Professional Documents
Culture Documents
ชีววิทยา ยางพารา
ชีววิทยา ยางพารา
สาขาชีววิทยา
้ งเชื้อ Bacillus
เรื่อง การศึกษาและการเพาะเลีย
amyloliquefaciens
ในน้ำเสีย เพื่อควบคุมเชื้อก่อโรคในยางพารา
ผู้จัดทำ
นางสาวเบญญทิพย์ แสนไชย
นายชนุดม ราชริวงษ์
นายพีรพัฒน์ แก้วร่องคำ
ครูที่ปรึกษา
นางสาวทิพย์สุคนธ์ วาณิชย์ร่งุ เรือง
รายงานนีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของโครงการประชุมวิชาการ
และนำเสนอผลงานของ
นักเรียนโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี
และสิ่งแวดล้อม กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอน
ล่าง
ครัง้ ที่ 14 ประจำปี การศึกษา 2566
้ งเชื้อ Bacillus
การศึกษาและการเพาะเลีย
amyloliquefaciens ในน้ำเสีย
เพื่อควบคุมเชื้อก่อโรคในแผ่นยางพารา
Study and culture of Bacillus
amyloliquefaciens in wastewater
To control pathogens in rubber sheets
ผู้จัดทำ
นางสาวเบญญทิพย์ แสนไชย
นายชนุดม ราชริวงษ์
นายพีรพัฒน์ แก้วร่องคำ
ครูที่ปรึกษา
นางสาวทิพย์สุคนธ์ วาณิชย์ร่งุ เรือง
รายงานนีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของโครงการประชุมวิชาการ
และนำเสนอผลงานของ
นักเรียนโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี
และสิ่งแวดล้อม กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอน
ล่าง
ครัง้ ที่ 14 ประจำปี การศึกษา 2566
ก
สารบัญ
หน้
า
สารบัญ ก
บทที่ 1 บทนำ 1
1.1. ที่มาและความสำคัญ 1
1.2. วัตถุประสงค์ 2
1.3. สมมติฐาน 2
1.4. ขอบเขตการทำโครงงาน 3
1.5. ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง 3
1.6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4
1.7. นิยามศัพท์เฉพาะ 4
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5
2.1. Aspergillus flavus 6
2.1.1. ข้อมูลทั่วไปของเชื้อรา Aspergillus 6
flavus 6
2.1.2. ถิ่นที่อยู่ของ Aspergillus flavus 6
2.1.3. อันตรายของเชื้อรา Aspergillus 7
flavus 7
2.1.4. การเจริญเติบโตของเชื้อรา 8
Aspergillus flavus 9
2.1.5. ลักษณะทั่วไปของเชื้อรา 10
Aspergillus flavus 11
ข
1.1 ที่มาและความสำคัญ
เกษตรกรในประเทศไทยมีการปลูกสวนยางพาราเพื่อนำน้ำ
ยางพาราผลผลิตจากยางพารามาขายให้กับผู้รับซื้อแล้วนำไป
แปรรูปเป็ นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากยางพารา ซึ่งเกษตรกรใน
ประเทศไทยได้มีการปลูกยางพาราทัง้ ประเทศถึง 19 ล้านไร่ ซึ่งผลิต
น้ำยางพาราได้ถึง 3.6 ล้านตันต่อปี และมีมูลค่าถึง 315,994 ล้าน
บาท และแนวโน้มในการปลูกยางพาราก็เพิ่มมากขึน
้ ด้วย
ในปี 2551 ถึงปั จจุบันนัน
้ เกษตรกรได้ทำการขยายพื้นที่ในการ
ทำสวนยางพาราทำให้ยางพาราปรับตัวลง ซึ่งทำให้ผู้รับซื้อยางพารา
ต้องคัดและเลือกยางพาราที่มีคุณภาพที่สูงขึน
้ จึงทำให้เกษตรกรได้
รับผลกระทบ เนื่องจากยางพารามีปริมาณมากแต่คุณภาพไม่สูง
เช่น น้ำยางพาราออกมาน้อย ยางพาราดัดแปลงรูปยากไม่มีความ
สะอาด และ มีเชื้อราในน้ำยางพารา โดยในการเก็บยางพารามาเก็บ
ไว้นน
ั ้ จะมีเชื้อราที่เกิดขึน
้ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตทางยาพาราของ
เกษตรกรซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของยางพารา ซึ่งต้นเหตุมาจาก เชื้อราที่
เกิดขึน
้
โดยในปั จจุบัน เชื้อรา Aspergillus flavus (A. flavus) มี
การคุกคามพืชผลทางการเกษตรเป็ นอย่างมาก โดยเฉพาะยางพารา
ซึ่งเมื่อมีเชื้อราชนิดนีอ
้ ยู่ในแผ่นยางพาราแล้ว จะทำให้ยางพารามี
เชื้อราเกิดขีน
้ ซึ่งเกษตรกรจึงได้นำน้ำผักบุง้ มาใช้ในการลดการเกิด
เชื้อรา แต่น้ำผักบุง้ ไม่มีคุณสมบัติในกรยับยัง้ เชื้อราได้ และทำให้
แผ่นยาพารากลายเป็ นสีเขียวอีกด้วย และทำให้ขายได้ในราคาที่ถูก
ลง อีกวิธีการคือการนำแผ่นยางพาราไปรมควัน แต่วิธีนีจ
้ ะทำให้เกิด
มลพิษกลิ่น และทำให้เกิดแก๊สเรือนกระจกอีกด้วย
ปั จจุบันเกษตรกรนิยมใช้การรมควันแผ่นยางพารา ซึ่งวิธีนีจ
้ ะ
ทำให้เกิดมลพิษกลิ่น และทำให้เกิดแก๊สเรือนกระจกอีกด้วย ซึง่ จะ
ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และซ้ำเติมปั ญหา climate change ที่
กำลังเป็ นปั ญหาเป็ นอย่างมากในปั จจุบัน ดังนัน
้ วิธีที่จะสามารถ
จัดการกับปั ญหาที่เกิดขึน
้ ได้คือ การหลีกเลี่ยงกรรมวิธีที่จะซ้ำเติม
ปั ญหาที่มีอยู่แล้วในปั จจุบัน และหันมาใช้สารสกัดจากพืชและ
สมุนไพร หรือการนำปั ญหาที่มีอยู่แล้วมาทำให้เกิดประโยชน์ ซึง่
จากการค้นคว้างานวิจัยเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปั ญหานี ้ จะเห็น
ได้ว่าสารสกัดจากธรรมชาติ มีประสิทธิภาพในการควบคุมเชื้อราก่อ
โรคในยางพารา โดยน้ำเสียซึ่งเป็ นอีกหนึ่งปั ญหาที่ถูกพบใน
ประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่คนในประเทศไม่ว่าจะ
เป็ น การส่งกลิ่นเหม็น ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็ นน้ำเสียที่ได้มาก
จากแหล่งโรงเรียน โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ตลาดผลไม้ กิจการ
ต่างๆที่มีผลไม้เป็ นส่วนประกอบ เป็ นต้น
2
โดยจากงานวิจัยขยะทั่วไปนัน
้ จะมีแบคทีเรียชนิดหนึ่งซึง่ เป็ น
แบคทีเรียที่สามารถพบได้ตามขยะอินทรีย์ โดยแบคทีเรียชนิดนีม
้ ี
ฤทธิใ์ นการยับยัง้ การเกิดเชื้อรา Aspergillus sp. ของต้นมะเขือได้
ื ว่า Bacillus
ซึ่งเป็ นสาเหตุของการเหี่ยวในต้นมะเขือ โดยมีช่ อ
amyloliquefaciens
(B. amyloliquefaciens) ซึ่งสามารถพบเจอได้ตามธรรมชาติทั่วไป
โดยเฉพาะในผลไม้ ดังนัน
้ น้ำเสียจากตลาดผลไม้หรือกิจการต่างๆที่
มีผลไม้เป็ นส่วนประกอบ สามารถสกัดแบคทีเรีย
B.amyloliquefaciens ซึ่งมีฤทธิใ์ นการยับยัง้ การเจริญเติบโตของ
เชื้อราได้ในต้นพืช
ด้วยเหตุดังนีผ
้ ู้จัดทำโครงงานจึงมีความสนใจที่จะศึกษาถึง
แบคทีเรีย B.amyloliquefaciens ในน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพใน
การยับยัง้ การเจริญเติบโตของเชื้อราในแผ่นยางพาราของต้น
ยางพารา และนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบเพื่อเป็ นแนวทางในการลด
ปั ญหาด้านมลพิษ และเป็ นแนวทางในการนำน้ำเสียมาใช้ประโยชน์
ในทางอื่นและเป็ นการแก้ปัญหาโรคเชื้อราในแผ่นยางพาราต่อไป
1.2. วัตถุประสงค์
ได้จากน้ำเสียที่แตกต่างกัน
1.2.3. เปรียบเทียบประสิทธิภาพของเอนไซม์ amylase ที่ได้
จากน้ำเสียที่แตกต่างกัน
ในการยับยัง้ เชื้อก่อโรค
1.3. สมมติฐาน
1.4. ขอบเขตของการทำโครงงาน
1.4.1. ศึกษาการสกัดน้ำเสียเพื่อให้ได้แบคทีเรียที่บริสุทธ์
1.4.2. ศึกษาและเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการสร้าง
เอนไซม์ amylase
4
1.4.3. ศึกษาและเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการใช้เอนไซม์
amylase ยับยัง้ การเจริญเติบโต
ของเชื้อก่อโรค
1.5. ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
1.5.1. ตัวแปรต้น
น้ำเสียจากพืชที่แตกต่างกัน ได้แก่ ข้าวเหนียว กข 6
ข้าวโพด ถั่วเขียว ข้าวหอมมะลิ
มันสำปะหลัง
1.5.2. ตัวแปรตาม
1) ปริมาณเอนไซม์ amylase ที่ผลิตได้
2) ประสิทธิภาพในการยับยัง้ การเจริญเติบโตของเชื้อก่อ
โรค
1.5.3. ตัวแปรควบคุม
1) ชนิดของอาหารเลีย
้ งเชื้อ
2) ความเข้มข้นของอาหารเลีย
้ งเชื้อ
3) ความเข้มข้นของน้ำเสีย
4) ปริมาณเอนไซม์ amylase ที่ใช้ในการยังยัง้ เชื้อก่อโรค
5) เวลาในการเลีย
้ งเชื้อ
6) อุณหภูมิ
7) ความชื้น
8) ตู้เพาะเชื้อ
5
1.6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.7. นิยามศัพท์เฉพาะ
6
ในการจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง การศึกษาและการ
้ งเชื้อ Bacillus amyloliquefaciens ในน้ำเสีย เพื่อ
เพาะเลีย
ควบคุมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในยางพารา โดยผู้จัดทำโครงงานได้
ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีรายละเอียดตามหัวข้อดัง
ต่อไปนี ้
2.1. Aspergillus flavus
2.2. Bacillus amyloliquefaciens
2.3. การเจือจาง
2.4. การขีดเชื้อในจานเพาะเชื้อ
2.5. การเทเพลท
2.6. ข้าวเหนียว กข 6
2.7. ข้าวหอมมะลิ
2.8. ข้าวโพด
2.9. มันสำปะหลัง
2.10. ถั่วเขียว
2.11. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
8
flavus เติบโตในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและชื้นและพบได้ทั่วไปใน
เขตร้อนและกึง่ เขตร้อน นอกจากนีย
้ ังสามารถเติบโตได้ในสภาพ
แวดล้อมในร่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ช้น
ื หรือชื้น เช่น ห้องน้ำ
ห้องครัว และห้องใต้ดิน
2.1.3. อันตรายของเชื้อรา Aspergillus flavus
Aspergillus flavus เป็ นเชื้อรา saprophytic เป็ นที่ทราบกัน
ดีว่าทำให้เกิดโรคในพืช รวมถึงธัญพืช ธัญพืช ต้นไม้ และถั่ว เป็ น
เชื้อรา Aspergillus ที่พบมากเป็ นอันดับสองในมนุษย์ รองจาก
Aspergillus fumigatus เชื้อราชนิดนีก
้ ่อโรคได้น้อยและสามารถ
ทำให้เกิดโรคฉวยโอกาสในพืชผล ติดเชื้อพืชก่อนและหลังการเก็บ
เกี่ยวในห้องเก็บของ ในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว เชื้อจะยังคงอยู่เฉยๆ
จนถึงเวลาเก็บเกี่ยว ซึ่งอาจทำให้ส่วนที่ติดเชื้อของพืชมีสีเหลืองได้
นอกจากนี ้ A. flavus ยังสามารถผลิตสารพิษจากเชื้อรา ซึ่งก่อให้
เกิดพิษทัง้ ในคนและสัตว์ เชื้อราเป็ นเชื้อโรคฉวยโอกาสที่สามารถ
ทำให้เกิดโรคแอสเปอร์จิลโลซิสในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เชื้อรา Aspergillus flavus สามารถผลิตสารพิษที่เรียกว่าอะฟลา
ทอกซิน ซึ่งสามารถปนเปื้ อนอาหารและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ
สุขภาพของมนุษย์และสัตว์ ดังนัน
้ จึงเป็ นสิง่ สำคัญที่จะต้องตรวจ
สอบการมีอยู่ของมันและดำเนินการ
เพื่อป้ องกันการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของมัน มันมีอยู่ใน
ดินในรูปของโคนิเดียหรือสเคลโรเทีย และในเนื้อเยื่อพืชเป็ นไมซีเลีย
เมล็ดธัญพืช พืชตระกูลถั่ว และถั่วเปลือกแข็งทำหน้าที่เป็ นโฮสต์
10
2.3. การเจือจาง
การแยกเชื้อให้บริสุทธิเ์ ป็ นเทคนิคพื้นฐานทางจุลชีววิทยาที่มี
ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น น้ำ อากาศ
พื้นห้องเรียน หรือแม้แต่ร่างกายของคนก็มีเชื้อจุลินทรีย์อยู่หลาย
ชนิดที่อาจปนเปื้ อนในหลอดเพาะเชื้อได้ หลักการของการแยกเชื้อ
์ นอาหารเลีย
ให้บริสุทธิบ ้ งเชื้อ (Culture medium) คือ จะต้องแยก
15
2.5. การเทเพลท
1. นำหลอดอาหารที่มีอาหารเลีย
้ งเชื้อจำนวน 3 หลอด ไปหลอมให้
ละลายและแช่ใน Water bath ซึง่ มีอุณหภูมิประมาณ 45 องศา
เซลเซียส
2. นำลวดเขี่ยเชื้อ (Loop) ที่สะอาดปราศจากเชื้อจุ่มลงในหลอดที่มี
เชื้อผสม แล้วนำไปใส่ในหลอดอาหารเลีย
้ งเชื้อหลอดที่ 1 เขย่า
หลอดเพื่อให้เชื้อกระจายทั่วหลอด
3. นำ Loop ที่สะอาดปราศจากเชื้อจุ่มลงในเชื้อผสมหลอดที่ 1
ถ่ายลงในหลอดอาหารที่ 2 เขย่าเพื่อให้เชื้อแพร่กระจายทั่วหลอด
4. นำ Loop ที่สะอาดปราศจากเชื้อจุ่มลงในเชื้อผสมหลอดที่ 2
ถ่ายลงในหลอดอาหารที่ 3 เขย่าเพื่อให้เชื้อแพร่กระจายทั่วหลอด
5. นำอาหารในหลอดที่ 1 เทใส่จานเพาะเชื้อจานที่ 1 หมุนจาน
เบาๆ เพื่อให้เชื้อแบคทีเรียกระจายโดยทั่วจาน ปล่อยทิง้ ไว้จน
อาหารแข็งตัว
6. นำอาหารในหลอดที่ 2 และ 3 เทใส่จานเพาะเชื้อจานที่ 2 และ
3 ตามลำดับ หมุนจานเบาๆ เพื่อให้เชื้อแบคทีเรียกระจายโดยทั่ว
จาน ปล่อยทิง้ ไว้จนอาหารแข็งตัว
7. นำจานเพาะเชื้อไปบ่มที่อุณหภูมิห้องหรืออุณหภูมิที่เหมาะสม ทิง้
ไว้ประมาณ 24-48 ชม. จะเห็นโคโลนีเดี่ยวๆ ของแบคทีเรียเจริญ
ขึน
้ จนมีขนาดใหญ่พอที่จะเขี่ยเชื้อ หรือนำไปศึกษาคุณสมบัติอ่ น
ื ๆ
ต่อไป
ผลจากการแยกเชื้อบริสุทธิโ์ ดยวิธีนี ้ จะพบว่าในจานเพาะเชื้อที่ 1
จะมีเชื้อเจริญหนาแน่นมากที่สุด สำหรับจานเพาะเชื้อที่ 2 และ 3 มี
18
เชื้อเจริญหนาแน่นน้อยลงมาตามลำดับ นอกจากวิธีการแยกเชื้อ
บริสุทธิโ์ ดยวิธีนี ้ ยังสามารถศึกษาการเจริญของแบคทีเรียในที่มี
อากาศหรือไม่มีอากาศได้ด้วย ถ้าเชื้อมีการเจริญเฉพาะบนผิวหน้า
อาหาร แสดงว่าเชื้อนัน
้ เจริญได้ดีในสภาพที่มีออกซิเจน ถ้าเชื้อใด
เจริญบนก้นจานเพาะเชื้อ แสดงว่าเชื้อนัน
้ เจริญได้ดีในสภาพไม่มี
ออกซิเจน (สสวท. 2561)
2.6. ข้าวเหนียวขาว กข 6
2.6.1. ข้อมูลพื้นฐานข้าวเหนียวขาว กข 6
ข้าวเหนียวขาว กข 6 หมายถึงข้าวเหนียวต้นเตีย
้ สามารถ
ต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง เป็ นข้าวเหนียวพันธุ์ใหม่ที่เกิด
จากการปรับปรุงพันธุ์แบบการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อรวมยีน โดยใช้
เครื่องหมายดีเอ็นเอในการคัดเลือกพันธุ์ร่วมกับการปรับปรุงพันธุ์
แบบมาตรฐาน ซึง่ เป็ นพันธุ์ข้าวเหนียวหอมที่ไวต่อช่วงแสง
(จดหมายเหตุ สวทช. 2563)
กข. ย่อมาจาก กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(Wordy Guru, 2562)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oryza sativa L.
ชื่อสามัญ : Rice
ชื่อพันธุ์กลาย : RD 6
19
ปี ที่เผยแพร่หรือขอขึน
้ ทะเบียนพันธุ์ : วันที่ 4 พฤษภาคม
2520
หน่วยงานที่เผยแพร่ : สถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ชื่อพันธุ์เดิม : ข้าวเจ้าขาวดอกมะลิ 105
(KDML 105)
2.6.2. แหล่งที่มาของข้าวเหนียวขาว กข 6
ข้าวเหนียวขาว กข 6 เป็ นพันธุ์ข้าวเหนียวที่ได้รับการปรับปรุง
พันธุ์มาจากข้าวเจ้าพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้รังสีแกมมาที่ 20
กิโลแรด ที่สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติแห่งประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2508 ปลูกและคัดเลือกข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ฉายรังสี
ชั่วที่ 2 ที่สถานีทดลองข้าวบางเขน ปลูกชั่วที่ 3 ที่สถานีทดลองข้าว
พิมาย จังหวัดนครราชสีมา ฯลฯ คัดเลือกได้ข้าวสายพันธุ์ดี ทัง้ สาย
พันธุ์ข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ปลูกทดสอบผลผลิตระหว่างสถานีและ
ในนาเกษตรกรในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือระหว่าง
ปี พ.ศ. 2514- 2519 ผลปรากฏว่า สายพันธุ์ KDML 105’65-G3U-
68-254 ซึง่ เป็ นสายพันธุ์ข้าวเหนียว นุ่ม มีกลิ่นหอม ทนแล้ง และมี
คุณภาพการหุงต้มรับประทานดี ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุดเป็ นอันดับ
หนึ่งและให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เหนียวสันป่ าตอง ซึ่งเป็ นพันธุ์ข้าว
เหนียวที่นิยมปลูกกันแพร่หลายในภาคเหนือและภาคตะวันออก
20
2.7. ข้าวหอมมะลิ
2.7.1. ข้อมูลพื้นฐานข้าวหอมมะลิ
เป็ นสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย จัดเป็ นข้าว
นาปี ปลูกได้เพียงปี ละ 1 ครัง้ ลักษณะข้าวเปลือกเรียวยาว เมื่อสี
เป็ นข้าวสารจะได้ข้าวเมล็ดเรียว ยาว ขาวใสเป็ นเงา แกร่ง มีท้องไข่
น้อย มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เป็ นพันธุ์ข้าวที่นิยมบริโภคอย่าง แพร่
หลายทัง้ ในประเทศและต่างประเทศ และเป็ นพันธุ์ข้าวที่สร้างชื่อ
เสียงให้ข้าวไทยเป็ นที่ร้จ
ู ักทั่วโลก (ธรรม, 2563)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oryza sativa
ชื่อสามัญ : Jasmine Rice
ปี ที่เผยแพร่หรือขอขึน
้ ทะเบียนพันธุ์ : วันที่ 25 พฤศจิกายน
2502
หน่วยงานที่เผยแพร่ : กรมการค้าต่างประเทศ
2.7.2. แหล่งที่มาของข้าวหอมมะลิ
21
2.8. ข้าวโพด
2.8.1. ข้อมูลพื้นฐานของข้าวโพด
ข้าวโพดเป็ นธัญพืชที่มีความสำคัญเป็ นอันดับสามของโลก รอง
มาจากข้าวสาลี และข้าว สามารถปลูกได้ทั่วไปในเขตภูมิอากาศ
อบอุ่น เขตกึ่งร้อนชื้น และพื้นที่ราบเขตร้อน (คณาจารย์ภาควิชาพืช
ไร่นา, 2547) โดยแหล่งปลูกมักกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ของ
โลก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา บราซิล เม็กซิโก จีน รวมทัง้ ใน
ทวีปแอฟริกาใต้ สำหรับประเทศไทยข้าวโพดถือเป็ นพืชเศรษฐกิจที่
สำคัญ เนื่องจากมีพ้น
ื ที่เพาะปลูกครอบคลุมอยู่ทั่วทุกภาค ทำให้
สามารถสร้างรายได้เป็ นจำนวนมากให้กับประเทศ ข้าวโพดที่ปลูก
ในประเทศไทยแบ่งออกเป็ น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ข้าวโพดฝั กสด และ
ข้าวโพดเลีย
้ งสัตว์ โดยข้าวโพดฝั กสดปลูกเพื่อใช้สำหรับบริโภคเป็ น
อาหารและส่งออก เนื่องจากผู้บริโภคนิยมรับประทาน และมีคณ
ุ ค่า
ทางโภชนาการสูง ส่วนข้าวโพดเลีย
้ งสัตว์เป็ นพืชที่มีความสำคัญต่อ
อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ปลูกเพื่อใช้เป็ นวัตถุดิบในการผลิตอาหาร
สัตว์ ซึ่งจังหวัดที่เป็ นแหล่งปลูกข้าวโพดที่สำคัญของประเทศไทย
ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสีมา เลย ลพบุรี และนครสวรรค์
(โชคชัย และเกตุอร, 2561)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zea mays L.
ชื่อสามัญ : Maize, corn
23
ชื่อวงศ์ : Gramineae
2.8.2. แหล่งที่มาของข้าวโพดในประเทศไทย
การนำข้าวโพดเข้ามาในประเทศไทยคาดว่าเกิดขึน
้ ประมาณปี
พ.ศ. 2223 ซึง่ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่
เป็ นพันธุ์ใดไม่ปรากฏ จากหลักฐานพบว่าในยุคก่อนสงครามโลกครัง้
ที่ 2 การผลิตข้าวโพดเพื่อการค้ายังมีอยู่อย่างจำกัด พันธุ์ที่เริ่ม
ทดลองปลูกมีอยู่ 4 พันธุ์ ได้แก่
พันธุ์พ้น
ื เมืองของไทย พันธุ์เม็กซิกันจูน พันธุ์นิโคลสัน เยลโล่ เด้นท์
และพันธุ์อินโดจีน ในช่วงหลังสงครามโลกครัง้ ที่ 2 ข้าวโพดเริ่ม
ขยายการปลูกเพิ่มขึน
้ เรื่อยๆ แต่ไม่ได้เพิ่มมากนัก จนกระทั่งหลัง
จากที่มีการนำข้าวโพดพันธุ์ทิกิเสท โกลเดน เยลโลว์ (Tiquisate
golden yellow) จากประเทศกัวเตมาลา เข้ามาทดสอบปลูกใน
ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2496 โดยเรียกชื่อพันธุ์นว
ี ้ ่า
พันธุ์กัวเตมาลา ข้าวโพดพันธุ์นส
ี ้ ามารถปรับตัวเข้ากับสภาพ
แวดล้อมของประเทศได้ดี และให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เดิม ส่งผลให้มี
การปลูกข้าวโพดในประเทศเพิ่มมากขึน
้ แต่ในปี พ.ศ. 2508 เกิด
การระบาดของโรคราน้ำค้างทำให้การผลิตข้าวโพดในประเทศไทย
ประสบปั ญหา (โชคชัย และเกตุอร, 2561)
24
(ที่มา :
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?
book=3&chap=2&page=t3-2-infodetail03.html)
ภาพที่ 2.4 แผนที่แสดงแหล่งผลิตข้าวโพดในประเทศไทย
2.9. มันสำปะหลัง
2.9.1. ข้อมูลพื้นฐานของมันสำปะหลัง
เป็ นพืชดัง้ เดิมของชาวพื้นเมืองในเขตร้อนของทวีปอเมริกาตอน
กลาง และทางเหนือของทวีปอเมริกาใต้ เกษตรกรนิยมปลูกกันมาก
เพราะทนแล้ง ปลูกง่าย ศัตรูพืชน้อย แหล่งปลูกมันสำปะหลังที่
สำคัญอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือ
ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา กำแพงเพชร ชัยภูมิ กาญจนบุรี
25
2.9.2. แหล่งที่มาของมันสำปะหลัง
สำหรับประเทศไทยยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนว่ามีการนำมัน
สำปะหลังเข้ามาปลูกเมื่อใดแต่สันนิษฐานว่าน่าจะเข้ามาในระยะ
เดียวกันกับการเข้าสู่ประเทศศรีลงั กา และฟิ ลิปปิ นส์ คือ ประมาณ
ปี พ.ศ. 2329-2383 และคาดว่ามีคนนำมันสำปะหลังจากมาลายูมา
ปลูกในภาคใต้ ประมาณปี พ.ศ. 2329 มันสำปะหลังเดิมเรียกกันว่า
มันสำโรง มันไม้ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า มันต้นเตีย
้
ทางภาคใต้เรียกว่า มันเทศ (แต่เรียกมันเทศว่า มันหลา) คำว่า
26
สำปะหลัง คล้ายกับคำในภาษาชวาตะวันตกที่เรียกมันสำปะหลังว่า
สัมเปอ (Sampou) ซึง่ มีความหมายเหมือนคำในภาษามาเลย์ที่แปล
ว่า พืชที่มีรากขยายใหญ่ (สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์, 2560) การปลูกมันสำปะหลังเป็ นการค้าเพื่อใช้ทำ
แป้ งและสาคูในภาคใต้ ซึ่งปลูกระหว่างแถวของต้นยางพารากัน
มากว่า 70 ปี แล้ว โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลามีอุตสาหกรรมทำแป้ ง
และสาคูจำหน่ายไปยังปี นัง และประเทศสิงคโปร์ แต่การปลูกมัน
สำปะหลังทางภาคใต้ค่อยๆ ลดลงเมื่อมีการขยายการปลูกยางพารา
ต่อมามีการปลูกมันสำปะหลังในภาคตะวันออก คือ จังหวัดชลบุรี
ระยอง และจังหวัดใกล้เคียง และเมื่อความต้องการของตลาดใน
ด้านผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อใช้ในการเลีย
้ งสัตว์และอุตสาหกรรม
มีเพิ่มมากขึน
้ ทำให้พ้น
ื ที่ในภาคตะวันออกผลิตได้ไม่เพียงพอต่อ
ความต้องการ จึงมีการขยายพื้นที่ไปยังจังหวัดอื่นๆ โดยเฉพาะทาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จนในปั จจุบันภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เป็ นพื้นที่ที่ปลูกมันสำปะหลังมากที่สุดของประเทศไทย (ฐานข้อมูล
ส่งเสริมการค้าและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP, 2566 )
2.10. ถั่วเขียว
2.10.1. ข้อมูลพื้นฐานของถั่วเขียว
27
ช่วยบำรุงรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยใช้ปลูกก่อนข้าวโพด
ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ใช้ปลูกก่อนหรือหลังการทำนาหรือทำไร่
เพื่อตัดวงจรการระบาดของศัตรูพืช (เมดไทย, 2563)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vigna radiata (L.) R. Wilcz.
ชื่อสามัญ : Mung Bean, Mung
ชื่อวงศ์ : Fabaceae
2.10.1. แหล่งที่มาของถั่วเขียว
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ถั่วเขียวมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย
และในเอเชียกลาง เนื่องจากพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่ามีการ
ปลูกถั่วเขียวในแคว้นมัธยประเทศ ในประเทศอินเดียมากว่า 4,000
ปี แล้ว และยังปลูกแพร่หลายในพม่า ไทย ศรีลังกา ปากีสถาน
อิหร่าน จีน และในภาพตะวันออกของอดีตสหภาพโซเวียต แต่การ
ศึกษาของนักวิจัยในประเทศไทย พบหลักฐานทางโบราณคดีที่ระบุ
ว่าถั่วเขียวมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยโดยพบในถ้ำผี จังหวัด
28
2.11. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ลำดับ สามารถกระตุ้นการผลิตสารลิพอพอลิแซคคาร์ไรด์ของเชื้อ
แบคทีเรีย B. Amyloliquefaciens เพื่อยับยัง้ เชื้อ Aspergillus sp.
สาเหตุโรคยางพาราแผ่นได้ดีที่สุด ทัง้ นีเ้ ชื้อแบคทีเรีย B.
amyloliquefaciens สามารถผลิตพอพอลิแซคคาร์ไรด์ ได้ดีที่สุด
เมื่อเลีย
้ งใน อาหารดัดแปลงที่ปรับค่า pH เท่ากับ 7 โดยมีขนาด
ความกว้างของบริเวณยับยัง้ ของลิพอพอลิแซค คาร์ไรด์ของเชื้อ
แบคทีเรีย B. amyloliquefaciens ที่เลีย
้ งในอาหารดัดแปลงดัง
กล่าวเท่ากับ 24.0 มิลลิเมตร ตามลำดับ (สุดฤดีและคณะ, 2547,
ณัฐธิญา และคณะ, ยังไม่ได้ตีพิมพ์) ซึ่งหากสารพอพอลิแซคคาร์ไรด์
ที่สกัดจากแบคทีเรียสายพันธุ์ไทย B. amyloliquefaciens สาย
พันธุ์ NBSUT534 สามารถช่วยกำกับดูแล ควบคุมเชื้อราที่เข้า
ทำลายคุณภาพยางแผ่นได้ อาจช่วยได้ในกระบวนการเสริมสร้าง ให้
แผ่นยางมีภูมิต้านทาน ต่อเชื้อราสาเหตุโรคเหล่านี ้ ส่งผลต่อการเพิ่ม
ผลผลิตทัง้ ปริมาณและคุณภาพ ซึ่งจะช่วยลดการใช้สารเคมี และ
ต้นทุนลดลงอย่างยั่งยืนและปลอดภัย
3.3. ขัน
้ ตอนการดำเนินงาน
3.3.1. การเตรียมน้ำเสียเพื่อใช้ในการสกัด
1) นำน้ำเสียจากตลาดโคกสุวรรณ อ.เมืองมุกดาหาร
จ.มุกดาหาร
ปริมาตร 1,000 มิลลิลิตร มาใส่ในโหลสุญญากาศ จำนวน
5 โหล
2) นำข้าวเหนียว กข 6 ข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง
ข้าวโพด ถั่วเขียว ที่สุกแล้ว
จำนวน 200 กรัม มาใส่ในโหลใบที่ 1-5 ตามลำดับเพื่อ
หมักให้ได้ Amylose
3) นำเชื้อ B. amyloliquefaciens มาใส่ในโหล ทัง้ 5
โหล ทิง้ ไว้ที่อุณหภูมิ
25 องศาเซลเซียส เป็ นเวลา 7 วัน เพื่อให้เชื้อโต
นำน้ำเสียปริมาตร 1,000
นำเชื้อ B. amyloliquefaciens มา
ใส่ในโหล ทัง้ 5 โหล ทิง้ ไว้ที่อุณหภูมิ
3.3.2. การเพาะเลีย
้ งและการจำแนกเชื้อ
1) นำน้ำเสียจากขัน
้ ตอนข้างต้นมาทำการเจือจางด้วย
เทคนิค ten-fold serial dilution
โดยทำทัง้ หมด 8 ครัง้
2) นำหลอดที่ 5 6 7 ที่ได้จากขัน
้ ตอนที่แล้วมาทำการเลีย
้ ง
ด้วยเทคนิค Pour plate
technique โดยทำการผสมกับ PDA ที่มีส่วนผสมของ
น้ำตาล dextrose 2 %
และ bacto-peptone จำนวน 0.8 % และมีค่า pH 7
โดยเพาะทิง้ ไว้
ในอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส เป็ นเวลา 24 ชั่วโมง
3) นำสารที่ได้จากข้อ 2) ตรวจหาเชื้อ B.
amyloliquefaciens โดยใช้กล้องจุลทรรศน์
และวิเคราะห์จากลักษณะโคโลนีของเชื้อ และสัณฐานของ
เชื้อภายใต้กล้องจุลทรรศน์
4) นำเชื้อที่ได้จากการจำแนกจากข้อ 3) มาทำการเพาะ
เลีย
้ งต่อโดยใช้
เชื้อ B. amyloliquefaciens บริสุทธิเ์ พียงอย่างเดียวมา
เพาะด้วยเทคนิค Streak plate
ทิง้ ไว้ใน อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส เป็ นเวลา 24
ชั่วโมง เพื่อแยกโคโลนีและเพื่อให้ได้
์ ี่สุด
เชื่อที่บริสุทธิท
5) นำเชื้อที่บริสุทธิแ์ ล้ว ปริมาตร 10 มิลลิลิตร มาเลีย
้ งต่อ
บนเครื่องเขย่า 170 รอบ/นาที
36
นำน้ำเสียจากขัน
้ ตอน 3.3.1 ด้วยเทคนิค Ten-fold
นำน้ำเสียที่เจือจางแล้วหลอดที่ 5 6 7 8 มาเลีย
้ ง เลีย
้ งที่ PDA ปรับ
ตรวจหาเชื้อ B. amyloliquefaciens
ล้างด้วยสารละลาย 1M HCl
ใส่ในอ่างควบคุมอุณหภูมิ 100
องศาเซลเซียส เป็ นเวลา 140
ใช้ปิเปตดูดสารชัน
้ ล่างออกมา
เก็บในหลอดพลาสติกปราศจาก
1
40
นำสารที่ได้จากข้อ 7) มา
วัดประสิทธิภาพในการยับยัง้
3.4. ระยะเวลาการดำเนินการ