Professional Documents
Culture Documents
วิศวกรรมฐานราก
แคบและเบา 3 (จํานวนชั้น)0.7
กวางและหนัก 6 (จํานวนชั้น)0.7
1.2 แผนการเจาะและสํารวจชั้นดิน
การประมาณความลึกของหลุมสํารวจ
1.3 วิธีการเจาะหลุมสํารวจ
วิธีที่งายที่สุดคือการใชสวาน สามารถใชเจาะหลุม
สํารวจไดไมลึกมากนัก (ประมาณ 3 ถึง 5 เมตร) สวาน
มือเหมาะสําหรับงานสรางอาคารเล็กๆ และงานกอสราง
ถนน
ดินตัวอยางที่ไดจากการเจาะสํารวจโดยวิธีนี้เปน
ดินตัวอยางแปรสภาพ (Disturbed samples) ซึ่ง
สามารถใชในการหาคุณสมบัติพื้นฐาน
การเจาะสํารวจที่ระดับความลึกมาก วิธีที่นิยมใช
ทั่ ว ไ ป คื อ ก า ร ใ ช ส ว า น ต อ เ นื่ อ ง แ บ บ ขั้ น บั น ไ ด
(Continuous flight augers)
อุปกรณเจาะสํารวจประกอบดวย 1) หัวเจาะ
หัวเจาะกระแทก
กระแทก (Chopping bit) และ 2) กานเจาะ
(Drill rod) ซึ่งจะเปนทอกลวงและใชประกอบกับ
หั ว เจาะกระแทก ก า นเจาะยาวตั้ ง แต 0.5-3.0
เมตร และตอกันดวยขอตอเกลียว กานเจาะ
1.3 วิธีการเจาะหลุมสํารวจ
ตัวอยางดินออกเปน 2 ชนิด
1. ตัวอยางดินแปรสภาพ (Disturbed samples) คือ ตัวอยางดินที่ถูกรบกวนเนื่องจากวิธีการเก็บ
ตัวอยางดินหรือการขนสง จนทําใหโครงสรางของเม็ดดินและปริมาณความชื้นเปลี่ยนไป ไดแก ตัวอยางดิน
ที่เก็บจากการเจาะโดยใชสวานมือ หรือกระบอกผาซีก (Split spoon) เปนตน
ตั ว อย า งดิ น ประเภทนี้ เ หมาะสํ า หรั บ ใช ใ นการทดสอบหาคุ ณ สมบั ติ พื้ น ฐาน (Basic/Physical
properties) ของดิน ไดแก การกระจายขนาดของเม็ดดิน หนวยน้ําหนัก ปริมาณความชื้น และพิกัดอัต
เตอรเบอรก เปนตน
1.4 วิธีการเก็บตัวอยาง
D02 − Di2
Ar (%) = 2
×100
Di
Di − De
Cr (%) = ×100
Di
อัตราสวนการเก็บตัวอยางและประสิทธิภาพการเก็บตัวอยาง
Lr (%) = La ×100
Li Lr (%) ประสิทธิภาพ
< 25 แยมาก
76-90 ดี
Li คือ ความยาวของตัวอยางดินทีค่ วรเก็บได
>90 ดีเยี่ยม
1.6 การทดสอบทะลุทะลวงมาตรฐาน
(Standard Penetration Test)
ชนิดของตุมน้าํ หนัก
1.6 การทดสอบทะลุทะลวงมาตรฐาน
(Standard Penetration Test)
EmCBCR N
N60 =
0.60
ity
stic
pla
h igh
of
ys
Cla
N60
Su = เมื่อ 29 < N60 < 68
1.5
1.6 การทดสอบทะลุทะลวงมาตรฐาน
(Standard Penetration Test)
สําหรับทราย
ตัวเลขทะลุทะลวงมาตรฐาน มีคาแปรผันตามกําลังตานทานแรงเฉือนในสภาวะระบายน้ําของดิน ขึ้นอยูกับ
น้ําหนักกดทับประสิทธิผล (σ v′ ) (τ =σ ′ tanφ ′)
f
อิทธิพลของน้ําหนักกดทับประสิทธิผลตอคาการทะลุทะลวงมาตรฐาน
1.6 การทดสอบทะลุทะลวงมาตรฐาน
(Standard Penetration Test)
สําหรับทราย
ตัวเลขทะลุทะลวงมาตรฐานปรับแก แสดงไดดังนี้
N ′ = CN N60
CN = 100
σ v′
100
200
300
400
500
อิทธิพลของน้ําหนักกดทับประสิทธิผลตอคาการทะลุทะลวงมาตรฐาน
1.6 การทดสอบทะลุทะลวงมาตรฐาน
(Standard Penetration Test)
Internal friction angle, φ' (Degree)
28 30 32 34 36 38 40 42 44
0
10
Coreected standard penetration number, N'
20
30
40
50
60
70
Very loose
ความสัมพันธระหวางตัวเลขทะลุทะลวงมาตรฐานปรับแกและมุมเสียดทานภายในประสิทธิผล
ของดินเม็ดหยาบ (Peck et al., 1974)
1.6 การทดสอบทะลุทะลวงมาตรฐาน
(Standard Penetration Test)
ความสัมพันธระหวาง N′ หนวยน้ําหนัก และความหนาแนนสัมพัทธของดินเม็ดหยาบ
(Peck et al., 1974)
N′ คําบรรยาย หนวยน้ําหนัก (กน.ตอลบ.ม.) ความหนาแนนสัมพัทธ
Torque
Undisturbed
Remoulded
0 25 50 75
Rotation (Degree)
2 2
4 4
6 6
8 8
Depth (m)
10 10
12 12
14 14
16 16
18 Remolded Undisturbed 18
20 20
กําลังตานทานแรงเฉือนและคาความไวตัวของดินเหนียวอําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
(Horpibulsuk et al., 2007)
1.7 การทดสอบกําลังตานทานแรงเฉือนดวยใบพัด
(Vane Shear Test)
1.2
Bjerrum (1974) ไดเสนอวิธีการปรับแกคากําลัง
ตานทานแรงเฉือน ซึ่งแปรผันตามชนิดของดิน 1.0
μ
Su (cor.vane) = μ Su(vane shear) 0.6
0.4
0 20 40 60 80 100
ความสัมพันธระหวางคาปรับแกกําลังที่ไดจากการทดสอบ
กําลังตานทานแรงเฉือนดวยใบพัด และดัชนีสภาพ
พลาสติก
1.8 การทดสอบทะลุทะลวงดวยกรวย
(Cone Penetration Test)
เครื่องมือการทดสอบการทะลุทะลวงแบบใชกรวย ขั้นตอนการทะลุทะลวง
1.8 การทดสอบทะลุทะลวงดวยกรวย
(Cone Penetration Test)
2 2
fsc (kg/cm ) qc (kg/cm ) Rf (%)
0 2 4 6 8 0 50 100 150 200 0 4 8 12 16 20 24
0 0 0
4 4 4
8 8 8
12 12 12
Depth (m)
Depth (m)
Depth (m)
16 16 16
20 20 20
24 24 24
28 28 28
ผลทดสอบของการทดสอบแบบทะลุทะลวงดวยกรวยสําหรับชั้นดินกรุงเทพ
1.8 การทดสอบทะลุทะลวงดวยกรวย
(Cone Penetration Test)
การทดสอบแบบนี้ไมสามารถเก็บดินตัวอยางขึ้นมาได แตการจําแนกดินสามารถกระทําไดโดยอาศัย
ความสัมพันธเชิงประสบการณ (Empirical relationship) ระหวางความตานทานทีป่ ลายกรวย (Cone
end resistance, qc) และอัตราสวนความเสียดทาน (Friction ratio, Rf) อัตราสวนความเสียดทานหา
ไดดงั สมการตอไปนี้
R f = fqsc ×100%
c
การจําแนกชนิดของดินโดยอาศัยผลทดสอบการทดสอบทะลุทะลวงดวยกรวย
(Robertson and Campanella, 1983)
1.8 การทดสอบทะลุทะลวงดวยกรวย
(Cone Penetration Test)
⎛ ⎞
φ ′ = 35°+11.5log qc ⎟⎟
⎜
⎜ เมื่อ 25°< φ ′ < 50°
30σ v′ 0 ⎟
⎜
⎝ ⎠
1.8 การทดสอบทะลุทะลวงดวยกรวย
(Cone Penetration Test)
Cone end resistance (kg/cm 2)
0 100 200 300 400 500
0
50
φ' = 48o
100
200
44o
250
300
350 42o
o
32o 34 36o 38o 40o
30o
400
ความสัมพันธระหวางมุมเสียดทานประสิทธิผลและความตานทานทีป่ ลายโคน
(Robertson and Campanella, 1983)
1.8 การทดสอบทะลุทะลวงดวยกรวย
(Cone Penetration Test)
สําหรับดินเหนียว จากทฤษฎีกําลังรับแรงแบกทาน (Bearing capacity’s theory) จะได
qc −σ v0
Su =
Nk
กําลังตานทานแรงเฉือนที่สภาวะไมระบายน้ําหาไดดังนี้
qc = Nk Su +σ v0
E = 3qc สําหรับทราย
E = 7qc สําหรับดินเหนียว
1.9 การทดสอบดวยวิธี Kunzelstab Penetration
Pressuremeter เปนเครื่องมือที่ถูกพัฒนาขึ้น
โดย Menard ในป 1965 เพื่อทดสอบหาโมดูลัส
ของความเคน-ความเครียด
ในการทดสอบ จะทําการอัดความดันเพื่อทําให
Pressure cell ขยายตัวในหลุมเจาะ แลวทํา
การวัดปริมาตรที่เพิ่มขึ้น
ทฤษฎีที่ใชในการคํานวณคือ Expansion of an
Infinitely Thick Cylinder
Pressuremeter test
1.10 Borehole Pressuremeter Test
E = 2 ⎛⎜1+ν ⎞⎟V0 Δp
⎝ ⎠ ΔV
E คือ โมดูลัสยืดหยุน
ν คือ อัตราสวนโพซอง (Poisson’s ratio)
V0 คือ ปริมาตรของ cell ทีค่ วามดัน p0 ซึ่งคือความดันเริ่มตนของโซน II
Δp = 1
ΔV slope of straight line of zone II
1.10 Borehole Pressuremeter Test
Menard (1965) แนะนําใหแทนคาν ในสมการ E = 2 ⎛⎜⎝1+ν ⎞⎟⎠V0 ΔΔVp ดวย 0.33 จะได
E = 2.66V0 ΔP
ΔV
E = 2⎛⎜1+ν ⎞⎟ G
⎝ ⎠
G = V0 Δp
ΔV
1.10 Borehole Pressuremeter Test
p
K0 = σ 0
v′ 0
หัวขอที่จําเปนตองมีในรายงานการเจาะสํารวจไดแก
1. บทนํา ไดแก บทสรุปอยางคราวๆ ของโครงการ ขั้นตอนการสํารวจ ตําแหนงและชื่อของโครงการ
2. ลักษณะของตําแหนงโครงการ ไดแก คําบรรยายลักษณะทั่วไปของบริเวณที่เจาะสํารวจ และแผนที่
แสดงตําแหนงของโครงการ พื้นที่ใกลเคียง และตําแหนงของหลุมเจาะ
3. สภาพชั้นดิน ไดแก ลักษณะของชั้นดินอยางละเอียด ซึ่งแสดงผลทดสอบในหองปฏิบัติการและใน
สนาม ระดับน้ําใตดิน และสภาพการระบายน้ํา
4. ขอเสนอแนะ ไดแก คําแนะนําที่จําเปนและถูกตองตามหลักวิชาการสําหรับการออกแบบและกอสราง
5. เอกสารอางอิง
6. ภาคผนวก ควรประกอบดวยขอมูลที่สําคัญที่ไดจากการเจาะสํารวจ อันไดแก Boring log
ผลทดสอบในหองปฏิบัติการ และผลทดสอบในสนาม เปนตน
1.11 รายงานการเจาะสํารวจชั้นดิน
การสํารวจจะไมมีการเจาะหลุมสํารวจเพื่อเก็บตัวอยางดินขึ้นมาทําการทดสอบในหองปฏิบัติ นอกจากนี้
ยังใชเวลาและคาใชจายต่ํา ขอมูลที่ไดสามารถครอบคลุมบริเวณกวาง อยางไรก็ตาม การเจาะหลุมสํารวจ
เพื่อหาคุณสมบัติพื้นฐานและคุณสมบัติทางวิศวกรรมของดินฐานรากก็ยังคงตองดําเนินการควบคูเพื่อใหได
ผลทดสอบที่ถูกตองและนาเชื่อถือ
ในที่นี้จะขอกลาวถึงการสํารวจธรณีฟสิกส 2 วิธีคือ
1. การสํารวจโดยอาศัยคลื่นการสั่นสะเทือน (Seismic Refraction Method)
2. การสํารวจโดยอาศัยความตานทานทางไฟฟา (Electrical Resistivity Method)
1.12 การสํารวจโดยวิธีธรณีฟสิกส (Geophysical Method)
ลักษณะผลทดสอบการสํารวจชั้นดินโดยอาศัยคลื่นการสั่นสะเทือน
1.12 การสํารวจโดยวิธีธรณีฟสิกส (Geophysical Method)
L −L
v1 = t2 − t 1
2 1
v −v
H1 = L v2 + v1
2 2 1
H1 คือ ความหนาของดินชั้นแรก
L คือ ความยาวจากกราฟที่เสนความลาดสองเสนตัดกัน
1.12 การสํารวจโดยวิธีธรณีฟสิกส (Geophysical Method)
การจัดเรียงอุปกรณความตานทานไฟฟา
แบบ Wenner method
1.12 การสํารวจโดยวิธีธรณีฟสิกส (Geophysical Method)
ผลทดสอบการเปลี่ยนแปลงชั้นดินจากการสํารวจโดยอาศัยความตานทานทางไฟฟา
1.12 การสํารวจโดยวิธีธรณีฟสิกส (Geophysical Method)
ความเคนประสิทธิผลมีคา เทากับ σ vo
′ = ⎜18.0×1⎟ + ⎜8.2×14 ⎟ =132.8 กิโลปาสคาล
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
วิธีทํา
หนวยน้ําหนักในชั้นดินเหนียวออนและดินเหนียวแข็ง
ปานกลางคํานวณไดจากคาเฉลี่ยตลอดความลึก ดังนี้
กําลังตานทานแรงเฉือนในชั้นดินเหนียวออนและดินเหนียวแข็งปานกลางคํานวณไดจากทั้ง
ผลทดสอบแรงอัดแกนเดียวและผลทดสอบดวยใบพัด เนื่องจากโจทยไมไดกําหนดดัชนีสภาพพลาสติก จึง
สมมติใหดัชนีสภาพพลาสติกมีคาคงที่ตลอดความลึกประมาณเทากับ 70 เปอรเซ็นต
ชั้นดินเหนียวออน
Su(UCtest ) = 1.87 +1.61+1.99 +1.55 + 2.14 + 2.38 =1.92 ตันตอตารางเมตร
6
Su(vaneshear) = 3.98 + 3.39 + 2.89 + 5.01+ 4.84 + 3.81+ 4.34 = 4.04 ตันตอตารางเมตร
7
⎡ ⎤
Su(cor.vane) = ⎢⎢1.7 − 0.54log ⎛⎜ 70⎞⎟⎥⎥ × 4.04 = 2.84 ตันตอตารางเมตร
⎣ ⎝ ⎠⎦
ตัวอยางที่ 1.3
ชั้นดินเหนียวแข็งปานกลาง
จะเห็นไดวากําลังตานทานแรงเฉือนที่ไดจากการทดสอบดวยใบพัดใหคาสูงกวาคาที่ไดจากการ
ทดสอบแรงอัดแกนเดียว เนื่องจากดินเหนียวออนถึงแข็งปานกลางไดรับการกระทบกระเทือนจากการเจาะ
สํารวจและการขนสงดิน จึงทําใหกําลังตานทานแรงเฉือนมีคานอยกวาคาจริงในสนาม
ตัวอยางที่ 1.4
จงวาดชั้นดินพรอมทั้งแสดงพารามิเตอรที่จําเปน
สําหรับการออกแบบเสาเข็มตอก
วิธีทํา
เนื่องจากชั้นดินดังกลาวเปนชั้นทราย ตองมีการ
ปรับแกคาตัวเลขทะลุทะลวงมาตรฐานเนื่องจาก
อิทธิพลของความเคนในแนวดิ่งประสิทธิผล
สมมติใหหนวยน้ําหนักของดินมีคาคงที่โดยเปน
คาเฉลี่ยของหนวยน้ําหนักซึ่งเทากับ 1.80 ตัน
ตอลูกบาศกเมตร
ตัวอยางที่ 1.4
จากการปรับแกตัวเลขทะลุทะลวงมาตรฐาน สามารถแบงชั้นดินออกเปนสามชั้น
กําลังแบกทานประลัยของฐานรากตื้น
2.2 กําลังรับแรงแบกทานประลัยสําหรับฐานรากตื้น
φ φ φ φ
45 − 45 − 45 − 45 −
2 2 2 2
2.3 สมการกําลังรับแรงแบกทานของเทอรซากิ
( )
C = c AJ =
cb
cos φ
( )
C = c BJ =
cb
cos φ
แสดงการกระจายของความดันตานทานจากแตละสวนประกอบ
บนลิ่ม BJ จะได
โดยที่ ⎛ ⎞
270−φ π tanφ ⎜
⎜
⎛
3tan 45°+
2⎜ φ + 33° ⎞
⎟ ⎟
⎟
e 180 ⎜ 2
⎟
Nγ = 1 tanφ
⎜ ⎜ ⎟ ⎟
Nc = Nq −1 cotφ
⎛
⎜
⎞
⎟
Nq = ⎜ ⎝ ⎠ −1 ⎟
⎝ ⎠ 2cos2 ⎛⎜ 45°+φ /2 ⎞⎟ 2 ⎜
⎜
cos2 φ ⎟
⎟
⎝ ⎠
⎜ ⎟
⎜ ⎟
⎝ ⎠
เมื่อ φ คือ มุมเสียดทานภายในของดินซึ่งมีหนวยเปนองศา
2.3 สมการกําลังรับแรงแบกทานของเทอรซากิ
50
Nc
Nq
Internal friction angle, φ ( o) 40
Nγ
30
Nγ
20 Nc
For φ = 0:
Nc = 5.7
Nq Nq = 1
10 Nγ = 0
0
1 5 10 50 100 500
Value of Nc , Nq , Nγ
cL = 2 c
3
⎛ ⎞
φL = tan −1 ⎜ 2 tanφ ⎟
⎜⎜
⎝
3 ⎟⎟
⎠
2.4 สมการทั่วไปสําหรับกําลังรับแรงแบกทาน
B
F
q = γ Df qu Df
A
G α I
α B
III III Soil
II Pp II D
(γ , c, φ )
E J
ตัวแปรกําลังรับแรงแบกทาน
ตัวแปรกําลังรับแรงแบกทาน (Bearing capacity factor)
⎛ φ⎞
Nq = eπ tan φ tan 2 ⎜ 45° + ⎟ φ = 0° ใช Nq = 1.0
⎝ 2⎠
Meyerhof (1963) Nc = ( Nq − 1) cot φ φ = 0° ใช Nc = 5.14
Nγ = ( Nq − 1) tan (1.4φ ) φ = 0° ใช Nγ = 0.0
Nq เหมือนกับ Meyerhof
Hansen (1970)
Nc เหมือนกับ Meyerhof
Nγ = 1.5 ( Nq − 1) tan φ φ = 0° ใช Nγ = 0.0
Nq เหมือนกับ Meyerhof
Nc เหมือนกับ Meyerhof
Vesic (1973 ;1975) Nγ = 2 ( Nq + 1) tan φ φ = 0° ใช Nγ = 0.0
และใช Nγ = −2sin θ เมื่อ θ > 0
โดยที่ θ คือ มุมเอียงของน้ําหนักบรรทุกจากแนวดิ่ง
2.4 สมการทั่วไปสําหรับกําลังรับแรงแบกทาน
ในทางปฏิบัติ สิ่งที่สําคัญที่สุดในการออกแบบไมใชการเลือกใชตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานที่ไดจาก
สมการของ Terzaghi, Meyerhof, Hansen หรือ Vesic แตเปนการเลือกพารามิเตอรกําลัง
(Strength parameters) ที่ถูกตองและเหมาะสม เนื่องจากมุมเสียดทาน (Friction angle) ที่แตกตาง
เพียงเล็กนอย ใหคาตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานที่แตกตางกันอยางมาก
2.4 สมการทั่วไปสําหรับกําลังรับแรงแบกทาน
λc คือตัวคูณปรับแกสําหรับพจนของหนวยแรงเหนี่ยวนํา (Cohesion, c)
λq คือตัวคูณปรับแกสําหรับพจนของความเคนกดทับ (Overburden pressure, q)
λγ คือตัวคูณปรับแกสําหรับพจนของหนวยน้ําหนักดิน (Unit weight, g)
2.4 สมการทั่วไปสําหรับกําลังรับแรงแบกทาน
φ = 0° 1 + 0.2 K p
B′ el =
Ml
Q
λq = λqs ⋅ λqi ⋅ λqd
L′
B′ B′
φ > 10° 1 + 0.1K p 1 + 0.1K p K p = tan 2 ( 45°+ φ / 2)
L′ L′
0° < φ ≤ 10° Linear Interpolation Between φ = 0° and φ = 10°
φ >0 λqi −
1 − λqi
δ > 0 ⎢1 − ⎥
k = tan −1( D f / B)
Nq − 1 ⎣ V + A′ca cot φ ⎦
B′ คือความกวางประสิทธิผล
λcd λγd λqd
β+
λcβ λγβ λqβ
β
φ =0 1−
147.3° δ+
⎢1 − ⎥ > 0 ⎢1 − ⎥ el
⎣ Q + A′ca cot φ ⎦ ⎣ Q + A′ca cot φ ⎦
φ >0 λqi −
1 − λqi eb
L k = tan −1( D f / B) เมื่อ Df / B >1
Nq − 1 B
γ av = γ สําหรับ D > B
2.6 ฐานรากตื้นที่รับแรงเยื้องศูนยหรือโมเมนต
การออกแบบฐานรากรับแรงเยื้องศูนยหรือโมเมนต ตองพิจารณาถึงความเหมาะสมของขนาดฐานราก
และกําลังรับแรงแบกทานประลัยของดิน
สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยม ระยะเยื้องศูนย
สามารถคํานวณจาก
e= M
P
เมื่อ e คือระยะเยื้องศูนย
M คือโมเมนตที่กระทําตอฐานราก
P คือน้ําหนักบรรทุกบนฐานราก
ฐานรากรับแรงเยื้องศูนย
2.6 ฐานรากตื้นที่รับแรงเยื้องศูนยหรือโมเมนต
Δσ = MC
I
Δσ = 6Pe
AB
A คือพื้นที่หนาตัดของฐานราก
ความเคนที่เกิดขึ้นใตฐานราก
2.6 ฐานรากตื้นที่รับแรงเยื้องศูนยหรือโมเมนต
ความเคนรวมที่เกิดขึ้นใตฐานรากซึ่งเปนผลรวมของความเคนเนื่องจากน้ําหนักบรรทุกและโมเมนต
จะกอใหเกิดความเคนทีแ่ ตกตางกันที่รมิ ของฐานราก โดยที่
⎛ ⎞
P P 6e
qmin = − Δσ = ⎜1− ⎟⎟
⎜
A A ⎜⎝ B ⎟⎠
⎛ ⎞
P P 6e
qmax = + Δσ = ⎜1+ ⎟⎟
⎜
A A ⎜⎝ B ⎟⎠
e= B
6
2.6 ฐานรากตื้นที่รับแรงเยื้องศูนยหรือโมเมนต
qmin = 0
qmin
qmax q max qmax
a) e < B / 6 b) e = B / 6 c) e > B / 6
ลักษณะการกระจายของความเคนเมื่อระยะเยื้องศูนยมีคา ตางๆ
2.6 ฐานรากตื้นที่รับแรงเยื้องศูนยหรือโมเมนต
สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยมรับโมเมนตในสองทิศทาง ตําแหนงของระยะเยื้องศูนยตองอยูในพื้นที่เคอรน
(Kern area) เพื่อใหทุกผิวสัมผัสใตฐานรากรับความเคนอัด โดยที่ ระยะเยื้องศูนยจะอยูในพื้นที่เคอรน
(Kern area) ก็ตอเมื่อ 6e 6e b+ l ≤1
B L
Kern Area เมื่อ eb และ el คือ ระยะเยื้องศูนยตามแนวความกวาง
B/3 B
และความยาว ตามลําดับ
L′ = L − 2el
น้ําหนักรับแรงแบกทานประลัยของฐานรากภายใตนา้ํ หนักเยื้องศูนย
2.7 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของฐานรากรับแรงเยื้องศูนย
น้ําหนักแบกทานประลัยคํานวณไดดงั นี้
Qu = qu ⎛⎜ B′L′⎞⎟
⎝ ⎠
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
การคํานวณกําลังรับแรงแบกทานประลัยในหัวขอนี้จะแบงออกเปนสามสวน
1) ฐานรากบนทรายแนนที่วางตัวอยูเหนือชั้นทรายหลวม
2) ฐานรากบนทรายที่อยูเหนือชั้นดินเหนียวออน
3) ฐานรากใตดินเหนียวสองชั้น
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.1 ฐานรากบนชั้นทรายแนนที่อยูเหนือชั้นทรายหลวม
เมื่อ ทรายชั้นบนมีความหนามาก ดังแสดงในรูปดานขวามือ ระนาบการวิบัติจะเกิดขึ้นภายในชั้นทราย
แนน
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.1 ฐานรากบนชั้นทรายแนนที่อยูเหนือชั้นทรายหลวม
กําลังรับแรงแบกทานประลัยคํานวณไดดังนี้
⎡ ⎛ ⎞ ⎤
qu = qu(t ) = γ1D f Nq(1) + ⎢1− 0.4 ⎜⎜ B ⎟⎟⎥⎥ γ1BNγ (1) สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยมผืนผา
1 ⎢
2⎢ L
⎝ ⎠⎥
⎣ ⎦
2.8.1 ฐานรากบนชั้นทรายแนนที่อยูเหนือชั้นทรายหลวม
เมื่อ ชั้นทรายชั้นบนมีความหนาไมมากนัก (H < B) การวิบัติอาจเปนแบบการทะลุ (Punching) ใน
ชั้นทรายชั้นบน และเกิดการวิบัติแบบ General shear ในชั้นทรายชั้นลางที่ออนกวา ดังแสดงในรูปทาง
ซายมือ
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.1 ฐานรากบนชั้นทรายแนนที่อยูเหนือชั้นทรายหลวม
กําลังรับแรงแบกทานประลัยคํานวณไดดังนี้
⎛
2D f ⎞⎟ tanφ ′
2 ⎜⎜
qu = qu(b) + γ1H 1+ ⎟ Ks 1 −γ H ≤ q
⎜H ⎟ ⎟ B 1 u(t ) สําหรับฐานรากแถบ
⎜
⎝ ⎠
⎛
2D f ⎞⎟ ⎛⎜ Ks tanφ ′ ⎞⎟
2 ⎜⎜
qu = qu(b) + 2γ1H 1+ ⎟⎜ 1 ⎟ λ′ − γ H ≤ q สํ า หรั บ ฐานรากสี่ เ หลี่ ย มจั ตุ รั ส
H ⎟⎟ ⎜ B ⎟ s 1
⎜
⎜
u(t )
และวงกลม
⎝ ⎠⎝ ⎠
⎛ ⎞⎛
⎛
B ⎞ 2D f Ks tanφ1′ ⎞⎟
qu = qu(b) + 1+ γ1H 1+ 2 ⎜⎜ ⎟⎜
λ − γ H ≤ qu(t ) สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยมผืนผา
B ⎟⎟ s′ 1
⎜ ⎟ ⎟⎜
⎜
⎝
L ⎟
⎠
H ⎜
⎜
⎟⎜
⎟⎝
⎝ ⎠ ⎠
2.8.1 ฐานรากบนชั้นทรายแนนที่อยูเหนือชั้นทรายหลวม
40
φ' = 50 o
35
30 ตัวแปรรูปรางสามารถแทนดวย 1.0
Punching shear coefficient, Ks
25
สัมประสิทธิ์การเฉือนทะลุเปนฟงกชันของ γ1, γ2,
45 o Nγ(1) และ Nγ(2) ดังแสดงในรูป
20
15
42 o
เมื่อ γ2 คือหนวยน้ําหนักของดินชั้นลาง
40 o
10 37 o
และ Nγ(2) คือตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานของดิน
35 o
30 o
ชั้นลาง
5
20 o
0
0 0.2 0.4 0.6 0.8 1
⎛ ⎞ ⎛
ความสัมพันธระหวาง Ks กับ ⎜ γ 2 Nγ (2) ⎟ / ⎜ γ1Nγ (1) ⎞⎟ (Das, 2004)
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.1 ฐานรากบนชั้นทรายแนนที่อยูเหนือชั้นทรายหลวม
กําลังรับแรงแบกทานของดินชั้นลาง (qu(b)) หาไดจาก
2.8.2 ฐานรากบนชั้นทรายที่อยูเหนือชั้นดินเหนียวออน
เมื่อ ชั้นทรายมีความหนาไมมากนัก แนวการวิบัติอาจขยายไปถึงชั้นดินเหนียวออนได ดังแสดงในรูป
ทางซายมือ
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.2 ฐานรากบนชั้นทรายที่อยูเหนือชั้นดินเหนียวออน
จากการศึกษาของ Meyerhof and Hensen (1978) สําหรับชั้นทรายที่มีความหนานอยกวาความ
กวางของฐานราก กําลังรับแรงแบกทานประลัยสามารถคํานวณไดดังนี้
⎛
D f ⎞⎟ tanφ ′
2 ⎜⎜
qu = Su Nc + γ H 1+ 2 ⎟ Ks +γ Df สําหรับฐานรากแถบ
H ⎟⎟
⎜
⎜
B
⎝ ⎠
⎞ ⎛
2 D
Ks tanφ ′ + γ D f สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยมผืนผา
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
B B
qu = 1+ 0.2 Su Nc + 1+ γ H 1+
⎜ ⎟ ⎜ ⎟ 2 ⎜⎜
f ⎟⎟
⎜
⎝
L ⎟
⎠
L ⎜
⎝
H ⎟⎟
⎟
⎠
⎜
⎜
B
⎝ ⎠
2.8.2 ฐานรากบนชั้นทรายที่อยูเหนือชั้นดินเหนียวออน
40
(Su Nc)/(0.5γBNγ) =
30 (5.14S u )/(0.5γBNγ) = 1
20
Ks
0.4
10
0.2
0
20 30 40 50
φ' (Degrees)
2.8.2 ฐานรากบนชั้นทรายที่อยูเหนือชั้นดินเหนียวออน
เมื่อ ชั้นทรายมีความหนามาก (มากกวาความกวางของฐานราก) แนวการวิบัติจะเกิดเพียงแคในชั้น
ทราย ดังแสดงในรูปดานขวามือ
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.2 ฐานรากบนชั้นทรายที่อยูเหนือชั้นดินเหนียวออน
สําหรับกรณีที่ชั้นทรายมีความหนามากกวาความกวางของฐานราก และการวิบัติเกิดในชั้นทราย
กําลังรับแรงแบกทานคํานวณไดดังนี้
qu = γ D f Nq + 1 γ BNγ สําหรับฐานรากแถบ
2
⎛ ⎞
1 B
qu = γ D f Nq + ⎜1− 0.4 ⎟⎟γ BNγ
⎜
2⎝ L⎠ สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยมผืนผา
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.3 ฐานรากบนชั้นดินเหนียวสองชั้น
พิจารณารูปดานซายมือ สําหรับฐานรากบนชั้นดินที่มีกําลังตานทานแรงเฉือนชั้นบนสูงกวาชั้นลาง
(Su1/Su2 > 1.0) และ H/B มีคานอย จนเกิดการวิบัติดวยแรงเฉือนในดินเหนียวทั้งสองชั้น
B
Qu
1 1
Stronger Stronger
1= 0 Df 1=0
clay clay
Su1 Su1
Thinner
top layer H
H
Thicker
top layer
Weaker clay Weaker clay
2
2
2=0
2=0
Su2
Su2
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.3 ฐานรากบนชั้นดินเหนียวสองชั้น
สมการคํานวณกําลังรับแรงแบกทานประลัยในกรณี สําหรับฐานรากบนชั้นดินที่มีกําลังตานทานแรง
เฉือนชั้นบนสูงกวาชั้นลาง (Su1/Su2 > 1.0) และ H/B มีคานอย
⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ 2c H ⎞ ⎛ ⎞
B B B
qu = 1+ 0.2 ⎟ Su 2 Nc + ⎜1+ ⎟ ⎜ ⎟ + γ 1D f ≤ ⎜1+ 0.2 ⎟ Su1Nc + γ1D f
⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ a ⎟ ⎜ ⎟
⎜
⎝
L⎠ ⎝
L ⎠ ⎜⎝ B ⎟⎠ ⎝
L⎠
2.8.3 ฐานรากบนชั้นดินเหนียวสองชั้น
2.8.3 ฐานรากบนชั้นดินเหนียวสองชั้น
พิจารณารูปดานขวามือ กรณีที่ดินเหนียวชั้นบนมีคากําลังตานทานแรงเฉือนนอยกวาดินเหนียวชั้นลาง
(Su1/Su2 < 1) และ H/B มีคามากจนเกิดแนววิบัติดวยแรงเฉือนในชั้นบนเทานั้น
B
Qu
1 1
Stronger Stronger
1= 0 Df 1=0
clay clay
Su1 Su1
Thinner
top layer H
H
Thicker
top layer
Weaker clay Weaker clay
2
2
2=0
2=0
Su2
Su2
2.8 กําลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหลายชั้น
2.8.3 ฐานรากบนชั้นดินเหนียวสองชั้น
สมการคํานวณกําลังรับแรงแบกทานประลัยในกรณี สําหรับฐานรากบนชั้นดินที่มีกําลังตานทานแรง
เฉือนนอยกวาดินเหนียวชั้นลาง (Su1/Su2 < 1) และ H/B มีคามาก
2
⎛ ⎞
qu = qt + ⎛⎜ qb − q 1− H
⎞⎜
t ⎟⎠ ⎜
⎟ ≥ qt
⎝ B⎝
⎟
⎠
⎛ ⎞
เมื่อ qt = 5.14 ⎜⎜1+ 0.2 B ⎟⎟ Su1 + γ1D f
⎝
L⎠
⎛ ⎞
qb = 5.14 ⎜⎜1+ 0.2 B ⎟⎟ Su 2 + γ 2 D f
⎝
L⎠
2.9 อัตราสวนปลอดภัย (Factor of Safety)
qall = qu
FS
⎡
⎢W ⎛ ⎞
+WF +WS ⎤⎥
D+ L
qall = qu ≥
⎜ ⎟
⎢ ⎜⎜ ⎟⎟ ⎥
⎢ ⎝ ⎠
⎥
FS ⎢
⎢
A ⎥
⎥
⎢⎣ ⎥⎦
A คือ พื้นที่หนาตัดของฐานราก
2.9 อัตราสวนปลอดภัย (Factor of Safety)
กําลังรับแรงแบกทานยอมใหสุทธิ (Net allowable bearing capacity) คือ น้ําหนักบรรทุกประลัย
ตอ 1 หนวยพื้นที่ของฐานราก โดยไมคํานึงถึงหนวยน้ําหนักในแนวดิง่ ที่ระดับฐานรากซึ่งเทากับ q = γDf
กําลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิ
qu(net ) = qu − q
กําลังรับแรงแบกทานยอมใหสุทธิ
qu(net ) q − q
qall (net ) = = u
FS FS
WS +WF
สมมติวา หนวยน้ําหนักของดินและฐานรากมีคาใกลเคียงกันหรือเทากัน q = γ D f ≈
A
qu(net ) ⎡⎢W(D+ L) ⎤⎥
qall (net ) = ≥⎢ ⎥
FS ⎢ A ⎥
⎢⎣ ⎥⎦
2.9 อัตราสวนปลอดภัย (Factor of Safety)
กําลังรับแบกทานยอมใหโดยใชพารามิเตอรกําลังยอมให วิธีการนี้กระทําโดยคํานวณคาหนวยแรง
เหนี่ยวนํายอมให (cd) และมุมเสียดทานภายในยอมให (φd) และนําคาเหลานี้มาแทนคาในสมการกําลังรับ
แรงแบกทาน
คาหนวยแรงเหนี่ยวนํายอมให และมุมเสียดทานภายในยอมใหคาํ นวณไดดังนี้
cd = c
FS
อัตราสวนปลอดภัยตองคํานวณจากอัตราสวนของน้ําหนักบรรทุกประลัยตอน้ําหนักบรรทุกจริง (P)
ดังนี้
FS = Qu
P
2.9 อัตราสวนปลอดภัย (Factor of Safety)
ปจจัยที่สําคัญอีกตัวที่ตองคํานึงในการออกแบบคือการทรุดตัวของฐานราก ผูออกแบบตองนําคาการ
ทรุดตัวยอมให (δa) มาเปรียบเทียบกับการทรุดตัวทั้งหมดที่ไดอาจเกิดขึ้นเนื่องจากน้ําหนักบรรทุกคงที่และ
น้ําหนักบรรทุกจรบนโครงสราง (δ )
โดยที่ δ ≤ δa เสมอ เพื่อปองกันการทรุดตัวที่แตกตางกัน (Differential settlement) ของฐาน
รากแตละฐาน
การทรุดตัวที่ยอมให (Cudoto, 2001)
ลักษณะของโครงสราง การทรุดตัวที่ยอมให
(นิ้ว) (มิลลิเมตร)
โดยที่ คาการทรุดตัวที่แตกตางกันตองมีคาไมเกินกวาคายอมให
80
3
60
2 (in.)
40
20 1
0 0
0 20 40 60 80 100 120
ลักษณะการแตกราวของผนังที่เกิดจากการทรุดตัวทีแ่ ตกตางกันของฐานราก
(สุขสันติ์และคณะ 2546)
2.9 อัตราสวนปลอดภัย (Factor of Safety)
ลักษณะการแตกราวของพื้นตามแนวคานที่เกิดจากการทรุดตัวทีแ่ ตกตางกันของฐานราก
(สุขสันติ์และคณะ 2546)
2.9 อัตราสวนปลอดภัย (Factor of Safety)
รอยแตกราวระหวางจุดตอคาน-เสาที่เกิดจากการทรุดตัวทีแ่ ตกตางกันของฐานราก
(สุขสันติ์และคณะ 2546)
2.10 การประมาณกําลังรับแรงแบกทานจาก
สมการเชิงประสบการณ (Empirical Equations)
2.10.1 การประมาณกําลังรับแรงแบกทานจากผลทดสอบทะลุทะลวงมาตรฐาน
ก) วิธีของ Meyerhof (1956) สามารถประมาณคากําลังรับแรงแบกทานยอมใหสุทธิสําหรับชั้น
ทรายที่ทําใหเกิดการทรุดตัวของฐานรากไมเกิน 2.5 เซนติเมตร ตามสมการดังนี้
N′ คือ ตัวเลขทะลุทะลวงมาตรฐานปรับแก
B คือ ความกวางหรือเสนผานศูนยกลางของฐานราก (เมตร)
2.10 การประมาณกําลังรับแรงแบกทานจาก
สมการเชิงประสบการณ (Empirical Equations)
ข) วิธีของ Peck et al. (1974) สามารถหากําลังรับแรงแบกทานยอมให โดยที่คา qall(25mm)
ก็คือคากําลังรับแรงแบกทานยอมใหที่เกิดการทรุดตัวเทากับ 25 มิลลิเมตร (ฟงกชั่นของคา N* และขนาด
ของฐานราก)
N * = CN Cw N60
CN คือ ตัวคูณปรับแกตัวเลขทะลุทะลวงมาตรฐานเนื่องจากความเคนประสิทธิผลในแนวดิง่
มีคา เทากับ 100
σ v′ เมื่อ σ v′ มีหนวยเปนกิโลปาสคาล
Cw คือ ตัวคูณปรับแกระดับน้าํ ใตดนิ มีคา เทากับ 0.5 + 0.5 Dw
Df + B
Dw คือ ระดับน้ําใตดนิ วัดจากทองฐานราก
Df คือ ระดับทองฐานรากวัดจากผิวดิน
B คือ ความกวางฐานราก
2.10 การประมาณกําลังรับแรงแบกทานจาก
สมการเชิงประสบการณ (Empirical Equations)
2.10.2 การประมาณกําลังรับแรงแบกทานจากผลทดสอบทะลุทะลวงดวยกรวย
วิธีของ Schmertmann (1978) สามารถประมาณคากําลังรับแรงแบกทานประลัยสําหรับฐาน
รากตื้นที่มีอัตราสวน D f / B ≤1.5 ไดดังสมการตอไปนี้
สําหรับดินทราย 1.5
qu = 28 − 0.0052 300 − q
⎛
⎜
⎞
c ⎟⎠ สําหรับฐานรากแถบ
⎝
1.5
qu = 48 − 0.0090 300 − q
⎛
⎜
⎞
c ⎟⎠
สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยม
⎝
สําหรับดินเหนียว
qu = 2 + 0.28qc สําหรับฐานรากแถบ
qu = 5 + 0.34qc สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยม
2.10 การประมาณกําลังรับแรงแบกทานจาก
สมการเชิงประสบการณ (Empirical Equations)
2.10.3 การประมาณกําลังรับแรงแบกทานจากผลทดสอบกําลังตานทานแรงเฉือนดวยใบพัด
Canadian Geotechnical Society (1985) ไดเสนอสมการประมาณกําลังรับแรงแบกทาน
ประลัยไวดังนี้
⎡
⎢ D f ⎤⎥ ⎡ B ⎤
qu = 5μ S ⎢1+ 0.2 ⎥ ⎢1+ 0.2 ⎥⎥ +σ v0
⎢
u (vane) ⎢ B ⎥⎣ L⎦
⎢⎣ ⎥⎦
การทรุดตัวในทรายปกติมักมีคานอยและเกิดอยางรวดเร็วเมื่อเพิ่มน้ําหนักเพียงเล็กนอย วิธีการ
คํานวณตองอาศัยขอมูลจากการทดสอบในสนาม ไดแก การทะลุทะลวงมาตรฐาน (SPT) และการทะลุ
ทะลวงดวยกรวย (CPT) สาเหตุที่การคํานวณคาการทรุดตัวจากการทดสอบในสนามไดรับความนิยมนั้นก็
เพราะการเก็บตัวอยางคงสภาพของทรายมาทดสอบในหองปฏิบัติการมีความยุงยากมาก
f คือ ตัวคูณตามทฤษฎียืดหยุน
H คือ ความลึกจากระดับทองฐานรากลงไปถึงระดับดินแข็งดานลาง (ฟุต)
D f คือ ระดับทองฐานรากวัดจากผิวดิน (ฟุต)
N(′ave) คือ ตัวเลขทะลุทะลวงมาตรฐานปรับแกเฉลี่ยในชวงความหนา H (ความหนาของชั้นดินอัดตัวได)
แตมคี า เกินกวาสองเทาของความกวางฐานราก
qnet คือ ความเคนสุทธิที่ระดับทองฐานราก (ตันตอฟุต)
2.11 การประมาณการทรุดตัวของฐานรากบนชัน
้ ดินทราย
จากสมการเชิงประสบการณ
Df
H
qnet
Si = (ฟุต)
18qall (25mm)
สําหรับฐานรากสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือฐาน
รากวงกลม (L/B=1)
I z = 0.1 ที่ความลึก z =0
qnet z = z1 = 0.5B
I z = 0.5 + 0.1 ที่ความลึก
σ vp
′
Iz = 0 ที่ความลึก z = z2 = 2 B
การคํานวณการทรุดตัวแบบยืดหยุนในดินทรายโดยใชสัมประสิทธิ์ความเครียด
2.11 การประมาณการทรุดตัวของฐานรากบนชัน
้ ดินทราย
จากสมการเชิงประสบการณ
สําหรับฐานรากแถบที่มีคา (L/B>10)
I z = 0.2 ที่ความลึก z =0
qnet z = z1 = B
I z = 0.5 + 0.1 ที่ความลึก
σ vp
′
Iz = 0 ที่ความลึก z = z2 = 4 B
การคํานวณการทรุดตัวแบบยืดหยุนในดินทรายโดยใชสัมประสิทธิ์ความเครียด
2.11 การประมาณการทรุดตัวของฐานรากบนชัน
้ ดินทราย
จากสมการเชิงประสบการณ
2.11.5 การประมาณการทรุดตัวจากผลทดสอบแผนเหล็ก (Plate Bearing Test)
การติดตั้งอุปกรณทดสอบแผนเหล็ก
2.11 การประมาณการทรุดตัวของฐานรากบนชัน
้ ดินทราย
จากสมการเชิงประสบการณ
การตอกหยั่งเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของดินฐานราก
2.11 การประมาณการทรุดตัวของฐานรากบนชัน
้ ดินทราย
จากสมการเชิงประสบการณ
2
Soil pressure (ton/m )
00 10 20 30 40 50 60 70 80
2
qu(net) = 51 ton/m
10
Settlement (mm)
15
20
25
30
δ footing ⎛ 2B ⎞2
= ⎜⎜ ⎟
δ plate ⎜⎝ B + 0.3 ⎟⎟⎠
จากสมการขางตนจะเห็นไดวา อัตราสวนระหวางการทรุดตัวของฐานรากและการทรุดตัวของแผนเหล็ก
ทดสอบมีคาไมเกิน 4.0
2.11 การประมาณการทรุดตัวของฐานรากบนชัน
้ ดินทราย
จากสมการเชิงประสบการณ
ความสัมพันธระหวางอัตราสวนการทรุดตัวและอัตราสวนขนาดฐานราก
ตัวอยางที่ 2.1
จงใชตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานของ Terzaghi หากําลังรับแรงแบกทานยอมใหทั้งหมด (Gross
allowable load, qall) ของฐานรากแถบดังแสดงในรูป โดยใชอัตราสวนปลอดภัยเทากับ 4.0
⎜
⎞
⎟
⎛
⎜
1
qu = 15×32 + 19× 0.6×18 + ×19× 0.7×16 ⎟⎟
⎛ ⎞
⎟
⎜ Nc
⎜
⎝ ⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎜
⎝
⎟
⎠ 40
Nq
In te rn a l friction a n g le , φ ( o )
Nγ
qu = 791.6 กิโลปาสคาล 30
Nγ
0
1 5 10 50 100 500
Value of Nc , Nq , Nγ
ตัวอยางที่ 2.2
จงคํานวณหากําลังรับแรงแบกทานของฐานรากแถบดังรูป ในสภาวะทีร่ ับน้ําหนักบรรทุกทันที (Short term)
และในสภาวะที่เกิดการระบายออกของน้ําอยางสมบูรณ (Long term) โดยใชสมการของ Terzaghi เมื่อ
กําลังตานทานแรงเฉือนในสภาวะไมระบายน้ําที่ไดจากผลทดสอบแรงอัดแกนเดียวมีคา เทากับ 70 กิโล
ปาสคาล และพารามิเตอรกําลังตานทานแรงเฉือนที่ไดจากผลทดสอบแรงอัดสามแกนมีคา ดังนี้ c′ = 10 กิโล
ปาสคาล และ φ′ = 25°
ตัวอยางที่ 2.2
⎣ ⎦ ⎣⎝ ⎠ ⎦ ⎣⎢ 2 ⎦⎥
λγ d =1
⎛ ⎞
λcd =1+ 0.4k =1+ 0.4×1.22
⎜ ⎟ =1.40
⎜
1.22 ⎟⎟⎠
⎜
⎝
ตัวอยางที่ 2.3
เนื่องจากระดับน้าํ ใตดินอยูเหนือระดับฐานราก ดังนั้น
q′ =17.898 กิโลปาสคาล
กําลังรับแรงแบกทานประลัยเทากับ
qu = 980.12 กิโลปาสคาล
ตัวอยางที่ 2.3
กําลังรับแรงแบกทานยอมใหเทากับ
qall = qu = 980.12
3 3
qall = 326.71 กิโลปาสคาล
น้ําหนักบรรทุกยอมใหเทากับ
2
Qall = qall π B2 = 326.71⎜⎜ π ⎟⎟ ⎛⎜1.22 ⎞⎟
⎛ ⎞
4 ⎝ 4 ⎠⎝ ⎠
ข) ระดับน้ําใตดนิ อยูที่ระดับผิวดิน
qu = λqsλqd (γ sat − γ w)D f Nq + 1 λγ sλγ d (γ sat − γ w)BNγ
2
⎛ ⎞
⎛ ⎞ ⎜1
qu = ⎜1.625×1.131× (20 − 9.81)× 2× 23.2⎟ + ⎜ × 0.6×1× (20 − 9.81)× 4.2× 30.2 ⎟⎟
⎝ ⎠ ⎜2 ⎟
⎝ ⎠
qu(net ) = ⎢⎢⎛⎜ 20.4 − 9.81⎞⎟ × 0.9× ⎛⎜ 48.9 −1⎞⎟⎥⎥ + 1 × (20.4 − 9.81)× B × 67.4 = 456.54 + 356.88B
⎡ ⎤
⎣⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎦ 2
qu(net ) = Q(FS )
B
P ⎛
6e
qmin = ⎜1− ⎟ =
⎜
⎞
⎟ 40 ⎛
⎜1− 6 × 0.20 ⎞
⎟ = 5.33 กิโลกรัมตอตารางเมตรตอเมตร
A ⎜⎝ B ⎟⎠ 1.50 ⎜⎝
⎜
1.50 ⎟⎟⎠
ตัวอยางที่ 2.7
ฐานรากสี่เหลี่ยมผืนผาขนาด 1.5 เมตร x 0.75 เมตร ดังแสดงในรูป จงหาขนาดของน้ําหนักสุทธิที่กระทํา
เยื้องศูนยทมี่ ากที่สดุ ทีท่ ําใหดินเกิดการวิบตั ิพอดี
ตัวอยางที่ 2.7
วิธีทํา ความกวางประสิทธิผล (B′ ) = 0.75 – 2(0.05) = 0.65 เมตร
ความยาวประสิทธิผล (L′ ) = 1.5 – 2(0.12) = 1.26 เมตร
qu(net ) = qλqsλqd ⎛⎜ Nq −1⎞⎟ + 1 λγ sλγ d γ B′Nγ
⎝ ⎠ 2
⎛⎞ ⎛ ⎞
B′
λγ s =1− 0.4 ⎟ =1− 0.4⎜
⎜⎟ ⎜ 0.65 ⎟ = 0.79
L′ ⎟⎠
⎜⎜
⎝ ⎝
⎟
⎜ 1.26 ⎟
⎠
⎛ ⎞
2⎜ D 2⎛
λqd =1+ 2tanφ 1− sinφ ′
⎛
⎜
⎞
⎟ ⎜
f ⎟
⎟ ⎞⎛
=1+ 2tan 30° 1− sin30°
⎛
⎜ ⎟⎜
⎞ ⎜
⎟ ⎜
0.6 ⎞⎟ =1.23
⎝ ⎠ ⎜
⎜
B ⎟
⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎜
⎝
0.75 ⎟⎠⎟
⎝ ⎠
λγ d =1
ตัวอยางที่ 2.7
น้ําหนักแบกทานประลัยสุทธิเทากับ
Qu(net ) = qu(net ) ⎛⎜ B′L′⎞⎟ = ⎛⎜ 404.0 ⎞⎛⎟⎜ 0.65×1.26 ⎞⎟ = 330.9 กิโลปาสคาล
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
ตัวอยางที่ 2.8
จงหาอัตราสวนปลอดภัยตานทานการวิบัตขิ องดินใตฐานราก ดังแสดงในรูปโดยวิธีของ Meyerhof
เมื่อ P = 1000 กิโลนิวตัน
H = 400 กิโลนิวตัน
M = 500 กิโลนิวตัน-เมตร
ตัวอยางที่ 2.8
วิธีทํา ความกวางประสิทธิผล (B′ ) = 3 - (2 × 0.5) = 2 เมตร
ความยาวประสิทธิผล ( L′ ) = 3 เมตร
แนวของแรงลัพธคือ
⎛ ⎞
θ = tan−1 ⎜ H ⎟ กระทําตอแนวดิง่
⎜⎜
⎝
V ⎟⎟
⎠
⎛
θ = tan−1 ⎜ 400 ⎞⎟ = 22°
⎜ ⎟
⎜1000 ⎟
⎝ ⎠
Df ⎡
⎢
⎛
35 ° ⎞
1
⎤
⎥
λqd =1+ 0.1 K p =1+ ⎢0.1× tan ⎜ 45°+
⎜ ⎟ × ⎥ =1.06
B ⎢ ⎜
⎝
2 ⎟
⎟ 3⎥
⎠ ⎣⎢ ⎦⎥
⎡ ⎤
⎢
λγ d =1+ 0.1× tan 45°+
⎢
35 ° ⎞
⎥
⎛
⎟ × 1 ⎥ =1.06
⎜
⎜
⎢ 2 ⎟⎟⎠ 3⎥ ⎜
⎝
⎣⎢ ⎦⎥
2 2
⎛
λqi = 1−
⎜ θ ° ⎞
⎟
⎛
= ⎜1−
⎜ 22 ° ⎞
⎟ = 0.57
⎜
⎜
⎝
90° ⎟⎠
⎟ ⎟
⎜
⎝
90° ⎟⎠
2 2
λγ i = 1− θ ° = 1− 22° = 0.14
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎜
⎜
⎝
φ° ⎟
⎟
⎠
35° ⎜
⎜
⎝
⎟
⎟
⎠
ตัวอยางที่ 2.8
กําลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิมีคา เทากับ
qu(net ) = (20×1)(1.25)(1.06)(0.57)(33.29 −1) + 1 (1.25)(1.06)(0.14)(20)(2)(37.14)
2
น้ําหนักบรรทุกประลัยสุทธิเทากับ
Qu(net ) = qu(net ) ⎛⎜ B′L′⎞⎟ = 625.53⎛⎜ 2× 3⎞⎟ = 3753.18 กิโลนิวตัน
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
อัตราสวนปลอดภัยมีคาเทากับ
Qu(net ) 3753.18
FS = = = 3.75
P 1000
ตัวอยางที่ 2.9
จงออกแบบขนาดของฐานรากตื้นทีต่ ั้งบนชั้นดินดังรูป ใหมีอัตราสวนปลอดภัยไมนอยกวา 3.0 โดยใชทฤษฎี
ของ Meyerhof
P = 1000 kN
M = 300 kN-m
Sand
4.0 m
sat = 19.0 kN/m3
’ = 35o
Clay
1.0 m
sat = 19.5 kN/m3, Su = 15 kPa
ตัวอยางที่ 2.9
วิธีทํา สมมุติขนาดฐานรากเทากับ 2.2 x 2.2 เมตร
e = M = 300 = 0.3 เมตร < 2.2 = 0.37 OK. ดังนั้น
P 1000 6
B′ = 2.2 − ⎛⎜ 2× 0.3⎞⎟ =1.6 เมตร
⎝ ⎠
L′ = L = 2.2
เมตร
จากทฤษฎีของ Meryerhof
qu(net ) = cNcλcsλcd + q ⎛⎜ Nq −1⎞⎟ λqsλqd + 0.5γ B′Nγ λγ sλγ d
⎝ ⎠
ตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานมีคาดังนี้
= eπ tanφ tan 2 ⎜ 45 + φ ⎟ = eπ tan35° tan2 ⎜ 45°+ 35° ⎟ = 33.3
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
Nq ⎜
⎜
⎝
2 ⎟⎟⎠ ⎜
⎜
⎝
2 ⎟
⎟
⎠
λγ s = λqs =1.26
λγ d = λγ q =1.12
ตัวอยางที่ 2.9
กําลังแรงแบกทานประลัยสุทธิของดินมีคา เทากับ
⎡⎛ ⎤
qu(net ) = 0 + 17.0× 0.5 + 9.2× 0.5 × 33.3 −1 ×1.26×1.12
⎢⎜
⎢⎝
⎞
⎟
⎛
⎜
⎞
⎟ ⎥
⎥
⎣ ⎠ ⎝ ⎠ ⎦
+ ⎡⎢0.5×9.2×1.6×37.16×1.26×1.12⎤⎥
⎣ ⎦
อัตราสวนปลอดภัยมีคาเทากับ
FS = 3460.44 = 3.46 > 3.0
1000.00
จากทฤษฎีของ Meryerhof
qu(net ) = cNcλcsλcd λci + q ⎛⎜ Nq −1⎞⎟ λqsλqd λqi + 0.5γ BNγ λγ sλγ d λγ i
⎝ ⎠
ตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานมีคาดังนี้
= eπ tanφ tan 2 ⎜ 45 + φ ⎟ = eπ tan35° tan2 ⎜ 45°+ 35° ⎟ = 33.3
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
Nq ⎜
⎜
⎝
2 ⎟⎟⎠ ⎜
⎜
⎝
2 ⎟
⎟
⎠
λγ s = λqs =1.37
λγ d = λγ q =1.05
2 2
λγ i = 1− θ = 1− 30° = 0.02
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎜
⎜
⎝
φ ⎟
⎟
⎠
35° ⎜
⎜
⎝
⎟
⎟
⎠
ตัวอยางที่ 2.10
กําลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิของดินมีคาเทากับ
⎡ ⎤
qu(net ) = 0 + ⎢⎢⎛⎜17.0× 0.5 + 9.2× 0.5⎞⎟ × ⎛⎜ 33.3 −1⎞⎟ ×1.37×1.05× 0.44⎥⎥
⎣⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎦
อัตราสวนปลอดภัยมีคาเทากับ
FS = 3491.57 = 3.49 > 3.0
1000.00
วิธีทํา
ตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานมีคาดังนี้
อัตราสวนปลอดภัยมีคาเทากับ
FS = 2962.26 = 2.96
1000.00
ตัวอยางที่ 2.12
จงใชทฤษฎีของ Vesic คํานวณหาอัตราสวนปลอดภัยของของฐานรากตื้นทีต่ ั้งบนชั้นดิน
ซึ่งมีขนาด 2.5 x 2.5 เมตร
ตัวอยางที่ 2.12
วิธีทํา จากทฤษฎี Vesic
qu(net ) = cNcλcsλcd λciλcδ + q ⎛⎜ Nq −1⎞⎟ λqsλqd λqiλqδ + 0.5γ BNγ λγ sλγ d λγ iλγδ
⎝ ⎠
ตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานมีคาดังนี้
= eπ tanφ tan 2 ⎜ 45°+ φ ⎟ = eπ tan35° tan 2 ⎜ 45°+ 35° ⎟ = 33.3
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
Nq ⎜
⎜
⎝
2 ⎟⎟⎠ ⎜
⎜
⎝
2 ⎟
⎟
⎠
λγ d =1
อัตราสวนปลอดภัยมีคาเทากับ
FS = 3335.20 =1.85
1800.00
ตัวอยางที่ 2.13
ฐานรากแผขนาดกวาง 1 เมตร ยาว 1.5 เมตร ตั้งอยูที่ความลึก 1 เมตร ในดินทราย ซึ่งมีความหนา 2.4
เมตร มีหนวยน้ําหนัก 18.4 กิโลปาสคาล มุมเสียดทานภายใน 40 องศา ใตดินทรายเปนชั้นดินเหนียวที่มี
กําลังตานทานแรงเฉือนในสภาวะไมระบายน้ํา (Undrained shear strength) เทากับ 19.15 กิโล
ปาสคาล จงคํานวณหากําลังรับแรงแบกทานประลัยของฐานรากนี้
วิธีทํา ตัวแปรกําลังรับแรงแบกทานของ Meyerhof มีคา ดังนี้
= eπ tanφ tan 2 ⎜ 45°+ φ ⎟ = eπ tan40° tan 2 ⎜ 45°+ 40° ⎟ = 64.18
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
Nq ⎜
⎜
⎝
2 ⎟⎟⎠ ⎜
⎜
⎝
2 ⎟
⎟
⎠
คา Ks สามารถคํานวณไดดังนี้
Su Nc = 19.15×5.14 = 0.11 และ φ′ = 40 องศา
0.5γ BNγ 0.5×18.4×1×93.67
จะได Ks = 2.5
ตัวอยางที่ 2.13
กําลังรับแรงแบกทานประลัยเนื่องจากการวิบตั ิในชั้นทรายมีคา เทากับ
⎛ ⎞
1 B
qu = γ D f Nq + ⎜1− 0.4 ⎟⎟γ BNγ
⎜
2 ⎜⎝ L ⎟⎠
⎛ ⎞
⎜
1 ⎜ ⎞
⎟
1
qu = 18.4× 64.18 + ⎜1− 0.4× ⎟⎟ ×18.4×1.0×93.67 =1812.9
⎛
กิโลปาสคาล
⎝ 2 ⎜⎝ ⎠ 1.5 ⎟⎠
+ ⎡⎢18.4×1.0⎤⎥
⎣ ⎦
Su 2 ca = 0.92
สําหรับ = 0.42 จะได
Su1 Su1
⎡
1 ⎤ ⎛
1
qu = 1+ 0.2 ⎥ 52×5.14 + ⎜1+ ⎟⎜
⎢ ⎥ ⎜
⎞⎛
⎟⎜ 2 ×115×1⎞
⎟ + ⎛16.8×1 ⎞
⎟ ⎜ ⎟
⎢
⎢⎣ 1.5⎥⎦ ⎜
⎝
1.5 ⎟⎜
⎠⎝
1 ⎠
⎟ ⎝ ⎠
qu = 703.05 กิโลปาสคาล
⎡ ⎤
1
qu = 1+ 0.2 ⎥⎥125×5.14 + ⎛⎜16.8×1⎞⎟
⎢
และ ⎢
1.5⎦⎥ ⎝ ⎠
⎣⎢
qu = 744.96 กิโลปาสคาล
ดังนั้น กําลังรับแรงแบกทานประลัยมีคาเทากับ 703.05 กิโลปาสคาล และกําลังรับแรงแบกทาน
ยอมใหมีคาเทากับ
qall = 703.05 =175.76 กิโลปาสคาล
4.0
น้ําหนักบรรทุกยอมใหมีคา เทากับ
Qall =175.76×1.0×1.5 = 263.64 กิโลนิวตัน
ตัวอยางที่ 2.15
จงคํานวณการทรุดตัวของฐานรากสี่เหลี่ยม
จัตุรัสที่รับน้ําหนักบรรทุก ดังแสดงในรูป
ในชวงเวลา 5 ป
โดยวิธีของ Schmertmann
ตัวอยางที่ 2.15
⎛ ⎞
C2 =1+ 0.2log ⎜⎜ t ⎟⎟ =1+ 0.2log ⎜⎜ 5 ⎟⎟ =1.34
⎛ ⎞
⎝ 0.1⎠ ⎜ 0.1⎟
⎝ ⎠
00 5 10 15 20 25 30 35
2
Settlement (mm)
8
ตัวอยางที่ 2.16
2
Soil pressure (ton/m )
00 5 10 15 20 25 30 35
Settlement (mm)
3
น้ําหนักบรรทุก (กน.) 5 10 15 20 30 40 50
การทรุดตัวของฐานรากสามารถคํานวณไดโดยอาศัยสมการดังนี้
2
⎛ ⎞
Δ footing = Δ ⎜ 2B ⎟
plate ⎜⎜
⎝
B + 0.3 ⎟
⎟
⎠
ตัวอยางที่ 2.17
สมมติขนาดฐานรากเทากับ 3.0 x 3.0 เมตร ความเคนกดทับเทากับ 980 =108.89 กิโลปาสคาล
32
จากการเทียบบัญญัตไิ ตรยางค จะไดการทรุดตัวของแผนเหล็กทดสอบและฐานรากมี
คาเทากับ
19.10 − 7.88⎞⎟
⎛
⎜
Δ plate = 7.88 + ⎛ ⎝ ⎠ ⎛108.89 −107.50 ⎞ = 8.17
⎜ ⎟ มิลลิเมตร
⎜161.25 −107.50 ⎟
⎞⎝ ⎠
⎝ ⎠
2
Δ footing = 8.17
⎛
⎜ 2 × 3.0 ⎞
⎟ = 27.0 มิลลิเมตร (มากกวา 25 มิลลิเมตร)
⎜
⎜
⎝
3.0 + 0.3 ⎟⎟⎠
ดังนั้นเพิม่ ขนาดของฐานรากเปน 3.1 x 3.1 เมตร ความเคนกดทับเทากับ 980 =101.98 กิโลปาสคาล
3.12
จะไดการทรุดตัวของแผนเหล็กทดสอบและฐานรากมีคาเทากับ
⎛
⎜ 7.88 − 5.50 ⎞⎟
Δ plate = 5.50 + ⎛ ⎝ ⎠ ⎛101.98 − 80.62 ⎞ = 7.39
⎜ ⎟ มิลลิเมตร
⎜107.50 − 80.62 ⎞⎝
⎟
⎠
⎝ ⎠
2
Δ footing = 7.39
⎛
⎜ 2 × 3.1 ⎞
⎟ = 24.57 มิลลิเมตร (มากกวา 25 มิลลิเมตร)
⎜
⎜
⎝
3.1+ 0.3 ⎟⎟⎠
ดังนั้น เลือกขนาดฐานรากเทากับ 3.1 x 3.1 เมตร
ตัวอยางที่ 2.17
ข) ที่หนวยแรงแบกทานของแผนฐานเทากัน การทรุดตัวในฤดูฝนเปนสองเทาของการทรุดตัวในฤดู
แลง ความสัมพันธระหวางความเคนกดทับและการทรุดตัวแสดงไดดังนี้
น้ําหนักบรรทุก (กน.) 5 10 15 20 30 40 50
ลักษณะงานทีต่ องใชฐานรากลึก
3.2 ประเภทของเสาเข็ม
เสาเข็มคอนกรีตหลอในที่
3.3 เสาเข็มตอก
รูปหนาตัดของเสาเข็มชนิดตางๆ
3.3 เสาเข็มตอก
ขอดีของเสาเข็มตอก
• ตรวจสอบคุณภาพของโครงสรางในเสาเข็มไดกอนตอกเสาเข็ม
• การตอกเสาเข็มจะทําใหความหนาแนนของดินเม็ดหยาบเพิ่มขึ้น สงผลใหความสามารถในการ
รับน้ําหนักบรรทุกเพิ่มขึ้น
• ระดับน้าํ ใตดินไมมผี ลกระทบตอการติดตั้ง (ตอก) เสาเข็ม
ขอเสียของเสาเข็มตอก
• ทําใหเกิดความสั่นสะเทือนในขณะตอกเสาเข็ม และเปนผลทําใหเกิดการยกตัวสูงขึ้นของผิว
ดินใกลเคียง ซึ่งอาจเปนอันตรายตอโครงสรางในบริเวณนั้นได
• ทําใหเสาเข็มเกิดความเสียหาย ถาตอกเสาเข็มแรงเกินไป
3.3 เสาเข็มตอก
3.3.1 ระบบของตุมน้ําหนักที่ใชตอกเสาเข็ม
3.3.1 ระบบของตุมน้ําหนักที่ใชตอกเสาเข็ม
Exhaust
Single-Acting Hammer
3.3 เสาเข็มตอก
3.3.1 ระบบของตุมน้ําหนักที่ใชตอกเสาเข็ม
3.3.1 ระบบของตุมน้ําหนักที่ใชตอกเสาเข็ม
กลับขึ้นไปยังตําแหนงเดิม ปนจั่นประเภทนี้ไมเหมาะสมกับการตอก
Anvil
เสาเข็มในชั้นดินออนที่หนามาก เนื่องจากการจุดระเบิดเกิดไดอยางไม Pile cushion
Pile cap
เต็มที่ (เสาเข็มเคลื่อนตัวมาก) ปนจั่น Diesel Hammer ที่มีใชใน
Hammer cushion
ประเทศไทย (ขนาด 1.8 - 4.5 ตัน) จึงไมเหมาะที่จะใชในการตอก Pile
เสาเข็มขนาดใหญ
Diesel Hammer
3.4 เสาเข็มเจาะแหง
เสาเข็มประเภทนี้เหมาะสําหรับดินในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งมีความแข็ง
มากและไมสามารถทําการตอกเสาเข็มใหไดความลึกตามตองการ และสามารถประยุกตใชกับดินเหนียวออน
ในแถบกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได แตตองระวังมิใหทําการเจาะหลุมเจาะจนถึงชั้นทราย อันจะเปน
สาเหตุใหเกิดการพังทลายของหลุมเจาะ เนื่องจากปรากฏการณทรายเดือด (Boiling)
3.4 เสาเข็มเจาะแหง
ขั้นตอนการทําเสาเข็มเจาะแหงสามารถสรุปอยางคราวๆ ไดดังนี้
1) ติดตั้งปลอกเหล็กความยาวประมาณ 1 - 2 เมตร เพื่อปองกันการพังทลายของปากหลุมเจาะ (ดิน
บริเวณปากหลุมจะมีความเคนประสิทธิผลต่ํา สงผลใหกําลังตานทานแรงเฉือนมีคาคอนขางต่ํา)
Casing
3.4 เสาเข็มเจาะแหง
5) ขุดเปดหนาดินจนถึงระดับฐานรากโดยประมาณ
การขุดเปดหนาดิน
3.4 เสาเข็มเจาะแหง
8) ประกอบแบบเหล็กและใสเหล็กเสริม เพื่อเตรียมเทคอนกรีต
3.4 เสาเข็มเจาะแหง
ฐานรากเสาเข็มพรอมเหล็กเสาตอมอ
3.4 เสาเข็มเจาะแหง
ขอดีของเสาเข็มเจาะแหง
• ขั้นตอนการทํางานไมกอใหเกิดมลพิษทางเสียงและการสั่นสะเทือนแกอาคารและบานเรือนที่อยู
ใกลบริเวณกอสราง
• วิศวกรสามารถสังเกตเห็นลักษณะชั้นดินและการเปลี่ยนแปลงของชั้นดินขณะที่เจาะหลุม
• ผูรับจางสามารถเปลี่ยนขนาดและความยาวของเสาเข็มเจาะใหสอดคลองกับสภาพดินในบาง
พื้นทีท่ ี่มคี วามแตกตางจากขอมูลที่ไดจากหลุมสํารวจ
• ฐานรากเสาเข็มสามารถเจาะทะลุชั้นกรวดขนาดใหญหรือแมแตหินได
3.4 เสาเข็มเจาะแหง
ขอเสียของเสาเข็มเจาะแหง
• การกอสรางและควบคุมงานที่ไมดีจะทําใหไดเสาเข็มที่มคี ุณภาพต่าํ และสงผลใหเสาเข็มไม
สามารถรับน้าํ หนักบรรทุกไดตามที่ออกแบบ
• เสาเข็มเจาะจะมีความเสียดทานระหวางดินและเสาเข็มนอยกวาเสาเข็มตอก เนื่องจากการตอก
เสาเข็มจะทําใหดินเคลื่อนตัวออกดานขาง สงผลใหแรงดันดินดานขางเพิ่มขึ้น ในขณะที่ การ
ทําเสาเข็มเจาะจําเปนตองขุดดินออก ทําใหแรงดันดินดานขางมีคา เทาเดิมหรือนอยลง
• แรงตานทานทีป่ ลายเสาเข็มของเสาเข็มเจาะจะมีคา นอยกวาเสาเข็มตอก เนื่องจากการตอก
เสาเข็มทําใหดินทีป่ ลายเข็มแนนขึ้น
3.5 การทําเสาเข็มเจาะในชัน
้ ดิน
ที่เกิดการพังทลายของหลุมเจาะ
การทําเสาเข็มเจาะที่มีความยาวเสาเข็มมากมีความจําเปนอยางมากสําหรับอาคารสูง เนื่องจากเปนการ
ประหยัดอยางมากเมื่อเปรียบเทียบกับการใชเสาเข็มหลายตน ตัวอยางเชน อาคารสูงหลายอาคารในแถบ
กรุงเทพมหานครใชเสาเข็มเจาะที่มีความยาวมากถึง 40-60 เมตร ซึ่งมีการเจาะผานชั้นดินเหนียวกรุงเทพ
และทะลุชั้นทรายชั้นที่ 1 ลงไปติดตั้งในชั้นดินเหนียวแข็งหรือในชั้นทรายชั้นที่ 2
การทําเสาเข็มเจาะแหงความยาวมากจึงไมเหมาะสมสําหรับชั้นดินเหนียวในแถบกรุงเทพมหานคร
เพราะอาจทําใหเกิดการพังทลายของหลุมเจาะ (Caving) ในชั้นทรายกอนและขณะเทคอนกรีต นอกจากนี้
ชั้นดินเหนียวออนอาจเกิดการปูดบวมขณะเทหรือหลังเทคอนกรีต
3.5 การทําเสาเข็มเจาะในชัน
้ ดิน
ที่เกิดการพังทลายของหลุมเจาะ
ลักษณะการเสียรูปของเสาเข็มในชั้นทราย
3.5 การทําเสาเข็มเจาะในชัน
้ ดิน
ที่เกิดการพังทลายของหลุมเจาะ
วิธีการแกปญหาการเสียรูปของเสาเข็มสามารถกระทําไดสองแบบ คือ
1) การใชปลอกเหล็ก
Vibratory
Driver
Water Table
Caving Soil
Cohesive Soil
3.5 การทําเสาเข็มเจาะในชัน
้ ดิน
ที่เกิดการพังทลายของหลุมเจาะ
วิธีการเจาะเปยก (Slurry method)
1) ขุดหลุมเจาะประมาณ 3 เมตร
2) เติมสวนสารละลายระหวางน้ําและเบนโทไนต/สารละลายโพลีเมอรเพื่อใชเปนของเหลว
สําหรับเจาะ (Drilling slurry) ของเหลวนี้จะชวยปองกันการพังของหลุมเจาะ
3) ใชหัวเจาะเจาะทะลุชั้นดินจนไดความลึกที่ตองการ ในขณะเจาะตองใสของเหลวสําหรับเจาะ
เพิ่มอยูเสมอ
Caving Soil
3.5 การทําเสาเข็มเจาะในชัน
้ ดิน
ที่เกิดการพังทลายของหลุมเจาะ
วิธีการเจาะเปยก (Slurry method)
4) ใสเหล็กเสริมลงในหลุมเจาะ
5) เทคอนกรีตลงในหลุมเจาะผานทอ Tremie โดยที่ปลายทออยูที่กนหลุม คอนกรีตจะดัน
ของเหลวสําหรับเจาะขึ้นมาที่ปากหลุมเจาะ
Cohesive Soil
Caving Soil
3.6 เสาเข็มกด
2) เจาะรูที่ฐานรากเดิมดวยหัวเจาะเพชร ใหมีขนาดใหญกวาขนาดเสนผานศูนยกลางของเสาเข็มที่ใช
ในการเสริมฐานราก ประมาณ 5-10 เซนติเมตร เสาเข็มเหล็กตองมีความหนามากพอที่จะปองกันการกัด
กรอน (Corrosion) เพื่อใหมีอายุการใชงานนานเทาที่ตองการ
3.6 เสาเข็มกด
Reaction beam
Reaction
column
Hydraulic
jack
Steel
pile
3.6 เสาเข็มกด
5) ประกอบไมแบบและเทคอนกรีต
3.6 เสาเข็มกด
6) ปรับยกเสาตอมอบางตนที่เกิดการทรุดตัวมากเกินไป โดยการติดตั้งค้ํายันบนฐานรากใหมกับคาน
และตัดเสาตอมอโดยใชสวาน
3.6 เสาเข็มกด
Shoring
I-Beam
Shoring
Existing pier
3.7 การถายน้ําหนักของเสาเข็มเดี่ยว
เสาเข็มเดี่ยวถายน้ําหนักจากโครงสร างสูดินโดยผาน
ความเสียดทานระหวางเสาเข็มและดิน (Skin friction) และ ΔL1
ระหวางเสาเข็มและดิน คือผลรวมของแรงเสียดทานอันเกิด
จากแรงยึดเกาะ (Adhesion) ระหวางเสาเข็มและดินตลอด ΔL 3
การออกแบบเสาเข็ม มีหลักการที่ตองพิจารณาดังนี้
1) วัสดุที่ใชทาํ เสาเข็มตองมีความแข็งแรงพอสําหรับตานน้าํ หนักบรรทุก
2) เมื่อเสาเข็มรับน้าํ หนักบรรทุก ดินรอบขางและใตเสาเข็มตองไมเกิดการวิบตั ิเนื่องจาก
แรงเฉือน (Shear failure)
3) การทรุดตัวของเสาเข็มตองไมเกินคาการทรุดตัวยอมให
3.8 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ดินเหนียวโดยวิธีสถิตยศาสตร
เสาเข็มในชั้นดินเหนียวสวนมากจะเปนเสาเข็มเสียดทาน ซึ่งรับน้ําหนักบรรทุกโดยแรงเสียดทานรอบ
เสาเข็มเปนสวนใหญ เพื่อความสะดวกในการออกแบบ (ไมตองพิจารณาความดันน้ําสวนเกินที่เกิดขึ้นขณะ
รับน้ําหนักบรรทุก) ซึ่งมักจะคํานวณน้ําหนักบรรทุกประลัยจากกําลังตานทานแรงเฉือนรวม (Total shear
strength analysis) แมวาการคํานวณโดยใชกําลังตานทานแรงเฉือนประสิทธิผลจะใหความละเอียด
ถูกตองมากกวา
3.8 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ดินเหนียวโดยวิธีสถิตยศาสตร
พิจารณาเสาเข็มมีความแข็งแรงสูงมาก และไมเกิดการวิบัติของเสาเข็มขณะรับน้ําหนัก น้ําหนัก
บรรทุกประลัย (Failure load, Qf) ของเสาเข็มคํานวณไดจากผลรวมของแรงตานเนื่องจากแรงเสียดทาน
ระหวางเสาเข็มและดินเหนียว (Qs) และแรงตานทานที่ปลายเข็ม (Qb)
Q f = Qs + Qb
Pf +W p = cs As + ( Nc Ab Su + qAb )
โดยที่ Ps = Q f = cs As = α Su
Pb = Nc Su Ab
9
Bearing capacity factor, Nc
5
0 1 2 3 4 5
α =1− 0.5 S −
⎛
⎜ 25kPa ⎞
⎟
u
⎜
50kPa ⎟⎟⎠
⎜
สําหรับ 25 kPa (500 lb/ft2) < Su < 75 kPa (15 lb/ft2)
⎝
α =1− 0.5 S ⎛
⎜− 25kPa ⎞
⎟
u
⎜
50kPa ⎟⎟⎠
⎜
สําหรับ 25 kPa (500 lb/ft2) < Su < 75 kPa (15 lb/ft2)
⎝
Ps = 0.45Su As
Pb = 9wAb Su
Pf = Ps + Pb
ชนิดของเสาเข็มและวิธีการติดตั้ง K/K0
เสาเข็มฉีดน้ํา (Jetted pile) 0.5 - 0.67
เสาเข็มหลอในที่ (Cast-in-situ) 0.67 - 1.0
เสาเข็มตอกชนิดเคลื่อนตัวนอย 0.75 - 1.25
เสาเข็มตอกชนิดเคลื่อนตัวมาก 1-2
3.9 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายโดยวิธีสถิตยศาสตร
1000
500
Poulos (2001) กลาววา อัตราสวนระหวาง
ความยาวต อ เส น ผ า นศู น ย ก ลางของเสาเข็ ม มี
100
Nq
อิทธิพลตอความสัมพันธดังกลาวนอยมาก จึงได
50
ปรับปรุงและสรางความสัมพันธระหวางแฟคเตอร
กําลังรับแรงแบกทาน (Nq) และมุมเสียดทาน
10 ภายใน
25 30 35 40 45
φ0′ + 40°
φ1′ =
2
500
50
โดยที่มุมเสียดทานภายในปรับแกหาไดจาก
Paikowsky and Whitman (1990) ; Miller and Lutenegger (1997) พบวา ปจจัยที่มี
อิทธิพลตอการเกิดหัวจุกดินมีดวยกันหลายประการ ไดแก ชนิดของดิน ความเคนในสนาม เสนผาน
ศูนยกลางและความยาวของเสาเข็ม วิธีการตอกเสาเข็ม อัตราการตอก และอื่นๆ
สําหรับเสาเข็มรูปตัว H ชองวางระหวางปกของ
เสาเข็มรูปตัว H มีนอยกวาชองวางภายใน
เสาเข็ ม มาก ดั ง นั้ น ระยะจมเพี ย งเล็ ก น อ ยก็
ก อ ให เ กิ ด หั ว จุ ก ดิ น ดั ง นั้ น ในการวิ เ คราะห
คํานวณ Ab และ As โดยสมมติวาหัวจุกดินเกิด
ไดอยางสมบูรณ
การเกิดหัวจุกดินในเสาเข็มหนาตัดเปด
3.11 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัย
จากผลทดสอบในสนาม
3.11.1 การทดสอบการทะลุทะลวงดวยกรวย
วิธีการนี้ใชไดกับเฉพาะเสาเข็มในชั้นทราย แรงแบกทานประลัยที่ปลายเสาเข็มมีคาประมาณ
Pb = Abqc
qb = Kb ( N60 )b kN/m2
สัญลักษณที่ใชในสมการตอกเสาเข็มมีดังตอไปนี้
Wh คือน้ําหนักของตุมน้ําหนัก
Wp คือน้ําหนักของเสาเข็ม
Y คือระยะยกของตุมน้ําหนัก
R คือกําลังตานทานการตอก ซึ่งมีคาเทากับน้ําหนักบรรทุกประลัย
s คือระยะจมของเสาเข็มตอการตอกหนึ่งครั้ง
A คือพื้นที่หนาตัดของเสาเข็ม
L คือความยาวของเสาเข็ม
E คือโมดูลัสยืดหยุนของเสาเข็ม
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
สูตรที่ 1
สมมติฐาน
ก) ตุมน้ําหนักและเสาเข็มเปนวัสดุที่รับพลังงานเนื่องจากการกระแทก (Impinging particle)
ข) ตุมน้ําหนักสงผานพลังงานทั้งหมดไปกับการตกกระแทก
ค) เมื่อมีการกระแทกเกิดขึ้น กําลังตานทาน R ที่กระทําตอเสาเข็มเกิดขึ้นทันที และมีคาคงที่ตลอดการเคลื่อน
ตัวของเสาเข็ม
พลังงานที่เกิดจากการกระแทกมีคาเทากับ WhY และพลังงานตานการเคลื่อนตัวมีคาเทากับ Rs ดังนั้น
WhY = Rs
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
สูตรที่ 2
สมมติฐาน
ก) ตุมน้ําหนักและเสาเข็มเปนวัสดุที่รับพลังงานเนื่องจากการกระแทก (Impinging particle)
ข) ตุมน้ําหนักสงผานพลังงานทั้งหมดไปกับการตกกระแทก
ค) ทันทีที่มีการกระแทกของตุมน้ําหนัก กําลังตานทานมีคาเพิ่มขึ้นจนกระทั่งถึงคา R โดยมีพฤติกรรมเปน
แบบยืดหยุน หลังจากนั้น เสาเข็มจะเคลื่อนตัวตอไปดวยกําลังตานทานที่คงที่ จนกระทั่งไดระยะจมคาหนึ่ง
เสาเข็มก็จะเกิดการเคลื่อนตัวกลับ (Rebound) และกําลังตานทานจะมีคาลดลงจนกระทั่งเปนศูนย
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
พลังงานทั้งหมดที่ใชในการกระแทก = OABD
A B
= OABC + BDC
R
s c
เมื่อ c คือการเคลื่อนตัวแบบยืดหยุนของเสาเข็ม
E C D
O
Displacement
สูตรที่ 3
สมมติฐาน
สมมติฐานเชนเดียวกับสมมติฐานของสูตรที่ 2
ถาแรงกระแทกมีคานอยกวาความตานทานของดิน ตุมน้ําหนักจะกระเดงกลับ และจะไมเกิดการเคลื่อนตัวของ
เสาเข็ม เสาเข็มจะเริ่มเคลื่อนตัวเมื่อตุมน้ําหนักสงถายน้ําหนักเทากับพื้นที่ OAE ถาพลังงานที่พอดีทําให
เสาเข็มเริ่มเคลื่อนตัวเกิดจากการยกตุมน้ําหนักสูง Y0 พลังงานเนื่องจากตุมน้ําหนักมีคาเทากับ WhY0 แต
เนื่องจาก OAE = CBD = Rc/2 ดังนั้น WhY0 = Rc/2 และจากสมการที่ WhY = R(s + c /2) จะได
WhY = Rs +WhY0
คา Y0 หาไดจากจุดตัดแกน y
H0
Set (s)
ความสัมพันธระหวางระยะตกกระทบและระยะจม เพื่อใชหา Y0
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
Morrison (1868) พบวา คากําลังตานทานของดินสามารถหาไดจากคาระยะจมสองคา (s1 และ s2) ซึ่งเปน
คาที่ไดจากระยะตกกระทบเทากับ Y1 และ Y2 ตามลําดับ
WhY1 = Rs1 + Rc /2
WhY2 = Rs2 + Rc /2
ดังนั้น
สูตรที่ 4
สมมติฐาน
ก) ตุมน้ําหนักและเสาเข็มเปนวัสดุที่รับพลังงานเนื่องจากการกระแทก (Impinging particle) ซึ่งมี
สัมประสิทธิ์การพักฟน (Coefficient of restitution) เทากับ er
ข) สมการพลังงานแสดงดังนี้
WhY = Rs +U
เมื่อ U คือพลังงานที่สูญเสียเนื่องจากการตอกเสาเข็ม
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
ค) พลังงานที่สูญเสียเนื่องจากการตอกเสาเข็มเกิดเนื่องจากการกระแทกเพียงอยางเดียว
WhY (Wh + er 2W p )
= Rs
(Wh +W p )
Wh2Y
ถาสมมติให er = 0 จะได = Rs สมการของ Dutch หรือสมการของ Eytewein
(Wh +W p )
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
สูตรที่ 5
สมมติฐาน
ก) พลังงานที่สูญเสียเนื่องจากการตอกเสาเข็มคํานวณไดจาก WY = Rs + U
สูตรที่ 6
สมมติฐาน
ก) พลังงานที่กระแทกเสาเข็ม มีคาเทากับ kWhY โดยที่ k คือประสิทธิภาพของชุดตอกเสาเข็ม ซึ่งมีคา
นอยกวา 1.0 เนื่องจากการสูญเสียอันเกิดจากความฝดและการสูญเสียอื่นๆ ขณะตอกเสาเข็ม
ข) พลังงานที่สูญเสียเกิดเนื่องจากการอัดตัวของเสาเข็ม คํานวณไดเชนเดียวกับในสูตรที่ 5
ค) พลังงานที่สูญเสียเกิดเนื่องจากการกระแทกของวัสดุสองชนิด คํานวณไดเชนเดียวกับในสูตรที่ 4
ดังนั้น สมการพลังงานคือ
kWhY 2
= R L + Rs สมการของ Janbu (1953 )
(1.5 + 0.3W p /Wh ) 2 AE
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
สามารถเขียนในรูปแบบอยางงายไดดังนี้
WhY
R=
Ku s
W
เมื่อ Cd = 0.75 + 0.15 p
Wh
⎡ ⎤
Ku = Cd 1+ 1+ λ
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ Cd ⎥
⎣⎢ ⎦⎥
WhYL
λ=
AEs2
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
สูตรที่ 7
สมมติฐาน
ก) พลังงานที่กระแทกเสาเข็มมีคาเทากับ kWhY
ข) พลังงานที่สูญเสียเนื่องจากการอัดตัวแบบยืดหยุนของเสาเข็มมีคาเทากับ (2kWhYL/AE)0.5
ดังนั้น สมการพลังงานคือ
0.5
⎛ ⎞
2kWhYL
kWhY = Rs + R ⎜
⎜
⎟
⎟ สมการของ Danish
2 ⎜⎜ AE ⎟⎟
⎝ ⎠
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
สูตรที่ 8
พลังงานที่สูญเสียถูกสมมติวาเกิดจาก
ก) ระบบของตุมน้ําหนัก
ข) การกระแทก
ค) การอัดตัวแบบยืดหยุนของเสาเข็ม (cp)
ง) การอัดตัวของหมอนรองหัวเสาเข็ม (cc)
จ) การอัดตัวของดิน (cq)
ถา L′, A′, และ E′ คือความยาว พื้นที่ และโมดูลัสเทียบเทาของหมอนรองหัวเสาเข็ม ตามลําดับ สมการ
พลังงานสามารถแสดงไดดังนี้
kWhY = Rs + kWhYW p (1− e 2) 2 2 Rc
+ R L + R L′ + q
(Wh +W p ) 2 AE 2 A′E′ 2
3.12 การประมาณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
ในชัน
้ ทรายดวยสมการตอกเสาเข็ม
เมื่อแทนคา RL = c
AE p
และ ARLE′ = cc ลงในสมการดานบน จะได
′ ′
c p = 0.72RL
A
1.8RL2
cc = โดยที่ L2 คือความหนาของกระสอบรองหัวเสาเข็ม (เมตร)
A
cq = 3.60 R
A
โดยที่ R, L และ A มีหนวยเปนตัน เมตร และตารางเซนติเมตร ตามลําดับ
3.13 น้ําหนักบรรทุกยอมใหของเสาเข็มเดี่ยว
ผลทดสอบแสดงใหเห็นวาเมื่อมีน้ําหนักบรรทุกกระทําบนเสาเข็ม แรงเสียดทานรอบเสาเข็มจะเกิดขึ้น
อยางรวดเร็วและมีความสัมพันธเชิงเสนตรงกับการเคลื่อนตัว แรงเสียดทานนี้เกิดขึ้นอยางเต็มที่ เมื่อเกิดการ
เคลื่อนตัวของเสาเข็มเพียงแค 0.5 เปอรเซ็นต ของเสนผานศูนยกลางเสาเข็ม ตอจากนั้น แรงเสียดทานนี้
อาจมีคาคงที่หรือลดลง ตามการเคลื่อนตัวของเสาเข็ม ในขณะที่ แรงแบกทานที่ปลายเข็มจะเกิดขึ้นอยาง
เต็มที่ เมื่อเกิดการทรุดตัวประมาณ 10 - 20 เปอรเซ็นต ของเสนผานศูนยกลางที่ปลายเข็ม
3.13 น้ําหนักบรรทุกยอมใหของเสาเข็มเดี่ยว
Total
Total
Base
Shaft
Load
Load
Shaft
Base
Settlement Settlement
น้ําหนักบรรทุกยอมให สามารถคํานวณไดดังนี้
P
Pa ≤ Ps + b
FSs FSb
ผูออกแบบตองคํานึงถึงอัตราสวนปลอดภัยโดยรวมของเสาเข็มดวย น้ําหนักบรรทุกยอมใหควรมีคาเทากับ
Ps + Pb
Pa ≤
FS
การเกิดแรงฉุดลงเนื่องจากการถมดิน
3.14 แรงฉุดลงของเสาเข็ม (Negative Skin Friction : NF)
3.14.1 สาเหตุของการเกิดแรงฉุดลง (Cause of Negative Skin Friction)
ในชั้นดินกรุงเทพ
1) ผลของการอัดตัวคายน้ําปฐมภูมิอันเนื่องจากความเคนที่กระทําบนผิวดิน เชน การถมดิน ฉุด
ใหเสาเข็มจมลง ในกรณีนี้ จุดสะเทิน (Neutral point) จะอยูบริเวณเสนขอบเขตระหวาง
ดินเหนียวออนกับดินเหนียวแข็งปานกลาง
2) การสูบน้ําบาดาลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงความเคนประสิทธิผลในแนวดิ่ง เนื่องจากการ
ลดลงของความดันน้ํา (Pore pressure)
3) ผลจากการตอกเสาเข็ม เนื่องจากการตอกเสาเข็มเปนการรบกวนดินรอบขาง และทําใหเกิด
ความดันน้ําสวนเกิน (Excess Pore Pressure) ซึ่งมีผลทําใหดินเกิดการทรุดตัวดวย
น้ําหนักของดินเอง กรณีเชนนี้ มักเกิดกับดินที่มีคาความไวตัว (Sensitivity) สูง
3.14 แรงฉุดลงของเสาเข็ม (Negative Skin Friction : NF)
3.14.2 การวิเคราะหแรงฉุดลง (Negative Skin Friction Analysis)
แรงฉุดลงเปนปญหาที่เกิดในระยะยาว (Long–term) จากการวิเคราะหดวยวิธีความเคน
ประสิทธิผล แรงฉุดลง (Negative skin friction) (Burland, 1973)
NF = βσ v′ (av) ρΔL
เมื่อ β คือตัวคูณประกอบ
σ′v(av) คือความเคนประสิทธิผลเฉลี่ย เนื่องจากน้ําหนักชั้นดิน (Overburden) และดินถม (Fill)
ρ คือเสนรอบรูปเสาเข็ม (Perimeter of pile)
ΔL คือความหนาของชั้นดินเหนียวออนที่เกิดแรงฉุดลง
3.14 แรงฉุดลงของเสาเข็ม (Negative Skin Friction : NF)
3.14.2 การวิเคราะหแรงฉุดลง (Negative Skin Friction Analysis)
สําหรับโครงการที่ใชเสาเข็มจํานวนมาก การทดสอบเสาเข็มเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการรับน้ําหนัก
ของเสาเข็ม จําเปนตองมีขอกําหนดในเรื่องของจํานวนเสาเข็มที่ตองถูกทดสอบเพื่อใหเปนตัวแทนของเสาเข็ม
ทั้งหมดในโครงการไดอยางเหมาะสม ซึ่งจะตองไมมากหรือนอยจนเกินความจําเปน เสาเข็มที่จะใชทดสอบ
ควรเปนเสาเข็มที่ติดตั้งขึ้นเฉพาะ (ไมใชเสาเข็มในฐานรากของอาคาร)
การติดตั้งอุปกรณทดสอบกําลังรับน้าํ หนักบรรทุกของเสาเข็มเดี่ยว
3.15 วิธีทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การติดตั้งอุปกรณทดสอบกําลังรับน้าํ หนักบรรทุกของเสาเข็มเดี่ยว
3.15 วิธีทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การทดสอบกําลังน้าํ หนักบรรทุกของเสาเข็มดินซีเมนต
การวางน้าํ หนักบรรทุกบนโครงเหล็ก
3.15 วิธีทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การทดสอบกําลังน้าํ หนักบรรทุกของเสาเข็มดินซีเมนต
การติดตั้งแมแรงไฮดรอลิคบนหัวเสาเข็มทดสอบ
3.15 วิธีทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
ขอแนะนําในการกําหนดจํานวนเสาเข็มทีค่ วรทดสอบ
ผลรวมของความยาวเสาเข็มทุกตนในโครงการ (เมตร) จํานวนเสาเข็มที่ควรทดสอบ (ตน)
0 – 1,800 0
1,800 – 3,000 1
3,000 – 6,000 2
6,000 – 9,000 3
9,000 – 12,000 4
3.15 วิธีทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็มในสนามควรกระทําหลังจากเสร็จสิ้นการติดตัง้ เสาเข็ม
เปนเวลาไมนอยกวา 30 ถึง 90 วัน เพื่อใหดินรอบขางซึ่งถูกรบกวนขณะติดตั้งเสาเข็มสิ้นสุดการอัดตัวคาย
น้ํา มาตรฐาน ASTM D-1143 ไดเสนอวิธีการทดสอบเสาเข็มไว 7 วิธี ดังนี้
1) Standard Loading Procedure หรือ Slow Maintained Load Test ทําการทดสอบ
โดยการเพิ่มน้ําหนักทีละขั้นๆ ละ 25 เปอรเซ็นต ของน้ําหนักบรรทุกยอมให จนกระทั่งถึงน้ําหนัก
บรรทุกที่ 200 เปอรเซ็นต ของน้ําหนักบรรทุกยอมให ซึ่งหมายความวาอัตราสวนปลอดภัยของ
เสาเข็มมีคาไมนอยกวา 2.0
2) Cyclic Load Test ทําการทดสอบเชนเดียวกับวิธี Standard Loading Procedure
เพียงแตมีการถอนและขึ้นน้ําหนักใหมที่น้ําหนักบรรทุกเทากับ 50, 100 และ 150 เปอรเซ็นต
ของน้ําหนักบรรทุกยอมให
3.15 วิธีทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การบรรทุกน้ําหนัก ขอพิจารณา
ก) Standard Loading Procedure - คงน้ําหนักแตละชวงจนอัตราการทรุดตัวไมเกินกวา
1) ใหน้ําหนักถึง 200% ของน้ําหนักบรรทุกยอมให 0.25 มม./ชม. แตไมนานเกิน 2 ชั่วโมง
สําหรับเสาเข็มเดี่ยว และ 150% สําหรับเข็มกลุม - เมื่อถึงชวงน้ําหนักสูงสุดแลวหากยังไมมีการวิบัติ ให
2) เพิ่มน้ําหนักบรรทุกอีกชวงละ 25 % ของน้ําหนัก คงน้ําหนักไว 12 ชั่วโมง แลวจึงถอนน้ําหนักได ถา
บรรทุกยอมให การทรุดตัวในชั่วโมงสุดทายไมเกินกวา 0.25 มม. หาก
3) ในการถอนน้ําหนักบรรทุกออก ใหลดเปนชวงๆ เกินกวาใหคงน้ําหนักไว 24 ชั่วโมง
ชวงละ 25% ของน้ําหนักบรรทุกยอมให และทิ้งเวลา - หากเสาเข็มวิบัติโดยการจมแลวไมสามารถเพิ่ม
ระหวางชวง 1 ชั่วโมง น้ําหนักบรรทุกได ใหพยายามคงน้ําหนักไวจนกระทั่ง
การทรุดตัวเกิน15% ของเสนผานศูนยกลางเสาเข็ม
3.15 วิธีทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การบรรทุกน้ําหนัก ขอพิจารณา
ข) Cyclic Loading
1) ใหน้ําหนักแตละขั้นตามวิธีในขอ ก.
2) เฉพาะชวง 50 , 100 และ 150% ของน้ําหนัก
บรรทุกยอมใหในการทดสอบเสาเข็มเดี่ยว หรือ 50
และ 100% สําหรับเสาเข็มกลุม ใหคงน้ําหนักไว 1 - การถอนน้ําหนักในชวงบรรทุกสุดทายใหดําเนินการ
ชั่วโมง แลวถอนน้ําหนักลงตามชวงที่ขึ้นน้ําหนัก เชนเดียวกับวิธีในขอ ก)
โดยใหทิ้งเวลาระหวางชวง 20 นาที
3) การขึ้นน้ําหนักในวงรอบถัดไปในสวนที่น้ําหนัก
ซ้ําเดิม ใหขึ้นน้ําหนักชวงละ 50 % ของน้ําหนัก
บรรทุกยอมให โดยคงน้ําหนักระหวางชวงไว 20
นาที
3.15 วิธีทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การทดสอบกําลังรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
การบรรทุกน้ําหนัก ขอพิจารณา
ค) Quick Load Test - เวลาในการขึ้นน้ําหนักในแตละชวงอาจเปลี่ยนแปลง
1) ใหน้ําหนักชวงละ 10 ถึง 15% ของน้ําหนักบรรทุก ไดโดยมีการตกลงเห็นชอบระหวางผูเกี่ยวของ
ยอมให โดยเวลาในการขึ้นน้ําหนักของแตละชวง - การถอนน้ําหนักควรดําเนินการเปนชวงๆ ไมนอย
ประมาณ 2.5 นาที กวา 4 ชวงเทาๆ กัน โดยเวนระยะเวลาระหวางชวง
2) หากทําการทดสอบจนถึงจุดวิบัติ ขณะเมื่อเสาเข็ม ประมาณ 5 นาที เพื่อใหสามารถบันทึกกราฟ
จมลงโดยไมสามารถเพิ่มน้ําหนักได ใหหยุดการ ความสัมพันธของน้ําหนักและการคืนตัวในการถอน
บรรทุกน้ําหนักแลวรอ 5 นาทีจึงถอนน้ําหนักได น้ําหนักได
3.16 การแปลผลทดสอบการรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
ผลทดสอบการรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
3.16 การแปลผลทดสอบการรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
น้ําหนักบรรทุกประลัยมีนิยามวาเปนน้ําหนัก
ซึ่งทําใหการทรุดตัวในเสาเข็มเกิดจากผลรวมของการ
อัดตัวแบบยืดหยุน ซึ่งมีคาเทากับผลรวมของ 0.15
X = 0.15 +
D
120
นิ้ว (4 มิลลิเมตร) และ D/120 เมื่อ D คือเสนผาน
D = 12 INCHES
X = 0.25 INCHES
AE
ศูนยกลางเสาเข็ม ซึ่งมีหนวยเปนนิ้ว
P= Δ
L
E = 4.3 - 106 PSI
วิธีการนี้สมมติวากราฟความสัมพันธระหวางน้ําหนัก
บรรทุ ก และการทรุ ด มี รู ป ร า งเป น แบบไฮเปอร โ บลิ ค
(Hyperbolic shape) ความสัมพันธระหวางน้ําหนักบรรทุก
และการทรุดตัวสามารถเขียนในรูปของสมการดังนี้
P= Δ
c1Δ + c2
P= 1
c
c1 + 2
Δ
300
EXAMPLE 1
DE BEER'S METHOD
200 186
150
100
วิธีการหาน้ําหนักบรรทุกประลัย
โดยวิธีของ De Beer ซึ่งเปนคาที่จุดตัด
50
ของสวนของเสนตรงสองเสน อันเกิดจาก
40 ความสัมพันธระหวาง log P และ log Δ
30
0.05 0.10 0.15 0.20 0.30 0.40 0.50 1.00 1.50 2.00
MOVEMENT (INCHES)
การหาน้ําหนักบรรทุกประลัยโดยวิธีของ De Beer
3.16 การแปลผลทดสอบการรับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็ม
Pu = 1
2 C1C2
Δ Δ
= C1Δ + C2
P P
Δ C2
P=
C1Δ + C 2 Δu =
C1
วิธีการหาน้ําหนักบรรทุกประลัยโดยวิธีของ Fuller
and Hoy (1970) น้ําหนักบรรทุกประลัยคือน้ําหนักซึ่ง
ความชันของกราฟน้ําหนักบรรทุกและการทรุดตัว มีคา
เทากับ 0.05 นิ้วตอตัน (0.14 มิลลิเมตรตอกิโลนิวตัน)
น้ําหนักบรรทุกประลัยของฐานรากเสาเข็ม
ไมจําเปนตองเทากับผลรวมของน้ําหนักบรรทุก
ประลัยของเสาเข็มแตละตนเสมอไป เนื่องจาก
กระเปาะความเค น ของเสาเข็ ม หนึ่ ง ต น และ
เสาเข็มกลุมมีความแตกตางกัน
กระเปาะความเคนของเสาเข็มตนเดียวและเสาเข็มกลุม
3.17 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่
อัตราสวนระหวางน้ําหนักบรรทุกประลัยเฉลี่ยของเสาเข็มในฐานรากตอน้ําหนักบรรทุกประลัยของ
เสาเข็มเดี่ยว เรียกวาประสิทธิภาพ (Efficiency, η)
Pf ( group)
η=
n× Pf
กระเปาะความเคนของเสาเข็มตนเดียวและเสาเข็มกลุม
3.17 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่
3.17.1 เสาเข็มกลุมในชั้นดินเหนียว
จะเห็นไดวาน้ําหนักบรรทุกบนเสาเข็มแปรผัน
ตามระยะหางจากกึ่งกลางของกลุมเสาเข็ม เสาเข็ม
ตนที่อยูไกลจากกึ่งกลางเสาเข็มกลุมมากที่สุด จะรับ
น้ําหนักบรรทุกมากที่สุด
การกระจายน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็มแตละตน
ในเสาเข็มกลุมทีม่ ี S = 2D
3.17 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่
3.17.1 เสาเข็มกลุมในชั้นดินเหนียว
การวิบัตแิ บบบล็อค
3.17 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่
3.17.1 เสาเข็มกลุมในชั้นดินเหนียว
การวิบัติแบบบล็อคในชั้นดินเหนียว แรงที่ตานการวิบัติจะเกิดจากกําลังตานทานแรงเฉือนรอบ
บล็อค และเกิดจากกําลังรับแรงแบกทานที่ฐานของบล็อค ในกรณีของเสาเข็มกลุมรูปสี่เหลี่ยม น้ําหนัก
บรรทุกประลัยของฐานรากเสาเข็มที่เกิดการวิบัติแบบบล็อคสามารถประมาณไดดังนี้
Pf ( group−block ) = Nc Sub Bg Lg + 2Su H g (Bg + Lg ) < nPf
เมื่อ Nc คือตัวแปรกําลังรับแรงแบกทาน
Sub คือกําลังตานทานแรงเฉือนปลายเสาเข็มกลุม
Bg คือดานกวางของพื้นที่หนาตัดรอบกลุมเสาเข็ม
Lg คือความยาวของพื้นที่หนาตัดรอบกลุมเสาเข็ม
Hg คือความลึกของกลุมเสาเข็ม
Su คือกําลังตานทานแรงเฉือนเฉลี่ยตลอดความลึก 0 ถึง H
3.17 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่
3.17.1 เสาเข็มกลุมในชั้นดินเหนียว
ความสัมพันธระหวางประสิทธิภาพและอัตราสวน
ระยะหางของฐานรากเสาเข็มลอยอิสระ
(Whitaker, 1976)
3.17 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่
3.17.1 เสาเข็มกลุมในชั้นดินเหนียว
+x −x
เสาเข็มกลุมที่รับน้าํ หนักบรรทุกทั้งในแนวดิ่งและแนวนอน
3.18 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่ และแนวนอน
ในกรณีของฐานรากเสาเข็ม (Piled foundation) ซึ่งบรรทุกน้ําหนักเอียง R น้ําหนักบรรทุกบน
เสาเข็มแตละตนสามารถคํานวณไดจาก
Ve y
P = Vn ± Vex x2 ± y 2
∑ ⎛⎜⎝ x ⎞⎟⎠ ∑ ⎛⎜⎝ y ⎞⎟⎠
เมื่อ V คือแรงกระทําในแนวดิ่งทั้งหมดบนฐานราก
n คือจํานวนเสาเข็ม
ex และ ey คือระยะเยื้องศูนยตามแนวแกน x และแกน y ตามลําดับ
x และ y คือระยะที่วัดจากแกนสะเทินของกลุมเสาเข็มถึงจุดกึ่งกลางเสาเข็มตนที่พิจารณา
ตามแกน x และ y ตามลําดับ
x
และ y คือระยะที่วัดจากแกนสะเทินของกลุมเสาเข็มจนถึงจุดกึ่งกลางเสาเข็มทุกตน ตาม
แนวแกน x และ y ตามลําดับ
3.18 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่ และแนวนอน
3.18.1 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นดินเหนียว
จากผลทดสอบความตานทานในแนวนอนของเสาเข็มพบวา ความตานทานในแนวนอนที่จุดวิบัติ
ของเสาเข็มในชั้นดินเหนียวจะมีคาเพิ่มขึ้นจาก 2Su ที่ผิวดิน (Su คือกําลังตานทานแรงเฉือนในสภาวะไม
ระบายน้ํา) จนถึง 8 ถึง 12 เทาของ Su ที่ระดับความลึกประมาณ 3 เทาของเสนผานศูนยกลางเสาเข็ม (3D)
จากผิวดิน เพื่อความงายตอการคํานวณ
สําหรับทั้งเสาเข็มสั้นและเสาเข็มยาว เสาเข็ม
สั้นคือเสาเข็มซึ่งการวิบัติเกิดเนื่องจากการวิบัติของดิน
ดานขาง (เสาเข็มมีความแข็งแรงสูง) ขณะที่ เสาเข็มยาว
คือ เสาเข็มซึ่งการวิบัติเกิดเนื่องจากวัสดุที่ใชทําเสาเข็มมี
ความตานทานโมเมนตดัดไมเพียงพอ
เมื่อพิจารณาผลรวมของโมเมนตรอบจุดซึ่งเกิดโมเมนตดัดสูงสุด จะได
รูปแสดงผลคําตอบของเสาเข็มสั้น ในพจนของตัว
แปรไรมิติ ซึ่งจะใชไดในกรณีที่โมเมนตครากของหนาตัด
(Yield moment, Myield) มีคาสูงกวาโมเมนตดัดสูงสุดที่
เกิดขึ้นในเสาเข็ม (Mmax)
60 Restrained
40
Free headed
20
e/D = 0
1
สําหรับเสาเข็มยาว Hu สามารถหาไดโดย
2
1
3 4 6 10 20 40 60 100 300 600
Mmax 1.5D
1.5D f
9SuD
9SuD
(a) Deflection Soil Reaction Bending Moment (c) Deflection Soil Reaction Bending Moment
สําหรับเสาเข็มยาวปานกลาง (จุดครากเกิดที่หัวเสาเข็ม)
M yield = 2.25Su Dg 2 − 9Su Df ⎛⎜1.5D + 0.5 f ⎞⎟
⎝ ⎠
สําหรับเสาเข็มยาว
2M yield
Hu = ⎛ ⎞
⎜1.5D + 0.5 f ⎟
⎝ ⎠
3.18 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่ และแนวนอน
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
Broms (1964b) ไดสรางสมมติฐานในการคํานวณน้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอน ดังนี้
1) ไมพิจารณาอิทธิพลของความดันดินที่สภาวะ Active ดานหลังของเสาเข็ม
2) การกระจายความดันดินดานขางที่สภาวะ Passive ดานหนาเสาเข็มมีคาเปนสามเทา
ของความดันดินตามทฤษฎีของ Rankine
3) รูปตัดของเสาเข็มไมมีผลตอการกระจายความตานทานในแนวนอนประลัย
4) น้ําหนักบรรทุกประลัยจะเกิดเมื่อเสาเข็มเคลื่อนตัวในแนวนอนอยางมาก
3.18 เสาเข็มกลุมที่รับน้ําหนักบรรทุกในแนวดิง
่ และแนวนอน
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
Broms (1964b) รายงานวาอัตราสวนของผลคํานวณตอผลทดสอบจริงมีคาประมาณสองในสาม
ซึ่งหมายความวาผลการคํานวณโดยเฉลี่ยมีคาต่ํากวาคาจริง และการออกแบบโดยวิธีนี้มีความปลอดภัย
(Conservative)
Broms เสนอใหคํานวณการกระจายความดันในแนวนอนที่สภาวะวิบัติเทากับ
σ h′ = 3σ v′ K p
tan 2 ⎜ 45°+ φ ′ ⎟
⎛ ⎞
เมื่อ σ′v คือความเคนประสิทธิผลในแนวดิ่ง และ Kp มีคาเทากับ ⎜
⎜ 2 ⎟⎟⎠
⎝
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
(a) เสาเข็มสั้น
(b) เสาเข็มยาว
0.5γ ′DL3K p
Hu =
e+ L
⎛ ⎞
f = 0.82 Hu ⎟⎟
⎜
DK pγ ′ ⎟
⎜
⎜
⎝ ⎠
โมเมนตดัดสูงสุดที่เกิดขึ้นในเสาเข็มมีคาเทากับ
⎛
⎞
2
M max = H e + f ⎟⎟
⎜
u ⎜⎜
3 ⎟⎠⎝
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
500
Free-headed
100 L
Fixed-headed
50
10
e/D = 0 1 2 4 8 16 32
1
10-1 100 101 102 103 104
4
Yield moment,
Yield moment, Myield d 4)
yield/(KppγD
(Myield)
Hu
Myield
F
3γDLKp Mmax
(b) Deflection Soil Reaction Bending Moment
น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนคํานวณโดยอาศัยสมการสมดุลในแนวนอน
Hu =1.5γ ′L2dK p
โมเมนตดัดสูงสุดในเสาเข็มที่ผิวดินสามารถคํานวณไดจาก
M max = 2 Hu L
3
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
จากสมดุลการหมุนรอบหัวเสาเข็ม สามารถคํานวณน้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มยาวปาน
กลางได ดังนี้ (Myield)
Hu
⎛
⎜⎜ 0.5γ ′DL3K p ⎞⎟⎟ − M yield Myield
Hu = ⎝ ⎠
L f
F
3γDLKp Mmax
(b) Deflection Soil Reaction Bending Moment
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนคํานวณไดจาก
2M yield
Hu = ⎛ ⎞
⎜ 2
e + f ⎟⎟
⎜⎜
⎝
3 ⎟⎠
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
เสาเข็มที่ปราศจากการยึดรั้งที่หวั เสาเข็มในชั้นดินเหนียว
ลักษณะของเสาเข็ม สมการ
เสาเข็มสั้น (L < Lc) ( )
Hu = 18Su D ⎡ e2 + 1.5De + eL + 0.5L2 + 1.125D2 − ( e + 0.75D + 0.5L ) ⎤
⎣ ⎦
0.5
9 ⎡ M yield ⎤
Lc = 1.5D + +⎢ ⎥
Su D ⎣ 2.25Su D ⎦
เสาเข็มที่มกี ารยึดรั้งที่หัวเสาเข็มในชั้นดินเหนียว
ลักษณะของเสาเข็ม สมการ
เสาเข็มสั้น (L < Lcs) H u = 9 Su D ( L − 1.5 D )
⎡ M yield 9 ⎤
Lcs = 2 ⎢ + D2 ⎥
⎣ 18Su D 16 ⎦
เสาเข็มยาวปานกลาง ⎡ M yield L2 9 2 ⎤
H u = 18Su D ⎢ + + D ⎥
0.5
− ( 0.75 D + 0.5 L )
9 2 8 ⎦
(L ≤ L≤ L )
cs cl
⎣ u S D
0.5 0.5
⎡ 4 M yield ⎤ ⎡ M yield ⎤
Lcl = ⎢ 2.25 D 2 + ⎥ +⎢ ⎥
⎣ 9 9 Su D ⎦ ⎣ 2.25Su D ⎦
เสาเข็มยาว (L > Lcl) ⎡⎛ 4 ⎞
0.5
⎤
H u = 9 Su D ⎢⎜ 2.25 D 2 + M yield ⎟ − 1.5 D ⎥
⎢⎣⎝ 9 ⎠ ⎥⎦
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
เสาเข็มยาวปานกลาง Hu =
M yield
+ 0.5γ ′DK p
L
(L ≤ L≤ L )
cs cl H ul M yield
L3cl − Lcl + =0
0.5γ ′DK p 0.5γ ′DK p
สําหรับเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก การวิบัติของ
เสาเข็มแบงออกเปนสามประเภท ดังนี้
1) การวิบัติแบบแรงดึงเปนหลัก (Tension failure)
2) การวิบัติแบบแรงอัดเปนหลัก (Compression failure)
3) และการวิบัติแบบพอดี (Balanced failure)
3.18.2 น้ําหนักบรรทุกประลัยในแนวนอนของเสาเข็มในชั้นทราย
1.6
1.5
1.4
1.3
1.2
D’
1.1 D
1.0
pm
=
0.9
1.
0.
25
0
8
0.
0.8 0.
6
0. 0.
0.7 4 9
0. 0.
2 7
0.6 0 0.
5
0.
0.5 3
0.
1
0.4
0.3
0.2
0.1
0
0 0.05 0.10 0.15 0.20 0.25 0.30 0.35
Mu
D3f’c
0 .0 5
e/ D =
0
0 .1
5
0.1
0
0.2
pm
D2f’c
0
0.3
Pu
=1
25
0.
0.8
.0
0.6
0.4
0.9
0.2
0.7
0.5
0
0.3
0.1
การกระจายความเคนแบบตางๆ เพื่อหาการทรุดตัวของเสาเข็มกลุม
3.19 การทรุดตัวของฐานรากลึก
ความเคนในแนวดิ่งที่กระทําบนฐานรากเสมือนมีคาเทากับน้ําหนักบรรทุกของเสาเข็มทั้งหมดหาร
ดวยพื้นที่รอบรูปของกลุมเสาเข็ม กลาวคือ
q= V
Bg × Lg
ความเคน q ที่กระทําตอชั้นดินในแนวดิ่งจะกระจายสูชั้นดินที่อยูลึกลงไปเปนรูปปรามิดโดยทํามุม
30° กับแนวดิ่ง ทําใหพื้นที่ที่ความลึก z มีขนาดเทากับ (Bg + z)(Lg + z) ดังนั้น ความเคนที่ระดับความลึก
ใดๆ ใตฐานรากเสมือนสามารถประมาณไดจาก
Δσ v = V
(Bg + z)(Lg + z)
สําหรับดินเหนียวอัดตัวปกติ
C H
⎡
⎢σ ′ +Δ σ ⎤
⎥
Sc = c log ⎢ v0σ v
1+ e0 ⎢ ′v0 ⎥⎥
⎣ ⎦
สําหรับดินเหนียวอัดตัวมากกวาปกติ
C H
⎡
σ ′ +Δ σ ⎤
เมื่อ σ v′ 0 + Δσ v ≤ σ ′p ⎢
Sc = s log ⎢ v0σ
1+ e0
v
′v0 ⎥⎥
⎥
⎢
⎣ ⎦
C H σ ′ C H
⎡
σ ′ + Δ σ ⎤
เมื่อ σ v′ 0 + Δσ v > σ ′p 1+ e0
p
′v0 1+ e0
⎢
Sc = s log σ + c log ⎢ v0σ
′p ⎥⎥
v ⎥
⎢
⎣ ⎦
สําหรับเสาเข็มกลุมในชั้นทราย การทรุดตัวของฐานรากเสาเข็มจะมีคามากกวาการทรุดตัวของ
เสาเข็มเดี่ยวประมาณ 2 ถึง 10 เทา การทรุดตัวของฐานรากลึก (St) สามารถประมาณไดจากผลทดสอบ
เสาเข็มเดี่ยวโดยอาศัยสมการที่เสนอโดย US. Department of Navy (1982) ดังนี้
Bg
St = S0
B
- ความเคนประสิทธิผลในแนวดิ่ง
ความลึก 3.5 เมตร: σ v′ 0 = (1.6 −1)×3.5 = 2.1 ตันตอตารางเมตร
ความลึก 5.5 เมตร: σ v′ 0 = 2.1+ (1.9 −1)× 2 = 3.9 ตันตอตารางเมตร
- สัมประสิทธิ์ความดันดินดานขาง
K0 =1− sinφ ′ =1− sin30°
K0 = 0.5
ตัวอยางที่ 3.1
- หนวยแรงเสียดทานประลัยระหวางเสาเข็มและดิน
f s = Kσ vs
′ tan δ ′
f s = (0.5×1)
⎛
2.1
⎜+ 3.9 ⎞
⎟ tan(0.8× 30°)
⎜
⎜
⎝
2 ⎟⎟⎠
f s = 0.67 ตันตอตารางเมตร < fsl (6.7 ตันตอตารางเมตร)
- แรงเสียดทานประลัยระหวางเสาเข็มและดิน
Ps = As f s
Ps = (0.4× 4× 2)(0.67)
Ps = 2.1 ตัน
ตัวอยางที่ 3.1
การคํานวณแรงเสียดทานประลัยในชั้นดินเหนียวแข็ง
- แฟคเตอรยึดเกาะ
α = 0.5 เมื่อ Su > 7.5 ตันตอตารางเมตร
- แรงเสียดทานประลัยระหวางเสาเข็มและดิน
Ps =α Su As
Ps = (0.5)(9)(0.4× 4× 5.5)
Ps = 39.6 ตัน
ตัวอยางที่ 3.1
การคํานวณแรงเสียดทานประลัยในชั้นทรายแนน
- ความเคนประสิทธิผลในแนวดิ่ง
ความลึก 11 เมตร: σ v′ 0 = 3.9 + ⎡⎢(1.9 −1)×5.5⎤⎥ = 8.8 ตันตอตารางเมตร
⎣ ⎦
K0 = 0.34
ตัวอยางที่ 3.1
- หนวยแรงเสียดทานประลัยระหวางเสาเข็มและดิน
f s = Kσ vs
′ tan δ ′
f s = (0.34×1) 8.8 +
⎛
⎜12.1 ⎞
⎟ tan(0.8× 41)
⎜ ⎟
2
⎜
⎝
⎟
⎠
- แรงเสียดทานประลัยระหวางเสาเข็มและดิน
Ps = As f s
Ps = (0.4× 4× 3)(2.3)
Ps =11.1 ตัน
ตัวอยางที่ 3.1
การคํานวณแรงแบกทานประลัยในชั้นทรายแนน
- ความเคนประสิทธิผลที่ปลายเสาเข็ม
σ vb
′ =12.1 ตันตอตารางเมตร
- หนวยแรงแบกทานประลัยที่ปลายเสาเข็ม
qb = σ vb
⎛
φ0′ + 40° ⎞⎟
′ Nq เมื่อ φ′ = ⎜
⎜ ⎟ = 40.5 จะได Nq = 200
⎜
⎜ 2 ⎟
⎟
⎝ ⎠
การคํานวณน้ําหนักบรรทุกปลอดภัย
- ใช FS = 2.5
Pall = 217.6 = 87.0
2.5
- ใช FSs = 1.5 และ FSb = 3.0
Pall = 64 + 153.6 = 93.9
1.5 3
เพราะฉะนั้น น้ําหนักบรรทุกปลอดภัยมีคาเทากับ 87 ตัน
ตัวอยางที่ 3.2
จงออกแบบเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงสําหรับโครงสรางทาเรือที่ตอ งรับทั้งแรงกดและแรงดึง โดยทีแ่ รงกดมาก
ที่สุดมีคาเทากับ 400 กิโลนิวตัน และแรงดึงมากที่สุดมีคา 250 กิโลนิวตัน ดินฐานรากเปนดินเหนียวที่มี
กําลังตานทานแรงเฉือนเฉลี่ยเทากับ 100 กิโลปาสคาล
วิธีทํา เลือกเสาเข็มสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 40 x 40 เซนติเมตร
แรงแบกทานประลัยทีป่ ลายเข็มมีคา เทากับ
Pb = 9Su Ab = 9×100× 0.42 =144 กิโลนิวตัน
แรงเสียดทานประลัยมีคา เทากับ
Ps = α Su As = 0.5×100× 4× 0.4× L = 80L กิโลนิวตัน
ตัวอยางที่ 3.2
ความยาวเสาเข็มทีต่ อ งการสําหรับรับแรงกด
400 = 80L+144
2.5
L = 6.60 เมตร
s+ ⎝ ⎠
2
s = 0.50 เซนติเมตร
ตัวอยางที่ 3.3
ข) สมการของ Janbu
E = 2.3231.5 × 4270 350 = 282836.67 กิโลกรัมตอตารางเซนติเมตร
E = 282.8 ตันตอตารางเซนติเมตร
⎛ ⎞
Cd = 0.75 + ⎜⎜ 0.15× 3.4 ⎟⎟ = 0.86
⎜
⎝
4.5 ⎟⎠
20× 4 = 4.5× 60
⎡ ⎤
0.86 ⎢1+ 1+
⎢ 4.5 × 60 × 2100 ⎥
⎥s
⎢
⎣
676× 282.8× s × 0.86 ⎥⎦
2
s = 0.84 เซนติเมตร
ดังนั้น ระยะจม 10 ครั้งสุดทายของการตอกเสาเข็มเทากับ 5.0 และ 8.4 เซนติเมตร
สําหรับวิธีของ Hiley และ Janbu ตามลําดับ
ตัวอยางที่ 3.4
จงประมาณน้ําหนักบรรทุกปลอดภัยของฐานรากเสาเข็ม ดังแสดงในรูป
1.2 m
1.5 m
Soft clay
1.2 m sat
= 1.6 ton/m3
4.0 m Su = 1.7 ton/m2
Stiff clay
0.4 m-diameter-spun pile 5.5 m
sat
= 1.8 ton/m3
Su = 7 ton/m2
⎜
⎝
50 ⎟
⎠
- น้ําหนักบรรทุกประลัยของเสาเข็มเดี่ยว
Pf = 72.8 +17.0
Pf = 89.8 ตัน
ตัวอยางที่ 3.4
การคํานวณน้ําหนักบรรทุกปลอดภัยของเสาเข็มเดี่ยว
- ใช FS = 2.5
Pall = 89.8 = 35.9 ตัน
2.5
1 2 3
1.20 m
4 5 6
x (+)
0.45 m
0.35 m 1.20 m
7 8 9
1.20 m 1.20 m
y (+)
ตัวอยางที่ 3.6
วิธีทํา เนื่องจากชวงปลายของเสาเข็มตั้งอยูในชั้นดินเหนียวแข็ง (Stiff clay) และทรายแนนปานกลาง
(Medium dense sand) ดังนั้น L มีคา เทากับ 5 เมตร และตําแหนงของฐานรากเสมือน
(L′) = (1.5 + 8 + 2 × 5/3) = 12.8 เมตร จากผิวดิน
Ve y
P = Vn ± y 2 ± Vex x2
∑ ⎛⎜⎝ y ⎞⎟⎠ ∑ ⎛⎜⎝ x ⎞⎟⎠
2 2
∑
⎛ ⎞⎛ ⎞
⎛
⎜ x = 6 1.2 = 8.64
⎞
⎟ ⎜⎜ ⎟⎟ ⎜⎜ ⎟⎟ ตารางเมตร
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
2 2
∑ y = 6 1.2 = 8.64
⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞
⎜
⎝
⎟
⎠
⎜ ⎟⎜ ⎟ ตารางเมตร
⎝ ⎠⎝ ⎠
น้ําหนักบรรทุกประลัย
Pf =1.2 + 3.4 + 5.6 +150.8 =161.0 ตัน
น้ําหนักบรรทุกยอมใหเทากับ
Pall =
⎛
1.2
⎜ + 3.4 + 5.6 ⎞
⎟ + 150.8 = 57.1 ตัน
⎜ ⎟
⎜
⎝
1.5 ⎟
⎠
3.0
fy
m= = 4000 =16.81
0.85 f c′ 0.85× 280
⎡ 0.5 ⎤
⎢⎛ ⎞ ⎥
2
Hu = 9× 0.79× 2.67 0 +1.5× 2.67 ⎞⎟ + 2×1857.4
⎢⎜ ⎛ ⎟ ⎞⎥
⎢⎜ ⎜ ⎟ − 0 − ⎛⎜1.5× 2.67 ⎟⎥
⎢⎜ ⎝
⎢⎜⎝
⎠ 9× 0.79× 2.67 ⎟
⎟ ⎝ ⎠⎥
⎥
⎠
⎢⎣ ⎥⎦
⎡ 0.5 ⎤
⎢⎛ ⎥
Hu =18.98 16.04 +195.68
⎢⎜
⎞
⎟ − 4.00 ⎥
⎢⎝ ⎠ ⎥
⎣⎢ ⎦⎥
Hu = 200.25 กิโลปอนด
1 2 3
1.20 m
4 5 6
x (+)
0.45 m
0.35 m 1.20 m
7 8 9
1.20 m 1.20 m
y (+)
ตัวอยางที่ 3.8
วิธีทํา เนื่องจากระยะหางระหวางเสาเข็มในทิศทางของ x (ขนานกับน้าํ หนักบรรทุก) มีคา นอยกวา 6 เทา
ของเสนผานศูนยกลาง ดังนั้น ประสิทธิภาพของกลุมเสาเข็มจึงมีคา นอยกวา 1.0 ในที่นสี้ มมติให
ประสิทธิภาพของกลุมเสาเข็มเทากับ 0.7
เสาเข็มแตละตนรับแรงในแนวนอนเฉลี่ยเทากับ
H = 100 =14.3 ตัน
9
φ′ = ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = 34.5°
5.5
K p = tan ⎜ 45°+
2
⎛
⎜ 34.5 ° ⎞
⎟ = 3.61
⎜
⎝
2 ⎟⎟⎠
⎡ ⎤
Lcs = ⎢⎢ 88 ⎥ = 381.84 ฟุต
⎣⎢
0.048 ×1.33 × 3.61 ⎥
⎦⎥
ลักษณะการวิบตั ิของลาดดิน
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
การวิเคราะหเสถียรของลาดดินจะตองกระทําในสองกรณี
เมื่อมีการกอสรางทั้งงานดินขุดหรืองานดินถมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของความเคนรวม (Total
stress) ในมวลดิน สงผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลงความดันน้ํา อัตราสวนปลอดภัยจะมีคาลดลงเมื่อ
ความดันน้ําเพิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงจุดต่ําที่สุด (จุดวิกฤติ) เมื่อความดันน้ํามีคามากที่สุด
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
4.3.1 งานดินขุด (Cutting)
งานดินขุดที่สภาวะหลังสิ้นสุดการกอสราง และระยะเวลาอนันต
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
การลดลงของความเคนรวมจะทําใหเกิดการลดลงของความดันน้ํา และดินพยายามที่จะขยายตัว ถาการ
ขุดดินเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว ความดันน้ําสวนเกินคํานวณไดจาก
⎡ ⎞⎤
Δu = B Δσ 3 + A 1− Δσ
⎛
⎢ ⎜ ⎥
⎢ ⎜
3 ⎟⎟ ⎥
Δσ1 Δσ1
⎢
⎢
Δσ⎜ ⎥
1 ⎟⎠ ⎥
⎣ ⎝ ⎦
⎡ ⎤
Δu = B 1− ⎛1− A 1− Δσ 3 ⎟⎥⎥ = B
⎛ ⎞
⎢ ⎞⎜
⎢ ⎟⎜
Δ σ1 ⎢
⎢
⎜
⎝ Δσ1 ⎟⎟⎥⎥
⎠⎜
⎣ ⎝ ⎠⎦
ความดันน้ําจะมีคาลดลงอยางมากหลังสิ้นสุดการกอสราง ซึ่งมีคามากหรือนอยขึ้นอยูกับชนิดของดิน
ขณะที่ขุด น้ําจะไหลไปตามไหลของทางลาดและเกิดการลดลงของระดับน้ํา (Drawdown) หลังสิ้นสุดการ
ขุดทันที ดินจะอยูในสภาพไมระบายน้ําและการวิเคราะหเสถียรภาพที่สภาวะนี้สามารถทําโดยการวิเคราะห
แบบความเคนรวม (Total stress analysis) การวิเคราะหแบบความเคนประสิทธิผล (Effective
stress analysis) แตตองทราบคาความดันน้ํา ซึ่งมีคาเทากับ (u0 + Δu) ดังนั้น วิธีการวิเคราะหแบบ
ความเคนรวมจึงเปนที่นิยมมากกวาเนื่องจากเปนวิธีที่งายกวา (ไมจําเปนตองทราบคาความดันน้ําสวนเกิน)
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
ในการวิเคราะหแบบความเคนรวม อัตราสวนปลอดภัยที่คํานวณไดจะเปนสภาวะที่ความดันน้ํามีคา
เทากับความดันน้ําเมื่อมวลดินวิบัติพอดี (เนื่องจากใชคา Su ในการวิเคราะห) ในขณะที่ อัตราสวนปลอดภัย
ที่คํานวณไดจากวิธีความเคนประสิทธิผล (Effective stress analysis) ความดันน้ําที่ใชในการวิเคราะห
จะเป น ความดั น น้ํ า ที่ แ ท จ ริ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น หลั ง สิ้ น สุ ด การก อ สร า ง ซึ่ ง มวลดิ น ยั ง ไม เ กิ ด การวิ บั ติ สํ า หรั บ การ
คํานวณหาอัตราสวนปลอดภัยที่ระยะเวลาอนันต (Long tern condition) (ความดันน้ําสวนเกินมีคา
เทากับศูนย) ดังนั้น การวิเคราะหแบบความเคนประสิทธิผลจะใหคาเหมาะสมที่สุด
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
การวิบัติของลาดดินขุดอางเก็บน้าํ ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
4.3.2 งานดินถม
งานดินถมที่สภาวะหลังสิ้นสุดการกอสรางและระยะเวลาอนันต
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
การกอสรางกระทําในเวลาอันรวดเร็วบนชั้นดินที่มีสัมประสิทธิ์ความซึมผานต่ํา ความดันน้ําสวนเกินจะ
มีคามากที่สุดหลังสิ้นสุดการกอสราง และจะมีคาลดลงสูคาสุดทายที่ระยะเวลาอนันต (Long term
condition)
u = u0 +Δu
เมื่ อ u0 คื อ ความดั น น้ํ า เริ่ ม ต น และ Δu คื อ ความดั น น้ํ า ส ว นเกิ น ที่ เ กิ ด ขึ้ น ภายใต ส ภาวะไม ร ะบายน้ํ า
พิจารณาในพจนของการเปลี่ยนแปลงความเคนหลักใหญรวม (Total major principal stress)
u = u0 + BΔσ1
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
เนื่องจากการคํานวณความดันน้ําสวนเกินมีความยุงยาก จึงสรางตัวแปรตัวหนึ่งเรียกวา อัตราสวนความ
ดันน้ํา (Pore pressure ratio, ru) และมีนิยามเปนอัตราสวนระหวางความดันน้ําตอความเคนที่เพิ่มขึ้นใน
แนวดิ่งเนื่องจากวัสดุถม ณ จุดที่พิจารณาบนระนาบวิบัติ (Δσv = γH เมื่อ H คือความสูงของดินถม)
ru = u
γH
u0 Δσ
ru = +B 1
γH γH
ถาสมมติวาความเคนหลักใหญรวมที่เพิ่มขึ้น (Δσ1) เทากับความเคนในแนวดิ่งที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากวัสดุถม
(Δσv) ตามแนววิบัติ จะไดวา
u0
ru = +B
γH
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
การสรางเขื่อนดินจําเปนตองทําการบดอัดดิน ดินบดอัดจะอยูในสภาพไมอิ่มตัวดวยน้ํา (มีปริมาณ
ความชื้นต่ํา) ซึ่งมีคาความดันน้ําเริ่มตน (u0) เปนลบ และมีคาขึ้นอยูกับปริมาณความชื้นของดิน ปริมาณ
ความชื้นยิ่งมาก คาความดันน้ํายิ่งมีคาใกลศูนย คา B ก็เปนคาที่แปรผันตามปริมาณความชื้นเชนเดียวกัน
ปริมาณความชื้นยิ่งมาก คา B ก็ยิ่งมากตาม ดังนั้น คา ru ที่มากที่สุดคือ
ru = B
ความดันน้ําสวนเกินสามารถคํานวณไดจาก
Δu = BΔσ1 = −Bγ whw
ความดันน้ําที่จุดใดๆ บนระนาบวิบัติหลังการลดลงของระดับของน้ําคือ
⎧ ⎛ ⎞ ⎫
u = u0 +Δu = γ ⎪
w⎨ h + h 1− B −Δh
w ⎜⎜ ⎟⎟
⎪
⎬
⎪⎩ ⎝ ⎠ ⎭⎪
4.3 เสถียรภาพหลังสิน้ สุดการกอสรางและเสถียรภาพ
ที่ระยะเวลาอนันต
อัตราสวนความดันน้ํามีคาเทากับ
ru = u = γ w
⎧
⎪ h ⎛ ⎞ Δh ⎪
1+ ⎜1− B ⎟⎟ − ⎬
w
⎫
γ wh γ sat ⎩⎨⎪ h ⎜⎝ ⎠ h ⎭⎪
o
r
2Su
La
a
W Su
(a) (b)
การวิเคราะหสําหรับกรณี φ = 0
4.4 การวิเคราะหสําหรับกรณี φ = 0 (วิธีความเคนรวม)
แรงที่ทําใหเกิดการหมุนของลาดดินรอบจุด O เปนแรงเนื่องจากน้ําหนักทั้งหมดเหนือระนาบการวิบัติ
(W ตอความยาว 1 หนวย) ที่สภาวะสมดุล กําลังตานทานแรงเฉือน (τf) ของดินตองเทากับแรงเฉือนที่
เกิดขึ้นตามแนววิบัติ (τ) และสามารถเขียนไดดังสมการตอไปนี้
τf
τ= = Su
FS FS
Wa = Su La r
FS
ดังนั้น
FS = Su La r
Wa
4.4 การวิเคราะหสําหรับกรณี φ = 0 (วิธีความเคนรวม)
จากหลักการความคลายคลึงเชิงเลขาคณิต (Geometric similarity) Taylor (1937) ไดเสนอ
สัมประสิทธิ์ความเสถียรภาพ (Stability coefficient) สําหรับการวิเคราะหเสถียรภาพของลาดดินที่มี
คุณสมบัติสม่ําเสมอ และมีความสูงเทากับ H สัมประสิทธิ์ความเสถียรภาพ (Ns) สําหรับระนาบวิบัติซึ่งมีคา
อัตราสวนปลอดภัยต่ําสุดคือ
Ns = Su
(FS )γ H
FS = Su
N sγ H
วิธีการวิเคราะหแบบแบงเปนชิ้นๆ
4.5 การวิเคราะหแบบแบงเปนชิ้นๆ (Method of Slices)
แรงที่กระทําบนแตละชิ้นคือ
1) น้ําหนักของแตละชิ้น , W = γ bH
2) แรงที่กระทําตัง้ ฉากกับฐาน (N) มีคาเทากับ σ ×l ซึ่งคือผลรวมของแรงประสิทธิผล ( N ′)
เทากับ σ ′×l และแรงดันน้าํ (U) เทากับ u ×l เมือ่ u คือความดันน้าํ ที่จุดกึ่งกลางของฐาน
และ l คือความยาวของฐาน
3) แรงเฉือนบนฐาน, T =τ ×l
4) แรงกระทําตั้งฉากในแนวนอนของแตละชิ้น ไดแก E1 และ E2
5) แรงเฉือนในแนวดิง่ ของแตละชิ้น ไดแก X1 และ X2
4.5 การวิเคราะหแบบแบงเปนชิ้นๆ (Method of Slices)
พิจารณาสมดุลของการหมุนรอบจุด O ลาดดินจะเสถียร เมื่อผลรวมของโมเมนตเนื่องจากแรงเฉือน
T บนสวนโคงวิบัติ AC เทากับโมเมนตของน้ําหนักของกอนดิน ABCD แขนของโมเมนตของน้ําหนัก W
แตละชิ้นคือ r sinα ดังนั้น
∑Tr = ∑Wr sinα
τf
เมื่อ T =τ l = l
FS
τ fl
ดังนั้น ∑ FS = ∑W sinα
∑τ fl
FS =
∑W sinα
4.5 การวิเคราะหแบบแบงเปนชิ้นๆ (Method of Slices)
สําหรับการวิเคราะหแบบความเคนประสิทธิผล (Effective stress analysis)
∑ ⎜ c′ +σ n tanφ ′⎞⎟l
⎛
′
FS = ⎝ ⎠
∑W sinα
c′La + tanφ ′∑ N ′
FS =
∑W sinα
เมื่อ La คือความยาวของสวนโคง AC ในการแกสมการจําเปนตองทราบคาN ′ ซึ่งสามารถหาไดจากการ
แกสมการสมดุลแบบ Indeterminate เพื่อความสะดวกในการคํานวณ ไดมีนักวิจัยหลายทาน (Fellinus,
Bishop และ Janbu เปนตน) เสนอสมมติฐานในการประมาณคา X และ E เพื่อใหปญหาดังกลาว
กลายเปนแบบ Determinate
4.5 การวิเคราะหแบบแบงเปนชิ้นๆ (Method of Slices)
4.5.1 วิธีแกปญหาของ Fellenius
ขอสมมติฐาน คือ ผลลัพธของแรงที่กระทําระหวางชิ้นมีคาเทากับศูนย (X1 = X2 และ E1 = E2)
N ′ =W cosα − ul
ดังนั้น อัตราสวนปลอดภัยสําหรับการวิเคราะหแบบความเคนประสิทธิผล
c′La + tanφ ′∑ ⎛⎜W cosα − ul ⎞⎟
FS = ⎝ ⎠
∑W sinα
คา W cosα และ W sinα สามารถคํานวณไดโดยวิธีวาดรูป (Graphic) ของชิ้นแตละชิ้น คาของ
α สามารถหาไดทั้งจากวัดหรือการคํานวณ การวิเคราะหดวยวิธีของ Fellenius นี้ใหผลคําตอบที่ต่ํากวา
ความเปนจริง (Underestimation) ความผิดพลาดที่เกิดจากการคํานวณดวยวิธีนี้ประมาณ 5 - 20%
4.5 การวิเคราะหแบบแบงเปนชิ้นๆ (Method of Slices)
4.5.2 วิธีแกปญหาของ Bishop
สมมติฐานวา ผลลัพธของแรงเฉือนในแนวดิ่งที่กระทําระหวางชิ้น มีคาเทากับศูนย
X1 − X 2 = 0
ที่สภาวะสมดุล แรงเฉือนบนฐานของแตละชิ้นมีคาเทากับ
T = 1 ⎛⎜ c′l + N ′ tanφ ′ ⎞⎟
FS ⎝ ⎠
4.5 การวิเคราะหแบบแบงเปนชิ้นๆ (Method of Slices)
ดังนั้น ผลลัพธของแรงในแนวดิ่งเปน
⎛ ⎞
W − ′ sinα − ul cosα ⎟⎟
⎜
⎜
c l
⎜ FS ⎟
N′ = ⎝ ⎠
⎛
⎜
cosα + tan φ ′sin α ⎞
⎟
⎜ ⎟
⎜
⎝
FS ⎟
⎠
1 ⎧⎪
φ
⎫⎪ secα
FS = ∑
∑W sinα ⎪⎩
⎨c′b + W ⎛
⎜
⎝
1− ru
⎞
⎟
⎠
tan ′ ⎬
⎪⎭1+ ⎛ tanα tanφ / FS ⎞
⎜
⎝
′ ⎟
⎠
การวิบัตแิ บบระนาบ
4.6 การวิเคราะหการลืน
่ ไถลในแนวระนาบ
โดยการวิเคราะหแบบความเคนประสิทธิผล (Effective stress analysis) กําลังตานทานแรง
เฉือนของดินตลอดระนาบวิบัติคือ
τ f = c′ + (σ − u ) tanφ′
เมื่อ
⎧ ⎫
σ = ⎪⎨⎛⎜1− m ⎞⎟γ + mγ sat ⎪⎬ z cos2 β
⎪⎩⎝ ⎠ ⎪⎭
⎧ ⎫
τ = ⎪⎨⎛⎜1− m ⎞⎟γ + mγ sat ⎪⎬ z sin β cos β
⎪⎩⎝ ⎠ ⎪⎭
u = mzγ w cos2 β
4.6 การวิเคราะหการลืน
่ ไถลในแนวระนาบ
ถา c′ = 0 และ m = 0 (มวลดินและระนาบวิบัติไมอิ่มตัวดวยน้ํา) จะได
FS = tanφ ′
tan β
FS = γγ ′ tanφ ′
tan β
จุดศูนยรวมของน้ําหนัก (Centroid) ของรูป ABCD อยูที่ระยะ 4.5 เมตร วัดจากจุด O มุม AOC
เทากับ 89.5 องศา และรัศมี OC เทากับ 12.1 เมตร
ดังนั้น ความยาวสวนโคง ABC เทากับ θr = 18.9 เมตร อัตราสวนปลอดภัยตานการวิบัติของลาด
ดิน คือ
FS = Su Lar = 65×18.9×12.1 = 2.48
Wd 1330× 4.5
ตัวอยางที่ 4.1
คาอัตราสวนปลอดภัยที่คํานวณไดนี้ไมจําเปนวาจะตองเปนคาที่ต่ําที่สุด คาอัตราสวนปลอดภัยที่ต่ําที่สุด
สามารถประมาณไดโดยวิธีของ Taylor
จากรูป จะไดวา β = 45 องศา และจากการสมมติวา D มีคามาก จะได Ns เทากับ 0.18 (จากรูปสัมประสิทธิ์
ความเสถียรภาพของ Taylor สําหรับกรณี φ = 0) ดังนั้น
FS = Su
Nsγ H
= 65
0.18×19×8
= 2.37
ตัวอยางที่ 4.2
ลาดดินที่ถูกตัดในชั้นดินเหนียวออนแหงหนึ่งมีกําลังตานทานแรงเฉือนในสภวาะไมระบายน้ํา (Undrained
shear strength) เทากับ 30 กิโลนิวตันตอตารางเมตร และหนวยน้ําหนักเทากับ 18 กิโลนิวตันตอ
ลูกบาศกเมตร ลาดดินนี้มีความสูง 8.0 เมตร และมีอัตราสวนแนวราบตอแนวดิ่ง 2:1 จงหาอัตราสวน
ปลอดภัยบนระนาบสวนโคงวงกลมที่แสดงในรูป โดยการวิเคราะหแบบแบงเปนชิ้นๆ (Method of slices)
ของ Fellenius
ตัวอยางที่ 4.2
วิธีทํา น้ําหนักของแตละชิ้นหาไดจาก W = γbh
ชิ้นที่ b h W α (องศา) Wsinα La = bsecα
1 0.65 0.15 1.8 -25.7 -0.8 0.72
2 2.0 1.23 43.2 -20.0 -14.8 2.13
3 2.0 2.82 100.8 -1.8 -20.6 2.04
4 2.0 4.06 146.2 -3.9 -9.9 2.01
5 2.0 5.08 182.9 3.9 12.4 2.01
6 2.0 5.82 209.5 11.8 42.8 2.04
7 2.0 6.26 225.4 20.0 77.1 2.13
8 2.0 6.36 229.0 28.6 109.6 2.28
9 2.0 6.02 216.7 38.0 133.0 2.54
10 2.0 0.60 165.6 48.9 124.8 3.04
11 1.7 1.94 58.4 61.7 51.4 3.59
ผลรวม = 505.0 24.53
ตัวอยางที่ 4.2
FS = 30 =1.43
0.146×18×8
ตัวอยางที่ 4.3
สําหรับลาดดินขุดในชั้นทรายปนดิ นเหนีย ว ซึ่งระดับ น้ําใตดินอยูลึ กมาก ดั งแสดงในรูป จงคํานวณหา
อัตราสวนปลอดภัยตานการวิบัติบนระนาบวิบัติสมมติ AC (Trial slip surface) โดยวิธีของ Fellinus
ตัวอยางที่ 4.3
วิธีทํา มวลดินถูกแบงออกเปน 7 ชิ้น การคํานวณแสดงดังนี้
ชิ้นที่ W (kN/m) α (องศา) Wsin α Wcos α l (เมตร)
1 28.0 70 26.3 8.4 2.924
2 368.0 54 298.1 216.4 6.803
3 544.0 38 335.1 428.6 5.076
4 544.0 24 221.4 497.2 4.376
5 488.0 12 101.5 477.2 4.090
6 336.0 0 0 336.0 4.000
7 83.2 -8 -9.25 82.7 3.232
ผลรวม = 973.2 2046.5 30.501
0–5 ดินเหนียวออนมาก 10
5–8 ดินเหนียวแข็งปานกลาง 50
8 - 15 ดินเหนียวแข็ง 100
15 หิน -
ตัวอยางที่ 4.4
วิธีทํา เพื่อการคํานวณหาอัตราสวนปลอดภัย ทําการแบงมวลดินออกเปน 8 ชิ้น
ชิ้นที่ W (kN/m) rsin α Wrsin α
1 63.45 -8.2 -520.3
2 303.04 -5.0 -1515.2
3 627.65 -1.0 -627.7
4 896.36 3.0 2689.1
5 966.97 7.0 6768.8
6 833.60 11.0 9169.6
7 621.76 15.0 9326.5
8 234.39 18.4 4312.7
ผลรวม = 29603.5
ตัวอยางที่ 4.4
r=
9 .5 0
3.15 m m
7 8
1 6
2.50 m 1
2
5
1 WT
6.00 m 4
3
2 WT
1
ze zw
u= wzw
0 1 2 3 4 5 10 m
ตัวอยางที่ 4.5
วิธีทํา มวลดินถูกแบงออกเปนชิ้นเล็กที่มีความกวาง 1.5 เมตร น้ําหนักของแตละชิ้นหาไดจาก
W = γ bh = 20×1.5× h = 30h กิโลนิวตันตอเมตร
โดยที่ h, hcosα และ hsinα หาไดจากการวัด ดังนั้น
W sinα = 30h sinα และ
W cosα = 30h cosα
ตัวอยางที่ 4.5
1 ⎧⎪ ⎫⎪
⎨c′b +W ⎜1− ru ⎟ tanφ ′⎬
secα
FS = ∑
∑W sinα ⎪⎩
⎛
⎝
⎞
⎠ ⎪⎭1+ ⎛ tanα tanφ / FS ⎞
⎜
⎝
′ ⎟
⎠
น้ําหนักของลิ่มวิบัติเทากับ
⎛ ⎞
17.0× 6.0× 3.0 sin ⎜ 45°− 30° ⎟ ⎟
⎜ ⎛ ⎞⎟
sin45° ⎝
⎜
⎜ ⎠⎟
W= ⎝ ⎠ = 560.0
กิโลนิวตันตอเมตร
2
อัตราสวนปลอดภัยเทากับ
FS = ca L +W cosα tanφa
W sinα
⎛
⎜10.0× 6.0 ⎞⎟ + ⎛⎜ 560.0× cos30°× tan24°⎞⎟
FS = ⎝ ⎠
⎛
⎝
⎞
⎠ = 0.98
⎜ 560.0×sin30° ⎟
⎝ ⎠
Foundation Engineering
วิศวกรรมฐานราก
การวิเคราะหและการหาคาแรงดันดานขางของดินเปนสิ่งจําเปนอยางมากสําหรับการออกแบบกําแพง
กันดินและโครงสรางกันดินตางๆ ขนาดและทิศทางของแรงดันดานขางเปนขอมูลที่จําเปนสําหรับการ
ออกแบบกําแพงกันดินหรือโครงสรางกันดินตางๆ ใหมีอัตราสวนปลอดภัยมากเพียงพอ
ความดันดินดานขางมี 3 ประเภท
1) ความดันดินที่สภาวะอยูนิ่ง (At rest earth pressure)
2) ความดันดินที่สภาวะ Active (Active earth pressure)
3) ความดันดินที่สภาวะ Passive (Passive earth pressure)
5.1 บทนํา
ความดันดินดานขางในสภาวะ Active
5.1 บทนํา
ความดันดินดานขางในสภาวะ Passive
5.2 ความดันดินที่สภาวะอยูนิ่ง
σ h′ = K0γ ′H
P0′ = 1 K0γ ′H
2
ความเคนรวมที่กระทําตอกําแพงก็จะมีขนาดเพิ่มขึ้นตามความลึกเชนเดียวกัน และแรงดันรวมที่กระทํา
ตอกําแพงก็จะเปนผลรวมของแรงดันเนื่องจากแรงดันประสิทธิผลและแรงดันน้ํา
Ph = P0′ + Pw
K0 =1− sinφ ′
5.2 ความดันดินที่สภาวะอยูนิ่ง
K0 = 0.64 + 0.001(PI )
สําหรับดินเหนียวอัดตัวมากกวาปกติ
K0 ≈ K ⎛
⎜
⎞
⎟
OCR
0 Normally consolidated
⎜
⎜
⎟
⎟
⎝ ⎠
3) ความดันดินดานขางมีขนาดเพิ่มขึ้นเปนฟงกชันเสนตรงกับความลึก และแรงผลลัพธเนื่องจากความดัน
ดินดานขางถูกสมมติใหกระทําที่ระยะหนึ่งในสามของความสูง ซึ่งวัดจากฐานของกําแพงกันดินถึงระดับ
ดินถม และทิศทางของแรงลัพธนี้ขนานกับผิวของดินถม
H H
3 3
ความดันดินดานขางสําหรับทฤษฎี Rankine (a) Back side vertical, (b) Back side inclined
5.3 RANKINE EARTH PRESSURE
ความสัมพันธระหวางความเคนหลักใหญและความเคนหลักเล็กประสิทธิผลที่จุดวิบัติคือ
tan 2 ⎜ 45°− φ ′ ⎟ − 2c φ
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
σ a′ = σ v′ ′
′ tan 45°− 2 ⎟⎟
⎜
⎜ 2 ⎟⎟⎠ ⎜
⎜ ⎜ ⎟
⎝ ⎝ ⎠
σ a′ = σ v′ Ka − 2c′ Ka
ถากําแพงกันดินเคลื่อนที่เขาหามวลดิน มวลดินจะเกิดการอัดตัวและมีคาความดันในแนวนอนเพิ่ม
มากขึ้นจนกระทั่งเกิดสภาวะพลาสติก (Plastic state) ที่สภาวะนี้ความดันดินดานขางประสิทธิผลจะมีคา
มากที่สุดซึ่งเทากับความดันดานขางประสิทธิผลที่สภาวะ Passive (σ′p) ในขณะที่ ความดันในแนวดิ่งจะ
มีคาประมาณคงที่
σ ′p = σ v′ K p + 2c′ K p
σ a′ = σ v′ − 2Su
σ ′p = σ v′ + 2Su
5.3 RANKINE EARTH PRESSURE
z0 = 2c′
γ ′ Ka
1
H
2 1
1 H
(H - z o ) 3
3
2c K p
5.3 RANKINE EARTH PRESSURE
สําหรับดินถมที่เปนดินเหนียวในสภาวะไมระบายน้ํา (φ = 0) โซนแรงดึงสามารถเขียนในรูปของ
พารามิเตอรกําลังรวมไดดังนี้
z0 = 2γSu
สัมประสิทธิ์ความดันดินดานขางเมื่อผิวของดินถมทํามุม β กับแนวนอนสามารถหาไดดังสมการตอไปนี้
Pa′ = 1 γ H 2 Ka
2
Pp′ = 1 γ ′H 2 K p
2
ขั้นตอนในการหาความดินดานขางในสภาวะ Active
8) ลากเสนโคงตอจุดตัดที่ไดจากขั้นตอนที่ 7) เสนโคงนี้
เรียกวาเสนโคงของ Culmann
9) ลากเสนตรงขนานกับเสน AC สัมผัสกับเสนโคงของ
Culmann
ก) การกระจายความดันดานขางบนกําแพงกันดิน
- ความดันที่ความลึก 1 เมตร (ที่ระดับน้าํ ใตดนิ )
σ h′ = K0σ v′
ข) แรงดันรวมที่กระทําตอกําแพงกันดิน
Ph = P0′ + Pw
σ h′1z1 σ h′1 +σ h′ 2 γ w z2
Ph = + z2 +
2 2 2
⎛
7.32 ⎞⎛⎟⎜1.00 ⎞⎟ ⎛ ⎞⎛ ⎞
⎜ 9.81⎟⎜1.5 ⎟
⎠ + 7.32 + 27.16 ⎛1.5 ⎞ + ⎝
⎜
Ph = ⎝ ⎠⎝
⎜ ⎟
⎠⎝ ⎠
2 2 ⎝ ⎠ 2
Ph = 29.52 กิโลนิวตันตอเมตร
ตัวอยางที่ 5.2
จงหาแรงดันดินที่สภาวะ Active ตอความกวางของกําแพงกันดินดังรูป โดยใชทฤษฎีของ Rankine
y
ตัวอยางที่ 5.2
y
ตัวอยางที่ 5.3
วิธีทํา จากสมการ
Ka = cos β cos β − cos 2 β − cos2 φ ′
2
1
Pa′ = Pa = ⎜17.0 ⎟⎜ 9.0 ⎟ ⎜ 0.373⎞⎟ = 257
⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛
กิโลนิวตันตอเมตร
2⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
h = 0.10 m
A C β = 10 o
B
γ = 19.0 kN/m3
φ’ = 35 o
W
c’ = 0
10 o
W Pa
85 o 90 o P' a
10o
ตัวอยางที่ 5.4
และ tan10°= BC = h
AB 0.57
จากสมการ
Ka = cos10° cos10°− cos 10°− cos 35° = 0.282
2 2
cos10°+ cos210°− cos2 35°
Pa′ = 1 γ H 2 Ka
2
⎛ ⎞
Pa′ = 1 ⎛⎜15.0 ⎞⎟ ⎜⎜102 ⎟⎟ ⎛⎜ 0.296⎞⎟ = 222.0 กิโลนิวตันตอเมตร
2⎝ ⎠⎝ ⎝⎠ ⎠
ตัวอยางที่ 5.6
จากรูป มุมเสียดทานระหวางกําแพงและดินถมเทากับ 20 องศา จงหาความดันรวมที่สภาวะ Active ที่กระทํา
ตอกําแพงกันดิน โดยทฤษฎีของ Coulomb
ตัวอยางที่ 5.6
วิธีทํา จากสมการ
sin 2 ⎛⎜α +φ ′⎞⎟
Ka = ⎝ ⎠
2
⎡ ⎤
⎢
⎞⎢
sin ⎛⎜φ ′ + δ ⎞⎟ sin ⎛⎜φ − β ⎞⎥
⎟⎥
sin 2α sin ⎛⎜α −δ 1+ ⎟⎢
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎥
⎝ ⎠⎢
⎢ sin α −δ sin α + β
⎛
⎜
⎞
⎟
⎛
⎜
⎞⎥
⎟⎥
⎢⎣ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎥
⎦
⎛ ⎞
Pa′ = Pa = 1 ⎛⎜18.0⎞⎟ ⎜⎜ 6.52 ⎟⎟ ⎛⎜ 0.318⎞⎟ =120.9 กิโลนิวตันตอเมตร
2⎝ ⎠ ⎝ ⎝ ⎠ ⎠
ตัวอยางที่ 5.7
จากรูป มุมเสียดทานระหวางกําแพงและดินถมเทากับ 20 องศา จงหาความดันรวมที่สภาวะ Active ที่กระทํา
ตอกําแพงกันดิน โดยทฤษฎีของ Coulomb
ก) กําแพงกันดินเรียบสูง 7 เมตร ตานดินถมซึ่งเปนดินเม็ดหยาบที่มีหนวยน้ําหนักเทากับ 17.0
กิโลนิวตันตอลูกบาศกเมตร และ φ′ = 28°
ข) ระดับของดินถมอยูที่ระดับเดียวกับดานบนของกําแพงกันดิน และวางตัวในแนวราบ
ค) มีนา้ํ หนักกระจายสม่าํ เสมอขนาด 40 กิโลปาสคาล บนดินถม
ตัวอยางที่ 5.7
จงหา ก) ความดันดินที่สภาวะ Active ที่กระทําตอกําแพงกันดิน
ข) จุดทีแ่ รงลัพธกระทําบนกําแพงกันดิน
วิธีทํา สัมประสิทธิ์ความดันประสิทธิผลที่สภาวะ Active ของ Rankine มีคาเทากับ
= tan 2 ⎜ 45 − φ ′ ⎟
⎛ ⎞
Ka ⎜
⎜
⎝
2 ⎟⎟⎠
⎛
Ka = tan 45 −
2⎜ 28° ⎞
⎟ = 0.361
⎜
⎜
⎝
2 ⎟⎟⎠
ความเคนประสิทธิผลในแนวดิง่ ทีผ่ ิวดินเทากับ
σ v′ = q = 40.0 กิโลปาสคาล
แรงดันดานขางรวมเทากับ
Pa = Pa′ = 1 × ⎛⎜14.44 + 57.40⎞⎟ × 7.0 = 251.44 กิโลปาสคาล
2 ⎝ ⎠
ตําแหนงของแรงลัพธเทากับ
⎛ ⎞
⎜
1 ⎟
⎛ ⎜ ⎞ 7
14.44× 7×3.5 + × ⎜ 57.40 +14.44⎟ × 7.0× ⎟⎟
⎛ ⎞
⎜
⎝ 2 ⎝
⎠ ⎜ ⎠ 3 ⎟⎠
y= ⎝ = 2.80 เมตร
251.44
ตัวอยางที่ 5.8
จากรูป จงเขียนไดอะแกรมความดันดินที่สภาวะ Active หลังสิ้นสุดการกอสรางและมีน้ําหนักกระจาย
สม่ําเสมอ 100 กิโลนิวตันตอตารางเมตร กระทําทันที
ตัวอยางที่ 5.8
วิธีทํา เริ่มตนดวยการคํานวณหาสัมประสิทธิ์ความดันดินดานขางของดินทุกชนิด
การกระจายความเคนประสิทธิผลในแนวดิ่ง
ตัวอยางที่ 5.8
การกระจายความดันดินดานขางประสิทธิผลในชั้นทรายและความดันน้าํ
ตัวอยางที่ 5.8
สําหรับความดันดินที่กระทําตอกําแพงกันดินในชัน้ ดินเหนียวตองคํานวณในพจนของความเคนรวม ดังนี้
ที่ระดับความลึก 6.0 เมตร
ความเคนในแนวดิง่ รวมเทากับ 171.7 + 39.2 = 210.9 กิโลปาสคาล
ความดันดินดานขางรวมเทากับ 210.9 - (2 x 40) = 130.9 กิโลปาสคาล
ที่ระดับความลึก 8.0 เมตร
ความเคนในแนวดิง่ รวมเทากับ 210.9 + 19.0(2.5) = 258.4 กิโลปาสคาล
ความดันดินดานขางรวมเทากับ 258.4 - (2 x 40) = 178.4 กิโลปาสคาล
การกระจายความดันดินดานขางรวมในชั้นทราย เกิดจากการรวมกันของความดันดินดานขางประสิทธิผล
และความดันน้ํา สวนการกระจายความดันดินดานขางรวมในชั้นดินเหนียวคํานวณไดโดยตรงในพจนของความ
เคนรวม
ตัวอยางที่ 5.8
30.7 kPa
2m
45.3 kPa
41.7
1m
kPa 58.0 kPa
55.8
kPa
3m
130.9 kPa
96.2 kPa
2.5 m
101.4 kPa
178.4 kPa
1.8 m
122.6 kPa
การกระจายความดันดานขางรวม
ตัวอยางที่ 5.9
ถากําแพงกันดินดังแสดงในรูป เคลื่อนตัวออกจากดินถม จงหา
ก) โซนแรงดึง (z0)
ข) แรงดันดินดานขางรวมที่สภาวะ Active หลังเกิดรอยแยกเนื่องจากแรงดึง
ตัวอยางที่ 5.9
= tan 2 ⎜ 45°− 26° ⎟ = 0.39
⎛ ⎞
วิธีทํา Ka ⎜ ⎟
⎜
⎝
2 ⎟
⎠
ก) โซนแรงดึง (z0)
β = 10°
85°
ตัวอยางที่ 5.10
วิธีทํา เริ่มตนดวยการสมมติระนาบการวิบตั ิ ดังแสดงในรูป
90°
20°
α = 85° φ = 35°
θ =α −δ
= 85° − 20°
= 65°
ตัวอยางที่ 5.10
น้ําหนักของแตละลิ่ม
โครงสรางกันดินถูกสรางเพื่อปองกัน
การเคลื่ อ นตั ว ของดิ น การประยุ ก ต ใ ช
โครงสร า งกั น ดิ น ในงานวิ ศ วกรรรมมี
มากมาย อาทิเชน งานดินถม งานดินขุด
งานสะพาน และโครงสรางกันน้ําทวม
เสถียรภาพของกําแพงกันดินชนิดนี้ขึ้นอยูกับน้ําหนักของตัวมันเอง กําแพงกันดินชนิดนี้จึงถูกเรียกวา
Gravity wall ในกรณีที่กําแพงกันดินมีความสูงมาก แรงดันดินดานขางมีแนวโนมที่จะทําใหกําแพงกัน
ดินพลิกคว่ํา (Overturning) เพื่อความประหยัด อาจเลือกใชกําแพงกันดินชนิด Cantilever wall ซึ่งมี
สวนฐานยื่นออกมาอยูใตดินถม น้ําหนักของดินถมที่อยูเหนือฐานนี้จะชวยปองกันการพลิกคว่ํา
ลักษณะของฐานรากกําแพงกันดิน
6.2 กําแพงกันดิน
6.2.1 การวิบัติของกําแพงกันดิน
การออกแบบกําแพงกันดินตองคํานึงถึงสิ่งสําคัญสองประการดังนี้
1) กําแพงตองมีเสถียรภาพภายนอก (External stability) ซึ่งหมายความวากําแพงกันดินตองตั้ง
ดิ่งในตําแหนงเดิม
2) กําแพงกันดินตองมีเสถียรภาพภายใน โดยตองความสามารถตานความเคนที่เกิดขึ้นภายใน
โครงสรางโดยปราศจากการพังทลาย
6.2.2 การวิเคราะหเสถียรภาพภายนอกของกําแพงกันดิน
วิธีการออกแบบกําแพงกันดินตานการวิบัติ
ภายนอก คือ การสมมติขนาดและรูปรางของกําแพง
กันดินและทําการตรวจสอบเสถียรภาพของกําแพง
ถาพบวาเสถียรภาพของกําแพงกันดินมีคาต่ําหรือไม
เพียงพอ ก็ทําการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปรางใหม
และทําการตรวจสอบอีกครั้ง ขั้นตอนนี้จะถูกทําซ้ําๆ
จนกระทั่ ง พบว า กํ า แพงกั น ดิ น ที่ อ อกแบบมี
เสถียรภาพเพียงพอตอการใชงาน
6.2 กําแพงกันดิน
6.2.2 การวิเคราะหเสถียรภาพภายนอกของกําแพงกันดิน
กําแพงกันดินจะมีเสถียรภาพภายนอก เมื่อกําแพงกันดินไมมีการเคลื่อนตัวในสามทิศทาง อันไดแก
ในแนวนอน (การลื่นไถล) ในแนวดิ่ง (การทรุดตัวที่มากกวาปกติ และการวิบัติเนื่องจากแรงแบกทานของดิน
ใตฐานราก) และการพลิกคว่ํา
การออกแบบเปนการตรวจสอบเสถียรภาพของการเคลื่อนตัวในสามทิศทางนี้ เพื่อใหไดอัตราสวน
ปลอดภัยที่เหมาะสม การตรวจสอบการเคลื่อนตัวในแนวนอนและการพลิกคว่ําอาศัยหลักการความสถิตย
(Law of statics) สําหรับการตรวจสอบการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งนั้นอาศัยทฤษฎีกําลังรับแรงแบกทานของ
ดิน (Bearing capacity theory)
6.2 กําแพงกันดิน
6.2.2 การวิเคราะหเสถียรภาพภายนอกของกําแพงกันดิน
6.2 กําแพงกันดิน
อั ต ราส ว นปลอดภั ย ต า นการลื่ น ไถล คื อ อั ต ราส ว นระหว า งแรงต า นทานการลื่ น ไถล (Sliding
resistance force) ตอแรงกระทํา (Sliding force) แรงตานทานการลื่นไถล คือผลคูณของแรงลัพธใน
แนวดิ่งที่กระทําตอฐานของกําแพงกันดินกับสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน (Coefficient of friction)
ระหวางฐานของกําแพงกันดินและดินดานใตฐาน สวนแรงที่กระทําใหเกิดการลื่นไถลสวนมากจะเปนแรงใน
แนวนอนเนื่องจากแรงดันดานขางของดิน Backfill แรงตานทานการลื่นไถล (S) สามารถคํานวณไดจาก
สําหรับฐานรากที่เปนดินเหนียว S = 2 Su B
3
ถาในการออกแบบพบวากําแพงกันดินแบบฐาน
เรียบ (Flat-bottomed wall) มีอัตราสวนปลอดภัยไม
เปนไปตามที่ตองการ อาจทําการสรางตัวตานทานการลื่น Retaining Wall
ไถลที่เรียกวา Key ที่ฐานของกําแพงกันดิน ดินดานหนา
ของ Key ทําหนาที่ตานทานการลื่นไถลในฐานะของ
A
ความดันที่สภาวะ Passive ดังแสดงโดยโซน BC แต
อยางไรก็ตาม ดินดานหนาของ Key อาจจะหายไป B
C
เนื่องจากการกัดเซาะ ดังนั้น ตัว Key นี้จะมีประสิทธิผล Passive Earth Pressure Key
Provided by Key
อยางมากถาถูกสรางใตดินแข็งหรือหิน
6.2 กําแพงกันดิน
อัตราสวนปลอดภัยตานการพลิกคว่ํา หาไดจากอัตราสวนระหวางโมเมนตตานทานการพลิกคว่ํา
ทั้งหมด (Total righting moment, ∑ M r ) ตอโมเมนตทั้งหมดที่กอใหเกิดการพลิกคว่ํา (Total
overturning moment, Mo) ที่สภาวะสมดุลและการพลิกคว่ําเริ่มเกิดพอดี แรงปฏิกิริยาระหวางดินและ
กําแพงกันดินจะอยูที่จุด Toe พอดี ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการคํานวณ (ไมตองพิจารณาผลของแรง
ปฏิกิริยา) โมเมนตที่กอใหเกิดการพลิกคว่ํา และโมเมนตตานการพลิกคว่ําทั้งหมดสามารถคํานวณไดจาก
M o = Ph × H
3
อัตราสวนปลอดภัยตานการวิบัติเนื่องจากแรงแบกทานของดิน หาไดจากอัตราสวนระหวางกําลังรับ
แรงแบกทานประลัย (Ultimate bearing capacity) ตอความดันที่มากที่สุดที่กระทําตอฐานของกําแพงกัน
ดิน (Actual maximum contact pressure) แรงในแนวนอนอันเนื่องจากแรงดันดานขางของดินมัก
กอใหเกิดโมเมนตในฐานรากของกําแพงกันดิน ซึ่งอาจสงผลใหความเคนในดินใตฐานรากไมสม่ําเสมอ
∑V ∑V ∑V
∑V 2∑V ∑H
Pt = ∑H
Pt =
∑H
8 ∑V
d d Pt =
3 d
6.2 กําแพงกันดิน
⎜ ∑ Mr − Mo ⎟ B
⎛ ⎞
B
e = −⎜ ⎟<
2 ⎜ ∑V ⎟ 6
⎝ ⎠
qmax = ∑ ⎛
V
⎜
⎜
⎞⎛
⎟⎜
⎟ ⎜1+
6e ⎞
⎟<q
B ⎟ ⎜⎝ B ⎟⎟⎠ all
⎜
⎝ ⎠
qmin =
⎛
⎜
⎜
∑V ⎞⎟⎟ ⎛⎜1− 6e ⎞⎟ > 0
B ⎜ B ⎟⎟⎠
⎜ ⎟ ⎜⎝
⎝ ⎠
6.2 กําแพงกันดิน
อัตราสวนปลอดภัยที่ใชในการวิเคราะหเสถียรภาพของกําแพงกันดินควรไมนอยกวาคาที่แสดง
วิบัติแบบกําลังรับแรงแบก 3.0
ทาน
6.2 กําแพงกันดิน
130 to 330
7.1 to
28.6 mm
Lengths 6.000
400 to 508
to 26.000
32 mm diameter lifting hole positioned
150 mm down from one end
ตัวอยางเข็มพืดแบบตางๆ และการตอเข็มพืด
6.3 เข็มพืด (Sheet pile)
Interlocking
joint
ตัวอยางเข็มพืดแบบตางๆ และการตอเข็มพืด
6.3 เข็มพืด (Sheet pile)
ตัวอยางเข็มพืดแบบตางๆ และการตอเข็มพืด
6.3 เข็มพืด (Sheet pile)
การใชเข็มพืดรวมกับค้ํายันเพือ่ ทํางานกอสรางใตดิน
6.3 เข็มพืด (Sheet pile)
การประยุกตใชเข็มพืดรวมกับค้ํายันสําหรับงานหองใตดนิ
6.3 เข็มพืด (Sheet pile)
การประยุกตใชเสาเข็มเจาะเปนโครงสรางกันดิน
6.3 เข็มพืด (Sheet pile)
การออกแบบเข็มพืดโดยทั่วไปมักทําโดยวิธีที่เรียกวา
Simplification ซึ่งแทนแรงลัพธที่สภาวะ Passive ใตจุด
O ดวยแรง R กระทําที่จุด C (อยูต่ํากวาจุด O เล็กนอย) ซึ่ง
จุด C นี้อยูที่ความลึก d ใตระดับดินขุด ความลึก d สามารถ
หาไดโดยอาศัยหลักสมดุลของโมเมนตรอบจุด C โดย
พิจารณาคาแรงตานทานดานหนาเข็มพืดเทากับแรงตานทาน
ที่สภาวะ Passive (Pp) หารดวยอัตราสวนปลอดภัย ดังนั้น
คาระยะฝง (Depth of embedment) ของเข็มพืดที่
ตองการจึงควรมีคาไมนอยกวา 1.2d แรง R สามารถหาได
โดยอาศัยหลักสมดุลในแนวนอน
6.3 เข็มพืด (Sheet pile)
6.3.2 Anchored Sheet Pile Wall
เมื่อ Backfill หลังกําแพงเข็มพืดมีความสูงมาก (เกินกวา 6 เมตร) อาจมีการติดตั้งตัวเพิ่มความมั่นคง
ซึ่งเรียกวาตัวค้ํา (Tie-back or Prop) ที่ดานบนของเข็มพืดเปนชวงๆ การทําเชนนี้จะเปนการประหยัดกวา
การใช Cantilever sheet pile wall กําแพงกันดินระบบนี้เรียกวา Anchored sheet pile wall
กําแพงกันดินระบบนี้เหมาะกับงานขุด
ที่มีความลึกมาก เสถียรภาพของกําแพงกัน
ดินจะขึ้นอยูกับตัวค้ํายัน (Strut) ที่กระทํา
ตามขวางของดินขุด
1) งานตอกแผงเข็มพืดเหล็ก
ก) งานปกแผงเข็มพืดเหล็ก
กําหนดแนวของแผงเข็มพืดเหล็ก โดยศึกษาจาก
แบบแผนที่โดยสังเขป (Lay Out)
ทํา Leg Guides ตามแนวที่เกิดขึ้น เพื่อให
แผงเข็มพืดเหล็กอยูในแนวที่ถูกตอง
ขุดหนาดินจนถึงระดับความลึกประมาณ 0.50 -
1.00 เมตร จากผิวดิน เพื่อชวยใหการปกแผง
เข็มพืดเหล็กลงในดินทําไดสะดวกขึ้น
6.4.1 ขั้นตอนการติดตั้งแผงเข็มพืดเหล็กที่มีค้ํายันหลายระดับ
1) งานตอกแผงเข็มพืดเหล็ก
ข) การตอกแผงเข็มพืดเหล็ก
ใชหัวของ Vibro Hammer จับที่ปลายแผงเข็มพืดเหล็กแลวทําการตอกลงไปในดิน ดวยระบบสั่น
6.4.1 ขั้นตอนการติดตั้งแผงเข็มพืดเหล็กที่มีค้ํายันหลายระดับ
ตอกเสาเข็มพืดเหล็กตามแนวที่กําหนด
6.4.1 ขั้นตอนการติดตั้งแผงเข็มพืดเหล็กที่มีค้ํายันหลายระดับ
2) การติดตั้ง Wale
เริ่มตนโดยการกําหนดแนวระดับของ Wale โดยศึกษาจากขั้นตอนการทํางานของโครงการ และ
กําหนดระดับของ Wale โดยแบงขั้นตอนการติดตั้งดังนี้
ขุดดินออกจนถึงระดับที่สามารถทํางานได
ติดตั้งหูชาง (Bracket) เพื่อใชเปน Support ของ Wale
6.4.1 ขั้นตอนการติดตั้งแผงเข็มพืดเหล็กที่มีค้ํายันหลายระดับ
3) การติดตั้งตัวค้ํายัน (Strut)
Strut จะเปนค้ํายันซึ่งวางขวางกับ Wale และอยูในแนวระดับเดียวกันกับ Wale โดยทั่วไป Strut
ตัวบนสุดจะรับน้ําหนักในแนวแกนและน้ําหนักจาก Plat form สวน Strut ตัวลางสุดจะรับน้ําหนักตาม
แนวแกนเพียงอยางเดียว
6.4.1 ขั้นตอนการติดตั้งแผงเข็มพืดเหล็กที่มีค้ํายันหลายระดับ
6.4.1 ขั้นตอนการติดตั้งแผงเข็มพืดเหล็กที่มีค้ํายันหลายระดับ
4) การอัดแรงในค้ํายัน (Pre-loading)
การทํา Pre-loading ในตัวค้ํายันจะชวยลดการเคลื่อนตัวของดินดานขางและลดการเสียรูปแบบ
ยืดหยุน (Elastic deformation) ของค้ํายันได รวมทั้งยังชวยลดชองวางจากการติดตั้ง Bolt และ Nut
ในตัวค้ํายัน คาการอัดแรงควรอยูระหวาง 40 – 50 เปอรเซ็นต ของน้ําหนักออกแบบ (Design load)
ขั้นตอนการ Pre-loading แบงไดดังนี้
6.4.1 ขั้นตอนการติดตั้งแผงเข็มพืดเหล็กที่มีค้ํายันหลายระดับ
pa = 0.65γ HKa
เสนขอบเขตความดันดินสําหรับดินเหนียวออนและดินเหนียวแข็งปานกลาง ซึ่งเหมาะสําหรับสภาวะที่
เมื่อ Su คือกําลังตานทานแรงเฉือนในสภาวะไมระบายน้ํา (Undrained shear strength)
ความดัน pa จะเปนคาที่มากกวาระหวาง
0.25H
pa = γ H − 4Su
pa = 0.3γ H
0.75H
pa
6.4.5 Braced cuts ในดินเหนียวแข็ง
ความดัน pa คํานวณไดจาก
pa = 0.3γ H
6.4.6 ขอจํากัดสําหรับการใชเสนขอบเขตความดันดินของ Peck
เมื่อจะใชเสนขอบเขตความดันดินนี้ในการคํานวณ ควรพึ่งตระหนักวา
1) เสนขอบเขตความดันดินเหลานี้เหมาะสําหรับงานขุดที่มีความลึกมากกวา 6.0 เมตร
2) เสนขอบเขตความดันดินเหลานี้สรางขึ้นจากสมมติฐานที่วาระดับน้ําใตดินอยูต่ํากวาระดับขุด
3) สํ า หรั บ กรณี ข องงานขุ ด ในทราย พิ จ ารณาว า ทรายอยู ใ นสภาพระบายน้ํ า ได (Drained
condition) เพราะฉะนั้น ความดันน้ําสวนเกิน (Excess pore pressure) เทากับศูนย
4) สําหรับกรณีของงานขุดในดินเหนียว พิจารณาวาดินเหนียวอยูในสภาวะไมระบายน้ํา การวิเคราะห
จะตองใชพารามิเตอรกําลังรวม (Total strength parameters)
6.4.7 การออกแบบสวนประกอบของ Braced cuts
1) ตัวค้ํายัน (Strut)
ในการกอสรางทั่วไป ตัวค้ํายันถูกติดตั้งใหมีระยะหางในแนวดิ่งอยางนอย 2.75 เมตร ตัวค้ํายันจะทํา
หนาที่เหมือนเสาในแนวนอนที่รับแรงอัด ความสามารถในการรับน้ําหนักจะขึ้นอยูกับอัตราสวนความชะลูด
(Slenderness ratio, l/r) สําหรับการกอสรางในดินเหนียว ตัวค้ํายันตัวแรกควรอยูที่ระยะต่ํากวาผิวดิน
นอยกวาโซนแรงดึง (Tension crack, z0) ซึ่งเทากับ 2Su / γ เพื่อปองกันแรงดันน้ําที่อาจจะเพิ่มขึ้นเมื่อ
มีน้ําขัง
6.4.7 การออกแบบสวนประกอบของ Braced cuts
ขั้นตอนการออกแบบตัวค้ํายัน (Strut)สามารถกระทําดังนี้
1) วาดเสนขอบเขตความดันดินสําหรับ Braced cut พรอมทั้งแสดงตําแหนงของตัวค้ํายัน
6.4.7 การออกแบบสวนประกอบของ Braced cuts
2) คํานวณหาแรงปฏิกิริยาที่กระทําตอตัวค้ํายัน โดย
พิจารณาเปนแบบคานยื่น (Cantilever beam)
สํ า หรั บ ตั ว ค้ํ า ยั น ตั ว บนสุ ด และตั ว ล า งสุ ด และ
พิจารณาเปนคานธรรมดา (Simple beam)
สําหรับตัวค้ํายันระหวางตัวบนสุดและตัวลางสุด
แรงปฏิกิริยาเหลานี้คือ A1, B1, B2, C1, C2,
และ D
6.4.7 การออกแบบสวนประกอบของ Braced cuts
3) แรงกระทําในตัวค้ํายันสามารถหาไดดังนี้
FA = (A)(s)
FB = (B1 + B2)(s)
FC = (C1 + C2)(s)
FD = (D)(s)
เมื่อ FA, FB, FC, และ FD คือแรงที่กระทําตอตัวค้าํ ยันแตละตัวที่ระดับ A, B, C, และ D
ตามลําดับ และ s คือระยะหางในแนวนอนของตัวค้าํ ยัน
4) เมื่อทราบแรงที่กระทําตอตัวค้ํายันแตละตัวแลว ทําการเลือกหนาตัดของตัวค้ํายันตามมาตรฐาน
การออกแบบโครงสรางเหล็ก
6.4.7 การออกแบบสวนประกอบของ Braced cuts
2) เข็มพืด
ขั้นตอนตอไปนี้จะเปนขั้นตอนการออกแบบเข็มพืด
1) สําหรับแตละชิ้นสวนคํานวณหาคาโมเมนตดัด (Bending moment) สูงสุด
2) หาคาโมดูลัสหนาตัดยอมให (Allowable section modulus, Z ) ของเข็มพืดที่ตองการจาก
Z=M
σ
max
all
3) Wales
Wales อาจถูกพิจารณาเปนชิ้นสวนที่ตอเนื่อง โมเมนตดัดสูงสุดที่กระทําตอ Wales (โดยการสมมติ
วา Wales ยึดติดกับตัวค้ํายัน) คือ
⎛
A⎞⎟ ( s )
⎛
⎜
2
B1 + B2 ⎞⎟ s2
⎜
ที่ระดับ A: M max = ⎠⎝ ที่ระดับ B: M max = ⎝
8
⎠
8
D ⎞⎟ ( s )
⎛ 2
C1 + C2 ⎞⎟ s2
⎜
⎛
⎜
ที่ระดับ C: M max = ⎝ ⎠ ที่ระดับ D: M max = ⎠⎝
8 8
Q = qB1 + γ HB1 − Su H
Qu = Su Nc B1 = 5.7Su B1
ดังนั้น อัตราสวนปลอดภัยตานการอูดบวมของดินใตระดับดินขุดคือ
5.7Su B1
FS = Qu = = 4.0Su B
Q qB1 + γ HB1 − Su H 0.7qB + 0.7γ HB − Su H
6.4.8 การออกแบบสวนประกอบของ Braced cuts
อัตราสวนปลอดภัยที่คํานวณไดนี้ตั้งอยูบนสมมติฐานที่วาชั้นดินเหนียวมีความสม่ําเสมอตลอดชวง
0.7B ใตระดับดินขุด ถาพบชั้นดินแข็งที่ระดับความลึก D จากระดับดินขุด โดยที่ระยะ D มีคานอยกวา
0.7B อัตราสวนปลอดภัยจะกลายเปน
FS = 5.7Su D
qD + γ HD − Su H
q
a d a d
H Scd
Excavation
b c b c
level
D1 D1
Sce
e e
2Su
Strong soil
6.4.8 การออกแบบสวนประกอบของ Braced cuts
e
Sce เมื่อ z0 คือโซนแรงดึง ซึ่งมีคาเทากับ 2Su/γ
2Su
6.4.8 การออกแบบสวนประกอบของ Braced cuts
b
อัตราสวนปลอดภัยตานการอูดบวมสามารถคํานวณไดโดยการ
c
พิจารณาสมดุลการหมุนรอบจุด b
FS = ⎝ ⎠
⎛
⎜ γ H + q ⎞⎟ B1
⎝ ⎠
งานดินขุดในชั้นทรายมีเสถียรภาพที่ระดับดินขุด
(Bottom of excavation) สูง เมื่อระดับน้ําดานดิน
ขุดอยูสูงกวาระดับน้ําใตดิน แตถามีการสูบน้ําออกจาก
บริเวณดินขุด (Dewatering) อัตราสวนปลอดภัยจะมี
คาลดลง และจําเปนตองตรวจสอบอัตราสวนปลอดภัย
ตานการเกิดทอกลวง (Piping) หรือทรายเดือด
(Boiling) ซึ่งทําโดยการวาดตาขายการไหลเพื่อหาคา
ความลาดเชิงชลศาสตรสูงสุด (iext(max)) ที่เกิดขึ้นที่จุด
A และ B
6.4.9 เสถียรภาพทีร
่ ะดับดินขุดในทราย
การหาคาความลาดเชิงชลศาสตรสูงสุด มีคาเทากับ
h
Nd
iext(max) = a = h
Nd a
เมื่อ a คือความยาวของชิ้นสวนการไหล (Flow element) ที่จุด A หรือจุด B และ Nd คือจํานวนเสนสมะ
ศักยทั้งหมด
6.4.9 เสถียรภาพทีร
่ ะดับดินขุดในทราย
อัตราสวนปลอดภัยตานการเกิดทอกลวงคือ
FS = ic
iext (max)
0.6
B
2L2
0.4
0.2
0
0.02 0.04 0.06 0.08 0.10
Modulus, m
(b)
6.4.9 เสถียรภาพทีร
่ ะดับดินขุดในทราย
0.65 0.5
0.60 0.4
2L1 2L1
=
B =0
0.55 0.3 B
0
⎛ ⎞
2) เมื่อระดับน้ําใตดินต่ํากวาระดับพื้นดิน h FS
d ≥ ⎜ γ −1⎟⎟
⎜
2 ⎜⎝ ′ ⎟⎠
ตัวอยางที่ 6.1
ขอมูล
1) กําแพงกันดินดังแสดงในรูป ถูกสรางจากคอนกรีตที่มีหนวยน้ําหนักเทากับ 24 กิโลนิวตันตอลูกบาศกเมตร
2) ดินเม็ดหยาบหลังกําแพงกันดินมีหนวยน้ําหนักเทากับ 19 กิโลนิวตันตอลูกบาศกเมตร และพารามิเตอร
กําลังตานทานแรงเฉือนดังนี้ c′ = 0 และ φ′ = 30°
3) สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหวางกําแพงกัน
ดินกับดินใตฐานรากเทากับ 0.55
4) ดินใตฐานรากเปนดินทรายที่มีหนวยน้ําหนัก
เทากับ 20 กิโลนิวตันตอลูกบาศกเมตร และ
มุมเสียดทานภายในเทากับ 35 องศา ระดับ
น้ําใตดินอยูต่ํามาก
ตัวอยางที่ 6.1
จงตรวจสอบเสถียรภาพของกําแพงกันดินนี้ โดยพิจารณาอัตราสวนปลอดภัยตาน
ก) การลื่นไถล (Sliding)
ข) การพลิกคว่ํา (Overturning)
ค) การวิบัติเนื่องจากกําลังรับแรงแบกทาน (Bearing capacity failure) พรอมทั้งคํานวณการ
กระจายความดันดินใตฐานกําแพงกันดิน
วิธีทํา ความดันดานขางที่สภาวะ Active ดานหลังของกําแพงกันดิน คํานวณไดดังนี้
ข) อัตราสวนปลอดภัยตานการพลิกคว่ํา
FSo = Resisting moment
Overturing moment
x=∑
M A ∑Mr − ∑Mo
=
∑V ∑V
กําลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิของดินฐานรากเทากับ
qu(net ) = q′⎛⎜ Nq −1⎞⎟ + 1 γ ′B′Nγ
⎝ ⎠ 2
แรงแบกทานประลัยสุทธิเทากับ
Qu =1104.7 × 2.3 = 2540.7 กิโลนิวตันตอตารางเมตร
อัตราสวนปลอดภัยตานการวิบตั ิเนื่องจากกําลังรับแรงแบกทานมีคาเทากับ
จากรูป จงคํานวณหาความดันที่กระทําใตฐานของกําแพง
กั น ดิ น อั ต ราส ว นปลอดภั ย ต า นการพลิ ก คว่ํ า และ
อัตราสวนปลอดภัยตานการลื่นไถล เมื่อหนวยน้ําหนักของ
วัสดุที่ใชทํากําแพงกันดินมีคาเทากับ 23.5 กิโลนิวตันตอ
ลูกบาศกเมตร หนวยน้ําหนักของดินถมมีคาเทากับ 18
กิโลนิวตันตอลูกบาศกเมตร พารามิเตอรกําลังประสิทธิผล
มีคาดังนี้ c′ = 0 และ φ′= 38° มุมเสียดทานระหวาง
กําแพงกันดินกับดินถม และระหวางกําแพงกันดินกับดิน
ใตกําแพงกันดินมีคาเทากับ 25°
ตัวอยางที่ 6.2
วิธีทํา เนื่องจากดานหลังของกําแพงกันดินและระดับของดินถมทํามุมเอียง Ka จะตองหาจากทฤษฎีของ
Coulomb โดย α = 180° - 100° = 80°, φ = 38°, δ = 25°, และ β = 20° ดังนั้น
sin 2 ⎛⎜α + φ ⎞⎟
Ka = ⎝ ⎠
2
⎡ ⎤
⎢
⎞⎢
sin φ + δ sin φ − β
⎛
⎜
⎞
⎟
⎛
⎜
⎞ ⎥
⎟ ⎥
sin 2α sin ⎛⎜α − δ ⎟⎢1+ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎥
⎝ ⎠⎢
⎢ sin α −δ sin α + β
⎛
⎜
⎞
⎟
⎛
⎜
⎞⎥
⎟⎥
⎢⎣ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎥
⎦
e = 2.75 − 492.8 − 206.4 = 0.40 เมตร < B = 2.75 = 0.46 เมตร (O.K.)
2 293.4 6 6
ความดันทีม่ ากที่สุดและนอยที่สุดที่เกิดใตฐานของกําแพงกันดินเทากับ
q = ∑ ⎜⎜1± 6e ⎟⎟
V⎛ ⎞
B ⎜⎝ B ⎟⎠
อัตราสวนปลอดภัยตานทานการลื่นไถลเทากับ
V tanδ
FSs = ∑
Ph
FSs = 293.4tan25°
103.2
FSs =1.33
ตัวอยางที่ 6.3
จงตรวจสอบเสถียรภาพของกําแพงกันดินดังแสดงในรูป ตาน (ก) การลื่นไถล และ (ข) การพลิกคว่ํา โดย
ใชทฤษฎีของ Rankine
0.5 m C C
Sand
= 18 kN/m3
’ = 30o W2
= 24 kN/m3
1.0 m
W4 87.8 kN/m
D D
Sand W1
2.0 m
= 20 kN/m3 ’ = 40o, 103.5 kN/m
= 30o 0.5 m A W3
A B x1 B
3.5 m x2 x1 = 0.5 m
x3 x2 = 1.25 m
x4 x3 = 1.75 m
x4 = 2.5 m
อัตราสวนปลอดภัยตานการลื่นไถลเทากับ
FSS = 228.3 = 2.60 >1.5 (O.K.)
87.8
ตัวอยางที่ 6.3
ข) อัตราสวนปลอดภัยตานการพลิกคว่ํา
โมเมนตทกี่ อใหเกิดการพลิกคว่ําเทากับ
M 0 = Pa × H = 87.8× 6 =175.6 กิโลนิวตัน-เมตรตอเมตร
3 3
โมเมนตตา นการพลิกคว่ําเทากับ
M r =W1x1 +W2 x2 +W3x3 +W4 x4 + Pp × AD
3
M r = ⎛⎜ 20.0× 0.5⎞⎟ + ⎛⎜ 66.0×1.25⎞⎟ + ⎛⎜ 42.0×1.75⎞⎟ + ⎛⎜198.0× 2.5⎞⎟ + ⎛⎜103.5× 0.5⎞⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
M r = 862.7 กิโลนิวตัน-เมตรตอเมตร
อัตราสวนปลอดภัยตานการพลิกคว่ําเทากับ
FSO = 862.7 = 4.91>1.5 (O.K.)
175.6
ตัวอยางที่ 6.4
จากรูป จงคํานวณหาระยะฝงยึด (d) และความยาวของเข็มพืดที่ตองการ เพื่อใหไดอัตราสวนปลอดภัย
เทากับ 2.0
ตัวอยางที่ 6.4
= tan2 ⎜ 45°− 35° ⎟ = 0.271
⎛ ⎞
วิธีทํา Ka ⎜ ⎟ K p = 1 = 3.690
⎜
⎝
2 ⎟
⎠
0.271
การกระจายความดันดินดานขางในสภาวะ Active
ความลึก σ′v Ka σ′a = Ka σ′v
(เมตร) (กิโลปาสคาล) (กิโลปาสคาล)
0 0 0.271 0
4.27 18.1 × 4.27 = 77.28 0.271 20.94
(4.27 + d) 77.28 + (20 - 9.81) d 0.271 20.94 + 2.76d
= 77.28 + 10.19d
การกระจายความดันดินดานขางในสภาวะ Passive
ความลึก σ′v Kp σ′p= Kp σ′v
(เมตร) (กิโลปาสคาล) (กิโลปาสคาล)
4.27 0 3.69 0
(4.27 + d) (20 - 9.81)d/2 = 5.09d 3.69 18.8d
ตัวอยางที่ 6.4
ตัวอยางที่ 6.4
เนื่องจากระดับน้ําใตดินที่ดานหนาและหลังเข็มพืดอยูที่ระดับเดียวกัน จึงไมจําเปนตองพิจารณาแรงดัน
น้ําในการคํานวณสมดุลรอบจุด O แรงและแขนของโมเมนตรอบจุดปลายของเข็มพืดแสดงดังตาราง
แรงและแขนของโมเมนตรอบจุด O
แรง (กิโลนิวตันตอเมตร) แขนของโมเมนตรอบจุด O (เมตร)
P2 = 20.94d d/2
+ Σ MO = 0
⎛ ⎛ ⎞
⎞⎟ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞
⎜ 4.27 d d d
⎜ 44.71× d +
⎜
⎜ ⎟ ⎟⎟ + ⎜ 20.94d × ⎟ + ⎜1.38d × ⎟ − ⎜ 9.39d × ⎟ = 0
⎟ ⎜ ⎟ ⎜ 2 ⎟ ⎜ 2 ⎟
⎜
⎜ ⎜
⎝
3 ⎟⎠ ⎟ ⎜⎝ 2 ⎟⎠ ⎜⎝ 3 ⎟⎠ ⎜⎝ 3 ⎟⎠
⎝ ⎠
d = 6.87 เมตร
ดังนั้น ระยะฝงที่ตองการคือ 1.2× 6.87 = 8.24 เมตร
ความยาวทั้งหมดของเข็มพืด คือ 8.24 + 4.27 =12.51 เมตร
เลือกใชเข็มพืดยาว 12.50 เมตร
ตัวอยางที่ 6.5
กําแพงกันดินตัวหนึ่งถูกสรางโดยใชเข็มพืดแบบ Anchored sheet pile ดังแสดงในรูป หนวยน้ําหนัก
ของดิ น เหนื อ และใต ร ะดั บ น้ํ า ใต ดิ น มี ค า เท า กั บ 17 และ 20 กิ โ ลนิ ว ตั น ต อ ลู ก บาศก เ มตร ตามลํ า ดั บ
พารามิเตอรกําลังประสิทธิผลมีคาดังนี้ c′ = 0 และ φ′= 36° จงหาระยะฝงของเข็มพืดเพื่อใหได
อัตราสวนปลอดภัยสําหรับแรงตานทานที่สภาวะ Passive เทากับ 2.0 และหาแรงในเคเบิล ถาระยะหาง
ระหวางเคเบิลในแนวนอนเทากับ 2 เมตร
ตัวอยางที่ 6.5
วิธีทํา สําหรับ φ′ = 36°
Ka = tan 2 ⎜⎜ 45 − 36° ⎟⎟ = 0.26 K p = tan 2 ⎜⎜ 45 + 36° ⎟⎟ = 3.85
⎛ ⎞ ⎛ ⎞
⎜
⎝
2 ⎟⎠ ⎜
⎝
2 ⎟⎠
จากรูปการกระจายความดันดานขาง เนื่องจากระดับน้ําใตดินทางดานหนาและหลังเข็มพืดอยูที่ระดับ
เดียวกัน ดังนั้นไมจําเปนตองคํานึงถึงผลของระดับน้ําใตดิน ขั้นตอนการคํานวณคือพิจารณาผลรวม
ของโมเมนตรอบจุด A เทากับ 0 แรงและแขนของโมเมนตตางๆ แสดงในตาราง
แรงตอความยาว 1 เมตร (กิโลนิวตัน) แขนของโมเมนต (เมตร)
(3) 0.5 × 0.26 × 10.2 × (d + 2.4)2 = 1.33d2 + 6.36d + 7.64 2d/3 + 6.5
Tie = -T 0
ตัวอยางที่ 6.5
โดยการพิจารณาผลรวมโมเมนตรอบจุด A เทากับ 0 จะได
−5.66d 3 − 44.7d 2 + 253.0d + 714.2 = 0
T =144.6 กิโลนิวตัน
ดังนั้น แรงในแตละเคเบิลเทากับ 2 × 144.6 = 289 กิโลนิวตัน
ตัวอยางที่ 6.6
Kp = 1 = 4.608
0.217
ตัวอยางที่ 6.6
การกระจายความดันดินที่สภาวะ Active
ความลึก σv u σ′v Ka σ′a= Ka σ′v
(เมตร) (กิโลปาสคาล) (กิโลปาสคาล) (กิโลปาสคาล) (กิโลปาสคาล)
0 0 0 0 0.33 0
-1 17 0 17 0.33 5.61
-7 17 + (20 × 6) = 137 9.81 × 6 = 58.9 78.1 0.33 25.78
+7 137 58.9 78.1 0.22 17.19
-(7 + d) 137 + 20d 9.81 × (6 + d) 78.1 + 10.19d 0.22 17.19 + 2.24d
= 58.9 + 9.81d
การกระจายความดันที่สภาวะ Passive
ความลึก σv u σ′v Kp σ′p = Kpσ′v
(เมตร) (กิโลปาสคาล) (กิโลปาสคาล) (กิโลปาสคาล) (กิโลปาสคาล)
d 20d + (9.81 × 6) 9.81 × (6 + d) 10.19d 4.6/FS 23.46d
= 20d + 58.86 = 9.81d + 58.86 = 4.6/2 = 2.3
ตัวอยางที่ 6.6
+ Σ MO = 0
⎡ ⎡⎛ ⎤
⎛ ⎞ ⎤⎥ ⎞
⎛
⎜ −2.81× 0.33 + 33.66× 3 + 60.49× 4 + 17.19d × 6 + 0.5d +
⎞
⎟
⎛
⎜
⎞
⎟
⎛
⎜
⎞
⎟ ⎢
⎢
⎜ ⎟
⎢⎜
⎢⎜
1.12d 2 ⎟ × ⎛⎜ 6 + 0.67d ⎞⎟⎥
⎟ ⎥
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎣ ⎝ ⎠ ⎥⎦ ⎢⎣⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎥
⎦
⎡⎛ ⎞ ⎤
+ ⎢⎜
⎢⎜
−11.73d 2 ⎟ × ⎛⎜ 6 + 0.67d ⎞⎟⎥ = 0
⎟ ⎥
⎝ ⎠⎥
⎣⎢⎝ ⎠ ⎦
ดังนั้น คํานวณหา pa
pa = γ H − 4Su = ⎛⎜17.29×12 ⎞⎟ −192 =15.48 กิโลปาสคาล
⎝ ⎠
จากรูป (a)
∑ M@B = 0
⎡ ⎤
⎢
⎢
1 × 62.24×3× ⎜⎛1.5 + 3 ⎟⎞⎥⎥ + ⎡⎢1.5× 62.24×1.5 ⎤⎥ − ⎢⎡ A× 3.0⎥⎤ = 0
⎜
⎢ 2 ⎜
⎝
3 ⎟⎟⎠⎥ ⎣⎢⎢ 2 ⎦⎥⎥ ⎣ ⎦
⎣⎢ ⎦⎥
A=101.14 กิโลนิวตันตอเมตร
∑ Fx = 0
⎡ ⎤
1
B1 = × ⎜1.5 + 4.5⎟×62.24⎥⎥ −101.14
⎛ ⎢ ⎞
2 ⎝ ⎢
⎠
⎣⎢ ⎦⎥
B1 = 85.58 กิโลนิวตันตอเมตร
ตัวอยางที่ 6.7
จากรูป (b)
∑ Fx = 0
B2 = C1 = 1 ×3× 62.24 = 93.36 กิโลนิวตันตอเมตร
2
จากรูป (c)
∑ M @C = 0
⎡ ⎤
⎡
⎢
⎤
⎥
⎢ 4.5
D×3 − 4.5×62.24× ⎥⎥ = 0
⎢ 2 ⎦⎥
⎣ ⎦
⎣⎢
D = 210.06 กิโลนิวตันตอเมตร
∑ Fx = 0
C2 = ⎡⎢4.5× 62.24⎤⎥ − 210.06 = 70.02 กิโลนิวตันตอเมตร
⎣ ⎦
ตัวอยางที่ 6.7
ดังนั้น
FA = ⎛⎜101.14× 4 ⎞⎟ = 404.56 กิโลนิวตัน
⎝ ⎠
⎡⎛ ⎞ ⎤⎥
1
Su(av) = ⎢⎜1.5× 2.5⎟ + ⎜ 2.0×1.0⎟ + ⎜ 3× 2.5⎟⎥ = 2.2
⎢ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛
ตันตอตารางเมตร
6 ⎣⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎦
B
A= 2.52 ตันตอเมตร
B2
2m ∑ M@ A = 0
⎛ ⎞
C ⎛ ⎞ ⎛ 1
B 2 = 3.1×1×1.5 + ×1.5×3.1× 0.5⎟⎟
⎞ ⎜
C 1⎜⎝ ⎟
⎠
⎜
⎝ 2 ⎟
⎠
⎜
⎜ ⎟
⎝ ⎠
1.5 m
B1 = 2.91 ตันตอเมตร
3.1 t/ m2
ตัวอยางที่ 6.8
0.5 m
A
A จากแผนภาพอิสระสวนลางของรูป
1.5 m
2m ∑ M @C = 0
B1
B
B2 ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = ⎛⎜ 3.1×3.5× 0.25⎞⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
3.1 t/ m2
B
B2 =1.36 ตันตอเมตร
B2
∑ M@B = 0
2m
C
C
C ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = ⎛⎜ 3.1×3.5×1.75⎞⎟
1.5 m ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
C = 9.50 ตันตอเมตร
3.1 t/ m2
ตัวอยางที่ 6.7
เนื่องจากระยะหางของตัวค้ํายันในแนวนอนเทากับ 2 เมตร ดังนั้น แรงในตัวค้ํายัน A, B และ C มีคาดังนี้
FA = 2× 2.52 = 5.04 ตัน
⎛ ⎞
⎛
⎜ 2× 2.2× 4.0 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2× 2.2 ⎞⎟ ⎜⎜ 6 − ⎛⎜ 2× 2.2/1.7 ⎞⎟ ⎟⎟ + ⎛⎜π × 2.2× 4.0 ⎞⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎝ ⎠⎠ ⎝ ⎠
FS =
1.7× 6× 4 ⎞⎟
⎛
⎜
⎝ ⎠