Professional Documents
Culture Documents
Translocation
Translocation
com
คําแนะนําการใชเอกสารประกอบการเรียน
เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของพืชดอก
เลมที่ 8 แรธาตุและการลําเลียงแรธาตุของพืช
สําหรับครูผูสอน
1. เอกสารประกอบการเรียนเลมที่ 8 แรธาตุและการลําเลียงแรธาตุของพืชนี้
ใชประกอบแผนการจัดการเรียนรูที่ 9 วิชาชีววิทยา(เพิ่มเติม) ชีววิทยา 2 รายวิชา
ว42242 เรื่อง แรธาตุและการลําเลียงแรธาตุของพืช ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
2. หลังจากจบการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรูที่ 9 แลว ให
นักเรียนศึกษาเอกสารเลมนี้นอกเวลาเรียนโดยใชเวลา 2 คาบ
3. นักเรียนตองผานการศึกษาเอกสารประกอบการเรียนเลมที่ 7 มาแลว
4. นักเรียนศึกษาเอกสารประกอบการเรียน โดยทําตามคําแนะนําที่มีอยู
ในเลม เรียงตามลําดับขั้นตอนที่กําหนด
5. ใหนักเรียนสามารถศึกษาเอกสารประกอบการเรียนเลมนีไ้ ดดวยตนเอง
ทางเว็บไซต http://www.wongkasem.com/ หรือ เว็บไซตโรงเรียนดัดดรุณี
http://datdaruni.siamschool.net
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
คําแนะนําการใชเอกสารประกอบการเรียน
เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของพืชดอก
เลมที่ 8 แรธาตุและการลําเลียงแรธาตุของพืช
สําหรับนักเรียน
1. เอกสารประกอบการเรียนเรื่องโครงสรางและหนาที่ของพืชดอก
เลมนี้ คือเลมที่ 8 แรธาตุและการลําเลียงแรธาตุของพืช
2. นักเรียนตองผานการศึกษาเอกสารประกอบการเรียนเลมที่ 7 มาแลว
3. นักเรียนอานจุดประสงคการเรียนรูกอ นศึกษาเอกสารประกอบ
การเรียน
4. นักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนจํานวน 10 ขอ
5. นักเรียนศึกษาเอกสารประกอบการเรียนตามลําดับ เมื่อเขาใจแลว
ทํากิจกรรมทายบทเรียนใหครบทุกกิจกรรม
6. นักเรียนตรวจเฉลยกิจกรรมทายบทเรียนดวยตนเอง
7. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนจํานวน 10 ขอ
8. นักเรียนตรวจเฉลยแบบทดสอบกอนเรียนและหลังเรียนดวยตนเอง
9. ในกรณีที่นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนไดไมถึง 8 ขอ ใหนกั เรียน
ยอนกลับไปศึกษาเอกสารเลมนี้ใหมแลวทําแบบทดสอบอีกครั้งใหไดตามเกณฑ
10. นักเรียนตองมีความซื่อสัตยตอตนเองไมดูเฉลยกอนทํากิจกรรมหรือ
แบบทดสอบ
11. หลังจากนักเรียนศึกษาเอกสารประกอบการเรียนเลมนี้จบแลว
ใหนักเรียนศึกษาเอกสารประกอบการเรียนเลมที่ 9 การลําเลียงสารอาหารในพืช
เปนอันดับตอไป
12. นักเรียนสามารถศึกษาเอกสารประกอบการเรียนเลมนี้ไดดวยตนเอง
ทางเว็บไซต http://www.wongkasem.com หรือ เว็บไซตโรงเรียนดัดดรุณี
http://datdaruni.siamschool.net
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
เลมที่ 8
แรธาตุและการลําเลียงแรธาตุของพืช
........................................................................................................................................
จุดประสงคการเรียนรู
1. อธิบายวิธีการลําเลียงแรธาตุของพืชได
2. ระบุชนิดและหนาที่ของแรธาตุที่จําเปนตอการเจริญเติบโตของพืชได
3. บอกลักษณะอาการของพืชที่ขาดธาตุอาหารบางชนิดได
4. อธิบายพรอมยกตัวอยางเรื่องปุยอินทรียและปุยอนินทรียได
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
แรธาตุและการลําเลียงแรธาตุของพืช
การลําเลียงแรธาตุของพืช
เนื่องจากน้ําเปนตัวทําละลายที่ดี ดังนั้นน้ําที่พืชดูดเขาไปใชจึงไมใชน้ํา
บริสุทธิ์ เนือ่ งจากน้ําที่อยูในดินยอมตองละลายแรธาตุตาง ๆ ปะปนเขาไปดวย การที่
แรธาตุตาง ๆ จะผานเขาไปในเซลลได จะตองผานจากผนังเซลลเขาสูเยื่อหุมเซลล ซึ่งมี
สมบัติเปนเยื่อเลือกผาน (Selective permeable membrane) การลําเลียงแรธาตุตาง ๆ ที่
ละลายเปนไอออน แลวเขาสูเยื่อหุมเซลล ไมสามารถผานไดโดยอิสระ การลําเลียง
แรธาตุจึงมีความซับซอนมากกวาการลําเลียงน้ําที่เกิดโดยวิธี ออสโมซิส
การลําเลียงแรธาตุของพืช เกิดโดยวิธีการดังนี้
1. แพสสิฟทรานสปอรต (Passive transport) เปนการลําเลียงสารหรือ
แรธาตุจากบริเวณที่มีแรธาตุเขมขนมากกวาไปยังบริเวณที่มีแรธาตุเขมขนนอยกวา
โดยไมตองใชพลังงาน โดยอาศัยหลักของการแพร (Diffusion) นั่นคือไอออนหรือ
สารละลายจะเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความตางศักยเคมีสูงกวาไปยังบริเวณที่มีความ
ตางศักยทางเคมีต่ํากวา จนกวาความตางศักยทางเคมีของสองบริเวณนี้เทากัน
2. แอกทีฟทรานสปอรต (Active transport) เปนการลําเลียงสารหรือ
แรธาตุจากบริเวณที่มีแรธาตุเขมขนนอยกวา หรือเจือจางกวาไปยังบริเวณที่มีสารหรือ
แรธาตุนั้นเขมขนมากกวา ซึ่งเปนการลําเลียงที่ตอตานกับความเขมขนของสาร ดังนั้น
วิธีนี้จึงตองอาศัยพลังงานจาก ATP ชวย ซึ่งเปนวิธีที่รากและลําตนจะมีโอกาสสะสม
แรธาตุตาง ๆ ไวได ทําใหพืชดูดแรธาตุจากภายนอกเขามาไดทั้ง ๆ ที่ความเขมขนของ
แรธาตุชนิดนั้นภายในเซลลมีมากกวาภายนอกเซลลแลวก็ตาม ทําใหพืชสามารถ
ลําเลียงแรธาตุที่ตองการได เมื่อแรธาตุผานเขาสูรากแลว จะถูกลําเลียงตอไปยังสวน
ตาง ๆ ของพืชทางไซเลมพรอม ๆ กับการลําเลียงน้ํา นอกจากนี้การปรับปรุงดินที่
ปลูกพืชใหโปรง ยังชวยใหรากไดรับแกสออกซิเจนที่อยูในดินมาใชไดอยางพอเพียง
ทําใหรากเจริญเติบโตขยายขนาด และความยาวมากขึ้น และแผขยายออกไปใน
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
การไดรับแกสออกซิเจนของราก มีความสัมพันธกับการดูดแรธาตุของราก
คือ ออกซิเจนที่รากไดรับจากดิน ถูกนําไปใชในกระบวนการ เมแทบอลิซึม ของเซลล
ราก ในกรณีที่ออกซิเจนในดินนอย อัตรา เมแทบอลิซึม ของเซลลรากจะนอยลงดวย
ถาพลังงานจาก ATP ที่มีความจําเปนตอกระบวนการ แอกทีฟทรานสปอรต เกิดขึ้น
นอย การลําเลียงสารโดยกระบวนการนี้จะไมสามารถดําเนินตอไปได ปริมาณการดูด
แรธาตุเขาสูเซลลรากจะลดลง
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
แรธาตุที่มีอยูในพืช
เมื่อนําพืชไปวิเคราะหหาชนิดและปริมาณของแรธาตุตาง ๆ พบวาพืชแตละ
ชนิดจะมีแรธาตุแตกตางกันไปทั้งชนิดและปริมาณ ตัวอยางในตนขาวโพด จะมีชนิด
และปริมาณของแรธาตุแตกตางกัน ดังตารางที่ 8-1
ตารางที่ 8-1 แสดงแรธาตุจําเปนสําหรับพืช
ชื่อธาตุ เปอรเซ็นตของธาตุที่พบในพืช
(น้ําหนักแหง)
คารบอน 45
ออกซิเจน 45
ไฮโดรเจน 6
ไนโตรเจน 1.5
โพแทสเซียม 1.0
แคลเซี่ยม 0.5
แมกนีเซียม 0.2
ฟอสฟอรัส 0.2
ซัลเฟอร 0.1
คลอรีน 0.01
เหล็ก 0.01
แมงกานีส 0.005
นิเกิล 0.003
โบรอน 0.002
สังกะสี 0.002
คอปเปอร 0.0006
โมลิบดีนัม 0.00001
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
ธาตุจําเปนที่พืชตองการปริมาณมาก
1. ไนโตรเจน พืชนําไนโตรเจนไปใชในรูปของแอมโมเนียมหรือไนเตรต
เปนสวนใหญ ดินสวนมากขาดไนโตรเจนมากกวาธาตุอื่น ๆ เพราะ
ก. ดินบริเวณนั้นเกิดจากหินแรที่ขาดธาตุไนโตรเจน หรือมี
ธาตุไนโตรเจนนอย
ข. เมื่อดินถูกชะลาง สารประกอบไนโตรเจนสูญหายไปไดงายเพราะ
อนุภาคดินไมดูดซับสารประกอบไนโตรเจน
ค. สารประกอบไนโตรเจน ถูกเปลี่ยนสถานะเปนแกสโดยจุลินทรียในดิน
เนื่องจากไนโตรเจนเปนธาตุท่เี ปนองคประกอบของโปรตีน ถาพืชขาดไนโตรเจน
จะสรางโปรตีนไมได และโปรตีนเปนสวนประกอบสําคัญของโพรโทพลาซึม และ
สวนประกอบของ เอนไซม เพื่อกระตุนปฏิกิริยาตาง ๆไนโตรเจนยังเปน
สวนประกอบที่สํา0คัญของวิตามิน และเอนไซมอีกดวย
ถาพืชขาดธาตุไนโตรเจนจะแสดงอาการตาง ๆ ดังนี้
1.1 ใบพืชเหลืองผิดปกติ โดยเริ่มจากใบลาง ๆ เหลืองซีดที่ปลายใบและ
ขอบใบ พรอมกับการแหงคอย ๆ ลามเขาไปเรื่อย ถาขาดธาตุไนโตรเจนมาก ๆ ทั้งใบ
บนและลาง จะมีอาการเหลืองซีดเนื่องจากขาดคลอโรฟลล
1.2 ลําตนจะสูงผอมมีกิ่งเล็กลีบและมีจํานวนนอย
1.3 พืชเจริญเติบโตชา หรือไมเติบโตเลย รวมทั้งการแตกกิ่งกานหรือ
ยอดชาดวย ผลผลิตนอย คุณภาพต่ํา
ถาพืชไดรับธาตุไนโตรเจนมากเกินไปใบจะมีขนาดใหญกวาเดิม และ
จํานวนมากกวาปกติ ที่เรียกกันวาบาใบ หรือ เฝอใบ พืชจะออกดอกชาหรือไมออกดอก
เลย
2. ฟอสฟอรัส เปนธาตุที่พบทั้งในสารอินทรียและสารอนินทรีย
สารประกอบอินทรียสวนใหญพืชนําไปใชโดยตรงไมได ตองใหจุลินทรียย อยสลาย
เสียกอนจึงจะนําไปใชได เชนฟอสโฟลิปด และกรดนิวคลีอิก พืชนําฟอสฟอรัสไป
ใชไดดีที่สุดเมื่ออยูในรูปของ H PO สวน H PO และ PO นั้นพืชนําไปใช
2
−
4 2
2−
4
3−
4
นอยลงไปตามลําดับ
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
สารประกอบอินทรียหลายชนิดมีฟอสฟอรัสเปนองคประกอบและ
สารประกอบเหลานั้นมีความสําคัญตอพืช เชน
2.1 นิวคลีโอโปรตีน (Nucleoprotein) เปนสารประกอบที่เกี่ยวของกับ
การถายทอดพันธุกรรม
2.2 ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) เปนองคประกอบของเซลลเมมเบรน
เชน เลซิทิน (Lecithin)
2.3 NAD และ NADP ทําหนาที่เกี่ยวกับการเคลื่อนยายไฮโดรเจนใน
การหายใจระดับเซลล การสังเคราะหดวยแสง เปนตน
2.4 ATP และ ADP เกี่ยวของทั้งการหายใจระดับเซลล การสังเคราะห
ดวยแสง และกระบวนการ แอกทีฟทรานสปอรต
2.5 กรดไฟติก (Phytic acid) เปนฟอสเฟตที่อยูในเมล็ดพืช
2.6 ไพริดอกซินฟอสเฟต (Pyridoxine phosphate) เปนโคเอ็นไซมที่ใช
ในกระบวนการ ทรานสแอมิเนชัน (Transamination) และเอนไซมกลูตามิก ดีคารบอก
ซิเลส (Glutamic decarboxylase)
ฟอสเฟตที่อยูในพืชจะแยกอยู 2 สวน คือ สวนหนึ่งทําหนาที่เกี่ยวกับ
เมแทบอลิซึม สวนนี้จะอยูในไซโทพลาซึมมีเพียง 12 % สวนอีก 88 % เปนสวนที่ไม
เกี่ยวกับ เมแทบอลิซึม สวนนี้จะอยูใน แวคิวโอล และมีการเคลื่อนยายออกมาจาก
แวคิวโอล เพื่อใชในการเจริญเติบโตได
ถาในบางชวงของวงชีพพืชขาดฟอสฟอรัส จะทําใหกระบวนการดํารงชีวิต
และการเติบโตของพืชผิดปกติ พืชอาจแสดงอาการออกมาใหเห็นไดหรือไม ขึ้นอยูกับ
ปริมาณและความยาวนานของระยะเวลาที่ขาดธาตุ รวมทั้งชวงอายุของพืช ในกรณีที่มี
การขาดอยางรุนแรง พืชจะแสดงอาการดังตอไปนี้
2.1.1 ใบมีขนาดเล็กผิดปกติ สีของใบบริเวณสวนลางมักมีสีเหลือง
ปนสีอื่น เชนในใบขาวโพด เมื่อขาดฟอสฟอรัสจะเปนสีมวง และสีของใบพืชแตละ
ชนิดจะแตกตางกันไป เมื่อขาดฟอสฟอรัส
2.1.2 พืชตนเล็ก แคระแกร็น สําหรับพืชที่เปนไมเถา ลําตนอาจบิด
เปนเกลียว เปราะหักงาย
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
3. โพแทสเซียม ถึงแมวาโพแทสเซียมไมไดเปนสวนประกอบของสารใด
ในพืช แตมหี นาที่กระตุนการทํางานของเอนไซมหลาย ๆ ชนิดโดยเฉพาะอยางยิ่ง
เอนไซมที่เกี่ยวของกับ การสรางน้ําตาล แปง และโปรตีน รวมทั้งการขนยายแปงและ
น้ําตาล รวมทั้งทําหนาที่ดึงน้ําใหมาสูพืชมากยิ่งขึ้น ทั้งยังชวยลดความเปนกรด จาก
การที่พืชสรางกรดอินทรียขึ้นมา
โพแทสเซียมที่อยูในพืชทําหนาที่ตาง ๆ ดังนี้
3.1 เมื่ออยูในรูปของ K+ ทําหนาที่เปน โคแฟกเตอร ของเอนไซมหลาย
ชนิด เชน เอนไซมที่ใชในการสังเคราะหโปรตีน เมื่อพืชขาดโพแทสเซียม ปริมาณ
โปรตีนจะลดลง ในขณะที่ปริมาณ กรดอะมิโน และคารโบไฮเดรตเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากไมสามารถสังเคราะหโปรตีนนั่นเอง
3.2 เกี่ยวของกับเอนไซมที่ใชในกระบวนการหายใจ คือ
เอนไซมไพรูเวตไคเนส (Pyruvate kinase)
3.3 ทําใหสามารถใช คารโบไฮเดรตไดดีขึ้น
3.4 ชวยใหการเปด ปดปากใบโดยมีแสงเปนตัวกระตุน เมื่อพืชมี
โพแทสเซียมมาก ทําใหปากใบเปด เมื่อพืชมี โพแทสเซียมนอย ชวยใหปากใบปดได
เร็วขึ้น
3.5 ทําใหพืชมีการดูดน้ําไดดีขึ้น
3.6 ทําหนาที่เกี่ยวกับการสรางรงควัตถุ พวกคลอโรฟลล
3.7 เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ของ คารโบไฮเดรต
บริเวณที่พบโพแทสเซียมในเซลลพชื คือในไซโทพลาซึม แวคิวโอล
นิวเคลียส ในสภาพของไอออน โพแทสเซียม เคลื่อนที่ไปในลําตนไดงาย และถูก
ลําเลียงจากรากขึ้นไปสูยอด
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
4. แคลเซียม ปกติธาตุแคลเซียมอยูในดินในสภาพที่ไมสามารถจะ
แลกเปลี่ยนกับไอออน ของธาตุอื่น เชนในรูปของหินประกอบแร หรือในรูปของแร
แตมีบางสวนหลุดออกมาอยูในรูปของสารละลายในดิน การทีพ่ ืชจะนําแคลเซียมไป
ใชไดมากนอยเพียงใด ขึ้นกับวาแคลเซียมอยูในรูปของสารประกอบใด รวมทั้งขึ้นกับ
สภาพของดินอีกดวย
แคลเซียมที่อยูในรูปของ Ca2+ นั้นจะถูกอนุภาคของดินดูดติดกับผิวดิน ซึ่ง
ทั่วไปแลวมีประจุลบมากกวาประจุบวก รวมทั้งในอนุภาคดินมักมีไอออนบวกอื่น ๆ
อยูดวย สําหรับดินที่เปนกรดจะมี H+ อยูมาก แตในสภาพที่ดินเปนเบส จะมี Ca2+,
Mg2+ , Na2+ หรือ K+ แทนที่ H+ และ Ca2+ จะเขาแทนที่ H+ ไดดีที่สุด
แคลเซียมที่พบอยูในเซลลพืชอยูในรูปของสารประกอบตาง ๆ คือ
แคลเซียมคารบอเนต แคลเซียมออกซาเลต แคลเซียมฟอสเฟต ซึ่งพบใน แวคิวโอล
สวนแคลเซียมเพกเตต พบในเซลลเพลต (Cell plate) และ มิดเดิล ลาเมลลา
(Middle lamella) แคลเซียมถูกใชในการสรางเยื่อหุมเซลล ชวยทําใหเซลลแบงตัวโดย
มีความเกี่ยวพันกับโครงสรางของโครโมโซม รวมทั้งเปนตัวกระตุน (Activator)
เอนไซม เชน อารจินีนไคเนส (Arginine kinase) อะดีโนซีนโตรฟอสฟาเทส
(Adenosine triphosphatase) เปนตน
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
อาการที่แสดงออกของพืชในขณะที่ขาดแคลเซียม จะแสดงที่ใบบริเวณใกล
ยอดหรือใบออนกับสวนปลายราก เนื่องจากแคลเซียมเปนสารอาหารที่เคลื่อนที่ไมได
(Immobile nutrient) ยอดออนจะตาย ระบบรากไมเจริญตามปกติ รากจะสั้นไมมี
เสนใย มีลกั ษณะเหนียวคลายวุน โดยปกติแลวไมพบวาพืชขาดแคลเซียมเพราะพืช
นําไปใชนอย แมกระทั่งพืชที่ขึ้นในดินทรายก็มีแคลเซียมมากเกินความตองการ และ
เมื่อแคลเซียมมีมากเกินไปพืชก็ไมไดรับอันตราย
5. แมกนีเซียม เมื่ออยูในดินแมกนีเซียมอาจมีทั้งที่ละลายน้ําไดมีทั้งที่แลก
ที่กับไอออนอื่นได และที่ถูกตรึงอยูในดิน แมกนีเซียมมีคุณสมบัติบางประการคลาย
แคลเซียม เปนตนวา ถูกดูดติดอยูกับผิวอนุภาคของดิน แตมีปริมาณนอยกวาแคลเซียม
แมกนีเซียม ทําหนาที่สําคัญ ๆ หลายประการในพืช เชน เปน
สวนประกอบของคลอโรฟลล และเปนตัวกระตุนใหเกิดกระบวนการ เมแทบอลิซึม
ของแปง กรดนีวคลีอิก และฟอสเฟต
พืชที่ขาด แมกนีเซียม จะมียอดและใบออนเปนสีเหลืองซีดกอน
ตอจากนั้นอาจจะเหลืองทั้งตน การเหลืองซีดนี้จะเริ่มจากบริเวณขอบใบอาจเปนจุด
หรือแถบสีเหลืองซีด โดยเฉพาะเกิดกับธัญพืช ในออยพบใบยอดเปนสีขาว หรือสี
เหลืองซีดใบแกมีสีเขียวออน และเริ่มตายจากปลายใบเขาไปยังโคน การแตกกอไม
สม่ําเสมอและเกิดหนอมาก พืชไดแมกนีเซียมมากเกินไปก็ไมเปนอันตราย
SO ในดินมีการแลกเปลี่ยนไอออนที่ผิวอนุภาคดิน ซึ่งเรียกปรากฏการณนี้วา
2−
4
เปลี่ยนเปน SO 2−
4
ธาตุจําเปนที่พืชตองการปริมาณนอย (Micronutrient)
ธาตุอาหารเสริมเปนธาตุที่พืชตองการในปริมาณนอยมาก เมื่อเทียบกับกลุม
ธาตุที่กลาวมาแลว ถึงแมพืชตองการในปริมาณนอยมาก แตขาดไมได จะทําใหพืชตาย
หรือการเจริญเติบโตลดลง ธาตุเหลานี้จึงจําเปนในการดํารงชีวิตของพืช ธาตุอาหาร
เสริมที่จําเปนเหลานี้ไดแก
1. เหล็ก ในพืชอยูในรูปของสารประกอบเฟอริดอกซิน ทําหนาที่เปน
ตัวรับอิเล็กตรอน ในการสังเคราะหดวยแสง และเกี่ยวของกับไซโทโครมเอนไซมใน
กระบวนการหายใจ นอกจากนั้นเหล็กยังทําหนาที่เกี่ยวกับการสรางคลอโรฟลล
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
เคลื่อนที่ไปสูยอดไดชามาก
2. แมงกานีส เปนธาตุที่เปนตัวกระตุนการทํางานของเอนไซมชนิดตาง ๆ
เชน ไนไตรต รีดักเตส (Nitrite reductase) ซึ่งทําหนาที่ รีดิวซไนไตรตใหเปน
แอมโมเนียมาลิก ดีไฮโตรจีเนส (Malic dehydrogenase) ไฮดรอกซิลามีน รีดกั เตส
(Hydroxylamine reductase) แมงกานีส ยังเกี่ยวของกับการสรางกรดไขมัน
การสังเคราะหดวยแสง โดยเปนตัวเรงปฏิกิริยาโฟโตลิซิส แมงกานีส เรงการสราง
คลอโรฟลล และเปนตัวเรงกระบวนการออกซิเดชัน ในการหายใจของพืช
เมื่อพืชไดรับแมงกานีสไมพอเพียง จะแสดงอาการผิดปกติที่ใบโดยใบจะ
มีสีเหลืองระหวางเสนใบ เนื่องจากขาดคลอโรฟลล แตเสนใบยังเขียวเปนปกติ มักจะ
เปนกับใบออนกอน บางทีเกิดเปนจุดเหลืองหรือขาวบนใบ การเจริญเติบโตชาไมให
ดอกไมใหผล
3. สังกะสี ไดจากหินแรหลายชนิด เชน แมกนีไตต (Magnetite)ไบโอไตต
(Biotite) เมื่อหินแรเปลี่ยนสภาพ สังกะสีไอออน (Zn2+ ) จะหลุดออกมาอยูในดินในรูป
ของสังกะสีที่ถูกแลกที่ได
หนาที่ของสังกะสีในพืชทําหนาที่เกี่ยวกับการสรางกรดอินโดล -3
อะซิติก (Indole 3- acetic acid) หรือ IAA นอกจากนั้นสังกะสียังเปนตัวกระตุน
เอนไซมหลายชนิด เชน เฮกโซไคเนส (Hexokinase) คารบอนิกแอนไฮเดรส
(Carbonic anhydrase) แอลกอฮอลดีไฮโดรจีเนส (Alcoholdehydrogenase)
เมื่อพืชขาดสังกะสี พืชจะสูงชาใบเล็กแคบไมออกผล และสรางออกซิน
(Auxin) ไดนอยลง หรืออาจไมสรางเลย การทํางานของออกซินจะลดลงราว 50 %
หรือมากกวานั้น เมื่อพืชขาดสังกะสีอยางรุนแรงเมื่อใสสังกะสีลงไปพืชจะเพิ่มปริมาณ
ออกซินอยางมากภายใน 2-3 วัน
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
พืชผักที่รับประทานใบ ตองการธาตุอาหารไนโตรเจนมากเปนพิเศษเพื่อ
บํารุงใบ สําหรับพืชดอก ตองการธาตุอาหารฟอสฟอรัสมากเปนพิเศษ
การปลูกออย หลังจากที่เจริญเติบโตสรางปลองแลว ควรใหธาตุอาหาร
โพแทสเซียม เพื่อเพิ่มความหวานแกออย การปลูกมันสําปะหลัง หากตองการเพิ่ม
ปริมาณแปงควรเพิ่มโพแทสเซียม เชนเดียวกับออย เพราะ โพแทสเซียม ชวยใน
การสรางคารโบไฮเดรต
จากความรูเรื่องคุณสมบัติตาง ๆ ของธาตุและประโยชนที่มีตอพืชรวมทั้ง
การเกิดปญหาการขาดแคลนที่ดินในการเพาะปลูก จึงมีแนวคิดที่จะปลูกพืชโดยไมใช
ดิน ดวยการปลูกพืชในสารละลาย หรือไฮโดรพอนิกส (Hydroponic culture) ที่มี
แรธาตุตาง ๆ ที่พืชตองการ และยังสามารถเติมเฉพาะธาตุแตละชนิดที่พืชตองการ
ในปริมาณที่เหมาะสมไดอีกดวย
สิ่งสําคัญที่ตองระวังในการปลูกพืชดวยวิธีนี้คือ pH ของสารละลายที่ไม
คงที่ หลังจากแชรากพืชไวในสารละลายนานพอควร pH ของสารละลายจะเพิ่มจาก
เดิมที่แรกปลูก pH อยูที่ 5 เนื่องจากพืชสามารถดูดสารที่มีประจุลบ เชน พวกไนเตรด
ฟอสเฟต ซัลเฟตไดดีกวาสารที่มีประจุบวกไดแก โพแทสเซียม แมกนีเซียม และ
แคลเซียม จากนั้นพืชจะปลอย ไฮดรอกไซดไอออน ออกมาแทนที่สารประจุลบที่พืช
ดูดเขาไป สารละลายจึงมีสภาพเปนเบส เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ Ph จึงมีคาสูงขึ้น ดังนั้น
การปลูกพืชในสารละลายจึงจําเปนตองมีวิธีการปองกันไมใหคา pH เปลี่ยนไป หรือถา
เปลี่ยนไปก็ใหเปลี่ยนไดนอยมาก ดวยการเติมกรดหรือเบสลงไปเพื่อปรับสภาพ pH
ใหไดคาตามที่พืชตองการ
หากพืชไดรับธาตุบางอยางมากเกินไปก็เปนอันตรายไดเชนเดียวกัน
ตัวอยางเชน ถาไดรับไนโตรเจนมากเกินไปก็ไมติดดอกจึงไมมีผลดวย สําหรับพืชที่ให
เสนใย จะทําใหเสนใยที่ไดคุณภาพไมดี
การใชปุย
เนื่องจากพื้นที่ของประเทศไทยนับวันจะถูกใชเปนที่อยูอาศัย ถนนหนทาง
สวนพื้นที่ปาไม อันเปนตนน้ําลําธาร ที่สงวนเอาไวก็มักจะโดนบุกรุก เพราะประชากร
ของประเทศประมาณ 70-80 % เปนเกษตรกร และมีพื้นที่เพียง 39 % ของประเทศที่ใช
ในการเพาะปลูก จึงตองหาวิธีการตาง ๆ เพื่อเพิ่มผลผลิตของพืช เชน การเพิ่ม
ความอุดมสมบูรณใหแกพื้นดินโดยการใชปุย ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ปุยอนินทรีย และ
ปุยอินทรีย
1. ปุยอนินทรียหรือปุยเคมีหรือปุยวิทยาศาสตร
ในปจจุบันเกษตรกรนิยมใชปุยเคมีหรือปุยอนินทรียที่รูจักกันในชื่อ
ปุยวิทยาศาสตรซึ่งหมายถึง ปุยที่ไดจากการสังเคราะหจากสารอนินทรียชนิดตาง ๆ
รวมทั้งสารอินทรียสังเคราะหบางชนิด เชน ยูเรีย ปุยเคมีสวนมากทําหนาที่เพิ่มปริมาณ
ธาตุที่จําเปนใหพืชในปริมาณสูง ซึ่งอาจแยกปุยเคมีออกเปน 2 กลุมใหญ ๆ คือ
1.1 ปุยเดี่ยว หมายถึงปุยที่ใหธาตุหลักเพียงธาตุเดียว เชน ปุย
แอมโมเนียมซัลเฟต เปนปุยเดี่ยวที่ใหธาตุไนโตรเจนกับพืช
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
20 % โดยน้ําหนัก
มีปริมาณโพแทสเซียมในรูปของโพแทส ( K O ) ที่ละลายน้ําได 5 % โดย
2
น้ําหนัก
ปุยเกรด 15-15-8 จํานวน 40 กิโลกรัม มีแรธาตุในปุยแตละชนิดจํานวนเทาไร
วิธีคิด
เกรดปุย 15-15-8 หมายถึง มี N 15 % P 15 % K 8 %
15 × 40
ดังนั้น ปุย 40 กิโลกรัม จึงมี N = = 6 กิโลกรัม
100
15 × 40
P= = 6 กิโลกรัม
100
8 × 40
K= = 3.2 กิโลกรัม
100
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
2. ปุยอินทรีย
นอกจากปุยเคมีแลว ยังมีการใชปุยอินทรีย ซึ่งเปนอินทรียวัตถุหลาย ๆ
ชนิดไดแก ปุย คอก ปุยหมัก ปุยพืชสด นอกจากนี้ยังมี กากถั่ว กากเมล็ดฝาย ซึ่งเหลือ
จากโรงงานอุตสาหกรรม กระดูกปน เลือดแหงจากโรงฆาสัตว นอกจากนั้นยังมีปุย
เทศบาล ซึ่งเกิดจาก การหมักขยะตาง ๆ แลวปรุงแตงโดยการเสริมธาตุอาหารบางอยาง
เขาไป นอกจากนั้นยังมี น้ํากากสาเหลา สามารถนําไปใชทําปุยหมักไดดวย ถึงแมปุย
อินทรียจะใหธาตุอาหารต่ํา แตสามารถอมน้ําไดดี มีความชื้น รากพืชสามารถชอนไช
ไปไดสะดวก ดังนั้น หากมีการตัด หรือดายหญาหรือมีตนไมตาย ไมตองเผาทิ้ง
สามารถนําไปหมักทําเปนปุยไดเพื่อนํามาปรับปรุงโครงสรางของดิน
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
การใชปุยในการเพาะปลูกนอกจากทําใหเพิ่มคาใชจายในการเพาะปลูก
แลวยังทําใหดินเสื่อมสภาพไมเหมาะสมในการเพาะปลูกไดอีกดวย โดยเฉพาะอยางยิ่ง
ปุยเคมี ดังนั้นจึงมีการวิจัยคนควาหาพันธุพืชที่สามารถปลูกโดยใชดินที่มธี าตุอาหาร
ปริมาณต่ําได แตใหผลผลิตสูง
3. ปุยชีวภาพ
ทั้งปุยวิทยาศาสตรและปุยอินทรียตางก็มีขอดี และขอเสียแตกตางกัน แต
ในปจจุบันมีปุยอีกชนิดหนึ่ง คือปุยชีวภาพ (Biofertilizer) ที่ใชแบคทีเรีย และสาหราย
สีเขียวแกมน้ําเงิน ที่สามารถตรึงแกสไนโตรเจนจากอากาศเปลี่ยนใหเปนสารประกอบ
ไนเตรตที่พืชใชได และยังมีจุลินทรียที่ชวยยอยสลายสารอินทรียโมเลกุลใหญใหเปน
โมเลกุลเล็กลง ที่พืชดูดซึมไปใชได จุลินทรียเหลานี้นํามาใชประโยชนกับพืชได
เชนเดียวกับการใชปุยวิทยาศาสตรหรือปุยอินทรีย
© ธีระ วงศเกษม โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา www.wongkasem.com
3.2 จุลินทรียที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงฟอสฟอรัสที่อยูในดินใหเปน
ประโยชนกับพืช เนื่องจากพืชไมสามารถไดฟอสฟอรัสอยางพอเพียงทั้ง ๆ ที่ดิน
บริเวณนั้นไมขาดฟอสฟอรัส เพราะฟอสฟอรัสจะถูกตรึงเอาไวในดิน แตมีรา
ไมโคไรซา (Mycorrhiza) อาศัยอยูกับรากพืชโดยอยูกันแบบพึ่งพา คือ ราจะชวยยอย
สลายแรธาตุที่เปนสารประกอบในดินบริเวณใกลราก โดยเฉพาะฟอสฟอรัสที่ถูกตรึง
เอาไวในดิน จนพืชไมสามารถนําไปใชได จะถูกราไมโคไรซา ปลอยเอนไซมออกมา
ยอยสลายจนพืชนําไปใชได สวนประโยชนที่ราจะไดรับจากพืช คือน้ําตาล
กรดอะมิโน และสารอื่น ๆ จากรากพืช
การใชปุยชีวภาพนั้น ในปจจุบันมีการใชกันอยางแพรหลาย จนมีการสราง
โรงงานผลิต ไรโซเบียม ขนาดใหญขึ้นทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ อีกมาก
สําหรับประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ ไดจัดทํา
การจัดตั้งศูนย ไรโซเบียม เปนปุยชีวภาพจําหนายใหกับเกษตรกร
ขอเสีย ของการใชปุยชีวภาพที่เปนจุลินทรียซึ่งมีชวี ิต คือ สภาวะแวดลอม
ของดินตองไมมีสารเคมีหรือยาฆาแมลงและมีปจจัยอื่น ๆ ที่เอื้อตอการมีชีวิตจึงจะใช
ปุยชีวภาพไดผลดี
การใชปุยเคมีไปนาน ๆ จะทําใหเกิดการสะสมสารเคมี ดินจับตัวกันแข็ง
กวาปกติ ทําใหอากาศในดินถายเทไดไมดี และน้ําซึมชา รากชอนไชไดยาก พืชจึง
เจริญเติบโตไมดี
การใชปุยอินทรียในการเพาะปลูกนั้น ทําใหดินรวนซุย รากพืชจึงชอนไช
เขาไปในดินไดดีไมทําใหสภาพแวดลอมของดินเสีย เพราะปุยอินทรียยอยสลายไดงาย
จึงไมมีสารพิษตกคางอยูในดิน