Professional Documents
Culture Documents
กฎหมายคืออะไรเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจอย่างไร
❖ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ใช้บังคับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางแพ่ง โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แบ่งออกเป็น 6 บรรพ
บรรพ 1 บททั่วไป กล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับบุคคลไม่ว่าจะเป็น บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง
ทรัพย์ นิติกรรม ระยะเวลา รวมถึง อายุความ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่อธิบายหลักเกณฑ์ของสิ่งเหล่านั้นไว้
บรรพ 2 หนี้ กล่าวถึงวัตถุแห่งหนี้ ผลแห่งหนี้ เจ้าหนี้ ลูกหนี้ การโอนสิทธิเรียกร้อง การระงับหนี้ การอธิบายถึง
สัญญาการก่อให้เกิดสัญญา ผลแห่งสัญญา อธิบายถึงมัดจำ และ เบี้ยปรับ รวมถึงการเลิกสัญญาและยังกล่าวถึง การจัดการ
งานนอกสั่ง ลามิควรได้ และละเมิด
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
บรรพ 3 เอกเทศสัญญา กล่าวถึงประเภทของสัญญาต่างๆคือ ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้ เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้าง
แรงงาน จ้างทำของ รับขน ยืมฝากทรัพย์ ค้ำประกัน จำนอง จำนำ เก็บของในคลังสินค้า ตัวแทน นายหน้า ประนีประนอม
ยอมความ การพนันและขันต่อ บัญชีเดินสะพัด ประกันภัย ตั๋วเงิน ห้างหุ้นส่วน-บริษัท และสมาคม
บรรพ 4 ทรัพย์สิน กล่าวถึงกรรมสิทธิ์ ครอบครอง ภาระจำยอม อาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติด
พันในอสังหาริมทรัพย์
บรรพ 5 ครอบครัว กล่าวถึง การสมรส บิดามารดากับบุตร ค่าเลี้ยงดูบุตร
บรรพ 6 มรดก กล่าวถึง สิทธิโดยธรรมในการรับมรดก พินัยกรรม วิธีจัดการและปันทรัพย์มรดก มรดกที่ไม่มี
ผู้รับ และอายุความ
❖ กฎหมายอาญา มีสภาพบังคับตามกฎหมาย ซึ่งกำหนดโทษสำหรับผู้กระทำความผิด
4.แบ่งตามเนื้อหาและการบังคับใช้
➢ รัฐธรรมนูญ
➢ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
➢ พระราชบัญญัติ
➢ พระราชกำหนด
➢ พระราชกฤษฎีกา
➢ กฎกระทรวง
➢ ข้อบัญญัติท้องถิ่น ได้แก่ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
ธุรกิจและการประกอบธุรกิจ
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำว่า "ธุรกิจ" ไว้ 2 ความหมายคือ
1. ธุรกิจ หมายถึง การงานประจำเกี่ยวกับอาชีพค้าขาย หรือกิจการอย่างอื่นที่สำคัญและที่ไม่ใช่ราชการ
2. ธุรกิจ หมายถึง การประกอบกิจการในทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม หัตถกรรม พาณิชยกรรม การบริหาร หรือกิจการ
อย่างอื่นเป็นการค้า
การทำธุรกิจหรือการประกอบการธุรกิจ จึงหมายถึง การดำเนินกิจกรรมใดๆ ที่ก่อให้เกิด การผลิต และ/หรือ
ก่อให้เกิดการบริการ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเกษตร การอุตสาหกรรม การพาณิชย์ หรืออื่นๆ เพื่อมุ่งหวังให้เกิด กำไรจาก
การดำเนินกิจกรรมนั้นๆจึงถือว่าเป็นการประกอบการทางธุรกิจ
กฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ
องค์กรธุรกิจ
หมายถึง หน่วยงานที่ดำเนินกิจการโดยมีวัตถุประสงค์แสวงหาผลกำไร โดยองค์กรธุรกิจนั้นมีทั้งที่เป็นองค์กร
ธุรกิจเอกชนและองค์กรธุรกิจที่เป็นภาครัฐ ซึ่งองค์กรธุรกิจที่เป็นภาครัฐจะถูกเรียกว่า “รัฐวิสาหกิจ” (State Enterprise)
โดยหลักแล้วองค์กรของภาครัฐมักมีวัตถุประสงค์เพื่อกิจการของประชาชน โดยรวมจัดตั้งขึ้นโดยไม่ได้มุ่งเน้นผลกำไร
แต่อย่างไรก็ตามองค์กรธุรกิจที่เป็นภาครัฐที่เรียกว่า “รัฐวิสาหกิจ”นั้นถูกตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหากำไรและส่งเงิน
เป็นรายได้ให้แก่รัฐตามพระราชบัญญัติพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพ.ศ 2551
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
องค์กรธุรกิจที่เรียกว่า “รัฐวิสาหกิจ”นั้นถือเป็นหน่วยงานที่รัฐเป็นผู้ลงทุนในกิจการและรัฐเป็นเจ้าของกิจการ
หรืออาจเป็นนิติบุคคลอื่นที่รัฐเข้าไปถือหุ้นเกินกว่าอัตราร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดในกิจการนั้นๆ
ตัวอย่างขององค์กรรัฐวิสาหกิจ ได้แก่
➢ การเคหะแห่งชาติ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
➢ กรมทางพิเศษแห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม
➢ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม
➢ ธนาคารออมสิน อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
➢ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
➢ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
➢ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
➢ การไฟฟ้านครหลวง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย
➢ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย
➢ การรถไฟแห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม
➢ การท่าเรือแห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม
➢ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม
➢ องค์การเภสัชกรรม อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุข
➢ การยางแห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
➢ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี
➢ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
➢ การประปานครหลวง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย
➢ การประปาส่วนภูมิภาค อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
นิติกรรมและสัญญา
ในการดำเนินชีวิตของบุคคลไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลย่อมมีการก่อนนิติสัมพันธ์กันในหลาย
รูปแบบ รวมถึงการทำสัญญาต่างๆโดยในการประกอบธุรกิจย่อมต้องมีการดำเนินการซึ่งจะต้องให้มีผลบังคับใช้เป็นไปตาม
กฎหมายเกี่ยวข้องกับนิติกรรมและสัญญา ดังนั้นในเรื่องของนิติกรรมสัญญาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญในการประกอบธุรกิจ
กฎหมายว่าด้วยนิติกรรมและสัญญาถือเป็นกฎหมายที่มีส่วนสำคัญและเป็นหลักในการประกอบธุรกิจโดย
บทบัญญัติในเรื่องของนิติกรรมและสัญญาอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
นิติกรรม
นิติกรรม คือ การกระทำใดๆที่ลงมือโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัครมุ่งผลผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
เพื่อก่อเปลี่ยนแปลงโอนสงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ์
ดังนั้น นิติกรรมจึงเป็นการกระทำของบุคคลที่มีเจตนาให้มีผลผูกพันและบังคับได้ตามกฎหมาย
องค์ประกอบของนิติกรรม ได้แก่
1) เป็นการกระทำ
2) เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายมีกฎหมายให้การรับรองการกระทำดังกล่าวไว้
3) ทำโดยใจสมัครมิได้ถูกบังคับขู่เข็ญให้กระทำสิ่งนั้น
4) กระทำโดยมุ่งให้เกิดผลในทางกฎหมาย
5) วัตถุประสงค์ในการกระทำนั้นเพื่อก่อเปลี่ยนแปลงโอนสงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ์ของบุคคลตามกฎหมาย
การกระทำ
ต้องมีการแสดงเจตนาเพื่อที่จะทำให้ผู้อื่นทราบว่าผู้กระทำต้องการสิ่งใดโดยการแสดงเจตนานั้นแบ่งออกเป็น 3
ลักษณะคือ
การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง คือการกระทำทางวาจาหรือกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร
การแสดงเจตนาโดยปริยาย คือ การแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้เข้าใจว่า ผู้กระทำประสงค์ที่จะ
กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เคยทำสัญญาซื้อขายกันและเคยส่งสินค้าหากัน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ในการสั่งซื้อครั้งถัด
มาเมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าแล้ว รับทราบโดยปริยายว่า จะต้องส่งสินค้า ณ ที่ใด
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
❖ นิติกรรมที่มีผลระหว่างผู้ทำมีชีวิตอยู่และนิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำเสียชีวิตแล้ว
นิติกรรมที่มีผลระหว่างผู้ทำมีชีวิตอยู่คือ นิติกรรมที่ก่อให้เกิดความผูกพันในขณะที่ผู้ทำมีชีวิตอยู่โดยทำแล้วมีผล
ทันทีเมื่อทำนิติกรรมเสร็จ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืมเงิน เป็นต้น
❖ นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำนิติกรรมเสียชีวิตแล้ว
คือ นิติกรรมที่เกิดขึ้นแต่ผลบังคับใช้จะยังไม่สามารถใช้ได้จนกว่าผู้ทำนิติกรรมเสียชีวิต เช่น พินัยกรรม เป็นต้น
❖ นิติกรรมที่มีค่าตอบแทนและนิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน
❖ นิติกรรมที่มีเงื่อนไขเงื่อนเวลาและนิติกรรมที่ไม่มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา
เงื่อนไข คือ การทำนิติกรรมที่มีผลสมบูรณ์และบังคับใช้ได้หรือระงับเมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จ
เงื่อนเวลา คือ การกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดเอาไว้
เช่น นายเอขอกู้ยืมเงินนายบีโดยสัญญาว่าจะชำระเงินคืนให้ภายในวันที่ 20 มกราคม 2566
ส่วนนิติกรรมที่ไม่มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาหมายถึง นิติกรรมที่แสดงเจตนาแล้วมีผลสมบูรณ์ทันที
❖ นิติกรรมที่สมบูรณ์โดยการแสดงเจตนาและนิติกรรมที่ต้องทำตามแบบ
นิติกรรมที่มีผลสมบูรณ์โดยการแสดงเจตนา คือ การกระทำที่ผู้กระทำมีเจตนามุ่งให้เกิดผลทางกฎหมายโดยการ
แสดงเจตนาด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้
นิติกรรมที่ต้องทำตามแบบ คือ เป็นนิติกรรมที่มีกฎหมายกำหนดแบบแห่งการทำนิติกรรมไว้โดยเฉพาะ เช่น การ
ทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายกำหนดแบบของนิติกรรมไว้ว่า จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนโอน
กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นที่สำนักงานที่ดินจึงทำให้แบบแห่งการทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวสมบูรณ์
ตามกฎหมายหากไม่ได้ทำตามแบบถือว่าการซื้อขายนั้นตกเป็นโมฆะ
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
ความสมบูรณ์ในการทำนิติกรรม
ความสมบูรณ์ในการทำนิติกรรม หมายถึง สามารถบังคับใช้ได้โดยต้องพิจารณาองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1) ความสามารถในการทำนิติกรรม
2) วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
3) แบบของนิติกรรม
4) การแสดงเจตนาในการทำนิติกรรม
ความสามารถในการทำนิติกรรม
ผู ้ ท ำนิ ต ิ ก รรมจะต้ อ งมี ค วามสามารถสมบู ร ณ์ ต ามกฎหมายไม่ ต กเป็ น ผู ้ ห ย่ อ นความสามารถโดยผู ้ ห ย่ อน
ความสามารถมีอยู่ 3 กรณีคือ
1 ผู้เยาว์
2 คนไร้ความสามารถ
3 คนเสมือนไร้ความสามารถ
วัตถุประสงค์ของนิติกรรมสามารถแยกได้เป็น 3 กรณีคือ
ต้องไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย
ต้องไม่พ้นวิสัย คือสิ่งนั้นต้องสามารถเป็นจริงได้หากไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ถือว่าเป็นการพ้นวิสัย เช่นสัญญา
จ้างให้ไปซื้อพระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าทำสัญญาขายบ้านที่ถูกไฟไหม้ไปแล้วซึ่งไม่สามารถเป็นไปได้
ต้องไม่ขัดต่อหลักความสงบหรือศีลธรรมอันดี คือ ไม่มีผลกระทบต่อความสงบสุขความมั่นคงความปลอดภัยและ
จริยธรรมของคนในสังคม เช่นจ่ายเงินให้พยานเพื่อไม่ให้พยานที่เห็นเหตุการณ์ที่ผู้จ่ายเงินกระทำการฆ่าบุคคลอื่นไปเป็น
พยานที่ศาล
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
แบบของนิติกรรมแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
ความบกพร่องในการแสดงเจตนาที่มีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะ
➢ การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญที่อาจทำ
ให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ
➢ การแสดงเจตนาเพราะถูกฉ้อฉล เป็นการแสดงเจตนาโดยถูกกลอุบายไม่ว่าจะเป็นการกล่าวเท็จหรือ
ปกปิดข้อเท็จจริงและทำให้หลงเชื่อจนยอมทำนิติกรรมนั้น
➢ การแสดงเจตนาโดยถูกข่มขู่ เป็นการทำให้กลัวว่าจะเกิดภยันอันตรายแก่ตนเองหรือครอบครัวหรือ
ทรัพย์สินจึงยอมทำนิติกรรมนั้น
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
สัญญา
สัญญา ถือเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งโดยสัญญาจะเกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปโดยฝ่าย
หนึ่งแสดงเจตนาเรียกว่าคำเสนออีกฝ่ายแสดงเจตนาตอบรับเรียกว่าคำสนองเมื่อคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกันสัญญา
จึงจะเกิดขึ้น
สาระสำคัญของสัญญา พิจารณาดังต่อไปนี้
1.ต้องมีบุคคลที่เป็นคู่สัญญาตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป โดยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสนออีกฝ่ายเป็นผู้สนองซึ่งคู่สัญญานั้นจะเป็น
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ หากเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวสัญญาย่อมไม่เกิดขึ้น
2. สัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อ มีการแสดงเจตนาถูกต้องตรงกัน กล่าวคือ สัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมี ผู้เสนอความ
ประสงค์ในการทำสัญญาโดยทำเป็นคำเสนอให้ชัดเจน ส่วนฝ่ายที่ได้รับคำเสนอจะต้องแสดงเจตนาตอบรับหรือเกิดคำ
สนองขึ้นอย่างชัดเจน
3. มีวัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดการผูกพันในทางกฎหมาย กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายเจตนาที่จะทำสัญญาเพื่อให้มผี ล
ผูกพันและบังคับใช้ระหว่างกันได้กล่าวคือฝ่ายหนึ่งจะเกิดสิทธิอีกฝ่ายจะเกิดหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญานั้นๆ
คำเสนอและคำสนอง
คำเสนอ คือ การแสดงเจตนาขอทำสัญญาที่มีการระบุข้อความว่าอย่างชัดเจนซึ่งผู้ที่ได้รับคำเสนอดังกล่าวนั้นจะ
พิจารณาตามเงื่อนไขว่าหากเป็นไปตามที่ต้องการ ผู้รับคำเสนอนั้นจะทำคำสนองกลับไปเพื่อให้เกิดสัญญา
คำเสนอมีลักษณะดังต่อไปนี้
1 เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว
2 เป็นการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง
3 การแสดงเจตนานั้นต้องมีความชัดเจน ถ้าข้อความนั้นไม่ชัดเจนอาจถือได้ว่าเป็นการเชิญชวนทาบทามเป็นต้น เช่น นาย
เอพูดกับนายบีว่า สนใจอยากซื้อนาฬิกาของตนเองหรือไม่เช่นนี้เป็นเพียงคำทาบทามและไม่ใช่คำเสนอ
หากเป็นคำเสนอต้องใช้คำว่า นายเอเสนอขายนาฬิกาให้กับนายบีราคา 3,000 บาทซึ่งราคา 3,000 บาทนี้
สามารถซื้อได้ภายในวันที่ 30 มกราคม 2566 เท่านั้น หากเลยระยะเวลาดังกล่าวราคานาฬิกาจะปรับขึ้นเป็น 3,500 บาท
คำเสนอจะสิ้นผลเมื่อใด
1. เมื่อมีการบอกบัตรคำเสนอโดยการบอกบัตรมี 2 ลักษณะคือ
ลักษณะที่ 1 การบอกปัดโดยสิ้นเชิง คือ การตอบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด 2 การบอกปัดโดยมีเงื่อนไขคือ
เมื่อมีคำเสนอมาพูดถึงผู้สนองอาจมีข้อกำเนิดที่เป็นข้อจำกัดหรือเงื่อนไขเพิ่มกลับไปซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นคำ
เสนอใหม่
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
ประเภทของสัญญาแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
1. สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน
สัญญาต่างตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกันกล่าวคือ มีหนี้สินที่ต้องชำระ
ตอบแทนซึ่งกัน และกันอันทำให้คู่สัญญาตกอยู่ในฐานะเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกันนั่นเองเช่น
นายแดงทำสัญญาซื้อพัดลมจากในเขียวในราคา 500 บาท ในแดงจึงมีหน้าที่ชำระเงินค่าพัดลมให้กับนายเขียว
ส่วนในเขียวมีหน้าที่ส่งมอบพัดลมให้กับนายแดง
สัญญาไม่ต่างตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาเพียงฝ่ายเดียวมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำการส่วนอีกฝ่ายไม่มีหน้าทีต่ ้อง
ตอบแทนสิ่งใด เช่น
สัญญายืมโดยไม่มีค่าตอบแทนกล่าวคือ ไม่มีการคิดดอกเบี้ยผู้ยืมฝ่ายเดียวมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมคืนให้
ผู้ให้ยืมโดยที่ผู้ให้ยืมไม่มีหน้าที่หรือสิทธิใดๆที่จะได้รับจากผู้ที่ยืม
2. สัญญาณมีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
สัญญาณมีค่าตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะได้รับค่าตอบแทนจากอีกฝ่าย
สัญญาไม่มีค่าตอบแทน คือ ไม่ได้รับประโยชน์อื่นใดจากอีกฝ่าย
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
3.สัญญาประธานกับสัญญาอุปกรณ์
สัญญาประธาน คือ สัญญาที่เกิดขึ้นและมีผลผูกพันด้วยตนเองไม่จำเป็นต้องอาศัยสัญญาอื่นมาประกอบ เช่น
สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืม เป็นต้น
สัญญาอุปกรณ์ คือ สัญญาที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยลำพังจะต้องอาศัยความสมบูรณ์ของสัญญาประธานเช่น สัญญา
จำนอง สัญญาจำนำ สัญญาค้ำประกัน ถือเป็นสัญญาอุปกรณ์ของสัญญากู้ยืมเงิน เป็นต้น
4.สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก หมายถึง สัญญาที่คู่สัญญาได้ตกลงทำขึ้นเพื่อให้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็น
คู่สัญญาได้รับประโยชน์ เช่น สัญญาประกันชีวิต เป็นต้น
การบอกเลิกสัญญาและผลของการเลิกสัญญา
การเลิกสัญญาคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาได้ก็ต่อเมื่อ
1.การเลิกสัญญาตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา กล่าวคือ เมื่อมีการทำผิดเงื่อนไขใดขึ้นก็ตามที่ระบุไว้ใน
สัญญามีข้อสัญญาเขียนว่าให้ถือว่าสัญญานั้นเป็นอันระงับไป
2.การเลิกสัญญาตามบทบัญญัติของกฎหมายเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติถึงสิทธิ์ในการบอกเลิกสัญญาตัวอย่าง
เช่น
เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควรและบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้น
ชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ถ้าฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387
ผลของการบอกเลิกสัญญา
1. ทำให้คู่สัญญากลับคืนสูฐ่ านะเดิม
2. การเลิกสัญญานั้นจะไม่กระทบถึงสิทธิ์ของบุคคลภายนอก
3. ในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นคู่สัญญาสามารถที่จะเรียกค่าเสียหายที่ตนได้รับจากการไม่ชำระหนี้ของอีกฝ่าย
หนึ่งก็ได้
4. การชำระหนี้อันเกิดจากการเลิกสัญญาให้เป็นไปตามหลักของสัญญาต่างตอบแทน
โครงการบัณฑิตศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หัวข้อบรรยาย “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นักธุรกิจต้องรู้” โดยทนายพราวรวี ว่องไวทวีวงศ์
คำถาม
1. จงยกตัวอย่างการจัดหมวดหมูข่ องกฎหมายมา 1 วิธีพร้อมอธิบาย ( 3 คะแนน)
2. จงยกตัวอย่างองค์กรรัฐวิสาหกิจมา 5 องค์กร (2 คะแนน)
3. แบบของนิติกรรมมีกี่ประเภท อะไรบ้าง ( 3 คะแนน)
4. ผลของการเลิกสัญญามีอะไรบ้าง ( 2 คะแนน)