตาไฟไปกระทบหมูและถ่ายเทความร้อนให้กับหมูกลายเป็นหมูย่าง
การต้มน้ำในกา: เมื่อน้ำที่ก้นกาได้รับความร้อนจะขยายตัว ทำให้มีความหนาแน่นน้อยลงและเคลื่อนที่ขึ้นไปอยู่
ส่วนบน ส่วนน้ำที่อยู่ส่วนบนก็จะเคลื่อนที่ลงมาแทนที่ การหมุนวนของน้ำทำให้เกิดการพาความร้อนขึ้น
การแผ่รังสีความร้อน (heat radiation).
___________________________________________________________________________________________
3. การขยายตัวเชิงความร้อน (thermal expansion).
∆L ∝ L0 ∆T
∆L = αL0 ∆T
P P
1
V
V
V V
T (℃) T (K)
PV = nRT
PV = NkB T
ข้อควรระวัง! P = P สัมบูรณ์
V1 V2
ความดันคงที่ =
T1 T2
P1 V1 P2 V2 P1 P2
• จำนวนโมล/โมเลกุลคงที่ = ปริมาตรคงที่ =
T1 T2 T1 T2
อุณหภูมิคงที่ P1 V1 = P2 V2
P1 V1 P2 V2 P1 V1 P2 V2
• จำนวนโมล/โมเลกุลแก๊สไม่คงที่ = → แก๊สชนิดเดิม =
n 1 T1 n 2 T2 m 1 T1 m 2 T2
P1 V1 P2 V2 P1 P2
= =
N1 T 1 N2 T 2 ρ1 T ρ2 T
1 2
พลังงานจลน์.
• พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุล
̅k = 3 kB T
E 2
สมการนี้บอกว่าพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สแปรผันตรงกับ_______________ของแก๊ส
• พลังงานจลน์ของโมเลกุลทั้งหมด
พลังงานจลน์ของโมเลกุลทั้งหมดหาได้จากผลบวกของพลังงานจลน์ของแต่ละโมเลกุล
Ek ทั้งหมด = Ek1 + Ek2 +…+ EkN
หรือสามารถหาได้จากพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลคูณด้วยจำนวนโมเลกุลทั้งหมด
̅k
Ek ทั้งหมด = NE
3
= N (2 k T)
B
3
= 2 NkB T
3
= 2 nRT
3
= 2 PV
อัตราเร็ว.
3RT 3kB T 3P
vrms =√ =√ =√ ρ
M m
3
พิสูจน์ พลังงานจลน์เฉลี่ย ̅ k = kB T
E
2
3RT 3kB T 3P
อัตราเร็วรากที่สองของกำลังสองเฉลี่ย vrms =√ M =√ m
=√ ρ
l
vx
m
x
l
l
y
แรงเฉลี่ยที่ผนังกระทำต่อแก๊ส 1 โมเลกุล:
⃗
∆P m(-vx ) - m(+vx ) - mv2x
⃗F = = 2l =
∆t ( ) l
vx
แรงเฉลี่ยที่แก๊ส 1 โมเลกุลกระทำต่อผนัง:
2
⃗ = +mvx
F (กฎข้อที่ 3 ของนิวตัน)
l
m
⃗ =
F (v2x1 + v2x2 + … + v2xN ) v2x + v2x2 + … + v2xN
v̅2x = 1
l
=
m
(Nv̅2x ) N
l
(มีต่อหน้าถัดไป…)
ความดันที่เกิดขึ้นที่ผนัง:
F
P= A
m ̅̅̅
v2
(N )
l 3
P= A
1 Nmv̅̅̅2
P= 3 Al
PV = 3 Nmv̅2
1
PV = 3 N (2 mv̅2 )
2 1
2
̅k )
NkB T = 3 N(E
̅k = 3 kB T
E 2
PV = 3 Nmv̅2
1
จาก
v̅2 = v̅2 =
n 3kB T
3RT
Nm m
Nm
n=
v̅2 =
3RT M √v̅2 =√3kBT
M m
U = Ek ทั้งหมด
̅k
= NE
3
= N (2 k T)
B
3
U = 2 NkB T (1)
3
U = 2 nRT (2)
3
U = 2 PV (3)
แก๊สดันลูกสูบออก
⃗ by gas
F
A
l1
s
⃗ by gas
F
l2
ถ้าความดันคงที่ งานเนื่องจากแรงที่แก๊สดันลูกสูบ
ถ้าความดันไม่คงที่ ต้องใช้เป็นความดันเฉลี่ย
P1 + P2
Wby gas = ( ) ∆V
2
Q = ∆U + Wby gas
เครื่องหมายของแต่ละปริมาณ
Isobaric
Isochoric
TH
Isothermal
Adiabatic
TL
V
Isobaric. __________คงที่
จะได้ Q = ∆U + P∆V
Isothermal. __________คงที่
จะได้ Q = 0 + Wby gas
ความร้อน
พลังงานความร้อนที่ใช้ในการทำให้สารเปลี่ยนอุณหภูมิและเปลีย่ นสถานะ.
___________________________________________________________________________________________
1.2. (ENT’29) นำกระดาษมาพับเป็นรูปถ้วย เติมน้ำเย็น 4 องศาเซลเซียส ลงไป 100 มิลลิลิตร แล้วใช้เปลวเทียนลนก้นถ้วย
กระดาษนั้น จนกระทั่งอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 9 องศาเซลเซียส พลังงานความร้อนที่เปลวเทียนถ่ายเทให้มีค่าเท่าใด กำหนด
ความจุความร้อนจำเพาะของน้ำ = 4.18 กิโลจูลต่อน้ำ 1 กิโลกรัมต่อ 1 เคลวิน
1. 2.09 จูล
2. 2.09 × 103 จูล
3. 2.09 × 106 จูล
4. คำนวณไม่ได้เพราะถ้วยกระดาษไหม้ไฟเสียก่อน
___________________________________________________________________________________________
1.3. (สสวท’60-5-132-16.2) ก้อนโลหะชนิดหนึ่งมีมวล 2 กิโลกรัม ได้รับความร้อน 10 กิโลจูล ปรากฏว่าอุณหภูมิของก้อน
โลหะเพิ่มขึ้น 10 องศาเซลเซียส จงหาความร้อนจำเพาะของก้อนโลหะ
___________________________________________________________________________________________
1.7. (ENT’44 ต.ค.) จงหาปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำแข็งมวล 100 กรัม อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส กลายเป็นน้ำมวล 100
กรัม อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส กำหนดให้ ความจุความร้อนจำเพาะของน้ำเท่ากับ 4200 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน และ
ความร้อนแฝงจำเพาะของการหลอมเหลวของน้ำแข็งเท่ากับ 333 กิโลจูลต่อกิโลกรัม
1. 33.7 kJ
2. 37.5 kJ
3. 75.3 kJ
4. 4233 kJ
___________________________________________________________________________________________
1.8. (สสวท’60-5-144-4) การทำให้น้ำมวล 0.5 กิโลกรัม 0 องศาเซลเซียส เป็นไอน้ำ 100 องศาเซลเซียส ต้องใช้ความร้อน
เท่าใด กำหนดให้ความร้อนจำเพาะของน้ำ (cWater) เท่ากับ 4186 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน และความร้อนแฝงของการ
กลายเป็นไอ (Lv) เท่ากับ 22.56 × 105 จูลต่อกิโลกรัม
___________________________________________________________________________________________
1.10. (สสวท’60-5-136-16.3) จงหาความร้อนที่ทำให้น้ำแข็งมวล 1 กิโลกรัม อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส เปลี่ยนเป็นไอ
น้ำที่อุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส
ถ้ากำหนดให้ ความร้อนจำเพาะของน้ำแข็ง เท่ากับ 2100 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน
ความร้อนจำเพาะของน้ำ เท่ากับ 4186 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน
ความร้อนจำเพาะของไอน้ำ เท่ากับ 2010 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน
ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวของน้ำแข็ง เท่ากับ 3.33 × 105 จูลต่อกิโลกรัม
ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอของน้ำ เท่ากับ 22.56 × 105 จูลต่อกิโลกรัม
___________________________________________________________________________________________
1.12. นำกาน้ำทำด้วยอลูมิเนียมมวล 500 กรัม บรรจุน้ำมวล 1,000 กรัม อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส มาตั้งบนเตาแก๊สจนน้ำ
เดือดพอดีใช้เวลา 10 นาที ถ้าใช้พลังงานความร้อนในอัตราเดิมต้มต่อไปอีก 20 นาที จะเหลือน้ำในกาเท่าใด กำหนดให้
ความจุความร้อนจำเพาะของน้ำและอลูมิเนียมมีค่าเท่ากับ 4 และ 1 กิโลจูล/กิโลกรัม.เคลวิน ตามลำดับ และความร้อน
แฝงจำเพาะของการกลายเป็นไอของน้ำมีค่า 2,000 กิโลจูล/กิโลกรัม
1. 320 กรัม
2. 360 กรัม
3. 640 กรัม
4. 680 กรัม
___________________________________________________________________________________________
1.13. (ENT’28) ปริมาณความร้อนที่ทำให้กาน้ำใบหนึ่งมีอุณหภูมิเพิ่ม 1 K เท่ากับปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 128 กรัม มี
อุณหภูมิเพิ่ม 1 K ถ้าใช้กาน้ำใบนั้นบรรจุน้ำ 1 kg ที่ 30 oC ตั้งบนเตาแก๊สจนเดือดใช้เวลา 7 นาที แล้วทิ้งไว้ให้เดือด
ต่อไปอีกเป็นเวลา 20 นาที จะเหลือน้ำในกาเท่าใด
กำหนดให้ ความจุความร้อนจำเพาะของน้ำ = 4.18 kJ/kg K
ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเป็นไอ = 2,256 kJ/kg
1. 0.370 kg
2. 0.418 kg
3. 0.582 kg
4. 0.630 kg
___________________________________________________________________________________________
1.15. (ENT’39) จากการทดลองวัดค่าความจุความร้อนของระบบที่ประกอบด้วยคาลอริมิเตอร์บรรจุน้ำที่มีเทอร์โมมิเตอร์
และแท่งแก้วคนอยู่มีมวลรวม 0.5 กิโลกรัม ให้ความร้อนแก่ระบบ โดยการผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดต้านทาน
ดังรูป ก. เมื่อวัดและเขียนกราฟระหว่างอุณหภูมิของระบบกับเวลาได้กราฟดังรูป ข. ถ้าขดลวดให้ความร้อน 50 วัตต์
ระบบมีค่าความร้อนจำเพาะเท่ากับเท่าไร
1. 9 × 102 J/(kg.K)
2. 3 × 103 J/(kg.K)
3. 6 × 103 J/(kg.K)
4. 9 × 103 J/(kg.K)
___________________________________________________________________________________________
1.17. (ENT’41 ต.ค. & A-NET’49) บรรจุน้ำแข็งบดที่ 0 oC ไว้บนกระดาษกรองที่อยู่ภายในกรวย เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาที
พบว่าน้ำแข็งละลายไป 50 กรัม ถ้านำน้ำแข็งบดมวลเท่ากับตอนต้นบรรจุไว้ในกรวยที่เหมือนกันอีกอันหนึ่ง แต่ใช้ตัวทำ
ความร้อนจุ่มในน้ำแข็ง พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป 5 นาที น้ำแข็งละลายไป 200 กรัม ถ้าความร้อนแฝงจำเพาะของการ
หลอมเหลวของน้ำเท่ากับ 336 กิโลจูล/กิโลกรัม ตัวทำความร้อนมีกำลังประมาณเท่าใด
1. 56 W
2. 112 W
3. 140 W
4. 168 W
___________________________________________________________________________________________
1.18. (ENT’47 ต.ค.) ความร้อนที่ทำให้น้ำปริมาณหนึ่งมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 3 oC สามารถทำให้ก้อนโลหะก้อนหนึ่งซึ่งมีมวล
kJ
เป็นสองเท่าของน้ำ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 15 oC โลหะก้อนนั้นมีความจุความร้อนจำเพาะเท่าใดในหน่วย (ความจุ
kg.K
kJ
ความร้อนจำเพาะของน้ำ = 4.18 )
kg.K
1. 0.418
2. 0.836
3. 1.07
4. 2.09
HW-1.21 (ENT’46 มี.ค.) ลูกเหล็กมวล 50 กรัม อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส ถูกหย่อนลงในน้ำมวล 100 กรัม ซึ่ง
บรรจุอยู่ในกระป๋องมวล 70 กรัมและมีโฟมหุ้มกระป๋องอยู่ ทำให้น้ำมีอุณหภูมิเปลี่ยนจาก 6 องศาเซลเซียส ไปเป็น 20
องศาเซลเซียส จงหาความจุความร้อนจำเพาะของกระป๋อง (กำหนด ความจุความร้อนจำเพาะของเหล็กเท่ากับ 0.45
กิโลจูล/กิโลกรัม เคลวิน ความจุความร้อนจำเพาะของน้ำเท่ากับ 4.20 กิโลจูล/กิโลกรัม เคลวิน)
1. 0.13 kJ/kg K
2. 0.23 kJ/kg K
3. 0.43 kJ/kg K
4. 0.70 kJ/kg K
___________________________________________________________________________________________
1.22. (สสวท’60-5-186-33) นำอัลลอยมวล 120 กรัม อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ใส่ลงในภาชนะที่เป็นฉนวนและบรรจุ
น้ำมวล 250 กรัม อุณหภูมิ 98 องศาเซลเซียส การผสมนี้จะทำให้น้ำกลายเป็นไอน้ำกี่กรัม กำหนดให้ความร้อนจำเพาะ
ของอัลลอยเท่ากับ 500 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน
___________________________________________________________________________________________
1.24. (สสวท’51-5-64-18.6 & สสวท’60-5-186-34) ก้อนอะลูมิเนียมมวล 200 กรัม อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส อยู่ใน
ภาชนะที่เป็นฉนวนความร้อน เมื่อเทน้ำแข็งมวล 70 กรัม อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ลงในภาชนะ จากนั้นปิดภาชนะ
ด้วยฝาฉนวน อุณหภูมิสุดท้ายภายในภาชนะเป็นเท่าใด กำหนดให้ความจุความร้อนจำเพาะของอลูมิเนียมเท่ากับ 0.9
จูล/กรัม องศาเซลเซียส
___________________________________________________________________________________________
4.2. (สสวท’60-5-187-37) จงหามวลและจำนวนโมเลกุลของออกซิเจน 0.1 กิโลโมล และถ้าแก๊สนี้มีอุณหภูมิ 27 องศา
เซลเซียส ความดัน 1.0 บรรยากาศ จะมีปริมาตรเท่าใด กำหนดให้มวลโมเลกุลของออกซิเจนเท่ากับ 32
___________________________________________________________________________________________
4.3. (สสวท’51-5-77-18.10 & สสวท’60-5-153-16.8) แก๊ ส ปริมาตร 1 ลู ก บาศก์เ มตร ที่ STP แก๊ ส ดังกล่า วมีจำนวน
โมเลกุลเท่าใด
___________________________________________________________________________________________
4.5. (สสวท’60-5-184-16) แก๊สจำนวนหนึ่งอยู่ในกระบอกสูบ เมื่อความดันของแก๊สเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ปริมาตรของแก๊สจะ
ลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของเดิม อัตราส่วนระหว่างอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊สครั้งหลังกับครั้งแรกมีค่าเท่าใด
115
1. m
18
115
2. + 0.2 m
18
175
3. m
12
175
4. + 0.2 m
12
___________________________________________________________________________________________
4.8. (ENT’42 ต.ค.) ถ้าให้ความดันของก๊าซในกระบอกสูบหนึ่งคงที่ และให้อุณหภูมิของก๊าซภายในกระบอกสูบเปลี่ยนจาก27
o
C เป็น 77 oC อัตราส่วนของปริมาตรใหม่ต่อปริมาตรเดิมเป็นเท่าใด
1. 0.3
2. 0.9
3. 1.2
4. 3.5
___________________________________________________________________________________________
4.9. (ENT’27) ถ้าความดันบรรยากาศเท่ากับ 105 นิวตันต่อตารางเมตรตลอดเวลา เมื่อสูบอากาศเข้าไปในยางรถยนต์คันหนึ่ง
พบว่า มิเตอร์วัดความดันเกจอ่านได้ 2 × 105 นิวตันต่อตารางเมตร อุณหภูมิของอากาศในยางขณะนั้นเท่ากับ 27 องศา
เซลเซียส ถ้าอุณหภูมิของอากาศในยางเปลี่ยนไปเป็น 87 องศาเซลเซียส อยากทราบว่ามิเตอร์วัดความดันเกจจะอ่านค่าได้
เท่าใด ถ้าถือว่าปริมาตรของยางรถยนต์เปลี่ยนไปน้อยมาก
1. 3.6 × 105 N/m2
2. 3.4 × 105 N/m2
3. 2.6 × 105 N/m2
4. 2.4 × 105 N/m2
___________________________________________________________________________________________
4.11. (สสวท’60-5-183-10) บอลลูนมีปริมาตร 4 ลิตร ความดัน 300 กิโลพาสคัล ปล่อยให้บอลลูนลอยสูงขึ้น จนความดัน
แก๊สลดลงเหลือ 200 กิโลพาสคัล โดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง จงหาปริมาตรของแก๊สในบอลลูน
___________________________________________________________________________________________
4.12. (ENT’46 มี.ค.) ฟองอากาศปุดขึ้นมาจากก้นสระ ปริมาตรของฟองอากาศที่ลอยขึ้นไป ณ ตำแหน่งที่ใกล้ผิวน้ำเป็นสอง
เท่าของปริมาตรฟองอากาศที ่ก้ นสระ จงหาความลึกของสระ (สมมติให้อุณหภูมิของฟองอากาศคงที ่ ความดัน
บรรยากาศที่ผิวน้ำเป็น Pa และความหนาแน่นของน้ำเป็น ρ)
2Pa
1.
ρg
Pa
2.
ρg
2 Pa
3.
3 ρg
Pa
4.
2ρg
___________________________________________________________________________________________
4.14. (ENT’35) ระบบหนึ่งบรรจุแก๊สไว้ 2 โมล โดยมีปริมาตร V0 ความดัน P0 และอุณหภูมิ T0 ถ้าแก๊สรั่วออกไปอย่างช้าๆ
โดยที่อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง เมื่ออุดรอยรั่วแล้วปรากฏว่าเหลือแก๊สอยู่เพียง 0.5 โมล ความดันภายในจะเป็นเท่าใด
ถ้าถือว่าแก๊สเป็นแก๊สอุดมคติ
1. P0
P0
2.
2
P0
3.
3
P0
4.
4
___________________________________________________________________________________________
4.16. (ENT’48 มี.ค.) รถยนต์จอดในที่ร่ม อุณหภูมิอากาศภายในรถเป็น 27 องศาเซลเซียส แต่เมื่อจอดกลางแดด อุณหภูมิ
อากาศภายในรถเป็น 77 องศาเซลเซียส มวลอากาศแทรกออกจากรถไปกี่เปอร์เซ็นต์เทียบกับมวลเดิม ให้ถือว่าความ
ดันอากาศภายในรถคงเดิม
1. 14.3
2. 16.7
3. 83.3
4. 85.7
___________________________________________________________________________________________
4.18. (ENT’40) จากรูป กราฟ A แทนความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับอุณหภูมิของแก๊สอุดมคติมวล m เมื่อปริมาตรคงที่
กราฟเส้นใดแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับอุณหภูมิของแก๊สอุดมคติมวล 2m เมื่อปริมาตรคงที่และเท่าเดิม
1. กราฟ ก
2. กราฟ ข
3. กราฟ ค
4. กราฟ ง
___________________________________________________________________________________________
4.19. (A-NET’51) แก๊สออกซิเจนบรรจุในถังมีความดัน 1.2 บรรยากาศ แก๊สโอโซนมวลเท่ากันบรรจุอยู่ในถังขนาดเท่ากัน
อุณหภูมิเท่ากัน จะมีความดันกี่บรรยากาศ
1. 0.4
2. 0.8
3. 1.8
4. 3.6
___________________________________________________________________________________________
4.20. (ENT’32) ถ้าความหนาแน่นของแก๊สที่อุณหภูมิ 27 oC ความดัน 1 บรรยากาศ มีค่าเท่ากับ 1.3 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์
เมตร จงคำนวณหาความหนาแน่นของแก๊สนี้ที่อุณหภูมิ 127 oC และความดัน 2 บรรยากาศ
1. 0.55 kg/m3
2. 0.81 kg/m3
3. 1.95 kg/m3
4. 2.35 kg/m3
___________________________________________________________________________________________
4.22. (ENT’33) แก๊สฮีเลียม 1 โมล ที่อุณหภูมิ 300 เคลวิน ผสมกับแก๊สอาร์กอน 3 โมล ที่อุณหภูมิ 400 เคลวิน แก๊สผสม
จะมีอุณหภูมิเท่าใดในหน่วยเคลวิน
พลังงานจลน์.
b) พลังงานจลน์รวมของโมเลกุลทั้งหมดของแก๊สฮีเลียม
___________________________________________________________________________________________
5.5. (สสวท.60-5-185-22) แก๊สชนิดหนึ่งบรรจุในภาชนะปิดที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส จะต้องทำให้แก๊สนี้มีอุณหภูมิเป็น
เท่าใด จึงมีพลังงานจลน์เฉลี่ยต่อโมเลกุลเป็น 2 เท่าของค่าเดิม
___________________________________________________________________________________________
5.6. (ENT’44 ต.ค.) แก๊สอุดมคติจำนวนหนึ่ง ได้รับความร้อนจนมีความดันเป็น 1.5 เท่าของความดันเดิม และมีปริมาตรเป็น
1.2 เท่าของปริมาตรเดิม พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์
1. 30%
2. 40%
3. 70%
4. 80%
___________________________________________________________________________________________
5.7. (ENT’31) แก๊สอะตอมเดี่ยวมีความดัน P0 จะมีพลังงานจลน์ของโมเลกุลต่อหนึ่งหน่วยปริมาตรเท่าใด
1
1. P0
3
2
2. P0
3
3
3. P0
2
5
4. P0
2
1. 3.5 m/s
2. 3.9 m/s
3. 4.2 m/s
4. 4.5 m/s
___________________________________________________________________________________________
5.12. (ENT’42 ต.ค.) จงหาว่าก๊าซไนโตรเจนที่อุณหภูมิเท่าใดที่มีค่าเฉลี่ยของกำลังสองของอัตราเร็วโมเลกุลเท่ากับของก๊าซ
ออกซิเจนที่อุณหภูมิ 47 oC (กำหนดน้ำหนักโมเลกุลของไนโตรเจนและออกซิเจนเท่ากับ 28 และ 32 ตามลำดับ)
1. -28 oC
2. 7 oC
3. 42 oC
4. 47 oC
___________________________________________________________________________________________
5.14. (ENT’26) ในปริมาตรอันหนึ่ง อัตราเร็วเฉลี่ยของแก๊สเพิ่มเป็น 2 เท่า ความดันของแก๊สในปริมาตรนั้นจะเพิ่มเป็นกี่เท่า
1. 3/2 เท่า
2. 2 เท่า
3. 5/2 เท่า
4. 4 เท่า
___________________________________________________________________________________________
6.7. (ENT’47 มี.ค.) ถ้าทำให้แก๊สฮีเลียม 1 โมล ร้อนขึ้นจาก 0 องศาเซลเซียส เป็น 100 องศาเซลเซียส ภายใต้ความดันคงตัว
1.0 × 105 นิวตันต่อตารางเมตร พลังงานภายในของแก๊สฮีเลียมนี้ จะเพิ่มขึ้นเท่าใด
1. 415 J
2. 830 J
3. 1245 J
4. 2075 J
___________________________________________________________________________________________
7.2. (สสวท’51-5-84-18.13) กระบอกสูบที่มีลูกสูบเคลื่อนที่ได้คล่อง ภายในบรรจุแก๊สจำนวนหนึ่งมีปริมาตร 1.5 × 10-3
ลูกบาศก์เมตร ความดัน 1.0 × 105 พาสคัล และอุณหภูมิ 300 เคลวิน ถ้าแก๊สได้รับความร้อนจนมีอุณหภูมิเป็น 330
เคลวิน โดยความดันไม่เปลี่ยนแปลง จงหางานที่แก๊สทำ
___________________________________________________________________________________________
7.3. (ENT’47 ต.ค.) ในการอัดแก๊สอุดมคติจากจุด A ไป B เราต้องทำงานกลเป็นปริมาณกี่กิโลจูล
___________________________________________________________________________________________
7.4. (ENT’43 มี.ค.) ระบบหนึ่งประกอบด้วยกระบอกสูบบรรจุแก๊สอุดมคติ ถ้าแก๊สภายในกระบอกสูบมีการเปลี่ยนแปลง
ความดันและปริมาตร ดังกราฟจาก A → B → C จงหางานที่แก๊สทำในขบวนการนี้ในหน่วยกิโลจูล
___________________________________________________________________________________________
8.2. (สสวท’60-5-188-45) แก๊สในกระบอกสูบคายความร้อน 240 จูล ขณะที่พลังงานภายในเพิ่มขึ้น 50 จูล ปริมาตรของ
แก๊สจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าใด ถ้าแก๊สในกระบอกสูบมีความดันคงที่เท่ากับความดันบรรยากาศ
___________________________________________________________________________________________
8.3. (ENT’30 & สสวท’60-5-185-29) แก๊สฮีเลียม 1 โมล บรรจุอยู่ในคนโทแก้วที่ปิดผนึกไว้อย่างดีและถือว่าปริมาตรคงที่
ตลอดเวลา เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป ถ้าต้องการทำให้อุณหภูมิของแก๊สเปลี่ยนจาก 27 องศาเซลเซียส ไปเป็น 67 องศา
เซลเซียส จะต้องให้ความร้อนเข้าไปเท่าใด
1. 830 จูล
2. 498 จูล
3. 332 จูล
4. 276 จูล
___________________________________________________________________________________________
8.8. (ENT’27) กระบอกสูบอันหนึ่งบรรจุแก๊สฮีเลียม 2 กิโลโมล และความดันของแก๊สเท่ากับ 1.05 × 105 นิวตันต่อตาราง
เมตร ปรากฏว่าเมื่อให้ความร้อนกับแก๊สเท่ากับ 105 จูล ปริมาตรของแก๊สในกระบอกสูบเพิ่มขึ้น 0.4 ลูกบาศก์เมตร โดย
ความดันของแก๊สคงที่ อยากทราบว่าอุณหภูมิของแก๊สจะเพิ่มขึ้นเท่าใด ให้ค่านิจแก๊สเท่ากับ 8.3 จูล/โมล∙เคลวิน
1. 1.40 K
2. 2.33 K
3. 4.01 K
4. 5.70 K
___________________________________________________________________________________________
8.9. (ENT’26) ที่ความดัน 105 Nm-2 น้ำมวล 1 g ปริมาตร 1 cm3 ได้รับความร้อนกลายเป็นไอน้ำจนหมด มีปริมาตร 1.5
ลิตร พลังงานในระบบที่เพิ่มขึ้นมีค่าเท่ากับ (กำหนดให้ความร้อนแฝงจำเพาะของน้ำที่ 100 oC = 2.256 × 106 J/kg)
1. 2.106 × 103 J
2. 2.256 × 103 J
3. 2.106 × 106 J
4. 2.256 × 106 J
___________________________________________________________________________________________
8.10. (ENT’44 มี.ค.) ให้ความร้อนจำนวนหนึ่งแก่แก๊สฮีเลียมที่บรรจุในกระบอกสูบ เมื่อแก๊สขยายตัวภายใต้กระบวนการ
ความดันคงที่ จงหาว่าแก๊สใช้ความร้อนในการเพิ่มพลังงานภายในร้อยละเท่าใดของปริมาณความร้อนที่ได้รับ
___________________________________________________________________________________________
8.12. (สสวท’51-5-87-18.15 & สสวท’60-5-170-16.13) แก๊สอุดมคติจำนวน 0.05 โมล ความดัน 100 กิโลพาสคัล อยู่
ในกระบอกสูบที่มีลูกสูบที่เคลื่อนที่ได้คล่อง เมื่อให้ความร้อนจนแก๊สมีอุณหภูมิเพิ่มจาก 300 เคลวิน เป็น 350 เคลวิน
โดยมีความดันคงตัว จงหา
a) พลังงานภายในของแก๊สที่เพิ่มขึ้น
b) งานทีท่ ำโดยแก๊ส
c) ความร้อนที่ใช้
b) อุณหภูมิของแก๊สหลังการอัด
c) พลังงานภายในของแก๊สที่เปลี่ยนไป
d) ความร้อนที่แก๊สปลดปล่อยออกมา
1. คายความร้อน 3 จูล
2. รับความร้อน 3 จูล
3. คายความร้อน 2 จูล
4. รับความร้อน 2 จูล
___________________________________________________________________________________________
9.5. (ENT’44 ต.ค.) ถ้าแก๊สในกระบอกมีการเปลี่ยนแปลงแบบอุณหภูมิคงตัว (isothermal) จากตำแหน่ง ก. ไปยังตำแหน่ง
ข. ดังรูป ในการเปลี่ยนแปลงนี้ ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง
1. แก๊สคายความร้อน โดยงานที่ให้กับแก๊สเท่ากับความร้อนที่แก๊สคายออก
2. แก๊สรับความร้อน โดยพลังงานภายในเพิ่มขึ้น
3. แก๊สคายความร้อน โดยพลังงานภายในเพิ่มขึ้น
4. แก๊สรับความร้อน โดยมีการทำงานให้กับแก๊ส
Q W Q W
1. A → B + + C→D - -
2. A → B - + C→D - +
3. A → B + - C→D + -
4. A → B - - C→D + +
___________________________________________________________________________________________
9.7. (ENT’45 ต.ค.) กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงของความดันและปริมาตรของระบบแก๊สให้ข้อมูลดังนี้ ตามเส้นทาง acb มี
พลังงานความร้อนที่ให้แก่ระบบเท่ากับ 500 จูล และงานที่ทำโดยระบบเป็น 200 จูล ส่วนตามเส้นทาง adb งานที่ทำโดย
ระบบเป็น 100 จูล จงหาพลังงานความร้อนที่ให้แก่ระบบ ตามเส้นทาง adb นี้
1. 300 J
2. 400 J
3. 500 J
4. 600 J
1. สถาบั น ส่ ง เสริ ม การสอนวิท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี. (2563). หนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ ่ ม เติ ม
วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เล่ม 5. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
2. สถาบั น ส่ ง เสริ ม การสอนวิท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี. (2563). หนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าเพิ ่ ม เติ ม
วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เล่ม 6. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.
3. ขวัญ อารยะธนิตกุล, นฤมล เอมะรัตต์, รัชภาคย์ จิตต์อารี และ เชิญโชค ศรขวัญ. (2558). ฟิสิกส์ 1.
(ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 9). ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
4. ขวัญ อารยะธนิตกุล, นฤมล เอมะรัตต์, รัชภาคย์ จิตต์อารี และ เชิญโชค ศรขวัญ. (2558). ฟิสิกส์ 2.
(ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 9). ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
5. Young, H. D., Freedman, R. A. (2016). Sears and Zemansky’s University Physics with
Modern Physics. (14th ed). Pearson.
6. Serway, R. A., Jewett, Jr., J. W. (2018). Physics for Scientists and Engineers with
Modern Physics. (10th ed). Cengage learning.
เกี่ยวกับผู้เขียน