Professional Documents
Culture Documents
20 ตำราการปลูกสร้างสวนป่า2019
20 ตำราการปลูกสร้างสวนป่า2019
คำนำ
ในปัจจุบันการปลูกป่าเศรษฐกิจได้ทวีความสาคัญมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อผลิตไม้ให้ได้
ตามความต้องการใช้ไม้ภายในประเทศ และเพื่อการส่งออก จากนโยบายป่าไม้ของประเทศไทย
ที่กาหนดให้มีป่าในพื้นที่ประเทศร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ จาแนกเป็นป่าอนุรักษ์ร้อยละ 25
และป่าเศรษฐกิจร้อยละ 15 โดยปัจจุบันพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีอยู่ประมาณ 22 ของพื้นที่ประเทศ
แต่ป่าเศรษฐกิจที่กาหนดไว้เพื่อการผลิตไม้และของป่าเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจโดยตรง
มีพื้นที่เพียงประมาณ 5 ล้านไร่ เท่านั้น ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ โดยความ
ต้องการใช้ ไม้ในอุต สาหกรรมประเภทต่างๆ เพิ่ มขึ้ น จาก 44 ล้ านตั น ในปี พ.ศ.2548 เป็ น
58 ล้านตัน ในปี พ.ศ.2559 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 85 ล้านตัน ในปี พ.ศ.2580 จะเห็นได้ว่า
การเพิ่มพื้น ที่ ป่ าเศรษฐกิจ จึ งมีความจาเป็ นและสอดคล้ องกับแนวทางในการขับเคลื่ อนการ
ปฏิรูปประเทศทางด้านป่าไม้ ดังนั้น องค์ความรู้ทางด้านปลูกป่าจึงมีส่วนความสาคัญอย่างยิ่งต่อ
การเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ
ตารา การปลูกสร้างสวนป่า เล่มนี้เป็นตาราที่รวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการ
ปลูกป่าโดยเน้นการปลูกสร้างสวนป่าเชิงเศรษฐกิจอย่างครบวงจร ทั้งสวนป่าเศรษฐกิจขนาด
ใหญ่ และสวนป่าเศรษฐกิจชุมชน ตั้งแต่ หลักการปลูกสร้างสวนป่า การปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่า การ
จัดการเมล็ดและการผลิตกล้าไม้ วิธีการและเทคนิคการปลูกสร้างสวนป่า ระบบวนวัฒน์ในสวน
ป่า การอารักขาป่าไม้ การจัดการสวนป่า การตัดฟันและระบบการขนส่ง และการใช้ประโยชน์
ไม้จากสวนป่า นอกจากนี้ยังนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการปลูก
สร้างสวนป่าเพื่อเพิ่มความสาเร็จและความคุ้มทุน และสอดคล้องกับความจาเป็นและทิศทางใน
การพัฒนาประเทศ วัตถุประสงค์หลักของตารา การปลูกสร้างสวนป่า เพื่อใช้เป็นแหล่งค้นคว้า
ของนิสิต และนักศึกษา ระดับอุดมศึกษาในการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับการปลูกสร้างสวน
ป่าเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังสามารถเป็นแหล่งความรู้พื้นฐานสาหรับผู้ที่สนใจนาไปปฏิบัติ
(2) | การปลูกสร้างสวนป่า
สำรบัญตำรำง
ตำรำงที่ หน้ำ
4.1 สารละลาย (ก/ล) ที่ใช้เตรียมอาหารสาหรับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อa 81
4.2 ข้อมูลเมล็ดพันธุ์ไม้ และการปฏิบัติก่อนเพาะเมล็ดพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ 84
5.1 ข้อดีและข้อเสียของวิธีการกาจัดวัชพืชวิธีต่างๆ 103
7.1 ตารางรวบรวมรายละเอียดของการตัดไม้เมื่อโตปานกลาง 130
7.2 รวมรายละเอียดของประเภทของการตัดขยายระยะ 135
7.3 ข้อมูลรายละเอียดของแต่ละประเภทการตัดขยายระยะเพื่อประกอบการ 137
พิจารณาเลือกใช้
7.4 แสดงรายละเอียดระบบการตัดไม้เพื่อการสืบพันธุ์ 140
8.1 ผลของการแก่งแย่งของวัชพืชกับอัตราการรอดตายของไม้สน 155
ในช่วงแล้ง
8.2 การขายไม้สักสวนป่าของงานสวนป่าแม่ลี้ จังหวัดลาพูน ช่วงปี พ.ศ. 162
2556 - 2559
10.1 ตัวอย่างราคาไม้สักจากสวนป่าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ 192
(อ.อ.ป.) ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2559
10.2 สรุปข้อดี – ข้อเสียของการขนส่งแต่ละประเภท 195
10.3 ตัวอย่างระบบการทาไม้ยูคาลิปตัสในประเทศไทยในปัจจุบัน 200
12.1 หลักเกณฑ์การแบ่งไม้เนื้ออ่อนไม้เนื้อแข็งตามมาตรฐานกรมป่าไม้ 233
การปลูกสร้างสวนป่า | (5)
สำรบัญภำพ
ภำพที่ หน้ำ
1.1 แนวโน้มพื้นที่ปลูกสร้างสวนป่าของโลก (World) และภูมิภาคเอเชีย 10
(Asia) และภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ (S and SE Asia)
1.2 ประเทศที่มีอัตราการปลูกสร้างสวนป่ามากที่สุดในโลกในช่วง 11
พ.ศ. 2533 - 2553
1.3 พรรณไม้ที่นิยมปลูกสร้างสวนป่ามากที่สุดในโลก 11
1.4 พื้นที่ปลูกสร้างสวนป่าของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2548 - 2556 13
จาแนกเป็นรายชนิด/กลุ่ม ก. รวมพื้นที่ปลูกยางพารา ข. ไม่รวมพื้นที่ปลูก
ยางพารา
1.5 ภาพรวมของกิจกรรมการปลูกป่าสร้างสวนป่า 19
2.1 ขั้นตอนการพัฒนาพันธุ์ไม้ป่าให้เป็นไม้เศรษฐกิจ (treed omestication) 27
2.2 องค์ประกอบและกิจกรรมในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่า 35
ขั้นตอนการจะทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ 45
2.3
ของสานักคุ้มครองพันธุ์พืช
4.1 การติดตาแบบตัวที (T-budding) 74
4.2 การติดตาแบบปะ (patch budding) 74
4.3 การติดตาแบบฟลูท (flute budding) 75
4.4 การติดตาแบบริง (ring budding) 75
4.5 การต่อกิ่งแบบวิพหรือทังก์ (Whip or Tongue) 76
4.6 การต่อกิ่งแบบสไปลซ์ (Splice) หรือแบบฝาน 76
(6) | การปลูกสร้างสวนป่า
สำรบัญภำพ (ต่อ)
ภำพที่ หน้ำ
4.8 การต่อกิ่งแบบนอทซ์ (Notch) 77
4.9 การเสียบเปลือก (bark grafting) 77
4.10 การเสียบข้าง (side grafting) 78
4.11 การทาบกิ่ง (approach grafting) 78
4.12 การเสริมราก (inarching) 79
4.13 การเสียบเปลือก (bark grafting) 79
7.1 การจัดการสวนป่าที่มีอายุรอบตัดฟัน 60 ปี โดยมีการตัดเมื่อไม้โตปาน 19
กลาง (Intermediate Cuttings) และการการตัดฟันเพื่อสืบพันธุ์
(Reproduction Cuttings หรือ Regeneration Cuttings)
8.1. กลุ่มปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการจัดการสวนป่า 146
8.2. ไดอะแกรมแสดงการเข้าทาลายของปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลให้ต้นไม้ 147
อ่อนแอและเป็นช่องทางให้สิ่งมีชีวิตลาดับที่ 2 (secondary organism)
เข้าทาลายซ้าเติม
8.3 ช่องทางการสูญเสียธาตุอาหารในระบบนิเวศป่าไม้จากการเกิดไฟไหม้ 151
8.4 การระบุทิศทางและตาแหน่งของจุดเกิดไฟไหม้โดยการเล็งจากหอดูไฟ 2 153
หอ
8.5 ลักษณะวงจรชีวิตของหนอนผีเสื้อเจาะต้นสักในรอบ 1 ปี 160
8.6 ลักษณะภายนอกลาต้นสักที่เป็นปุ่มปม (ซ้ายบน) และภายในลาต้นสัก 161
เกิดจากการทาลายของหนอน
8.7 ราคาต่อหน่วย (ลบ.ม) ของไม้สักที่ขายได้มาก/น้อยกว่าราคากลางที่ตั้งไว้ 162
(ซ้าย) และมูลค่าความเสียหายของไม้สักที่ขายได้มาก/น้อยกว่าราคา
กลางที่ตั้งไว้ (ขวา) กรณีสวนป่าแม่ลี้
(8) | การปลูกสร้างสวนป่า
สำรบัญภำพ (ต่อ)
ภำพที่ หน้ำ
8.8 วงจรชีวิตของหนอนผีเสื้อกินใบสัก 163
8.9 แตนฝอยปมและลักษณะการทาลายของแตนฝอยปมที่ใบยูคาลิปตัส 165
9.1 องค์ประกอบของการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืน 173
9.2 การตัดฟันไม้ตัวอย่างเพื่อประเมินผลผลิตทางตรงของสวนป่าด้วยวิธีการ 177
สร้างสมการความสัมพันธ์ ดัดแปลงจาก (Meunpong, 2012)
9.3 การเติบโตของต้นไม้ในรูปแบบ Sigmoid growth curve 179
10.1 ขั้นตอนการล้มไม้ 188
10.2 เทคนิคการล้มไม้ที่มีขนาดเล็กกว่าความยาวใบเลื่อย 189
10.3 เทคนิคการล้มไม้ที่มีขนาดเป็น 2 เท่าของความยาวใบเลื่อย 189
10.4 เทคนิคการล้มไม้ที่มีขนาดมากกว่า 2 เท่าของความยาวใบเลื่อย 190
10.5 การทอนไม้ที่ถูกวิธี 191
10.6 เทคนิคการลิดกิ่ง 193
10.7 การชักลากไม้ด้วยช้าง 194
10.8 วิธีการทาไม้ 197
10.9 เครื่องจักรกลที่ใช้ในการทาไม้ยาว (A) Feller buncher (B) Skidder 198
10.10 เครื่องจักรกลที่ใช้ในการทาไม้สั้นในประเทศไทย 198
10.9 เครื่องจักรกลที่ใช้ในการทาไม้ยาว (A) Feller buncher (B) Skidder 199
10.12 ตัวอย่างการทาชิ้นไม้สับ (A) การทาชิ้นไม้สับที่บริเวณจุดรวมไม้ข้างทาง 199
ตรวจการณ์ (B) การทาชิ้นไม้ สับในบริเวณป่า
10.13 ตัวอย่างการบูรณาการการทอนไม้เพื่อให้ได้ผลกาไรสูงสุด 200
การปลูกสร้างสวนป่า | (9)
สำรบัญภำพ (ต่อ)
ภำพที่ หน้ำ
10.14 ระบบการทาไม้ในประเทศฟินแลนด์ในรูปแบบของ Integrated logging 201
(A) เครื่อง Harvester ทาหน้าที่ในการตัดไม้ ลิดกิ่ง และรวมกอง (B)
เครื่อง Forwarder ทาหน้าที่ในการลาเลียงไม้ เศษไม้ และตอราก
ออกมาจากแปลงทาไม้ (C) เครื่อง Stump harvester ทาหน้าที่ในการ
ขุดตอรากเพื่อนามาใช้ใน อุตสาหกรรมพลังงาน และ (D) เครื่อง
Bundler ใช้ในการบีบอัดเศษไม้ปลายไม้ที่เหลือจาการทาไม้ให้เป็นท่อน
ทรงกระบอก เพื่อใช้ ในการผลิตพลังงาน
10.15 อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่เหมาะสมสาหรับงานทาไม้ 202
10.16 ตัวอย่างเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย (A) รถ 203
แทรกเตอร์ประยุกต์ เรียกว่า รถงา (B) รถแทรกเตอร์ประยุกต์สาหรับใช้
โค่น/ดันไม้ยางพารา (C) รถแทรกเตอร์ประยุกต์ติดเขี้ยวหมา (D) รถจอ
หนัง ใช้สาหรับการขนส่งไม้ระยะใกล้จากแปลงทาไม้มายังหมอนไม้
11.1 ตราสัญลักษณ์การรับรองของ FSC 219
11.2 ตราสัญลักษณ์การรับรองของ PEFC 222
12.1 ภาพรวมอุตสาหกรรมไม้ของไทย 231
12.2 ลักษณะต่างๆของชิ้นไม้ในรูปของการใช้ประโยชน์ไม้ 236
12.3 รูปแบบการใช้ประโยชน์ไม้ยางพารา 240
12.4 อัตราการแปรรูปไม้ยางพารา 242
บทที่ 1
ภำพรวมกำรปลูกสร้ำงสวนป่ำ
Overviews of Forest Plantations
1. บทนำ (Introduction)
ในปัจจุบันการปลูกสร้างสวนป่าได้ทวีความสาคัญมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อผลิตไม้ออกให้
ได้ปริมาณมากที่สุดภายในเวลา เนื้อที่ และการลงทุนอันจากัด นอกจากความสาคัญทางด้าน
เศรษฐกิจแล้ว สวนป่ายังอานวยผลทางด้านนิเวศวิทยา คือเป็นการรักษาพื้นที่ให้มีพืชปกคลุมอยู่
ตลอดเวลา อันจะส่งผลทาให้คุณภาพของพื้นที่และสภาพแวดล้ อมต่างๆ ดีขึ้น เพื่อให้บรรลุ
วัตถุประสงค์หลักทางด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติทางวนวัฒ นวิทยาต่างๆ เช่น
การตัดขยายระยะ การลิดกิ่ง การกาจัดวัชพืช ฯลฯ จึงเป็นงานที่มีความสาคัญและควรปฏิบัติ
ภายหลังการปลูกต้นไม้ในสวนป่าแล้ว
การปลูกสร้างสวนป่ามีหลากหลายความหมาย เช่น เทอด สุปรีชากร ได้ให้ความหมาย
การปลูกสร้างสวนป่ า หมายถึง การสร้างป่าขึ้นในพื้นที่ที่ในปัจจุบันมีไม้ขึ้นอยู่น้อย หรือไม่มี
ต้นไม้เลย (มณฑี, 2538) ในขณะที่ มณฑี (2538) ได้ให้ความหมายของ การปลูกสร้างสวนป่า
หมายถึ ง การน าไม้ ป่ า มาปลู ก ในพื้ น ที่ ที่ ก าหนด อย่ า งมี ร ะบบระเบี ย บแบบแผน โดยมี
วัตถุประสงค์แน่นอน
ในระดับสากลความหมายของการปลูกสร้างสวนป่าก็มิได้มีการกาหนดนิยามที่แน่นอน
มีการใช้คาว่า forest plantations สาหรับการปลูกสร้างสวนป่า ซึ่งทั่วไปหมายถึงป่าที่เ กิดขึ้น
จากการนาพรรณไม้ป่าไปปลูกในพื้นที่ใดๆ อาจจะเป็นการปลู กด้วยกล้าหรือเมล็ด และนิยมใช้
คาว่า planted forest ในความหมายของป่าปลูกมากขึ้น (Evans, 2004) อย่างไรก็ตาม ที่มา
ของความหมายของการปลู ก สร้ า งสวนป่ า ที่ นั ก วิ ช าการให้ ค วามส าคั ญ ก็ คื อ การประชุ ม
“A World Symposium on Man-Made Forests and their Industrial Importance”
ที่จัดขึ้น ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2510 และได้
นามารวบรวมไว้ในรายงานการประชุม (FAO, 1967) โดยสรุปคาว่า “man-made forest”
2 | การปลูกสร้างสวนป่า
หรือ “ป่าปลูก” หมายถึง ไม้ป่าที่มนุษย์ปลูกขึ้นด้วยการหว่านเมล็ดหรือ การปลูก และได้สรุป
ความหมายของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับป่าปลูก ดังนี้
afforestation หมายถึง การปลูกป่าในพื้นที่ที่ไม่เคยเป็นป่ามาก่อนในช่วงความทรงจา
ของมนุษย์ โดยกาหนดในช่วงเวลา 50 ปี
reforestation หมายถึง การปลูกป่าในพื้นที่ที่เคยเป็นป่ามาก่อนในช่วงความทรงจา
ของมนุษย์ โดยกาหนดในช่วงเวลา 50 ปี
artificial regeneration หมายถึง การสืบต่อพันธุ์โดยมนุษย์ ในพื้นที่ที่เคยเป็นป่ามา
ก่อนในช่วงความทรงจาของมนุษย์ โดยกาหนดในช่วงเวลา 50 ปี โดยใช้พรรณไม้ดั้งเดิม ซึ่งเป็น
การฟื้นฟูป่านั่นเอง
natural regeneration (with assistance) หมายถึ ง การสื บ ต่ อ พั น ธุ์ ต ามธรรมชาติ
โดยวิธีปฏิบัติทางวนวัฒน์ โดยใช้พรรณไม้ดั้งเดิม
โดยความหมายของ “ป่าปลูก” ในที่นี้มีความหมายเหมือนกับ “forest plantation”
หรือ “สวนป่า” ที่นิยามโดย British Commonwealth และยังได้ให้ข้อคิดเห็นถึ งประเด็นใน
การกาหนดนิยามของพืชเกษตร (agricultural crop) และไม้ป่า (forestry crop) ว่าเป็นบริบท
ของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชเกษตรที่มีเนื้อไม้ เช่น ยางพารา และมะม่วงหิมพานต์
เป็นต้น บางประเทศกาหนดให้เป็นพืชเกษตร บางประเทศกาหนดให้เป็นไม้ป่า (FAO, 1967)
เช่นในประเทศไทยก็กาหนดให้ยางพาราเป็นพืชเกษตร เนื่องจากในตอนแรกที่นามาปลูกเพื่อใช้
ประโยชน์จากน้ายางเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้เพิ่มขึ้น
ต่อมามีการปรับปรุงความหมายของป่ าปลูก และสวนป่าอยู่เรื่อยๆ และได้มีการจัด
ประชุ ม ร่ ว มกั บ องค์ ก รต่ างๆ ได้ แ ก่ CIFOR, FAO, ITTO, IPCC, UNEP และ IUFRO และได้
ข้อสรุ ป เพิ่ม เติม ว่า “planted forest” หรือ “ป่ าปลู ก” หมายถึ ง ป่ าที่ เกิ ดขึ้น จากการปลู ก
หว่านเมล็ ด หรื อ การแตกหน่ อ ของป่ าที่ เกิ ด ขึ้น จากการปลู ก และหว่านเมล็ ด และ “forest
plantation” หรือ “สวนป่า” หมายถึง ป่าที่เกิดขึ้นจากการปลูกหรือหว่านเมล็ดของพรรณไม้
ต่างถิ่ น หรื อ พรรณไม้ พื้ น เมื อ ง ทั้ ง ในพื้ น ที่ ที่ ไม่ เคยเป็ น ป่ ามาก่ อน และเคยเป็ น ป่ ามาก่ อ น
โดยประกอบด้วยพรรณไม้ 2 - 3 ชนิด มีอายุสม่าเสมอ (even-aged) และระยะปลูกสม่าเสมอ
(regular spacing) และได้กาหนดชัดเจนว่า “ป่าปลูก” ในที่นี้จาแนกเป็น “สวนป่า” และป่า
ปลูกรูปแบบอื่นๆ (CIFOR, 2002)
ล่าสุด FAO (2010) ได้นานิยามที่เกี่ยวข้องกับการปลูกป่ามาทบทวนและปรับปรุง และ
สามารถสรุปนิยามที่เกี่ยวข้องการปลูกสร้างสวนป่าได้ ดังนี้
บทที่ 1 ภาพรวมการปลูกสร้างสวนป่า | 3
ป่าไม้มีบทบาทสาคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมและการบริการของระบบนิเวศ (ecosystem
services) ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่มนุษย์ได้รับจากระบบนิเวศ ดังนั้น การปลูกสร้างสวนป่า ไม่ว่า
มีวัตถุประสงค์ใดย่อมมีบทบาทในการอานวยประโยชน์ทางด้านสิ่งแวดล้อมและการบริการของ
ระบบนิเวศ โดยทั่วไปการบริการของระบบนิเวศสามารถจาแนกออกได้เป็น 4 ด้าน ดังนี้
• เป็ นแหล่งทรัพยากรที่ให้ ประโยชน์ โดยตรง (provisioning service) เช่น อาหาร
เนื้อไม้ เส้นใย (fiber) ชีวเคมี ทรัพยากรพันธุกรรม และเชื้อเพลิง เป็นต้น
• ประโยชน์ ที่ ได้ จ ากการท าหน้ าที่ ของระบบนิ เวศในการควบคุม และรักษาสมดุ ล
ธรรมชาติ (regulating service) เช่น คุณภาพอากาศ ภูมิอากาศ ป้องกันการเกิด
อุทกภัย/ภัยแล้ง การควบคุมมลภาวะ การระบาดของโรค และการไหลเวียนของน้า
เป็นต้น ซึ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์กับองค์ประกอบของระบบนิเวศ
• คุณค่าทางวัฒนธรรม (cultural service) เช่น คุณค่าทางสุนทรียภาพ การพักผ่อน
หย่ อ นใจ การศึ ก ษา นั น ทนาการ การท่ อ งเที่ ย ว และคุ ณ ค่ า ทางจิ ต ใจและจิ ต
วิญญาณเป็นต้น
• ทาหน้ าที่สนั บสนุน ให้เกิดการบริการของระบบนิเวศ (supporting service) เช่น
การหมุนเวียนสารอาหาร ความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งอาศัยของสัตว์ป่า
เป็นต้น
บทที่ 1 ภาพรวมการปลูกสร้างสวนป่า | 7
นอกจากนี้ ในปั จ จุ บั น บทบาทของการปลู กป่ าเพื่ อ เป็ น แหล่ งการกัก เก็บ คาร์บ อน
(carbon sink) กาลังเป็นประเด็นที่กาลังได้รับความสนใจ ป่าไม้ ไม่ว่าจะเป็นป่าธรรมชาติ หรือ
สวนป่ามีการกักเก็บ คาร์บอนโดยการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศผ่านทาง
กระบวนการสังเคราะห์แสงของใบ เพื่อสร้างอินทรียสารซึ่งมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบนามากัก
เก็ บ ไว้ในส่ ว นต่ างๆ ของต้ น ไม้ หรื อที่ เรี ย กว่าการกั ก เก็ บ คาร์บ อนในมวลชี ว ภาพ (carbon
storage in biomass) ทั้งในส่วนที่อยู่เหนือดิน ได้แก่ ลาต้น กิ่ง และใบ และส่วนที่อยู่ใต้ดิน คือ
ราก โดยทั่วไป ป่าไม้หรือสวนป่าที่มีต้นไม้ที่กาลังเติบโตเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่มีศักยภาพ
มากกว่า หรือสามารถดูดซับคาร์บอนได้มากกว่าป่าไม้หรือสวนป่าที่มีต้นไม้อายุมากหรือมีอัตรา
การเติบโตน้อย ทั้งนี้ ศักยภาพของสวนป่าในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น
อีกหลายปั จ จั ย เช่น ชนิ ดพรรณไม้ที่เป็ น องค์ประกอบ ความหนาแน่ นของต้นไม้ สภาพภู มิ
ประเทศ สภาพภูมิอากาศ และปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เป็นต้น (สาพิศ, 2550)
3. ควำมเป็นมำของกำรปลูกสร้ำงสวนป่ำ (History of Forest Plantations)
3.1 ทั่วโลกและภูมิภำคเอเชีย (World and Asian Region)
การปลูกต้นไม้ทั่วโลกได้เริ่มมีมานานตั้งแต่สมัยคริสตกาล แต่การปลูกป่าเพื่อทดแทน
ป่าธรรมชาติเช่นการปลูกป่ าเพื่อต้องการผลผลิต หรือการปลูกป่าในพื้นที่ที่ไม่เคยเป็นป่ามา
ก่อนที่มีการอ้างอิงพบว่าเพิ่งเริ่มในประเทศอังกฤษเมื่อศตวรรษที่ 16 และแพร่หลายไปทั่วทวีป
ยุโรปในศตวรรษที่ 18 แต่การปลูกสร้างสวนป่าที่มีลักษณะทันสมัยและใช้วิชาการป่าไม้โดยปลูก
พรรณไม้ให้เติบโตสม่าเสมอเริ่มในประเทศเยอรมัน เมื่อศตวรรษที่ 19 ซึ่งนับเป็นต้นแบบของ
สวนป่าเชิงเดี่ยว (monoculture) และในศตวรรษที่ 20 ได้แพร่หลายไปยังภูมิภาคอื่นๆ เช่น
เมดิ เตอร์ เรเนี ย น และภู มิ ภ าคเขตร้ อ น และกึ่ ง ร้ อ น (Evans, 2004) ในขณะที่ ในประเทศ
สหรัฐอเมริกาเริ่มมีการปลูกสร้างสวนป่ ามาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ยังมีข้อจากัด
ค่อนข้างมากเนื่องจากรัฐบาลไม่สนับสนุน แต่หลังจากนั้นการปลูกสร้างสวนป่ามีอัตราเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็วจนถึงปี พ.ศ. 2519 เนื่องจากความต้องการไม้เพื่อพลังงานและราคาของเส้นใยที่
เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจึงใช้มาตรการภาษีในสร้างแรงจูงใจแก่ภาคเอกชน แต่ภายหลังจากนั้นอัตรา
การเพิ่ มขึ้ นก็ เริ่ มคงที่ ส าหรั บ พรรณไม้ ที่ ป ลู กมี ห ลากหลาย ได้ แก่ กลุ่ มไม้ สน (conifers) เช่ น
loblolly pine (Pinus taeda) slash pine (P. elliottii) longleaf pine (P. palustris) douglas-fir
(Pseudotsuga menziesii) และ larch (Larix spp.) เป็ น ต้ น และกลุ่ ม ไม้ ใบกว้ าง เช่ น poplar
(Populus spp.) sweetgum (Liquidambar styraciflua) sycamore (Platanus occidentalis)
green ash (Fraxinus pennsylvanica) oaks (Quercus spp.) willow (Salix spp.) เป็นต้น
(Stanturf and Zhang, 2003)
8 | การปลูกสร้างสวนป่า
ทั้งนี้ การปลูกพรรณไม้ต่างถิ่นนับเป็นส่วนหนึ่งของความสาเร็จในพัฒนาการของการ
ปลูกสร้างสวนป่าทั่วโลกในช่วง 150 กว่าปีที่ผ่านมานี้ โดยมีงานทดลองและวิจัยเกี่ยวกับพรรณ
ไม้ต่างถิ่น จนทาให้การปลูกสร้างสวนป่าไม้ต่างถิ่นเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป พรรณไม้ต่างถิ่นสาคัญ
ที่นิยมปลูกกันทั่วโลก เช่น สนชนิดต่างๆ (conifers) จากทางตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกา
นาไปปลูกในยุโรป สน radiata (Pinus radiata) จากแคลิฟอร์เนียของอเมริกานาไปปลูกใน
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอัฟริกาใต้ สัก (Tectona grandis) จากอินเดีย เมียนมาร์ และไทย
น าไปปลู ก ในประเทศต่ า งๆ ในเขตร้ อ น และ ยู ค าลิ ป ตั ส และอะเคซี ย ชนิ ด ต่ า งๆ จาก
ออสเตรเลียนาไปปลูกในประเทศต่างๆ ในเขตร้อน และกึ่งร้อน (Evans, 2004) สาหรับภูมิภาค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เริ่มมีการนายางพารา (Hevea brasiliensis) จากอัฟริกาใต้มาปลูก
ในประเทศที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และแพร่หลายไปในประเทศ
อื่น ๆ รวมทั้ งประเทศไทยในช่ว งต้น ศตวรรษที่ 20 (Bissonnette and de Koninck, 2015)
นอกจากนี้ มี ก ารปลู ก สร้ า งสวนป่ า พรรณไม้ อื่ น ๆ แพร่ ห ลายในภู มิ ภ าค เช่ น Falcataria
mollucana ซ้อ (Gmelina arborea) มะฮอกกานีใบใหญ่ (Swietenia macrophylla) และ
สัก เป็นต้น แต่การปลูกพรรณไม้โตเร็วที่มีรอบตัดฟันสั้น เช่น ยูคาลิปตัส และอะเคซียชนิดต่างๆ
จากออสเตรเลีย เริ่มแพร่หลายในช่วง 2 - 3 ทศวรรษที่ผ่านมา (Harwood and Nambiar, 2014)
3.2 ประเทศไทย (Thailand)
การปลู ก สร้ า งสวนป่ า ครั้ ง แรกของกรมป่ า ไม้ แ ละของประเทศไทยเริ่ ม ต้ น ในปี
พ.ศ. 2449 โดยพระยาวัน พฤกษ์พิจ ารณ์ (ทองคา เศวตศิล า) ทดลองปลู กสวนสั ก โดยอาศัย
ชาวไร่ช่วยกันหยอดเมล็ดลงหลุมปลูกในพื้นที่ปลูกพืชเกษตร เรียกวิธีแบบนี้ว่า การปลูกสร้าง
สวนป่าระบบตองยา (Taungya plantation) หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2453 ได้มีการปลูกสร้าง
สวนสักขึ้นอย่างจริงจังที่จังหวัดแพร่ ด้วยวิธีหยอดเมล็ดปลูกเช่นเดียวกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2478
กรมป่าไม้ได้ทดลองปลูกไม้สักด้วยเหง้า ที่ป่าห้วยกองเตะ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปรากฏว่าได้ผล
ดีกว่าการปลูกด้วยเมล็ด หรือการย้ายปลู กด้วยกล้ามาก ทาให้การปลูกสร้างสวนสักโดยใช้เหง้า
จึงเป็นวิธีที่นิยมปฏิบัติเรื่อยมา (มณฑี, 2538)
สาหรับการปลูกสร้างสวนป่า ไม้กระยาเลยกรมป่าไม้ได้เริ่มทดลองปลูกป่าชายเลนครั้ง
แรกในปี พ.ศ. 2462 ที่ ป่ าชายเลนบ้ านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยปลู กไม้โกงกางและโปรง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 ทดลองปลูกไม้โกงกางในท้องที่ จังหวัดจันทบุรี ในบริเวณพื้นที่ป่าที่เสื่อม
โทรม นอกจากนี้ การปลูกสร้างสวนป่าชายเลนหรือสวนป่าไม้โกงกางโดยเอกชน ได้เริ่มมาตั้งแต่
ปี พ.ศ. 2480 ส่วนใหญ่เป็นการปลูกป่าไม้โกงกางใบเล็กเพื่อเผาถ่านและทาไม้ฟืนของราษฎร
ในที่ ดิ น กรรมสิ ท ธิ์ ท้ อ งที่ บ้ า นตะบู น อ าเภอบ้ า นแหลม จั ง หวั ด เพชรบุ รี แ ละบ้ า นยี่ ส าร
บทที่ 1 ภาพรวมการปลูกสร้างสวนป่า | 9
นโยบายการปลูกสร้างสวนป่าของประเทศไทยได้ถูกกาหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พฺ .ศ. 2504 เป็นต้นมา และได้มีกาหนดไว้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ ทุกฉบับจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2528 กาหนดให้มี
พื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศอย่างน้อยใน อัตราร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศเพื่อประโยชน์ 2 ประการ
ได้แก่ ป่าเพื่อการอนุรักษ์ กาหนดไว้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้า พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ที่หายาก
และป้องกันภัยธรรมชาติอันเกิด จากน้าท่วมและการพังทลายของดิน ตลอดทั้งเพื่อประโยชน์ใน
การศึกษาวิจัย และนันทนาการของประชาชนในอัตราร้อยละ 25 ของพื้นที่ประเทศ และป่าเพื่อ
เศรษฐกิจ กาหนดไว้เพื่อการผลิตไม้และของป่าเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 15
ของพื้นที่ประเทศ แต่ที่ผ่านมาการปฏิบัติตามแผนป่าเพื่อให้ได้เศรษฐกิจในปริมาณที่กาหนดยัง
ไม่เป็ นรู ปธรรม มีข้ อพิ จารณา คื อ รัฐไม่ได้กาหนดหน่ วยงานให้ รับผิ ดชอบหน้ าที่ ดาเนิ นการตาม
นโยบายที่กาหนดไว้ และระเบียบปฏิบัติทางราชการเป็นอุปสรรคต่อการดาเนินงานปลูกสร้างสวนป่า
ทั้งที่ดาเนินการโดยรัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะกฎระเบียบต่างๆ เหล่านี้นอกจากจะไม่ส่งเสริมการ
ปลูกสร้างสวนป่าแล้ว ยังเป็นอุปสรรคต่อการใช้จัดสรรประโยชน์จากไม้ที่ปลูกขึ้นมาอีกด้วย
บทที่ 1 ภาพรวมการปลูกสร้างสวนป่า | 13
5.1.2 งบประมาณ
5.1.3 กฎหมายและระเบียบปฏิบัติ
5.1.4 ปัญหาทางวิชาการ
ปัญหาทางวิชาการ เป็นปัญหาที่ผู้ปฏิบัติงานปลูกสร้างสวนป่าต้องประสบโดยทั่วไป
ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นของการดาเนินงานในครั้งแรกๆ ปัญหา
ทางด้านวิชาการที่มักจะเกิดกับผู้ปฏิบัติงานได้แก่ เทคนิคการปลูกต้นไม้แต่ละชนิด การปลูก
ชนิดไม้ที่ไม่เหมาะกับพื้นที่ การขาดแคลนเมล็ดไม้ การเตรียมกล้าไม้ไม่ได้ขนาด และปัญหาจาก
ภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น ความแห้งแล้ง ไฟป่า โรค และแมลง เป็นต้น
เท่ าที่ ควร และปั ญ หาที่ ติ ดตามมาในหน้ าแล้ งก็ คื อ ไฟ เพราะหญ้ าคาในหน้ าแล้ ง
สามารถติดไฟได้ง่าย
ปั ญหาทางกฎหมาย เช่น ปั ญหาการบุ กรุกพื้ นที่ ปั ญหาความขัดแย้งของพื้ นที่ปลู ก
ระหว่างองค์กรภารัฐ องค์การนอกภาครัฐ (non-government organization) หรือ
ประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น
5.2 แนวโน้มและทิศทำง (Trends and directions)
51.1. นโยบายการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้
• จากนโยบายป่าไม้ของประเทศไทยที่กาหนดให้มีป่าไม้ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ
จาแนกเป็นป่าเพื่อการอนุรักษ์ร้อยละ 25 และป่าเศรษฐกิจร้อยละ 15 โดยปัจจุบัน
พื้นที่อนุรักษ์เหล่านี้มีพื้นที่ประมาณ 72 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 22 ของพื้นที่
ประเทศ ดังนั้น การเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ นอกจากจะเป็ นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของ
ประเทศให้ได้ตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ในนโยบาย
• การส่งเสริมการสร้างสวนไม้เศรษฐกิจนอกพื้นที่ป่า (Tree Outside Forest : TOF)
เนื่องจากพื้นที่ป่าตามกฎหมายที่มีอยู่มีการครอบครองหมดแล้ว ดังนั้น ภาคเอกชน
และภาคประชาชนมีบทบาทสาคัญในการเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจของประเทศ
• การปลูกสร้างสวนป่าเสริมรายได้ทั้งการปลูกในระบบวนเกษตร การปลูกหัวไร่ปลายนา
ขอบรั้ว เป็นกลยุทธ์ในการปลูกไม้ (agroforestry strategy)
• การนาพื้นที่ดินซึ่งมีปัญหา (problem soil) อันได้แก่ พื้นที่ดินเปรี้ยว พื้นที่ดินเค็มที่
มีปัญหาไม่สามารถทาการเกษตรได้มาใช้สาหรับการปลูกป่า
• การฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้าเสื่อมโทรมโดยการปลูกป่าป้องกันและป่าเศรษฐกิจ ในลักษณะ
ของการฟื้นฟูป่าเชิงภูมิทัศน์ (landscape restoration) เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทาง
เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
16 | การปลูกสร้างสวนป่า
51.1. กฎหมายและระเบียบปฏิบัติ
• กฎหมายด้านป่าเศรษฐกิจจะได้รับการแก้ไขและส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจมากขึ้น
เพื่อรองรับนโยบายการเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ โดยสร้างกลไกสาคัญในการส่งเสริม
ผลักดันให้กิจการสวนป่าของประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง โดย
มุ่งเน้นพื้นที่เป้าหมายนอกเขตพื้นที่ป่าเช่น กฎหมายบริหารจัดการป่าไม้เอกชนเพื่อ
เศรษฐกิจ หรือพระราชบัญญัติส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจนอกพื้นที่ป่า เป็นต้น
51.1. บทบาทของเอกชน
51.1. การสร้างแรงจูงใจทางการเงิน
• การใช้ เครื่ อ งมื อ ทางการเงิน ที่ ส นั บ สนุ น รองรับ การพั ฒ นาสวนไม้ เศรษฐกิ จ ให้
เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่าย เช่น การตั้งกองทุนปลูกไม้เศรษฐกิจ ระบบ
ธนาคารต้นไม้ การใช้มาตรการลดหย่อนภาษี การกู้เงินปลอดดอกเบี้ย รวมทั้งกลไก
PES (payment for Environmental Service) เป็นต้น
• นาระบบความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) มาใช้
ในกระบวนการส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน โดยต้องเน้น
ให้เห็นว่าจะได้ประโยชน์มากขึ้นจากการที่ชุมชนได้ประโยชน์ทางตรงจากสวนป่าที่
ปลูกสร้างขึ้น
51.15 การดาเนินงานกลไกการลดก๊าซเรือนกระจก
การปลูกไม้ป่าและการฟื้นฟูเป็นกิจกรรมเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกในการซื้อขายคาร์บอน
เครดิตในตลาดภาคทางการ หรือการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดภาคสมัครใจรูปแบบต่างๆ
จะเป็นแรงขับเคลื่อนสาคัญในพัฒนาการปลูกป่า และสวนป่าในรูปแบบต่างๆ
บทที่ 1 ภาพรวมการปลูกสร้างสวนป่า | 17
51.1. ความก้าวหน้าทางวิชาการ
วิชาการด้ านปลู กป่ าจะพั ฒนามากขึ้นเพื่ อเพิ่ มผลผลิต ทั้ งการปรับปรุงพั นธ์ เทคนิ ค
การปลู ก การจั ด การ การตั ด ขยายระยะ และการตั ด ฟั น ที่ เหมาะสม ตลอดจน
เทคโนโลยีการใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มมูลค่าของไม้
การนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการบริหารจัดการ ตรวจสอบ เช่น ระบบ RFID ใน
การตรวจสอบในระบบ Logistic ทั้งในเรื่องของที่มาของไม้ การขนส่ง การแปรรูป
การป้องกันการสูญหายของไม้ที่ได้ตัดออกมา และความโปร่งใสในการทางานของ
เจ้าพนักงานฯ
5.2.7 การบริหารจัดการ
กลไกการรับรองทางด้านป่าไม้ และรูปแบบการใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า
สาพิศ ดิลกสัมพันธ์
1. บทนำ Introduction
ในป่าธรรมชาติมีการแปรผันในหลายลั กษณะที่เกิดจากความหลากหลายทางชีวภาพ
(biodiversity หรื อ biological diversity) ตั้ ง แต่ ร ะดั บ ความหลากหลายทางพั น ธุ ก รรม
(genetic diversity) ความหลากชนิ ด (species diversity) ไปจนถึ งความหลากหลายทาง
นิเวศวิทยา (ecological diversity) ป่าเขตร้อน (tropical forest) นับเป็นระบบนิเวศที่มีความ
หลากหลายทางชีวภาพสูงจึงเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่ามหาศาลต่อมนุษย์ทั้งทางตรงและ
ทางอ้อม แต่การพัฒนาของมนุษย์เป็นสาเหตุสาคัญของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ในประเทศไทยมีก ารท าลายป่ าเพื่ อ เปลี่ ย นเป็ น ไร่เลื่ อนลอย พื้ น ที่ เกษตรกรรม และการใช้
ประโยชน์ที่ดินอื่นๆ ทาให้พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยลดลงจากร้อยละ 43.21 ของพื้นที่ประเทศ
ใน ปี พ.ศ. 2516 เหลือเพียงร้อยละ 31.58 ของพื้นที่ประเทศ ใน ปี พ.ศ. 2559 (กรมป่าไม้,
2560) กอปรกับการนาเอาทรัพยากรป่าไม้มาใช้ประโยชน์มากเกินไป อันเป็นสาเหตุให้เกิดการ
สูญเสียแหล่งพันธุกรรมป่าไม้ของประเทศ สิ่งสาคัญในการพัฒนาพันธุ์ไม้ป่าให้เป็นไม้เศรษฐกิจ
(tree domestication) คื อ การเลื อ กชนิ ด และลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมของไม้ ป่ าไปปลู ก ให้
เหมาะสมกับพื้นที่ ควบคู่กับการปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่าซึ่งเป็นการเพิ่มผลผลิตและปรับปรุงคุณภาพ
ของพันธุ์ไม้ป่า นอกจากช่วยอนุรักษ์แหล่งพันธุกรรมไม้ป่าแล้วยังช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์
พันธุกรรมไม้ป่าอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด และยั่งยืน
24 | การปลูกสร้างสวนป่า
2. กำรแปรผันทำงพันธุกรรมของไม้ป่ำ (Genetic Variations of Forest Trees)
2.1 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกำรแปรผันทำงพันธุกรรมของไม้ป่ำ
การแปรผั น ของการแสดงออกของลั ก ษณะภายนอกของต้ น ไม้ เกิ ด จากสาเหตุ
3 ประการ คื อ การแปรผั น จากปั จ จั ย ทางพั น ธุก รรม (genetic variation) การแปรผั น จาก
สิ่ ง แวดล้ อ ม (environmental variation) และการแปรผั น จากอิ ท ธิ พ ลร่ ว ม (interaction)
ระหว่ า งปั จ จั ย ทางพั น ธุ ก รรมและสิ่ ง แวดล้ อ ม (Zobel and Talbert, 2003) ปั จ จั ย ทาง
พันธุกรรมเป็นปัจจัยภายในของพืช ในขณะที่ปัจจัยสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
กับการเติบโตของต้นไม้ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมบางอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ปริมาณน้าฝน
อุณ หภูมิ ทิศทางด้านลาด ความลึ กของดิน ความเร็ว ลม เป็น ต้น แต่ยังมี ปัจจัยสิ่ งแวดล้ อ ม
บางอย่างที่สามารถควบคุมได้ ด้วยวนวัฒนวิธี เช่น ความหนาแน่นของต้นไม้ หรือการแก่งแย่ง
สารอาหารและแสงแดดของต้นไม้สามารถจัดการได้โดยการตัดขยายระยะ (thinning) หากดิน
ขาดความสมบูรณ์สามารถจัดการโดยการใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มสารอาหารที่ ขาด หากดินอัดตัวแน่น
สามารถใช้การไถพรวนหรือการเตรียมพื้น ที่ที่ดีเพื่อปรับสมบัติทางกายภาพของดิน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของปัจจัยสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการแปรผันของต้นไม้
ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของต้นไม้ซึ่งส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยปัจจัยสิ่งแวดล้อม
มากกว่าปัจจัยทางพันธุกรรม
อิทธิพลร่วมระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เป็นการแปรผันของลาดับ
(rank) ของต้น ไม้ที่มีลั กษณะทางพัน ธุกรรมต่างกันเมื่อนาไปปลู กในพื้นที่ที่มีส ภาพแวดล้ อม
ต่ า งกั น เนื่ อ งจากความแตกต่ า งของการตอบสนองของลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมต่ อ ปั จ จั ย
สิ่งแวดล้อม โดยมีความแตกต่างจากการแปรผันของสภาพพื้นที่ หรือคุณภาพของพื้นที่ (site
quality) ซึ่งต้น ไม้ที่มีลักษณะทางพัน ธุกรรมต่างกันมีการตอบสนองในทิศทางเดียวกันโดยที่
ล าดั บ ของต้ น ไม้ ไม่ มี ก ารเปลี่ ย นแปลง โดยปกติ แ ล้ ว การแปรผั น จากอิ ท ธิ พ ลร่ ว มระหว่ า ง
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม จะปรากฏอย่างชัดเจนเมื่อปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่มีความแตกต่างของ
สิ่งแวดล้อมมากๆ
2.2 กำรแปรผันทำงพันธุกรรมในป่ำธรรมชำติ (genetic variations in
natural forests)
พรรณไม้ที่ขึ้นในป่าธรรมชาติมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ดึกดาบรรพ์จนทาให้เกิดการแปรผั น
ของลักษณะต่างๆ อย่างมากมายและสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างชนิดไม้ อย่างไรก็ตาม
บทที่ 2 แหล่งพันธุกรรมและการปรับปรุงพันธุ์ไม้ปา่ | 25
ในการเลือกชนิดของพรรณไม้เพื่อปลูกสร้างสวนป่าควรมีการคานึงถึงปัจจัยต่างๆ ใน
หลายมิติ ที่สาคัญมีดังนี้
30 | การปลูกสร้างสวนป่า
1) วัตถุประสงค์ของการปลูก เนื่องจากพรรณไม้แต่ละชนิดสามารถนาไปใช้ประโยชน์
ได้แตกต่างกัน ดังนี้
การปลูกสร้างสวนป่าเพื่อเศรษฐกิจ หรือเพื่อผลผลิต ควรเลือกชนิดโดยพิจารณาจาก
สมบัติเนื้อไม้ที่เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ ควรเลือกพรรณไม้ที่มีเนื้อไม้สวยงาม สัก พะยูง
ประดู่ ชิงชัน และอะเคเซีย (Acacia spp.) เป็นต้น สาหรับใช้ประโยชน์เป็นไม้แปรรูป ควรเลือก
พรรณไม้โตเร็วที่มีสมบัติเยื่อเหมาะสม เช่น ยูคาลิปตัส และอะเคเซีย (Acacia spp.) เป็นต้น
สาหรับทาชิ้นไม้สับในอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ หรือควรเลือกพรรณไม้โตเร็วที่มีค่าความ
ร้อนสูงและแตกหน่อได้ดี เช่น ยูคาลิปตัส และกระถิ นยักษ์ เป็นต้น สาหรับใช้ประโยชน์เป็นไม้
พลังงาน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การเลือกชนิดสาหรับปลูกไม้เศรษฐกิจจาเป็นต้องพิจารณาอัตรา
การเติบโต ผลผลิต และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับสมบัติเนื้อไม้ด้วย
การปลูกสร้างสวนป่าเพื่อการป้องกัน เช่น การปลูกเพื่อป้องกันดินพังทลายควรเลือก
ปลูกพรรณไม้ที่มีระบบรากลึก การปลูกพืชป้องกันลมควรเลือกพรรณไม้ที่มีรูปทรงเรือนยอดเล็ก
เป็นต้น
การปลูกสร้างสวนป่าเพื่อนันทนาการ เช่น การปลูกไม้ในเมือง เป็นต้น เป็นการปลูก
เพื่อความสวยงามและคุณค่าทางจิตใจควรเลือกพรรณไม้ที่มีลาต้นสวยงาม รูปทรงเรือนยอด
สวยงาม และดอกสวยงาม เช่น หูกระจง หูกวาง ประดู่บ้าน เหลืองปรีดียาธร ชมพูพันธุ์ทิพย์
และราชพฤกษ์ เป็นต้น
การปลู กสร้างสวนป่ า อเนกประสงค์ ควรเลือกปลูกพรรณไม้ที่ให้ประโยชน์ได้ห ลาย
อย่าง เช่น กระถินยักษ์ เนื้อไม้ใช้ประโยชน์เป็นไม้พลังงาน ใบใช้สาหรับเป็นอาหารสัตว์ และ
ช่วยปรับปรุงดิน ทานองเดียวกับสะเดา เนื้อไม้ใช้ประโยชน์หลายอย่าง ยอดอ่อนสามารถเป็น
อาหาร เป็นต้น
2) ความเหมาะสมกั บ พื้ น ที่ (site matching) การเลื อ กชนิ ด ให้ เหมาะสมกั บ พื้ น ที่
นับเป็นปัจจัยสาคัญในการปลูกสร้างสวนป่า เพราะสามารถทาให้ต้นไม้ปรับตัวได้ดี และเติบโต
ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น พรรณไม้ในสกุล Eucalyptus ยังต้องการพื้นที่ปลู กที่เหมาะสม
แตกต่างกัน Eucalyptus camaldulensis สามารถปลูกได้ภูมิอากาศที่หลากหลายและแม้แต่
พื้นที่แล้งในเขตร้อน E. citiodola และ E. tereticornis สามารถปลูกได้ได้ในพื้นที่มีฝนตกใน
ฤดูร้อนซึ่งมีฤดูแล้งที่ยาวนาน E. grandis และ E. robusta สามารถปลูกได้ในเขตร้อนและกึ่ง
ร้อนซึง่ มีฤดูร้อนอย่างชัดเจนและมีฤดูฝนกระจายเกือบทั้งปี และ E. urophylla สามารถปลูกได้
ร้ อ นชื้ น หรื อ ค่ อ นข้ า งชื้ น เป็ น ต้ น (Eldrige et al., 1993) โดยคณะวนศาสตร์ (2554) ได้
รวบรวมข้อมูลการเติบและผลผลิตของพรรณไม้ป่าหลายชนิดที่นิยมนามาปลูกสร้างสวนป่า เช่น
บทที่ 2 แหล่งพันธุกรรมและการปรับปรุงพันธุ์ไม้ปา่ | 31
ในการคัดเลือกชนิดของไม้ป่าเพื่อนามาปลูกสร้างสวนป่า สามารถเลือกปลูกได้ทั้งไม้
พื้นเมือง (native trees หรือ indigenous trees) ซึ่งเป็นไม้ที่ปลูกหรือเติบโตภายในถิ่นกาเนิด
ตามธรรมชาติ หรือ ไม้ต่างถิ่น (exotic trees หรือ introduced trees) ไม้ที่ปลูกหรือเติบโต
นอกถิ่น กาเนิ ดตามธรรมชาติ จากรายงานการสารวจทรัพยากรป่าไม้ของโลก ปี พ.ศ.2553
พบว่า การปลูกป่าในพื้นที่ไม่เคยเป็นป่ามาก่อน (afforestation) และการปลูกป่าในพื้นที่เคย
เป็ น ป่ า มาก่ อ น (reforestation) ทั่ ว โลกมี ก ารใช้ ไม้ ต่ างถิ่ น ร้ อ ยละ 29 และ 36 ตามล าดั บ
มีความแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย เป็นต้น
มีการใช้ไม้ต่างถิ่นในการปลูกป่าเกือบทั้งหมด (FAO, 2010) ไม้ป่าที่นิยมปลูกทั่วไป เช่น ไม้สกุล
สน (Pinus) ร้ อยละ 20 สกุล ยู ค าลิ ป ตัส (Eucalyptus) ร้อยละ 10 สกุ ล ยางพารา (Hevea)
32 | การปลูกสร้างสวนป่า
ร้อยละ 5 สกุลอะเคเซีย (Acacia) ร้อยละ 4 และสัก (Tectona grandis) ร้อยละ 3 ของไม้ป่า
ที่ปลูกทั่วโลก (FAO, 2001) โดยสกุลยูคาลิปตัส (Eucalyptus) นิยมปลูกเป็นไม้ต่างถิ่นในเขต
ร้อนมากกว่าร้อยละ 50 ของไม้ป่าที่ปลูก อย่างไรก็ตาม มีหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา
และรัสเซีย ที่มีไม้พื้นเมืองตอบสนองความต้องการและสามารถเติบโตได้ดี จนทาให้พื้นที่สวนป่า
เกือบทั้งหมดเป็นไม้พื้นเมือง ในทางตรงข้าม ประเทศนิวซีแลนด์ ชิลี และบราซิล พื้นที่สวนป่า
เกือบทั้งหมดปลูกไม้ต่างถิ่น ไม้สกุลสนที่นิยมปลูกเป็นไม้ต่างถิ่นส่วนใหญ่มีถิ่นกาเนิดในอเมริ กา
เหนื อ และอเมริ ก ากลาง เช่ น Pinus radiata, Pinus taeda, Pinus caribaea และ Pinus
elliottii เป็ น ต้น สาหรับ สกุลยู คาลิ ป ตัส (Eucalyptus) เกือบทั้งหมดมีถิ่นกาเนิดในประเทศ
ออสเตรเลี ย ชนิ ดที่นิ ยมปลู กในเขตอบอุ่น เช่น Eucalytptus globulus และ Eucalytptus
nitens และชนิดที่นิยมปลูกในเขตร้อนและกึ่งร้อน เช่น Eucalytptus grandis, Eucalytptus
urophylla, Eucalytptus saligna, Eucalytptus tereticornis, Eucalytptus deglupta
แ ล ะ Eucalytptus camaldulensis (Nambiar and Sands, 2013) ส า ห รั บ ไม้ ต่ างถิ่ น
ที่ น ามาปลู ก สร้ างสวนป่ า อย่ างแพร่ ห ลายในประเทศไทย เช่ น สนประดิ พั ท ธ์ (Casuarina
junghuhniana) กระถินณรงค์ (Acacia auriculiformis) กระถินเทพา (Acacia mangium)
สนคาริเบี ย (Pinus caribaea) ไม้ส นโอคาร์ ป า (Pinus oocarpa) ยูคาลิ ป ตัส (Eucalyptus
spp.) และยางพารา (Hevea brasiliensis)
อย่างไรก็ตาม ในการปลูกไม้ต่างถิ่นมีทั้งข้อได้และข้อเสียเปรียบ สามารถสรุปได้ ดังนี้
ข้อได้เปรียบของการปลูกไม้ต่างถิ่น
มีการเติบโตอย่างรวดเร็วทาให้ได้ผลผลิตต่อพื้นที่มากกว่าในระยะเวลาที่รวดเร็วกว่า
มีความเหมาะสมในการปลูกเป็นสวนป่าเพราะมีการศึกษาวิจัยมาแล้ว
ส่วนใหญ่ มีการปรับ ปรุงพัน ธุ์มาแล้ว ทาให้ มีวัสดุพันธุกรรม (genetic materials)
ที่มีคุณภาพ และสามารถนามาปลูกเป็นสวนป่าที่มีลักษณะสม่าเสมอ (uniform)
จึงให้ผลผลิตสม่าเสมอกว่าและง่ายต่อการจัดการ
มีพันธุ์ไม้สาหรับประโยชน์เฉพาะ เช่น ทาเยื่อกระดาษ เป็นไม้พลังงาน เป็นต้น
สามารถคัดเลือกได้อย่างกว้างขวางเพราะมีความหลากหลายทางพันธุกรรม
สามารถคั ดเลื อกได้อ ย่ างกว้างขวาง เนื่ อ งจากส่ ว นใหญ่ มี การกระจายพั น ธุ์ตาม
ธรรมชาติที่ มีความแตกต่างของถิ่นที่ขึ้น ลักษณะดิน และระดับ ความสูงของพื้นที่
ค่อนข้างมาก ทาให้สามารถปรับตัวและเติบโตได้ดีเมื่อนาไปปลูกนอกถิ่นกาเนิด
ข้อเสียเปรียบของการปลูกไม้ต่างถิ่น
บทที่ 2 แหล่งพันธุกรรมและการปรับปรุงพันธุ์ไม้ปา่ | 33
บางชนิดปรับตัวให้เข้ากับพื้นที่ปลูกได้ช้าทาให้อัตราการเติบโตต่าในช่วงแรก
บางชนิดมีการปรับปรุงพันธุ์จนมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนผลผลิตเนื้อไม้ที่ได้ มี
สมบัติต่ากว่ามาตรฐาน
บางชนิดขาดไมคอร์ไรซา (mycorrhiza) ที่เหมาะสมซึ่งมีความจาเป็นสาหรับการ
เติบโต
เมล็ดและวัสดุพันธุกรรมอาจมีราคาแพงทาให้ต้นทุนการปลูกสร้างสวนป่าสูง
สาหรับประเทศไทยมีการนาไม้ต่างถิ่นมาปลูกอย่างแพร่หลายอยู่หลายชนิด ดังที่กล่าว
แล้วข้างต้น แต่ไม้ป่าที่มีศักยภาพสูงสุดสาหรับการปลูกสร้างสวนป่าเศรษฐกิจ 5 ชนิ ดแรก มีทั้ง
ไม้พื้นเมือง และไม้ต่างถิ่น ได้แก่ สัก (ไม้พื้นเมือง) ยูคาลิปตัส (ไม้ต่างถิ่น) อะเคเซีย (ไม้ต่างถิ่น)
พะยูง (ไม้พื้นเมือง) และตะเคียนทอง (ไม้พื้นเมือง) ตามลาดับ (Changtragoon et al., 2012)
4. กำรปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่ำ (Forest Tree Improvement)
4.1 หลักและแนวคิด (Principle and Concept)
การปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่า (tree improvement) โดยทั่วไปหมายถึง การเพิ่มผลผลิตและ
ปรั บ ปรุ งคุ ณ ภาพไม้ จ ากป่ าธรรมชาติ โดยกระบวนการควบคุ ม การถ่ ายทอดลั ก ษณะทาง
พันธุกรรมร่วมกับการจัดการป่าไม้ หรือวนวัฒนวิธี (silvicultural practices) เช่น การเตรียม
พื้นที่ที่ดี การใส่ปุ๋ย เป็นต้น (Zobel and Talbert, 2003) การปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่ามีความหมาย
ต่างจากการคัดพันธุ์ไม้ป่า (forest tree breeding) ซึ่งเป็นกิจกรรมการคัดเลือกพันธุ์และการ
ผสมพันธุ์ไม้ป่าที่ดาเนินเพื่อแก้ไขปัญหาหนึ่งปัญหาใดโดยเฉพาะ หรือเพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์
ที่ ต้ อ งการ เช่ น การทดลองผสมข้ า มระหว่ า งไม้ ต่ างชนิ ด กั น (hybridization) ที่ อ ยู่ ในสกุ ล
(genus) เดี ย วกั น เพื่ อ ให้ ได้ ลู ก ไม้ ที่ มี ค วามต้ า นทานโรคและแมลง (Zobel and Talbert,
2003) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการปรับปรุงพันธ์ หรืออาจกล่าวได้ว่าความสาเร็จของการ
ปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่าขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ ทักษะ และความชานาญในการคัดพันธุ์ไม้ป่า ควบคู่กับการ
ใช้หลักวนวัฒนวิธีที่เหมาะสม ทั้งนี้ Eldridge et al. (1993) เสนอแนะว่าในการดาเนินงานด้าน
การปรั บ ปรุ งพั น ธุ์ไม้ป่ าให้ เป็ น ไปอย่ างมีป ระสิ ทธิภ าพ มีทิ ศทางชัดเจน และต่อเนื่ อง ควรมี
องค์ประกอบ 5 ด้าน ได้แก่
1) การก าหนดวัตถุป ระสงค์ ที่ชั ดเจนของการปรับปรุงพั น ธุ์ไม้ ป่าทั้ งวัตถุป ระสงค์ ที่
กาหนดเป็นผลลัพธ์จากการคัดพันธุ์ซึ่งเป็นหมายสูงสุด (ultimate goal) เช่น วัตถุประสงค์เพื่อ
การเพิ่มผลผลิตเยื่อ (pulp yield) เป็นต้น และวัตถุประสงค์ที่กาหนดเป็นลักษณะหรือสมบัติที่
34 | การปลูกสร้างสวนป่า
ต้องการคัดเลือก (selection traits) ตามวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงพันธุ์ เช่น การเติบโต
หรือความหนาแน่นของเนื้อไม้ เป็นต้น
2) องค์ความรู้และแหล่งพันธุกรรมตามลาดับชั้นของประชากร (hierarchy of population)
ที่จาเป็นในการปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่า เพื่อเป็นฐานพันธุกรรม เพื่อการผสมพันธุ์ และเพื่อการขยายพันธุ์
สาหรับการปรับปรุงพันธุ์ ตลอดจนเพื่อผลผลิตของการปลูกสร้างสวนป่า
3) การเลือกใช้ยุทธศาสตร์และแผนการดาเนินงานที่เหมาะสม เช่น การกาหนดกรอบ
แนวคิด (framework) และยุ ท ธศาสตร์ของการคัด พัน ธุ์ (breeding strategy) และคั ดเลื อ ก
รูป แบบของกิจ กรรมและวิธีการที่ เหมาะสมและสอดคล้ องกับ ยุ ท ธศาสตร์ข องการคั ดพั น ธุ์
ตลอดจนการกาหนดแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์ของการ
พัฒนาสายพันธุ์ และมีการดาเนินงานอย่างต่อเนื่องตามยุทธศาสตร์
4) กระบวนการคัดเลือกและการผสมพันธุ์ (selection and breeding) ที่สอดคล้อง
กับวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงพันธุ์และยุทธศาสตร์ของการคัดพันธุ์ที่กาหนดข้างต้น
5) ผู้เชี่ยวชาญและงบประมาณสนับสนุน ควรมีอย่างเพียงพอและมีความสอดคล้องกับ
กลยุทธ์และแผนงานที่กาหนด
สาหรับการปรับปรุงพันธุ์ไม้ชนิดใดๆ นอกจากต้องคานึงถึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ
ทั้ง 5 ด้าน แล้ ว กระบวนการปรั บ ปรุงพั น ธุ์ไม้ป่ า หรือ กิจกรรมที่ ดาเนิน ตามยุทธศาสตร์ของ
คัดพันธุ์ก็เป็นสิ่งสาคัญ โดยหลักการประกอบด้วยขั้นตอนการคัดเลือก (selection) และการ
ผสมพันธุ์ (mating) สลับกันเป็นวงจร (cycle) ในแต่ละรุ่น (generation) เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มี
ลักษณะที่ดีและมีคุณภาพสูงขึ้นในแต่ละรุ่นตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เช่น เติบโตเร็ว มีความ
หนาแน่นเนื้อไม้สูง มีความต้านโรคและแมลง และมีความสามารถในการปรับตัวให้เหมาะสมกับ
สภาพพื้นที่แบบต่างๆ เป็นต้น โดยการคัดเลือกจากแหล่งพันธุกรรมที่เป็นป่าธรรมชาติหรือสวน
ป่าที่ยังไม่ได้มีกาปรับปรุงพันธุ์สาหรับเป็นประชากรฐาน (base population) หรือฐานพันธุกรรม
(genetic base) และสร้างเป็นประชากรสาหรับการคัดพันธุ์ (breeding population) ตลอดจนการ
สร้างประชากรเพื่อการขยายพันธุ์ (propagation population) ทั้งในรูปของแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์
(seed production area) สวนเมล็ ดพั นธุ์ (seed orchard) และสวนผลิ ตกิ่ งพั นธุ์ (multiplication
garden หรือ hedge orchard) (Eldridge et al., 1993) ดังแสดงในภาพที่ 2.2 แต่ห ลั กการ
สาคัญของการกาหนดกิจกรรมต่างๆ ในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์จาเป็นต้องมีแนวคิด ในการ
จัดการเพื่อคงไว้ซึ่งฐานพันธุกรรมที่กว้าง (wide genetic base) เช่น การนาแหล่งพันธุกรรม
เพิ่มเติม (infusion population) และแหล่งพันธุกรรมจากภายนอก (external population)
มาเพิ่มเติมในแต่ละรุ่น (White, 1987; Eldridge et al., 1993) นอกจากนี้ยังต้องคานึงถึงการ
บทที่ 2 แหล่งพันธุกรรมและการปรับปรุงพันธุ์ไม้ปา่ | 35
การคัด เลื อก (selection) มี วัตถุป ระสงค์เพื่ อ ให้ ได้ผ ลผลิ ตทางพั นธุกรรม (genetic
gain) สู งสุ ด เร็ ว ที่ สุ ด และถู ก ที่ สุ ด เท่ าที่ จ ะท าได้ ในขณะเดี ย วกั น ก็ ส ามารถรัก ษาฐานทาง
พันธุกรรมให้กว้างพอเพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่าผลผลิตทางพันธุกรรมจะเพิ่มขึ้นในรุ่นต่อๆ ไป (Zobel
and Talbert, 2003) โดยทั่วไปแล้วการคัดเลือกเพื่อการปรับปรุงพันธุ์จะใช้หลักเดียวกัน คือ
36 | การปลูกสร้างสวนป่า
คัดเลือกต้นไม้ที่มีลักษณะต่างๆ ที่ต้องการดีที่สุด เพื่อใช้เป็นพ่อและแม่ไม้ในการผสมพันธุ์และ
การผลิ ต เมล็ ด ไม้ คุ ณ ภาพดี ทั้ ง นี้ อ ยู่ บ นสมมุ ติ ฐ านที่ ว่ า พ่ อ แม่ ที่ มี ลั ก ษณะทางสายพั น ธุ์ ดี
ย่อมจะถ่ายทอดลักษณะดีไปสู่ ลูกหลาน โดยปกติแล้วการคัดเลื อกต้องกาหนดเกณฑ์ในการ
คัดเลือก (selection criteria) ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงพันธุ์ และเลือกใช้
วิธีการให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับชนิดของการแปรผันทางพันธุกรรม หรือขึ้นอยู่กับข้อมูลพื้นฐานทาง
พันธุกรรมของประชากรที่จะคัดเลือก
การปรับปรุงพันธุ์ไม้เพื่อการปลูกสร้างสวนป่าเชิงเศรษฐกิจนั้น มีเป้าหมายเพื่อพัฒนา
มูลค่าของไม้ในสวนป่าให้มากขึ้น โดยการพัฒ นาลักษณะทางพันธุกรรมด้านต่างๆ ที่ต้องการ
ตามวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลักษณะที่นามาใช้ในการคัดเลือกควร
เป็ น ลั กษณะที่ ให้ ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (economic traits) ควรเป็ นลั กษณะที่ เกิดจาก
พั น ธุ ก รรมและสามารถถ่ า ยทอดทางพั น ธุ ก รรม หรื อ มี ค่ า การถ่ า ยทอดทางพั น ธุ ก รรม
(heritability) สูง ควรเป็นลักษณะที่สามารถตรวจวัดได้ง่ายและมีความแม่นยาสูง และควรมี
สหสัมพันธ์ทางบวก (positively correlated) กับลักษณะอื่นๆ (Zobel and Talbert, 2003)
เกณฑ์ในการคัดเลือกควรเป็นลักษณะที่ต้องการตามวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงพันธุ์
(desirable trait) เกณฑ์ทั่วไปที่นิยมนามาพิจารณาในการคัดเลือกพันธุ์ อาจมีลักษณะที่สาคัญ
เช่น มีการเติบโตดี ลาต้นกลม เปลา และตรง มีการลิดกิ่งตามธรรมชาติดี รูปทรงเรือนยอด
ขนาดเหมาะสมและสมมาตร มีความต้านทานต่อโรคและแมลง มีความทนทานต่อสภาพภูมิ
ประเทศและสภาพภูมิอากาศที่แปรผัน ได้ดี คุณภาพเนื้อไม้ดี มีความหนาแน่นของเนื้ อไม้สู ง
และมีเปลือกบางทาให้มีเนื้อไม้มากขึ้น เป็น ต้น (วิฑูรย์, 2553; Zobel and Talbert, 2003)
เช่น ในการปรับปรุงพันธุ์ไม้โดยเฉพาะไม้โตเร็วของกรมป่าไม้ใช้รูปแบบการคัดเลือกพันธุ์แบบ
Index selection เป็ นส่วนใหญ่ โดยคัดเลือกจากอัตราการเติบโต ลักษณะรูปทรงของลาต้น
และสมบัติของเนื้อไม้ ไปพร้อมๆ กัน (วิฑูรย์, 2553)
การทดลองชนิดของพันธุ์ไม้ป่ามีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกหาชนิดไม้ที่มีอัตราการรอด
ตาย (survival rate) และอัตราการเติบโตดีอยู่ในเกณฑ์สูงมาใช้ในการปลูกสร้างสวนป่า โดยทา
การทดลองปลูกไม้หลายๆ ชนิดที่คาดว่าน่าจะขึ้นได้ดีในพื้นที่ที่กาหนด เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ
อัตราการรอดตายและการเติบโต ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ เช่น การทดสอบพันธุ์
ไม้ท้องถิ่น เช่น สัก สน ยาง เต็ง รัง สาหรับเป็น ไม้ท่อนและไม้แปรรูป การทดสอบพันธุ์ไม้ใน
40 | การปลูกสร้างสวนป่า
สกุ ล Eucalyptus และ ไม้ ใ นสกุ ล Acacia เพื่ อ เป็ น วั ต ถุ ดิ บ ส าหรั บ เยื่ อ กระดาษและ
อุตสาหกรรมต่างๆ การทดสอบพัน ธุ์ไม้ ในสกุล Eucalyptus ไม้ในสกุล Acacia และ กระถิน
ยักษ์ เชื้อเพลิง (fuelwood) และเชื้อเพลิงชีวมวล (biomass fuel) เป็นต้น ในการทดสอบชนิด
จาเป็นต้องมีขั้นตอนต่างๆ เช่น การวางแผนการทดลอง (experimental design) ให้สอดคล้อง
กับสภาพพื้นที่ และวัตถุประสงค์ของการใช้ป ระโยชน์ไม้ การกาหนดแผนงานในการจัดการ
แปลงทดลอง และการด าเนิ น งานตามแผนงาน เป็ น ต้น ทั้ งนี้ การเลื อ กชนิ ดไม้ที่ เหมาะสม
นอกจากจะพิจารณาจากการปรับตัวและการเติบโตของไม้แต่ละชนิดให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่
และจากวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์แล้ว อาจต้องคานึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจร่วมด้วยเช่นกัน
การทดสอบถิ่นกาเนิดโดยทั่วไปมีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกแหล่งเมล็ดซึ่ งเมื่อนามาปลูก
แล้ ว ได้ ผ ลดี ที่ สุ ด ทั้ งในด้านปริ ม าณและคุ ณ ภาพ เพื่ อ ใช้ถิ่ น กาเนิ ด ที่ คั ดเลื อ กไว้ส าหรับ การ
ปรับปรุงพันธุ์ต่อไป เพื่อจัดสร้างแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์จากถิ่นกาเนิดที่คัดเลือกไว้แล้วสาหรับใช้ใน
การปลู กสวนป่ าหรื อปลู กฟื้ น ฟู ป่ า และเพื่ อเป็ น การอนุ รัก ษ์พั น ธุกรรมไม้จากแหล่ งที่ ดีและ
เหมาะสมไว้ เพื่ อ ประโยชน์ ในอนาคตต่ อ ไป ในการทดสอบถิ่ น ก าเนิ ด จ าเป็ น ต้ อ งก าหนด
วัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เช่น เพื่อเปรียบเทียบอัตราการเติบโต ผลผลิตในรูปของสวนป่า รูปทรง
ลาต้น หรือคุณลักษณะในการอนุรักษ์ เป็นต้น และในบางครั้งการทดสอบถิ่นกาเนิดของไม้บ าง
ชนิดอาจมีหลายการทดลองเพื่อคัดเลือกถิ่นกาเนิด (Sumantakul, 2003) ในการศึกษาทดลอง
ชนิ ด และถิ่ น ก าเนิ ด ของพั น ธุ์ ไ ม้ ป่ า โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง การน าไม้ ต่ า งถิ่ น เข้ า มาปลู ก เพื่ อ
วัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง สามารถรวมขั้นตอนการทดสอบชนิดและถิ่นกาเนิดไม้ไว้ใน
การทดลองเดียวกันก็ได้ เพื่อให้ได้ชนิดไม้และแหล่งเมล็ดที่เหมาะสมที่จะนามาปลูกสร้างสวนป่า
หรือทาการปรับปรุงพันธุ์ต่อไป
ในประเทศไทยงานวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบชนิดไม้ได้เริ่มต้นในสมัยที่มีการก่อตั้งสถานี
วนกรรมในพื้ น ที่ ต่ า งๆ ของกรมป่ า ไม้ ในปี พ.ศ. 2458 ซึ่ ง มี ก ารทดลองปลู ก พรรณไม้
ต่างประเทศหลายชนิด ในขณะที่การทดลองถิ่นกาเนิดได้เริ่มทาการศึกษาในช่วงปี พ.ศ. 2508
โดยกรมป่าไม้ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเดนมาร์ก ในด้านผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือ และ
ในช่วงแรกได้เน้นการทดลองเกี่ยวกับไม้สักและไม้สนเป็นหลัก (Sumantakul, 2003) ต่อมาใน
ปี พ.ศ. 2528 กรมป่ าไม้ ได้ ร่ วมมื อกั บ Australian Centre for International Agricultural Research
(ACIAR) และ Commonwealth Scientific and Industrial Research Organization (CSIRO) ท า
การทดลองชนิ ด และถิ่น กาเนิ ดไม้ จากประเทศออสเตรเลี ย มีวัตถุป ระสงค์เพื่อหาชนิดไม้ ที่
เหมาะสมเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ไม้แปรรูป และวัตถุดิบ สาหรับอุตสาหกรรมต่างๆ โดยทดลอง
ปลูกพันธุ์ไม้ในสกุล Eucalyptus, Acacia, Casuarina และสกุลอื่นๆ รวม 23 ชนิด จาก 38
ถิ่นกาเนิดในท้องที่ต่างๆ ของประเทศไทย ทาให้ทราบชนิดและถิ่นกาเนิดไม้ที่เหมาะสมสาหรับ
บทที่ 2 แหล่งพันธุกรรมและการปรับปรุงพันธุ์ไม้ปา่ | 41
การขยายพั น ธุ์โดยไม่ อ าศั ย เพศ สามารถท าได้ ห ลายวิ ธีโดยอาศั ย กิ่ งพั น ธุ์จ ากสวน
ขยายพันธุ์ (multiplication garden) หรือสวนผลิตกิ่งพันธุ์ (hedge orchard) โดยทั่วไปการ
ปลู กสร้ างสวนป่ า เศรษฐกิ จ นิ ย มใช้ การขยายพัน ธุ์โดยไม่อ าศัย เพศจากสายต้น ที่ ได้ จากการ
ทดสอบสายต้น ซึ่งสามารถรักษาลักษณะทางพันธุกรรม (genetic makeup) ที่ดีเด่นของต้น
เดิมไว้ได้ทุกประการไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ในปัจจุบันนี้มีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีด้าน
การขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ เช่น การปักชา การตอนกิ่ง หรือการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ทาได้
ง่าย และต้นทุนไม่สูงนัก (บทที่ 4 นาเสนอรายละเอียดการขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ) สิ่งสาคัญ
ในการผลิตกล้ าพันธุ์ดีโดยไม่อาศัย เพศ คือการจัดการและดูแลสวนผลิตกิ่งพันธุ์ เช่น การให้
ปริมาณน้าอย่างเพียงพอ การให้ปุ๋ยและฮอร์โมนเป็นระยะ ตลอดจนมีระยะพักตอที่เหมาะสม
(dormancy period) เพื่อให้ต้นตอมีสุขภาพสมบูรณ์ ในปัจจุบัน การสร้างสวนผลิตกิ่งพันธุ์ทา
ได้หลายรูปแบบ เช่น สวนผลิตกิ่งพันธุ์แบบทั่ วไป (common hedge orchard) เป็นการปลูก
เป็นแถวระยะระหว่างต้นแคบ แต่ระยะระหว่างแถวกว้างเพื่อสะดวกในการทางาน นิยมใช้กับ
สวนผลิ ต กิ่ ง พั น ธุ์ ยู ค าลิ ป ตั ส ส าหรั บ ผลิ ต กล้ า เพื่ อ การค้ า สวนผลิ ต กิ่ งพั น ธุ์ ป ลู ก ในกระถาง
(potted seed orchard) นิยมใช้กับสวนผลิตกิ่งพันธุ์สักจากการติดตา และสวนผลิตกิ่งพันธุ์ที่
ปลูกปลูกในสารละลาย (hydroponics) นิยมใช้สาหรับการผลิตกล้าที่มีปริมาณไม่มาก
การปลูกสร้างสวนป่าไม้เศรษฐกิจในปัจจุบันนิยมปลูกด้วยกล้าจากการขยายพันธุ์โดยไม่
อาศัยเพศจากสายต้น (clone) ที่ผ่านการทดสอบ สาพิศ (2560) ได้เสนอแนะสายต้นยูคาลิปตัส
พันธุ์ดีที่นิยมเพื่อการปลูกสร้างสวนป่าเศรษฐกิจไม้โตเร็ว ดังนี้
• ต้นกระดาษสวนกิตติ เป็นกล้ายูคาลิปตัสพันธุ์ดีจากกลุ่มบริษัทสวนกิตติ เช่น สาย
ต้น K58 สาหรับปลูกในสภาพพื้นที่ปกติทั่วไป สายต้น K7 สาหรับปลูกในพื้นที่ราบ
ลุ่ม และสายต้น K62 สาหรับปลูกในพื้นที่แล้งเลือก
• ยูคาเอสซีจี เป็นกล้ายูคาลิปตัสพันธุ์ดี จากบริษัทในเครือเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCG
Packaging Group) มีส ายต้น H22, H26 และ H28 ที่เหมาะสมส าหรับปลู กใน
พื้นทีช่ ื้น และสายต้น P6, H4 และ H32 ที่เหมาะสมสาหรับปลูกในพื้นที่แล้ง
• ต้น กระดาษสยามทรี เป็ น กล้ายู คาลิปตัสพันธุ์ดี จากบริษัท สยามทรีดีเวลลอป
เม้น ต์ มี ส ายต้น D11 ที่เหมาะสมกับพื้นที่ลุ่ มน้าไม่ท่วมขัง และสายต้น D12 ที่
เหมาะสมกับพื้นที่ราบและที่ลาดเชิงเขา
44 | การปลูกสร้างสวนป่า
นอกจากนี้ กรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีพัฒนาไม้เศรษฐกิจพันธุ์ดีทั้งในเชิงวิชาการ
ปรับปรุงพันธุ์ ไม้ป่าและในเชิงผลผลิต ของพันธุ์ไม้ที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ สัก ยูคา
ลิ ป ตั ส และอะเคเซี ย มาอย่ า งต่ อ เนื่ อ ง (วิ ฑู ร ย์ , 2553) ในปั จ จุ บั น กรมป่ า ไม้ มี แ หล่ ง วั ส ดุ
พันธุกรรมดีทั้งในรูปของสายต้นพันธุ์ดีของสัก ยูคาลิปตัส และอะเคเซีย สาหรับผลิตกล้าไม้โดย
ไม่ อ าศั ย เพศ และแหล่ งผลิ ต เมล็ ด พั น ธุ์ดี ของไม้ ท้ อ งถิ่ น และไม้ ต่ างถิ่ น ครอบคลุ ม เนื้ อ ที่ กว่ า
10,430 ไร่ ส าหรั บ ผลิ ต เมล็ ด พั น ธุ์ ดี เป็ น จ านวนมากรองรั บ การปลู ก ป่ า ในเชิ ง พาณิ ช ย์ ได้
(สานักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, 2557)
อย่างไรก็ตาม การปลูกสร้างสวนป่าเชิงเดี่ยว (monoculture) ในพื้นที่ขนาดใหญ่ด้วย
สายต้น อาจมีความเสี่ยงต่อ ความเสียหายอย่างร้ายแรง (catastrophic loss) ที่เกิดจากการ
ระบาดของโรคและแมลงเป็นวงกว้าง หากสายต้นที่ปลูก มีลักษณะทางพันธุกรรมใกล้เคียงกัน
ดังนั้น จึงควรเลือกปลูกหลายๆ สายต้น และให้แต่ละสายต้นมีความแตกต่างทางพันธุกรรมเพื่อ
ช่วยลดความเสี่ย ง หากรอบตัดฟัน ยาว ควรเพิ่มจานวนสายต้นที่ใช้มากขึ้น นอกจากนี้ ควร
เลือกใช้รูปแบบการปลูกเพื่อลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคและแมลง เช่น การปลูกแบบ
สุ่ม (random clone planting) ป้องกันการระบาดของโรคและแมลง แต่จัดการค่อนข้างยาก
เพราะไม่สม่าเสมอ การปลูกแบบบล็อก (block planting) ซึ่งปลูกเป็นบล็อกของแต่ละสายต้น
ทาให้ มีความสม่าเสมอในแต่ละบล็อก การดูแลและจัดการทาได้ง่ายกว่า และการปลู กแบบ
Mosaic (mosaic planting) มีพื้นที่ที่เป็น buffer zone สาหรับการอนุรักษ์ส่วนใหญ่เป็นป่า
ธรรมชาติ หรือป่าปลูกไม้พื้นเมืองที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ
4.6 กำรคุ้มครองพันธุ์พืช (Protection of plant varieties)
พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 มีวัตถุประสงค์หนึ่งเพื่อส่งเสริมและสร้าง
แรงจูงใจ ให้มีการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ๆ ด้วยการให้สิทธิคุ้มครองตามกฎหมาย โดย
ในการปรับ ปรุงพันธุ์พืช หากเกิดพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งมีลักษณะ 1) มีความสม่าเสมอของลักษณะ
ประจ าพั น ธุ์ (uniformity) 2) มี ค วามคงตั ว ของลั ก ษณะประจาพั น ธุ์ (stability) 3) มี ค วาม
แตกต่างจากพัน ธุ์อื่น อย่างเด่นชัด (distinctness) 4) ชื่อที่เหมาะสม ถูกต้องตามกฎระเบียบ
(denomination) และ 5) ไม่มีการจาหน่าย จ่ายแจก เกินกว่า 1 ปี (novelty) สามารถนามา
จดทะเบียนเพื่อคุ้มครองพันธุ์ตามกฎหมายได้ โดยชนิดพืชที่ได้รับการประกาศกาหนดให้เป็น
พันธุ์พืชใหม่ที่จะได้รับการคุ้มครอง มีจานวน 62 รายการ รวมทั้ง กลุ่มพืชที่ให้เนื้อไม้ 5 รายการ
ได้แก่ ยางพารา ยูคาลิปตัส อะเคเซีย กระถินณรงค์ และสัก (กองคุ้มครองพันธุ์พืช กรมวิชาการ
เกษตร, 2549) สาหรับขั้นตอนการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ดังแสดงในภาพที่ 2.4 ที่
ผ่านมามีบริษัทเอกชนและหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ในกลุ่ม
บทที่ 2 แหล่งพันธุกรรมและการปรับปรุงพันธุ์ไม้ปา่ | 45
สมพร แม่ลิ่ม
1. บทนำ (Introduction)
ปัจจุบันแหล่งเมล็ดไม้ตามธรรมชาติ (Unclassified seed source)เริ่มลดน้อยลงทุกที
ที่ ใช้ กั น อยู่ ในประเทศ ผู้ ท าการปลู ก ป่ าจึ งต้ อ งประสบปั ญ หาในเรื่อ งการจั ด หาเมล็ ด ไม้ ที่ มี
คุณภาพทั้งปริมาณ และคุณภาพ (ทางด้านสายพันธุ์ และทางด้านสรีรวิทยา) อีกทั้งปริมาณ
เมล็ดที่เพียงพอที่จะใช้ในการผลิตกล้าไม้ในแต่ละปี การใช้เมล็ดที่มีคุณภาพดีโดยเฉพาะจาก
แหล่งที่ได้ทาการทดสอบแล้ว (certified seed source) ย่อมส่งผลไปถึงผลตอบแทนที่จะได้รับ
อีกด้วย
ในทางปฏิบัติมีปัญหาการขาดแคลนแหล่งเมล็ดไม้ในประเทศไทยที่มีคุณภาพ ผู้ทาการ
ปลูกป่าจึงต้องพยายามเก็บรวบรวมเมล็ดจากแหล่งต่างๆ ให้ได้ปริมาณเพียงพอโดยมิได้คานึงถึง
คุณภาพ ซึ่งไม่มีหลักประกันว่า สวนป่าที่ปลูกขึ้นมานั้นจะดีหรือเลวอย่างไร การปลูกป่าแต่ละ
ครั้งนั้นต้องมีการลงทุนลงแรงและยั งต้องใช้เวลาในการเติบโตอันยาวนานอีกด้วย การพิจารณา
ใช้เมล็ดที่มีคุณภาพย่อมเป็นการเริ่มต้นที่ดี และผลที่สุดก็คุ้มกับการลงทุนและเวลาที่เสียไป การ
ปลูกป่าไปตามยถากรรมโดยไม่รู้แหล่งที่มาของเมล็ดนั้นไม่สามารถคาดได้ว่าผลจะออกมาในรูป
ใดซึ่งเราไม่อาจเลี่ยงได้ ดังนั้ นก่อนที่จะทาการปลูกป่าแต่ละครั้งควรได้ทาการศึกษาและมีการ
วางแผนที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น การเพิ่มอัตราการเติบโตหรือคุณภาพของต้นไม้ โดยการปรับปรุงพันธุ์
ย่อมส่งผลให้มผี ลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน ดังนั้นกล้าไม้ที่จะนาไปปลูกซึ่งได้มาจากแหล่งที่
ดีควรจะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก นอกจากคุณภาพของเมล็ดทางด้านสายพันธุ์แล้ว
คุณภาพของเมล็ดทางด้านสรีรวิทยาก็มีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เมื่อมีเมล็ดที่มีการ
ปรับ ปรุงทางสายพัน ธุ์แล้ ว ผู้มีห น้ าที่ในการเก็บเมล็ ดและเตรียมกล้ าไม้ก็ต้องมีความรู้ความ
เข้าใจในการปฏิบัติต่อเมล็ด (seed processing) อย่างถูกวิธี เมล็ดไม้เป็นสิ่งที่มีชีวิตและมีความ
เสื่อม การปฏิบัติต่อเมล็ดอย่างถูกวิธีมีผลทาให้เมล็ดมีความเสื่อมช้าลง กล้าไม้ที่ผลิตได้ก็มีความ
50 | การปลูกสร้างสวนป่า
แข็งแรงและมีปริมาณมากพอตามที่ได้คาดหมายเอาไว้ รวมทั้งมีการตั้งตัวหลังการปลูกในพื้นที่
ได้เร็วขึ้น
2. กำรจัดหำเมล็ดไม้ (Seed Procurement)
การจัดหาเมล็ดเป็นปัจจัยสาคัญอันดับแรกของการปลูกป่า การกาหนดชนิดไม้สาหรับผู้
ปลูกนั้นมักจะถูกกาหนดจากหน่วยงานราชการเช่น กรมป่าไม้ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ต้องมีการศึกษาทดลองควบคู่ไปกับการพิจารณาด้านการตลาด ผู้ที่ต้ องการปลูกจึงต้องมีการ
วางแผนว่าจะปลูกไม้ชนิดใด ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการปลูกและธรรมชาติของชนิดไม้ว่า
เหมาะสมที่จะปลูกในท้องถิ่น ใดเป็น สาคัญ ลักษณะของพันธุ์ไม้ป่านั้นมีความผันแปรไปตาม
ลักษณะของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป (ecological differences) และการคัดเลือกตามธรรมชาติ
(natural selection) นั้ น มี ผ ลต่อ การสื บ ต่ อสายพั น ธุ์ในแต่ ล ะรุ่น (generation) ด้ วย เมื่อ ได้
ก าหนดชนิ ด ไม้ ที่ จ ะปลู ก แล้ ว การคั ด เลื อ กถิ่ น ก าเนิ ด (provenance) ที่ มี ส ายพั น ธุ์ที่ มี ค วาม
เหมาะสมกับพื้นที่ปลูกจึงมีความสาคัญมาก สายพันธุ์ที่ดีจะต้องมีการปรับตัวเข้ากับลักษณะทาง
ระบบนิเวศของแต่ละท้องที่ได้ดี
ในการวางแผนการเก็บ จะต้องทราบถึงความต้องการว่าเก็บเมล็ดชนิดใดบ้าง แต่ละ
ชนิดมีความต้องการมากเท่าไร เราจะเก็บเมล็ดเหล่านั้นได้จากที่ไหน คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
คุณภาพของเมล็ดที่เก็บเป็นอย่างไร มีโรคราหรือแมลงทาลายมากน้อยแค่ไหน ในการวางแผน
นั้น สิ่งที่ควรทาอีกเรื่องหนึ่งคือการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการปลูกสร้างสวนป่า ให้มี
ความชานาญในการเก็บเมล็ดไม้ ให้ถูกต้องตามหลักการและประหยัดค่าใช้จ่าย มีความรอบรู้ใน
แหล่งเก็บเมล็ด หรือมีความสามารถในการทาแผนที่แสดงแหล่ง เก็บเมล็ดต่างๆ และสิ่งสาคัญ
ที่สุดคือมีความสามารถในการควบคุมงานเพื่อให้การเก็บเมล็ดสาเร็จได้ตามเป้าหมาย โดยมีการ
เตรียมอุปกรณ์ในการเก็บ อุปกรณ์ในการเคลื่อนย้ายเมล็ด เป็นต้น ในการเก็บเมล็ดจากแหล่ง
ผลิ ต เมล็ ด พั น ธุ์ (seed production area) หรื อ จากสวนผลิ ต เมล็ ด พั น ธุ์ (seed orchard)
จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้ที่ได้รับการอบรม และมีประสบการณ์ในการทางานเกี่ยวกับ คุณภาพ
ของเมล็ดเป็นอย่างดี เนื่องจากจาเป็น ต้องมีความระมัดระวังในการเตรียมเมล็ดหลังจากเก็บ
เมล็ ด รวมถึ ง การปฏิ บั ติ ต่ อ เมล็ ด (seed processing) และการเก็ บ รั ก ษาเมล็ ด (seed
storability) เหล่านั้นด้วย สิ่งที่ต้องคานึงถึงในการจัดหาเมล็ดไม้ประกอบด้วย
บทที่ 3 เมล็ดพันธุไ์ ม้ป่า | 51
ปัจจัยภายใน ได้แก่
1) อายุ ที่ พ ร้ อ มออกดอกผล (reproductive age) อายุ ต้ น ไม้ ที่ เริ่ ม ผลิ ต เมล็ ด และ
จานวนปี ที่ให้ เมล็ดได้แปรผั น ตามชนิ ดไม้ เช่น ไม้กระถินยักษ์ (Leucaena leucocerhala)
และไม้สั กให้ ผ ลผลิ ตครั้ งแรกเมื่ออายุ 1.5 ปี และ 8 ปี ตามล าดั บ ส าหรับ ไม้ สั ก (Tectona
grandis) วีระพงษ์ (2543) รายงานว่า อายุของต้นไม้มีผลต่อคุณภาพของเมล็ดและเปอร์เซ็นต์
การงอก โดยพบว่าเมล็ดจากต้นไม้อายุ 35 ปีขึ้นไป มีคุณภาพเมล็ดและเปอร์เซ็นต์การงอกสูง
กว่าเมล็ดที่เก็บจากต้นไม้ที่มีอายุ 10 ปี
2) ขนาดของล าต้ น และเรื อ นยอด (size of stem and canopy) ขนาดล าต้ น และ
เรือนยอดมีผลโดยตรงต่อปริมาณผลผลิตเมล็ด กล่าวคือ ต้นไม้ที่มีลาต้นสูงใหญ่จะผลิตเมล็ดได้
บทที่ 3 เมล็ดพันธุไ์ ม้ป่า | 53
ปัจจัยภายนอก ได้แก่
1) สภาพแวดล้อม (environmental factors) พืชในป่าเขตร้อน (tropical forests)
โดยทั่วไปสามารถออกดอกติดผลได้ทุกช่วงเวลาตลอดทั้งปี เนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่ร้อน
หรือหนาวจัดเกินไป แต่ป่าในเขตอบอุ่น (temperate forests) พืชส่วนใหญ่ออกดอกในฤดูที่มี
อากาศอบอุ่น ไม่ออกดอกหรือผลิตเมล็ ดในฤดูห นาว เนื่องจากความเย็น ทาให้ดอกผลได้รับ
อันตรายได้ (สัมพันธ์ , 2525) สภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงหรือฉับพลันก็
เป็นอันตรายต่อตาดอกและผล เช่น สภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งมากสามารถทาให้ตาดอก
และดอกของไม้ยูคาลิปตัสบางชนิดร่วงหล่นจากต้นเมื่อยังมีขนาดเล็ก นอกจากนี้การที่มีพายุลม
แรงและไฟไหม้ตามพื้นป่าก็สามารถทาให้เกิดความเสียหายต่อดอกได้
2) ปัจจัยสิ่งมีชีวิต (biotic factors) สิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะสัตว์ต่างๆ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่
ทาให้ดอก ผล และเมล็ด ได้รับความเสียหาย ตัวอย่างเช่น
นกและค้างคาว จิกแทะดอกและผลจนทาให้ดอกและผลถูกทาลาย
หนอนผีเสื้อกินดอก (Pagida salvaris) ตัวหนอนจะกินดอกตูมของต้นสัก
ด้ ว งน้ ามั น (Mylabris phalerata Pall) และเพลี้ ย ดู ด น้ าเลี้ ย งช่ อ ดอกสั ก
(Machaerota sp.) กัดกินและทาลายดอกและช่อดอกสัก
หนอนผี เสื้อกิน เมล็ ดสั ก (Dichocrosis punctiferalia และ Eublemma sp.)
เจาะกินผลและเมล็ดสัก
54 | การปลูกสร้างสวนป่า
การตัดขยายระยะ ถือว่าเป็นการจัดการที่สาคัญอย่างหนึ่งของการปฏิบัติต่อแหล่งเมล็ด
การตัดขยายระยะทาได้ไม่ง่ายนัก มีระเบียบขั้นตอนหลายประการ ดังนั้นควรทาความเข้ าใจให้
ชัดเจนว่าเมื่อไรควรเริ่มทาการตัด ควรตัดต้นไม้ออกเท่าไร และจะพิจารณาเลือกต้นไม้ต้นใด
ออก การตัดต้นไม้ออกจากสวนในขณะต้นไม้กาลังโตมีความจาเป็น เนื่องจากได้ประโยชน์สอง
ประการพร้อมกันคือ ลดความหนาแน่น เปิดโอกาสให้ไม้ที่เหลืออยู่พัฒนาและเติบโตได้เต็มที่
และเป็นการกาจัดต้นที่มีลักษณะไม่ดี (undesirable phenotype) ออก งานวิจัยจานวนมาก
แสดงให้เห็นถึงความสาคัญของการตัดขยายระยะที่มีต่อการเติบโต (ทศพร และชิงชัย , 2545)
และต่อผลผลิตเมล็ด (สุวรรณ และคณะ, 2542) สาหรับสวนผลิตเมล็ด การตัดขยายระยะยิ่งมี
ความสาคัญมาก เนื่องจากตามหลักวิชาการจัดสร้างสวนผลิตเมล็ด ต้องตัดต้นไม้ที่มีลักษณะไม่ดี
เหลือแต่ต้นไม้ที่มีลักษณะดีได้มีโอกาสผสมพันธุ์กัน (Rouguing)
1) การเคลื่อนย้ายเรณู (pollen transfer)
การจั ด การด้ าน ก ารเค ลื่ อน ย้ า ยเรณู (management of pollen transfer) มี
ความส าคั ญ กั บ ผลผลิ ต เมล็ ด เนื่ อ งจากไม้ ป่ า ส่ ว นมากเป็ น ไม้ ที่ ต้ อ งการการผสมข้ า ม การ
ดาเนินการเพื่อให้เกิดการผสมเกสรที่เหมาะสม หรือให้เป็นไปตามลักษณะที่ต้องการทาได้หลาย
รูปแบบ ทั้งการปฏิบัติโดยตรงกับดอก และการปฏิบัติทางอ้อมกับหมู่ไม้ เช่นการควบคุมการ
ผสมเกสร (Controlled pollination) การเพิ่มปริมาณละอองเรณู และการทาแนวกันชนเพื่อ
ป้องกันการผสมเกสรกับต้นไม้ที่ไม่ต้องการ
2) การป้องกันควบคุมแมลงศัตรูป่าไม้ (pest control)
สาหรับ แหล่งเมล็ดที่เป็ นสวนป่ า โดยเฉพาะสวนป่าที่เป็นพืชชนิดเดียว การควบคุม
ป้องกันโรคและแมลง เป็นสิ่งสาคัญ เนื่องจากโรคและแมลงอาจเกิด การระบาดที่รุนแรงและ
รวดเร็ว ได้ ทั้ งนี้ ควรกาจั ดแมลงเมื่อมีการระบาดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะช่ว งใดของการพั ฒ นา เช่น
แมลงที่กัดกิน ใบพืช แม้จ ะไม่มีผ ลโดยตรงต่อดอกและผล แต่ทาให้ผิ วใบลดลง ส่งผลต่อการ
สังเคราะห์แสง จนในที่สุดทาให้ความสมบูรณ์ของดอกและผลลดลง
การควบคุมและป้ องกั นแมลงที่ทาอันตรายต่อ ดอก ผล และเมล็ ด มีวิธีการควบคุมได้
หลายวิธี การใช้สารเคมี การควบคุมโดยชี ววิธี และการคัดเลื อกพั นธุ์ที่ มีความต้ านทานแมลง
เป็นต้น
56 | การปลูกสร้างสวนป่า
3) การป้องกันให้แหล่งเมล็ดมีความปลอดภัย
แหล่งเมล็ดมีโอกาสถูกรบกวนหรือถูกทาลายได้จากไฟป่า การลักลอบตัดไม้ และการ
บุกรุกพื้นที่ การป้องกันอาจทาได้โดย การทาแนวกันไฟรอบพื้นที่ กว้างประมาณ 8-15 เมตร
การไปตรวจตราอย่างสม่าเสมอ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวบ้านที่อยู่รอบพื้นที่ให้รับรู้
ถึงความสาคัญของแหล่งเมล็ด สาหรับพื้นที่ที่อยู่ใกล้ชุมชนที่มีปัญหาสัตว์เลี้ยง สัตว์ ป่า หรือคน
ในพื้นที่เข้ามาทาอันตรายหรือรบกวนต่อต้นไม้ โดยอาจจาเป็นต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเพื่อทา
แนวรั้วป้องกัน (fencing) ในกรณีที่มีความจาเป็น
4. กำรเก็บ กำรปฏิบัติต่อเมล็ดหลังกำรเก็บ และกำรเก็บรักษำเมล็ด
4.1กำรเก็บเมล็ด )Seed Collection)
การเก็บเมล็ดไม้นั้นสามารถเก็บได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดไม้ ซึ่งมีลักษณะของผลที่
มี ค วามแตกต่ า งกั น ทั้ ง ลั ก ษณ ะทางกายภาพ (morphology) ลั ก ษณ ะทางสรี ร วิ ท ยา
(physiology) ปั จ จั ย เหล่ า นี้ จ ะเป็ น ตั ว ก าหนดและวิ ธี ก ารเก็ บ และปฏิ บั ติ ต่ อ เมล็ ด ส าหรั บ
แนวทางการเก็บเมล็ดไม้ในเขตร้อนมีวิธีต่างๆ ที่ใช้ดังนี้คือ
อุณหภูมิที่ไม่สูงเกินไป
อากาศถ่ายเทได้สะดวก
ความชื้นภายในเมล็ดหรือผล ซึ่งมาจากเนื้อเมล็ด หรือความชื้นภายในอากาศ
ล้วนมีผลต่อการเสื่อมของเมล็ด อัตราการติดเชื้อจากราและแบคทีเรีย รวมทั้ง
อัตราการหายใจและการหมักของผลและเมล็ด ในสภาพที่มีความชื้นสูงอัตรา
การหายใจจะเพิ่มสูงขึ้น ทาให้เกิดความร้อนชื้น เนื่องจากขบวนการสันดาป
ในขณะเดียวกันถ้าอากาศถ่ายเทไม่ดีพอกลับเกิดขบวนการหมักขึ้นแทนการ
หายใจ
ความร้ อ น เมื่ อ สะสมมากขึ้ น ท าให้ ผ ลหรื อ เมล็ ด ทั้ งหมดเสื่ อ มคุ ณ ภาพไป
นอกจากนี้ยังเร่งการติดของเชื้อราและแบคทีเรียให้ เร็วขึ้นอีกด้วย ในผลสด
เช่น ซ้อ สะเดา เมล็ดสูญเสียความมีชีวิตและผลเน่าได้ง่าย จากความร้อนที่
เกิดขึ้นภายในกองของผลที่รวมกันไว้ ดังนั้นในบางครั้งจาเป็นต้องเอาเนื้อออก
เพื่อไม่ให้ผลเน่า
อุณหภูมิ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเสื่อมของเมล็ด การสูญเสียความมี
ชี วิ ต ของเมล็ ด ขึ้ น อยู่ กั บ ชนิ ด ไม้ แ ละอุ ณ หภู มิ แ วดล้ อ ม ไม้ แ ต่ ล ะชนิ ด มี
ความสามารถทนทานต่อความร้อนในระดับที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปเมล็ดแห้ง
สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 55 ๐C แต่ถ้ามีความชื้นเป็นปัจจัยร่วมจะทาให้
ความทนต่ออุณ หภู มิล ดลง เช่น ในเมล็ ดไม้ Eucalyptus oblique ที่ ชื้น จะ
สู ญ เสี ย ความมี ชี วิต อย่ างรวดเร็ว ที่ อุ ณ หภู มิ 55 องศาเซลเซี ย ส ในขณะที่
อุ ณ หภู มิ เดี ย วกั น เมล็ ด แห้ งมี ผ ลเพี ย งเล็ ก น้ อ ยเท่ านั้ น เมล็ ด recalcitrant
สูญเสียความมีชีวิตได้ง่ายถ้าความชื้นต่า จึงไม่สามารถทนต่ออุณ หภูมิสูงได้
และเมล็ดบางชนิดสามารถทนอุณหภูมิได้ระหว่าง 20-35องศาเซลเซียส
การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวที่มีประสิ ทธิภาพควรมีการวางแผนที่ดี ก่อนการเก็บเมล็ด
ต้องมีการเตรีย มการล่ ว งหน้ าในเรื่องของการขนส่ งเมล็ ด และการปฏิบั ติห ลั งการเก็บ เกี่ย ว
(handling) เช่น การผึ่ ง การแยกเยื่ อหรือปี ก และการเก็บรักษาเมล็ ดชั่วคราว (temporary
storage) เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างรวดเร็วและตามวิธีการที่ถูกต้อง อันจะทาให้สามารถ
รักษาคุณภาพของเมล็ดไว้ได้ สิ่งสาคัญที่สุดในการเก็บเมล็ดที่ต้องคานึงถึง คือ ความสามารถใน
การขนส่งเมล็ดและการปฏิบัติหลังการเก็บเมล็ดต้องให้สอดคล้องกับปริมาณเมล็ดที่เก็บ เพราะ
หากว่าเก็บเมล็ดเกินความสามารถแล้วจะทาให้คุณภาพของเมล็ดเสื่อมต่าลง นอกจากนี้วิธีการ
ปฏิบัติในการเก็บรักษาเมล็ดชั่วคราว และการขนส่งต้องถูกต้องและเหมาะสม
บทที่ 3 เมล็ดพันธุไ์ ม้ป่า | 59
การคัดแยกเมล็ดมีวัตถุป ระสงค์เพื่อแยกเมล็ดออกจากผลหรือส่วนอื่นที่ติดกับเมล็ ด
โดยให้ได้ปริมาณเมล็ดมากที่สุด และมีคุณภาพทางสรีระสูงสุด การแยกเมล็ดจึงรวมถึงการเอา
เนื้อหรือเยื่อในผลสดออก การแยกเมล็ดออกจากผลของเมล็ดแห้ง และการตัดหรือตีปีกของ
เมล็ดหรือผลออก ดังนั้นในการปฏิบัติควรพิจารณาวิธีการที่ถูกต้อง เหมาะสมกับเมล็ดแต่ละ
ชนิด และเป็นวิธีการประหยัดที่สุด วิธีการแยกเมล็ดที่ไม่ถูกต้องทาให้คุณภาพของเมล็ดด้อยลง
เพื่อให้ง่ายสาหรับการปฏิบัติจะแบ่งประเภทของเมล็ดตามลักษณะต่างๆคือ
1) สภาพของเมล็ดในขณะที่เก็บ คือ การเก็บเมล็ดในระยะสุกแก่ หรือก่อนการสุกแก่
2) ชนิดของผลหรือเมล็ด คือ ชนิดของผล ผลแห้ง ผลสด
3) ผลแห้ งชนิ ด แก่ แ ตก ผลจะแตกเองเมื่ อ เมล็ ด สุ ก แก่ การแยกเมล็ ด จึ งท าได้ ง่า ย
ในขณะที่ผลแห้งชนิดแก่ไม่แตกต้องแยกเมล็ดออกโดยวิธีกล โดยในขั้นแรกอาจใช้การตากหรือ
อบเพื่อให้เมล็ดแตก จากนั้นจึงการแยกเมล็ดออกจากผลอีกครั้งโดยการตี ทุบ หรือ นวด ผล
ชนิดที่เรียกว่า Serotinous ซึ่งเป็นผลแห้งชนิดแก่ไม่แตก การแยกเมล็ดต้องอบด้วยความร้อน
สูงผลจึงแตกออก เช่น cone ของไม้สน ไม้ยูคาลิปตัส สาหรับผลสดการแยกต้องใช้แบบเปียก
คือ การแช่ในน้ าเพื่อให้ เนื้ อผลยุ่ย เปื่ อย จากนั้นอาจหมักหรือขูดเอาเนื้อออก (maceration)
จากนั้น ล้างให้ สะอาด ผลบางชนิดจะไม่ ทาการแยกเมล็ดจนกว่าจะนาไปปลูก เนื่องจากเหตุ
ผลต่างๆ เช่น ความสามารถในการเก็บรักษาด้อยลงเนื่องจากเมล็ดบางชนิดไม่มีเปลือกหุ้ม หรือ
เมล็ดเกิดความเสียหายจากการแยกเมล็ด การขาดแรงงานในการแยกเมล็ด เมล็ดบางชนิดที่
ต้องการความพิถีพิถันในการแยกเมล็ด เมล็ดบางชนิดไม่จาเป็นต้องแยกเมล็ด การเพาะเมล็ดทั้ง
ผลสามารถช่วยส่งเสริมการงอกให้ดีขึ้น เช่น สัก
การผึ่ง หรือการลดความชื้นเมล็ด (seed drying) ความชื้นภายในเมล็ดเป็นปัจจัยที่มี
ความสาคัญยิ่งต่อคุณภาพและการเก็บรักษาเมล็ด ระดับความชื้นภายในเมล็ดที่เหมาะสมในการ
เก็บรักษาจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเมล็ด
60 | การปลูกสร้างสวนป่า
เมล็ ด Orthodox เก็บ รักษาได้ ในสภาพความชื้น ในเมล็ ดต่ า ที่ค วามชื้ น 8-10%
สามารถเก็บรักษาเมล็ดได้นานไม่น้อยกว่า 1-2 ปี หากต้องการเก็บรักษาเป็นระยะ
ยาวนานกว่านั้นเมล็ดควรมีความชื้น ราว 4% ในการลดความชื้นต้องระลึกอยู่เสมอ
ว่าความชื้นและอุณหภูมิมีความสัมพันธ์กัน เมล็ดที่มีความชื้นสูงจะมีความทนทาน
ต่อความร้ อนได้น้ อ ยกว่าเมล็ ด ที่ มีค วามชื้น ต่ า การอบหรือผึ่ งเมล็ ด จึงต้องเริ่ม ที่
อุณหภูมิต่าก่อนแล้วเพิ่มสูงขึ้นในภายหลัง
เมล็ ด Recalcitrant เก็ บ รั กษาได้ในสภาพความชื้น ในเมล็ ดสู ง ความชื้นต่ าสุ ด ที่
เมล็ดจะคงความมีชีวิตอยู่ได้แตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์พืช
4.4 กำรเก็บรักษำเมล็ด (Seed Storage)
ความมีชีวิตของเมล็ดไม้ในระหว่างเก็บรักษาจะรักษาไว้ได้ยาวนานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับ
ปัจจัยต่างๆ หลายอย่างและมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ซึ่งพอจะกล่าวถึงได้คือ
1) คุณภาพของเมล็ดก่อนเก็บรักษา (Initial seed quality) การเก็บรักษาเมล็ดไม้นั้น
ไม่สามารถทาให้คุณภาพของเมล็ดนั้นดีขึ้น ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เมล็ด
เสื่อม (Deterioration) เพียงแต่ทาให้อัตราการเสื่อมช้าลงและทาให้ความมีชีวิตของเมล็ดยืด
ยาวออกไป เมล็ ดที่ มี คุณ ภาพดี มี ค วามเสื่ อมน้ อยย่อ มรักษาความมีชีวิต ไว้ได้ดี กว่าเมล็ ด ที่ มี
คุณภาพต่า ซึ่งคุณภาพเมล็ดมีผลมาจากปัจจัยต่างๆ
2) ลักษณะของเมล็ด (Seed characteristics) ความมีชีวิตยืนนานของเมล็ดนั้นปกติ
แล้วขึ้นอยู่กับลักษณะทางสัณฐานวิทยาชีวเคมีและสรีรวิทยาของเมล็ด เมล็ดที่มีเปลือกแข็ งและ
หนาจะเป็นตัวช่วยป้องกันอวัยวะภายในและควบคุมความชื้นได้นาน ส่วนเมล็ดที่มีเปลือกบาง
จะยอมให้ความชื้นและก๊าซซึมผ่านได้ง่าย หรือเมล็ดที่มีไขมันสูงจะมีอัตราความเสื่อมสูงด้วย
3) การสุกแก่ของเมล็ด (Seed maturity) เมล็ดที่ยังไม่แก่นอกจากจะมีการงอกไม่ดี
แล้ว ยังได้รับอันตรายได้ง่ายในขณะปฏิบัติเพื่อเตรียมเมล็ด และยังเก็บรักษาให้มีความมีชีวิตยืน
นานได้ยาก ดังนั้นในการเก็บรวบรวมเมล็ดจากต้น จึงต้องมีการคัดเลือกเก็บเมื่อเวลาที่เมล็ดสุก
แก่เต็มที่เท่านั้น ซึ่งผู้เก็บเมล็ดต้องมีความรู้ความชานาญในการเลือกเก็บ โดยมีวิธีสังเกตได้ ตาม
ชนิดของเมล็ด เช่น สังเกตจากความชื้นในเมล็ด สีของเปลือกเมล็ด สีของผลหรือปีก เมล็ดที่แก่
เต็มที่นั้นจะมีคุณภาพดีที่สุด เพราะมีความมีชีวิตสูงสุดและความเสื่อมน้อยที่สุด จึงทาให้การ
เก็บรักษาเมล็ดเป็นไปได้ง่ายขึ้น
4) การปฏิบัติต่อเมล็ดหลังการเก็บ (Seed processing) การปฏิบัติต่อเมล็ดอย่างถูก
วิ ธี นั บ ตั้ ง แต่ ก ารคั ด แยกเมล็ ด (extraction) การเอาเยื่ อ ออก (depulping) การตากเมล็ ด
(drying) และการท าความสะอาดเมล็ ด (cleaning) นั บ ว่ ามี ค วามจ าเป็ น มาก เมล็ ด ที่ ได้รั บ
บทที่ 3 เมล็ดพันธุไ์ ม้ป่า | 61
8. เอกสำรอ้ำงอิง (References)
ฉวีวรรณ หุตะเจริญ. 2526. แมลงป่าไม้ของไทย. ฝ่ายปราบศัตรูพืชป่าไม้ กองบารุง กรมป่าไม้.
ทศพร วัชรางกูร และชิงชัย วิริยะบัญชา. 2545. การตัดสางขยายระยะและการแตกหน่อของ
สวนป่าไม้สัก I. การเติบโตของสวนป่าไม้สักในช่วงระยะเวลา 3 ปี ภายหลังการตัด
ขยายระยะ, น.83-102. ใน รายงานการประชุมวิชาการป่าไม้ ประจาปี 2545.
กรมป่าไม้.
บัณฑิต โพธิ์น้อย. 2545. คุณภาพเมล็ดไม้และการพัฒนาแหล่งเมล็ดพันธุ์ไม้ป่า. เอกสารเผยแพร่
ทางวนวัฒนวิทยา. ส่วนวนวัฒนวิจัย สานักวิชาการ กรมป่าไม้.
บุญชุบ บุญทวี และสุขสันต์ สายวา. 2540. การจัดหาเมล็ดพันธุ์ไม้เพื่อการปลูกป่าในประเทศ
ไทย. ส่วนวนวัฒนวิจัย สานักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้.
ประโชติ ซุ่นอื้อ. 2528. การประเมินผลผลิตของเมล็ดและระยะเวลาในการเก็บเมล็ด. การ
ฝึกอบรมหลักสูตรการจัดหาเมล็ดพันธุ์ไม้ป่า ระหว่างวันที่ 10-21 มิถุนายน. ฝ่าย
ฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ กรมป่าไม้.
พิศาล วสุวาณิช. 2540. การจัดการเมล็ดพันธุ์ไม้ป่า (แนวความคิดและการวางแผนเก็บเมล็ด
ไม้). ส่วนวนวัฒนวิจัย สานักวิชาการ กรมป่าไม้.
วีระพงษ์ สวงโท. 2543. อิทธิพลของอายุแม่ไม้ต่อความมีชีวิตและการงอกของเมล็ดสัก, น.
228-237. ใน รายงานวนวัฒนวิจัยประจาปี 2543. ส่วนวนวัฒนวิจัย สานักวิชาการ
กรมป่าไม้.
สัมพันธ์ คัมภิรานนท์. 2525. หลักสรีรวิทยาของพืช. ภาควิชาพฤกษศาสตร์, คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สุรีย์ ภูมิภมร. 2522. เมล็ดพรรณไม้ป่าในเขตร้อน. เอกสารประกอบการสอน วิชาวนวัฒน 471.
ภาควิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สุวรรณ ตั้งมิตรเจริญ ประเสริฐ สอนสถาพรกุล และสุดารัตน์ วิสุทธิเทพกุล. 2542. ผลของ
ระยะปลูก การตัดขยายระยะ การให้ปุ๋ย และการถางวัชพืชที่มีผลต่อผลผลิตเมล็ดและ
การเติบโตของไม้กระถินณรงค์อายุ 2-5 ปี. วารสารวิชาการป่าไม้ 1 (2): 113-123.
สุวรรณ ตั้งมิตรเจริญ. 2557. แนวทางการพัฒนาแหล่งเมล็ดพันธุ์ไม้ป่า. สานักวิจัยและ
พัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ กรุงเทพฯ..
บทที่ 4
สถำนที่เพำะชำและกำรผลิตกล้ำไม้ป่ำ
Forest Tree Nursery and Seedling Production
วาทินี สวนผกา
1 บทนำ (Introduction)
การผลิ ต กล้ า ไม้ ป่ า นั บ เป็ น ปั จ จั ย ส าคั ญ ของการปลู ก สร้ า งสวนป่ า เนื่ อ งจากเป็ น
องค์ประกอบที่สาคัญที่จะทาให้การปลูกสร้างสวนป่าประสบความสาเร็จ หากการผลิตกล้าไม้ป่า
ไม่ได้รับการวางแผนการดาเนินการที่ดีแล้ว จะทาให้กล้าไม้ป่าเติบโตไม่ทันตามเวลาที่ต้องการ
ทาให้ การปลู กสร้างสวนป่ าไม่ส ามารถดาเนินไปตามเป้าหมาย หรือหากนากล้ าไม้ป่าที่ไม่ มี
คุณ ภาพไปใช้ในการปลูกสร้างสวนป่ าก็จะทาให้ การรอดตายต่าลง หรือทาให้ ต้องสิ้นเปลือง
ค่าใช้จ่ายในการปลูกซ่อม
การผลิตกล้าไม้ป่าให้มีคุณภาพต้องอาศัยความชานาญและการบารุงรักษาเป็นอย่างดี
ซึ่งจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวางแผนที่ดีตั้งแต่ การจัดหาและดูแ ลแหล่งพันธุ์ (บทที่ 2 และ
3) การขยายพันธุ์ไม้ป่า การเพาะและดูแลกล้าไม้ป่า รวมถึงการเตรียมความพร้อมของกล้าไม้ป่า
ต่อการปลูกสวนป่า โดยมีองค์ประกอบสาคัญของการผลิตกล้าไม้ป่า ต่อไปนี้
2. สถำนที่เพำะชำไม้ป่ำ (Forest Tree Nursery)
การผลิตกล้าไม้ป่านั้น จาเป็นต้องมีสถานที่เฉพาะสาหรับกิจกรรมนี้ เนื่องจากขั้นตอน
การผลิตกล้าไม้ป่าต้องการทรัพยากรที่เหมาะสมและแรงงานอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต้องเลือกพื้นที่
ออกแบบ และสร้างสถานที่เพาะชาอย่างเหมาะสม ดังนี้
68 | การปลูกสร้างสวนป่า
2.1 กำรเลือกพื้นที่สร้ำงสถำนที่เพำะชำไม้ป่ำ (Forest tree nursery site
selection)
พื้ น ที่ ส าหรั บ รองรั บ การผลิ ต กล้ า ไม้ ป่ า นั้ น มี ปั จ จั ย ที่ ค วรพิ จ ารณา ได้ แ ก่ สภาพ
ภูมิ อากาศของสถานที่ เพาะช าควรใกล้ เคีย งกั บ พื้ นที่ ที่ จะน ากล้ าไม้ ป่ า ไปปลู ก น้ามี ป ริมาณ
เพียงพอและคุณภาพดี แสงอาทิตย์ส่องตลอดทั้งวัน เป็นพื้นที่ราบ เข้าถึงได้ง่าย และมีเนื้อที่
เพียงพอ มีไฟฟ้า ห่างไกลจากปัจจัยแวดล้อมที่เป็นมลพิษและอันตราย รวมถึงไม่อยู่ในพื้นที่มีข้อ
ขัดแย้งทางกฎหมาย ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มนี ้าขัง
2.2 กำรออกแบบและสร้ำงสถำนที่เพำะชำ (Forest tree nursery design
and construction)
การออกแบบสถานที่เพาะชาจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการผลิต กล้าไม้ป่า
ได้แก่ ชนิดไม้ จานวน และระยะเวลาที่ต้องการกล้าไม้ป่า และต้องพิจารณาต้นทุนและรายได้
จากการผลิตกล้าไม้ ตลอดจนเทคนิคหรือวิธีการผลิตกล้าไม้ด้วย ก่อนการก่อสร้างสถานที่เพาะ
ชา ควรมีการออกแบบสถานที่เพาะชา ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก ได้แก่
1) พื้นที่รองรับกล้าไม้ป่า (nursery bed) การจัดพื้นที่สาหรับวางกล้าไม้ป่าควรมีความ
กว้างน้อยกว่า 1.2 เมตร เพื่อให้สามารถเข้าถึ งกล้าไม้ป่าได้ทั่วถึง ความยาวตาม
ความเหมาะสมในแนวทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก ควรมีที่กั้นขอบสาหรับกล้าไม้ป่า
เช่น เชือก อิฐ หรือไม้ไผ่กันเป็นแนวขอบและปูพื้นด้วยอิฐบล็อก
2) ทางเดิน โดยเฉพาะทางเดินระหว่างพื้นที่รองรับกล้าไม้ป่า ควรมีความกว้างอย่าง
น้อย 0.5 เมตร
3) ระบบน้า ควรมีแท็งก์ ท่อ และก๊อกน้าให้เพียงพอ
4) ระบบการระบายน้า เพื่อป้องกันน้าขัง และการกร่อน
5) พื้นที่สาหรับกองดินและวัสดุเพาะชา หรือพื้นที่สาหรับการทาปุ๋ย
6) รั้วเพื่อป้องกันสัตว์เข้ามาในสถานที่เพาะชา
3. กำรขยำยพันธุ์ไม้ป่ำ (Forest tree propagation)
การขยายพันธุ์ไม้ป่า คือ การเพิ่มจานวนต้นทั้งโดยใช้เมล็ดที่เกิดจากการผสมเกสรเพศผู้
และเพศเมีย และการเพิ่มจานวนต้นโดยใช้ส่วนต่างๆ ของไม้ป่า ดังนั้นการขยายพันธุ์ไม้ป่าจึงทา
ได้ 2 วิธี
บทที่ 4 การผลิตกล้าไม้ป่า | 69
มารักษาแผล ถ้าต้องการทาสารเร่งการออกรากให้ทาที่รอยควั่นตอนบนและบริเวณเหนือขึ้นไป
เล็กน้อย ทิ้งให้แห้ง แล้วพอกด้วยดินชื้นๆ
การหุ้มกิ่ง หุ้มกิ่งด้วยวัสดุที่อุ้มน้า เช่น ดิน กาบมะพร้าว ขุยมะพร้าว แล้วใช้
พลาสติกหุ้มอีกที มัดตัวและท้ายให้แน่น อย่าให้กระเปาหมุนหรือคอน เพื่อป้องกันการสูญเสีย
น้าจากวัสดุที่หุ้ม
การดูแลกิ่งตอน ดูแลใบของกิ่งที่ตอนให้สมบูรณ์และได้รับแสงเต็มที่ และวัสดุห่อ
แผลต้องชื้นอยู่เสมอ
การตัดกิ่งตอน ควรรอให้รากเริ่มมีสีน้าตาลและมีรากฝอยบ้างจึงจะตัด แล้วนาไป
ปลูกหรือดูแลในถุงเพาะชาต่อไป
.1.1. การติดตาและการต่อกิ่ง (grafting)
ฤดูกาล ควรทาการติดตาในช่วงที่ต้นตอกาลังเติบโตและเซลล์แคมเบียมกาลัง
แบ่งตัวเพื่อให้เปลือกล่อนจากเนื้อไม้ได้ง่าย
วิธีการติดตา เป็นการนาเอาชิ้นส่วนบริเวณตาของต้นแม่ไม้ ไปติดบนต้นตอ และเลี้ยง
ให้ตาพัฒนาขึ้นเป็นต้นใหม่โดยอาศัยรากจากต้นตอ นิยมทาการติดตาเพื่อการปรับปรุงพันธุ์หรือ
พัฒนาแหล่งพันธุ์ เช่น สัก ซึ่งมีวิธีการติดตาและรูปแบบ เช่น การติดตาแบบตัวที (T-budding)
(รูปที่ 1) การติดตาแบบตัวทีหัวกลับ (inverted T-budding) การติดตาแบบปะ (patch
budding) (รูปที่ 2) การติดตาแบบตัวไอ (I-budding) การติดตาแบบฟลูท (flute budding)
(รูปที่ 3) การติดตาแบบริง (ring budding) (รูปที่ 4) เป็นต้น
รุ่งเรือง พูลศิริ
1. บทนำ (Introduction)
ในการปลูกสร้างสวนป่า ให้ประสบความสาเร็จนั้น การเลือกและการเตรียมพื้นที่ปลูก
ป่าเป็ นการปฏิบัติหนึ่งทางด้านวนวัฒ นวิทยาที่มีความสาคัญ โดยปกตินั้นการเลือกพื้นที่ต้อง
เหมาะสมกั บ ชนิ ด ไม้ ที่ ต้ อ งการปลู ก นอกจากนี้ ส ภาพภู มิ อ ากาศก็ เป็ น อี ก ปั จจั ย หนึ่ งที่ ต้ อ ง
พิจารณาในการเลือกชนิดไม้ปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่ปลูกป่าเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวล้วน
ส่งผลต่อการรอดตายและการเติบ โตของชนิดไม้ที่ปลูก เพื่อให้คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการ
เตรียมพื้นที่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในการปลูกสร้างสวนป่าเป็นค่าใช้จ่ายสาหรับการเตรียม
พื้นที่ ประกอบกับความสาเร็จของการปลูกสร้างสวนป่าขึ้นอยู่กับผลผลิตอันเป็นผลมาจากการ
เติบโตของต้นไม้ที่ทาการปลูก ซึ่งการเตรียมพื้นที่มีผลอย่างมากต่อการเติบโตของต้นไม้ที่ปลูก
โดยเฉพาะในระยะแรกของการปลู กหรือช่วงตั้งตัวของกล้าไม้ ดังนั้นการเตรียมพื้นที่จึงเป็น
ขั้นตอนสาคัญขั้นตอนหนึ่งในการปลูกสร้างสวนป่า
2. กำรเลือกพื้นที่ปลูกป่ำ (Site Selection หรือ Selection of Planting site)
ก่อนที่จะกล่าวถึงการเลือกพื้นที่ปลูกนั้น ควรมาทาความเข้าใจกับคาว่า “พื้นที่ หรือ
site” ก่ อ น โดยค าว่ า พื้ น ที่ (site) นั้ น หมายถึ ง ต าแหน่ ง ที่ ตั้ ง ทางภู มิ ศ าสตร์ ที่ ลั ก ษณะ
เหมือนกันในแง่ของสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางชีววิทยา ในทางป่าไม้นั้นคาว่า พื้นที่
มักกาหนดจากศักยภาพหรือความสามารถที่จะอานวยผลให้ ต้น ไม้และพื ชพรรณชนิดต่างๆ
เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่มีการจาแนกตามความคล้ายคลึงของสภาพภูมิอากาศ ภูมิ
ประเทศ ดิ น และพื ช พั น ธุ์ (spurr, 1952; Davis, 1987; Powers, 2001; Skovsgaard and
Vanclay, 2008) นั่นคือ การเลือกชนิดไม้ที่เหมาะสมสาหรับพื้นที่ (species-site matching)
โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะวัดผลของปัจจัยสภาพแวดล้อมทั้งหมด เพื่อที่จะลงความเห็นว่า พื้นที่นั้น
90 | การปลูกสร้างสวนป่า
ดีหรือเลวเพียงใด ในการจัดการป่าไม้จาเป็นต้องรู้เกี่ยวกับถิ่นที่ ขึ้น เพื่อประกอบการประมาณ
ผลผลิตให้ถูกต้อง (Assman, 1970)
ซึ่ ง ในการปลู ก ต้ น ไม้ เพื่ อ ให้ มี ก ารเติ บ โตที่ ดี แ ละได้ ผ ลผลิ ต ตามความต้ อ งการนั้ น
นอกจากการเลื อ กพื้ น ที่ ป ลู ก ให้ เหมาะสมกั บ ชนิ ด ไม้ แ ล้ ว ปั จ จั ย ที่ มี ผ ลต่ อ การเติ บ โตและ
พัฒนาการของต้นไม้ต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็น 1) ปัจจัยภายใน หรือ ปัจจัยด้านพันธุกรรม (Internal or
Genetic factor) และ 2) ปั จ จั ย ภายนอก หรื อ ปั จ จั ย ด้ า นสภาพแวดล้ อ ม (External or
Environmental factors) ซึ่งปัจจัยด้านพันธุกรรมนั้นสามารถกาหนดได้ และได้กล่าวไว้ในบท
ที่ 2 แล้ ว ในขณะที่ ปั จ จั ย ด้ านสภาพแวดล้ อ ม ซึ่ งได้ แก่ แสง สมบั ติ ดิน ปริมาณน้าฝนหรือ
ความชื้น อุณหภูมิ สารอาหาร อากาศ (ก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์) และโรค แมลง
(Salisbury and Ross, 1992) ซึ่ ง ปริ ม าณน้ าฝนหรือ ความชื้ น จั ด ว่ าเป็ น ปั จ จั ย ด้ านสภาพ
ภู มิ อ ากาศ (climatic factor) ที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด ในการเลื อ กชนิ ด ไม้ ให้ เหมาะสมกั บ พื้ น ที่ ป ลู ก
(species-site matching) ซึ่งจะส่งผลให้การปลูกป่าประสบความสาเร็จได้
นอกจากนี้ในการเลือกพื้นที่ปลูกป่าให้เหมาะสมกับชนิดไม้ที่ต้องการปลูกนั้น ปัจจัยที่ใช้
ในการพิจารณาเลือกพื้นที่ปลูกป่า สามารถจาแนกได้ดังนี้ (FAO, 1989)
สภาพภูมิอากาศ ได้แก่ อุณหภูมิ ปริมาณน้าฝน (ปริมาณและการกระจาย) ความชื้น
สัมพัทธ์และลม
ดิ น ได้ แ ก่ ความลึ ก ของดิ น และความสามารถในการรั ก ษาความชื้ น เนื้ อ ดิ น
โครงสร้าง วัตถุต้นกาเนิดดิน พีเอช (pH) ระดับการอัดแน่นของดิน และการระบาย
น้า
ภู มิ ป ระเทศ ได้ แ ก่ ความลาดชั น และทิ ศ ด้ า นลาด ซึ่ ง มี ค วามส าคั ญ ต่ อ การ
เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและดิน
พืช ได้แก่ องค์ประกอบและลักษณะทางนิเวศวิทยาตามธรรมชาติรวมถึงพืชต่างถิ่น
ที่ถูกนามาปลูกด้วย
ปัจจัยทางชีววิทยาอื่นๆ เช่น ประวัติที่ผ่านมาและการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน ที่
มีอิทธิพลต่อพื้นที่ ประกอบด้วย ไฟ การทาปศุสัตว์ แมลงและโรคที่เกิดในพื้นที่
แหล่งน้าเสริม ได้แก่ บึง ทะเลสาบ แม่น้าลาธาร หรือแหล่งน้าอื่นๆ
ระยะห่างจากเรือนเพาะชา
นอกจากข้อมูลด้านชีวฟิสิกส์ข้างต้น แล้ วปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมยังมีบทบาท
สาคัญ ปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่
ความพร้อมของแรงงาน
บทที่ 5 การเลือกและการเตรียมพื้นที่ปลูกป่า| 91
แรงจูงใจของประชาชนในท้องถิ่น
ระยะห่างของสวนป่าไปสู่ตลาดและศูนย์กลางผู้บริโภค
กรรมสิทธิ์และสิทธิในการใช้ที่ดิน
3. ขั้นตอนในกำรเตรียมพืน้ ที่ (Step for Site Preparation)
ก่อนด าเนิ น การเตรี ย มพื้ น ที่ เจ้ าของสวนป่ าหรือผู้ ดาเนิ น งานจาเป็ น ต้อ งตรวจสอบ
กรรมสิทธิ์ในพื้นที่นั้นๆ และสารวจพื้นที่เสียก่อน เพื่อให้ทราบขอบเขตพื้นที่ที่แน่นอน ตลอดจน
ออกแบบหรือจัดวางตาแหน่งการใช้ประโยชน์พื้นที่ภายในสวนได้อย่างมี ดังรายละเอียดต่อไปนี้
3.1 กำรกำหนดขอบเขตพืน้ ที่ (Site boundary defined)
ในขั้นแรกจะต้องทาการสารวจพื้นที่เบื้องต้นซึ่งเป็นการสารวจสภาพพื้นที่และทาแผนที่
สังเขปของพื้น ที่ที่จ ะทาการปลู กสร้างสวนป่า จากนั้นจึงทาแผนที่ขอบเขตที่แน่นอนซึ่งอาจ
ดาเนินการสร้างรั้วเพื่อแสดงขอบเขตของพื้นที่และป้องกันสัตว์ พร้อมทั้งระบุตาแหน่งจุดสังเกต
ต่างๆ ในพื้นที่ลงในแผนที่
3.2 กำรสำรวจพื้นที่ภำยใน (In-site surveying)
เมื่อได้ขอบเขตพื้นที่ที่แน่นอนแล้ว ต้องทาการสารวจภายในพื้นที่ที่ต้องการปลูกสร้าง
สวนป่า เพื่อใช้ประกอบการออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ การเลือกชนิดไม้ที่ปลูก การเลือกวิธี
สาหรับเตรียมพื้นที่ การเก็บเกี่ยวผลผลิต ตลอดจนใช้ประกอบการกาหนดแนวถนน แหล่งน้า
และโรงเพาะชากล้าไม้ เป็นต้น ซึ่งวิธีในการสารวจมีทั้งวิธีสารวจโดยตรงและโดยอ้อม ดังนี้
วิ ธี ท างอ้ อ ม ได้ แ ก่ การสอบถามข้ อ มู ล จากผู้ ที่ อ ยู่ อ าศั ย ในบริ เวณนั้ น หรื อ บริ เวณ
ใกล้เคียง เจ้าของพื้นที่เดิม องค์กรในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ เป็นต้น และการใช้การสารวจ
ระยะไกล เช่น ภาพถ่ายทางอากาศ หรือการสารวจระยะไกล (Remote sensing)
92 | การปลูกสร้างสวนป่า
สาหรับการเลือกใช้วิธีการสารวจพื้นที่ขึ้นกับวัตถุประสงค์ งบประมาณ แรงงาน และ
เวลา โดยวิธีการสารวจภาคสนามและการสารวจระยะไกลจะได้ข้อมูลที่เน้นไปทางทรัพยากร
และสภาพจริงของพื้นที่ ซึ่งทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกัน ดังนี้
การสารวจภาคสนาม การสารวจระยะไกล
สารวจโดยตรงจากพื้นที่ สารวจพื้นที่ทางอ้อมโดยใช้ภาพถ่าย
ใช้แรงงานและเวลามาก สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย และประหยัด
ให้รายละเอียดเฉพาะพื้นที่ที่สารวจ ให้รายละเอียดน้อยแต่ครอบคลุมพื้นที่กว้าง
บางพื้นที่ไม่สามารถเข้าไปสารวจรังวัดได้ สามารถสารวจได้ในพื้นที่ที่การสารวจ
ภาคสนามไม่สามารถดาเนินการได้
ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและความชานาญใน
การแปลภาพ
อาจต้องใช้ร่วมกับแผนที่อื่นๆ เช่น แผนที่ภูมิ
ประเทศ เป็นต้น
ส่ ว นข้อมู ล ที่ท าการส ารวจ ได้ แก่ ลั ก ษณะพื้ น ที่ ห รือภู มิ ป ระเทศ แหล่ งน้ าและการ
ระบายน้า สมบัติดินทั้งทางฟิสิกส์และเคมีรวมทั้งข้อมูลทางธรณีวิทยา พืช พรรณที่ปกคลุมพื้นที่
สภาพสังคมโดยรอบและสาธารณูปโภคต่างๆ ตลอดจนข้อมูล (เช่น ถนน ระบบไฟฟ้า เป็นต้น)
อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การปลูกสร้างสวนป่า เช่น ความเชื่อของชุมชนท้องถิ่น พื้นที่ที่สาคัญต่อ
การล่าสั การทาปศุสัตว์ (เช่น ธรณีวิทยา และประวัติศาสตร์ ฯลฯ) การศึกษาด้านอื่นตว์ เป็นต้น
3.3 กำรออกแบบ/กำรวำงผังกำรปลูก (Design of planning layout)
การออกแบบในการวางผั งการปลู ก ส าหรั บ สวนป่ าขนาดใหญ่ นั้ น ค่ อ นข้ างมี ค วาม
ซับซ้อนในการกาหนดตาแหน่งที่แน่นอนและขอบเขตของสวนป่า รวมถึงการวางเครือข่ายถนน
สถานที่ตั้งของแหล่งน้าเพื่อในการดับไฟ การแบ่งพื้นที่ออกเป็นหน่วยย่อย (compartmemt) ที่
มีแนวกันไฟที่เข้าถึงได้ และระยห่างระหว่างแนวกันไฟ และการทาแผนที่ (Camirand, 2002)
ในขณะที่สวนป่าขนาดเล็กของหมู่บ้านชุมชน/หรือเอกชน การออกแบบในการวางผัง
การปลูกประกอบด้วย 4 กิจกรรม ดังนี้ (Camirand, 2002)
บทที่ 5 การเลือกและการเตรียมพื้นที่ปลูกป่า| 93
1) การกาหนดระยะปลูก
2) การสารวจพื้นที่และจุดที่จะปลูก
3) การทาแนวกันไฟรอบสวนป่า และ
4) การทาแผนที่สวนป่า
หลังจากได้ข้อมูลการสารวจพื้นที่แล้วจึงทาการออกแบบและวางผังการใช้ประโยชน์
พื้นที่อันได้แก่ โรงเพาะชากล้าไม้ การทาถนน และการแบ่งส่วนแบ่งตอนภายในสวนป่า ตาม
หลักการดังต่อไปนี้
การทาโรงเพาะชากล้าไม้ (Nursery) ต้องอยู่ใกล้ถนนและแหล่งน้า ตลอดจนควรอยู่
ใกล้กับสาธารณูปโภคต่างๆ และมักอยู่ใกล้ที่พักคนงาน การทาถนน (Road) ควร
กว้าง 2 – 10 เมตร เพื่ อความสะดวกในการขนส่ งคนงาน กล้ าไม้ และผลผลิ ต
ตลอดจนเป็นเส้นทางตรวจงาน และแบ่งพื้นที่สวนป่ าออกเป็นส่วนๆ รวมทั้งแนว
ป้องกันไฟในฤดูแล้ง ถนนควรมีความยาวและตัดผ่านพื้นที่เท่าที่จาเป็น ควรทาการ
สร้างถนนก่อนที่พื้นที่จะมีการปลูกต้นไม้ ไม่ควรทาการสร้างถนนในช่วงที่ดินเปียก
รวมทั้งเลือกใช้วิธีการสร้างซึ่งรบกวนพื้นที่น้อยที่สุดและเครื่องมือเครื่องจักรกลที่
เหมาะสม ตลอดจนควรมีทางหรือคูระบายน้า
การแบ่งส่วนแบ่งตอนภายในสวนป่า (Planting layout of plantation) สามารถใช้
แนวถนนในการแบ่งส่วนพื้นที่ หรือใช้แนวพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอุปสรรคต่อ
การเติบโตของต้นไม้ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ เช่น พื้นที่หินโผล่ ลาน้า เป็นต้ น ตลอดจน
สามารถปลูกต้นไม้ที่สามารถใช้เป็นแนวกันไฟสาหรับแบ่งพื้นที่ได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งการ
แบ่งส่วนแบ่งตอนพื้นที่นี้จะช่วยให้ง่ายต่อการจัดการพื้นที่โดยเฉพาะการป้องกันไฟ
การเก็ บ ริ บ หรื อ การถางป่ า เป็ น ขั้ น ตอนแรกในการเตรี ย มพื้ น ที่ ป ลู ก สร้ า งสวนป่ า
โดยเฉพาะการกาจัดไม้พุ่มและหญ้ามีความจาเป็ นมาก เนื่องจากวัชพืชจะแย่งสารอาหาร น้า
และแสง อย่างไรก็ตามอาจต้องเหลือไม้ต้นไว้ในพื้นที่บ้างหากชนิดไม้ที่ต้องการปลูกเป็นไม้ทนร่ม
(shade-tolerant species) หรือเมื่อไม้ต้นนั้นๆ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการปลูกสร้างสวนป่ามาก
นัก โดยรูปแบบและวิธีที่ใช้ขึ้นอยู่กับชนิดวัชพืช สภาพพื้นที่ และความพร้อมของผู้ดาเนินงาน
บทที่ 5 การเลือกและการเตรียมพื้นที่ปลูกป่า| 95
รูปแบบการเก็บริบ
การเก็บริบสามารถทาได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การเก็บริบบางส่วน และกาจัดหมด โดยทั้ง
สองรูปแบบนี้เหมาะกับสภาพพื้นที่และชนิดไม้ที่ต้องการปลูกต่างกันไป
1) การเก็บริบ บางส่วนสามารถทาได้ทั้งแบบเป็นจุด (path clearing) และเป็นแถบ
(strip clearing) สาหรับการเก็บริบแบบจุดใช้ในพื้นที่ที่วัชพืชสูงไม่เกิน 1 เมตร พื้นที่โล่ง หรือ
พื้นที่ไร่ปศุสัตว์ร้าง เป็นการกาจัดวัชพืชรอบบริเวณหลุมหรือต้นไม้ที่ต้องการปลูกในระยะรัศมี
ประมาณ 1 เมตร โดยถางวัชพืชควบคู่ไปกับการขุดหลุมปลูก ส่ วนการเก็บริบแบบเป็นแถบจะ
กาจัดวัชพืชในระยะประมาณ 1 เมตร ตลอดข้างข้างของแนวการปลูก
การการเก็บริบบางส่วนแบบเป็นจุด การเก็บริบบางส่วนแบบเป็นแถบ
วิธีการเก็บริบ
วิธีการเก็บริบสามารถแบ่งออกเป็น 4 วิธี ได้แก่ การใช้แรงงานมนุษย์ การเผาตามกาหนด
การใช้สารเคมี และการใช้เครื่องจักรกล โดยในการเตรียมพื้นที่นั้นจะเลือกใช้เฉพาะวิธีใดวิธีหนึ่ง
96 | การปลูกสร้างสวนป่า
หรือจะใช้วิธีการต่างๆ ร่วมกันก็ได้ ในการปลูกสร้างสวนป่าส่วนมากแล้วหลั งการกาจัดวัชพืชด้วย
วิธีการต่างๆ แล้ว มักจะกาจัดเศษซากต่างๆ ด้วยการเผาตามกาหนดหรือเก็บริมสุมเผา
1) การใช้แรงงานมนุษย์ (Manual clearance)
การใช้แรงงานมนุษย์เป็นการใช้เครื่องมือเครื่องใช้ทั่วไป เช่น ขวาน จอบ เลื่อย ฯลฯ
ในการกาจัดวัชพืช ไม่จาเป็นต้องใช้ความรู้หรื อทักษะเฉพาะในการปฏิบัติงาน จึงทาให้สามารถ
หาแรงงานได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายน้อย
เป็ น วิธีการเตรี ย มพื้ น ที่ โดยใช้ ส ารเคมีก าจัด วัช พื ช ซึ่งเป็น วิธีที่ รบกวนดิน น้ อยที่ สุ ด
เหมาะส าหรับ ใช้ในพื้ น ที่ ล าดชั น สู งและพื้ น ที่ขนาดเล็ กซึ่งไม่ส ามารถใช้เครื่องจัก รกลเข้ าไป
ดาเนิ น การในพื้น ที่ได้และมักใช้กับ พื้น ที่ซึ่งมีส ภาพเป็นป่าหญ้ าคาล้ วน อย่างไรก็ตามการใช้
วิธีการทางเคมีต้องคานึงถึงปริมาณและเวลาและมักใช้ร่วมกับการเผา เนื่องจากการใช้สารเคมี
กาจัดวัชพืชเป็นเพียงการทาให้วัชพืชตาย แต่ไม่ได้กาจัดเศษซากวัชพืชออกไปจากพื้นที่ โดยการ
เผาหลั ง การใช้ ส ารเคมี ช่ ว ยเพิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ าพของการก าจั ด เศษซากพื ช และช่ ว ยให้ ก าร
ดาเนินงานปลูกต้นไม้ง่ายขึ้น ทั้งนี้สามารแบ่งวิธีการเตรียมพื้นที่ทางเคมีได้ 3 วิธี ดังนี้ การฉีด
เข้าต้นโดยตรง การพ่นทางใบ และการให้สารกาจัดวัชพืชทางดิน
การฉีดเข้าต้นโดยตรง (Tree injection)
การฉีดสารเคมีกาจัดวัชพืชเข้าต้นไม้สามารถใช้กาจัดวัชพืชขนาดกลางและใหญ่ แต่ไม่
สามารถกาจัดวัชพืชขนาดเล็กได้ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีการนี้ร่วมกับการเผาเพื่อกาจัดวัชพืชขนาด
เล็ก หรือใช้ร่วมกับการใช้สารเคมีด้วยวิธีอื่นและวิธีการทางกล โดยสารเคมีที่ฉีดนี้จะฉีดผ่านทาง
เปลื อกของต้น ไม้ ซึ่งสามารถทาได้ 2 วิธี คือ ฉีดที่โคนต้น และฉีดที่ความสู งระดั บเอว โดย
วิธีการฉีดสารเคมีนี้นิยมใช้ในพื้นที่ขนาดเล็กและพื้นที่ที่ความหนาแน่นของต้นไม้ต่า
การฉีดสารเคมีที่ระดับโคนต้น การฉีดสารเคมีที่ความสูงระดับเอว
การฉีดพ่นทางใบ (Foliar spraying)
การฉีดพ่นทางใบเป็นวิธีที่สามารถกาจัดวัชพืชซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งได้เร็วและประหยัดที่สุด
โดยสามารถทาได้ทั้งฉีดพ่นทางพื้นดินและทางอากาศ อย่างไรก็ตามการฉีดพ่นสารเคมีนี้ต้อง
ระวังเรื่องทิศทางลม และควรฉีดพ่นในช่วงกลางฤดูร้อน หลังจากนั้น 6 – 8 สัปดาห์ จึงดาเนินการ
เผาเพื่อกาจัดใบที่ร่วงหล่นหรือซากต้นไม้อันเนื่องมาจากการใช้สารเคมีกาจัดวัชพืช
98 | การปลูกสร้างสวนป่า
4.4 กำรเลือกใช้วิธีกำจัดวัชพืช
การเลือกใช้วิธีกาจัดวัชพืชวิธีต่างๆ ควรคานึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
1) ชนิดของวัชพืช
2) วิธีการที่ใช้ในการปลูกสร้างสวนป่า เช่น การสืบพันธุ์โดยให้แม่ไม้โปรยเมล็ดตาม
ธรรมชาติของไม้สนควรใช้เฉพาะการเผาตามกาหนด พื้นที่ที่มีไม้พุ่มขึ้นหนาแน่นควรใช้วิธี การ
ทางกลโดยดาเนินการอย่างประณีต
3) คุณภาพดินและความชื้นในดิน
4) เทคนิคการปลูก เช่น การปลูกโดยใช้ เครื่องจักรสามารถดาเนินการได้เฉพาะใน
พื้นที่ที่ปราศจากซากต่างๆ ขณะที่การปลูกด้วยแรงงานคนสามารถดาเนินการได้ทั้งในพื้นที่ที่
ไม่ราบและพื้นที่ที่มีซากสะสมในระดับปานกลาง
5) ขนาดพื้นที่ เช่น พื้นที่ขนาดเล็กเหมาะกับวิธีการเผาตามกาหนดและวิธีการทางเคมี
โดยใช้แรงงานคน
6) แรงงานและเครื่องมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้วิธีการเผาตามกาหนด
7) สภาพอากาศ และการแพร่กระจายของสารเคมีทางอากาศและน้า
8) กองสุมซากพืชตามชั้นความสูง ไม่ดาเนินการเตรียมพื้นที่ด้วยวิธีกลในฤดูฝน และ
ควรปล่อยให้มีต้นไม้ (พื้นที่ที่ไม่ถูกรบกวน) ในระยะอย่างน้อย 15 – 25 เมตร ตลอดลาน้าหรือ
รอบแหล่งน้า
ที่มา: http://practicalaction.org/farming_techniques
การทาขั้นบันไดรูปแบบต่างๆ
ที่มา: http://www.agnet.org/library/eb/448/
อย่างไรก็ตามการเตรียมดินควรทาตามระดับความลาดชันเพื่อป้องกันการกร่อนดิน ซึ่ง
สามารถทาได้โดยใช้แรงงานคนและใช้เครื่องจักรกลโดยขึ้นกับสภาพพื้นที่และชนิดไม้ที่ต้องการ
ปลูก
5. กำรปักหลักปลูก (Staking)
การปั กหลั กหมายแนวปลูกและการกาหนดระยะปลู กมีวั ตถุป ระสงค์เพื่ อความเป็ น
ระเบี ย บเป็ น แถวเป็ น แนวของต้น ไม้ที่ต้องการปลู ก ซึ่งส่ งผลให้ ต้นไม้ต่อการได้ รับแสงสว่าง
สารอาหาร และการปฏิบัติต่างๆ ได้เท่าๆ กัน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของเนื้อไม้และค่าใช้จ่ายใน
การลงทุน โดยระยะปลูกขึ้นกับชนิดไม้ที่ต้องการปลูก วัตถุประสงค์ของการปลูกหรือผลผลิตที่
ต้องการ รวมทั้งสภาพพื้นที่ ดังนี้
ระยะปลู ก 1–2 เมตร เหมาะส าหรั บ การปลู ก สร้ า งสวนป่ า ไม้ พ ลั ง งานหรื อ
ไม้เชื้อเพลิงที่รอบตัดฟันสั้น และต้องการไม้ขนาดไม่ใหญ่มากนักเป็นจานวนมาก
ระยะปลูก 2–3 เมตร เหมาะสาหรับการปลูกสร้างสวนป่าเพื่อใช้ทาเยื่อกระดาษซึ่ง
มีรอบตัดฟัน 5–15 ปี และต้องการไม้ในปริมาณมากโดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
ประมาณ 10–40 เซนติเมตร
ระยะปลูก 2.4–4.5 เมตร เหมาะสาหรับการปลูกสร้างสวนป่าไม้ซุงหรือไม้ท่อน
ขนาดใหญ่ ที่มีขนาดเส้น ผ่ านศูนย์กลางมากกว่า 30 เซนติเมตร รอบตัดฟันยาว
และมีการตัดขยายระยะในแต่ละรอบตัดฟัน
ระยะปลูกแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ระยะปลูกแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า
(square spacing) (rectangular spacing)
ระยะปลูกแบบสามเหลี่ยม
(triangular spacing)
เมื่อกาหนดระยะปลูกและรูปแบบการปลูกแล้วจึงสามารถประมาณจานวนกล้าไม้ที่ต้อง
ใช้ จากนั้ น ทาการปั กหลักหมายแนวปลู กตามระยะปลูกและรูป แบบระยะปลู กเพื่อขุดหลุ ม
เตรียมปลูกต่อไป โดยการปักหลักหมายแนวปลูกสามารถทาได้โดยการใช้เส้นอ้างอิง (baseline)
แล้ววัดระยะในการปลูกจากเส้นอ้างอิงหรือใช้วิธีนับก้าวตามรูปแบบและระยะปลูกที่ได้กาหนด
ไว้ จากนั้นจึงขุดหลุมปลูกหรือปักหลักก่อนแล้วจึงขุดหลุมทีหลัง อย่างไรก็ตามการปักหลักหมาย
แนวปลูกนี้ไม่จาเป็นต้องทาเสมอไป จากนั้นจึงขุดหลุมปลูกหรือปักหลักก่อนแล้วจึงขุ ดหลุมที
หลัง อย่างไรก็ตามการปักหลักหมาแนวปลูกนี้ไม่จาเป็นต้องทาเสมอไป
บทที่ 5 การเลือกและการเตรียมพื้นที่ปลูกป่า| 105
8. เอกสำรอ้ำงอิง (References)
โครงการส่งเสริมการเพาะชากล้าไม้และปลูกป่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนเพาะชากล้าไม้
สานักส่งเสริมการปลูกป่า. 2539. คู่มือส่งเสริมการปลูกป่า. กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
สมยศ กิจค้า. 2538. กลยุทธ์ใหม่ในการปลูกสร้างป่าไม้เขตร้อน. ส่วนวนวัฒนวิจัย สานัก
วิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
Assman, E. 1970. The principle of Yield Study. Pergamon Press Ltd,
New York.
Camirand, R. 2002. Guidelines for Forest Plantation Establishment and
Management in Jamaica. CIDA, Canada.
Davis, L.S. 1987. Forest Management. McGraw Hill Book Company, Inc.,
New York.
Dubois, M.R. 1995. Site Preparation Methods for Regenerating Southern
Pines. Available source: http://www.forestproductivity.net/preparation/
Methods_Southern_Pines.html, November 28, 2010.
Evans, J. 1982. Plantation forestry in the tropics. Oxford University Press,
New York.
FAO. 1955. Tree Planting Practices for Arid Areas. Rome, Italy.
. 1974. Tree Planting Practices in African Savannas. Rome, Italy.
. 1989. Arid Zone Forestry: A Guide for Field Technicians. Rome,
Italy.
ILO, UNDP. 1993. Special Public Works Programmes - SPWP - Planting Trees
- An Illustrated Technical Guide and Training Manual. UNDP.
Powers, R.F. 2001. Assessing potential sustainable wood yield, pp. 105-128. In
J. Evans, ed. The Forests Handbook. Vol. 2. Blackwell Science, Ltd.,
Oxford.
Salisbury, F.B. and C.W. Ross. 1992. Plant Physiology. 4th ed. Wadsworth
Pub. Co., Belmont.
บทที่ 5 การเลือกและการเตรียมพื้นที่ปลูกป่า| 107
Skovsgaard, J.P. and J.K. Vanclay. 2008. Forest site productivity: a review of the
evolution of dendrometric concepts for even-aged stands. For. 81(1): 13-31.
Spurr, S.H. 1952. Forest Inventory. The Ronald Press Co., New York.
บทที่ 6
รูปแบบและเทคนิคกำรปลูกไม้ป่ำ
Pattern and Forest Tree Planting Technique
1. บทนำ (Introduction)
การปลูก (planting) ต้องคานึงถึงวัตถุประสงค์เป็นหลักว่าต้องการใช้ทรัพยากรไปใน
ทิศทางใด เพื่อที่จะเป็น แนวทางไปสู่ในการวางแผนที่ปลูก โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกชนิดพันธุ์ให้
เหมาะสมกับพื้นที่ โดยต้องมีการเตรียมพื้นที่ และเลือกวิธีการปลูกให้เหมาะสมกับชนิดพันธุ์ที่
นามาปลูกด้วย เนื่องจากความเหมาะสมของวิธีการปลูก จะแตกต่างกันออกไปในไม้แต่ละชนิด
เช่น วิธีการปลูกด้วยเมล็ด เหมาะกับ ต้นเหรียง ต้นยางนา วิธีการปลูกโดยใช้เหง้าเหมาะกับ สัก
และซ้อ เป็นต้น และยังมีรูปแบบในการปลูกที่ต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในข้างต้น ไม่ ว่า
จะเป็นรูปแบบการปลูกเชิงเดี่ยว การปลูกแบบผสม ที่จะให้ประโยชน์แตกต่างกัน และการปลูก
แบบวนเกษตรที่เน้นทั้งความสมดุลของธรรมชาติและประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ เมื่อ
มีการปลูกต้นไม้ไปแล้วจาเป็นต้องมีการบารุงรักษาต้นไม้ เพื่อที่จะให้ต้นไม้นั้นได้มีการเติบโตที่ดี
และให้ผลผลิตที่สูง
2. รูปแบบกำรปลูก
2.1 กำรปลูกเชิงเดี่ยว
สวนป่ าเชิ งเดี่ ย ว (monoculture) เป็ น การปลู ก ป่ าที่ ใช้ ช นิ ด ไม้ เพี ย งชนิ ด เดี ย วที่ ให้
ผลผลิตสูง และปลูกในพื้นที่กว้าง โดยมุ่งหวังผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก ทั้งค้า
ภายใน และภายนอกประเทศ เป็นรูปแบบที่นิยมปลูกกันมากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การ
ปลูกสวนป่าเชิงเดี่ยวที่ประสบความสาเร็จแล้วได้แก่สวนป่าไม้สักและสวนป่าไม้ยูคาลิปตัส เพื่อ
อุ ต ส า ห ก ร ร ม โ ด ย มี ข้ อ ดี แ ล ะ ข้ อ เ สี ย ดั ง นี้
110 | การปลูกสร้างสวนป่า
ข้อดี
1) ได้ผลผลิตปริมาณมาก
2) การใช้เนื้อไม้ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าปลูกแบบผสม
ข้อเสีย
1) ในแง่ของสิ่งแวดล้อมจะทาให้ขาดความหลากหลายทางชีวภาพ
2) ทาให้เกิดปัญหาโรคและแมลงระบาดได้ง่ายและรุนแรงเกิดผลกระทบทั้งพื้นที่
3) การปลูกพืชชนิดเดิมเป็นเวลานานทาให้ดินสูญเสียสารอาหาร ดังนั้นควรทาการปลูก
พืชหมุนเวียนซึ่งเป็นการรักษาความสมบูรณ์ของดิน ยกตัวอย่างเช่น ในการปลูกยูคาลิปตัส 5 ปี
แล้วตัดรอบต่อไปควรปลูกกระถินเทพาซึ่งเป็นไม้ตระกูลถั่วและเป็นไม้ปรับปรุงดิ นสลับกันไป
เป็นต้น
4) การบารุงรักษาสวนป่าเพื่อให้ได้ผลผลิตในระยะยาว โดยผลผลิตในรอบตัดฟันต่อไป
อาจจะมี ผ ลผลิ ตลดลง เนื่ องจากการอัดแน่ น ของดิน และความอุดมสมบู รณ์ ของสารอาหาร
สูญเสียไปจากดิน ซึ่งต้องบารุงรักษาสวนป่าและเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงดินและการใส่ปุ๋ย
ซึ่งจะสูญเสียเงินมากกว่าการปลูกแบบผสมผสาน และยังขาดความคงทนของพันธุ์ซึ่งต้องมีการ
ปรับปรุงพันธุ์ (กรมป่าไม้, 2536)
2.2 กำรปลูกแบบผสม
สวนป่าแบบผสม (mixed culture) เป็นการปลูกเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทั้งด้าน
เศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะแบ่งย่อยเป็นการปลูกไม้ตั้งแต่ 2 ชนิดร่วมกันขึ้นไป
อาจจะเป็นไม้ยืนต้นที่ต่างชนิดกัน หรือการปลูกไม้ยืนต้นร่วมกับพืชเกษตร หรือสมุนไพร
การปลูกแบบผสมออกเป็น 4 ประเภท คือ
1) การปลู กผสมแบบชั่ ว คราว (temporary mixtures) วัต ถุป ระสงค์ เพื่ อช่ ว ยให้ ไม้
เศรษฐกิจ ชนิดอื่นให้ผลเป็นที่แน่นอนและในเวลาอันรวดเร็ว อย่างน้อยก็จะช่วยให้การเติบโตดี
ขึ้น พรรณไม้ที่ใช้ปลูกช่วยในการกาจัดวัชพืช
2) การปลูกผสมแบบถาวร (permanent mixtures) ไม้ที่ปลูกจะมีอายุรอบตัดฟันไล่เลี่ย
กัน หรือเท่ากัน การปลูกอาจจะทาเป็นแถวต่อแถว หรือเป็นแถบๆ หรือปลูกผสมเป็นหมู่ๆ
3) การปลูกแบบผสมโดยวิธีแบ่งเป็นตอนๆ (mixtures by blocks) มักจะพิจารณาว่า
จะปลูกไม้ชนิดใดเป็นพื้นที่เท่าใดจึงจะให้เกิดผลดีต่อการปลูกแบบผสม
บทที่ 6 รูปแบบและเทคนิคการปลูกไม้ปา่ | 111
อย่างไรก็ตามการปลูกด้วยเมล็ดโอกาสประสบผลสาเร็จมีน้อย จึงนิยมใช้เมื่อกล้าไม้
ไม่เพียงพอ การเข้าถึงภาคพื้นดินไม่สะดวก และผิวหน้าดินเป็นอุปสรรคต่อการปลูก ซึ่งปัจจุบัน
นี้ มีการโปรยเมล็ดด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน (Drone) โดยในต่างประเทศมีการใช้วิธี
จริงการนี้ ในการเพาะปลู ก โดยจะต้องคานึ งถึงอัตราการงอกโดยการเตรียมเมล็ดให้ มีความ
พร้อม ซึ่งโดรน 1 ตัวสามารถโปรยเมล็ดในจุดที่เหมาะสมได้ถึง 10 เมล็ดต่อนาที เมล็ดที่โปรย
จะถูกบรรจุอยู่ในฝัก (Seed pod) ในนั้นจะประกอบไปด้วยเมล็ดไม้ ปุ๋ย และจุลินทรีย์ที่ ช่วยให้
เมล็ดงอกได้ดี (พรเทพ, 2559)
บทที่ 6 รูปแบบและเทคนิคการปลูกไม้ปา่ | 115
เป็ น การปลู ก ไม้ ให้ ลึ ก กว่ าปกติ เพื่ อ ให้ ต้ น กล้ า แข็ งแรง และเพิ่ ม อั ต ราการรอดตาย
เนื่องมาจากสภาพพื้นที่ไม่อานวยต่อการปลูกพืช เช่น มีความชื้นต่า อุณหภูมิสูง ความเค็มสูง
การไหลบ่าหน้าดินที่เกิดจากน้าท่วม (Bakewell et al, 2009)
บทที่ 6 รูปแบบและเทคนิคการปลูกไม้ปา่ | 117
การระบายน้าในบริเวณที่ปลูกต้นไม้ที่ดินระบายน้าได้ไม่ดี สามารถแก้ไขโดยการขุดร่อง
ก้างปลา โดยขุดจากหลุมปลูกต้นไม้ ความ ลึกของร่องเท่ากับความลึกของหลุมปลูก ภายในร่อง
อาจใส่ท่อเจาะรูพรุนต่อยาว ไปจนถึงจุดทิ้งน้าแล้วกลบด้วยทราบหยาบจนเต็มร่อง ร่องก้างปลา
จะช่วยกัน ไม่ให้น้าท่วมขังโคนต้นไม้
ท าได้ ห ลายวิ ธีการที่ จ ะเลื อ กวิ ธีใดวิธี ห นึ่ งจะต้ อ งพิ จารณาลั กษณะของภู มิป ระเทศ
สมบั ติดิน ลั กษณะของพื้น ที่ ที่ได้เตรี ยมไว้ พื ช ที่จะปลู ก วิธีการเพาะปลู ก เงินทุ น ตลอดจน
น้าต้นทุนที่จะนามาให้แก่พืช โดยทั่วไปวิธีการให้น้า แบ่งออกเป็น 4 แบบใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ
การให้น้าแบบฉีดฝอย (sprinkler irrigation) การให้น้าทางผิวดิน (surface irrigation) การให้
น้ าท างใต้ ผิ ว ดิ น (subsurface irrigation) แ ล ะก ารให้ น้ าแ บ บ ห ย ด (drip irrigation)
(กองบริรักษ์ที่ดิน, 2525)
เป็นวิธีการให้สารอาหารแก่พืชในส่วนที่พืชได้รับจากดินไม่เพียงพอ เพื่อเพิ่มผลผลิต
และคุณภาพ โดยปุ๋ยมี 2 ชนิด คือ
1) ปุ๋ ยอิน ทรีย์ (organic fertilizer) เป็นปุ๋ยที่ได้มาจากทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งได้ผ่านการ
แปรรู ป หรือ ถูกหมัก หมมจนเน่ าเปื่ อ ย เช่น ปุ๋ ยคอก ปุ๋ ยหมัก ปุ๋ ยพื ช สด กระดู กป่ น เป็น ต้ น
วิธีการใส่ปุ๋ยที่ถูกต้องควรเลือกใช้วิธีการที่ถูกหลักทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีประสิทธิสูงสุด
2) ปุ๋ ย อนิ น ทรี ย์ (inorganic fertilizer) หรื อ ปุ๋ ย เคมี เป็ น สารที่ สั งเคราะห์ ขึ้ น จาก
กระบวนการเคมี ปุ๋ย อนินทรีย์นี้มีปริมาณสารอาหารมากกว่าปุ๋ยอินทรีย์ และอยู่ในรูปที่สามารถ
118 | การปลูกสร้างสวนป่า
ละลายน้าได้เร็วพืชจึงสามารถนาไปใช้ได้ทันที แต่ถ้าหากใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันเป็นเวลานาน จะมี
ผลทาให้สภาพโครงสร้างของดินเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นจึงควรใช้ปุ๋ยทั้ง 2 ประเภทควบคู่กันไป
เพื่อเพิ่มสารอาหารและเป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดินไปพร้อมกัน (กรมป่าไม้ , 2553) โดยมี
วิธีการใส่ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพดังนี้
การเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมกับพืชที่ปลูก จะต้องพิจารณาถึงความต้องการของพืช
แต่ละชนิด รูปของสารอาหารในปุ๋ย และปริมาณของสารอาหารพืช เพื่อที่จะให้
ทราบสูตรปุ๋ยที่เหมาะกับความต้องการพืชนั้นๆ เช่น พืชที่มีการเติบโตทางใบและ
ลาต้น จะต้องมีความต้องการธาตุไนโตรเจนสูง จึงเลือกใช้ปุ๋ยเคมีที่มีสัดส่วนของ
สารอาหารที่พืชต้องการนั้นสูงเพื่อเป็นการช่วยปรับระดับความเป็นประโยชน์ของ
สารอาหารพืช และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ปุ๋ย
การใช้ปุ๋ ย ปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ ได้ผ ลผลิ ตสู งสุ ดโดยที่ไม่มีผลตกค้าง และ
คุม้ ค่าในการลงทุนในการใช้ปุ๋ยนั้น
การใส่ปุ๋ยในระยะที่เหมาะสม โดยทั่วไปพืชจะมีร ะยะการเติบโตอยู่ 3 ระยะ ดังนี้
ระยะแรกของการเติบโตของพืช 30-45 วันแรก ต้นอ่อนและใบอ่อนจะมีความ
ต้องการสารอาหารไม่มากนัก ระยะต่อมาคือ ระยะที่พืชเติบโตทางลาต้น กิ่งก้าน
ใบ และสร้ างตาดอก ระยะนี้ เป็ น ระยะที่ พื ช เติ บ โตอย่ า งรวดเร็ ว และมี ค วาม
ต้องการสารอาหารสูง ดังนั้นในระยะนี้ควรมีการใส่ปุ๋ย และระยะสุดท้ายคือ ระยะ
ที่พืชมีการเติบโตในด้านผลผลิต สร้างผลและเมล็ด เป็นระยะที่พืชมี ความต้องการ
สารอาหารลดลง แต่ อ าจจะมี ก ารใส่ ปุ๋ ย เพื่ อ เพิ่ ม คุ ณ ภาพเมล็ ด ในพื ช บางชนิ ด
(มุกดา, 2544)
3. กำรกำหนดระยะปลูก (Spacing)
3.1 รูปแบบของระยะปลูก
1) ไม่สม่าเสมอ (Irregular spacing) รูปแบบนี้เป็นการกะประมาณด้วยสายตา ซึ่งต้อง
ใช้ผู้ช านาญงานในกรณี ที่ต้องการปลูกพัน ธุ์ไม้ให้ เต็มทั่ว ทั้งพื้นที่ เหมาะส าหรั บพื้ นที่บริเวณ
แคบๆ ที่ ต้ อ งการปลู ก พื ช คลุ ม ดิ น (Cover crop) เพื่ อ ปกคลุ ม พื้ น ดิ น ในบริเวณนั้ น เป็ น การ
ชั่วคราวหรือต้องการปลูกป่าในบริเวณดังกล่าวอย่างเร่งด่วน (กรมป่าไม้, 2529)
2) กึ่งสม่าเสมอ (Semi-regular spacing) รูปแบบนี้เป็นรูปแบบวางระยะปลูกโดยไม่
ต้องท าการปั กหลั กเป็ น เครื่อ งหมายก่อนปลู ก แต่เป็น รูปแบบที่ ที่ วางระยะปลู กโดยท าการ
ปักหลักพร้อมกับการปลูก ระยะที่ได้เป็ นระเบียบสม่าเสมอกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ให้ผลดี และ
บทที่ 6 รูปแบบและเทคนิคการปลูกไม้ปา่ | 119
2) สี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangular)
120 | การปลูกสร้างสวนป่า
3) สี่เหลี่ยมจัตุรัส (Square)
3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อระยะปลูก
3.2.1 ชนิด (Tree species)
การเลือกพื้นที่ในปลูกควรเลือกชนิดพันธุ์เหมาะสมกับพื้นที่ โดยการเลือกที่ดินนั้นควร
หลีกเลี่ยง พื้นที่ที่มีความสูง (Elevation) และความลาดเอียงมาก ๆ (Slope) มีลาห้วยผ่านกลาง
พื้นที่หลายแห่ง ที่ลุ่มน้าขัง หรือที่มีระดับน้าใต้ดินตื้นมาก โดยพื้นที่ราบเป็นสิ่งที่ต้องการสาหรับ
บทที่ 6 รูปแบบและเทคนิคการปลูกไม้ปา่ | 121
6. เอกสำรอ้ำงอิง (Reference)
กรมป่าไม้. 2529. การอบรมหลักสูตร การปลูกสร้างสวนป่า. กองบารุง กรมป่าไม้,
กรุงเทพฯ.
. 2536. การปลูกไม้ป่า. ส่วนป่าชุมชน สานักส่งเสริมการปลูกป่า กรุงเทพฯ.
. 2553. การดูแลรักษาต้นไม้ภายหลังการปลูก. ส่วนปลูกป่าภาครัฐ สานักส่งเสริม
การปลูกป่า กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
กองบริรักษ์ที่ดิน. 2525. คู่มือการวางแผนระบบการให้น้าในไร่นาและความสัมพันธ์
ระหว่างดิน พืช และน้า. กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรุงเทพฯ.
กิสณะ ตันเจริญ และ สุพล ธนูรักษ. ม.ป.ป. การปลูกไผ่ตง. เอกสารวิชาการ กองส่งเสริมพืช
สวน กรมส่งเสริมการเกษตร, กรุงเทพฯ.
ณัฐวัฒน์ คลังทรัพย์. 2555. วนเกษตรกับการพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง. สถานี
วิจัยและฝึกอบรมเกษตรตราด สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,
กรุงเทพฯ.
ธนิตย์ หนูยิ้ม. 2556. ผลของการยกโคกและไม่ยกโคกต่อสภาพแวดล้อมดินและการ
เจริญเติบโตของพันธุ์ไม้ป่าพรุบางชนิดในพื้นที่พรุเสื่อมสภาพ. วิทยานิพนธ์ปริญญา
โท, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
พรเทพ เหมือนพงษ์. 2559. ไม้เศรษฐกิจ. ไม่ลองไม่รู้ 16 (182) : 70-72.
มณฑี โพธิ์ทัย. 2528. การปลูกสร้างสวนป่า. องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
มุกดา สุขสวัสดิ์. 2544. ความอุดมสมบูรณ์ของดิน (Soil Fertility). โอเดียนสโตร์,
กรุงเทพฯ.
รัชนู เกิดเชิดชู, สคาร ทีจันทึก และ ลดาวัลย์ พวงจิตร. 2558. การทดลองการพอกเมล็ดไม้ 4
ชนิด เพื่อใช้ในการฟื้นฟูป่า. วารสารวนศาสตร์ 34 (1) : 39-47.
สมเจตน์ จันทวัฒน์. 2526. การอนุรักษ์ดินและน้า เล่ม 2. ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
สมชัย เบญจชย. 2551. การปลูกไผ่ใช้สอย. แหล่งที่มา : www.dnp.go.th/fca16/file/
aro0qb1piz1pun9.doc, 12 เมษายน 2561.
Bakewell, G., A. Raman, D. Hodgkins and H. Nicol. 2009. Suitability of Acacia
longifolia var. sophorae (Mimosaceae) in sand-dune restoration in the
บทที่ 6 รูปแบบและเทคนิคการปลูกไม้ปา่ | 125
Central Coast of New South Wales, Australia. New Zealand J. For. Sci.
39(1): 5-13.
บทที่ 7
หลักกำรปฏิบัติทำงวนวัฒนวิทยำในสวนป่ำ
Principle of Silvicultural Practices in Forest
Plantation
ดารง พิพัฒนวัฒนากุล
1. บทนำ (Introduction)
ในบทนี้จะกล่าวถึงหลักการของการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาเพื่อเป็นความรู้พื้นฐานที่
จะนาไปสู่การศึกษาหาความรู้อย่างละเอียดเพิ่มเติมต่อไปสาหรับผู้สนใจ โดยเบื้องต้นจะเริ่มที่
ความหมายของการปฏิบัติทางวนวัฒ นวิทยา (Silvicultural Practices) ที่หมายถึงกิจกรรมที่
ปฏิบัติต่อหมู่ไม้ในสวนป่านับตั้งแต่หลังการปลูกถึงระยะที่ต้นไม้มีการเติบโตก่อนถึงอายุตัดฟัน
และกิจกรรมที่ปฏิบัติเมื่อถึงอายุตัดฟัน โดยประเด็นแล้วเมื่อกล่าวถึงการปลูกสร้างสวนป่าควร
ต้องกล่าวถึงระบบวนวัฒ นวิทยาทั้งระบบ (Silviculture System) ซึ่งจะรวมถึงเรื่องของการ
เพาะชากล้าไม้เข้าไปด้วย แต่เรื่องของการเพาะชากล้าไม้เป็นเรื่องละเอียด สาคัญ จาแนกไว้เป็น
เรื่องโดยเฉพาะและไม่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ การใช้หลักปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยากับสายป่าไม้
นั้นก็เพื่อควบคุมให้ได้ผลผลิตของไม้ในสวนป่าตามที่ต้องการอย่างเหมาะสมต่อเนื่องทุกๆรอบตัด
ฟั น และเป็ น การควบคุ ม การสื บ พั น ธุ์เพื่ อ ให้ มี ห มู่ ไม้ ใหม่ ตามที่ ต้ องการ ทั้ งนี้ การปฏิ บั ติ ท าง
วนวัฒนวิทยาจะเกี่ยวข้องกับผลของการเติบโตของต้นไม้เป็นพื้นฐาน
การเติ บ โตของต้ น ไม้ เป็ น ผลมาจากกระบวนการทางสรี ร วิ ท ยาของต้ น ไม้ เองและ
กระบวนการสรีรวิทยานั้นมีบทบาทสาคัญ ในการพิจารณาแนวทางการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยา
ต่อต้นไม้ในสวนป่า โดยหลักการแล้วการเติบโตในต้นไม้แต่ละต้นเป็นปฏิสัมพันธ์ร่วมกันระหว่าง
พันธุกรรมของต้นไม้และปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ต้นไม้นั้นๆขึ้นอยู่ ดังนั้นการเติบโตและการพัฒนา
ของต้นไม้ในสวนป่าที่ได้รับการปฏิบัติทางวนวัฒ นวิทยาและการจัดการสวนป่ าที่ดีย่อมจะให้
ผลผลิตที่ดีและสม่าเสมอต่อเนื่องไป
การพิจารณาการปฏิบัติทางวนวัฒ นวิทยาต่อต้นไม้ในสนสวนป่าจะต้องพิจารณาถึง
สาเหตุ ข องการปฏิ บั ติ แ ละผลที่ จ ะเกิ ด ต่ อ ต้ น ไม้ ห รื อ หมู่ ไ ม้ ค วบคู่ ไ ปกั บ เหตุ ผ ลทางด้ า น
128 | การปลูกสร้างสวนป่า
เศรษฐศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเป้าประสงค์ ของการปลูกสร้างสวนป่านั้ นจะเกี่ยวข้องกับการที่ตัว
บุค คลผู้ ป ฏิบั ติ และวิธีการจั ด การสวนป่ าเพื่อ ให้ ได้ผ ลด้านการเติ บ โตของต้น ไม้ ดั งนั้ นจึ งไม่
สามารถแยกเหตุผลทางด้านเศรษฐศาสตร์ออกไปจากการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยา การปฏิบัติ
ทางวนวัฒนวิทยาจึงเป็นหลักประกันที่จะให้สวนป่ามีผลผลิต ตามความต้องการอย่ างสม่าเสมอ
ต่อไป โดยการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยามีวัตถุประสงค์ดังนี้
1) ควบคุมองค์ประกอบของหมู่ไม้ในสวนป่า
2) ควบคุมความหนาแน่นของหมู่ไม้ในสวนป่า
3) ฟื้นฟูสภาพสวนป่าที่ไม่ให้ผลผลิต
4) ป้องกันอันตรายต่างๆที่จะมีต่อสวนป่า
5) กาหนดรอบตัดฟันเป็นของสวนป่า
6) ช่วยให้การตัดฟันไม้ การจัดการสวนป่า และการเข้าใช้ประโยชน์เป็นไปได้สะดวก
7) ป้องกันพื้นที่และผลประโยชน์ทางอ้อมของสวนป่า
1.1 ประเภทของกำรปฏิบัติทำงวนวัฒนวิทยำ
การปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาประกอบด้วย 3 วิธีการปฏิบัติ ดังนี้
1) การตัดเพื่อให้การสืบพันธุ์ (Silvicutural Systems หรือ Reproduction Cuttings) เป็น
การตัดฟันที่ปฏิบัติต่อหมู่ไม้เมื่อต้นไม้เติบโตเต็มที่ถึงขนาดที่จะใช้ประโยชน์ได้หรือต้ นไม้ถึงอายุ
ที่จะตัดฟันออกไปขาย (ภาพที่ 7.1) การตัดฟันเพื่อการสืบพันธุ์จะตัดต้นไม้ออกเป็นบางส่วน
หรือตัดออกทั้งหมดแล้วจึงทาให้มีหมู่ไม้ใหม่ขึ้นมาทดแทนที่ต้นไม้ ที่ถูกตัดออกไป ต้นไม้ที่เกิด
ขึ้นมาใหม่นั้นจะได้จากการกล้าไม้ที่เกิดจากการงอกของเมล็ดที่แม่ไม้ในพื้นที่โปรยเมล็ดในพื้นที่
นั้น ซึ่งเมล็ดไม้ได้มาจากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual Regeneration) หรือ ต้นไม้ใหม่ที่
ได้จากการแตกหน่อจากตอของต้นไม้ที่ถูกตัดฟันออกไป ซึ่งกล้าไม้ใหม่นี้เกิดจากการสืบพันธุ์
แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual Regeneration) หมู่ไม้ใหม่ที่เกิดทดแทนนี้จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
(Natural regeneration) นอกจากนี้ จะมีการทดแทนที่เกิดจากการปลูกโดยมนุษย์( Artificial
regeneration) ก็ได้ การทดแทนทั้งสองรูปแบบนี้เรียกว่าการสืบพันธุ์ (Regeneration) ดังนั้น
การตัดฟันเพื่อการสืบพันธุ์ (Reproduction Cuttings) จึงเป็นการตัดฟันต้นไม้ออกเพื่อให้มีการ
สืบพันธุ์ขึ้นทดแทนในพื้นที่นั้น เป็นการตัดเอาไม้แก่ออกไปและเป็นการทาให้สภาพแวดล้อม
เหมาะสาหรับการสืบพันธุ์ การตัดฟันเพื่อการสืบพัน ธุ์อาจจะกระทาเพียงครั้งเดียวหรือหลาย
ครั้งก็ได้ ระยะของการสับพันธุ์จึงอาจเป็นเพียงปีเดียว หรือ 5 ปี หรือมากกว่าก็ได้ ซึ่งก็แล้วแต่
ชนิดไม้และวิธีการตัดฟันเพื่อการสืบพันธุ์ วิธีการสืบพันธุ์จะเป็นสาเหตุหลักในการปรับเปลี่ยน
โครงสร้างป่าและชั้นอายุของหมู่ไม้ที่เกิดขึ้นใหม่
บทที่ 7 หลักการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาในสวนป่า| 129
ภาพที่ 7.1 การจั ด การสวนป่ าที่ มีอ ายุ ร อบตั ด ฟั น 60 ปี โดยมี ก ารตั ด เมื่ อ ไม้ โตปานกลาง
(Intermediate Cuttings) และการการตั ด ฟั น เพื่ อ สื บ พั น ธุ์ (Reproduction
Cuttings หรือ Regeneration Cuttings)
3) การป้องกันอันตรายแก่สวนป่า (Protection) การป้องกันอันตรายจากตัวการต่าง ๆ
ในระหว่างการเติบโตของต้นไม้ภายหลังการปลูกจนถึงอายุตัดฟันต้นไม้ได้เผชิญกับอันตรายต่าง
ๆ เช่น โรค แมลง สัตว์ พายุ ไฟป่า และมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งการ ป้องกันนี้จะต้องอาศัยความรู้
เฉพาะสาขา เพื่อนาวิชาเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ หากวิธีการป้องกันไร้ผลหรือสุดวิสัยที่จะป้องกัน
ได้ ก็จะต้องทาการตัดไม้เพื่อกู้ภัย (Salvage Cutting) ดีกว่าจะปล่อยให้ความเสียหายลุ กลาม
มากขึ้น
1.2 ผลของกำรปฏิบัติทำงวนวัฒนวิทยำ
เมื่อหมู่ไม้เติบโตเต็มพื้นที่ แสงสว่าง น้า และสารอาหารในพื้นที่ เพื่อต้นไม้แต่ละต้นจะ
ได้รับก็จะถูกจากัดลง ทาให้อัตราการเติบโตของต้นไม้เหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ลด
น้อยถอยลง การตัดฟันหรือทาลายต้นไม้บางต้นหรื อพืชบางชนิดออกไปจากหมู่ไม้นี้ จะทาให้
การเติบโตของต้นไม้ที่เหลือดีขึ้น การตัดฟันเพื่อการสืบพันธุ์จะช่วยทาให้มีพื้นที่ที่เหมาะสมแก่
130 | การปลูกสร้างสวนป่า
กล้าไม้ใหม่ที่จะเกิดขึ้นมา ส่วนการตัดฟันไม้เมื่อโตปานกลางจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของต้นไม้
ที่ยังเหลืออยู่ให้ดีขึ้น โดยการทาลายไม้อื่นบางต้นออกไปบ้าง เปิดช่องว่างให้กับต้นไม้ที่เหลืออยู่
ซึ่งต้องเลือกเปิดให้เหมาะสมกับหมู่ไม้ การตัดฟันจึงเป็นได้ทั้งการสร้างสรรค์และการทาลาย
ขึ้นอยู่กับว่าจะตัดต้นใดออก ตัดเมื่อไร ตัดกี่ครั้งและแต่ละครั้งตัดออกมากน้อยเพียงไร การตัด
ฟันแต่ละครั้งจะส่งผลต่ อโครงสร้างหรือฟอร์มของหมู่ไม้ (Stand structure หรือ Form) ของ
หมู่ไม้ในสวนป่า และจะดูได้จากรูปเรือนยอดของหมู่ไม้
1.3 วิธีกำรปฏิบัติทำงวนวัฒนวิทยำ
จากหลักการที่กล่าวในบทนาจะเป็นพื้นฐานความเข้าใจการเติบโตของต้นไม้ในสวนป่า
และความจาเป็นที่จะต้องดาเนินการทางวนวัฒนวิทยา ซึ่งในเนื้อหาที่จะกล่าวต่อไปในบทนี้จะเป็น
เนื้อหาสาคัญที่กล่าวเน้นไปที่การปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาในสวนป่าด้วย 2 วิธี คือ การตัดไม้เมื่อ
โตปานกลาง (Intermediate Cuttings) และ การตัดฟันเพื่อการสืบพันธุ์ (Reproduction Cuttings)
การตัดเมื่อไม้โตปานกลาง (Intermediate Cuttings) การตัดไม้เมื่อโตปานกลาง
เป็นการตัดฟันที่กระทาเมื่อหมู่ไม้ยังไม่โตเต็มที่ ซึ่งเป็นการตัดฟันต่างๆ ที่จาเป็นทีต้องกระทา
เริ่มตั้งแต่มีการสืบพันธุ์ขึ้นทดแทนในพื้นที่นั้นแล้ว จนถึงการก่อนการตัดฟันครั้งสุดท้าย (การตัด
ฟันเพื่อการสับพันธุ์) การตัดฟันนี้เป็นการกระทาเพื่อการบารุงดูแลรักษาหมู่ไม้ เพื่อให้ต้นไม้ที่
เหลืออยู่ได้เติบโตต่อไป ทั้งนี้โดยไม่หวังผลในการสืบพันธุ์แต่อ่างใด การตัดไม้เมื่อโตปานกลาง
ประกอบด้วยวิธีต่างๆ กันโดยที่รายละเอียดของการดาเนินการของแต่ล ะวิธีได้รวบรวมไว้ใน
ตารางที่ 7.1 และเนื่องจากการตัดขยายระยะจะรายละเอียดเฉพาะแต่ละวิธีย่อยจึงจะได้นามา
กล่าวถึงการตัดขยายระยะเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาอีกด้วย
ตารางที่ 7.1 ตารางรวบรวมรายละเอียดของการตัดไม้เมื่อโตปานกลาง (Intermediate
Cuttings)
ประเภท วัตถุประสงค์ วิธีการ หมายเหตุ
การทาความ ลดการแก่งแย่งแข่งขัน กาจัด วั ชพื ชได้ โดยวิ ธีใช้ ดาเนินการกับหมู่ไม้ ที่ยังไม่พ้น
สะอาดสวน การใช้ ปั จ จั ย เพื่ อ การ เครื่ อ งจั ก รกล หรื อ ใช้ สภาพลูกไม้ ทาได้ตลอดจนกว่า
(Cleaning หรือ เติ บ โตระหว่า งไม้ ห ลั ก แรงงานคน ร่วมกั บ การ ไม้หลักจะเติบโตแข็งแรงและสูง
Weeding) กับพืชอื่น ใช้ ส ารเคมี ก าจั ด วั ช พื ช กว่าวัชพืช
หรือใช้ไฟ
บทที่ 7 หลักการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาในสวนป่า| 131
2. กำรตัดขยำยระยะ
การจะดาเนิน การตัดขยายระยะ ต้องพิจารณาจากการเติบโตและชั้นเรือนยอดของ
ต้นไม้ในสวนป่า กล่าวคือ การที่ต้นไม้แต่ละต้นในหมู่ไม้มีการเติบโตจะพบว่าการเติบโตทางด้าน
ความสูงจะเป็นปัจจัยสาคัญในเรื่องของการแก่งแย่ ง ต้นที่มีการเติบโตทางความสูงมากกว่าจะมี
การเติบโตทางด้านเส้นป่านศูนย์กลางได้แตกต่างกัน และมีเรือนยอดแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปได้
แตกต่างกัน เมื่อต้นไม่อ่อนแอกว่าถูกปกคลุมด้วยต้นข้างเคียงที่สูงใหญ่กว่า เรือนยอดของต้นที่
ถูกเบียดบังจะมีขนาดเล็ดลงและผิดรูปทรงไป แล้ วค่อยๆมีการเติบโตที่ลดลงและตายไปในที่สุด
ขบวนการแก่งแย่งในหมู่ไม้จึงทาให้เกิดมีชั้นเรือนยอดที่แตกต่างกัน และสามารถแยกต้นไม้จาก
ชั้นเรือนยอดออกได้ดังนี้
ต้น เด่น (Dominant Tree) คือต้น ไม้ที่มีเรือนยอดแผ่ขยายเหนือระดับเรือนยอด
ของต้นไม้ต้นอื่นๆในหมู่ไม้เดียวกัน เป็นต้นที่ได้รับแสงจากด้านบนและด้านข้าง
บทที่ 7 หลักการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาในสวนป่า| 133
การตัดขยายระยะจะช่วยลดการสูญเสียเนื้อไม้โดยการนาออกมาใช้ประโยชน์ก่อนที่
มันจะตายและผุพังอยู่ในสวนป่า
การตัดขยายระยะจะช่วยเพิ่ มคุณ ค่าทางการเงินของเนื้ อไม้ เพราะการตัดขยาย
ระยะเป็นการเร่งการเติบโตทางดานเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ที่เหลืออยู่ ทาให้ได้ต้นไม้ขนาด
ใหญ่ มีราคาดี
การตัดขยายระยะทาให้มีการขายไม้บางส่วนที่ตัดออก ทาให้มีรายรับเป็นเงินก่อน
จะถึงการตัดฟันครั้งสุดท้าย ซึ่งจะเป็นการลดดอกเบี้ยของเงินลงทุนได้ด้วย
การตัดขยายระยะช่วยปรับปรุงคุณภาพไม้ที่เหลืออยู่ให้ดีขึ้น เมื่อไม้ถึงอายุตัดฟันจะ
ได้มีมีคุณภาพและราคาดี
การตัดขยายระยะช่วยทาให้องค์ประกอบของสวนป่าดีขึ้น ซึ่งเป็นการเตรียมการ
หรือเตรียมพื้นที่ให้เหมาะสมกับการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติได้ดีขึ้น และยังช่วยลดหรือป้องกัน
อันตรายจากโรคและแมลง โดยการกาจัดต้นไม้ที่เป็นแหล่งโรคและแมลงออกไปด้วย
134 | การปลูกสร้างสวนป่า
..1.2 ผลของการตัดขยายระยะต่อการพัฒนาของต้นไม้ในหมู่ไม้
หลังจากการตัดขยายระยะ การเติบโตของต้นไม้ที่เหลืออยู่ในพื้นที่นั้นจะเพิ่มขึ้นทันที
จากการลดการแก่งแย่งเช่น อาหาร น้า และแสงแดด แต่การพัฒนาของเรือนยอดยังไม่มีการ
เติ บ โตที่ เพิ่ ม ขึ้น จะต้ อ งรอสั กระยะหนึ่ งจึ งจะขยายเรือ นยอดปกคลุ ม พื้ น ที่ และระบบราก
สามารถขยายตัวทางด้านข้างได้ดีขึ้นอีกด้วย (วิสุทธิ์, 2544)
..1.3 ผลของการตัดขยายระยะต่อการพัฒนาของต้นไม้
ผลของการตัดขยายระยะต่อการเติบโตทางด้านเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ที่เหลืออยู่นั้น
อาจจะมีความผันแปรขึ้นอยู่กับความหนักเบาของการตัดขยายระยะ มีการคาดการณ์ไว้ว่าการ
ตัดขยายระยะที่เหมาะสมจะทาให้การเติบโตทางเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ที่เหลือยู่เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 20
..1.4 ผลการตัดขยายระยะต่อคุณภาพเนื้อไม้
การตัดขยายระยะจะช่วยเพิ่มการเติบโตและเป็นผลให้มีเนื้อไม้มากขึ้นและคุณภาพดีขึ้นด้วย
..1.5 ผลการตัดขยายระยะต่อสิ่งแวดล้อม
การตัดขยายระยะจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ
และความหนักเบาของการตัดขยายระยะในครั้งนั้นๆ โดยทั่วไปจะก่อให้เกิดปัญหาการชะล้าง
พังทลายของดินในพื้นที่ที่ส่งผลต่อปริมาณตะกอนแขวนลอยในลาธารและคุณภาพน้าท่าเสื่อม
ลง แต่ทั้งนี้จากการศึกษาของธีรวัชร เพชระบูรณิน และวีนัส ต่วนเครือ (2559) ที่สถานีเกษตร
หลวงอ่างขาง อ.อ่างขาง จ.เชียงใหม่ พบว่า กิจกรรมการตัดขยายระยะที่ดาเนินการในพื้นที่สูง
แต่มีระดับความเข้มข้น 20% และ 40% มีอิทธิพลต่อปริมาณตะกอนแขวนลอยและคุณภาพน้า
บางประการค่อนข้างน้อย
2.2 ประเภทของกำรตัดขยำยระยะ
ในการตัดขยายระยะจะมีรายละเอียดของการพิจารณาหมู่ไม้เพื่อการดาเนินการตัด
ขยายระยะได้หลายประเภท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการตัดขยายระยะในครั้งนั้น ๆ โดย
รายละเอียดของการตัดขยายระยะแต่ละประเภทได้รวบรวมแสดงในตารางที่ 7.2
บทที่ 7 หลักการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาในสวนป่า| 135
2.3 กำรวำงแผนกำรตัดขยำยระยะ
การวางแผนการตัดขยายระยะมีปัจจัยที่ต้องพิจารณา 3 ปัจจัย โดยปัจจัยทั้งสามนี้มี
ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและมีผลเกี่ยวเนื่องต่อกัน ดังนี้
1) วิธีการตัดขยายระยะ วิธีการตัดขยายระยะจะเป็นวิธีเดียวหรือหลายวิธีร่วมกัน
2) ช่วงเวลาการกาหนดการตัดขยายระยะ และความถี่ห่างของการตัดขยายระยะใน
ครั้งต่อไป
3) ความหนักเบาของการขยายระยะในแต่ละครั้ง
2.4 กำรเลือกวิธีกำรตัดขยำยระยะ
แต่ละวิธีการตัดขยายระยะจะมีความเหมาะสมกับสภาพของการเติบโตและสภาพรวม
ของสวนป่ าแตกต่างกันไป เช่น Selection Thinning เหมาะกับสวนป่าที่ไม่ต้องการไม้ขนาด
ใหญ่ เหมาะกับไม้สาหรับทาเยื่อกระดาษ หรือ เสาเข็ม ขณะที่ Mechanical Thinning เหมาะ
กับการตัดขยายระยะครั้งแรกกับสวนป่าที่มีความหนาแน่นสูงและต้นไม้แต่ละต้นมีขนาดเล็ด
ใกล้เคียงกัน ดังนั้นก่อนการตัดสินใจเลือกวิธีใดควรศึกษาวิธีการในรายละเอียดควบคู่ไปกับการ
คานึงถึงวัตถุประสงค์ของสวนป่าเป็นหลัก ในสวนป่าหนึ่งๆ ตลอดระยะการเติบโตจนก่อนถึงการ
ตัดฟันครั้งสุดท้าย ไม่จาเป็นต้องใช้วิธีการตัดขยายระยะเพียงวิธีเดียว
138 | การปลูกสร้างสวนป่า
2.5 กำรกำหนดกำรตัดขยำยระยะครั้งแรก
ตามหลักการแล้วเมื่อต้นไม้ในสวนป่ามีการเติบโต มีเรือนยอดแผ่ขยายใหญ่ออกมาชิด
กั น ต้ อ งด าเนิ น การตั ด ขยายระยะทั น ที นอกจากนี้ ส ภาวะการเงิน จะเป็ น ปั จ จัย ร่ ว มในการ
พิจารณาดาเนินการตัดขยายระยะครั้งแรก แม้การตัดขยายระยะเป็นกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง
แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรยืดระยะเวลาการตัดขยายระยะออกไปเพราะจะเป็นผลเสียต่อการเติบโต
ของต้นไม้ลดลงและมีรูปทรงเสียไปจากที่ควรจะเป็น ในสวนป่าที่มีระยะปลูกสม่าเสมอจะต้อง
ตัดขยายระยะเร็วกว่าระยะปลูกห่าง สวนป่าที่ได้รับอันตรายจากภัยธรรมชาติเช่นลมพายุ ควร
วางแผนการตัดขยายระยะให้รอบคอบ โดยที่ ควรจะตัดขยายระยะในครั้งแรกให้เร็วหรือในช่วย
มีอายุ น้ อย และทาบ่ อยๆ ครั้ง การเลื่ อนการตัดขยายระยะออกไปจะเป็ นผลเสี ยต่อรูป ทรง
บทที่ 7 หลักการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาในสวนป่า| 139
4. สรุป (Conclusion)
การปฏิบัติทางวนวัฒ นวิทยาเป็น กิจกรรมที่เป็น การปฏิบัติต่อต้นไม้ในสวนป่าตลอด
ระยะเวลาการตั้งแต่การสืบพันธุ์ การตั้งตัวของต้นไม้ไปจนถึงอายุการตัดฟันเพื่อให้ได้โครงสร้าง
ของหมู่ไม้ที่เหมาะสม ส่งผลสู่การเติบโตและได้ผลผลิตที่ดีต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยที่
แผนเชิ งระบบจะมุ่ ง เน้ น ที่ ก ารน าการปฏิ บั ติ ท างวนวั ฒ นวิ ท ยาไปใช้ ตั้ ง แต่ ก ารสื บ ต่ อ พั น ธุ์
(Reproduction Systems) เพื่อส่งเสริมการสืบพันธุ์ที่เหมาะสมกับชนิดไม้ องค์ประกอบและ
โครงสร้างชั้นอายุของหมู่ไม้ใหม่ และเมื่อหมู่ไม้ใหม่ตั้งตัวได้แล้วยังต้องมีการปฏิบัติทางวนวัฒน
บทที่ 7 หลักการปฏิบัติทางวนวัฒนวิทยาในสวนป่า| 145
กอบศักดิ์ วันธงไชย
1. บทนำ (Introduction)
1.1 บทบำทของกำรอำรักขำสวนป่ำ (the role of forest plantation
protection)
การอารั ก ขาสวนป่ า (Forest plantation protection) เป็ น ด าเนิ น การจั ด การกั บ
ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบในทางลบ (negative effects) กับหมู่ไม้ในสวนป่าภายหลัง
จากทราบสาเหตุ และลักษณะของผลกระทบ เมื่อทาการปลูกสร้างสวนป่าในพื้นที่เสร็จแล้ว สิ่ง
สาคัญอย่างยิ่งต่อความสาเร็จของการปลูกสร้างสวนป่าคือการบารุงรักษา การจั ดการสภาพ
ปั จ จั ย สิ่ งแวดล้ อมภายในสวนป่ า ให้ เอื้ อต่อ การเติ บ โตและพั ฒ นาของหมู่ไม้ อาจกล่ าวได้ ว่า
ความสาเร็จของการปลูกสร้างสวนป่าประมาณร้อยละ 50 เกิดจากการวางแผนดาเนินการ อีก
ร้อยละ 50 เกิดจากการจัดการภายหลังปลูกไปแล้วการดูแลป้องกันกาจัดปัจจัย สิ่งแวดล้อมที่
ส่งผลกระทบต่อการเติบโตและผลผลิตของสวนป่า
การอารักขาสวนป่าเริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนทาการปลูก เช่น การสร้างแนวกันไฟ การคัดเลือก
ชนิดไม้ให้เหมาะสมกับสภาพปัจจัยสิ่งแวดล้อมฯ การควบคุมกาจัดวัชพืช ส่วนการจัดการเพื่อ
เพิ่มคุณภาพของไม้ เช่น การลิดกิ่ง การตัดขยายระยะหมู่ไม้เมื่อต้นไม้เริ่มมีการเบียดเสียดกัน ซึ่ง
รูปแบบการตัดขยายระยะมีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์และสภาพของ
ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อต้นไม้ เช่น บริเวณพื้นที่ซึ่งมีลมพัดรุนแรง ลักษณะการระบาด
ของแมลงศัตรูฯ การป้องกันไฟป่าเป็นการดูแลรักษาหมู่ไม้ที่มีความสาคั ญอย่างมากโดยเฉพาะ
ในพื้นที่ที่ปลูกสร้างสวนป่าอยู่ใกล้เคียงกับบริเวณที่มีความเสี่ยงจากการเกิดไฟลุกลามเข้ามาใน
สวนป่ า ในสวนป่ าที่ต้น ไม้ยังมี ขนาดเล็ก วิธีการจัดการต่างๆ เช่น การสร้างแนวกันไฟ การ
จั ดการเพื่ อ ลดปริ มาณเชื้อเพลิ งโดยวิธีการต่างๆ รวมทั้ งการบริห ารจัดการควบคุมไฟป่ า มี
ความสาคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึงหลักในการดาเนินการและวิธีการนาไปปฏิบัติ การจัดการ
148 | การปลูกสร้างสวนป่า
เหล่านี้หากดาเนินการอย่างถูกต้องเหมาะสมจะส่งผลให้สวนป่ามีการเติบโตและพัฒนาที่ดีตาม
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
1.2 ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อต้นไม้ในสวนป่ำ (Environmental
factors influencing forest plantation)
ปัจจัยสิ่งแวดล้อม (Environmental factors) ที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบ
ทางลบต่อสวนป่า อาจแบ่งได้ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ (ภาพที่ 8.1) ได้แก่
1) ปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพ (Physical or Abiotic factors) ) จากสภาพอากาศที่
รุนแรงแปรปรวน (เช่น ความแห้งแล้ง น้าท่วม ลมพายุ) ไฟป่า มลพิษทางอากาศฯ
2) ปั จ จั ย แวดล้ อ มทางชี ว ภาพ (Biological factors) ได้ แ ก่ แมลงศั ต รู พื ช โรคพื ช
วัชพืช รวมทั้งการทาลายจากสัตว์
3) ปั จ จั ย ทางด้ านมนุ ษ ย์ (Anthropogenic factors) ที่ ส าคั ญ ได้แก่ การบุก รุกพื้ น ที่
การลักลอบตัดไม้ในสวนป่า การลักลอบเผาสวนป่า เป็นต้น
ลั กษณะอาการของต้น ไม้ที่ แสดงออกเมื่อ ได้ รับ อัน ตรายจากปัจ จัยสิ่ งแวดล้ อมอาจ
สังเกตได้จากลักษณะอาการต่างๆ เช่น เปลือกหลุดร่อนเสียหาย, มีของเหลวไหลเยิ้มตามลาต้น,
รูปทรงของลาต้นและกิ่งผิดปกติ , ปลายยอดหัก, มีการผุ เปื่อย ภายในลาต้น, เนื้อเยื่อตาย, กิ่ง
แห้งตาย, ใบมีขนาด รูปร่าง สีสันผิดปกติ, อัตราการเติบโตและการพัฒนาต่า, มีช่องเปิดหรือรู
บทที่ 8 การอารักขาสวนป่า| 149
ความแห้งแล้งสร้างความเสียหายให้กับต้นไม้โดยทาให้ต้นไม้ชะงักการเติบโตหรือตายได้
ความเครียดจากความแห้งแล้งของต้นไม้ส่งผลให้ต้นไม้อ่อนแอและเป็นโอกาสที่โรคและแมลงจะ
เข้าทาลายต้นไม้ได้ บาดแผลที่เกิดขึ้นที่ต้นไม้ จากความเครียดทางด้านความแห้งแล้งจะสมาน
แผลได้ยากจึงทาให้เชื้อโรคเข้าสู่ต้นไม้ได้ ความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของฤดูกาลเติบโตของ
ต้นไม้จะทาให้อัตราการเติบโตทางด้านความสูงของต้นไม้ลดลง ในขณะที่ความแห้งแล้ งที่เกิด
ในช่วงปลายของฤดูกาลเติบโต จะทาให้อัตราการเติบโตทางด้านความโตของต้นไม้ลดลง ดังนั้น
บทที่ 8 การอารักขาสวนป่า| 151
ผลผลิตของสวนป่าจะได้รับผลกระทบในด้านอัตราการเพิ่มพูนของมวลชีวภาพซึ่งส่งผลต่อไปถึง
การวางแผนการตัดฟันไม้ในสวนป่าในระยะยาวได้
ผลกระทบจากความแห้งแล้ง ที่มีต่อต้นไม้อาจพิจารณาเป็น 2 ประเด็น คือผลกระทบ
จากการขาดน้าเป็นระยะเวลาสั้นๆ และผลกระทบจากการขาดน้าเป็นระยะเวลายาว ผลกระทบ
จากการขาดน้าในระยะเวลาสั้นๆ ที่เกิดขึ้น เช่น อาการใบเหี่ยว (wilt) ใบไหม้ (scorch) ใบร่วง
(defoliation) ผลกระทบจากการขาดน้ าเป็น ระยะเวลายาวนาน ได้แก่ การชะงักการเติบโต
(stunted growth) การตายของเรือนยอดและกิ่ง (dieback) ซึ่งการขาดน้าเป็นเวลานานส่งผล
ให้ต้นไม้ต้องปรับตัวโดยการสร้างรากฝอยเพื่อหาน้าให้ได้มากขึ้น แต่หากความแห้งแล้งยังคงอยู่
รากฝอยก็ไม่สามารถหาน้าในดินได้ต้นไม้จึงต้องรักษาสมดุลระหว่างรากใต้ดินกับส่วนที่อยู่เหนือ
พื้นดิน (ใบและกิ่ง) จึงส่งผลให้รากตายและให้ต้นไม้เกิดการตายของเรือนยอดและกิ่ง และหากมี
ฝนตกลงมาแล้วก็ตามต้นไม้ก็อาจไม่สามารถนาน้าไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะปริมาณ
รากมีน้อย หากความแห้งแล้งเกิดซ้าในปีต่อๆ ไปอีกก็อาจทาให้ต้นไม้ตายได้ในที่สุด
ปรากฏการณ์เอลนิญโญ่นามาซึ่งความแห้งแล้งมีอิทธิพลอย่างสูงต่อสภาพอากาศในฤดู
ไฟป่าและมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของเชื้อเพลิงในสวนป่า เช่น โครงสร้างและ
องค์ประกอบของเชื้อเพลิง ความชื้นของเชื้อเพลิงพื้นที่ ระยะเวลาการร่วงหล่นของใบไม้ ความ
ยาวนานของช่วงฤดูไฟป่า ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการติดไฟ ทาให้ปัญหาไฟไหม้สวนป่าทวี
ความรุนแรงมากขึ้น โดยปกตินั้น ปรากฏการณ์เอลนิญโญ่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในทุก 2-7 ปี
และมีผลต่อเนื่องอยู่ยาวนานประมาณ 12-18 เดือน แต่ปรากฏการณ์เอลนิญโญ่ปัจจุบันมีความ
รุนแรงมากขึ้นและมีความถี่ของการเกิดที่สูงขึ้น
.1.1. แนวทาง/วิธีการทางวนวัฒนวิทยาในการบรรเทาผลกระทบจากความแห้งแล้ง
(silvicultural techniques for drought mitigation)
1) ผลกระทบต่อต้นไม้
ผลกระทบของไฟต่อต้นไม้จะแตกต่างกันไปตามชนิดไม้ อายุ ช่วงระยะของการพัฒนา
ของต้นไม้ (เช่น ระยะการออกดอก ระยะการสะสมอาหาร) รวมทั้งขึ้นอยู่กับส่วนของต้นไม้ที่
ได้รับความร้อน (โคนต้น ปลายกิ่ง ปลายยอดฯ) พันธุ์ไม้โดยทั่วไปอาจจาแนกตามความทนทาน
ต่อไฟได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ชนิดพันธุ์ที่ไม่ทนทานต่อไฟ (fire intolerant species) ซึ่ง
หากถูกไฟไหม้อาจตายได้ เช่น กระถินเทพา และ 2) ชนิดพันธุ์ที่ทนทานต่อไฟ (fire tolerant
species) เช่น สัก ประดู่ แดง พะยูง ซึ่งมีการปรับตัวที่สามารถทนทานในสภาพแวดล้อมที่มีไฟ
ได้ เช่น มีเปลือกลาต้นที่หนา แตกหน่อได้ดี เมล็ดมีเปลือกหุ้มแข็ง ตายอดได้รับการปกป้องจาก
ความร้อน มีเหง้าหรือหัวใต้ดิน สาหรับไม้สักที่อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป พบว่าอัตราการเติบโตของ
ต้นสักที่ถูกไฟไหม้เป็นประจาต่อเนื่อง 5 ปี ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญจากต้นสักที่ไม่ถูก
ไฟไหม้ สาหรับไม้ยูคาลิปตัสหากถูกไฟไหม้จะชะงักการเติบโตจากนั้นจะแตกหน่อใหม่ จึงกล่าว
ได้ว่าไฟส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของไม้ยูคาลิปตัสเป็นอย่างมาก
2) ผลกระทบต่อดินและการหมุนเวียนของธาตุอาหาร
ผลกระทบนี้เกิดจากอิทธิพลของความร้อนเผาทาลายเชื้อเพลิงและเศษซากพืชซึ่งมีธาตุ
อาหารสะสมอยู่เหนือพื้นดินและผลของความร้อนที่มีต่อคุณสมบัติของดิน เมื่อเกิดไฟไหม้ทาให้
อินทรียสารในเศษซากพืช (organic matter) และส่วนต่างๆ ของพืชเปลี่ยนรูปเป็นอนินทรีย
สาร(inorganic form) อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ วินาทีส่งผลให้มีธาตุอาหารจานวนมากใน
รูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช (available form) ถูกปลดปล่อยออกมาภายหลังการเผา เช่น ไนเต
รท (nitrate ion) แอมโมเนียม (Ammonium ion) ฟอสเฟต (Phosphate ion) แต่อย่างไรก็
ตาม ต้น ไม้ ในสวนป่ าสามารถน าธาตุอาหารที่เกิดขึ้น อย่างมากมายไปใช้ ได้ ในปริมาณจากัด
ดังนั้นธาตุอาหารจานวนมากที่เหลือจึงถูกชะล้าง (leaching) ลงสู่ชั้นดินและสูญหายออกไปจาก
ระบบนิเวศได้ในที่สุด นอกจากนี้ธาตุอาหารบางอย่างอาจถูกทาให้เปลี่ยนรูป ไปจากอิทธิพลของ
ความร้อนทั้งในรูปของก๊าซ (volatilization loss) และอนุภาคเขม่าต่างๆ (convective loss)
รวมทั้งธาตุอาหารที่เกิดขึ้นจานวนมากภายหลังไฟไหม้ พื้นป่าที่อยู่ในรูปของขี้เถ้า (ash) อาจถูก
พัดพาออกไปจากพื้นที่โดยลมและน้า (wind and soil erosion) ซึ่งหากเกิดไฟไหม้บ่อยซ้าซาก
จะส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมของพื้นที่ (ภาพที่ 8.3)
154 | การปลูกสร้างสวนป่า
เชื้อเพลิงเดิมด้วยเชื้อเพลิงชนิดใหม่ที่ติดไฟยากขึ้น โดยการเปลี่ยนโครงสร้างและองค์ประกอบ
ของเชื้อเพลิ งให้ ติดไฟยากขึ้น (3) การแยกเชื้อเพลิ ง (fuel isolation) เป็ นแยกเชื้อเพลิ งที่ มี
อันตรายสูงที่มีการเรียงตัวต่อเนื่องกัน ออกจากกันโดยการทาแนวกันไฟ รายละเอียดของการ
จัดการเชื้อเพลิงที่สาคัญซึง่ สวนป่าควรต้องดาเนินการ มีดังนี้
1) การเผาตามกาหนด (prescribed burning) เป็นการใช้ประโยชน์จากไฟอย่าง
ชาญฉลาดเพื่อการจัดการเชื้อเพลิงในสวนป่าภายใต้สภาวะแวดล้อมทั้งสภาพภูมิอากาศและ
สภาพภูมิประเทศที่สามารถควบคุมได้” (USDA Forest Service,1989) มีประโยชน์ต่อการลด
ปริมาณเชื้อเพลิงซึ่งจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ที่รุนแรง อีกทั้งยังใช้เป็นเครื่องมือสาคัญ
ทางวนวัฒ น์ เช่น การเตรีย มพื้น ที่ กาจัดวัชพื ช และส่งเสริมการเติบโตและการสืบ พันธุ์ตาม
ธรรมชาติของต้นไม้ในป่าหรือสวนป่าและใช้สาหรับการควบคุมโรคและแมลงศัตรูป่าไม้ ทั้งนี้การ
เผาตามกาหนดจะต้องคานึ งถึงช่ว งระยะเวลาการดาเนิน การและวิธีการเผาด้วยเพื่อให้ เกิด
ผลกระทบน้อยที่สุด
2) การท าแนวกัน ไฟ (firebreak) คือ การใช้ แนวกีด ขวางตามธรรมชาติห รือ ที่
สร้างขึ้นเพื่อยับ ยั้งไฟป่ า หรือเพื่อเป็น แนวตรวจการณ์ แนวตั้งรับในการดับไฟป่า แนวกันไฟ
มักจะทาการกาจัดเชื้อเพลิงต่างๆ ออกไปทั้งหมด สร้างแนวกันไฟสามารถทาได้หลายวิธี เช่น
การถาง การเผา การใช้สารหน่วงไฟ (fire retardant chemical) ฉีดพ่นบนเชื้อเพลิง หรือใช้
แนวกันไฟตามธรรมชาติ เช่น ลาห้วย แนวผาหิน แนวถนน แนวทางรถไฟ รวมทั้งการใช้น้าหล่อ
เลี้ยงตามแนวกันไฟทาให้เป็นแนวกันไฟเปียก (wet firebreak) ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างแนว
กันไฟตามแนวพระราชดาริ “ป่าเปียกป้องกันไฟป่า” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล
ที่ 9 ทั้งนี้แนวกันไฟเปียกนั้นสามารถสร้างขึ้นได้จ ากทั้งการให้น้าในพื้นที่ รวมทั้งการปลูกและ
จัดการหมู่ไม้ในแนวกันไฟให้มีสภาพแวดล้อมที่ชุ่มชื้น เช่น การปลูกไม้ที่ไม่ผลัดใบ ปลูกพืชที่
อวบน้า เช่น กล้วย ขิง ข่าฯ ปลูกต้นไม้ให้มีความแน่นมากๆ เพื่อลดโอกาสที่แสงสว่างจะส่องลง
มายังพื้นป่าซึ่งจะทาให้วัชพืชที่ชอบแสงและติดไฟง่าย เช่น หญ้าจะค่อยๆ หมดไปจากพื้นที่ เมื่อ
สภาพแสงสว่างที่ส่องลงมายังพื้นป่าลดลงและความชื้นบริเวณพื้นป่าเพิ่มขึ้นโอกาสในการเกิดไฟ
ไหม้ในบริเวณดังกล่าวก็จะลดลง สาหรับชนิดไม้ที่ปลูกในแนวกันไฟเปียกควรเป็นชนิดที่ไม่ผลัด
ใบ ติดไฟยากและหากเป็นชนิดไม้ที่ราษฎรสามารถใช้ประโยชน์ทางอ้อมได้ เช่น กินผล สมุนไพร
ฯ ด้วยแล้ว จะยิ่งทาให้การสร้างแนวกันไฟเปียกมีประสิทธิภาพและมีโอกาสประสบความสาเร็จ
มากยิ่งขึ้นเพราะแนวกันไฟเปียกนี้จะได้รับการดูแลจากชาวบ้านไปด้วย อย่างไรก็ตามแนวกันไฟ
เปียกหรือป่าเปียกในลักษณะดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาในการดาเนินการและจัดการกว่าจะเห็น
ผล
2.2.3.2 การตรวจหาไฟป่า (fire detection)
156 | การปลูกสร้างสวนป่า
1) การตรวจหาไฟทางภาคพื้ น ดิ น และอากาศ เช่ น เดิ น เท้ า ใช้ ร ถยนต์
รถจักรยานยนต์ และเครื่องบินตรวจการณ์
2) การใช้หอดูไฟ (fire lookout) การตรวจหาไฟโดยวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพ
สูงจะต้องมีหอดูไฟอย่างน้ อย 2 หอ ประกอบด้วย หอดูไฟหลัก (primary lookout) และหอดู
ไฟรอง (secondary lookout) เพื่อกาหนดทิศและตาแหน่งไฟถูกต้องแม่นยามากขึ้น (ภาพที่ 4)
3) การตรวจหาไฟด้วยดาวเทียม ปัจจุบันมีดาวเทียม TERRA และ AQUA ที่
ติ ด ตั้ ง thermal sensor MODIS (Moderate Resolution Imaging Spectroradiometer)
สามารถตรวจสอบจุดความร้อน (hotspot) บนโลกได้อย่างรวดเร็วโดยที่มีรอบการโคจรผ่านจุด
เดิมบนโลกวันละ 2 ครั้ง
ภาพที่ 4 การระบุทิศทางและตาแหน่งของจุดเกิดไฟไหม้โดยการเล็งจากหอดูไฟ 2 หอ
2.2.3.3 การเตรียมการดับไฟป่า (fire presuppression)
ได้แก่ การเตรีย มความพร้อมทั้งในด้านตัวบุคคล เครื่องมือ อุปกรณ์ ให้อยู่ในสภาพ
พร้อมใช้งาน การจัดหาแหล่งน้า ปรับปรุงเส้นทางคมนาคม ปรับปรุงแนวกันไฟให้อยู่ในสภาพ
พร้อมใช้งาน การเตรียมงบประมาณ การบริหารจัดการ ลาดับการสั่งการ รวมทั้งข้อมูลที่จาเป็น
ประกอบการตัดสินใจต่างๆ
2.2.3.4 การดับไฟป่า (fire suppression)
เป็นขั้นตอนที่ต้องคานึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชน การ
เข้าควบคุมดับไฟป่ามีทั้งการเข้าดับไฟทางตรง (direct attack) โดยการควบคุมที่หัวไฟโดยตรง
หรือโดยการควบคุมที่บริเวณด้านข้างไฟ และการดับไฟทางอ้ อม (indirect attack) โดยใช้แนว
กัน ไฟ แนวควบคุมไฟ (control line) ช่วยในการควบคุมดับไฟ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง
บทที่ 8 การอารักขาสวนป่า| 157
2.3วัชพืช )Weed(
.1.1. ความสาคัญของวัชพืช (importance of weed)
วัชพืชมีมากมายหลายชนิดแต่มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่มีศักยภาพในการเป็นพืชรุกราน
(invasive weeds) ที่ร้ายแรงโดยมีลักษณะสาคัญ ได้แก่ 1.) มีความสามารถในการเจริ ญเติบโต
ที่ร วดเร็ ว 2.) ขยายพั น ธุ์ได้ รวดเร็ วและแพร่ พั น ธุ์ได้เป็ นจานวนมาก 3.) มีค วามทนทานต่ อ
สภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น แห้งแล้งจัด 4.) มีความสามารถในการแก่งแย่งสูง มีลักษณะทาง
สรีรวิทยาที่ยากต่อการควบคุมกาจัด เช่น มีลาต้นใต้ดิน (rhizome) แตกหน่อได้ดี (coppicing
ability) 5.) มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เช่น เป็นแหล่งเชื้อเพลิงซึ่งก่อให้เกิดปัญหาไฟไหม้
ป่า
ผลกระทบสาคัญที่เกิดขึ้นจากวัชพืช ได้แก่ ด้านการแก่งแย่งและการสร้างผลกระทบต่อ
สภาพแวดล้อม วัชพืชมีความสามารถในการแก่งแย่งทรัพยากรเพื่อการเจริญเติบโต (ธาตุอาหาร
น้าในดิน แสงสว่าง) แก่งแย่งพื้นที่เพื่อการเจริญเติบโตของเรือนรากและทรงพุ่ม วัชพืช บาง
ประเภทสามารถแก่งแย่งกับพืชที่ปลูกโดยการเกิดการเป็นปรปักษ์ (allelopathy) โดยการหลั่ง
สารบางอย่างทั้งในรูปของเหลวและก๊าซจากส่วนที่มีชีวิต เช่น ราก ลาต้น ใบ หรือจากส่วนที่
บทที่ 8 การอารักขาสวนป่า| 159
3) แนวทางการควบคุมกาจัด
การป้ องกันกาจัดหนอนผีเสื้อเจาะต้นสักไม่มีวิธีที่เบ็ดเสร็จภายในขั้นตอนเดียว ต้อง
อาศัยวิธีการหลายๆ วิธี โดยน าหลักการควบคุมทางวนวัฒ น์วิธีมาใช้เป็นหลั กและเสริมด้วย
วิธีการอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ร่วมกันโดยต้องคานึงถึงระยะเวลาในการดาเนินการเป็นสาคัญ ดังนี้
ระยะตัวหนอนมีขนาดใหญ่ เจาะเข้าไปในลาต้น (มิถุนายน -พฤศจิกายน) การใช้
สารเคมีฉีดพ่นเข้าไปในรูที่ตัวหนอนอาศัยอยู่ เช่น เชลล์ไดรท์ ชนิดที่มีก้านฉีดที่
166 | การปลูกสร้างสวนป่า
สามารถแทงผ่ า นรู เจาะของหนอนไปได้ หรื อ การฉี ด พ่ น ด้ ว ยไส้ เ ดื อ นฝอย
(Steinonema carpocapsae) แต่วิธีนี้มีข้อจากัดคือการที่จะใช้ไส้เดือนฝอยให้มี
ประสิ ท ธิ ภ าพต้ อ งพ่ น ในช่ ว งเวลาที่ เปลื อ กต้ น ไม้ มี ค วามชุ่ ม ชื้ น มากจึ ง จะท าให้
ไส้เดือนฝอยทางานได้ดีและมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน
ระยะตัวหนอนเข้าดักแด้ จนถึงก่อนออกเป็นตัวผีเสื้อ (ธันวาคม - กุมภาพันธ์) การ
ใช้ไม้ไผ่ตอกอัดที่รูเจาะเพื่อไม่ให้ผีเสื้อออกมาจากรูและตายอยู่ในรูเป็นการป้องกัน
การระบาดในปีถัดไป
ระยะตัวเต็มวัยที่ออกจากรูเจาะแล้ว (กุมภาพันธ์ - มีนาคม) โดยการเดินจับตัวผีเสื้อ
ในตอนบ่ายซึ่งสามารถสังเกตเห็นผีเสื้อได้ง่ายจากรอยคราบดักแด้ที่ติดอยู่บนต้นสัก
2.4.4.2 หนอนกินใบสัก (Hyblaea puera Cramer)
1) ความสาคัญของหนอนผีเสื้อกินใบสัก
หนอนกิน ใบสั ก มีชื่อสามัญ ว่า Teak defoliator วงศ์ Hyblaeidae ตัวเต็มวัยเป็ น
ผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก วงจรชีวิตประมาณ 2-4 สัปดาห์ (ภาพที่ 8) ตัวเมียหนึ่งตัวสามารถไข่ได้
ประมาณเฉลี่ย 500-600 ฟอง ระยะการฟักไข่ประมาณ 2-4 วัน เมื่อหนอนมีขนาดใหญ่ขึ้นจะ
กินผิวใบมากขึ้นจนใบทะลุเป็นรู และมักจะกัดบริเวณขอบใบเป็นรูปครึ่งวงกลม หรือสามเหลี่ยม
แล้วพับปิดบังตัวโดยยึดด้วยใยเหนียวที่ตัวหนอนสร้างขึ้นมาเข้าดักแด้บริเวณผิวดิน
บทที่ 8 การอารักขาสวนป่า| 167
2) สถานการณ์การระบาด
พบการระบาดของหนอนชนิดนี้ทาลายใบสักในสวนป่าสักทุกภาคของประเทศช่วงต้น
ฤดูฝนหรือเมื่อสักเริ่มแตกใบใหม่ ตัวหนอนจะกินใบสักทาให้ใบแหว่งเว้า หากระบาดรุนแรงใบ
สักจะถูกกินจนหมดทั้งใบเหลือแต่เส้นกลางใบและเส้นใบขนาดใหญ่ และใบจะถูกกินหมดทั้งต้น
อาจมีการระบาดได้ 1-3 ครั้งต่อปี ต้นสักที่ถูกหนอนผีเสื้อกินใบระบาดอย่างรุนแรงทุกปีและ
อย่างต่อเนื่องจะทาให้มีผลกระทบต่ออัตราการเจริญเติบโตของต้นสัก หากไม่มีการควบคุมและ
ป้องกันหนอนผีเสื้อกินใบสัก ปล่อยให้มีการระบาดตลอดเวลา ต้นสักจะสูญเสียการเจริญเติบโต
ถึง 44 % (Nair et1 al1 1985)
3) แนวทางการควบคุมกาจัด
โดยการใช้ แ บคที เรี ย (Bacillus thuringiensis) ฉี ด พ่ น เป็ น วิ ธี ก ารทางชี ว วิ ธี ที่ มี
ประสิ ท ธิ ภ าพดี ไม่ เป็ น อั น ตรายต่ อ สิ่ งมี ชี วิ ต อื่ น ๆ นอกจากหนอนผี เสื้ อ วิ ธี นี้ เหมาะกั บ งาน
ทางด้านป่าไม้ อุปกรณ์ที่ใช้พ่นแบคทีเรียได้แก่เครื่องพ่นหมอกควัน โดยอนุภาคแบคทีเรียจะ
ลอยขึ้นไปติดอยู่ที่ใบไม้โดยผ่านจากเครื่องพ่นหมอก เมื่อหนอนกินใบไม้จะกินแบคทีเรียที่ติดอยู่
ที่ใบจะตายภายใน 1-3 วัน
2.4.4.3 แตนฝอยปม (Leptocybe invasa)
1) ความสาคัญของแตนฝอยปม
แตนฝอยปม เป็ น แตนเบี ย นขนาดเล็ ก ในวงศ์ Eulophidae ที่ มี ถิ่ น ก าเนิ ด ในทวี ป
ออสเตรเลีย จากนั้นได้มีการระบาดไปยังประเทศอิสราเอล ประเทศในแถบทวีปแอฟริกาใต้และ
ประเทศอื่น ๆ สร้างความเสี ยหายแก่ต้น ยู คาลิ ป ตัส ชนิดต่างๆ โดยเจาะวางไข่ทาให้ เกิดปมที่
บริเวณยอดอ่อน ใบอ่อ น ส่งผลให้ยอดเกิดการบิดเบี้ยว หงิกงอ การเติบโตทางความสูงชะงัก
ส่งผลกระทบให้ผลผลิตลดลง ปมที่เกิดขึ้นตามใบและยอดอ่อนเกิดมาจากแตนฝอยปมตัวเมียที่
วางไข่บริเวณผิวของ epidermis หรือ parenchyma ทาให้บริเวณนั้นเจริญเติบโตผิดปกติ ไข่
จะฟักภายหลังจากวางไข่ 1-2 สัปดาห์ รวมระยะเวลาที่ตัวอ่อนอยู่ในปมประมาณ 3 เดือนจึง
ออกเป็นตัวเต็มวัย ในแต่ละปีแตนฝอยปมสามารถระบาดทาลายได้ 2-3 รุ่น ต่อเนื่องโดยจะพบ
มากในช่วงฤดูแล้งมากกว่าช่วงฤดูฝน (ภาพที่ 9) สาหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการ
ทาลายของแตนฝอยปม พบว่าแปลงปลูกใหม่จะมีผลผลิตลดลง 1 ตันต่อไร่ ส่วนแปลงไม้ไว้หน่อ
ผลผลิตของหน่อรุ่น 2 จะลดลงประมาณ 80%
บทที่ 8 การอารักขาสวนป่า| 169
2) สถานการณ์การระบาด
ประเทศไทยพบรายงานการระบาดครั้ งแรกเมื่ อ ปี พ.ศ. 2547 ที่ จั งหวั ด สระแก้ ว
จากนั้นแพร่กระจายไปในพื้นที่ต่างๆ ทุกภูมิภาคที่มีการปลูก เช่น ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี
ระยอง กาญจนบุ รี ราชบุ รี นครราชสี ม า บุ รี รัม ย์ ขอนแก่ น เป็ น ต้ น ส าหรั บ พื้ น ที่ ป ลู ก ใน
ภาคเหนือยังพบการแพร่ระบาดไม่มากนัก
โรคของต้นไม้เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทาของสิ่งมีชีวิตร่วมกับสิ่งไม่มีชีวิต
ที่มักเกิดอย่างช้ าๆ มองเห็น ไม่ชัดเจน เช่น โรคแก่นไม้ผุ (heart rot disease) เกิดอยู่ภายใน
ต้นไม้ ทาลายแก่นไม้จนเป็นโพรง แต่ต้นไม้ไม่ตาย เมื่อตัดต้นไม้เพื่อจะนาไปใช้งานถึงทราบว่า
เนื้อไม้หมดไปแล้ว และต้นไม้เหล่านี้จะหักโค่นง่ายด้วยแรงลม ส่วนแมลง ไฟ อากาศ สัตว์และ
อื่นๆ ทาให้ต้นไม้เป็นแผลและกลายเป็นตัวพาหะนาเชื้อโรคเข้าสู่พืช นอกจากนี้ต้นไม้ที่อ่อนแอ
ลงจากการกระทาของปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ จะส่งผลให้เชื้อโรคลาดับที่ 2 เข้าทาลายต้นไม้
โรคของต้นไม้มีความสาคัญอย่างมากในระยะการเพาะชากล้าไม้ในเรือนเพาะชาซึ่งโรค
พืชมีโอกาสเกิดง่ายมาก เพราะในบริเวณเรือนเพาะช ามีกล้ าไม้ช นิดเดียวกันอยู่ด้วยกันเป็ น
จานวนมาก มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีเชื้อโรคอยู่ในเรือนเพาะชาจึงทาให้หากเกิดการ
ระบาดของโรคขึ้นจะสร้างความเสียหายแก่กล้าไม้อย่างรวดเร็วและเป็นจานวนมาก ดังนั้นจึง
ต้องทาการควบคุมกาจัดอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สารเคมีเพื่อควบคุมกาจัดโรค
อย่างเฉียบพลัน มิฉะนั้นจะทาให้กล้าไม้ได้รับความเสียหายเป็นจานวนมาก
ดังที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นว่าโรคพืชมีความสาคัญมากกับกล้าไม้ในเรือเพาะชา ดังนั้นจึงขอ
นาลักษณะความเสียหายของกล้าไม้ที่เกิดขึ้นในเรือนเพาะชามานาเสนอ ดังนี้
1) โรคราสนิ ม (rust disease) พบการระบาดในกล้ า ไม้ พ ะยู ง ชิ ง ชั น สั ก
มะขามป้อม มะกล่าต้น ถ่อน โมกมัน งิ้วป่า มะค่าโมง ทรงกลด มะกอก
2) โรคใบจุดนูนสีดา (tar spot) พบการระบาดในกล้าไม้ประดู่ป่า พะยูง ชิงชัน
กระพี้เขาควาย สาธร กางขี้มอด มะกอกเกลื้อน
3) โรคราแป้งขาว (powdery mildew) พบการระบาดในกล้าไม้ กระถินณรงค์
กระถินเทพา ขี้เหล็กบ้าน นนทรีบ้าน กระถินยักษ์
4) โรคราด า (sooty mold) พบการระบาดในกล้ า ไม้ ยางนา มะขาม ทุ้ งฟ้ า
กระถินณรงค์ กระถินเทพามะกล่าต้น กระท้อน ขี้เหล็กอเมริกัน ขี้เหล็กบ้าน
5) โรคโรคใบจุด (leaf spot disease) พบการระบาดในกล้าไม้ ประดู่ป่า กระถิน
ณรงค์ กระถินเทพา มะค่าแต้ พฤกษ์ ถ่อน
การควบคุมโรคต้นไม้ที่ดีควรจะต้องทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคว่าเกิดจากสาเหตุใดเป็น
สาเหตุจากปัจจัยทางชีวภาพหรือกายภาพ อีกทั้งต้องทราบชีพจักร (life cycle) ของเชื้อโรค
ชนิดของพืชอาศัยรวมทั้งวิธีการกระจายของเชื้อโรคและปัจจัยทางกายภาพที่เหมาะสมต่อการ
เกิดโรค นอกจากนี้จะต้องทราบผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือความเสียหายเมื่อพืชชนิดนั้นเป็น
โรคว่าจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด สาหรับวิธีการในการควบคุมโรค
ต้นไม้สามารถจาแนกเป็น 4 วิธีการหลัก ซึ่งอาจใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน
ดังนี้
172 | การปลูกสร้างสวนป่า
1) การหลีกเลี่ยงโรคพืช (avoidance) โดยเลือกใช้พันธุ์ต้านทาน เลือกบริเวณที่
จะใช้ปลูก ปรับระยะเวลาในการเพาะเมล็ดและกาหนดเวลาที่จะย้ายปลูก ไม่ให้เหมาะกับการ
แพร่ระบาดของ โรค และวิธีการดูแลรักษา
2) การป้ อ งกั น เชื้ อ โรคไม่ ใ ห้ เ ข้ า มาในพื้ น ที่ (exclusion) โดยเลื อ กใช้ ส่ ว น
ขยายพันธุ์ที่ปราศจากเชื้อโรค การออกกฎหมายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคจาก
นอกประเทศ รวมทั้งพยายามป้องกันแมลงที่เป็นพาหะของโรค
3) การกาจัดเชื้อโรคให้หมดไปจากพื้นที่ (eradication) โดยการเคลื่อนย้ายหรือ
ทาลายชิ้นส่วนพืชที่เป็นโรค กาจัดดินที่มีเชื้อโรคปนอยู่ โดยใช้สารเคมีหรือใช้ความร้อน (ไฟเผา
หรือแสงแดด) การปลูกพืชหมุนเวียน การกาจัดเชื้อโรค อาจใช้วิธีการทางชีวภาพ ใช้สารเคมี
หรือใช้ระบวนการทางกายภาพ เช่น การตากแดด การทาให้แห้ง การใช้ความร้อนฯ
4) การป้ อ งกั น ต้ น พื ช ไม่ ให้ เป็ น โรค (protection) โดยการปรั บ ปรุ งพั น ธุ์ ให้
ต้านทานโรค การใช้สารเคมีฉีดพ่นต้นพืชก่อนเกิดโรค เช่น fungicide (เหมาะกับเรือนเพาะชา)
การปรับสภาพแวดล้อมในสวนป่า (โดยการตัดขยายระยะ การลิดกิ่ง การกาจัดวัชพืช) และการ
ให้ปุ๋ย ให้ต้นไม้เจริญเติบโตดี แข็งแรง
2.6 ปัจจัยทำงด้ำนมนุษย์ (Anthropogenic factors)
.1.1. บทบาทของมนุษย์ต่อการอารักขาสวนป่า
2.6.2 ปัญหาที่เกิดจากมนุษย์และแนวทางการจัดการปัญหา
USDA Forest Service. 1989. A guide for prescribed fire in southern forest, USDA.
Forest Service Southern Region.
Wanthongchai, K., J. Bauhus and J. G. Goldammer. 2009. Effects of prescribed
burning on soil properties in dry dipterocarp forest with different past
burning regimes. FORTROP II International Conference, Kasetsart University.
Bangkok, Thailand.
บทที่ 9
กำรจัดกำรสวนป่ำ
Plantation Management
พรเทพ เหมือนพงษ์
1. บทนำ (Introduction)
ทรั พ ยากรที่ ดิ น (land resources) นั บ ว่ า เป็ น ทรั พ ยากรที่ มี คุ ณ ค่ า ซึ่ งนั บ วั น จะทวี
ความสาคัญต่อมนุษย์ขึ้นเรื่อย ๆ การใช้ทรัพยากรที่ดินเพื่อการปลูกป่านั้นจะก่อให้เกิดประโยชน์
อย่างมากมายทั้งด้านผลผลิตเนื้อไม้ ความรื่นรมย์ทางจิตใจ หรือการป้องกันอันตรายจากภัย
ธรรมชาติต่าง ๆ อีกทั้งมนุษย์ยังใช้ ป่าที่ปลูกขึ้นในด้านการเป็นอสังหาริมทรัพย์ และทรัพยากร
(capital and resources) ในพื้นที่ป่าปลูกซึ่งมักจะใช้ที่ดินที่เคยมีสภาพเป็นป่าตามธรรมชาติซึ่ง
ไม่ได้มีการลงทุน หรือลงทุนแต่น้อย และมีการทาไม้ในอดีตส่งผลให้ป่าตามธรรมชาติเหล่านั้น
เสื่อมโทรมลง ในขณะที่สังคมก็ยังคงตั้งคาถามของการปลูกป่าโดยใช้ไม้เพียงชนิดเดียวแทนที่จะ
ปลูกโดยใช้พันธุ์ไม้ดั้งเดิมโดยเฉพาะในแง่ของการอนุรักษ์ ดังนั้นในการสร้างป่าปลูกโดยใช้พันธุ์
ไม้ชนิดเดียวจึงต้องพิจารณาถึงผลดีผลเสียให้รอบคอบทั้งเชิงเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ การปลูก
ป่าในอนาคตอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการปลูกป่าเป็นผืนใหญ่ให้กลายเป็นพื้นที่
แปลงเล็ ก ๆ ที่กระจายทั่วพื้น ที่ซึ่งจะก่อประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์ส ภาพแวดล้ อมดั้งเดิม
ความรื่นรมย์ หรือการจัดสรรทรัพยากรให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น เช่นการปลูกป่าบนที่สูงบริเวณดอย
อ่างขางของโครงการหลวงบริเวณบ้านนอแล และของด้งที่มีการปลูกพันธุ์ไม้ผสมผสานหลาย
ชนิดทั้งพันธุ์ไม้เดิม และไม้โตเร็วต่างถิ่น โดยการแบ่งที่ดินให้ ชาวเขาเผ่ามูเซอได้ใช้ประโยชน์
และดูแลรักษาด้วยตนเอง (ลดาวัลย์, 2556)
ป่ าปลู ก และการพั ฒ นา (plantations and development) จากแผนพั ฒ นาเศรษฐกิ จ
และสังคมแห่งชาติฉบับที่11 (พ.ศ. 2555-2559) ได้กาหนดให้เพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 40.0
ของพื้นที่ประเทศ (สานักนายกรัฐมนตรี , 2554) หรือคิดเป็นพื้นที่ 129.4 ล้านไร่ แต่จากการ
ข้อมูลของกรมป่าไม้ ในปี พ.ศ.2555 ประเทศไทยยังคงเหลือสภาพป่าอยู่เพียงร้อยละ 31.62
หรือ 102.3 ล้านไร่ (กรมป่าไม้ , 2557) ดังนั้นหากยึดตามเป้าหมายแผนพัฒ นาฯ ฉบับที่ 11
178 | การปลูกสร้างสวนป่า
แล้วประเทศไทยยังคงต้องเพิ่ มพื้นที่ป่าอีกถึง 27.1 ล้านไร่ แต่ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ไทยยังอยู่ใน
สถานการณ์วิกฤติเนื่องจากการมีพื้นที่ป่าไม้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึงแม้ว่าหัวหน้ าคณะรักษา
ความสงบเรี ย บร้ อ ยแห่ งชาติได้ อนุ มั ติ เมื่ อวัน ที่ 1 สิ งหาคม 2557 ให้ ห น่ ว ยงานที่ เกี่ ยวข้ อ ง
มุ่ ง ฟื้ น ฟู พื้ น ที่ ป่ า ให้ ไ ด้ ร้ อ ยละ 40 ของพื้ น ที่ ป ระเทศภายใน 10 ปี (คณ ะกรรมการ
ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, 2558) แต่ดูเหมือนการเพิ่มพื้นที่ป่าปีละ 2.71 ล้านไร่
จะเป็นเป้าหมายที่ห่างไกลจากความเป็นจริงจากแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมรอบ
ด้าน ข้อมูลจากกรมป่ าไม้ (2557) แสดงให้ เห็น ว่าในระยะเวลา 8 ปีกรมป่าไม้ได้ปลูกป่าเพื่อ
ฟื้น ฟู ได้เพีย ง 0.46 ล้ านไร่ โดยในปี พ.ศ.2557 มีการปลู กฟื้ นฟู ป่าเพียง 38,800 ไร่เท่ านั้ น
การปลูกป่าส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นเพื่อการฟื้นฟูสภาพป่าในพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลับคงเดิมอีกครั้ง
ในขณะที่การปลูกป่าภาคเอกชนเพื่อการใช้ประโยชน์จากไม้ในช่วงเวลาเดียวกันคิดเป็นพื้นที่
0.67 ล้านไร่โดยส่วนใหญ่เป็นการปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์ จากข้อมูลทั้งสองส่วนจะเห็นได้ว่าการ
เพิ่มพื้นที่ป่าจากการปลูกป่าภาคเอกชนด้วยความสมัครใจยังคงมีสัดส่วนที่สูงกว่าการปลูกป่า
โดยการใช้เงินงบประมาณของภาครัฐ ดังนั้นนโยบายการเพิ่มพื้นที่ป่าจึงต้องให้ความสาคัญกับ
ภาคเอกชนโดยการมุ่งเน้นในการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาเห็นความสาคัญและประโยชน์
จากการปลูกป่าให้มากยิ่งขึ้นซึ่งสามารถทาได้หลายแนวทางเช่นการใช้มาตรการณ์ทางภาษี หรือ
การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่าเป็นต้น
2. วัตถุประสงค์ของกำรจัดกำรสวนป่ำ (Purposes of plantation management)
แม้ในสภาพการณ์ที่แนวโน้มของพื้นที่ป่าทั่วโลกลดลงทุกวัน จากข้อมูลของ Keenan
et al. (2015) พบว่ าช่ ว งระยะเวลาตั้ งแต่ ปี ค.ศ.1990 ถึ ง 2015 พื้ น ที่ ป่ า ทั่ ว โลกลดลงจาก
4,128 ล้านเฮกแตร์ เป็น 3,999 ล้านเฮกแตร์ หรือลดลงกว่า 129 ล้านเฮกแตร์ ในระยะเวลา
25 ปี แต่ทว่าความต้องการใช้ประโยชน์จากป่าทั้งการใช้ประโยชน์จากผลผลิตโดยตรงเช่นเนื้อ
ไม้ และของป่า หรือการใช้ประโยชน์ทางอ้อมเช่นการใช้ป่าเพื่อเป็นพื้นที่นันทนาการ พักผ่อน
หย่ อนใจกลั บ เพิ่มขึ้น ตลอดเวลา ปั จ จุ บั น ป่ าปลู กได้ทวีความส าคัญ ไปทั่ วโลกทั้งในเรื่องการ
อนุ รั ก ษ์ สิ่ ง แวดล้ อ ม และเป็ น แหล่ ง ของเนื้ อ ไม้ เพื่ อ การใช้ ป ระโยชน์ ใ นรู ป แบบต่ า งๆ
ผู้ ป ระกอบการสวนป่ าต่า งมุ่งเน้ น ให้ มี การจั ด การสวนป่ าอย่ างยั่งยืน (Sustainable Forest
Management : SFM) ตามมาตรฐานสากล เพื่อเป็นการปรับปรุงและพัฒนาการบริหารจัดการ
สวนป่าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้บริหารสวนป่าต้องมีมุมมองที่กว้างขวางครอบคลุมด้าน
ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสวนป่า ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งในตลาด
การค้าไม้ของโลกที่ผู้บริโภคกลุ่มประเทศต่างๆ จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไม้ และกระดาษที่มาจาก
วัตถุดิบไม้ที่มีการจัดการแบบยั่งยืน ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตจึงให้ความสาคัญกับแหล่งผลิตไม้ที่ต้องมี
บทที่ 9 การจัดการสวนป่า | 179
ค่าที่ได้ไปคูณกับอัตราส่วนระหว่างพื้นที่ทั้งหมดต่อพื้นที่แปลงตัวอย่างจะสามารถทราบถึงมวล
ชีวภาพทั้งหมดของสวนป่าได้
3) วิธีการสร้างสมการความสัมพันธ์ (Dimension analysis, Allometry method)
เป็นการสร้างสมการความสัมพันธ์ระหว่างมวลชีวภาพกับลักษณะบางอย่างของต้นไม้ที่ตรวจวัด
ได้ง่าย โดยมากจะใช้เส้นผ่าศูนย์กลางเพียงอก (DBH) หรือความสูงของต้นไม้ เมื่อได้สมการที่
เหมาะสมแล้วจะใช้สมการนั้นในการคานวณมวลชีวภาพของต้นไม้รายต้นก่อนที่จะใช้ผลรวม
ทั้งหมดเป็นผลผลิตมวลชีวภาพรวมของสวนป่า การสร้างสมการความสัมพันธ์จะมีการตัดฟันไม้
ตั ว อย่ างจ านวนหนึ่ งเพื่ อ คารวนหาน้ าหนั ก แห้ งกั บ มิ ติข องไม้ ที่ ท ราบค่ าแน่ ชั ด ในรูป สมการ
Allometry ดังแสดงในภาพที่ 9.2
4) การวัดการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Gas exchange) เช่นการแลกเปลี่ยนคาร์บอนสุทธิ
(Net ecosystem exchange, NEE) โดยใช้เครื่องมือวัดอัตราการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์
(CO2)
การประเมินมวลชีวภาพในช่วงแรกของป่าปลูกจะมีเพียงกล้าไม้ซึ่งมีขนาดเล็กเท่านั้น
ในขณะที่วัชพืชอาจจะมีมวลชีวภาพสูงกว่ากล้าไม้ที่ปลูก มวลชีวภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตาม
การเติบโตของหมู่ไม้จนกระทั่งเรือนยอดของไม้ในหมู่ไม้เริ่มเบียดชิดกันซึ่งในช่วงนี้หมู่ไม้จะมีมวล
ชีวภาพของใบสูงที่สุด และไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกเนื่องจากไม่มีพื้นที่ว่างในการแผ่ขยายเรือนยอด
184 | การปลูกสร้างสวนป่า
หลังจากที่เรือนยอดเบียดชิดกันจะเริ่มมีการตายของใบ และกิ่งในส่วนล่างของเรือนยอด ทาให้
ช่วงเวลาหลังจากนั้นหมู่ ไม้จะมีมวลชีวภาพของกิ่งที่คงที่ซึ่งเพี ยงพอส าหรับจ านวนใบที่เหมาะสม
เท่านั้น การเพิ่มพูนมวลชีวภาพของหมู่ไม้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากมวลชีวภาพของใบยังคง
เพิ่มขึ้น แต่อัตราการเพิ่มพูนอาจจะช้าลงเนื่องจากมีการหายใจของส่วนมีชีวิตทั้ง ลาต้น กิ่ง ใบ
และราก ซึ่งต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นตามขนาดที่เพิ่มขึ้นด้วย เมื่อมวลชีวภาพของใบคงที่อัตรา
การตรึงพลังงานจะอยู่ในระดับสูงที่สุด แต่ความต้องการใช้พลังงานยังคงมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้ นอยู่
บ้างเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของขนาดลาต้น อัตราการเพิ่ มพูนของหมู่ไม้จะเริ่มลดลงเรื่อยๆ ตาม
อายุของหมู่ไม้ที่เพิ่มมากขึ้นและเริ่มคงที่ในที่สุด การเติบโตของต้นไม้จะแสดงผลในรูปของเส้น
โค้งการเติบโต (Growth curve) ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของไม้แต่ละชนิด
หากน าการเติ บโตของต้ นไม้ ไม่ ว่ าจะเป็ นการเพิ่ มขนาดปริ มาตร หรื อน้ าหนั กมาสั มพั นธ์ กั บการ
เปลี่ยนแปลงของเวลาจะพบว่าการเติบโตมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่คล้ายคลึงกันคือมีลักษณะเป็น
รูปตัว S เรียกว่า Sigmoid growth curve (ภาพที่ 9.3) ทั้งนี้เนื่องจากต้นไม้จะมีอัตราการเติบโตใน
ระยะต่างๆ ตลอดวงจรชีวิตที่ไม่เท่ากันซึ่ง ลดาวัลย์ (2550) ได้แบ่งการเติบโตออกได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่
Exponential phase เป็นระยะที่การเติบโตเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากต้นไม้ยังมีขนาด
เล็กมาก แต่การเจริญเติบโตจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในรูปแบบทวีคูณ โดยปกติการเติบโต
ในระยะนี้จะค่อนข้างสั้น
Linear phase การเติบโตในช่วงนี้จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างคงที่มีลักษณะเป็นเส้นตรง
ความแตกต่างของอัตราการเจริญเติบโตจะอยู่ที่ความลาดชันของเส้นตรงช่วงนี้มัก
ใช้เวลานาน
Declining phase เป็นระยะที่ต้นไม้มีการเติบ โตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงภายหลัง
จากที่มีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
Steady state เป็นระยะที่อัตราการเติบโตของต้นไม้คงที่ ถือว่าเป็นระยะที่ต้นไม้มี
ความแก่ทางสรีรวิทยา การสร้างหรือสะสมอาหารจะสมดุลกับส่วนที่ต้องสูญเสียไป
บทที่ 9 การจัดการสวนป่า | 185
นพรัตน์ คัคคุริวาระ
1. บทนำ (Introduction)
การทาไม้ หมายถึง กระบวนการ ขั้นตอน และเครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการนาไม้เคลื่อนที่
ออกจากป่ าบริ เวณที่ ไม้นั้ น ยื น ต้น อยู่ แล้ วล าเลี ยงขนส่งไปยังจุดที่ มีการใช้ประโยชน์ไม้ เช่น
โรงงานอุ ต สาหกรรม หรื อ กล่ าวอย่ างสั้ น ว่าเป็ น กระบวนการในการน าไม้ ยื น ต้ น ออกมาใช้
ประโยชน์นั่นเอง
การทาไม้ของไทยในอดีตเคยเป็นอุตสาหกรรมที่เฟื่องฟูมากธุรกิจหนึ่ง บริษัทต่างชาติ
เข้ามาครอบครองกิจการสัมปทานป่าไม้ในไทยเนื่องจากมีประสบการณ์ในการทาไม้มากกว่า
คนไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทบอร์เนียว บอมเบย์เบอร์ม่า แองโกลไทย หลุยส์-ที-เลียว โนเวนส์
และ อี ส ท์ เอเชีย ติ๊ ก ในสมั ย ก่ อนเน้ น การท าไม้ สั ก เป็ น ส่ ว นใหญ่ ด้ ว ยเหตุ ที่ ว่ าไม้สั ก มี มู ล ค่ า
มหาศาล ประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จานวนมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 ได้มีพระราชดาริจัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้น เพื่อทาหน้าที่ดูแลรักษาป่าไม้และทาไม้ออกแทน
บริษัทต่างชาติ โดยใช้วิธีละมุนละม่อม คือ ไม่ต่ออายุสัมปทานการทาไม้ และจัดตั้งบริษัทไม้ไทย
ขึ้นเพื่อศึกษาวิธีการทาไม้ออกด้วยคนไทยเอง เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงและไม่มีการต่อสัญญา ส่งผล
ให้บริษัททาไม้ต่างชาติจาต้องปิดกิจการลง ไม้ที่ทาออกในอดีตมีลาต้นที่มีขนาดใหญ่กว่าไม้ใน
ปัจจุบันเป็นอย่างมาก การทาไม้ในขณะนั้นถือว่าทาได้ยากลาบากเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน
เนื่องจากต้องทาไม้ออกจากป่าธรรมชาติมิใช่สวนป่าที่มีการปลูกแบบเป็นแถวเป็นแนวอย่างใน
ปั จ จุ บั น กอปรกับ ไม้ที่ ทาออกมี ขนาดใหญ่ เครื่องไม้เครื่องมื อที่ใช้ในยุคแรกส่ ว นใหญ่ ได้รับ
อิทธิพลมาจากบริษัททาไม้ต่างชาติ อาทิ เลื่อยยนต์ รถแทรกเตอร์ รถตีนตะขาบ รถสกิดเดอร์
การใช้แรงงานสัตว์ก็เป็ นที่นิยมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการใช้ช้างในการชักลากไม้ รูปแบบการ
ขนส่งไม้มีทั้งการขนส่งทางบก ระบบราง และทางน้า ซึ่งระบบที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือการ
ขนส่งทางน้า เนื่องจากสามารถขนส่งได้คราวละมากๆ และเสียค่าใช้จ่ายต่าที่สุด เป็นเหตุให้
192 | การปลูกสร้างสวนป่า
โรงงานอุ ต สาหกรรมและโรงงานแปรรู ป นิ ย มตั้ งอยู่ ริม น้ าเพื่ อ ที่ จ ะสามารถล าเลี ยงไม้ เข้า สู่
อุตสาหกรรมได้โดยง่าย อีกทั้งเป็นการเก็บรักษาไม้ได้อีกทางหนึ่งด้วย
จากการที่ ค ณะรั ฐ มนตรี มี ม ติ ย กเลิ ก สั ม ปทานป่ าไม้ ทั่ ว ประเทศลง เมื่อ พ.ศ. 2532
การท าไม้ ในปั จ จุ บั น จึ งสามารถกระท าได้ เฉพาะไม้ จากสวนป่ าเท่ านั้ น เครื่องมื อที่ ใช้อ ยู่ ใน
ปัจ จุ บั น ยั งคงรูป แบบเดิ มไว้เป็ น ส่ ว นใหญ่ ไม่ค่ อยมีก ารพั ฒ นาด้ านเทคโนโลยีม ากนั ก ทั้ ง นี้
อาจเป็นเพราะติดขัดในเรื่องของตัวบทกฎหมาย และภาพลักษณ์ที่การทาไม้มักจะถูกมองเป็น
จาเลยของสังคม บ่อยครั้งที่การทาไม้ถูกมองเป็นการตัดไม้ทาลายป่า นี่อาจเป็นอีกหนึ่งอุปสรรค
ของการพัฒนาศาสตร์ทางด้านการทาไม้
บทบาทของการทาไม้คือเป็นการปรับปรุงหรือเพิ่มพูนมูลค่าไม้ เพิ่มความหลากหลาย
และความสวยงามของหมู่ ไม้ เพื่อที่จะเอื้อประโยชน์ให้ กับชุมชนและสังคม การทาไม้เป็นการ
เปิ ดพื้นที่ให้กับ หมู่ไม้ ช่วยส่งเสริมการเติบโตของต้นไม้ที่เหลือ อยู่ในพื้นที่ กระตุ้นให้ เกิดการ
สืบพันธุ์หรือเจริญพันธุ์ตามธรรมชาติ วัตถุประสงค์ของการทาไม้สามารถจาแนกออกได้เป็น
1) การทาไม้เพื่อไม้ท่อน/ไม้แปรรูป โดยทั่วไปเป็นการตัดไม้ออกมาใช้ประโยชน์ใน
อุตสาหกรรม ต่างๆ อาทิ ไม้แปรรูป เฟอร์นิเจอร์ แผ่นไม้บาง ไม้พื้น เยื่อกระดาษ ไม้อัด พาร์ติ
เคิลบอร์ด เป็นต้น ซึ่งไม้ส่วนใหญ่ที่จะนามาใช้ประโยชน์นั้นจะเป็นไม้ที่นิยมปลู กในเชิงพาณิชย์
เช่น ไม้ สัก ไม้ยูคาลิปตัส และไม้ยางพารา
2) การทาไม้เพื่อไม้พลังงาน ด้วยไม้จั ดเป็นหนึ่งในพลังงานทดแทนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่
ได้ อ ย่ า งต่ อ เนื่ อ ง การท าไม้ เพื่ อ พลั ง งานจึ งได้ รับ ความนิ ย มในช่ ว งเวลาที่ ผ่ า นมา ซึ่ ง แหล่ ง
ของไม้พลั งงาน สามารถได้มาจาก 1) ไม้โตเร็วที่ป ลูกเพื่ อการท าไม้พลั งงานโดยเฉพาะ เช่น
ไม้ยูคาลิปตัส ไม้ตระกูลกระถิน เป็นต้น 2) ไม้ขนาดเล็กที่ได้จาการตัดขยายระยะที่ไม่ได้หวังผล
ทางการค้ า (Pre-commercial thinning) 3) เศษเหลื อ จากการท าไม้ (Logging residues)
4) เศษเหลือจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ปีกไม้ ขี้เลื่อย เป็นต้น และ 5) ไม้ที่เกิดจากการลิดกิ่ง
ตัดกิ่ง ของพืชผลทางการเกษตร เช่น ไม้มะขาม ลาไยฉ่าฉา (ได้จากการเก็บเกี่ยว)
การทาไม้จาเป็น ที่จะต้องมีการวางแผนก่อนปฏิ บัติงานที่รัดกุม เพื่อเป็นการป้ องกัน
ผลกระทบทางด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้นจากกระบวนการทาไม้ เช่น ทาไม้ไม่เสร็จตามระยะเวลา
ที่กาหนด ส่งสินค้าไม่ทันเวลา การทาไม้ที่ก่อให้เกิดผลเสียกับสิ่งแวดล้อม (ดินบดอัด การชะล้าง
พังทะลายของหน้าดิน) การทาไม้ที่ดีจะต้องมีปริมาณการทาไม้ออกทีไ่ ม่เกินความเพิ่มพูนรายปีที่
สวนป่ามีอยู่ เป็นต้น
การวางแผนการท าไม้ มีปั จ จั ย ที่ ส าคั ญ ต่ างๆมากมายที่ต้ องคานึงถึง (Wackerman,
1949; Greulich et al., 1999) อาทิ
บทที่ 10 การทาไม้ในสวนป่า | 193
.1.1. ทฤษฎีการล้มไม้
2.1.2 การล้มไม้ที่ดี
ก่อนที่จะล้มไม้ควรกาหนดทิศทางที่ไม้จะล้ม การพิจารณาทิศทางต้องคานึงถึงหลาย
ปัจจัย เช่น สภาพพื้นที่ ทิศทางและความเร็วลม ขนาดความโตและความสูงของต้นไม้ ความเอน
เอียง ความคดงอของลาต้น และลักษณะเรือนยอด เป็นต้น นอกจากนี้ควรสารวจทิศทางหลบ
ภัยก่อนที่จะล้มไม้ โดยทิศปลอดภัยคือทิศทั้งสองด้านที่ทามุม 45 องศากับการลัดหลัง จากนั้น
กาจัดสิ่งกีดขวางบริเวณรอบโคนต้น
ขณะล้ มไม้ ควรล้ มไม้ให้ เหลื อตอต่า (5 - 10 เซนติเมตร) หากไม้นั้น เป็นชนิดพั นธุ์ที่
สามารถแตกหน่ อได้ หน่ อที่ ได้ก็จ ะมีคุณ ภาพที่ดี นอกจากนี้ ควรล้ มไม้ไปในทิ ศทางเดียวกัน
เพื่อให้สะดวกในการทางาน หลีกเลี่ยงการล้มไม้ทับไม้อื่น หากล้มไม้ไปค้างกับไม้ต้นอื่น ควรรีบ
นาไม้ที่ค้างลงโดยเร็วที่สุด หากปล่อยทิ้งไว้อาจก่อให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้ ในขณะล้มไม้
ควรหลีกเลี่ยงการทางานที่ใกล้กันเกินไป ควรเว้นระยะปลอดภัยระหว่างปฏิบัติงานอย่างน้อย
2 เท่าความสูงของต้นไม้ และเหลือพื้นที่แนวกันชน (buffer zone) ไว้บริเวณข้างลาน้า ถนน
หรือพื้นที่อนุรักษ์ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรดังกล่าว
ที่ส าคัญควรล้มไม้ในฤดูกาลที่เหมาะสม หลี กเลี่ยงการทาไม้ในฤดูฝน เนื่องจากการ
เข้าถึงพื้ น ที่ ท าได้ ย าก และผลกระทบที่ จ ะเกิด จากการท าไม้ นั้ น ย่อ มมี ม ากกว่าการท าไม้ ใน
ฤดูกาลอื่น เช่น การชะล้างพังทลายของดิน และไม้ที่ได้อาจมีการปนเปื้อนของดินโคลน
บทที่ 10 การทาไม้ในสวนป่า | 197
การทอนไม้เป็นขั้นตอนที่ต้องให้ความสาคัญเป็นอย่างมากเพราะจะมีเรื่องของราคาไม้
ที่สัมพันธ์กับขนาดและความยาวของไม้ท่อนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยกตัวอย่างเช่น ราคาไม้สัก
จากสวนป่าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ตารางที่ 10.1) เมื่อพิจารณาจากตารางจะเห็นได้
ชัดเจนว่าราคาจะเพิ่มสูงขึ้นตามขนาดและความยาวของท่อนไม้ กล่าวคือไม้ยาวจะแพงกว่าไม้
สั้น และไม้ที่มีขนาดใหญ่จะมีราคาแพงกว่าไม้ขนาดเล็ก
198 | การปลูกสร้างสวนป่า
2) การเดินลิดกิ่งจากโคนไปหาปลายโดยจะทาการลิดกิ่งแบบสลับข้างไปมาจากซ้าย
ไปขวาและจากขวามาซ้ายไปพร้อมๆกัน วิธีนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างมากเนื่องจากสะดวกและ
รวดเร็ว ไม่จาเป็นต้องเดินหลายครั้ง (ภาพที่ 10.6)
ปิยวัตน์ ดิลกสัมพันธ์
1. บทนำ (Introduction)
การเพิ่มขึ้นของประชากรของโลกเชื่อมโยงไปสู่ความต้องการทรัพยากรป่าไม้มากขึ้น
ส่ งผลให้ ท รัพ ยากรป่ าไม้ล ดลงอย่ างต่อเนื่ อ ง การลดลงของพื้ นที่ ป่ าไม่เพี ยงแต่ ผ ลกระทบที่
เกิ ด ขึ้ น ในทางตรงจากปริ ม าณไม้ ใช้ ส อยที่ ล ดลง แต่ ก ลั บ ส่ ง ผลต่ อ สิ่ ง แวดล้ อ มของโลกที่
เปลี่ยนแปลงไป และกลับมากระทบต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์
จากการประชุ ม UNCED (United Nation Conference on Environment and
Development) ที่เมื อง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 3 – 14 มิ ถุนายน พ.ศ.
2535 ที่ป ระชุมได้พิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดขึ้นมาจากการพัฒ นาของโลกที่
เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีข้อสรุปร่วมกันใน 3 ประเด็นหลัก อันได้แก่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biological Diversity) ผลกระทบที่เกิดกับการเปลี่ยนแปลงของ
ชั้น บรรยากาศ (Climate Change) ที่ ส่ งผลต่อการเปลี่ ยนแปลงทางด้านภู มิอากาศของโลก
รวมถึงการต่อสู้กับการขยายตัวของทะเลทราย (Combat Desertification) ที่มีแนวโน้มที่จะ
ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ การลดลงของพื้นที่ป่าถือเป็นองค์ประกอบสาคัญที่ทั่วโลกได้มุ่งความ
สนใจ ด้วยเหตุที่เป็นปัจจัยที่มีผลอย่างชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อมของโลก
ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกที่ถือว่ารุนแรงที่สุด คือ Climate Change ซึ่งเกิดจากการที่โลกร้อนขึ้น
(Global Warming) อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ซึ่ง
ประกอบด้วยก๊าซหลายชนิด แต่ก๊าซที่มีมากที่สุด คือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ส่วนใหญ่
แล้วมาจากการเผาผลาญเชื้อเพลิง Fossil ทางแก้ปัญหาหลักในเรื่องนี้จึงประกอบด้วยการลด
การปลดปล่อย เพิ่มการดูดซับ และเพิ่มการเก็บกักโดยที่ต้นไม้ดูดซับ CO2 มาสร้างเนื้อไม้ เมื่อ
นาไม้มาใช้ในรูปของวัสดุ ก็เท่ากับว่าได้ช่วยเก็บกัก CO2 เอาไว้ การใช้ไม้มากขึ้นจึงเท่ากับว่าช่วย
ลด CO2 จากบรรยากาศมากขึ้น กระแสโลกจึงหั นกลับมาใช้ไม้มากขึ้น ภาพของป่าไม้ที่ถูก
216 | การปลูกสร้างสวนป่า
ทาลายในอดีตเป็ นผลมาจากการจัดการที่ไม่ถูกต้อง มิใช่การใช้ประโยชน์ การใช้ไม้จึงอยู่บน
เงื่ อ น ไข ของก ารมี ที่ ม าจากแห ล่ งที่ มี การจั ด ก ารอ ย่ า งยั่ ง ยื น (Sustainable Forest
Management-SFM) ที่ ไม่ ได้ มุ่ งเน้ น ผลทางด้ านเศรษฐกิ จเท่ านั้ น แต่ ได้ มี ความใส่ ใจและให้
ความสาคัญในการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงป้องกันผลกระทบที่มีต่อสังคม
ไปพร้ อ มด้ ว ยกั น แนวคิ ด ดั งกล่ าวถื อ ได้ว่ าเป็ น ต้ น ก าเนิ ด ของการรับ รองทางป่ าไม้ (Forest
Certification) ที่จะเป็ น เครื่องมือในการยื น ยัน ว่าไม้ที่นามาใช้ประโยชน์นั้นได้รับการจัดการ
อย่างถูกต้อง
2. แนวคิดของกำรรับรองทำงป่ำไม้ (The Concept of Forest Certification)
การรับ รองในทางป่ าไม้ (Forest Certification) หมายถึงกระบวนการที่นาไปสู่ การ
ออกใบรับรองที่ออกโดยหน่วยงานอิสระ ที่ตรวจสอบพิสูจน์แล้วว่าพื้นที่หรือผืนป่าแห่งนั้นได้รับ
การจัดการตามมาตรฐานที่กาหนด
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการรับรองทางป่าไม้ได้มีการกล่าวถึงมาเป็นเวลานับ 10 ปี การ
ที่จะได้รับการรับรองนั้น ผู้จัดการป่าไม้จะต้องบริหารจัดการป่าด้วยหลักความยั่งยืน 3 ประการ
อันได้แก่
ความยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ หมายถึงผู้ประกอบการด้านป่าไม้ ได้รักษาไว้ซึ่งการ
ดาเนินงานที่มีผลประกอบการด้านฌศรษฐกิจที่มั่นคง สามารถดาเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่น
ความยั่งยืน ทางด้ า นสังคม หมายถึงผู้ป ระกอบการได้ให้ ความส าคัญ ต่อสังคมหรือ
ชุมชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการดาเนินกิจการ ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ
จากการดาเนินกิจการของตน และรักษาการให้ความสาคัญนั้นไว้ เช่น การฝึกอบรมให้ความรู้
ด้านต่างๆ การเปิ ดโอกาสให้ ได้รับการจ้างงาน การใส่ใจด้านคุณภาพชีวิตทั้งของคนงานหรือ
ชุ ม ชนที่ อ ยู่ โดยรอบ รวมถึ งรั บ ฟั งความคิ ด เห็ น ข้ อ ร้อ งเรี ย นและข้ อ เสนอแนะต่ างๆ มาใช้
ประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการป่าไม้ขององค์กร และ
ความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม หมายถึงการที่ผู้ประกอบการที่ ให้ความใส่ใจในการ
ทาหน้าที่ของป่าไม้ในระบบนิเวศ และได้ดาเนิ นการลดผลกระทบใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น จากการ
ดาเนินงาน รวมถึงฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของป่าให้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามการที่ผู้ประกอบการจะน าหลักการดังกล่าวเข้าสู่การปฏิบัติ ยังคงเป็น
ประเด็นที่มขี ้อถกเถียงกันพอสมควร ข้อโต้แย้งจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทาให้มาตรฐานในการ
ประเมินเพื่อรับการรับรองมีการปรับเปลี่ ยนแปลงโดยตลอด ประเด็นข้อโต้แย้งแต่ละประเด็นที่
ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ ก่อให้เกิดการแปลตีความที่แตกต่างกันออกไปขึ้นกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วน
บทที่ 11 การรับรองทางด้านป่าไม้ | 217
เสียที่ร่วมกันกาหนดหลักการและเกณฑ์ในการรับรองขึ้นมา ดังนั้นจึงมีความจาเป็นที่จะต้อง
เข้าใจถึงความเป็นมาของเกณฑ์มาตรฐานที่ เกิดขึ้นจากแต่ละองค์กร เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึง
เจตนารมณ์ของมาตรฐานนั้นๆ
ก่อนที่จ ะกล่ าวถึงรายละเอี ย ดเกี่ย วกับ การรับรองทางป่ าไม้ จาเป็ นที่ จะต้อ งเข้าใจ
ตรงกัน ก่อนว่า แม้การรับ รองทางป่ าไม้จะได้มีการดาเนินการมาในระยะเวลากว่า 10 ปี แต่
แนวคิดในการรับรองก็ยังถือเป็นเรื่องใหม่สาหรับวงการป่าไม้ แม้ในทางตรงกันข้ามการรับรอง
มาตรฐานนั้นได้ถือกาเนิดมาอย่างยาวนานในภาคธุรกิจ เช่น การรับรองด้านกระบวนการผลิต
การรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น การรับรองทางป่าไม้เพิ่งจะถูกหยิบยกขึ้นมา โดยกลุ่ม
ของ NGO ทางด้านสั งคมและด้านสิ่งแวดล้ อม ที่จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะทาให้ มีการรักษา
ความยั่งยืนของป่าธรรมชาติ ปกป้องสิทธิของของคนในสังคมทุกระดับ และเรียกร้องถึงความ
เหมาะสมในการจัดการป่าไม้ของทุกภาคส่วน จึงได้ร่วมมือกันจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่หวัง
กาไร ร่วมกันกาหนดมาตรฐานการจัดการป่าไม้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้การรับรองทางป่าไม้เป็นเพียงแค่
กระแสสั งคม จึงมีการกาหนดขั้น ตอนการดาเนินงานทางป่าไม้ในเชิงเทคนิค ที่มี ห ลั กเกณฑ์
หลายๆ ข้อ เชื่อมโยงและบูรณาการกับหลายภาคส่วน ทั้งทางด้านกฎหมาย ด้านอาชีวอนามัย
ความปลอดภัย สิทธิของคนในสังคม และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การรับรองการจัดการป่าไม้เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของผู้บริโภค (Market driven) ที่
ต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก ด้วยการซื้อสินค้าไม้ที่มาจากแหล่งที่มีการ
จัดการอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมั่นในเครื่องหมายของมาตรฐานต่างๆ ที่ปรากฏบนสินค้า การรับรอง
จึงเป็นมาตรฐานประเภทสมัครใจ (Voluntary) เช่น FSC หรือ PEFC ไม่ใช่มาตรฐานภาคบังคับ
(Compulsory) เช่น EU-FLEGT ซึ่งกาหนดขึ้นโดยภาครัฐ
3. โครงสร้ำงพื้นฐำนของโปรแกรมกำรรับรองทำงด้ำนป่ำไม้ (Institutional
Elements of Forest Certification Program)
เนื่องจากแนวคิดในการจัดระบบการรับรองทางด้านป่าไม้นั้นได้อาศัยแนวคิดจากการ
รับรองมาตรฐานที่มีอยู่แล้วในภาคส่วนอื่นๆ แนวคิดพื้นฐานและโครงสร้างขององค์กรเพื่อการ
รั บ รองทางด้ า นป่ า ไม้ จึ ง เติ บ โตขึ้ น อย่ า งรวดเร็ ว ดั งจะเห็ น ว่ า มี ห ลายองค์ ก ร และหลาย
มาตรฐานเกิ ด ขึ้ น ทั้ งในระดั บ นานาชาติ ระดั บ ภู มิ ภ าค หรือ แม้ แ ต่ ก ารน าไปปรั บ ใช้ ในการ
ดาเนินการภายในประเทศ อย่างไรก็ตามพอที่จะแบ่งโครงสร้างพื้นฐานของการรับรองทางด้าน
ป่าไม้ได้ 2 ส่วน อันได้แก่ การกาหนดมาตรฐาน และการนาไปปฏิบัติ ในส่ วนของการนาไป
ปฏิบั ตินั้ น ก็ยังพอจะแบ่ งออกได้เป็ น 3 ขั้น ตอนคือ การออกใบรับ รอง (Certification) การ
กากับมาตรฐานการรับรอง (Accreditation) และการใช้ตราสัญลักษณ์การรับรอง (Labeling)
218 | การปลูกสร้างสวนป่า
3.1 กำรกำหนดมำตรฐำนกำรรับรองทำงป่ำไม้ (Standard Setting)
ก่ อ นให้ ก ารรั บ รองการจั ด การที่ เหมาะสมใดๆ โปรแกรมการรั บ รองทางป่ า ไม้
(Certification program) ต้ อ งก าหนดรู ป แบบการจั ด การป่ า ไม้ ที่ เหมาะสม โปรแกรมการ
รับ รองทางป่ าไม้ ที่ มีอ ยู่ ทั้ งหมดในปั จ จุ บั น ต่างมุ่ งเน้ นที่ จ ะค้น หารูป แบบที่ จะสนั บสนุ น และ
ส่งเสริมให้เกิดรูปแบบการจัดการป่าไม้ที่เรียกว่า “การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน (Sustainable
Forest Management-SFM)” ซึ่งเป็นประเด็นที่ทาให้เกิดการสนทนากันเป็นวงกว้างในกลุ่ม
ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกาหนดนโยบายด้านการบริหารงานด้านป่าไม้ ภายใต้คาถามที่ว่า
ทาอย่างไรที่จะทาให้ผู้จัดการป่าไม้ หันมาใส่ใจต่อการดาเนินงานต่อป่าไม้ของตน ทาอย่างไรถึง
จะทาให้มีปริมาณไม้ให้สามารถตัดฟันและนาออกจากป่าได้อย่างต่อเนื่อง ทาอย่างไรถึงจะรักษา
ไว้ซึ่งบทบาทและหน้าที่ของป่าไม้ในเชิงนิเวศ การรักษาไว้ซึ่งองค์ประกอบของป่า รวมถึงยังคง
รักษาบทบาทของป่าในการให้บริการด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากการให้ผลประโยชน์ในเรื่อง
ของเนื้อไม้ เช่น การรักษาไว้ซึ่งทัศนียภาพ การทาหน้าที่เป็นต้นกาเนิดของน้า เป็นต้น และ
นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาผืนป่านั้นไว้ต่อชุมชนและสังคมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผืนป่าดังกล่าว
ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นที่ได้กล่าวถึงในเบื้องต้นจะเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางและแตกต่างกัน
ออกไปตามกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผื นป่าที่จะรับการรับรอง ทั้งนี้มีสิ่งที่จาเป็นต้องคานึงใน
ระหว่างการกาหนดมาตรฐาน
ประการแรก มาตรฐานสามารถถูกกาหนดขึ้นเพื่อนาไปปฏิบัติได้ในหลายระดับของ
องค์ ก ร ตั้ งแต่ ม าตรฐานที่ น าไปใช้ ก ารกั บ การด าเนิ น งานของทั้ งองค์ ก รในภาพรวม จนถึ ง
มาตรฐานที่นาไปกากับใช้ต่อผืนป่าแต่ละผืน มาตรฐานที่กาหนดอาจทาขึ้นเพื่อนาไปใช้ปฏิบัติต่อ
ผืนป่า เช่น แนวทางการใช้เครื่องจักรกลในพื้นที่ลาดชัน แนวทางการใช้สารเคมีการจัดศัตรูพืช
เป็นต้น หรือเป็นมาตรฐานที่นาไปใช้เป็นแนวทางการบริหารในระดับองค์กร เช่น การกาหนด
นโยบายด้ านการบริ ห าร การก าหนดแผนการปฏิ บั ติ การประจ าปี เป็ น ต้ น ความแตกต่ า ง
ทางด้านสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ของโลก รวมถึงองค์ความรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึง
จาเป็นที่มาตรฐานจะได้ถูกปรับอยู่เสมอ ให้เหมาะสมตามบริบทของแต่ละพื้นที่ไป
ประการที่สอง มาตรฐานส่วนใหญ่จะระบุถึง ผลลัพธ์ที่เกิดจากกระบวนการจัดการป่า
ไม้ และวัดผลโดยพิ จ ารณาจากสภาพของป่ าที่ ปรากฏ (Performance based Approach)
หลั ง จากผ่ า นกระบวนการจั ด การ เช่ น มาตรฐานที่ ต้ อ งการให้ อ งค์ ก รรั ก ษาไว้ ซึ่ ง ความ
หลากหลายของชนิดพันธุ์และมีความแตกต่างในเรื่องชั้นอายุของไม้ในผืนป่าภายใต้รอบของการ
จัดการ หรือมาตรฐานที่ระบุถึงคนงานจะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพื่อลดจานวนคนงานที่
อาจประสบอุ บั ติเหตุร ะหว่างการปฏิ บั ติ งานในรอบระยะเวลาของการจัด การเป็ น ต้ น ส่ ว น
มาตรฐานด้านระบบการจัดการ เป็นอีกด้านหนึ่งที่มุ่งเน้นให้ความสาคัญต่อการบริหารจัดการ
บทที่ 11 การรับรองทางด้านป่าไม้ | 219
โปรแกรมการรับรองในปัจจุบันมีอยู่หลายโปรแกรม บางส่วนถูกใช้เป็นวงกว้างและเป็น
ที่ยอมรับในระดับนานาชาติ บางโปรแกรมถูกใช้ในระดับภูมิภาค และถูกใช้เหมือนเป็นเครื่องมือ
ในการกีดกัน ทางการค้า Forest Stewardship Council (FSC) ถือเป็นโปรแกรมการรับรอง
แรกที่กาเนิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 จากนั้นโปรแกรมการรับรองทางป่าไม้อื่นๆ ก็ได้ถูกพัฒนาขึ้น
อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามโปรแกรมการรับรองหลักที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ได้ถือ
กาเนิดจากการรวบรวมของพันธมิตรใน 2 กลุ่ม ที่มีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ด้าน FSC ถือได้ว่าเป็น
การรวมตั ว ของกลุ่ ม บุ ค คลที่ ม าจาก NGO และนั ก วิ ช าการเป็ น แกนน า ส่ ว น PEFC หรื อ
Programme for the Endorsement of Forest Certification เป็ น การรวมตั ว ของกลุ่ ม
พ่อค้าผลิตภัณฑ์ไม้ ดังนั้น แม้หลักการใหญ่ๆ จะคล้ายคลึงกัน แต่รายละเอียดในมาตรฐานยังมี
ความแตกต่างกัน อยู่พ อสมควร โปรแกรมการรับรองในปัจจุบั นมีกาหนดขึ้น มากมายในทุ ก
ภูมิภาคทั่วโลก ที่ได้มีการดาเนินการพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละภูมิภาค หรือแต่
ละประเทศ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโปรแกรมการรับรองหลัก ทั้ง 2 โปรแกรมที่มีการดาเนินงาน
อย่างแพร่หลายในประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้าใจในการดาเนินงานของโปรแกรมการรับรอง
4.1 Forest Stewardship Council (FSC)
Forest Stewardship Council (FSC) ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็ นทางการในปี พ.ศ.2536
ภายใต้การรวมตัวกันของกลุ่ม NGO กลุ่มผู้ไม่หวังผลประโยชน์ และกลุ่มองค์กรผู้มีส่วนได้ส่วน
เสีย กับ กิจ การป่ าไม้ แม้ว่าจะเป็ น โปรแกรมการรับรองที่ถือกาหนดจาก NGO ที่มุ่งเน้น ด้าน
สิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วย World Wide Fund for Nature (WWF) และ Greenpeace แต่
โครงสร้างของ FSC นั้นเป็นองค์กรอิสระที่ประกอบไปด้วยสมาชิกที่ครบถ้วนในทุกกลุ่มผู้ที่สนใจ
ด้านการป่ าไม้ ตั้งแต่กลุ่ มที่ ให้ ความส าคั ญ ต่อการอนุ รักษ์ กลุ่ มผู้ มุ่ งหวังการพั ฒ นาทางด้าน
เศรษฐกิจ ไปจนถึ งกลุ่มผู้ที่ให้ความสาคัญต่อความเท่าเทียมทางสังคม มาตรฐาน FSC ได้ถูก
ออกแบบเพื่อให้ครอบคลุมการจัดการป่าไม้ทั้งในระดับโลก ไปจนถึงการนาไปปรับให้เข้ากับ
ระดับองค์กรที่นามาตรฐานนั้นไปใช้
การกาหนดมาตรฐาน (Standard Setting) ขั้นตอนการกาหนดมาตรฐานของ FSC
ก่อให้เกิดการหารือกันเป็นวงกว้างในระดับโลกถึงรูปแบบของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ก่อให้เกิด
ชุดของหลักการ (Principles) ที่ถูกกาหนดขึ้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวปฏิบัติเพื่อการ
รับรองการดาเนินการทางด้านป่าไม้ ในปัจจุบัน (FSC, 2017) ชุดของหลักการประกอบไปด้วย
1) ความสอดคล้องกับกฎหมายและสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง
2) ความชัดเจนในการถือครองและสิทธิในการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าในระยะยาว
222 | การปลูกสร้างสวนป่า
3) การให้ความสาคัญและให้ความเคารพต่อชนพื้นเมือง ทั้งในเชิงกฎหมายและจารีต
ประเพณี
4) การรักษาไว้หรือทาให้คนงานป่าไม้และชุมชนในท้องถิ่นมีคุณภาพชีวิตทางด้าน
สังคมและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
5) การใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทาให้การดาเนิน
กิจการได้อย่างต่อเนื่อง
6) การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการปกป้องหน้าที่ของป่าในเชิงนิเวศ
7) การปฏิบัติตามแผนการจัดการในระยะยาว
8) การติ ด ตามผลการด าเนิ น งานด้ า นการจั ด การป่ า ไม้ รวมถึ ง ผลกระทบต่ อ
สิ่งแวดล้อมและสังคม
9) การป้ อ งกั น ผื น ป่ าที่ มี คุ ณ ค่ า ต่ อ การอนุ รั ก ษ์ สู ง (High Conservation Value
Forest-FSC) และ
10) กิจกรรมด้านการจัดการขององค์กรจะต้องได้รับการคัดเลือกและนาไปปฏิบัติให้
สอดคล้องนโยบายและวัตถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และ
ต้องสอดคล้องกับหลักการและเกณฑ์มาตรฐานของการรับรอง
ในเวลาเดียวกัน FSC ได้พัฒนาเกณฑ์และตัวชี้วัด (Criteria and Indicators) เพื่อช่วย
ให้การดาเนินการทางด้านป่าไม้เป็นไปตามหลักการที่กาหนดได้มากขึ้น และได้รับการรับรอง
ภายใต้บ ทบัญ ญัตินี้ นอกจากนี้ FSC ได้ดาเนิ นการพัฒ นามาตรฐานทั้งในระดับประเทศและ
ระดับภูมิภาคไปพร้อมกัน โดยปรับมาจากหลักการและเกณฑ์ทั่วไป เพื่อให้สอดคล้องกับบริบท
ในแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งของประเทศไทย กระบวนการในกาหนดมาตรฐานนี้ได้มุ่งเน้นถึงความ
ท้าทายภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความพยายามในการพัฒนา
มาตรฐานที่เหมาะสมต่อการดาเนินงานในท้องถิ่น แต่ยังคงไว้ซึ่งความสอดคล้องกับหลักการและ
เกณฑ์ในระดับโลกของ FSC
การนาไปปฏิบัติ (Implementation) การนามาตรฐาน FSC ไปปฏิบัตินั้นค่อนข้างมี
ความซั บ ซ้ อ น เพราะนอกจากจะต้ อ งประกอบด้ ว ยองค์ ค วามรู้ ห ลั ก ด้ า นการจั ด การป่ า ไม้
(Silviculture) แล้ว ยังต้องใช้องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมมาประกอบด้วย
การรับรอง (Certification) งานส่วนใหญ่ของการดาเนินการรับรองถูกดาเนินการ
โดยกลุ่มองค์กรจานวนหนึ่งที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้การรับรองเป็นไปอย่างอิสระ อาศัยผู้ตรวจที่มี
ความหลากหลายทางความเชี่ยวชาญหลากหลายด้าน เพื่อที่จะทาการตรวจสอบขั้นตอนและผล
การดาเนินงานทางด้านป่าไม้ในพื้นที่ที่ขอรับการรับรอง ขั้นตอนการรับรองของ FSC พอที่จะ
กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
บทที่ 11 การรับรองทางด้านป่าไม้ | 223
1) การเจรจาเป็นการเบื้องต้นระหว่างผู้ที่ต้องการขอการรับรองกับผู้ให้การรับรองที่
อาจจะมีมากกว่า 1 ราย รวมถึงการหารือถึงสิ่งที่ผู้ขอการรับรองจะต้องดาเนินการ
เพื่อที่จะทาให้ได้รับการรับรอง
2) ยื่นแบบขอรับการรับรอง รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการดาเนินการของผู้ขอรับ
การรับรอง
3) เจรจาค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ รวมถึงกาหนดข้อตกลงต่างๆ ในการตรวจประเมิน และ
หากเป็นไปได้ควรหารือในเรื่องขอบเขตของการประเมินด้วย
4) การตรวจประเมินในพื้นที่ รวมถึงการเข้าสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
5) จัดเตรียมร่างรายงานผลการตรวจประเมินโดยผู้ตรวจ
6) การทบทวนรายงานโดยผู้เชียวชาญอิสระ (Peer Review) จานวน 2-3 ราย
7) หารือถึงเงื่อนไขและข้อกาหนดที่เป็นไปได้ต่อผู้ขอรับการรับรอง
8) การจัดทาสรุปผลการรับรอง
9) การออกใบรับรอง การดาเนิ นการจ่ายค่าใช้จ่ายงวดสุดท้าย การจัดทาสัญ ญาใน
ขั้นตอนการรับรองในอนาคต ประกาศผลต่อสาธารณะ ฯลฯ และ
10) เข้าสุ่มตรวจประจาปีในระหว่างอายุของใบรับรอง
ผู้ให้ การรับ รองมีทางเลื อกหลายทางในข้อสรุปขั้นสุ ดท้ ายของการรับ รอง อันได้แก่
1) ให้ การรับ รองอย่างไม่มีเงื่อนไข 2) ให้ การรับรองภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องดาเนินการแก้ไข
ภายในระยะเวลาที่กาหนด 3) ระบุว่าจะให้การรับรองต่อเมื่อได้ดาเนินการบางอย่างตามเงื่อนไข
ที่กาหนด หรือ 4) ไม่ให้การรับรอง ซึ่ง ตามปกติใบรับรองจะมีอายุ 5 ปี และจะต้องดาเนินการ
ประเมินซ้า (Reassessment) ก่อนที่จะอายุของใบรับรองจะหมดลง
ปั จจุ บั น มีพื้น ที่ป่ าที่ได้รับ การรับ รองภายใต้ FSC กว่า 199 ล้ านเฮกแตร์ (ประมาณ
1,244 ล้านไร่) ใน 84 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ประกอบการรายใหญ่ และ
แม้บางส่วนจะอยู่ในการดูแลของผู้ประกอบการรายย่อยหรือดูแลโดยชุมชน แต่ผู้ประกอบการ
รายย่อยสามารถที่จะรวมตัวกันเพื่อขอการรับรองแบบกลุ่ม (Group Certification) ได้ และ
ปั จ จุ บั น ได้ มี ก ารด าเนิ น การจนประสบผลส าเร็ จ แล้ ว มากมาย นอกจากนี้ FSC ก็ ได้ มี ก าร
ดาเนินการที่จะหาวิธีที่จะทาให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีโอกาสเข้าถึงการรับรองทางป่าไม้ได้
มากขึ้น อย่างไรก็ตามการคืบหน้าในการดาเนินการเชิญชวนให้ผู้ประกอบการนาผืนป่าของตน
เข้ารับการรับรองยังคงเป็นไปค่อนข้างช้า โดยเฉพาะในในผืนป่าในอัฟริกาและเอเชีย ซึ่งมีเนื้อที่
ได้รับ การรั บ รองไม่ถึงร้อยละ 10 ของพื้น ที่ได้รับการรับรองทั้งหมด ส่งผลให้เกิดประเด็นให้
พิจารณาถึงเกณฑ์มาตรฐานที่อาจจะสูงเกินไปสาหรับผู้ประกอบการป่าไม้ในเขตร้อน ที่จะได้รับ
การรับรองในครั้งเดียว แนวคิดในการกาหนดเป็นขั้นของการรับรองจึงได้ถูกหยิบยกมาพิจารณา
224 | การปลูกสร้างสวนป่า
ซึ่งการดาเนินการในเรื่องนี้ส่งผลให้เป็นลาดับขั้นในการให้การรับรองซึ่งอาจจะสร้างความพอใจ
ให้กับผู้ซื้อ ถือเป็นระดับของความพอใจของการยอมรับในรูปแบบการจัดการป่าไม้
การกากับ มาตรฐานการรั บ รอง (accreditation) ผู้ ต รวจประเมิ น (Auditor) ใน
ระบบ FSC จะได้รับการรับรองจาก FSC โดยตรง แม้ว่าในช่วงแรกของการกากับมาตรฐานของ
องค์กรที่ให้การรับรองทางป่าไม้ (Certification Body) ค่อนข้างจะเป็นการพิจารณาเป็นรายไป
แต่ FSC ได้ทาการพัฒนาข้อกาหนดและขั้นตอนในการกากับมาตรฐานการให้การรับรอง และ
อยู่ในระหว่างการดาเนินการในการสร้างความชัดเจนและกาหนดเป็นมาตรฐานในอนาคตต่อไป
การใช้ต ราสัญ ลักษณ์ การรับรอง (Labeling) ผลิตภัณฑ์จากไม้ หรือมิใช่ไม้ (Non-
timber) ที่ ได้ จากผื น ป่ าที่ ได้ รั บ การรั บรองจะถู กระบุ ให้ ประทั บหรื อใช้ ตราของ FSC ได้ ตาม
เงื่ อนไขที่ ก าหนด เป็ น ภาพของ “เครื่ อ งหมายถู กและ
ต้นไม้ ” เพื่ อยื นยั นถึงที่ มาของสิ นค้ าว่ามาจากแหล่ งที่ มี
การจัดการอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานของ FSC โดยได้รับ
การรับรองระบบการจัดการป่าไม้ (Forest Management
– FM) และระบบห่วงโซ่แห่งการคุ้มครองพยานหลักฐาน
(Chain of Custody – CoC) ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ ภาพที่ 1 ตราสัญลักษณ์การ
ได้รับการรับรองมากกว่า 2,500 รายการ และ FSC ยังได้ รับรองของ FSC
ดาเนิ นการพั ฒนานโยบายการอ้ างสิ ทธิในการรับรองใน
รูปแบบของร้อยละของส่วนประกอบ (Percentage-based claim) เพื่อให้การรับรองผลิตภัณฑ์ที่
มี ส่ วนประกอบบางส่ ว น (เป็ น ร้ อยละ)มาจากแหล่ งที่ ได้ รั บ การรั บ รอง เช่ น กระดาษ (หรื อ
ผลิตภัณฑ์จากกระดาษ) แผ่นชิ้นไม้อัด เป็นต้น
4.2 Programme for the Endorsement of Forest Certification
(PEFC)
Programme for the Endorsement of Forest Certification หรือ PEFC มีจุดเริ่ม
ในราวช่ ว งกลางของยุ ค 80 ผู้ ป ระกอบการด้ านป่ า ไม้ เริ่ ม ตระหนั ก ถึ ง การแข่ งขั น ระหว่ า ง
ผลิตภัณฑ์ภายในกลุ่มประเทศยุโรปกับผลิตภัณฑ์ไม้จากเขตร้อนที่ได้รับการรับรองที่เพิ่มมากขึ้น
ในตลาด ผสานกับแรงกดดันจากนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่หันมาให้ความสนใจและกดดัน
ให้ผู้ประกอบการด้านป่าไม้ในภูมิภาคยุโรปเข้าสู่การรับรองทางด้านป่าไม้ด้วย แรงกดดันเพิ่ม
มากยิ่งขึ้นหลังจากที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในประเทศสวีเดนและโปแลนด์ ได้รับการรับรอง
ผ่ า นโปรแกรม FSC และอี ก หลายประเทศได้ เ ริ่ ม พั ฒ นามาตรฐาน FSC ขึ้ น มาใช้ ใ น
ระดับประเทศ
บทที่ 11 การรับรองทางด้านป่าไม้ | 225
การพัฒนามาตรฐานได้สร้างแรงต้านให้กับกลุ่มผู้ประกอบการด้านป่าไม้ที่มีอยู่ดั้งเดิม
และกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่พบว่าระบบ FSC ไม่มีประโยชน์ต่อตน ไม่เห็นถึงความจาเป็น
ที่จะต้องเข้าระบบดังกล่าว และระบบเหล่านั้นไม่เหมาะสมที่จะนามาใช้กับผืนป่าของตน ด้วย
แรงกดดันจากสังคมเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มที่จะเข้าสู่ระบบการรับรอง และใน
เวลาเดียวกันแนวคิดการพัฒนาระบบการรับรองของตนเองมาใช้ ก็ถือกาเนิดขึ้น PEFC ได้ถือ
ก าเนิ ด อ ย่ างเป็ น ท า งก า รใน ร าว ปี พ .ศ . 2542 ใน ชื่ อ ว่ า “Pan European Forest
Certification” การออกแบบโปรแกรมการรั บ รองค่ อ นข้ า งมี ค วามยื ด หยุ่ น เมื่ อ เที ย บกั บ
โปรแกรมการรับรองอื่นๆ ทั้งนี้พอจะกล่าวได้ว่าเป็นระบบการรับรองที่มีแกนนาเป็นผู้ที่ถือครอง
พื้นที่ป่าไม้ในยุโรป ภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ประกอบธุรกิจด้านป่าไม้ ใน
ปัจจุบันแม้ PEFC จะเป็นโปรแกรมการรับรองที่กาหนดขึ้นหลังระบบอื่นๆ แต่ด้วยความยืดหยุ่น
ของระบบ ท าให้ มี พื้ น ที่ ป่ า ที่ ได้ รั บ การรั บ รองตามมาตรฐาน PEFCกว่ า 300 ล้ า นเฮกแตร์
และมีระบบการรับรองระดับประเทศที่ถือกาเนิดภายใต้โปรแกรมการ (ล้านไร่ 1,785 าณประม)
รับรอง PEFC เกือบ 40 ระบบ ใน 49 ประเทศสมาชิก
การกาหนดมาตรฐาน (Standard Setting) ด้วยเหตุที่ PEFC ถือกาเนิดขึ้นหลังจาก
ที่ได้มีโปรแกรมการรับรองหลายโปรแกรมเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว การกาหนดมาตรฐานจึง
เป็ น การน ามาตรฐานต่ างๆ มาประยุ ก ต์ใช้ และในการประชุ มอย่างเป็ น ทางการที่ จัด ขึ้น ใน
ปลายปี พ.ศ. 2541 ก็ได้กาหนด เกณฑ์การรับรอง (Criteria) และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งในปัจจุบัน (PEFC, 2018) ได้ให้ข้อกาหนดและเกณฑ์การรับรองไว้จานวน 7 ชุดที่ค่อนข้างจะ
ยืดหยุ่นอันประกอบไปด้วย
1) ดูแลรักษาและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศป่าไม้ให้ดีขึ้น
2) รักษาไว้ซึ่งขอบเขตการให้บริการของระบบนิเวศ อันประกอบด้วย ป่าเป็นแหล่ง
อาหาร เส้นใย มวลชีวภาพ เนื้อไม้ ป่าเป็นส่วนสาคัญในวัฐจักรของน้า เป็นแหล่ง
กักเก็บคาร์บอน ป้องกันการพังทลายของดิน และป่าให้ผลประโยชน์ทางด้านจิตใจ
และนันทนาการ
3) ใช้ธรรมชาติเป็นทางเลือกแทนการใช้สารเคมี หรือลดการใช้สารเคมี
4) ปกป้องสิทธิและสวัสดิภาพของแรงงาน
5) กระตุ้นให้เกิดการจ้างแรงงานในท้องถิ่น
6) ปกป้องสิทธิของกลุ่มคนพื้นเมือง
7) ดาเนินงานภายใต้กรอบของกฎหมายและยึดถือแนวปฏิบัติที่ดี
226 | การปลูกสร้างสวนป่า
หลังจากนั้นได้มีการจัดการประชุมเพื่อกาหนดตัวชี้วัดสาหรับการประเมินภายใต้เกณฑ์
การประเมิ น ต่ า งๆ ที่ ก าหนดขึ้ น อย่ า งไรก็ ต าม PEFC ค่ อ นข้ า งจะยื ด หยุ่ น ต่ อ การก าหนด
มาตรฐาน ที่อนุญาตให้แต่ละท้องถิ่นสามารถปรับใช้ให้เป็นไปตามนิยามของคาว่า “การจัดการ
ป่าไม้อย่างยั่งยืน” ที่อาจมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่
ในภาพรวมแล้ ว PEFC เปิ ดกว้างในการปรับแนวทางในการรับรองในสอดคล้องกับ
บริบทของการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา PEFC เปิดรับแนว
ปฏิบั ติด้านการป่ าไม้ที่ดีที่มีอยู่แล้ว มากกว่าที่จะกาจัดระบบที่ไม่ดีให้ ห มดไปและมุ่งเน้นการ
ปรับปรุงระดับของการปฏิบัติงานด้านป่าไม้ให้ดีขึ้นในภาพรวม ดั้งนั้น PEFC จึงไม่ได้ดาเนินการ
ในการกาหนดมาตรฐานกลางให้ น าไปปฏิบั ติ แต่เปิด กว้างและกาหนดเพี ยงกรอบให้ แต่ล ะ
ประเทศนาไปปรับใช้ให้เหมาะสมตามแนวปฏิบัติที่ เป็นอยู่ เป็นอยู่ โดยกาหนดเป็นมาตรฐาน
ระดับประเทศ แล้วขอรับการรับรองจาก PEFC
มาตรฐานระดับ ประเทศ (National Standard Setting) โปรแกรมมาตรฐานใน
ระดับประเทศได้เกิดขึ้นมากมายภายใต้การสนับสนุนของ PEFC ซึ่งมีความแตกต่างไปตามการ
ดาเนินการของแต่ละประเทศ จึงยากที่จะระบุรูปแบบมาตรฐานที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น สหราช
อาณาจักรและสวีเดนมุ่งแน้นมาตรฐานในการวัดประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน ในขณะที่
ฝรั่งเศสและเยอรมันมุ่งไปในมาตรฐานของระบบการจัดการโดยอาศัยกฏหมายระดับท้องถิ่น
และระดับชาติเป็นตัวตั้ง บางครั้งเกณฑ์การประเมินก็ถูกนาไปใช้เป็ นเพียงกรอบคาแนะนาแต่
บางทีก็ใช้เป็นระเบียบปฏิบัติ ขั้นตอนการกาหนดมาตรฐานระดับประเทศส่วนใหญ่มักเกิดขึ้น
จากการรวมตัวกัน ของผู้ป ระกอบการ และบางประเทศมักจะผลั กดันมาตรฐานให้ เข้าสู่ การ
ดาเนินงานในเชิงนโยบายป่าไม้ในระดับประเทศ
การก ากั บ มาตรฐานการรั บ รอง (Accreditation) PEFC ไม่ ได้ ด าเนิ น การก ากั บ
มาตรฐานของผู้ตรวจประเมินรวมถึงไม่ได้กาหนดเงื่อนไขสาหรับการกากับมาตรฐานการรับรอง
แต่มอบหน้าที่ให้กับโปรแกรมการรับรองของแต่ละประเทศ (National Accreditation Body –
NAB) ที่พัฒนาขึ้น เช่น มาตรฐาน มอก. 14061 โดยมุ่งหวังให้มีการดาเนินการกากับมาตรฐาน
ของผู้ตรวจประเมินมีความเป็นอิสระ
การใช้ตราสัญลักษณ์การรับรอง (Labeling) PEFC อนุญาตให้องค์กรจัดการป่าไม้ที่
ได้รับการรับรอง ใช้ตราสัญลักษณ์การรับรอง ผ่านการ
อนุญาตอย่างเป็นทางการจาก PEFC หรือจากองค์กร
การปกครองระดั บ ประเทศ (National Governing
Body) ของแต่ ล ะประเทศที่ จัดตั้งขึ้ น ผู้ ประกอบการ
ภาพที่ 2 ตราสัญลักษณ์การ
รับรองของ PEFC
บทที่ 11 การรับรองทางด้านป่าไม้ | 227
รายย่อยที่ได้รับการรับรองทางป่าไม้จะได้รับใบอนุญาตที่จะให้ใช้ตราสัญลักษณ์เพื่อแสดงให้เห็น
ว่าได้ดาเนิ นงานเป็น ไปตามความต้องการของมาตรฐาน รูปแบบที่ต่างกันของตราสัญลักษณ์
รวมถึงข้อความที่ปรากฏจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของห่วงโซ่แห่งการคุ้มครองพยานหลักฐาน (Chain
of Custody) ส่วนข้อความที่ปรากฏจะเชื่อมโยงและแบ่งออกตามลักษณะทางกายภาพของผืน
ป่าที่ได้รับการรับรอง ผลิตภัณฑ์อาจปรากฏคาว่า “PEFC Certified”หรือ “PEFC Recycled”
เมื่อผลผลิตภัณฑ์เป็นไม้ที่มาจากผืนป่าที่ได้รับการรับรองอย่ างน้อยร้อยละ 70 หรืออาจปรากฏ
ข้ อ ความที่ ว่ า “Promoting Sustainable Forest Management” เพื่ อ วั ต ถุ ป ระสงค์ ด้ า น
การศึกษาและการส่งเสริมระบบการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน
การนาไปปฏิบัติ (Implementation)
การพัฒนาโปรแกรมในระดับประเทศ (National Standard Setting) เนื่องด้วย
ระบบ PEFC ให้ ค วามส าคั ญ ต่ อ ความเข้ า ใจที่ ต รงกั น ในการก าหนดโปรแกรมการรั บ รอง
ภายในประเทศ ขั้นตอนการนาไปปฏิบัติจึงถูกพัฒนาขึ้นไปพร้อมๆ กับการพัฒนาโปรแกรมของ
ประเทศนั้ น ๆ PEFC ได้ ก าหนดขั้ น ตอนทางด้ า นเทคนิ ค ของขั้ น ตอนในการจั ด ตั้ งองค์ ก ร
บริหารงาน PEFC ในระดับประเทศ โดยมีประเด็นสาคัญดังนี้
1) องค์กรผู้ประกอบกิจการด้านป่าไม้ที่มีอยู่แล้วในประเทศดาเนินการเชิญตัวแทนจาก
องค์กรระดับ ประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ย วข้องหรือมีความสนใจที่จะร่วมจัดตั้ง องค์กรการปกครอง
ระดับประเทศ (National Governing Body – NGB)
2) องค์กรการปกครอง ดาเนินการคัดเลือกผู้แทนเพื่อเข้าสู่สภา PEFC (ผู้แทนมีเสียง 1
ถึ ง 3 เสี ย งทั้ งนี้ ขึ้ น กั บ ปริ ม าณไม้ ที่ มี ก ารตั ด ฟั น ในประเทศ) และสภาจะด าเนิ น การแต่ งตั้ ง
คณะกรรมการ
3) ในขณะเดียวกันในกลุ่มขององค์กรการปกครอง จะดาเนินการจัดการประชุมกลุ่ม
ตั ว แทน (ผู้ ป ระกอบกิ จ การป่ าไม้ สหภาพ และ NGO) เพื่ อ ก าหนดโปรแกรมการรับ รองที่
เหมาะสมกับประเทศนั้นๆ
4) ผลจากการพัฒนาโปรแกรมการรับรองจะถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรและเสนอ
เข้าสู่คณะกรรมการ ทั้งนี้โปรแกรมการรับรองที่ถูกพัฒนาขึ้นจะผ่านการตรวจประเมินภายใต้
หลักเกณฑ์ของ PEFC โดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ ผลการพิจารณาเป็นไปได้ในหลายลักษณะรวมไป
ถึงการส่งกลับไปยังผู้เสนอเพื่อทาการปรับปรุง และหลังจากเป็นที่พอใจแล้วก็จะถูกส่งไปยังสภา
เพื่อให้การอนุมัติ
228 | การปลูกสร้างสวนป่า
การด าเนิ น การให้ ก ารรั บ รอง (Certification) แม้ ว่ า PEFC ได้ ก าหนดให้ มี
กระบวนการให้การตรวจประเมินเพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่าการดาเนินงานเป็นไปตามมาตรฐาน
ระดับชาติที่กาหนดขึ้น แต่การกาหนดรูปแบบการประเมินและระบบการให้การรับรองก็ยังอยู่
ในขั้นตอนการพัฒนา สมมุติฐานที่ว่าสิ่งใดที่ควรจะถูกตรวจและปริมาณในการตรวจสอบควรจะ
มีเท่าใดนั้นค่อนข้างมีความแปรผันไปมาก แม้จะอยู่บนพื้นฐานของการสุ่มก็ตาม
4. กำรรับรองทำงป่ำไม้ในประเทศไทย (Forest Certification in Thailand)
การดาเนินงานด้านการรับรองทางป่าไม้ในประเทศไทยนั้น มีสถานการณ์ไม่ได้แตกต่าง
กับในหลายๆ ประเทศ ด้วยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนจึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่โลก
ให้ความสนใจ และประเทศไทยยังคงมีการส่งออกไม้ไปขายในต่างประเทศ แม้นโยบายของรัฐ
จะไม่อนุญาตให้มีการทาไม้ในป่าธรรมชาติอีกแล้ว ไม้ที่ส่งออกต่างประเทศทั้งหมดจึงมาจากไม้
ที่มาจากป่าปลูก อย่างไรก็ตามจากปัญหาของการลักลอบตัดไม้จากป่าธรรมชาติที่ยังคงมีอยู่ใน
ปัจจุบัน คงไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้ว่า ไม้ที่ส่งออกไปต่างประเทศนั้นจะเป็นไม้ที่มาจากป่า
ปลูกที่ได้รับการบริหารจัดการอย่างถูกต้องตามหลักการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และเนื่องจาก
ประเทศไทยไม่ได้มีมาตรฐานการรับรองในระดับประเทศ จึงเป็นเหตุให้ ผู้ประกอบการที่มีความ
ประสงค์ที่จะส่งไม้ออกไปยังต่างประเทศจะต้องดาเนินการหาโปรแกรมการรับรอง ที่เป็นไปตาม
ความต้องการของประเทศปลายทาง และต้องรับผิดชอบในการดาเนินการทั้งหมดเพื่อให้ได้รับ
การรับรอง
ประเทศไทยได้มีความพยายามที่จะพัฒนามาตรฐานในการรับรองทางป่าไม้ ในปี พ.ศ.
2541 มาตรฐานแรกที่ถือว่าได้มีการประกาศใช้อย่างเป็ นทางการ คือ มาตรฐาน มอก 14061.
)TISI 14061- Sustainable Forest Management System: Specification Document(
เป็ น มาตรฐานที่ อ ยู่ ภ ายใต้ ม าตรฐาน ISO 14000 ซึ่ ง เป็ น มาตรฐานเพื่ อ การจั ด การด้ า น
สิ่งแวดล้อม ภายใต้การดูแลของสานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) Thailand
Industrial Standard Institute – TISI มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการป่า
ไม้แบบยั่งยืน หรือ มอก. 14061 ได้มีการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องและประกาศฉบับล่าสุดในปี
พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา มาตรฐานดังกล่าวมุ่งเน้นในการรับรองมาตรฐานระบบการจัดการ โดยมี
ข้อกาหนดด้านการจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สาหรับผู้ประกอบการในการจัดการ
สวนป่าไม้เศรษฐกิจทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ของประเทศไทย อย่างไรก็ตามมาตรฐาน มอก.
14061 ไม่เป็นที่แพร่หลายสาหรับกลุ่มประกอบการด้านป่าไม้มากนัก จึงเป็นผลให้ไม่มีผู้สนใจที่
จะเข้าร่วมโครงการเท่าที่ควร เนื่องจากจัดทาออกมาเพียงข้อกาหนด แต่ยังขาดอีก ส่วน คือ 3
บทที่ 11 การรับรองทางด้านป่าไม้ | 229
1. บทนำ (Introduction)
ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม มีบทบาทสาคัญทั้ง
ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลได้
ประกาศยกเลิก การสัมปทานป่าบกทั้งประเทศในปี พ.ศ. 2532 ทาให้เกิดการขาดแคลนไม้ใช้
สอยภายในประเทศ จึงได้มีการนาเข้าไม้จากต่างประเทศ และต่อมาภาครัฐจึงส่งเสริมการปลูก
ป่าเศรษฐกิจทั่วประเทศ เพื่อนาไม้จากสวนป่ามาทดแทนไม้จากป่าธรรมชาติ ไม้จากสวนป่า มี
ข้อจากัดหลายประการ เช่น มีอายุน้อย ลาต้นมีขนาดเล็ก มีกระพี้มากกว่าแก่น โดยไม้สวนป่าที่
สาคัญ ได้แก่ ไม้สัก ไม้ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส ไม้กระถินเทพา และไม้ยางพารา เป็นต้น
2. กำรตลำดของอุตสำหกรรมไม้
ปัจจุ บัน ประเทศไทยมีความต้องการใช้ไม้ประมาณ 5 ล้ านลูกบาศก์เมตรปริมาณไม้
ที่ผลิตได้ภายในประเทศเพียง 59,700 ลูกบาศก์เมตร ไม่เพียงพอ โดยความต้องการใช้ไม้อีกมาก
เช่น ไม้ท่อน และไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์ไม้ เยื่อ และกระดาษ เป็นต้น ภาพรวมด้านเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมไม้ ในการสารวจขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2548
ทั้ งโลกมี ก ารใช้ ไม้ ทุ ก ชนิ ด ประมาณ 3,503 ลู กบาศก์ เมตร แยกเป็ น ไม้เพื่ อ พลั งงาน 1,792
ลูกบาศก์เมตร และไม้เพื่ออุตสาหกรรม 1,711 ลูกบาศก์เมตร (FAO, 2005) สาหรับประเทศ
ไทยมีการใช้ไม้ทุกชนิด 66 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 1.88 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการใช้ไม้ทั่วโลก
คิ ด เป็ น น้ าหนั ก ประมาณ 40 ล้ า นตั น แยกเป็ น ไม้ พ ลั ง งาน 20 ล้ า นต้ น และไม้ เพื่ อ การ
อุตสาหกรรม 20 ล้านตัน (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2551)
การใช้ไม้ของโลกและของไทยมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มของประชากรและระดับ
การพัฒนาเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันโลกยังประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น ทาให้ทั่ว
234 | การปลูกสร้างสวนป่า
โลกเริ่มให้ ความสนใจหันมาใช้ไม้ทดแทนทรัพยากรอื่ นที่ใช้แล้วหมดไป เช่น โลหะ พลาสติก
และปิโตเลียม การใช้ไม้ในโลกมากกว่า 3,500 ล้านลูกบาศก์เมตรและประเทศไทยใช้มากกว่า
66 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เมื่อการผลิตไม้ภายในประเทศมีจากัด ทาให้ต้องมีการนาเข้าไม้จาก
ต่างประเทศ การใช้ไม้แปรรูป ของไทย 2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คิดเป็นไม้ท่อนที่ต้องผลิ ต
6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยมุ่งเน้นนามาใช้ประโยชน์เพื่อการก่อสร้าง และเพื่อการผลิตเครื่อง
เรือนและผลิตภัณฑ์ไม้เพื่อประดับตกแต่ง เป็นต้น
3. กำรใช้ประโยชน์ไม้จำกสวนป่ำ
การปลูกสร้างสวนป่าในประเทศไทยเริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2449 โดยพระยาวัน
พฤกษ์พิจ ารณ์ โดยทาการทดลองปลูกสวนสั กแบบอาศัยชาวไร่ (Taunya Plantation) ในปี
พ.ศ. 2453 ที่สวนสักแม่พวก อาเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ เนื้อที่ประมาณ 66 ไร่ และที่สวนสักแม่
จั๊วะ อาเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ เนื้อที่ประมาณ 197 ไร่ และต่อมาได้มีการทดลองปลูกไม้กระยา
เลยที่จังหวัดเพชรบุ รี ในปี พ.ศ. 2462 โดยทดลองปลูกไม้โกงกางและโปรงซึ่งเป็นไม้ท้องถิ่น
(กรมป่าไม้, 2527) หลังจากนั้นจึงได้มีการปลูกสร้างสวนป่าไม้กระยาเลยชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้นใน
ท้องที่จังหวัดต่างๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติยกเลิกสัมปทานการทาไม้
หยุดการทาไม้ออกทุกประเภท ในช่วงปี พ.ศ. 2531 - 2532 ส่งผลให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
มีความสนใจในการพัฒ นาป่าไม้มากขึ้น (บุ ญชุบ , 2540) การใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่าจึงมี
ความสาคัญเพิ่มมากขึ้นโดยใช้หลักการการกลั่นชีวมวลเป็นหลัก
การใช้ป ระโยชน์ ไม้โดยภาพรวมอ้างอิงจากการกลั่นชีวมวล (bio refineries) ที่แบ่ง
ตามประเภทของผลิตภัณฑ์ออกเป็นพลังงาน (bioenergy) ว้สดุชีวภาพ (biomaterial) ชีวเคมี
ภัณฑ์ (biochemical) อย่างไรก็ตามไม้จากสวนป่าสามารถนามาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ดัง
ภาพที่ 12.1 เป็นการจาแนกภาพรวมของอุตสาหกรรมไม้ของไทย ซึ่ง การใช้ประโยชน์ไม้ในอดีต
นิยมใช้ไม้ที่มีคุณภาพดี มีค่าทางเศรษฐกิจสูง เช่น ไม้สัก แดง ประดู่ มะค่า ยางนา เต็งและรัง
เป็ นต้น โดยนามาใช้ในงานก่อสร้าง เฟอร์นิ เจอร์และผลิตภัณ ฑ์ไม้ต่างๆ แต่เมื่อมีการยกเลิ ก
สัมปทานป่าไม้ในปี พ.ศ. 2532 ประเทศไทยมีการนาเข้าไม้ท่อนจานวนมาก ดังนั้น รัฐบาลจึงมี
นโยบายส่งเสริมให้ มีการปลู กสร้างสวนป่ าเศรษฐกิจเพื่อทดแทนการนาเข้า การใช้ไม้ในเชิง
อุต สาหกรรม ซึ่ งมี ก ารใช้ อ ย่ างมี ป ระสิ ท ธิภ าพครบวงจรนั้ น ต้ อ งพยายามน าทุ กส่ ว นมาใช้
ประโยชน์ให้มากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม้ต้นหนึ่งๆ สามารถใช้ประโยชน์ทั้งในส่วนของเนื้อไม้และ
ส่ ว นที่ ไม่ ใช้ เนื้ อ ไม้ โดยส่ ว นที่ เป็ น เนื้ อ ไม้ มี ร าว 20 - 30 เปอร์เซ็ น ต์ เป็ น ไม้ แ ปรรูป ส าหรั บ
อุตสาหกรรมก่อสร้างและเครื่องเรือน อีก 30 - 35 เปอร์เซ็นต์ เป็นปีกไม้และเศษไม้ซึ่งมีโอกาส
และกาลังพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเพื่อใช้ทาแผ่นชิ้นไม้อัดเรียงเสี้ยน การนาปีกไม้ เศษไม้ไปเข้าโรง
บทที่ 12 การใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า | 235
ส าหรั บ เนื้ อ ไม้ ซึ่ งเป็ น ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ห ลั ก ในการปลู ก สร้า งสวนป่ า สามารถน าไปเป็ น
ผลิตภัณฑ์เพื่อก่อให้เกิดมูลค่า ในทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งมีการลงทุนใน
วงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท เช่น อุตสาหกรรมไม้แปรรูปเพื่อการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น
ไม้พื้น ไม้พลาสติก ไม้แกะสลัก ชิ้นไม้สับและพลังงานจากไม้ ได้แก่ ไฟฟ้าและความร้อน เป็นต้น
จนไปถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีวงเงินเกินกว่า 100 ล้านบาท เช่น อุตสาหกรรมเยื่อ
236 | การปลูกสร้างสวนป่า
และกระดาษ แผ่นชิ้นไม้อัด แผ่นใยไม้อัด เชื้อเพลิงเหลว ก่อให้เกิดการจ้างงานในห่วงโซ่มูลค่า
จานวนมาก
การจาแนกไม้ที่จะทาการปลูกในสวนป่า Meijer (อานวย 2525 : 228) ได้แบ่งชั้นการ
เจริญเติบโตของไม้ป่าไว้ 5 ประเภท โดยยึดเอาการเจริญเติบโตทางเส้นรอบวงที่ความสูง เพียง
อก (girth at breast height, GBH) ในแต่ละปีเป็นเกณฑ์ คือ ถ้าต้นไม้เจริญเติบโตได้ต่ากว่า 1.0
เซนติเมตรต่อปี จัดเป็นไม้โตช้า (slow growing tree) เจริญเติบโต 1.0 - 2.5 เซนติเมตรต่อปี
จัดเป็นไม้โตค่อนข้างช้า (rather slow growing tree) เจริญเติบโต 2.5 - 4.0 เซนติเมตรต่อปี
จัดเป็นไม้ธรรมดา (normal growing tree) เจริญเติบโต 4.0 - 5.0 เซนติเมตรต่อปีจัดเป็นไม้โต
เร็ว (fast growing tree) และเจริญ เติบ โตมากกว่า 5.0 เซนติเมตรต่อปีจัดเป็นไม้โตเร็วมาก
(very fast growing tree) แต่อานวย (2525) เห็นว่าการกาหนดชั้นการเจริญเติบโตของไม้ป่า
ไม่แน่นอน เพราะไม้แต่ละชนิดมีการเจริญเติบโตไม่สม่าเสมอ ไม้บางชนิดอาจโตช้าในปีแรกแต่
โตเร็วมากในปีต่อๆมา ไม้บางชนิดโตช้าในปีแรกแต่ปีต่อๆมาโตช้าลง ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย
เช่น การตั้งตัวของรากเมื่อแรกปลูก ลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละชนิดไม้ หรือสภาวะสิ่งแวดล้อม
ในการเจริญเติบโต ดังนั้นจึงมีการกาหนดเกณฑ์ใหม่โดยใช้ทั้งความโตและอายุเป็นเกณฑ์คือ
ถ้ามีความโตเส้นรอบวงวัดที่ความสูงเพียงอกได้ 100 เซนติเมตร เมื่ออายุได้ 10 ปี จัดเป็นไม้เร็ว
มาก เมื่ออายุ 15 ปีจัดเป็นไม้โตเร็ว เมื่ออายุ 20 ปี จัดเป็นไม้โตเร็วปกติ เมื่ออายุ 25 ปี จัดเป็น
ไม้โตค่อนข้างช้า และเมื่ออายุ 30 ปี จัดเป็นไม้โตช้า เป็นต้น ปัจจุบันการปลูกไม้ป่าเริ่มเน้นเรื่อง
ของเศรษฐกิจ การค้า จึงได้มีการกาหนดมาตรฐานการเจริญ เติบโนของต้นไม้กันใหม่เพื่อให้
สอดคล้ องกับ การใช้ป ระโยชน์ และสนองตอบทางด้านเศรษฐกิจให้ มากยิ่งขึ้น จึงมีผู้ กาหนด
มาตรฐานการเจริ ญ เติบ โตของต้น ไม้ไว้เพี ย ง 3 ประเภทด้วยกันคือ ไม้โตเร็ว (fast growing
tree) ไม้ โ ตปานกลาง (medium growing tree) และไม้ โ ตช้ า (slow growing tree) ซึ่ ง ได้
กาหนดเอาความเพิ่มพูนรายปี (mean annual increment, MAI) เป็นปริมาตรต่อหน่วยพื้นที่
เป็นมาตรฐานการวัด (ศูนย์วิจัยป่าไม้, 2552) ดังนี้
1) ไม้โตเร็ว เป็นไม้ที่มีความเพิ่มพูนเฉลี่ยรายปีตั้งแต่ 15 ลูกบาศก์เมตร/เฮกแตร์ หรือ
2.4 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ (1 เฮกเตอร์ = 6.25 ไร่) เช่น ไม้ตระกูลยูลาลิปตัสทุกชนิด กระถินเทพา
(acacia mangium) และตะกู (Anthoceplus chinensis) เป็นต้น
2) ไม้โตปานกลาง เป็นไม้ที่มีความเพิ่มพูนเฉลี่ยรายปีตั้งแต่ 10-15 ลูกบาศก์เมตร/เฮกแตร์
หรือ 1.6-2.4 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ เช่น สัก (Tectona grandis) ซ้อ (Gmelina arborea) สะเดาเทียม
(Azadirachta excelsa) และตีนเป็ด (Alstonia scholaris) เป็นต้น
3) ไม้โตช้า เป็ น ไม้ที่มีความเพิ่มพูน เฉลี่ยรายปีน้อยกว่า 10 ลูกบาศก์เมตร/เฮกแตร์
หรื อ 1.6 ลู กบาศก์ เมตร/ไร่ เช่ น ประดู่ (Pterocarpus macrocarpus) แดง (Xylia xylocarpa)
บทที่ 12 การใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า | 237
พะยู ง (Dalbergia cochinchninensis) ชิ งชัน (Dalbergia oliveri) ตะเคี ยนทอง (Hopea odorata)
และไม้วงศ์ยาง (Dipterocarpaceae) อื่นๆ เป็นต้น
Softwood และ Hardwood ตามวิชาการป่าไม้แล้วมิได้หมายความว่าไม้เนื้ออ่อนหรือ
ไม้เนื้อแข็ง คาว่า softwood หมายถึงไม้ใบแคบ (needle leave tree) หรือไม้ตระกูลสน (conifers)
หรื อ ไม้ ที่ โครงสร้างไม่ มีรู พ อร์ (non-porous wood) ส่ ว น Hardwood หมายถึ ง ไม้ ใบกว้าง
(broad leaves tree) หรือไม้ที่มีโครงสร้างที่มีรูพอร์ (porous wood) แต่ปัญหาคือไม้เนื้ออ่อน
และไม้ เนื้ อ แข็ งตามความเข้ าใจโดยทั่ ว ไป เกี่ ย วกั บ ไม้ ที่ ใช้ในการก่ อ สร้างนั้ น หมายถึง ไม้ ที่
สามารถรับแรงหรือรับน้าหนักโดยไม่แตกหักเสียหาย
ไม้เนื้อแข็งตามมาตรฐานของกรมป่าไม้นั้น โดยมีการกาหนดตามความแข็งแรงและ
ความทนทานตามธรรมชาติ โดยกองวิจัยผลผลิตป่าไม้ได้เสนอหลักเกณฑ์การกาหนดไม้เนื้อแข็ง
หรือไม้เนื้ออ่อนต่อกรมป่าไม้โดยกรมป่าไม้เห็นชอบ โดยมีหนังสือกรมป่าไม้ที่ กส 0701/6679
ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2517 เรื่อง ข้อกาหนดเกี่ยวกับไม้ที่ใช้ในการก่อสร้าง ในส่วนราชการกรม
ป่าไม้ เวียนให้หน่วยงานราชการในสังกัดกรมป่าไม้ได้ยึดถือปฏิบัติโดยกาหนดหลักเกณฑ์การ
แบ่ ง ไม้ เนื้ อ อ่ อ นไม้ เ นื้ อ แข็ ง ตามมาตรฐานกรมป่ า ไม้ โดยใช้ คุ ณ สมบั ติ ด้ า นกลศาสตร์
(mechanical properties) ที่ เกี่ ย วข้ อ งกั บ แรง (stress) เกี่ ย วกั บ แรงดึ ง (tensile stress)
แรงกด (compressive stress) และ แรงเฉื อ น (shear stress) เป็ น ต้ น โดยใช้ แ รงทั้ ง 3
มารวมกันเพื่อทดสอบ แรงดัดสถิต (bending stress) ที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ แรงประลัย
หรือสั มประสิท ธ์ในการหั ก (modulus of rupture) เรียกความต้านทานต่อแรงประลั ยนี้ ว่า
ความแข็งแรงของไม้ในการดัด โดยตามหลักเกณฑ์นี้ ให้แบ่งไม้ออกเป็น 3 ประเภท โดยถือเอา
ความแข็งแรงในการดัดของไม้แห้ง (ความชื้นประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ ) และความทนทานตาม
ธรรมชาติของไม้เป็นเกณฑ์ (กรมป่าไม้, 2548) ดังนี้
ความแข็งแรงในการดัด ความทนทานตามธรรมชาติ
(กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร) (ปี)
ไม้เนื้อแข็ง สูงกว่า 1,000 สูงกว่า 6
ไม้เนื้อแข็งปานกลาง 600-1,000 2-6
ไม้เนื้ออ่อน ต่ากว่า 600 ต่ากว่า 2
238 | การปลูกสร้างสวนป่า
สาหรับ ไม้ที่ มีความทนทานตามธรรมชาติต่า หากได้อาบน้ ายาป้องกัน รักษาเนื้อไม้
เสียก่อนให้มีปริมาณน้ายาก็สามารถเลื่อนขึ้นไปตามค่าความแข็งแรงได้
ยาประเภทเกลือ ยาประเภทเกลือ
ลักษณะการใช้งาน ยาประเภทน้ามัน
ละลายน้ามัน ละลายน้า
ใช้ในร่ม - - 5.6
ใช้กลางแจ้ง 96.0 4.8 8.0
ใช้ที่แฉะชื้น 128.0 6.4 12.0
ใช้ในน้าจืด 192.0 10.0 16.0
ใช้ในน้าทะเล 320 - 24.0
4. ไม้พลังงำน
ไม้พลังงานเป็น ชีวมวลชนิดหนึ่งซึ่งในประเทศไทยแบ่งชีวมวลออกเป็น 20 ชนิด คือ
แกลบ ฟางข้าว ปลายไม้ยางพารา ปีกไม้ยางพารา ตอ รากไม้ยางพารา ขี้เลื่อย เปลือกไม้ยูคา
ลิปตัส เหง้ามันสาปะหลัง เปลือกมันสาประหลัง กากมันสาปะหลัง ใยปาล์ม ทะลายปาล์มเปล่า
ทางปาล์ม ลาต้นปาล์ม ชานอ้อย ใบอ้อย ยอดอ้อย ซังข้าวโพด และลาต้นข้าวโพด ซึ่งชีวมวล
หมายถึ ง สารอิ น ทรี ย์ ที่ เป็ น แหล่ งกั ก เก็ บ พลั งงานจากธรรมชาติ แ ละสามารถน ามาใช้ ผ ลิ ต
พลังงานได้ เศษเหลือไม้จากสวนป่า กิ่งไม้จากการตัดสางขยายระยะหรือเศษไม้ เป็นชีวมวลที่ได้
จากโรงเลื่อยไม้ เมื่อนาไม้ 1 ลูกบาศก์เมตร ผ่านกระบวนการแปรรูปต่างๆ แล้ว จะใช้พลังงาน
ทั้งสิ้น 35 - 45 kWh เพื่อให้ได้ไม้แปรรูปประมาณ 0.5 ลูกบาศก์เมตร และจะมี วัสดุที่เหลือจาก
กระบวนการผลิตหรือ เศษไม้ ประมาณ 0.5 ลูกบาศก์เมตร หรือเทียบเท่าพลังงานไฟฟ้าได้ 80 kWh
ไม้เชื้อเพลิ งมีห ลายรูป แบบอาจเป็ นไม้ฟืน ถ่าน ขี้เลื่ อย ขี้กบ ไม้ไผ่ ตลอดจนขี้เลื่อย
ถ่านอัดแท่งและแก็สมวลชีวภาพ ลักษณะไม้ฟืนที่ดีจะมีน้าหนักหรือความหนาแน่ นสูง (ไม่รวม
ความชื้น) ค่าความร้อนสูง กลิ่นและควันน้อย ปราศจากยางและสารแทรกที่เป็นพิษ ขี้เถ้าน้อย
จะติดไฟง่ายและมอดช้า ผึ่งแห้งได้ค่อนข้างเร็ว เสื่อมสภาพช้า (จากการผุ และแมลงกัดกิน)
ระหว่างผึ่งและระหว่างการเก็บรักษา สาหรับถ่านที่ดีจะมีน้าหนักสูง ค่าความร้อนสู ง ก้อนถ่าน
แข็ งแรง ไม่ ป ริ ยุ่ ย หรื อ เป็ น ผงง่าย หลั งจากติ ด แล้ ว คุ อ ยู่ ได้ น าน ไม่ แ ตกปะทุ ระหว่ างติ ด ไฟ
ปริมาณความชื้นต่าและมีสิ่งเจือปนอื่นน้อย ไม้ที่นิยมผลิตถ่าน ได้แก่ ไม้โกงกาง ถั่ว ซาก ก่อ
บทที่ 12 การใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า | 239
6. เยื่อและกระดำษ
วัตถุดิบที่ใช้ทาเยื่อกระดาษและกระดาษ ได้แก่ ไม้และวัสดุอื่นๆ ไม้ที่ใช้ได้แก่ ไม้ใบแคบ
จ าพวกสน (conifers หรื อ softwoods) และไม้ ใบกว้ า งจ าพวกพลั ด ใบ (deciduous หรื อ
hardwood) ไม้ใบแคบนั้นจะมีความยาวเส้นใยระหว่าง 2 - 4 มิลลิเมตร. (0.08-0.16 นิ้ว) ส่วน
ไม้ใบกว้างนั้นจะมีเส้นใยยาวระหว่าง 0.5 - 1.5 มิลลิเมตร. (0.02 - 0.06 นิ้ว) เส้นใยยาวของไม้
ใบแคบทาให้กระดาษมีความเหนียวและแข็งแรง ส่วนเส้นใยจากไม้ ใบกว้างนั้นนาไปผสมในการ
ทากระดาษจะทาให้กระดาษมีความทึบและจะช่วยให้กระดาษเรียบขึ้น
การผลิตเยื่อกระดาษจากไม้มีหลายวิธี ซึ่งจะแยกได้ 3 วิธีกว้างๆ คือ (1) กรรมวิธีทาง
เคมี (chemical process) โดยการใช้สารประกอบเคมีจาพวกซัลเฟตและซัลไฟต์เป็นตัวละลาย
ทาให้เส้นใยไม้เหลืออยู่ทากระดาษ กระดาษที่ทาได้จะมีสีขาว แต่จะได้ ผลผลิตต่า คือ ประมาณ
45 - 60% (2) กรรมวิธีกึ่งเคมี (semi-chemical process) เป็นกรรมวิธีผสมผสานระหว่างการ
ใช้สารประกอบทางเคมีกับกรรมวิธีใช้เครื่องบดชิ้นไม้เพื่อให้เกิด เส้นใย เป็นกรรมวิธีที่มีผลผลิต
มากถึง 80% คือ นาไม้ที่ใช้เป็นวัตถุดิบมาต้มกับสารเคมีเสียก่อน เพื่อให้เนื้อไม้อ่อนตัวลงแล้วจึง
นาเข้าเครื่องบดเพื่อแยกเนื้อไม้ออกมาเป็นเส้นใย คุณภาพของเส้นใยจะดีกว่ากรรมวิธีเคมีล้วนๆ
เล็ กน้ อย แต่สิ้ น เปลื องพลั งงานมากกว่า (3) กรรมวิธีที่ใช้เครื่องบด (mechanical process)
ส่วนใหญ่ใช้กับไม้เนื้อแข็ง ซึ่งไม่สามารถใช้กรรมวิธีทางเคมีได้สะดวก กระดาษที่ได้เรียกกระดาษ
ที่ได้จากเยื่อบด (ground wood paper) เพราะใช้เครื่องจักรและหินบด ค่อยๆบดจากไม้เป็น
ท่อนๆ ให้เป็นชิ้นเล็กๆ หรือบางทีก็บดจากชิ้นไม้สับ (chip) ให้เป็นชิ้นเส้นใยเล็กๆ ข้อดีของการ
ทาเยื่อกระดาษโดยใช้กรรมวิธีการใช้เครื่องจักรบดคือ สามารถผลิตเยื่อกระดาษราคาถูกเพื่อทา
กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษปิดฝาผนัง และอื่นๆ ข้อเสียคือ ไม่มีการฟอกสี สีไม่ค่อยขาวและ
มีความทนทานต่า สีของกระดาษตกซีดเมื่อใช้ไปนานๆ กรรมวิธีนี้สามารถใช้กับไม้ ใบกว้างทุก
ชนิด แต่เยื่อที่ได้จะมีลิกนิ น (lignin) และมีส ารแทรก (extractives) ปะปนอยู่มาก แต่ก็เป็น
วิธีการผลิ ตเยื่ อได้มากที่ สุ ดถึง 90 - 95% เยื่อที่ได้เป็น เยื่อคุณ ภาพต่าและเป็น กรรมวิธีที่ใช้
พลังงานมากที่สุด ส่วนเยื่อกระดาษจากกรรมวิธีเคมีและกึ่งเคมี จะใช้ไม้ใบแคบจาพวกที่มีเส้นใย
ยาวเป็นวัตถุดิบ เยื่อกระดาษจึงมีคุณภาพดี และมีการฟอกสีโดยกรรมวิธีเคมี กระดาษจึงมีสีขาว
และมีความทนทาน
7. เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือน
เครื่องเรือนไม้เป็ นเครื่องใช้ที่สาคัญส าหรับอาคารบ้านเรือน สานักงาน โรงแรมและ
ภัตตาคาร เป็นต้น อุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนไม้ เริ่มต้นจากเครื่องเรื อนไม้ที่
242 | การปลูกสร้างสวนป่า
มีความจาเป็นต่อการใช้ในบ้านเรือน การออกแบบเป็นลักษณะง่ายๆ และราคาถูก เช่น โต๊ะ
เก้าอี้ และเตียง เป็ นต้น เริ่มแรกเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนและได้ขยายเป็นอุตสาหกรรม
ขนาดใหญ่ที่ผลิตเพื่อส่งออก โดยสั่งเครื่องจักรมาจากต่างประเทศ
7.1 ประเภทของเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนไม้
เครื่องเรือนไม้สามารถแบ่งออกตามชนิดของไม้ที่นามาใช้เป็นวัตถุดิบ อาจแบ่งเป็น (1)
เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนจากไม้จริง และ (2) เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนจากไม้ประกอบ
โดยเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนไม้ยังสามารถแยกย่อยออกมาเป็น เครื่องเรือนไม้เนื้อแข็งและ
เครื่องเรือนไม้เนื้ออ่อน และเครื่องเรือนอีกประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือ เครื่องเรือนหวาย ซึ่งยัง
ไม่ขอกล่าวในที่นี้ (กรมป่าไม้, 2542)
เครื่องเรือนไม้เนื้อแข็ง หมายถึง เครื่องเรือนไม้ที่ทาจาก ไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้ชิงชัน ไม้
มะค่า และไม้แดง เป็นต้น เครื่องเรือนไม้เนื้อแข็งที่ทาจากไม้คุณภาพดีโดยมีการคัดเลือกไม้และ
อบอย่างดีและได้ผลิตภัณฑ์ราคาแพง และอาจมีเครื่องเรือนไม้อีกจาพวกที่ใช้ไม้คุณภาพไม่ดีและ
ไม่ผ่านการอบ เมื่อใช้งานจะเกิดการหดและแตกได้ง่าย
เครื่องเรือนไม้เนื้ออ่อน หมายถึง เครื่องเรือนที่ทาจากไม้ยางพารา ปัจจุบันเครื่องจากไม้
ชนิดนี้ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากราคาถูกและมีการอบ ไม้ยางพาราจัดเป็นไม้ที่มีคุณภาพด้อย
กว่าไม้อื่นๆ เนื่องจากมีความทนทานตามธรรมชาติต่ามากและเป็นไม้ที่ง่ายต่อการทาลายของ
แมลงและรา เป็นไม้ที่มีน้าหนักเบา และมีสีขาวนวล เนื้อไม้มีลวดลายสวยงาม
ลักษณะเครื่องเรือนไม้ ส่วนใหญ่ผลิตเป็นเครื่องเรือนประเภทรับแขก ชุดรับประทาน
อาหาร ชุ ด นั่ งเล่ น และชุ ด วางของ เป็ น ต้ น ซึ่ งผลิ ต ภั ณ ฑ์ จ ะมี ทั้ งที่ มี สี ธ รรมชาติ แ ละย้อ มสี
อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ (1) เครื่องเรือนไม้ที่ถอดไม่ได้ (Stable furniture or Furnished
Furniture) เป็นเครื่องเรือนสาเร็จรูปที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ส่วนใหญ่ผลิตเพื่อใช้
ภายในประเทศและ (2) เครื่องเรือนไม้ชนิ ดที่ถอดได้ (Knock Down Furniture) เป็นเครื่อง
เรือนที่สามารถถอดชิ้นส่วนต่างๆ ออกมาและประกอบเข้าด้วยกันใหม่ โดยใช้น๊อต ตะปู หรื อ
สกรู เป็นตัวยึด ส่วนใหญ่ผลิตเพื่อส่งออก
8. ไม้แปรรูป
ไม้ยางพารานับเป็นไม้เศรษฐกิจที่สาคัญของประเทศไทย สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้
หลากหลาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ดังนั้นอุตสาหกรรมการแปรรูปไม้
ยางพาราจึ งเป็ น อุ ต สาหกรรมที่ มี ก ารเจริ ญ เติบ โตอย่ างรวดเร็ว แต่ กระบวนการแปรรูป ไม้
บทที่ 12 การใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า | 243
(log) การชั ก ลากไม้ อ อกจากสวน และการขนส่ งไม้ จ ากสวนไปยั ง โรงเลื่ อ ยไม้ มู ล ค่ า ของ
อุ ต สาหกรรมต้ น น้ าจะเริ่ ม นั บ ตั้ งแต่ ช าวสวนยางพาราขายไม้ ในสวนยางพารา การโค่ น ไม้
ยางพารา การชักลากไม้ การเลื่อยไม้เป็นท่อน และการขนไม้จากสวนยางพาราจนถึงโรงเลื่อยไม้
2) อุตสาหกรรมกลางน้า (secondary industry) ประกอบด้วยโรงเลื่อยไม้ โรงอบไม้
โรงอัดน้ายาไม้ โรงงานผลิตแผ่นชิ้นไม้อัดและแผ่นใยไม้อัด เริ่มต้นจากการแปรรูปไม้ท่อนให้เป็น
ไม้แผ่นตามขนาดที่ต้องการ และการแปรรูปไม้ขนาดเล็ก เช่น ปีกไม้ ขี้เลื่อย ขี้กบ ให้เป็นแผ่น
ชิ้นไม้อัด (Particleboard) และแผ่นใยไม้อัด (Fiberboard)
3) อุตสาหกรรมปลายน้า (tertiary industry) ประกอบด้วยกลุ่มผลิตเฟอร์นิเจอร์และ
ชิ้นส่วนกับกลุ่มผลิตเครื่องเรือน อุตสาหกรรมปลายน้าจะนาไม้ยางพาราแปรรูป แผ่นชิ้นไม้อัด
และแผ่ น ใยไม้ อั ด มาผลิ ต เป็ น ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ส าเร็จ รูป เช่ น เฟอร์นิ เจอร์ เครื่ อ งใช้ ภ ายในบ้ า น
อุปกรณ์ก่อสร้าง กรอบรูป รูปแกะสลัก ของเล่น ฯลฯ เพื่อส่งขายทั้งภายในและต่างประเทศ
ในส่วนของอุตสาหรรมกลางน้า การผลิตไม้ยางพาราแปรรูป โดยโรงงานไม้ยางพาราใน
ภาคใต้ โดยจังหวัดที่มีโรงงานไม้ยางพาราแปรรูปมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี รองลงมา
คือจังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลาและจังหวัดตรัง โรงงานแปรรูปยางพาราส่วนใหญ่เป็น
โรงงานขนาดเล็ก ไม่มีกระบวนการอัดน้ายาและอบแห้งไม้ ขณะที่โรงงานแปรรูปไม้ขนาดใหญ่
มีกระบวนการตั้งแต่การเลื่อย การแปรรูป จนถึงการอัดน้ายาและอบแห้งนั้น มีจานวนไม่มาก
นัก และส่วนใหญ่จะเป็ นโรงงานที่ผลิตเพื่อการส่งออก ในอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารามี
รายละเอียดดังนี้
วัตถุดิบ : วัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมไม้ยางพาราแปรรูป คือ ไม้ยางพาราที่มีอายุ
มากซึ่งให้ปริมาณน้ายางต่า ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจในการกรีดน้ายาง ทาให้เกษตรกรต้องโค่น ต้น
ยางพาราแล้วปลูกทดแทน
ขั้ น ตอนและกระบวนการผลิ ต : การผลิ ต ไม้ ย างพาราแปรรู ป เริ่ ม จากการน าไม้
ยางพารามาจากสวนยางพารา โดยนายหน้ าหรือ เจ้าของโรงงานแปรรูปจะเข้าไปรับ ซื้อต้ น
ยางพาราในลักษณะการขายยกสวน หลังจากตัดโค่นต้นยางพาราแล้วจะนาไม้ท่อนบรรทุกด้วย
รถยนต์และนาไปขายให้โรงงานแปรรูป ระยะเวลาที่ดาเนินการตั้งแต่การตัดโค่นต้นยางพาราใช้
เวลา 1 วันถึง 3 วัน เพื่อลดการถูกทาลายจากเชื้อราและแมลงเจาะทาลายไม้ยางพารา ไม้ท่อน
ที่ได้จะเข้าสู่กระบวนการแปรรูปซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) การเลื่อย เป็นการนาไม้ยางพาราที่ตัดไว้แล้วมาทาการเลื่อย เพื่อเปิดปีกไม้และจัด
ไม้ให้ได้ขนาดตามต้องการ การเลื่อยเปิดปีกไม้จะต้องตัดเผื่อความหนาและความกว้างในแต่ละ
ด้านๆ ละ 1 หุน หรือเท่ากับ 2.8 มิลลิเมตร เนื่องจากไม้จะเกิดการหดตัวเองขณะที่อบ
246 | การปลูกสร้างสวนป่า
2) การอัดน้ายา ไม้ยางพาราที่ตัดจากสวนยางพาราจะต้องมีระยะเวลาไม่เกิน 3 วัน
หรือ 72 ชั่วโมง จะต้องรีบนาไปจุ่มหรืออัดน้ายารักษาเนื้อไม้ เพื่อป้องกันแสงแดด มอด แมลง
และเชื้อราทาลายเนื้อไม้ เนื่องจากไม้ยางพารามีเปอร์เซ็นต์ของน้าตาล แป้ง และความชื้นสูง
โดยจะนาไม้ที่เลื่ อยเปิดปี กและแปรรูป แล้วไปผ่านกระบวนการอัดน้ายาเข้าไปในเนื้อไม้ด้วย
วิธีการใช้แรงอัดและสุญญากาศ ซึง่ ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 2 ชั่วโมง
3) การอบไม้ เนื่องจากไม้ยางพารามีความชื้นสูง ดังนั้น หลังจากอัดน้ายาแล้วจะต้อง
รีบนาไม้ยางพาราเข้ากระบวนการอบ มิฉะนั้นไม้จะเปลี่ยนสีเป็นสีน้าตาลหรือสี คล้าลง ไม้ที่ผ่าน
การอัดน้ายาแล้วจะเข้าโรงอบไม้ เพื่อ กาจัดความชื้นออกจากเนื้อไม้ทาให้เนื้อไม้แห้งสนิท การ
อบอาจใช้เวลา 8 วันถึง 10 วัน ขึ้นกับขนาดของไม้ ไม้ที่ออกจากเตาอบควรมีความชื้นร้อยละ 8
ถึง 10 การนาไม้ยางพารามาอบจะทาให้ไม้ยางพาราหดตัว หลังจากอบแล้วควรจะเก็บไม้ไว้ในที่
แห้ง มีหลังคาปกคลุม อากาศถ่ายเทได้สะดวก
อั ต ราการแปรรู ป (lumber recovery) เป็ น สั ด ส่ ว นของปริม าตรไม้ ที่ แ ปรรูป ได้ ต่ อ
ปริมาตรของไม้ท่อนที่เข้าแปรรูป โดยคิดเป็นร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ พบว่าไม้ยางพารามีอัตรา
การแปรรูปเฉลี่ย 33 - 35 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นปีกไม้ เศษไม้และขี้เลื่อย (สมาคมธุรกิจไม้
ยางพาราไทย, 2546) ซึ่งไม้ ยางพาราแปรรูปที่ได้จะมี การบิ ดงอโค้งประมาณ 3.0 - 4.6 มิ ลลิ เมตร
ต่อความยาวไม้ 1 เมตร มีการโก่ง 3.0 - 4.8 มิลลิเมตร ต่อความยาวไม้ 1 เมตร อัตราการแปร
รูปไม้ยางพาราจะไม่สูงมากนักซึ่งจะขึ้นอยู่กับเทคนิคการเลื่อยและชนิดของเลื่อยที่ใช้เป็นสาคัญ
ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เลื่อยเปิดปีกและเลื่อยซอยเป็นประเภทเลื่อยสายพานแนวตั้งทั้งหมด มีบ้างที่ใช้
เลื่อยวงเดือนที่มีคลองเลื่อยลึก พันเลื่อยจะกว้างประมาณ 1/4 - 3⁄10 นิ้ว ซึ่งในการซอยไม้หนา
1/ - 1 นิ้ว จะทาให้ เสียเนื้อไม้ไปประมาณ 20-50 เปอร์เซ็นต์ของไม้แปรรูป แต่ละแผ่น อัตรา
2
การแปรรูปโดยใช้เลื่อยนอนเป็นเลื่อยเปิดปีกและใช้เลื่อยสายพานแนวตั้งเป็นเลื่อยซอย แปรรูป
ไม้ท่อนทั้งหมด 41 ท่อน แปรรูปไม้หนา 2 นิ้วขึ้นไป กว้างตั้งแต่ 2-8 นิ้ว โดยเผื่อหน้าไม้ 3⁄32-
1⁄ นิ้ว เผื่อความกว้าง 3⁄ – 1/ นิ้ว ทาให้ได้อัตราการแปรรูปเฉลี่ย 47 เปอร์เซ็นต์ ดังภาพที่
18 16 4
12.4 (กฤษดาและคณะ, 2550, สมาคมธุรกิจไม้ยางพาราไทย, 2546)
คุณภาพของไม้ยางพาราแปรรูป ส่วนใหญ่เกิดจากการโก่งงอโดยเฉพาะการแปรรูปไม้
ท่อนขนาดเล็ก ซึ่งจากการแปรรูปไม้ยางพาราเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 - 10 นิ้วและสารวจไม้แปรรูป
จานวน 25 แผ่น หนา 1 นิ้ว กว้าง 4 - 6 นิ้ว ยาว 1 เมตร พบว่าได้ไม้โค้ง (bow) 8 แผ่น ไม้โก่ง
(spring) 8 แผ่น ไม้บิด (twisted) 13 แผ่น จะเห็นว่าการแปรรูปไม้ยางพาราสด 25 แผ่นได้ไม้
แปรรูปที่มีลักษณะดีเพียง 6 แผ่นเท่านั้น นับเป็นปัญหาอีกอันหนึ่ งที่จากัดการเจริญเติบโตของ
อุตสาหกรรมการแปรรูปไม้ยางพารา (กฤษดาและคณะ, 2550; สมาคมธุรกิจไม้ยางพาราไทย,
2546)
อัตราการแปรรูปไม้ (lumber recovery) หมายถึง สัดส่วนของปริมาตร ไม้แผ่นที่ได้
จากแปรรูปต่อปริมาตรของไม้ท่อนที่เข้าแปรรูป คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือ เขียนเป็นสูตรได้ ดังนี้
คือ
อัตราการแปรรูปไม้ = ปริมาตรไม้แปรรูป X 100 % /ปริมาตรไม้ท่อนที่เลื่อย
โรงงานแปรรูปไม้โดยทั่วไป นิยมซื้อไม้ท่อนหน้าโรงงาน เป็นหน่วยน้าหนักกิโลกรัมหรือ
เป็นตัน (1,000 กก.) บางแห่งไม่มีเครื่องชั่งรับซื้อเป็นหน่วยปริมาตร โดยใช้การกองไม้ท่อนให้ได้
ความกว้าง 1 เมตร สูง 1 เมตร ยาว 1 เมตร มักเรียกเป็นหลา (1 ลูกบาศก์เมตร) โดยคิดเทียบ
น้าหนักไม้ท่อน 1 ตันมีปริมาตร 1.30 ลบ.ม.
8.2 กำรอำบน้ำยำไม้
การตัดฟันหมายทอนไม้ แล้วบรรทุกสู่ โรงงานแปรรูป กระทา ในเวลาอันสั้นไม่เกิน
3 วัน ทั้งภาคใต้และภาคตะวันออกไม่มีการใช้สารเคมีป้องกันเชื้อรา และแมลงเจาะกินไม้ แต่
อย่างใด เมื่อไม้ท่อนเข้าสู่ โรงงานแปรรูป ไม้ถูกนาเข้าแปรรูปทันที เพื่อป้องกันการทาลายของ
เชื้อรา และแมลงหลังจากแปรรูป แล้วทาการอัดน้ายา จาพวกบอเรตหรือโบรอน โดยการอัด
เข้าเนื้อไม้แบบเต็มเซลล์ (full-cell process) ก่อนอบไม้ ไม้ยางพาราเป็นไม้ที่มีความทนทาน
ตามธรรมชาติต่า เกิดเชื้อราและการทาลายของแมลงได้ง่าย พบว่าการอาบน้ายาแบบใช้แรงอัด
ขนาดความจุของถังอัด ตั้งแต่ 3.5 - 8.0 ลบ.ม ตัวยาที่ใช้ในการอัด คือ Timbor ราคากิโลกรัม
ละ 50 - 60 บาท หรื อ Boric + Borax (ในอั ต ราส่ ว น Boric acid: Borax = 1:1.5) ราคา
กิโลกรัมละ 32 - 40 บาท และ Cellbor ราคากิโลกรัมละ 36 - 42 บาท ใช้เวลาในการอัดต่อ
ครั้งประมาณ 1.5 - 2 ชั่วโมงโดยใช้ความดัน 150 - 200 ปอนด์/ตารางนิ้ว
248 | การปลูกสร้างสวนป่า
8.3 กำรอบไม้
จะอบด้วยเตาอบ ซึ่งไม้ยางพาราที่จะอบจะผ่านการอัดน้ายาไม้แ ล้ว ลักษณะเตาอบไม้
เป็ น การอบไม้ แบบใช้ ไอน้ ามี เครื่ องควบคุม ซึ่งจะไม่มี ตารางอบไม้ แต่อบไม้โดยอาศัย ความ
ชานาญหรือจากประสบการณ์ อบไม้ให้ มีความชื้น 8 – 12 % เวลาในการอบ แต่ละเตาประมาณ
7 - 15 วัน ขึ้นอยู่กับขนาดเตา ความหนา และความชื้นของไม้ ก่อนเข้าอบ จานวนเตาอบไม้
ของแต่ละโรง มีตั้งแต่ 5 - 50 เตา ความจุ 13.0 - 45.0 ลบ.ม./เตา โดยเฉลี่ยเตาอบไม้แต่ละโรง
มีประมาณ 8 - 10 เตา มีความจุระหว่าง 20.0 - 30.0 ลบ.ม./เตา
8.4 กำรตรวจสอบคุณภำพไม้ยำงพำรำ
ไม้ยางพาราแปรรูปที่ผ่านกรรมวิธีรักษาเนื้อไม้ เมื่อนาไม้มาไสหน้าเรียบร้อยแล้ว ก่อน
นาไปผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพไม้ เพื่อตรวจสอบว่า น้ายาเคมีที่อัดซึม
เข้าไปในเนื้อไม้ มากน้อยเพียงใด จาเป็นต้องตรวจสอบ ไม้ทุกเตาอบ โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างด้วย
การเลือกหยิบมาตรวจ 2 - 3 ชิ้น (ในแต่ละมุมของเตาอบ) เพื่อตรวจดูว่าน้ายาเคมี ที่อัดเข้าไป
ในเนื้ อ ไม้ ย างพารา ที่ อบแห้ งแล้ ว น้ ายาซึม เข้าไปอยู่ในเนื้ อไม้ มาก หรือ น้ อย เพี ย งพอที่ จ ะ
ป้องกันเชื้อรา และแมลงทาลายเนื้อไม้ได้ดี พอตามความต้องการ หรือไม่ มีวิธีผสมสารเคมีที่ใช้
ตรวจสอบ คือ
การทดสอบอัตราการซึมของสารโบรอนในเนื้อไม้ (ธีระ, 2549) สารละลายที่ 1 สกัด
Turmeric 10 กรัม ด้วย Ethyl alcohol 100 มิลลิลิตร เป็นเวลา 6 - 8 ชั่วโมง จากนั้นนามา
กรองจะได้สารละลายสีเหลืองใส
สายละลายที่ 2 ใช้กรด Hydrochloric เข้มข้น 20 มิลลิลิตร เจือจางด้วย Ethyl alcohol
ให้เป็น 100 มิลลิลิตร แล้วให้อิ่มตัวด้วยกรด Salicylic จะได้สารละลายใสไม่มีสี
วิธีทดสอบ ตัดไม้ที่จะทดสอบให้ห่างจากปลายไม้เข้าไปประมาณ 300 มิลลิเมตร ไม้ที่
นามาทดสอบต้องตัดมาใหม่ เป็นไม้แห้งปราศจากแมลงและรอยแตก จากนั้นทาสารละลายที่ 1
ลงบนหน้ าตั ดของไม้ ทดสอบ แล้ ว ทิ้ งไว้ 2 - 3 นาที จึงทาสารละลายที่ 2 ลงบนหน้ าตัด ไม้
เดียวกัน (การทาให้ทาไปในทิศทางเดียว) บริเวณที่มีตัวยาโบรอนซึมเข้าไปจะมีสีแดงแสด
ข้อควรระวัง น้ายาที่ใช้ในการทดสอบไม้ยางพารา ควรผสมใช้วันต่อวัน หรือ ผสมใช้
เป็นครั้งคราว ให้ผลใน การทดสอบดีกว่า
บทที่ 12 การใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า | 249
8.5 กำรทดสอบควำมชื้นของไม้
การทดสอบความชื้น ของไม้จาเป็ นมาก เพราะไม้ยางพาราเป็น ไม้ ที่ สามารถดูดซึม
ความชื้นในอากาศได้ดี ต้อง ดูแลไม้ยางพาราที่อบแห้งแล้วเป็นอย่างดี โดยวางไว้ในที่ที่ฝนสาด
ไม่ถึง ไม้ย างพาราที่น าออกจากเตาอบทุ กโรงงาน ถือปฏิ บัติเช่นเดียวกัน คือ ความชื้นอยู่ที่
8-10 % เมื่อไม้ออกจากเตาอบมาอยู่ ในระดับอากาศท้องถิ่น การดูดซึมความชื้น จะค่อยๆ
เพิ่มขึ้น ในไม้ตามภาวะของอากาศ ภาคตะวันออก อากาศมีความชื้นเฉลี่ย 11 - 14 % ในฤดูฝน
อาจถึง 15 %
เครื่องมือที่ใช้วัดความชื้นในไม้ โดยทั่วไปใช้เครื่องมือ 3 ชนิด คือ
1) เครื่องวัดความชื้นชนิดที่ใช้ตะปูตัวเดียว วิธีการวัด ตอกตะปู 1 ตัว ลงไปใน เนื้อไม้
ความชื้นที่มีอยู่ในไม้ จะผ่านตะปูเข้าไปที่มาตรวัดความชื้น เข็มจะเคลื่อน ไปตามตัวเลขบอก
ระดับความชื้นในไม้
2) เครื่องวัดความชื้นชนิดที่ใช้ตะปู 2 ตัว วิธีการวัด ตอกตะปู 2 ตัว ลงไปในเนื้อไม้
ความชื้ น ในไม้ จ ะผ่ า นตะปู ทั้ ง 2 ตั ว เข้ า ไปในเครื่ อ งวั ด เพื่ อ บอกตั ว เลขระดั บ ความชื้ น
เช่นเดียวกับ เครื่องวัดแบบตะปูตัวเดียว
3) เครื่องวัดความชื้นแบบดิจิตอล วิธีการวัด วัดได้เฉพาะไม้ที่ไสเรียบแล้ว ใช้เครื่อง
ทาบลง ไปบนผิ ว หน้ า ไม้ ที่ จ ะวัด กดให้ แ นบสนิ ท กั บ ไม้ ตั ว เลขบนเครื่ อ งวัด จะขึ้ น -ลง อยู่
ประมาณ 1 นาทีจึงหยุดนิ่ง แสดงถึงระดับความชื้นในไม้
ผลิตภัณฑ์จากไม้ยางพารา ที่ตลาดต่างประเทศให้การยอมรับ ได้แก่ (1) เฟอร์นิเจอร์ไม้
ยางพารา และ (2) ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ไม้ เช่ น เครื่ อ งใช้ ท าด้ ว ยไม้ กรอบรู ป ไม้ รู ป แกะสลั ก และ
เครื่องประดับทาด้วยไม้ วัสดุก่อสร้างทาด้วยไม้ ไม้ปาร์เกต์ ไม้พื้น (Flooring) ไม้เสา เช่น ไม้
นั่งร้าน และไม้ค้ายันสาหรับการก่อสร้าง (3) ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้แผ่น เช่น ไม้แปรรูปเป็นแผ่น
หนาเกิ น 6 มม. แผ่ น ไม้ วี เนี ย ร์ แ ละไม้ แ ละผลิ ต ภั ณ ฑ์ ไม้ แ ผ่ น อื่ น ๆ (4) ของเล่ น ไม้ ป ระเภท
ประเทืองปัญญา (Education Toys) (5) เชื้อเพลิง ได้แก่ ฟืนและถ่าน และ (6) เยื่อกระดาษ
9. ไม้เสำเข็มและไม้ค้ำยัน
ไม้เสาเข็ม คือ ไม้ที่ไว้ใช้เป็นรากฐานรองรับสิ่งก่อสร้างในพื้นที่บริเวณดินอ่อน เช่น ฐาน
รากอาคารบ้านเรือน ฐานรากจากเสารั้ว เป็นต้น ในพื้นที่บริเวณดินอ่อนไม้เสาเข็มที่นิยมทั่วไป
จะมีขนาด 6 นิ้ว x 6 เมตร, 5 นิ้ว x 5 เมตร, 4 นิ้ว x 4 เมตร, และ 3 นิ้ว x 3 เมตร การใช้ไม้
เป็นเสาเข็ม โดยทั่วไปควรคานึงถึงระดับน้าใต้ดินประกอบด้วย โดยที่ควรให้หัวเสาเข็มอยู่ลึกกว่า
ระดับน้าใต้ดินขึ้นลง ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ไม้ผุเร็ว และต้องลึกพอที่จะไม่ให้แมลง มอด ปลวก
250 | การปลูกสร้างสวนป่า
ต่างๆ เข้าทาลายได้ โดยทั่ วไปไม้ที่นิยมใช้ทาไม้เสาเข็ม ได้แก่ ไม้สนประดิพัทธ์ ไม้ยูคาลิปตัส
และไม้สะเดาเทียม เป็นต้น
ไม้ค้ายัน คือ ไม้ที่ไว้ค้ารองรับแรงหรือถ่ายน้าหนักโครงสร้างต่างๆ สาหรับก่อสร้างใน
ช่วงเวลาอันสั้น ไม้ค้ายันเป็นไม้ที่ใช้งานชั่วคราวอัตราการใช้ซ้าโดยทั่วๆ ไป เฉลี่ยประมาณ 2 - 3
ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและจัดการ ไม้ค้ายันในการก่อสร้างที่ใช้กันมาก โดยทั่วไปจะ
เป็ น พ ว ก ไม้ เส าเข็ ม เนื่ อ งจ าก ไม้ ที่ มี ราค าถู ก เช่ น ไม้ ส น ป ระ ดิ พั ท ธ์ ไม้ โก งก าง
ไม้เบญจพรรณ เป็นต้น ขนาด 1.5 x 3 นิ้ว หรือ 2 x 4 นิ้ว
10. ชิ้นไม้สับ
ชิ้นไม้สับ (chip) คือ ชิ้นไม้เล็กๆ ซึ่งถูกสับออกมาจากไม้ท่อน โดยเครื่องจักรซึ่งเรียกว่า
เครื่องสับชิ้นไม้ (chipper) ชิ้นไม้สับอาจผลิตมาจากไม้ท่อนขนาดต่างๆ หรืออาจมาจากกิ่งไม้
ปลายไม้ ซึ่ ง ใช้ ท าประโยชน์ อ ย่ า งอื่ น ไม่ ไ ด้ แ ล้ ว รวมทั้ ง จากเศษไม้ ป ลายไม้ ที่ เหลื อ จาก
อุตสาหกรรมไม้ประเภทต่างๆ เช่น เศษเหลือจากโรงงานเครื่องเรือน โรงงานแปรรูปไม้ โรงงาน
ไม้อัด ไม้ประกอบต่างๆ รวมทั้งต้นไม้ที่ได้จากการตัดสางขยายระยะของส่วนป่าต่างๆ หรือไม้ได้
จากการตัดแต่งกิ่งไม้ตามริมถนนหลวง เป็นต้น
การผลิตชิ้นไม้สับมีขั้นตอนการผลิตง่ายๆ คือ การนาไม้ท่อนเส้ นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่
2 นิ้วขึ้นไปจนถึงไม้ขนาดโตเข้าเครื่องปอกเปลือกไม้ เปลือกไม้ที่ได้ทาการแยกออกไปหมักเพื่อ
น าไปท าปุ๋ ย อิ น ทรี ย์ ไ ด้ ส่ ว นไม้ ท่ อ นที่ ป อกเปลื อ กแล้ ว จะถู ก ส่ ง ผ่ า นรางคั ด แยกขนาด
โดยแรงงานคน ไม้ที่ มีข นาดเล็ ก จะถู กแยกออกไปเข้ าเครื่อ งสั บ ชิ้น ไม้ ข นาดเล็ ก ส่ ว นไม้ที่ มี
ขนาดใหญ่จะเข้าเครื่องสับไม้ขนาดใหญ่ หลังจากนั้นชิ้นไม้สับเหล่านี้จะถูกส่งผ่านไปบนตะแกรง
ร่อนเพื่อคัดขนาดชิ้น ไม้สั บ ชิ้น ไม้สั บที่มีขนาดใหญ่ กว่ามาตรฐานจะถูกนามาสั บอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งชิ้นไม้สับสุดท้ายจะได้ชิ้นไม้สับที่มีขนาดความยาวประมาณ 20 - 30 มิลลิเมตร หนาประมาณ
3 - 5 มิลลิเมตร หลังจากนั้นจึงลาเลียงชิ้นไม้ด้วยสายพานไปกองไว้ที่ลานตากชิ้นไม้สับให้แห้ง
เพื่ อ น าไปใช้ ป ระโยชน์ ต่ อ ไป โดยการใช้ ป ระโยชน์ จ ะน าไปใช้ ในอุ ต สาหกรรมเยื่ อ และ
กระดาษ (pulp and paper industries) อุตสาหกรรมแผ่ นใยไม้อัด (fiberboard industry)
อุตสาหกรรมแผ่นชิ้นไม้อัด (particleboard industry) อุตสาหกรรมแผ่นไม้อัดซีเมนต์ (wood
cement board industry)
บทที่ 12 การใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า | 251
11. สถำนกำรณปัจจุบันและแนวโน้มของอุตสำหกรรมไม้
ทิ ศ ทางอุ ต สาหกรรมไม้ ในแผนแม่ บ ทเพื่ อ พั ฒ นาการป่ า ไม้ นี้ ได้ ร วบรวมเรีย บเรีย ง
สาระสาคัญจากแผนแม่บท ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ปัญหาป่าไม้ มองประเด็นปัญหาป่าไม้ไว้ 3 ประเด็นคือ การตัดไม้ทาลายป่า ความ
ต้องการไม้เพื่อใช้สอยและเพื่ออุตสาหกรรมไม้ และความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์
ทรัพยากรและที่ดิน
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ป่าไม้ ซึ่งไม้เป็นวัตถุดิบสาหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อ
มนุษย์มากมาย โดยไม้เป็นวัตถุดิบเอนกประสงค์ เพิ่มรายได้ของประชาชนให้มาก
ขึ้น ก่อตั้งได้ง่าย โรงงานอยู่ใกล้วัตถุดิบ มีวัตถุดิบใช้ตลอดไป
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ป่าไม้แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ (1) อุตสาหกรรมขนาดใหญ่
(large-scale industries) ซึ่ งใช้เครื่องจั กรที่ ซับ ซ้ อนและควบคุม ด้ ว ยด้ ว ยระบบ
อัตโนมัติ เช่น ใช้คอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ควบคุมกระบวนการผลิตโดยใช้คนไม่กี่
คน เช่นโรงงานผลิตแผ่นชิ้นไม้อัด ขนาดกาลังการผลิต 100 ตันต่อวัน ต้องการเงิน
ลงทุนราว 200 ล้านบาท (2) อุตสาหกรรมขนาดย่อม (small-scale industries)
ใช้เครื่องจักรง่ายๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ไม่สูงนัก ควบคุมการผลิตด้วยแรงคนเป็นส่วน
ใหญ่ (labor intensive) และลงทุ น ไม่ ม ากนั ก (ไม่ เ กิ น 10 ล้ า นบาท) (3)
อุต สาหกรรมภายในครอบครั ว หรือ อุ ตสาหกรรมระดั บ ท้ อ งถิ่น (domestic or
village operation industries) ซึ่ ง ใช้ เครื่ อ งมื อ ที่ ง่ า ยมาก ราคาถู ก มั ก จะผลิ ต
เครื่องใช้เอง และเป็นการผลิตที่พึ่งต้นเองได้ ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับท้องถิ่น
และใช้แรงจากสมาชิกภายในครอบครัว
12. สรุป
ในการใช้ ป ระโยชน์ ไม้ ไห้ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพอาจจะใช้ ห ลั ก การของการกลั่ น ชี ว มวล
(biorefineries) โดยทั่ ว ไปจะท าการแตกย่ อ ยตาม 4 ลั ก ษณะคื อ รู ป แบบ (platforms)
ผลิ ต ภั ณ ฑ์ (products) วั ต ถุ ดิ บ ตั้ ง ต้ น (feedstock) และกรรมวิ ธี (process) แบ่ งย่ อ ยตาม
รูปแบบอาจมองในมุมของพลังงานที่ใช้หรือการตลาดเป็นหลัก การแบ่งย่อยตามผลิตภัณฑ์ใน
มุมมองของผลิตภัณฑ์ที่มีน้าหนักโมเลกุลน้อยไปหามาก การแบ่งย่อยตามวัตถุดิบ ตั้งต้นอาจมี
มุมมองของชนิดของวัสดุ และการแบ่งย่อยตามกรรมวิธีอาจแบ่งเป็นกรรมวิธีเคมี เชิงกล ความ
ร้ อ นหรื อ อื่ น ๆ การเลื อ กกรรมวิ ธี ในการใช้ ป ระโยชน์ ไม้ ส วนป่ าต้ อ งค านึ งถึ งงบลงทุ น และ
การตลาดเป็นหลักซึ่งอาจแบ่งผลิตภัณฑ์ได้เป็น วัสดุชีวภาพ เคมีชีวภาพ และพลังงานจากชีวมวล
252 | การปลูกสร้างสวนป่า
13. เอกสำรอ้ำงอิง
กรมป่าไม้. 2527. การปลูกสร้างสวนป่าในประเทศไทย. กองบารุง. กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
กรมป่าไม้. 2542. การใช้ประโยชน์ไม้ขั้นพื้นฐาน. ส่วนปลูกป่าภาคเอกชน สานักส่งเสริมการ
ปลูกป่า กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ. 168 หน้า.
กรมป่าไม้. 2548. ไม้เนื้อแข็งของประเทศไทย. กลุ่มงานพัฒนาผลิตผลป่าไม้ สานักวิจัยการ
จัดการป่าไม้และผลผลิตป่าไม้ กรมป่าไม้. 111 หน้า.
กฤษดา สังข์สิงห์, พนัส แพชนะ, พิเชษฐ ไชยพานิชย์, และนุชนาฏ ณ ระนอง. 2550. อัตรา
การแปรรูป คุณภาพ และสมบัติของไม้ยางพารา. รวมพลังวิจัย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยาง
ไทยยัง่ ยืน. น. 239-248.
นิคม แหลมสัก. 2554. ผลผลิตจากป่าไม้: ผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้เพื่ออนาคตป่าไม้ไทย ใช้ไม้
แทนวัสดุอื่น จากการจัดการอย่างยั่งยีน คีนความสมดุลสู่สังคมไทย สังคมโลก. การ
ประชุมวิชาการเนื่องในปีสากลแห่งป่าไม้และวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ
เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพป่าไม้. 23 – 24 พฤษภาคม 2554. ณ ห้องบอลรูม
โรงแรม มารวย การ์เด้นส์, กรุงเทพฯ.
บุญชุบ บุญทวี. 2540. ความรู้เรื่องป่าไม้เพื่อการปลูกสร้างสวนป่า. ส่วนวนวัฒนวิจัย. สานัก
วิชาการป่าไม้. กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2551. ประมวลสาระชุดวิชาการจัดการธุรกิจการเกษตร
หน่วยที่ 11-15 น. ใน นิคม แหลมสัก อัจฉรา โพธิ์ดี และลัดดา พิศาลบุตร.
บรรณาธิการ. กรณีตัวอย่างการจัดการธุรกิจป่าไม้บริษัทไทยเคนเปเปอร์ จากัด
(มหาชน). บัณฑิตศึกษาสาขาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, นนทบุรี.
ธีระ วีนิน. 2549. การรักษาคุณภาพไม้. เอกสารเผยแพร่ทางวิชาการ. สานักงานพัฒนา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ปทุมธานี.
38 หน้า
ศูนย์วิจัยป่าไม้. 2552. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการส่งเสริมปลูกต้นไม้เพื่อเป็นทุนระยะยาว.
ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 192 หน้า.
บทที่ 12 การใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า | 253